๑. นิทานพื้นบา นเปน็ เครื่องมอื ชว ยใหมนุษยเแ ขา ใจสภาพของมนษุ ยแโดยท่วั ไปไดด ยี ่ิงข้ึน ๒. นิทานพื้นบานเปน็ เสมอื นกรอบลอ มชีวิตใหอยูในขอบเขตท่ีมนษุ ยแในสังคมนั้น ๆ นิยม วาดหี รอื ถกู ตอ ง ๓. นิทานพื้นบานทําใหมนุษยแรูจักสภาพชีวิตทองถ่ินโดยพิจารณาตามหลักที่วาคติ ชาวบา นเปน็ พ้ืนฐานชีวติ ของคนชาติหนึ่ง ๆ หรอื ชมกลุม น้ัน ๆ ๔. นิทานพืน้ บานเป็นมรดกของชาตใิ นฐานะเป็นวฒั นธรรมประจําชาติเป็นเรื่องราวเกี่ยว ชวี ิตมนษุ ยแแ ตละชาตแิ ตละภาษา ๕. นทิ านพ้ืนบา นเปน็ ทัง้ ศลิ ปแ ละศาสตรแ เปน็ ตนเคา แหง ศาสตรตแ าง ๆ ๖. นทิ านพ้นื บา นทําใหเ กดิ ความภาคภมู ิใจในทอ งถ่นิ ของตน ๗. นทิ านพน้ื บานเป็นเครื่องบันเทิงใจยามวา งของมนุษยแ ท่มี าของนทิ านพืน้ บ้าน นิทานเกิดข้ึนจากความตองการทางใจของมนุษยแ ในสมัยโบราณ เม่ือมนุษยแเร่ิมมีภาษา พูดพอท่ีจะติดตอส่ือสารกันได ก็มีการเลาเรื่องราวสูกันฟใง เพราะในการดําเนินชีวิตประจําวันน้ัน มนุษยตแ อ งด้นิ รนเพ่อื ใหมีชวี ติ อยรู อดทา มกลางภยั อันตรายรอบดาน ก็ยอมจะเกิดความเครียด ความ กังวล และความเหน็ดเหน่ือย ทําใหตองแสวงหาสิ่งท่ีทําใหเกิดความบันเทิงเพื่อผอนคลายอารมณแ บางคนกม็ เี ร่อื งราวที่ไดป ระสบมาทีอ่ ยากจะเลา ใหผ ูอ ื่นฟงใ หรือแลกเปลี่ยนความคิดกัน เรื่องท่ีนํามาเลาสูกันฟใงน้ีแตกตางกันไปตามสภาพของทองถิ่น สภาพภูมิศาสตรแและ วัฒนธรรม แตจุดประสงคแในการเลาเป็นแบบเดียวกัน คือ ตองการสรางความพอใจและความ เพลดิ เพลนิ การเลาเรื่องในตอนแรก ๆ ก็คงจะเป็นเรื่องที่ผูเลาไดประสบมาเม่ือความนิยมในการเลา มีมากขึ้น ผูที่มีความสามารถในการคิดฝในก็ใชจินตนาการแตงเรื่องราวข้ึนมา จากเร่ืองที่งายไม ซบั ซอ น เป็นเรื่องที่ยาวและซับซอ นขึน้ มเี นอื้ หาท่ีสนุกสนานแลว แตวา จะแตงอยา งไร ความเช่ือทางศาสนาก็มีอิทธิพลตอการเลานิทานมาก เชน นิทานชาดก ซ่ึงมีกําเนิดท่ี อนิ เดยี แลวแพรเขา มาในประเทศไทย เป็นการเลาเรื่องราวของพระพุทธเจาในอดีตชาติ นิทานชาดก เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ งถิ่น ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี ๖ | นายกติ ิศักด์ิ สขุ วโรดม ผ้เู รยี บเรียง ๑๐๐
มกี ารผูกเรอ่ื งโดยยดึ หลกั ศาสนาและเพ่อื มงุ ส่ังสอนศีลธรรมเปน็ หลกั เชื่อกันวา พระพุทธองคแใชนิทาน ชาดกเป็นเคร่ืองมือสั่งสอนประชาชนโดยดัดแปลง จุดประสงคแในการเลาใหเขากับหลักธรรมทาง พระพทุ ธศาสนาเพอื่ ใหประชาชนยดึ หลกั ธรรมทว่ี าทําดไี ดด ีทําชว่ั ไดช ัว่ ประพนธแ เรอื งณรงคแ และ เสาวลกั ษณแ อนันตศานตแ, ๒๕๔๗, หนา ๕๘-๕๙ ประเภทของนทิ านพื้นบ้าน การแบงนิทานตามรปู แบบของนทิ าน การแบงนิทานตามรูปแบบของนิทาน หรือท่ีในบางแหงเรียกวาแบบนิทานน้ีเป็นการ แบง ทน่ี ยิ มใชก นั อยา งกวา งขวาง แนวคดิ ในการแบงนิทานตามลักษณะนี้มีอยูหลายแนวคิด ในที่น้ีขอ นําเสนอพอเป็นตัวอยาง ดังนี้ กุหลาบ มัลลิกะมาส, ๒๕๑๘, หนา ๑๐๖-๑๐๙ อางใน (เรไร ไพรวรรณ,แ ๒๕๕๑, หนา ๓๕) ๑. นิทานปรัมปรา๒ ๒. นิทานท้องถิ่น - นิทานเกี่ยวกบั ความเชือ่ ตา ง ๆ - นทิ านเกยี่ วกบั สมบตั ิที่ฝใงไว - นิทานวีรบรุ ุษ - นทิ านคติสอนใจ - นิทานเก่ยี วกับนกั บวช ๓. เทพนยิ าย ๒ นิทานปรมั ปรา คอื เร่ืองเลา เกย่ี วกับเร่ืองราวเกาแกของมนษุ ยแ เรอ่ื งราวเหลา นเี้ กิดขึน้ ในอดตี ไมทราบทีม่ า ไมปรากฏวา ใคร เป็นผูแตง แตชนชาตติ า ง ๆ ในโลกนมี้ กั มนี ทิ านปรมั ปราของตนเองเพื่ออธิบายความเป็นมาของชมุ ชนหรอื ชาตขิ องตนเอง หรอื เพอ่ื ตอบคาํ ถามเกีย่ วกบั ปรากฏการณแธรรมชาติบางอยา ง (ประพนธแ เรืองณรงคแ และ เสาวลักษณแ อนนั ตศานตแ, ๒๕๔๗, หนา ๗๗) เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทองถ่นิ ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๖ | นายกิติศักด์ิ สขุ วโรดม ผเู้ รียบเรียง ๑๐๑
๔. นทิ านเรื่องสตั ว์ - นิทานประเภทสอนคตธิ รรม - นิทานประเภทเลา ซ้ําหรอื เลาไมรูจบ ๕. นิทานตลกขบขัน นอกจากน้ีในสารานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เลม ๑๕, ๒๕๓๐, หนา๙๗๗๓- ๙๗๗๖ อางใน (เราไร ไพรวรรณแ, ๒๕๕๑, หนา ๓๖) ไดจัดแบงนิทานไทยตามสมัยออกเป็น ๘ ประเภท ดังน้ี ๑. นิทานก่อนมีประวัติศาสตร์ ไดแก นิทานท่ีมีอยูในพงศาวดารเหนือ เรื่องที่กลาวถึง เป็นเร่ืองท่ีเกิดขึ้นกอนสมัยสุโขทัยเป็นราชธานีของไทย ไมทราบวาใครเป็นผูแตง เชน นิทานเร่ือง ขอมดําดิน นทิ านเหลา นี้นกั โบราณคดีในสมยั ตอมาสนั นิษฐานวา อาจจะมีตนเคาความจริงแฝงอยู กวี บางทานไดน ําเคาเรอื่ งบางเรือ่ งมาแตงเปน็ วรรณคดี ๒. นิทานประเภทชาดกในนิบาตชาดก นิทานเหลาน้ีมีมานานประมาณ ๕๐๐ เรื่อง สันนิษฐานวาเขามาในระเทศไทยพรอมพระพุทธศาสนา คือ ในสมัยสุโขทัย นิทานเหลานี้บางเรื่อง เปน็ นิทานเกาแกมมี ากอ นพทุ ธกาล เรือ่ งใดทีต่ รงกับคําสอนพอจะยกเปน็ อทุ าหรณแได ๓. นิทานประเภทคาสอน เป็นนิทานที่แทรกคําสอนเกี่ยวกับการดําเนินชีวิตการศึกษา ความรู การคบหาสมาคมกบั นกั ปราชญแราชบณั ฑติ การวางตน และการครองตน ไดแก นิทานเกาแก ของอินเดียบาง นทิ านของกรีกบาง เชน นิทานเร่ืองตา ง ๆ ในหโิ ตปเทศ เป็นตน ๔. นทิ านชาดกนอกนิบาต นิทานประเภทน้ีไดเรื่องมาจากปใญญาสชาดก สันนิษฐานวา เป็นนิทานพื้นเมืองของประเภทตาง ๆ เชน ทิเบต ศรีลังกา ชวา เป็นตน แลวนํามาแตงใหมีลักษณะ คลายคลึงกับเรื่องชาดกในนิบาต มีลักษณะแอบอางพุทธวจนะ การกลับชาติมาเกิด เป็นตน นิทาน เหลาน้ีเขามาในประเทศไทยราว ๆ สมันอยุธยา ที่แตงเป็นวรรณคดีที่มี ที่ใชเลนเป็นละครก็มี เชน เร่อื ง สมุทรโฆษ สังขแทอง สุธน เปน็ ตน เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทองถน่ิ ชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ ๖ | นายกติ ิศกั ด์ิ สขุ วโรดม ผเู้ รยี บเรยี ง ๑๐๒
๕. นิทานพ้ืนเมอื ง เป็นเรื่องท่ีเกยี่ วกับตํานานของสถานที่ตามเมืองตาง ๆ บอกถึงสาเหตุ ท่ีไดช่ือน้ัน ๆ เพราะเหตุใด เชน นิทานตามองลาย ที่มากลายเป็นช่ือของภูเขาลูกหน่ึงท่ีจังหวัด ประจวบคีรีขันธแ และตํานานวัดพระนางเชิง (ปใจจุบันคือวัดพญาเชิง) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่มี เร่ืองพระเจา สายนาํ้ ผงึ้ กบั นางสรอ ยดอกหมาก เป็นตน ๖. นิทานประเภทจักร ๆ วงศ์ ๆ ไดแก นิทานท่ีผูแตงสรางโครงเร่ืองขึ้นเองหรือใชแนว เทียบ ลกั ษณะของเรื่องเปน็ ไปในแบบพรรณนาถึงชีวิตของเจา ชายองคหแ นง่ึ เริม่ ต้ังแตอ อกไปแสวงหา วิชากับพระอาจารยแ เม่ือสําเร็จแลวมีการผจญภัยแลวพบคูครอง จนในที่สุดไดครองราชยแสมบัติมี ความสขุ ตลอดไป บางเรือ่ งจะมีพระอินทรแเขามาเก่ียวของดวย ซึ่งคงจะเอาอยางมาจากชาดก บางที ก็เป็นเรื่องหึงหวง อิจฉาริษยา ใสรายปูายสีกัน แตในตอนจบจะจบลงดวยดีเสมอ คือ ธรรมะชนะ อธรรม ๗. นิทานสุภาษิต นิทานพวกน้ีมีแทรกอยูกับสุภาษิต มักเป็นเรื่องท่ีรูจักกันอยูแลว เชน โคลงโลกนิติมีโคลงท่ีกลาวถึงเรื่องราวในนิทาน เร่ืองหมูพาลกับราชสีหแ ซึ่งมีชื่อวา สุกรชาดก นทิ านเร่ืองนกแขกเตา กบั โจร เปน็ ตน ๘. นิทานยอพระเกียรติ เป็นนิทานท่ีใชแตงรวมกับพฤติกรรมของพระเจาแผนดินท่ีกวี ตอ งการยกยอง เชน นิทานเวตาล เป็นนทิ านที่จะแสดงใหเหน็ ถงึ ปใญญาของพระเจาวิกรมาทิตยแ จึงมี ลกั ษณะเป็นนิทานปริศนา นิทานแบบนี้ที่เป็นของไทยแท ๆ ไมม ี ๙. นทิ านปรมั ปราหรอื นทิ านทรงเครื่อง ลักษณะที่เห็นเดนชัดคือเป็นเรื่องคอนขางยาว มเี หตกุ ารณท่เี ป็นจุดขัดแยง ประกอบอยหู ลายเหตุการณแ หรอื หลายอนภุ าค เนอื้ เรอ่ื งจะประกอบดวย อทิ ธฤิ ทธ์ิปาฏหิ าริยแตา ง ๆ ซึ่งพน วิสยั มนุษยแ สถานท่เี กิดเหตไุ มแนช ดั วา มอี ยูท ใ่ี ด เชน ปลาบูทอง นาง สิบสอง สังขทแ อง เปน็ ตน ๑๐. นิทานท้องถ่ินหรือนิทานประจาท้องถน่ิ นิทานประเภทน้ีผูเลาจะเลาดวยความเชื่อ วา เหตุการณหแ รอื ปรากฏการณแท่ีเกิดขึ้นเป็นเรื่องจริงและมักจะมีหลักฐานอางอิงประกอบเร่ือง มีตัว บุคคลจริง ๆ มีสถานท่ีจริง ๆ กําหนดไวแนนอนกวาในนิทานปรัมปรา เชน พระรวง เจาแมสรอย ดอกหมาก ทา วแสนปม เมอื งลับแล พระยากง พระยาพาน เปน็ ตน เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ งถ่ิน ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๖ | นายกิตศิ กั ด์ิ สขุ วโรดม ผเู้ รยี บเรียง ๑๐๓
๑๑. นิทานประเภทอธิบายหรือนิทานอธิบายเหตุ เป็นเร่ืองที่ตอบคําถามวาทําไม เพ่ือ อธิบายความเป็นมาของบุคคล สัตวแ ปรากฏการณแตาง ๆ ของธรรมชาติอธิบายช่ือสถานท่ีตาง ๆ สาเหตุของความเชื่อบางประการ รวมท้ังเรื่องเก่ียวกับสมบัติท่ีฝใงไว นิทานประเภทน้ีของไทย ไดแก เหตุใดกาจึงมีสีดํา ทําไมมดตะนอยจึงเอวคอ ทําไมจึงหามนําน้ําสมสายชูเขาเมืองลพบุรี ปุูโสมเฝูา ทรพั ยแ นิทานทีพ่ บมาก คือ เร่ืองเกยี่ วกับสถานท่ี เชน เกาะหนู เกาะแมว ในจังหวัดสงขลา ถํ้าผานาง คอย เขาตามอ งลาย เปน็ ตน ๑๒. นิทานชีวิต เป็นเรื่องคอนขางยาว ประกอบดวยหลานอนุภาค หลายตอน กิ่งแกว อัตถากร, ๒๕๑๙, หนา ๑๕ อางใน (เรไร ไพรวรรณแ, ๒๕๕๑, หนา ๓๘) เนื้อหาของนิทาน คลายชีวิตจริงมากขึ้น ตัวละครในนิทานประเภทน้ีจะมีลักษณะเป็นคนธรรมดาสามัญมากกวาทาว พระยามหากษัตริยแ มีบทบาท การใชชีวิตเหมือนมนุษยแปุถุชนท่ัวไป แกนของเร่ืองเป็นเร่ืองเกี่ยวกับ ความรัก ความโกรธ ความหลง ความรัก ความกลัว การผจญภัย สะเทือนอารมณแมากกวานิทาน ปรัมปรา ตัวเอกของเร่ืองจะใชภูมิปใญญา และความสามารถในการแกไขปใญหาตาง ๆ ซึ่งเป็น อุปสรรคของชีวิต แสดงความกลาหาญ อดทน อดกล้ัน เอาชนะอุปสรรค ศัตรู จนบรรลุจุดหมายไว ฉากและบรรยากาศของนิทานชนิดน้ีมีลักษณะสมจริงมากขึ้น เชน เร่ืองขุนชางขุนแผน พระลอ ไกร ทอง ของตะวันตก ไดแ ก นทิ านชดุ เดคาเมรอน ของตะวันออก ไดแ ก นทิ านอาหรับราตรี ๑๓. นิทานเรือ่ งผี เปน็ นทิ านท่มี ีตัวละครเป็นผี วิญญาณ มีเหตุการณแเก่ียวกับผี ผีหลอก ผีสิง เน้ือเร่ืองตื่นเตนเขยาขวัญ ทั้งผูเลาและผูฟใงคอนขางเช่ือวาเป็นเร่ืองจริง นิทานเร่ืองผีนี้สะทอน ใหเ ห็นถึงความเชือ่ ของคนไทยในเรือ่ งวิญญาณ และภตู ผีตา ง ๆ อยา งชัดเจน ๑๔. นิทานวีรบุรุษ เป็นนิทานที่กลาวถึงคุณธรรม ความสามารถฉลาดเฉลียว ความ- กลาหาญของบคุ คล สวนมากเปน็ วีรบรุ ษุ ของชาติหรือบานเมือง นิทานประเภทน้ีคลายคลึงกับนิทาน ปรัมปรา คือ ตัวละครเอกเป็นวีรบุรุษเหมือนกัน แตมีขอแตกตางกัน คือ นิทานวีรบุรุษมักกําหนด สถานที่ เวลาในเร่อื งแนชัดขน้ึ แกนเร่ืองของนิทานวีรบุรุษเป็นเร่ืองวีรกรรมของตัวเอกท่ีเกิดจากการ ตอสเู พ่อื คนสว นใหญ การผจญภยั ตา ง ๆ ที่เกง กลา สามารถ ๑๕. นทิ านคติสอนใจหรือนิทานประเภทคาสอน เป็นเรื่องสั้น ๆ ไมสมจริง มีเน้ือหาใน เชิงสอนใจ ใหแนวทางในการดําเนินชีวิตที่ถูกตองทํานองคลองธรรมบางเร่ืองสอนโดยวิธีบอกตรง ๆ เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทองถนิ่ ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๖ | นายกติ ศิ กั ด์ิ สขุ วโรดม ผเู้ รียบเรียง ๑๐๔
บางเรื่องใหเป็นแนวเปรียบเทียบเป็นอุทาหรณแ ในบางแหงจึงเรียกนิทานประเภทน้ีวา นิทาน อุทาหรณแบาง หรือนิทานสุภาษิตบาง ตัวละครในเร่ืองอาจจะเป็นคน สัตวแ หรือเทพยดา เป็นตัว ดําเนินเร่ือง สมมติวาเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในอดีต เชน เร่ืองหนูกัดเหล็ก นิทานอีสป นิทาน จากปใญจตันตระ เปน็ ตน ๑๖. นิทานศาสนา เป็นนิทานเก่ียวกับศาสนา พระเจา นักบวชตาง ๆ มีประวัติ อภินิหารหรืออิทธิฤทธ์ิ เรื่องลักษณะนี้ของชาวตะวันตกมีมาก เชน เรื่องพระเยซู และนักบุญตาง ๆ ของไทยก็มีบางท่ีเก่ียวกับอภินิหารของนักบวชที่เจริญภาวนามีฌานแกกลา มีอิทธิฤทธ์ิพิเศษ เชน เร่อื งหลวงพอ ทวด สมเดจ็ เจาแตงโม เป็นตน ๑๗. นิทานชาดก ชาดก หมายถึง เรื่องพระพุทธเจาท่ีมีมาในชาติกอน ๆ เนื้อเร่ืองจะ กลาวถึงประวัติและพระจริยวัตร ของพระพุทธเจาเม่ือครั้งยังเป็นพระโพธิสัตวแเสวยพระชาติในภพ ภูมิตาง ๆ เป็นคนบาง เป็นสัตวแบาง ไมวาพระพุทธเจาจะเสวยพระชาติเป็นอะไรก็ตาม จะมี คุณสมบัติแตกตางจากผอู น่ื ที่เหน็ ไดชดั เจนอยู ๒ ประการ คอื รูปสมบัติ จะมีรางการสมบูรณแ ถาเป็น สตั วแจะเปน็ เพศผู ถาเป็นคนจะเป็นเพศบุรุษ มีความสวางงามเป็นท่ีประทับตาประทับใจแกผูพบเห็น และมีนํ้าเสียงไพเราะ นิทานชาดกที่รูจักกันท่ัวไปก็คือ ทศชาดก โดยเฉพาะชาดกเร่ืองสุดทาย คือ พระเวสสันดร ๑๘. ตานานหรือเทพนิยาย เป็นนิทานท่ีมีตัวละครสําคัญเป็นเทพยดา นางฟูา หรือ บุคคลในเรือ่ งตองมีสวนสัมพันธแกับความเช่ือทางศาสนา และพิธีกรรมตาง ๆ ที่มนุษยแปฏิบัติอยู เชน เรื่องทาวมหาสงกรานตแ เรือ่ งเกย่ี วกับพระอนิ ทรแ เป็นตน ๑๙. นิทานสัตว์ เป็นนิทานท่ีมีตัวเอกเป็นสัตวแ แตสมมติใหมีความนึกคิด การกระทํา และพูดไดเหมือนคน มีทั้งท่ีเป็นสัตวแปุา และสัตวแปุา บางทีก็เป็นเร่ืองที่มีคนเก่ียวของดวยและพูด โตตอบ ปฏิบัติตอกันเสมือนคนดวยกัน บางเร่ืองก็แสดงถึงความเฉลียวฉลาด หรือความโงเขลาของ สัตวแ บางทีก็เป็นเร่ืองของสัตวแที่มีลักษณะเป็นตัวโกงคอยกลั่นแกลงคนอ่ืน แลวก็ไดรับความ เดือดรอนเอง นิทานสตั วแถาเลา โดยเจตนาจะส่ังสอนคติธรรมอยางใดอยางหน่ึงอยางชัดเจน ก็จัดเป็น นิทานคติสอนใจ เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทองถิน่ ชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี ๖ | นายกิตศิ ักด์ิ สขุ วโรดม ผูเ้ รียบเรียง ๑๐๕
๒๐. นิทานตลก สวนใหญเป็นนิทานส้ัน ๆ ซ่ึงจุดสําคัญของเรื่องอยูที่พฤติกรรม หรือ เหตุการณแที่ไมนาจะเป็นไปไดตาง ๆ อาจเป็นเรื่องเก่ียวกับความโง การแสดงไหวพริบปฏิภาณ การ แกเผ็ดแกลํา การพนันขันตอ การเดินทางผจญภัยท่ีกอเร่ืองผิดปกติในแงขบขันตาง ๆ ตัวเอกของ เรื่องอาจจะเป็นคนโงเขลาที่สุด และทําเร่ืองผิดปกติวิสัยมนุษยแท่ีมีสติปใญญาธรรมดาเขาทํากัน เชน เรอ่ื งศรีธนญชยั หวั ลานนอกครู เปน็ ตน ๒๑. นิทานเข้าแบบ เป็นนิทานที่มีแบบแผนในการเลาเป็นพิเศษแตกตางจากนิทาน ประเภทอ่ืน ๆ เชน ที่เลาซ้ําตอเน่ืองกันไป หรือมีตัวละครหลาย ๆ ตัวพฤติกรรมเก่ียวของกันไปเป็น ทอด ๒๒. นิทานปริศนา เป็นนิทานที่มีการผูกถอยคําเป็นเง่ือนงําใหทายหรือใหคิดไวในเน้ือ เร่ือง อาจไวทายเร่ือง หรือตอนสําคัญ ๆ ของเน้ือเร่ืองก็ไดเพื่อผูฟใงไดมีสวนรวมแสดงความรู ความคดิ เหน็ เก่ยี วกบั นทิ านท่ีไดฟ งใ หรืออาน นิทานปริศนาท่ีพบมากในไทย ไดแก นิทานปริศนาธรรม นิทานเวตาลทีเ่ รารับเขามากจ็ ดั เปน็ นิทานปริศนา อกี เรื่องหนง่ึ ทีเ่ ปน็ ท่ีรจู ักคือเรื่องสงกรานตแ การแบงนิทานพ้ืนบานดังท่ีกลาวมาแลว เป็นแนวทางในการแบงอยางกวาง ๆ ที่นิยมใช กันโดยท่ัวไป แตมิใชเป็นหลักตายตัว นิทานบางเร่ืองอาจจะมีลักษณะเน้ือหาคาบเก่ียวกันบาง ผศู ึกษาควรพจิ ารณาวัตถุประสงคแและทัศนคติของผูเลาประกอบกับลักษณะและเนื้อเร่ืองของนิทาน วามลี กั ษณะใดทีเ่ หน็ เดน ชดั แลว จงึ จัดจาํ แนกเขาหมวดหมู เรไร ไพรวรรณ,แ ๒๕๕๑, หนา ๓๖-๔๒ ความนิยมวรรณกรรมประเภทนทิ าน วรรณกรรมประเภทนทิ าน เป็นวรรณกรรมท่ีไดรับความนิยมมาก แตเร่ืองราวในทองถิ่น ตาง ๆ จะแตกตางกนั ออกไป วรรณกรรมประเภทนิทานทท่ี ุกทองถิ่นมีคลาย ๆ กัน ก็คือ วรรณกรรม เกย่ี วกบั ศาสนา เชน เร่ืองเวสสนั ดรชาดก พระมาลัย เป็นตน เหตทุ ีค่ นนิยมวรรณกรรมเหลานี้ทุกทองถ่ิน เน่ืองจาก ความเชื่อของคนในสังคมท่ีเช่ือวา ถาไดฟใงเร่ืองเวสสันดรชาดกจบครบพันคาถาใน ๑ วัน จะไมตกนรก และจะไดข้ึนสวรรคแ หรือจะได เกิดในยุคพระศรอี ารียแ คนไทยในทอ งถิน่ ยอ มปรารถนาสุขไมปรารถนาทุกขแกันท้ังสิ้น จึงนิยมฟใงเร่ือง เวสสันดร หรอื เรยี กวา เทศนมแ หาชาติกันอยางมาก เพอื่ หลกี เลีย่ งการตกนรก เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทองถิน่ ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๖ | นายกิตศิ กั ดิ์ สขุ วโรดม ผ้เู รียบเรยี ง ๑๐๖
สวนพระมาลัย เป็นเร่ืองกลาวถึงสวรรคแ แตกอนใชสวดในงานมงคล เชนแตงงาน ปใจจุบันเหลือเพียงสวดในงานศพ พระมาลัยยังเป็นที่นิยมของคนไทย ดวยกลาวถึงนรกสวรรคแ อัน เป็นดนิ แดนที่มนุษยแอยากรูจกั ความเป็นไป วรรณกรรมที่เก่ียวกับศาสนานี้จะมีเรื้อเรื่องเหมือนกันทุกภาค เพราะมีคัมภีรแมนทาง ศาสนาเป็นแมแบบ แตจะตางกันตรงสํานวนและรายละเอียดในการพรรณนาที่จะตางกันไปตาม ความนิยมและสภาพความเป็นอยูของทองถ่ิน เชน บทพรรณนาเกี่ยวกับอาหารในเวสสันดรชาดก ภาคตาง ๆ บทพรรณนาตอนนางอมิตตาเตรียมเสบียงใหชูชก เพื่อเดินทางไปขอสองกุมาร ทาง ภาคเหนือวา ดงั นี้ ดูกรานางเจาแมอมิตตาเฮย เจาจุงแตงตามมาไว ยังเขาไถเขาถง ใสทังเขาหนม แดกงา และนํ้าเผิ้งใหม สัพพะของกินใสทุกอัน พ่ีคอยจักปผันเอาห้ือได ยังขาชวยใหพ่ําเรินยางชะแล ทีน้ัน นางอมิตตา ก็มะโนมะนาแตงตาซวะไซว ยังเขาไทเขาถง ใสทังสตูผงและเขาสตูยอม นํ้าเผิ้งใหมและ เกลอื ใสทังหมากเขือและหมากถ่ัว เขาตมอั่วชิ้นยํา ใสทังจักจั่นตําผงและแมงดาอ่ัว ใสทังหัวบั่วและ หัวเทียม ใสทงั ซะเลียมและข้ีรา ใสทังพราและเหล็กไฟ ใสทังไตลและน้ําเตา เพื่อจักห้ือพราหมณแเถา ไปกนิ หนทาง แลว เอามาวางไวที่ใกล หอื้ เถาบาปใบเอาไปกนิ น้นั แล (คตชิ าวบา้ นลานนาไทย : ไพรถ เลศิ พิรยิ กมล) สว่ นของภาคใตจ้ ะพรรณนา วา่ ดังนี้ ๏ ขาวเหนียวขาวเจา นํ้าตาลมะพรา ว เนยนมเอามา ทําเปน็ กระสาย ขาวเมา ถั่วงา ขาวตอกตาํ ทา นาํ้ ออยเจือจาน ๏ เอาฟองไขเปด็ ปนุ แปูงทําเสร็จ ผงิ ไฟเป็นถาน ช่อื ขนมฝาหรั่ง ทง้ั มนั ท้ังหวาน ทศกรลุลกี าร (ขนั ทศกร ๑ องคุล)ี โรยงาขนมเปีย ๏ สตูกอ นผง เขาถัว่ ยีส่ ง ประสงทําเยีย กนิ ในไพรพฤกษแ ราํ ลึกถงึ เมยี ลาํ ดบั สับเสีย เสร็จแลวครบครนั ๏ สมุกเหลก็ ไฟ มีดหมากกรรไตร เหล็กแขวะกระบัน ลําดบั ใสย า ม เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทองถ่ิน ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี ๖ | นายกติ ศิ กั ด์ิ สขุ วโรดม ผู้เรยี บเรยี ง ๑๐๗
แลว วางไหพ ลับ หยิบนํ้าเตาขนั้ เอานํ้าเทใส (วรรณกรรมท้องถิ่น : ธวชั ปณุ โณทก) สว่ นของภาคอสี าน กวไี ดพรรณนาเกี่ยวกับอาหารตอนพระเจากรุงสัญชัยจัดมาตอนรับ ชชู กในกัณฑมแ หาราช ซึง่ ถงึ แมจะเป็นคนละตอนกับนางอมิตตาจัดเตรียมอาหารใหชูชก แตก็สะทอน ลกั ษณะอาหารประจําทองถน่ิ ไดด ีเชนกัน วา ๏ เมื่อนั้นบน้ั บุรุษสญั ชัย ก็ใหคนทั้งหลายแตง แบง ไว คอื ขา วตมแลหนมแหนม ขา วแขบ แลขา วเลยี่ น ขา วมธปุ ายาส ขาวหนมตม ควายใสหมากพรา ว ขา วเจา ใสมนั หมู สตตภุ ตตฺ ํ ขาวสัตตูพันกอ น สัตตุยอมออนหอ นา้ํ มันปลา ขา วแดกงาหอมยวด ขา วนวดแลขาวสาระวง ขาวผงปน้ใ เปน็ กลบี ขาวกลีบแลนาํ้ มันนมฟาน เป็นเครือ่ งหวานแกต าเฒา บอ ทอ แตน ้นั ขา วแลแกงท้งั หลาย อนั พาชอ ครัวหลวงแตงไว ดว ยของดขี องไขว คือแกงไกแลเจือมนั สรรพสรรพปแ งิ้ จี่ หมกหมอกหม่ินแลแกงกา ผกั ตบยําแลปลาบา้ํ กุงหนํา้ และยาํ ปี เพ่อื ใหเ ป็นเคร่อื งจแี ลเครื่องจา นาํ้ แจว ใสซ ้ีน ตม แกงสมใสข า วปูุน แกงขนุ ใสหมากจบั งาย ลาบควายใสข้ีเพย้ี หมกหมอกใสขา วเบือ หมากเขอื กับปลาแดก หมากแปบกบั นํ้าผกั เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทองถน่ิ ชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ ๖ | นายกติ ิศกั ดิ์ สขุ วโรดม ผเู้ รยี บเรียง ๑๐๘
พราหณํเฒามกั พาโล กนิ หมากหวาหมดสามขนั กนิ หมากพันหมดสามพอม กินหมากขามปอู มหมดสามแมว กินหมากพรา วหมดเจ็ดแซง กินแกงหมดเจด็ หมอ (วรรณกรรมท้องถน่ิ : ธวัช ปุณโณทก) ศัพท์ควรรู้ แบง คือ สราง, คํา ขาวแขบ คือ ขาวเกรียบชนิดหน่ึง ฟาน คือ เกง จํ้า คือ เครือ่ งสําหรบั จ้มิ แจว คือ นาํ้ พริกแจว ช้ิน คือ เน้ือ, ช้นิ เน้อื ขา วปุน คือ ขนมจีน ข้ีเพี้ย คือ ขี้ออนใน ลาํ ไส ปลาแดก คือ ปลารา คําประพันธแท่ียกมาแตละภาคจะเห็นไดวา แตละภาคอาหารแตกตางกันไปตามทองถ่ิน ทางภาคเหนือจะมีอาหารทองถิ่น “ตมอั่ว ช้ินยํา จักจั่นตําผง แมงดาอั่ว” นอกจากน้ี วิธีการเรียก “หมากเขอื หมาถั่ว” เปน็ การเรยี กที่คงศัพทแเดิมกอนจะกรอนเสียงมาเป็น “มะ” ของภาคกลาง สวน ภาคใตมีการติดตอคาขายกับคนหลายชาติจะไดรับอิทธิพลจากตางชาติดวย เชน “มีขนมฝาหร่ัง ขนมเปีย “ สวนของภาคอีสานมีอาหารทองถิ่นประเภท “ปลารา ขาวแขบ นํ้าแจว ฯลฯ” ประคอง เจรญิ จติ รกรรม, ๒๕๓๙, หนา ๘๐-๘๒ ความสมั พันธ์ระหวา่ งนิทานกับการดารงชวี ติ ของกลุ่มชนในทอ้ งถน่ิ ๑. นิทานบันทึกสภาพสังคมและการดาเนินชีวิตของคนในท้องถ่ิน คลายกับตํานาน เป็นการยืนยนั ใหเหน็ เดน ชัดวา บรรพบุรุษของเราไมว า จะอยูในทอ งถิน่ ใดจะมีอาชีพเกษตรกรรมเป็น หลัก เพียงแตว า ภาคใตจะมกี ารคา ขายดวย ดงั เชน นายวันคารไดด จี ากการแลกเปล่ียนสินคา ซึ่งเป็น การคา ขายท่ยี ังไมมีการใชเงนิ ตรา แตเ ปน็ ระบบการคา แบบแลกเปลี่ยนสง่ิ ของท่ีจาํ เปน็ กัน ๒. นิทานสะท้อนบทบาทสตรวี ่าเปน็ ผ้ดู แู ลบา้ นเรอื น ตั้งแต่หาเครื่องนุ่มห่ม หาอาหาร ปรนนิบัติสามี แมวาหญิงนั้นจะมีความสามารถเพียงไรก็ตองอยูกับสามี ในภาคใตคานิยมของสังคม ขอ นีเ้ หน็ ไดจากนางวันพธุ มีทั้งฐานะและดวงแกววิเศษ แตก็ตองเป็นผูตามนายวันคารผูชายซื่อ ๆ จน ๆ คนหน่ึงในทสี่ ดุ เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ งถ่ิน ช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๖ | นายกิตศิ ักดิ์ สขุ วโรดม ผเู้ รยี บเรียง ๑๐๙
๓. นิทานสะท้อนความศรัทธาในศาสนาและความเชื่อเรื่องกรรม วรรณกรรมนิทาน ทุกเรอ่ื งจะจบลงดว ยการชวี้ า คนดียอ มดไดรบั ผลกรรมดีตอบแทน นับเป็นจุดหน่ึงของนิทานท่ีชวยให คนในสังคมมีกําลังใจท่ีจะประกอบกรรมดี โดยเฉพาะเยาวชนท่ีเป็นคนกลุมใหญที่ชอบฟใงนิทานจะ ไดร บั การปลูกฝใงใหเ ห็นคุณคา ของการทําความดแี ทรกในเน้ือหาทสี่ นกุ สนาน นิทานจึงเป็นเครื่องมือสอนจริยธรรมแกคนในทองถ่ินทางออม ต้ังแตเด็กจนกระท่ังถึง ผูใหญ เพราะในนิทานจะแทรกคติขอควรปฏิบัติและไมควรปฏิบัติอยูในเนื้อหาอันสนุกสนานหรือ พฤติกรรมของตัวละครเอกท่ีนายกยอง และตัวละครฝุายปฏิปใกษแท่ีนารังเกียจ ทําใหผูฟใงใครจะทํา ตามตัวละครเอกท่ีตนพอใจยกยอง นิทานนับเป็นเคร่ืองมือสอนจริยธรรมท่ีดีกวาการสอนตรง ๆ ๔. นทิ านให้ความบนั เทงิ แก่กล่มุ ชนในทอ้ งถ่ิน ซงึ่ ถอื วามปี ระโยชนแมากเพราะชวยผอน คลายความตงึ เครียดจากการงานของคนในทองถน่ิ เนื่องจากในอดตี ไมม สี ิง่ บนั เทิงมากมายเชน สมัยนี้ ๕. นิทานก่อให้เกิดความสามัคคี เพราะเม่ือมีการเลานิทานก็จะตองมีผูมาฟใงการมา รว มกนั ฟใงนิทานทาํ ใหเกิดความคิดในแนวเดียวกัน มีโอกาสสนทนาทําความเขาใจกัน จึงทําใหคนใน สังคมเขาใจกนั ดขี ึ้นอยูรว มกนั ไดอ ยา งเป็นสขุ ๖. นิทานสร้างความภูมิใจแก่คนในท้องถ่ิน เนื่องจากผูอานผูฟใงนิทานจะเห็นความ เฉลยี วฉลาด ปฏิภาณในการแกไขปญใ หาท่ีผแู ตงนทิ านแสดงไว ทําใหเกิดศรัทธาตอภูมิปใญญาของคน ในทองถิน่ ของตน ประคอง เจรญิ จิตรกรรม, ๒๕๓๙, หนา ๘๒-๘๓ ภูมปิ ญ๎ ญาทางภาษาในนิทานพื้นบา้ น การเลานิทานพื้นบานแตเดิมเลาเป็นแบบมุขปาฐะ เน่ืองจากภาษาพูดของมนุษยแมีขึ้น กอนภาษาเขียน การบันทึกนิทานเป็นภาษาเขียนจะมีท้ังบันทึกจากผูเลาโดยตรง และการนําเร่ืองที่ เลามาเรียบเรยี งใหมโดยใชสํานวนของผเู ขยี น อยางไรก็ตาม นิทานที่เปน็ ภาษาเขียนจะใชภาษาที่งาย ไมเ ครง ครดั ในหลักภาษา ทําใหทั้งผูใหญและเด็กอานแลวเขาใจไดชัดเจน ถึงแมวานิทานที่เลากันอยู ในกลุมคนพื้นบา นทวั่ ไปจะไมไดม ุง แสดงความไพเราะและความงดงามของภาษาก็ตาม แตการใช ถอ ยคาํ ท่เี รยี บงายกลบั ทําใหนทิ านนาอาน และผเู ลา ก็สามารถใชถอยคําท่ีเรียบงายน้ีแสดงความคิดที่ เฉียบแหลมไดเปน็ อยางดี เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ งถน่ิ ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๖ | นายกติ ิศักด์ิ สขุ วโรดม ผู้เรียบเรยี ง ๑๑๐
นิทานพื้นบานจากทุกภาคที่ยกมาเป็นตัวอยางลวนแตแฝงภูมิปใญญาไวในการเลาดวย ภาษาธรรมดา มีโครงเรอ่ื งและเน้อื เรอื่ งไมซบั ซอน การดําเนินเรื่องเปน็ ไปตามลําดบั เหตุการณแ ไมวก ไปวนมา เหตุการณแในนิทานมักเป็นเหตุการณแที่สมมติขึ้น มีความเชื่อและความแปลกประหลาด มหัศจรรยแเขามาเกี่ยวของบางเร่ืองก็เป็นเรื่องชีวิตธรรมดาสามัญและบางเร่ืองก็เนนความศักด์ิสิทธิ์ บางเรือ่ งก็เนนลกั ษณะบางอยางของตัวเอก บางเร่อื งเนน อารมณแขัน การเลานิทานพื้นบานมีหลักสําคัญประการหน่ึงคือเลาดวยภาษารอยแกว ใชคํางายไม ตองตีความความหมาย เม่ือมีการบันทึกเป็นลายลักษณแอักษรก็บันทึกเป็นภาษาภาคกลางและภาษา ถ่ิน หรือนําภาษาถิ่นมาแทรกไวในเร่ืองท่ีบันทึกเป็นภาษากลาง เชน เร่ืองผีปกกะโหลงจําแลง และ เรื่องปลาสามช่ือ การแทรกภาษาถิ่นไวทําใหไดอรรถรสมากข้ึน ท้ังยังไดรับความรูดานภาษาถ่ินดวย นับเปน็ ภูมิปใญญาทางภาษาท่ีทรงคณุ คาควรแกก ารอนรุ กั ษแ แมว า นทิ านพื้นบานจะมีรูปแบบคําประพันธแเป็นรอยแกวก็ตาม แตดวยความเป็นคนเจา บทเจากลอนของคนไทย จึงทําใหภาษาทใี่ ชใ นการเลา นทิ านมีจังหวะ มีสัมผัสระหวางวรรคเพ่ือใหฟใง ไพเราะ มีการซ้ําคํา การซํ้าความ ซ่ึงกลวิธีการใชภาษาตาง ๆ ในการเลา ไมเพียงแตทําใหผูฟใงเกิด ความสนุกสนานจากเนื้อหา เรอื่ งราว แตยงั ทาํ ใหผูฟ งใ จดจําเรอ่ื งไดแมนยาํ ดว ย ภูมิปใญญาทางภาษาจะปรากฏอยูในการเลานิทานทุกเรื่อง และผูเลานิทานยังใชภูมิ ปใญญาทางภาษาประกอบกบั ความรคู วามคิดดานอ่นื ๆ ดังน้ี ๑. จินตนาการ ผูคนในสมัยโบราณมีจินตนาการ มีความคิดฝในที่กวางไกลมากตั้งแตยัง ไมมีการส่ือสารดวยภาษาเขียนก็สรางเร่ืองราวข้ึนมาเลาเป็นภาษาพูดกอน เรื่องราวน้ีไมจําเป็นตอง อางอิงเหตุการณแท่ีเกิดขึ้นจริง จึงมีนิทานจํานวนมากที่เลาถึงส่ิงที่เหลือเชื่อหรือเป็นไปไมไดในชีวิต จริง เชน ตัวละครท่ีมีคุณสมบัติเหนือธรรมชาติเป็นตนวาคนท่ีเหาะเหินเดินอากาศได ดําดินและใช ชีวิตใตนํ้าได สัตวแและพืชท่ีพูดภาษามนุษยแได นอกจากน้ีก็มีเรื่องไสยศาสตรแ เวทมนตแคาถา และ ปาฏหิ าริยแตาง ๆ เปน็ ตน ๒. วิถีชีวิตของผู้คนในท้องถ่ิน ผูคนในแตละทองถิ่นอยูรวมกันเป็นกลุมสังคมมี วัฒนธรรมแบบเดียวกัน มีการยึดถือบางส่ิงบางอยางรวมกัน เชน ความเชื่อศาสนา ประเพณี พธิ ีกรรมตา ง ๆ สิง่ เหลานีช้ วยใหเ กิดความคิดฝนใ และความสามารถในการผกู เรอ่ื งราวขึ้นมาเลา ดังจะ เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ งถน่ิ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๖ | นายกิตศิ กั ด์ิ สขุ วโรดม ผ้เู รียบเรียง ๑๑๑
เห็นวานิทานพ้ืนบานแตละเร่ืองสะทอนใหเห็นความเชื่อและแนวทางการปฏิบัติตน ตลอดจนหลัก ศีลธรรมจรรยา นิทานพ้ืนบานท่ีแสดงความเชื่อทางศาสนาเดนชัดมาก คือ นิทานชาดก สวนนิทาน พ้ืนบานของไทยโดยท่ัวไปไมเป็นเร่ืองท่ีมีคติและสะทอนใหเห็นลักษณะของคนไทยวาเป็นผูมีจิตใจ เมตตากรุณา โอบออมอารี มีความออนนอมถอมตน เชื่อในกฎแหงกรรม ทําใหผูฟใงไดอานนิทาน ทราบหลกั การดํารงชวี ิตอันเป็นแนวทางท่ดี ีและมปี ระโยชนแ ๓. การใช้ถ้อยคาที่เป็นสานวนโวหาร สุภาษิต ปริศนา มาประกอบในการเล่านิทาน การทจี่ ะเลาเรอื่ งราวใหส นุกนั้น ผูเลาจะตองมีความสมารถในการใชภาษาท่ีส่ือสารใหผูฟใงหรือผูอาน เขาใจไดอยางชัดเจน การใชภาษารอยแกวในการเลานิทานทําใหผูเลนสอดแทรกสํานวนโวหาร คํา คม สุภาษิต และปรศิ นาคําทาย ไวเพอื่ ใหภาษาที่เลาคมคาย นาฟใงนา อานมากขึ้น ประพนธแ เรอื งณรงคแ และ เสาวลกั ษณแ อนันตศานตแ, ๒๕๔๗, หนา ๗๐-๗๓ เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทองถน่ิ ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๖ | นายกติ ศิ กั ด์ิ สขุ วโรดม ผู้เรยี บเรียง ๑๑๒
บทที่ ๔ เพลงพน้ื บา้ น เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทองถนิ่ ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ี่ ๖ | นายกิติศักดิ์ สขุ วโรดม ผ้เู รยี บเรยี ง ๑๑๓
เพลงพ้นื บ้าน ความรทู้ ั่วไปเกีย่ วกบั เพลงพน้ื บ้าน เพลงพ้ืนบา น คอื บทรอ ยกรองทองถ่นิ ทส่ี ืบทอดตอกันมา และนํามารองขับลําเพ่ือความ บันเทงิ ใชถอ ยคําเรียบงา ย สัมผัสคลองจอง มีจังหวะลีลาเสียงสูงต่ําตามเสียงดนตรี ไมนิยมใชเคร่ือง ดนตรีประกอบ แตใชการปรบมือประกอบจังหวะ หรือใชกรับ ฉ่ิง ฉาบ เป็นเครื่องใหจังหวะ เพลง พื้นบานจัดเป็นการละเลนประเภทหนึ่ง คือ ไมมีการจางวาน สมาชิกในที่ชุมชนนั้นจะผลัดกันรองรํา ตามความถนัดและความสมคั รใจของตน (ธวัช ปณุ โณทก, หนา ๔๐) เพลง คือ การแสดงความคิดและความรูสึกของมนุษยแออกมเป็นบทประพันธแที่มี เสียงดนตรีประกอบ ชนชาติท่ีมีภาษาของตนเองใชมักจะมีบทเพลงขับรองในการใชชีวิตประจําวัน ดว ย เพราะธรรมชาตขิ องมนษุ ยแยอมจะช่นื ชอบเสียงเพลง เพลงจึงเป็นสิ่งท่ีมีความสัมพันธแกับวิถีชีวิต มนษุ ยมแ าชา นาน คนไทยไดช ่อื วาเป็นคนเจาบทเจากลอน เวลาพูดจากันมักจะใชถอยคําที่คลองจองและมี จังหวะจะโคน สามารถสรางสรรคแเพลงขึ้นมามากมาย เพลงเหลาน้ี คือ วรรณกรรมของชาวบานท่ีมี กาํ เนดิ มาจากทอ งถิ่นตาง ๆ เรียกเพลงประเภทนวี้ า “เพลงพน้ื บา น” เพลงพ้ืนบานเป็นผลผลิตทางวัฒนธรรมของกลุมชน เกี่ยวขาวกับวิถีชีวิตของคนไทยใน ทกุ ทอ งถ่นิ ต้ังแตเ กดิ จนกระทั่งตาย เพลงเหลาน้ีมีเน้ือหาและทํานองท่เี รยี บงา ยแตคมคาย ลึกซ้ึง แฝง แนวคดิ ตา ง ๆ ไวมากมาย เพลงพ้นื บานทขี่ บั รองกนั มาตัง้ แตสมยั โบราณเปน็ มรดกทางภาษาและวัฒนธรรมไทยที่มี คุณคา มีความสําคัญตอคนไทยท่ัวไป เป็นบันทึกสภาพสังคมความเป็นอยู และยังแฝงคติ ตลอดจน สงิ่ ท่คี วรประพฤติปฏบิ ัตสิ าํ หรับคนไทยทั่วไปดวย เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ งถิ่น ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ ๖ | นายกติ ศิ กั ดิ์ สขุ วโรดม ผเู้ รยี บเรยี ง ๑๑๔
ความหมายของเพลงพนื้ บ้าน เพลง ความหมายตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ หมายถึง สาํ เนียงขบั รอง ทํานองดนตรี ชอื่ การรองแกกัน มชี ื่อตาง ๆ เชน เพลงปรกไก เพลงฉอ ย เพลงพื้นบานเป็นเพลงท่ีชาวบานรองเลนกันอยูเสมอ ๆ จนกลายเป็นสวนหนึ่งของวิถี ชีวิต ในทางคติชนวิทยา เพลงพื้นบาน คือ เพลงท่ีเกิดจากผูแตงนิรนามและแรกท่ี สุดเกิดขึ้น ทามกลางกลุมคนพื้นบาน ต้ังแตในอดีตที่เราไมอาจระบุไดแนนอน มีเนื้อรองและทํานองงาย ๆ ไม ซับซอน แตละทองถ่ินจะมีทวงทํานองและลีลาการขับรองแตกตางกันไปตามความนิยมของทองถิ่น นนั้ ๆ และมีการใชค ําภาษาถน่ิ ของทองถิน่ นัน้ ดวย เพลงที่ชาวบานขับรองกันมาต้ังแตอดีตเป็นศิลปะท่ีมนุษยแสรางข้ึนเพ่ือใชเป็นส่ือในการ ถายทอดอารมณแและความรูสึกนึกคดิ เป็นสวนหน่ึงของวัฒนธรรมท่ีฝใงรากลึกอยูแนวทางการดําเนิน ชีวิตของคนในทอ งถิ่น คําวา เพลงพื้นบาน เป็นคําท่ีมีความหมายกวางมาก เพราะรวมถึงเพลงท่ีชาย หญิงใชรองโตตอบกัน (เรียกวา เพลงปฏิพากยแ) เพลงที่ใชประกอบพิธี เพลงท่ีรองประกอบ การละเลน เพลงท่ีใชเปน็ ทว งทาํ นองประกอบการแสดง และเพลงสําหรบั เด็ก ท่มี าของเพลงพ้ืนบา้ น เพลงเปน็ ส่ิงท่ใี หค วามบนั เทิงและสนองความตอ งการทางใจของมนุษยแ เปน็ ส่ือท่ีแสดงถึง ความรูสึกภายในจิตใจของมนุษยแ มนุษยแคงจะรูจักการขับรองเพลงมาต้ังแตเริ่มมีภาษาที่ ติดตอส่ือสารกันได และใชเพลงเป็นเครื่องระบายความรูสึกในใจ เชน ความสุข ความทุกขแ ความ ประทับใจ ความเศรา โศก เปน็ ตน แทนการพูดออกมาตรง ๆ จุดประสงคแหลักของการขับรองเพลง ก็คือ เพ่ือใหเกิดความเบิกเบาใจ ความสนุกสนาน เพลิดเพลิน นอกจากน้ีก็ยังใชเพลงบางเพลงรองประกอบพิธี บางเพลงรองประกอบการเลน บาง เพลงใชรอ งกลอมเดก็ ยิ่งมนุษยแมีถอยคําใชในภาษามากเทาใดก็ยิ่งมีการนําถอยคํามาสรางสรรคแเป็น เพลงไดมากเทานั้น ผูแตงเพลงหรือผูขับรองเพลงก็ใชเรื่องราวรอบตัวนั่นเองมาสรางเป็นเพลง คือ ความเป็นอยูของคนทุกระดับในสังคม เศรษฐกิจ การเมือง เหตุการณแตาง ๆ ที่เกิดขึ้นใน ชีวิตประจาํ วนั เนื้อรอ งกบั ทาํ นองเพลงไมไดกําหนดแนนอน ไมม กี ฎเกณฑแทเี่ ครง ครัดตายตัว เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ งถนิ่ ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี ๖ | นายกติ ศิ กั ด์ิ สขุ วโรดม ผเู้ รียบเรยี ง ๑๑๕
การเลน เพลงโดยทัว่ ไปมกั จะเลน กันในเวลาทผ่ี คู นมาชมุ นุมกันในเทศกาลตาง ๆ เชน วัน ขึ้นปีใหม ตรุษสงกรานตแ ทอดกฐิน ทอดผาปุา และการมารวมลงแรงกันประกอบอาชีพ เชน การ เพาะปลูก การเก็บเก่ียวพืชผล คนท่ีมาชุมนุมกันมักจะมาดวยความเต็มใจ เมื่อรวมกลุมกันไดก็จะมี การพูดจาหยอกเอินกันเพื่อความสนุกสนาน ผูชายจะกลาวถอยคําเยาหยอก เกี้ยวพาราสีผูหญิง ผูหญิงก็จะโตตอบเป็นทํานองไมแนใจ ทั้งสองฝุายตางก็ใชถอยคําสํานวนที่คมคายไพเราะขัยรองแก กัน การเลนเพลงในสมัยโบราณโดยเฉพาะอยา งยงิ่ ในภาคกลางจะเลนกันเป็นหมู คนที่ฝีปาก ดี ไหวพรบิ ในการคิดถอยคํามาโตตอบจะเป็นคนรองนํา สวนคนอ่ืน ๆ จะเป็นลูกคูรองรับและตบมือ ใหจังหวะ ใครอยากรองก็รอ ง ถา รองตอไปไมไดก็ใหคนอื่นเขามารองตอแทน มีคําเรียกคนท่ีมีโวหาร ดีและเป็นตวั ยนื ในการรองเพลงวา พอ เพลง (ผชู าย) แมเพลง (ผหู ญิง) เพลงพ้ืนบานภาคกลางมีจํานวนมาก เชน เพลงเรือ เพลงเกี่ยวขาว เพลงสงฟาง เพลง พานฟาง เพลงสงคอลําพวน เพลงชักกระดาน เพลงพิษฐาน เพลงพวงมาลัย เพลงเทพทอง เพลง ปรกไก ลําตดั เพลงทรงเครื่อง เพลงรอ ยพรรษา และเพลงเตน กําราํ เคียว เปน็ ตน เพลงพื้นบานภาคเหนือ มีจ฿อย ซอ ซอมีทํานองตาง ๆ เชน ทํานองข้ึนเชียงใหม ทํานอง จะปุ ทาํ นองละมา ยเชยี งแสน (หรือเชยี งแสน) และทาํ นองพระลอ (ลองนาน) เป็นตน เพลงพ้ืนบานภาคอีสานมีกลอนลําซ่ึงแบงออกเป็น ลําทางส้ัน ลําทางยาวหรือลําลอง และลําเตย ลําเตยแยกออกไปอีกเป็นลําเตยธรรมดา ลําเตยธรรมดา ลําเตยโขง ลําเตยหัวโนนตาล เพลงเซ้งิ เพลงลําผฟี าู และเพลงโคราช เปน็ ตน เพลงพื้นบานภาคใตมี เพลงเรือ เพลงนา เพลงบอก เพลงประอบการแสดงโนราและ หนังตะลงุ เป็นตน (ประพนธแ เรืองณรงคแ และ เสาวลกั ษณแ อนันศานตแ, ๒๕๔๗, หนา ๑๑๒-๑๑๔) เพลงพื้นบานนี้ ผูรองจะตองใชปฏิภาณ ความรูท้ังทางโลกและทางธรรมมาผสานเขา ดวยกันในการรองโตตอบหรือรองเลน จึงทําใหเพลงพ้ืนบานไมไดมีคุณคาเพียงใหความบันเทิง หาก ยังมีคุณคาในดานการใหความรูและช้ีนําในการดําเนินชีวิตอีกดวย (ประคอง เจริญจิตรกรรม, ๒๕๕๑, หนา ๑๑) เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทองถน่ิ ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ ๖ | นายกิติศกั ดิ์ สขุ วโรดม ผู้เรียบเรยี ง ๑๑๖
ประเภทของเพลงพื้นบ้าน เพลงพ้ืนบานของไทยมีเป็นจํานวนมาก เราพอแบงเพลงพ้ืนบานตามวัตถุประสงคแ ออกเปน็ ๒ ประเภท คือ ๑. บทเพลงสาหรับเด็ก ๑.๑ เพลงกลอ มเด็ก ๑.๒ เพลงปลอบเด็ก ๑.๓ เพลงประกอบการละเลนของเดก็ ๒. เพลงปฏพิ ากย์ ทีม่ าของบทเพลงสาหรับเดก็ คนไทยตั้งแตโบราณนิยมพูดเป็นคําคลองจองกัน แมจะเป็นภาษาพูดที่ใชใน ชีวิตประจําวันก็ตาม ในการเลี้ยงเด็กจึงสามารถนําถอยคํามาเรียบเรียงเป็นบทเพลงส้ัน ๆ ท่ีมีสัมผัส คลองจองกันไดไมยาก พอเด็กเกิดมาก็ไดยินฟใงเสียงเหกลอมเป็นเสียงเพลง อือ ๆ ออ ๆ ทําใหเกิด ความเพลดิ เพลนิ จนหลับไป เวลาเด็กไมยอมหลับก็มีบทรองขู เชน “อายตุ฿กแกเอย ตัวมันลายพรอย พรอย งูเขียวตัวนอย หอยหัวลงมา เด็กนอนยังไมหลับ กินตับเสียเถิดวา อายตุ฿กแกเอย” เวลาเด็ก รอ งไหก็จะมบี ทปลอบเด็ก เชน “แตช าแต เขาแหยายมา พอถึงศาลา เขากว็ างยายลง” ดงั นเ้ี ป็นตน บทเพลงสําหรบั กลอมเดก็ ของคนไทยมีอยูทุกภาค ภาคเหนือเรียกวา เพลงอือจาหรืออ่ือ จาจา ภาคอีสานเรียกวา เพลง นอนสาหลาหรือนอนสาเดอ ภาคใตเรียกวา เพลงรองเรือ เพลงชา นอง หรือเพลงนองนอน บทเพลงกลอมเด็กคงจะเป็นเพลงท่ีเกาแกกวาเพลงพื้นบานประเภทอื่น ๆ ซ่ึงเนื้อหาแสดงถึงความสัมพันธแระหวางแมกับลูก การเหกลอมเป็นการแสดงความรักความหวงใย ของพอแมที่มีตอลูกอยางแทจริง ในตอนแรก ๆ คนไทยคงมีวิธีกลอมเด็กใหนอนดวยการออกเสียง งาย ๆ ตอมาเมื่อมีการแตงเนื้อรองเป็นบทกลอน ใสทํานองเขาไปซึ่งเป็นเร่ืองที่ไมยาก เพราะ ภาษาไทยมีเสียงวรรณยุกตแสูง ตํ่าเหมือนเสียงดนตรีอยูแลว การรองก็รองซํ้าไปซํ้ามาจนจดจํากันได และแพรห ลายไป คนอื่นก็จําไปรองบาง มีการคิดเนื้อรองและทํานองข้ึนอีก แลวแตวาจะคิดถึงอะไร เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ งถิ่น ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๖ | นายกติ ศิ ักด์ิ สขุ วโรดม ผ้เู รยี บเรยี ง ๑๑๗
ได เพราะเพลงกลอมเด็กไมมีแบบแผนตายตัว แตมีจุดประสงคแอยางเดียวกัน คือ ขับกลอมใหเด็ก นอนหลับเทาน้นั บทเพลงที่ใชขับรองกลอมเด็ก เพลงปลอบเด็ก และเพลงรองเลนหรือใชประกอ บ การละเลน เป็นเพลงที่เกิดจากภูมิปใญญาของคนพื้นบานอยางแทจริง เป็นวัฒนธรรมของคนไทยแท ๆ ท่ีสืบทอดกันมาเป็นระยะเวลายาวนาน แสดงใหเห็นวิถีชีวิตของคนไทย ความรูสึกนึกคิด สภาพ สังคม และสง่ิ แวดลอ มทว่ั ไป ตลอดจนลักษณะนิสัยของคนไทยสวนใหญซึ่งเป็นคนสนุกสนาน ร่ืนเริง มีอารมณแขนั ชางเลน ขณะเดียวกันก็ยึดม่ันในหลักศาสนาและคติธรรมดวย บทเพลงสําหรับเด็กมักมี หลายสํานวน แตละถ่ินอาจขับรองแตกตางกันมากบางนอยบาง (ประพนธแ เรืองณรงคแ และ เสาวลกั ษณแ อนันตศานต,แ ๒๕๔๗, หนา ๒๙-๓๐) ๑. เพลงกลอ่ มเด็ก เพลงกลอ มเดก็ เป็นเพลงท่ีใชรอ งเพือ่ กลอ มเด็กใหน อนหลับหรือโยเย จึงมีทวงทํานอง การขบั ท่ชี า ๆ เนิบ ๆ เพ่อื ชวนใหงว งนอน (ประคอง เจริญจติ รกรรม, ๒๕๓๙, หนา ๑๑) บทกลอมเด็ก คือ เพลงที่ผูใหญรองเพื่อกลอมใหเด็กเล็ก ๆ เกิดความเพลิดเพลินและ อบอุนใจ และไดหลับงายและหลับสบาย ลักษณะของเพลงเป็นบทรอยกรอง มีคําคลองจอง ตอ เนื่องกนั ไป แตม ีฉนั ทลักษณแไมแนนอน เนื้อรองของเพลงกลอมเด็กใชคํางายสั้นหรือยาวก็ได รอง ดว ยลีลาชา ๆ เป็นทํานองงา ย ๆ ซํ้า ๆ กนั เพื่อชักชวนใหเด็กนอน เน้ือความแสดงถึงความรัก ความ หวงใย ความหวงแหนของแมท ีม่ ตี อลกู นอ ย ฟงใ แลวทําใหเกิดความซาบซ้ึงใจ (ประพนธแ เรือง ณรงคแ และ เสาวลักษณแ อนันตศานต,แ ๒๕๔๗, หนา ๒๘) เพลงกลอมเด็กนี้มีทุกชาติทุกภาษา เนื่องจากความรักลูกเป็นความรูสึกที่แมทุกคนมี เหมอื นกนั ไมว าชาตใิ ด จงึ ถา ยทอดความอาทรหวงใยออกมาทางเสียงเพลงกลอมเด็ก เพลงกลอมเด็ก นับวามีประโยชนแอยางมาก เชน ในดานจิตวิทยา ถือวาเพลงกลอมเด็กชวยใหเด็กเกิดความอบอุน และเสียงเพลงยังตอบสนองความตองการความรักของเด็ก ซ่ึงจะชวยใหเด็กมีจิตใจม่ันคงเม่ือ เจริญเติบโตข้ึนและซึมซับคุณธรรม ตลอดจนวิถีชีวิตตามท่ีปรากฏในเพลง อีกทั้งยังชวยใหเด็กคุน เสยี งมนษุ ยแซง่ึ เปน็ โอกาสอนั ดสี ําหรบั การเรยี นรูภ าษา เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทองถิน่ ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๖ | นายกติ ิศกั ด์ิ สขุ วโรดม ผ้เู รยี บเรียง ๑๑๘
เพลงกลอมเด็กนอกจากจะใชกลอมเด็กใหนอนแลว ยังเป็นการแสดงออกทางอารมณแ ของผูขับรอง โดยมิไดมุงตกแตงถอยคําใหสละสลวย แตเป็นการพรรณนาออกมาจากสวนลึกของ จิตใจ ดวยเหตุนี้ บางครั้งเพลงกลอมเด็กก็กลายเป็นวิถีทางหนึ่งท่ีใหผูขับรองไดระบายความคับของ ใจ ดงั นัน้ จึงสามารถแบงเพลงกลอ มเด็กออกเป็น ๒ ประเภทตามลกั ษณะเน้ือหา ดังนี้ ๑. เพลงกล่อมเด็กที่มีเนื้อหาเก่ียวกับเด็ก มักจะเนนใหความรักความเอาใจใสของพอ แมตอลกู ตน เชน เจาเนอ้ื ละมนุ เอย เจา เนือ้ อุนเหมอื นสาํ ลี แมมิใหผ ูใ ดตอ ง เนือ้ เจาจะหมองศรี ทองดเี จาคนเดียวเอย คาํ ท่ีใชเ รยี กเดก็ วา “เจาเนอื้ ละมนุ เจา เนอ้ื อนุ ทองดี” ลว นแตเป็นคาํ ที่แสดงความรัก ความเอ็นดู เหน็ วา เดก็ มคี าทั้งสิ้น อีกท้ังเนื้อความยังแสดงความเอาใจใส คอยดูแลเด็กไมหนีหางไกล เปน็ การปลอบประโลมใจใหเด็กรูสกึ มน่ั ใจและมีความสุข บางคร้ังเพลงกลอมประเภทนกี้ ็มเี น้ือเพลงขูเ ด็กดว ยเมือ่ เดก็ รองไหเกเรไมยอมนอน เชน ตกุ฿ แกเอย ตวั ลายอยูพรอย ๆ งเู ขยี วตัวนอ ย หอ ยหวั ลงมา คนนอนไมหลบั ตุ฿กแกกนิ ตบั เสียเถิดหวา เพลงที่มีเนื้อเพลงขูเด็ก มักจะยะเอาสัตวแหรือสิ่งท่ีเด็กกลัวข้ึนมาขู หากวาจะใหไดผล เพลงกลอมเดก็ แบบขูเด็กน้ีคงตอ งใชก ลอมเด็กทพี่ ูดจารูเ รอ่ื งบา งแลว ๒. เพลงกล่อมเด็กทมี่ เี นอ้ื หาไม่เกีย่ วกบั เด็ก เพลงเหลานี้เป็นเร่ืองเก่ียวกับการบรรยาย สภาพความเป็นอยู หรือเกี่ยวกับการระบายความคับของใจของผูขัยรอง หรือเกี่ยวกับคติสอนใจตาง ๆ เพลงกลอ มเดก็ ประเภทน้ี เนอ้ื หาจะเกย่ี วขอ งกับผใู หญท่อี ยรู อบขาง ผขู ับกลอ มมากกวาเด็กท่ีนอน ในเปล ซึง่ จะฟใงเพลงทว งทํานองขับกลอ มชา ๆ ชวนใหน อนหลับเทานัน้ เชน เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทองถน่ิ ช้นั มัธยมศึกษาปีที่ ๖ | นายกิติศกั ด์ิ สขุ วโรดม ผูเ้ รยี บเรียง ๑๑๙
เพลงกลอมเด็กภาคใต สะทอนสภาพความเปน็ อยู เชน ฮา เออ ทอโหกเหอ ทอฟืมสามสบิ เส น้าํ ไหลนองใตเก ทอเปน็ ลายลกู หวาย ผนื หนึ่งทอจะนงุ ผืนหนึ่งทอจะขาย ทอเปน็ ลายลูกหวาย ขายเจา ไมพ อ เออ เหอกัน ( ศัพท์ควรรู้ ทอโหก คือ ทอหูก หูก คือ เคร่ืองทอผา ฟืม คือ ช้ินสวนของเคร่ืองทอ ผา มีฟในเปน็ ซ่ี ๆ คลา ยหวี สาํ หรบั สอดเสนดายหรือไหมใชด งึ ใหประสานกัน สามสิบเส คือ สามสิบ ซ่ี ลายลูกหวาย คอื ชือ่ ลวดลายผา ชนดิ หน่งึ ของภาคใต เก คอื ก่ี คือ เครื่องทอผา) เพลงกลอ มเดก็ ภาคอีสาน ก็สะทอนสภาพความเป็นอยไู วเชน กันวา นอนสาหลา หลับตาสามิเยอ แมไปไฮ หมกไข มาหา แมไปนาน จป่ี า มาปอู น แมเ ลยี้ งมอน ในปุา สวนมอน ( ศัพท์ที่ควรรู้ ไฮ คือ ไร มาหา คือ เอามาฝาก ปา คือ ปลา มอน คือ ตัวไหม สวน มอน คือ สวนหมอ น) จากบทเพลงกลอมเด็ก ๒ บทที่ยกมาขางตนน้ี แสดงใหเห็นวิถีชีวิตความเป็นอยูท่ี แตกตางกันของชาวบานทองถิ่นภาคใตและทองถิ่นอีสานไดอยางดี ดังในบทเพลงกลอมเด็กของ ภาคใตแสดงใหเห็นการดําเนินชีวิตของหญิงทางภาคใตที่ทอผามิใชเพียงเพื่อไวใชเทาน้ัน หากทอผา ผืนหนึ่งไวใช สวนอีกผืนหนึ่งทอไวเพ่ือขายดวย อันแสดงถึงลักษณะเศรษฐกิจเชิงการคาของทาง ภาคใตท ่เี ป็นดินแดนติดทะเล อยางไรก็ตามลวดลายของผาก็ยังไดรับอิทธิพลจากธรรมชาติ คือ เป็น ลายลกู หวายซ่ึงเป็นพชื พืน้ เมอื งในปุาของภาคใต เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ งถิน่ ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี ๖ | นายกติ ิศักด์ิ สขุ วโรดม ผู้เรียบเรยี ง ๑๒๐
สวนเพลงกลอมเด็กของภาคอีสาน ซ่ึงเป็นดินแดนท่ีราบสูงมีเทือกเขากั้นอยู ทําใหการ คมนาคมติดตอกับภาคอื่นไมสะดวก ลักษณะทางเศรษฐกิจท่ีปรากฏอยูในเพลงกลอมเด็กจึงยังเป็น การแลกเปลี่ยนหรอื หาของปุาเพ่ือการดํารงชีวิตมากกวาการคาขาย เพราะในเพลงกลอมเด็กบอกวา แมไปทําไร ไปพบไข (แสดงวาไมไดเลี้ยง) จะเอากลับมาฝากลูก แตกลัวไขจะแตก วิธีท่ีดีที่สุดที่จะ ไมใหไ ขแ ตก ก็คือ ทําใหส นุกเสยี กอน แตท ่ไี รไมมีภาชนะหุงตม ก็ตองใชวิธหี มกไข (คือเอาใบหอไขให มิด ใสนา้ํ เล็กนอ ยกันไมใ หไ ขร ะเบดิ เวลารอ นจัด แลวหมกในข้ีเถารอน ๆ ไขก็จะสุก) หรือเมื่อแมชอน ปลาได ถา จะเกบ็ ไวไ มใหเนา ก็ตองจี่ (คือ การกอไฟจนฟืนกลายเป็นถานแดง เอาปลาวางบนถานนั้น จนสกุ ) การหมกและการจีเ่ ปน็ วิธีการทาํ อาหารแบบดั้งเดิมท่ีไมตองอาศัยภาชนะใด ๆ ในเพลงกลอม เด็กบทนี้ยังแสดงใหเห็นบทบาทของผูหญิงอีสานท่ีมีหนาที่นอกจากหาอาหารมาเลี้ยงครอบครัวแลว ยังมีหนาท่ีทําเครื่องนุงหมดวย เพราะมีการปลูกหมอนเลี้ยงไหมสําหรับการทอผา (ประคอง เจริญ จิตรกรรม, ๒๕๓๙, หนา ๑๑-๑๓) ตวั อยา่ ง บทกลอ มเด็กภาคกลาง “ เจา เนอ้ื ละมุมเอย เนือ้ เจา อุนดงั สาํ ลี แดดนายมใิ หตอ ง นวลเจา จะหมองศรี คนดีแมค นเดยี วเอย” “ เจา เน้ือนมุ เอย อมุ เจานกั จะเคยมอื วางลงเสยี บา งเถิดหรอื บญุ ลือแมค นเดยี วเอย” “ เจา เน้อื ละเอยี ดเอย เกลียดแมหรือไร เกลยี ดแมแ ลว เจา จะกินนมใคร สายใจแมคนเดียวเอย” “ เจา ทองดีเอย แมจ ะพดั วใี หเ จา นอน เจา ทองดีอยา ออ น นอนเถอะนะพอคณุ เอย” เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ งถน่ิ ชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี ๖ | นายกิตศิ ักด์ิ สขุ วโรดม ผู้เรียบเรียง ๑๒๑
เจ้าเนอื้ เย็น “เจา เน้ือเยน็ เอย หนีแมไ ปเลน หาดทราย น้าํ น้นั ขนึ้ มา มนั จะพาเจา ลอยหาย แสนเสียดาย นะเน้ือเย็นเอย” เจา้ เนอื้ ละมุน “เจาเนอ้ื ละมุนเอย เกบ็ ดอกพิกุลยามเยน็ เก็บมารอ ยกรองใหแ มท องขา เลน เน้ือเย็นแมค นเดยี วเอย” เจา้ ทองดี “ เจาทองดเี อย ถือพัชนโี บยโบก ขวญั ขา วเจาอยามีโรค จะโบกลมใหเ จา นอน ขวญั ออนแมคนเดยี วเอย” นกกระทงุ “นกกระทุงเอย ทาํ กันตงุ ตงุ วาจะไข สานพอมใบใหญ ไวใสไขน กกระทงุ ดว ยไขของมนั โต เทา แตงโมบางละมุง ไขหลนลงดังผลงุ แลว นกกระทุงก็บนิ ไป” เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทองถิ่น ชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ ๖ | นายกิติศักดิ์ สขุ วโรดม ผเู้ รียบเรยี ง ๑๒๒
ตวั อยา่ ง บทกลอ มเด็กภาคเหนือ อ่ือจา “ อ่อื จาจา หลบั สองตาเ อยาไห แกวแกนไท แมจะอ่อื จาจา นายไหอยากกิ๋นจนิ๊ บม ีไผไปหา นายไหอยากกนิ๋ ปา บมิไผไปสอ น มีขา วเยน็ สองสามกอน ปูอนแลว ลวดหลับไป อือ ออ่ื ออื่ อ๊ึ ออ่ื จาจา” ตัวอย่าง บทกลอมเดก็ ภาคอสี าน นอนสาเดอ “ นอนสาเดอ หลบั ตาสาเดอ นอนสาเดอ หลับตาสว ย ๆ เหน็ ใผมาขายกลว ย พอสซิ อ้ื ใหกิน แมเ จาไปไฮ เพิน่ สหิ มกไขมาหา แมเจาไปนา เพิ่นสิหมกปลามาตอน แมเ จา มาฮอด เจาจังคอยกนิ นม” ตวั อย่าง บทกลอมเดก็ ภาคใต “ นกเอ้ยี งเหอ เท่ยี งเทย่ี งมากนิ ลูกพลับ แมนางงามสรรพ ไดผัวโนรา นางไมโรจะ หงุ ขา ว นางไมโ รจะแกงปลา ไดผวั โนรา ลกู โลม ันมากเหอ” (ประพนธแ เรอื งณรงคแ และ เสาวลกั ษณแ อนนั ตศานต,แ ๒๕๔๗, หนา ๓๑-๓๒,๓๙-๔๑) ๒. เพลงปลอบเดก็ บทเพลงท่ีผูใหญรองเพื่อปลอกเด็กใหเด็กหยุดรองไห หรือหยอกลอใหเด็กสนุกสนาน เพลิดเพลิน อารมณแดี แจมใส เวลาท่ีรองอาจจะอุมเด็กใหเคลื่อนไหวไปมา ใหเปลี่ยนอิริยาบถ มี ลกั ษณะคลา ยกับเพลงกลอมเด็ก คอื เป็นบทรอยกรองท่ีมีฉันทลักษณแไมแนนอน เนื้อรองแสดงความ รักใครเด็ก แตมีจุดประสงคแเพ่ือความเพลิดเพลินมากกวา (ประพนธแ เรืองณรงคแ และ เสาวลักษณแ อนนั ตศานตแ, ๒๕๔๗, หนา ๒๙) เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทองถ่นิ ชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี ๖ | นายกติ ศิ ักดิ์ สขุ วโรดม ผูเ้ รียบเรยี ง ๑๒๓
ประเทอื ง คลายสุบรรณแ อางใน (สงา วงคไแ ชย, “เพลงปลอบเดก็ ” เอกสารประกอบการ สอนรายวิชา CTH3108 (TL217) ภูมิปใญญาทางภาษากับการสอน, คณะศึกษาศาสตรแ มหาวิทยาลัย รามคําแหง) ใหความเห็นวา เพลงปลอบเด็กนั้นเป็นบทเพลงท่ีผูใหญใชรองลอเลียน หรือปลอบเด็ก อยางหน่ึง กับเด็กดวยกันใชรองลอเลียนกันอยางหนึ่ง บทเพลงเหลาน้ีบางบทมีความหมายแสดงถึง จิตใจอันสูงสงของคนไทย ความรักใครผูกพัน ความกตัญโู ความเป็นผูมีอารมณแขัน บางบทก็แปล ความหมายไมไดเหมือนกับนําถอยคํามาเรียบเรียงเขาใหคลองจองตามวิสัยเจาบทเจากลอนของคน ไทย โดยไมไดคํานงึ ถึงความหมายเป็นสาํ คัญ สว นมากเป็นบทรองส้ัน ๆ เกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยูท่ัว ๆ ไปของเด็ก เนอ้ื หาเก่ียวกบั ชีวติ และลักษณะของสตั วแ ธรรมชาติ เชน พระจนั ทรแ ฝน ลม เปน็ ตน ลักษณะภาษาในเพลงปลอบเด็ก ใชถอยคํางาย ๆ เป็นคําคลองจอง แสดงความนารัก นาเอน็ ดขู องทารก บางคร้ังจะไมมีจุดประสงคแปลอบ แตเป็นการหยอกลอเพื่อใหเด็กมีอารมณแดีและ ไดเปล่ียนอิริยาบถเม่ือดูดนมหรือรับประทานอาหารแลว เพลงบางบทเป็นบทขูเพื่อใหเด็กนอนหลับ หรือพูดคุยทําใหเกิดความกลัว แลวจะไดหลับตา แมซ่ึงเป็นผูกลอมก็เกิดความเพลิดเพลินไปดวย (สงา วงคแไชย, “เพลงปลอบเด็ก” เอกสารประกอบการสอนรายวิชา CTH3108 (TL217) ภูมิปใญญาทาง ภาษากับการสอน, คณะศกึ ษาศาสตรแ มหาวิทยาลยั รามคําแหง) ตวั อย่าง บทปลอบเด็กของภาคกลาง “ โยกเยกเอย นํ้าทว มเมฆ กระตา ยลอยคอ หมาหางงอ กอดคอโยกเยก” (บางบทกเ็ ปน็ คาํ วา โงกเงก แทน โยกเยก) “ จงิ โจเ อย มาโลสําเภา หมาไลเ หา จงิ โจต กนํ้า หมาไลซ ํ้า จิงโจด าํ หนี ไดกลวยสองหวี ทําขวัญจงิ โจ โหฮ้ิว โหฮ ิว้ ” เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ งถิ่น ชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ ๖ | นายกิตศิ ักด์ิ สขุ วโรดม ผู้เรียบเรยี ง ๑๒๔
“จับปูดาํ ขยาํ ปนู า จับปูมา ควา ปทู ะเล” “ลิงลมเอย มาอมขา วพอง เด็กนอ ยทัง้ สอง มาทดั ดอกจกิ พระยานกพริก พระยานกเขา ไดเ บ้ยี ขวญั ขา ว ของเจาลิงลม” “กกุ฿ ก฿ุกไก เล้ยี งลกู มาจนใหญ ไมมนี มใหล กู กิน ลกู รองเจย๊ี บเจ๊ียบ แมเรยี กไปคุยดิน ทํามาหากนิ ตามประสาไกเอย” “ ต้ังไขล ม ตม ไขกนิ ไขต กดิน ใครอยา กินไขเ นอ ” จันทร์เจา้ ขอขา วขอแกง “ จันทรแเจา เอย ผูกมือนอ งขา ขอแหวนทองแดง ใหนองขาขี่ ขอชางขอมา ใหนอ งขานง่ั ขอเกาอ้ี ใหน อ งขา นอน ขอเตยี งต่ัง ใหนอ งขา ดู ขอละคร มารอ งตกุ฿ แก” ขอตดุ฿ ตู เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ งถ่ิน ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี ๖ | นายกติ ิศกั ด์ิ สขุ วโรดม ผู้เรียบเรยี ง ๑๒๕
นอกจากน้ยี งั มีสาํ นวนอน่ื ๆ เชน จันทรเ์ จ้า “จนั ทรเแ จาเอย ขอขา วขอแกง ขอแหวนทองแดง ผูกมอื นองขา ขอชา งขอมา ใหน อ งขา ขี่ ขอเกา อ้ี ใหน องขานั่ง ขอเตยี งตง่ั ใหน องขานอน ขอละคร ใหน องขา ดู ขอยายชู เลยี้ งนอ งขาเถิด ขอยายเกดิ เลี้ยงตัวขาเอง” เพลงโยกเยก โยกเยกเอย นํ้าทวมเมฆ กระตา ยลอยคอ หมาหางงอ กอดคอโยกเยก เพลงฝนตก ฝนตกแดดออก นกกระจอกเขารัง แมหมา ยใสเ ส้ือ ถอ เรือไปดหู นัง เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ งถน่ิ ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ ๖ | นายกิตศิ ักด์ิ สขุ วโรดม ผเู้ รยี บเรยี ง ๑๒๖
เพลงคนอว้ น อวนตต฿ุ ฿ะกินมะระจ้ิมขี้ อวนไมด ี กิน้ ข้ีจิม้ มะระ ตุมแตกมาแลกตมุ ดี ตมุ ใสข ้ีไมมคี นเอา เพลงกงุ้ แห้ง (ลอ้ คนผอม) กงุ แหง เยอรมนั สองสามวนั จะไปองั กฤษ ตวั อย่าง บทปลอบเด็กภาคเหนอื สกิ ก้องกอ๋ “สกิ กอ งกอเ ยอมะแควง มะแควงสกุ ปา ดุกเนา หัวเขา ปม หวั นมปิว้ ปดิ จะลิว ตกน้ําแมก เอง ควายลงหนอง ทะลมบม บัว้ ” สกิ กอ งกอเ บา ลอกอ งแกว บา แควง สุก ปาดกุ เนา หวั เขา ปม หัวนมปว้ิ ปิดจะลิว ตกนํ้าแมกอเ ง สาวนมหลวง ตกน้ําปใน่ ฝาู ย บา อายต๋ีนโกง ตกโตงหนองปใว เสือขบหวั เหลอื กระดูกข้ชี า ง เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทองถิ่น ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ ๖ | นายกิตศิ กั ดิ์ สขุ วโรดม ผ้เู รียบเรยี ง ๑๒๗
พานตองปาู ง โตนจางไลแ ดง กาเ ยเปนลงแดง กอ งเกา฿ ะกอ งกอย แมห นูนอยตก ลูกตเายกเม อห่ี นอ ยหวั ปม หลบั เหยี เตอ฿ ะเนอ ออ้ื อ้อื ” ฯลฯ ตัวอย่าง บทปลอบเด็กของภาคอีสาน “อีเกงิ้ เอย ขอขา วขอแกง ขอทองแดงแขวนคอหลานแน หลานอยากไดเฮด็ เหรยี ญแขวนคอ สอเหลก็ จารลงยันตแหลงั หนา ทองแดงกลากันผกี ันสาง ทางคนเทยี วเห็นผีบไ ด นาอยูใกลส ง ขา วคูแ ลง เหรียญทองแดงแสนมีประโยชนแ ของเกิ้งโยกใหใหญใ หส งู เดอื นแสงสูงยงั สิข้นึ ยามได ไกลคือใกลปานเทียวไฮเ ทยี วนา” เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทองถิน่ ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๖ | นายกิติศกั ดิ์ สขุ วโรดม ผเู้ รยี บเรียง ๑๒๘
ตวั อยา่ ง บทปลอบเดก็ ภาคใต “ โยกเยก น้าํ ทวมโคก นํา้ ทว มหวั นา หมามาไมได น่ังรองไห สองคนแมโลก” (ประพนธแ เรอื งณรงคแ และ เสาวลักษณแ อนันตศานตแ, ๒๕๔๗, หนา ๓๑-๓๓,๔๑-๔๓) ๓. บทร้องประกอบการละเล่นของเด็ก บทเพลงที่เป็นบทรองเลน ใชรองพรอม ๆ กันเวลาเลนเพ่ือทําใหเกิดความเพลิดเพลิน ความสนุกสนาน มีลักษณะเป็นบทรอยกรองตาง ๆ ใชประโยคสั้นคลองจองกัน มีจังหวะในการรอง และมีทํานองที่เรียบงาย จุดประสงคแในการรอง คือ เพ่ือความสนุกเป็นสําคัญ แตก็มีผลในทางทําให เกดิ ความคดิ สรางสรรคแ ไดฝ กึ สมองและฝึกการใชความคิดดวย เพลงประกอบการละเลนน้ีมีทั้งเพลง ของเด็กเล็กและเด็กโต เพลงของเด็กเล็กก็จะมีลักษณะคลายเพลงปลอบเด็ก ใชสอนการเคล่ือนไหว สวนเพลงของเด็กโตนั้นมีบทท่ีรองเลนเปลา ๆ กับรองไปดวยเลนไปดวย (ประพนธแ เรืองณรงคแ และ เสาวลักษณแ อนนั ตศานต,แ ๒๕๔๗, หนา ๒๙) ตวั อย่าง บทรอ งประกอบการละเลน “รรี ขี าวสาร สองทะนานขา วเปลอื ก เลอื กทอ งใบลาน คดขาวใสจาน เก็บเบี้ยใตถ ุนราน พานเอาคนขางหลงั ไว” รรี ีขา้ วสาร อุปกรณ์ ไมมีอปุ กรณแการเลน กตกิ า คนที่อยูทายสดุ ของแถวจะตองถูกจบั และคดั ออกไปทลี ะคน เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทองถ่นิ ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี ๖ | นายกติ ิศักด์ิ สขุ วโรดม ผูเ้ รยี บเรียง ๑๒๙
ผเู้ ลน่ ผูเลน ๒ คนยืนหนั หนาเขา หากันแลวโนมตวั ประสานมือกนั เปน็ รูปซุม สวนผูเลนคนอื่นๆ ไมจํากัดจํานวนเกาะเอวตอ ๆ กันตามลําดับ หัวแถวจะพาลอดใตซุมมือพรอมกับรอง เพลง เม่ือรองถึงประโยคท่ีวา “พานเอาคนขางหลังไว” ผูที่ประสานมือเป็นซุมจะลดมือ ลงกันคนสุดทายเอาไว ซ่ึงคนสุดทายจะถูกคัดออไปจากแถว จากนั้นเริ่มตนเลนใหมทํา เชน นจ้ี นหมดทกุ คน จา้ จี้ “จ้าํ จม้ี ะเขอื เปราะ กะเทาะหนาแวน พายเรืออกแอน กระทั่ง (กระแทน ) ตน กมุ สาวสาวหนุม หนมุ ดีเน้ือดีใจ อาบนํา้ ทาไหน อาบน้าํ ทท่ี าวดั ไดแ ปูงไหนผดั ไดก ระจกไหนสอง เย่ียมเย่ียมมองมอง นกขุนทองรองเนอ ” จา้ จ้ี วธิ เี ล่น ไมจํากัดจํานวนผูเลน ผูเลนทุกคนน่ังลอมวง ยื่นมือท้ังสองเขาไปในวง ผูที่รองยื่นเขาไป เพียงมือเดียว สวนมืออีกขางหน่ึงใชจ้ิมลงไปบนหลังมือของผูท่ีรวมวง หากมีผูเลนนอย อาจใชน้ิวจ้ิมไปทีละนิ้วก็ได เม่ือบทรองจบลงที่มือหรือนิ้วของผูใด ผูนั้นจะตองชักมือ ออกไปจากวงหรือพับนิ้วที่ถูกจิ้มไว แลวผูรองจึงเริ่มตนรองบทจ้ําจ้ีพรอมกับจี้มือไปบน หลังมือผูท่ีนั่งลอมวงใหมจนหมดคนสุดทายเป็นการหมดการเลน ผูเลนคนสุดทายถูกทํา โทษดว ยการกินโตะ฿ คอื เขา ไปหมอบกลางวง ผเู ลนคนอ่ืน ๆ จับไปบนหลังหรือศีรษะผูท่ี หมอบแลว พูดวา “กินหมูกนิ ไก” เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ งถ่นิ ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี ๖ | นายกิตศิ ักดิ์ สขุ วโรดม ผเู้ รียบเรียง ๑๓๐
ไอ้เขไ้ อโ้ ขง “ไอเขไ อโ ขง อยูโ พรงไมสัก ไอเขฟ นใ หัก กดั คนไมเขา” ไอ้เขไ้ อ้โขง อปุ กรณ์ ไมม อี ปุ กรณใแ นการเลน กตกิ า ๑. ผูทเี่ ป็น “ไอเ ข” จะขึ้นไปบนเสาที่เปน็ บกไมไ ด ๒. ผถู กู จับไดจ ะตองเป็น “ไอเ ข” แทน วิธเี ลน่ แบงเขตพื้นที่เลนเป็น ๒ สวน สวนหนึ่งสมมติใหเป็นบนบก อีกสวนหนึ่งสมมติใหเป็น สวนนํ้า ใหผูเลนคนหนึ่งเป็น “ไอเข” อยูในน้ํา สวนคนอื่น ๆ (ไมจํากัดจํานวน) อยูบน บก แลวคนเหลานี้ลงไปในสวนท่ีสมมติวาเป็นน้ําทําทาวายน้ําพรอมกับรองเพลง ฝุายท่ี เป็น “ไอเข” จะตองคอยไลจับผูท่ีลงมาเลนในน้ํา ถาคนใดว่ิงหนีข้ึนไปบนบก ผูท่ีเป็น “ไอเ ข” จะตามขึน้ มาจบั ไมได จะจบั ไดเฉพาะขณะที่อยใู นนาํ้ เทานั้น ผูท่ีถูกจับไดจะตอง เป็น “ไอเ ข” แทน โพงพาง “โพงพางเอย ปลาเขาลอด ปลาตาบอด เขาลอดโพงพาง” การละเลน่ โพงพาง อุปกรณ์ ผา สาํ หรบั ผูกตา ๑ ผืน เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทองถิน่ ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๖ | นายกิติศกั ดิ์ สขุ วโรดม ผ้เู รยี บเรยี ง ๑๓๑
กติกา ๑. หามไมใ หผ ทู ี่ลอ มวงหนอี อกไปไกลกวาเขตที่กาํ หนด ๒. ถาคนที่ปิดตาเลือก “ปลาเป็น” ผูท่ีลอมวงสามารถเคล่ือนท่ีหนีใหพนจากการจับตัว ไดในเขตที่กําหนดแตถาเลือก “ปลาตาย” ผูท่ีลอมวงจะตองนั่งอยูกับท่ีหากเคล่ือนที่จะ ถกู ปรบั ใหแ พ ตองเป็นคนปดิ ตาแทน ๓. หากผปู ดิ ตาทายชอื่ ถูก ผูทถ่ี ูกทายชอื่ ถกู ตองจะตองปิดตาแทน หากทายผิดจะตองถูก ปิดตาตออกี รอบหนึ่ง วธิ ีเลน่ ไมจํากัดจํานวนผูเลน ผูเลนคนหน่ึงจะถูกปิดตาแลวยืนกลางวง สมมติใหเป็น “ปลาตา บอด” แลวจับตัวหมุนเพ่ือไมใหจับทิศทางได ผูเลนคนอื่น ๆ จับมือเป็นวงกลมเดิน วนรอบผูถูกปิดตา พรอมกับรองเพลง เมื่อรองจบใหถามผูถูกปิดตาวา “จะกินปลาเป็น หรือปลาตาย” เม่ือเลือกแลวใหผูที่ปิดตาพยายามคลําใหถูกตัวผูลอมวงคนใดคนหนึ่ง และทายชอ่ื ใหถ ูก ตวั อยา่ ง บทรอ งประกอบเพลงของเดก็ ภาคเหนอื มดแดงมดดา “มดแดงมดดํา ไตขน้ึ กเองหลัว คนใดไคห วั คนน้นั ตด” การละเล่นมดแดงมดดา อปุ กรณ์ ไมม ีอปุ กรณแในการเลน กตกิ าและวธิ ีเล่น ผูเลนไมจํากัดจํานวน ลอมกันเป็นวง มีผูนํารองเพลง แลวช้ีไปทีละคนจนจบ ลงที่ใครกถ็ อื วา แพ เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทองถน่ิ ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๖ | นายกติ ศิ ักดิ์ สขุ วโรดม ผเู้ รยี บเรยี ง ๑๓๒
ตัวอยา่ ง บทรอ งประกอบการละเลนภาคอสี าน หมากนับ “แมงวันเขยี วไปจับใบบัว ใผขีห้ ัวผูนน้ั แลตด” การละเล่นหมากนับ อปุ กรณ์ ไมม อี ุปกรณกแ ารเลน กตกิ าและวธิ เี ลน่ ผูเลนไมจํากัดจําวนน่ังลอมวง คนใดคนหน่ึงเป็นคนรองหรือพูด พรอมกับช้ี มือไปยังผูเลนคนอ่ืน ๆ ที่นั่งอยูทีละคน ถาเพลงจบลงตรงกับท่ีช้ีคนใด แสดง วา คนนัน้ เป็นคนตด ทาํ เชนนีจ้ นกวาจะเลิกเลน ตวั อยา่ ง บทรองประกอบการละเลนของเดก็ ภาคใต หยับโหยง “หยับโหยง กระโทง ไมรัว้ ผัวเลนเบยี้ เมียเลน ไก ผวั ไปไทร เมียไปตาหนี หนามเกี่ยว แลนหลบไมทนั ” การละเล่นหยับโหยง อปุ กรณ์ กระดานหนาสําหรับเด็กนั่งขางละ ๑ คน มีความยาวประมาณ ๑ เมตรขึ้นไป เดิมใชไม กระดานวางบนคานรอง อาจเปน็ ขอนไมห รอื ตอไม กติกา แบงผูเลนออกเป็น ๒ ฝุาย แยกกันนั่งคนละดาน จํานวนผูเลนใหมีน้ําหนักเทา ๆ กัน โดยผูเลนน่ังครอมไม หอยเทาทั้งสองขางลง ฝุายใดฝุายหน่ึงเร่ิมตน “หยับ” โดยใชเทา เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทองถิ่น ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ ๖ | นายกติ ศิ ักดิ์ สขุ วโรดม ผูเ้ รียบเรียง ๑๓๓
ถบี พ้ืนใหกะดอนข้ึนอยูในลักษณะ “โหยง” จากนั้นฝุายที่ปลายไมกระดกลงตํ่าก็เปล่ียน “หยับ” แลวจึง “โหยง” ขณะท่ีเลนรองเพลงไปดวย(ประพนธแ เรืองณรงคแ และ เสาวลกั ษณแ อนันตศานตแ, ๒๕๔๗, หนา ๓๓-๓๕,๔๔-๔๗) ภมู ปิ ญ๎ ญาในบทเพลงสาหรบั เด็ก บทเพลงสําหรับเด็กมีเนื้อหาสาระมากมาย และรองสืบตอกันมาหลายช่ัวอายุคนบาง เพลงอาจจะลบเลือนสูญหายไป แตก็มีบทเพลงท่ีจดจํากันมาเป็นจํานวนมาก ไมวาจะเป็นบทเพลงท่ี ใชกลอมเด็ก ใชปลอบเด็กเล็ก หรือใหเด็กโตแลวรองเลน บทเพลงเหลานี้มีคุณคาและมีภูมิปใญญา แฝงอยูในเนื้อรอ ง ดงั น้ี ๑. การใชภาษา บทเพลงสําหรับเด็กสวนใหญเป็นบทรอยกรองสั้น ๆ งาย ๆ ใชคําซ้ํา ๆ กัน มีสัมผัสคลองจอง แตไมเครงครัดในฉันทลักษณแ ผูแตงจะใหเพลงแตละบทมีกี่วรรค กี่คํา ก่ี บรรทัดก็ได ซึ่งมักเป็นบทสั้น ๆ เพื่อใหเด็กฟใงเลนเพลิน ๆ และจดจําไดงาย ไมมุงความไพเราะและ ความงดงามของภาษา แตผูแตงเป็นชาวบานในทองถิ่นก็สามารถนําคําไทยแทแบบชาวบานมา รอยกรองเขา ดวยกันใหฟใงแลว ซาบซ้งึ ใจได ๒. เนื้อหาของบทเพลง เน้ือหาของบทเพลงสําหรับเด็กเกี่ยวของกับสภาพสังคม วิถีชีวิต ของคนในทองถ่ิน ทําใหเห็นวัฒนธรรมไทยเดนชัดวาครอบครัวไทยมีความรัก วามผูกพันกันระหวาง พอแมกับลูก ผูใหญกับเด็ก ความรักความหวงใยนี้ยังแสดงออกมาเป็นถอยคําเชิงอบรมสั่งสอนและ เนน เร่อื งคณุ ธรรมดวย ๓. การใหความรูเรื่องธรรมชาติ สัตวแ พืช ผูคนในทองถ่ินรูจักสังเกตส่ิงที่อยูรอบตัว และ นํามาเรียบเรียงเป็นกลอนรองไดมากมาย สัตว์ เชน ต฿ุกแก แมงมุม แมว หมา กระตาย จิงโจ เสือ ชา ง ปู ปลา นกกระจิบ กา และงู เปน็ ตน พชื เชน มะเขือ ขาว ดอกเขม็ หมาก มะนาว เป็นตน ๔. การใชถอยคาํ ส่ังสอนโดยตรง คือ การใชบ ทเพลงช้ีแนะความประพฤติท่ถี ูกท่ีควร เชน การประพฤติตนเป็นคนดี ความกตัญโตู อผมู พี ระคณุ การทาํ ความดี การเป็นแบบอยา งที่ดี ๕. การใชถอยคําส่ังสอนโดยทางออม คือ ยกสิ่งท่ีไมดีขึ้นมาเปรียบเทียบ เพ่ือใหเห็น ตัวอยางทไี่ มดี ไมค วรเอามาเปน็ แบบอยา ง เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทองถิ่น ช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี ๖ | นายกิตศิ ักดิ์ สขุ วโรดม ผเู้ รยี บเรียง ๑๓๔
๖. การแทรกอารมณแขบขันในบทเพลง บทเพลงสําหรับเด็กบางบทมีเนื้อรองท่ีลอเลียน และเสียดสีสังคม มักเป็นการลอเลียนเรื่องชูสาว หรือความประพฤติที่ไมเหมาะสมอยางไรก็ตาม แมวาเน้ือรองน้ันจะวากลาวหรือประชดประชันผูอ่ืนแตยังแฝงอารมณแขันไวแสดงใหเห็นวาคนไทย ฉลาดในการระบายอารมณแที่เก็บกดออมาเป็นเร่ืองสนุก (ประพนธแ เรืองณรงคแ และ เสาวลักษณแ อนนั ตศานต,แ ๒๕๔๗, หนา ๔๘-๕๒) ๔. เพลงปฏพิ ากย์ เพลงปฏิพากยแเกิดจากธรรมชาติหนุมสาว และอุปนิสัยรักบทกลอนของคนไทย คือ เม่ือ หญิงสาวและชายหนุมไดมีโอกาสพบกันในงานเทศกาลตาง ๆ ชายหนุมก็มักจะพูดจาเก้ียวพาราสี หญิงสาว เพอ่ื เปน็ สือ่ นาํ ไปสคู วามทาํ ความรูจักและการแตงงานกันตอไปแตดวยนิสัยรักบทกลอน จึง ดัดแปลงคําเกี้ยวพาราสีธรรมดาใหกลายเป็นขอความที่มีสัมผัสคลองจองและขับออกมาเป็นลํานํา ตา ง ๆ จงึ กลายเปน็ เพลงปฏพิ ากยแไปในทีส่ ดุ เพลงปฏิพากยแน้ีมีอยูทุกภาคทุกทองถิ่นของประเทศไทย เพียงแตเรียกขานแตกตางกัน ออกไป เชน ในภาคกลาง มีเพลงฉอย เพลงลําตัด เพลงเก่ียวขาว เพลงปรกไก รําเหยอย เพลงเรือ เพลงเทพทอง เพลงพวงมาลัย เพลงเตนกํารําเคียว ในภาคเหนือ มีคาวซอ เพลงคาวจ฿อย หรือเพลง คาวฮ่ํา เพลงเรือชาวเหนือ ในภาคอีสาน มีเพลงโคราช เพลงแคน หรือเพลงลํา ในภาคใตมีเพลง เพลงบอกใต ในภาคตะวันออก มเี พลงหงสแ เพลงระบํา เหลงเหยอย เพลงวง เพลงโซ เพลงปุา ในท่ีนี้ จะยกเพลงปฏิพากยแบางเพลงมาวิเคราะหแเพื่อเป็นตัวอยาง (ประคอง เจริญจิตรกรรม, ๒๕๓๙, หนา ๑๖) เพลงพนื้ บ้านภาคกลาง เพลงพ้ืนบานภาคกลางมีจํานวนมาก ดังที่ไดกลาวมาแลวขางตน ใชรองในโอกาสตาง ๆ กนั เชน รอ งเพ่อื ความรนื่ เริง รองในระหวางทาํ งาน รอ งเลน รอ งในเทศกาลบางเทศกาล เพลงพ้ืนบานภาคกลางมักจะเป็นเพลงที่ชายหญิงรองโตตอบกัน และการโตตอบกันนั้น แยกออกเปน็ การโตตอบอยา งสนั้ และการโตต อบอยางยาว เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ งถนิ่ ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ ๖ | นายกติ ิศักดิ์ สขุ วโรดม ผเู้ รยี บเรยี ง ๑๓๕
เพลงที่ชายหญิงโตตอบกันอยางยาวมีหลายประเภท คือ เพลงเรือ ระบําบานไร เพลง พวงมาลยั เพลงหนาไย เพลงเตนกํา เพลงอีแซว ระบําบานนา เพลงพาดควาย เพลงเทพทอง เพลง ปรบไก ลําตัด เพลงแอวเคลาซอ เพลงฉอย ในที่น้ีจะกลาวถึงเฉพาะเพลงบางเพลง (ประพนธแ เรือง ณรงคแ และ เสาวลักษณแ อนันตศานตแ, ๒๕๔๗, หนา ๑๑๕-๑๑๖) ๑. เพลงเกี่ยวขา้ ว ประเทศไทยเปน็ ประเทศเกษตรกรรม มกี ารทํานาเป็นอาชีพหลัก ดังน้ันเมื่อหนุมสาว มาชวยกันเกี่ยวขาว (ซ่ึงเรียกวา ลงแขกเกี่ยวขาว คือ การรวมมือของคนในหมูบานหรือหมูบาน ขางเคียงชวยกันทํางานใหแกเพื่อนบาน เชน ดํานา เกี่ยวขาว โดยผลัดเปล่ียนกันไป เป็นการแลก แรงงานแทนการวาจางในปใจจุบัน) ก็พูดจาเก้ียวพาราสีโตตอบกัน จนกลายเป็นเพลงเก่ียวขาว ใน หนังสอื วัฒนธรรมไทยไดกลาวเกยี่ วกบั ประโยชนขแ องเพลงเก่ียวขาวไววา “เพื่อเป็นทางบรรเทาความ เหนด็ เหนื่อยเม่ือยลาและเรียกคนมาชวย จึงไดเกิดเป็นการเลนเพลงเก่ียวขาวขึ้น เป็นเพลงที่เลนกัน ขณะเก่ียวขาว ถาที่ใดมีการเลนเพลงเก่ียวขาวขึ้น ที่น้ันก็มักจะมีคนชวยมาก ทั้งท่ีมาชวยเปลาท่ีมา ชวยอยา งท่เี รยี กวา เอาแรงกนั หรือเลน ในเวลาวา งจากการทาํ นา เพลงเก่ียวขา วน้ีเลนในฤดูเกี่ยวขาว เทา น้ัน ทั้งนีย้ อกจากจะเป็นพักผอนหยอนอารมณแหลังจากที่ตองทํางานอยางครํ่าเครงตรากตรําแลว ยงั เกดิ ประโยชนแในทางปลูกฝใงความสามัคคีและการสมาคมระหวางเพศ ท้ังฝึกสมองใหเป็นคนฉลาด มีไหวพริบ และเกดิ นิสยั รักในทางวรรณคดี” เพลงเก่ียวข้าว ควา เถิดหนาแมค วา รบี ตะบึงถงึ คนั นา จะไดพดู จากนั เอย เก่ยี วเถิดหนาแมเ ก่ียว อยา มวั แลมัวเหลียว เคียวจะบาดมือเอย เกยี่ วขาวเถดิ แมย าย ผัดบุงหญา หวาย พนั ท่ีปลายกําเอย ควาเถดิ หนาแมค วา ผกั บุงสนั ตะวา ควา ใหเตม็ กาํ เอย (หนงั สอื วัฒนธรรมไทย เรื่องการเล่นพ้นื เมอื ง) เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ งถน่ิ ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี ๖ | นายกิติศกั ด์ิ สขุ วโรดม ผู้เรยี บเรียง ๑๓๖
เพลงเก่ียวขาวส้ัน ๆ นี้ แสดงใหเห็นวา เวลาเก่ียวขาวเป็นเวลาสําคัญสําหรับหนุมสาว สมัยกอน เพราะเป็นโอกาสที่ชายจะไดพบหญิงท่ีตนหมายปอง ดังจะเห็นจากคําที่ใชวา “ระตะบึง” มีท้งั คาํ วา รีบ และตะบึง หมายถงึ ไปอยา งรีบเรง ไมย อมหยดุ แมม ีอปุ สรรคใด ๆ อนั แสดงใหเห็นความ มีใจจดใจจอที่จะไดพบปะพูดจากับหญิงสาวในเวลาเก่ียวขาว หรือในขอความที่วา “อยามัวแลมัว เลียว เคียวจะบาดมือเอย” ก็แสดงวาฝุายหญิงก็มีความตองการพบชายท่ีตนเองพอใจเชนเดียวกัน จึงเก่ียวขาวไปพรอมกับเหลียวมองหาคนรักไปดวย ซึ่งทําใหเคียวที่คมน้ันบาดมือได และคงเป็น อุบัติเหตุที่เกิดบอยในการเกี่ยวขาวจึงมีการรองเพลงเตือนเชิงหยอกเยาไว หรือขอความวา “เก่ียว ขาวแมยาย ผักบุงหญาหวาย พันท่ีปลายกําเอย” ก็แสดงใหเห็นคานิยมเกี่ยวกับความออนนอมถอม ตนตอผูใหญ เพราะถาเก่ียวขาวในที่นาของแมยาย ลูกเขยจะตองหาผักประเภทของกินไปใหแมยาย หาหญาไปเลี้ยงความของแมยาย และหวายซ่ึงเปน็ พชื ทําของใชไปฝากแมย ายดวย เพ่ือเป็นการแสดง ความกตญั โู ออ นนอ มตอแมย าย นบั เปน็ วิธที าํ ใหผูใ หญเ กดิ ความเมตตาและเอ็นดอู ยา งหน่ึงอีกท้ังยัง สอนใหเ ปน็ คนมีนา้ํ ใจดว ย เพลงเก่ียวขาวน้ีแสดงบนลานอยางเป็นพิธีการ จะมีพอเพลง แมเพลง เป็นผูนําการเลน มีการเริ่มตนดวยบทไหวครู บทปลอบชาย บทปลอบหญิง เพ่ือเชื้อเชิญใหมารวมเลนเพลง และรอง เพลง เพลงเกี่ยวขาวน้ี ปใจจุบันไดมีผูตัดแปลงเป็นเพลงเตนกํารําเคียวที่เรารูจักกันดี ดังเพ่ือเพลง ตอไปนี้ ชาย มากันเถิดนางเอย เอเยรา แมมารึมาแมมา มาเถิดแมนุชนอง พี่จะเป็นฆอง ใหนอง เปน็ ปี่ ตองตะรดิ ติดตอยน้ําแหงนํ้าหยอดท่ีตรงล้ินปี่ แมคนหนาแมชางงามขํา มามารํา ไปเสยี พ่ี มาซิมาแมมา มาเถิดนะแมม า มารึมาแมม า ๆ มาเตนกาํ ยา่ํ หญา กันในนาน้ีเอย หญงิ มาแลว เอย เอเยรา พอ มามารมึ า ๆ ฝนกระจายปลายนาแลวนอ งจะมาอยา งไรเอย ชาย ไปกนั เถดิ นางเอย เอเยรา แมไ ปไปรไึ ปแมไ ป ๆ ไปชมนกกันที่ในปุาไปชมพฤกษากันที่ใน ไพร ไปชมชะนีผีไพรกันเลนในท่ดี งเอย หญิง ไปกันเถิดนายเอย เอยเ รา พอไปรึไปพอไป ๆ นองเดนิ ขยกิ จกิ ไหลต ามกนั พี่ชายไปเอย ชาย รํากันเถิดนางเอย เอเยรา แมรํารึแมรํา ๆ ใสเส้ือเนื้อดี แมหมแตสีดอกคํา ๆ นองรําแน แมชางรํา แมเช้ือระบําเกาเอย เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ งถิ่น ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ ๖ | นายกิตศิ ักด์ิ สขุ วโรดม ผู้เรียบเรียง ๑๓๗
หญงิ ราํ กนั เถิดนายเอย เอยเ รา พอ ราํ ราํ รรึ าํ พอรํา ๆ มหาหงสลแ งตํา่ ตางคนตา งราํ ไปเอย ชาย เดินกันเถิดนางเอย เอเยรา แมเดินเดินรึเดินแมเดิน ๆ กาวเทาขึ้นโคกเสียงโพระดก มัก รองเกร่ิน จะพาหนนู องไปทอ งพะเนนิ ชมเชน ใหเ พลินใจเอย หญงิ เดินกันเถิดนายเอย เอเยรา พอเดินเดินรึเดินพอเดิน ๆ หนทางก็รกระหกระเหิน ชมเลน ใหเ พลินใจเอย ชาย บินกันเถดิ นางเอย เอเยรา แมบินบินรึบินแมบิน ๆ สองตีนกระทืบดินใครเลยจะบินไปได อยา งเจา ๆ ใสงอบขา วขาว ๆ รํากาํ งามเอย หญิง บนิ กันเถิดนายเอย เอเยรา พอบนิ บินรึบินพอ บนิ ๆ ไมมเี หลาใหกินนอ งกลวั จะบินไมไหว เอย ชาย ยักกันเถิดนางเอย เอเยรา แมยักยักรึยักแมยัก ๆ ยักต้ืนติดกึกยักลึกติดกัก หงสแทองนอง รกั ยกั ใหหมดวงเอย หญงิ ยักกันเถิดนายเอย เอเยรา พอยักยักรึยักพอยัก ๆ อยาเขามาใกลนองนักจะโดนเคียว ควกั ตาเอย ชาย ยองกันเถิดนางเอย เอเยรา แมยองยองรึยองแมยอง ๆ บุกพงกระไรแกรก ๆ สองมือก็ แหวกนัยนแตา กม็ อง ๆ พบฝูงองี อ งพวกเรากจ็ องยงิ เอย หญิง ยอ งกันเถดิ นายเอย เอยเ รา พอยอ งรยึ องพอยอ ง ๆ คอ ยขยับจับจอง ยอ งใหถ กู เพลงเอย ชาย ยางกันเถิดนางเอย เอเยรา แมยางยางรึยางแมยาง ๆ โจ฿ะทิงติงทั่งทิงทิง ๆ วัวควาย กระตายขล่ี งิ ยางรยึ า งแมยา ง ไมว า เน้ือเสอื เนอื้ ชางพอยา งมาฝากนองเอย หญิง ยางกันเถิดนายเอย เอเยรา พอยางยางรึยางพอยาง ๆ ไมวาเน้ือเสือเน้ือชางพอยางไป ฝากเมยี เอย ชาย แถกันเถิดนางเอย เอเยรา แมแถแถรึแถแมแถ ๆ จะลงก็หนองไหน พ่ีจะไปหนองน้ัน แนๆ นกเป็ดนาํ้ ไซรแหนแถลงหนองเอย เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทองถ่นิ ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๖ | นายกติ ศิ ักดิ์ สขุ วโรดม ผเู้ รียบเรียง ๑๓๘
หญิง แถกันเถิดนายเอย เอเยรา พอแถแถรึแถพอแถ ๆ นกกระสาปลากระแหนแถมาลงหนอง เอย ชาย ถองกันเถิดนางเอย เอเยรา แมถองถองรึถองแมถอง ๆ คอยขยับจับจองถองใหถูกนาง เอย หญิง ถองกันเถดิ นายเอย เอยเ รา พอถองถองรึถองพอ ถอง ๆ ชะฉ่ําชะฉาชะชา ๆ ถองรึถองพอ ถอง กลา ดีกเ็ ขามาลองจะโดนกระบองตีเอย (คัดจากหนังสือคตชิ าวบ้านไทย ของ เจือ สตะเวทิน) เพลงเตนกํารําเคียวนับเป็นความพยายามอนุรักษแเพลงพื้นบานของไทยอยางไดผลโดย เปลี่ยนแปลงเน้ือรองและทํานองใหเขากับดนตรีและความนิยมของสังคมปใจจุบัน จนทําใหปใจจุบันมี ผูน ําเพลงเตนกําราํ เคยี วมารอ งราํ ในโอกาสตา ง ๆ อยูเ สมอ ๒. เพลงพวงมาลยั เพลงพวงมาลัยเป็นการละเลนพื้นเมืองท่ีมีนานนิยมเลนกันทางจังหวัดสุพรรณบุรีซ่ึงมี เขตติดตอกับจังหวัดกาญจนบุรี เพชรบุรี ตอมาจึงไดเลนแพรหลายทั่วไป เพลงพวงมาลัยในแตละ ทองถิ่นจะมีทํานองและเนื้อเพลงตางกัน การเลนเพลงพวงมาลัยนี้นิยมเลนในเทศกาลวันเพ็ญเดือน ๑๒ หรือในงานนักขัตกฤษแ งานมงคลตาง ๆ เชน งานทอดกฐิน บวชนาค ฯลฯ เนื้อความของเพลง พวงมาลัยจะเปน็ การเกยี้ วพาราสีระหวา งหนมุ กับสาว โดยเรม่ิ ตนดวยบทไหวครู เชน บทไหวค้ รู เออระเหยลอยมา ยกมอื วันทาสิง่ ศักดส์ิ ทิ ธ์ิ ไหวค ุณพระรตั นตรยั พระเทพไทอันมีฤทธิ์ ไหวคณุ บดิ ามารดา ทีเ่ ลยี้ งลกู มารอดชีวิต ทั้งคณุ ครูบาอาจารยแ ใหค วามชํานาญรุง เรืองวิทยแ ฉันจะวาเพลงพวงมาลัย ขอจงกลาวใหไ ดสมดังจิต เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ งถ่ิน ชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี ๖ | นายกิติศักดิ์ สขุ วโรดม ผู้เรยี บเรียง ๑๓๙
พอ ชอ มะกอก พอ ดอกมะขวดิ จงอยาใหตดิ ขดั เอย ชาย เออระเหยลอยมา ลอยมาแตไ กล สวยเอเยแมจ ําปาไทย น่เี ปน็ บพุ เพชกั พาวาสนาชกั นาํ พศิ ดไู หนก็นายวนใจ รปู อนงคเแ หมือนหนึง่ องคแเทวา สองแกมแยม ย้ิมระไม ดูเนตรดําเหมือนอยางเม็ดทบั ทิม ลอยมาขดี เขียนทาํ ให ดคู ้วิ สองขางเหมือนอยางมนเทยี น รักเขาแทบเป็นบาเป็นใบ พเ่ี ป็นมนุษยกแ ็สุดปใญญา สาวเอยเ แมบานอยไู กล นกึ วาเอน็ ดูกบั ฉัน รกั นอ งไมห ายลืมเอย พวงเจา เอเยมาลัย ลอยมาไมไกล หญิง เออระเหยลอยมา นอ งนยี้ ังหนกั น้ําใจ มาถงึ จะบอกวารกั วาบานพี่ทาํ กินกนั อยา งไร ไมรูจกั หัวนอนปลายตีน รักรางรักราอาศัย เขาวา รักชายนั้นหลายอยา ง ทาํ ใหนอ งนอนอาลัย จอแลวก็จากรักแลวก็จร สวยเอเยนองไมเหน็ น้าํ ใจ จะรกั นองจรงิ หรือจะรักนอ งเลน ไดแ ลว ถอนคนั กลบั ไป จะลอ หลอกลวงแตพอดว งนนั้ ลน่ั ไดแลวกล็ งเรือนไป จะลอ หลอกลวงแตพ อใหนอ งหลง เห็นจะไมไ ดน อ งเอย พวงเอยเ เจาพวงมาลัย พลี่ อยมาแตไ กล ชาย เออระเหยลอยมา เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทองถ่ิน ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ ๖ | นายกิติศกั ดิ์ สขุ วโรดม ผู้เรยี บเรียง ๑๔๐
อุตสาหแแบรักมาหา อยา ใหพ ่ตี องพากลับไป รักนอ งจริง ๆ ไมทิ้งไมข วา ง ไมย อมหา งจนบรรลยั นอ งจนเอน็ ดูเชิดชูพ่ี เมตตาปรานีแลเห็นใจ โอแ มบวั บงั ใบ พีร่ ักเจา คนเดยี วเอย (ของโบราณ จากคติชาวบา้ นไทย : เจือ สตะเวทนิ ) เพลงพวงมาลัยบทนสี้ ะทอ นใหเห็นทัศนคติท่แี ตกตางกนั ของผชู ายและผูหญิงในเร่ืองการ เลือกคูครอง ฝุายชายมักจะพิจารณาหญิงสาวจากรูปลักษณแภายนอก เชน ความสวยงาม สวนฝุาย หญิงจะพิจารณาชายหนุมจากฐานะความมั่นคง เชน กําเนิด อาชีพ และที่สําคัญ คือ รักแทของชาย หนุม เพราะสังคมไทยมีคานิยมเร่ืองพรหมจรรยแของหญิงสาว ซ่ึงทําใหฝุายหญิงตองแนใจวาเมื่อ คคู รองกันแลว ฝาุ ยชายจะไมท อดท้ิงทาํ ใหต นตอ งไดรับความอบั อายภายหลัง นอกจากนี้ บทเพลงนี้ยังสะทอนความเชื่อเรื่องกรรม คือ บุพเพสันนิวาสวาคนท่ีจะ เป็นคูค รองกันน้นั เพราะเคยทําบุญรว มกันมาในชาตปิ างกอน อีกท้ังในการรองเพลงพวงมาลัย ผูรอง นิยมใชสัญลักษณแเพื่อกลาวเปรียบเทียบ เชน ดวง บัวบังใบ แตอยางไรก็ตามภาษาและสัญลักษณแ เหลานี้ก็มักเป็นคํางาย ๆ หรือใชลักษณะธรรมชาติในทองถ่ินเปรียบเทียบเพ่ือใหคนในทองถ่ิน ตคี วามหมายเขา ใจได เพลงพวงมาลัยยงั นยิ มเลนกันอยูในปใจจุบัน ๓. เพลงฉ่อยและเพลงปรกไก่ เพลงฉอยและเพลงปรบไก เป็นเพลงรองโตตอบระหวางชายหญิง นิยมวาปากเปลาโดย อาศัยปฏิภาณเป็นสําคัญ เม่ือรองเพลงฉอยจบบทแลว ลูกคูจะรองรับพรอมกันวา “ชา ฉา ชา ฉาด ชา หนอ ยแม” แตเ พลงปรบไก ลกู คจู ะรอ งรับเมอ่ื จบบทวา “ ฉา ฉา ฉา ฉา ชะฉาไฮ” สวนเน้ือเพลง น้นั จะคลาย ๆ กัน ตา งกนั ตรงทํานองทีร่ องและรับเทา นัน้ เชน เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทองถนิ่ ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ ๖ | นายกติ ิศักดิ์ สขุ วโรดม ผเู้ รยี บเรยี ง ๑๔๑
เน้ือเพลงฉ่อยกลอนรา เสยี ดายกระเด่อื งตัวพีเ่ คยตํา เสียดายน้าํ ตัวพี่เตยตัก พเ่ี คยหยุดพดู ยืนพัก อยูกบั แมพวงยพุ นิ พีเ่ คยขับลาํ รํ่ารอง ดว ยกนั กบั นอ งทตี่ ีน-ทา พ่เี คยตกั นาํ้ หาบ เอามาอาบดว ยกัน แกห อ ขม้ินชัน เอามาย่ืนใหช ู พดู กนั พลางฝนกนั พลาง นองยงั ผนิ หลังใหพถี่ ู-ทา (จากหนงั สือกวนี ิพนธ์ ของพระสารประเสรฐิ ) เน้ือเพลงฉอยบทน้ี นอกจากจะตอวาหญิงสาวที่เปล่ียนใจแลว ยังชวยใหเขาใจสภาพ ความเป็นอยูของคนไทยสมัยกอน ท่ีนิยมต้ังบานเรือนอยูใกลแมนํ้าลําคลอง เวลาสรางบานก็ตอง สรา งทาน้ําไวดว ย และตีนทาคอื สว นลางของทา นํา้ ท่ีตดิ กับชายนา้ํ มีไวสาํ หรับเป็นท่ีกันหรือนั่งในการ ตักน้ําหรืออาบน้ํา อีกทั้งในสมัยกอนการประปายังไมมีก็ตองตักน้ําจากคลองขึ้นมาเก็บไวใช ดังน้ัน ชายหนุมจะเก้ียวสาวก็จําเป็นตองไปชวยสาวทํางาน เชน การตักน้ํา ตําขาว เพื่อใหหญิงสาวและ บรรดาญาตพิ ี่นอ งของฝาุ ยหญงิ เห็นใจและเห็นความขยัน นอกจากน้ี ยงั สะทอนใหเห็นเครื่องประทินผิวของหญิงสาวสมัยกอน เขานิยมใชขมิ้นฝน กบั นา้ํ แลว ทาผิว ปใจจุบันการใชข ม้นิ ทาผวิ ยงั คงเหลอื อยใู นพิธีอาบน้ํานาค ในประเพณีบวชนาค ๔. ค่าวซอ คาวซอ เปน็ เพลงชนิดหนง่ึ ของภาคเหนือมีความแตกตา งจากคาวจ฿อยตรงท่ีคาวซอตองมี ดนตรีประกอบเสมอ และจะเรียกวา ชางซอ (คนทองถ่ินออกเสียงจางซอ) รองเพ่ือใหผูอื่นฟใง มากกวาจะเป็นการรองเลนเฉย ๆ แตหนุมสาวก็มีสิทธิจดจํามารองเลนได คลาย ๆ กับที่ปใจจุบันจํา เพลงลูกทุงลูกกรุงมารอ งเลน กัน เน้อื หาของคา วซอมีตาง ๆ คือ มีทั้งที่เป็นบทสําหรับพิธีกรรมเป็นคํา สอน เปน็ นิทาน และเปน็ บทเกี้ยวพาราสี เชน เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทองถิ่น ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ ๖ | นายกิตศิ กั ด์ิ สขุ วโรดม ผูเ้ รียบเรยี ง ๑๔๒
ญงิ กับจาย กนั ไดถ ูกเนอื้ เหมอื นด่ังคาง หิงไฟ (หมายถึง หญิงกับชาย เมื่อไดถูกตองตัวกัน เหมือนครั่งท่ีแข็งกระดางลนไฟ) เป็นบท เปรียบเทียบสอนหญิงและชาย ใหระวังอยาใกลชิดกันเกินไป โดยเปรียบผูหญิงเหมือนครั่ง เปรียบ ผูชายเป็นไฟ ซึ่งสะทอนใหเห็นคานิยมเร่ืองพรหมจรรยแของหญิงสาวในสังคมทองถิ่นภาคเหนือก็มี เชนเดียวกบั ของภาคกลาง หรอื ในบทวา ใครซ อนเอาตัว พาสรอยดอกไม อยูตามฮอ งหวย ภูดอย มีหัน้ พร่าํ พรอ ม บกุ มันหัวกลอย กระจา งกลางดอย ไมทกุ ขา เกง้ิ นอ งสะพายพก ทีส่ ะพายกง พายกันสองคน ใครห ัววเิ วกเลน คาวซอบทน้ีแสดงความรักแทของหญิงและชาย โดยฝุายหญิงกลาวถึงผูชายที่ตนรักวา ผูหญิงยอมจะไปอยูร ว มทุกขรแ วมสุขทุกแหง แมจะอยูตามหวยตามภูเขา เพราะทุกทีมีทุกอยางพรอม ท้ังบุก มันเทศ หัวกลอยสําหรับเป็นอาหารกลางปุา ไมมีความทุกขแใด ๆ สักนิดตัวผูหญิงจะสะพาย หอผา สวนผูชายสะพายคันกระสุน อยูดวยกันสองคน มีความสุขสงบคาวซอบทน้ีไดแบงหนาที่ของ ชายและหญิงใหเห็นเดนชัด วาผูหญิงจะดูแลกิจการบานเรือน เคร่ืองนุงหมและอาหาร สวนผูชายมี หนาปกปูองคุมภัยจึงตองถือกงซึ่งเป็นคันกระสุน อีกทั้งยังสะทอนสภาพภูมิประเทศทางภาคเหนือท่ี เป็นปุา เขา และหวย ตลอดตนการดํารงชีวิตแบบดั้งเดิม คือ การหาของปุาจําพวก บุก มันเทศ กลอย มาทําเป็นอาหารเพอ่ื ยงั ชีพ ๕. เพลงแคน แพลงแคนหรือเพลงลํานี้เป็นเพลงพ้ืนบานภาคอีสาน เป็นการรองเก้ียวกันระหวางชาย กับหญิง ถามีแคนประกอบเรียกวา หมอลําแคน การรองน้ีทางภาคอีสานเรียกวา “ลํา” การลํา อาจจะลาํ เด่ยี ว เป็นชายหรือหญิงเลาเร่อื งหรอื เหตกุ ารณแ การลําชนิดน้ี เชน ลําโขง ลําเดินดง คือ ชม นก ชมไม ฯลฯ สวนลําประชัน จะมีชายหญิง หรือชายกับชาย หญิงกับหญิง ก็ได อาจจะเป็นเร่ือง เกยี้ วกนั หรือตั้งปใญหาถามกัน เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทองถน่ิ ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๖ | นายกิตศิ กั ดิ์ สขุ วโรดม ผู้เรยี บเรยี ง ๑๔๓
๖. เพลงนา เพลงนาเป็นเพลงพ้ืนบานภาคใตคลายกับเพลงเกี่ยวขาวของภาคกลาง มีเรื่องเลาวาใน สมัยรัชกาลท่ี ๕ ประมาณ พ.ศ. ๒๔๒๖ มีคหบดีผูหนึ่ง มีท่ีดินไรนามากมาย อยูท่ีอําเภอทาแซะ จังหวดั ชุมพร ไดใหมกี ารประกวดรอ งเพลงนาทามกลางคนหนมุ สาวทีไ่ ปชวยเก่ียวขาวในนาคหบดีทา น้ัน จึงไดมีการคิดแตงเพลงนา ซึ่งเดิมเป็นการเลนกลอนทั่วไป ซึ่งใคร ๆ ก็ขับได ใหเป็นเพลงที่มี ความซาบซงึ้ ถึงอกถงึ ใจผฟู งใ มากท่ีสุดข้นึ การเลนเพลงนา นอกจากจะใชเลนแกเก้ียวกันในนานานแลว ยังใชเลนโตคารมกันใน งานวดั งานนักขัตฤกษแแ ละงานมงคลตา ง ๆ ตลอดจนแกเ กย้ี วกนั เม่อื หนมุ ไปเยีย่ มสาวทบ่ี า น ๗. เพลงบอก เพลงบอกเป็นเพลงพ้ืนบานอีกชนิดหน่ึงของภาคใต มีหลักฐานวาเกิดเป็นครั้งแรกท่ี จังหวัดนครศรีธรรมราช แลวแพรหลายไปตามจังหวัดใกลเคียง เชน สุราษฎรแธานี สงขลา ตรัง และ พทั ลงุ เดมิ เพลงนี้ นกั เพลงบอกจะประมวลเร่อื งราวประกาศสงกรานตแตามแบบโหรศาสตรแจาก ปฏิทินหลวง แลวแตงเป็นเพลงมีกลอนสัมผัส นําไปขับรองใหคนในทองถ่ินฟใง เพ่ือบอกใหรูแทน ปฏิทิน เน่ืองจากสมัยกอนปฏิทินตามชนบทยังมีใชกันไมท่ัวถึง ดังนั้นพอถึงเทศกาลสงกรานตแ ชาวบานก็จะคอยฟใงเพลงบอกกัน ผูเป็นพอเพลงแมเพลงมักจะขับรองเสริมบทอวยพรสงกรานตแแก เจา ของบา นดวย ดนตรีที่ใชเลนประกอบมีเพียงอยางเดียว คือ ฉิ่ง ตอมาเม่ือมีคนชอบฟใงมากขึ้น จึง มีผูนําเอานิทานมาเรียบเรียงเปน็ กลอนบอก เชน จันทโครพ ตอมาวทิ ยาการเจริญข้ึน การคมนาคมสื่อสารสะดวกข้ึน การรองเพลงบอกเพื่อประกาศ สงกรานตแจึงไมเป็นอีกตอไป นักเพลงบอกจึงจําเป็นตองปรับปรุงเปล่ียนแปลง เพลงบอกใหเขมขน ดวยการประชันเพลงบอก จึงเกิดเป็นเพลงบอกโต คือ การโตหรือปะทะคารมกันดวยเพลงบอก มี กตกิ าเพยี ง ๒ ประการ คอื ถา ตดิ กลอน และตอบปญใ หาท่ีอกี ฝาุ ยถามมาไมได กต็ องประกาศยอมแพ ใหไดยินกันท่ัว การโตตอบนี้ตองใชกลอนสด และปฏิภาณอยางยอดเย่ียม เชน การโตเพลงบอก ระหวางรอดหลอ และปานบอด (คือนายรอดผูมีหนาตาดี และนายปานผูตาบอด) นักเพลงบอกท่ีมี ชื่อเสยี งในอดีตของภาคใต (ประคอง เจรญิ จติ รกรรม, ๒๕๓๙, หนา ๑๖-๒๘) เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทองถ่นิ ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี ๖ | นายกิตศิ กั ดิ์ สขุ วโรดม ผเู้ รียบเรียง ๑๔๔
ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งเพลงพน้ื บา้ นกับการดารงชีวิต เพลงพื้นบาน เป็นเพลงท่ีเกิดจากกลุมชนในทองถ่ินท่ีสืบทอดกันมานานใหทราบวาใคร เป็นผูเริ่มรองเพลงเป็นคนแรก จากระยะเวลาท่ียาวนานทําใหเน้ือเพลงผิดเพี้ยนจากเดิมไปบางตาม ทองถิ่นตาง ๆ แตอยางไรก็ตาม เพลงเหลานี้ก็ยังคงแสดงวิถีชีวิตของกลุมชนในทองถ่ินไดอยาง นาสนใจ ความสมั พนั ธขแ องเพลงกบั การดาํ รงชวี ิตมีหลายดาน ดงั นี้ ๑. เพลงพืน้ บา้ นใชร้ ้องเพอื่ ความบนั เทิงแกก่ ลมุ่ ชนในท้องถน่ิ เพราะสังคมในด้ังเดิมไม มีมหรสพใหความบันเทิงมากเหมือนปใจจุบัน คนในทองถ่ินตาง ๆ จึงตองใชความสามารถและ ปฏภิ าณของบคุ คลในทองถน่ิ คดิ เพลงพ้นื บานประเภทตา ง ๆ ขึน้ เพือ่ ใหค วามบนั เทงิ ในกลุม ของตน ๒. เพลงพ้ืนบ้านมีบทบาทในการสอนกลุ่มชนในท้องถ่ิน เพราะเนื้อเพลงพ้ืนบานจะ สอดแทรกอุดมคติ ความมงุ หวัง ความรปู ระสบการณแของผูรอ งไวดว ย เม่อื ผูฟใงเพลงนําไปรองเลนกัน ตอ ๆ ก็ทําใหความคิดในเนื้อเพลงคอย ๆ ซึมซาบเขาไปฝใงในจิตใจจนยอมรับและปฏิบัติตาในที่สุด นับวาเป็นวิธีการอันแบบแยบยลในการปลูกความคิด จริยธรรมของกลุมชนโดยใชความสนุกสนาน เป็นเครอ่ื งลอ ๓. เพลงพื้นบ้านช่วยสร้างความสามัคคี เพราะการเลนเพลงพ้ืนบาน นอกจากเพลง กลอมเด็กแลว จะตองรวมกลุมกันเป็นการรวมกลุมเพ่ือทํางาน หรือเพื่อหาความสนุกสนานในงาน นักขัตกฤษแ งานมงคลตาง ๆ ฉะน้นั การท่ีชาวบานรวมกลุมกันไดและรวมใจกันเลนเพลงพื้นบานไดก็ จาํ เป็นตอ งมคี วามสามัคคี ๔. เพลงพ้ืนบ้านสะท้อนให้เห็นค่านิยมเด่น ๆ ของคนไทย เราจะเห็นไดวาถึงแม ประเทศไทยจะแบงออกเป็นหลายภาค และมีสภาพทางภูมิศาสตรแและเศรษฐกิจที่แตกตางกัน ออกไป แตค นไทยกย็ ังมคี านยิ มเดน ๆ ท่ีคลา ยคลึงกัน อนั ไดแ ก ๔.๑ ค่านยิ มเรอ่ื งรักสนุก ดังจะเห็นไดจากเพลงพ้นื บาน โดยเฉพาะเพลงปฏิพากยแมักจะ เกิดจากการรวมกลุมทํางาน ชาวบานท่ีมาทํางานก็คิดเลนเพ่ือชวยผอนคลายความเหน็ดเหนื่อย ทํา ใหก ารทาํ งานไดทง้ั งานและความสนุกสนานไปพรอ ม ๆ กนั เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ งถ่นิ ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี ๖ | นายกิตศิ กั ด์ิ สขุ วโรดม ผ้เู รยี บเรยี ง ๑๔๕
๔.๒ ค่านยิ มเรอ่ื งความกตญั ํู คนไทยทุกทองถ่นิ จะถอื วาความกตัญโูเป็นส่ิงสําคัญ ใน การเลน เพลงจงึ ตอ งมีบทไหวค รู เพ่อื แสดงความคารวะตอ ครูกอนทุกครั้ง คานิยมเร่ืองความกตัญโูน้ี ไมไดมีเฉพาะคนไทยทีน่ ับถอื พุทธศาสนา แมค นไทยท่นี บั ถอื ศาสนาอิสลามกม็ ีบทกลอมเด็ก ๔.๓ คา่ นยิ มเรอ่ื งยดึ มน่ั ในศาสนา เพลงพ้ืนบานมักจะกลาวหลักธรรมของศาสนาของผู ขับรองเพ่ือเป็นการสอนและใหความรูแกผูฟใง ขณะเดียวกันก็แสดงถึงความเชื่อในศาสนาของผูขับ รอง ถาเป็นพุทธศาสนาก็มักจะเนนเรื่องกรรม วาใครทําสิ่งใดไวก็ยอมไดรับผลของการกระทําของ ตนเองตอบแทนในท่สี ุด เป็นตน ๔.๔ ค่านิยมเรื่องผู้ปฏิภาณ คนไทยทุกคนทุกทองถิ่นจะยกยองคนท่ีฉลาดมีปฏิภาณดัง เราจะเหน็ วา ในการเลนเพลงพน้ื บาน โดยเฉพาะเพลงปฏพิ ากยแ มักจะมีการประชันเพ่ือแขงขันวาใคร จะมีปฏิภาณสามารถ “ตน” เพลงโตตอบไดอยางฉับพลัน แมในการรองเพลงกลอมเด็ก ผูขัยรองก็ จะตอ งคดิ เน้อื หาของเพลงทีจ่ ะจะสอ่ื ความรูสึกของตนเพิ่มเติมดวย ดังน้ันเพลงพ้ืนบานจึงเป็นเครื่อง แสดงปฏภิ าณของกลุมชนทอ งถน่ิ อยางหนึง่ ๕. เพลงพ้ืนบ้านเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยปลูกฝ๎งความรู้สึกรักบทกลอนของคนไทย คนไทยคุนเคยกับกาพยแกลอนตั้งแตเด็ก ดวยเพลงกลอมเด็กที่แมหรือญาติขับกลอม โตข้ึนมาก็รอง เลนดับเพื่อนเป็นบทกลอนดวยเพลงสั้น ๆ เม่ือวัยหนุมสาวก็มีวิธีการเลนเพลงปฏิพากยแจึงทําให ความรสู ึกรกั บทกลอนซมึ ซาบเขาไปในจิตใจ ชวยใหคนไทยทกุ ทอ งถิน่ เปน็ คนเจาบทเจากลอน ๖. เพลงพ้ืนบ้านเป็นแหล่งบันทึกความเชื่อของคนในท้องถ่ิน จะเห็นไดวาเพลง พ้ืนบานมักมีการกลาวถึงผีและส่ิงศักดิ์สิทธ์ิอยูเสมอ ผีและส่ิงศักด์ิสิทธิ์เหลานี้มีสวนชวยสราง ความรูสกึ ผกู พันกนั ของคนในทอ งถน่ิ เดยี วกนั เชน การมีผบี รรพบรุ ุษรว มกนั ดังน้ันจะเห็นไดวา เพลงพ้ืนบาน มิไดมีคุณคาเพียงใหความบันเทิงเทาน้ัน แตยังมีคุณคา ในฐานะเป็นแหลงบันเทิงความเป็นมาและวัฒนธรรมทองถิ่น ตลอดจนสืบทอดความคิด อุดมการณแ สบื ตอไปยังคนยุคตอไปอีกดว ย (ประคอง เจรญิ จิตรกรรม, ๒๕๓๙, หนา ๒๘-๓๐) เพลงพื้นบานในทุกภาคของประเทศไทยมีความหลากหลายประเภท มีเน้ือหากวางและ หลากหลายมาก ข้ึนอยูกับวาผูแตงเพลงจะคิดเน้ือรองแบบใดขึ้นมา เพลงพื้นบานนับวาเป็นผลผลิต เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทองถ่นิ ชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ ๖ | นายกิตศิ ักดิ์ สขุ วโรดม ผู้เรยี บเรยี ง ๑๔๖
ของชาวบา น ท่ีถา ยทอดทางมขุ ปาฐะ อาศัยการฟใงและการจดจําตอ ๆ กนั มาเพลงพืน้ บานไมมีท่ีมาที่ แนนอน ไมท รายวาใครเปน็ ผรู อ งคนแรก จึงถือวา เปน็ เพลงของชุมชนสวนรวม เน้ือรองของเพลงพ้ืนบานที่มีผูบันทึกไวมีเร่ืองราวตาง ๆ กัน สวนใหญจะเป็นเร่ืองท่ี สนุกสนาน ไมคอยกลาวถึงความทุกขแที่หนัก ๆ พอเพลงแมเพลงสามารถขยายเน้ือรองไปไดเร่ือย ๆ คนเหลาน้ีมักเป็นปฏิภาณกวีอยูแลว ประกอบกับคนไทยมีนิสัยรักบทกลอนสามารถนําถอยคํามาผูก เป็นประโยคเพ่ือใชขับรองไดอยางไพเราะและไดอารมณแท่ีสําคัญก็คือ ผูที่ขับรองเพลงพ้ืนบานคือคน ท่ีอยใู นชนบท ภาษาท่ใี ชจึงงาย ตรงไปตรงมา (ประพนธแ เรืองณรงคแ และ เสาวลักษณแ อนันตศานตแ, ๒๕๔๗, หนา ๑๒๘) เพลงพ้ืนบานเป็นสวนหน่ึงของวัฒนธรรมชาวบานที่สําคัญ การศึกษาเพลงพื้นบานทั้งใน รูปแบบ เนื้อหา ภาษา และทวงทํานอง ตลอดจนประโยชนแของเพลงพ้ืนบาน นอกจากจะเห็น วิวัฒนาการของสังคมชาวบานในทุกดานแลว ผูศึกษายังเกิดความภาคภูมิใจ และสามารถนําเพลง พื้นบานไปใชประโยชนแไดด วย (เรไร ไพรวรรณ,แ ๒๕๕๑, หนา ๒๐๐) เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ งถนิ่ ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ ๖ | นายกิติศักดิ์ สขุ วโรดม ผเู้ รียบเรยี ง ๑๔๗
บทที่ ๕ ปริศนาคาทาย เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ งถ่ิน ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๖ | นายกติ ิศักด์ิ สขุ วโรดม ผ้เู รยี บเรยี ง ๑๔๘
ปรศิ นาคาทาย ปริศนาคําทาย เป็นภูมิปใญญาของชาวบานท่ีบอกเลาสืบตอกันมาชานาน ถือเป็นขอมูล มุขปาฐะที่สําคัญ เพราะปริศนาคําทายนอกจากจะใหความบันเทิงแลว ยังมุงฝึกสมองลองปใญญา เป็นเครอ่ื งมือในการอบรมส่ังสอนคนใหมีความชางสังเกต ชางคิด การศึกษาปริศนาคําทายนอกจาก จะทราบถึงภูมิปใญญาของคนไทยต้ังแตอดีตถึงปใจจุบัน ยังสามารถนํามาใชประโยชนแในการพัฒนา ตนเองไดอยา งดีอีกดวย (เรไร ไพรวรรณแ, ๒๕๕๑, หนา ๘๙) ความหมายของปรศิ นาคาทาย ปริศนา (ปริดสะหนา) หมายถึง สิ่งหรือถอยคําที่ผูกขึ้นเป็นเง่ือนงําเพื่อใหแกใหทาย (ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๔๖, หนา ๖๗๓) อางใน (เรไร ไพรวรรณแ, ๒๕๕๑, หนา ๘๙) ปริศนาคําทาย เป็นขอมูลมุขปาฐะเป็นสวนใหญ อาจมีสิ่งอื่นปรากฏบางแตไมมาก เชน ปริศนาภาพ ปริศนาทาทาง เปน็ ตน จุดมุงหมายก็เพอื่ ความบันเทิงเป็นสําคัญ นอกจากน้ันยังเป็นการฝึกสมอง ลองปใญญา ฝึกให เป็นคนชางสังเกต มีไหวพรบิ ปฏภิ าณในการแกป ญใ หาและตอบปใญหา ทมี่ าของปรศิ นาคาทาย เราไมอาจจะระบุไดอยางแนนอนวาปริศนาเกิดข้ึนเม่ือไร และชนชาติใดที่มีการทายปริศนา ข้ึนมากอนชาติอื่น ๆ เราทราบแตเพียงวาการทายปริศนามีหลักฐานปรากฏอยูในประเพณีเกาแก โบราณของหลายชาติ ในประเทศไทยเอาก็มีความนิยมทายปริศนาถึงกับการผูกปริศนาเป็นโคลงใน สมัยพระมงกุฎเกลาเจาอยูหัว แตการทายปริศนาทั่วไปน้ันมีลักษณะเป็นการถามการตอบแบบมุข ปาฐะ มีการใชถอยคําที่เป็นแบบแผนเฉพาะ คือ ประกอบดวยคําถามหรือส่ิงท่ีนาจะเป็นคําถามและ สว นท่เี ป็นคาํ ตอบ (ประพนธแ เรืองณรงคแ และ เสาวลกั ษณแ อนันตศานตแ, ๒๕๔๗, หนา ๑๐) ปริศนาคําทาย เกิดจากความตองการภูมิปใญญากัน จึงมีการทายปริศนา ซ่ึงบางคร้ังก็เป็น ปริศนาท่ีถามตรง ๆ บางคร้ังก็เป็นปริศนาซับซอน เร่ืองที่ทายมีท้ังปใญหาทางธรรม การทายปริศนา นยิ มกนั มานานแตโบราณกาล ดังจะเห็นจากตํานานประเพณสี งกรานตกแ ม็ กี ารทายปรศิ นา คอื ทาวมหาพรหมตั้งปริศนาใหพระขัณฑกุมารตอบ ถาตอบไมได พระขัณฑกุมารตองตัดศีรษะ ใหทาวมหาพรหม หากตอบได ทาวมหาพรหมจะตัดศีรษะตนเองใหพระขัณฑกุมาร ในที่สุด เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทองถ่ิน ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๖ | นายกติ ศิ กั ดิ์ สขุ วโรดม ผเู้ รียบเรียง ๑๔๙
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223