Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พุทธวจน 6_อานาปานสติ

พุทธวจน 6_อานาปานสติ

Published by sadudees, 2017-01-10 00:53:26

Description: พุทธวจน 6_อานาปานสติ

Search

Read the Text Version

!\"#$%&' !\"#\"$\"#%&' ()* &+\",& !\"#$% &. ! '(+*) +,-,.,-/0\" +1-23% 34'56\"7&89:;(,#<4=; ... >4+,-\"/?/+@ AB,?9C+A,B ?:-*D? 9-266C,>4 E .6F#,6 '.-G /?*\" &*:H =1?IC;3+) +6:100>49-.5J 5%21- :6+) =,B K,; A?1 (+H .% ,&\"':4)++ABL #M5#1 '.-G +-,3,(H. -0)/)(. LT. NP/VPW/NVNV.'0-)6LH0(:? !#\" $% !\"#$%XY ,?% )L# ,%?)L\"#) DE4Z(:&[)19F\)KF

ภิกษุ ท. ! ภิกษุเหล่าใดยังเป็นเสขะ ยังไม่ลุถึงธรรมที่ต้องประสงค์แห่งใจ ปรารถนาอยู่ซึ่งโยคเขมธรรมอันไม่มีอะไรยิ่งกว่า; ภิกษุเหล่านั้น เมื่อเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ซึ่งอานาปานสติสมาธิ ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย. ส่วนภิกษุทั้งหลายเหล่าใด เป็นอรหันต์ สิ้นอาสวะแล้วมีพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว เป็นผู้หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น เมื่อเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ซึ่งอานาปานสติสมาธิ ย่อมเป็นสุขวิหารในปัจจุบันด้วย เพื่อความสมบูรณ์แห่งสติสัมปชัญญะด้วย.... มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๑๒ - ๔๒๓ /๑๓๖๔ – ๑๓๖๘.

ฉบับ๖พ!อุท#\" า$ธน!%วา&จป'น!านสติ ()*)!+!! !,--.!\"%/$0##10 !243 5!!!!!!!!!!!!!!!!! \"!#\" $&% '()*+',.- /001$&.!213456.4$7 /897 .:&0(71(<; 0)+'=>?=3#!!

พทุ ธวจน ฉบบั ๖ อานาปานสติส่อื ธรรมะน้ี จัดทําเพื่อประโยชนทางการศึกษาสูสาธารณชนเปนธรรมทาน ลขิ สทิ ธิ์ในตน ฉบับน้ีไดร ับการสงวนไว ไมสงวนสทิ ธิ์ในการจัดทําจากตนฉบับเพื่อเผยแผในทุกกรณี ในการจัดทาํ หรือเผยแผ โปรดใชค วามละเอยี ดรอบคอบ เพ่ือรกั ษาความถูกตองของขอมูล ขอคําปรึกษาดา นขอ มลู ในการจดั ทาํ เพือ่ ความสะดวกและประหยดั ติดตอไดท ี่ คณุ ศรชา โทร.๐๘๑-๕๑๓-๑๖๑๑ หรือ คุณอารวี รรณ โทร.๐๘๕-๐๕๘-๖๘๘๘ พิมพค รัง้ ที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๓ จาํ นวน ๑๐,๐๐๐ เลม พิมพค ร้งั ท่ี ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๓ จาํ นวน ๕,๐๐๐ เลม ศลิ ปกรรม วชิ ชุ เสริมสวสั ดิศ์ รี ท่ปี รกึ ษาศิลปกรรม จาํ นงค ศรนี วล, ธนา วาสกิ ศริ ิ จดั ทําโดย มลู นธิ พิ ทุ ธโฆษณ (เว็บไซต www.buddhakos.org) ดาํ เนินการพมิ พโดย บริษทั คิว พรนิ้ ท แมเนจเมน ท จาํ กัด โทรศพั ท ๐-๒๘๐๐-๒๒๙๒ โทรสาร ๐-๒๘๐๐-๓๖๔๙

คาํ อนโุ มทนา ขออนุโมทนา กับคณะผูจัดทํา หนังสือพุทธวจน ฉบับ“อานาปานสติ” ในเจตนาอันเปนกุศล ท่ีมีความต้ังใจเผยแผคาํ สอนขององคสัมมาสัมพุทธเจาที่ออกจากพระโอษฐของพระองคเอง ทั้งหมดท่ีทานตรัสรูในหลายแงมุมที่เกี่ยวกับการใชชีวิต วิธีแกทุกข ฯลฯ ตามหลักพุทธวจนงาย ๆ เพื่อใหผูสนใจไดศึกษาและนํามาปฏิบัติเพื่อใหถึงความพนทุกขดวยเหตุอันดีนี้ ขอจงเปนพลวปจจัย ใหผูมีสวนรวมในการทําหนังสือเลมน้ีและผูที่ไดอาน ไดศึกษา พึงเกิดปญญาไดดวงตาเห็นธรรม พนทุกขในชาตินี้เทอญ ขออนุโมทนา พระคึกฤทธิ์ โสตถฺ ผิ โล



คาํ นํา หากมีการจัดอันดับหนังสือที่มีความสําคัญมากที่สุดในโลก ฐานะที่จะมีไดคือ หนังสือ อานาปานสติ โดยพระตถาคต นี้คือหน่ึงในหนังสือที่มีความสําคัญอันดับแรกของโลก พุทธวจน ทเี่ ก่ยี วขอ งกับอานาปานสตภิ าวนาท้ังหมด เม่อืพิจารณา ประกอบดวยหลักปฏิจจสมปุ บาทของจติ โดยละเอยี ดแลวจะพบขอ สังเกตอนั นา อศั จรรยวา ; อานาปานสติ คอื การลดอัตราความถ่ีในการเกิดของจิต ซ่ึงเปนการสรางภาวะท่ีพรอมท่ีสุดสาํ หรบั การบรรลุธรรม พระพุทธองคทรงเผยวา อานาปานสติ น้ี แทจริงแลวก็คือเครอื่ งมือในการทําสตปิ ฏฐานทั้งสี่ ใหถึงพรอ มบริบูรณซงึ่เปนเหตุสง ตอใหโพชฌงคทั้งเจด็ เจริญเต็มรอบ และนาํ ไปสูวิชชาและวิมตุ ติ ในทสี่ ดุ โดยทง้ั หมดนี้เกิดขึน้ ได แมในลมหายใจเดียวภายใตเ ง่ือนไขทวี่ า จะตอ งเปนการปฏบิ ตั ทิ ี่ตรงวธิ ี ในแบบท่รี ะบุโดยมคั ควทิ ู (ผูรูแจงมรรค) คอื จากการบอกสอนดวยคาํ พดู ของพระพุทธเจาเองโดยตรงเทานนั้

สําหรับมนุษยทุกคนที่อยูในขายท่ีสามารถบรรลุธรรมไดน่ีคือ หนังสือท่ีจําเปนตองมีไวศึกษา เพราะเน้ือหาทั้งหมด ไดบรรจุรายละเอยี ดในมิติตา งๆ ของอานาปานสติ เฉพาะทเี่ ปนพุทธวจนลวนๆคอื ตัวสตุ ตนั ตะทีเ่ ปนตถาคตภาษติ ไวอ ยางครบถวนสมบรู ณท กุ แงมมุ เรียกไดวาเปนคูมือพนทุกขดวยมรรควิธีอานาปานสติฉบับแรกของโลก ที่เจาะจงในรายละเอียดของการปฏิบัติ โดยไมเจือปนดวยสาวกภาษิต (ซึ่งโดยมากมักจะตัดทอนตนฉบับพุทธวจนเดิม หรือไมก็เพียงอางถึงในลักษณะสักแตวา แลวบัญญัติรายละเอียดตางๆ เพิ่มเติมขึ้นใหมเองอยางวิจิตรพิสดารนอกแนว นําไปสูความเขาใจท่ีผิดเพ้ียนหรือไมก็บิดเบือนคลาดเคลื่อนพลัดออกนอกทางในที่สุด) การเกดิ ขนึ้ ของอานาปานสตฉิ บบั พุทธวจนนี้ ไมใ ชข องงายท่ีจะมีข้ึนไดเลย เพราะในเมื่อการเกิดข้ึนของตถาคตในสังสารวัฏ เปน ของทม่ี ไี ดยาก การรวบรวมนาํ มรรควิธี ทตี่ ถาคตทรงใชเปนวิหารธรรมเครื่องอยู มารวมไวเปนหนังสือคูมือชาวพุทธในเลมเดียว จึงไมใชของงายที่จะมีขึ้นได การที่หนังสือเลมนี้จะเปนที่แพรหลายในสังคมพุทธวงกวางหาก็ไมใชของงายเชนกัน ทั้งน้ี ไมใชเพราะเหตุวา พุทธวจน

