Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ความหมายของวรรณกรรมท้องถิ่น ๑.๒.๓

ความหมายของวรรณกรรมท้องถิ่น ๑.๒.๓

Published by กิติศักดิ์ ส., 2019-04-22 04:34:53

Description: ความหมายของวรรณกรรมท้องถิ่น ๑.๒.๓

Search

Read the Text Version

๑. นิทานพื้นบา฾ นเปน็ เครื่องมอื ชว฽ ยให฾มนุษยเแ ขา฾ ใจสภาพของมนษุ ยแโดยท่วั ไปไดด฾ ยี ่ิงข้ึน ๒. นิทานพื้นบ฾านเปน็ เสมอื นกรอบลอ฾ มชีวิตให฾อย฽ูในขอบเขตท่ีมนษุ ยแในสังคมนั้น ๆ นิยม ว฽าดหี รอื ถกู ตอ฾ ง ๓. นิทานพื้นบ฾านทําให฾มนุษยแร฾ูจักสภาพชีวิตท฾องถ่ินโดยพิจารณาตามหลักที่ว฽าคติ ชาวบา฾ นเปน็ พ้ืนฐานชีวติ ของคนชาติหนึ่ง ๆ หรอื ชมกลุม฽ น้ัน ๆ ๔. นิทานพืน้ บ฾านเป็นมรดกของชาตใิ นฐานะเป็นวฒั นธรรมประจําชาติเป็นเรื่องราวเกี่ยว ชวี ิตมนษุ ยแแ ต฽ละชาตแิ ต฽ละภาษา ๕. นทิ านพ้ืนบา฾ นเปน็ ทัง้ ศลิ ปแ฼ ละศาสตรแ เปน็ ต฾นเคา฾ แหง฽ ศาสตรตแ ฽าง ๆ ๖. นทิ านพ้นื บา฾ นทําใหเ฾ กดิ ความภาคภมู ิใจในทอ฾ งถ่นิ ของตน ๗. นทิ านพน้ื บ฾านเป็นเครื่องบันเทิงใจยามวา฽ งของมนุษยแ ท่มี าของนทิ านพืน้ บ้าน นิทานเกิดข้ึนจากความต฾องการทางใจของมนุษยแ ในสมัยโบราณ เม่ือมนุษยแเร่ิมมีภาษา พูดพอท่ีจะติดต฽อส่ือสารกันได฾ ก็มีการเล฽าเรื่องราวส฽ูกันฟใง เพราะในการดําเนินชีวิตประจําวันน้ัน มนุษยตแ อ฾ งด้นิ รนเพ่อื ให฾มีชวี ติ อยร฽ู อดทา฽ มกลางภยั อันตรายรอบด฾าน ก็ย฽อมจะเกิดความเครียด ความ กังวล และความเหน็ดเหน่ือย ทําให฾ต฾องแสวงหาสิ่งท่ีทําให฾เกิดความบันเทิงเพื่อผ฽อนคลายอารมณแ บางคนกม็ เี ร่อื งราวที่ไดป฾ ระสบมาทีอ่ ยากจะเลา฽ ใหผ฾ ูอ฾ ื่นฟงใ หรือแลกเปลี่ยนความคิดกัน เรื่องท่ีนํามาเล฽าสู฽กันฟใงน้ีแตกต฽างกันไปตามสภาพของท฾องถิ่น สภาพภูมิศาสตรแและ วัฒนธรรม แต฽จุดประสงคแในการเล฽าเป็นแบบเดียวกัน คือ ต฾องการสร฾างความพอใจและความ เพลดิ เพลนิ การเล฽าเรื่องในตอนแรก ๆ ก็คงจะเป็นเรื่องที่ผ฾ูเล฽าได฾ประสบมาเม่ือความนิยมในการเล฽า มีมากขึ้น ผ฾ูที่มีความสามารถในการคิดฝในก็ใช฾จินตนาการแต฽งเรื่องราวข้ึนมา จากเร่ืองที่ง฽ายไม฽ ซบั ซอ฾ น เป็นเรื่องที่ยาวและซับซอ฾ นขึน้ มเี นอื้ หาท่ีสนุกสนานแลว฾ แต฽วา฽ จะแต฽งอยา฽ งไร ความเช่ือทางศาสนาก็มีอิทธิพลต฽อการเล฽านิทานมาก เช฽น นิทานชาดก ซ่ึงมีกําเนิดท่ี อนิ เดยี แล฾วแพร฽เขา฾ มาในประเทศไทย เป็นการเล฽าเรื่องราวของพระพุทธเจ฾าในอดีตชาติ นิทานชาดก เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ฾ งถิ่น ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี ๖ | นายกติ ิศักด์ิ สขุ วโรดม ผ้เู รยี บเรียง ๑๐๐

มกี ารผูกเรอ่ื งโดยยดึ หลกั ศาสนาและเพ่อื ม฽งุ ส่ังสอนศีลธรรมเปน็ หลกั เชื่อกันวา฽ พระพุทธองคแใช฾นิทาน ชาดกเป็นเคร่ืองมือสั่งสอนประชาชนโดยดัดแปลง จุดประสงคแในการเล฽าให฾เข฾ากับหลักธรรมทาง พระพทุ ธศาสนาเพอื่ ให฾ประชาชนยดึ หลกั ธรรมทว่ี ฽าทําดไี ดด฾ ีทําชว่ั ไดช฾ ัว่ ประพนธแ เรอื งณรงคแ และ เสาวลกั ษณแ อนันตศานตแ, ๒๕๔๗, หนา฾ ๕๘-๕๙ ประเภทของนทิ านพื้นบ้าน การแบ฽งนิทานตามรปู แบบของนทิ าน การแบ฽งนิทานตามรูปแบบของนิทาน หรือท่ีในบางแห฽งเรียกว฽าแบบนิทานน้ีเป็นการ แบง฽ ทน่ี ยิ มใชก฾ นั อยา฽ งกวา฾ งขวาง แนวคดิ ในการแบ฽งนิทานตามลักษณะนี้มีอย฽ูหลายแนวคิด ในที่น้ีขอ นําเสนอพอเป็นตัวอย฽าง ดังนี้ กุหลาบ มัลลิกะมาส, ๒๕๑๘, หน฾า ๑๐๖-๑๐๙ อ฾างใน (เรไร ไพรวรรณ,แ ๒๕๕๑, หนา฾ ๓๕) ๑. นิทานปรัมปรา๒ ๒. นิทานท้องถิ่น - นิทานเกี่ยวกบั ความเชือ่ ตา฽ ง ๆ - นทิ านเกยี่ วกบั สมบตั ิที่ฝใงไว฾ - นิทานวีรบรุ ุษ - นทิ านคติสอนใจ - นิทานเก่ยี วกับนกั บวช ๓. เทพนยิ าย ๒ นิทานปรมั ปรา คอื เร่ืองเลา฽ เกย่ี วกับเร่ืองราวเก฽าแก฽ของมนษุ ยแ เรอ่ื งราวเหลา฽ นเี้ กิดขึน้ ในอดตี ไม฽ทราบทีม่ า ไม฽ปรากฏวา฽ ใคร เป็นผู฾แต฽ง แต฽ชนชาตติ า฽ ง ๆ ในโลกนมี้ กั มนี ทิ านปรมั ปราของตนเองเพื่ออธิบายความเป็นมาของชมุ ชนหรอื ชาตขิ องตนเอง หรอื เพอ่ื ตอบคาํ ถามเกีย่ วกบั ปรากฏการณแธรรมชาติบางอยา฽ ง (ประพนธแ เรืองณรงคแ และ เสาวลักษณแ อนนั ตศานตแ, ๒๕๔๗, หนา฾ ๗๗) เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมท฾องถ่นิ ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๖ | นายกิติศักด์ิ สขุ วโรดม ผเู้ รียบเรียง ๑๐๑

๔. นทิ านเรื่องสตั ว์ - นิทานประเภทสอนคตธิ รรม - นิทานประเภทเลา฽ ซ้ําหรอื เล฽าไม฽รู฾จบ ๕. นิทานตลกขบขัน นอกจากน้ีในสารานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล฽ม ๑๕, ๒๕๓๐, หน฾า๙๗๗๓- ๙๗๗๖ อ฾างใน (เราไร ไพรวรรณแ, ๒๕๕๑, หน฾า ๓๖) ได฾จัดแบ฽งนิทานไทยตามสมัยออกเป็น ๘ ประเภท ดังน้ี ๑. นิทานก่อนมีประวัติศาสตร์ ได฾แก฽ นิทานท่ีมีอยู฽ในพงศาวดารเหนือ เรื่องที่กล฽าวถึง เป็นเร่ืองท่ีเกิดขึ้นก฽อนสมัยสุโขทัยเป็นราชธานีของไทย ไม฽ทราบว฽าใครเป็นผู฾แต฽ง เช฽น นิทานเร่ือง ขอมดําดิน นทิ านเหลา฽ นี้นกั โบราณคดีในสมยั ต฽อมาสนั นิษฐานวา฽ อาจจะมีต฾นเค฾าความจริงแฝงอย฽ู กวี บางท฽านไดน฾ ําเค฾าเรอื่ งบางเรือ่ งมาแต฽งเปน็ วรรณคดี ๒. นิทานประเภทชาดกในนิบาตชาดก นิทานเหล฽าน้ีมีมานานประมาณ ๕๐๐ เรื่อง สันนิษฐานว฽าเข฾ามาในระเทศไทยพร฾อมพระพุทธศาสนา คือ ในสมัยสุโขทัย นิทานเหล฽านี้บางเรื่อง เปน็ นิทานเก฽าแก฽มมี ากอ฽ นพทุ ธกาล เรือ่ งใดทีต่ รงกับคําสอนพอจะยกเปน็ อทุ าหรณแได฾ ๓. นิทานประเภทคาสอน เป็นนิทานที่แทรกคําสอนเกี่ยวกับการดําเนินชีวิตการศึกษา ความรู฾ การคบหาสมาคมกบั นกั ปราชญแราชบณั ฑติ การวางตน และการครองตน ได฾แก฽ นิทานเก฽าแก฽ ของอินเดียบ฾าง นทิ านของกรีกบ฾าง เชน฽ นิทานเร่ืองตา฽ ง ๆ ในหโิ ตปเทศ เป็นต฾น ๔. นทิ านชาดกนอกนิบาต นิทานประเภทน้ีได฾เรื่องมาจากปใญญาสชาดก สันนิษฐานว฽า เป็นนิทานพื้นเมืองของประเภทต฽าง ๆ เช฽น ทิเบต ศรีลังกา ชวา เป็นต฾น แล฾วนํามาแต฽งให฾มีลักษณะ คล฾ายคลึงกับเรื่องชาดกในนิบาต มีลักษณะแอบอ฾างพุทธวจนะ การกลับชาติมาเกิด เป็นต฾น นิทาน เหล฽าน้ีเข฾ามาในประเทศไทยราว ๆ สมันอยุธยา ที่แต฽งเป็นวรรณคดีที่มี ที่ใช฾เล฽นเป็นละครก็มี เช฽น เร่อื ง สมุทรโฆษ สังขแทอง สุธน เปน็ ตน฾ เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมท฾องถน่ิ ชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ ๖ | นายกติ ิศกั ด์ิ สขุ วโรดม ผเู้ รยี บเรยี ง ๑๐๒

๕. นิทานพ้ืนเมอื ง เป็นเรื่องท่ีเกยี่ วกับตํานานของสถานที่ตามเมืองต฽าง ๆ บอกถึงสาเหตุ ท่ีได฾ช่ือน้ัน ๆ เพราะเหตุใด เช฽น นิทานตาม฽องล฽าย ที่มากลายเป็นช่ือของภูเขาลูกหน่ึงท่ีจังหวัด ประจวบคีรีขันธแ และตํานานวัดพระนางเชิง (ปใจจุบันคือวัดพญาเชิง) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่มี เร่ืองพระเจา฾ สายนาํ้ ผงึ้ กบั นางสรอ฾ ยดอกหมาก เป็นต฾น ๖. นิทานประเภทจักร ๆ วงศ์ ๆ ได฾แก฽ นิทานท่ีผู฾แต฽งสร฾างโครงเร่ืองขึ้นเองหรือใช฾แนว เทียบ ลกั ษณะของเรื่องเปน็ ไปในแบบพรรณนาถึงชีวิตของเจา฾ ชายองคหแ นง่ึ เริม่ ต้ังแตอ฽ อกไปแสวงหา วิชากับพระอาจารยแ เม่ือสําเร็จแล฾วมีการผจญภัยแล฾วพบคู฽ครอง จนในที่สุดได฾ครองราชยแสมบัติมี ความสขุ ตลอดไป บางเรือ่ งจะมีพระอินทรแเข฾ามาเก่ียวข฾องด฾วย ซึ่งคงจะเอาอย฽างมาจากชาดก บางที ก็เป็นเรื่องหึงหวง อิจฉาริษยา ใส฽ร฾ายปูายสีกัน แต฽ในตอนจบจะจบลงด฾วยดีเสมอ คือ ธรรมะชนะ อธรรม ๗. นิทานสุภาษิต นิทานพวกน้ีมีแทรกอยู฽กับสุภาษิต มักเป็นเรื่องท่ีรู฾จักกันอยู฽แล฾ว เช฽น โคลงโลกนิติมีโคลงท่ีกล฽าวถึงเรื่องราวในนิทาน เร่ืองหมูพาลกับราชสีหแ ซึ่งมีชื่อว฽า สุกรชาดก นทิ านเร่ืองนกแขกเตา฾ กบั โจร เปน็ ต฾น ๘. นิทานยอพระเกียรติ เป็นนิทานท่ีใช฾แต฽งรวมกับพฤติกรรมของพระเจ฾าแผ฽นดินท่ีกวี ตอ฾ งการยกย฽อง เชน฽ นิทานเวตาล เป็นนทิ านที่จะแสดงให฾เหน็ ถงึ ปใญญาของพระเจ฾าวิกรมาทิตยแ จึงมี ลกั ษณะเป็นนิทานปริศนา นิทานแบบนี้ที่เป็นของไทยแท฾ ๆ ไมม฽ ี ๙. นทิ านปรมั ปราหรอื นทิ านทรงเครื่อง ลักษณะที่เห็นเด฽นชัดคือเป็นเรื่องค฽อนข฾างยาว มเี หตกุ ารณท่เี ป็นจุดขัดแยง฾ ประกอบอย฽หู ลายเหตุการณแ หรอื หลายอนภุ าค เนอื้ เรอ่ื งจะประกอบด฾วย อทิ ธฤิ ทธ์ิปาฏหิ าริยแตา฽ ง ๆ ซึ่งพน฾ วิสยั มนุษยแ สถานท่เี กิดเหตไุ ม฽แนช฽ ดั วา฽ มอี ยูท฽ ใ่ี ด เชน฽ ปลาบู฽ทอง นาง สิบสอง สังขทแ อง เปน็ ต฾น ๑๐. นิทานท้องถ่ินหรือนิทานประจาท้องถน่ิ นิทานประเภทน้ีผู฾เล฽าจะเล฽าด฾วยความเชื่อ วา฽ เหตุการณหแ รอื ปรากฏการณแท่ีเกิดขึ้นเป็นเรื่องจริงและมักจะมีหลักฐานอ฾างอิงประกอบเร่ือง มีตัว บุคคลจริง ๆ มีสถานท่ีจริง ๆ กําหนดไว฾แน฽นอนกว฽าในนิทานปรัมปรา เช฽น พระร฽วง เจ฾าแม฽สร฾อย ดอกหมาก ทา฾ วแสนปม เมอื งลับแล พระยากง พระยาพาน เปน็ ตน฾ เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ฾ งถ่ิน ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๖ | นายกิตศิ กั ด์ิ สขุ วโรดม ผเู้ รยี บเรียง ๑๐๓

๑๑. นิทานประเภทอธิบายหรือนิทานอธิบายเหตุ เป็นเร่ืองที่ตอบคําถามว฽าทําไม เพ่ือ อธิบายความเป็นมาของบุคคล สัตวแ ปรากฏการณแต฽าง ๆ ของธรรมชาติอธิบายช่ือสถานท่ีต฽าง ๆ สาเหตุของความเชื่อบางประการ รวมท้ังเรื่องเก่ียวกับสมบัติท่ีฝใงไว฾ นิทานประเภทน้ีของไทย ได฾แก฽ เหตุใดกาจึงมีสีดํา ทําไมมดตะนอยจึงเอวคอ ทําไมจึงห฾ามนําน้ําส฾มสายชูเข฾าเมืองลพบุรี ปุูโสมเฝูา ทรพั ยแ นิทานทีพ่ บมาก คือ เร่ืองเกยี่ วกับสถานท่ี เชน฽ เกาะหนู เกาะแมว ในจังหวัดสงขลา ถํ้าผานาง คอย เขาตามอ฽ งล฽าย เปน็ ต฾น ๑๒. นิทานชีวิต เป็นเรื่องค฽อนข฾างยาว ประกอบด฾วยหลานอนุภาค หลายตอน กิ่งแก฾ว อัตถากร, ๒๕๑๙, หน฾า ๑๕ อ฾างใน (เรไร ไพรวรรณแ, ๒๕๕๑, หน฾า ๓๘) เนื้อหาของนิทาน คล฾ายชีวิตจริงมากขึ้น ตัวละครในนิทานประเภทน้ีจะมีลักษณะเป็นคนธรรมดาสามัญมากกว฽าท฾าว พระยามหากษัตริยแ มีบทบาท การใช฾ชีวิตเหมือนมนุษยแปุถุชนท่ัวไป แก฽นของเร่ืองเป็นเร่ืองเกี่ยวกับ ความรัก ความโกรธ ความหลง ความรัก ความกลัว การผจญภัย สะเทือนอารมณแมากกว฽านิทาน ปรัมปรา ตัวเอกของเร่ืองจะใช฾ภูมิปใญญา และความสามารถในการแก฾ไขปใญหาต฽าง ๆ ซึ่งเป็น อุปสรรคของชีวิต แสดงความกล฾าหาญ อดทน อดกล้ัน เอาชนะอุปสรรค ศัตรู จนบรรลุจุดหมายไว฾ ฉากและบรรยากาศของนิทานชนิดน้ีมีลักษณะสมจริงมากขึ้น เช฽น เร่ืองขุนช฾างขุนแผน พระลอ ไกร ทอง ของตะวันตก ไดแ฾ ก฽ นทิ านชดุ เดคาเมรอน ของตะวันออก ไดแ฾ ก฽ นทิ านอาหรับราตรี ๑๓. นิทานเรือ่ งผี เปน็ นทิ านท่มี ีตัวละครเป็นผี วิญญาณ มีเหตุการณแเก่ียวกับผี ผีหลอก ผีสิง เน้ือเร่ืองตื่นเต฾นเขย฽าขวัญ ทั้งผู฾เล฽าและผู฾ฟใงค฽อนข฾างเช่ือว฽าเป็นเร่ืองจริง นิทานเร่ืองผีนี้สะท฾อน ใหเ฾ ห็นถึงความเชือ่ ของคนไทยในเรือ่ งวิญญาณ และภตู ผีตา฽ ง ๆ อยา฽ งชัดเจน ๑๔. นิทานวีรบุรุษ เป็นนิทานที่กล฽าวถึงคุณธรรม ความสามารถฉลาดเฉลียว ความ- กล฾าหาญของบคุ คล ส฽วนมากเปน็ วีรบรุ ษุ ของชาติหรือบ฾านเมือง นิทานประเภทน้ีคล฾ายคลึงกับนิทาน ปรัมปรา คือ ตัวละครเอกเป็นวีรบุรุษเหมือนกัน แต฽มีข฾อแตกต฽างกัน คือ นิทานวีรบุรุษมักกําหนด สถานที่ เวลาในเร่อื งแน฽ชัดขน้ึ แก฽นเร่ืองของนิทานวีรบุรุษเป็นเร่ืองวีรกรรมของตัวเอกท่ีเกิดจากการ ต฽อส฾เู พ่อื คนสว฽ นใหญ฽ การผจญภยั ตา฽ ง ๆ ที่เกง฽ กลา฾ สามารถ ๑๕. นทิ านคติสอนใจหรือนิทานประเภทคาสอน เป็นเรื่องสั้น ๆ ไม฽สมจริง มีเน้ือหาใน เชิงสอนใจ ให฾แนวทางในการดําเนินชีวิตที่ถูกต฾องทํานองคลองธรรมบางเร่ืองสอนโดยวิธีบอกตรง ๆ เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมท฾องถนิ่ ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๖ | นายกติ ศิ กั ด์ิ สขุ วโรดม ผเู้ รียบเรียง ๑๐๔

บางเรื่องให฾เป็นแนวเปรียบเทียบเป็นอุทาหรณแ ในบางแห฽งจึงเรียกนิทานประเภทน้ีว฽า นิทาน อุทาหรณแบ฾าง หรือนิทานสุภาษิตบ฾าง ตัวละครในเร่ืองอาจจะเป็นคน สัตวแ หรือเทพยดา เป็นตัว ดําเนินเร่ือง สมมติว฽าเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในอดีต เช฽น เร่ืองหนูกัดเหล็ก นิทานอีสป นิทาน จากปใญจตันตระ เปน็ ต฾น ๑๖. นิทานศาสนา เป็นนิทานเก่ียวกับศาสนา พระเจ฾า นักบวชต฽าง ๆ มีประวัติ อภินิหารหรืออิทธิฤทธ์ิ เรื่องลักษณะนี้ของชาวตะวันตกมีมาก เช฽น เรื่องพระเยซู และนักบุญต฽าง ๆ ของไทยก็มีบ฾างท่ีเก่ียวกับอภินิหารของนักบวชที่เจริญภาวนามีฌานแก฽กล฾า มีอิทธิฤทธ์ิพิเศษ เช฽น เร่อื งหลวงพอ฽ ทวด สมเดจ็ เจ฾าแตงโม เป็นตน฾ ๑๗. นิทานชาดก ชาดก หมายถึง เรื่องพระพุทธเจ฾าท่ีมีมาในชาติก฽อน ๆ เนื้อเร่ืองจะ กล฽าวถึงประวัติและพระจริยวัตร ของพระพุทธเจ฾าเม่ือครั้งยังเป็นพระโพธิสัตวแเสวยพระชาติในภพ ภูมิต฽าง ๆ เป็นคนบ฾าง เป็นสัตวแบ฾าง ไม฽ว฽าพระพุทธเจ฾าจะเสวยพระชาติเป็นอะไรก็ตาม จะมี คุณสมบัติแตกต฽างจากผ฾อู น่ื ที่เหน็ ได฾ชดั เจนอย฽ู ๒ ประการ คอื รูปสมบัติ จะมีร฽างการสมบูรณแ ถ฾าเป็น สตั วแจะเปน็ เพศผ฾ู ถ฾าเป็นคนจะเป็นเพศบุรุษ มีความสว฽างงามเป็นท่ีประทับตาประทับใจแก฽ผ฾ูพบเห็น และมีนํ้าเสียงไพเราะ นิทานชาดกที่รู฾จักกันท่ัวไปก็คือ ทศชาดก โดยเฉพาะชาดกเร่ืองสุดท฾าย คือ พระเวสสันดร ๑๘. ตานานหรือเทพนิยาย เป็นนิทานท่ีมีตัวละครสําคัญเป็นเทพยดา นางฟูา หรือ บุคคลในเรือ่ งต฾องมีส฽วนสัมพันธแกับความเช่ือทางศาสนา และพิธีกรรมต฽าง ๆ ที่มนุษยแปฏิบัติอยู฽ เช฽น เรื่องท฾าวมหาสงกรานตแ เรือ่ งเกย่ี วกับพระอนิ ทรแ เป็นต฾น ๑๙. นิทานสัตว์ เป็นนิทานท่ีมีตัวเอกเป็นสัตวแ แต฽สมมติให฾มีความนึกคิด การกระทํา และพูดได฾เหมือนคน มีทั้งท่ีเป็นสัตวแปุา และสัตวแปุา บางทีก็เป็นเร่ืองที่มีคนเก่ียวข฾องด฾วยและพูด โต฾ตอบ ปฏิบัติต฽อกันเสมือนคนด฾วยกัน บางเร่ืองก็แสดงถึงความเฉลียวฉลาด หรือความโง฽เขลาของ สัตวแ บางทีก็เป็นเร่ืองของสัตวแที่มีลักษณะเป็นตัวโกงคอยกลั่นแกล฾งคนอ่ืน แล฾วก็ได฾รับความ เดือดร฾อนเอง นิทานสตั วแถ฾าเลา฽ โดยเจตนาจะส่ังสอนคติธรรมอย฽างใดอย฽างหน่ึงอย฽างชัดเจน ก็จัดเป็น นิทานคติสอนใจ เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมท฾องถิน่ ชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี ๖ | นายกิตศิ ักด์ิ สขุ วโรดม ผูเ้ รียบเรียง ๑๐๕

๒๐. นิทานตลก ส฽วนใหญ฽เป็นนิทานส้ัน ๆ ซ่ึงจุดสําคัญของเรื่องอยู฽ที่พฤติกรรม หรือ เหตุการณแที่ไม฽น฽าจะเป็นไปได฾ต฽าง ๆ อาจเป็นเรื่องเก่ียวกับความโง฽ การแสดงไหวพริบปฏิภาณ การ แก฾เผ็ดแก฾ลํา การพนันขันต฽อ การเดินทางผจญภัยท่ีก฽อเร่ืองผิดปกติในแง฽ขบขันต฽าง ๆ ตัวเอกของ เรื่องอาจจะเป็นคนโง฽เขลาที่สุด และทําเร่ืองผิดปกติวิสัยมนุษยแท่ีมีสติปใญญาธรรมดาเข฾าทํากัน เช฽น เรอ่ื งศรีธนญชยั หวั ล฾านนอกครู เปน็ ตน฾ ๒๑. นิทานเข้าแบบ เป็นนิทานที่มีแบบแผนในการเล฽าเป็นพิเศษแตกต฽างจากนิทาน ประเภทอ่ืน ๆ เช฽น ที่เล฽าซ้ําต฽อเน่ืองกันไป หรือมีตัวละครหลาย ๆ ตัวพฤติกรรมเก่ียวข฾องกันไปเป็น ทอด ๒๒. นิทานปริศนา เป็นนิทานที่มีการผูกถ฾อยคําเป็นเง่ือนงําให฾ทายหรือให฾คิดไว฾ในเน้ือ เร่ือง อาจไว฾ท฾ายเร่ือง หรือตอนสําคัญ ๆ ของเน้ือเร่ืองก็ได฾เพื่อผ฾ูฟใงได฾มีส฽วนร฽วมแสดงความรู฾ ความคดิ เหน็ เก่ยี วกบั นทิ านท่ีไดฟ฾ งใ หรืออ฽าน นิทานปริศนาท่ีพบมากในไทย ได฾แก฽ นิทานปริศนาธรรม นิทานเวตาลทีเ่ รารับเข฾ามากจ็ ดั เปน็ นิทานปริศนา อกี เรื่องหนง่ึ ทีเ่ ปน็ ท่ีรจ฾ู ักคือเรื่องสงกรานตแ การแบ฽งนิทานพ้ืนบ฾านดังท่ีกล฽าวมาแล฾ว เป็นแนวทางในการแบ฽งอย฽างกว฾าง ๆ ที่นิยมใช฾ กันโดยท่ัวไป แต฽มิใช฽เป็นหลักตายตัว นิทานบางเร่ืองอาจจะมีลักษณะเน้ือหาคาบเก่ียวกันบ฾าง ผ฾ศู ึกษาควรพจิ ารณาวัตถุประสงคแและทัศนคติของผู฾เล฽าประกอบกับลักษณะและเนื้อเร่ืองของนิทาน ว฽ามลี กั ษณะใดทีเ่ หน็ เดน฽ ชดั แลว฾ จงึ จัดจาํ แนกเข฾าหมวดหม฽ู เรไร ไพรวรรณ,แ ๒๕๕๑, หน฾า ๓๖-๔๒ ความนิยมวรรณกรรมประเภทนทิ าน วรรณกรรมประเภทนทิ าน เป็นวรรณกรรมท่ีได฾รับความนิยมมาก แต฽เร่ืองราวในท฾องถิ่น ต฽าง ๆ จะแตกต฽างกนั ออกไป วรรณกรรมประเภทนิทานทท่ี ุกท฾องถิ่นมีคล฾าย ๆ กัน ก็คือ วรรณกรรม เกย่ี วกบั ศาสนา เชน฽ เร่ืองเวสสนั ดรชาดก พระมาลัย เป็นต฾น เหตทุ ีค่ นนิยมวรรณกรรมเหล฽านี้ทุกท฾องถ่ิน เน่ืองจาก ความเชื่อของคนในสังคมท่ีเช่ือว฽า ถ฾าได฾ฟใงเร่ืองเวสสันดรชาดกจบครบพันคาถาใน ๑ วัน จะไม฽ตกนรก และจะได฾ข้ึนสวรรคแ หรือจะได฾ เกิดในยุคพระศรอี ารียแ คนไทยในทอ฾ งถิน่ ยอ฽ มปรารถนาสุขไม฽ปรารถนาทุกขแกันท้ังสิ้น จึงนิยมฟใงเร่ือง เวสสันดร หรอื เรยี กว฽า เทศนมแ หาชาติกันอย฽างมาก เพอื่ หลกี เลีย่ งการตกนรก เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมท฾องถิน่ ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๖ | นายกิตศิ กั ดิ์ สขุ วโรดม ผ้เู รียบเรยี ง ๑๐๖

ส฽วนพระมาลัย เป็นเร่ืองกล฽าวถึงสวรรคแ แต฽ก฽อนใช฾สวดในงานมงคล เช฽นแต฽งงาน ปใจจุบันเหลือเพียงสวดในงานศพ พระมาลัยยังเป็นที่นิยมของคนไทย ด฾วยกล฽าวถึงนรกสวรรคแ อัน เป็นดนิ แดนที่มนุษยแอยากรู฾จกั ความเป็นไป วรรณกรรมที่เก่ียวกับศาสนานี้จะมีเรื้อเรื่องเหมือนกันทุกภาค เพราะมีคัมภีรแมนทาง ศาสนาเป็นแม฽แบบ แต฽จะต฽างกันตรงสํานวนและรายละเอียดในการพรรณนาที่จะต฽างกันไปตาม ความนิยมและสภาพความเป็นอยู฽ของท฾องถ่ิน เช฽น บทพรรณนาเกี่ยวกับอาหารในเวสสันดรชาดก ภาคต฽าง ๆ บทพรรณนาตอนนางอมิตตาเตรียมเสบียงให฾ชูชก เพื่อเดินทางไปขอสองกุมาร ทาง ภาคเหนือว฽า ดงั นี้ ดูกรานางเจ฾าแม฽อมิตตาเฮย เจ฾าจ฽ุงแต฽งตามมาไว฾ ยังเข฾าไถ฽เข฾าถง ใส฽ทังเข฾าหนม แดกงา และนํ้าเผิ้งใหม฽ สัพพะของกินใส฽ทุกอัน พ่ีค฽อยจักปผันเอาห้ือได฾ ยังข฾าช฽วยให฾พ่ําเรินยางชะแล ทีน้ัน นางอมิตตา ก็มะโนมะนาแต฽งตาซวะไซว฾ ยังเข฾าไท฽เข฾าถง ใส฽ทังสตูผงและเข฾าสตูย฽อม นํ้าเผิ้งใหม฽และ เกลอื ใส฽ทังหมากเขือและหมากถ่ัว เข฾าต฾มอั่วชิ้นยํา ใส฽ทังจักจั่นตําผงและแมงดาอ่ัว ใส฽ทังหัวบั่วและ หัวเทียม ใส฽ทงั ซะเลียมและข้ีร฾า ใส฽ทังพร฾าและเหล็กไฟ ใส฽ทังไตลและน้ําเต฾า เพื่อจักห้ือพราหมณแเถ฾า ไปกนิ หนทาง แลว฾ เอามาวางไว฾ที่ใกล฾ หอื้ เถ฾าบาปใบ฾เอาไปกนิ น้นั แล (คตชิ าวบา้ นลานนาไทย : ไพรถ เลศิ พิรยิ กมล) สว่ นของภาคใตจ้ ะพรรณนา วา่ ดังนี้ ๏ ข฾าวเหนียวข฾าวเจา฾ นํ้าตาลมะพรา฾ ว เนยนมเอามา ทําเปน็ กระสาย ข฽าวเมา฽ ถั่วงา ข฾าวตอกตาํ ทา นาํ้ อ฾อยเจือจาน ๏ เอาฟองไข฽เปด็ ปนุ แปูงทําเสร็จ ผงิ ไฟเป็นถ฽าน ช่อื ขนมฝาหรั่ง ทง้ั มนั ท้ังหวาน ทศกรลุลกี าร (ขนั ทศกร ๑ องคุล)ี โรยงาขนมเปีย ๏ สตูกอ฾ นผง เข฾าถัว่ ยีส่ ง ประสงทําเยีย กนิ ในไพรพฤกษแ ราํ ลึกถงึ เมยี ลาํ ดบั สับเสีย เสร็จแล฾วครบครนั ๏ สมุกเหลก็ ไฟ มีดหมากกรรไตร เหล็กแขวะกระบัน ลําดบั ใสย฽ า฽ ม เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมท฾องถ่ิน ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี ๖ | นายกติ ศิ กั ด์ิ สขุ วโรดม ผู้เรยี บเรยี ง ๑๐๗

แลว฾ วางไหพ฾ ลับ หยิบนํ้าเต฾าขนั้ เอานํ้าเทใส฽ (วรรณกรรมท้องถิ่น : ธวชั ปณุ โณทก) สว่ นของภาคอสี าน กวไี ด฾พรรณนาเกี่ยวกับอาหารตอนพระเจ฾ากรุงสัญชัยจัดมาต฾อนรับ ชชู กในกัณฑมแ หาราช ซึง่ ถงึ แม฾จะเป็นคนละตอนกับนางอมิตตาจัดเตรียมอาหารให฾ชูชก แต฽ก็สะท฾อน ลกั ษณะอาหารประจําท฾องถน่ิ ไดด฾ ีเช฽นกัน ว฽า ๏ เมื่อนั้นบน้ั บุรุษสญั ชัย ก็ให฾คนทั้งหลายแตง฽ แบง฽ ไว฾ คอื ขา฾ วต฾มแลหนมแหนม ขา฾ วแขบ แลขา฾ วเลยี่ น ขา฾ วมธปุ ายาส ข฾าวหนมตม฾ ควายใส฽หมากพรา฾ ว ขา฾ วเจา฾ ใส฽มนั หมู สตตภุ ตตฺ ํ ข฾าวสัตตูพันกอ฽ น สัตตุย฽อมอ฽อนหอ฽ นา้ํ มันปลา ขา฾ วแดกงาหอมยวด ขา฾ วนวดแลข฾าวสาระวง ข฾าวผงปน้ใ เปน็ กลบี ข฾าวกลีบแลนาํ้ มันนมฟาน เป็นเครือ่ งหวานแกต฽ าเฒา฽ บอ฽ ทอ฽ แตน฽ ้นั ขา฾ วแลแกงท้งั หลาย อนั พาชอ฽ ครัวหลวงแต฽งไว฾ ดว฾ ยของดขี องไขว฽ คือแกงไก฽แลเจือมนั สรรพสรรพปแ งิ้ จี่ หมกหมอกหม่ินแลแกงกา ผกั ตบยําแลปลาบา้ํ กุ฾งหนํา้ และยาํ ปี เพ่อื ใหเ฾ ป็นเคร่อื งจแี ลเครื่องจ฾า นาํ้ แจ฽ว ใสซ฽ ้ีน ตม฾ แกงส฾มใสข฽ า฾ วปูุน แกงข฾นุ ใส฽หมากจบั งาย ลาบควายใส฽ข้ีเพย้ี หมกหมอกใส฽ขา฾ วเบือ หมากเขอื กับปลาแดก หมากแปบกบั นํ้าผกั เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมท฾องถน่ิ ชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ ๖ | นายกติ ิศกั ดิ์ สขุ วโรดม ผเู้ รยี บเรียง ๑๐๘

พราหณํเฒ฽ามกั พาโล กนิ หมากหว฾าหมดสามขนั กนิ หมากพันหมดสามพ฾อม กินหมากขามปอู มหมดสามแมว กินหมากพรา฾ วหมดเจ็ดแซง กินแกงหมดเจด็ หม฾อ (วรรณกรรมท้องถน่ิ : ธวัช ปุณโณทก) ศัพท์ควรรู้ แบ฽ง คือ สร฾าง, คํา ข฾าวแขบ คือ ข฾าวเกรียบชนิดหน่ึง ฟาน คือ เก฾ง จํ้า คือ เครือ่ งสําหรบั จ้มิ แจ฽ว คือ นาํ้ พริกแจว฽ ช้ิน คือ เน้ือ, ช้นิ เน้อื ขา฾ วปุน คือ ขนมจีน ข้ีเพี้ย คือ ขี้อ฽อนใน ลาํ ไส฾ ปลาแดก คือ ปลารา฾ คําประพันธแท่ียกมาแต฽ละภาคจะเห็นได฾ว฽า แต฽ละภาคอาหารแตกต฽างกันไปตามท฾องถ่ิน ทางภาคเหนือจะมีอาหารท฾องถิ่น “ต฾มอั่ว ช้ินยํา จักจั่นตําผง แมงดาอั่ว” นอกจากน้ี วิธีการเรียก “หมากเขอื หมาถั่ว” เปน็ การเรยี กที่คงศัพทแเดิมก฽อนจะกร฽อนเสียงมาเป็น “มะ” ของภาคกลาง ส฽วน ภาคใต฾มีการติดต฽อค฾าขายกับคนหลายชาติจะได฾รับอิทธิพลจากต฽างชาติด฾วย เช฽น “มีขนมฝาหร่ัง ขนมเปีย “ ส฽วนของภาคอีสานมีอาหารท฾องถิ่นประเภท “ปลาร฾า ข฾าวแขบ นํ้าแจ฽ว ฯลฯ” ประคอง เจรญิ จติ รกรรม, ๒๕๓๙, หน฾า ๘๐-๘๒ ความสมั พันธ์ระหวา่ งนิทานกับการดารงชวี ติ ของกลุ่มชนในทอ้ งถน่ิ ๑. นิทานบันทึกสภาพสังคมและการดาเนินชีวิตของคนในท้องถ่ิน คล฾ายกับตํานาน เป็นการยืนยนั ให฾เหน็ เดน฽ ชัดวา฽ บรรพบุรุษของเราไมว฽ า฽ จะอย฽ูในทอ฾ งถิน่ ใดจะมีอาชีพเกษตรกรรมเป็น หลัก เพียงแตว฽ า฽ ภาคใต฾จะมกี ารคา฾ ขายด฾วย ดงั เช฽น นายวันคารไดด฾ จี ากการแลกเปล่ียนสินค฾า ซึ่งเป็น การคา฾ ขายท่ยี ังไม฽มีการใช฾เงนิ ตรา แตเ฽ ปน็ ระบบการคา฾ แบบแลกเปลี่ยนสง่ิ ของท่ีจาํ เปน็ กัน ๒. นิทานสะท้อนบทบาทสตรวี ่าเปน็ ผ้ดู แู ลบา้ นเรอื น ตั้งแต่หาเครื่องนุ่มห่ม หาอาหาร ปรนนิบัติสามี แม฾ว฽าหญิงนั้นจะมีความสามารถเพียงไรก็ต฾องอย฽ูกับสามี ในภาคใต฾ค฽านิยมของสังคม ขอ฾ นีเ้ หน็ ได฾จากนางวันพธุ มีทั้งฐานะและดวงแก฾ววิเศษ แต฽ก็ต฾องเป็นผู฾ตามนายวันคารผ฾ูชายซื่อ ๆ จน ๆ คนหน่ึงในทสี่ ดุ เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ฾ งถ่ิน ช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๖ | นายกิตศิ ักดิ์ สขุ วโรดม ผเู้ รยี บเรียง ๑๐๙

๓. นิทานสะท้อนความศรัทธาในศาสนาและความเชื่อเรื่องกรรม วรรณกรรมนิทาน ทุกเรอ่ื งจะจบลงดว฾ ยการชวี้ ฽า คนดียอ฽ มดได฾รบั ผลกรรมดีตอบแทน นับเป็นจุดหน่ึงของนิทานท่ีช฽วยให฾ คนในสังคมมีกําลังใจท่ีจะประกอบกรรมดี โดยเฉพาะเยาวชนท่ีเป็นคนกล฽ุมใหญ฽ที่ชอบฟใงนิทานจะ ไดร฾ บั การปลูกฝใงใหเ฾ ห็นคุณคา฽ ของการทําความดแี ทรกในเน้ือหาทสี่ นกุ สนาน นิทานจึงเป็นเครื่องมือสอนจริยธรรมแก฽คนในท฾องถ่ินทางอ฾อม ต้ังแต฽เด็กจนกระท่ังถึง ผู฾ใหญ฽ เพราะในนิทานจะแทรกคติข฾อควรปฏิบัติและไม฽ควรปฏิบัติอย฽ูในเนื้อหาอันสนุกสนานหรือ พฤติกรรมของตัวละครเอกท่ีน฽ายกย฽อง และตัวละครฝุายปฏิปใกษแท่ีน฽ารังเกียจ ทําให฾ผ฾ูฟใงใคร฽จะทํา ตามตัวละครเอกท่ีตนพอใจยกย฽อง นิทานนับเป็นเคร่ืองมือสอนจริยธรรมท่ีดีกว฽าการสอนตรง ๆ ๔. นทิ านให้ความบนั เทงิ แก่กล่มุ ชนในทอ้ งถ่ิน ซงึ่ ถอื ว฽ามปี ระโยชนแมากเพราะช฽วยผ฽อน คลายความตงึ เครียดจากการงานของคนในท฾องถน่ิ เนื่องจากในอดตี ไมม฽ สี ิง่ บนั เทิงมากมายเชน฽ สมัยนี้ ๕. นิทานก่อให้เกิดความสามัคคี เพราะเม่ือมีการเล฽านิทานก็จะต฾องมีผู฾มาฟใงการมา รว฽ มกนั ฟใงนิทานทาํ ให฾เกิดความคิดในแนวเดียวกัน มีโอกาสสนทนาทําความเข฾าใจกัน จึงทําให฾คนใน สังคมเข฾าใจกนั ดขี ึ้นอยู฽รว฽ มกนั ไดอ฾ ยา฽ งเป็นสขุ ๖. นิทานสร้างความภูมิใจแก่คนในท้องถ่ิน เนื่องจากผ฾ูอ฽านผ฾ูฟใงนิทานจะเห็นความ เฉลยี วฉลาด ปฏิภาณในการแก฾ไขปญใ หาท่ีผแ฾ู ต฽งนทิ านแสดงไว฾ ทําให฾เกิดศรัทธาต฽อภูมิปใญญาของคน ในท฾องถิน่ ของตน ประคอง เจรญิ จิตรกรรม, ๒๕๓๙, หน฾า ๘๒-๘๓ ภูมปิ ญ๎ ญาทางภาษาในนิทานพื้นบา้ น การเล฽านิทานพื้นบ฾านแต฽เดิมเล฽าเป็นแบบมุขปาฐะ เน่ืองจากภาษาพูดของมนุษยแมีขึ้น ก฽อนภาษาเขียน การบันทึกนิทานเป็นภาษาเขียนจะมีท้ังบันทึกจากผ฾ูเล฽าโดยตรง และการนําเร่ืองที่ เล฽ามาเรียบเรยี งใหม฽โดยใช฾สํานวนของผ฾เู ขยี น อย฽างไรก็ตาม นิทานที่เปน็ ภาษาเขียนจะใช฾ภาษาที่ง฽าย ไมเ฽ ครง฽ ครดั ในหลักภาษา ทําให฾ทั้งผู฾ใหญ฽และเด็กอ฽านแล฾วเข฾าใจได฾ชัดเจน ถึงแม฾ว฽านิทานที่เล฽ากันอย฽ู ในกล฽ุมคนพื้นบา฾ นทวั่ ไปจะไม฽ไดม฾ ุง฽ แสดงความไพเราะและความงดงามของภาษาก็ตาม แต฽การใช฾ ถอ฾ ยคาํ ท่เี รยี บง฽ายกลบั ทําให฾นทิ านน฽าอ฽าน และผเู฾ ลา฽ ก็สามารถใช฾ถ฾อยคําท่ีเรียบง฽ายน้ีแสดงความคิดที่ เฉียบแหลมได฾เปน็ อย฽างดี เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ฾ งถน่ิ ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๖ | นายกติ ิศักด์ิ สขุ วโรดม ผู้เรียบเรยี ง ๑๑๐

นิทานพื้นบ฾านจากทุกภาคที่ยกมาเป็นตัวอย฽างล฾วนแต฽แฝงภูมิปใญญาไว฾ในการเล฽าด฾วย ภาษาธรรมดา มีโครงเรอ่ื งและเน้อื เรอื่ งไม฽ซบั ซ฾อน การดําเนินเรื่องเปน็ ไปตามลําดบั เหตุการณแ ไม฽วก ไปวนมา เหตุการณแในนิทานมักเป็นเหตุการณแที่สมมติขึ้น มีความเชื่อและความแปลกประหลาด มหัศจรรยแเข฾ามาเกี่ยวข฾องบางเร่ืองก็เป็นเรื่องชีวิตธรรมดาสามัญและบางเร่ืองก็เน฾นความศักด์ิสิทธิ์ บางเรือ่ งก็เน฾นลกั ษณะบางอย฽างของตัวเอก บางเร่อื งเนน฾ อารมณแขัน การเล฽านิทานพื้นบ฾านมีหลักสําคัญประการหน่ึงคือเล฽าด฾วยภาษาร฾อยแก฾ว ใช฾คําง฽ายไม฽ ต฾องตีความความหมาย เม่ือมีการบันทึกเป็นลายลักษณแอักษรก็บันทึกเป็นภาษาภาคกลางและภาษา ถ่ิน หรือนําภาษาถิ่นมาแทรกไว฾ในเร่ืองท่ีบันทึกเป็นภาษากลาง เช฽น เร่ืองผีปกกะโหล฾งจําแลง และ เรื่องปลาสามช่ือ การแทรกภาษาถิ่นไว฾ทําให฾ได฾อรรถรสมากข้ึน ท้ังยังได฾รับความร฾ูด฾านภาษาถ่ินด฾วย นับเปน็ ภูมิปใญญาทางภาษาท่ีทรงคณุ ค฽าควรแกก฽ ารอนรุ กั ษแ แมว฾ า฽ นทิ านพื้นบ฾านจะมีรูปแบบคําประพันธแเป็นร฾อยแก฾วก็ตาม แต฽ด฾วยความเป็นคนเจ฾า บทเจ฾ากลอนของคนไทย จึงทําให฾ภาษาทใี่ ชใ฾ นการเลา฽ นทิ านมีจังหวะ มีสัมผัสระหว฽างวรรคเพ่ือให฾ฟใง ไพเราะ มีการซ้ําคํา การซํ้าความ ซ่ึงกลวิธีการใช฾ภาษาต฽าง ๆ ในการเล฽า ไม฽เพียงแต฽ทําให฾ผู฾ฟใงเกิด ความสนุกสนานจากเนื้อหา เรอื่ งราว แต฽ยงั ทาํ ให฾ผูฟ฾ งใ จดจําเรอ่ื งได฾แม฽นยาํ ดว฾ ย ภูมิปใญญาทางภาษาจะปรากฏอย฽ูในการเล฽านิทานทุกเรื่อง และผ฾ูเล฽านิทานยังใช฾ภูมิ ปใญญาทางภาษาประกอบกบั ความร฾คู วามคิดด฾านอ่นื ๆ ดังน้ี ๑. จินตนาการ ผ฾ูคนในสมัยโบราณมีจินตนาการ มีความคิดฝในที่กว฾างไกลมากตั้งแต฽ยัง ไม฽มีการส่ือสารด฾วยภาษาเขียนก็สร฾างเร่ืองราวข้ึนมาเล฽าเป็นภาษาพูดก฽อน เรื่องราวน้ีไม฽จําเป็นต฾อง อ฾างอิงเหตุการณแท่ีเกิดขึ้นจริง จึงมีนิทานจํานวนมากที่เล฽าถึงส่ิงที่เหลือเชื่อหรือเป็นไปไม฽ได฾ในชีวิต จริง เช฽น ตัวละครท่ีมีคุณสมบัติเหนือธรรมชาติเป็นต฾นว฽าคนท่ีเหาะเหินเดินอากาศได฾ ดําดินและใช฾ ชีวิตใต฾นํ้าได฾ สัตวแและพืชท่ีพูดภาษามนุษยแได฾ นอกจากน้ีก็มีเรื่องไสยศาสตรแ เวทมนตแคาถา และ ปาฏหิ าริยแต฽าง ๆ เปน็ ตน฾ ๒. วิถีชีวิตของผู้คนในท้องถ่ิน ผู฾คนในแต฽ละท฾องถิ่นอย฽ูรวมกันเป็นกลุ฽มสังคมมี วัฒนธรรมแบบเดียวกัน มีการยึดถือบางส่ิงบางอย฽างร฽วมกัน เช฽น ความเชื่อศาสนา ประเพณี พธิ ีกรรมตา฽ ง ๆ สิง่ เหล฽านีช้ ฽วยใหเ฾ กิดความคิดฝนใ และความสามารถในการผกู เรอ่ื งราวขึ้นมาเล฽า ดังจะ เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ฾ งถน่ิ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๖ | นายกิตศิ กั ด์ิ สขุ วโรดม ผ้เู รียบเรียง ๑๑๑

เห็นว฽านิทานพ้ืนบ฾านแต฽ละเร่ืองสะท฾อนให฾เห็นความเชื่อและแนวทางการปฏิบัติตน ตลอดจนหลัก ศีลธรรมจรรยา นิทานพ้ืนบ฾านท่ีแสดงความเชื่อทางศาสนาเด฽นชัดมาก คือ นิทานชาดก ส฽วนนิทาน พ้ืนบ฾านของไทยโดยท่ัวไปไม฽เป็นเร่ืองท่ีมีคติและสะท฾อนให฾เห็นลักษณะของคนไทยว฽าเป็นผู฾มีจิตใจ เมตตากรุณา โอบอ฾อมอารี มีความอ฽อนน฾อมถ฽อมตน เชื่อในกฎแห฽งกรรม ทําให฾ผ฾ูฟใงได฾อ฽านนิทาน ทราบหลกั การดํารงชวี ิตอันเป็นแนวทางท่ดี ีและมปี ระโยชนแ ๓. การใช้ถ้อยคาที่เป็นสานวนโวหาร สุภาษิต ปริศนา มาประกอบในการเล่านิทาน การทจี่ ะเล฽าเรอื่ งราวใหส฾ นุกนั้น ผ฾ูเล฽าจะต฾องมีความสมารถในการใช฾ภาษาท่ีส่ือสารให฾ผู฾ฟใงหรือผ฾ูอ฽าน เข฾าใจได฾อย฽างชัดเจน การใช฾ภาษาร฾อยแก฾วในการเล฽านิทานทําให฾ผู฾เล฽นสอดแทรกสํานวนโวหาร คํา คม สุภาษิต และปรศิ นาคําทาย ไว฾เพอื่ ให฾ภาษาที่เล฽าคมคาย น฽าฟใงนา฽ อ฽านมากขึ้น ประพนธแ เรอื งณรงคแ และ เสาวลกั ษณแ อนันตศานตแ, ๒๕๔๗, หน฾า ๗๐-๗๓ เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมท฾องถน่ิ ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๖ | นายกติ ศิ กั ด์ิ สขุ วโรดม ผู้เรยี บเรียง ๑๑๒

บทที่ ๔ เพลงพน้ื บา้ น เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมท฾องถนิ่ ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ี่ ๖ | นายกิติศักดิ์ สขุ วโรดม ผ้เู รยี บเรยี ง ๑๑๓

เพลงพ้นื บ้าน ความรทู้ ั่วไปเกีย่ วกบั เพลงพน้ื บ้าน เพลงพ้ืนบา฾ น คอื บทรอ฾ ยกรองท฾องถ่นิ ทส่ี ืบทอดต฽อกันมา และนํามาร฾องขับลําเพ่ือความ บันเทงิ ใช฾ถอ฾ ยคําเรียบงา฽ ย สัมผัสคล฾องจอง มีจังหวะลีลาเสียงสูงต่ําตามเสียงดนตรี ไม฽นิยมใช฾เคร่ือง ดนตรีประกอบ แต฽ใช฾การปรบมือประกอบจังหวะ หรือใช฾กรับ ฉ่ิง ฉาบ เป็นเครื่องให฾จังหวะ เพลง พื้นบ฾านจัดเป็นการละเล฽นประเภทหนึ่ง คือ ไม฽มีการจ฾างวาน สมาชิกในที่ชุมชนนั้นจะผลัดกันร฾องรํา ตามความถนัดและความสมคั รใจของตน (ธวัช ปณุ โณทก, หน฾า ๔๐) เพลง คือ การแสดงความคิดและความรู฾สึกของมนุษยแออกมเป็นบทประพันธแที่มี เสียงดนตรีประกอบ ชนชาติท่ีมีภาษาของตนเองใช฾มักจะมีบทเพลงขับร฾องในการใช฾ชีวิตประจําวัน ดว฾ ย เพราะธรรมชาตขิ องมนษุ ยแย฽อมจะช่นื ชอบเสียงเพลง เพลงจึงเป็นสิ่งท่ีมีความสัมพันธแกับวิถีชีวิต มนษุ ยมแ าชา฾ นาน คนไทยไดช฾ ่อื ว฽าเป็นคนเจ฾าบทเจ฾ากลอน เวลาพูดจากันมักจะใช฾ถ฾อยคําที่คล฾องจองและมี จังหวะจะโคน สามารถสร฾างสรรคแเพลงขึ้นมามากมาย เพลงเหล฽าน้ี คือ วรรณกรรมของชาวบ฾านท่ีมี กาํ เนดิ มาจากทอ฾ งถิ่นต฽าง ๆ เรียกเพลงประเภทนวี้ า฽ “เพลงพน้ื บา฾ น” เพลงพ้ืนบ฾านเป็นผลผลิตทางวัฒนธรรมของกลุ฽มชน เกี่ยวข฾าวกับวิถีชีวิตของคนไทยใน ทกุ ทอ฾ งถ่นิ ต้ังแตเ฽ กดิ จนกระทั่งตาย เพลงเหล฽าน้ีมีเน้ือหาและทํานองท่เี รยี บงา฽ ยแต฽คมคาย ลึกซ้ึง แฝง แนวคดิ ตา฽ ง ๆ ไว฾มากมาย เพลงพ้นื บ฾านทขี่ บั ร฾องกนั มาตัง้ แต฽สมยั โบราณเปน็ มรดกทางภาษาและวัฒนธรรมไทยที่มี คุณค฽า มีความสําคัญต฽อคนไทยท่ัวไป เป็นบันทึกสภาพสังคมความเป็นอยู฽ และยังแฝงคติ ตลอดจน สงิ่ ท่คี วรประพฤติปฏบิ ัตสิ าํ หรับคนไทยทั่วไปด฾วย เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ฾ งถิ่น ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ ๖ | นายกติ ศิ กั ดิ์ สขุ วโรดม ผเู้ รยี บเรยี ง ๑๑๔

ความหมายของเพลงพนื้ บ้าน เพลง ความหมายตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ หมายถึง สาํ เนียงขบั ร฾อง ทํานองดนตรี ชอื่ การร฾องแก฾กัน มชี ื่อต฽าง ๆ เช฽น เพลงปรกไก฽ เพลงฉอ฽ ย เพลงพื้นบ฾านเป็นเพลงท่ีชาวบ฾านร฾องเล฽นกันอยู฽เสมอ ๆ จนกลายเป็นส฽วนหนึ่งของวิถี ชีวิต ในทางคติชนวิทยา เพลงพื้นบ฾าน คือ เพลงท่ีเกิดจากผู฾แต฽งนิรนามและแรกท่ี สุดเกิดขึ้น ท฽ามกลางกลุ฽มคนพื้นบ฾าน ต้ังแต฽ในอดีตที่เราไม฽อาจระบุได฾แน฽นอน มีเนื้อร฾องและทํานองง฽าย ๆ ไม฽ ซับซ฾อน แต฽ละท฾องถ่ินจะมีท฽วงทํานองและลีลาการขับร฾องแตกต฽างกันไปตามความนิยมของท฾องถิ่น นนั้ ๆ และมีการใชค฾ ําภาษาถน่ิ ของท฾องถิน่ นัน้ ด฾วย เพลงที่ชาวบ฾านขับร฾องกันมาต้ังแต฽อดีตเป็นศิลปะท่ีมนุษยแสร฾างข้ึนเพ่ือใช฾เป็นส่ือในการ ถ฽ายทอดอารมณแและความรู฾สึกนึกคดิ เป็นส฽วนหน่ึงของวัฒนธรรมท่ีฝใงรากลึกอย฽ูแนวทางการดําเนิน ชีวิตของคนในทอ฾ งถิ่น คําว฽า เพลงพื้นบ฾าน เป็นคําท่ีมีความหมายกว฾างมาก เพราะรวมถึงเพลงท่ีชาย หญิงใช฾ร฾องโต฾ตอบกัน (เรียกว฽า เพลงปฏิพากยแ) เพลงที่ใช฾ประกอบพิธี เพลงท่ีร฾องประกอบ การละเลน฽ เพลงท่ีใช฾เปน็ ทว฽ งทาํ นองประกอบการแสดง และเพลงสําหรบั เด็ก ท่มี าของเพลงพ้ืนบา้ น เพลงเปน็ ส่ิงท่ใี หค฾ วามบนั เทิงและสนองความตอ฾ งการทางใจของมนุษยแ เปน็ ส่ือท่ีแสดงถึง ความรู฾สึกภายในจิตใจของมนุษยแ มนุษยแคงจะร฾ูจักการขับร฾องเพลงมาต้ังแต฽เริ่มมีภาษาที่ ติดต฽อส่ือสารกันได฾ และใช฾เพลงเป็นเครื่องระบายความร฾ูสึกในใจ เช฽น ความสุข ความทุกขแ ความ ประทับใจ ความเศรา฾ โศก เปน็ ตน฾ แทนการพูดออกมาตรง ๆ จุดประสงคแหลักของการขับร฾องเพลง ก็คือ เพ่ือให฾เกิดความเบิกเบาใจ ความสนุกสนาน เพลิดเพลิน นอกจากน้ีก็ยังใช฾เพลงบางเพลงร฾องประกอบพิธี บางเพลงร฾องประกอบการเล฽น บาง เพลงใช฾รอ฾ งกล฽อมเดก็ ยิ่งมนุษยแมีถ฾อยคําใช฾ในภาษามากเท฽าใดก็ยิ่งมีการนําถ฾อยคํามาสร฾างสรรคแเป็น เพลงได฾มากเท฽านั้น ผู฾แต฽งเพลงหรือผู฾ขับร฾องเพลงก็ใช฾เรื่องราวรอบตัวนั่นเองมาสร฾างเป็นเพลง คือ ความเป็นอย฽ูของคนทุกระดับในสังคม เศรษฐกิจ การเมือง เหตุการณแต฽าง ๆ ที่เกิดขึ้นใน ชีวิตประจาํ วนั เนื้อรอ฾ งกบั ทาํ นองเพลงไม฽ได฾กําหนดแน฽นอน ไมม฽ กี ฎเกณฑแทเี่ ครง฽ ครัดตายตัว เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ฾ งถนิ่ ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี ๖ | นายกติ ศิ กั ด์ิ สขุ วโรดม ผเู้ รียบเรยี ง ๑๑๕

การเลน฽ เพลงโดยทัว่ ไปมกั จะเลน฽ กันในเวลาทผ่ี คู฾ นมาชมุ นุมกันในเทศกาลต฽าง ๆ เช฽น วัน ขึ้นปีใหม฽ ตรุษสงกรานตแ ทอดกฐิน ทอดผ฾าปุา และการมาร฽วมลงแรงกันประกอบอาชีพ เช฽น การ เพาะปลูก การเก็บเก่ียวพืชผล คนท่ีมาชุมนุมกันมักจะมาด฾วยความเต็มใจ เมื่อรวมกล฽ุมกันได฾ก็จะมี การพูดจาหยอกเอินกันเพื่อความสนุกสนาน ผ฾ูชายจะกล฽าวถ฾อยคําเย฾าหยอก เกี้ยวพาราสีผ฾ูหญิง ผ฾ูหญิงก็จะโต฾ตอบเป็นทํานองไม฽แน฽ใจ ทั้งสองฝุายต฽างก็ใช฾ถ฾อยคําสํานวนที่คมคายไพเราะขัยร฾องแก฾ กัน การเล฽นเพลงในสมัยโบราณโดยเฉพาะอยา฽ งยงิ่ ในภาคกลางจะเล฽นกันเป็นหมู฽ คนที่ฝีปาก ดี ไหวพรบิ ในการคิดถ฾อยคํามาโต฾ตอบจะเป็นคนร฾องนํา ส฽วนคนอ่ืน ๆ จะเป็นลูกคู฽ร฾องรับและตบมือ ให฾จังหวะ ใครอยากร฾องก็รอ฾ ง ถา฾ ร฾องต฽อไปไม฽ได฾ก็ให฾คนอื่นเข฾ามาร฾องต฽อแทน มีคําเรียกคนท่ีมีโวหาร ดีและเป็นตวั ยนื ในการร฾องเพลงว฽า พอ฽ เพลง (ผชู฾ าย) แม฽เพลง (ผ฾หู ญิง) เพลงพ้ืนบ฾านภาคกลางมีจํานวนมาก เช฽น เพลงเรือ เพลงเกี่ยวข฾าว เพลงสงฟาง เพลง พานฟาง เพลงสงคอลําพวน เพลงชักกระดาน เพลงพิษฐาน เพลงพวงมาลัย เพลงเทพทอง เพลง ปรกไก฽ ลําตดั เพลงทรงเครื่อง เพลงรอ฽ ยพรรษา และเพลงเตน฾ กําราํ เคียว เปน็ ตน฾ เพลงพื้นบ฾านภาคเหนือ มีจ฿อย ซอ ซอมีทํานองต฽าง ๆ เช฽น ทํานองข้ึนเชียงใหม฽ ทํานอง จะปุ ทาํ นองละมา฾ ยเชยี งแสน (หรือเชยี งแสน) และทาํ นองพระลอ (ล฽องน฽าน) เป็นตน฾ เพลงพ้ืนบ฾านภาคอีสานมีกลอนลําซ่ึงแบ฽งออกเป็น ลําทางส้ัน ลําทางยาวหรือลําล฽อง และลําเต฾ย ลําเต฾ยแยกออกไปอีกเป็นลําเต฾ยธรรมดา ลําเต฾ยธรรมดา ลําเต฾ยโขง ลําเต฾ยหัวโนนตาล เพลงเซ้งิ เพลงลําผฟี าู และเพลงโคราช เปน็ ต฾น เพลงพื้นบ฾านภาคใต฾มี เพลงเรือ เพลงนา เพลงบอก เพลงประอบการแสดงโนราและ หนังตะลงุ เป็นต฾น (ประพนธแ เรืองณรงคแ และ เสาวลกั ษณแ อนันศานตแ, ๒๕๔๗, หนา฾ ๑๑๒-๑๑๔) เพลงพื้นบ฾านนี้ ผ฾ูร฾องจะต฾องใช฾ปฏิภาณ ความร฾ูท้ังทางโลกและทางธรรมมาผสานเข฾า ด฾วยกันในการร฾องโต฾ตอบหรือร฾องเล฽น จึงทําให฾เพลงพ้ืนบ฾านไม฽ได฾มีคุณค฽าเพียงให฾ความบันเทิง หาก ยังมีคุณค฽าในด฾านการให฾ความร฾ูและช้ีนําในการดําเนินชีวิตอีกด฾วย (ประคอง เจริญจิตรกรรม, ๒๕๕๑, หนา฾ ๑๑) เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมท฾องถน่ิ ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ ๖ | นายกิติศกั ดิ์ สขุ วโรดม ผู้เรียบเรยี ง ๑๑๖

ประเภทของเพลงพื้นบ้าน เพลงพ้ืนบ฾านของไทยมีเป็นจํานวนมาก เราพอแบ฽งเพลงพ้ืนบ฾านตามวัตถุประสงคแ ออกเปน็ ๒ ประเภท คือ ๑. บทเพลงสาหรับเด็ก ๑.๑ เพลงกลอ฽ มเด็ก ๑.๒ เพลงปลอบเด็ก ๑.๓ เพลงประกอบการละเล฽นของเดก็ ๒. เพลงปฏพิ ากย์ ทีม่ าของบทเพลงสาหรับเดก็ คนไทยตั้งแต฽โบราณนิยมพูดเป็นคําคล฾องจองกัน แม฾จะเป็นภาษาพูดที่ใช฾ใน ชีวิตประจําวันก็ตาม ในการเลี้ยงเด็กจึงสามารถนําถ฾อยคํามาเรียบเรียงเป็นบทเพลงส้ัน ๆ ท่ีมีสัมผัส คล฾องจองกันได฾ไม฽ยาก พอเด็กเกิดมาก็ได฾ยินฟใงเสียงเห฽กล฽อมเป็นเสียงเพลง อือ ๆ ออ ๆ ทําให฾เกิด ความเพลดิ เพลนิ จนหลับไป เวลาเด็กไม฽ยอมหลับก็มีบทร฾องขู฽ เช฽น “อ฾ายตุ฿กแกเอย ตัวมันลายพร฾อย พร฾อย งูเขียวตัวน฾อย ห฾อยหัวลงมา เด็กนอนยังไม฽หลับ กินตับเสียเถิดวา อ฾ายตุ฿กแกเอย” เวลาเด็ก รอ฾ งไห฾ก็จะมบี ทปลอบเด็ก เช฽น “แตช฽ ฾าแต฽ เขาแห฽ยายมา พอถึงศาลา เขากว็ างยายลง” ดงั นเ้ี ป็นตน฾ บทเพลงสําหรบั กล฽อมเดก็ ของคนไทยมีอย฽ูทุกภาค ภาคเหนือเรียกว฽า เพลงอือจาหรืออ่ือ จาจา ภาคอีสานเรียกว฽า เพลง นอนสาหล฽าหรือนอนสาเดอ ภาคใต฾เรียกว฽า เพลงร฾องเรือ เพลงชา น฾อง หรือเพลงน฾องนอน บทเพลงกล฽อมเด็กคงจะเป็นเพลงท่ีเก฽าแก฽กว฽าเพลงพื้นบ฾านประเภทอื่น ๆ ซ่ึงเนื้อหาแสดงถึงความสัมพันธแระหว฽างแม฽กับลูก การเห฽กล฽อมเป็นการแสดงความรักความห฽วงใย ของพ฽อแม฽ที่มีต฽อลูกอย฽างแท฾จริง ในตอนแรก ๆ คนไทยคงมีวิธีกล฽อมเด็กให฾นอนด฾วยการออกเสียง ง฽าย ๆ ต฽อมาเมื่อมีการแต฽งเนื้อร฾องเป็นบทกลอน ใส฽ทํานองเข฾าไปซึ่งเป็นเร่ืองที่ไม฽ยาก เพราะ ภาษาไทยมีเสียงวรรณยุกตแสูง ตํ่าเหมือนเสียงดนตรีอย฽ูแล฾ว การร฾องก็ร฾องซํ้าไปซํ้ามาจนจดจํากันได฾ และแพรห฽ ลายไป คนอื่นก็จําไปร฾องบ฾าง มีการคิดเนื้อร฾องและทํานองข้ึนอีก แล฾วแต฽ว฽าจะคิดถึงอะไร เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ฾ งถิ่น ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๖ | นายกติ ศิ ักด์ิ สขุ วโรดม ผ้เู รยี บเรยี ง ๑๑๗

ได฾ เพราะเพลงกล฽อมเด็กไม฽มีแบบแผนตายตัว แต฽มีจุดประสงคแอย฽างเดียวกัน คือ ขับกล฽อมให฾เด็ก นอนหลับเท฽าน้นั บทเพลงที่ใช฾ขับร฾องกล฽อมเด็ก เพลงปลอบเด็ก และเพลงร฾องเล฽นหรือใช฾ประกอ บ การละเล฽น เป็นเพลงที่เกิดจากภูมิปใญญาของคนพื้นบ฾านอย฽างแท฾จริง เป็นวัฒนธรรมของคนไทยแท฾ ๆ ท่ีสืบทอดกันมาเป็นระยะเวลายาวนาน แสดงให฾เห็นวิถีชีวิตของคนไทย ความร฾ูสึกนึกคิด สภาพ สังคม และสง่ิ แวดลอ฾ มทว่ั ไป ตลอดจนลักษณะนิสัยของคนไทยส฽วนใหญ฽ซึ่งเป็นคนสนุกสนาน ร่ืนเริง มีอารมณแขนั ช฽างเล฽น ขณะเดียวกันก็ยึดม่ันในหลักศาสนาและคติธรรมด฾วย บทเพลงสําหรับเด็กมักมี หลายสํานวน แต฽ละถ่ินอาจขับร฾องแตกต฽างกันมากบ฾างน฾อยบ฾าง (ประพนธแ เรืองณรงคแ และ เสาวลกั ษณแ อนันตศานต,แ ๒๕๔๗, หนา฾ ๒๙-๓๐) ๑. เพลงกลอ่ มเด็ก เพลงกลอ฽ มเดก็ เป็นเพลงท่ีใช฾รอ฾ งเพือ่ กลอ฽ มเด็กใหน฾ อนหลับหรือโยเย จึงมีท฽วงทํานอง การขบั ท่ชี า฾ ๆ เนิบ ๆ เพ่อื ชวนให฾งว฽ งนอน (ประคอง เจริญจติ รกรรม, ๒๕๓๙, หนา฾ ๑๑) บทกล฽อมเด็ก คือ เพลงที่ผู฾ใหญ฽ร฾องเพื่อกล฽อมให฾เด็กเล็ก ๆ เกิดความเพลิดเพลินและ อบอ฽ุนใจ และได฾หลับง฽ายและหลับสบาย ลักษณะของเพลงเป็นบทร฾อยกรอง มีคําคล฾องจอง ตอ฽ เนื่องกนั ไป แตม฽ ีฉนั ทลักษณแไม฽แน฽นอน เนื้อร฾องของเพลงกล฽อมเด็กใช฾คําง฽ายสั้นหรือยาวก็ได฾ ร฾อง ดว฾ ยลีลาช฾า ๆ เป็นทํานองงา฽ ย ๆ ซํ้า ๆ กนั เพื่อชักชวนให฾เด็กนอน เน้ือความแสดงถึงความรัก ความ ห฽วงใย ความหวงแหนของแมท฽ ีม่ ตี ฽อลกู นอ฾ ย ฟงใ แล฾วทําให฾เกิดความซาบซ้ึงใจ (ประพนธแ เรือง ณรงคแ และ เสาวลักษณแ อนันตศานต,แ ๒๕๔๗, หนา฾ ๒๘) เพลงกล฽อมเด็กนี้มีทุกชาติทุกภาษา เนื่องจากความรักลูกเป็นความร฾ูสึกที่แม฽ทุกคนมี เหมอื นกนั ไมว฽ ฽าชาตใิ ด จงึ ถา฽ ยทอดความอาทรห฽วงใยออกมาทางเสียงเพลงกล฽อมเด็ก เพลงกล฽อมเด็ก นับว฽ามีประโยชนแอย฽างมาก เช฽น ในด฾านจิตวิทยา ถือว฽าเพลงกล฽อมเด็กช฽วยให฾เด็กเกิดความอบอ฽ุน และเสียงเพลงยังตอบสนองความต฾องการความรักของเด็ก ซ่ึงจะช฽วยให฾เด็กมีจิตใจม่ันคงเม่ือ เจริญเติบโตข้ึนและซึมซับคุณธรรม ตลอดจนวิถีชีวิตตามท่ีปรากฏในเพลง อีกทั้งยังช฽วยให฾เด็กคุ฾น เสยี งมนษุ ยแซง่ึ เปน็ โอกาสอนั ดสี ําหรบั การเรยี นรูภ฾ าษา เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมท฾องถิน่ ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๖ | นายกติ ิศกั ด์ิ สขุ วโรดม ผ้เู รยี บเรียง ๑๑๘

เพลงกล฽อมเด็กนอกจากจะใช฾กล฽อมเด็กให฾นอนแล฾ว ยังเป็นการแสดงออกทางอารมณแ ของผ฾ูขับร฾อง โดยมิได฾ม฽ุงตกแต฽งถ฾อยคําให฾สละสลวย แต฽เป็นการพรรณนาออกมาจากส฽วนลึกของ จิตใจ ด฾วยเหตุนี้ บางครั้งเพลงกล฽อมเด็กก็กลายเป็นวิถีทางหนึ่งท่ีให฾ผู฾ขับร฾องได฾ระบายความคับข฾อง ใจ ดงั นัน้ จึงสามารถแบ฽งเพลงกลอ฽ มเด็กออกเป็น ๒ ประเภทตามลกั ษณะเน้ือหา ดังนี้ ๑. เพลงกล่อมเด็กที่มีเนื้อหาเก่ียวกับเด็ก มักจะเน฾นให฾ความรักความเอาใจใส฽ของพ฽อ แม฽ต฽อลกู ตน เชน฽ เจ฾าเนอ้ื ละมนุ เอย เจา฾ เนือ้ อ฽ุนเหมอื นสาํ ลี แม฽มิใหผ฾ ูใ฾ ดตอ฾ ง เนือ้ เจ฾าจะหมองศรี ทองดเี จ฾าคนเดียวเอย คาํ ท่ีใชเ฾ รยี กเดก็ ว฽า “เจ฾าเนอื้ ละมนุ เจา฾ เนอ้ื อน฽ุ ทองดี” ลว฾ นแต฽เป็นคาํ ที่แสดงความรัก ความเอ็นดู เหน็ วา฽ เดก็ มคี ฽าทั้งสิ้น อีกท้ังเนื้อความยังแสดงความเอาใจใส฽ คอยดูแลเด็กไม฽หนีห฽างไกล เปน็ การปลอบประโลมใจให฾เด็กรู฾สกึ มน่ั ใจและมีความสุข บางคร้ังเพลงกล฽อมประเภทนกี้ ็มเี น้ือเพลงขูเ฽ ด็กดว฾ ยเมือ่ เดก็ ร฾องไห฾เกเรไม฽ยอมนอน เชน฽ ตกุ฿ แกเอย ตวั ลายอยู฽พร฾อย ๆ งเู ขยี วตัวนอ฾ ย หอ฾ ยหวั ลงมา คนนอนไม฽หลบั ตุ฿กแกกนิ ตบั เสียเถิดหวา เพลงที่มีเนื้อเพลงข฽ูเด็ก มักจะยะเอาสัตวแหรือสิ่งท่ีเด็กกลัวข้ึนมาขู฽ หากว฽าจะให฾ได฾ผล เพลงกล฽อมเดก็ แบบขู฽เด็กน้ีคงตอ฾ งใชก฾ ล฽อมเด็กทพี่ ูดจารูเ฾ รอ่ื งบา฾ งแลว฾ ๒. เพลงกล่อมเด็กทมี่ เี นอ้ื หาไม่เกีย่ วกบั เด็ก เพลงเหล฽านี้เป็นเร่ืองเก่ียวกับการบรรยาย สภาพความเป็นอยู฽ หรือเกี่ยวกับการระบายความคับข฾องใจของผ฾ูขัยร฾อง หรือเกี่ยวกับคติสอนใจต฽าง ๆ เพลงกลอ฽ มเดก็ ประเภทน้ี เนอ้ื หาจะเกย่ี วขอ฾ งกับผใู฾ หญ฽ท่อี ยรู฽ อบข฾าง ผ฾ขู ับกลอ฽ มมากกว฽าเด็กท่ีนอน ในเปล ซึง่ จะฟใงเพลงทว฽ งทํานองขับกลอ฽ มชา฾ ๆ ชวนใหน฾ อนหลับเท฽านัน้ เชน฽ เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมท฾องถน่ิ ช้นั มัธยมศึกษาปีที่ ๖ | นายกิติศกั ด์ิ สขุ วโรดม ผูเ้ รยี บเรียง ๑๑๙

เพลงกล฽อมเด็กภาคใต฾ สะท฾อนสภาพความเปน็ อยู฽ เช฽น ฮา เออ฾ ทอโหกเหอ ทอฟืมสามสบิ เส น้าํ ไหลนองใต฾เก ทอเปน็ ลายลกู หวาย ผนื หนึ่งทอจะนงุ฽ ผืนหนึ่งทอจะขาย ทอเปน็ ลายลูกหวาย ขายเจา฾ ไมพ฽ อ เออ฾ เหอกัน ( ศัพท์ควรรู้ ทอโหก คือ ทอหูก หูก คือ เคร่ืองทอผ฾า ฟืม คือ ช้ินส฽วนของเคร่ืองทอ ผา฾ มีฟในเปน็ ซ่ี ๆ คลา฾ ยหวี สาํ หรบั สอดเส฾นด฾ายหรือไหมใชด฾ งึ ให฾ประสานกัน สามสิบเส คือ สามสิบ ซ่ี ลายลูกหวาย คอื ชือ่ ลวดลายผา฾ ชนดิ หน่งึ ของภาคใต฾ เก คอื ก่ี คือ เครื่องทอผ฾า) เพลงกลอ฽ มเดก็ ภาคอีสาน ก็สะท฾อนสภาพความเป็นอยไ฽ู ว฾เชน฽ กันว฽า นอนสาหลา฽ หลับตาสามิเยอ แม฽ไปไฮ฽ หมกไข฽ มาหา แม฽ไปนาน จป่ี า มาปอู น แมเ฽ ลยี้ งม฽อน ในปุา สวนมอน ( ศัพท์ที่ควรรู้ ไฮ฽ คือ ไร฽ มาหา คือ เอามาฝาก ปา คือ ปลา ม฽อน คือ ตัวไหม สวน มอน คือ สวนหมอ฽ น) จากบทเพลงกล฽อมเด็ก ๒ บทที่ยกมาข฾างต฾นน้ี แสดงให฾เห็นวิถีชีวิตความเป็นอย฽ูท่ี แตกต฽างกันของชาวบ฾านท฾องถิ่นภาคใต฾และท฾องถิ่นอีสานได฾อย฽างดี ดังในบทเพลงกล฽อมเด็กของ ภาคใต฾แสดงให฾เห็นการดําเนินชีวิตของหญิงทางภาคใต฾ที่ทอผ฾ามิใช฽เพียงเพื่อไว฾ใช฾เท฽าน้ัน หากทอผ฾า ผืนหนึ่งไว฾ใช฾ ส฽วนอีกผืนหนึ่งทอไว฾เพ่ือขายด฾วย อันแสดงถึงลักษณะเศรษฐกิจเชิงการค฾าของทาง ภาคใตท฾ ่เี ป็นดินแดนติดทะเล อย฽างไรก็ตามลวดลายของผ฾าก็ยังได฾รับอิทธิพลจากธรรมชาติ คือ เป็น ลายลกู หวายซ่ึงเป็นพชื พืน้ เมอื งในปุาของภาคใต฾ เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ฾ งถิน่ ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี ๖ | นายกติ ิศักด์ิ สขุ วโรดม ผู้เรียบเรยี ง ๑๒๐

ส฽วนเพลงกล฽อมเด็กของภาคอีสาน ซ่ึงเป็นดินแดนท่ีราบสูงมีเทือกเขากั้นอยู฽ ทําให฾การ คมนาคมติดต฽อกับภาคอื่นไม฽สะดวก ลักษณะทางเศรษฐกิจท่ีปรากฏอย฽ูในเพลงกล฽อมเด็กจึงยังเป็น การแลกเปลี่ยนหรอื หาของปุาเพ่ือการดํารงชีวิตมากกว฽าการค฾าขาย เพราะในเพลงกล฽อมเด็กบอกว฽า แม฽ไปทําไร฽ ไปพบไข฽ (แสดงว฽าไม฽ได฾เลี้ยง) จะเอากลับมาฝากลูก แต฽กลัวไข฽จะแตก วิธีท่ีดีที่สุดที่จะ ไม฽ใหไ฾ ขแ฽ ตก ก็คือ ทําใหส฾ นุกเสยี ก฽อน แตท฽ ่ไี ร฽ไม฽มีภาชนะหุงตม฾ ก็ต฾องใช฾วิธหี มกไข฽ (คือเอาใบห฽อไข฽ให฾ มิด ใส฽นา้ํ เล็กนอ฾ ยกันไมใ฽ หไ฾ ขร฽ ะเบดิ เวลารอ฾ นจัด แล฾วหมกในข้ีเถ฾าร฾อน ๆ ไข฽ก็จะสุก) หรือเมื่อแม฽ช฾อน ปลาได฾ ถา฾ จะเกบ็ ไวไ฾ ม฽ให฾เนา฽ ก็ต฾องจี่ (คือ การก฽อไฟจนฟืนกลายเป็นถ฽านแดง เอาปลาวางบนถ฽านนั้น จนสกุ ) การหมกและการจีเ่ ปน็ วิธีการทาํ อาหารแบบดั้งเดิมท่ีไม฽ต฾องอาศัยภาชนะใด ๆ ในเพลงกล฽อม เด็กบทนี้ยังแสดงให฾เห็นบทบาทของผู฾หญิงอีสานท่ีมีหน฾าที่นอกจากหาอาหารมาเลี้ยงครอบครัวแล฾ว ยังมีหน฾าท่ีทําเครื่องนุ฽งห฽มด฾วย เพราะมีการปลูกหม฽อนเลี้ยงไหมสําหรับการทอผ฾า (ประคอง เจริญ จิตรกรรม, ๒๕๓๙, หนา฾ ๑๑-๑๓) ตวั อยา่ ง บทกลอ฽ มเด็กภาคกลาง “ เจา฾ เนอ้ื ละมุมเอย เนือ้ เจา฾ อ฽ุนดงั สาํ ลี แดดนายมใิ ห฾ตอ฾ ง นวลเจา฾ จะหมองศรี คนดีแมค฽ นเดยี วเอย” “ เจา฾ เน้ือนมุ฽ เอย อม฾ุ เจ฾านกั จะเคยมอื วางลงเสยี บา฾ งเถิดหรอื บญุ ลือแมค฽ นเดยี วเอย” “ เจา฾ เน้อื ละเอยี ดเอย เกลียดแม฽หรือไร เกลยี ดแมแ฽ ลว฾ เจา฾ จะกินนมใคร สายใจแม฽คนเดียวเอย” “ เจา฾ ทองดีเอย แมจ฽ ะพดั วใี หเ฾ จา฾ นอน เจา฾ ทองดีอยา฽ ออ฾ น นอนเถอะนะพ฽อคณุ เอย” เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ฾ งถน่ิ ชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี ๖ | นายกิตศิ ักด์ิ สขุ วโรดม ผู้เรียบเรียง ๑๒๑

เจ้าเนอื้ เย็น “เจา฾ เน้ือเยน็ เอย หนีแมไ฽ ปเลน฽ หาดทราย น้าํ น้นั ขนึ้ มา มนั จะพาเจา฾ ลอยหาย แสนเสียดาย นะเน้ือเย็นเอย” เจา้ เนอื้ ละมุน “เจ฾าเนอ้ื ละมุนเอย เกบ็ ดอกพิกุลยามเยน็ เก็บมารอ฾ ยกรองใหแ฾ มท฽ องขา฾ เล฽น เน้ือเย็นแมค฽ นเดยี วเอย” เจา้ ทองดี “ เจ฾าทองดเี อย ถือพัชนโี บยโบก ขวญั ขา฾ วเจ฾าอย฽ามีโรค จะโบกลมใหเ฾ จา฾ นอน ขวญั อ฽อนแม฽คนเดยี วเอย” นกกระทงุ “นกกระทุงเอย ทาํ กันตงุ ตงุ ว฽าจะไข฽ สานพ฾อมใบใหญ฽ ไว฾ใส฽ไขน฽ กกระทงุ ดว฾ ยไข฽ของมนั โต เทา฽ แตงโมบางละมุง ไข฽หล฽นลงดังผลงุ แลว฾ นกกระทุงก็บนิ ไป” เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมท฾องถิ่น ชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ ๖ | นายกิติศักดิ์ สขุ วโรดม ผเู้ รียบเรยี ง ๑๒๒

ตวั อยา่ ง บทกลอ฽ มเด็กภาคเหนือ อ่ือจา “ อ่อื จาจา หลบั สองตาเ อย฽าไห฾ แก฾วแก฽นไท฾ แม฽จะอ่อื จาจา นายไห฾อยากกิ๋นจนิ๊ บม฽ ีไผไปหา นายไห฾อยากกนิ๋ ป฻า บ฽มิไผไปสอ฾ น มีขา฾ วเยน็ สองสามก฾อน ปูอนแลว฾ ลวดหลับไป อือ ออ่ื ออื่ อ๊ึ ออ่ื จาจา” ตัวอย่าง บทกล฽อมเดก็ ภาคอสี าน นอนสาเดอ “ นอนสาเดอ หลบั ตาสาเดอ นอนสาเดอ หลับตาสว฽ ย ๆ เหน็ ใผมาขายกลว฾ ย พ฽อสซิ อ้ื ให฾กิน แมเ฽ จ฾าไปไฮ฽ เพิน่ สหิ มกไข฽มาหา แม฽เจ฾าไปนา เพิ่นสิหมกปลามาต฾อน แมเ฽ จา฾ มาฮอด เจ฾าจังค฽อยกนิ นม” ตวั อย่าง บทกล฽อมเดก็ ภาคใต฾ “ นกเอ้ยี งเหอ เท่ยี งเทย่ี งมากนิ ลูกพลับ แม฽นางงามสรรพ ได฾ผัวโนรา นางไม฽โร฾จะ หงุ ขา฾ ว นางไมโ฽ ร฾จะแกงปลา ได฾ผวั โนรา ลกู โลม฾ ันมากเหอ” (ประพนธแ เรอื งณรงคแ และ เสาวลกั ษณแ อนนั ตศานต,แ ๒๕๔๗, หนา฾ ๓๑-๓๒,๓๙-๔๑) ๒. เพลงปลอบเดก็ บทเพลงท่ีผ฾ูใหญ฽ร฾องเพื่อปลอกเด็กให฾เด็กหยุดร฾องไห฾ หรือหยอกล฾อให฾เด็กสนุกสนาน เพลิดเพลิน อารมณแดี แจ฽มใส เวลาท่ีร฾องอาจจะอ฾ุมเด็กให฾เคลื่อนไหวไปมา ให฾เปลี่ยนอิริยาบถ มี ลกั ษณะคลา฾ ยกับเพลงกล฽อมเด็ก คอื เป็นบทร฾อยกรองท่ีมีฉันทลักษณแไม฽แน฽นอน เนื้อร฾องแสดงความ รักใคร฽เด็ก แต฽มีจุดประสงคแเพ่ือความเพลิดเพลินมากกว฽า (ประพนธแ เรืองณรงคแ และ เสาวลักษณแ อนนั ตศานตแ, ๒๕๔๗, หนา฾ ๒๙) เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมท฾องถ่นิ ชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี ๖ | นายกติ ศิ ักดิ์ สขุ วโรดม ผูเ้ รียบเรยี ง ๑๒๓

ประเทอื ง คล฾ายสุบรรณแ อ฾างใน (สง฽า วงคไแ ชย, “เพลงปลอบเดก็ ” เอกสารประกอบการ สอนรายวิชา CTH3108 (TL217) ภูมิปใญญาทางภาษากับการสอน, คณะศึกษาศาสตรแ มหาวิทยาลัย รามคําแหง) ให฾ความเห็นว฽า เพลงปลอบเด็กนั้นเป็นบทเพลงท่ีผู฾ใหญ฽ใช฾ร฾องล฾อเลียน หรือปลอบเด็ก อย฽างหน่ึง กับเด็กด฾วยกันใช฾ร฾องล฾อเลียนกันอย฽างหนึ่ง บทเพลงเหล฽าน้ีบางบทมีความหมายแสดงถึง จิตใจอันสูงส฽งของคนไทย ความรักใคร฽ผูกพัน ความกตัญโู ความเป็นผู฾มีอารมณแขัน บางบทก็แปล ความหมายไม฽ได฾เหมือนกับนําถ฾อยคํามาเรียบเรียงเข฾าให฾คล฾องจองตามวิสัยเจ฾าบทเจ฾ากลอนของคน ไทย โดยไม฽ได฾คํานงึ ถึงความหมายเป็นสาํ คัญ สว฽ นมากเป็นบทร฾องส้ัน ๆ เกี่ยวกับชีวิตความเป็นอย฽ูท่ัว ๆ ไปของเด็ก เนอ้ื หาเก่ียวกบั ชีวติ และลักษณะของสตั วแ ธรรมชาติ เช฽น พระจนั ทรแ ฝน ลม เปน็ ตน฾ ลักษณะภาษาในเพลงปลอบเด็ก ใช฾ถ฾อยคําง฽าย ๆ เป็นคําคล฾องจอง แสดงความน฽ารัก น฽าเอน็ ดขู องทารก บางคร้ังจะไม฽มีจุดประสงคแปลอบ แต฽เป็นการหยอกล฾อเพื่อให฾เด็กมีอารมณแดีและ ได฾เปล่ียนอิริยาบถเม่ือดูดนมหรือรับประทานอาหารแล฾ว เพลงบางบทเป็นบทขู฽เพื่อให฾เด็กนอนหลับ หรือพูดคุยทําให฾เกิดความกลัว แล฾วจะได฾หลับตา แม฽ซ่ึงเป็นผู฾กล฽อมก็เกิดความเพลิดเพลินไปด฾วย (สง฽า วงคแไชย, “เพลงปลอบเด็ก” เอกสารประกอบการสอนรายวิชา CTH3108 (TL217) ภูมิปใญญาทาง ภาษากับการสอน, คณะศกึ ษาศาสตรแ มหาวิทยาลยั รามคําแหง) ตวั อย่าง บทปลอบเด็กของภาคกลาง “ โยกเยกเอย นํ้าทว฽ มเมฆ กระตา฽ ยลอยคอ หมาหางงอ กอดคอโยกเยก” (บางบทกเ็ ปน็ คาํ ว฽า โงกเงก แทน โยกเยก) “ จงิ โจเ฾ อย มาโล฾สําเภา หมาไลเ฽ ห฽า จงิ โจต฾ กนํ้า หมาไลซ฽ ํ้า จิงโจด฾ าํ หนี ได฾กล฾วยสองหวี ทําขวัญจงิ โจ฾ โห฽ฮ้ิว โหฮ฽ ิว้ ” เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ฾ งถิ่น ชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ ๖ | นายกิตศิ ักด์ิ สขุ วโรดม ผู้เรียบเรยี ง ๑๒๔

“จับปูดาํ ขยาํ ปนู า จับปูมา฾ ควา฾ ปทู ะเล” “ลิงลมเอย มาอมขา฾ วพอง เด็กนอ฾ ยทัง้ สอง มาทดั ดอกจกิ พระยานกพริก พระยานกเขา ไดเ฾ บ้ยี ขวญั ขา฾ ว ของเจ฾าลิงลม” “กกุ฿ ก฿ุกไก฽ เล้ยี งลกู มาจนใหญ฽ ไม฽มนี มใหล฾ กู กิน ลกู ร฾องเจย๊ี บเจ๊ียบ แม฽เรยี กไปคุ฾ยดิน ทํามาหากนิ ตามประสาไก฽เอย” “ ต้ังไขล฽ ม฾ ตม฾ ไข฽กนิ ไขต฽ กดิน ใครอยา฽ กินไขเ฽ นอ฾ ” จันทร์เจา้ ขอขา฾ วขอแกง “ จันทรแเจา฾ เอย ผูกมือนอ฾ งข฾า ขอแหวนทองแดง ให฾น฾องข฾าขี่ ขอช฾างขอมา฾ ให฾นอ฾ งข฾านง่ั ขอเก฾าอ้ี ใหน฾ อ฾ งขา฾ นอน ขอเตยี งต่ัง ให฾นอ฾ งขา฾ ดู ขอละคร มารอ฾ งตกุ฿ แก” ขอตดุ฿ ตู฽ เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ฾ งถ่ิน ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี ๖ | นายกติ ิศกั ด์ิ สขุ วโรดม ผู้เรียบเรยี ง ๑๒๕

นอกจากน้ยี งั มีสาํ นวนอน่ื ๆ เชน฽ จันทรเ์ จ้า “จนั ทรเแ จ฾าเอย ขอขา฾ วขอแกง ขอแหวนทองแดง ผูกมอื น฾องข฾า ขอชา฾ งขอมา฾ ใหน฾ อ฾ งขา฾ ขี่ ขอเกา฾ อ้ี ใหน฾ ฾องข฾านั่ง ขอเตยี งตง่ั ใหน฾ ฾องข฾านอน ขอละคร ใหน฾ ฾องขา฾ ดู ขอยายชู เลยี้ งนอ฾ งข฾าเถิด ขอยายเกดิ เลี้ยงตัวข฾าเอง” เพลงโยกเยก โยกเยกเอย นํ้าท฽วมเมฆ กระตา฽ ยลอยคอ หมาหางงอ กอดคอโยกเยก เพลงฝนตก ฝนตกแดดออก นกกระจอกเข฾ารัง แม฽หมา฾ ยใสเ฽ ส้ือ ถอ฽ เรือไปดหู นัง เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ฾ งถน่ิ ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ ๖ | นายกิตศิ ักด์ิ สขุ วโรดม ผเู้ รยี บเรยี ง ๑๒๖

เพลงคนอว้ น อ฾วนตต฿ุ ฿ะกินมะระจ้ิมขี้ อ฾วนไมด฽ ี กิน้ ข้ีจิม้ มะระ ตุ฽มแตกมาแลกต฽มุ ดี ตม฽ุ ใสข฽ ้ีไม฽มคี นเอา เพลงกงุ้ แห้ง (ลอ้ คนผอม) ก฾งุ แหง฾ เยอรมนั สองสามวนั จะไปองั กฤษ ตวั อย่าง บทปลอบเด็กภาคเหนอื สกิ ก้องกอ๋ “สกิ กอ฾ งกอเ ยอมะแควง฾ มะแคว฾งสกุ ปา฻ ดุกเน฽า หัวเขา฽ ป฻ม หวั นมปิว้ ปดิ จะลิว ตกน้ําแมก฽ เอง ควายลงหนอง ทะล฽มบม฾ บัว้ ” สกิ กอ฾ งกอเ บา฽ ลอกอ฾ งแก฾ว บา฽ แควง฾ สุก ป฻าดกุ เน฽า หวั เขา฽ ป฻ม หัวนมปว้ิ ปิดจะลิว ตกนํ้าแม฽กอเ ง สาวนมหลวง ตกน้ําปใน่ ฝาู ย บา฽ อ฾ายต๋ีนโกง฾ ตกโต฾งหนองปใว เสือขบหวั เหลอื กระดูกข้ชี า฾ ง เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมท฾องถิ่น ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ ๖ | นายกิตศิ กั ดิ์ สขุ วโรดม ผ้เู รียบเรยี ง ๑๒๗

พานต฾องปาู ง โตนจ฾างไลแ฽ ดง กาเ ยเป฻นลงแดง กอ฽ งเกา฿ ะกอ฽ งกอย แมห฽ นูน฾อยตก ลูกตเายกเม อห่ี นอ฾ ยหวั ปม฻ หลบั เหยี เตอ฿ ะเนอ ออ้ื อ้อื ” ฯลฯ ตัวอย่าง บทปลอบเด็กของภาคอีสาน “อีเกงิ้ เอย ขอขา฾ วขอแกง ขอทองแดงแขวนคอหลานแน หลานอยากได฾เฮด็ เหรยี ญแขวนคอ สอเหลก็ จารลงยันตแหลงั หน฾า ทองแดงกล฾ากันผกี ันสาง ทางคนเทยี วเห็นผีบไ฽ ด฾ นาอย฽ูใกลส฾ ง฽ ขา฾ วคูแ฽ ลง เหรียญทองแดงแสนมีประโยชนแ ของเกิ้งโยกให฾ใหญใ฽ หส฾ งู เดอื นแสงสูงยงั สิข้นึ ยามได฾ ไกลคือใกล฾ปานเทียวไฮเ฽ ทยี วนา” เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมท฾องถิน่ ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๖ | นายกิติศกั ดิ์ สขุ วโรดม ผเู้ รยี บเรียง ๑๒๘

ตวั อยา่ ง บทปลอบเดก็ ภาคใต฾ “ โยกเยก น้าํ ท฽วมโคก นํา้ ทว฽ มหวั นา หมามาไม฽ได฾ น่ังร฾องไห฾ สองคนแม฽โลก” (ประพนธแ เรอื งณรงคแ และ เสาวลักษณแ อนันตศานตแ, ๒๕๔๗, หนา฾ ๓๑-๓๓,๔๑-๔๓) ๓. บทร้องประกอบการละเล่นของเด็ก บทเพลงที่เป็นบทร฾องเล฽น ใช฾ร฾องพร฾อม ๆ กันเวลาเล฽นเพ่ือทําให฾เกิดความเพลิดเพลิน ความสนุกสนาน มีลักษณะเป็นบทร฾อยกรองต฽าง ๆ ใช฾ประโยคสั้นคล฾องจองกัน มีจังหวะในการร฾อง และมีทํานองที่เรียบง฽าย จุดประสงคแในการร฾อง คือ เพ่ือความสนุกเป็นสําคัญ แต฽ก็มีผลในทางทําให฾ เกดิ ความคดิ สร฾างสรรคแ ไดฝ฾ กึ สมองและฝึกการใช฾ความคิดด฾วย เพลงประกอบการละเล฽นน้ีมีทั้งเพลง ของเด็กเล็กและเด็กโต เพลงของเด็กเล็กก็จะมีลักษณะคล฾ายเพลงปลอบเด็ก ใช฾สอนการเคล่ือนไหว ส฽วนเพลงของเด็กโตนั้นมีบทท่ีร฾องเล฽นเปล฽า ๆ กับร฾องไปด฾วยเล฽นไปด฾วย (ประพนธแ เรืองณรงคแ และ เสาวลักษณแ อนนั ตศานต,แ ๒๕๔๗, หนา฾ ๒๙) ตวั อย่าง บทรอ฾ งประกอบการละเลน฽ “รรี ขี ฾าวสาร สองทะนานขา฾ วเปลอื ก เลอื กทอ฾ งใบลาน คดข฾าวใส฽จาน เก็บเบี้ยใตถ฾ ุนร฾าน พานเอาคนข฾างหลงั ไว”฾ รรี ีขา้ วสาร อุปกรณ์ ไม฽มีอปุ กรณแการเลน฽ กตกิ า คนที่อยู฽ท฾ายสดุ ของแถวจะต฾องถูกจบั และคดั ออกไปทลี ะคน เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมท฾องถ่นิ ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี ๖ | นายกติ ิศักด์ิ สขุ วโรดม ผูเ้ รยี บเรียง ๑๒๙

ผเู้ ลน่ ผ฾ูเล฽น ๒ คนยืนหนั หน฾าเขา฾ หากันแล฾วโน฾มตวั ประสานมือกนั เปน็ รูปซ฾ุม ส฽วนผู฾เล฽นคนอื่นๆ ไม฽จํากัดจํานวนเกาะเอวต฽อ ๆ กันตามลําดับ หัวแถวจะพาลอดใต฾ซุ฾มมือพร฾อมกับร฾อง เพลง เม่ือร฾องถึงประโยคท่ีว฽า “พานเอาคนข฾างหลังไว฾” ผ฾ูที่ประสานมือเป็นซุ฾มจะลดมือ ลงกันคนสุดท฾ายเอาไว฾ ซ่ึงคนสุดท฾ายจะถูกคัดออไปจากแถว จากนั้นเริ่มต฾นเล฽นใหม฽ทํา เชน฽ นจ้ี นหมดทกุ คน จา้ จี้ “จ้าํ จม้ี ะเขอื เปราะ กะเทาะหน฾าแว฽น พายเรืออกแอน฽ กระทั่ง (กระแทน฽ ) ตน฾ กม฽ุ สาวสาวหนุม฽ หน฽มุ ดีเน้ือดีใจ อาบนํา้ ท฽าไหน อาบน้าํ ทท่ี ฽าวดั ไดแ฾ ปูงไหนผดั ไดก฾ ระจกไหนส฽อง เย่ียมเย่ียมมองมอง นกขุนทองร฾องเนอ฾ ” จา้ จ้ี วธิ เี ล่น ไม฽จํากัดจํานวนผู฾เล฽น ผู฾เล฽นทุกคนน่ังล฾อมวง ยื่นมือท้ังสองเข฾าไปในวง ผ฾ูที่ร฾องยื่นเข฾าไป เพียงมือเดียว ส฽วนมืออีกข฾างหน่ึงใช฾จ้ิมลงไปบนหลังมือของผู฾ท่ีร฽วมวง หากมีผ฾ูเล฽นน฾อย อาจใช฾น้ิวจ้ิมไปทีละนิ้วก็ได฾ เม่ือบทร฾องจบลงที่มือหรือนิ้วของผ฾ูใด ผู฾นั้นจะต฾องชักมือ ออกไปจากวงหรือพับนิ้วที่ถูกจิ้มไว฾ แล฾วผู฾ร฾องจึงเริ่มต฾นร฾องบทจ้ําจ้ีพร฾อมกับจี้มือไปบน หลังมือผ฾ูท่ีนั่งล฾อมวงใหม฽จนหมดคนสุดท฾ายเป็นการหมดการเล฽น ผู฾เล฽นคนสุดท฾ายถูกทํา โทษดว฾ ยการกินโตะ฿ คอื เขา฾ ไปหมอบกลางวง ผ฾เู ล฽นคนอ่ืน ๆ จับไปบนหลังหรือศีรษะผู฾ท่ี หมอบแลว฾ พูดว฽า “กินหมูกนิ ไก”฽ เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ฾ งถ่นิ ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี ๖ | นายกิตศิ ักดิ์ สขุ วโรดม ผเู้ รียบเรียง ๑๓๐

ไอ้เขไ้ อโ้ ขง “ไอ฾เขไ฾ อโ฾ ขง อยูโ฽ พรงไม฾สัก ไอ฾เขฟ฾ นใ หัก กดั คนไม฽เข฾า” ไอ้เขไ้ อ้โขง อปุ กรณ์ ไมม฽ อี ปุ กรณใแ นการเล฽น กตกิ า ๑. ผ฾ูทเี่ ป็น “ไอเ฾ ข฾” จะขึ้นไปบนเสาที่เปน็ บกไมไ฽ ด฾ ๒. ผ฾ถู กู จับไดจ฾ ะต฾องเป็น “ไอเ฾ ข฾” แทน วิธเี ลน่ แบ฽งเขตพื้นที่เล฽นเป็น ๒ ส฽วน ส฽วนหนึ่งสมมติให฾เป็นบนบก อีกส฽วนหนึ่งสมมติให฾เป็น ส฽วนนํ้า ให฾ผู฾เล฽นคนหนึ่งเป็น “ไอ฾เข฾” อย฽ูในน้ํา ส฽วนคนอื่น ๆ (ไม฽จํากัดจํานวน) อยู฽บน บก แล฾วคนเหล฽านี้ลงไปในส฽วนท่ีสมมติว฽าเป็นน้ําทําท฽าว฽ายน้ําพร฾อมกับร฾องเพลง ฝุายท่ี เป็น “ไอ฾เข฾” จะต฾องคอยไล฽จับผู฾ท่ีลงมาเล฽นในน้ํา ถ฾าคนใดว่ิงหนีข้ึนไปบนบก ผ฾ูท่ีเป็น “ไอเ฾ ข฾” จะตามขึน้ มาจบั ไม฽ได฾ จะจบั ได฾เฉพาะขณะที่อยใ฽ู นนาํ้ เท฽านั้น ผ฾ูท่ีถูกจับได฾จะต฾อง เป็น “ไอเ฾ ข฾” แทน โพงพาง “โพงพางเอย ปลาเข฾าลอด ปลาตาบอด เข฾าลอดโพงพาง” การละเลน่ โพงพาง อุปกรณ์ ผา฾ สาํ หรบั ผูกตา ๑ ผืน เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมท฾องถิน่ ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๖ | นายกิติศกั ดิ์ สขุ วโรดม ผ้เู รยี บเรยี ง ๑๓๑

กติกา ๑. ห฾ามไมใ฽ หผ฾ ท฾ู ี่ลอ฾ มวงหนอี อกไปไกลกว฽าเขตที่กาํ หนด ๒. ถ฾าคนที่ปิดตาเลือก “ปลาเป็น” ผ฾ูท่ีล฾อมวงสามารถเคล่ือนท่ีหนีให฾พ฾นจากการจับตัว ได฾ในเขตที่กําหนดแต฽ถ฾าเลือก “ปลาตาย” ผู฾ท่ีล฾อมวงจะต฾องนั่งอย฽ูกับท่ีหากเคล่ือนที่จะ ถกู ปรบั ใหแ฾ พ฾ ต฾องเป็นคนปดิ ตาแทน ๓. หากผ฾ปู ดิ ตาทายชอื่ ถูก ผู฾ทถ่ี ูกทายชอื่ ถกู ต฾องจะต฾องปิดตาแทน หากทายผิดจะต฾องถูก ปิดตาต฽ออกี รอบหนึ่ง วธิ ีเลน่ ไม฽จํากัดจํานวนผู฾เล฽น ผู฾เล฽นคนหน่ึงจะถูกปิดตาแล฾วยืนกลางวง สมมติให฾เป็น “ปลาตา บอด” แล฾วจับตัวหมุนเพ่ือไม฽ให฾จับทิศทางได฾ ผ฾ูเล฽นคนอื่น ๆ จับมือเป็นวงกลมเดิน วนรอบผ฾ูถูกปิดตา พร฾อมกับร฾องเพลง เมื่อร฾องจบให฾ถามผู฾ถูกปิดตาว฽า “จะกินปลาเป็น หรือปลาตาย” เม่ือเลือกแล฾วให฾ผ฾ูที่ปิดตาพยายามคลําให฾ถูกตัวผู฾ล฾อมวงคนใดคนหนึ่ง และทายชอ่ื ใหถ฾ ูก ตวั อยา่ ง บทรอ฾ งประกอบเพลงของเดก็ ภาคเหนอื มดแดงมดดา “มดแดงมดดํา ไต฽ขน้ึ กเองหลัว คนใดไคห฽ วั คนน้นั ตด” การละเล่นมดแดงมดดา อปุ กรณ์ ไมม฽ ีอปุ กรณแในการเล฽น กตกิ าและวธิ ีเล่น ผ฾ูเล฽นไม฽จํากัดจํานวน ล฾อมกันเป็นวง มีผู฾นําร฾องเพลง แล฾วช้ีไปทีละคนจนจบ ลงที่ใครกถ็ อื วา฽ แพ฾ เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมท฾องถน่ิ ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๖ | นายกติ ศิ ักดิ์ สขุ วโรดม ผเู้ รยี บเรยี ง ๑๓๒

ตัวอยา่ ง บทรอ฾ งประกอบการละเล฽นภาคอสี าน หมากนับ “แมงวันเขยี วไปจับใบบัว ใผขีห้ ัวผ฾ูนน้ั แลตด” การละเล่นหมากนับ อปุ กรณ์ ไมม฽ อี ุปกรณกแ ารเลน฽ กตกิ าและวธิ เี ลน่ ผู฾เล฽นไม฽จํากัดจําวนน่ังล฾อมวง คนใดคนหน่ึงเป็นคนร฾องหรือพูด พร฾อมกับช้ี มือไปยังผ฾ูเล฽นคนอ่ืน ๆ ที่นั่งอยู฽ทีละคน ถ฾าเพลงจบลงตรงกับท่ีช้ีคนใด แสดง วา฽ คนนัน้ เป็นคนตด ทาํ เช฽นนีจ้ นกว฽าจะเลิกเล฽น ตวั อยา่ ง บทร฾องประกอบการละเล฽นของเดก็ ภาคใต฾ หยับโหยง “หยับโหยง กระโทง฾ ไม฾รัว้ ผัวเล฽นเบยี้ เมียเลน฽ ไก฽ ผวั ไปไทร เมียไปตาหนี หนามเกี่ยว แล฽นหลบไม฽ทนั ” การละเล่นหยับโหยง อปุ กรณ์ กระดานหนาสําหรับเด็กนั่งข฾างละ ๑ คน มีความยาวประมาณ ๑ เมตรขึ้นไป เดิมใช฾ไม฾ กระดานวางบนคานรอง อาจเปน็ ขอนไมห฾ รอื ตอไม฾ กติกา แบ฽งผ฾ูเล฽นออกเป็น ๒ ฝุาย แยกกันนั่งคนละด฾าน จํานวนผ฾ูเล฽นให฾มีน้ําหนักเท฽า ๆ กัน โดยผู฾เล฽นน่ังคร฽อมไม฾ ห฾อยเท฾าทั้งสองข฾างลง ฝุายใดฝุายหน่ึงเร่ิมต฾น “หยับ” โดยใช฾เท฾า เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมท฾องถิ่น ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ ๖ | นายกติ ศิ ักดิ์ สขุ วโรดม ผูเ้ รียบเรียง ๑๓๓

ถบี พ้ืนให฾กะดอนข้ึนอย฽ูในลักษณะ “โหยง” จากนั้นฝุายที่ปลายไม฾กระดกลงตํ่าก็เปล่ียน “หยับ” แล฾วจึง “โหยง” ขณะท่ีเล฽นร฾องเพลงไปด฾วย(ประพนธแ เรืองณรงคแ และ เสาวลกั ษณแ อนันตศานตแ, ๒๕๔๗, หน฾า ๓๓-๓๕,๔๔-๔๗) ภมู ปิ ญ๎ ญาในบทเพลงสาหรบั เด็ก บทเพลงสําหรับเด็กมีเนื้อหาสาระมากมาย และร฾องสืบต฽อกันมาหลายช่ัวอายุคนบาง เพลงอาจจะลบเลือนสูญหายไป แต฽ก็มีบทเพลงท่ีจดจํากันมาเป็นจํานวนมาก ไม฽ว฽าจะเป็นบทเพลงท่ี ใช฾กล฽อมเด็ก ใช฾ปลอบเด็กเล็ก หรือให฾เด็กโตแล฾วร฾องเล฽น บทเพลงเหล฽านี้มีคุณค฽าและมีภูมิปใญญา แฝงอยู฽ในเนื้อรอ฾ ง ดงั น้ี ๑. การใช฾ภาษา บทเพลงสําหรับเด็กส฽วนใหญ฽เป็นบทร฾อยกรองสั้น ๆ ง฽าย ๆ ใช฾คําซ้ํา ๆ กัน มีสัมผัสคล฾องจอง แต฽ไม฽เคร฽งครัดในฉันทลักษณแ ผู฾แต฽งจะให฾เพลงแต฽ละบทมีกี่วรรค กี่คํา ก่ี บรรทัดก็ได฾ ซึ่งมักเป็นบทสั้น ๆ เพื่อให฾เด็กฟใงเล฽นเพลิน ๆ และจดจําได฾ง฽าย ไม฽มุ฽งความไพเราะและ ความงดงามของภาษา แต฽ผ฾ูแต฽งเป็นชาวบ฾านในท฾องถิ่นก็สามารถนําคําไทยแท฾แบบชาวบ฾านมา ร฾อยกรองเขา฾ ด฾วยกันให฾ฟใงแลว฾ ซาบซ้งึ ใจได฾ ๒. เนื้อหาของบทเพลง เน้ือหาของบทเพลงสําหรับเด็กเกี่ยวข฾องกับสภาพสังคม วิถีชีวิต ของคนในท฾องถ่ิน ทําให฾เห็นวัฒนธรรมไทยเด฽นชัดว฽าครอบครัวไทยมีความรัก วามผูกพันกันระหว฽าง พ฽อแม฽กับลูก ผู฾ใหญ฽กับเด็ก ความรักความห฽วงใยนี้ยังแสดงออกมาเป็นถ฾อยคําเชิงอบรมสั่งสอนและ เนน฾ เร่อื งคณุ ธรรมด฾วย ๓. การให฾ความรู฾เรื่องธรรมชาติ สัตวแ พืช ผ฾ูคนในท฾องถ่ินร฾ูจักสังเกตส่ิงที่อยู฽รอบตัว และ นํามาเรียบเรียงเป็นกลอนร฾องได฾มากมาย สัตว์ เช฽น ต฿ุกแก แมงมุม แมว หมา กระต฽าย จิงโจ฾ เสือ ชา฾ ง ปู ปลา นกกระจิบ กา และงู เปน็ ตน฾ พชื เชน฽ มะเขือ ข฾าว ดอกเขม็ หมาก มะนาว เป็นต฾น ๔. การใช฾ถ฾อยคาํ ส่ังสอนโดยตรง คือ การใชบ฾ ทเพลงช้ีแนะความประพฤติท่ถี ูกท่ีควร เช฽น การประพฤติตนเป็นคนดี ความกตัญโตู ฽อผ฾มู พี ระคณุ การทาํ ความดี การเป็นแบบอยา฽ งที่ดี ๕. การใช฾ถ฾อยคําส่ังสอนโดยทางอ฾อม คือ ยกสิ่งท่ีไม฽ดีขึ้นมาเปรียบเทียบ เพ่ือให฾เห็น ตัวอย฽างทไี่ ม฽ดี ไมค฽ วรเอามาเปน็ แบบอยา฽ ง เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมท฾องถิ่น ช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี ๖ | นายกิตศิ ักดิ์ สขุ วโรดม ผเู้ รยี บเรียง ๑๓๔

๖. การแทรกอารมณแขบขันในบทเพลง บทเพลงสําหรับเด็กบางบทมีเนื้อร฾องท่ีล฾อเลียน และเสียดสีสังคม มักเป็นการล฾อเลียนเรื่องชู฾สาว หรือความประพฤติที่ไม฽เหมาะสมอย฽างไรก็ตาม แม฾ว฽าเน้ือร฾องน้ันจะว฽ากล฽าวหรือประชดประชันผู฾อ่ืนแต฽ยังแฝงอารมณแขันไว฾แสดงให฾เห็นว฽าคนไทย ฉลาดในการระบายอารมณแที่เก็บกดออมาเป็นเร่ืองสนุก (ประพนธแ เรืองณรงคแ และ เสาวลักษณแ อนนั ตศานต,แ ๒๕๔๗, หนา฾ ๔๘-๕๒) ๔. เพลงปฏพิ ากย์ เพลงปฏิพากยแเกิดจากธรรมชาติหน฽ุมสาว และอุปนิสัยรักบทกลอนของคนไทย คือ เม่ือ หญิงสาวและชายหน฽ุมได฾มีโอกาสพบกันในงานเทศกาลต฽าง ๆ ชายหน฽ุมก็มักจะพูดจาเก้ียวพาราสี หญิงสาว เพอ่ื เปน็ สือ่ นาํ ไปสค฽ู วามทาํ ความร฾ูจักและการแต฽งงานกันต฽อไปแต฽ด฾วยนิสัยรักบทกลอน จึง ดัดแปลงคําเกี้ยวพาราสีธรรมดาให฾กลายเป็นข฾อความที่มีสัมผัสคล฾องจองและขับออกมาเป็นลํานํา ตา฽ ง ๆ จงึ กลายเปน็ เพลงปฏพิ ากยแไปในทีส่ ดุ เพลงปฏิพากยแน้ีมีอยู฽ทุกภาคทุกท฾องถิ่นของประเทศไทย เพียงแต฽เรียกขานแตกต฽างกัน ออกไป เช฽น ในภาคกลาง มีเพลงฉ฽อย เพลงลําตัด เพลงเก่ียวข฾าว เพลงปรกไก฽ รําเหย฽อย เพลงเรือ เพลงเทพทอง เพลงพวงมาลัย เพลงเต฾นกํารําเคียว ในภาคเหนือ มีค฽าวซอ เพลงค฽าวจ฿อย หรือเพลง ค฽าวฮ่ํา เพลงเรือชาวเหนือ ในภาคอีสาน มีเพลงโคราช เพลงแคน หรือเพลงลํา ในภาคใต฾มีเพลง เพลงบอกใต฾ ในภาคตะวันออก มเี พลงหงสแ เพลงระบํา เหลงเหย฽อย เพลงวง เพลงโซ เพลงปุา ในท่ีนี้ จะยกเพลงปฏิพากยแบางเพลงมาวิเคราะหแเพื่อเป็นตัวอย฽าง (ประคอง เจริญจิตรกรรม, ๒๕๓๙, หน฾า ๑๖) เพลงพนื้ บ้านภาคกลาง เพลงพ้ืนบ฾านภาคกลางมีจํานวนมาก ดังที่ได฾กล฽าวมาแล฾วข฾างต฾น ใช฾ร฾องในโอกาสต฽าง ๆ กนั เชน฽ รอ฾ งเพ่อื ความรนื่ เริง ร฾องในระหว฽างทาํ งาน รอ฾ งเลน฽ รอ฾ งในเทศกาลบางเทศกาล เพลงพ้ืนบ฾านภาคกลางมักจะเป็นเพลงที่ชายหญิงร฾องโต฾ตอบกัน และการโต฾ตอบกันนั้น แยกออกเปน็ การโต฾ตอบอยา฽ งสนั้ และการโตต฾ อบอย฽างยาว เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ฾ งถนิ่ ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ ๖ | นายกติ ิศักดิ์ สขุ วโรดม ผเู้ รยี บเรยี ง ๑๓๕

เพลงที่ชายหญิงโต฾ตอบกันอย฽างยาวมีหลายประเภท คือ เพลงเรือ ระบําบ฾านไร฽ เพลง พวงมาลยั เพลงหน฾าไย เพลงเต฾นกํา เพลงอีแซว ระบําบ฾านนา เพลงพาดควาย เพลงเทพทอง เพลง ปรบไก฽ ลําตัด เพลงแอ฽วเคล฾าซอ เพลงฉ฽อย ในที่น้ีจะกล฽าวถึงเฉพาะเพลงบางเพลง (ประพนธแ เรือง ณรงคแ และ เสาวลักษณแ อนันตศานตแ, ๒๕๔๗, หน฾า ๑๑๕-๑๑๖) ๑. เพลงเกี่ยวขา้ ว ประเทศไทยเปน็ ประเทศเกษตรกรรม มกี ารทํานาเป็นอาชีพหลัก ดังน้ันเมื่อหน฽ุมสาว มาช฽วยกันเกี่ยวข฾าว (ซ่ึงเรียกว฽า ลงแขกเกี่ยวข฾าว คือ การร฽วมมือของคนในหมู฽บ฾านหรือหม฽ูบ฾าน ข฾างเคียงช฽วยกันทํางานให฾แก฽เพื่อนบ฾าน เช฽น ดํานา เกี่ยวข฾าว โดยผลัดเปล่ียนกันไป เป็นการแลก แรงงานแทนการว฽าจ฾างในปใจจุบัน) ก็พูดจาเก้ียวพาราสีโต฾ตอบกัน จนกลายเป็นเพลงเก่ียวข฾าว ใน หนังสอื วัฒนธรรมไทยได฾กล฽าวเกยี่ วกบั ประโยชนขแ องเพลงเก่ียวข฾าวไว฾ว฽า “เพื่อเป็นทางบรรเทาความ เหนด็ เหนื่อยเม่ือยล฾าและเรียกคนมาช฽วย จึงได฾เกิดเป็นการเล฽นเพลงเก่ียวข฾าวขึ้น เป็นเพลงที่เล฽นกัน ขณะเก่ียวข฾าว ถ฾าที่ใดมีการเล฽นเพลงเก่ียวข฾าวขึ้น ที่น้ันก็มักจะมีคนช฽วยมาก ทั้งท่ีมาช฽วยเปล฽าท่ีมา ช฽วยอยา฽ งท่เี รยี กวา฽ เอาแรงกนั หรือเลน฽ ในเวลาวา฽ งจากการทาํ นา เพลงเก่ียวขา฾ วน้ีเล฽นในฤดูเกี่ยวข฾าว เทา฽ น้ัน ทั้งนีย้ อกจากจะเป็นพักผ฽อนหย฽อนอารมณแหลังจากที่ต฾องทํางานอย฽างครํ่าเคร฽งตรากตรําแล฾ว ยงั เกดิ ประโยชนแในทางปลูกฝใงความสามัคคีและการสมาคมระหว฽างเพศ ท้ังฝึกสมองให฾เป็นคนฉลาด มีไหวพริบ และเกดิ นิสยั รักในทางวรรณคดี” เพลงเก่ียวข้าว ควา฾ เถิดหนาแมค฽ ว฾า รบี ตะบึงถงึ คนั นา จะได฾พดู จากนั เอย เก่ยี วเถิดหนาแมเ฽ ก่ียว อยา฽ มวั แลมัวเหลียว เคียวจะบาดมือเอย เกยี่ วข฾าวเถดิ แมย฽ าย ผัดบ฾ุงหญา฾ หวาย พนั ท่ีปลายกําเอย คว฾าเถดิ หนาแมค฽ ว฾า ผกั บุ฾งสนั ตะวา ควา฾ ให฾เตม็ กาํ เอย (หนงั สอื วัฒนธรรมไทย เรื่องการเล่นพ้นื เมอื ง) เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ฾ งถน่ิ ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี ๖ | นายกิติศกั ด์ิ สขุ วโรดม ผู้เรยี บเรียง ๑๓๖

เพลงเก่ียวข฾าวส้ัน ๆ นี้ แสดงให฾เห็นว฽า เวลาเก่ียวข฾าวเป็นเวลาสําคัญสําหรับหน฽ุมสาว สมัยก฽อน เพราะเป็นโอกาสที่ชายจะได฾พบหญิงท่ีตนหมายปอง ดังจะเห็นจากคําที่ใช฾ว฽า “ระตะบึง” มีท้งั คาํ ว฽า รีบ และตะบึง หมายถงึ ไปอยา฽ งรีบเรง฽ ไมย฽ อมหยดุ แมม฾ ีอปุ สรรคใด ๆ อนั แสดงให฾เห็นความ มีใจจดใจจ฽อที่จะได฾พบปะพูดจากับหญิงสาวในเวลาเก่ียวข฾าว หรือในข฾อความที่ว฽า “อย฽ามัวแลมัว เลียว เคียวจะบาดมือเอย” ก็แสดงว฽าฝุายหญิงก็มีความต฾องการพบชายท่ีตนเองพอใจเช฽นเดียวกัน จึงเก่ียวข฾าวไปพร฾อมกับเหลียวมองหาคนรักไปด฾วย ซึ่งทําให฾เคียวที่คมน้ันบาดมือได฾ และคงเป็น อุบัติเหตุที่เกิดบ฽อยในการเกี่ยวข฾าวจึงมีการร฾องเพลงเตือนเชิงหยอกเย฾าไว฾ หรือข฾อความว฽า “เก่ียว ข฾าวแม฽ยาย ผักบ฾ุงหญ฾าหวาย พันท่ีปลายกําเอย” ก็แสดงให฾เห็นค฽านิยมเกี่ยวกับความอ฽อนน฾อมถ฽อม ตนต฽อผู฾ใหญ฽ เพราะถ฾าเก่ียวข฾าวในที่นาของแม฽ยาย ลูกเขยจะต฾องหาผักประเภทของกินไปให฾แม฽ยาย หาหญ฾าไปเลี้ยงความของแม฽ยาย และหวายซ่ึงเปน็ พชื ทําของใช฾ไปฝากแมย฽ ายด฾วย เพ่ือเป็นการแสดง ความกตญั โู ออ฽ นนอ฾ มต฽อแมย฽ าย นบั เปน็ วิธที าํ ให฾ผูใ฾ หญเ฽ กดิ ความเมตตาและเอ็นดอู ยา฽ งหน่ึงอีกท้ังยัง สอนใหเ฾ ปน็ คนมีนา้ํ ใจดว฾ ย เพลงเก่ียวข฾าวน้ีแสดงบนลานอย฽างเป็นพิธีการ จะมีพ฽อเพลง แม฽เพลง เป็นผ฾ูนําการเล฽น มีการเริ่มต฾นด฾วยบทไหว฾ครู บทปลอบชาย บทปลอบหญิง เพ่ือเชื้อเชิญให฾มาร฽วมเล฽นเพลง และร฾อง เพลง เพลงเกี่ยวข฾าวน้ี ปใจจุบันได฾มีผ฾ูตัดแปลงเป็นเพลงเต฾นกํารําเคียวที่เราร฾ูจักกันดี ดังเพ่ือเพลง ต฽อไปนี้ ชาย มากันเถิดนางเอย เอเยรา แม฽มารึมาแม฽มา มาเถิดแม฽นุชน฾อง พี่จะเป็นฆ฾อง ให฾น฾อง เปน็ ปี่ ต฾องตะรดิ ติดตอยน้ําแห฾งนํ้าหยอดท่ีตรงล้ินปี่ แม฽คนหน฾าแม฽ช฽างงามขํา มามารํา ไปเสยี พ่ี มาซิมาแม฽มา มาเถิดนะแมม฽ า มารึมาแมม฽ า ๆ มาเต฾นกาํ ยา่ํ หญา฾ กันในนาน้ีเอย หญงิ มาแลว฾ เอย เอเยรา พอ฽ มามารมึ า ๆ ฝนกระจายปลายนาแล฾วนอ฾ งจะมาอยา฽ งไรเอย ชาย ไปกนั เถดิ นางเอย เอเยรา แมไ฽ ปไปรไึ ปแมไ฽ ป ๆ ไปชมนกกันที่ในปุาไปชมพฤกษากันที่ใน ไพร ไปชมชะนีผีไพรกันเล฽นในท่ดี งเอย หญิง ไปกันเถิดนายเอย เอยเ รา พ฽อไปรึไปพ฽อไป ๆ น฾องเดนิ ขยกิ จกิ ไหลต฽ ามกนั พี่ชายไปเอย ชาย รํากันเถิดนางเอย เอเยรา แม฽รํารึแม฽รํา ๆ ใส฽เส้ือเนื้อดี แม฽ห฽มแต฽สีดอกคํา ๆ น฾องรําแน฽ แม฽ช฽างรํา แม฽เช้ือระบําเก฽าเอย เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ฾ งถิ่น ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ ๖ | นายกิตศิ ักด์ิ สขุ วโรดม ผู้เรียบเรียง ๑๓๗

หญงิ ราํ กนั เถิดนายเอย เอยเ รา พอ฽ ราํ ราํ รรึ าํ พ฽อรํา ๆ มหาหงสลแ งตํา่ ต฽างคนตา฽ งราํ ไปเอย ชาย เดินกันเถิดนางเอย เอเยรา แม฾เดินเดินรึเดินแม฽เดิน ๆ ก฾าวเท฾าขึ้นโคกเสียงโพระดก มัก ร฾องเกร่ิน จะพาหนนู ฾องไปทอ฾ งพะเนนิ ชมเชน฽ ใหเ฾ พลินใจเอย หญงิ เดินกันเถิดนายเอย เอเยรา พ฽อเดินเดินรึเดินพ฽อเดิน ๆ หนทางก็รกระหกระเหิน ชมเล฽น ใหเ฾ พลินใจเอย ชาย บินกันเถดิ นางเอย เอเยรา แม฽บินบินรึบินแม฽บิน ๆ สองตีนกระทืบดินใครเลยจะบินไปได฾ อยา฽ งเจ฾า ๆ ใส฽งอบขา฾ วขาว ๆ รํากาํ งามเอย หญิง บนิ กันเถิดนายเอย เอเยรา พ฽อบนิ บินรึบินพอ฽ บนิ ๆ ไม฽มเี หล฾าให฾กินนอ฾ งกลวั จะบินไม฽ไหว เอย ชาย ยักกันเถิดนางเอย เอเยรา แม฽ยักยักรึยักแม฽ยัก ๆ ยักต้ืนติดกึกยักลึกติดกัก หงสแทองน฾อง รกั ยกั ให฾หมดวงเอย หญงิ ยักกันเถิดนายเอย เอเยรา พ฽อยักยักรึยักพ฽อยัก ๆ อย฽าเข฾ามาใกล฾น฾องนักจะโดนเคียว ควกั ตาเอย ชาย ย฽องกันเถิดนางเอย เอเยรา แม฽ย฽องย฽องรึย฽องแม฽ย฽อง ๆ บุกพงกระไรแกรก ๆ สองมือก็ แหวกนัยนแตา กม็ อง ๆ พบฝูงองี อ฽ งพวกเรากจ็ ฾องยงิ เอย หญิง ยอ฽ งกันเถดิ นายเอย เอยเ รา พ฽อยอ฽ งรยึ ฽องพ฽อยอ฽ ง ๆ คอ฽ ยขยับจับจ฾อง ยอ฽ งใหถ฾ กู เพลงเอย ชาย ย฽างกันเถิดนางเอย เอเยรา แม฽ย฽างย฽างรึย฽างแม฽ย฽าง ๆ โจ฿ะทิงติงทั่งทิงทิง ๆ วัวควาย กระต฽ายขล่ี งิ ย฽างรยึ า฽ งแม฽ยา฽ ง ไมว฽ า฽ เน้ือเสอื เนอื้ ช฾างพ฽อยา฽ งมาฝากน฾องเอย หญิง ย฽างกันเถิดนายเอย เอเยรา พ฽อย฽างย฽างรึย฽างพ฽อย฽าง ๆ ไม฽ว฽าเน้ือเสือเน้ือช฾างพ฽อย฽างไป ฝากเมยี เอย ชาย แถกันเถิดนางเอย เอเยรา แม฽แถแถรึแถแม฽แถ ๆ จะลงก็หนองไหน พ่ีจะไปหนองน้ัน แนๆ฽ นกเป็ดนาํ้ ไซร฾แหนแถลงหนองเอย เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมท฾องถ่นิ ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๖ | นายกติ ศิ ักดิ์ สขุ วโรดม ผเู้ รียบเรียง ๑๓๘

หญิง แถกันเถิดนายเอย เอเยรา พ฽อแถแถรึแถพ฽อแถ ๆ นกกระสาปลากระแหนแถมาลงหนอง เอย ชาย ถองกันเถิดนางเอย เอเยรา แม฽ถองถองรึถองแม฽ถอง ๆ ค฽อยขยับจับจ฾องถองให฾ถูกนาง เอย หญิง ถองกันเถดิ นายเอย เอยเ รา พ฽อถองถองรึถองพอ฽ ถอง ๆ ชะฉ่ําชะฉ฽าชะชา ๆ ถองรึถองพ฽อ ถอง กลา฾ ดีกเ็ ข฾ามาลองจะโดนกระบองตีเอย (คัดจากหนังสือคตชิ าวบ้านไทย ของ เจือ สตะเวทิน) เพลงเต฾นกํารําเคียวนับเป็นความพยายามอนุรักษแเพลงพื้นบ฾านของไทยอย฽างได฾ผลโดย เปลี่ยนแปลงเน้ือร฾องและทํานองให฾เข฾ากับดนตรีและความนิยมของสังคมปใจจุบัน จนทําให฾ปใจจุบันมี ผูน฾ ําเพลงเต฾นกําราํ เคยี วมารอ฾ งราํ ในโอกาสตา฽ ง ๆ อยูเ฽ สมอ ๒. เพลงพวงมาลยั เพลงพวงมาลัยเป็นการละเล฽นพื้นเมืองท่ีมีนานนิยมเล฽นกันทางจังหวัดสุพรรณบุรีซ่ึงมี เขตติดต฽อกับจังหวัดกาญจนบุรี เพชรบุรี ต฽อมาจึงได฾เล฽นแพร฽หลายทั่วไป เพลงพวงมาลัยในแต฽ละ ท฾องถิ่นจะมีทํานองและเนื้อเพลงต฽างกัน การเล฽นเพลงพวงมาลัยนี้นิยมเล฽นในเทศกาลวันเพ็ญเดือน ๑๒ หรือในงานนักขัตกฤษแ งานมงคลต฽าง ๆ เช฽น งานทอดกฐิน บวชนาค ฯลฯ เนื้อความของเพลง พวงมาลัยจะเปน็ การเกยี้ วพาราสีระหวา฽ งหน฽มุ กับสาว โดยเรม่ิ ต฾นด฾วยบทไหว฾ครู เชน฽ บทไหวค้ รู เอ฾อระเหยลอยมา ยกมอื วันทาสิง่ ศักดส์ิ ทิ ธ์ิ ไหวค฾ ุณพระรตั นตรยั พระเทพไทอันมีฤทธิ์ ไหว฾คณุ บดิ ามารดา ทีเ่ ลยี้ งลกู มารอดชีวิต ทั้งคณุ ครูบาอาจารยแ ใหค฾ วามชํานาญรุง฽ เรืองวิทยแ ฉันจะว฽าเพลงพวงมาลัย ขอจงกล฽าวใหไ฾ ด฾สมดังจิต เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ฾ งถ่ิน ชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี ๖ | นายกิติศักดิ์ สขุ วโรดม ผู้เรยี บเรียง ๑๓๙

พอ฽ ชอ฽ มะกอก พอ฽ ดอกมะขวดิ จงอย฽าให฾ตดิ ขดั เอย ชาย เอ฾อระเหยลอยมา ลอยมาแตไ฽ กล สวยเอเยแมจ฽ ําปาไทย น่เี ปน็ บพุ เพชกั พาวาสนาชกั นาํ พศิ ดไู หนก็น฽ายวนใจ รปู อนงคเแ หมือนหนึง่ องคแเทวา สองแก฾มแยม฾ ย้ิมระไม ดูเนตรดําเหมือนอย฽างเม็ดทบั ทิม ลอยมาขดี เขียนทาํ ให฾ ดคู ้วิ สองข฾างเหมือนอย฽างมนเทยี น รักเขาแทบเป็นบ฾าเป็นใบ฾ พเ่ี ป็นมนุษยกแ ็สุดปใญญา สาวเอยเ แม฽บ฾านอยไ฽ู กล นกึ ว฽าเอน็ ดูกบั ฉัน รกั นอ฾ งไมห฽ ายลืมเอย พวงเจา฾ เอเยมาลัย ลอยมาไม฽ไกล หญิง เอ฾อระเหยลอยมา นอ฾ งนยี้ ังหนกั น้ําใจ มาถงึ จะบอกว฽ารกั ว฽าบ฾านพี่ทาํ กินกนั อยา฽ งไร ไม฽ร฾ูจกั หัวนอนปลายตีน รักร฾างรักราอาศัย เขาวา฽ รักชายนั้นหลายอยา฽ ง ทาํ ให฾นอ฾ งนอนอาลัย จ฽อแล฾วก็จากรักแล฾วก็จร สวยเอเยน฾องไม฽เหน็ น้าํ ใจ จะรกั น฾องจรงิ หรือจะรักนอ฾ งเลน฽ ไดแ฾ ลว฾ ถอนคนั กลบั ไป จะลอ฾ หลอกลวงแต฽พอดว฾ งนนั้ ลน่ั ได฾แล฾วกล็ งเรือนไป จะลอ฾ หลอกลวงแตพ฽ อให฾นอ฾ งหลง เห็นจะไมไ฽ ดน฾ อ฾ งเอย พวงเอยเ เจ฾าพวงมาลัย พลี่ อยมาแตไ฽ กล ชาย เอ฾อระเหยลอยมา เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมท฾องถ่ิน ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ ๖ | นายกิติศกั ดิ์ สขุ วโรดม ผู้เรยี บเรียง ๑๔๐

อุตส฽าหแแบรักมาหา อยา฽ ใหพ฾ ่ตี ฾องพากลับไป รักนอ฾ งจริง ๆ ไม฽ทิ้งไมข฽ วา฾ ง ไมย฽ อมหา฽ งจนบรรลยั นอ฾ งจนเอน็ ดูเชิดชูพ่ี เมตตาปรานีแลเห็นใจ โอแ฾ ม฽บวั บงั ใบ พีร่ ักเจา฾ คนเดยี วเอย (ของโบราณ จากคติชาวบา้ นไทย : เจือ สตะเวทนิ ) เพลงพวงมาลัยบทนสี้ ะทอ฾ นให฾เห็นทัศนคติท่แี ตกต฽างกนั ของผชู฾ ายและผ฾ูหญิงในเร่ืองการ เลือกคู฽ครอง ฝุายชายมักจะพิจารณาหญิงสาวจากรูปลักษณแภายนอก เช฽น ความสวยงาม ส฽วนฝุาย หญิงจะพิจารณาชายหน฽ุมจากฐานะความมั่นคง เช฽น กําเนิด อาชีพ และที่สําคัญ คือ รักแท฾ของชาย หน฽ุม เพราะสังคมไทยมีค฽านิยมเร่ืองพรหมจรรยแของหญิงสาว ซ่ึงทําให฾ฝุายหญิงต฾องแน฽ใจว฽าเมื่อ ค฽คู รองกันแล฾ว ฝาุ ยชายจะไมท฽ อดท้ิงทาํ ใหต฾ นตอ฾ งได฾รับความอบั อายภายหลัง นอกจากนี้ บทเพลงนี้ยังสะท฾อนความเชื่อเรื่องกรรม คือ บุพเพสันนิวาสว฽าคนท่ีจะ เป็นคูค฽ รองกันน้นั เพราะเคยทําบุญรว฽ มกันมาในชาตปิ างก฽อน อีกท้ังในการร฾องเพลงพวงมาลัย ผู฾ร฾อง นิยมใช฾สัญลักษณแเพื่อกล฽าวเปรียบเทียบ เช฽น ด฾วง บัวบังใบ แต฽อย฽างไรก็ตามภาษาและสัญลักษณแ เหล฽านี้ก็มักเป็นคําง฽าย ๆ หรือใช฾ลักษณะธรรมชาติในท฾องถ่ินเปรียบเทียบเพ่ือให฾คนในท฾องถ่ิน ตคี วามหมายเขา฾ ใจได฾ เพลงพวงมาลัยยงั นยิ มเล฽นกันอย฽ูในปใจจุบัน ๓. เพลงฉ่อยและเพลงปรกไก่ เพลงฉ฽อยและเพลงปรบไก฽ เป็นเพลงร฾องโต฾ตอบระหว฽างชายหญิง นิยมว฽าปากเปล฽าโดย อาศัยปฏิภาณเป็นสําคัญ เม่ือร฾องเพลงฉ฽อยจบบทแล฾ว ลูกค฽ูจะร฾องรับพร฾อมกันว฽า “ชา ฉา ชา ฉาด ชา หนอ฽ ยแม฽” แตเ฽ พลงปรบไก฽ ลกู ค฽จู ะรอ฾ งรับเมอ่ื จบบทวา฽ “ ฉ฽า ฉ฽า ฉ฽า ฉ฽า ชะฉ฽าไฮ฾” ส฽วนเน้ือเพลง น้นั จะคล฾าย ๆ กัน ตา฽ งกนั ตรงทํานองทีร่ ฾องและรับเทา฽ นัน้ เชน฽ เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมท฾องถนิ่ ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ ๖ | นายกติ ิศักดิ์ สขุ วโรดม ผเู้ รยี บเรยี ง ๑๔๑

เน้ือเพลงฉ่อยกลอนรา เสยี ดายกระเด่อื งตัวพีเ่ คยตํา เสียดายน้าํ ตัวพี่เตยตัก พเ่ี คยหยุดพดู ยืนพัก อยู฽กบั แม฽พวงยพุ นิ พีเ่ คยขับลาํ รํ่าร฾อง ดว฾ ยกนั กบั นอ฾ งทตี่ ีน-ท฽า พ่เี คยตกั นาํ้ หาบ เอามาอาบดว฾ ยกัน แกห฾ อ฽ ขม้ินชัน เอามาย่ืนใหช฾ ู พดู กนั พลางฝนกนั พลาง น฾องยงั ผนิ หลังให฾พถี่ ู-ทา (จากหนงั สือกวนี ิพนธ์ ของพระสารประเสรฐิ ) เน้ือเพลงฉ฽อยบทน้ี นอกจากจะต฽อว฽าหญิงสาวที่เปล่ียนใจแล฾ว ยังช฽วยให฾เข฾าใจสภาพ ความเป็นอยู฽ของคนไทยสมัยก฽อน ท่ีนิยมต้ังบ฾านเรือนอยู฽ใกล฾แม฽นํ้าลําคลอง เวลาสร฾างบ฾านก็ต฾อง สรา฾ งท฽าน้ําไว฾ดว฾ ย และตีนท฽าคอื สว฽ นล฽างของทา฽ นํา้ ท่ีตดิ กับชายนา้ํ มีไว฾สาํ หรับเป็นท่ีกันหรือนั่งในการ ตักน้ําหรืออาบน้ํา อีกทั้งในสมัยก฽อนการประปายังไม฽มีก็ต฾องตักน้ําจากคลองขึ้นมาเก็บไว฾ใช฾ ดังน้ัน ชายหน฽ุมจะเก้ียวสาวก็จําเป็นต฾องไปช฽วยสาวทํางาน เช฽น การตักน้ํา ตําข฾าว เพื่อให฾หญิงสาวและ บรรดาญาตพิ ี่นอ฾ งของฝาุ ยหญงิ เห็นใจและเห็นความขยัน นอกจากน้ี ยงั สะท฾อนให฾เห็นเครื่องประทินผิวของหญิงสาวสมัยก฽อน เขานิยมใช฾ขมิ้นฝน กบั นา้ํ แลว฾ ทาผิว ปใจจุบันการใชข฾ ม้นิ ทาผวิ ยงั คงเหลอื อย฽ใู นพิธีอาบน้ํานาค ในประเพณีบวชนาค ๔. ค่าวซอ ค฽าวซอ เปน็ เพลงชนิดหนง่ึ ของภาคเหนือมีความแตกตา฽ งจากค฽าวจ฿อยตรงท่ีค฽าวซอต฾องมี ดนตรีประกอบเสมอ และจะเรียกว฽า ช฽างซอ (คนท฾องถ่ินออกเสียงจ฾างซอ) ร฾องเพ่ือให฾ผ฾ูอื่นฟใง มากกว฽าจะเป็นการร฾องเล฽นเฉย ๆ แต฽หนุ฽มสาวก็มีสิทธิจดจํามาร฾องเล฽นได฾ คล฾าย ๆ กับที่ปใจจุบันจํา เพลงลูกท฽ุงลูกกรุงมารอ฾ งเลน฽ กัน เน้อื หาของคา฽ วซอมีต฽าง ๆ คือ มีทั้งที่เป็นบทสําหรับพิธีกรรมเป็นคํา สอน เปน็ นิทาน และเปน็ บทเกี้ยวพาราสี เช฽น เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมท฾องถิ่น ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ ๖ | นายกิตศิ กั ด์ิ สขุ วโรดม ผูเ้ รียบเรยี ง ๑๔๒

ญงิ กับจาย กนั ไดถ฾ ูกเนอื้ เหมอื นด่ังค฾าง หิงไฟ (หมายถึง หญิงกับชาย เมื่อได฾ถูกต฾องตัวกัน เหมือนครั่งท่ีแข็งกระด฾างลนไฟ) เป็นบท เปรียบเทียบสอนหญิงและชาย ให฾ระวังอย฽าใกล฾ชิดกันเกินไป โดยเปรียบผู฾หญิงเหมือนครั่ง เปรียบ ผ฾ูชายเป็นไฟ ซึ่งสะท฾อนให฾เห็นค฽านิยมเร่ืองพรหมจรรยแของหญิงสาวในสังคมท฾องถิ่นภาคเหนือก็มี เช฽นเดียวกบั ของภาคกลาง หรอื ในบทว฽า ใครซ฽ อนเอาตัว พาสร฾อยดอกไม฾ อยู฽ตามฮอ฽ งห฾วย ภูดอย มีหัน้ พร่าํ พรอ฾ ม บกุ มันหัวกลอย กระจา฽ งกลางดอย ไม฽ทกุ ขา฽ เกง้ิ นอ฾ งสะพายพก ทีส่ ะพายกง พายกันสองคน ใครห฽ ัววเิ วกเล฽น ค฽าวซอบทน้ีแสดงความรักแท฾ของหญิงและชาย โดยฝุายหญิงกล฽าวถึงผู฾ชายที่ตนรักว฽า ผู฾หญิงยอมจะไปอยูร฽ ว฽ มทุกขรแ วมสุขทุกแห฽ง แม฾จะอยู฽ตามห฾วยตามภูเขา เพราะทุกทีมีทุกอย฽างพร฾อม ท้ังบุก มันเทศ หัวกลอยสําหรับเป็นอาหารกลางปุา ไม฽มีความทุกขแใด ๆ สักนิดตัวผู฾หญิงจะสะพาย ห฽อผ฾า ส฽วนผ฾ูชายสะพายคันกระสุน อยู฽ด฾วยกันสองคน มีความสุขสงบค฽าวซอบทน้ีได฾แบ฽งหน฾าที่ของ ชายและหญิงให฾เห็นเด฽นชัด ว฽าผ฾ูหญิงจะดูแลกิจการบ฾านเรือน เคร่ืองน฽ุงห฽มและอาหาร ส฽วนผู฾ชายมี หน฾าปกปูองคุ฾มภัยจึงต฾องถือกงซึ่งเป็นคันกระสุน อีกทั้งยังสะท฾อนสภาพภูมิประเทศทางภาคเหนือท่ี เป็นปุา เขา และห฾วย ตลอดตนการดํารงชีวิตแบบดั้งเดิม คือ การหาของปุาจําพวก บุก มันเทศ กลอย มาทําเป็นอาหารเพอ่ื ยงั ชีพ ๕. เพลงแคน แพลงแคนหรือเพลงลํานี้เป็นเพลงพ้ืนบ฾านภาคอีสาน เป็นการร฾องเก้ียวกันระหว฽างชาย กับหญิง ถ฾ามีแคนประกอบเรียกว฽า หมอลําแคน การร฾องน้ีทางภาคอีสานเรียกว฽า “ลํา” การลํา อาจจะลาํ เด่ยี ว เป็นชายหรือหญิงเล฽าเร่อื งหรอื เหตกุ ารณแ การลําชนิดน้ี เช฽น ลําโขง ลําเดินดง คือ ชม นก ชมไม฾ ฯลฯ ส฽วนลําประชัน จะมีชายหญิง หรือชายกับชาย หญิงกับหญิง ก็ได฾ อาจจะเป็นเร่ือง เกยี้ วกนั หรือตั้งปใญหาถามกัน เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมท฾องถน่ิ ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๖ | นายกิตศิ กั ดิ์ สขุ วโรดม ผู้เรยี บเรยี ง ๑๔๓

๖. เพลงนา เพลงนาเป็นเพลงพ้ืนบ฾านภาคใต฾คล฾ายกับเพลงเกี่ยวข฾าวของภาคกลาง มีเรื่องเล฽าว฽าใน สมัยรัชกาลท่ี ๕ ประมาณ พ.ศ. ๒๔๒๖ มีคหบดีผู฾หนึ่ง มีท่ีดินไร฽นามากมาย อย฽ูท่ีอําเภอท฽าแซะ จังหวดั ชุมพร ได฾ให฾มกี ารประกวดรอ฾ งเพลงนาท฽ามกลางคนหนม฽ุ สาวทีไ่ ปช฽วยเก่ียวข฾าวในนาคหบดีท฽า น้ัน จึงได฾มีการคิดแต฽งเพลงนา ซึ่งเดิมเป็นการเล฽นกลอนทั่วไป ซึ่งใคร ๆ ก็ขับได฾ ให฾เป็นเพลงที่มี ความซาบซงึ้ ถึงอกถงึ ใจผฟ฾ู งใ มากท่ีสุดข้นึ การเล฽นเพลงนา นอกจากจะใช฾เล฽นแก฾เก้ียวกันในนานานแล฾ว ยังใช฾เล฽นโต฾คารมกันใน งานวดั งานนักขัตฤกษแแ ละงานมงคลตา฽ ง ๆ ตลอดจนแกเ฾ กย้ี วกนั เม่อื หนมุ฽ ไปเยีย่ มสาวทบ่ี า฾ น ๗. เพลงบอก เพลงบอกเป็นเพลงพ้ืนบ฾านอีกชนิดหน่ึงของภาคใต฾ มีหลักฐานว฽าเกิดเป็นครั้งแรกท่ี จังหวัดนครศรีธรรมราช แล฾วแพร฽หลายไปตามจังหวัดใกล฾เคียง เช฽น สุราษฎรแธานี สงขลา ตรัง และ พทั ลงุ เดมิ เพลงนี้ นกั เพลงบอกจะประมวลเร่อื งราวประกาศสงกรานตแตามแบบโหรศาสตรแจาก ปฏิทินหลวง แล฾วแต฽งเป็นเพลงมีกลอนสัมผัส นําไปขับร฾องให฾คนในท฾องถ่ินฟใง เพ่ือบอกให฾รู฾แทน ปฏิทิน เน่ืองจากสมัยก฽อนปฏิทินตามชนบทยังมีใช฾กันไม฽ท่ัวถึง ดังนั้นพอถึงเทศกาลสงกรานตแ ชาวบ฾านก็จะคอยฟใงเพลงบอกกัน ผ฾ูเป็นพ฽อเพลงแม฽เพลงมักจะขับร฾องเสริมบทอวยพรสงกรานตแแก฽ เจา฾ ของบา฾ นด฾วย ดนตรีที่ใช฾เล฽นประกอบมีเพียงอย฽างเดียว คือ ฉิ่ง ต฽อมาเม่ือมีคนชอบฟใงมากขึ้น จึง มีผู฾นําเอานิทานมาเรียบเรียงเปน็ กลอนบอก เชน฽ จันทโครพ ต฽อมาวทิ ยาการเจริญข้ึน การคมนาคมสื่อสารสะดวกข้ึน การร฾องเพลงบอกเพื่อประกาศ สงกรานตแจึงไม฽เป็นอีกต฽อไป นักเพลงบอกจึงจําเป็นต฾องปรับปรุงเปล่ียนแปลง เพลงบอกให฾เข฾มข฾น ด฾วยการประชันเพลงบอก จึงเกิดเป็นเพลงบอกโต฾ คือ การโต฾หรือปะทะคารมกันด฾วยเพลงบอก มี กตกิ าเพยี ง ๒ ประการ คอื ถา฾ ตดิ กลอน และตอบปญใ หาท่ีอกี ฝาุ ยถามมาไม฽ได฾ กต็ ฾องประกาศยอมแพ฾ ให฾ได฾ยินกันท่ัว การโต฾ตอบนี้ต฾องใช฾กลอนสด และปฏิภาณอย฽างยอดเย่ียม เช฽น การโต฾เพลงบอก ระหว฽างรอดหล฽อ และปานบอด (คือนายรอดผ฾ูมีหน฾าตาดี และนายปานผู฾ตาบอด) นักเพลงบอกท่ีมี ชื่อเสยี งในอดีตของภาคใต฾ (ประคอง เจรญิ จติ รกรรม, ๒๕๓๙, หนา฾ ๑๖-๒๘) เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมท฾องถ่นิ ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี ๖ | นายกิตศิ กั ดิ์ สขุ วโรดม ผเู้ รียบเรียง ๑๔๔

ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งเพลงพน้ื บา้ นกับการดารงชีวิต เพลงพื้นบ฾าน เป็นเพลงท่ีเกิดจากกล฽ุมชนในท฾องถ่ินท่ีสืบทอดกันมานานให฾ทราบว฽าใคร เป็นผู฾เริ่มร฾องเพลงเป็นคนแรก จากระยะเวลาท่ียาวนานทําให฾เน้ือเพลงผิดเพี้ยนจากเดิมไปบ฾างตาม ท฾องถิ่นต฽าง ๆ แต฽อย฽างไรก็ตาม เพลงเหล฽านี้ก็ยังคงแสดงวิถีชีวิตของกล฽ุมชนในท฾องถ่ินได฾อย฽าง น฽าสนใจ ความสมั พนั ธขแ องเพลงกบั การดาํ รงชวี ิตมีหลายด฾าน ดงั นี้ ๑. เพลงพืน้ บา้ นใชร้ ้องเพอื่ ความบนั เทิงแกก่ ลมุ่ ชนในท้องถน่ิ เพราะสังคมในด้ังเดิมไม฽ มีมหรสพให฾ความบันเทิงมากเหมือนปใจจุบัน คนในท฾องถ่ินต฽าง ๆ จึงต฾องใช฾ความสามารถและ ปฏภิ าณของบคุ คลในท฾องถน่ิ คดิ เพลงพ้นื บ฾านประเภทตา฽ ง ๆ ขึน้ เพือ่ ใหค฾ วามบนั เทงิ ในกลุม฽ ของตน ๒. เพลงพ้ืนบ้านมีบทบาทในการสอนกลุ่มชนในท้องถ่ิน เพราะเนื้อเพลงพ้ืนบ฾านจะ สอดแทรกอุดมคติ ความมง฽ุ หวัง ความรปู฾ ระสบการณแของผ฾ูรอ฾ งไว฾ดว฾ ย เม่อื ผู฾ฟใงเพลงนําไปร฾องเล฽นกัน ต฽อ ๆ ก็ทําให฾ความคิดในเนื้อเพลงค฽อย ๆ ซึมซาบเข฾าไปฝใงในจิตใจจนยอมรับและปฏิบัติตาในที่สุด นับว฽าเป็นวิธีการอันแบบแยบยลในการปลูกความคิด จริยธรรมของกล฽ุมชนโดยใช฾ความสนุกสนาน เป็นเครอ่ื งล฽อ ๓. เพลงพื้นบ้านช่วยสร้างความสามัคคี เพราะการเล฽นเพลงพ้ืนบ฾าน นอกจากเพลง กล฽อมเด็กแล฾ว จะต฾องรวมกล฽ุมกันเป็นการรวมกล฽ุมเพ่ือทํางาน หรือเพื่อหาความสนุกสนานในงาน นักขัตกฤษแ งานมงคลต฽าง ๆ ฉะน้นั การท่ีชาวบ฾านรวมกล฽ุมกันได฾และร฽วมใจกันเล฽นเพลงพื้นบ฾านได฾ก็ จาํ เป็นตอ฾ งมคี วามสามัคคี ๔. เพลงพ้ืนบ้านสะท้อนให้เห็นค่านิยมเด่น ๆ ของคนไทย เราจะเห็นได฾ว฽าถึงแม฾ ประเทศไทยจะแบ฽งออกเป็นหลายภาค และมีสภาพทางภูมิศาสตรแและเศรษฐกิจที่แตกต฽างกัน ออกไป แตค฽ นไทยกย็ ังมคี ฽านยิ มเดน฽ ๆ ท่ีคลา฾ ยคลึงกัน อนั ไดแ฾ ก฽ ๔.๑ ค่านยิ มเรอ่ื งรักสนุก ดังจะเห็นได฾จากเพลงพ้นื บ฾าน โดยเฉพาะเพลงปฏิพากยแมักจะ เกิดจากการรวมกล฽ุมทํางาน ชาวบ฾านท่ีมาทํางานก็คิดเล฽นเพ่ือช฽วยผ฽อนคลายความเหน็ดเหนื่อย ทํา ใหก฾ ารทาํ งานได฾ทง้ั งานและความสนุกสนานไปพรอ฾ ม ๆ กนั เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ฾ งถ่นิ ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี ๖ | นายกิตศิ กั ด์ิ สขุ วโรดม ผ้เู รยี บเรยี ง ๑๔๕

๔.๒ ค่านยิ มเรอ่ื งความกตญั ํู คนไทยทุกท฾องถ่นิ จะถอื ว฽าความกตัญโูเป็นส่ิงสําคัญ ใน การเลน฽ เพลงจงึ ตอ฾ งมีบทไหวค฾ รู เพ่อื แสดงความคารวะตอ฽ ครูก฽อนทุกครั้ง ค฽านิยมเร่ืองความกตัญโูน้ี ไม฽ได฾มีเฉพาะคนไทยทีน่ ับถอื พุทธศาสนา แมค฾ นไทยท่นี บั ถอื ศาสนาอิสลามกม็ ีบทกล฽อมเด็ก ๔.๓ คา่ นยิ มเรอ่ื งยดึ มน่ั ในศาสนา เพลงพ้ืนบ฾านมักจะกล฽าวหลักธรรมของศาสนาของผู฾ ขับร฾องเพ่ือเป็นการสอนและให฾ความรู฾แก฽ผู฾ฟใง ขณะเดียวกันก็แสดงถึงความเชื่อในศาสนาของผ฾ูขับ ร฾อง ถ฾าเป็นพุทธศาสนาก็มักจะเน฾นเรื่องกรรม ว฽าใครทําสิ่งใดไว฾ก็ย฽อมได฾รับผลของการกระทําของ ตนเองตอบแทนในท่สี ุด เป็นต฾น ๔.๔ ค่านิยมเรื่องผู้ปฏิภาณ คนไทยทุกคนทุกท฾องถิ่นจะยกย฽องคนท่ีฉลาดมีปฏิภาณดัง เราจะเหน็ วา฽ ในการเล฽นเพลงพน้ื บ฾าน โดยเฉพาะเพลงปฏพิ ากยแ มักจะมีการประชันเพ่ือแข฽งขันว฽าใคร จะมีปฏิภาณสามารถ “ต฾น” เพลงโต฾ตอบได฾อย฽างฉับพลัน แม฾ในการร฾องเพลงกล฽อมเด็ก ผ฾ูขัยร฾องก็ จะตอ฾ งคดิ เน้อื หาของเพลงทีจ่ ะจะสอ่ื ความร฾ูสึกของตนเพิ่มเติมด฾วย ดังน้ันเพลงพ้ืนบ฾านจึงเป็นเครื่อง แสดงปฏภิ าณของกลุ฽มชนทอ฾ งถน่ิ อย฽างหนึง่ ๕. เพลงพ้ืนบ้านเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยปลูกฝ๎งความรู้สึกรักบทกลอนของคนไทย คนไทยคุ฾นเคยกับกาพยแกลอนตั้งแต฽เด็ก ด฾วยเพลงกล฽อมเด็กที่แม฽หรือญาติขับกล฽อม โตข้ึนมาก็ร฾อง เล฽นดับเพื่อนเป็นบทกลอนด฾วยเพลงสั้น ๆ เม่ือวัยหน฽ุมสาวก็มีวิธีการเล฽นเพลงปฏิพากยแจึงทําให฾ ความรส฾ู ึกรกั บทกลอนซมึ ซาบเข฾าไปในจิตใจ ช฽วยให฾คนไทยทกุ ทอ฾ งถิน่ เปน็ คนเจ฾าบทเจ฾ากลอน ๖. เพลงพ้ืนบ้านเป็นแหล่งบันทึกความเชื่อของคนในท้องถ่ิน จะเห็นได฾ว฽าเพลง พ้ืนบ฾านมักมีการกล฽าวถึงผีและส่ิงศักดิ์สิทธ์ิอย฽ูเสมอ ผีและส่ิงศักด์ิสิทธิ์เหล฽านี้มีส฽วนช฽วยสร฾าง ความรู฾สกึ ผกู พันกนั ของคนในทอ฾ งถน่ิ เดยี วกนั เชน฽ การมีผบี รรพบรุ ุษรว฽ มกนั ดังน้ันจะเห็นได฾ว฽า เพลงพ้ืนบ฾าน มิได฾มีคุณค฽าเพียงให฾ความบันเทิงเท฽าน้ัน แต฽ยังมีคุณค฽า ในฐานะเป็นแหล฽งบันเทิงความเป็นมาและวัฒนธรรมท฾องถิ่น ตลอดจนสืบทอดความคิด อุดมการณแ สบื ต฽อไปยังคนยุคต฽อไปอีกดว฾ ย (ประคอง เจรญิ จิตรกรรม, ๒๕๓๙, หนา฾ ๒๘-๓๐) เพลงพื้นบ฾านในทุกภาคของประเทศไทยมีความหลากหลายประเภท มีเน้ือหากว฾างและ หลากหลายมาก ข้ึนอย฽ูกับว฽าผ฾ูแต฽งเพลงจะคิดเน้ือร฾องแบบใดขึ้นมา เพลงพื้นบ฾านนับว฽าเป็นผลผลิต เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมท฾องถ่นิ ชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ ๖ | นายกิตศิ ักดิ์ สขุ วโรดม ผู้เรยี บเรยี ง ๑๔๖

ของชาวบา฾ น ท่ีถา฽ ยทอดทางมขุ ปาฐะ อาศัยการฟใงและการจดจําตอ฽ ๆ กนั มาเพลงพืน้ บ฾านไม฽มีท่ีมาที่ แน฽นอน ไมท฽ รายว฽าใครเปน็ ผร฾ู อ฾ งคนแรก จึงถือวา฽ เปน็ เพลงของชุมชนส฽วนรวม เน้ือร฾องของเพลงพ้ืนบ฾านที่มีผ฾ูบันทึกไว฾มีเร่ืองราวต฽าง ๆ กัน ส฽วนใหญ฽จะเป็นเร่ืองท่ี สนุกสนาน ไม฽ค฽อยกล฽าวถึงความทุกขแที่หนัก ๆ พ฽อเพลงแม฽เพลงสามารถขยายเน้ือร฾องไปได฾เร่ือย ๆ คนเหล฽าน้ีมักเป็นปฏิภาณกวีอยู฽แล฾ว ประกอบกับคนไทยมีนิสัยรักบทกลอนสามารถนําถ฾อยคํามาผูก เป็นประโยคเพ่ือใช฾ขับร฾องได฾อย฽างไพเราะและได฾อารมณแท่ีสําคัญก็คือ ผ฾ูที่ขับร฾องเพลงพ้ืนบ฾านคือคน ท่ีอย฽ใู นชนบท ภาษาท่ใี ช฾จึงง฽าย ตรงไปตรงมา (ประพนธแ เรืองณรงคแ และ เสาวลักษณแ อนันตศานตแ, ๒๕๔๗, หนา฾ ๑๒๘) เพลงพ้ืนบ฾านเป็นส฽วนหน่ึงของวัฒนธรรมชาวบ฾านที่สําคัญ การศึกษาเพลงพื้นบ฾านทั้งใน รูปแบบ เนื้อหา ภาษา และท฽วงทํานอง ตลอดจนประโยชนแของเพลงพ้ืนบ฾าน นอกจากจะเห็น วิวัฒนาการของสังคมชาวบ฾านในทุกด฾านแล฾ว ผู฾ศึกษายังเกิดความภาคภูมิใจ และสามารถนําเพลง พื้นบ฾านไปใช฾ประโยชนแไดด฾ ฾วย (เรไร ไพรวรรณ,แ ๒๕๕๑, หนา฾ ๒๐๐) เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ฾ งถนิ่ ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ ๖ | นายกิติศักดิ์ สขุ วโรดม ผเู้ รียบเรยี ง ๑๔๗

บทที่ ๕ ปริศนาคาทาย เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ฾ งถ่ิน ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๖ | นายกติ ิศักด์ิ สขุ วโรดม ผ้เู รยี บเรยี ง ๑๔๘

ปรศิ นาคาทาย ปริศนาคําทาย เป็นภูมิปใญญาของชาวบ฾านท่ีบอกเล฽าสืบต฽อกันมาช฾านาน ถือเป็นข฾อมูล มุขปาฐะที่สําคัญ เพราะปริศนาคําทายนอกจากจะให฾ความบันเทิงแล฾ว ยังมุ฽งฝึกสมองลองปใญญา เป็นเครอ่ื งมือในการอบรมส่ังสอนคนให฾มีความช฽างสังเกต ช฽างคิด การศึกษาปริศนาคําทายนอกจาก จะทราบถึงภูมิปใญญาของคนไทยต้ังแต฽อดีตถึงปใจจุบัน ยังสามารถนํามาใช฾ประโยชนแในการพัฒนา ตนเองได฾อยา฽ งดีอีกด฾วย (เรไร ไพรวรรณแ, ๒๕๕๑, หนา฾ ๘๙) ความหมายของปรศิ นาคาทาย ปริศนา (ปริดสะหนา) หมายถึง สิ่งหรือถ฾อยคําที่ผูกขึ้นเป็นเง่ือนงําเพื่อให฾แก฾ให฾ทาย (ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๔๖, หน฾า ๖๗๓) อ฾างใน (เรไร ไพรวรรณแ, ๒๕๕๑, หน฾า ๘๙) ปริศนาคําทาย เป็นข฾อมูลมุขปาฐะเป็นส฽วนใหญ฽ อาจมีสิ่งอื่นปรากฏบ฾างแต฽ไม฽มาก เช฽น ปริศนาภาพ ปริศนาท฽าทาง เปน็ ต฾น จุดมุ฽งหมายก็เพอื่ ความบันเทิงเป็นสําคัญ นอกจากน้ันยังเป็นการฝึกสมอง ลองปใญญา ฝึกให฾ เป็นคนช฽างสังเกต มีไหวพรบิ ปฏภิ าณในการแกป฾ ญใ หาและตอบปใญหา ทมี่ าของปรศิ นาคาทาย เราไม฽อาจจะระบุได฾อย฽างแน฽นอนว฽าปริศนาเกิดข้ึนเม่ือไร และชนชาติใดที่มีการทายปริศนา ข้ึนมาก฽อนชาติอื่น ๆ เราทราบแต฽เพียงว฽าการทายปริศนามีหลักฐานปรากฏอยู฽ในประเพณีเก฽าแก฽ โบราณของหลายชาติ ในประเทศไทยเอาก็มีความนิยมทายปริศนาถึงกับการผูกปริศนาเป็นโคลงใน สมัยพระมงกุฎเกล฾าเจ฾าอย฽ูหัว แต฽การทายปริศนาทั่วไปน้ันมีลักษณะเป็นการถามการตอบแบบมุข ปาฐะ มีการใช฾ถ฾อยคําที่เป็นแบบแผนเฉพาะ คือ ประกอบด฾วยคําถามหรือส่ิงท่ีน฽าจะเป็นคําถามและ สว฽ นท่เี ป็นคาํ ตอบ (ประพนธแ เรืองณรงคแ และ เสาวลกั ษณแ อนันตศานตแ, ๒๕๔๗, หน฾า ๑๐) ปริศนาคําทาย เกิดจากความต฾องการภูมิปใญญากัน จึงมีการทายปริศนา ซ่ึงบางคร้ังก็เป็น ปริศนาท่ีถามตรง ๆ บางคร้ังก็เป็นปริศนาซับซ฾อน เร่ืองที่ทายมีท้ังปใญหาทางธรรม การทายปริศนา นยิ มกนั มานานแต฽โบราณกาล ดังจะเห็นจากตํานานประเพณสี งกรานตกแ ม็ กี ารทายปรศิ นา คอื ท฾าวมหาพรหมตั้งปริศนาให฾พระขัณฑกุมารตอบ ถ฾าตอบไม฽ได฾ พระขัณฑกุมารต฾องตัดศีรษะ ให฾ท฾าวมหาพรหม หากตอบได฾ ท฾าวมหาพรหมจะตัดศีรษะตนเองให฾พระขัณฑกุมาร ในที่สุด เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมท฾องถ่ิน ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๖ | นายกติ ศิ กั ดิ์ สขุ วโรดม ผเู้ รียบเรียง ๑๔๙


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook