พระขัณฑกุมารตอบไดวา ศรีของคนตอนเชาอยูที่ใบหนา ศรีตอนกลางวันอยูจะอยูที่รางกาย และ ตอนเย็นจะอยูท่เี ทา ทาวมหาพรหมจึงตองตัดศีรษะตนเองใหพระธิดาทั้งเจ็ดผลัดเปล่ียนกันทูนไวบน พาน เดินทางไปรอบ ๆ โลกในแตล ะปี ในนิทานไทยหลายเรื่องก็ใชปริศนาคําทายมาเป็นสวนชวยในการดําเนินเร่ือง เชน เรื่องนก กระจาบ หรอื สรรพสทิ ธิชาดก เรื่องมวี า นางสุวรรณเกสร พระธิดาทาวพระพรหมทัตไมยอมพูดกับผูชายคนใด แมแตพระบิดาของ นาง ทาวพรหมทัตจึงประกาศวา หากชายคนใดทําใหพระธิดาพูดดวยก็จะยกพระธิดาให พระสรรพ สิทธิและพี่เลี้ยงเรียนวิชาถอดดวงใจสําเร็จ จึงมาอาสาทาวพรหมทัตโดยพระสรรพสิทธิจะอยูที่หนา ประตหู องบรรทมของพระธิดา ถาพระธิดาพูดดวยเม่ือใด ก็ใหพนักงานประโคมดนตรีขึ้น พระสรรพ สิทธจิ ึงใหพ่เี ลย้ี งถอดดวงใจไปไวท ี่ประตูหองบรรทมและพระสรรพสิทธิก็สนทนากับประตู ทําใหนาง สุวรรณเกสรประหลาดใจ จึงตั้งใจที่ฟใงบทสนทนานั้น พระสรรพสิทธิจึงเลาเร่ืองวามีชายสี่คนเป็น เพื่อนกนั คนหนึ่งมคี วามรทู างทํานายโชคชะตาและเหตุการณแ อีกคนหนึ่งเป็นนักแมนธนู อีกคนหนึ่ง เปน็ นักประดานํา้ และคนท่ีส่ีสามารถชุบชีวิตคนตายใหฟ้ืนได วันหน่ึงคนเป็นหมอดูทํานายวาจะมีนก อินทรีคาบหญิงสาวบินผานมา ทันใดน้ันก็มีนกอินทรีคาบหญิงสาวบินผานมาจริง ๆ ชายคนแมนธนู จึงยงิ ธนถู ูกนกอินทรี นกอนิ ทรจี งึ ปลอยนางตกจมลงไปในนํ้า ชายคนดําน้ําเกงจึงลงไปอุมนางข้ึน แต นางเสียชีวิตแลว ชายคนท่ีสี่จึงตองชุบชีวิตนางขึ้นมา เมื่อนางฟ้ืนข้ึนมา ชายทั้งสี่ตางแยงจะเอานาง เปน็ ภรรยา เม่ือเลาถึงตอนน้ี พระสรรพสทิ ธกิ ต็ ง้ั คาํ ถามถามประตวู า ชายคนใดควรไดนางเป็นภรรยา ประตจู งึ แกลงตอบวา ชายคนเปน็ หมอดคู วรไดนางเป็นภรรยาเพราะรูวานกจะพานางผานมาเป็นคน แรก นางสุวรรณเกสรซ่ึงฟใงเร่ืองตลอด ก็หลงหลพระสรรพสิทธิพูดคานวา นางผูนั้นสําควรเป็น ภรรยานกั ประดานา้ํ ดว ยเปน็ ชายคนเดียวท่ีถูกเนื้อตองตัวนาง ขณะน้ันพนักงานดนตรีประโคมดนตรี ขึน้ เพราะพระสรรพสทิ ธิใชวธิ ตี งั้ คาํ ถามทํานองนห้ี ลายคร้ัง และนางสวุ รรณเกสรก็หลงกลตอบทุกครั้ง ทา วพรหมทัตจงึ ยกนางใหแกพ ระสรรพสทิ ธิ เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ งถ่นิ ช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี ๖ | นายกิตศิ ักดิ์ สขุ วโรดม ผูเ้ รียบเรียง ๑๕๐
ปริศนาคําทายนี้ไมใชจะนิยมกันในกลุมทองถิ่นเทานั้น แมในราชสําคัญก็นิยมกัน เชน ใน รัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลาเจาอยูหัวโปรดการเลนปริศนาคําทายมาก ดังบทพระราช นิพนธปแ ริศนาคาํ ทายวา ใครเอยแตเดก็ กลา รบแรง พอ ออกนามวา แขง เศกิ ไซร เป็นขนุ จ่งึ จัดแจง จาฤก ประวตั ิของตนไว คดู าวแดนตน คาํ ตอบของปริศนาคําทายน้ี คือ พอ ขุนรามคาํ แหง พระองคทแ รงมีความกลาหาญ ทรงชนชาง ชนะขุนสามชน เจา เมืองฉอด จนไดรับนามวา “รามคําแหง” และเมื่อขึ้นครองราชยแแลวก็ทรงบันทึก พระราชประวตั ขิ องพระองคไแ วในศิลาจารึก การเลนปริศนาคําทายยังไดรับความนิยมอยูในทุกทองถ่ินของไทย เพราะคนไทยชอบลอง ภูมปิ ใญญา แมในรายการบันเทิงทางโทรทศั นแหลายรายการก็ใชปริศนาคําทายทั้งดวยคําพูด ดวยภาพ และดวยทาทาง อีกทั้งผูทายปใญหายังสามารถคิดปริศนาคําทายใหม ๆ ได ทําใหปริศนาคําทายมี วิวัฒนาการอยเู สมอ (ประคอง เจริญจิตรกรรม, ๒๕๓๙, หนา ๓๓-๓๕) การเลนปริศนานั้นในขั้นแรกทรงเรียกวา “ผะหมี” เป็นภาษาจีนตามคําอธิบายของพระเจน จีนอักษรวา “ผะ” แปลวา ตี “หมี” แปลวา คําอําพราง ก็คือ การแกปใญหาหรือการตีคําอําพรางให ชดั เจน การเลน ผะหมนี ้ีแพรหลายในหมนู ักปราชญรแ าชบณั ฑิตและกวีในประเทศจีนถือกันวาเป็นการ ประลองปใญญาและฝกึ สมอง การเลนชนดิ นี้เรียกวาไดอีกอยางหน่ึงวา “เต็งหมี” คําวา “เต็ง” แปลวา สวาง หรือโคมเตง็ หมี หมายถึง แสงสวา งหรือโคมสอ งใหเ ห็นคําอาํ พรางไวนน่ั เอง ตอมาภายหลังไดโปรดใหเรียกการเลนชนิดดังกลาวขางตนวา “ทายปริศนา” ทรงพระราช นิพนธแไวจํานวนมาก เป็นโคลงบาง รอยแกวบาง โคลงปริศนาน้ันเป็นปใญหาความรูเป็นสวนมาก เกี่ยวกับประวัติศาสตรแ บุคคลสําคัญ เชน พระมหากษัตริยแ วีรชนของชาติ ขาราชการในตําแหนง สําคัญ กลาวถึงสถานที่ เชน วัด เมือง นอกจากน้ีก็ยังมีเกี่ยวกับความรูเรื่องวรรณคดีและตัวละคร สําคัญที่รูจักกันแพรหลายอีกดวย สวนพระราชนิพนธแปริศนาความเรียงนั้น เป็นคําศัพทแบาง เป็น เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ งถ่ิน ช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี ๖ | นายกติ ศิ กั ด์ิ สขุ วโรดม ผ้เู รียบเรียง ๑๕๑
ปใญหาเชาวแบาง และความรูรอบตัวตาง ๆ พระราชนิพนธแปริศนานั้น ไพเราะคมคายนาอาน (สงา วงคแไชย, “ปริศนาคําทาย” เอกสารประกอบการสอนรายวิชา CTH3108 (TL217) ภูมิปใญญาทางภาษา กบั การสอน, คณะศกึ ษาศาสตรแ มหาวิทยาลยั รามคําแหง) ลักษณะของปริศนาคาทาย ปรศิ นาคําทายมักเปน็ ขอ ความส้นั ๆ ลักษณะการเรียบเรียงถอยคําสวนใหญเป็นคําคลองจอง เพื่อใหจดจํางาย สวนประกอบสําคัญท่ีขาดไมได คือ คําถาม เพราะการทายก็คือ การถามใหตอบ คําถามสวนใหญจะต้ังเอาไวกอน มีคําหรือเน้ือความท่ีจะใหทาย เชน อะไรเอย (ภาคกลาง) อะหยังเกา฿ ะ (ภาคเหนือ) ไอไหรหา (ภาคใต) (เรไร ไพรวรรณแ, ๒๕๕๑, หนา ๘๙) ลกั ษณะการตงั้ คาถามของปรศิ นาคาทาย ปริศนาคําทายของไทย มักใชถอยคํางาย ๆ บางครั้งก็เป็นเพียงคําหรือวลีที่สั้น ๆ เพื่อสื่อ ความเขาใจอยา งรวดเรว็ บางครั้งถึงจะมีการเลาเรื่อง เร่ืองที่เลาก็จะตองสั้น เชน มีนกอยูสามตัว ตัว แรกเกาะทยี่ อดไม ตัวที่สองเกาะท่ีโคนไม แลวตัวท่ีสาม เกาะอยูท่ีไหน เฉลย คือ เกาะอยูกลางทะเล โดยอาศัยหลกั การพอ งรปู และพอ งเสยี งของคาํ ในภาษาไทยใชในการตงั คาํ ถามของปริศนาคําทาย ลักษณะอกี ประการของการตั้งคําถามปรศิ นาคําทาย ก็คือ จะตองมีตัวคําถามท่ีอาจจะอยูตน ประโยคกอ นถงึ ปริศนา เชน อะไรเอย สี่ตนี เดินมา หลังคามุงกระเบ้ือง หรือ อาจจะอยูตรงกลางของ ปรศิ นาคําทาย เชน พระอะไรเอย จบั ผูหญงิ ได เฉลย พระเอก หรืออาจจะอยูทายปริศนาคําทายก็ได เชน กาเกาะตน ไมอยู ๕ ตัว ถูกยิงตายไป ๑ ตวั เหลือกาเกาะตอ นไมอ ยูกต่ี วั เฉลย ไมเหลือกาอยูเลย เพราะกาตกใจเสยี งปนื คําท่ีใชทายจะใชภาษาธรรมดาในทองถิ่น ไมใชศัพทแสูงมากนัก เชน ใช ตีน กิน เท่ียว ฯลฯ เพ่ือใหผูฟใงเขา ใจคาํ ถามไดอ ยา งรวดเรว็ ลักษณะเฉพาะของปริศนาคาทาย ๑. ปริศนาคาทายไทย นิยมใช้คาคล้องจอง อันแสดงถึงลักษณะความเป็นคนเจาบทเจา กลอนของคนไทย อกี ทั้งยังชวยใหจดจํางายทําใหสามารถเลาสืบทอดกันไดอยางสะดวก เชน ตํ่าเต้ีย เรย่ี ดนิ ไมขึ้นไมไดกิน เฉลย กระตายขูดมะพราว ในบทนี้มีทั้งสัมผัสพยัญชนะ คือ “ต่ํากับเต้ีย” และ เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทองถ่ิน ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี ๖ | นายกติ ิศกั ด์ิ สขุ วโรดม ผู้เรยี บเรยี ง ๑๕๒
สมั ผัสสระ คอื “เตย้ี กับเร่ีย ไมกับได ดินกบั กิน” หรือในบทวา นํ้าทุงนอย หองปลาหลัก ตักเตเมบตัก ก็เตเม เฉลย มะพราว ก็มีท้ังสัมผัสสระและพยัญชนะ เชนเดียวกัน ทําใหเกิดการคลองจองไพเราะ จดจํางา ย ๒. ปริศนาคาทายของไทย ไม่นิยมถามตรง ๆ แตจะใชสิ่งเปรียบเทียบ อันแสดงถึง จนิ ตนาการและความรอบรูข องคนในทอ งถิ่นท่ีจะนําธรรมชาติของสิ่งตาง ๆ มาตั้งคําถามใหเขาใจได เชน ไอไ หรหา นกกดตาแดง น้ําแหงตาย เฉลย ตะเกียง หรือ อะไรเอย หนาตํา ฟในขาว เหมือนชาว นิโกร ตะโกก ็ไมใ ช เฉลย ขนมเปยี กปูน ๓. ท้ายปริศนาคาทายมักมีการท้าทายให้ผู้ไขปริศนาพยายามคิด นับเป็นจิตวิทยาท่ีจะจูง ใจใหคนกระตือรือรนในการแกปริศนา เชน ยิบ ๆ เหมือนไขปูนา ใครไมมีปใญญา ไขไมออก เฉลย ตัวหนังสอื (ประคอง เจรญิ จิตรกรรม, ๒๕๓๙, หนา ๔๐-๔๑) นอกจากลกั ษณะดงั กลา วแลว จะพบวาปริศนาคาํ ทายมีลกั ษณะที่สังเกตพบไดดงั น้ี ๑. ส่วนประกอบ ปริศนาคําทายสวนใหญจะมีสวนประกอบ ๓ สวน คือ สวนประกอบ ตอนตน หรือสวนนาํ สวนเน้ือหา และสว นประกอบตอนทา ย ๑.๑ ส่วนประกอบตอนต้นหรือส่วนนา คือ สวนเร่ิมตนที่มีคําถามซ่ึงอาจจะใชถอยคํา แตกตางกันออกไปตามทองถ่ิน คือ คําทายของภาคกลาง จะขึ้นตนวา อะไรเอ่ย ภาคใตใชวา ไอ้ ไหรหา ภาคเหนือจะขนึ้ ตนวา อะหยังเก๊าะ และภาคอสี านจะข้นึ ตนวา แม่นหยัง หรือ แม่นหยังเอ่ย เชน อะไรเอย นัง่ บนตอ หวั รอ คร่กั ๆ (หมาขาวเดอื ด) อะหยังเกา฿ ะ เมอ่ื นอยนุงเสอื้ ยาว เป็นสาวนงุ เสอ้ื กอม (มะเขือ) ไอไหรหา ไมมแี คง ไมม ีขา เวลาไปมาใชปากเดิน (หอย) แมนหยัง หอ ยอยูหลัก ตกั กะเต็ม บอ ตักกะเตม็ (มะพรา ว) สว นเรมิ่ ตน ทเ่ี ป็นคาํ ถามนีใ้ นบางคร้งั อาจจะอยูในสว นกลางหรือสวนทา ย เชน อะไรเอย ชูคอ (ชะเงอ) นํา้ บฮูตก แมนหยงั (น้ําคา ง) เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ งถิน่ ชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ ๖ | นายกติ ิศักด์ิ สขุ วโรดม ผ้เู รยี บเรยี ง ๑๕๓
๑.๒ส่วนประกอบตรงกลางหรือส่วนเน้ือหา คือ สวนที่เป็นปริศนาซึ่งจะบอก รายละเอียดของส่ิงท่ีทาย อาจจะเนนที่รูปราง ลักษณะ ประโยชนแใชสอย หรือลักษณะกิริยาอาการ ตาง ๆ ของส่ิงทีเ่ ป็นตวั ปริศนาท่นี าํ มาเปน็ คาํ ทาย เชน อะไรเอย มีฟนใ มากมาย แตก นิ อะไรไมไ ด (หวี) อะไรเอย ชาวนาก็ไมใช ชาวไรก็ไมเชิง หวานพืชไมได หนีตํารวจเปิดเปิง (คน เลนถัว่ ) อะไรเอย ออกลูกไปแลวไมก ลับ (ลูกกระสนุ ปนื ) ๑.๓ ส่วนท้ายคือส่วนท่ีจะใบ้คาตอบเพ่ือเร่งเร้าให้ผู้ทายตอบป๎ญหา ซึ่งอาจจะมี หรือไมม ีก็ได ในบางปรศิ นาอาจจะบอกไวต อนตน ก็ได เชน อะไรเอย ตน เทา ลาํ เรือใบกอเกลือไมมิด (มะขาม) อะไรเอย ไมใชค น ไมใชสตั วแ เอาขากัดแทนปาก (กรรไกร) ๒. ลกั ษณะการใช้เสยี งสัมผัส การใชถ อยคําในปรศิ นาคาํ ทาย มักจะเป็นคําคลองจอง มีสัมผัส เลน เสียงเลนคําตาง ๆ กนั กลา วโดยสรุปไดด ังน้ี ๒.๑ สมั ผัสสระ เชน อะไรเอย ผกั สบี่ าทพาดขา งร้ัว (ผกั ตําลึง) อะไรเอย ตน เทา ขาใบวาเดยี ว (ตน กลว ย) อะไรเอย มาจากเมอื งจีน ยกตีนใหคนดู (งิ้ว) ๒.๒ เสยี งพยญั ชนะ เชน อะไรเอย เปดิ ฉบั ใสฉ บุ ปิดปุบฺ เดนิ ปใ๊บ (พระบิณฑบาต) อะไรเอย เพชรฉลูมีหูมีปาก เพชรฉลากมีปากท่ีทอง เพชรชะลองมีทองขาง หลงั (กระทะ กบไสไม นอ งคน) เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทองถนิ่ ช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ ๖ | นายกติ ศิ ักด์ิ สขุ วโรดม ผเู้ รียบเรียง ๑๕๔
๒.๓ การซ้าคา เชน อะไรเอย อยูดินกินหญา อยูฟูากินลม อยูทะเลกินขี้ตม ชื่อเดียวกัน (มา ดาว มา ปูมา ) อะไรเอย ยายจํายาย แมฉันตายตั้งแตยายยังไมเกิด ยายลองคิดดูเถิดวาฉัน เกดิ กอนยาย (ฝูาย) อะหยงั เก฿าะ ขา วซะปะฺ วาขาว หมาบก ิ๋น (ขา วหมิ้นหรอื ขม้นิ ) ๓. ลักษณะการใช้คาเปรียบเทียบ ปริศนาคําทายจะใชถอยคําสํานวนเปรียบเทียบมากกวา การถามอยางตรงไปตรงมา ท้ังนีเ้ พื่อใหผ ูทายไดใชค วามคดิ เชน ไอไ หรหา อยใู นรม เทา แขง ออกกลางแจงเทาดัง (รม ) อะไรเอย เขียวเหมือนพระอินทรแ บินเหมือนนก ศรปใกอก นกก็ไมใช (แมลง ทับ) อะไรเอย ดํามิดหมี ยงิ่ ตยี ิง่ กดั ดําเหมอื นหมัด ย่ิงกัดยิง่ ตี (สิ่ง กบั คอ น) ๔. ลักษณะโครงสร้างของปริศนาคาทาย มักจะเป็นวลี หรือประโยคงาย ๆ ซึ่งมักจะละ ประธานของประธาน เชน ไอไหรหา หนา สัน้ ฟในขาว ทางยาวที่สุด ไคทายไมโ ถก ไมใ ชโลกมนษุ ยแ (จอบ) อะไรเอย สูงกวาน้าํ ต่าํ กวาเรอื (บัว ใบบวั ) อะไรเอย ยงิ่ ตัดยงิ่ ยาว (ถนน) อะไรเอย มาจากเมืองอังกฤษ มฤี ทธิ์ทห่ี ัว (ไมขีด) อะไรเอย ไมม กี ระดูกแตล กุ ได (ขน) อะไรเอย จับหางวางทา อาปากทันที (ชอ นสอ ม) ๕. ลักษณะเป็นเร่ืองเล่า ในบางครัง้ ปริศนาคาํ ทายอาจผูกเป็นเรื่องเลาสั้น ๆ ตอนทายเรื่องผูก ปมปรศิ นาใหผ ฟู ใงแกปใญหา เชน เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ งถน่ิ ชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี ๖ | นายกติ ศิ กั ดิ์ สขุ วโรดม ผู้เรยี บเรียง ๑๕๕
นายพรานคนหนึ่ง ยิงกวางในปุา แลวเดินตามกวางมาเห็นฤๅษี ฤๅษีเห็นกวางแลว นายพรานถามวา นั่งตรงนี้เห็นกวางไปทางไหน ถาฤๅษีบอกฤๅษีก็บาป ถาไมบอกก็โกหก ฤๅษีจะทํา อยางไร (ลุกเปลี่ยนทีน่ ั่งแลว ตอบวา น่งั ตรงน้ีไมเห็นกวาง) ลักษณะเปน็ เรอ่ื งส้นั พบไมบ อ ยนัก และในบางครงั้ คาํ ไขจะเป็นเรือ่ งสองแงส องงาม ประเภทของปริศนาคาทาย การแบงปริศนาคําทายอาจแบงไดหลายวิธี แลวแตจะมุงศึกษาหรือใชเกณฑแใดการพิจารณา แบงประเภท เชน แบงตามลักษณะโครงสรางหรือรูปแบบ แบงตามเนื้อหาของปริศนาคําทาย เป็น ตน ถา พจิ ารณาอยางกวา ง ๆ เราอาจจะใชเกณฑใแ นการแบง ปรศิ นาคาํ ทายเป็น ๒ เกณฑแ คอื ๑. การแบ่งโดยใช้คาถามหรือตวั ปริศนาเปน็ เกณฑ์ ๒. การแบ่งโดยใช้คาตอบหรอื คาไขเป็นเกณฑ์ การแบง่ โดยใช้คาถามหรือตัวปริศนาเป็นเกณฑ์ การจัดแบงประเภทปริศนาในลักษณะนี้ นพคุณ คุณาชีวะ, ๒๕๑๙, หนา ๙-๗๐ อางใน (เรไร ไพรวรรณ,แ ๒๕๕๑, หนา ๙๒) ไดศึกษาแนวคดิ และวิธกี ารจัดหมวดหมูปริศนาของ อารแเซอรแ เทเลอรแ ผูเขียนหนังสือเร่ืองปริศนาภาษาอังกฤษตามประเพณีมุขปาฐะ ซึ่งแบงตามลักษณะคําถาม ออกเป็น ๒๒ หมวดหมูใหญ แตละหมวดก็แบงเป็นประเภทยอย ๆ อีกหลายประเภท พรอมดวย คาํ อธิบายระบบการจดั หมวดแตละประเภทน้ัน นพคุณ คุณาชีวะ ไดเพิ่มปริศนาที่เกี่ยวกับภาษาไทย เป็นหมวดพิเศษอีกหมวดหน่ึงรวมเป็น ๑๒ หมวด การแบงวิธีน้ีเป็นที่ยอมรับและใชเป็นแนวใน การศึกษาปรศิ นาของไทยรายละเอยี ดการแบงกลา วโดยสรุปไดด ังนี้ ๑. เปรียบกับส่ิงที่มีชีวิต ลักษณะคําถามจะเปรียบสิ่งท่ีตองการทายกับสิ่งที่มีชีวิตท่ีไม ทราบแนชดั วา เป็น คน หรอื สัตวแ เชน เปรียบกับสวนหัว สวนขา เป็นตน ปริศนาหมวดนี้แบงเป็น ๓ ประเภท คือ ๑.๑ สว่ นทเี่ กีย่ วกบั รูป เชน เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ งถิน่ ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ ๖ | นายกติ ิศกั ด์ิ สขุ วโรดม ผู้เรยี บเรียง ๑๕๖
ชนดิ ทมี่ สี ว นหนงึ่ แตขาดสวนหน่ึง ไมคาน มปี ากไมมีฟนใ กินขาวทุกวันไดมากกวา คน หมอ ขาว การลบั มีดและ การลางบาตร ชนดิ ทขี่ าดหลายสว น ไมมคี อไมมีหัว มแี ตห นา ถึงเวลาตไี ดต เี อา กลอง แวนตา ชนดิ ทร่ี ปู ผดิ ปกติ ภาคเหนอื หวั สองหัว ตัว๋ มตี ัว๋ เดยี ว ทาํ หัวบาหนิ เอาติ๋นออกลางตอ฿ ง ภาคอีสาน สองหูสีต่ า เบือ่ นกั หนาเอาขาไวท ห่ี ู ๑.๒ ส่วนท่ีเกี่ยวกับอาการ เชน ควนั ไฟ สุนขั ภาคกลาง เกิดเพราะไฟ สลายเพราะลม วงิ่ โทง ๆ มธี งขางหลัง ฟาู รอง มุง ชอบมากบั ฝน เวลาอยูขางบนรอ งเสียงดงั ภาคเหนอื เมอ่ื คืนบาน เมือ่ วันเกิด แห หอย ภาคใต มลี กู ต้ขี า มตี าํ รอบตัว มหี ูอยบู นหวั นาฬิกา ภาคอีสาน กนจี้ฟูา หนา ถะแลดดนิ มะระ อีลมุ อีล้ํา เดนิ วนั ยงั คํา่ ไมเหน็ รอย มีดสะนาก ขาขน้ึ ข้นึ ได ขาลงลงไมได ฉีกทายแดง หนบี หมาก จบั ขาหวาง เอาบ๊ักแดงยดั ไซ จบั ขาถาง เอาหมากแดงยัดใส เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทองถ่ิน ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี ๖ | นายกติ ศิ กั ด์ิ สขุ วโรดม ผเู้ รยี บเรียง ๑๕๗
๑.๓ สว่ นที่เกย่ี วกบั รปู และอาการ รูปผิดปกติกับอาการปกติ เชน ภาคกลาง สามขาเดนิ มา หลังคามงุ สาํ ลี คนแกผ มหงอกถือไมเทา หกขาเดนิ มา หลังคามีดนตรี จิง้ หรดี ภาคเหนือ สองตีนเดนิ มาหลังคามงุ จาก ไก ภาคใต บม ีดกู บม ดี า ว กาวงา วอยกู ลางนา ขี้ไถ ภาคอสี าน (ไมมีกระดูกกระเดยี้ ว ตะแคงอยูกลางนา) แปดตีนเดินมา หลงั คามงุ สา งสี ปู (แปดตีนเดินมา หลงั คามุงสงั กะสี) มแี ตหู มีแตกน เฝาู คนยูหลังบาน กระทะ (มแี ตห ู มแี ตกน เฝาู คนอยูหลังบาน) มีฟในยูรอบหวั มโี ตยใู นปา หากิน๋ ยูบนญอดไม กระตายขดู มะพรา ว (มีฟในอยูรอบตัว มีตัวอยูในปุา หากินอยูบนยอด ไม) รปู ผิดปกติกับอาการผิดปกติ เชน ภาคกลาง สิบหสู องขา ทําฤทธาเอาขาแยงหู ปิ่นโต ภาคใต ตนี เดียวเหน่ียวปากถํ้า สีต่ นี ปล้ําแพตีนเดียว กับดกั หนู (ตนี เดียวเหนยี่ วปากถาํ้ สีต่ ีนปลํา้ แพต นี เดียว) จะวามมี นตแกาไมใช เหาะเหนิ เดนิ ได หัวมากหวา นกอลี มุ นกตะกรมุ แสน ๒. เปรียบกับสตั วต์ วั เดยี ว หมวดนี้รวบรวมปริศนาท่ีเปรียบส่ิงท่ีตองการทายกับสัตวแตัว เดยี วและเปรียบกับสวนตา ง ๆ ท่มี ลี ักษณะคลา ยกบั ลักษณะของสตั วแ ปริศนาของไทยหมวดนี้จําแนก ไดดงั นี้ เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ งถิ่น ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ ๖ | นายกติ ิศกั ด์ิ สขุ วโรดม ผู้เรยี บเรียง ๑๕๘
๒.๑ สัตวท์ ่ีไมร่ ะบุชอ่ื เชน ภาคกลาง สัตวแสองขาหากินตางแดน หัวมันนับแสน สัตวแ นกตะกรมุ นัน้ นานใด สห่ี ูสีห่ าง ปากกวางเหลอื ลน กินคนทกุ คนื มุง เพิงมหี ลงั คามีเสา ภาคเหนือ มปี ีกแลว บบิน มีตี๋นแลวบยาง บดิ หางรอ งโอ฿ก หมอไม คนโกนหนวด ภาคใต ไอนิลกนิ หญา ปากถ้ํา ตวั ดาํ ฟในขาว หางยาวทีส่ ดุ ขึ้นบา ปุาทรดุ ขวาน ท่ีปใ่นฝุายหรืออ้ิวฝูาย ภาคอีสาน หางยไู ต ฮขู ย่ี เู ทา จ๋ับหางข่ีจอก ทีว่ ดั นํา้ เขานา ๒.๒ แมลง เชน ห่ึง ๆ เหมือนผ้งึ ภมุ รา เอกบากจะเร ๆ ลูกขาง ๒.๓ สตั วป์ กี เชน ภาคกลาง นกกระปูดตูดแดง นํ้าแหง กต็ าย ตะเกียง บนิ มายิบ ๆ นกกระจิบก็ไมใ ช แดด ไซ ภาคเหนือ ไกแ มล ายตาเ ยแจน า้ํ ควัน ไกแ มหมน ซนหลังคา รกมะพราว ตะเกียง ภาคใต นกกาไมใ ชน ก นั่งงกงกโหยบนตนพราว วาว นกกดตาแดง นํ้าแหงตาย ภาคอสี าน ไกอ ีขาวขน่ึ ฝุา เสียงมันฮองปลาดใจ ๒.๔ สตั วท์ ่เี ล้ียงลกู ดว้ ยนม เชน ภาคกลาง ชางนอ ยลอยนํ้ามา มีงาในทอง ลอบดกั ปลา ภาคเหนอื มาสามขา เจาพระยาขึ้นขี่ ใสหมวกกํามะหยี่ กาน้ําบนเตาไฟ สูบบหุ รีป่ ุย ๆ ควายแมวองกว๋ิ นา้ํ เสี้ยงตึงหนอน รุงกินนํ้า เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ งถิ่น ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๖ | นายกิตศิ ักด์ิ สขุ วโรดม ผู้เรยี บเรียง ๑๕๙
จา฿ งแมเ ฒาพับหเู บอ้ื งเดียว ประตู ภาคใต คา งกา ไมใ ชคา ง นัง่ หอ ยหางปางลาํ พู ดอกลาํ พู หินลับมีด ควายตายใตต นเขือ ไคไปกเ ถือไคมากาเถอื ภาคอีสาน งวั เหลยี งสีขางโปุง ออกหาก๋นิ แตเ ชา พระ หกู ทอผา ซางขึน้ ภู ตบ฿ หปู ๊วใ ะ ๆ ๒.๕ สัตว์ในนยิ าย เชน ขวาน ภาคกลาง หนาสัน้ ๆ หางยาวเป็นมงั กร ชอบกินหญา ในดงดอน อาบน้าํ ในลาํ ธาร ๓. เปรียบกับสัตว์หลายตัว ปริศนาของอังกฤษหมวดน้ีสวนใหญจะเปรียบสิ่งที่ตองการ ทายกับสัตวแจําพวกกบ นก กระตายปุา หมู แกะ แพะ วัว และมา สวนปริศนาของไทยเปรียบส่ิงท่ี ตอ งการทายกับสัตวแตา งชนิดกนั ไปบา ง เชน เปรยี บกบั กา เปด็ แมงดา ชา ง เปน็ ตน ๓.๑ เปรียบกับสตั วท์ ไ่ี ม่ระบชุ ่ือ เชน ภาคกลาง สัตวแสี่ตีนกินสัตวแตีนเดียว สัตวแหัวเขียวกินสัตวแ เตา เปด็ หนาควํ่า เตากินเห็ด เป็ดกินหอย ตนทาย ปลายบอก ภาคใต สัตวแไหรแบกขวานขึ้นหมาก แบกขวากขึ้นเขา นกหัวขวาน เมน นกตะเภา นกเภาลอ งโอ ตีนโตลงหนอง ชาง สตั วไแ มม ตี ีนเดินได สัตวแไมม ีไสกินคน งู ปลงิ เครอ่ื งบนิ ๓.๒ สัตว์ทีร่ ะบุชอื่ เชน ภาคกลาง กาดํา กระโดดลงน้ํากลายเป็นกาขาว เม็ดแมงลกั แมชางเอาชางไปกอน แมปลาชอนเอาหางเก่ียว เปล เขม็ หอย ป่ี ภาคเหนอื เบ็ด ภาคใต หมูสามตวั ขน้ึ ดอยสามมอ น ตั๋วข้ึนกอนลงลนุ หมอ นง่ึ ไหขา ว ฝาปดิ ลงิ ก็ไมใ ชล ิง คา งกไ็ มใชคาง น่ังหอ ยหางกางรนเลน ลูกลําพู เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ งถ่นิ ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ ๖ | นายกิตศิ กั ด์ิ สขุ วโรดม ผเู้ รยี บเรียง ๑๖๐
๔. เปรียบกับบุคคลคนเดียว ปริศนาหมวดนี้จะเปรียบสิ่งที่ตองการกับบุคคลเพียงคน เดยี วซง่ึ อาจจะใชรูปรา งลักษณะหรืออาการเปน็ ตัวเปรียบ หมวดนจี้ ําแนกไดด ังนี้ ๔.๑ เปรียบกับรูป เชน ภาคกลาง มาจากเมอื งแขก ฟในไมเ ขา เงา เด็กดํานอนมุงขาว เรอื นปใน้ หยาสีเขยี ว นอ ยหนา เม่ือเด็กนุงผาขาว เมื่อสาวนุงผาเขียว แก พรกิ ทีเดยี วนงุ ผาแดง ภาคเหนอื หวั หมดอดหนาว กางยาวอดฮอ น กระบวยตักนํา้ ทพั พี ยามนอ ยนุงเต่ียวเขยี ว เฒา มานงุ เต่ยี วแดง พริก ภาคใต ไอข าวนอนในปกใ คนไมผลกั ไมย กข้ึน ครกตาํ ขาว นุง ผา เขยี ว หางเรยี วปากผึง่ ขนมกรวย ภาคอสี าน บกั นอย ๆ ถือแพแดงลอดพมุ มดแดง ตัวแตนอย ๆ นุงส่ินสีเขียว ใญขึ่นมานุงสิ่นสี พรกิ แดง ๔.๒ เปรยี บกับอาการ เชน ภาคกลาง เม่อื เด็กนุง ผา เมอ่ื ชราเปลือยกาย ตน ไผ หนา แลงอยถู าํ้ หนา น้าํ อยทู งุ ขา วเปลือก ภาคเหนือ แมช ชี าววงั ไมรบั สั่งไมอ อก ภาคใต นัง่ เทา แขนออ น กินกอนพระ นา้ํ มูก ภาคอีสาน เมอื่ คนื หาบ เมอื่ วนั กอน ทพั พี เมอื่ นอ ยมันแนนมนั หนา ใหญมาดังโละ ๆ กลอนประตู นางอยใู นหอ ง ใครเขาไปตอ งขนพองวาว มะขาม หนาแลงเขาถํ้า หนานํ้าเที่ยวจร ไวมวยเหมือน แมไ กฟใก มอญนามกรวา ไหร หอยโขง โกง โคง โนง ขวมทงหนองแสง รงุ กินนํา้ เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทองถิน่ ช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี ๖ | นายกิติศักดิ์ สขุ วโรดม ผู้เรียบเรยี ง ๑๖๑
เถาหวั ลา น โตน นาํ แตเดิก้ ขนั ตักน้ํา ๔.๓ เปรยี บกบั รปู ผิดปกตแิ ละอาการผิดปกติ เชน หวี ภาคกลาง มฟี นใ มากมาย แตก ินอะไรไมได ๔.๔ เปรยี บกบั เทวดา เชน ใบตาล มะพรา ว ภาคใต พระอินทรแ ตกลงมาขาฉกี ตรีเนตรไมใชทาวสักโก โหยวิมานรุกโข อม มะพราว อาโปไวข า งใน พระอินทรหแ นา เขยี ว พลัดลงมาเยย่ี วแตก ๕. เปรียบกับบุคคลหลายคน ปริศนาหมวดน้ีจะเปรียบสิ่งที่ตองการทายกับบุคคลจํานวนมาก มีท้ังท่ีเป็นหญิง ชาย หรอื พระ ชี และมีวัยตา ง ๆ กนั ปรศิ นาหมวดนี้ แบงเป็น ๕.๑ เปรียบกบั บุคคลทไ่ี มม่ ีความสัมพนั ธ์ในครอบครวั เชน ภาคกลาง คนสามแสน หามแกนไมป ระดู ก้ิงกอื ภาคใต ขาไปสองคน มดื ฟาู มัวฝน กลบั มาคนเดียว คนกับเงา พระหนอนอนกลาง พระนางนอนริม พระหนอลุก ไมข ดี ไฟ ภาคอสี าน ขึ้นถมิ้ ย้มิ แต ๆ นางชีเกิดลูกทางขาง นางชางเกิดลูกทางหมอม ขาวโพด กลวย ตะไคร นางยมหอมไมม ีลูก พยู ูหวยกางกอง พยู ูหนองกนโกง แมงมมุ หอย เถาสองเถา แลนออกนอกชาน ขี้มกู เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทองถน่ิ ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ ๖ | นายกิติศกั ด์ิ สขุ วโรดม ผู้เรียบเรยี ง ๑๖๒
๕.๒ เปรียบกบั บุคคลท่ีมคี วามสมั พันธก์ ันในครอบครัว เชน ภาคกลาง ยายจเายาย แมฉันตาย ต้ังแตยายยังไมเกิด ยาย ฝาู ย ลองคิดดูเถิดวาฉันเกดิ กอ นยาย ภาคเหนอื ลกู สัปดน เลนกับแม ลูกกญุ แจ ภาคใต สองป้ีนอง อยูหลายจอมปวก หู ภาคอีสาน แมมันสับปก ๆ ลกู มนั ตกลบุ ๆ แมอ ยูบาน ลกู ไปเที่ยว ขวาน โลกวนั วี แมม นั พีหลนุ ตนุ ลูกกุญแจ แมมนั ฮอ งอ๊อี ๊ี ลูกมันพีอ่ ัน้ ตนั้ ไนป่นใ ฝาู ย ไน ๖. เปรียบกบั พชื พันธ์ุ ปริศนาหมวดนี้สวนใหญจะนําพืชพันธุแไมท่ีมีอยูรอบตัวมาเปรียบกับส่ิงท่ีตองการทาย ปรศิ นาในหมวดน้ี แบงเปน็ ๖.๑ เปรียบกบั ต้นไม้ยนื ต้น เชน ภาคกลาง ตนเป็นสายยาวหรู ดูเป็นเสน ดอกหางเห็นนาย วา ว ภาคใต บนเวหา ภาคอสี าน ใบหยัก ๆ ลูกรกั เต็มคอ มะละกอกไ็ มใช ตนตาล ตนสามเหลี่ยม ใบเทียนดอก ไคทายออกไดเมีย ตน กก งาม ตน เขยี ว ใบเรยี ว ชฟ้ี าู ไมไผ กอไพนอย หนามหนา พูใดเทายไดปใญญาดกี วาหมู หนงั สือ กก ยปู า งายูบาน บานไดชแู ลง กระบองขี้ได ๖.๒ เปรยี บกับพชื ลม้ ลกุ เชน เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ งถิ่น ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี ๖ | นายกติ ศิ กั ด์ิ สขุ วโรดม ผเู้ รยี บเรียง ๑๖๓
ภาคกลาง เม่อื แกรองนอน เมื่อออ นตนจมิ้ ไมไ ผ จกั๊ จ้ีจัเ๊ จา หญางอกข้นึ เขา จเั้ จาขึน้ ไข จั๊กจดี ขี้ไหล เหา ภาคเหนอื เห็ดดอกนอ ย ยองปูขอบเขยี ว กิ๋นคนเดียว บานโต จันทรุปราคา หรือ กบกิน ตึงบา น เดือน เหด็ กระดา ง อยขู างดอย กอยบหนั หู ภาคใต เมอ แกรองนอน เมอออนตอ มจมุ ไมไ ผ คุดอยูใ นดิน เวลาจะกินตอ งเอาไมสอย หมอ ดนิ หุงขา ว ภาคอีสาน เหด็ กระดา ง ออกอยูขา งหวั ปลวก หูคน ๖.๓ เปรยี บกับดอกไม้ เชน ภาคกลาง ดอกไมยักษแโบราณ บานเทากระดัง เมื่อฝนตก รม ภาคอสี าน แดดออก หบุ เทา กระบอก เมื่อแดดไมออกหรือฝน ไมต ก พระพุทธรูปสรงนํ้าปีละ ดอกอีหญา อยใู นถ้ํา ฝนตกฮาํ ปีละเทีย คร้ัง ๖.๔ เปรียบกับผลไม้ เชน ภาคกลาง ลกู กินได ใบแกร อ น ใบออนใชส บู ใบจาก ภาคใต สุกไมหอม งอมไมห ลน ดาว ภาคอีสาน สกุ เตม็ ด่ิน เกบ็ กิ๋นบได แสงแดด หมากอนั นงึ สกุ ยูเทินตน ไม กิน๋ ไดก ะบหวาน พรกิ ๗. เปรียบกับสิ่ง ปริศนาหมวดน้ี นพคุณ คุณาชีวะ (๒๕๑๙, หนา ๔๒) อางใน (เรไร ไพรวรรณ,แ ๒๕๕๑, หนา ๑๐๒ ใชว า เปรียบกับสิ่งซึ่งหมายถึงส่ิงไมมีชีวิต โดยเปรียบส่ิงท่ีตองการทาย กับสงิ่ ไมมชี วี ิต อาจจะเปน็ สง่ิ ในธรรมชาติ หรือสงิ่ มนุษยแสรางขึ้นก็ได แบง เป็น เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ งถิ่น ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี ๖ | นายกิตศิ กั ดิ์ สขุ วโรดม ผู้เรยี บเรียง ๑๖๔
๗.๑ เปรียบสิง่ ในธรรมชาติ เชน ภาคใต เหล็กแดงแทงอยูใตหญา คนท้ังพารามาหาเหล็ก ขมิน้ แดง คนั โซวิดน้ํา ภาคอสี าน เขาซองรอง ก๋นิ นาํ่ เบดิ้ ฮอ ง บหุ รี่ ไฟไหมบ านไหมเซยี กหนงั ไฟไหมดังบไหมข นค่วิ คอกววั คอกควาย ๗.๒ เปรียบกบั บ้าน เชน ไกขัน ภาคกลาง ประตูปิด หลังคาเปดิ ไก เรือนสองเสา หญาคาสองตับ นอนไมหลับลุกข้ึน ใบบัว ใบบอน รองเพลง ไก ภาคเหนอื เสาสองเสา คาสองตบั แต฿บแยบไปแตบ฿ แยบมา ภาคใต ขนตกสิบหา หลังคาไมเ ปียก กานํ้าเดอื ด ๗.๓ เปรยี บกับเรอื เชน ไข มะพรา ว ภาคเหนอื เรือสองเสา หญาคาสองตับ นอนไมหลับ ลุกขึ้น ตมุ หู รอ งเพลง รุง กนิ น้ํา ๗.๔ เปรียบกับเครื่องใชภ้ ายในบา้ น เชน ขคี้ วาย ภาคกลาง โตะ฿ สามขา เจาพระยาขึ้นขี่ สวมหมวกกํามะย่ี สูบ บหุ รี่ปุย ๆ ภาคเหนือ หีบนอ ยใสเหลอื ง คนทง้ั เมืองไขไมออก ภาคใต นา้ํ ทุง นอยหอ ยปลายหลัก ตักกเ็ ตเมบเ ตมเ กเ็ ตเม นีมรี ู ทองคําเขา อยู ในรูนารี ภาคอสี าน คันเบ็ดเจ็ดทุง ขามคุงพระยาแมน ใครทายถูกจะ ไดแ หวน หมอ ดาํ งมุ ดิน เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทองถ่ิน ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๖ | นายกิติศักดิ์ สขุ วโรดม ผเู้ รยี บเรียง ๑๖๕
๘. รายการเปรยี บเทียบ เป็นการเปรียบเทยี บสิง่ หนง่ึ กับอกี สิ่งหน่ึง หรือเปรียบกับหลาย สิ่งและการเปรยี บเทียบจะมีลักษณะขัดกันอยางเดนชัดทําใหผูตอบเกิดไขวเขวคิดถึงส่ิงอ่ืนท่ีไกลจาก คําตอบ จําแนกเปน็ ๘.๑ เปรยี บกับรูป เชน ภาคกลาง ยิบ ๆ เหมอื นไขปนู า ใครไมม ปี ญใ ญา ไขไมออก ตัวหนงั สือ ยงุ เหมือนใยบวั มตี ัวอยกู ลาง แมงมมุ บา กวักท่ีสําหรบั กรอดาย ภาคเหนอื ตเ๋ั ทา ขา ตาแววต๋วั เกา มันเมาเลมปี่ ปายมันตีโยง ๆ รม ผักแวน ภาคใต ตน เทา เข็ม ใบเตม็ ทงุ นา ไมจม้ิ ปนู ภาคอีสาน ซวยลวย คอื ใบพลู ฮยู ปู าก ข้ีไก ออ ลอทอไคทอ ง ลองพูดใตขาเคพมู ่ัน ๘.๒ เปรียบกบั อาการ เชน ภาคใต ไปเทา บ้ิงนา มาเทาแมไก แห ภาคอีสาน ไปเทาไรนา มาเทา กอนเสา แห เรือ ซกงกยังคอมา ไปคาบเห็นฮอย ๘.๓ เปรยี บกับสี เชน ภาคกลาง สุกเหมือนดาว ขาวเหมือนฟูา ดําเหมือนกา ดาไม มะปราง มะไฟ มะเกลือ ฟงใ ดังเหมอื นปืน มะดัน มะตมู ภาคใต ตัวดําเหมือนกา บินมาเหมือนนก มีหนามที่อก แมงเหนีย่ ง เขาเรยี กวา นกอะไร ภาคอีสาน คาํ คือหมู คลู ูกิน๋ น่ํา โพงพาง ๙. รายละเอียดเกย่ี วกบั รปู หรอื รปู และอาการ จาํ แนกเป็น เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทองถ่ิน ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ ๖ | นายกิติศกั ดิ์ สขุ วโรดม ผ้เู รียบเรียง ๑๖๖
๙.๑ รายละเอียดเกี่ยวกบั รูป เชน ภาคกลาง แบนตะแระแตะ฿ แทะหญา บนเขา มีดโกน ทางโนน ก็ฟูา ทางนก้ี ฟ็ ูา เรือชะลาแลน กลาง กระสวยทอผา ฝงใ่ โนนก็ตลงิ่ ฝน่ใ ก้ี ็ตลงิ่ มีกิ่งอยูตรงกลาง สี่มุมส่ีแคร สี่แมจัตุรัส ผูคนเงียบสงัด ฆาฟในกัน เตา ปนู ตาย เหลอื แตน ายสองคน หมากรุก ภาคเหนือ สามจเนสแี่ จง ดอกแสลงบานใน เตาไฟ สองปูางขางมลี า นเจด็ แสน ไขป ลา ภาคใต นอกชานตะกัว่ ในครวั เงิน ในเงนิ ทอง ไข โคนคดปลายเซอ เด็ดเมลอ เอาไมออก ปืน ๙.๒ รายละเอียดเกย่ี วกบั รูปและอาการ เชน เตา กุง ภาคกลาง หลงั คาติดกับตัว โผลหัวออกนอกชายคา หัวแหลมทายแหลม ลองลอยอยูในมหาสมุทร ขนมจนี ภาคเหนอื มนุษยแชมวาอรอ ยนัก ลอดชอง ภาคใต ยูย ี่เหย็งแหย็ง ตกั นํา้ แกงมาใสยยู ี่ หัวเหล่ียมทายเหล่ียมอยูในคงคา คนโงวาปลา คน ปญใ ญาวา ไมใช ๑๐. รายละเอยี ดเกี่ยวกับเรือ่ งของสี จําแนกเปน็ ทะนาน ฝน ๑๐.๑ ตาแหน่งของสี เชน ภาคกลาง ดาํ มาระกา มตี าขางเดียว เขยี วชอุม พมุ ไสว ไมม ใี บมแี ตเม็ด เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ งถิน่ ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๖ | นายกติ ิศกั ด์ิ สขุ วโรดม ผู้เรียบเรยี ง ๑๖๗
๑๐.๒ การเปล่ียนสีตามตาแหนง่ เชน ภาคกลาง ชกั ออกมาดาํ ดําเขา ไปแดง มแี สงไฟ ไมข ีดไฟ ภาคใต มาดําไปขาว มายาวไปส้ัน มาม่ันไปคลอน มา ผม ตา ฟนใ หู หยอ นแลว ตงึ ๑๐.๓ การเปลยี่ นสตี ามไปตามลาดบั เวลา เชน ภาคกลาง ขาวยามค่ํา ต่าํ ยามนอน คนตาขาว ศรี ษะ ดําแลวขาว ยาวแลว ส้ัน มน่ั แลวคลอน ผม ตา ฟนใ ๑๐.๔ สกี บั การกระทา เชน ภาคกลาง ไอหมุ ไอห่นั ปลายแดงน่นั เขา หน่งึ รู ออกสองรู ยาสูบ ภาคใต ชักผลอ็ กแดงแหว฿ คอยแลรโู หวง สมมะขามเปียก ๑๑. รายละเอยี ดเกย่ี วกบั การกระทา แบงเป็น ๑๑.๑ รายละเอียดเกีย่ วกับการเคล่อื นไหว เชน ภาคกลาง ขยุก ๆ เอานํา้ เขา เขยา ๆ เอาน้าํ ออก บวนปาก ภาคใต ขนึ้ โกรง ลงแกรก็ ทายแด็ก ๆ คนเฒา อยา บอก คนขน้ึ ตาล ภาคอสี าน ไผมากะยอก ๆ เขาบเ ขาใหค ลําเบงิ หนิ ลบั มดี ๑๑.๒ รายละเอียดเก่ยี วกบั การเห็น เชน ภาคกลาง นอนควํ่าเห็นลาย นานหงายเห็นตับ นอนตะแคง เส่อื ตับหญาคา ตะเกียง เหน็ แดงวบั ๆ แหวกมานเจอมุง แหวกมุงเจอไหม แหวกไหมเจอ ขา วโพด เมด็ ภาคใต เหน็ ควา ง ๆ โหยขา งเขา ไคไปเอาควายทอตาย ใบหคู วาย ภาคอีสาน แคเ ทาแคย ังแลไมเ ห็น ตา ๑๑.๓ รายละเอยี ดเกย่ี วกบั ยดึ เชน แผนดนิ พลิก ยดึ อะไร ยดึ หางยาง เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ งถ่ิน ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๖ | นายกติ ศิ ักด์ิ สขุ วโรดม ผู้เรยี บเรยี ง ๑๖๘
๑๑.๔ รายละเอียดเก่ยี วกบั การฉกี การตัด เชน ภาคกลาง ตดั โคนก็ไมต าย ตัดปลายก็ไมเนา ผม ภาคใต ฉกี รมิ ท่ิมรู ถูกแมหนนู อนตาคหู ลิบ ๆ ยอนหู ๑๑.๕ รายละเอียดเกยี่ วกบั การกระทาหรอื เหตผุ ลทีแ่ ยง้ กนั เชน ภาคกลาง ยิ่งเกบ็ ยง่ิ เกา ยง่ิ ใชย ่งิ ใหม ถนน กดหัวทอ งปอุ ง สาแหรก อายคุ น ภาคเหนือ ยงิ่ ก๋วั ยิ่งใก ย่งิ ไคไ ดยิ่งไก ใยแมงมุม ขม้ี อดคางขจ้ี างลอด ผม ภาคใต ไมส านกถ็ ่ี ไมค ลกี ค็ ลาย ไมใชกท็ ิง้ คนสุม ปลา ขางบนกดหยกุ ๆ ขางลางเป็นทกุ ขแ ขา งบนดใี จ ถนน คนกรอดาย ปนู กนิ กบั หมวก ภาคอีสาน ญงิ ตดั้ ญิงยาว ญิงสาวญิงใญ อยากใหฮอ น เอาน่าํ ไซ อยากใญตากออก ๑๑. ๖ การกระทาอาการตง้ั แต่ ๒ อาการขึ้นไป เชน ภาคกลาง ตกดังต฿ุบ หมาไลตะครุบ แมลงวันตอมโฉ อุจจาระ ภาคเหนือ เปิดฉับ ใสฉ ุบ ปิดปฺุบ เดนิ ปม๊ใ พระบณิ ฑบาต ภาคอีสาน หอแต฿บแปฺบ โจงเขาจ฿อก ขะยอน ๆ เปนนํ้าแจะ คนเค้ยี วมหาก แฟะ เมือ่ คืนจเกุ จนั เมื่อวนั แฮงวา ๆ แรวววั ตดิ บอ นนี่ไปเกียบอ นพนู หญิงเจา ชู สุกแคะ สกุ ขาง สุกคาฮัง สกุ คาฮู ขนมครก ขาวเกรียบวา ว รังผึง้ ขา วหลาม เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ งถ่ิน ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ ๖ | นายกติ ศิ ักด์ิ สขุ วโรดม ผเู้ รยี บเรียง ๑๖๙
๑๒. รายละเอยี ดเกี่ยวกับภาษา ปริศนาในหมวดนี้จะเป็นการผูกคําปริศนาโดยการเลน คาํ สํานวน คําพอ ง หรือตวั สะกดการนั ตแ จําแนกเปน็ ๑๒.๑ ปรศิ นาทีเ่ กย่ี วกับคาผวน (ผะหม)ี เชน ภาคเหนือ แต็บแปฺบเตา สองนิว้ หว้ิ ลกุ โตง มาแดง แมงดา ภาคใต โบสถแไหนไมมีวัด ใบโหนด ขา วเหนยี วดํา สองหนาํ สามหนํา เขา หนาํ เดยี ว กงหลา ภาคอีสาน กาบินไปกาฮอ ง กาบนิ มากาหลง ๑๒.๒ ปรศิ นาทีเ่ ก่ยี วกับตัวสะกด เชน ภาคกลาง หนา ขาว ๆ ตัวยาวศอก พอตัดออก ยาวแคว า ขวาน ตดั หัวตัดหางเหลือกลางวาเดยี ว กวาง ตัดสระอีออก ภาคใต จีนทําพรอ้ื หมนั้ อ้ีจนี ยอด มีสามอักขรา แปลวาสูงสุด ตัวหลังขาดหลุดเป็น เชอ พฤกษา ๑๒.๓ ปริศนาที่เกย่ี วกบั คาพ้อง เชน ภาคกลาง ชอื่ อยบู นฟาู กายาอยูในนํา้ ปลาดาว ผักหนึ่งอยูในหนอง ผักสองอยูในวัด ผักสามอยูใน ผัดเปด็ ผักชี ผักเสี้ยนผี ภาคเหนอื ปาุ ชา ผักสีอ่ ยูน า ภาคใต ช่ือเปน็ กรยิ า ไป ๆ มา ๆ ไมอยูก บั ที่ สันตะวา ขซ้ี ะปฺะวา ข้ี หมาบก ๋ิน ปลาไหล กอเ งอะหยัง คนตีบด งั ขผี้ ง้ึ หรอื ขี้เลื้อย สีอะไรทําใหคนรบกัน กองขี้หยะ แมก ไ็ มใชแ มเ รา แมของเขาเราพลอยเรยี กแม ไมใชอ าเรา อาเขา เราพลอยเรียกอา สีดา แมชี อาทติ ยแ เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ งถิน่ ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๖ | นายกิตศิ ักด์ิ สขุ วโรดม ผเู้ รียบเรียง ๑๗๐
การแบ่งโดยใชค้ าตอบหรือคาไขเปน็ เกณฑ์ การจัดแบงประเภทของปริศนาคําทายโดยใชคําตอบหรือคําไขเป็นเกณฑแนี้ยังไมมีการ จดั แบงไว ผูเขียนจงึ จัดแบงเปน็ ประเภทไวด ังนี้ ๑.๑ สัตว์บก ภาคกลาง วัว-ควาย ววั ควาย สขี่ าบนเขา ไถนาใหเ รา ไมบ นสกั คํา วัว ภาคเหนอื ภาคใต แหวนกับแหวน ชนกันท่ีหันอากาศ เกิดเป็นสัตวแ หวู วั หคู วาย ภาคอีสาน ประหลาดชอบกินหญา หวู ัว หูควาย ภาคกลาง จะวา นกกไ็ มใ ชน ก จะวากากไ็ มใ ชก าบนิ มาใตเ ขา ภาคเหนือ รรี เี ทาใบพลู มรี ตู รงกลาง ขาง ๆ มขี น ววั ตา ง ภาคใต สตั วแส่ตี ีนเทยี วเดินผาบ ๆ มนั มีสามกน สามปาก ข้ีควาย ไกแ มล าย ยายขอบฮว้ั ควาย ตดั หนา ตัดหลงั เหลอื วาเดียว ววั ควาย กระทบกระแทกหูแหกเพราะชนบนหลังงอกขน ฟนใ บนไมมี ขค้ี วาย หมอ ดาํ งมุ ดิน ชา ง ชา ง ชาง เดินเปอ ๆ คะเยอกนิ ใบไผ ชาง ตัวใหญมหึมา แตมีนัยนแตานดิ เดียว ชาง ตนี โตลงหนอง ชาง ตนี เมมเฮอ เยอใบไผ ชา ง เอามาจากปุา สบู ยาสองมวน ชา ง สคี่ นทิ่ม สองคนพดั คนหนึง่ หาผกั คนหนึง่ ยิกไก เอาหมปู อู นปาก เสอื เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ งถ่นิ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๖ | นายกติ ศิ ักด์ิ สขุ วโรดม ผเู้ รยี บเรียง ๑๗๑
ภาคกลาง ซอนเลบ็ กดั ตาย ย่ิงใหญอ ยูใ นปุา เสือ ภาคใต แมอยปู าุ ลกู มาอยเู มือง เสือ ลูกเสือ หมา แมว หมา แมว ภาคกลาง เดินโหยง ๆ มีธงขางหลัง สาวนอยรอยชั่ง น่ังสูง หมาตาบอด กวา ยนื สนุ ขั รูปรางเหมอื นหมา แตน ยั นตแ าขา งเดียว หมา ภาคใต เสตนี เดินมา หลังคายกธง ภาคอีสาน ยนื ต่ํา นั่งสูง กระตา ย กระตาย กระตาย กระตาย ภาคกลาง ชอ่ื ยใู นครัวตวั อยูในปุา ลิง ช่ืออยใู นครวั ตัวอยูในปุา มีส่ขี า หูก็ยาว ลิง ภาคใต ช่อื อยูใ นปุา ตัวอยูในบา น ลิง คา ง ชะนี ลงิ คาง กระรอก ภาคกลาง หนาตาเหมือนคน แตซ นเหลือเกนิ กระรอก สตี่ นี เดนิ มา หนาตาคลายคน ชอบกลพลิ ึก ภาคใต สตั วแไหรเอาเทาปูอนลกู กระรอก ภาคใต เสตนี กนิ น้ําบสงู โสกเสก โสกสมุ แลนไปครุบทอ งดําหางแดง ๑.๒ สัตว์น้าและสตั วค์ รง่ึ บกคร่งึ น้า เชน ภาคกลาง ปลา ปลาไหล เหล็กสแี ดง แทลทะลุพน้ื ดิน ปลาไหล ปลาอะไรจบั ไมตดิ ปลาดาว ชื่ออยูบนฟูา ตัวอยใู นนา้ํ ปลาหมึก พุงเหมือนจรวด หนวดรงุ รัง ปลามา ปลาทู ปลาเสือ มัจฉาหน่ึงหนายาวราวฟุต มัจฉาหนึ่งช่ือบอกเป็น เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทองถ่ิน ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๖ | นายกิติศกั ด์ิ สขุ วโรดม ผ้เู รยี บเรียง ๑๗๒
ภาคเหนอื ฝรั่ง มัจฉาหนึ่งดุรายใคร ๆ ชัง มัจฉาหนึ่งถูกขังไม ปลากระปอ ง ภาคใต ดน้ิ รน ไกแมแ ดงแดงตาเ ฝงใ่ ปลาไหล ภาคกลาง สองปาู งขางมลี า นเจด็ แสน ไขป ลา ภาคเหนือ ช่อื อยูใ นปาุ แตต วั มาอยูใเ นนาํ้ ปลาเสอื ภาคใต เหล็กแดง แยงใตด ิน ลางคนกนิ ลางคนไมกนิ ปลาไหล เหลก็ แดง แยงหัวนา เด็กไมม ปี ใญญา เอาไมออก ปลาไหล ภาคกลาง มาแตพ มา งอกผมประหนา งอกฟนใ ซเี่ ดียว ปลาหมกึ ปลาไอไ หรชือ่ แหลมทส่ี ดุ ปลาเขม็ หอย หอยโขง หนาแลงเขาถ้ํา หนานํ้าเท่ียวจร ไวมวยเหมือน มอญ นามกรวาอะไร หอยเมน ช่อื เปน็ สัตวสแ องชนิด ตวั อยูในทะเล หอย หนาแลงอยูในถาํ้ หนาอยูด อน หอย กน จ้ฟี ูาหนาถะแลดดนิ หอย ฮกั ก็จบู บฮักก็จบู หอย สงู บิด ๆ สูงเทียมทศิ สูงเทียมกอ นข้ีไก หอย ไมม แี ขง ไมม ีขา เวลาไปมาใชปากเดนิ หอยโขง ตัวเทา กาํ หมดั ทายแตงตงึ กนงอน ๆ ไมมรี ู หอยโขง กําเนิดเกิดเจาที่ในคงคา ครั้นเกิดขึ้นมามรณัง ขัง กรง ปู ปู ปู กงุ มา ดาวมา ปมู า จกั ษชู ศีรษะเงน คงคาเปน็ ทเี่ ลน ธรณเี ป็นทนี่ อน สองตีนบังแดด แปดตีนเดนิ มา ปู อยูดินกินหญา อยูฟูากินลม อยูทะเลกินตม นาม กรเดยี วกัน สิบตีนเดินมา หลังคามงุ สงั กะสี หู ไมมี หางไมม ี เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทองถ่นิ ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี ๖ | นายกติ ิศกั ด์ิ สขุ วโรดม ผูเ้ รียบเรียง ๑๗๓
ภาคเหนอื ขางหวั เหนบ็ กริช ทายบิดเรือนยนตแ กุง ภาคใต ทายแหลมทายแหลม ลองลอยอยูในมหาสมุทร กงุ มนษุ ยชแ มวาอนอยนัก แบกสําเภาลงทา กุง ตกโปะฺ ขา งจี บฮ ้อื วาข้จี า฿ ง ปู อน้ี มู หี ทู ป่ี าก มปี ากทท่ี อ ง อีลอ งไขท อ งไขหวั กระทะ ปู กุง ข้อี ยหู วั ตวั อยูน้าํ กงุ ส่ีตีน หางมา นาวาสอง ลอยลองเขามาในสากล กงุ โพกหวั มิดชดิ เหน็บกริชติดบน นายสองคน ตัวหัว ไมมี ปู สิบขาตาติดตวั ไมมหี วั ไมมีหาง ภาคกลาง แปดตีนเจาปีนข้ึนทางรอง สงเสียงร่ํารองโหยปาก ปูเค็ม ปูเป้ยี ว ภาคใต ไห ตองชอกชํ้าระกําใจ ตัวกูจะบรรลัยดวย นา้ํ เกลือ กบ ภาคกลาง คางคก กบ-คางคก คางคก เกดิ มามหี างไมมีขา พอส้นิ ชีวามีแตขาไมมหี าง กบ ปู สงู เทยี มขีไ้ ก ใสค าง ต่ําเทาตาํ่ ตองใสคา ง เตา เป็ด เจาแขนเถือเนื้อรอบโคก เจาแขนโกกโคกกรอบ เตา เนื้อ เตา เตา สัตวสแ ต่ี ีนกนิ สตั วตแ ีนเดียว สตั วแหัวเขยี วกนิ สตั วแหนา ควํ่า เตากินเหด็ เปด็ กนิ หอย ตนทายปลายบอก พอบญุ ปลูก เอากระดกู หุมเนอ้ื ตวั อยใู นสระ อุจจาระอยกู ับคน เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ งถน่ิ ช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ ๖ | นายกิตศิ กั ด์ิ สขุ วโรดม ผเู้ รยี บเรียง ๑๗๔
ภาคเหนอื หลังคาติดกบั ตัว โผลห ัวออกนอกชายคา เตา ภาคใต ขาส้ันทส่ี ดุ เดินสะดดุ ตุบตบุ ตะกุบตะกบั เตา ตุบ กบุเ ข้นึ ดอย กาบฝอยลอ งหวย เตา กงุ หวั เทียมดองเดินได เตา สีเ่ สาสะหนาหลังคาอฐิ เตา ๑.๓ สัตวเ์ ล้อื ยคลาน งู ปลิง งู ปลิง ภาคกลาง ไมม ีตนี ปนี ตนไม ไมมไี สไ ลกนิ คน งู ใครเห็นกต็ อ งกลัว มีหางมหี ัว ลําตวั ยาว ๆ งู ปลงิ ภาคใต สัตวแไมม ีตีนเดินได สตั วแไมมไี สกินคน ปลิง มาแตเ มืองไหนมาแตเมืองลงุ ยังแตพ ุงไมม ไี ส กิง้ กอื กง้ิ กือ ไสเดือน ตะขาบ ก้ิงกอื ภาคกลาง คนสามแสน หามแกนไมประดู ตะขาบ รถยนตแก็ไมใช รถไฟก็ไมเชิง ว่ิงเตลิดเปิดเปิงอยู ไสเ ดอื น กลางทุง ตัวยาวแคคบื แตม ขี ามากมาย นกเขา ช่อื อยบู นฟูา กายาอยูในดิน นกเขา นกกลิง้ โคลง ๑.๔ สัตวป์ ีก นกขมน้ิ นกตะกรุม ภาคกลาง นก นกอะไรที่ไมใ ชนกของเรา บินไดข ันไดช อ่ื ใหญต วั เล็ก นกอะไรทไี่ มร จู กั นอน ชอ่ื อยูในดิน ตวั บนิ บนเวหา สตั วสแ องขาหากินตางแดน หัวมันนับแสน สัตวแน้ัน เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ งถ่นิ ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี ๖ | นายกติ ศิ กั ด์ิ สขุ วโรดม ผู้เรยี บเรียง ๑๗๕
นามใด แรง จะวาเป็ดก็ไมใช จะวาไกก ไ็ มเชิง เดนิ คอยาวเท่ิง ๆ แลวยืนเบงิ่ อยกู ลางทุง นกอลี มุ นกตะกรุม ภาคใต จะวามนตแกาไมใช เหาะเหินเดินได หัวมากหวา แสน นกหัวขวาน แบกขวานข้ึนหมาก แบกขวากข้ึนเขา นกเภาลอง โอ นกยูง หางคลา ยหญา มตี าแคห าง นกหวั ขวาน นกไอไ หรเหอชอ่ื ของมันแสดงวาหัวแขง็ ทีส่ ุด ไก ไก ไกข นั ภาคกลาง สองตนี เดินมาหลังคามมุ จาก ภาคเหนอื เฮือสองเสา คาสองตับ นอนบหลับ ลุกขึ้นฮอง ไกฟาู ไขไ ก เพลง ขไ้ี ก ภาคใต ไกอะไรเอย ตัวไมโ ต แตม ีชือ่ กวา งใหญทส่ี ดุ คางคาว หีบใสผา เหลอื ง ลูกแจทงั้ เมืองแทงไมออก ภาคอีสาน ออลอทอไคทอ ง ลองผูใดขเ าเคพนู ั่น คางคาว คางคาว คา งคาว ภาคกลาง สองปีกหัวหก มีสองบาทา ยามทิวาพักผอน ยาม แมงมุม แมงมมุ ราตรอี อกมากนิ ใยแมงมมุ หนาคลายหนู มีปีกเป็นหนาบาง ๆ บินได ภาคใต หนไู มใชหนู นกไมใชนก หัวหกลงดนิ คา งคาว ๑.๕ แมลง – มด – หนอน ภาคกลาง แมงมุม ภาคเหนอื ทอดแหในอากาศ คอยพฆิ าตแมลง ยงุ เหมือนใยบัว มีตวั อยูกลาง ข้ีมอดคา ง ขจ้ี างลอด เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทองถิน่ ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ ๖ | นายกิตศิ ักดิ์ สขุ วโรดม ผเู้ รียบเรียง ๑๗๖
ภาคใต เจ็กไมใชเจ็ก ญวนไมใชญวน เที่ยวตีอวนอยูกลาง แมงมุม ภาคอสี าน เวหา ภาคกลาง แมงไหรไมอ ยกู ลาง แมงมมุ ภาคใต พยู ูหวยกางกอง พยู หู นองโกง แมงมุมหอย ภาคกลาง แมลงวัน แมลงวนั ภาคใต สต่ี นี เหยียบพ้ืนพระธรณี สองมือขย้ีหนาผาก นาม ภาคกลาง กรไมเหมือนแม แมลงวัน ภาคใต แมลงสวางไมรคู าํ่ แมลงวนั ภาคกลาง มอื สองลบู หนาผาก เกดิ ลกู มากไมเ หมอื นแม แมลงทบั แมลงเหน่ียง แมงทับ ภาคใต เขียวเหมือนพระอินทรแ บินเหมือนนก มีศรปใกอก นกกไ็ มใ ช แมงเหนี่ยง มันดําเหมือนกา บินมาเหมือนนก มีหนามท่ีอก เขาเรียกนกอะไร ตัวเหน่ยี ง ตัวดําเหมือนนก บินมาเหมือนนก สี่ปีตีนหก บิน ตกในนา ผีเสื้อ ผีเสื้อ ผเี สื้อ ชอ่ื แรกนากลัว ชอื่ หลงั เกลือกกลวั้ บนตัวคน ผ้ึง คําแรกของมันคนกลัว แตคําหลังของมันคนชอบ ใส จง้ิ หรีด ยุง อื่น ๆ กลม ๆ เหมือนวงพระจันทรแ ออกลูกตั้งพัน จ้งิ หรีด เหมือนกบั ทุกตัว ยุง คุดคูอยูใ นถาํ้ พอคาํ่ ๆ ออกรํา่ รอ ง มาจากเมืองละโว สงู โยว โกะ฿ มฟี ในซีเ่ ดียว มาจากเมอื งเจก็ ตัวเล็กเสยี งดัง มาแตเ มืองลงุ มาหัวตุบ ๆ กนิ คนทีเ่ ปน็ เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ งถ่นิ ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๖ | นายกติ ิศกั ด์ิ สขุ วโรดม ผู้เรยี บเรียง ๑๗๗
๒. คาตอบเกยี่ วกบั คน ๒.๑ อวยั วะตา่ ง ๆ ภาคเหนือ หวั หวั อมุ ลุม เตา ฮงั ตอ เจามันผอบหัน ภาคกลาง ผม ภาคใต ผม ผม ตัดโคนไมตาย ตัดปลายไมเนา ภาคกลาง ไมส านก็ถ่ี ไมคลี่ก็คลาย ไมใ ชก ไ็ ป หู ภาคเหนือ หู ภาคใต หู หู ภาคอีสาน มาหยอ นไปตึง หู เห็ดกระดางอยูขางดอย กอยบห ัน ภาคกลาง อยคู นละซกี โลก ไมม ีวนั เขาหากันได ตา ภาคใต เฒาสองเฒา บังเลาไมเ หน็ กนั คิ้ว ขนตา ภาคอสี าน ตา –คิ้ว ตา ยาวแลวสนั้ ภาคกลาง สงู หวาตา สูงท่ีสุด จมกู ขางลา งกะชน ชางบนกะชน ยบั กนั ลง หรอยยงั รงุ ภาคใต แคเทา ยงั แลไมเ หน็ จมกู ภาคกลาง จมกู ริมฝปี าก ฟใน ลิ้น ใกลก็ไมใกล ไกลก็ไมไกล เห็นรําไร ๆ วับ ๆ แวม ภาคเหนือ ๆ ปาก ลิน้ งูสงิ งูสา ไอไ หรหา โหยขางหนา สุดตาแลเหน็ หมายถงึ ลิน้ ปาก – ลิน้ – ฟนใ ขางนอกประตูไม ขางในประตูเหล็ก ผาผืนเล็ก ตากไมแหง ตังข้ึนก็เปนบะผา ตังลุมก็เปนบะผา งูสิงงูสาลอด พน้ื เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ งถน่ิ ชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ ๖ | นายกิติศกั ดิ์ สขุ วโรดม ผ้เู รยี บเรียง ๑๗๘
ภาคใต เปิดตูมา น ผานตูเหลก็ ผาออ มผนื เล็ก ตากไมแหง เปดิ ประตมู าน ผา นประตู เหล็ก ผาออ มผนื เล็ก ตาก ไมแ หง ภาคอีสาน หวั หยําแหยะ แปะกน มแี ฮง ปาก นม ภาคกลาง สกุ ไมร หู อม งอมไมร หู ลน สกุ คาตน คนกินได นมคน ภาคเหนอื จิ้กบกิ้ เตาบาแควง ก๋นิ เจ็ดแลงบาเล้ยี ง หวั นม ภาคใต ตวั เทาแลงหวั เทา ลูกทู นมผหู ญิง อนื่ ๆ ภาคใต เวลาเรานั่งมันนอน เวลาเรานอนมันยืน เวลาเรา หวั แมต นี คลํามันนม่ิ ตวั ไอไ หรเหอตัวใหญเฒา ดาํ ตาตมุ ๒.๒ การกระทาของคน ภาคกลาง การรับประทานอาหาร เด็กกนิ นม ภาคเหนือ เนอื้ แยงเน้ือน้ําไหลพรู อ่มิ อกอ่ิมใจทั้งคู คนเคย้ี วหมาก ทอแต็บแปฺบ โวงเขาจ฿อก ขะยอก ๆ เปนน้ําแจะ ภาคใต แฟะ เดก็ กินนม เนอ้ื แยงเนื้อ นา้ํ ออกเพรอ่ื เด็กดใี จ ภาคกลาง คนตกปลา ภาคเหนือ การหาอาหาร ปรุงอาหาร ทอดแห ภาคใต ทาํ บญุ ไดบาป มลี าภกต็ าย คนสมุ ปลา ตอเ งหยอดตอ ด บฮ อื้ วายอดตอง ภาคกลาง ขา งบนกดหยกุ ๆ ขางลา งเป็นทกุ ขแ ขา งบนดีใจ คนลบั มดี ภาคเหนือ คนกาํ ลังไถนา ภาคใต การประกอบอาชพี น่ังยอง ๆ มองกระเดา เขา ไมเขา เอามือคลาํ ดู คนลับมดี หกขากินสามปาก ข้นึ ตบั พลับ ลบั ๆ แล ขนึ้ ตนแคแล ๆ ลบั ๆ เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทองถิ่น ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ ๖ | นายกิติศักด์ิ สขุ วโรดม ผเู้ รียบเรยี ง ๑๗๙
ของเสยี การกําจดั ของเสยี อจุ จาระ ภาคกลาง ตกดังตุ฿บ หมาไลตะครบุ แมลงวันตอมโฉ ขี้เดก็ ภาคเหนอื อุม ลมุ เตาตน ปนู หลนลงจาน คนถายอุจจาระ ภาคใต พอแมไมแ ชง ไมด า ไปนงั่ ชายปุา ทําหนายูยี่ นา้ํ ลาย ภาคอีสาน ไกตวั ขาวถลาลงดิน การเลนถ่ัวหรือเลนโป การพกั ผอน – การพนนั ภาคกลาง งุบงิบ ซุบซิบ พูดจา เปิดไป เปิดมาเสียเงินเสีย คนเลน วาว คนตที ับ ทอง ภาคใต ตน เทา สายพาน ดอกบานเวหา นอ งไมร อ ง ตีไมร อ ง ถานองรองปดิ ปากไว ๒.๓ รูปร่างและสังขาร ภาคกลาง ยามเชาเดินส่ีขา กลางวันเดินสองขา ยามเย็นเดิน คนวัยเดก็ วยั หนมุ สาว สามขา และวยั ชรา ไปไมก ลับ หลบั ไมตื่น ฟน้ื ไมม ี หนีไมพน คนตาย เงา ภาคใต อากาศแจมใส เดินไปสองคน มือฟูามัวฝน เดินมา คนเดียว คนหามศพ สคี่ นหาม สามคนโห คนโงอยูขา งบน ๓. คาตอบเกี่ยวกับพืช ๓.๑ พชื ยนื ตน้ ภาคกลาง เมอ่ื เดก็ นงุ ผา เม่อื ชราเปลือกกาย ตนไผ ภาคเหนือ ขา งนอกสุกใส ขา งในเป็นโพรง มะเดื่อ อยูใ นวัดในสวน ชอบขว นชอบกดั ตน ตะขบ ตน เทา ลาํ เรือ ในหอเกลือไมม ดิ ตน สน เมอ่ื นอยมันแนนมนั หนา ใหญมาดังโละ ๆ มะขาม เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทองถิ่น ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๖ | นายกิติศักด์ิ สขุ วโรดม ผเู้ รียบเรยี ง ๑๘๐
๓.๒ พชื ผกั สวนครัว ภาคกลาง เมือ่ เด็กนุงผาขาว เมือ่ สาวนุงผา เขยี ว แกทีเดียวนุง พริก ผา แดง มาจากเมืองลาวผาขาวคาดพงุ ผกั กะเฉด เลก็ ๆ นงุ ผา พอใหญขน้ึ มาเอาผาคลุมหัว มะเขือ เป็นพืชไมมีใบ แตมีดอก มักออกหนาฝน คนชอบ เห็ด กนิ ภาคเหนือ ตน เตาครกใบปกดิน ตะไคร เถามนั เทา เลมเข็ม ปลายมนั เตมเ แมน า้ํ ผักแวน ภาคใต ผักหนึ่งอยูหนอง ผักสองอยูนา ผักสามอยูปุาชา ผักเปด็ ผักคราด ผักเสี้ยน ผักสี่อยวู ัดวา ทา ยวา ผกั ไหร ผี ผักกระถิน ผักแพง แกงปลาไมล อย สมไมถอย แกงปลาไมโง ผกั ตําลึง ปลากด สม มะดัน ประหลาดฉลาด ๓.๓ พชื ผล ภาคกลาง แบง ออกเปน็ เสียครง่ึ ลูก จงึ เหมอื นจมกู คนทาย ชมพู เด็กดํานอนมงุ ขาว เรอื นปนใ้ หยาสีเขยี ว นอยหนา ภาคเหนือ อุม ลุมเตาขา มีตาเ ลอบต๋วั ขนุน ภาคใต โหยในหนาม ไมงามกะหอม ทเุ รียน มะมว งหิมพานตแ แรกเกิดพี่นุยนองใหญ พอนาน ๆ ไปนอง ๆ ใหญ พน่ี ยุ กลวย ภาคอสี าน ตนทอ ขา ใบวาเดยี ว ๓.๔ ไมด้ อก ไม้ล้มลกุ ภาคกลาง ตนเทาเทยี น ใบเทาถาด บวั ตน เทาลาํ หวาย ใบกระจายเต็มคลอง บัว ช่อื เป็นหนาสตั วแ คนนํามาจัดแจกัน ดอกหนาวัว เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ งถิ่น ชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ ๖ | นายกิติศกั ด์ิ สขุ วโรดม ผูเ้ รียบเรียง ๑๘๑
บานเหมอื นตูม ตูมเหมอื นบาน ไมมีวันรวงโรย แต ดอกบานไมรูโรย ไรก ลนิ่ ภาคใต ดอกอะไรทีค่ นไทยนบั ถอื ดอกพทุ ธรักษา ตนเทาลําหอกเก็บดอกมาขาย ตนเทาลําหวาย ตนกาหลา ตน บวั หลวง ปลายเทาตนี ชาง ๔. คาตอบเก่ยี วกับสิง่ ของเครื่องใช้ ๔.๑ เครือ่ งใช้ในครวั เรอื น ภาคกลาง เครอ่ื งแตงกาย เส้อื มีแตแขนไมมีขา เข็มขดั ภาคใต หางมุดหู หวั มดุ หาง หางมุดหัว ตุมหู นารมี หี ู เพชรสีชมพู คารนู ารี เสอื้ กางเกง ภาคกลาง มาจากเมอื งจนี ตัดหัวตดั ตีน กนิ คนทงั้ เปน็ รองทา ภาคเหนือ เรือสองลําขีไ่ ดคนเดยี ว ภาคใต มงุ เคร่อื งนอน เปลเดก็ ภาคกลาง ยกตีนขา มหัว เอาตัวลอดได หมอน ภาคเหนอื สขี่ าหงายขึน้ ฟูาอา ปากกนิ คน ภาคใต บมีแขง บม ีหวั มีแตตวั นงุ ผา มุง ส่ีตีนเกาะฝา อาปากกนิ คน หมอน กลางวนั มีตวั แตม หี ัวกลางคนื บนั ได เคร่อื งเรือน หลงั คาบาน หนา ตา งบาน กลางวันยืน กลางคนื นอน มหี ลงั ตากฟาู มหี นา รอบตวั ประตู จา฿ งแมเ ฒา พับหูขา งเดียว กลอนประตู เมื่อคนื หาบ เม่ือวันกอน บนั ไดบา น แมสองลูกหา น่ังใตฟาู รบั แขก เคร่ืองเชี่ยน เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ งถ่นิ ช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี ๖ | นายกติ ิศักดิ์ สขุ วโรดม ผเู้ รียบเรียง ๑๘๒
ภาคกลาง หมาเดินหนา พอ ไกต ามมา คนชราชอบนกั ผลหมาก ฝง่ใ โนนก็ตลิง่ ฝ่งใ นกี้ ต็ ลิง่ มกี ิง่ อยกู ลาง เตา ปนู มไี มควกั ปนู ภาคเหนือ อมุ ลุมเตาไขเ ป็ดกน๋ิ เจด็ วันบเ ลยี้ ง สเี สยี ด ภาคใต จับถา งขาเอาหมากแดงยัดใส มดี หนีบหมาก ตนสาคู หมาก ตนทา ครกใบหกวา ตน เทาขาใบวาเดยี ว ภาคอีสาน ซวยลวยคือใบพลู ฮูยปู าก ไมจมิ้ ปนู ๔.๒ เคร่ืองใชใ้ นครวั ภาคกลาง มีแตห ูแตกนั เฝาู คนอยหู ลงั บา น กระทะ ชักออกมาดํา ตําเขา ไปแดง มีแสงไฟ ไมข ดี ไฟ น่งั เทา แขนออ น กินกอ นพระ ทัพพี นั่งบนปาง หางแยงรู กระจา เตาไฟ ภาคเหนอื สามจเนสแี่ จง ดอกแสลงบานใน ทัพพี กระบวยตกั นาํ้ หวั หมดดอดหนาว กางยาวอดฮอ ง กระจา ทัพพี ภาคใต โคนเป็นไม ตรงกลางเปน็ ทราย ปลายเปน็ พรก ไหปลารา นางคอออน กินกอนทุกวนั กระบองข้ไี ต ภาคอีสาน ตา่ํ อปุ฿ ฺุ แปดคอก กก อยปู ุา งายูบา น บานไดชูแลง ๔.๓ เครื่องมือเกษตรกรรม ภาคกลาง กนิ ทางปากขี้ทางปกี หวั หมไู ถนา ตัวสน้ั ฟในซี่เดียว ขับเค่ยี วกัดไม ขวาน ภาคเหนอื แมน อยลูกมาก พาลูกยากบกุ นาํ้ ลยุ โคลน คราด ภาคใต โซะโละเทาคอไก ไลก นิ ขาวในนา เคยี ว กําหางขป้ี ุงู จา ด ไถ หนาสั้นฟในขยาว หางยาวที่สุด ใครทายไมถูก จอบ ไมใชม นุษยแ ตวั ดํา ฟในขาว หางยาวทสี่ ดุ ขน้ึ บา ปุาทรดุ ขวาน เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทองถน่ิ ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ ๖ | นายกิตศิ กั ด์ิ สขุ วโรดม ผเู้ รียบเรยี ง ๑๘๓
ภาคอสี าน จับหางขจี้ อ฿ ก ทวี่ ิดน้าํ เขา นา ๔.๔ เครือ่ งมือจบั สัตว์ ลกู กระสุนปืน ภาคกลาง ออกลกู ไปแลว ไมกลับ ลอบดกั ปลา ชา งนอ ยลอยนาํ้ มา มีงาในทอ ง คนแกหลงั โกง ลงน้าํ ไมข นุ เบด็ ยอจบั ปลา ภาคเหนอื สีห่ ูพนั ตา กินปลาในนํา้ มีลูกต้ีขา มีตเารอบตวั๋ มหี ูอยรู อบหัว แห โพงวิดปลา ภาคใต สองตนี ยันธรณี หางยาวรี ปากพอนนํ้า นกคุม ปากเหลก็ ซนั เกร็กเสียใญ ปืน ชางสารลอยนํา้ มา มแี ตงาไมมงี วง ไซดักปลา ภาคอสี าน ไปเทา ไรนา มาเทา กอ นเสา แห ตวั ดําคลายหมู วงิ่ ลงกินนาํ้ โพงพาง ๔.๕ เคร่ืองมอื ช่าง กบไสไม มดี โกน ภาคกลาง เพชรฉลากมปี ากทที่ อ ง ตาปู แบบตะแระแตะ แทะหญา บนเขา สูบตีเหล็ก กบไสไม ภาคเหนือ จก๊ิ บกิ๊ เทาขไี้ ก ไลเ ต็มกลางบา นกลางเรือน ภาคใต มาจากเมอื งลงุ งอกขนในพงุ หายใจทางดือ สวิ่ สิ่ว มฟี ในซี่เดยี ว เคยี้ วไสน้ําแผน หนิ ลบั มีด ซ้ือมาแตตวั ไมต บหัวไมกนิ ภาคอีสาน ดาํ จ่ังหมี ต๋ิกน จ๋ังกดั กลอง ใครมาก็เขยา เขา ไมเขา กค็ ลาํ ดู ฆอ ง ๔.๖ เครอ่ื งดนตรี ตะโพน ภาคกลาง ไมมีคอไมมีหวั มีแตหนา ถึงเวลาตีไดตเี อา ภาคเหนอื ดําเหมือนหมี แลง ตแี ลง รอ ง ภาคใต ลาํ ตนเทาครก ลูกดกรอบคอ เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทองถิน่ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๖ | นายกิติศกั ด์ิ สขุ วโรดม ผเู้ รียบเรียง ๑๘๔
ตัวดาํ มดิ หมี ยิ่งตยี ่งิ ดัง ฉ่งิ ปากมนหางเมนิ หญิงไมใหคลาํ แตร ู ป่ี ๔.๗ พาหนะ รถไฟ ภาคกลาง มา เหล็กตัวยาว วิง่ อา วเสยี งดัง รถยนตแ ตาเปน็ ไฟ ใจเป็นเหลก็ เรือ ภาคเหนอื โจ฿ะโละเหมือนคอมา ไปกา฿ บห ันฮอย เรือใบ ภาคใต มาจากทะเลใน ใบขาวไสวไมม ดี อก วัวสองตัวเทยี มเกวียน ภาคอสี าน สิ๋บตนี๋ สองลอ มจี เอยขู างบน และคนขับ ๔.๗ เครื่องใชอ่ืน ๆ สาแหรก นาฬกิ า ภาคกลาง กดหัว ทองปอุ ง ไมคาน มขี าสองขา เดนิ อยบู นหนาตวั เอง โมแปูง ภาคเหนอื หวั สองหวั ตว๋ั มตี ั๋วเดียว เตารีดผา ภาคใต อกี ลมขม อแี บน หลบุ ๆ แลน ๆ อีแบนนา้ํ ออก รปู รา งเหมอื นรถไฟ แลน ไปบนผา คุณค่าของปรศิ นาคาทาย การทายปใญหาเป็นท่ีนิยมของคนท่ีชาติทุกภาษา การคิดปใญหาผูกเป็นปริศนาคําทายมา ทายกันนอกจากจะเกิดความสนุกสนานบันเทิงใจ แลวยังไดท้ังความรู เชาวนแปใญญา ปฏิภาณไหว พรบิ ปริศนาคําทายจึงทรงคณุ คาในตัวเอง ซ่งึ พอประมวลคณุ คาของปรศิ นาไดด งั น้ี ๑. ปริศนาคาทายให้ความสนุกสนานและความเพลิดเพลิน ชวยผอนคลายความตึง เครียดใหแ กผ ูเ ลน แมวา ในการเลนจะตองใชความคดิ แตก ็เป็นการใชความคดิ ท่ชี วนเพลิดเพลิน ผาน กระบวนการสังเกต วิเคราะหแถอยคําที่นํามาผูกเป็นปริศนาปริศนาบางบทชวนใหขบขัน เพราะ ถอ ยคําท่ีนํามาใชชวนใหคิดเป็นสองแง แตเม่ือเฉลยแลวไมใชอยางท่ีเขาใจ เชน “อะไรเอย สองกลีบ เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทองถิน่ ชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ ๖ | นายกติ ศิ ักด์ิ สขุ วโรดม ผูเ้ รยี บเรยี ง ๑๘๕
หนีบกันแนน แมเฉลียวนอนอมกลวย” คําตอบก็คือ ขามตมมัด หรือปริศนาของภาคใต “นอนแคง แยงนํา้ ขาวออก” คาํ ตอบวา คนใหลูกกนิ นม เป็นตน ๒. ปรศิ นาคาทายให้ความรู้ในเร่ืองสานวน ภาษา รวมท้ังภาษาถิ่นดวย เพราะปริศนา คําทายในแตละทอ งถ่ินจะมกี ารใชภาษาถ่ิน การใชคําซึ่งมีสัมผัสคลองจอง ไพเราะปริศนาคําทายท่ีมี คําไขอยา งเดยี วกัน จะใชค าํ ทายทแี่ ตกตางกนั ไปแตละทองถิ่น เชน “ตน เทาครก ลูกดกเตม็ คอ” (กลาง) “น้าํ ทุงนอย หอยปลายหลัก ดกั ก็เตเมบดกั กเ็ ตเม” (เหนือ) “ไอไหรหา หนงั หุมขน ขนหุม โดก โดกหมุ เนือ้ เนอื้ หมุ นาํ้ น้ํารุแกว” (ใต) “หอ ยอยหู ลักบตกั ก็เตเม” (อีสาน) คําเฉลย กค็ อื มะพรา ว จะเหน็ ไดวาการเลือกใชคําในการผูกปริศนาแตกตางกันไปในแต ละทอ งถ่ิน แตแ นวคดิ ในการมองธรรมชาติเปน็ ไปในแนวเดยี วกัน ๓. ปริศนาคาทายช่วยฝึกสมอง ฝึกความมีปฏิภาณไหวพริบ ความชางคิด ชางสังเกต เพราะปรศิ นาจะผูกปใญหาไวดวยการเปรียบเทียบกับส่ิงตาง ๆ ไมดามอยางตรงไปตรงมาทําใหผูทาย ตอ งคิด ซงึ่ บางคร้งั ตัวปรศิ นาเปน็ เรอ่ื งงา ย ๆ ใกล ๆ ตัว แตผูทายอาจมองขามไปหรือคิดไกลเกินไปก็ ได เชน ปรศิ นาวา อะไรเอย อยบู นกระดาษ เฉลยวา ซาลาเปา ซ่ึงบางคนอาจจะคิดวาเป็นตัวหนังสือ หรือภาพวาด หรือปริศนาวา อะไรเอยอยูใตสะพานพุทธ บางคนก็อาจจะคิดไปถึงแมน้ําหรือเรือ ซึ่ง คาํ เฉลยก็คอื สระอุ ดังนี้เป็นตน ผูเลนปริศนาคําทายจึงตองเป็นคนชางคิด ปละมีปฏิภาณ จึงจะเลน ปริศนาคาํ ทายไดอยา งสนกุ สนาน ๔. ปริศนาคาทายเป็นเคร่ืองมือในการถ่ายทอดความรู้ในเรื่องต่าง ๆ ที่เก่ียวของกับ ชีวิตประจําวัน เชน การจับปลา การปรุงอาหาร การเกษตร การทอผา รวมท้ังความรูในเร่ือง ธรรมชาติ สัจธรรม และการเรียนรูดานภาษาอีดวย ดังเชน ปริศนาคําทายวา อะไรเอย คนซ้ือไมได คนใชไมไ ดซอื้ คําตอบวา โลงศพ ซ่ึงตัวคําถามแสดงใหเห็นถึงสัจธรรมของชีวิตท่ีทุกคนตองพบในวัน หน่ึง หรือปริศนาคําทายวา ตนอะไรเอยมรสองกอ คําตอบวา ตนกก ซ่ึงเป็นการเรียนรูเรื่องก่ีสะกด คําในภาษาไทยไปพรอม ๆ กบั เรือ่ งธรรมชาติ เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ งถ่ิน ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี ๖ | นายกิติศักด์ิ สขุ วโรดม ผ้เู รยี บเรยี ง ๑๘๖
๕. ปริศนาคาทายเป็นเครื่องสะท้อนขนบธรรมเนียมประเพณี วิถีชีวิต คานิยม ความคดิ ความเชอ่ื ของกลมุ ชนซึ่งเป็นเจาของปริศนาคําทาย ดังน้ี ๕.๑ สะท้อนให้เห็นถึงลักษณะนิสัยของกลุ่มชน โดยเฉพาะอารมณแขันที่จะมีแฝงอยูใน ตัวคาํ ทาย เสียงของคาํ ทเี่ ลอื กมาใช เชน อะไรเอย จกั๊ จ้จี ั๊กเจา หญา งอกข้ึนเขา จ๊ักเจาไข จั๊กจีดขี้ไหล หรือใชคําที่มีความหมายแฝงมีลักษณะชี้นําใหผ็ทายเขาใจผิดไปในทางหน่ึง แตคําเฉลยกลับเป็นอีก อยา งหน่งึ ทาํ ใหเ กดิ อารมณขแ ัน เชน อะไรเอยบา งสนั้ บางยาวสาว ๆ ตองใชเมื่อไดแตงงาน คําถามใช คาํ ใหคิดสองแงสองมมุ แตคําเฉลยคือ นามสกลุ ดังนีเ้ ปน็ ตน ๕.๒ สะท้อนให้เห็นสถานภาพความเป็นยู่ของคนในสังคม ไดแก การประกอบอาชีพ ซึ่งสวนใหญจะเป็นอาชีพทํานา เชน “อะไรเอยปากหน่ึงกินหญา ปากหนึ่งกินดิน ปากหนึ่งหูดร่ําไป” คําตอบก็คือ ควาย ไถ และคนไถนา เป็นตน การเลี้ยงเด็ก สมัยกอนเล้ียงดวยนมแม นอนเปลเห กลอม ดังปริศนาวา “อะไรเอย ตะลุมพุมพู มีรูนํ้าไหล บอนอยคอยใส นํ้าไหลเขารู” เป็นตน นอกจากนี้ยงั มีเร่อื งของการทอผา การคมนาคม และการดํารงชีวิต ๕.๓ สะทอ้ นให้เหน็ ถึงความเชอ่ื และวฒั นธรรมประเพณี ไดแ ก ความเชือ่ ในเร่ืองพุทธ ศาสนา การใสบ าตร การรดนา้ํ พระพทุ ธรูป เชน ทายวา “ดอกอะไรเอย อยูในถํา้ ฝนตกพรําปีละหน” คําตอบวา พระพทุ ธรปู สรงนา้ํ ปลี ะครัง้ ๕.๔ สะทอ้ นให้เห็นถึงคา่ นยิ มดา้ นต่าง ๆ ของคนในสมัยกอ น ไดแ ก นิยมกินหมาก เลน หมากรุก เชน ทายวา “อะไรเอยสี่มุมสี่แคร ส่ีแมจัตุรัส ผูคนเงียบสงัด ฆาฟในกันตาย เหลือแตนาย สองคน” ตอบวา คนเลนหมากรกุ เปน็ ตน ๖. ปริศนาคาทาย มีส่วนช่วยในการอนุรักษ์และส่งเสริมวัฒนธรรม จะเห็นไดจาก ความนิยมในการเลน ปรศิ นาคําทายท่ีถายทอดสืบตอกันมาจนถึงปใจจุบัน มีการผูกปริศนาใหม ๆ ขึ้น เลนกันหลายโอกาสและส่ือสารผานสื่อตาง ๆ โดยเฉพาะส่ือโทรทัศนแมีการผูกปริศนาใหม ๆ ข้ึนตาม ความคิดและสภาพสงั คม เชน “ปาอะไรขน้ึ เขาได” คําเฉลยวา “ปาเจโร” ซึง่ เปน็ ยี่หอรถยนตแท่ีมีใชกัน อยูทั่วไป เป็นการสะทอนใหเห็นถึงความคิดทางภาษาและการคมนาคมในปใจจุบัน จึงทําใหการเลน ปรศิ นาคําทายแพรหลายและสืบทอดตอไป (เรไร ไพรวรรณแ, ๒๕๕๑, หนา ๑๔๒-๑๔๓) สรปุ เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทองถนิ่ ช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี ๖ | นายกติ ิศกั ด์ิ สขุ วโรดม ผู้เรยี บเรยี ง ๑๘๗
ปใจจุบันการเลนปริศนาคําทายก็ยังคงเป็นการละเลนสนุกสนานท่ีไดรับความสนใจและ นิยมเลนกันทุกเพศทุกวัย ปริศนาคําทายเป็นภูมิปใญญาไทยท่ีทรงคุณคา เป็นเคร่ืองมือในการ เสรมิ สรา งสติปใญญา ปลูกฝใงความคิด คานิยม จริยธรรม และเป็นการฝึกไหวพริบ ปฏิภาณ การชาง คิด ชางสังเกต ใหแกชนรุนหลัง ซ่ึงจะเป็นผลดีตอการเรียนรู การนําไปใชใหเกิดประโยชนแใน ชีวิตประจําวันตอไป และปริศนาคําทายก็คงจะไดรับความนิยมตลอดไป (เรไร ไพรวรรณแ, ๒๕๕๑, หนา ๑๔๔) เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ งถิ่น ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๖ | นายกติ ิศักด์ิ สขุ วโรดม ผ้เู รียบเรยี ง ๑๘๘
บทที่ ๖ สานวน สภุ าษิต คาพงั เพย เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทองถนิ่ ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๖ | นายกิติศักด์ิ สขุ วโรดม ผเู้ รียบเรียง ๑๘๙
สานวน สุภาษิต คาพังเพย ความหมายของภาษิต ภาษิต สํานวน และคําพังเพย เป็นมรดกทางวัฒนธรรมอยางหนึ่งซึ่งแตละชาติแตละ ภาษาจะมแี ตกตางกนั ไปตามความคิด ความเช่ือ คานิยม และสภาพแวดลอมทางสังคมในทางคติชน วิทยาถือวาภาษิตและสํานวนเป็นขอมูลท่ีสําคัญซึ่งแสดงถึงภูมิปใญญาทางดานภาษาของชาติที่เป็น เจาของภาษติ และสาํ นวนน้ัน ไทยเป็นชาติหนึ่งท่ีอุดมไปดวยภาษิต สํานวน และคําพังเพยตาง ๆ ซึ่ง มีคณุ คา ควรแกก ารรวบรวมศึกษากอ นที่จะสูญหายไป (เรไร ไพรวรรณแ, ๒๕๕๑, หนา ๖๒) ภาษิต มีความหมายตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ วา “คํากลาว ตามศัพทเแ ปน็ สํานวนคาํ กลาง ๆ ใชท ั้งทางดที างชว่ั แตโดยความหมายแลว ประสงคแคํากลาวถือวาเป็น คติ” ภาษิตนจี้ ึงเป็นขอความทผี่ ูกลาวกลาวออกมาเพ่ือสื่อความคิดบางอยางและสวนมากจะกลาวใน เชิงเปรียบเทยี บอยา งคมคาย (ประคอง เจริญจติ รกรรม, ๒๕๓๙, หนา ๔๖) ความหมายหรอื คําจาํ กัดความของสาํ นวน อาจแยกจากคําพังเพย ภาษิต และสุภาษิตได ยาก ดังพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ (พิมพแครั้งท่ี ๒ พุทธศักราช ๒๕๕๖) ไดให ความหมายไวใ กลเ คยี งกัน ดังนี้ สานวน หมายถึง ถอยคําหรือขอความท่ีกลาวสืบตอกันมาชานานแลวมีความหมายไม ตรงตามตวั หรอื มีความหมายอืน่ แฝงอยู เชน สอนจระเขใ หวายนาํ้ รําไมด โี ทษป่โี ทษกลอง คาพังเพย หมายถึง ถอยคําหรือขอความที่กลาวสืบตอกันมาชานานแลว โดยกลาวเป็น สว นกลาง ๆ เพอ่ื ใหต ีความเขากบั เรอ่ื ง เชน กระตา ยตืน่ ตมู ภาษิต หมายถึง ถอยคําหรือขอความที่กลาวสืบตอกันมาชานานแลวมีความหมายเป็น คติ เชน กงเกวยี นกําเกวยี น เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ งถิน่ ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ ๖ | นายกติ ศิ ักดิ์ สขุ วโรดม ผู้เรียบเรียง ๑๙๐
สุภาษติ หมายถึง ถอยคําหรือขอความท่ีกลาวสืบตอกันมาชานานแลวมีความหมายเป็น คตสิ อนใจ เชน รักยาวใหบ่ัน รักสั้นใหตอ นํ้าเช่ียวอยาขวางเรือ (สํานักงานคณะกรรมการการศึกษา ข้ันพนื้ ฐาน กระทรวงศกึ ษาธิการ, ๒๕๕๘, หนา ๑๑๒) การใชถ อ ยคาํ ของกลมุ ชนในสงั คมไทยจะรวมไวทั้งสํานวน คําพังเพย และภาษิต ซ่ึงหาก จะแยกตามลักษณะเดน ๆ แลว อาจสรุปไดวา สานวน คือ การใชถอยคําที่เป็นคําคมและมี ความหมายไมตรงตามตัวอกั ษร คาพงั เพย คือ การใชถอยคําที่มักจะแฝงความคิดบางอยางไว อาจมี คําสอนแฝงอยูดวย สวนภาษิต คือ การใชถอยคําที่มีความหมายเป็นเชิงเปรียบเทียบ ใหคติเตือนใจ แตไมเ นน การสง่ั สอนโดยตรง โดยทั่วไป คนเราจะใชส ํานวน คําพังเพย และภาษิตที่เป็นการเปรียบเทียบกับส่ิงท่ีไดพบ เหน็ ในชวี ิตประจําวัน หรอื ไดจากการสงั เกตธรรมชาติและส่ิงแวดลอม สิ่งที่นํามาเปรียบเทียบจะเป็น ส่งิ ทีอ่ ยใู กลตวั เชน คน สัตวแ พืช สิ่งของ เคร่อื งใชต า ง ๆ หรือปรากฏการณแธรรมชาติที่เกิดขึ้นบอย ๆ ที่เกีย่ วกบั ดนิ น้าํ ลม ไป การใชถอ ยคาํ เชน น้ีปรากฏอยูในการใชภาษาของคนทั่วโลก และความคิดท่ี แสดงออกมาจะคลายคลึงกัน เพียงแตมีรายละเอียดแตกตางกัน ตัวอยางการใชถอยคําท่ีคลายกัน ของชนชาติตาง ๆ มดี ังนี้ องั กฤษ : นกตวั เดยี วในมือมคี า มากกวา นกสองตวั ในพมุ ไม เปอร์เซยี : นกกระจอกในมือตัวเดียว ดกี วา เหย่ียวที่บินอยูในอากาศ สเปน : นกตวั เดียวในมือดีกวา นกรอยตัวท่กี าํ ลังบินอยู เยอรมนี : นกกระจอกตวั เดยี วในมือดีกวานกเขาท่อี ยูบนหลังคา ไทย : สบิ เบยี้ ใกลม อื จะเห็นไดวาการใชถอยคําแบบสํานวน คําพังเพย และภาษิตท่ียกมาเป็นตัวอยางน้ีมี ความคิดและความหมายคลายคลึงกัน คือแนะใหคนเรายอมรับในสิ่งท่ีจะไดงาย ๆ ไวกอน เพราะ ถึงแมจะไดนอย แตก ็ไดแนน อน ดีกวา หวงั ในสิ่งที่ไดมายาก ซึ่งอาจจะไดมากกจ็ ริง แตโอกาสท่ีจะไดมี นอ ยและอาจพลาดได คําคมเหลา นี้เกิดจากเชาวนแปญใ ญาของผคู นแตล ะชาตลิ ะภาษาที่สามารถคิดได คลา ยกันและแสดงความคิดน้นั ออกมา เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทองถ่นิ ช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ ๖ | นายกิตศิ กั ดิ์ สขุ วโรดม ผเู้ รียบเรยี ง ๑๙๑
ทม่ี าของสานวน คาพงั เพย และภาษิต การใชถอยคําแบบที่เรียกวาสํานวน คําพังเพย และภาษิตนี้ ไมมีหลักฐานระบุไวชัดเจน วามีท่ีมาจากไหนหรือเกิดขึ้นไดอยางไร นักวิชาการจึงใชวิธีสมมติ คนบางคนกําหนดความคิดข้ึนมา เป็นถอยคาํ หรือสรา งคําพูดข้ึนมาจากเหตุการณแอยางใดอยางหนึ่งแลวไดผลลัพธแออกมาเป็นคําพูดที่ หลักแหลมหรือเปน็ คําคม หรือเป็นการส่ังสอนเกี่ยวกับสิง่ ใดสง่ิ หนึ่งซ้ํา ๆ กันจนกระทัง่ คนท่ัวไปจาํ ได สํานวน คําพังเพย และภาษิตบางบทอาจจะมีความขัดแยงกันก็ได เพราะคนโบราณน้ัน เมอ่ื มองเห็นอะไรท่ีนํามาเปรียบเทียบได หรือสรางเป็นคําคมข้ึนมาไดก็ยอมจะนํามากลาวอางไว ทํา ใหเนื้อหาหลากหลายและยอมจะขัดแยงกันได เชน คําพูดวา น้าขึ้นให้รีบตัก จะขัดแยงกับคําพูด ที่วา ช้าช้าได้พร้าเล่มงาม ดังนั้นในการใชคําคมเหลาน้ีจึงข้ึนอยูกับสถานการณแดวย เชน น้าข้ึนให้ รีบตัก จะใชในสถานการณแท่ีจําเป็นตองเรงรีบจึงจะไดประโยชนแ ถาชาก็อาจจะเสียโอกาสไป แตใน บางสถานการณแ ถาเรงรีบทําไปก็อาจจะเกิดความผิดพลาดได จึงควรจะทําชา ๆ เพ่ือใหไดสิ่งท่ีดีมี คุณคา อยา งแทจริง กจ็ ะใชคําสอนวา ชา้ ชา้ ไดพ้ รา้ เล่มงาม สํานวน คําพงั เพย และภาษติ บางบทเกิดจากการพูดถึงเหตุการณแอยางใดอยางหนึ่ง เชน ฆาควายเสยี ดายพริก ซ่งึ มีความหมายวา ทําการใหญแตไมก ลาลงทนุ ทจ่ี ําเปน็ การนั้นอาจจะเสียหาย หรือไมสําเร็จ เหมทอนการฆาความทําอาหารแตไมใชพริกปรุงใหเพียงพอรสชาติของอาหารจึงไม อรอยเทาท่ีควร มีทานผูรูกลาววาขอความนี้แตเดิมควรจะเป็น ฆาควายอยาเสียดายเกลือ เพราะคน ไทยใชเกลือหมักเนื้อสดหรือปลาสดตากแหงเก็บไวรับประทานไดนาน ตอมามีผูเปลี่ยนเกลือใหเป็น พรกิ ซึง่ เป็นสวนประกอบในการทําอาหารเหมอื นกัน แตมีประโยชนแในการใหรสชาติ ไมใชรักษาเนื้อ ไมใหบดู เนา นอกจากนีก้ ็มถี อยคาํ ที่เกิดจากการยอหรือตัดตอนเรือ่ งราว เชน กบเลอื กนาย หมาปุากับ ลูกแกะ องุนเปรี้ยว ซึ่งมาจากนิทานคติ (ประพนธแ เรืองณรงคแ และ เสาวลักษณแ อนันตศานตแ , ๒๕๔๗, หนา ๑๖๖-๑๖๗) ลกั ษณะของภาษิต สานวน และคาพังเพย ภาษิต สํานวน และคําพังเพย เป็นคํากลาวส้ัน ๆ มีท้ังท่ีเป็นรอยแกว และรอยกรองมี ลกั ษณะโดยรวม ดงั นี้ วาสนา เกตุภาค, ๒๕๒๑, หนา ๑๒ อา งใน (เรไร ไพรวรรณ,แ ๒๕๕๑, หนา ๖๓) เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทองถ่นิ ช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี ๖ | นายกติ ศิ กั ดิ์ สขุ วโรดม ผเู้ รียบเรียง ๑๙๒
๑. เป็นประโยคหรือวลี ท่ีมีถอยคําไพเราะ มีสัมผัสคลองจอง มีการเลนสัมผัสสระ หรือ สมั ผัสอกั ษร เชน ขิงกร็ าขา กแ็ รง กอ กรรมทําเขญ็ เปน็ ตน ๒. ใช้ถ้อยคาสั้น กะทัดรัด โดยมีความหมายที่ลึกซ้ึง กินความมาก เชน ก้ิงกาไดทอง หัวลานไดหวี เป็นตน ๓. เน้ือหาต้องการสั่งสอน ใหคติ โดยถาเป็นคําสอนมักจะใชคําวา จง เมื่อตองการให กระทาํ และใชค าํ วา อยา เมือ่ ตอ งการไมใหก ระทํา เชน อยา งา งภเู ขา จงนบนอบตอผใู หญ เปน็ ตน ๔. ใช้ถ้อยคาในเชิงเปรียบเทียบ อุปมาอุปไมย หรือบุคลาธิษฐาน เชน ลิงไดแกว คางคกขึน้ วก ชกั แมน าํ้ ท้ังหา เปน็ ตน ถาพิจารณาตามโครงสรางภาษิต สํานวน และคําพังเพยของไทยสวนมากประกอบดวย คําไทยแทพยางคแเดียวเรียงอยูเป็นกลุมคํา วลี หรือประโยค ซ่ึงจะไดกลาวตอไปในเร่ืองการแบง ประเภทของภาษติ สาํ นวน และคาํ พังเพย (เรไร ไพรวรรณแ, ๒๕๕๑, หนา ๖๓) ประเภทของภาษิต สานวน และคาพังเพย ประเภทของภาษิต สํานวน และคําพังเพย น้ันนักคติชนวิทยาไดศึกษาและแบงโดยใช เกณฑแในการแบงตาง ๆ กันไปแลวแตจะมุงศึกษาในรายละเอียดแบบใด เชน แบงตามลักษณะคํา สอน แบงตามการเกดิ แบงตามกลวธิ ีการสอน เป็นตน ในทีน่ ้จี ะนาํ มาเสนอเพยี งบางวธิ ี ดังน้ี ๑. แบ่งตามมูลเหตกุ ารณ์เกดิ หรือที่มาของภาษติ สานวน และคาพังเพย การแบงลักษณะนี้โดยการพิจารณาจากมูลเหตุตาง ๆ ที่ทําใหเกิดภาษิตสํานวนขึ้น (บุป ผา บุญทิพย,แ ๒๕๓๑, หนา ๙๕-๙๖) อางใน เรไร ไพรวรรณแ, ๒๕๕๑, หนา ๖๔ ไดแ ก ๑.๑ เกิดจากธรรมชาติ เชน เตาใหญไขกลบ เป็นสํานวน หมายความวา ทําอะไรที่เป็น พิรุธแลวพยายามกลบเกลื่อนไมใหคนอ่ืนรู (สงา กาญจนาคพันธุแ, ๒๕๓๘, หนา ๒๔๑) อางใน เรไร ไพรวรรณ,แ ๒๕๕๑ หนา ๖๔ เป็นธรรมชาติของเตา ใหญ เชน เตาตนุท่ีอยูในทะเล เวลาไขจะคลานเขา มาบนหาดทราย หาทาํ เลท่จี ะวางไขไ ดแลว จะคยุ ทรายเป็นหลุมแลวไข ไขสุดแลวจะเข่ียทรายกลบไว แลวเอาไถทรายใหเรียบเหมือนเดิม เป็นการปูองกันอันตรายใหไข ภาษิต สํานวน และคําพังเพย ท่ี เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ งถนิ่ ชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ ๖ | นายกิติศักด์ิ สขุ วโรดม ผู้เรยี บเรียง ๑๙๓
เกิดจากธรรมชาติมีมาก เชน ตื่นกอนไก ลูกไมหลนไมไกลตน แมลงเมาบินเขากองไฟ ไกแกแมปลา ชอ น นํา้ น่งิ ไหลลึก ววั แกกนิ หญา ออน ฯลฯ ๑.๒ เกิดจากการกระทาของมนุษย์ เชน จุดไตตําตอ หมายความวา พูดหรือทําส่ิงหน่ึง สิ่งใดมาโดนกับผูท่ีเขาเป็นเจาของเร่ืองน้ันเอง หรือตัวเขาเองโดยท่ีคนพูดหรือคนทํานั้นไมรูตัว สํานวนนี้เขาใจวามาจากจุดไตไฟใหสวาง ควรจะเห็นหนทางแลวยังไปปะทะกับตอเขาอีก บางครั้ง เพียงคําส้ัน ๆ วา ตําตอ หรือ ชนตอ นอกจากน้ียังมี แกวงเทาหาเส้ียน ปลูกเรือนครอมตอ ปากวา มือถึง ปิดทองหลังพระ กินขา วตม กระโจมกลาง โกรธหมาดาํ ทําหมาแดง พล้ังปากเสียสนิ พลั้งตีนตก ตน ไม ฯลฯ ๑.๓ เกิดจากอาชีพและส่ิงแวดล้อมในชีวิตประจาวัน เชน ตีวัวกระทบคราดซึ่ง หมายถึงแกลงพูดหรือทําส่ิงหน่ึงใหกระทบกระเทือนไปถึงอีกสิ่งหน่ึง โดยนําคราดกับวัวมา เปรียบเทียบ คราดทําดวยไมเป็นซี่ ๆ มีคันยาว ๆ ใชวัวลากกวาดมูลฝอยเศษหญาตามพื้นดินในนา เวลาจะคราดหญา กต็ วี ัวใหลากคราดไป นอกจากน้ีก็ยังมี วัวหายลอมคอก เกี่ยวแฝกมุงปูา ใกลเกลือ กนิ ดา ง กนหมอยงั ไมทันดาํ ฆาควายอยาเสยี ดายพริก ติเรอื ทง้ั โกลน ฯลฯ ๑.๔ เกิดจากอุบัติเหตุ เชน นําเช่ียวขวางเรือ หมายถึง การขัดขวางเร่ืองหรือเหตุการณแ ท่ีเกิดข้ึนและกําลังเป็นไปอยางรุนแรง ซ่ึงจะเป็นอันตรายตอผูขัดขวาง เปรียบเทียบกับกระแสนํ้าท่ี กาํ ลงั ไหลเช่ียว มีความรุนแรง ถา้ํ เรอื ไปขวางกจ็ ะเกิดอันตรายไดสํานวนอื่น ๆ นอกจากน้ี เชน ดับไฟ แตตน ลม ตกกระไดพลอยโจน กม นกั นกั ชวน ๑.๕ เกิดจากระเบียบแบบแผนประเพณี ความเช่ือ เชน ปลูกฝใง หมายความวา ทําให เป็นหลักฐานม่นั คง ใหตง้ั ตัวไดมีท่มี าจากพธิ ีฝใงทารกแรกเกิด ซ่ึงในสมัยโบราณเม่ือทารกคลอดแลวก็ จะเอารกใสหมอตาลโรยเกลือปิดขางบนครบ ๓ วัน ก็จะทําพิธีฝใงนํามะพราวแทงหนอ ๒ ผลไป พรอมกัน ที่ฝใงรกกําหนดเอาที่ดินแหงหนึ่งในบริเวณบาน ขุดดินฝใงรกแลวเอามะพราวแทงหนอ ๒ ผล ปลูกลงขา ง ๆ หมอรกดวย ท่ีท่ี “ฝใงรก” และ “ปลูกมะพราว” นั้น ตอไปบิดามารดาจะกําหนดให เป็นที่ปลูกเรือนหอของลูกเวลาแตงงาน คําวา “ปลูกฝใง” จึงไดมาจากพิธีปลูกมะพราว และฝใงรกลง ในดินท่ีกําหนด จะยกใหลูกเวลาโตทําใหเป็นหลักฐานต้ังตัวไดมั่นคงตอไป นอกจากน้ียังมีผีซ้ําดํา เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ งถน่ิ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๖ | นายกิตศิ กั ดิ์ สขุ วโรดม ผเู้ รียบเรียง ๑๙๔
พลอย คนตายขายคนเป็น ต่ืนกอนนอนท่ีหลัง ปลูกเรือนตามใจผูอยู มีผัวผิดคิดผิดจนตัวตาย เขา ตามตรอกออกตามประตู กระดกู รองได ฯลฯ ๑.๖ เกิดจากลัทธิศาสนา เชน ตักบาตรถามพระ หมายถึง ใหอะไรแกผูใดก็ไดตองถาม เม่ือจะใหก็ให โดยนําการออกบิณฑบาตของพระมาเปรียบ นอกจากนี้ไดแก ขนทรายเขาวัด ทําคุณ บูชาโทษ กรรมตามทัน ทําดีไดดี ทําชั่วไดช่ัว ไปวัดไปวาได พระมาลัยมาโปรด ผาเหลืองรอน ฯลฯ ๑.๗ เกิดจากความประพฤติ อุปนิสัยของบุคคล เชน ตําขาวสารกรอกหมอ หมายถึง ทําอะไรพอแตใหเสร็จเพยี งคร้ังหนง่ึ ๆ เรอ่ื ย ๆ ไป ในสมัยโบราณไมม ีรานขายขาวารเวลาจะหุงขาวก็ นําขา วเปลอื กทเี่ ก็บไวมาตําเป็นขางสารใหพอหุงกินไปวัน ๆ เทานั้น นอกจากสํานวนน้ีก็มี ยกตนขม ทา น ขีเ้ กียจหลังยาว คมในฝใก น้ําขึน้ ใหร บี ตัก ตํานา้ํ พริกละลายแมน ํา้ ตนี ไมถ อื มือไมต อง ฯลฯ ๑.๘ เกิดจากการละเล่น เชน สูจนยิบตาหรือสูจนเย็นตา ไดมาจาการขนไก หมายถึงสู จนถึงทสี่ ุด สอู ยางไมยอ ทอ สไู มถ อย นอกจากนีก้ ็มี ดูตามาตาเรือ มาจากการเลน หมากรกุ เขา ตาจน มาจากการเลน หมากรกุ จนแตม มาจากหารเลน หมากรุก เสือกนิ ววั ยางสามขุน มาจากการเลนกระบก่ี ระบอง วาวติดลม มาจากการเลน วาว เสยี้ มเขาควายใหชนกัน มาจากการชมควาย ไมตายกค็ างเหลอื ง มาจากการชนไก ชกมวย ๑.๙ เกิดจากนิทาน นิยาย ตานาน เชน กระตายต่ืนตูม เด็กเลี้ยงแกะ ชาวนากับงูเหา กบเลือกนาย ดอกพิกลุ รวง งอมพระราม วาแตเ ขาอเิ หนาเปน็ เอง ตปี ลาหนาไซ ลกู ทรพี ฯลฯ เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ งถิ่น ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๖ | นายกิติศักด์ิ สขุ วโรดม ผู้เรียบเรยี ง ๑๙๕
๑.๑๐ เกิดจากพงศาวดารหรือประวัติศาสตร์ เชน คนรักเทารอยตีนเสือ คนซังคนเบื่อ คนกวางกวาเสื่อรําแพน (พงศาวดารโยนก) ทํามิชอบเขาลอบตนเอง (พงศาวดารเหนือ) ขาวเหลือ เกลืออิ่ม (กฎมณเทียรบาล) เรอื นทานเคยอยู อูทานเคยนอน หมอนทานเคยเรียง เสบียงทานเคยกิน (กฎหมายลักษณะผวั เมีย กรงุ ศรีอยธุ ยา) ๑.๑๑ หมวดเบ็ดเตลด็ อ่นื ๆ ทน่ี อกเหนือจาก ๑๐ ข้อข้างต้น เชน บานเมืองไมมีขื่อไม มีแป มะพรา วหาวยัดปาก เลยี้ งไกกลวั เสยี ร้วั ทํานาออมกลา ฯลฯ ๒. แบ่งตามลักษณะการใช้เสยี ง การแบง ลกั ษณะน้ถี า พจิ ารณาอยางกวาง ๆ แบงภาษิต สํานวน และคําพังเพย ไดเป็น ๒ กลมุ กลุมที่มเี สียงสัมผัส และกลุม ท่ีไมมีเสยี งสมั ผัส ๒.๑ กลุ่มที่มีเสียงสัมผัส คือ พวกที่มีสัมผัสคลองจองกัน เชน เลือกนักมักไดแร สาวไส ใหกากิน พูดดเี ปน็ ศรีแกต วั เป็นตน แบงออกไดเปน็ ๒.๑.๑ สัมผสั สระ เชน ผกู ศอกออกวา เสียดายเกลือเน้ือเนา ชาเป็นการนามเป็นคุณ ซ่อื กินไมหมด คดกินไมนาน รกั ววั ใหผ ูก รักลกู ใหต ี สเี่ ทายังรพู ลาด นักปราชญยแ ังรูพลัง้ เป็นตน ๒.๑.๒ สมั ผสั พยัญชนะ เชน กงกาํ กงเกวยี น ขิงกร็ าขา ก็แรง ยใุ หร าํ ตําใหร วั่ ๒.๒ กลุ่มที่ไม่มีเสียงสัมผัส ไดแก กินนํ้าไมเผ่ือแลง กวาถั่วจะสุกงาก็ไหม ตําน้ําพริก ละลายแมน้ํา สิบรูไมเทาชํานาญ ๓. แบ่งตามลกั ษณะการใชภ้ าพพจน์ ภาพพจนแเป็นคําที่นักวรรณกรรมกําหนดใชตรงกับภาษาอังกฤษวา Figure of speech เร่ิมใชเม่ือ พ.ศ. ๒๔๗๘ หมายถึงการสรางมโนภาพใหเกิดขึ้น โดยอาศัยถอยคําสํานวน (เรไร ไพรวรรณ,แ ๒๕๕๑, หนา ๖๖) แบง ภาษติ สํานวน และคาํ พังเพย ในลักษณะนี้ไดแ ก ๓.๑ แบบอุปมา เป็นภาษิต สํานวน และคําพังเพย ที่นําสิ่งตาง ๆ มาอางเปรียบโดยจะ ใชค ําวา เหมอื น อยาง ดงั ราวกบั หรอื ยงั กะ เป็นคาํ เชือ่ ในการเปรียบเทยี บ เชน ทาํ งานเหมอื นหมาเลียน้ํารอน หมายถึง ทาํ งานไมเรยี บรอย ไวใจไมไ ด เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ งถิ่น ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๖ | นายกิติศกั ด์ิ สขุ วโรดม ผู้เรียบเรยี ง ๑๙๖
ยงุ เหมือนยุงตกี นั หมายถงึ ยุงเหยิง สับสนปนเป ยงุ เหมอื นลิงแกแ ห ใจยังกะดินประสิว หมายถงึ วูวามโมโหฉนุ เฉยี วงาย เดือนยังกะจบั มด หมายถึง เดือนหงายแจม สวางเต็มที่ จนแทบจะจบั มดตัวเล็ก ๆ ได ถอยหลังเหมือนกงุ หมายถึง ข้ีขลาด เวลาไปเหมอื นไกจ ะบิน หมายถึง แสดงอาการเรงิ ราที่จะไดไป เจ฿กปราศรยั เหมอื นไทยตีกนั หมายถงึ เสียงดังเหมือนกบั คนไทยทะเลาะววิ าทกัน วาจาเหมือนงาชา ง หมายถึง พดู แลว ไมคืนคาํ ๓.๒ แบบอุปลักษณ์ ภาษิต สํานวน และคําพังเพย ลักษณะน้ีจะมีการเปรียบเทียบ คลา ยกับอปุ มา ตางกันตรงที่ไมม ีคําเชอื่ ม แตจ ะนําเอาลกั ษณะเดนของสิ่งน้ันมาใชเพ่ือชักจูงความคิด ใหเปรียบเทียบในสิ่งที่ตองการจะกลาวถึง เชน หมาเห็นขาวเปลือก หมายความวา เห็นแลวชอบแต ไมส ามารถจะไดสมหวงั อาจจะเปน็ ดว ยฐานะต่ํากวาเปรียบไดกับหมาเห็นขาวเปลือกจะกินไมได ตีน แมว เรยี กพวกหวั ขโมยซึง่ มฝี ีเทา เบาเหมือนแมว นอกจากน้เี ชน ดอกฟาู กบั หมาวัด จระเขขวางคลอง คางคดขึ้นวอ หมูไมกลัวน้ํารอน วัวแกกินหญาออน ไกออน อยาเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ นํ้าตาล ใกลม ด หนูตกถงั ขา วสาร เปน็ ตน ๓.๓ แบบบคุ ลาธิษฐาน คือ การนําส่ิงไมมีชีวิตหรือนามธรรมกลาวถึงเหมือนเป็นบุคคล ที่มีชีวิต เชน ปากมีหูประตูมีชอง ขาวรักนา กระดูกรองไห ฝนสั่งฟูาปลาสั่งนํ้า อาสนแรอน นํ้าส่ังฟูา ปลาส่ังฝน นา้ํ ใสใจจริง ฝามหี ูประตูมีตา เป็นตน ๓.๔ แบบอธิพจน์ หรือ ภาพพจนแเกินจริง เชน อกไหมไสขม พูดน้ําไหลไฟดับ เอาหัว เดินตางตีน อยูในปากเสือปากหมี หูอยูนาตาอยูไร เสียงเทาฟูาหนาเทากลอง เสนผมบังภูเขา พลิก แผนดิน เคียวอยใู นทอ ง เป็นตน ๓.๕ แบบนามนัย คือ การเปรียบเทียบโดยใชสวนยอยแทนสวนรวมท้ังหมดหรือแทน ความคิดท้ังหมดที่มีความสัมพันธแกัน อยางเชน ขาวเหลือเกลืออิ่ม หมายถึง บานเมืองอุดมสมบูรณแ เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ งถิน่ ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๖ | นายกติ ิศักดิ์ สขุ วโรดม ผู้เรยี บเรียง ๑๙๗
ดวยขา วปลาอาหาร นอกจากน้ี เชน ในนํา้ มีปลา ในนามีขาว ขาวยากหมากแพง หมอบราบคาบแกว อุนหนาฝาคั่ง เปน็ ตน ๓.๖ แบบเลน่ เสียงและจงั หวะ คือ มเี สียงสมั ผัสและจงั หวะ เชน ขิงก็ราขาก็แรง ยุใหรํา ตําใหร่วั รกั ยาวใหบ ่ัน รกั สนั้ ใหตอ คบคนใหดูหนา ซื้อผาใหดูเน้ือ ช่ัวชางชี ดีชางสงฆแ ชาติเสือตองไว ลาย ชาตชิ ายตอ งไวชอ่ื คบั ทอ่ี ยูได คบั ใจอยูย าก เปน็ ตน ๔. แบ่งตามโครงสร้าง ภาษิต สํานวน และคาํ พังเพย มโี ครงสรางเป็นคํา วลี และประโยค ดงั น้ี ๔.๑ คํา ภาษิต สํานวน และคําพังเพย ท่ีมีการโครงสรางเป็นคํามีท้ังท่ีเป็นพยางคแเดียว หรอื คําหลายพยางคแ เชน คา หมายถงึ เตา เชอื่ งชา งุม งา ม หมู งา ย สะดวก อว น สกปรก เสือ ดุรา ย มีอาํ นาจ กลว ย งาย เจว็ด มแี ตตําแหนง ไมมี อํานาจ ไมมใี ครนับถอื การฝาก แฝงกินอยกู บั ผอู นื่ โดย ไมทาํ ประโยชนอแ ะไรให ปลาไหล ลืน่ จับไมอยู เอาตวั รอดไปไดเร่ือย ๆ นกกระปดู ชอบพดู แพรงพราย ความลับ ๔.๒ วลี ถาพจิ ารณาตามโครงสรา งลักษณะน้ีอาจแบงไดเ ปน็ เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทองถนิ่ ช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ ๖ | นายกิติศกั ดิ์ สขุ วโรดม ผูเ้ รยี บเรยี ง ๑๙๘
๔.๒.๑ นามวลี เชน ชางเทา หนา ไกแ กแ มป ลาไหล ผูตแี ปดสาแหรก ทาสในเรือนเบี้ย ทองแผน เดยี วกนั หมาหางดว น ขม้ินกับปูน เปน็ ตน ๔.๒.๒ กรยิ าวลี เชน ตกั น้ํารดหัวตอ กินทิพยแ เขา ขา ขอไปที คดิ บญั ชี โงเงาเตาตุม ดู ดาย เปน็ ตน ๔.๒.๓ วเิ ศษณวแ ลี เชน ตีแตก ดําเป็นเหนี่ยง งามหนา ขาวเป็นไขปอก มากหมอมาก ความ ขาวเป็นสําลเี ม็ดใน ดําเป็นตอตะโก ไกลปนื เทีย่ ง เปน็ ตน ๔.๓ ประโยค ภาษิต สํานวน และคําพังเพย ที่มีโครงสรางเป็นประโยคมีลักษณะตาง ๆ ดังนี้ (เรไร ไพรวรรณแ, ๒๕๕๑, หนา ๖๘) ๔.๓.๑ ประโยคเดียวหรือเอกรรถประโยค เชน อยา งางภูเขา หมกี นิ ผงึ่ ๔.๓.๒ ประโยคละประธาน เชน เขา ปาุ อยา เสยี เหมือง เขาเมืองอยา งเสยี ขนุ ไปุพบววั อยา ฟ่ในเชือก ไปเู หน็ เรือกอยา ตัง้ รา น ไมเ หน็ นาํ้ ตดั กระบอก ไมเหน็ กระรอกโกง หนาไม ๔.๓.๓ มีคาํ วา “อยา” อยรู ะหวางประโยค เชน ววั ไมก ินหญาอยาขมเขา ตัวเป็นไทยอยา คบทาส ตวั เปน็ ปราชญอแ ยา คบคนพาล เป็นตน ๔.๓.๔. มีคําวา “มัก” อยูระหวางประโยค เชน กลานักมักบ่ิน ด้ินนักมักเจ็บ ทุกขแนักมัก เศรา เป็นตน ๔.๓.๕ มคี าํ วา “ให” อยูระหวา งประโยค เชน เขยี นเสือใหวัวกลัว รักยาวใหบ่ัน รักส้ันให ตอ ดกั ลอบใหหมน่ั กู เจาชใู หหมน่ั เกี้ยว เปน็ ตน ๔.๓.๖ แบบอเนกรรถประโยคทมี่ คี ําซํา้ กัน เชน ซาํ้ คาํ ท่ี ๑ ของแตล ะประโยค เชน เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทองถ่ิน ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๖ | นายกิตศิ ักดิ์ สขุ วโรดม ผู้เรยี บเรียง ๑๙๙
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223