เปนสิ่งท่ีหาไดยาก อานยาก หรือทําความเขาใจไดยากและ ไมใชเพราะเหตุคือ เงื่อนไขในดานบุคลากร ในดานการจัดพิมพ หรือปญหาเร่ืองเงินทุน แตเพราะดวยเหตุวา พระตถาคตทรงใชอานาปานสติเปนวิหารธรรมเครื่องอยู และทรงพร่ําสอนไว กําชับกับภิกษุ และ กับบุคคลท่ัวไปไว บอกรายละเอียดไว แจกแจงอานิสงสไว มากที่สุดในสัดสวนที่มากกวามาก เมื่อเทียบกับมรรควิธีอ่ืนๆ ในหมูนักปฏิบัติ อานาปานสติ จึงถูกนํามาเผยแพร ถูกมาบอกสอนกันมาก ซึ่งเมื่อเปนเชนนั้น การปนเปอนดวยคําของสาวก ในลักษณะตัดตอเติมแตงก็ดี หรือเขียนทับก็ดี จึงเกิดขึ้นมาก…...…ไปจนถึงจุดที่เราแทบจะไมพบเจอสํานักปฏิบัติที่ใชอานาปานสติ ในรูปแบบเดียวกับที่พระพุทธองคทรงใชในคร้ังพุทธกาลไดอกี แลว เมอ่ื เปน เชน นี้ ในขน้ั ตอนการเรียนรู จึงหลกี เล่ยี งไมไดท่ีจะตองผานกระบวนการนาํ ออก ซึ่งความเขาใจผดิ ตา งๆ รวมถึงความเคยชินเดิมๆ ทม่ี ีมาอยแู ลว กอนเปน ขนั้ แรก ดังนั้น หากมรรควิธีท่ีถูกตอง ในแบบที่ตรงอรรถตรงพยัญชนะ ถูกนํามาเผยแพรออกไป ไดมากและเร็วเทาไหร;

ขั้นตอน หรอื กระบวนการศึกษา ตลอดจนผลทไี่ ดร บั กจ็ ะเปนไปในลักษณะลัดสั้น ตรงทางสมู รรคผลตามไปดวย เพราะสําหรับผูที่เริ่มศึกษาจริงๆ ก็จะไดเรียนรูขอมูลที่ถูกตองไปเลยแตทีแรก และสําหรับผูที่เขาใจผิดไปกอนแลวก็จะไดอาศัยเปนแผนที่ เพื่อหาทางกลับสูมรรคที่ถูกได คณะผูจัดพิมพหนังสือเลมน้ี ขอนอบนอมสักการะ ตอ ตถาคต ผูอรหันตสัมมาสัมพุทธะ และ ภิกษุสาวกในธรรมวินัยนี้ ต้ังแตค ร้ังพทุ ธกาล จนถึงยคุ ปจจบุ นั ท่มี สี วนเกย่ี วขอ งในการสืบทอดพทุ ธวจน คือ ธรรม และวนิ ยั ทที่ รงประกาศไว บริสทุ ธิบ์ รบิ รู ณด แี ลว คณะศษิ ยพระตถาคต มกราคม ๒๕๕๓

สารบัญ หนา ๑อานสิ งสส ูงสุดแหงอานาปานสติ ๒ ประการ ๕อานสิ งสแหงอานาปานสติ ๗ ประการ ๑๑เจริญอานาปานสติ เปนเหตุให สติปฏฐาน ๔ –โพชฌงค ๗ – วชิ ชา และวิมตุ ติ บริบรู ณ ๑๒ ๑๘ อานาปานสติบรบิ รู ณ ยอมทาํ สติปฏ ฐานใหบรบิ รู ณ ๒๒ สติปฏ ฐานบรบิ ูรณ ยอ มทาํ โพชฌงคใ หบ รบิ รู ณ ๒๕ โพชฌงคบ ริบรู ณ ยอมทําวชิ ชาและวมิ ุตติใหบริบูรณเจรญิ อานาปานสติ เปนเหตใุ ห สตปิ ฏฐาน ๔ – โพฌชงค ๗ – ๓๐วชิ ชาและวิมุตติ บรบิ ูรณ (อกี สตู รหนึ่ง) ๓๗ สตปิ ฏฐานบรบิ รู ณ เพราะอานาปานสติบรบิ รู ณ ๔๓ โพชฌงคบรบิ รู ณ เพราะสติปฏ ฐานบริบูรณ ๔๕ วิชชาและวิมตุ ติบรบิ รู ณ เพราะโพชฌงคบ ริบูรณ ๔๗การเจริญอานาปานสติ (ตามนยั แหงมหาสติปฏ ฐานสตู ร) ๔๙เมื่อเจริญอานาปานสติ กช็ ่ือวาเจรญิ กายคตาสติ ๕๐อานาปานสติ เปนเหตใุ หถงึ ซึ่งนพิ พาน ๕๒อานาปานสตสิ มาธิ เปนเหตใุ หละสังโยชนไดอานาปานสตสิ มาธิ สามารถกําจัดเสียไดซ งึ่ อนสุ ยั

อานาปานสติสมาธิ เปนเหตุใหรอบรซู ่งึ ทางไกล (อวชิ ชา) หนาอานาปานสตสิ มาธิ เปนเหตใุ หส้นิ อาสวะ ๕๔แบบการเจริญอานาปานสติทีม่ ีผลมาก (แบบที่หนง่ึ ) ๕๖เจรญิ อานาปานสติ มอี านิสงสเ ปน เอนกประการ ๕๘ ๖๐ จติ หลดุ พน จากอาสวะ ๖๑ ละความดํารอิ นั อาศัยเรอื น ๖๑ ควบคุมความรูสกึ เก่ยี วความไมป ฏิกูล ๖๒ เปน เหตุใหไ ดสมาธใิ นระดับรูปสญั ญาทงั้ ส่ี ๖๓ เปนเหตุใหไ ดส มาธิในระดับอรูปสญั ญาท้ังสี่ ๖๕ เปน เหตุใหไดส ัญญาเวทยติ นโิ รธ ๖๗ รูต อเวทนาทกุ ประการ ๖๗แบบการเจริญอานาปานสติที่มีผลมาก (แบบที่สอง) ๗๑เจริญอานาปานสติมีอานสิ งสเ ปน เอนกประการ (อีกสตู รหนง่ึ ) ๗๓ ไดบรรลมุ รรคผลในปจ จุบัน ๗๔ เพอ่ื ประโยชนม าก ๗๕ เพอ่ื ความเกษมจากโยคะมาก ๗๖ เพือ่ ความสงั เวชมาก ๗๗ เพือ่ อยเู ปนผาสุกมาก ๗๘เจรญิ อานาปานสติ ช่อื วา ไมเหนิ หา งจากฌาน ๘๑อานาปานสติ : เปนสขุ วิหาร ระงับไดซ งึ่ อกุศล ๘๓

อานาปานสติ : สามารถกาํ จดั บาปอกุศลไดท ุกทิศทาง หนาอานาปานสติ : ละไดเ สยี ซ่ึงความฟงุ ซา น ๘๖อานาปานสติ : ละเสยี ไดซง่ึ ความคับแคน ๙๓อานาปานสติ : วิหารธรรมของพระอรยิ เจา ๙๕เจรญิ อานาปานสติ : กายไมโยกโคลง จติ ไมห ว่ันไหว ๙๗เจริญอานาปานสติ เปนเหตใุ ห รลู มหายใจอนั มเี ปนคร้งั สุดทา ย ๑๐๐กอ นเสียชีวติ ๑๐๓ธรรมเปนเครือ่ งถอนอสั ๎มมิ านะในปจ จบุ ันวิธีการบมวมิ ตุ ตใิ หถงึ ทสี่ ุด ๑๐๕ธรรมสญั ญา ในฐานะแหง การรกั ษาโรคดวยอํานาจสมาธิ ๑๐๙ ๑๑๒ธรรมะแวดลอ ม ๑๒๓ธรรมเปน อปุ การะเฉพาะแกอ านาปานสติภาวนา ๑๒๔ (นยั ทห่ี น่ึง) ๑๒๖ (นัยทีส่ อง) ๑๒๘ (นยั ทส่ี าม) ๑๓๐นิวรณเปนเคร่อื งทํากระแสจิตไมใหร วมกาํ ลัง ๑๓๓นวิ รณ – ขาศึกแหงสมาธิ ๑๓๕ขอ ควรระวงั ในการเจรญิ สติปฏฐานสี่ ๑๓๙เหตุปจ จัยท่ีพระศาสนาจะต้งั อยูนานภายหลังพทุ ธปรนิ พิ พาน ๑๔๑อานสิ งสแ หง กายคตาสติ

! ! ! !\"#$%&\"'*() +,-,./!!01!!\"#$&% \"!!\"#$&% \"'(2) *354 6,26-53 *78*!\"9-9: ;*< ,+ -,./#!=!!\"#$%&\"! !\"#$%&\"2;>( ?7*8 !@&:5>%A: *.#A8-B(\"!C =!!\"#$%&\"! \"?-!\"#$&% \"'48/6-;!=0!!\"#$&% \"! D\"\"-#@?;.5< -')(27)>( ?E<5/!1!!\"#$&% \"!

อานาปานสติ ๑ อานสิ งสสงู สุดแหง อานาปานสติ ๒ ประการ ภกิ ษุ ท. ! อานาปานสตอิ นั บุคคลเจริญ กระทาํใหม ากแลว ยอ มมผี ลใหญ มีอานิสงสใ หญ กอ็ านาปานสติอันบุคคลเจริญแลวอยางไร กระทําใหมากแลวอยางไรจงึ มีผลใหญ มอี านิสงสใ หญ ? ภกิ ษุ ท. ! ในกรณีนี้ ภิกษุไปแลวสูปา หรือโคนไม หรือเรือนวางก็ตาม นั่งคูขาเขามาโดยรอบตั้งกายตรง ดํารงสติเฉพาะหนา เธอนั้น มีสติหายใจเขามสี ตหิ ายใจออก : เม่ือหายใจเขายาว ก็รูชัดวาเราหายใจเขายาว,เม่ือหายใจออกยาว ก็รูช ดั วา เราหายใจออกยาว; เม่ือหายใจเขาส้ัน ก็รูชัดวาเราหายใจเขาส้ัน,เมอ่ื หายใจออกสัน้ ก็รูชัดวา เราหายใจออกสนั้ ; เธอยอมทําการฝกหัดศึกษาวา “เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง (สพฺพกายปฏิสํเวที) หายใจเขา”,วา “เราเปนผูร พู รอมเฉพาะซงึ่ กายทัง้ ปวง หายใจออก”;

๒ พทุ ธวจน เธอยอมทําการฝกหัดศึกษาวา “เราเปนผูทาํกายสังขารใหร าํ งบั อยู (ปสฺสมฺภยํ กายสงขฺ ารํ) หายใจเขา ”,วา “เราเปนผูทาํ กายสงั ขารใหรํางบั อยู หายใจออก”; เธอยอมทาํ การฝกหัดศึกษาวา “เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งปติ (ปติปฏิสํเวที) หายใจเขา”, วา “เราเปนผูรูพรอ มเฉพาะซงึ่ ปต ิ หายใจออก”; เธอยอมทาํ การฝกหัดศึกษาวา “เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซ่ึงสุข (สุขปฏิสํเวที) หายใจเขา”, วา “เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซง่ึ สขุ หายใจออก”; เธอยอ มทําการฝกหดั ศึกษาวา “เราเปน ผรู ูพรอ มเฉพาะซึง่ จิตตสงั ขาร (จิตฺตสงขฺ ารปฏิสํเวที) หายใจเขา”,วา “เราเปนผรู พู รอ มเฉพาะซึง่ จิตตสังขาร หายใจออก”; เธอยอมทาํ การฝกหัดศึกษาวา “เราเปนผูทําจิตตสงั ขารใหร าํ งบั อยู (ปสสฺ มฺภยํ จติ ฺตสงขฺ ารํ) หายใจเขา ”,วา “เราเปน ผทู ําจิตตสงั ขารใหรํางับอยู หายใจออก”; เธอยอมทาํ การฝกหัดศึกษาวา “เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งจิต (จิตฺตปฏิสํเวที) หายใจเขา”, วา “เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซงึ่ จิต หายใจออก”;

อานาปานสติ ๓ เธอยอ มทาํ การฝกหัดศกึ ษาวา “เราเปน ผทู าํ จิตใหปราโมทยย่ิงอยู (อภิปฺปโมทยํ จิตฺตํ) หายใจเขา”, วา“เราเปนผูทําจิตใหปราโมทยย่ิงอยู หายใจออก”; เธอยอมทาํ การฝกหดั ศึกษาวา “เราเปนผูทาํ จิตใหตง้ั มนั่ อยู (สมาทหํ จิตฺตํ) หายใจเขา ”, วา “เราเปน ผทู ําจติใหต ั้งมั่นอยู หายใจออก”; เธอยอมทาํ การฝกหัดศึกษาวา “เราเปนผูทําจิตใหปลอยอยู (วิโมจยํ จิตฺตํ) หายใจเขา”, วา “เราเปนผูทาํ จิตใหป ลอยอยู หายใจออก”; เธอยอมทําการฝก หดั ศกึ ษาวา “เราเปน ผเู หน็ ซง่ึความไมเที่ยงอยูเปนประจาํ (อนิจฺจานุปสฺสี) หายใจเขา”,วา “เราเปน ผูเหน็ ซึ่งความไมเ ทยี่ งอยเู ปน ประจาํ หายใจออก”; เธอยอ มทาํ การฝก หัดศึกษาวา “เราเปนผูเหน็ ซึง่ ความจางคลายอยูเปนประจํา (วิราคานุปสฺสี) หายใจเขา”, วา“เราเปน ผเู หน็ ซง่ึ ความจางคลายอยเู ปน ประจาํ หายใจออก”; เธอยอมทําการฝกหัดศึกษาวา “เราเปนผูเห็นซ่ึงความดับไมเ หลืออยูเปน ประจาํ (นิโรธานุปสฺสี) หายใจเขา ”, วา“เราเปนผูเ ห็นซง่ึ ความดบั ไมเหลอื อยูเ ปน ประจาํ หายใจออก”;

๔ พุทธวจน เธอยอมทําการฝกหัดศึกษาวา “เราเปนผูเห็นซึ่งความสลดั คนื อยเู ปนประจาํ (ปฏนิ สิ สฺ คคฺ านปุ สฺส)ี หายใจเขา”,วา “เราเปน ผูเห็นซง่ึ ความสลัดคนื อยเู ปนประจาํ หายใจออก”; ภกิ ษุ ท. ! อานาปานสติ อนั บุคคลเจรญิ แลวกระทาํ ใหมากแลว อยา งนแ้ี ล ยอมมผี ลใหญ มอี านสิ งสใ หญ. ภิกษุ ท. ! เมอ่ื อานาปานสติ อนั บคุ คลเจริญทําใหม ากแลว อยูอยางน้ี ผลอานิสงสอยา งใดอยา งหนึ่งในบรรดาผล ๒ ประการ เปนสิ่งท่ีหวังได; คืออรหตั ตผลในปจจุบัน หรือวาถายังมีอุปาทิเหลืออยูก็จักเปน อนาคาม.ี ปฐมพลสตู ร มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๓๙๖ - ๓๙๗/๑๓๑๑ - ๑๓๑๓.

อานาปานสติ ๕ อานสิ งสแ หง อานาปานสติ ๗ ประการ ภิกษุ ท. ! อานาปานสตอิ ันบุคคลเจรญิ กระทําใหม ากแลว ยอ มมีผลใหญ มอี านิสงสใ หญ กอ็ านาปานสติอันบคุ คลเจริญแลว อยา งไร กระทาํ ใหม ากแลว อยางไรจงึ มผี ลใหญ มีอานิสงสใหญ ? ภกิ ษุ ท. ! ในกรณีนี้ ภกิ ษไุ ปแลว สปู า หรือโคนไมหรือเรือนวางกต็ าม น่ังคขู าเขา มาโดยรอบ ตง้ั กายตรง ดํารงสตเิ ฉพาะหนา เธอนนั้ มีสตหิ ายใจเขา มสี ติหายใจออก : เมื่อหายใจเขายาว ก็รูชัดวาเราหายใจเขายาว,เม่ือหายใจออกยาว กร็ ูชัดวา เราหายใจออกยาว; เมื่อหายใจเขาสั้น ก็รูชัดวาเราหายใจเขาสั้น,เม่อื หายใจออกสน้ั กร็ ชู ดั วา เราหายใจออกสั้น; เธอยอมทาํ การฝก หัดศึกษาวา “เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งกายท้ังปวง หายใจเขา”, วา “เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซ่ึงกายท้ังปวง หายใจออก”;

๖ พทุ ธวจน เธอยอมทําการฝกหัดศึกษาวา “เราเปนผูทํากายสังขารใหรํางับอยู หายใจเขา”, วา “เราเปนผูทํากายสังขารใหราํ งับอยู หายใจออก”; เธอยอมทาํ การฝกหัดศึกษาวา “เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซ่ึงปติ หายใจเขา”, วา “เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซ่ึงปติ หายใจออก”; เธอยอมทาํ การฝกหดั ศึกษาวา “เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งสุข หายใจเขา”, วา “เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซ่ึงสุข หายใจออก”; เธอยอมทําการฝกหดั ศึกษาวา “เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซ่ึงจิตตสังขาร หายใจเขา”, วา “เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซ่ึงจิตตสังขาร หายใจออก”; เธอยอ มทาํ การฝกหดั ศึกษาวา “เราเปน ผทู าํ จติ ต-สังขารใหรํางับอยู หายใจเขา”, วา “เราเปนผูทาํ จิตต-สังขารใหรํางับอยู หายใจออก”; เธอยอมทาํ การฝก หดั ศึกษาวา “เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งจิต หายใจเขา”, วา “เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งจิต หายใจออก”;

อานาปานสติ ๗ เธอยอมทาํ การฝกหัดศึกษาวา “เราเปนผูทาํ จิตใหปราโมทยย่ิงอยู หายใจเขา”, วา “เราเปนผูทําจิตใหปราโมทยย่ิงอยู หายใจออก”; เธอยอมทําการฝกหดั ศึกษาวา “เราเปนผูทําจิตใหตั้งมั่นอยู หายใจเขา”, วา “เราเปนผูทําจิตใหตั้งม่ันอยูหายใจออก”; เธอยอมทําการฝก หัดศึกษาวา “เราเปนผูทาํ จิตใหปลอยอยู หายใจเขา”, วา “เราเปนผูทําจิตใหปลอยอยูหายใจออก”; เธอยอมทาํ การฝก หดั ศึกษาวา “เราเปนผูเห็นซ่ึงความไมเท่ียงอยูเปนประจาํ หายใจเขา”, วา “เราเปนผูเห็นซ่ึงความไมเท่ียงอยูเปนประจํา หายใจออก”; เธอยอมทําการฝก หัดศึกษาวา “เราเปนผูเห็นซึ่งความจางคลายอยูเปนประจํา หายใจเขา”, วา “เราเปนผูเห็นซ่ึงความจางคลายอยูเปนประจํา หายใจออก”; เธอยอมทําการฝก หดั ศึกษาวา “เราเปนผูเห็นซ่ึงความดับไมเหลืออยูเปนประจํา หายใจเขา”, วา “เราเปนผูเห็นซึ่งความดับไมเหลืออยูเปนประจาํ หายใจออก”;

๘ พทุ ธวจน เธอยอมทาํ การฝกหัดศึกษาวา “เราเปนผูเห็นซึ่งความสลัดคืนอยูเปนประจาํ หายใจเขา”, วา “เราเปนผูเห็นซึ่งความสลัดคืนอยูเปนประจํา หายใจออก”; ภิกษุ ท. ! อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแลว กระทําใหมากแลว อยางน้แี ล ยอมมีผลใหญ มอี านสิ งสใหญ. ภกิ ษุ ท. ! เมอ่ื อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแลวกระทาํ ใหม ากแลว อยอู ยา งนี้ ผลอานสิ งส ๗ ประการยอ มเปน สิ่งทหี่ วังได. ผลอานสิ งส ๗ ประการ เปน อยางไรเลา ? ผลอานสิ งส ๗ ประการ คอื :- ๑. การบรรลุอรหัตตผลทันทีในปจ จุบนั นี้. ๒. ถา ไมเชน นั้น ยอ มบรรลุอรหัตตผลในกาลแหง มรณะ. ๓. ถาไมเ ชน นัน้ เพราะสนิ้ โอรัมภาคิยสัญโญชน ๕ยอมเปน อันตราปรนิ พิ พายี (ผูจะปรินพิ พานในระหวา งอายุยงัไมถ ึงก่ึง). ๔. ถา ไมเชน นน้ั เพราะสิ้นโอรัมภาคยิ สญั โญชน ๕ยอมเปน อปุ หจั จปรนิ พิ พายี (ผูจะปรินพิ พานเม่ือใกลจะสนิ้ อาย)ุ .

อานาปานสติ ๙ ๕. ถา ไมเ ชน น้ัน เพราะส้ินโอรัมภาคยิ สัญโญชน ๕ยอมเปนอสังขารปรินิพพายี (ผูจะปรินิพพานโดยไมตองใชความเพยี รมากนัก). ๖. ถา ไมเชนนั้น เพราะสิน้ โอรัมภาคยิ สัญโญชน ๕ยอมเปนสสังขารปรินิพพายี (ผูจะปรินิพพานโดยตองใชความเพยี รมาก). ๗. ถาไมเ ชน นนั้ เพราะสิ้นโอรัมภาคิยสัญโญชน ๕ยอ มเปน อทุ ธงั โสโตอกนิฏฐคามี (ผูม ีกระแสในเบือ้ งบนไปสูอกนฏิ ฐภพ). ภิกษุ ท. ! อานาปานสติ อันบคุ คลเจริญแลวกระทําใหม ากแลว อยา งน้ีแล ผลอานสิ งส ๗ ประการเหลา นี้ ยอมหวังได ดงั น.้ี ทุตยิ ผลสตู ร มหาวาร. สํ. ๑๙/๓๙๗/๑๓๑๔ - ๑๓๑๖.

10 พุทธวจน ฉบับ ๖ อานาปานสติ

อานาปานสติ ๑๑ เจรญิ อานาปานสติ เปนเหตุให สตปิ ฏฐาน ๔ – โพชฌงค ๗ – วิชชา และวมิ ุตตบิ รบิ รู ณ ภกิ ษุ ท. ! ธรรมอนั เอกนนั้ มีอยู ซ่ึงเมอ่ื บคุ คลเจรญิ แลว ทําใหม ากแลว ยอ มทําธรรมทง้ั ๔ ใหบ รบิ ูรณ;ครัน้ ธรรมทงั้ ๔ นน้ั อันบคุ คลเจริญแลว ทําใหมากแลวยอมทาํ ธรรมทง้ั ๗ ใหบ รบิ ูรณ; ครนั้ ธรรมท้งั ๗ น้นัอนั บุคคลเจริญแลว ทําใหมากแลว ยอ มทําธรรมทงั้ ๒ใหบ รบิ รู ณไ ด. ภกิ ษุ ท. ! อานาปานสติสมาธิน้ีแล เปนธรรมอันเอก ซึ่งเมื่อบุคคลเจริญแลว ทําใหมากแลว ยอมทําสติปฏฐานทั้ง ๔ ใหบริบูรณ; สติปฏฐาน ๔ อันบุคคลเจริญแลว ทําใหมากแลว ยอมทําโพชฌงคท้ัง ๗ ใหบริบูรณ;โพชฌงคทง้ั ๗ อันบุคคลเจริญแลว ทําใหมากแลว ยอมทําวิชชาและวมิ ุตติใหบ ริบูรณได.

๑๒ พุทธวจน อานาปานสติบรบิ ูรณ ยอมทาํ สติปฏฐานใหบ รบิ ูรณ ภิกษุ ท. ! ก็อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแลวทําใหมากแลวอยางไรเลา จึงทําสติปฏฐานทั้ง ๔ ใหบรบิ รู ณได ? ภกิ ษุ ท. ! สมยั ใด ภิกษุ เมื่อหายใจเขายาว ก็รูชัดวาเราหายใจเขายาว,เมื่อหายใจออกยาว ก็รูชัดวาเราหายใจออกยาว; เมื่อหายใจเขาส้ัน ก็รูชัดวาเราหายใจเขาสั้น,เมื่อหายใจออกสั้น ก็รชู ัดวา เราหายใจออกสน้ั ; ยอมทําการฝก หัดศึกษาวา “เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซ่ึงกายทั้งปวง หายใจเขา”, วา “เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซ่ึงกายท้ังปวง หายใจออก”; ยอมทําการฝกหัดศึกษาวา “เราเปนผูทํากายสังขารใหราํ งับอยู หายใจเขา”, วา “เราเปนผูทาํกายสังขารใหรํางับอยู หายใจออก”;

อานาปานสติ ๑๓ ภิกษุ ท. ! สมัยน้ัน ภิกษุน้ันช่ือวา เปนผูตามเห็นกายในกายอยูเปนประจาํ เปนผูมีความเพียรเผากิเลสมีสัมปชัญญะ มีสติ นาํ อภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได. ภิกษุ ท. ! เรายอมกลาวลมหายใจเขาและลมหายใจออก วา เปนกายอยางหน่งึ ๆ ในบรรดากายท้งั หลาย. ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในกรณีนี้ ภิกษุนั้นยอ มช่ือวา เปน ผูต ามเหน็ กายในกายอยเู ปน ประจํา มีความเพียรเผากเิ ลส มสี ัมปชัญญะ มีสติ นําอภิชฌาและโทมนสัในโลกออกเสยี ได. ภกิ ษุ ท. ! สมัยใด ภกิ ษุ ยอมทําการฝก หดั ศึกษาวา “เราเปน ผรู พู รอ มเฉพาะซึ่งปติ หายใจเขา”, วา “เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซ่ึงปติหายใจออก”; ยอ มทําการฝก หดั ศึกษาวา “เราเปนผูร ูพรอมเฉพาะซ่ึงสุข หายใจเขา”, วา “เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซ่ึงสุขหายใจออก”;

๑๔ พุทธวจน ยอมทาํ การฝกหัดศกึ ษาวา “เราเปน ผูรูพรอมเฉพาะซ่ึงจิตตสังขาร หายใจเขา”, วา “เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซ่งึ จติ ตสังขาร หายใจออก”; ยอมทาํ การฝกหดั ศึกษาวา “เราเปน ผูท ําจิตตสังขารใหรํางับอยู หายใจเขา”, วา “เราเปนผูทําจิตตสังขารใหรํางบั อยู” หายใจออก”; ภกิ ษุ ท. ! สมัยนนั้ ภกิ ษนุ น้ั ช่อื วา เปนผตู ามเหน็ เวทนาในเวทนาทัง้ หลายอยเู ปนประจาํ เปนผูมคี วามเพยี รเผากเิ ลส มีสมั ปชญั ญะ มสี ติ นาํ อภชิ ฌาและโทมนสัในโลกออกเสยี ได. ภิกษุ ท. ! เรายอมกลาววา การทําในใจเปนอยางดีถึงลมหายใจเขา และลมหายใจออก วาเปนเวทนาอยางหนง่ึ ๆ ในบรรดาเวทนาทั้งหลาย. ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนน้ั ในกรณีนี้ ภกิ ษุนน้ั ยอ มชอ่ื วา เปน ผตู ามเหน็ เวทนาในเวทนาทงั้ หลายอยูเปนประจาํ มคี วามเพียรเผากิเลส มีสมั ปชญั ญะ มีสติ นาํ อภชิ ฌาและโทมนัสในโลกออกเสยี ได. ภิกษุ ท. ! สมยั ใด ภกิ ษุ

อานาปานสติ ๑๕ ยอมทําการฝก หัดศึกษาวา “เราเปนผูรพู รอ มเฉพาะซ่ึงจิต หายใจเขา”, วา “เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซ่ึงจิตหายใจออก”; ยอมทําการฝก หัดศึกษาวา “เราเปนผูทาํ จิตใหปราโมทยย งิ่ อยู หายใจเขา ”, วา “เราเปน ผทู าํ จิตใหปราโมทยยง่ิ อยู หายใจออก”; ยอมทาํ การฝกหัดศึกษาวา “เราเปนผูทําจิตใหตั้งม่ันอยู หายใจเขา”, วา “เราเปนผูทําจิตใหตั้งม่ันอยูหายใจออก”; ยอมทําการฝก หัดศึกษาวา “เราเปนผูทําจิตใหปลอยอยู หายใจเขา”, วา “เราเปนผูทาํ จิตใหปลอยอยูหายใจออก”; ภิกษุ ท. ! สมัยน้ัน ภิกษุน้ันช่ือวา เปนผูตามเห็นจิตในจิต อยูเปนประจํา เปนผูมีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นําอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได. ภิกษุ ท. ! เราไมกลาววาอานาปานสติ เปนส่ิงท่ีมีไดแ กบคุ คลผมู สี ตอิ นั ลืมหลงแลว ผไู มมสี มั ปชญั ญะ.

๑๖ พทุ ธวจน ภกิ ษุ ท. ! เพราะเหตุน้ันในกรณีน้ี ภิกษุน้ันยอมช่ือวา เปนผูตามเห็นจิตในจิตอยูเปนประจํา มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นําอภิชฌาและโทมนสั ในโลกออกเสียได. ภิกษุ ท. ! สมยั ใด ภกิ ษุ ยอมทําการฝกหัดศึกษาวา “เราเปนผูเห็นซึ่งความไมเที่ยงอยูเ ปน ประจํา หายใจเขา ”, วา “เราเปนผเู หน็ซง่ึ ความไมเท่ียงอยูเปนประจํา หายใจออก”; ยอมทําการฝกหัดศึกษาวา “เราเปน ผเู หน็ ซ่ึงความจางคลายอยูเปนประจํา หายใจเขา”, วา “เราเปนผูเห็นซ่งึ ความจางคลายอยูเ ปน ประจํา หายใจออก”; ยอ มทําการฝกหัดศึกษาวา “เราเปนผเู หน็ ซึ่งความดับไมเหลืออยูเปนประจํา หายใจเขา”, วา “เราเปนผูเห็นซึง่ ความดบั ไมเหลอื อยเู ปนประจาํ หายใจออก”; ยอมทําการฝกหัดศึกษาวา “เราเปนผูเห็นซึ่งความสลัดคืนอยูเปนประจํา หายใจเขา”, วา “เราเปนผูเห็นซงึ่ ความสลดั คนื อยเู ปนประจํา หายใจออก”;

อานาปานสติ ๑๗ ภิกษุ ท. ! สมัยน้ัน ภิกษุนั้นช่ือวา เปนผูตามเห็นธรรมในธรรมท้ังหลายอยูเปนประจํา มีความเพียรเผากิเลส มสี ัมปชญั ญะ มสี ติ นาํ อภชิ ฌาและโทมนสัในโลกออกเสยี ได. ภิกษุ ท. ! ภกิ ษนุ นั้ เปน ผเู ขาไปเพงเฉพาะเปนอยางดีแลว เพราะเธอเห็นการละอภิชฌาและโทมนัสทัง้ หลายของเธอนน้ั ดวยปญ ญา. ภิกษุ ท. ! เพราะเหตนุ น้ั ในกรณนี ้ี ภิกษนุ ้ันยอมช่ือวาเปนผูตามเห็นธรรมในธรรมท้ังหลายอยูเปนประจํามีความเพยี รเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นําอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได. ภิกษุ ท. ! อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแลวทําใหมากแลวอยางน้ีแล ยอมทําสติปฏฐานทั้ง ๔ใหบรบิ รู ณได.

๑๘ พทุ ธวจน สตปิ ฏฐานบรบิ ูรณ ยอมทาํ โพชฌงคใหบ รบิ รู ณ ภิกษุ ท. ! กส็ ติปฏฐานท้ัง ๔ อนั บุคคลเจรญิ แลวทําใหม ากแลว อยางไรเลา จงึ ทําโพชฌงคท ั้ง ๗ ใหบรบิ รู ณได ? ภกิ ษุ ท. ! สมัยใด ภกิ ษุเปน ผตู ามเหน็ กายในกายอยเู ปนประจํากด็ ี, เปน ผตู ามเห็นเวทนาในเวทนาทง้ั หลายอยูเปนประจํากด็ ;ี เปน ผตู ามเหน็ จติ ในจิต อยูเปน ประจํากด็ ;ีเปนผูตามเห็นธรรมในธรรมท้ังหลาย อยูเปนประจาํ ก็ดี;มคี วามเพยี รเผากิเลส มสี มั ปชัญญะ มสี ติ นาํ อภชิ ฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได; สมัยน้ัน สติที่ภิกษุเขาไปตงั้ ไวแลว ก็เปน ธรรมชาตไิ มล ืมหลง. ภิกษุ ท. ! สมยั ใด สตขิ องภกิ ษุผเู ขา ไปตงั้ ไวแ ลวเปนธรรมชาติไมลืมหลง, สมัยน้ัน สติสัมโพชฌงคก็เปนอันวาภิกษุน้ันปรารภแลว; สมัยน้ันภิกษุช่ือวายอมเจริญสติสัมโพชฌงค; สมัยนั้นสติสัมโพชฌงคของ

อานาปานสติ ๑๙ภิกษุน้ัน ชื่อวาถึงความเต็มรอบแหงการเจริญ; ภิกษุน้ันเมือ่ เปน ผมู ีสตเิ ชน นนั้ อยู ชือ่ วายอมทําการเลอื ก ยอ มทาํการเฟน ยอมทําการใครค รวญซ่งึ ธรรมนนั้ ดว ยปญญา. ภิกษุ ท. ! สมัยใด ภิกษุเปนผูมีสติเชนน้ันอยูทําการเลอื กเฟน ทําการใครครวญซ่งึ ธรรมน้ันอยดู วยปญ ญา,สมยั นนั้ ธัมมวจิ ยสมั โพชฌงค ก็เปน อันวา ภกิ ษนุ ั้นปรารภแลว ;สมัยนั้น ภิกษุน้ันชื่อวา ยอมเจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค;สมัยนน้ั ธมั มวิจยสัมโพชฌงคข องภกิ ษุนนั้ ช่ือวาถงึ ความเตม็ รอบแหงการเจริญ. ภกิ ษุนน้ั เมือ่ เลอื กเฟน ใครค รวญซ่ึงธรรมน้ัน ดวยปญญาอยู ความเพียรอันไมยอหยอนก็ชอ่ื วา เปน ธรรมอันภกิ ษุนน้ั ปรารภแลว . ภกิ ษุ ท. ! สมยั ใด ความเพียรอนั ไมย อหยอน อันภิกษุผูเลอื กเฟน ใครค รวญธรรมดว ยปญ ญาไดปรารภแลว;สมยั นน้ั วริ ยิ สมั โพชฌงค ก็เปนอนั วา ภิกษุนั้นปรารภแลว;สมัยน้นั ภกิ ษนุ ัน้ ช่ือวายอมเจรญิ วิริยสัมโพชฌงค; สมัยนน้ัวริ ิยสัมโพชฌงคของภิกษุน้ัน ชื่อวาถึงความเต็มรอบแหงการเจริญ. ภิกษุนั้น เม่ือมีความเพียรอันปรารภแลวเชนนนั้ ปตอิ ันเปน นิรามสิ (ไมองิ อามสิ ) กเ็ กดิ ขึน้ .

๒๐ พุทธวจน ภิกษุ ท. ! สมัยใด ปต อิ ันเปนนิรามสิ เกดิ ขึน้ แกภกิ ษผุ ูม ีความเพียรอนั ปรารภแลว ; สมยั นนั้ ปติสมั โพชฌงคกเ็ ปนอนั วาภกิ ษุน้ันปรารภแลว; สมยั นน้ั ภกิ ษนุ ้นั ช่อื วายอมเจริญปติสัมโพชฌงค; สมัยน้ันปติสัมโพชฌงคของภิกษุนน้ั ชือ่ วา ถึงความเตม็ รอบแหง การเจรญิ . ภกิ ษนุ น้ัเมอ่ื มใี จประกอบดว ยปติ แมก ายก็ราํ งับ แมจิตกร็ าํ งบั . ภิกษุ ท. ! สมัยใด ท้ังกายและท้ังจิตของภิกษุผูมีใจประกอบดวยปติ ยอมราํ งับ; สมัยน้ันปสสัทธิสัมโพชฌงค ก็เปนอันวาภิกษุน้ันปรารภแลว;สมัยน้ัน ภิกษุน้ันชื่อวายอมเจริญปสสัทธิสัมโพชฌงค;สมัยนั้น ปสสัทธิสัมโพชฌงคของภิกษุนั้น ชื่อวาถึงความเตม็ รอบแหงการเจรญิ . ภิกษนุ นั้ เมื่อมกี ายอนั รํางับแลวมีความสุขอยู จิตยอมต้ังมั่นเปนสมาธิ. ภิกษุ ท. ! สมัยใด จิตของภิกษุผูมีกายอันรํางับแลวมีความสุขอยู ยอมเปนจิตต้ังมั่น; สมัยนั้นสมาธิสมั โพชฌงค ก็เปนอันวา ภกิ ษนุ ั้นปรารภแลว ; สมยั น้ันภิกษุน้ันช่ือวายอมเจริญสมาธิสัมโพชฌงค; สมัยน้ันสมาธิสัมโพชฌงคของภิกษุนั้น ช่ือวาถึงความเต็มรอบ

อานาปานสติ ๒๑แหงการเจริญ. ภิกษุน้ัน ยอมเปนผูเขาไปเพงเฉพาะซ่ึงจิตอันต้ังม่ันแลวอยางน้ันเปนอยางดี. ภกิ ษุ ท. ! สมยั ใด ภกิ ษเุ ปน ผเู ขา ไปเพงเฉพาะซ่ึงจิตอันต้ังมั่นแลวอยางน้ัน เปนอยางดี; สมัยนั้นอุเบกขาสัมโพชฌงค ก็เปนอันวาภิกษุนั้นปรารภแลว;สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อวา ยอมเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค;สมยั น้ัน อุเบกขาสมั โพชฌงคของภิกษุนน้ั ช่อื วาถึงความเตม็ รอบแหง การเจริญ. ภิกษุ ท. ! สตปิ ฏฐานท้งั ๔ อันบุคคลเจริญแลวทําใหมากแลวอยางนี้แล ยอมทาํ โพชฌงคท้ัง ๗ ใหบริบูรณได.

๒๒ พุทธวจน โพชฌงคบรบิ ูรณ ยอมทําวชิ ชาและวมิ ุตตใิ หบรบิ ูรณ ภิกษุ ท. ! โพชฌงคทั้ง ๗ อนั บคุ คลเจรญิ แลวทําใหมากแลวอยางไรเลา จึงจะทาํ วิชชาและวิมุตติใหบรบิ ูรณได ? ภิกษุ ท.! ภิกษุในกรณีน้ี ยอมเจริญ สติ-สมั โพชฌงค อันอาศยั วเิ วก อันอาศัยวริ าคะ อันอาศยั นิโรธอันนอมไปเพ่ือโวสสัคคะ; ยอมเจริญ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค อันอาศัยวิเวกอันอาศัยวิราคะ (ความจางคลาย) อันอาศัยนิโรธ (ความดับ)อนั นอ มไปเพ่ือโวสสัคคะ (ความสละ, ความปลอ ย); ยอมเจริญ วิริยสัมโพชฌงค อันอาศัยวิเวกอันอาศัยวิราคะ อันอาศัยนิโรธ อันนอมไปเพ่ือโวสสัคคะ; ยอมเจริญ ปติสัมโพชฌงค อันอาศัยวิเวกอนั อาศยั วิราคะ อนั อาศัยนโิ รธ อันนอมไปเพ่ือโวสสัคคะ;

อานาปานสติ ๒๓ ยอมเจริญ ปสสัทธิสัมโพชฌงค อันอาศัยวิเวกอนั อาศัยวิราคะ อนั อาศยั นิโรธ อันนอ มไปเพอื่ โวสสัคคะ; ยอมเจริญ สมาธิสัมโพชฌงค อันอาศัยวิเวกอันอาศัยวิราคะ อันอาศยั นโิ รธ อนั นอ มไปเพือ่ โวสสคั คะ; ยอมเจริญ อุเบกขาสัมโพชฌงค อันอาศัยวิเวกอันอาศยั วริ าคะ อันอาศยั นโิ รธ อนั นอ มไปเพอื่ โวสสคั คะ; ภิกษุ ท. ! โพชฌงคท้ัง ๗ อันบุคคลเจริญแลวทําใหมากแลวอยางนี้แล ยอมทําวิชชาและวิมุตติใหบริบูรณได, ดังน้ี. ปฐมภกิ ขุสตู ร มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๔๒๔/๑๔๐๒ - ๑๔๐๓. (หมายเหตผุ รู วบรวม พระสตู รทที่ รงตรัสเหมือนกนั กับพระสตู รขางบนนี้ ยังมอี ีกคอื ปฐมอานนั ทสตู ร มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๑๗-๔๒๓/๑๓๘๑ -๑๓๙๘. ทุติยอานนั ทสูตร มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๔๒๓-๔๒๔/๑๓๙๙ - ๑๔๐๑.ทุติยภกิ ขุสตู ร มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๔๒๕/๑๔๐๔ - ๑๔๐๕.)

24 พุทธวจน ฉบับ ๖ อานาปานสติ

อานาปานสติ ๒๕ เจริญอานาปานสติ เปน เหตุให สตปิ ฏฐาน ๔ – โพชฌงค ๗ – วชิ ชา และวิมตุ ตบิ ริบูรณ (อกี สูตรหนึ่ง) ภกิ ษุ ท. ! เราเปนผูม่ันแลวในขอปฏิบัติน้ี.ภิกษุ ท. ! เราเปนผูม ีจิตมั่นแลว ในขอ ปฏิบัติน.้ี ภิกษุ ท. !เพราะฉะนั้นในเร่ืองนี้ พวกเธอท้ังหลาย จงปรารภความเพียรใหย่ิงกวาประมาณ เพ่ือถึงส่ิงท่ียังไมถึง เพื่อบรรลุสิ่งท่ียังไมบรรลุ เพื่อทําใหแจงสิ่งท่ียังไมทําใหแจง.เราจักรอคอยพวกเธอทั้งหลายอยู ณ ที่นครสาวัตถีน้ีแลจนกวาจะถึงวันทายแหงฤดูฝนครบสี่เดือน เปนฤดูที่บานแหงดอกโกมุท (เพญ็ เดอื นสบิ สอง). พวกภกิ ษเุ ปนพวกชาวชนบทไดท ราบขา วน้ี ก็พากันหลัง่ ไหลไปสนู ครสาวตั ถี เพอื่ เฝา เยยี่ มพระผมู พี ระภาคเจา .ฝา ยพระเถระผมู ีช่ือเสียงคนรจู ักมาก ซ่งึ มีทานพระสารบี ตุ ร

๒๖ พุทธวจนพระมหาโมคคลั ลานะ พระมหากัสสปะ พระมหากจั จายนะพระมหาโกฏฐิตะ พระมหากัปปนะ พระมหาจุนทะพระเรวตะ พระอานนท และพระเถระรูปอื่นอีกหลายทา นแบง กนั เปนพวก ๆ พากันสงั่ สอน พราํ่ ช้ีแจง พวกภิกษใุ หม ๆอยา งเต็มท:่ี พวกละสิบรูปบาง ยี่สบิ รูปบา ง สามสบิ รูปบา งสีส่ ิบรูปบาง. สวนภิกษุใหม ๆ เหลา น้นั เมอื่ ไดรบั คาํ สง่ั สอนไดรับคาํ พรํา่ ชี้แจง ของพระเถระผูมีชื่อเสียงท้ังหลายอยูก็ยอมรคู ณุ วเิ ศษอันกวางขวางอยา งอน่ื ๆ ยิ่งกวาแตกอน.จนกระท่ังถึงวนั เพญ็ เดอื นสบิ สอง. ครัง้ น้นั พระผูม พี ระภาคเจา จงึ ไดตรสั กบั ภกิ ษุทง้ั หลายสืบไปวา : ภกิ ษุ ท. ! ภิกษุบริษัทนี้ ไมเหลวไหลเลย.ภกิ ษุ ท. ! ภิกษุบริษัทน้ีไมเ หลวแหลกเลย. ภิกษุบรษิ ทั น้ีต้ังอยูแลว ในธรรมท่ีเปนสาระลว น. ภกิ ษุ ท. ! บริษัทเชนใด มีรูปลักษณะท่ีนาบูชานาตอนรับ นารับทักษินาทาน นาไหว เปนเนื้อนาบุญช้ันดีเย่ียมของโลก; หมูภิกษุน้ี ก็มีรูปลักษณะเชนน้ัน,ภกิ ษุบรษิ ทั นี้ ก็มีรปู ลักษณะเชนนั้น.

อานาปานสติ ๒๗ ภิกษุ ท.! บริษัทเชนใด มีรูปลักษณะท่ีทานอนั บคุ คลใหน อ ย แตก ลบั มผี ลมาก ทานที่ใหมาก ก็มผี ลมากทวยี งิ่ ขึ้น; หมภู กิ ษนุ ้ี กม็ ีรูปลักษณะเชน นน้ั , ภกิ ษุบรษิ ัทนี้ กม็ ีรูปลักษณะเชนน้นั . ภิกษุ ท.! บริษัทเชนใด มีรูปลักษณะยากที่ชาวโลกจะไดเห็น; หมูภิกษุนี้ ก็มีรูปลักษณะเชนนั้น,ภิกษุบรษิ ัทน้ี ก็มีรูปลักษณะเชนนน้ั . ภิกษุ ท. ! บริษัทเชนใด มีรูปลักษณะท่ีควรจะไปดูไปเห็น แมจะตองเดินส้ินหนทางนับดวยโยชน ๆถึงกับตองเอาหอสะเบียงไปดวยก็ตาม; หมูภิกษุน้ี ก็มีรูปลักษณะเชนนั้น ภิกษุบริษัทน้ี ก็มีรูปลักษณะเชนน้ัน. ภิกษุ ท.! ในหมูภิกษุนี้ มีพวกภิกษุซึ่งเปนพระอรหันต ผูส้ินอาสวะแลว ผูอยูจบพรหมจรรยแลวมีกิจที่ควรทําไดทําสําเร็จแลว มีภาระปลงลงไดแลว มีประโยชนของตนเองบรรลุแลวโดยลําดับ มีสัญโญชนในภพสิ้นแลว หลุดพนแลว เพราะรูทั่วถึงโดยชอบ,พวกภิกษแุ มเ ห็นปานน้ี ก็มอี ยใู นหมภู ิกษุนี.้

๒๘ พุทธวจน ภกิ ษุ ท. ! ในหมูภิกษุนี้ มีพวกภิกษุซึ่งสิ้นสัญโญชนเบ้ืองตํ่าหา เปนโอปปาติกะแลว จักปรินิพพานในที่นั้น ไมเวียนกลับมาจากโลกนั้น เปนธรรมดา,พวกภิกษุแมเห็นปานน้ี ก็มีอยูในหมูภิกษุน้ี. ภิกษุ ท. ! ในหมูภิกษุนี้ มีพวกภิกษุซึ่งส้ินสัญโญชนสาม และมีความเบาบางไปของราคะ โทสะ โมหะเปน สกทาคามี มาสูเทวโลกอกี ครั้งเดยี วเทา นนั้ แลวจกั กระทาํทสี่ ดุ แหง ทกุ ขไ ด, พวกภกิ ษแุ มเ หน็ ปานนี้ ก็มีอยใู นหมภู กิ ษุน.้ี ภกิ ษุ ท. ! ในหมูภิกษุนี้ มีพวกภิกษุซึ่งสิ้นสัญโญชนสาม เปน โสดาบัน มีอันไมตกต่ําเปนธรรมดาผูเท่ียงแท ผูแนท่ีจะตรัสรูขางหนา, พวกภิกษุแมเห็นปานน้ี ก็มีอยูในหมูภ กิ ษนุ ้.ี ภกิ ษุ ท. ! ในหมภู กิ ษุน้ี มพี วกภกิ ษซุ ่งึ ประกอบความเพยี รเปน เครื่องตองทําเนอื ง ๆ ในการอบรมสตปิ ฏ ฐานส,่ีสัมมัปปธานส่ี, อิทธิบาทส่ี, อินทรียห า,พละหา ,โพชฌงคเจ็ด,อรยิ มรรคมอี งคแ ปด, เมตตา, กรณุ า, มทุ ติ า, อุเบกขา,อสภุ , อนจิ จสัญญา, และอานาปานสต,ิ พวกภิกษแุ มเ หน็ปานน้กี ็มอี ยูในหมูภกิ ษนุ .้ี

อานาปานสติ ๒๙ ภกิ ษุ ท. ! อานาปานสติสมาธินี้แล ซึ่งเม่ือบคุ คลเจริญแลว ทาํ ใหม ากแลว ยอ มทําสติปฏฐานทง้ั ๔ใหบริบูรณ; สติปฏฐานทั้ง ๔ อันบุคคลเจริญแลวทําใหมากแลว ยอมทาํ โพชฌงคทั้ง ๗ ใหบริบูรณ;โพชฌงคท้ัง ๗ อันบุคคลเจริญแลวทาํ ใหมากแลวยอมทาํ วิชชาและวิมุตติใหบริบูรณได.

๓๐ พุทธวจน สติปฏฐานบริบูรณ เพราะอานาปานสตบิ รบิ รู ณ ภกิ ษุ ท. ! อานาปานสติอันบุคคลเจริญแลวอยางไร ทําใหมากแลวอยางไร จึงทําสติปฏฐานทั้งส่ีใหบริบรู ณได ?[หมวดกายานปุ สสนา] ภิกษุ ท. ! สมัยใด ภกิ ษุ เม่ือหายใจเขายาว ก็รูชัดวาเราหายใจเขายาว,เมือ่ หายใจออกยาว ก็รูชดั วา เราหายใจออกยาว; เม่ือหายใจเขาส้ัน ก็รูชัดวาเราหายใจเขาสั้น,เม่อื หายใจออกสนั้ กร็ ชู ดั วา เราหายใจออกสน้ั ; ยอมทําการฝก หดั ศกึ ษาวา “เราเปน ผูร ูพรอ มเฉพาะซง่ึ กายทง้ั ปวง หายใจเขา”, วา “เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซง่ึ กายทงั้ ปวง หายใจออก”; ยอมทาํ การฝก หัดศกึ ษาวา “เราเปน ผูทาํ กายสงั ขารใหราํ งบั อยู หายใจเขา ”, วา “เราเปนผทู ํากายสังขารใหราํ งบั อยู หายใจออก”;

อานาปานสติ ๓๑ ภกิ ษุ ท. ! สมัยนนั้ ภกิ ษชุ อื่ วา เปนผู ตามเหน็ กายในกาย อยเู ปน ประจํา มีความเพยี รเผากเิ ลส มสี มั ปชัญญะมีสติ นาํ อภชิ ฌาและโทมนสั ในโลกออกเสียได. ภิกษุ ท. ! เรายอมกลาว ลมหายใจเขาและลมหายใจออก วา เปนกายอันหน่ึง ๆ ในกายทั้งหลาย. ภิกษุ ท. !เพราะเหตุนั้นในเร่ืองน้ี ภิกษุนั้นยอมช่ือวาเปนผูตามเห็นกายในกายอยูเปน ประจาํ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะมีสติ นาํ อภชิ ฌาและโทมนัสในโลกออกเสยี ได ในสมัยน้นั .[หมวดเวทนานุปสสนา] ภิกษุ ท. ! สมัยใด ภกิ ษุ ยอมทําการฝกหัดศึกษาวา “เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งปติ หายใจเขา”, วา “เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซ่ึงปติ หายใจออก”; ยอมทําการฝกหัดศกึ ษาวา “เราเปนผรู ูพรอ มเฉพาะซ่ึงสุข หายใจเขา”, วา “เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซ่ึงสุขหายใจออก”;

๓๒ พทุ ธวจน ยอมทาํ การฝกหัดศึกษาวา “เราเปนผูรูพ รอมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร หายใจเขา”, วา “เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซ่ึงจิตตสังขาร หายใจออก”; ยอมทาํ การฝกหัดศึกษาวา “เราเปนผทู ําจติ ตสงั ขารใหราํ งับอยู หายใจเขา”, วา “เราเปนผูทาํ จิตตสังขารใหราํ งบั อยู หายใจออก”; ภกิ ษุ ท. ! สมัยนน้ั ภิกษชุ ือ่ วา เปน ผตู ามเห็นเวทนาในเวทนาทัง้ หลายอยเู ปน ประจาํ มคี วามเพยี รเผากเิ ลส มีสมั ปชญั ญะ มสี ติ นําอภชิ ฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได. ภกิ ษุ ท. ! เรายอ มกลาวการทําในใจเปน อยา งดีตอลมหายใจเขา และลมหายใจออกท้ังหลายวา เปนเวทนาอนั หนง่ึ ๆ ในเวทนาทั้งหลาย. ภกิ ษุ ท. ! เพราะเหตุนนั้ในเรอ่ื งน้ี ภกิ ษนุ น้ั ยอมชอ่ื วาเปนผูตามเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยูเปน ประจาํ มคี วามเพยี รเผากเิ ลส มีสัมปชญั ญะ มสี ติ นาํ อภชิ ฌาและโทมนสั ในโลกออกเสยี ได ในสมยั น้นั .

อานาปานสติ ๓๓[หมวดจิตตานปุ ส สนา] ภิกษุ ท. ! สมัยใด ภิกษุ ยอมทําการฝกหัดศึกษาวา “เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซ่ึงจิต หายใจเขา”,วา “เราเปนผรู ูพรอมเฉพาะซง่ึ จิต หายใจออก”; ยอมทาํ การฝกหัดศึกษาวา “เราเปนผูทาํ จิตใหปราโมทยยิ่งอยู หายใจเขา”, วา “เราเปนผูทาํ จิตใหปราโมทยย่ิงอยู หายใจออก”; ยอมทาํ การฝกหัดศึกษาวา “เราเปนผูทําจิตใหตั้งม่ันอยู หายใจเขา”, วา “เราเปนผูทาํ จิตใหต้ังม่ันอยูหายใจออก”; ยอมทําการฝกหัดศึกษาวา “เราเปนผูทําจิตใหปลอยอยู หายใจเขา”, วา “เราเปนผูทําจิตใหปลอยอยูหายใจออก”; ภิกษุ ท. ! สมัยนั้น ภิกษุชื่อวาเปนผูตามเห็นจติ ในจติ อยเู ปน ประจาํ มีความเพียรเผากิเลส มสี มั ปชัญญะมสี ติ นาํ อภิชฌาและโทมนสั ในโลกออกเสยี ได. ภิกษุ ท. ! เราไมกลาวอานาปานสติ วาเปนส่ิงท่ีมีไดแกบุคคลผูมีสติอันลืมหลงแลว ไมมีสัมปชัญญะ.

๓๔ พุทธวจน ภกิ ษุ ท. ! เพราะเหตนุ ั้นในเรือ่ งนภี้ ิกษุนั้น ยอมชื่อวา เปนผูตามเห็นจิตในจิตอยูเปนประจํา มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นําอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได ในสมยั น้ัน.[หมวดธัมมานปุ ส สนา] ภิกษุ ท. ! สมยั ใด ภิกษุ ยอ มทาํ การฝก หัดศกึ ษาวา “เราเปน ผูเห็นซงึ่ ความไมเที่ยงอยูเปนประจํา หายใจเขา”, วา “เราเปนผูเห็นซ่ึงความไมเ ทย่ี งอยเู ปน ประจาํ หายใจออก”; ยอ มทาํ การฝก หัดศกึ ษาวา “เราเปน ผเู ห็นซงึ่ ความจางคลายอยเู ปน ประจาํ หายใจเขา”, วา “เราเปนผเู ห็นซง่ึความจางคลายอยูเ ปน ประจาํ หายใจออก”; ยอมทาํ การฝก หัดศกึ ษาวา “เราเปนผูเห็นซงึ่ ความดับไมเหลืออยูเปนประจาํ หายใจเขา”, วา “เราเปนผูเ หน็ซง่ึ ความดับไมเ หลืออยเู ปน ประจาํ หายใจออก ”;

อานาปานสติ ๓๕ ยอ มทําการฝกหัดศกึ ษาวา “เราเปนผูเหน็ ซึ่งความสลัดคืนอยูเปนประจํา หายใจเขา”, วา “เราเปนผูเห็นซึ่งความสลดั คืนอยูเ ปนประจํา หายใจออก”; ภิกษุ ท. ! สมยั นน้ั ภิกษุช่ือวา เปน ผูตามเห็นธรรมในธรรมทง้ั หลาย อยูเปน ประจํา มีความเพยี รเผากิเลส มสี ัมปชญั ญะ มสี ติ นาํ อภชิ ฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได. ภิกษุ ท. ! ภกิ ษนุ ้นั เปนผูเ ขา ไปเพงเฉพาะเปนอยางดีแลว เพราะเธอเห็นการละอภิชฌาและโทมนัสท้ังหลายของเธอนน้ั ดว ยปญญา. ภกิ ษุ ท. ! เพราะเหตนุ น้ัในเรอื่ งน้ี ภกิ ษนุ ้นั ยอมช่ือวา เปนผตู ามเหน็ ธรรมในธรรมท้งั หลายอยูเปน ประจาํ มคี วามเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะมสี ติ นําอภิชฌาและโทมนสั ในโลกออกเสยี ได ในสมยั น้ัน. ภกิ ษุ ท. ! อานาปานสติอนั บคุ คลเจริญแลวอยางน้ี ทําใหม ากแลวอยา งนแ้ี ล ช่ือวา ทาํ สตปิ ฏฐานทง้ั สี่ใหบรบิ ูรณได.

36 พุทธวจน ฉบับ ๖ อานาปานสติ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook