Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ความหมายของวรรณกรรมท้องถิ่น ๑.๒.๓

ความหมายของวรรณกรรมท้องถิ่น ๑.๒.๓

Published by กิติศักดิ์ ส., 2019-04-22 04:34:53

Description: ความหมายของวรรณกรรมท้องถิ่น ๑.๒.๓

Search

Read the Text Version

พระขัณฑกุมารตอบได฾ว฽า ศรีของคนตอนเช฾าอยู฽ที่ใบหน฾า ศรีตอนกลางวันอยู฽จะอยู฽ที่ร฽างกาย และ ตอนเย็นจะอย฽ูท่เี ทา฾ ท฾าวมหาพรหมจึงต฾องตัดศีรษะตนเองให฾พระธิดาทั้งเจ็ดผลัดเปล่ียนกันทูนไว฾บน พาน เดินทางไปรอบ ๆ โลกในแตล฽ ะปี ในนิทานไทยหลายเรื่องก็ใช฾ปริศนาคําทายมาเป็นส฽วนช฽วยในการดําเนินเร่ือง เช฽น เรื่องนก กระจาบ หรอื สรรพสทิ ธิชาดก เรื่องมวี า฽ นางสุวรรณเกสร พระธิดาท฾าวพระพรหมทัตไม฽ยอมพูดกับผู฾ชายคนใด แม฾แต฽พระบิดาของ นาง ท฾าวพรหมทัตจึงประกาศว฽า หากชายคนใดทําให฾พระธิดาพูดด฾วยก็จะยกพระธิดาให฾ พระสรรพ สิทธิและพี่เลี้ยงเรียนวิชาถอดดวงใจสําเร็จ จึงมาอาสาท฾าวพรหมทัตโดยพระสรรพสิทธิจะอยู฽ที่หน฾า ประตหู ฾องบรรทมของพระธิดา ถ฾าพระธิดาพูดด฾วยเม่ือใด ก็ให฾พนักงานประโคมดนตรีขึ้น พระสรรพ สิทธจิ ึงให฾พ่เี ลย้ี งถอดดวงใจไปไวท฾ ี่ประตูห฾องบรรทมและพระสรรพสิทธิก็สนทนากับประตู ทําให฾นาง สุวรรณเกสรประหลาดใจ จึงตั้งใจที่ฟใงบทสนทนานั้น พระสรรพสิทธิจึงเล฽าเร่ืองว฽ามีชายสี่คนเป็น เพื่อนกนั คนหนึ่งมคี วามร฾ทู างทํานายโชคชะตาและเหตุการณแ อีกคนหนึ่งเป็นนักแม฽นธนู อีกคนหนึ่ง เปน็ นักประดานํา้ และคนท่ีส่ีสามารถชุบชีวิตคนตายให฾ฟ้ืนได฾ วันหน่ึงคนเป็นหมอดูทํานายว฽าจะมีนก อินทรีคาบหญิงสาวบินผ฽านมา ทันใดน้ันก็มีนกอินทรีคาบหญิงสาวบินผ฽านมาจริง ๆ ชายคนแม฽นธนู จึงยงิ ธนถู ูกนกอินทรี นกอนิ ทรจี งึ ปล฽อยนางตกจมลงไปในนํ้า ชายคนดําน้ําเก฽งจึงลงไปอุ฾มนางข้ึน แต฽ นางเสียชีวิตแล฾ว ชายคนท่ีสี่จึงต฾องชุบชีวิตนางขึ้นมา เมื่อนางฟ้ืนข้ึนมา ชายทั้งสี่ต฽างแย฽งจะเอานาง เปน็ ภรรยา เม่ือเล฽าถึงตอนน้ี พระสรรพสทิ ธกิ ต็ ง้ั คาํ ถามถามประตวู า฽ ชายคนใดควรได฾นางเป็นภรรยา ประตจู งึ แกล฾งตอบว฽า ชายคนเปน็ หมอดคู วรได฾นางเป็นภรรยาเพราะรู฾ว฽านกจะพานางผ฽านมาเป็นคน แรก นางสุวรรณเกสรซ่ึงฟใงเร่ืองตลอด ก็หลงหลพระสรรพสิทธิพูดค฾านว฽า นางผู฾นั้นสําควรเป็น ภรรยานกั ประดานา้ํ ดว฾ ยเปน็ ชายคนเดียวท่ีถูกเนื้อต฾องตัวนาง ขณะน้ันพนักงานดนตรีประโคมดนตรี ขึน้ เพราะพระสรรพสทิ ธิใช฾วธิ ตี งั้ คาํ ถามทํานองนห้ี ลายคร้ัง และนางสวุ รรณเกสรก็หลงกลตอบทุกครั้ง ทา฾ วพรหมทัตจงึ ยกนางให฾แกพ฽ ระสรรพสทิ ธิ เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ฾ งถ่นิ ช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี ๖ | นายกิตศิ ักดิ์ สขุ วโรดม ผูเ้ รียบเรียง ๑๕๐

ปริศนาคําทายนี้ไม฽ใช฽จะนิยมกันในกลุ฽มท฾องถิ่นเท฽านั้น แม฾ในราชสําคัญก็นิยมกัน เช฽น ใน รัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล฾าเจ฾าอย฽ูหัวโปรดการเล฽นปริศนาคําทายมาก ดังบทพระราช นิพนธปแ ริศนาคาํ ทายวา฽ ใครเอ฽ยแต฽เดก็ กลา฾ รบแรง พอ฽ ออกนามวา฽ แขง เศกิ ไซร฾ เป็นขนุ จ่งึ จัดแจง จาฤก ประวตั ิของตนไว฾ คด฽ู ฾าวแดนตน คาํ ตอบของปริศนาคําทายน้ี คือ พอ฽ ขุนรามคาํ แหง พระองคทแ รงมีความกล฾าหาญ ทรงชนช฾าง ชนะขุนสามชน เจา฾ เมืองฉอด จนได฾รับนามว฽า “รามคําแหง” และเมื่อขึ้นครองราชยแแล฾วก็ทรงบันทึก พระราชประวตั ขิ องพระองคไแ ว฾ในศิลาจารึก การเล฽นปริศนาคําทายยังได฾รับความนิยมอยู฽ในทุกท฾องถ่ินของไทย เพราะคนไทยชอบลอง ภูมปิ ใญญา แม฾ในรายการบันเทิงทางโทรทศั นแหลายรายการก็ใช฾ปริศนาคําทายทั้งด฾วยคําพูด ด฾วยภาพ และด฾วยท฽าทาง อีกทั้งผ฾ูทายปใญหายังสามารถคิดปริศนาคําทายใหม฽ ๆ ได฾ ทําให฾ปริศนาคําทายมี วิวัฒนาการอย฽เู สมอ (ประคอง เจริญจิตรกรรม, ๒๕๓๙, หนา฾ ๓๓-๓๕) การเล฽นปริศนานั้นในขั้นแรกทรงเรียกว฽า “ผะหมี” เป็นภาษาจีนตามคําอธิบายของพระเจน จีนอักษรว฽า “ผะ” แปลว฽า ตี “หมี” แปลว฽า คําอําพราง ก็คือ การแก฾ปใญหาหรือการตีคําอําพรางให฾ ชดั เจน การเลน฽ ผะหมนี ้ีแพร฽หลายในหมนู฽ ักปราชญรแ าชบณั ฑิตและกวีในประเทศจีนถือกันว฽าเป็นการ ประลองปใญญาและฝกึ สมอง การเล฽นชนดิ นี้เรียกว฽าได฾อีกอย฽างหน่ึงว฽า “เต็งหมี” คําว฽า “เต็ง” แปลว฽า สว฽าง หรือโคมเตง็ หมี หมายถึง แสงสวา฽ งหรือโคมสอ฽ งใหเ฾ ห็นคําอาํ พรางไว฾นน่ั เอง ต฽อมาภายหลังได฾โปรดให฾เรียกการเล฽นชนิดดังกล฽าวข฾างต฾นว฽า “ทายปริศนา” ทรงพระราช นิพนธแไว฾จํานวนมาก เป็นโคลงบ฾าง ร฾อยแก฾วบ฾าง โคลงปริศนาน้ันเป็นปใญหาความรู฾เป็นส฽วนมาก เกี่ยวกับประวัติศาสตรแ บุคคลสําคัญ เช฽น พระมหากษัตริยแ วีรชนของชาติ ข฾าราชการในตําแหน฽ง สําคัญ กล฽าวถึงสถานที่ เช฽น วัด เมือง นอกจากน้ีก็ยังมีเกี่ยวกับความรู฾เรื่องวรรณคดีและตัวละคร สําคัญที่รู฾จักกันแพร฽หลายอีกด฾วย ส฽วนพระราชนิพนธแปริศนาความเรียงนั้น เป็นคําศัพทแบ฾าง เป็น เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ฾ งถ่ิน ช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี ๖ | นายกติ ศิ กั ด์ิ สขุ วโรดม ผ้เู รียบเรียง ๑๕๑

ปใญหาเชาวแบ฾าง และความรู฾รอบตัวต฽าง ๆ พระราชนิพนธแปริศนานั้น ไพเราะคมคายน฽าอ฽าน (สง฽า วงคแไชย, “ปริศนาคําทาย” เอกสารประกอบการสอนรายวิชา CTH3108 (TL217) ภูมิปใญญาทางภาษา กบั การสอน, คณะศกึ ษาศาสตรแ มหาวิทยาลยั รามคําแหง) ลักษณะของปริศนาคาทาย ปรศิ นาคําทายมักเปน็ ขอ฾ ความส้นั ๆ ลักษณะการเรียบเรียงถ฾อยคําส฽วนใหญ฽เป็นคําคล฾องจอง เพื่อให฾จดจําง฽าย ส฽วนประกอบสําคัญท่ีขาดไม฽ได฾ คือ คําถาม เพราะการทายก็คือ การถามให฾ตอบ คําถามส฽วนใหญ฽จะต้ังเอาไว฾ก฽อน มีคําหรือเน้ือความท่ีจะให฾ทาย เช฽น อะไรเอ฽ย (ภาคกลาง) อะหยังเกา฿ ะ (ภาคเหนือ) ไอ฾ไหรหา (ภาคใต฾) (เรไร ไพรวรรณแ, ๒๕๕๑, หน฾า ๘๙) ลกั ษณะการตงั้ คาถามของปรศิ นาคาทาย ปริศนาคําทายของไทย มักใช฾ถ฾อยคําง฽าย ๆ บางครั้งก็เป็นเพียงคําหรือวลีที่สั้น ๆ เพื่อสื่อ ความเข฾าใจอยา฽ งรวดเรว็ บางครั้งถึงจะมีการเล฽าเรื่อง เร่ืองที่เล฽าก็จะต฾องสั้น เช฽น มีนกอย฽ูสามตัว ตัว แรกเกาะทยี่ อดไม฾ ตัวที่สองเกาะท่ีโคนไม฾ แล฾วตัวท่ีสาม เกาะอย฽ูท่ีไหน เฉลย คือ เกาะอยู฽กลางทะเล โดยอาศัยหลกั การพอ฾ งรปู และพอ฾ งเสยี งของคาํ ในภาษาไทยใช฾ในการตงั คาํ ถามของปริศนาคําทาย ลักษณะอกี ประการของการตั้งคําถามปรศิ นาคําทาย ก็คือ จะต฾องมีตัวคําถามท่ีอาจจะอยู฽ต฾น ประโยคกอ฽ นถงึ ปริศนา เชน฽ อะไรเอ฽ย สี่ตนี เดินมา หลังคามุงกระเบ้ือง หรือ อาจจะอยู฽ตรงกลางของ ปรศิ นาคําทาย เช฽น พระอะไรเอย฽ จบั ผ฾ูหญงิ ได฾ เฉลย พระเอก หรืออาจจะอยู฽ท฾ายปริศนาคําทายก็ได฾ เชน฽ กาเกาะตน฾ ไม฾อยู฽ ๕ ตัว ถูกยิงตายไป ๑ ตวั เหลือกาเกาะตอ฾ นไมอ฾ ย฽ูกต่ี วั เฉลย ไม฽เหลือกาอย฽ูเลย เพราะกาตกใจเสยี งปนื คําท่ีใช฾ทายจะใช฾ภาษาธรรมดาในท฾องถิ่น ไม฽ใช฽ศัพทแสูงมากนัก เช฽น ใช฾ ตีน กิน เท่ียว ฯลฯ เพ่ือให฾ผ฾ูฟใงเขา฾ ใจคาํ ถามไดอ฾ ยา฽ งรวดเรว็ ลักษณะเฉพาะของปริศนาคาทาย ๑. ปริศนาคาทายไทย นิยมใช้คาคล้องจอง อันแสดงถึงลักษณะความเป็นคนเจ฾าบทเจ฾า กลอนของคนไทย อกี ทั้งยังช฽วยให฾จดจําง฽ายทําให฾สามารถเล฽าสืบทอดกันได฾อย฽างสะดวก เช฽น ตํ่าเต้ีย เรย่ี ดนิ ไม฽ขึ้นไม฽ได฾กิน เฉลย กระต฽ายขูดมะพร฾าว ในบทนี้มีทั้งสัมผัสพยัญชนะ คือ “ต่ํากับเต้ีย” และ เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมท฾องถ่ิน ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี ๖ | นายกติ ิศกั ด์ิ สขุ วโรดม ผู้เรยี บเรยี ง ๑๕๒

สมั ผัสสระ คอื “เตย้ี กับเร่ีย ไม฽กับได฾ ดินกบั กิน” หรือในบทว฽า นํ้าทุ฽งน฾อย ห฾องปลาหลัก ตักเตเมบ฽ตัก ก็เตเม เฉลย มะพร฾าว ก็มีท้ังสัมผัสสระและพยัญชนะ เช฽นเดียวกัน ทําให฾เกิดการคล฾องจองไพเราะ จดจํางา฽ ย ๒. ปริศนาคาทายของไทย ไม่นิยมถามตรง ๆ แต฽จะใช฾สิ่งเปรียบเทียบ อันแสดงถึง จนิ ตนาการและความรอบรูข฾ องคนในทอ฾ งถิ่นท่ีจะนําธรรมชาติของสิ่งต฽าง ๆ มาตั้งคําถามให฾เข฾าใจได฾ เช฽น ไอไ฾ หรหา นกกดตาแดง น้ําแห฾งตาย เฉลย ตะเกียง หรือ อะไรเอ฽ย หน฾าตํา ฟในขาว เหมือนชาว นิโกร ตะโกก฾ ็ไมใ฽ ช฽ เฉลย ขนมเปยี กปูน ๓. ท้ายปริศนาคาทายมักมีการท้าทายให้ผู้ไขปริศนาพยายามคิด นับเป็นจิตวิทยาท่ีจะจูง ใจให฾คนกระตือรือร฾นในการแก฾ปริศนา เช฽น ยิบ ๆ เหมือนไข฽ปูนา ใครไม฽มีปใญญา ไข฽ไม฽ออก เฉลย ตัวหนังสอื (ประคอง เจรญิ จิตรกรรม, ๒๕๓๙, หน฾า ๔๐-๔๑) นอกจากลกั ษณะดงั กลา฽ วแล฾ว จะพบว฽าปริศนาคาํ ทายมีลกั ษณะที่สังเกตพบได฾ดงั น้ี ๑. ส่วนประกอบ ปริศนาคําทายส฽วนใหญ฽จะมีส฽วนประกอบ ๓ ส฽วน คือ ส฽วนประกอบ ตอนตน฾ หรือส฽วนนาํ ส฽วนเน้ือหา และสว฽ นประกอบตอนทา฾ ย ๑.๑ ส่วนประกอบตอนต้นหรือส่วนนา คือ ส฽วนเร่ิมต฾นที่มีคําถามซ่ึงอาจจะใช฾ถ฾อยคํา แตกต฽างกันออกไปตามท฾องถ่ิน คือ คําทายของภาคกลาง จะขึ้นต฾นว฽า อะไรเอ่ย ภาคใต฾ใช฾ว฽า ไอ้ ไหรหา ภาคเหนือจะขนึ้ ต฾นวา฽ อะหยังเก๊าะ และภาคอสี านจะข้นึ ต฾นว฽า แม่นหยัง หรือ แม่นหยังเอ่ย เชน฽  อะไรเอย฽ นัง่ บนตอ หวั รอ฽ คร่กั ๆ (หม฾าข฾าวเดอื ด)  อะหยังเกา฿ ะ เมอ่ื น฾อยน฽ุงเสอื้ ยาว เป็นสาวน฽งุ เสอ้ื ก฾อม (มะเขือ)  ไอ฾ไหรหา ไม฽มแี คง฾ ไมม฽ ีขา เวลาไปมาใช฾ปากเดิน (หอย)  แม฽นหยัง หอ฾ ยอย฽ูหลัก ตกั กะเต็ม บอ฽ ตักกะเตม็ (มะพรา฾ ว) สว฽ นเรมิ่ ตน฾ ทเ่ี ป็นคาํ ถามนีใ้ นบางคร้งั อาจจะอยู฽ในสว฽ นกลางหรือส฽วนทา฾ ย เช฽น  อะไรเอ฽ย ชูคอ (ชะเง฾อ)  นํา้ บ฽ฮู฾ตก แม฾นหยงั (น้ําคา฾ ง) เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ฾ งถิน่ ชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ ๖ | นายกติ ิศักด์ิ สขุ วโรดม ผ้เู รยี บเรยี ง ๑๕๓

๑.๒ส่วนประกอบตรงกลางหรือส่วนเน้ือหา คือ ส฽วนที่เป็นปริศนาซึ่งจะบอก รายละเอียดของส่ิงท่ีทาย อาจจะเน฾นที่รูปร฽าง ลักษณะ ประโยชนแใช฾สอย หรือลักษณะกิริยาอาการ ต฽าง ๆ ของส่ิงทีเ่ ป็นตวั ปริศนาท่นี าํ มาเปน็ คาํ ทาย เชน฽  อะไรเอ฽ย มีฟนใ มากมาย แตก฽ นิ อะไรไมไ฽ ด฾ (หวี)  อะไรเอ฽ย ชาวนาก็ไม฽ใช฽ ชาวไร฽ก็ไม฽เชิง หว฽านพืชไม฽ได฾ หนีตํารวจเปิดเปิง (คน เล฽นถัว่ )  อะไรเอ฽ย ออกลูกไปแล฾วไมก฽ ลับ (ลูกกระสนุ ปนื ) ๑.๓ ส่วนท้ายคือส่วนท่ีจะใบ้คาตอบเพ่ือเร่งเร้าให้ผู้ทายตอบป๎ญหา ซึ่งอาจจะมี หรือไมม฽ ีก็ได฾ ในบางปรศิ นาอาจจะบอกไวต฾ อนตน฾ ก็ได฾ เช฽น  อะไรเอ฽ย ตน฾ เทา฽ ลาํ เรือใบก฽อเกลือไม฽มิด (มะขาม)  อะไรเอย฽ ไม฽ใชค฽ น ไม฽ใช฽สตั วแ เอาขากัดแทนปาก (กรรไกร) ๒. ลกั ษณะการใช้เสยี งสัมผัส การใชถ฾ ฾อยคําในปรศิ นาคาํ ทาย มักจะเป็นคําคล฾องจอง มีสัมผัส เลน฽ เสียงเล฽นคําต฽าง ๆ กนั กลา฽ วโดยสรุปไดด฾ ังน้ี ๒.๑ สมั ผัสสระ เชน฽  อะไรเอย฽ ผกั สบี่ าทพาดขา฾ งร้ัว (ผกั ตําลึง)  อะไรเอย฽ ตน฾ เทา฽ ขาใบวาเดยี ว (ตน฾ กลว฾ ย)  อะไรเอย฽ มาจากเมอื งจีน ยกตีนให฾คนดู (งิ้ว) ๒.๒ เสยี งพยญั ชนะ เชน฽  อะไรเอ฽ย เปดิ ฉบั ใสฉ฽ บุ ปิดปุบฺ เดนิ ปใ๊บ (พระบิณฑบาต)  อะไรเอ฽ย เพชรฉลูมีหูมีปาก เพชรฉลากมีปากท่ีท฾อง เพชรชะล฽องมีท฾องข฾าง หลงั (กระทะ กบไสไม฾ นอ฽ งคน) เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมท฾องถนิ่ ช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ ๖ | นายกติ ศิ ักด์ิ สขุ วโรดม ผเู้ รียบเรียง ๑๕๔

๒.๓ การซ้าคา เช฽น  อะไรเอ฽ย อย฽ูดินกินหญ฾า อย฽ูฟูากินลม อยู฽ทะเลกินขี้ตม ชื่อเดียวกัน (ม฾า ดาว มา฾ ปูมา฾ )  อะไรเอ฽ย ยายจํายาย แม฽ฉันตายตั้งแต฽ยายยังไม฽เกิด ยายลองคิดดูเถิดว฽าฉัน เกดิ ก฽อนยาย (ฝูาย)  อะหยงั เก฿าะ ขา฾ วซะปะฺ ว฽าข฾าว หมาบก฽ ิ๋น (ขา฾ วหมิ้นหรอื ขม้นิ ) ๓. ลักษณะการใช้คาเปรียบเทียบ ปริศนาคําทายจะใช฾ถ฾อยคําสํานวนเปรียบเทียบมากกว฽า การถามอย฽างตรงไปตรงมา ท้ังนีเ้ พื่อใหผ฾ ู฾ทายได฾ใชค฾ วามคดิ เชน฽  ไอไ฾ หรหา อยใ฽ู นรม฽ เทา฽ แข฾ง ออกกลางแจ฾งเท฽าดัง (รม฽ )  อะไรเอ฽ย เขียวเหมือนพระอินทรแ บินเหมือนนก ศรปใกอก นกก็ไม฽ใช฽ (แมลง ทับ)  อะไรเอ฽ย ดํามิดหมี ยงิ่ ตยี ิง่ กดั ดําเหมอื นหมัด ย่ิงกัดยิง่ ตี (สิ่ง กบั คอ฾ น) ๔. ลักษณะโครงสร้างของปริศนาคาทาย มักจะเป็นวลี หรือประโยคง฽าย ๆ ซึ่งมักจะละ ประธานของประธาน เช฽น  ไอ฾ไหรหา หนา฾ สัน้ ฟในขาว ทางยาวที่สุด ไคท฾ายไมโ฽ ถก ไมใ฽ ช฽โลกมนษุ ยแ (จอบ)  อะไรเอย฽ สูงกว฽าน้าํ ต่าํ กว฽าเรอื (บัว ใบบวั )  อะไรเอ฽ย ยงิ่ ตัดยงิ่ ยาว (ถนน)  อะไรเอย฽ มาจากเมืองอังกฤษ มฤี ทธิ์ทห่ี ัว (ไม฾ขีด)  อะไรเอย฽ ไมม฽ กี ระดูกแตล฽ กุ ได฾ (ขน)  อะไรเอ฽ย จับหางวางทา฽ อ฾าปากทันที (ชอ฾ นสอ฾ ม) ๕. ลักษณะเป็นเร่ืองเล่า ในบางครัง้ ปริศนาคาํ ทายอาจผูกเป็นเรื่องเล฽าสั้น ๆ ตอนท฾ายเรื่องผูก ปมปรศิ นาใหผ฾ ฾ฟู ใงแก฾ปใญหา เชน฽ เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ฾ งถน่ิ ชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี ๖ | นายกติ ศิ กั ดิ์ สขุ วโรดม ผู้เรยี บเรียง ๑๕๕

นายพรานคนหนึ่ง ยิงกวางในปุา แล฾วเดินตามกวางมาเห็นฤๅษี ฤๅษีเห็นกวางแล฾ว นายพรานถามว฽า นั่งตรงนี้เห็นกวางไปทางไหน ถ฾าฤๅษีบอกฤๅษีก็บาป ถ฾าไม฽บอกก็โกหก ฤๅษีจะทํา อย฽างไร (ลุกเปลี่ยนทีน่ ั่งแลว฾ ตอบว฽า น่งั ตรงน้ีไม฽เห็นกวาง) ลักษณะเปน็ เรอ่ื งส้นั พบไมบ฽ อ฽ ยนัก และในบางครงั้ คาํ ไขจะเป็นเรือ่ งสองแงส฽ องง฽าม ประเภทของปริศนาคาทาย การแบ฽งปริศนาคําทายอาจแบ฽งได฾หลายวิธี แล฾วแต฽จะม฽ุงศึกษาหรือใช฾เกณฑแใดการพิจารณา แบ฽งประเภท เช฽น แบ฽งตามลักษณะโครงสร฾างหรือรูปแบบ แบ฽งตามเนื้อหาของปริศนาคําทาย เป็น ต฾น ถา฾ พจิ ารณาอย฽างกวา฾ ง ๆ เราอาจจะใช฾เกณฑใแ นการแบง฽ ปรศิ นาคาํ ทายเป็น ๒ เกณฑแ คอื ๑. การแบ่งโดยใช้คาถามหรือตวั ปริศนาเปน็ เกณฑ์ ๒. การแบ่งโดยใช้คาตอบหรอื คาไขเป็นเกณฑ์ การแบง่ โดยใช้คาถามหรือตัวปริศนาเป็นเกณฑ์ การจัดแบ฽งประเภทปริศนาในลักษณะนี้ นพคุณ คุณาชีวะ, ๒๕๑๙, หน฾า ๙-๗๐ อ฾างใน (เรไร ไพรวรรณ,แ ๒๕๕๑, หนา฾ ๙๒) ได฾ศึกษาแนวคดิ และวิธกี ารจัดหมวดหม฽ูปริศนาของ อารแเซอรแ เทเลอรแ ผ฾ูเขียนหนังสือเร่ืองปริศนาภาษาอังกฤษตามประเพณีมุขปาฐะ ซึ่งแบ฽งตามลักษณะคําถาม ออกเป็น ๒๒ หมวดหมู฽ใหญ฽ แต฽ละหมวดก็แบ฽งเป็นประเภทย฽อย ๆ อีกหลายประเภท พร฾อมด฾วย คาํ อธิบายระบบการจดั หมวดแต฽ละประเภทน้ัน นพคุณ คุณาชีวะ ได฾เพิ่มปริศนาที่เกี่ยวกับภาษาไทย เป็นหมวดพิเศษอีกหมวดหน่ึงรวมเป็น ๑๒ หมวด การแบ฽งวิธีน้ีเป็นที่ยอมรับและใช฾เป็นแนวใน การศึกษาปรศิ นาของไทยรายละเอยี ดการแบ฽งกลา฽ วโดยสรุปไดด฾ ังนี้ ๑. เปรียบกับส่ิงที่มีชีวิต ลักษณะคําถามจะเปรียบสิ่งท่ีต฾องการทายกับสิ่งที่มีชีวิตท่ีไม฽ ทราบแน฽ชดั วา฽ เป็น คน หรอื สัตวแ เชน฽ เปรียบกับส฽วนหัว ส฽วนขา เป็นต฾น ปริศนาหมวดนี้แบ฽งเป็น ๓ ประเภท คือ ๑.๑ สว่ นทเี่ กีย่ วกบั รูป เช฽น เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ฾ งถิน่ ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ ๖ | นายกติ ิศกั ด์ิ สขุ วโรดม ผู้เรยี บเรียง ๑๕๖

ชนดิ ทมี่ สี ว฽ นหนงึ่ แต฽ขาดส฽วนหน่ึง ไม฾คาน มปี ากไม฽มีฟนใ กินข฾าวทุกวันได฾มากกวา฽ คน หมอ฾ ข฾าว การลบั มีดและ การล฾างบาตร ชนดิ ทขี่ าดหลายสว฽ น ไม฽มคี อไม฽มีหัว มแี ตห฽ น฾า ถึงเวลาตไี ดต฾ เี อา กลอง แว฽นตา ชนดิ ทร่ี ปู ผดิ ปกติ ภาคเหนอื หวั สองหัว ตัว๋ มตี ัว๋ เดยี ว ทาํ หัวบ฽าหนิ เอาติ๋นออกล฾างตอ฿ ง ภาคอีสาน สองหูสีต่ า เบือ่ นกั หนาเอาขาไวท฾ ห่ี ู ๑.๒ ส่วนท่ีเกี่ยวกับอาการ เช฽น ควนั ไฟ สุนขั ภาคกลาง เกิดเพราะไฟ สลายเพราะลม วงิ่ โทง ๆ มธี งข฾างหลัง ฟาู ร฾อง มุ฾ง ชอบมากบั ฝน เวลาอยู฽ข฾างบนรอ฾ งเสียงดงั ภาคเหนอื เมอ่ื คืนบาน เมือ่ วันเกิด แห หอย ภาคใต฾ มลี กู ต้ขี า มตี าํ รอบตัว มหี ูอยบู฽ นหวั นาฬิกา ภาคอีสาน ก฾นจี้ฟูา หนา฾ ถะแลดดนิ มะระ อีลมุ฾ อีล้ํา เดนิ วนั ยงั คํา่ ไม฽เหน็ รอย มีดสะนาก ขาขน้ึ ข้นึ ได฾ ขาลงลงไม฽ได฾ ฉีกท฾ายแดง หนบี หมาก จบั ขาหว฽าง เอ฽าบ๊ักแดงยดั ไซ จบั ขาถ฽าง เอาหมากแดงยัดใส฽ เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมท฾องถ่ิน ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี ๖ | นายกติ ศิ กั ด์ิ สขุ วโรดม ผเู้ รยี บเรียง ๑๕๗

๑.๓ สว่ นที่เกย่ี วกบั รปู และอาการ รูปผิดปกติกับอาการปกติ เชน฽ ภาคกลาง สามขาเดนิ มา หลังคามงุ สาํ ลี คนแกผ฽ มหงอกถือไม฾เทา฾ หกขาเดนิ มา หลังคามีดนตรี จิง้ หรดี ภาคเหนือ สองตีนเดนิ มาหลังคามงุ จาก ไก฽ ภาคใต฾ บม฽ ีดกู บม฽ ดี า฾ ว ก฾าวงา฾ วอย฽กู ลางนา ขี้ไถ฽ ภาคอสี าน (ไม฽มีกระดูกกระเดยี้ ว ตะแคงอย฽ูกลางนา) แปดตีนเดินมา หลงั คามงุ สา฾ งสี ปู (แปดตีนเดินมา หลงั คามุงสงั กะสี) มแี ตหู มีแตก฾น เฝาู คนยูหลังบ฾าน กระทะ (มแี ตห฽ ู มแี ต฽กน฾ เฝาู คนอย฽ูหลังบ฾าน) มีฟในยูรอบหวั มโี ตยใู น฾ปา หากิน๋ ยูบนญอดไม฽ กระต฽ายขดู มะพรา฾ ว (มีฟในอย฽ูรอบตัว มีตัวอย฽ูในปุา หากินอยู฽บนยอด ไม)฾ รปู ผิดปกติกับอาการผิดปกติ เช฽น ภาคกลาง สิบหสู องขา ทําฤทธาเอาขาแยงหู ปิ่นโต ภาคใต฾ ตนี เดียวเหน่ียวปากถํ้า สีต่ นี ปล้ําแพ฾ตีนเดียว กับดกั หนู (ตนี เดียวเหนยี่ วปากถาํ้ สีต่ ีนปลํา้ แพต฾ นี เดียว) จะว฽ามมี นตแก฾าไม฽ใช฽ เหาะเหนิ เดนิ ได฾ หัวมากหวา นกอลี ฾มุ นกตะกรมุ แสน ๒. เปรียบกับสตั วต์ วั เดยี ว หมวดนี้รวบรวมปริศนาท่ีเปรียบส่ิงท่ีต฾องการทายกับสัตวแตัว เดยี วและเปรียบกับส฽วนตา฽ ง ๆ ท่มี ลี ักษณะคลา฾ ยกบั ลักษณะของสตั วแ ปริศนาของไทยหมวดนี้จําแนก ได฾ดงั นี้ เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ฾ งถิ่น ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ ๖ | นายกติ ิศกั ด์ิ สขุ วโรดม ผู้เรยี บเรียง ๑๕๘

๒.๑ สัตวท์ ่ีไมร่ ะบุชอ่ื เช฽น ภาคกลาง สัตวแสองขาหากินต฽างแดน หัวมันนับแสน สัตวแ นกตะกรมุ นัน้ นานใด สห่ี ูสีห่ าง ปากกว฾างเหลอื ลน฾ กินคนทกุ คนื ม฾ุง เพิงมหี ลงั คามีเสา ภาคเหนือ มปี ีกแลว฾ บ฽บิน มีตี๋นแล฾วบ฽ย฽าง บดิ หางรอ฾ งโอ฿ก หม฽อไม฾ คนโกนหนวด ภาคใต฾ ไอ฾นิลกนิ หญา฾ ปากถ้ํา ตวั ดาํ ฟในขาว หางยาวทีส่ ดุ ขึ้นบา฽ ปุาทรดุ ขวาน ท่ีปใ่นฝุายหรืออ้ิวฝูาย ภาคอีสาน หางยไ฽ู ต฽ ฮขู ย่ี เู ท฽า จ๋ับหางข่ีจ฾อก ทีว่ ดั นํา้ เข฾านา ๒.๒ แมลง เช฽น ห่ึง ๆ เหมือนผ้งึ ภมุ รา เอกบากจะเร ๆ ลูกข฽าง ๒.๓ สตั วป์ กี เชน฽ ภาคกลาง นกกระปูดตูดแดง นํ้าแหง฾ กต็ าย ตะเกียง บนิ มายิบ ๆ นกกระจิบก็ไมใ฽ ช฽ แดด ไซ ภาคเหนือ ไกแ฽ มล฽ ายตาเ ยแจน฾ า้ํ ควัน ไกแ฽ ม฽หม฽น ซ฾นหลังคา รกมะพร฾าว ตะเกียง ภาคใต฾ นกก฾าไมใ฽ ชน฽ ก นั่งงกงกโหยบนต฾นพร฾าว ว฽าว นกกดตาแดง นํ้าแห฾งตาย ภาคอสี าน ไกอ฽ ีขาวขน่ึ ฝุา เสียงมันฮ฾องปลาดใจ฽ ๒.๔ สตั วท์ ่เี ล้ียงลกู ดว้ ยนม เชน฽ ภาคกลาง ช฾างนอ฾ ยลอยนํ้ามา มีงาในท฾อง ลอบดกั ปลา ภาคเหนอื ม฾าสามขา เจ฾าพระยาขึ้นขี่ ใส฽หมวกกํามะหยี่ กาน้ําบนเตาไฟ สูบบหุ รีป่ ุ฻ย ๆ ควายแม฽ว฾องกว๋ิ นา้ํ เสี้ยงตึงหนอน ร฾ุงกินนํ้า เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ฾ งถิ่น ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๖ | นายกิตศิ ักด์ิ สขุ วโรดม ผู้เรยี บเรียง ๑๕๙

จา฿ งแมเ฽ ฒ฽าพับหเู บอ้ื งเดียว ประตู ภาคใต฾ คา฽ งกา฾ ไมใ฽ ช฽คา฽ ง นัง่ หอ฾ ยหางปางลาํ พู ดอกลาํ พู หินลับมีด ควายตายใตต฾ ฾นเขือ ไคไปกเ฽ ถือไคมาก฾าเถอื ภาคอีสาน งวั เหลยี งสีข฾างโปุง ออกหาก๋นิ แตเ฽ ช฾า พระ หกู ทอผา฾ ซ฽างขึน้ ภู ตบ฿ หปู ๊วใ ะ ๆ ๒.๕ สัตว์ในนยิ าย เช฽น ขวาน ภาคกลาง หน฾าสัน้ ๆ หางยาวเป็นมงั กร ชอบกินหญ฾า ในดงดอน อาบน้าํ ในลาํ ธาร ๓. เปรียบกับสัตว์หลายตัว ปริศนาของอังกฤษหมวดน้ีส฽วนใหญ฽จะเปรียบสิ่งที่ต฾องการ ทายกับสัตวแจําพวกกบ นก กระต฽ายปุา หมู แกะ แพะ วัว และม฾า ส฽วนปริศนาของไทยเปรียบส่ิงท่ี ตอ฾ งการทายกับสัตวแตา฽ งชนิดกนั ไปบา฾ ง เช฽น เปรยี บกบั กา เปด็ แมงดา ชา฾ ง เปน็ ต฾น ๓.๑ เปรียบกับสตั วท์ ไ่ี ม่ระบชุ ่ือ เชน฽ ภาคกลาง สัตวแสี่ตีนกินสัตวแตีนเดียว สัตวแหัวเขียวกินสัตวแ เตา฽ เปด็ หน฾าควํ่า เต฽ากินเห็ด เป็ดกินหอย ต฾นทาย ปลายบอก ภาคใต฾ สัตวแไหรแบกขวานขึ้นหมาก แบกขวากขึ้นเขา นกหัวขวาน เมน฽ นกตะเภา นกเภาลอ฽ งโอ ตีนโตลงหนอง ช฾าง สตั วไแ มม฽ ตี ีนเดินได฾ สัตวแไมม฽ ีไส฾กินคน งู ปลงิ เครอ่ื งบนิ ๓.๒ สัตว์ทีร่ ะบุชอื่ เช฽น ภาคกลาง กาดํา กระโดดลงน้ํากลายเป็นกาขาว เม็ดแมงลกั แม฽ช฾างเอาช฾างไปก฽อน แม฽ปลาช฽อนเอาหางเก่ียว เปล เขม็ หอย ป่ี ภาคเหนอื เบ็ด ภาคใต฾ หมูสามตวั ขน้ึ ดอยสามมอ฽ น ตั๋วข้ึนก฽อนลงลนุ หมอ฾ นง่ึ ไหขา฾ ว ฝาปดิ ลงิ ก็ไมใ฽ ชล฽ ิง คา฽ งกไ็ ม฽ใช฽ค฽าง น่ังหอ฾ ยหางกางร฽นเลน฽ ลูกลําพู เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ฾ งถ่นิ ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ ๖ | นายกิตศิ กั ด์ิ สขุ วโรดม ผเู้ รยี บเรียง ๑๖๐

๔. เปรียบกับบุคคลคนเดียว ปริศนาหมวดนี้จะเปรียบสิ่งที่ต฾องการกับบุคคลเพียงคน เดยี วซง่ึ อาจจะใช฾รูปรา฽ งลักษณะหรืออาการเปน็ ตัวเปรียบ หมวดนจี้ ําแนกไดด฾ ังนี้ ๔.๑ เปรียบกับรูป เชน฽ ภาคกลาง มาจากเมอื งแขก ฟในไมเ฽ ข฾า เงา เด็กดํานอนมุ฾งขาว เรอื นปใน้ หยาสีเขยี ว นอ฾ ยหนา฽ เม่ือเด็กน฽ุงผ฾าขาว เมื่อสาวนุ฽งผ฾าเขียว แก พรกิ ทีเดยี วนงุ฽ ผ฾าแดง ภาคเหนอื หวั หมดอดหนาว กางยาวอดฮอ฾ น กระบวยตักนํา้ ทพั พี ยามนอ฾ ยน฽ุงเต่ียวเขยี ว เฒา฽ มานงุ฽ เต่ยี วแดง พริก ภาคใต฾ ไอข฾ าวนอนในปกใ คนไม฽ผลกั ไมย฽ กข้ึน ครกตาํ ข฾าว นุง฽ ผา฾ เขยี ว หางเรยี วปากผึง่ ขนมกรวย ภาคอสี าน บกั น฽อย ๆ ถือแพแดงลอดพมุ มดแดง ตัวแตน฽อย ๆ นุ฽งส่ินสีเขียว ใญ฽ขึ่นม฾าน฽ุงสิ่นสี พรกิ แดง ๔.๒ เปรยี บกับอาการ เชน฽ ภาคกลาง เม่อื เด็กนุง฽ ผา฾ เมอ่ื ชราเปลือยกาย ตน฾ ไผ฽ หนา฾ แล฾งอยถ฽ู าํ้ หนา฾ น้าํ อย฽ทู ฽งุ ขา฾ วเปลือก ภาคเหนือ แมช฽ ชี าววงั ไม฽รบั สั่งไมอ฽ อก ภาคใต฾ นัง่ เทา฾ แขนออ฽ น กินก฽อนพระ นา้ํ มูก ภาคอีสาน เมอื่ คนื หาบ เมอื่ วนั กอน ทพั พี เมอื่ นอ฾ ยมันแน฽นมนั หนา ใหญ฽มาดังโละ ๆ กลอนประตู นางอยใู฽ นหอ฾ ง ใครเข฾าไปตอ฾ งขนพองวาว มะขาม หน฾าแล฾งเข฾าถํ้า หน฾านํ้าเที่ยวจร ไว฾มวยเหมือน แมไ฽ ก฽ฟใก มอญนามกรวา฽ ไหร หอยโขง฽ โกง฾ โคง฽ โน฽ง ข฽วมทงหนองแสง ร฾งุ กินนํา้ เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมท฾องถิน่ ช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี ๖ | นายกิติศักดิ์ สขุ วโรดม ผู้เรียบเรยี ง ๑๖๑

เถ฽าหวั ลา฾ น โตน฽ นาํ แต฽เดิก้ ขนั ตักน้ํา ๔.๓ เปรยี บกบั รปู ผิดปกตแิ ละอาการผิดปกติ เชน฽ หวี ภาคกลาง มฟี นใ มากมาย แตก฽ ินอะไรไม฽ได฾ ๔.๔ เปรยี บกบั เทวดา เช฽น ใบตาล มะพรา฾ ว ภาคใต฾ พระอินทรแ ตกลงมาขาฉกี ตรีเนตรไม฽ใช฽ท฾าวสักโก โหยวิมานรุกโข อม มะพร฾าว อาโปไวข฾ า฾ งใน พระอินทรหแ นา฾ เขยี ว พลัดลงมาเยย่ี วแตก ๕. เปรียบกับบุคคลหลายคน ปริศนาหมวดน้ีจะเปรียบสิ่งที่ต฾องการทายกับบุคคลจํานวนมาก มีท้ังท่ีเป็นหญิง ชาย หรอื พระ ชี และมีวัยตา฽ ง ๆ กนั ปรศิ นาหมวดนี้ แบ฽งเป็น ๕.๑ เปรียบกบั บุคคลทไ่ี มม่ ีความสัมพนั ธ์ในครอบครวั เช฽น ภาคกลาง คนสามแสน หามแกนไมป฾ ระด฽ู ก้ิงกอื ภาคใต฾ ขาไปสองคน มดื ฟาู มัวฝน กลบั มาคนเดียว คนกับเงา พระหน฽อนอนกลาง พระนางนอนริม พระหน฽อลุก ไมข฾ ดี ไฟ ภาคอสี าน ขึ้นถมิ้ ย้มิ แต฾ ๆ นางชีเกิดลูกทางข฾าง นางช฾างเกิดลูกทางหม฽อม ข฾าวโพด กล฾วย ตะไคร฾ นางยมหอมไมม฽ ีลูก พยู ูห฽วยกางกอง พยู ูหนองก฾นโกง แมงมมุ หอย เถ฽าสองเถา฽ แลนออกนอกชาน ขี้มกู เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมท฾องถน่ิ ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ ๖ | นายกิติศกั ด์ิ สขุ วโรดม ผู้เรียบเรยี ง ๑๖๒

๕.๒ เปรียบกบั บุคคลท่ีมคี วามสมั พันธก์ ันในครอบครัว เช฽น ภาคกลาง ยายจเายาย แม฽ฉันตาย ต้ังแต฽ยายยังไม฽เกิด ยาย ฝาู ย ลองคิดดูเถิดว฽าฉันเกดิ กอ฽ นยาย ภาคเหนอื ลกู สัปดน เล฽นกับแม฽ ลูกกญุ แจ ภาคใต฾ สองป้ีน฾อง อย฽ูหลายจอมปวก หู ภาคอีสาน แม฽มันสับปก ๆ ลกู มนั ตกลบุ ๆ แมอ฽ ย฽ูบ฾าน ลกู ไปเที่ยว ขวาน โลกวนั วี แมม฽ นั พีหลนุ฾ ตน฾ุ ลูกกุญแจ แม฽มนั ฮอ฾ งอ๊อี ๊ี ลูกมันพีอ่ ัน้ ตนั้ ไนป่นใ ฝาู ย ไน ๖. เปรียบกบั พชื พันธ์ุ ปริศนาหมวดนี้ส฽วนใหญ฽จะนําพืชพันธุแไม฾ท่ีมีอย฽ูรอบตัวมาเปรียบกับส่ิงท่ีต฾องการทาย ปรศิ นาในหมวดน้ี แบ฽งเปน็ ๖.๑ เปรียบกบั ต้นไม้ยนื ต้น เชน฽ ภาคกลาง ต฾นเป็นสายยาวหรู ดูเป็นเส฾น ดอกหางเห็นน฽าย วา฽ ว ภาคใต฾ บนเวหา ภาคอสี าน ใบหยัก ๆ ลูกรกั เต็มคอ มะละกอกไ็ ม฽ใช฽ ต฾นตาล ต฾นสามเหลี่ยม ใบเทียนดอก ไคทายออกได฾เมีย ตน฾ กก งาม ตน฾ เขยี ว ใบเรยี ว ชฟ้ี าู ไม฾ไผ฽ กอไพน฽อย หนามหนา พูใดเทายได฾ปใญญาดกี ว฽าหมู หนงั สือ กก฾ ยปู า งายูบ฾าน บานได฾ชแู ล฾ง กระบองขี้ได฾ ๖.๒ เปรยี บกับพชื ลม้ ลกุ เช฽น เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ฾ งถิ่น ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี ๖ | นายกติ ศิ กั ด์ิ สขุ วโรดม ผเู้ รยี บเรียง ๑๖๓

ภาคกลาง เม่อื แก฽รองนอน เมื่อออ฽ นต฾นจมิ้ ไมไ฾ ผ฽ จกั๊ จ้ีจัเ๊ จา฽ หญ฾างอกข้นึ เขา จเั้ จ฽าขึน้ ไข฽ จั๊กจดี ขี้ไหล เหา ภาคเหนอื เห็ดดอกนอ฾ ย ยองปูขอบเขยี ว กิ๋นคนเดียว บานโต จันทรุปราคา หรือ กบกิน ตึงบา฾ น เดือน เหด็ กระดา฾ ง อยขู฽ ฾างดอย กอยบ฽หนั หู ภาคใต฾ เมอ฽ แกรองนอน เม฽ออ฽อนตอ฾ มจมุ฾ ไมไ฾ ผ฽ คุดอยูใ฽ นดิน เวลาจะกินตอ฾ งเอาไม฾สอย หมอ฾ ดนิ หุงขา฾ ว ภาคอีสาน เหด็ กระดา฾ ง ออกอยู฽ขา฽ งหวั ปลวก หูคน ๖.๓ เปรยี บกับดอกไม้ เชน฽ ภาคกลาง ดอกไม฾ยักษแโบราณ บานเท฽ากระดัง เมื่อฝนตก รม฽ ภาคอสี าน แดดออก หบุ เทา฽ กระบอก เมื่อแดดไม฽ออกหรือฝน ไมต฽ ก พระพุทธรูปสรงนํ้าปีละ ดอกอีหญ฾า อยใู฽ นถ้ํา ฝนตกฮาํ ปีละเทีย คร้ัง ๖.๔ เปรียบกับผลไม้ เชน฽ ภาคกลาง ลกู กินได฾ ใบแกร฾ อ฾ น ใบอ฽อนใชส฾ บู ใบจาก ภาคใต฾ สุกไม฽หอม งอมไมห฽ ลน฽ ดาว ภาคอีสาน สกุ เตม็ ด่ิน เกบ็ กิ๋นบได฾ แสงแดด หมากอนั นงึ สกุ ยูเทินตน฾ ไม฽ กิน๋ ไดก฾ ะบ฽หวาน พรกิ ๗. เปรียบกับสิ่ง ปริศนาหมวดน้ี นพคุณ คุณาชีวะ (๒๕๑๙, หน฾า ๔๒) อ฾างใน (เรไร ไพรวรรณ,แ ๒๕๕๑, หนา฾ ๑๐๒ ใชว฾ า฽ เปรียบกับสิ่งซึ่งหมายถึงส่ิงไม฽มีชีวิต โดยเปรียบส่ิงท่ีต฾องการทาย กับสงิ่ ไม฽มชี วี ิต อาจจะเปน็ สง่ิ ในธรรมชาติ หรือสงิ่ มนุษยแสร฾างขึ้นก็ได฾ แบง฽ เป็น เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ฾ งถิ่น ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี ๖ | นายกิตศิ กั ดิ์ สขุ วโรดม ผู้เรยี บเรียง ๑๖๔

๗.๑ เปรียบสิง่ ในธรรมชาติ เชน฽ ภาคใต฾ เหล็กแดงแทงอยู฽ใต฾หญ฾า คนท้ังพารามาหาเหล็ก ขมิน้ แดง คนั โซ฽วิดน้ํา ภาคอสี าน เขาซองรอง ก๋นิ นาํ่ เบดิ้ ฮอ฽ ง บหุ รี่ ไฟไหมบ฾ านไหม฽เซยี กหนงั ไฟไหม฽ดังบ฽ไหมข฽ นค่วิ คอกววั คอกควาย ๗.๒ เปรียบกบั บ้าน เช฽น ไก฽ขัน ภาคกลาง ประตูปิด หลังคาเปดิ ไก฽ เรือนสองเสา หญ฾าคาสองตับ นอนไม฽หลับลุกข้ึน ใบบัว ใบบอน ร฾องเพลง ไก฽ ภาคเหนอื เสาสองเสา คาสองตบั แต฿บแยบไปแตบ฿ แยบมา ภาคใต฾ ขนตกสิบหา หลังคาไมเ฽ ปียก กานํ้าเดอื ด ๗.๓ เปรยี บกับเรอื เชน฽ ไข฽ มะพรา฾ ว ภาคเหนอื เรือสองเสา หญ฾าคาสองตับ นอนไม฽หลับ ลุกขึ้น ต฾มุ หู รอ฾ งเพลง รุง฾ กนิ น้ํา ๗.๔ เปรียบกับเครื่องใชภ้ ายในบา้ น เช฽น ขคี้ วาย ภาคกลาง โตะ฿ สามขา เจ฾าพระยาขึ้นขี่ สวมหมวกกํามะย่ี สูบ บหุ รี่ป฻ุย ๆ ภาคเหนือ หีบนอ฾ ยใส฽เหลอื ง คนทง้ั เมืองไขไม฽ออก ภาคใต฾ นา้ํ ทุง฽ น฾อยหอ฾ ยปลายหลัก ตักกเ็ ตเมบเ฽ ตมเ กเ็ ตเม นีมรี ู ทองคําเขา฾ อยู฽ ในรูนารี ภาคอสี าน คันเบ็ดเจ็ดทุ฽ง ข฾ามค฾ุงพระยาแมน ใครทายถูกจะ ไดแ฾ หวน หมอ฾ ดาํ งมุ฾ ดิน เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมท฾องถ่ิน ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๖ | นายกิติศักดิ์ สขุ วโรดม ผเู้ รยี บเรียง ๑๖๕

๘. รายการเปรยี บเทียบ เป็นการเปรียบเทยี บสิง่ หนง่ึ กับอกี สิ่งหน่ึง หรือเปรียบกับหลาย สิ่งและการเปรยี บเทียบจะมีลักษณะขัดกันอย฽างเด฽นชัดทําให฾ผู฾ตอบเกิดไขว฾เขวคิดถึงส่ิงอ่ืนท่ีไกลจาก คําตอบ จําแนกเปน็ ๘.๑ เปรยี บกับรูป เชน฽ ภาคกลาง ยิบ ๆ เหมอื นไข฽ปนู า ใครไมม฽ ปี ญใ ญา ไขไม฽ออก ตัวหนงั สือ ยง฽ุ เหมือนใยบวั มตี ัวอย฽กู ลาง แมงมมุ บา฽ กวักท่ีสําหรบั กรอด฾าย ภาคเหนอื ตเ๋ั ทา฽ ขา ตาแววต๋วั เกา฾ มันเม฽าเล฽มปี่ ปายมันตีโย฽ง ๆ ร฽ม ผักแวน฽ ภาคใต฾ ตน฾ เทา฽ เข็ม ใบเตม็ ทง฽ุ นา ไม฾จม้ิ ปนู ภาคอีสาน ซวยล฾วย คอื ใบพลู ฮยู ปู าก ข้ีไก฽ ออ฾ ล฽อทอไคทอ฾ ง ลองพูดใต฾ขาเคพมู ่ัน ๘.๒ เปรียบกบั อาการ เชน฽ ภาคใต฾ ไปเทา฽ บ้ิงนา มาเท฽าแม฽ไก฽ แห ภาคอีสาน ไปเท฽าไร฽นา มาเทา฽ ก฾อนเส฾า แห เรือ ซกงกยังคอม฽า ไปค฽าบเห็นฮอย ๘.๓ เปรยี บกับสี เช฽น ภาคกลาง สุกเหมือนดาว ขาวเหมือนฟูา ดําเหมือนกา ด฽าไม฽ มะปราง มะไฟ มะเกลือ ฟงใ ดังเหมอื นปืน มะดัน มะตมู ภาคใต฾ ตัวดําเหมือนกา บินมาเหมือนนก มีหนามที่อก แมงเหนีย่ ง เขาเรยี กวา฽ นกอะไร ภาคอีสาน คาํ คือหมู คลู ูกิน๋ น่ํา โพงพาง ๙. รายละเอียดเกย่ี วกบั รปู หรอื รปู และอาการ จาํ แนกเป็น เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมท฾องถ่ิน ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ ๖ | นายกิติศกั ดิ์ สขุ วโรดม ผ้เู รียบเรียง ๑๖๖

๙.๑ รายละเอียดเกี่ยวกบั รูป เชน฽ ภาคกลาง แบนตะแระแตะ฿ แทะหญา฾ บนเขา มีดโกน ทางโนน฾ ก็ฟูา ทางนก้ี ฟ็ ูา เรือชะล฽าแลน฽ กลาง กระสวยทอผ฾า ฝงใ่ โน฾นก็ตลงิ่ ฝน่ใ ก้ี ็ตลงิ่ มีกิ่งอยู฽ตรงกลาง สี่มุมส่ีแคร฽ สี่แม฽จัตุรัส ผู฾คนเงียบสงัด ฆ฽าฟในกัน เตา฾ ปนู ตาย เหลอื แตน฽ ายสองคน หมากรุก ภาคเหนือ สามจเนสแี่ จง฽ ดอกแสลงบานใน เตาไฟ สองปูางข฾างมลี า฾ นเจด็ แสน ไขป฽ ลา ภาคใต฾ นอกชานตะกัว่ ในครวั เงิน ในเงนิ ทอง ไข฽ โคนคดปลายเซอ฽ เด็ดเมล฽อ เอาไม฽ออก ปืน ๙.๒ รายละเอียดเกย่ี วกบั รูปและอาการ เช฽น เต฽า ก฾ุง ภาคกลาง หลงั คาติดกับตัว โผล฽หัวออกนอกชายคา หัวแหลมท฾ายแหลม ล฽องลอยอยู฽ในมหาสมุทร ขนมจนี ภาคเหนอื มนุษยแชมว฽าอรอ฽ ยนัก ลอดช฽อง ภาคใต฾ ยูย฽ ี่เหย็งแหย็ง ตกั นํา้ แกงมาใส฽ยย฽ู ี่ หัวเหล่ียมท฾ายเหล่ียมอยู฽ในคงคา คนโง฽ว฽าปลา คน ปญใ ญาวา฽ ไม฽ใช฽ ๑๐. รายละเอยี ดเกี่ยวกับเรือ่ งของสี จําแนกเปน็ ทะนาน ฝน ๑๐.๑ ตาแหน่งของสี เชน฽ ภาคกลาง ดาํ มาระกา มตี าข฾างเดียว เขยี วชอุ฽ม พม฽ุ ไสว ไมม฽ ใี บมแี ต฽เม็ด เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ฾ งถิน่ ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๖ | นายกติ ิศกั ด์ิ สขุ วโรดม ผู้เรียบเรยี ง ๑๖๗

๑๐.๒ การเปล่ียนสีตามตาแหนง่ เช฽น ภาคกลาง ชกั ออกมาดาํ ดําเขา฾ ไปแดง มแี สงไฟ ไมข฾ ีดไฟ ภาคใต฾ มาดําไปขาว มายาวไปส้ัน มาม่ันไปคลอน มา ผม ตา ฟนใ หู หยอ฽ นแลว฾ ตงึ ๑๐.๓ การเปลยี่ นสตี ามไปตามลาดบั เวลา เช฽น ภาคกลาง ขาวยามค่ํา ต่าํ ยามนอน คนตาขาว ศรี ษะ ดําแล฾วขาว ยาวแลว฾ ส้ัน มน่ั แล฾วคลอน ผม ตา ฟนใ ๑๐.๔ สกี บั การกระทา เชน฽ ภาคกลาง ไอ฾หมุ฾ ไอ฾ห่นั ปลายแดงน่นั เขา฾ หน่งึ รู ออกสองรู ยาสูบ ภาคใต฾ ชักผลอ็ กแดงแหว฿ คอยแลรโู หว฾ง ส฾มมะขามเปียก ๑๑. รายละเอยี ดเกย่ี วกบั การกระทา แบ฽งเป็น ๑๑.๑ รายละเอียดเกีย่ วกับการเคล่อื นไหว เช฽น ภาคกลาง ขยุก ๆ เอานํา้ เขา฾ เขยา฽ ๆ เอาน้าํ ออก บ฾วนปาก ภาคใต฾ ขนึ้ โกร฾ง ลงแกรก็ ทายแด็ก ๆ คนเฒา฽ อยา฽ บอก คนขน้ึ ตาล ภาคอสี าน ไผม฾ากะยอก ๆ เข฽าบเ฽ ข฽าใหค฾ ลําเบงิ หนิ ลบั มดี ๑๑.๒ รายละเอียดเก่ยี วกบั การเห็น เชน฽ ภาคกลาง นอนควํ่าเห็นลาย นานหงายเห็นตับ นอนตะแคง เส่อื ตับหญ฾าคา ตะเกียง เหน็ แดงวบั ๆ แหวกม฽านเจอม฾ุง แหวกม฾ุงเจอไหม แหวกไหมเจอ ขา฾ วโพด เมด็ ภาคใต฾ เหน็ ควา฾ ง ๆ โหยขา฾ งเขา ไคไปเอาควายทอตาย ใบหคู วาย ภาคอีสาน แคเ฽ ท฽าแคย฽ ังแลไมเ฽ ห็น ตา ๑๑.๓ รายละเอยี ดเกย่ี วกบั ยดึ เช฽น แผนดนิ พลิก ยดึ อะไร ยดึ หางยาง เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ฾ งถ่ิน ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๖ | นายกติ ศิ ักด์ิ สขุ วโรดม ผู้เรยี บเรยี ง ๑๖๘

๑๑.๔ รายละเอียดเก่ยี วกบั การฉกี การตัด เช฽น ภาคกลาง ตดั โคนก็ไมต฽ าย ตัดปลายก็ไม฽เน฽า ผม ภาคใต฾ ฉกี รมิ ท่ิมรู ถูกแม฽หนนู อนตาค฽หู ลิบ ๆ ยอนหู ๑๑.๕ รายละเอียดเกยี่ วกบั การกระทาหรอื เหตผุ ลทีแ่ ยง้ กนั เชน฽ ภาคกลาง ยิ่งเกบ็ ยง่ิ เกา฽ ยง่ิ ใชย฾ ่งิ ใหม฽ ถนน กดหัวทอ฾ งปอุ ง สาแหรก อายคุ น ภาคเหนือ ยงิ่ ก๋วั ยิ่งใก฾ ย่งิ ไคไ฽ ด฾ยิ่งไก ใยแมงมุม ขม้ี อดค฾างขจ้ี ฾างลอด ผม ภาคใต฾ ไมส฽ านกถ็ ่ี ไมค฽ ลกี ค็ ลาย ไม฽ใช฾กท็ ิง้ คนสุม฽ ปลา ข฾างบนกดหยกุ ๆ ข฾างล฽างเป็นทกุ ขแ ขา฾ งบนดใี จ ถนน คนกรอด฾าย ปนู กนิ กบั หมวก ภาคอีสาน ญงิ ตดั้ ญิงยาว ญิงสาวญิงใญ อยากให฽ฮอ฾ น เอาน่าํ ไซ อยากใญตากออก ๑๑. ๖ การกระทาอาการตง้ั แต่ ๒ อาการขึ้นไป เช฽น ภาคกลาง ตกดังต฿ุบ หมาไล฽ตะครุบ แมลงวันตอมโฉ฽ อุจจาระ ภาคเหนือ เปิดฉับ ใสฉ฽ ุบ ปิดปฺุบ เดนิ ปม๊ใ พระบณิ ฑบาต ภาคอีสาน ห฽อแต฿บแปฺบ โจ฾งเข฾าจ฿อก ขะย฾อน ๆ เปนนํ้าแจะ คนเค้ยี วมหาก แฟะ เมือ่ คืนจเกุ จนั เมื่อวนั แฮ฾งวา฾ ๆ แร฾วววั ตดิ บอ฽ นนี่ไปเกียบอ฽ นพน฾ู หญิงเจา฾ ชู฾ สุกแคะ สกุ ขาง สุกคาฮัง สกุ คาฮู ขนมครก ข฾าวเกรียบวา฽ ว รังผึง้ ขา฾ วหลาม เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ฾ งถ่ิน ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ ๖ | นายกติ ศิ ักด์ิ สขุ วโรดม ผเู้ รยี บเรียง ๑๖๙

๑๒. รายละเอยี ดเกี่ยวกับภาษา ปริศนาในหมวดนี้จะเป็นการผูกคําปริศนาโดยการเล฽น คาํ สํานวน คําพอ฾ ง หรือตวั สะกดการนั ตแ จําแนกเปน็ ๑๒.๑ ปรศิ นาทีเ่ กย่ี วกับคาผวน (ผะหม)ี เช฽น ภาคเหนือ แต็บแปฺบเตา฾ สองนิว้ หว้ิ ลกุ โตง฾ มาแดง แมงดา ภาคใต฾ โบสถแไหนไม฽มีวัด ใบโหนด ขา฾ วเหนยี วดํา สองหนาํ สามหนํา เขา฾ หนาํ เดยี ว กงหลา ภาคอีสาน กาบินไปกาฮอ฾ ง กาบนิ มากาหลง ๑๒.๒ ปรศิ นาทีเ่ ก่ยี วกับตัวสะกด เช฽น ภาคกลาง หนา฾ ขาว ๆ ตัวยาวศอก พอตัดออก ยาวแคว฽ า ขวาน ตดั หัวตัดหางเหลือกลางวาเดยี ว กวาง ตัดสระอีออก ภาคใต฾ จีนทําพรอ้ื หมนั้ อ้ีจนี ยอด มีสามอักขรา แปลว฽าสูงสุด ตัวหลังขาดหลุดเป็น เชอ฽ พฤกษา ๑๒.๓ ปริศนาที่เกย่ี วกบั คาพ้อง เชน฽ ภาคกลาง ชอื่ อยบ฽ู นฟาู กายาอยู฽ในนํา้ ปลาดาว ผักหนึ่งอย฽ูในหนอง ผักสองอยู฽ในวัด ผักสามอยู฽ใน ผัดเปด็ ผักชี ผักเสี้ยนผี ภาคเหนอื ปาุ ชา฾ ผักสีอ่ ยูน฽ า ภาคใต฾ ช่ือเปน็ กรยิ า ไป ๆ มา ๆ ไม฽อยูก฽ บั ที่ สันตะวา ขซ้ี ะปฺะวา฽ ข้ี หมาบก฽ ๋ิน ปลาไหล กอเ งอะหยัง คนตีบด฽ งั ขผี้ ง้ึ หรอื ขี้เลื้อย สีอะไรทําให฾คนรบกัน กองขี้หยะ แมก฽ ไ็ ม฽ใชแ฽ มเ฽ รา แม฽ของเขาเราพลอยเรยี กแม฽ ไม฽ใชอ฽ าเรา อาเขา เราพลอยเรียกอา สีดา แม฽ชี อาทติ ยแ เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ฾ งถิน่ ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๖ | นายกิตศิ ักด์ิ สขุ วโรดม ผเู้ รียบเรียง ๑๗๐

การแบ่งโดยใชค้ าตอบหรือคาไขเปน็ เกณฑ์ การจัดแบ฽งประเภทของปริศนาคําทายโดยใช฾คําตอบหรือคําไขเป็นเกณฑแนี้ยังไม฽มีการ จดั แบ฽งไว฾ ผู฾เขียนจงึ จัดแบ฽งเปน็ ประเภทไวด฾ ังนี้ ๑.๑ สัตว์บก ภาคกลาง วัว-ควาย ววั ควาย สขี่ าบนเขา ไถนาใหเ฾ รา ไมบ฽ ฽นสกั คํา วัว ภาคเหนอื ภาคใต฾ แหวนกับแหวน ชนกันท่ีหันอากาศ เกิดเป็นสัตวแ หวู วั หคู วาย ภาคอีสาน ประหลาดชอบกินหญา฾ หวู ัว หูควาย ภาคกลาง จะวา฽ นกกไ็ มใ฽ ชน฽ ก จะว฽ากากไ็ มใ฽ ชก฽ าบนิ มาใตเ฾ ขา ภาคเหนือ รรี เี ท฽าใบพลู มรี ตู รงกลาง ข฾าง ๆ มขี น ววั ตา฽ ง ภาคใต฾ สตั วแส่ตี ีนเทยี วเดินผาบ ๆ มนั มีสามกน฾ สามปาก ข้ีควาย ไกแ฽ มล฽ าย ยายขอบฮว้ั ควาย ตดั หนา฾ ตัดหลงั เหลอื วาเดียว ววั ควาย กระทบกระแทกหูแหกเพราะชนบนหลังงอกขน ฟนใ บนไม฽มี ขค้ี วาย หมอ฾ ดาํ ง฾มุ ดิน ชา฾ ง ชา฾ ง ช฾าง เดินเป฻อ ๆ คะเยอกนิ ใบไผ฽ ช฾าง ตัวใหญ฽มหึมา แต฽มีนัยนแตานดิ เดียว ช฾าง ตนี โตลงหนอง ช฾าง ตนี เม฽มเฮอ฽ เย฽อใบไผ฽ ชา฾ ง เอามาจากปุา สบู ยาสองมวน ชา฾ ง สคี่ นทิ่ม สองคนพดั คนหนึง่ หาผกั คนหนึง่ ยิกไก฽ เอาหมปู อู นปาก เสอื เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ฾ งถ่นิ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๖ | นายกติ ศิ ักด์ิ สขุ วโรดม ผเู้ รยี บเรียง ๑๗๑

ภาคกลาง ซ฽อนเลบ็ กดั ตาย ย่ิงใหญอ฽ ยูใ฽ นปุา เสือ ภาคใต฾ แม฽อยป฽ู าุ ลกู มาอย฽เู มือง เสือ ลูกเสือ หมา แมว หมา แมว ภาคกลาง เดินโหย฽ง ๆ มีธงข฾างหลัง สาวน฾อยร฾อยชั่ง น่ังสูง หมาตาบอด กวา฽ ยนื สนุ ขั รูปร฽างเหมอื นหมา แตน฽ ยั นตแ าขา฾ งเดียว หมา ภาคใต฾ เสตนี เดินมา หลังคายกธง ภาคอีสาน ยนื ต่ํา นั่งสูง กระตา฽ ย กระต฽าย กระต฽าย กระต฽าย ภาคกลาง ชอ่ื ย฽ใู นครัวตวั อยู฽ในปุา ลิง ช่ืออยใ฽ู นครวั ตัวอยู฽ในปุา มีส่ขี า หูก็ยาว ลิง ภาคใต฾ ช่อื อยูใ฽ นปุา ตัวอยู฽ในบา฾ น ลิง คา฽ ง ชะนี ลงิ ค฽าง กระรอก ภาคกลาง หน฾าตาเหมือนคน แตซ฽ นเหลือเกนิ กระรอก สตี่ นี เดนิ มา หน฾าตาคล฾ายคน ชอบกลพลิ ึก ภาคใต฾ สตั วแไหรเอาเท฾าปูอนลกู กระรอก ภาคใต฾ เสตนี กนิ น้ําบ฽สงู โสกเสก โสกสมุ฽ แล฽นไปครุบทอ฾ งดําหางแดง ๑.๒ สัตว์น้าและสตั วค์ รง่ึ บกคร่งึ น้า เชน฽ ภาคกลาง ปลา ปลาไหล เหล็กสแี ดง แทลทะลุพน้ื ดิน ปลาไหล ปลาอะไรจบั ไม฽ตดิ ปลาดาว ชื่ออยู฽บนฟูา ตัวอยใู฽ นนา้ํ ปลาหมึก พ฽ุงเหมือนจรวด หนวดรงุ รัง ปลาม฾า ปลาทู ปลาเสือ มัจฉาหน่ึงหน฾ายาวราวฟุต มัจฉาหนึ่งช่ือบอกเป็น เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมท฾องถ่ิน ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๖ | นายกิติศกั ด์ิ สขุ วโรดม ผ้เู รยี บเรียง ๑๗๒

ภาคเหนอื ฝรั่ง มัจฉาหนึ่งดุร฾ายใคร ๆ ชัง มัจฉาหนึ่งถูกขังไม฽ ปลากระปอ฻ ง ภาคใต฾ ดน้ิ รน ไก฽แมแ฽ ดงแดงตาเ ฝงใ่ ปลาไหล ภาคกลาง สองปาู งข฾างมลี า฾ นเจด็ แสน ไขป฽ ลา ภาคเหนือ ช่อื อยูใ฽ นปาุ แตต฽ วั มาอยูใเ นนาํ้ ปลาเสอื ภาคใต฾ เหล็กแดง แยงใตด฾ ิน ลางคนกนิ ลางคนไม฽กนิ ปลาไหล เหลก็ แดง แยงหัวนา เด็กไมม฽ ปี ใญญา เอาไม฽ออก ปลาไหล ภาคกลาง มาแตพ฽ ม฽า งอกผมประหนา฾ งอกฟนใ ซเี่ ดียว ปลาหมกึ ปลาไอไ฾ หรชือ่ แหลมทส่ี ดุ ปลาเขม็ หอย หอยโข฽ง หน฾าแล฾งเข฾าถ้ํา หน฾านํ้าเท่ียวจร ไว฾มวยเหมือน มอญ นามกรว฽าอะไร หอยเม฽น ช่อื เปน็ สัตวสแ องชนิด ตวั อยู฽ในทะเล หอย หน฾าแล฾งอย฽ูในถาํ้ หน฾าอยูด฽ อน หอย กน฾ จ้ฟี ูาหน฾าถะแลดดนิ หอย ฮกั ก็จบู บ฽ฮักก็จบู หอย สงู บิด ๆ สูงเทียมทศิ สูงเทียมกอ฾ นข้ีไก฽ หอย ไมม฽ แี ขง฾ ไมม฽ ีขา เวลาไปมาใช฾ปากเดนิ หอยโขง฽ ตัวเทา฽ กาํ หมดั ท฾ายแต฽งตงึ ก฾นงอน ๆ ไม฽มรี ู หอยโขง฽ กําเนิดเกิดเจ฾าที่ในคงคา ครั้นเกิดขึ้นมามรณัง ขัง กรง ปู ปู ปู ก฾งุ มา฾ ดาวม฾า ปมู ฾า จกั ษชู ศีรษะเงน฾ คงคาเปน็ ทเี่ ลน฽ ธรณเี ป็นทนี่ อน สองตีนบังแดด แปดตีนเดนิ มา ปู อย฽ูดินกินหญ฾า อย฽ูฟูากินลม อย฽ูทะเลกินตม นาม กรเดยี วกัน สิบตีนเดินมา หลังคามงุ สงั กะสี หู ไม฽มี หางไมม฽ ี เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมท฾องถ่นิ ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี ๖ | นายกติ ิศกั ด์ิ สขุ วโรดม ผูเ้ รียบเรียง ๑๗๓

ภาคเหนอื ข฾างหวั เหนบ็ กริช ท฾ายบิดเรือนยนตแ กุ฾ง ภาคใต฾ ท฾ายแหลมท฾ายแหลม ล฽องลอยอยู฽ในมหาสมุทร กง฾ุ มนษุ ยชแ มว฽าอน฽อยนัก แบกสําเภาลงทา฽ กุ฾ง ตกโปะฺ ขา฾ งจี บฮ฽ ้อื ว฽าข้จี า฿ ง ปู อน้ี ม฾ู หี ทู ป่ี าก มปี ากทท่ี อ฾ ง อีลอ฽ งไขท฽ อ฾ งไข฽หวั กระทะ ปู กุง฾ ข้อี ยหู฽ วั ตวั อยู฽น้าํ กงุ฾ ส่ีตีน หางม฾า นาวาสอง ลอยล฽องเข฾ามาในสากล กง฾ุ โพกหวั มิดชดิ เหน็บกริชติดบน นายสองคน ตัวหัว ไม฽มี ปู สิบขาตาติดตวั ไม฽มหี วั ไม฽มีหาง ภาคกลาง แปดตีนเจ฾าปีนข้ึนทางร฽อง ส฽งเสียงร่ําร฾องโหยปาก ปูเค็ม ปูเป้ยี ว ภาคใต฾ ไห ต฾องชอกชํ้าระกําใจ ตัวกูจะบรรลัยด฾วย นา้ํ เกลือ กบ ภาคกลาง คางคก กบ-คางคก คางคก เกดิ มามหี างไม฽มีขา พอส้นิ ชีวามีแต฽ขาไม฽มหี าง กบ ปู สงู เทยี มขีไ้ ก฽ ใสค฽ ฾าง ต่ําเท฽าตาํ่ ต฾องใส฽คา฾ ง เต฽า เป็ด เจ฾าแขนเถือเนื้อรอบโคก เจ฾าแขนโกกโคกกรอบ เตา฽ เนื้อ เต฽า เต฽า สัตวสแ ต่ี ีนกนิ สตั วตแ ีนเดียว สตั วแหัวเขยี วกนิ สตั วแหน฾า ควํ่า เต฽ากินเหด็ เปด็ กนิ หอย ต฾นทายปลายบอก พ฽อบญุ ปลูก เอากระดกู ห฾ุมเนอ้ื ตวั อยใ฽ู นสระ อุจจาระอย฽กู ับคน เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ฾ งถน่ิ ช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ ๖ | นายกิตศิ กั ด์ิ สขุ วโรดม ผเู้ รยี บเรียง ๑๗๔

ภาคเหนอื หลังคาติดกบั ตัว โผลห฽ ัวออกนอกชายคา เตา฽ ภาคใต฾ ขาส้ันทส่ี ดุ เดินสะดดุ ตุบตบุ ตะกุบตะกบั เตา฽ ตุบ฾ กบุเ ข้นึ ดอย กาบฝอยลอ฽ งห฾วย เตา฽ กงุ฾ หวั เทียมดองเดินได฾ เต฽า สีเ่ สาสะหน฾าหลังคาอฐิ เต฽า ๑.๓ สัตวเ์ ล้อื ยคลาน งู ปลิง งู ปลิง ภาคกลาง ไมม฽ ีตนี ปนี ต฾นไม฾ ไม฽มไี สไ฾ ล฽กนิ คน งู ใครเห็นกต็ อ฾ งกลัว มีหางมหี ัว ลําตวั ยาว ๆ งู ปลงิ ภาคใต฾ สัตวแไมม฽ ีตีนเดินได฾ สตั วแไม฽มไี ส฾กินคน ปลิง มาแตเ฽ มืองไหนมาแต฽เมืองลงุ ยังแตพ฽ ุงไมม฽ ไี ส฾ กิง้ กอื กง้ิ กือ ไส฾เดือน ตะขาบ ก้ิงกอื ภาคกลาง คนสามแสน หามแกนไม฾ประดู฽ ตะขาบ รถยนตแก็ไม฽ใช฽ รถไฟก็ไม฽เชิง ว่ิงเตลิดเปิดเปิงอย฽ู ไสเ฾ ดอื น กลางทุง฽ ตัวยาวแค฽คบื แตม฽ ขี ามากมาย นกเขา ช่อื อยบ฽ู นฟูา กายาอย฽ูในดิน นกเขา นกกลิง้ โคลง ๑.๔ สัตวป์ ีก นกขมน้ิ นกตะกรุม ภาคกลาง นก นกอะไรที่ไมใ฽ ช฽นกของเรา บินไดข฾ ันไดช฾ อ่ื ใหญต฽ วั เล็ก นกอะไรทไี่ มร฽ จ฾ู กั นอน ชอ่ื อยู฽ในดิน ตวั บนิ บนเวหา สตั วสแ องขาหากินต฽างแดน หัวมันนับแสน สัตวแน้ัน เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ฾ งถ่นิ ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี ๖ | นายกติ ศิ กั ด์ิ สขุ วโรดม ผู้เรยี บเรียง ๑๗๕

นามใด แร฾ง จะว฽าเป็ดก็ไม฽ใช฽ จะว฽าไกก฽ ไ็ ม฽เชิง เดนิ คอยาวเท่ิง ๆ แล฾วยืนเบงิ่ อยกู฽ ลางทุ฽ง นกอลี ฾มุ นกตะกรุม ภาคใต฾ จะว฽ามนตแก฾าไม฽ใช฽ เหาะเหินเดินได฾ หัวมากหวา แสน นกหัวขวาน แบกขวานข้ึนหมาก แบกขวากข้ึนเขา นกเภาล฽อง โอ นกยูง หางคลา฾ ยหญ฾า มตี าแคห฽ าง นกหวั ขวาน นกไอไ฾ หรเหอชอ่ื ของมันแสดงว฽าหัวแขง็ ทีส่ ุด ไก฽ ไก฽ ไกข฽ นั ภาคกลาง สองตนี เดินมาหลังคามมุ จาก ภาคเหนอื เฮือสองเสา คาสองตับ นอนบ฽หลับ ลุกขึ้นฮ฾อง ไก฽ฟาู ไขไ฽ ก฽ เพลง ขไ้ี ก฽ ภาคใต฾ ไก฽อะไรเอย฽ ตัวไมโ฽ ต แตม฽ ีชือ่ กวา฾ งใหญ฽ทส่ี ดุ ค฾างคาว หีบใส฽ผา฾ เหลอื ง ลูกแจทงั้ เมืองแทงไม฽ออก ภาคอีสาน อ฾อล฽อทอไคทอ฾ ง ลองผ฾ูใดขเ าเคพนู ั่น ค฾างคาว ค฾างคาว คา฾ งคาว ภาคกลาง สองปีกหัวหก มีสองบาทา ยามทิวาพักผ฽อน ยาม แมงมุม แมงมมุ ราตรอี อกมากนิ ใยแมงมมุ หน฾าคล฾ายหนู มีปีกเป็นหน฾าบาง ๆ บินได฾ ภาคใต฾ หนไู ม฽ใช฽หนู นกไม฽ใช฽นก หัวหกลงดนิ คา฾ งคาว ๑.๕ แมลง – มด – หนอน ภาคกลาง แมงมุม ภาคเหนอื ทอดแหในอากาศ คอยพฆิ าตแมลง ยงุ฽ เหมือนใยบัว มีตวั อยู฽กลาง ข้ีมอดคา฾ ง ขจ้ี ฾างลอด เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมท฾องถิน่ ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ ๖ | นายกิตศิ ักดิ์ สขุ วโรดม ผเู้ รียบเรียง ๑๗๖

ภาคใต฾ เจ็กไม฽ใช฽เจ็ก ญวนไม฽ใช฽ญวน เที่ยวตีอวนอย฽ูกลาง แมงมุม ภาคอสี าน เวหา ภาคกลาง แมงไหรไมอ฽ ยก฽ู ลาง แมงมมุ ภาคใต฾ พยู ูห฽วยกางกอง พยู หู นองโกง แมงมุมหอย ภาคกลาง แมลงวัน แมลงวนั ภาคใต฾ สต่ี นี เหยียบพ้ืนพระธรณี สองมือขย้ีหน฾าผาก นาม ภาคกลาง กรไม฽เหมือนแม฽ แมลงวัน ภาคใต฾ แมลงสว฽างไม฽รคู฾ าํ่ แมลงวนั ภาคกลาง มอื สองลบู หน฾าผาก เกดิ ลกู มากไมเ฽ หมอื นแม฽ แมลงทบั แมลงเหน่ียง แมงทับ ภาคใต฾ เขียวเหมือนพระอินทรแ บินเหมือนนก มีศรปใกอก นกกไ็ มใ฽ ช฽ แมงเหนี่ยง มันดําเหมือนกา บินมาเหมือนนก มีหนามท่ีอก เขาเรียกนกอะไร ตัวเหน่ยี ง ตัวดําเหมือนนก บินมาเหมือนนก สี่ปีตีนหก บิน ตกในนา ผีเสื้อ ผีเสื้อ ผเี สื้อ ชอ่ื แรกน฽ากลัว ชอื่ หลงั เกลือกกลวั้ บนตัวคน ผ้ึง คําแรกของมันคนกลัว แต฽คําหลังของมันคนชอบ ใส฽ จง้ิ หรีด ยุง อื่น ๆ กลม ๆ เหมือนวงพระจันทรแ ออกลูกตั้งพัน จ้งิ หรีด เหมือนกบั ทุกตัว ยุง คุดค฾ูอยูใ฽ นถาํ้ พอคาํ่ ๆ ออกรํา่ รอ฾ ง มาจากเมืองละโว฾ สงู โยว฽ โกะ฿ มฟี ในซีเ่ ดียว มาจากเมอื งเจก็ ตัวเล็กเสยี งดัง มาแตเ฽ มืองลงุ มาหัวตุบ ๆ กนิ คนทีเ่ ปน็ เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ฾ งถ่นิ ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๖ | นายกติ ิศกั ด์ิ สขุ วโรดม ผู้เรยี บเรียง ๑๗๗

๒. คาตอบเกยี่ วกบั คน ๒.๑ อวยั วะตา่ ง ๆ ภาคเหนือ หวั หวั อม฾ุ ลุม฾ เตา฾ ฮงั ต฽อ เจ฾ามันผ฽อบ฽หัน ภาคกลาง ผม ภาคใต฾ ผม ผม ตัดโคนไม฽ตาย ตัดปลายไม฽เน฽า ภาคกลาง ไมส฽ านก็ถ่ี ไม฽คลี่ก็คลาย ไมใ฽ ชก฾ ไ็ ป หู ภาคเหนือ หู ภาคใต฾ หู หู ภาคอีสาน มาหยอ฽ นไปตึง หู เห็ดกระด฾างอย฽ูข฾างดอย กอยบห฽ ัน ภาคกลาง อยคู฽ นละซกี โลก ไมม฽ ีวนั เข฾าหากันได฾ ตา ภาคใต฾ เฒ฽าสองเฒา฽ บังเล฾าไมเ฽ หน็ กนั คิ้ว ขนตา ภาคอสี าน ตา –คิ้ว ตา ยาวแล฾วสนั้ ภาคกลาง สงู หวาตา สูงท่ีสุด จมกู ข฾างลา฽ งกะชน ช฾างบนกะชน ยบั กนั ลง หรอยยงั ร฽งุ ภาคใต฾ แค฽เทา฽ ยงั แลไมเ฽ หน็ จมกู ภาคกลาง จมกู ริมฝปี าก ฟใน ลิ้น ใกล฾ก็ไม฽ใกล฾ ไกลก็ไม฽ไกล เห็นรําไร ๆ วับ ๆ แวม ภาคเหนือ ๆ ปาก ลิน้ งูสงิ งูสา ไอไ฾ หรหา โหยข฾างหนา฾ สุดตาแลเหน็ หมายถงึ ลิน้ ปาก – ลิน้ – ฟนใ ข฾างนอกประตูไม฾ ข฾างในประตูเหล็ก ผ฾าผืนเล็ก ตากไม฽แห฾ง ตังข้ึนก็เป฻นบะผา ตังล฽ุมก็เป฻นบะผา งูสิงงูสาลอด พน้ื เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ฾ งถน่ิ ชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ ๖ | นายกิติศกั ดิ์ สขุ วโรดม ผ้เู รยี บเรียง ๑๗๘

ภาคใต฾ เปิดตูมา฽ น ผ฽านตูเหลก็ ผ฾าออ฾ มผนื เล็ก ตากไม฽แหง฾ เปดิ ประตมู ฽าน ผา฽ นประตู เหล็ก ผ฾าออ฾ มผนื เล็ก ตาก ไมแ฽ ห฾ง ภาคอีสาน หวั หยําแหยะ แปะกน฾ มแี ฮง ปาก นม ภาคกลาง สกุ ไมร฽ ห฾ู อม งอมไมร฽ ห฾ู ลน฽ สกุ คาตน฾ คนกินได฾ นมคน ภาคเหนอื จิ้กบกิ้ เต฾าบ฽าแควง฾ ก๋นิ เจ็ดแลงบ฽าเล้ยี ง หวั นม ภาคใต฾ ตวั เท฽าแล฽งหวั เทา฽ ลูกท฽ู นมผหู฾ ญิง อนื่ ๆ ภาคใต฾ เวลาเรานั่งมันนอน เวลาเรานอนมันยืน เวลาเรา หวั แมต฽ นี คลํามันนม่ิ ตวั ไอไ฾ หรเห฾อตัวใหญ฽เฒา฽ ดาํ ตาตมุ฽ ๒.๒ การกระทาของคน ภาคกลาง การรับประทานอาหาร เด็กกนิ นม ภาคเหนือ เนอื้ แยงเน้ือน้ําไหลพรู อ่มิ อกอ่ิมใจทั้งคู฽ คนเคย้ี วหมาก ท฽อแต็บแปฺบ โว฾งเข฾าจ฿อก ขะย฾อก ๆ เป฻นน้ําแจะ ภาคใต฾ แฟะ เดก็ กินนม เนอ้ื แยงเนื้อ นา้ํ ออกเพรอ่ื เด็กดใี จ ภาคกลาง คนตกปลา ภาคเหนือ การหาอาหาร ปรุงอาหาร ทอดแห ภาคใต฾ ทาํ บญุ ได฾บาป มลี าภกต็ าย คนส฽มุ ปลา ตอเ งหยอดตอ฾ ด บฮ฽ อื้ ว฽ายอดตอง ภาคกลาง ขา฾ งบนกดหยกุ ๆ ข฾างลา฽ งเป็นทกุ ขแ ขา฾ งบนดีใจ คนลบั มดี ภาคเหนือ คนกาํ ลังไถนา ภาคใต฾ การประกอบอาชพี น่ังยอง ๆ มองกระเด฾า เขา฾ ไม฽เขา฾ เอามือคลาํ ดู คนลับมดี หกขากินสามปาก ข้นึ ตบั พลับ ลบั ๆ แล ขนึ้ ต฾นแคแล ๆ ลบั ๆ เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมท฾องถิ่น ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ ๖ | นายกิติศักด์ิ สขุ วโรดม ผเู้ รียบเรยี ง ๑๗๙

ของเสยี การกําจดั ของเสยี อจุ จาระ ภาคกลาง ตกดังตุ฿บ หมาไล฽ตะครบุ แมลงวันตอมโฉ฽ ขี้เดก็ ภาคเหนอื อุม฾ ลมุ฾ เต฾าตน฾ ปนู หล฽นลงจาน คนถ฽ายอุจจาระ ภาคใต฾ พ฽อแม฽ไมแ฽ ชง฽ ไมด฽ า฽ ไปนงั่ ชายปุา ทําหน฾ายู฽ยี่ นา้ํ ลาย ภาคอีสาน ไก฽ตวั ขาวถลาลงดิน การเล฽นถ่ัวหรือเล฽นโป การพกั ผ฽อน – การพนนั ภาคกลาง งุบงิบ ซุบซิบ พูดจา เปิดไป เปิดมาเสียเงินเสีย คนเลน฽ ว฽าว คนตที ับ ทอง ภาคใต฾ ตน฾ เทา฽ สายพาน ดอกบานเวหา นอ฾ งไมร฽ อ฾ ง ตีไมร฽ อ฾ ง ถ฾าน฾องร฾องปดิ ปากไว฾ ๒.๓ รูปร่างและสังขาร ภาคกลาง ยามเช฾าเดินส่ีขา กลางวันเดินสองขา ยามเย็นเดิน คนวัยเดก็ วยั หนม฽ุ สาว สามขา และวยั ชรา ไปไมก฽ ลับ หลบั ไม฽ตื่น ฟน้ื ไมม฽ ี หนีไม฽พ฾น คนตาย เงา ภาคใต฾ อากาศแจ฽มใส เดินไปสองคน มือฟูามัวฝน เดินมา คนเดียว คนหามศพ สคี่ นหาม สามคนโห฽ คนโง฽อย฽ูขา฾ งบน ๓. คาตอบเกี่ยวกับพืช ๓.๑ พชื ยนื ตน้ ภาคกลาง เมอ่ื เดก็ นง฽ุ ผ฾า เม่อื ชราเปลือกกาย ต฾นไผ฽ ภาคเหนือ ขา฾ งนอกสุกใส ขา฾ งในเป็นโพรง มะเดื่อ อยูใ฽ นวัดในสวน ชอบขว฽ นชอบกดั ตน฾ ตะขบ ตน฾ เทา฽ ลาํ เรือ ในห฽อเกลือไมม฽ ดิ ตน฾ สน เมอ่ื น฾อยมันแน฽นมนั หนา ใหญ฽มาดังโละ ๆ มะขาม เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมท฾องถิ่น ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๖ | นายกิติศักด์ิ สขุ วโรดม ผเู้ รียบเรยี ง ๑๘๐

๓.๒ พชื ผกั สวนครัว ภาคกลาง เมือ่ เด็กนุ฽งผ฾าขาว เมือ่ สาวนุ฽งผา฾ เขยี ว แกทีเดียวน฽ุง พริก ผา฾ แดง มาจากเมืองลาวผ฾าขาวคาดพงุ ผกั กะเฉด เลก็ ๆ นงุ฽ ผา฾ พอใหญ฽ขน้ึ มาเอาผ฾าคลุมหัว มะเขือ เป็นพืชไม฽มีใบ แต฽มีดอก มักออกหน฾าฝน คนชอบ เห็ด กนิ ภาคเหนือ ตน฾ เต฾าครกใบปกดิน ตะไคร฾ เถามนั เทา฽ เล฽มเข็ม ปลายมนั เตมเ แมน฽ า้ํ ผักแว฽น ภาคใต฾ ผักหนึ่งอยู฽หนอง ผักสองอยู฽นา ผักสามอยู฽ปุาช฾า ผักเปด็ ผักคราด ผักเสี้ยน ผักสี่อย฽วู ัดวา ทา฾ ยวา฽ ผกั ไหร ผี ผักกระถิน ผักแพง แกงปลาไมล฽ อย ส฾มไม฽ถอย แกงปลาไม฽โง฽ ผกั ตําลึง ปลากด ส฾ม มะดัน ประหลาดฉลาด ๓.๓ พชื ผล ภาคกลาง แบง฽ ออกเปน็ เสียครง่ึ ลูก จงึ เหมอื นจมกู คนทาย ชมพ฽ู เด็กดํานอนม฽งุ ขาว เรอื นปนใ้ หยาสีเขยี ว น฾อยหนา฽ ภาคเหนือ อุม฾ ลุ฽มเต฾าขา มีตาเ ลอบต๋วั ขนุน ภาคใต฾ โหยในหนาม ไม฽งามกะหอม ทเุ รียน มะมว฽ งหิมพานตแ แรกเกิดพี่น฾ุยน฾องใหญ฽ พอนาน ๆ ไปน฾อง ๆ ใหญ฽ พน่ี ย฾ุ กล฾วย ภาคอสี าน ต฾นทอ฽ ขา ใบวาเดยี ว ๓.๔ ไมด้ อก ไม้ล้มลกุ ภาคกลาง ต฾นเท฽าเทยี น ใบเท฽าถาด บวั ตน฾ เท฽าลาํ หวาย ใบกระจายเต็มคลอง บัว ช่อื เป็นหน฾าสตั วแ คนนํามาจัดแจกัน ดอกหน฾าวัว เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ฾ งถิ่น ชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ ๖ | นายกิติศกั ด์ิ สขุ วโรดม ผูเ้ รียบเรียง ๑๘๑

บานเหมอื นตูม ตูมเหมอื นบาน ไม฽มีวันร฽วงโรย แต฽ ดอกบานไม฽รู฾โรย ไรก฾ ลนิ่ ภาคใต฾ ดอกอะไรทีค่ นไทยนบั ถอื ดอกพทุ ธรักษา ต฾นเท฽าลําหอกเก็บดอกมาขาย ต฾นเท฽าลําหวาย ต฾นกาหลา ตน฾ บวั หลวง ปลายเท฽าตนี ช฾าง ๔. คาตอบเก่ยี วกับสิง่ ของเครื่องใช้ ๔.๑ เครือ่ งใช้ในครวั เรอื น ภาคกลาง เครอ่ื งแต฽งกาย เส้อื มีแต฽แขนไม฽มีขา เข็มขดั ภาคใต฾ หางมุดหู หวั มดุ หาง หางมุดหัว ต฾ุมหู นารมี หี ู เพชรสีชมพู คารนู ารี เสอื้ กางเกง ภาคกลาง มาจากเมอื งจนี ตัดหัวตดั ตีน กนิ คนทงั้ เปน็ รองทา฾ ภาคเหนือ เรือสองลําขีไ่ ด฾คนเดยี ว ภาคใต฾ มง฾ุ เคร่อื งนอน เปลเดก็ ภาคกลาง ยกตีนขา฾ มหัว เอาตัวลอดได฾ หมอน ภาคเหนอื สขี่ าหงายขึน้ ฟูาอา฾ ปากกนิ คน ภาคใต฾ บ฽มีแขง฾ บม฽ ีหวั มีแต฽ตวั นง฽ุ ผา฾ มุ฾ง ส่ีตีนเกาะฝา อ฾าปากกนิ คน หมอน กลางวนั มีตวั แตม฽ หี ัวกลางคนื บนั ได เคร่อื งเรือน หลงั คาบ฾าน หนา฾ ตา฽ งบ฾าน กลางวันยืน กลางคนื นอน มหี ลงั ตากฟาู มหี นา฾ รอบตวั ประตู จา฿ งแมเ฽ ฒา฽ พับหูขา฾ งเดียว กลอนประตู เมื่อคนื หาบ เม่ือวันกอน บนั ไดบา฾ น แม฽สองลูกหา฾ น่ังใต฾ฟาู รบั แขก เคร่ืองเชี่ยน เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ฾ งถ่นิ ช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี ๖ | นายกติ ิศักดิ์ สขุ วโรดม ผเู้ รียบเรียง ๑๘๒

ภาคกลาง หมาเดินหน฾า พอ฽ ไกต฽ ามมา คนชราชอบนกั ผลหมาก ฝง่ใ โน฾นก็ตลิง่ ฝ่งใ นกี้ ต็ ลิง่ มกี ิง่ อยก฽ู ลาง เตา฾ ปนู มไี ม฾ควกั ปนู ภาคเหนือ อ฾มุ ลุ฾มเต฾าไขเ฽ ป็ดกน๋ิ เจด็ วันบเ฽ ลยี้ ง สเี สยี ด ภาคใต฾ จับถา฽ งขาเอาหมากแดงยัดใส฽ มดี หนีบหมาก ต฾นสาคู หมาก ต฾นทา฽ ครกใบหกวา ตน฾ เท฽าขาใบวาเดยี ว ภาคอีสาน ซวยล฾วยคือใบพลู ฮูยปู าก ไม฾จมิ้ ปนู ๔.๒ เคร่ืองใชใ้ นครวั ภาคกลาง มีแตห฽ ูแต฽กนั เฝาู คนอยห฽ู ลงั บา฾ น กระทะ ชักออกมาดํา ตําเขา฾ ไปแดง มีแสงไฟ ไมข฾ ดี ไฟ น่งั เทา฽ แขนออ฽ น กินกอ฽ นพระ ทัพพี นั่งบนปาง หางแยงรู กระจ฽า เตาไฟ ภาคเหนอื สามจเนสแี่ จ฽ง ดอกแสลงบานใน ทัพพี กระบวยตกั นาํ้ หวั หมดดอดหนาว กางยาวอดฮอ฾ ง กระจา฽ ทัพพี ภาคใต฾ โคนเป็นไม฾ ตรงกลางเปน็ ทราย ปลายเปน็ พรก ไหปลาร฾า นางคออ฽อน กินก฽อนทุกวนั กระบองข้ไี ต฾ ภาคอีสาน ตา่ํ อปุ฿ ฺุ แปดคอก กก฾ อยป฽ู ุา งายูบา฾ น บานได฾ชูแล฾ง ๔.๓ เครื่องมือเกษตรกรรม ภาคกลาง กนิ ทางปากขี้ทางปกี หวั หมไู ถนา ตัวสน้ั ฟในซี่เดียว ขับเค่ยี วกัดไม฾ ขวาน ภาคเหนอื แมน฽ ฾อยลูกมาก พาลูกยากบกุ นาํ้ ลยุ โคลน คราด ภาคใต฾ โซะโละเท฽าคอไก฽ ไลก฽ นิ ข฾าวในนา เคยี ว กําหางขป้ี ุงู จา฾ ด ไถ หน฾าสั้นฟในขยาว หางยาวที่สุด ใครทายไม฽ถูก จอบ ไม฽ใชม฽ นุษยแ ตวั ดํา ฟในขาว หางยาวทสี่ ดุ ขน้ึ บา฽ ปุาทรดุ ขวาน เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมท฾องถน่ิ ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ ๖ | นายกิตศิ กั ด์ิ สขุ วโรดม ผเู้ รียบเรยี ง ๑๘๓

ภาคอสี าน จับหางขจี้ อ฿ ก ทวี่ ิดน้าํ เขา฾ นา ๔.๔ เครือ่ งมือจบั สัตว์ ลกู กระสุนปืน ภาคกลาง ออกลกู ไปแลว฾ ไม฽กลับ ลอบดกั ปลา ชา฾ งนอ฾ ยลอยนาํ้ มา มีงาในทอ฾ ง คนแก฽หลงั โกง ลงน้าํ ไมข฽ นุ฽ เบด็ ยอจบั ปลา ภาคเหนอื สีห่ ูพนั ตา กินปลาในนํา้ มีลูกต้ีขา มีตเารอบตวั๋ มหี ูอย฽รู อบหัว แห โพงวิดปลา ภาคใต฾ สองตนี ยันธรณี หางยาวรี ปากพ฽อนนํ้า นกคุม฽ ปากเหลก็ ซนั เกร็กเสียใญ฽ ปืน ช฾างสารลอยนํา้ มา มแี ต฽งาไม฽มงี วง ไซดักปลา ภาคอสี าน ไปเทา฽ ไร฽นา มาเทา฽ กอ฾ นเสา฾ แห ตวั ดําคล฾ายหมู วงิ่ ลงกินนาํ้ โพงพาง ๔.๕ เคร่ืองมอื ช่าง กบไสไม฾ มดี โกน ภาคกลาง เพชรฉลากมปี ากทที่ อ฾ ง ตาปู แบบตะแระแตะ แทะหญา฾ บนเขา สูบตีเหล็ก กบไสไม฾ ภาคเหนือ จก๊ิ บกิ๊ เท฽าขไี้ ก฽ ไลเ฽ ต็มกลางบา฾ นกลางเรือน ภาคใต฾ มาจากเมอื งลงุ งอกขนในพงุ หายใจทางดือ สวิ่ สิ่ว มฟี ในซี่เดยี ว เคยี้ วไส฾น้ําแผ฽น หนิ ลบั มีด ซ้ือมาแต฽ตวั ไมต฽ บหัวไม฽กนิ ภาคอีสาน ดาํ จ่ังหมี ต๋ิกน฾ จ๋ังกดั กลอง ใครมาก็เขยา฽ เขา฾ ไม฽เขา฾ กค็ ลาํ ดู ฆอ฾ ง ๔.๖ เครอ่ื งดนตรี ตะโพน ภาคกลาง ไม฽มีคอไม฽มีหวั มีแต฽หนา฾ ถึงเวลาตีได฾ตเี อา ภาคเหนอื ดําเหมือนหมี แลง฽ ตแี ลง฽ รอ฾ ง ภาคใต฾ ลาํ ต฾นเท฽าครก ลูกดกรอบคอ เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมท฾องถิน่ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๖ | นายกิติศกั ด์ิ สขุ วโรดม ผเู้ รียบเรียง ๑๘๔

ตัวดาํ มดิ หมี ยิ่งตยี ่งิ ดัง ฉ่งิ ปากมนหางเมนิ หญิงไม฽ให฾คลาํ แตร฽ ู฾ ป่ี ๔.๗ พาหนะ รถไฟ ภาคกลาง มา฾ เหล็กตัวยาว วิง่ อา฾ วเสยี งดัง รถยนตแ ตาเปน็ ไฟ ใจเป็นเหลก็ เรือ ภาคเหนอื โจ฿ะโละเหมือนคอมา฾ ไปกา฿ บห฽ ันฮอย เรือใบ ภาคใต฾ มาจากทะเลใน ใบขาวไสวไมม฽ ดี อก วัวสองตัวเทยี มเกวียน ภาคอสี าน สิ๋บตนี๋ สองล฾อ มจี เอยขู ฾างบน และคนขับ ๔.๗ เครื่องใช฾อ่ืน ๆ สาแหรก นาฬกิ า ภาคกลาง กดหัว ท฾องปอุ ง ไม฾คาน มขี าสองขา เดนิ อย฽บู นหน฾าตวั เอง โม฽แปูง ภาคเหนอื หวั สองหวั ตว๋ั มตี ั๋วเดียว เตารีดผา฾ ภาคใต฾ อกี ลมขม฽ อแี บน หลบุ ๆ แลน฽ ๆ อีแบนนา้ํ ออก รปู รา฽ งเหมอื นรถไฟ แลน฽ ไปบนผา฾ คุณค่าของปรศิ นาคาทาย การทายปใญหาเป็นท่ีนิยมของคนท่ีชาติทุกภาษา การคิดปใญหาผูกเป็นปริศนาคําทายมา ทายกันนอกจากจะเกิดความสนุกสนานบันเทิงใจ แล฾วยังได฾ท้ังความร฾ู เชาวนแปใญญา ปฏิภาณไหว พรบิ ปริศนาคําทายจึงทรงคณุ ค฽าในตัวเอง ซ่งึ พอประมวลคณุ ค฽าของปรศิ นาไดด฾ งั น้ี ๑. ปริศนาคาทายให้ความสนุกสนานและความเพลิดเพลิน ช฽วยผ฽อนคลายความตึง เครียดใหแ฾ กผ฽ ูเ฾ ล฽น แม฾วา฽ ในการเล฽นจะต฾องใช฾ความคดิ แตก฽ ็เป็นการใช฾ความคดิ ท่ชี วนเพลิดเพลิน ผ฽าน กระบวนการสังเกต วิเคราะหแถ฾อยคําที่นํามาผูกเป็นปริศนาปริศนาบางบทชวนให฾ขบขัน เพราะ ถอ฾ ยคําท่ีนํามาใช฾ชวนให฾คิดเป็นสองแง฽ แต฽เม่ือเฉลยแล฾วไม฽ใช฽อย฽างท่ีเข฾าใจ เช฽น “อะไรเอ฽ย สองกลีบ เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมท฾องถิน่ ชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ ๖ | นายกติ ศิ ักด์ิ สขุ วโรดม ผูเ้ รยี บเรยี ง ๑๘๕

หนีบกันแน฽น แม฽เฉลียวนอนอมกล฾วย” คําตอบก็คือ ข฾ามต฾มมัด หรือปริศนาของภาคใต฾ “นอนแคง แยงนํา้ ขาวออก” คาํ ตอบว฽า คนให฾ลูกกนิ นม เป็นต฾น ๒. ปรศิ นาคาทายให้ความรู้ในเร่ืองสานวน ภาษา รวมท้ังภาษาถิ่นด฾วย เพราะปริศนา คําทายในแต฽ละทอ฾ งถ่ินจะมกี ารใช฾ภาษาถ่ิน การใช฾คําซึ่งมีสัมผัสคล฾องจอง ไพเราะปริศนาคําทายท่ีมี คําไขอยา฽ งเดยี วกัน จะใชค฾ าํ ทายทแี่ ตกต฽างกนั ไปแต฽ละท฾องถิ่น เชน฽ “ตน฾ เท฽าครก ลูกดกเตม็ คอ” (กลาง) “น้าํ ทุ฽งน฾อย ห฾อยปลายหลัก ดกั ก็เตเมบ฽ดกั กเ็ ตเม” (เหนือ) “ไอ฾ไหรหา หนงั หุ฾มขน ขนหุม฾ โดก โดกหม฾ุ เนือ้ เนอื้ หมุ฾ นาํ้ น้ํารุแก฾ว” (ใต฾) “หอ฾ ยอย฽หู ลักบ฽ตกั ก็เตเม” (อีสาน) คําเฉลย กค็ อื มะพรา฾ ว จะเหน็ ได฾ว฽าการเลือกใช฾คําในการผูกปริศนาแตกต฽างกันไปในแต฽ ละทอ฾ งถ่ิน แตแ฽ นวคดิ ในการมองธรรมชาติเปน็ ไปในแนวเดยี วกัน ๓. ปริศนาคาทายช่วยฝึกสมอง ฝึกความมีปฏิภาณไหวพริบ ความช฽างคิด ช฽างสังเกต เพราะปรศิ นาจะผูกปใญหาไว฾ด฾วยการเปรียบเทียบกับส่ิงต฽าง ๆ ไม฽ด฾ามอย฽างตรงไปตรงมาทําให฾ผู฾ทาย ตอ฾ งคิด ซงึ่ บางคร้งั ตัวปรศิ นาเปน็ เรอ่ื งงา฽ ย ๆ ใกล฾ ๆ ตัว แต฽ผ฾ูทายอาจมองข฾ามไปหรือคิดไกลเกินไปก็ ได฾ เช฽น ปรศิ นาว฽า อะไรเอย฽ อยบ฽ู นกระดาษ เฉลยว฽า ซาลาเปา ซ่ึงบางคนอาจจะคิดว฽าเป็นตัวหนังสือ หรือภาพวาด หรือปริศนาว฽า อะไรเอ฽ยอยู฽ใต฾สะพานพุทธ บางคนก็อาจจะคิดไปถึงแม฽น้ําหรือเรือ ซึ่ง คาํ เฉลยก็คอื สระอุ ดังนี้เป็นต฾น ผู฾เล฽นปริศนาคําทายจึงต฾องเป็นคนช฽างคิด ปละมีปฏิภาณ จึงจะเล฽น ปริศนาคาํ ทายได฾อยา฽ งสนกุ สนาน ๔. ปริศนาคาทายเป็นเคร่ืองมือในการถ่ายทอดความรู้ในเรื่องต่าง ๆ ที่เก่ียวข฾องกับ ชีวิตประจําวัน เช฽น การจับปลา การปรุงอาหาร การเกษตร การทอผ฾า รวมท้ังความร฾ูในเร่ือง ธรรมชาติ สัจธรรม และการเรียนรู฾ด฾านภาษาอีด฾วย ดังเช฽น ปริศนาคําทายว฽า อะไรเอ฽ย คนซ้ือไม฽ได฾ คนใช฾ไมไ฽ ด฾ซอื้ คําตอบว฽า โลงศพ ซ่ึงตัวคําถามแสดงให฾เห็นถึงสัจธรรมของชีวิตท่ีทุกคนต฾องพบในวัน หน่ึง หรือปริศนาคําทายว฽า ต฾นอะไรเอ฽ยมรสองกอ คําตอบว฽า ต฾นกก ซ่ึงเป็นการเรียนรู฾เรื่องก่ีสะกด คําในภาษาไทยไปพร฾อม ๆ กบั เรือ่ งธรรมชาติ เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ฾ งถ่ิน ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี ๖ | นายกิติศักด์ิ สขุ วโรดม ผ้เู รยี บเรยี ง ๑๘๖

๕. ปริศนาคาทายเป็นเครื่องสะท้อนขนบธรรมเนียมประเพณี วิถีชีวิต ค฽านิยม ความคดิ ความเชอ่ื ของกล฽มุ ชนซึ่งเป็นเจ฾าของปริศนาคําทาย ดังน้ี ๕.๑ สะท้อนให้เห็นถึงลักษณะนิสัยของกลุ่มชน โดยเฉพาะอารมณแขันที่จะมีแฝงอยู฽ใน ตัวคาํ ทาย เสียงของคาํ ทเี่ ลอื กมาใช฾ เช฽น อะไรเอย฽ จกั๊ จ้จี ั๊กเจ฽า หญา฾ งอกข้ึนเขา จ๊ักเจ฽าไข฽ จั๊กจีดขี้ไหล หรือใช฾คําที่มีความหมายแฝงมีลักษณะชี้นําให฾ผ็ทายเข฾าใจผิดไปในทางหน่ึง แต฽คําเฉลยกลับเป็นอีก อยา฽ งหน่งึ ทาํ ใหเ฾ กดิ อารมณขแ ัน เช฽น อะไรเอ฽ยบา฾ งสนั้ บ฾างยาวสาว ๆ ต฾องใช฾เมื่อได฾แต฽งงาน คําถามใช฾ คาํ ให฾คิดสองแง฽สองมมุ แต฽คําเฉลยคือ นามสกลุ ดังนีเ้ ปน็ ต฾น ๕.๒ สะท้อนให้เห็นสถานภาพความเป็นยู่ของคนในสังคม ได฾แก฽ การประกอบอาชีพ ซึ่งส฽วนใหญ฽จะเป็นอาชีพทํานา เช฽น “อะไรเอ฽ยปากหน่ึงกินหญ฾า ปากหนึ่งกินดิน ปากหนึ่งหูดร่ําไป” คําตอบก็คือ ควาย ไถ และคนไถนา เป็นต฾น การเลี้ยงเด็ก สมัยก฽อนเล้ียงด฾วยนมแม฽ นอนเปลเห฽ กล฽อม ดังปริศนาว฽า “อะไรเอ฽ย ตะล฽ุมพ฽ุมพู มีรูนํ้าไหล บ฽อน฾อยค฽อยใส฽ นํ้าไหลเข฾ารู” เป็นต฾น นอกจากนี้ยงั มีเร่อื งของการทอผ฾า การคมนาคม และการดํารงชีวิต ๕.๓ สะทอ้ นให้เหน็ ถึงความเชอ่ื และวฒั นธรรมประเพณี ไดแ฾ ก฽ ความเชือ่ ในเร่ืองพุทธ ศาสนา การใสบ฽ าตร การรดนา้ํ พระพทุ ธรูป เชน฽ ทายวา฽ “ดอกอะไรเอ฽ย อย฽ูในถํา้ ฝนตกพรําปีละหน” คําตอบวา฽ พระพทุ ธรปู สรงนา้ํ ปลี ะครัง้ ๕.๔ สะทอ้ นให้เห็นถึงคา่ นยิ มดา้ นต่าง ๆ ของคนในสมัยกอ฽ น ไดแ฾ ก฽ นิยมกินหมาก เล฽น หมากรุก เช฽น ทายว฽า “อะไรเอ฽ยสี่มุมสี่แคร฽ ส่ีแม฽จัตุรัส ผ฾ูคนเงียบสงัด ฆ฽าฟในกันตาย เหลือแต฽นาย สองคน” ตอบว฽า คนเล฽นหมากรกุ เปน็ ตน฾ ๖. ปริศนาคาทาย มีส่วนช่วยในการอนุรักษ์และส่งเสริมวัฒนธรรม จะเห็นได฾จาก ความนิยมในการเลน฽ ปรศิ นาคําทายท่ีถ฽ายทอดสืบต฽อกันมาจนถึงปใจจุบัน มีการผูกปริศนาใหม฽ ๆ ขึ้น เล฽นกันหลายโอกาสและส่ือสารผ฽านสื่อต฽าง ๆ โดยเฉพาะส่ือโทรทัศนแมีการผูกปริศนาใหม฽ ๆ ข้ึนตาม ความคิดและสภาพสงั คม เชน฽ “ปาอะไรขน้ึ เขาได฾” คําเฉลยวา฽ “ปาเจโร” ซึง่ เปน็ ยี่ห฾อรถยนตแท่ีมีใช฾กัน อย฽ูทั่วไป เป็นการสะท฾อนให฾เห็นถึงความคิดทางภาษาและการคมนาคมในปใจจุบัน จึงทําให฾การเล฽น ปรศิ นาคําทายแพร฽หลายและสืบทอดต฽อไป (เรไร ไพรวรรณแ, ๒๕๕๑, หนา฾ ๑๔๒-๑๔๓) สรปุ เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมท฾องถนิ่ ช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี ๖ | นายกติ ิศกั ด์ิ สขุ วโรดม ผู้เรยี บเรยี ง ๑๘๗

ปใจจุบันการเล฽นปริศนาคําทายก็ยังคงเป็นการละเล฽นสนุกสนานท่ีได฾รับความสนใจและ นิยมเล฽นกันทุกเพศทุกวัย ปริศนาคําทายเป็นภูมิปใญญาไทยท่ีทรงคุณค฽า เป็นเคร่ืองมือในการ เสรมิ สรา฾ งสติปใญญา ปลูกฝใงความคิด ค฽านิยม จริยธรรม และเป็นการฝึกไหวพริบ ปฏิภาณ การช฽าง คิด ช฽างสังเกต ให฾แก฽ชนร฽ุนหลัง ซ่ึงจะเป็นผลดีต฽อการเรียนรู฾ การนําไปใช฾ให฾เกิดประโยชนแใน ชีวิตประจําวันต฽อไป และปริศนาคําทายก็คงจะได฾รับความนิยมตลอดไป (เรไร ไพรวรรณแ, ๒๕๕๑, หนา฾ ๑๔๔) เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ฾ งถิ่น ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๖ | นายกติ ิศักด์ิ สขุ วโรดม ผ้เู รียบเรยี ง ๑๘๘

บทที่ ๖ สานวน สภุ าษิต คาพงั เพย เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมท฾องถนิ่ ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๖ | นายกิติศักด์ิ สขุ วโรดม ผเู้ รียบเรียง ๑๘๙

สานวน สุภาษิต คาพังเพย ความหมายของภาษิต ภาษิต สํานวน และคําพังเพย เป็นมรดกทางวัฒนธรรมอย฽างหนึ่งซึ่งแต฽ละชาติแต฽ละ ภาษาจะมแี ตกต฽างกนั ไปตามความคิด ความเช่ือ ค฽านิยม และสภาพแวดล฾อมทางสังคมในทางคติชน วิทยาถือว฽าภาษิตและสํานวนเป็นข฾อมูลท่ีสําคัญซึ่งแสดงถึงภูมิปใญญาทางด฾านภาษาของชาติที่เป็น เจ฾าของภาษติ และสาํ นวนน้ัน ไทยเป็นชาติหนึ่งท่ีอุดมไปด฾วยภาษิต สํานวน และคําพังเพยต฽าง ๆ ซึ่ง มีคณุ คา฽ ควรแกก฽ ารรวบรวมศึกษากอ฽ นที่จะสูญหายไป (เรไร ไพรวรรณแ, ๒๕๕๑, หน฾า ๖๒) ภาษิต มีความหมายตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ว฽า “คํากล฽าว ตามศัพทเแ ปน็ สํานวนคาํ กลาง ๆ ใชท฾ ั้งทางดที างชว่ั แต฽โดยความหมายแลว฾ ประสงคแคํากล฽าวถือว฽าเป็น คติ” ภาษิตนจี้ ึงเป็นข฾อความทผี่ ฾ูกล฽าวกล฽าวออกมาเพ่ือสื่อความคิดบางอย฽างและส฽วนมากจะกล฽าวใน เชิงเปรียบเทยี บอยา฽ งคมคาย (ประคอง เจริญจติ รกรรม, ๒๕๓๙, หนา฾ ๔๖) ความหมายหรอื คําจาํ กัดความของสาํ นวน อาจแยกจากคําพังเพย ภาษิต และสุภาษิตได฾ ยาก ดังพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ (พิมพแครั้งท่ี ๒ พุทธศักราช ๒๕๕๖) ได฾ให฾ ความหมายไวใ฾ กลเ฾ คยี งกัน ดังนี้ สานวน หมายถึง ถ฾อยคําหรือข฾อความท่ีกล฽าวสืบต฽อกันมาช฾านานแล฾วมีความหมายไม฽ ตรงตามตวั หรอื มีความหมายอืน่ แฝงอย฽ู เชน฽ สอนจระเขใ฾ ห฾ว฽ายนาํ้ รําไมด฽ โี ทษป่โี ทษกลอง คาพังเพย หมายถึง ถ฾อยคําหรือข฾อความที่กล฽าวสืบต฽อกันมาช฾านานแล฾ว โดยกล฽าวเป็น สว฽ นกลาง ๆ เพอ่ื ใหต฾ ีความเข฾ากบั เรอ่ื ง เชน฽ กระตา฽ ยตืน่ ตมู ภาษิต หมายถึง ถ฾อยคําหรือข฾อความที่กล฽าวสืบต฽อกันมาช฾านานแล฾วมีความหมายเป็น คติ เชน฽ กงเกวยี นกําเกวยี น เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ฾ งถิน่ ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ ๖ | นายกติ ศิ ักดิ์ สขุ วโรดม ผู้เรียบเรียง ๑๙๐

สุภาษติ หมายถึง ถ฾อยคําหรือข฾อความท่ีกล฽าวสืบต฽อกันมาช฾านานแล฾วมีความหมายเป็น คตสิ อนใจ เช฽น รักยาวให฾บ่ัน รักสั้นให฾ต฽อ นํ้าเช่ียวอย฽าขวางเรือ (สํานักงานคณะกรรมการการศึกษา ข้ันพนื้ ฐาน กระทรวงศกึ ษาธิการ, ๒๕๕๘, หน฾า ๑๑๒) การใชถ฾ อ฾ ยคาํ ของกลม฽ุ ชนในสงั คมไทยจะรวมไว฾ทั้งสํานวน คําพังเพย และภาษิต ซ่ึงหาก จะแยกตามลักษณะเด฽น ๆ แล฾ว อาจสรุปได฾ว฽า สานวน คือ การใช฾ถ฾อยคําที่เป็นคําคมและมี ความหมายไม฽ตรงตามตัวอกั ษร คาพงั เพย คือ การใช฾ถ฾อยคําที่มักจะแฝงความคิดบางอย฽างไว฾ อาจมี คําสอนแฝงอยู฽ด฾วย ส฽วนภาษิต คือ การใช฾ถ฾อยคําที่มีความหมายเป็นเชิงเปรียบเทียบ ให฾คติเตือนใจ แต฽ไมเ฽ นน฾ การสง่ั สอนโดยตรง โดยทั่วไป คนเราจะใชส฾ ํานวน คําพังเพย และภาษิตที่เป็นการเปรียบเทียบกับส่ิงท่ีได฾พบ เหน็ ในชวี ิตประจําวัน หรอื ได฾จากการสงั เกตธรรมชาติและส่ิงแวดล฾อม สิ่งที่นํามาเปรียบเทียบจะเป็น ส่งิ ทีอ่ ยใ฽ู กล฾ตวั เช฽น คน สัตวแ พืช สิ่งของ เคร่อื งใชต฾ า฽ ง ๆ หรือปรากฏการณแธรรมชาติที่เกิดขึ้นบ฽อย ๆ ที่เกีย่ วกบั ดนิ น้าํ ลม ไป การใช฾ถอ฾ ยคาํ เชน฽ น้ีปรากฏอยู฽ในการใช฾ภาษาของคนทั่วโลก และความคิดท่ี แสดงออกมาจะคล฾ายคลึงกัน เพียงแต฽มีรายละเอียดแตกต฽างกัน ตัวอย฽างการใช฾ถ฾อยคําท่ีคล฾ายกัน ของชนชาติต฽าง ๆ มดี ังนี้ องั กฤษ : นกตวั เดยี วในมือมคี า฽ มากกวา฽ นกสองตวั ในพมุ฽ ไม฾ เปอร์เซยี : นกกระจอกในมือตัวเดียว ดกี วา฽ เหย่ียวที่บินอย฽ูในอากาศ สเปน : นกตวั เดียวในมือดีกวา฽ นกร฾อยตัวท่กี าํ ลังบินอย฽ู เยอรมนี : นกกระจอกตวั เดยี วในมือดีกว฽านกเขาท่อี ยู฽บนหลังคา ไทย : สบิ เบยี้ ใกลม฾ อื จะเห็นได฾ว฽าการใช฾ถ฾อยคําแบบสํานวน คําพังเพย และภาษิตท่ียกมาเป็นตัวอย฽างน้ีมี ความคิดและความหมายคล฾ายคลึงกัน คือแนะให฾คนเรายอมรับในสิ่งท่ีจะได฾ง฽าย ๆ ไว฾ก฽อน เพราะ ถึงแม฾จะได฾น฾อย แตก฽ ็ได฾แนน฽ อน ดีกวา฽ หวงั ในสิ่งที่ได฾มายาก ซึ่งอาจจะได฾มากกจ็ ริง แต฽โอกาสท่ีจะได฾มี นอ฾ ยและอาจพลาดได฾ คําคมเหลา฽ นี้เกิดจากเชาวนแปญใ ญาของผ฾คู นแตล฽ ะชาตลิ ะภาษาที่สามารถคิดได฾ คลา฾ ยกันและแสดงความคิดน้นั ออกมา เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมท฾องถ่นิ ช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ ๖ | นายกิตศิ กั ดิ์ สขุ วโรดม ผเู้ รียบเรยี ง ๑๙๑

ทม่ี าของสานวน คาพงั เพย และภาษิต การใช฾ถ฾อยคําแบบที่เรียกว฽าสํานวน คําพังเพย และภาษิตนี้ ไม฽มีหลักฐานระบุไว฾ชัดเจน ว฽ามีท่ีมาจากไหนหรือเกิดขึ้นได฾อย฽างไร นักวิชาการจึงใช฾วิธีสมมติ คนบางคนกําหนดความคิดข้ึนมา เป็นถ฾อยคาํ หรือสรา฾ งคําพูดข้ึนมาจากเหตุการณแอย฽างใดอย฽างหนึ่งแล฾วได฾ผลลัพธแออกมาเป็นคําพูดที่ หลักแหลมหรือเปน็ คําคม หรือเป็นการส่ังสอนเกี่ยวกับสิง่ ใดสง่ิ หนึ่งซ้ํา ๆ กันจนกระทัง่ คนท่ัวไปจาํ ได฾ สํานวน คําพังเพย และภาษิตบางบทอาจจะมีความขัดแย฾งกันก็ได฾ เพราะคนโบราณน้ัน เมอ่ื มองเห็นอะไรท่ีนํามาเปรียบเทียบได฾ หรือสร฾างเป็นคําคมข้ึนมาได฾ก็ย฽อมจะนํามากล฽าวอ฾างไว฾ ทํา ให฾เนื้อหาหลากหลายและย฽อมจะขัดแย฾งกันได฾ เช฽น คําพูดว฽า น้าขึ้นให้รีบตัก จะขัดแย฾งกับคําพูด ที่ว฽า ช้าช้าได้พร้าเล่มงาม ดังนั้นในการใช฾คําคมเหล฽าน้ีจึงข้ึนอย฽ูกับสถานการณแด฾วย เช฽น น้าข้ึนให้ รีบตัก จะใช฾ในสถานการณแท่ีจําเป็นต฾องเร฽งรีบจึงจะได฾ประโยชนแ ถ฾าช฾าก็อาจจะเสียโอกาสไป แต฽ใน บางสถานการณแ ถ฾าเร฽งรีบทําไปก็อาจจะเกิดความผิดพลาดได฾ จึงควรจะทําช฾า ๆ เพ่ือให฾ได฾สิ่งท่ีดีมี คุณคา฽ อยา฽ งแท฾จริง กจ็ ะใช฾คําสอนวา฽ ชา้ ชา้ ไดพ้ รา้ เล่มงาม สํานวน คําพงั เพย และภาษติ บางบทเกิดจากการพูดถึงเหตุการณแอย฽างใดอย฽างหนึ่ง เช฽น ฆ฽าควายเสยี ดายพริก ซ่งึ มีความหมายว฽า ทําการใหญ฽แต฽ไมก฽ ล฾าลงทนุ ทจ่ี ําเปน็ การนั้นอาจจะเสียหาย หรือไม฽สําเร็จ เหมทอนการฆ฽าความทําอาหารแต฽ไม฽ใช฾พริกปรุงให฾เพียงพอรสชาติของอาหารจึงไม฽ อร฽อยเท฽าท่ีควร มีท฽านผ฾ูร฾ูกล฽าวว฽าข฾อความนี้แต฽เดิมควรจะเป็น ฆ฽าควายอย฽าเสียดายเกลือ เพราะคน ไทยใช฾เกลือหมักเนื้อสดหรือปลาสดตากแห฾งเก็บไว฾รับประทานได฾นาน ต฽อมามีผู฾เปลี่ยนเกลือให฾เป็น พรกิ ซึง่ เป็นส฽วนประกอบในการทําอาหารเหมอื นกัน แต฽มีประโยชนแในการให฾รสชาติ ไม฽ใช฽รักษาเนื้อ ไม฽ให฾บดู เนา฽ นอกจากนีก้ ็มถี ฾อยคาํ ที่เกิดจากการย฽อหรือตัดตอนเรือ่ งราว เชน฽ กบเลอื กนาย หมาปุากับ ลูกแกะ อง฽ุนเปรี้ยว ซึ่งมาจากนิทานคติ (ประพนธแ เรืองณรงคแ และ เสาวลักษณแ อนันตศานตแ , ๒๕๔๗, หน฾า ๑๖๖-๑๖๗) ลกั ษณะของภาษิต สานวน และคาพังเพย ภาษิต สํานวน และคําพังเพย เป็นคํากล฽าวส้ัน ๆ มีท้ังท่ีเป็นร฾อยแก฾ว และร฾อยกรองมี ลกั ษณะโดยรวม ดงั นี้ วาสนา เกตุภาค, ๒๕๒๑, หนา฾ ๑๒ อา฾ งใน (เรไร ไพรวรรณ,แ ๒๕๕๑, หน฾า ๖๓) เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมท฾องถ่นิ ช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี ๖ | นายกติ ศิ กั ดิ์ สขุ วโรดม ผเู้ รียบเรียง ๑๙๒

๑. เป็นประโยคหรือวลี ท่ีมีถ฾อยคําไพเราะ มีสัมผัสคล฾องจอง มีการเล฽นสัมผัสสระ หรือ สมั ผัสอกั ษร เช฽น ขิงกร็ าขา฽ กแ็ รง กอ฽ กรรมทําเขญ็ เปน็ ต฾น ๒. ใช้ถ้อยคาสั้น กะทัดรัด โดยมีความหมายที่ลึกซ้ึง กินความมาก เช฽น ก้ิงก฽าได฾ทอง หัวล฾านได฾หวี เป็นตน฾ ๓. เน้ือหาต้องการสั่งสอน ให฾คติ โดยถ฾าเป็นคําสอนมักจะใช฾คําว฽า จง เมื่อต฾องการให฾ กระทาํ และใชค฾ าํ ว฽า อยา฽ เมือ่ ตอ฾ งการไม฽ใหก฾ ระทํา เชน฽ อยา฽ งา฾ งภเู ขา จงนบนอบต฽อผใู฾ หญ฽ เปน็ ตน฾ ๔. ใช้ถ้อยคาในเชิงเปรียบเทียบ อุปมาอุปไมย หรือบุคลาธิษฐาน เช฽น ลิงได฾แก฾ว คางคกขึน้ วก ชกั แมน฽ าํ้ ท้ังห฾า เปน็ ต฾น ถ฾าพิจารณาตามโครงสร฾างภาษิต สํานวน และคําพังเพยของไทยส฽วนมากประกอบด฾วย คําไทยแท฾พยางคแเดียวเรียงอย฽ูเป็นกล฽ุมคํา วลี หรือประโยค ซ่ึงจะได฾กล฽าวต฽อไปในเร่ืองการแบ฽ง ประเภทของภาษติ สาํ นวน และคาํ พังเพย (เรไร ไพรวรรณแ, ๒๕๕๑, หน฾า ๖๓) ประเภทของภาษิต สานวน และคาพังเพย ประเภทของภาษิต สํานวน และคําพังเพย น้ันนักคติชนวิทยาได฾ศึกษาและแบ฽งโดยใช฾ เกณฑแในการแบ฽งต฽าง ๆ กันไปแล฾วแต฽จะม฽ุงศึกษาในรายละเอียดแบบใด เช฽น แบ฽งตามลักษณะคํา สอน แบ฽งตามการเกดิ แบ฽งตามกลวธิ ีการสอน เป็นต฾น ในทีน่ ้จี ะนาํ มาเสนอเพยี งบางวธิ ี ดังน้ี ๑. แบ่งตามมูลเหตกุ ารณ์เกดิ หรือที่มาของภาษติ สานวน และคาพังเพย การแบ฽งลักษณะนี้โดยการพิจารณาจากมูลเหตุต฽าง ๆ ที่ทําให฾เกิดภาษิตสํานวนขึ้น (บุป ผา บุญทิพย,แ ๒๕๓๑, หน฾า ๙๕-๙๖) อ฾างใน เรไร ไพรวรรณแ, ๒๕๕๑, หนา฾ ๖๔ ไดแ฾ ก฽ ๑.๑ เกิดจากธรรมชาติ เช฽น เต฽าใหญ฽ไข฽กลบ เป็นสํานวน หมายความว฽า ทําอะไรที่เป็น พิรุธแล฾วพยายามกลบเกลื่อนไม฽ให฾คนอ่ืนรู฾ (สง฽า กาญจนาคพันธุแ, ๒๕๓๘, หน฾า ๒๔๑) อ฾างใน เรไร ไพรวรรณ,แ ๒๕๕๑ หน฾า ๖๔ เป็นธรรมชาติของเตา฽ ใหญ฽ เชน฽ เต฽าตนุท่ีอยู฽ในทะเล เวลาไข฽จะคลานเข฾า มาบนหาดทราย หาทาํ เลท่จี ะวางไขไ฽ ด฾แลว฾ จะคย฾ุ ทรายเป็นหลุมแล฾วไข ไข฽สุดแล฾วจะเข่ียทรายกลบไว฾ แล฾วเอาไถทรายให฾เรียบเหมือนเดิม เป็นการปูองกันอันตรายให฾ไข฽ ภาษิต สํานวน และคําพังเพย ท่ี เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ฾ งถนิ่ ชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ ๖ | นายกิติศักด์ิ สขุ วโรดม ผู้เรยี บเรียง ๑๙๓

เกิดจากธรรมชาติมีมาก เช฽น ตื่นก฽อนไก฽ ลูกไม฾หล฽นไม฽ไกลต฾น แมลงเม฽าบินเข฾ากองไฟ ไก฽แก฽แม฽ปลา ชอ฽ น นํา้ น่งิ ไหลลึก ววั แก฽กนิ หญา฾ อ฽อน ฯลฯ ๑.๒ เกิดจากการกระทาของมนุษย์ เช฽น จุดไต฽ตําตอ หมายความว฽า พูดหรือทําส่ิงหน่ึง สิ่งใดมาโดนกับผู฾ท่ีเขาเป็นเจ฾าของเร่ืองน้ันเอง หรือตัวเขาเองโดยท่ีคนพูดหรือคนทํานั้นไม฽ร฾ูตัว สํานวนนี้เข฾าใจว฽ามาจากจุดไต฾ไฟให฾สว฽าง ควรจะเห็นหนทางแล฾วยังไปปะทะกับตอเข฾าอีก บางครั้ง เพียงคําส้ัน ๆ ว฽า ตําตอ หรือ ชนตอ นอกจากน้ียังมี แกว฽งเท฾าหาเส้ียน ปลูกเรือนคร฽อมตอ ปากว฽า มือถึง ปิดทองหลังพระ กินขา฾ วตม฾ กระโจมกลาง โกรธหมาดาํ ทําหมาแดง พล้ังปากเสียสนิ พลั้งตีนตก ตน฾ ไม฾ ฯลฯ ๑.๓ เกิดจากอาชีพและส่ิงแวดล้อมในชีวิตประจาวัน เช฽น ตีวัวกระทบคราดซึ่ง หมายถึงแกล฾งพูดหรือทําส่ิงหน่ึงให฾กระทบกระเทือนไปถึงอีกสิ่งหน่ึง โดยนําคราดกับวัวมา เปรียบเทียบ คราดทําด฾วยไม฾เป็นซี่ ๆ มีคันยาว ๆ ใช฾วัวลากกวาดมูลฝอยเศษหญ฾าตามพื้นดินในนา เวลาจะคราดหญา฾ กต็ วี ัวให฾ลากคราดไป นอกจากน้ีก็ยังมี วัวหายล฾อมคอก เกี่ยวแฝกมุงปูา ใกล฾เกลือ กนิ ดา฽ ง ก฾นหม฾อยงั ไม฽ทันดาํ ฆ฽าควายอย฽าเสยี ดายพริก ติเรอื ทง้ั โกลน ฯลฯ ๑.๔ เกิดจากอุบัติเหตุ เช฽น นําเช่ียวขวางเรือ หมายถึง การขัดขวางเร่ืองหรือเหตุการณแ ท่ีเกิดข้ึนและกําลังเป็นไปอย฽างรุนแรง ซ่ึงจะเป็นอันตรายต฽อผู฾ขัดขวาง เปรียบเทียบกับกระแสนํ้าท่ี กาํ ลงั ไหลเช่ียว มีความรุนแรง ถา้ํ เรอื ไปขวางกจ็ ะเกิดอันตรายได฾สํานวนอื่น ๆ นอกจากน้ี เช฽น ดับไฟ แต฽ตน฾ ลม ตกกระไดพลอยโจน กม฾ นกั นกั ชวน ๑.๕ เกิดจากระเบียบแบบแผนประเพณี ความเช่ือ เช฽น ปลูกฝใง หมายความว฽า ทําให฾ เป็นหลักฐานม่นั คง ให฾ตง้ั ตัวได฾มีท่มี าจากพธิ ีฝใงทารกแรกเกิด ซ่ึงในสมัยโบราณเม่ือทารกคลอดแล฾วก็ จะเอารกใส฽หม฾อตาลโรยเกลือปิดข฾างบนครบ ๓ วัน ก็จะทําพิธีฝใงนํามะพร฾าวแทงหน฽อ ๒ ผลไป พร฾อมกัน ที่ฝใงรกกําหนดเอาที่ดินแห฽งหนึ่งในบริเวณบ฾าน ขุดดินฝใงรกแล฾วเอามะพร฾าวแทงหน฽อ ๒ ผล ปลูกลงขา฾ ง ๆ หม฾อรกด฾วย ท่ีท่ี “ฝใงรก” และ “ปลูกมะพร฾าว” นั้น ต฽อไปบิดามารดาจะกําหนดให฾ เป็นที่ปลูกเรือนหอของลูกเวลาแต฽งงาน คําว฽า “ปลูกฝใง” จึงได฾มาจากพิธีปลูกมะพร฾าว และฝใงรกลง ในดินท่ีกําหนด จะยกให฾ลูกเวลาโตทําให฾เป็นหลักฐานต้ังตัวได฾มั่นคงต฽อไป นอกจากน้ียังมีผีซ้ําดํา เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมทอ฾ งถน่ิ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๖ | นายกิตศิ กั ดิ์ สขุ วโรดม ผเู้ รียบเรียง ๑๙๔

พลอย คนตายขายคนเป็น ต่ืนก฽อนนอนท่ีหลัง ปลูกเรือนตามใจผ฾ูอยู฽ มีผัวผิดคิดผิดจนตัวตาย เข฾า ตามตรอกออกตามประตู กระดกู ร฾องได฾ ฯลฯ ๑.๖ เกิดจากลัทธิศาสนา เช฽น ตักบาตรถามพระ หมายถึง ให฾อะไรแก฽ผู฾ใดก็ได฾ต฾องถาม เม่ือจะให฾ก็ให฾ โดยนําการออกบิณฑบาตของพระมาเปรียบ นอกจากนี้ได฾แก฽ ขนทรายเข฾าวัด ทําคุณ บูชาโทษ กรรมตามทัน ทําดีได฾ดี ทําชั่วได฾ช่ัว ไปวัดไปวาได฾ พระมาลัยมาโปรด ผ฾าเหลืองร฾อน ฯลฯ ๑.๗ เกิดจากความประพฤติ อุปนิสัยของบุคคล เช฽น ตําข฾าวสารกรอกหม฾อ หมายถึง ทําอะไรพอแต฽ให฾เสร็จเพยี งคร้ังหนง่ึ ๆ เรอ่ื ย ๆ ไป ในสมัยโบราณไมม฽ ีร฾านขายข฾าวารเวลาจะหุงข฾าวก็ นําขา฾ วเปลอื กทเี่ ก็บไว฾มาตําเป็นข฾างสารให฾พอหุงกินไปวัน ๆ เท฽านั้น นอกจากสํานวนน้ีก็มี ยกตนข฽ม ทา฽ น ขีเ้ กียจหลังยาว คมในฝใก น้ําขึน้ ใหร฾ บี ตัก ตํานา้ํ พริกละลายแมน฽ ํา้ ตนี ไมถ฽ อื มือไมต฽ ฾อง ฯลฯ ๑.๘ เกิดจากการละเล่น เช฽น สู฾จนยิบตาหรือส฾ูจนเย็นตา ได฾มาจาการขนไก฽ หมายถึงสู฾ จนถึงทสี่ ุด สอู฽ ย฽างไม฽ยอ฽ ทอ฾ ส฾ไู มถ฽ อย นอกจากนีก้ ็มี ดูตาม฾าตาเรือ มาจากการเลน฽ หมากรกุ เขา฾ ตาจน มาจากการเลน฽ หมากรกุ จนแต฾ม มาจากหารเลน฽ หมากรุก เสือกนิ ววั ย฽างสามขุน มาจากการเล฽นกระบก่ี ระบอง ว฽าวติดลม มาจากการเลน฽ ว฽าว เสยี้ มเขาควายให฾ชนกัน มาจากการชมควาย ไม฽ตายกค็ างเหลอื ง มาจากการชนไก฽ ชกมวย ๑.๙ เกิดจากนิทาน นิยาย ตานาน เช฽น กระต฽ายต่ืนตูม เด็กเลี้ยงแกะ ชาวนากับงูเห฽า กบเลือกนาย ดอกพิกลุ ร฽วง งอมพระราม ว฽าแตเ฽ ขาอเิ หนาเปน็ เอง ตปี ลาหน฾าไซ ลกู ทรพี ฯลฯ เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ฾ งถิ่น ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๖ | นายกิติศักด์ิ สขุ วโรดม ผู้เรียบเรยี ง ๑๙๕

๑.๑๐ เกิดจากพงศาวดารหรือประวัติศาสตร์ เช฽น คนรักเท฽ารอยตีนเสือ คนซังคนเบื่อ คนกว฾างกว฽าเสื่อรําแพน (พงศาวดารโยนก) ทํามิชอบเข฾าลอบตนเอง (พงศาวดารเหนือ) ข฾าวเหลือ เกลืออิ่ม (กฎมณเทียรบาล) เรอื นท฽านเคยอยู฽ อ฽ูท฽านเคยนอน หมอนท฽านเคยเรียง เสบียงท฽านเคยกิน (กฎหมายลักษณะผวั เมีย กรงุ ศรีอยธุ ยา) ๑.๑๑ หมวดเบ็ดเตลด็ อ่นื ๆ ทน่ี อกเหนือจาก ๑๐ ข้อข้างต้น เช฽น บ฾านเมืองไม฽มีขื่อไม฽ มีแป มะพรา฾ วห฾าวยัดปาก เลยี้ งไก฽กลวั เสยี ร้วั ทํานาออมกลา฾ ฯลฯ ๒. แบ่งตามลักษณะการใช้เสยี ง การแบง฽ ลกั ษณะน้ถี า฾ พจิ ารณาอย฽างกว฾าง ๆ แบ฽งภาษิต สํานวน และคําพังเพย ได฾เป็น ๒ กล฽มุ กล฽ุมที่มเี สียงสัมผัส และกลุม฽ ท่ีไม฽มีเสยี งสมั ผัส ๒.๑ กลุ่มที่มีเสียงสัมผัส คือ พวกที่มีสัมผัสคล฾องจองกัน เช฽น เลือกนักมักได฾แร฽ สาวไส฾ ให฾กากิน พูดดเี ปน็ ศรีแกต฽ วั เป็นตน฾ แบ฽งออกได฾เปน็ ๒.๑.๑ สัมผสั สระ เชน฽ ผกู ศอกออกวา เสียดายเกลือเน้ือเน฽า ช฾าเป็นการนามเป็นคุณ ซ่อื กินไม฽หมด คดกินไม฽นาน รกั ววั ใหผ฾ ูก รักลกู ใหต฾ ี สเี่ ท฾ายังร฾พู ลาด นักปราชญยแ ังรู฾พลัง้ เป็นต฾น ๒.๑.๒ สมั ผสั พยัญชนะ เช฽น กงกาํ กงเกวยี น ขิงกร็ าขา฽ ก็แรง ยใุ หร฾ าํ ตําใหร฾ วั่ ๒.๒ กลุ่มที่ไม่มีเสียงสัมผัส ได฾แก฽ กินนํ้าไม฽เผ่ือแล฾ง กว฽าถั่วจะสุกงาก็ไหม฾ ตําน้ําพริก ละลายแม฽น้ํา สิบร฾ูไม฽เท฽าชํานาญ ๓. แบ่งตามลกั ษณะการใชภ้ าพพจน์ ภาพพจนแเป็นคําที่นักวรรณกรรมกําหนดใช฾ตรงกับภาษาอังกฤษว฽า Figure of speech เร่ิมใช฾เม่ือ พ.ศ. ๒๔๗๘ หมายถึงการสร฾างมโนภาพให฾เกิดขึ้น โดยอาศัยถ฾อยคําสํานวน (เรไร ไพรวรรณ,แ ๒๕๕๑, หนา฾ ๖๖) แบง฽ ภาษติ สํานวน และคาํ พังเพย ในลักษณะนี้ไดแ฾ ก฽ ๓.๑ แบบอุปมา เป็นภาษิต สํานวน และคําพังเพย ที่นําสิ่งต฽าง ๆ มาอ฾างเปรียบโดยจะ ใชค฾ ําวา฽ เหมอื น อย฽าง ดงั ราวกบั หรอื ยงั กะ เป็นคาํ เชือ่ ในการเปรียบเทยี บ เช฽น ทาํ งานเหมอื นหมาเลียน้ําร฾อน หมายถึง ทาํ งานไม฽เรยี บร฾อย ไว฾ใจไมไ฽ ด฾ เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ฾ งถิ่น ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๖ | นายกิติศกั ด์ิ สขุ วโรดม ผู้เรียบเรยี ง ๑๙๖

ยง฽ุ เหมือนยุงตกี นั หมายถงึ ยุ฽งเหยิง สับสนปนเป ย฽งุ เหมอื นลิงแกแ฾ ห ใจยังกะดินประสิว หมายถงึ ว฽ูวามโมโหฉนุ เฉยี วง฽าย เดือนยังกะจบั มด หมายถึง เดือนหงายแจม฽ สว฽างเต็มที่ จนแทบจะจบั มดตัวเล็ก ๆ ได฾ ถอยหลังเหมือนก฾งุ หมายถึง ข้ีขลาด เวลาไปเหมอื นไกจ฽ ะบิน หมายถึง แสดงอาการเรงิ ร฽าที่จะได฾ไป เจ฿กปราศรยั เหมอื นไทยตีกนั หมายถงึ เสียงดังเหมือนกบั คนไทยทะเลาะววิ าทกัน วาจาเหมือนงาชา฾ ง หมายถึง พดู แลว฾ ไม฽คืนคาํ ๓.๒ แบบอุปลักษณ์ ภาษิต สํานวน และคําพังเพย ลักษณะน้ีจะมีการเปรียบเทียบ คลา฾ ยกับอปุ มา ต฽างกันตรงที่ไมม฽ ีคําเชอื่ ม แตจ฽ ะนําเอาลกั ษณะเด฽นของสิ่งน้ันมาใช฾เพ่ือชักจูงความคิด ให฾เปรียบเทียบในสิ่งที่ต฾องการจะกล฽าวถึง เช฽น หมาเห็นข฾าวเปลือก หมายความว฽า เห็นแล฾วชอบแต฽ ไมส฽ ามารถจะได฾สมหวงั อาจจะเปน็ ดว฾ ยฐานะต่ํากว฽าเปรียบได฾กับหมาเห็นข฾าวเปลือกจะกินไม฽ได฾ ตีน แมว เรยี กพวกหวั ขโมยซึง่ มฝี ีเทา฾ เบาเหมือนแมว นอกจากน้เี ชน฽ ดอกฟาู กบั หมาวัด จระเข฾ขวางคลอง คางคดขึ้นวอ หมูไม฽กลัวน้ําร฾อน วัวแก฽กินหญ฾าอ฽อน ไก฽อ฽อน อย฽าเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ นํ้าตาล ใกลม฾ ด หนูตกถงั ขา฾ วสาร เปน็ ต฾น ๓.๓ แบบบคุ ลาธิษฐาน คือ การนําส่ิงไม฽มีชีวิตหรือนามธรรมกล฽าวถึงเหมือนเป็นบุคคล ที่มีชีวิต เช฽น ปากมีหูประตูมีช฽อง ข฾าวรักนา กระดูกร฾องไห฾ ฝนสั่งฟูาปลาสั่งนํ้า อาสนแร฾อน นํ้าส่ังฟูา ปลาส่ังฝน นา้ํ ใสใจจริง ฝามหี ูประตูมีตา เป็นต฾น ๓.๔ แบบอธิพจน์ หรือ ภาพพจนแเกินจริง เช฽น อกไหม฾ไส฾ขม พูดน้ําไหลไฟดับ เอาหัว เดินต฽างตีน อยู฽ในปากเสือปากหมี หูอยู฽นาตาอย฽ูไร฽ เสียงเท฽าฟูาหน฾าเท฽ากลอง เส฾นผมบังภูเขา พลิก แผ฽นดิน เคียวอยใู฽ นทอ฾ ง เป็นตน฾ ๓.๕ แบบนามนัย คือ การเปรียบเทียบโดยใช฾ส฽วนย฽อยแทนส฽วนรวมท้ังหมดหรือแทน ความคิดท้ังหมดที่มีความสัมพันธแกัน อย฽างเช฽น ข฾าวเหลือเกลืออิ่ม หมายถึง บ฾านเมืองอุดมสมบูรณแ เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมทอ฾ งถิน่ ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๖ | นายกติ ิศักดิ์ สขุ วโรดม ผู้เรยี บเรียง ๑๙๗

ด฾วยขา฾ วปลาอาหาร นอกจากน้ี เช฽น ในนํา้ มีปลา ในนามีข฾าว ข฾าวยากหมากแพง หมอบราบคาบแก฾ว อ฽ุนหนาฝาคั่ง เปน็ ตน฾ ๓.๖ แบบเลน่ เสียงและจงั หวะ คือ มเี สียงสมั ผัสและจงั หวะ เชน฽ ขิงก็ราข฽าก็แรง ยุให฾รํา ตําให฾ร่วั รกั ยาวใหบ฾ ่ัน รกั สนั้ ให฾ต฽อ คบคนให฾ดูหนา฾ ซื้อผ฾าให฾ดูเน้ือ ช่ัวช฽างชี ดีช฽างสงฆแ ชาติเสือต฾องไว฾ ลาย ชาตชิ ายตอ฾ งไว฾ชอ่ื คบั ทอ่ี ย฽ูได฾ คบั ใจอยูย฽ าก เปน็ ต฾น ๔. แบ่งตามโครงสร้าง ภาษิต สํานวน และคาํ พังเพย มโี ครงสร฾างเป็นคํา วลี และประโยค ดงั น้ี ๔.๑ คํา ภาษิต สํานวน และคําพังเพย ท่ีมีการโครงสร฾างเป็นคํามีท้ังท่ีเป็นพยางคแเดียว หรอื คําหลายพยางคแ เชน฽ คา หมายถงึ เตา฽ เชอื่ งชา฾ งุม฽ งา฽ ม หมู งา฽ ย สะดวก อว฾ น สกปรก เสือ ดุรา฾ ย มีอาํ นาจ กลว฾ ย ง฽าย เจว็ด มแี ต฽ตําแหนง฽ ไม฽มี อํานาจ ไม฽มใี ครนับถอื การฝาก แฝงกินอยก฽ู บั ผอ฾ู นื่ โดย ไม฽ทาํ ประโยชนอแ ะไรให฾ ปลาไหล ลืน่ จับไม฽อยู฽ เอาตวั รอดไปได฾เร่ือย ๆ นกกระปดู ชอบพดู แพร฽งพราย ความลับ ๔.๒ วลี ถ฾าพจิ ารณาตามโครงสรา฾ งลักษณะน้ีอาจแบ฽งไดเ฾ ปน็ เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณกรรมท฾องถนิ่ ช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ ๖ | นายกิติศกั ดิ์ สขุ วโรดม ผูเ้ รยี บเรยี ง ๑๙๘

๔.๒.๑ นามวลี เช฽น ช฾างเทา฾ หน฾า ไกแ฽ กแ฽ มป฽ ลาไหล ผู฾ตแี ปดสาแหรก ทาสในเรือนเบี้ย ทองแผน฽ เดยี วกนั หมาหางดว฾ น ขม้ินกับปูน เปน็ ต฾น ๔.๒.๒ กรยิ าวลี เชน฽ ตกั น้ํารดหัวตอ กินทิพยแ เขา฾ ขา ขอไปที คดิ บญั ชี โง฽เง฽าเต฽าตุ฽ม ดู ดาย เปน็ ตน฾ ๔.๒.๓ วเิ ศษณวแ ลี เช฽น ตีแตก ดําเป็นเหนี่ยง งามหน฾า ขาวเป็นไข฽ปอก มากหมอมาก ความ ขาวเป็นสําลเี ม็ดใน ดําเป็นตอตะโก ไกลปนื เทีย่ ง เปน็ ต฾น ๔.๓ ประโยค ภาษิต สํานวน และคําพังเพย ที่มีโครงสร฾างเป็นประโยคมีลักษณะต฽าง ๆ ดังนี้ (เรไร ไพรวรรณแ, ๒๕๕๑, หน฾า ๖๘) ๔.๓.๑ ประโยคเดียวหรือเอกรรถประโยค เชน฽ อยา฽ ง฾างภูเขา หมกี นิ ผงึ่ ๔.๓.๒ ประโยคละประธาน เชน฽ เขา฾ ปาุ อยา฽ เสยี เหมือง เข฾าเมืองอยา฽ งเสยี ขนุ ไปุพบววั อยา฽ ฟ่ในเชือก ไปเู หน็ เรือกอยา฽ ตัง้ รา฾ น ไมเ฽ หน็ นาํ้ ตดั กระบอก ไม฽เหน็ กระรอกโกง฽ หน฾าไม฾ ๔.๓.๓ มีคาํ ว฽า “อย฽า” อยร฽ู ะหว฽างประโยค เช฽น ววั ไมก฽ ินหญ฾าอย฽าข฽มเขา ตัวเป็นไทยอย฽า คบทาส ตวั เปน็ ปราชญอแ ยา฽ คบคนพาล เป็นตน฾ ๔.๓.๔. มีคําว฽า “มัก” อย฽ูระหว฽างประโยค เช฽น กล฾านักมักบ่ิน ด้ินนักมักเจ็บ ทุกขแนักมัก เศร฾า เป็นต฾น ๔.๓.๕ มคี าํ วา฽ “ให”฾ อย฽ูระหวา฽ งประโยค เชน฽ เขยี นเสือให฾วัวกลัว รักยาวให฾บ่ัน รักส้ันให฾ ต฽อ ดกั ลอบให฾หมน่ั กู฾ เจ฾าช฾ใู ห฾หมน่ั เกี้ยว เปน็ ต฾น ๔.๓.๖ แบบอเนกรรถประโยคทมี่ คี ําซํา้ กัน เชน฽ ซาํ้ คาํ ท่ี ๑ ของแตล฽ ะประโยค เช฽น เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า วรรณกรรมท฾องถ่ิน ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๖ | นายกิตศิ ักดิ์ สขุ วโรดม ผู้เรยี บเรียง ๑๙๙


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook