Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Description: 22

Search

Read the Text Version

ถ้าน้องๆ คนไหนชอบอ่านประวัติศาสตร์ ทั้งประวัติศาสตร์ของ ชนชาติไทยและประวัติศาสตร์โลก ก็อาจจะเคยมีปัญหาค้างใจว่า ทำ ไม อาณาจักรต่างๆ ที่เคยรุ่งเรือง มาถึงที่สุดแล้ว แต่ต่อมาภายหลับกลับ ทรุดลงๆ อะไรเป็นต้นเหตุเรื่องเหล่านี้ อาจารย์ของผมเคยชี้ประเด็นของเรื่องนี้ให้ดู ท่านยกตัวอย่างว่า \"ในทางยุโรป ก็เป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่าอาณาจักรที่รุ่งเรืองมาก อย่างยิ่งคือ อาณาจักรกรืก อาณาจักรโรมัน แต่อาณาจักรกรีกก็สลาย กลายมาเป็นประเทศเล็กนิดเดียวในขณะนี้ อาณาจักรโรมันก็ไม่มีเหลือ กระจัดกระจายกลายเป็นประเทศต่างๆ ในยุโรปหมดแล้ว ส่วนทางเอเชียของเรา ก็ต้องบอกว่าชนชาติจีน ชนชาติอียิปต์ ชนชาติขอม และชนชาติอินเดีย ที่เคยมีความรุ่งเรืองทางต้านจริยธรรม สถาปัตยกรรม รวมทั้งการปกครองมาอย่างมากมาย แต่แล้วอินเดียก็ กลับมีสภาพโทรมๆ อย่างปัจจุบัน อียิปต์ก็ถึงกับตกเป็นเมีองขึ้นของเขา มาก่อน เช่นเดียวกับประเทศอินเดีย ขอมก็สูญชาติไปแล้ว จีนก็ยํ่าแย่ เหมือนกันดีแต่ว่ามีพลเมืองมาก ก็เลยยังคงคุณลักษณะเป็นพี่เบิ้มอยู่ไต้ แต่วิชาการต่างๆ ได้สูญหายไปมากมายแล้ว คนที่จะหาข้อสรุปตรงนี้ไต้ ต้องไม่ทิ้งการสิกษาคำสอนใน พระพุทธสาสนา เพราะฉะนั้น คุณจงจำไวิให้ดีนะ ถ้ายุคใดสมัยใดคืษย์ขาดความ เคารพครูบาอาจารย์ จะด้วยเนื่องจากเหตุใดก็ตาม วิชาการในโลกจะ เสือมลงๆ จนหมดไป\" ทำ ไมจึงเป็นเช่นนั้น อาจารย์อธิบายให้ผมฟังต่อไปว่า \"พวกเราถ้าไม่มาเป็นครู จะไม่เข้าใจห้วอกครู โดยทั่วไปแล้ว ถ้า นส่ wifionljSlufiintTmโยารย ®pO

เจาะจงลงไปเฉพาะ ครูบาอาจารย์ที่แนะดีและนำดี แล้ว ยังสามารถแปง ครูอาจารย์กลุ่มนื้!ด้อีก ๒ ประ๓ทใหญ่ๆ ตามความรู้และฐานะคือ ๑) ครูบาอาจารย์ที่แ'แะดี นำ ดี และมีฐาน,ะดี ๒) ครูบาอาจารย์ที่แนะดี นำ ดี แต่ฐานะไฝดี ยังต้องอาล้ยเงิน เดือนเลี้ยงเพ อาจารย์ทั้ง ๒ ประ๓ทนี้ เวลาท่านสอนหนังสิอให้ลูกคืษย์ ท่านมี ความรู้สืกนึกคิดแตกต่างกันอย่างไร ครบาอาจารย'ประเภทกี่ ๑ แบะดี นำ ดี และมีฐาบะดี ครูบาอาจารย์ประ๓ทนี้ที่มาสอนลูกคิษย์นั้นไม่ได้เห็นแก่เงินดาวน์ เงินเดือนเลย แต่ที่มาสอนให้เพราะสงสารว่าลูกคิษย์จะโง่ ไม่มีวิชาติดตัว ไปทำมาหากิน จึงได้ทุ่มเทสละเวลามาสอน บางท่านก็เล่าให้ฟังตรงๆ ว่า เงินเดือนที่ท่านได้รับไม่ค่อยพอกับ ค่านํ้ามันรถ และค่าภาษีสังคม ในฐานะเป็นครูบาอาจารย์เสิยด้วยชํ้า แต่ ที่มาสอนอยู่ทุกวันนี้ เพราะสงสาร เกรงว่าประเทศชาติบ้านเมีองจะไปไม่ รอด เพราะมีแต่เยาวชนโง่ๆ ส่วนรายได้ที่เลี้ยงครอบครัวอยู่นั้น ได้อาสัยจากกิจการอื่น เช่น เป็นห้นล่วนทำการค้าบ้าง มีสมบัติเดิมเอาไว้ให้เช่าให้ขายกินบ้างเพราะ ฉะนั้นท่านก็ยังยืนหยัดของท่านอยู่ได้ลำพังเงินเดือนครูแล้วไม่พอใช้เลย อีกอย่างที่อดทนสอนอยู่ได้ เพราะรู้ว่าความรู้ชนิดนั้นๆ ใน ประเทศไทยมีคนที่รู้อย่างท่านเพียงไม่กี่คน ท่านตั้งใจถ่ายทอดความรู้ นั้นไว้ให้คนรุ่นหลังๆ ครูบาอาจารย์ที่มีนั้าใจประเสริฐเช่นนี้มีอยู่ไม่น้อย เหมีอนกัน Ufi mfianliไน1วพ«ฑิท1/1รย 6>QQ iKij{li(iU)mM}(|qpnglth-tnIan

แต่อย่างไรก็ดี มีข้อที่ควรระวังก็คึอ ครูบาอาจารย์ประ๓ทนี้ เมื่อไม่ได้รับการเคารพเท่าที่ควรจะเป็น จะหยุดสอน เพราะไม่รู้จะมาง้อ สอนไปทำไม จะยึดเป็นอาชีพเลี้ยงตัวก็ไม่ได้ เพราะเห็นอยู่แล้วว่าต้อง ควักเงินตัวเองออกมาเพื่อท่าการสอน เมื่อหยุดสอนก็เก็บความรู้เอาไว้ กับตัวเอง แล้วในที่สุดความรู้ก็ตายกับท่านด้วย แค่ความเคารพของลูกตัษย์ ที่หายไปจากใจ ก็ทำ ให็วิชาการเสือมหายไปด้วยประการฉะนี้ เพราะฉะนั้น ขอให้พวกเราเข้าใจหัวอกครูบาอาจารย์ด้วย ครูบาอาจารย์ประเภทที่ ไรว แบะด นาดี แต่ฐานะไปดี ยังต่อง อายัยเงิน!ดีอบเลี้ยงชีพ ครูบาอาจารย์ประ๓ทนี้มีอยู่จำนวนมาก แล้วหัวอกของท่านเป็น อย่างไรบ้าง ครูบาอาจารย์ประ๓ทนี้ เมื่อไม่ได้รับความเคารพเท่าที่ควรจะเป็น ท่านจะออมความรู!ว้ มีความรู้ ๑๐๐ ท่านก็ไม่สอนให้หมดทั้ง ๑๐๐ เพราะท่านเห็นลูกสืษย์ไม่มีอาการน้อมรับความรู้ เหมีอนโอ่งนํ้าที่ตั้งเอียง กระเท่เร่ คนตักนํ้ามาใส่ก็ไม่กล้าเทนํ้าหมดถัง เพราะกลัวโอ่งจะควํ่า เสืย นํ้าไปเปล่าๆ ครูบาอาจารย์เหล่านี้ท่านจะสอนแบบเนือยๆ เพราะไม่มี กำ ลังใจสอน มีความรู้ ๑๐๐ อาจจะสอนแค่ ๕๐ หรือสอนตามหลักสูตร เท่านั้น แม้เทคนิคการสอนที่จะพลิกแพลงให้สนุกสนาน น่าเรืยน น่า ติดตาม ท่านก็ไม่มีอารมณ์ที่จะแสดงเสืยแล้ว ยิ่งความรู้ใหม่ๆ ที่ท่าน ค้นคว้ามาได้เองนอกหลักสูตร ท่านก็ไม่อยากที่จะสอนให้ เพราะขนาด ยังรู!ม่เท่าท่านยังไม่เคารพเลย นี่ถ้ารู้เท่าท่านมิเหยียบท่านคอหักตายหรือ แค่.. (อกไฟ้น!วน«mtnSu fijola iinjf(iht««Tnij5ri[>nolt)nnTan

เพราะฉะนั้น ท่านก็สอนแบบหย่อนๆ ไม่เต็มมือ เมื่อเป็นอย่างนี้ ลูกสืษย์ทั้งชั้นก็เลยได้รับความรู้จากท่านมาเพียง ครึ่งๆ ส่วนที่จำเอาไวไปใชั้!ด้ก็ยิ่งน้อยกว่านั้นลงไปอีก ถึงคราวตัวเองไป เป็นครูบาอาจารย์บ้าง กงเกวียนกำเกวียนก็มาแทนที่ ลูกด้ษย์ลูกหาก็ไม่ เคารพตัวเองเหมือนกัน เพราะตัวไม่เคารพครู จึงถ่ายทอดความรู้ความ น่าเคารพไปจากท่านไม่ได้ เพราะฉะนั้น ตัวเองก็ไม่มีกำลังใจที่จะสอนให้เต็มที่อีก ผ่านไป อย่างนี้!ม่กี่ชั้วคนหรอก ความรู้ทางด้านวิชาการก็อันตรธานหายไป มืแต่ คนโง่เต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด เพราะฉะนั้น คำ ตอบที่อาจารย์ได้จากการค้นคว้าประวัติศาสตร์ก็ ดี จากประสบการณ์ทั้งในและนอกประเทศก็ดี ก็เลยได้ข้อสรุปว่า ความ เคารพนั่นแหละเป็นต้นทางของวิชาความรู้ทั้งหลายขาดความเคารพเมื่อไร เมื่อนั้นความรู้จะค่อยๆอันตรธานไปแล้วความโง่ก็จะคลุมบ้านคลุมเมือง\" ทั้งหมดนี้ ก็เป็นข้อคิดที่ผมได้มาจากอาจารย์ที่เคารพรัก น้องๆ อ่านแล้ว อย่าดื้อกับอาจารย์'แะครับ แค่ พวมหาวํทนาร้น ๑0(ท



ช่วงกี่ ๔ ะ หลุบพรางสำหรับQrwrvnuน โดย น้อง ปิแปด หลุมพรางสำหรับนักสืกษา สำ หรับเรื่องนี้ ผมอาจจะพูดอะไรลํวงหนาสิรต •นองๆไปสักนิดหนึ่ง ก็ทนๆ ฟ้งหน่อยแสัวกันนะครับ เรื่องก็มีอยู่ว่า ด้วยความที่มาเรียนอยู่ห่างไกลจาก สายตาของคุณพ่อคุณแม่ บวกกับความเข้าใจว่าตัว เองเป็นผู้ใหญ่แล้ว เลยทำใ'พรุ่นน้องๆ ของผม หลายคนทำอะไรผิดพลาดไปมากอย่างน่าเป็นห่วง แด่ เ?1»18ทไม้ในเวมท!พยใรย ©otf nqinimtiiiiTuMnH'i

ทั้งๆ ที่เมื่อตอนรับน้องใหม่ ผมก็พยายามบอกพวกเขาบ่อยๆ ว่า \"วันแรกที่พวกเราเข้ามาเรียน มีอยู่ด้วยกันเท่าไหร่ วันสุดท้ายที่ เรียนจบ ก็ด้องขึ้นไบ่รับบ่รีญญาจำนวนเท่านั้น\" แต่ความเป็นจริงคือ ไม่มีน้องๆ รุ่นไหนของผมเลย ที่เรียนจบได้ ครบถ้วนตามจำนวนที่มีในรุ่น ผมจึงมีคำถามเกิดขึ้นว่า\"อะไรทำใพ้พรก เขาเรียนไม่จบ ทั้งๆ ที่ไม่ใทํคนโง่\" แม้จะเรียนจบไปแล้ว แต่ผมก็เฝืาทบทวนเรื่องนี้อยู่หลายปี จน กระทั่งวันหนึ่ง ผมได้!ปอ่านหน้งสีอธรรมวิภาค สำ หรับพระภิกษุใช้สอบ นักธรรมตรี ผมจึงได้ข้อสรุปเรื่องนี้ว่า สาเหตุที่ทำให้เรียนไม่จบ ทั้งที่สติ ปัญญาดี ก็เพราะไปตกหลุมพรางอยู่ ๔หลุมใหญ่ด้วยกัน คือ ๑) ไม่ฟังคำทั่งสอนของครูอาจารย์ ๒) ไม่รู้จักประมาณในการใช้จ่าย ๓) จมอยู่ในอบายมุข ๔) หมกมุ่นอยู่ในเรื่องรักใคร่ หลุมพรางกี่ ๑ ไม่ฬจคาส์งสอนของครูอาจารย' น้องๆของผมหลายคนที่โดนรีไทร์ออกไป ก็เพราะไม่ฟังคำทั่งสอน ของครูอาจารย์ สาเหตุของเรื่องนี้มีหลายอย่าง เช่น พรกหนึ่งขาดความเคารพครู อาจารย์ ชอบดูลูกครู ใจเลยบอด ปีดใจไม่รับวิชาครามเของครู บางพวกเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง ทางบ้านปล่อยให้ทำอะไรตามใจ ตัวเองจนเคย พอเช้ามาเรียนในมหาวิทยาลัย ไม่อยากเรียนวิชาไหน หนี เรียนได้ก็หนี แต่ถ้าหนีไม่ได้ ก็มานั่งจับผิดอาจารย์ฆ่าเวลาเสียนึ่ แด่...เจ้าดเ)กไม้ไนใวม«ไพ็ยาi?ย ©0๖ KqtJmiงแแเจ้บฬกนๆ

คนเราพอขาดความเคารพในอาจารย์แล้ว วิชาความรู้ที่อาจารย์ สอนในห้องมีมากเท่าไหร่ ก็เลยไม่สนใจ เพราะมัวแต่จับผิดอาจารย์ พอ เรียนจบชั่วโมง คนอื่นได้วิชาความรู้ แต่เจ้านี่กลายเป็นคนขี้จับผิดเสียแล้ว ความจริงแล้ว เราควรจะจับประเด็นให้ถูกว่า เราเข้ามาเรียนใน มหาวิทยาลัยเพื่ออะไร คำ ตอบ คือ เพื่อต้องการความรู้ ความสามารถ และคุณธรรมใน การใต้ประกอบอารพตามคณะวิชาที่ต้วเรียน แล้วล้าเรามานั่งจับผิดอาจารย์ เราจะได้ความรู้พรีอไม่ ?ไม่ได้ แล้วเราจะได้อะไร ? ได้นิล้ยว่า เข้าไปตรงไหน จะต้องจับผิดคน อื่นทันที คนเรา ถ้าขนาดอาจารย์เข้ามาให้ความรู้แก่ตนเองแท้ๆ ยังมัวมา นั่งจับผิดกันได้ ก็คงยากจะท่าอะไรสำเร็จ เพราะมองไม่เห็นความดีของ ผู้อื่นเสียแล้ว เมื่อติคนอื่นเอาไว้มาก ตัวเองจะไม่กล้าทำอะไร เพราะกลัว เขาจะติคืนบ้าง ผลสุดท้ายก็คือทำไม่เป็น ในการเรียนมหาวิทยาลัยนั้นอย่างที่ได้เคยพูดไว้แล้วว่าครูอาจารย์ ท่านอยู่ด้วยกัน ๔ แบบ โดยจะมีอยู่ ๓ แบบเท่านั้นที่ให้ความรู้ เราได้แต่ละแบบ เราก็ต้องมีวิธีที่จะรันความรู้จากท่าน ซึ่งผมขออนุญาต เล่าทบทวนอีกรอบ คือ ๑) บางท่านแนะดี แต่นำไม่ดี คือ สอนในชั่วโมงเรียนดี แต่ความ ประพฤติส่วนตัวไม่ดี เช่น ท่านชอบชวนกินเหล้า ถ้าได้เรียน กับอาจารย์ลักษณะนี้ ก็ต้องรัชเอามาเฉพาะความรู้ของท่าน แต่อย่าไปรับเอานิสัยของท่านมา ๒) บางท่านนำดี แต่แน.ะไม่ดี คือ ความประพฤติดี มีความรู้ดี แด่ isimanliSlutiunาท็แฑรย oonl ฬทาง#ทriโน(Mmn

แต่สอนในชั่วโมงไม่ดี ถ้าได้เรียนกับอาจารย์ลักษณะนี้ ต้อง รีบเข้าหา เพราะการได้อยูใกล้ท่าน จะทำให้เราได้นิลัยที่ดีๆ ติดมา แล้วก็หาโอกาสชักถามให้เป็น ถามให้น่าตอบ ถาม ด้วยความเคารพ แล้วเราก็จะได้ความรู้แบบพิเศษๆ ที่นอก เหนือจากห้องเรียน ฅ) บางท่านแนะดี และนำดี คึอ นอกจากท่านจะมีความรู้ดี มี ความสามารถในการสอนแล้ว นอกเวลาสอน ท่านก็ยังมี ความประพฤติดีด้วย เช่น ท่านไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่ เล่นการพนัน ท่านหมั่นค้นคว้าสืกษาหาความรูใหม่ๆ เพี่อมา ปรับปรุงการสอนเพี่อหาทางสิกลูกดีษย์ของท่านให้เก่งๆ เสมอ ถ้าเจอครูอาจารย์อย่างนี้ต้องตั้งใจเรียนให้เต็มที่นอกเวลาเรียน หากมีอะไรที่พอจะช่วยท่านได้ ให้รีบอาสาไปช่วยท่านทำ แล้วจะได้วิชาความรู้แบบพิเศษ ชนิดที่ประหยัดเวลาเล่า เรียนเขียนอ่านไปได้หลายปีทีเดียว ถ้าน้องๆหลายๆ ศนของผมสามารถแยกประ๓ทครูอาจารย์ได้แต่ แรกอย่างนี้ ก็คงจะไม่ถูกรีไทร์กันเป็นทิวแถว นี่คือหลุมพรางแรกที่นัก คืกษาจะต้องระวัง คือ ขาดความเคารพครูอาจารย์ เพราะฉะนั้น เมื่อทราบแล้วก็ต้องหาครูดีให้เจอ พิงคำครู ตรองตาม คำ ครู และทำตามคำครู จึงจะได้มีความรู้เหมีอนครูยังไงล่ะครับ หลุมพรางกี่ ไฒ ไปรู้จักประมาณไนการใช้จ่าย สำ หรับน้องๆ นิสิตนักคืกษาใหม่ส่วนมาก ที่เพี่งสอบเข้ามาเรียน ในมหาวิทยาลัย นี่อาจเป็นครั้งแรกที่ต้องรับผิดชอบเงินก้อนโตเดีอนละ นศ่. เ^าศอทไม้ใฬ้ว>ททวิทพรย w|)nn-igi{'niYu{tnfImn

บางพวกเอนคนเอาแต่ใจตัวเอง ถางบาน Ue=iอยใเวัคำอะไรตานไจตัวเองจนเคย ผอเข้า นาเรียนไนนหาวิทยาลัยไม่อยากเรียนวิชาไหน หนีเรียนไดัก็หนี แต่กัาหนีไม่ไดั ก็นาเJงจันผิด อาจารย'ฆ่าเวลาเสยบ หลายพันบาทด้วยตนเอง ทั้งค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเสือผ้า ค่าเดินทาง และค่าเล่าเรียน น้องๆ ของผมหลายคนที่ทางบ้านปลูกฝังวิน้ยเรื่องการใช้เงินมาดี ก็สามารถบริหารเงินเดีอนของตัวเองได้ดี แถมยังมีเหลือเก็บไว้ใน ธนาคารอีกด้วย ก่อนจะเรียนจบก็มีทุนเก็บเอาไว้สำหรับอนาคตอยู่หลาย หมื่นบาท ขณะที่น้องๆ ของผมอีกส่วนมาก กลับล้มเหลวทางด้านการเงิน บางคนได้เงินเดีอนจากทางบ้าน มากถึงหมื่นบาทต่อเดือนก็จริงอยู่ แต่ ด้วยความที่ทางบ้านไม่เช้มงวดกวดขันเรื่องวินัยการใช้เงิน เด็กจึงใช้เงิน ตามใจชอบ เช่น เห็นอะไรสนุกคะนองอยากลอง ก็ซื้อมาลอง นึกอยาก ไปเที่ยวกลางคืนไปกินเหล้าเมายา ก็ไป อยากได้แฟชั่นอะไรแพงๆ ก็ซื้อ น.ท่ เจ้า«0กไฟ้น««๓ว็ท๗น ©QGf n^HwindtirtmihSmn

เพื่อมาอวดเพื่อน อยากให้เพื่อนชื่นชมว่ามีรสนิยมวิไล ก็ลงทุนใช้เงินทำ ทุกอย่างดังนั้นยังไม่ทันสินเดือนเงินก็หมดลงต้องกู้หนี้ยืมสินจากเพื่อน[ชุ่เง ในที่สุด จึงกลายเป็นนักหมุนเงิน คือยืมคนนั้น เพื่อเอาเงินมาใช้หนี้คนนี้ เพื่อวันหลังจะได้กลับมายืมคนนี้ เพื่อไปใช้หนี้คนโน้น กว่าจะเรียนจบก็ มีหนี้สะสมอยู่หลายหมื่น ใครก็ตามที่ล้มเหลวทางการบริหารเงินตั้งแต่ยังเรียนไม่จบอย่างนี้ ก็ทำ นายอนาคตได้ว่า เขายากจะตั้งหลักตั้งฐานไต้สำเร็จ ทำ อย่างไรจึงจะบริหารการเงินในขณะเรียนหนังสือไต้ดื ? คำ ตอบ ก็คือ แยกแยะไห1ดัว่าอะไรคือความจำเป็นอะไรคือความ ต้องการ จำ เป็น คือ ขาดไม่ไต้ ขาดแล้วดาย ไต้แก' ที่พัก อาหาร เครื่อง นุ่งห่ม ยารักษาโรค ต้องการ คือ มีก็ไต้ ไม่มีก็ไม่เป็นไร ได้แก่ สิงที่นอกเหนือจาก ป็จจํย ๔ การจะใช้เงินแต่ละครั้ง ต้องคิดแล้วคิดอีกว่า นั่นคือความจำเป็น หรีอความต้องการ เราจ่ายเงินออกไปแล้วจะใช้ประโยชน์จากสิงที่ชื้อมาคุ้มค่าหรีอไม่ การเข้มงวดกวดขันวินัยการใช้เงินของตัวเองจึงเป็นสิงที่น้องๆควร ทำ โดยฝึกให้วางแผนการใช้จ่ายด้วยการแปงงบประมาณเป็น ๔ส่วน คือ ๑) แบ่งเก็บสะสมไวใช้ยามฉุกเฉิน เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่า อุปกรณ์การเรียนที่ราคาแพง ๒) แบ่งเอาไวิใช้จ่ายเป็นด่าปัจจัย ๔ในเวิตประจำวันเช่น ค่าที่ พัก ค่าอาหาร ค่าเสือผ้า แท่ tSifianlillulitM'nmnitu (SCBO Kfumiitdiiifuilnjlfnn

ฅ) แบ่งเอาไว้เป็นค่าเล่าเรียนประจำปีการสิกษา เพื่อแบ่งเบา ภาระของพ่อแม่ ๔) แบ่งเอาไว้ทำบุญ เช่น สงเคราะห์เพื่อนที่เดือดร้อน ถ้าใครก็ตามจัดระเบียบการเงินของตนเองได้อย่างนี้จะมีเงินเหลือ เก็บ และสามารถใช้เป็นทุนในอนาคตยามที่เรียนจบไบ่ทำงาน และยากที่ จะไปตกหลุมพรางของความสุรุ่ยสุร่าย หลุบพรางที่ ๓ จมอยู่ในอบายมุข ปัจจุบันอบายมุขเป็นสิงที่หาได้ง่ายในมหาวิทยาลัย เดิมทีก่อนผม จะมาเรียนในมหาวิทยาลัยนั้น ผมเช้าใจว่า เรื่องสุรายาเสพติด การเที่ยว ผู้หญิง การเที่ยวกลางคืน การพนัน คงจะไม่มีในมหาวิทยาลัย แต่ที่ไหน ได้ ตอนที่จมอยู่กับอบายมุขอย่างมากที่สุด ก็ตอนอยู่ในมหาวิทยาลัยนี่ แหละ และเจ้าอบายมุขนี่เอง ที่ไบ่ทำลายความฉลาดของปัญญาชน ระดับบ่ระเทศ จนบางครั้ง ผมอดคิดไม่ได้ว่า มหาวิทยาลัยคืออะไรกันแน่ อบายมุขทั้งหมดมาจากเพื่อนชั่ว น้องๆ ของผมหลายคน ตอน ก่อนเช้ามหาวิทยาลัยเล่นไพ่ก็ไม่เป็น เล่นสนุ้กเกอร์ก็ไม่เป็น กินเหล้าก็ ไม่เป็น เที่ยวผู้หญิงก็ไม่เป็น แต่พอไบ่คบเพื่อนชั่วเข้าเท่านั้น พอเรียน ผ่านไปปีเดียว เล่นเป็นหมดทุกอย่าง แถมตอนหลังยังเป็นตัวตั้งตัวตีใน เรื่องอบายมุขต่างๆ เองด้วย ผลสุดท้าย เดิมทีคุณพ่อคุณแม่ล่งลูกมาเรียนหนังลือ หวังจะได้ เห็นใบปริญญาของลูก แต่ปรากฏว่า ได้ลูกขี้เมา ได้ลูกโกหกเก่งมาแทน ได้ลูกเป็นโรคเอดส์ แถมยังโดนให้ออกกลางทางเลืยอีก ถ้าหากเราไม่อยากให้ตัวเองเป็นอย่างนี้ มีทางเดียวคือ ใครก็ตาม แท่ เจ้า*เ&ทไ]!!ไนท๎นฬทิทนไสัม นชุนทรฬท่าแจ้นMntn

ที่ชวนเราไปยุ่งกับอบายมุขให้!!ว้ว่าคนๆนันคือ\"เพือนชัว\"กำลังชักชวน เราไปวิบัติเสิยหาย ไห้รีบออกห่างไหไกล อย่าได้ไปคบค้าสมาคมด้วย เดี๋ยวจะติดเชื้อพาเพื่อนดีๆ ไปจมอบายมุขโดยไม่รู้ตัว เรื่องที่ ๔ หมกมุ่นไนเรื่องรเาใคร่ ความจริงแล้ว วัตถุประสงค์หลักของการเข้ามาเรียนไน มหาวิทยาลัย คือ การเรียนหนังสือ แต่ก็มีน้องๆ ของผมหลายคน ต้อง เสืยคนไปเพราะเรื่องหมกมุ่นไนความรัก ซึ่งพอไปยุ่งกับเรื่องนีแล้ว ยาก ที่จะมีสมาธิเรื่องการเรียน ไม่ว่าจะสมหวัง หรีอผิดหวัง ก็เครียดเหมีอน กัน เพราะจริงๆ แล้ว ช่วงนี้ยังไมใช่ช่วงที่จะต้องเร่งรีบแสวงหาคู่ครอง แล้วต่างก็ยังต้องขอเงินพ่อแม่ทั้งคู่ แล้วก็ยากต่อการจะห้ามไจไมให้ เลย เถิด หรีอหาทางออกที่ถูกต้องไนเรื่องความเครียดอันเกิดจากรัก ๑ พวกที่ผิดหวัง บางคนถึงขั้นประชดชีวิตจะฆ่าตัวตาย บางคน เครียดถึงขั้นมีอาการทางประสาท บางคนกลัดกลุ้มหนัก ก็ ไปตักฉุดเขาเอาดื้อๆ บางคนหาทางออกด้วยการไปหลอกคน อื่นล้างแค้น ชดเชยกับที่ตนเองเจ็บปวด บางคนเป็นสิงห์ขี้เมา ชื้ยาไปเลย ซึ่งทั้งหมดนี้ ก็เป็นการทำร้ไยตัวเอง และปิดฉาก อนาคตตนเอง อย่างไม่สมควร เพราะจริงๆ แล้ว หน้าที่ของ ตัวเองคือ เรียนหนังสือ แต่ว่าไม่เรียนไปคิดจะหาคู่ครองเสืยนี่ สุดท้ายคนที่บอบชํ้าที่สุด ก็คือ ตัวเอง และคนที่น่าสงสารที่สุด ก็คือ พ่อแม่ ไต้แต่ตั้งคำถามไนไจว่า เราเลี้ยงลูกอย่างไร ลูก ของเราถึงไต้หาทางออกไห้กับปัญหาความรักไม่สมหวังอย่างนี้ ๒) พวกที่สมหวังบางคนนึกว่ามีแฟนจะทำไห้เกิดกำลังไจ ส่งเลัริม นพ่. 1จ้1«อทไม้1ฬ้ว»|«1พ่บ1ท้ย (8®1อ หชุพพาฟาฬบนัทสืท*ท

พ่อแม่ตัองลอบเรื่องการเสือกคู่!วัดัวยว่า การหาสาบ หรือหากรรยาให้ตัวเองนบ ไปใช่เรื่องยาก แต่หาพ่อหรือแปกี่ด บกวาบ ประพฤติดี เปบตับแบบของฤกตัวเองไดั เปบ เรื่องยาก การเรียนให้ดีไปด้วยกันแต่จริงๆ แล้วก็เปล่า เพราะยังเด็กทั้งคู่ ยังเอาแต่ใจตัวเองกันทั้งคู่ เลยมีลักษณะตามหึงตามหวงกัน ไม่สินสุด แล้วก็เลยหาทางที่จะผูกมัดกันด้วยแบบความคิด เด็กๆ คือ ฝ่ายหญิงก็ยอมจะมีเพศสัมพันธ์ด้วย เพราะคิดว่า แฟนจะร้บผิดชอบ ส่วนฝ่ายชาย ก็กสัวว่าจะสูญเสิยเขาไป ก็ หาทางที่จะเป็นเจ้าของร่างกายฝ่ายหญิงให้ได้ แม้แต่ใช้ ยาสลบก็เอา ครั้นเมื่อต่างฝ่ายก็หาทางออกกันอย่างนี้แล้วก็กลายเป็นสามีภรรยา กันตั้งแต่ยังเป็นนิสิตนักคืกษา มันสมองที่จะคิดถึงการตอบแทน พระคุณฟอเฝก็เลยถูกทำลายไป เงินแต่ละเดีอนที่ฟอแม่ให้มา ก็เอามา แค่ ม้ในววม๓ว็พยไท้ย <30)01 w)Mtiii<gii'nrifuunflmn

รวมเป็นกระเป๋าเดียวกันบ้างพยายามจะสร้างครอบครัวในหอพักนักสืกษา เพราะพื้นที่ใจช่วงนี้ มีเฬ่วิมานรักสิชมพู แต่ทว่าก็อยู่ได!ม่นาน เพราะ ต่างคนก็ต่างอ่อนเยาว์กันทั้งคู่ ยังไม่เคยรับผิดชอบตนเองอย่างเต็มตัว แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องของการหาคู่ในวัยนี้นั้น ห้ามยาก เพราะ อยู่ในวัยที่ฮอร์!มนเพศทำงานเต็มที่ วิธีที่ดีที่สุดก็คือ คุณพ่อคุณแม่ต้อง เข้ามาเป็นพี่เลี้ยงในเรื่องนี้ ถ้ามีลูกผู้หญิงก็ต้องสอนวิธีประคับประคองตัวสอนให้ลูกรู้จักการ รับผิดชอบหน้าที่ของตนเองก่อน เพราะการสร้างครอบครัวไฝจำเป็น ต้องรีบเร่งในช่วงนี้ เรียนให้จบก่อนก็ไฝเสิยหาย หากมีใครเข้ามาจีบ ก็ อย่าไปกลัวว่าจะไม่มีคู่ แล้วก็อย่าไปทอดสะพานให้ใคร อย่าให้ความ หวังใคร อย่าหลอกใคร เพราะลูกจะได้รับอันตราย ถ้าเขาผิดหวัง หรือ บางทีลูกก็อาจจะกลายเป็นสาเหตุให้เขาประชดชีวิต ควรแสดงจุดยืนให้ ชัดว่า ต้องการทำหน้าที่เรืยนหนังสิอให้ดีที่สุดเพียงอย่างเดียว อย่างอื่น ยังไม่พร้อมจะคิดตอนนี้ ส่วนลูกผู้ชาย ก็ต้องสอนให้ลูกรู้จักหน้าที่หลักของตนเองดือการ เรียน เพราะถ้าเขาเรียนไฝจบ จะมีผลถึงอนาคตของเขาเอง ไฝว่าจะ สมหวังหรีอผิดหวังถ้าพลาดพลั้งไป ก็จะเจ็บตัวอย่างหนัก เพราะยังไฝ สามารถรับผิดชอบตนเองไต้ ถ้าลูกชายคิดจะมีแพ่นจริงๆ ห้ามไม่อยู่ ก็ต้องมีเงื่อนไขว่า ในวัน เสาร์อาทีตย์ ก็ต้องริบกลับมาช่วยหัดรับผิดชอบงานของพ่อแม่ คือช่วย พ่อแม่หาเงินค่าเล่าเรืยนของตัวเองให้เพียงพอไปตลอดจนกระทั่งเรียน จบก่อน ล่วนที่หาเงินได้เกินจากนั้น จึงเป็นเงินที่จะไปใช้หาคู่ เพราะว่า พ่อกับแม่มีหน้าที่หาเงินให้เฉพาะค่าเล่าเรียน ค่ากิน ค่าที่อยู่ของลูก แต่ ไม่มีหน้าที่ล่งเงินให้ลูกไปจีบผู้หญิง ชื้อเหล้า ชื้อเบียร์มาลังสรรค์กัน แท่...พ้าคอกใฟ้ไฬ้วเพr3ท!ทฟ้ย ท^พเาป้ihnfiKfhKmn

อีกอย่างหนึ่งก็คีอ พ่อเฝต้องสอนเรื่องการเลือกคู่ไว้ด้วยว่า การ หาสามี หรือหาภรรยาให้ตัวเองนั้น ไม่ใ5{เรื่องยาก แต่หาพ่อหรือแม่หี่เ มีความประพฤติดี เป็นตันแบบของลูกตัวเองได้ เป็นเรื่องยาก ถ้าไปเจอ คนประเภททีไม่เชือว่า ทำ ดีได้ดีทำชัวได้ชั่ว ไม่มีดวามรับผิดชอบหน้าที่ การเรียนของตัวเอง และทำอะไรไม่นึกถึงความรู้ลืกของพ่อแม่ตัวเองล่ะก็ อย่าเลือกมาเป็นแพ่นเด็ดขาด เพราะว่าถึงเราจะทำดีขนาดไหน ก็คงไม่ เกินพ่อแม่ของเขา ถ้าเลือกเอามาเป็นแพ่น ก็มีแต่ปัญหาความแตกแยก ทะเลาะเบาะแว้งตลอดชีวิตเป็นแน่ เพราะฉะนั้นอยู่คนเดียวไปก่อนดีกว่า สบายดี ไม่เครียด ไม่ต้องหึงต้องหวง เรียนได้เต็มที่ ดูแลพ่อแม่ได้เต็มที่ และไม่เปลืองเงิน เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า เรื่องของความรักนี้ ไม่ว่าจะสมหวัง หรีอผิดหวัง หากไปยุ่งในวัยเรียนนี้เข้า มีแต่เครียดกับเครียด เพราะ ไม่ใช่หน้าที่หลักของการเป็นนักดีกษานั่นเอง ซึ่งเรื่องนี้ ผมคิดว่า คุณพ่อ คุณเฌ่ก็ต้องเป็นพี่เลี้ยง ส่วนคุณลูก ก็อย่ารีบร้อนคิดจะทำอะไรในเรื่องนี้ ก็ต้องปรีกษาคุณพ่อคุณแม่เพราะท่านมีประสบการณ์มากกว่าเรา มิฉะนั้น ถ้าเราเอาตัวไปทุ่ม เอาเวลาไปทุ่ม เอาเงินไปทุ่ม ไปหมกมุ่นกับมันมาก ผลสุดท้าย จะหมดอนาคตทั้งตัวเอง แล้วก็บอบชํ้ามาถึงพ่อแม่ สุดท้ายนี้ผมขอจบเรื่องหลุมพรางสำหรับนึกดีกษาด้วยข้อคิดที่มอง เห็นโทษของการตกลงไปในหลุมพรางทั้ง ๔ ว่า คงไม่ดีแน่ ถ้าชีวิตนั้ตัอง ผิดพลาด เรียนไม่จบ ติดหนีสิน ติดโรคร้าย ได้สามีหรือภรรยาที่ยังหา เลี้ยงตัวเองไม่ได้ และได้ลูกที่ไม่ตั้งใจจะให้เกิด หรือต้องไปทำแท้ง อย่างที่เป็นๆ กันอยู่ในสังคมขณะนั้ ขอให้น้องๆ ทุกคนดูแลตัวเองให้ดี ด้วย อย่างน้อยก็ทำเพื่อตัวเองคร้บ UR 1?แ\\0ทไม้ใน1ว*ททวิทยารน (SlQix ทชุ^าทางราหวินฟ้ทรทพ

^'>lc

ช่วงH ๔ ะ หลุบพรางส์าทรันปัณณาชน โดย น้อง ปีแบด นินทากาเล ผมมารู้จักความเจ็บแสบของการนินทาลับหลัง ว่ามันแย่ขนาดไหน ก็ตอนมาเรียนอยู่มหาวิทยาลัย นั่นเอง เรื่องก็มีอยู่ว่า พอผมรู้ตัวว่ากำลังถูกนินทา ผมก็เลยใช้วิธีดำคืนไปบ้าง ทำ อย่างนี้ปอยๆ น«...เ$'1ทรกไม้ไน|-1ม>๙ท่11ทท้น fluw-urua

ผลสุดท้ายก็คีอได้นิสัยไม่ดีมา กว่าจะแก้นิสัยพูดไม่เพราะได้นี่ หมดเวลาไปหลายปี ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ก็เป็นคนพูดเพราะ คราวนี้ ผมก็อดย้อนมาห่วงน้องๆ ทั้งหลาย ไม่ได้ว่า ถ้าไปเจอ การนินทาว่าร้ายเข้า จะรับมืออย่างไรกันดี เพราะถ้าไซวิธีด่ากสับแบบที่ ผมเคยพลาดมา เดี๋ยวก็ต้องมานั่งแก้นิสัยพูดไม่เพราะแบบผมอีก อาจารย์ท่านหนี่งที่ผมเคารพรัก ท่านผ่านโลกมามากกว่า ท่าน แนะนำว่า \"ไอ้หV^เอ๊ย..นินทากาเลเหมือนเทนํ้า คงไม่ชอกชํ้าเหมือนเอามืด มากรีดหิน เรื่องนินทากันเป็นเรื่องธรรมดาๆ ก็เราเองบางทีย้งนินทาชาว บ้านเลย ระวังคำพูดของเราก็แล้วกัน เวลาเขาเอาเรื่องคนโน้นคนนี้ที่ว่า เรามาฟ้อง จริงไม่จริงยังไม่ร้เลย เขาอาจจะฟ้งมาผิดๆ ก็ได้ พอเราพูด ผางกสับไปด้วยความโกรธ เขาก็เลยเอาคำพูดที่เราพูด ไปบอกคนโน้น คราวนี้ล่ะ เราปฏิเสธไม่ได้ เพราะเราพูดจริง พูดหยาบกว่าด้วย เพราะ เราโกรธ ทางโน้นเลยแล่นมาชัดเราเข้าให้ กลายเป็นเรื่องลุกลามใหญ่โต เลยทีนี้ เพราะฉะนั้น อย่าไปถื่อสาอะไรกับลมปาก ที่เราพูดกันนี่ มันลม นะ โกรธไปก็แค่โกรธลมโกรธแล้งแค่นั้น ทำ หูทวนลมเสิยบ้าง หริอห้ด ทำ ใจให้หน้กแน่นเหมือนขุนเขาเสียบ้าง เหมือนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสไว้ว่า สโล ยถา เอกฆโน วาเดนณ สมีรติ เอวํ นินฺทาปสัสาสุ น สมมิซนฺติ ปณฺฑิตา. ฎเขา^ลาล้วน เป็นแท่งเดียว ย่อมไม่สะเทือน ด้วยแรงลมฉันใด บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมไม่เอนเอียงเฬทะนินทาและสรรเสริญ ฉันนั้น Ufi 1?า»1อกไม้ใน1วมพ1พิย1รย fimnnita

djgp ชjุO^S อย่าไปถือลาอะไรกับลบปาก กี่เราvyดกับนี่ บันลบบ: โกรธไปก็แค่โกรธลบโกรธแลงแค่นบ กำหูกวนลบเลียบ้าง หรือเวัดทาใจไหั หบักแน่นเหบอนขุนเขาเลียบาง คนเราถ้าจะอยู่ในสังคมให้เป็นสุขได้ และพอจะหาความเจริญ ก้าวหน้าให้กับตัวเองได้ คุณสมบัติพื้นฐานขั้นตํ่าสุดของเขาเลยคือ ๑. ควบคุมตัวเองได้ ๒. ไม่จับผิดใคร ๓. ช่วยตัวเองได้ ถ้าจะพูดในเชิงปฏิเสธก็คือไม่ต้องพึ่งใครสามารถยืนอยู่ด้วยขาของ ตัวเอง ช่วยเหลือตัวเองได้ ถ้าควบดุมตัวเองไม่ได้ อยากจะทำอะไรก็ทำ ในที่สุดการกระทำนั้นจะกถ้บมาทำลายตัวเอง แล้วก่อความเดือดร้อน ให้ผู้อื่นด้วย น»imดอกไม้ใฬ้ว>ทฑรพภ5ย ©fijof fluinmiB

ถ้าไม่จับผิดใครก็แล้วไป แต่ถ้าไปจับผิดผู้อึ่นเข้า ก็จะยิ่งวุ่นวาย หนักขึ้น เพราะความหลงตัวเองว่าวิเศษ จะไปทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน ถูกข่มเหงถูกเบียดเบียน ถูกจับผิด การช่วยเหลือตัวเองจึงสำคัญ ถ้าช่วยตัวเองไม่ได้ก็เป็นกาฝาก ถ่ายไม่ออก กินข้าวไม่ลง ก็โทษรัฐบาล โทษสิงแวดล้อม โทษชาวบ้าน ในโลกน!ม่มีใครดื เห็นดือย่คนเดียว คือตัวเอง Zนีคือสาเหตุแห,่งความเ1ดือดiร้อนของคนทะังTโลก .เกิiดfขนเพราะคน ที่มีลักษณะอย่างนี้ใครเข้ามาเป็นรัฐบาลก็แทบตายทั้งนั้น ถ้าคนในเ[งดมไทยควบดุมตัวเองได้ไม่จับผิดใครแล้วก็ช่วยเหลือ ตัวเองได้ ความสงบความสุฃก็เกิดขึ้นมาได้ ล้งคมไทยหรือสังคมชาวพุทธตั้งแต่โบราณมา เป็นสังคมที่ตั้ง อยู่บนพื้นฐานของการควบคุมตัวเองได้ ไม่ชอบจับผิดใคร และช่วย เหลือตัวเองได้ ไม่ต้องพึ่งใคร บ้านเมืองเราจึงสงบร่มเย็น ได้รับการ ขนานนามว่า สยามเมืองยิ้ม มานานแสนนาน แต่ว่าตอนนีชัก จะยิมกัน ไม่ออกแล้ว ก็ฃอเตือนว่า ต่างคนต่างต้องหันกลับมาสำรวจตัวเองแล้วว่า เรา สามารถรักษาคุณสมบัติพื้นฐาน ข้นดํ่าสุดชองชาวพุทธได้มากน้อยแค่ ไหน ถ้าน้อยไปหรือขาดไปก็ด้องรีบแกั!ข อีกประการหนึ่งเมื่ออายุมากเป็นหญ่ขึ้นุ สิงที่ควรจะคิดก็คือเรา เหมือนไมใกล้ผิงแล้ว ความดีอะไรยังไม่ได้ทำ ควรรีบทำ ความเสียหาย อะไรที่สำรวจดูแล้วมือยู่ในตัวเราที่จะต้องแกไข ต้องรืบแกัไข จะได้ Ufi เ51«อกไป้ใน?แททพิย15ย ®IqO {himnna

บานเฮองเราเดี่ยวนบคนประเกกชอบจับผิด ชอบแซวคบอื่นบากเหลือเกิน ตื่นเชัาออก จากบานเจอรกติด ก็ใกษรัฐบาล ก่ายไปออก กินขัาวไปลง เาโกบรัฐบาล โกษส่งแวดลัอบ โกษชาวบาน ในโลกบาปบีใครดี แาบดีอยู่คบ เดียว คือตัวเอง ■# #• เป็นต้นแบบที่ดีแก่เด็กที่เกิดมาในรุ่นหลัง ให้เขาได้อยู่ในบ้าน เมืองที่ สงบสุขตลอดไป\" และนี่ก็เป็นสิ่งที่อาจารย์ให้ข้อคิดแก่ผมในเรื่องของการไม่สนใจต่อ คำ นินทา และเอาเวลาไปฝึกฝนอบรมตนเองให้เป็นคนมืคุณภาพของ ประเทศดีกว่าอย่างอื่นทั้งหมด แต่ เจ้ใรเอกไ!รในววมทฑิท1/1ร้น ®to® Qutnmw

รุ^ ^ ^ l/f' K* นะ'>

ช่วจที่ ๔ ะ หลุบพรางส์าหรบปัณณาชน โดย บ้อง ปีแปด อย่าหมั่นไสั...หรืออิจฉาใคร ขณะนี้ น้องๆ หลายคนก็คงรู้แล้วว่าผลการ เรียนของเทอมนี้เ{เนอย่างไร ใครที่ผลการเรียนดี ผมก็ขอแสดงความยินดีด้วย ก็ขอให้รักษาระดับ การเรียนให้ดีต่อไป ส่วนใครที่คะแนนไม่ดี ก็อย่า เพิ่งห้อแห้ ให้ลอง่กลับมาสำรวจตัวเราเองว่า เมื่อ เทอมที่ผ่านมา เราใช้เวลาไปกับอะไรบาง ให้เวลา อ่านหนังสิอน้อยไปหรีอเปส่า เพราะจะแพ้หรีอ ชนะข้อสอบก็อยู่ที่การบรีหารเวลานี่เอง แค่ เร่! อกไ«1น1วน*1ฑิทบารน ©tatn BthrajvlJ... irtoDwiไคว

แต่สิงที่ต้องระวังก็คือ ใครที่ไต้คะแนนดี ก็อย่าได้เที่ยวไปดูถูก ชาวบ้าน ใครที่คะแนนน้อย ก็อย่าเที่ยวไปอิจฉาเขา เพราะเดี๋ยวมันจะ เป็นนิสัยติดตัวไปตลอดชีวิต ฉบับนี้ ผมก็จะขออนุญาตเขียนเรื่องนี้ใน แนวพระพุทธศาสนาให้น้องๆ อ่านกันบ้างนะครับ ในทัศนะของพระพุทธศาสนากล่าวใวัว่า การที่ใครจะเป็นคนขี้ อิจฉาริษยาซาวบ้านนั้น เพราะว่าทำอะไรก็เป็นรองเขาเรื่อยมา เหตุลึกๆ ที่ทำ ให้รู้ลึกเป็นคนตํ่าต้อย น้อยหน้าเป็นรองคนอื่น เพราะมีบุญเก่าติด ตัวมาน้อย อยากจะรวยก็รวยไม่ได้ เพราะให้ทานมาน้อย อยากฉลาดก็ ฉลาดสู้เขาไม่ได้เพราะทำภาวนามาน้อย อยากจะเกิดในชาติตระกูลสูงก็ ไม่ได้เพราะไม่เคยเคารพกราบไหวัผู้มีคุณธรรมมาก่อน เมื่อเป็นรองเขาเรื่อยมา แทนที่จะได้คิดว่าเป็นรองเขาเพราะสร้าง บุญมาน้อย กลับปล่อยให้โมหะความหลงผิดเข้าครอบงำจิตใจ ไปอิจฉา ริษยาเขาอีก เลยหาความสุขไม่ได้ คนใดก็ตามถ้าเคยอิจฉาเขามาก่อน ไม่ว่าหญิงไม่ว่าชาย เกิดไปกี่ ภพกี่ชาติ อานุภาพจะน้อย หรือ สักดาน้อย แม้ทำบุญอย่างอื่นมามาก เวรขี้อิจฉาก็ตามมากดให้ตํ่า เช่น ถ้าเกิดมาเป็นกษัตริย์ ก็ด้องเป็นกษัตริย์ประเทศราช เป็น เมีองขี้นเขา ถ้าไม่ได้เป็นกษัตริย์เป็นคนทั่วไปนี่แหละ ก็เป็นคนที่ไม่มี ใครเขานับถือ ไปเป็นภรรยาของใครก็เป็นภรรยาน้อย ไปเป็นสามีเขา ก็ เป็นสามีอันดับ ๒ กรรมเวรที่อิจฉาชาวบ้านเป็นอย่างนี้ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่าคนเอิจฉาคือคนที'ไม่อยากให้คน อื่นได้คื ความไม่อยากให้คนอื่นได้คืก็คือไม่อยากให้คนอื่นทำความดี นั่นเอง เพราะกลัวว่าเขาจะได้ดี เพราะฉะนั้นมโนภาพที่อยู่ลึกๆในใจของ นด่ . iSmonljAui'jwiTjwtjiรน S)1os! Gdniฟ้นไร.. ideSwilni

คนใดก็ตาบ(าาเคยอิจฉาเขาบาก่อน ไปว่า หเ^งไปว่าชาย เกิดไปกี่กพกี่ชาติ อานภาพ จะบอย หรือ กิ'คดานอย แปก่าบุณอย่าง อื่นนานาก เวรขี้อิจฉาก็ตานนากด]หัตํ่า เขาตลอดเวลา หรือความนึกคิดของเขาจึงเป็นในลักษณะที่นึกสร้างภาพ ความตํ่าต้อยความพินาศไว้ในใจตลอดเวลา กรรมนี้จะติดตัวไปว่า เกิดอีกกี่ชาติก็ตาม ภาพความตํ่าต้อยใน ใจที่สะสมไว้มาก จะทำให้เป็นคนหย่อนอานุภาพ แม้จะเกิดเป็นกษัตริย์ ก็เป็นไต้แค่กษัตริย์ประเทศราชหรือประเทศที่เป็นเมืองขึ้น เขา เป็นไต้แค่นั้น ถ้าจะเป็นภรรยาใครเขา ก็เป็นไต้แค่ภรรยาน้อย ภรรยาลับเท่านั้น เป็นสามืเขาก็ได้ทำนองเดียวกันทั้งนั้นแหละ อานุภาพม้นหย่อนไปทุก สถานะ กรรมเก่าอะไรที่ทำให้ชาติก่อนนั้นเขามืนิลัยขึ้อิจฉา ตอบว่าเพราะ นค่. รั้วมทาพิเภรย isIqc? iiiiiyiMS... ฟัเ)9รนา1<ท

ภพในอดีตไปคบคนพาลเข้าทำ!.ห้มีวินิจฉัยผิดมีความ' นพาล คือวินิจฉัยผิด คิดว่าการทำลายล้างผลาญ หรือนึกให้คนอื่นเขาวินาศล้น ตะโรไปได้นั่นคือความสุขของตน ความเห็นเช่นนี้ เมื่อเกาะกินใจนานเข้าๆ ก็กลายเป็นนิล้ยที่ไม่ดีขึ้นมา เพราะฉะนั้น พระท่านจึงมักเตือนชาวพุทธในเรื่องนี้ว่า ฝึกใจให้ดี อย่าได้!ปอิจฉาใครทีเดียว คนขีอิจฉา อานุภาพจะน้อย คนที่จะเลิกอิจฉาริษยาชาวบ้านได้ ต้องรู้จักพิจารณาให้ชัดเจน เสิยก่อนว่า ความอิจฉาริษยาทำให้เกิดความเสืยหายแก่เราอย่างไรบ้าง ๑. ทุกครั้งที่รู้ตัวว่าเรากำลังมีจิตคิดอิจฉาริษยาใครก็ตามต้องริบ เตือนสติตัวเอง ว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะคุณความดีในตัวเรามี น้อย มีบุญน้อยจึงได้น้อยหน้าไม่เท่าเทียมเขา เป็นความ ผิดของเราเอง ที่ภพในอดีตไม่ชอบสร้างบุญกศล ไม่ใช่ ความผิดของคนอื่นเพราะฉะนั้นจะต้องริบเร่งสะสมความดี สร้างบุญกุศลให้มากๆ ๒. หมั่นฝึกสมาธิให้มากๆ เป็นประจำ แม้จะได้ผลข้ากว่าคน อื่นก็เพียรพยายามเรื่อยไป เมื่อใจผ่องใสละเอียดอ่อนขึ้น ก็จะเห็น ช่องทางในการทำความดี แล้วตั้งใจทำความดี อย่างสุดกำลังความสามารถด้วยความไม่ประมาท บุญของ เราก็จะสะสมมากขึ้นๆ ในที่สุด ก็เป็นคนดีที่มีความดีอยูใน ตัวมาก จนไม่จำเป็นต้องอิจฉาริษยาใครอีกต่อไป แต่ แน่นอนว่ากว่าจะทำให้นิล้ยขึ้อิจฉาริษยานี้หมดไปต้องใช้ เวลานานมาก ฉะนั้นขณะกำลังฝึกตัวก็ควรได้กัลยาณมิตร เช่นครูบาอาจารย์ ผู้ใหญ่ เพี่อนที่นิลัยดีๆ ฯลฯ เป็นพี่เลี้ยง นด่ . เร้1«อกไพ้ใน'รมพาพย■เรย ®1£1๖ ๗พฟ้นบ.. »ฝ็00พาใ«1

กรรบเก่าอะไรกี่ทาให้ชาติก่อนนั้นเขาบี□สํยขี้อิจฉา ตอนว่าเพราะภพในอดีตไเม่คนคนพาลเข้า ก่าให้บี วิ□จฉัยพิด บีควานแฯนผิดตามคนพาล คือ วิ□จอัยผิดคิดว่าการทำลายลัาจพลาณ หรือ บทให้คนอื่นเขาวินาคสนตะโรไปได้ นั้นคือความ ลุขของตน ช่วยเตือนสติให้ก็จะดียิ่งขึ้น ถ้ากำจัดความริษยาให้สินไปจากใจได้เมื่อไร ก็จะพบความสงบ สุข เมื่อนั้น ทั้งหมดนี้ ก็เป็นข้อคิดจากพระพุทธศาสนาที่ผมขอเปลี่ยน บรรยากาศในฉบับนี้ ให้น้องๆ มาฟังผมเทศน์บ้างแล้วกันนะครับ เท่...เร้า«0กใพ้ใฬ้วเพวิทยารัย ®1ร3๗ ฃร่าเฟนใรั... itlBBno'iIfli

■fttm fc tffITfiiWM $5 i** ฯ'^'^t. «f««««ff«If %9 I«.,..'?» & 'IC/ A .i\\ - f:'' s§ «»Ur %v ^ s , . ^ .. !.t

ช่วงที่ ๕ ฟิ ทฅนไ,หัเป็นนผ^ฅ i'A

M .-rrr.;T;

ช่วงท ๕ ะ พกตนให้!ขนบัณทิต โตย บ้อง ซแปด อ่านอย่างไร จึงเรียกว่า \"อ่านหนังสือเป็น\" สำ หรับฉบับนี้ ผมมีเรื่องเทคนิคการอ่านหนังสือ ให้เรียนเก่งมาฝากกัน ในการดูหนังสือนั้น ครูบา อาจารย์ของผมท่านให้เทคนิคไว้ว่า นค่.. เ41»10กไม้ใฬ้ว>™ฑิทนารย ®80® dtuathdli -(รานาเนิเรนเรน'

๑) อย่าอ่านลุย ท่านบอกว่าพออ่านจบบทที่ ๑ แล้ว อย่าเพิ่งรีบอ่านบทที่ ๒ ท่าน ใหไปหยิบกระดาษหยิบปากกาขึ้นมา แล้วให้เขียนออกมา เพื่อดูว่าเรารู้ อะไรบ้างในบทที่ ๑ เขียนออกมุาเป็นห้วข้อ เป็นประเด็นออกมาให้หมด ถ้ายังไม่รู้หมด เกิดการตกหล่น หรีอสะดุดกึกตรงไหน ท่านก็ให้เปิด หนังสิอดู แล้วขีดเส้นใต้ตรงนั้นเอาไว้ พออ่านจนเข้าใจจำไต้แล้ว ท่านให้ ปิดหนังสือเขียนใหม่ทั้งหมด ทำ ให้ความรู้ล่วนที่รู้แล้วก็จะคล่องขึ้น ตรง ไหนที่สะดุดขาดหายไป ก็จะจำไต้ติดตา เมื่อเข้าใจและจำได้หมดแล้ว ท่านจึงค่อยให้อ่านบทที่ ๒ ต่อไป อ่านจบแล้วก็เขียนทบทวนดูอย่างที่ เคยทำในบทที่ ๑ ทุกบทให้ทำเหมึอนกันอย่างนี้ ก็จะทำให้เราไต้ปัญญามาก ท่านบอกว่า เมื่อเราทำอย่างนี้แล้วจะได้ปัญญาสองชั้น คือ ปัญญาชั้นที่ ๑รู้จักตัวเองว่าเป็นคนสะเพร่าขนาดไหนจากจำนวน ห้วข้อที่เขียนตกหล่นไปนั่นแหละ ปัญญาชั้นที่ ๒ รู้ต้วเองแต่เนิ่นๆ ว่าตัวเองยังไม่รู้ คนส่วนมากมัก ไม่รู้ว่าตัวเองยังไม่รู้ เมื่อเข้าห้องสอบแล้ว ก็เลยทำข้อสอบไม่ไต้ ชึ่งก็ สายเกินแกั แต่ถ้าอ่านไปเขียนไป จะรู้ทนทีว่าต้วเองยังไม่รู้ทั้งหมด ยิ่ง ได้ทำแบบฝ็กห้ดหรีอเอาข้อสอบเก่าๆ มาทดลองทำดูก็จะไต้รู้เพิ่มขึ้นอีก ว่าเราไม่เข้าใจเรื่องอะไร หรีอเข้าใจผิดเข้าใจถูกอย่างไร ารอ) อ่านกบทวนตรงทปีดเส้นใต้ ในการอ่านทบทวนครั้งต่อๆไปให้อ่านตรงที่ขีดเส้นใต้1ว้ก่อนอ่าน ชํ้าๆ ถ้ามีเวลาเหลือค่อยอ่านเนี้อหาทั้งหมด ถ้าเวลาน้อยอ่านเฉพาะตรง ที่ขีดเล้นใต้ก็เหลือเฟือแล้ว นค่..เ^าคอกไฟ้ฬ้ว»ททวิท!rฟ!ย ©ipto ihuBifWli วิพวิบทวิา ■fhiniijSoiOu\"

คำ ว่าเข้าใจเอนคากี่เราพูดสั้นๆ คำ เสนคือ \"เข้าไป อยู่ในไจ\" เหมือนคำว่า \"คนใชั\" ซี่จนาจากคำเสน ว่า \"คนกี่มาคอยรันใช้\" เพราะเราตัดคำให้สั้น เอา ความละดวกรวดเร็วเข้าว่า ๓) ทนอ่านวิชากี่ไปเข้าไจ เรื่องอะไรที่เรียนแล้วไม่เข้าใจให้ทนอ่านไปอย่าทิ้ง แตให้อ่านเป็น วิชาสุดท้ายในคืนนั้นอ่านจนกระทั่งหลับไปเลย เข้าใจไม่เข้าใจอย่าไปห่วง ขอให้อ่านให้จบก่อนหลับเท่านั้น ๔) ตื่นขื้นมาไห้อ่านเรื่องกี่ไปเข้าไจทันที ไม่ว่าเราจะตื่นมาตอนตี ๑ ตี ๒ ตี ๕หรีอ ๖โมงเข้าก็ตามที ท้นที ที่ตื่นอย่าเพิ่งล้างหน้าแปรงฟัน หรีอไปท่าอย่างอื่น ให้หยิบเรื่องที่ไม่ เข้าใจนั่นแหละ ขึ้นมาอ่านให้จบ เข้าใจไม่เข้าใจก็ช่างมัน ขอให้!ด้อ่านอีก Ufi. t$าflO^ไม้ใufiimifhitnst] ®9)cn (ท่1น)(<าฟ้1 ^งท็ยทร่า \"dnjintiSsiOu'

สักเที่ยว จะได้ผลดีกว่าเดิม เพราะตอนนั้นหัวสมองของเราได้พักมาพอ สมควรแล้ว และยังไม่มีเรึ่องอะไรต่ออะไรเข้ามาอยูในหัว ถ้าเปรียบเป็นฟองนํ้าก็เป็นฟองนํ้าที่บิดแห้งมาคืนหนึ่งแล้ว ถ้าเข้า ขึ้น เรารีบคว้ามาไข้ มันก็พร้อมที่จะดูดซึมนํ้าได้เต็มที่ ทำ อย่างนี้อย่าง มากไม่เกิน ๓ วัน ก็รู้เรื่อง ถ้าเป็นคนปัญญาทึบหน่อยอย่างมากไม่เกิน ๔-๕ วันก็เข้าใจได้เอง คำ ว่า \"เข้าใจ\" คือเข้าไปอยูในใจ ไมใช่เข้าหูขวาทะลุหูซ้าย คำ ว่า เข้าใจเป็นคำที่เราพูดสั้นๆ คำ เต็มคือ \"เข้าไปอยู่ในใจ\" เหมือนคำว่า \"คนใข้\" ชึ่งุมาจากคำเต็มว่า \"คนที่มาคอยรับใข้\" เพราะเราตัดคำให้สั้น เอาความสะดวกรวดเร็วเข้าว่า ๕) กำ หนดเวลานอนพกผ่อนให้พอดีและตื่นใหัตรงเวลา ในวัยนักคืกษาที่มือายุเพิ่ง ๒๐ บิ อย่างพวกเรานี้นอนอย่าให้เกิน ๔ ทุ่ม แล้วตื่นให้ได้ตีสีหรีอตีสิครื่ง เป็นช่วงเข้ามืดที่เหมาะแก่การอ่าน อะไรก็จำได้ดีเหลือเกิน ฝ็กให้คุ้นให้กระฉับกระเฉง อย่าทำงัวเงียจะเลืย เวลาเปล่า ทำ นบอกว่า เราต้องหัดแปงเวลาตรงนี้ให้เป็น แล้วต่อไปข้างหน้าคำ ว่าลำบากจะไม่รู้จัก เห็นอะไรแล้วมันจะง่ายไปหมด ถ้าชักขึ้เกียจขึ้นมาก็ ตั้งนาพักาปลุกไว้นาพักาปลุกแล้วยังขี้เกียจลุกอีกก็เตือนตัวเองว่า เรายัง มีเวลานอนในหลุมฝืงศพอีกนาน ตอนนึ๊อดนอนไปก่อนก็แล้วกัน และที่สำคัญ ก็คือ ท่านยังบอกอีกว่า ถ้าเราคิดได้อย่างนี้ทำได้อย่าง นี้ จะเรียนหนังลือดีทุกคน เพราะตัวท่านเอง ก็พิสูจน์ด้วยตัวเองมาแล้ว จึงมาแนะให้ทำตาม แล้วเข้าๆ ถ้าเป็นไปได้ เวลาอ่านหนังลือช่วยอ่านด้งๆ ด้วยถ้าเกรงว่าจะเป็นการรบกวนคนอึ่นก็ปิดห้องเลืย เวลาอ่านร.เรือล.ลิง นท่...เจ้าทรทไม้ไนfiimnntnnu SXnCL diusihol'เจ้41จ้0ท1า'EhiniiittSetdu'

อักษรควบ อักษรกลํ้าอ่านให้ชัดด้วย เป็นคนไทยพูดภาษาไทยไม่ชัด แล้วจะให้ใครมาพูดภาษาไทยชัดๆ ให้เราฟัง ผมก็หวังว่า เรื่องที่ผมนำมาฝากในฉบับนี้ คงจะช่วยให้น้องๆ เรียนเก่งขึ้นนะครับ นท่...ฬ้าทDทไน้ในฬํ้นเทิท(ททํบ fhuotliป้ไ171เ1นท1า 'ihumSjBmfhi'

A

ษ่วจกี่ ๕:ฬกตนไห้เธนบณฅต โดย U00 ปี!!ชด นักวิทยาศาสตรํ6\"้กับศาสนาพุทธ ฉบ11นผมฃออนุญาตพาน้องๆ เข้าวัด มาฟัง หลวงพ่อตอบปีญหากันน้างครับ เพราะว่าหัวข้อ วันนี้จะเป็นประโยชน์ต่อน้องๆ โดยตรง คือมีนักศึกษาคนหนึ่ง ถามหลวงพ่อท่านว่า นัก วิทยาศาสตร์ถือว่าเป็นบุคคลผู้มีปัญญาใช่ไหมครัน แต่ นท่.. เร1»>0ทไ»11น1ว«พ1พินพ้ย ร)รr|cil {เทาท(ท1ท811ฬบ(ทท1ท1|ท3

ทำ ไมพวกนักวิทยาศาสตร์ระดับโลก จึงล้วนแต่นับถือศาสนาอื่น ไม่ไดั นับถือพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นบ่อเกิดของปัญญา แล้วทำไมคนไทยที นับถือศาสนาพุทธจึงไม่มีปัญญาถึงขนาดเป็นนักวิทยาศาสตร์ระดับโลก กับเขาบ้างล่ะครับ ? หลวงพ่อท่านก็กรุณาเทางสว่างว่า \"เขาจะนับถือศาสนาอะไรหรือไม่นั้นไม่สำคัญ พระล้มมาล้มพุทธ เจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่า คนเราจะทำอะไรสำเร็จได้ ด้องบ่ระกอบด้วยองค์ ๔ คือ ๑. ฉันทะ ๒. วิริยะ ๓. จิตตะ ๔. วิมังสา ใครทำอย่างนี้ก็จะได้รับความสำเร็จในสิงที่ตนต้องการ ไม่ว่าจะ นับถือศาสนาอะไรก็ตาม ถามว่าคุณสมบัติ ๔ ประการนี้ ในคนไทยที่ นับถือศาสนาพุทธมีกันมากน้อยแค่ไหน เป็นต้นว่า ๑. ฉันทะ คือ ความรักไนจาน คนไทยจำนวนไม่น้อยเป็นบ่ระ๓ทเช้าชามเย็นชามหรือเช้าช้อนเย็น ช้อนทำตามหน้าที่พอให้เวลาผ่านไบ่ว้นๆเพราะฉะนั้นพอไห!บ่ทำงานยากๆ จึงยากที่จะทำสำเร็จได้ >ฮ1. วิริยะ คือ ความขยัน ความขยันของเรายังไม่ถึงขั้นมุมานะคนไทยไม่ใช่บ่ระ๓ทคนขยัน นี่กล้าพูดได้เต็มบ่าก เพราะว่าสิงแวดล้อมของพ่รืตามธรรมชาติมีมาก ทำ ให้เราสบายกันมาจนเคย นท่ เ?า«10ทพ1น1วน«ฟ้ทน1รย ©OflcS ilhlmninefrfMifniiuiijm

นกวักยาคาสตร์กี่บีชื่อเสียจของโลก เขาไม่ ไดันมกือพระvyกรคาสนา ไม่ไดัอ่านพระ ไตรฃฎก แต่เขาไชัหลักธรรบไนvyกรคาสนา เอาไม่ม่ฏิบัติงานโดยไม่รู้ตัว ๓. จิตตะ คือ ควาบเอาใจจดจ่อ คนไทยไมใช่คนทำงานแบบจดจ่อหรอก หลวงพ่อก่อนบวชเคยไป นั่งทำงานอยู่กับชาวต่างประเทศ ซึ่งเป็นพวกทำงานวิจัยอยู่ที่ประเทศ ออสเตรเลีย ไปทำอยู่กับเขา ๒ ปี พบว่ามีอยู่คนหนึ่ง อยู่กันมาเป็นปีๆ แต่เราแทบจะไม่ได้พูดกันเลย เขาค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องแบคทีเรีย บางที เดือนทั้งเดือนหมอนีไม่กลับบ้าน เช้าขึ้นมาก็นั่งอยู่กับหลอดแก้วทดลอง เดี๋ยวก็เขี่ยเชื้อเอาจากหลอดโน้นมาใส่หลอดนี้ เอาเชื้อจากหลอดนี้!ปใส่ หลอดนั้น เดี๋ยวก็ไปนั่งส่องกล้อง พอนึกอะไรได้ก็รีบจดๆ พอติดอะไร คิดไม่ออกเช้า ก็ยีนเอามีอไพล่หลัง ลอยหน้าลอยตาคิด บางทีตั้ง ๒-๓ นค่. ทพิยารย ©(ทร? iln^naimmriAtifnauDjiis

ชั่วโมง พอคิดได้ก็จดๆ กับใครแกก็ไม่อยากพูดด้วย นักวิจัยคนนีแต่ละ ปีๆ มีงานค้นคว้าทดลองออกมาเป็นสิบๆ ชิ้น คนไทยมีไหมที่จดจ่อจ้องทำงานแบบนี้ ที่จ้องมีเหมีอนกันคือ จ้องจอ จ้องอยู่แต่ที่หน้าจอทีวี ส่องกล้องเหมีอนกัน แต่ส่องกล้องเส่นม้า กล้องดูแบคทีเรีย กล้องดูดาวไม่ชอบ มีเหมีอนกันบางคนที่ตั้งใจทำงาน แต่ก็มักจะทำหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน เลยเอาดีไม่ได้สักอย่าง เรามักเป็นกันอย่างนี้ แล้วจะเอานักวิทยาศาสตร์ที่ดีมาจากไหน นักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสิยงของโลก เขาไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา ไม่ ได้อ่านพระไตรปิฎก แต่เขาใช้หลักธรรมในพุทธศาสนาเอาไปปฏิบัติงาน โดยไม่รู้ตัว ส่วนของเราแม้จะประกาศตัวว่าเป็นพุทธศาสนิกชน แต่ก็ เป็นพุทธโดยทะเบียนในชีวิตประจำวันเราปฏิบัติตามหลักธรรมน้อยมาก ก็ไม่เป็นไรวันใดวันหนึ่งช้างหน้า เมื่อเราช่วยกันประกาศพระพุทธ ศาสนาไปได้ทั่วโลก นักวิทยาศาสตร์ศนสำคัญๆ ที่นับถือศาสนาพุทธก็มี ขึ้นมาเอง เพราะพระพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์แท้อยู่แล้ว ๔. วิบงสา คือ การปรันปรุงจาน หรือเขาใจวิธีถางาน ไเฯประสนพลสำเร็จ คนไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยชอบการปร้บปรุงเปลี่ยนแปลงอย่างใหม่ดู ตามข่าวหนังสือพิมพ์ก็แล้วกัน จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไรที่ไหน พอ กระทบความเป็นอยู่เดิมๆ เช้าสักหน่อย ชวนกันเดินขบวนต่อต้านกัน เป็นเรื่องราวใหญ่โต ส่วนใครที่ชอบประดิษฐ์คิดคันอะไรใหม่ๆ ออกมา ทั้งๆ ที่มีประโยชน์มาก แต่ออกข่าวไม่เท่าไรก็เงียบ เพราะขาดการ สนับสนุนให้เอาไปทำประโยชน์!ห้กว้างขวางยิ่งขึ้น \"พวกเราคนไทยนับถือพระพุทธศาสนากันมาตั้งแต่สมัยยู่ย่า นส่. พ้1»1อกไ«1น1วพทฑํท1กรย (เฬ่IncTHnairfรบmaนาๆหแ

ใครกี่ชอบประดิษฐคิดคันอะไรใหม่ๆ ออกมา กัง้ ๆ กี่บม่ระโยชน์มาก แต่ออกข่าวไม่เก่าไรก็ เซยม เพราะขาดการสเปัมสนมใเฯเอาไม่ก่า ม่ระโยชน์ใกั้กวัางขวางยื่งขี้น ตาทวดสติปัญญาก็ไม่ยิ่งหย่อนกว่าซนชาติใดท่านที่ประดิษฐ์คิดค้นสิงใหม่ จนได้รับรางวัลระดับโลกก็มีอยู่ แต่ผลงานของท่านไม่แพร่หลาย ไม่มี คนสานต่อ เพราะคนไทยเราตั้งแต่ระดับผู้บริหารประเทศลงมา ปฏิบัติ คุณธรรมในพระพุทธศาสนาไม่จริงจัง ปฏิบัติขาดๆ เกินๆ ไม่ครบสูตร ไม่เป็นไปตามขั้นตอน งานที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ต่อมนุษยชาติจึง มักไม่สำเร็จ น่าเสียดายจริงๆ\" นี่ก็เป็นธรรมะที่ทำให้ผมได้ข้อคิดว่า สำ พังความรู้ทางโลกเพียง อย่างเดียว ก็คงไม่พอให้เราเอาดีได้ตลอดรอดฝังเป็นแน่ เพราะฉะนั้น เรา จะต้องหมั่นสิกษๆความรู้ทางธรรมอย่างสมํ่าเสมอควบคู่ไปด้วย หนทาง เวิตข้างหน้าจะไต้สะดวก ราบรื่น ปลอดภัย และประสบความสำเร็จ โดยง่ายนั่นเอง wi...พ้าครทไม้ใฬ้ว}™\"รทยารย ®<?® ปั'ฬทยแเารแพยศารนาทุท0



ช่วofl ๕ ะ พกตนให้!ธนปัณทิต เตย บ้อง ฃ!!ปด 'ยาไสั\" กับ \"ยาใจ\" วันนี ผมอยากจะชวนน้องๆนิสิตนักสืกษๆมาสืกษๆ \"ธรรมะ\" กันบ้างครับ เพื่อเราจะไดัรู้ว่า ธรรมะ จำเป็นขนาดไหนสำหรับสืวิตของคนเรา ความจริงแล้วพระพุทธศาสนามีความรู้ดีๆ เยอะ แยะมากมายที่ในยุคปัจจุบันคนไทยไม่ค่อยรู้ เพราะไม่ น* 1จ้1*อกไม้ใน?ว»ทฑพํยพ้ย ๏^รท \"เท่บเ\" Hu ■เทโจ\"

ค่อยมีคนพูดถึงกัน และอาจจะมองว่าการเรียนธรรมะเป็นเรื่องล้าสมัย จึงทำให้ขาดความรู้ที่สำคัญต่อการประสบความสำเร็จในชีวิตไปอย่างน่า เสียดาย ด้วยผลของการมองข้ามความรูในพระพุทธศาสนา และค่านิยม ที่มองการถึกษาธรรมะเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายนี้เอง ก็ได้กลายเป็นผลร้าย ต่อประเทศชาติ คือการขาดความรู้บาปบุญคุณโทษในสังคม ทำ ให้เกิด ปัญหาสังคมตามมา โดยเฉพาะปัญหาถึลธรรมเสิอมทราม เช่น ปัญหา ยาเสพติด ปัญหาโส๓ณีเด็ก ปัญหาคอร้ปข้น ปัญหาอบายมุขครองเมีอง เป็นด้น ปัญหาเหล่านี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงชี้ให้เห็นว่า เป็นปัญหาที่ เกิดจากความโลภ ความโกรธ ความหลงของคนเราบังคับบัญชาใจสังให้ กายทำความชั่วบาป สิงที่ต้องคิดหนักต่อมาจึงอยู่ที่ว่า ต้นเหตุปัญหาสังคมนั้นอยู่ที่ใจ แล้วทำอย่างไรคนส่วนใหญ่จึงจะเห็นว่า ธรรมะในพระพุทธศาสนา สามารถช่วยให้สังคมและประเทศชาติดีขึ้นได้ ? ค่าตอบคือเราต้องรู้ก่อนว่า ธรรมะทำหน้าที่อะไรธรรมะทำให้๓ด ผลดีต่อตนเอง ดรอบครัว ที่ทำ งาน สังคม ประเทศชาติอย่างไร อธิบายได้ง่ายๆ ว่า คนเราทุกวันนี้อยู่ได้ด้วย\"ใจ''กับ\"กาย\"รวม กันเป็นหนึ่งเดียว ถ้ามีแต่กายไม่มีใจ เราเรียกว่า ศพ ถ้ามีแต่ใจไม่มีกาย เราเรียกว่า ผี ใจทำหน้าที่บังคับกาย โบราณจึงว่า \"ใจเป็นนาย กายเป็นปาว\" เพราะฉะนั้นกายจะทำดีหรีอชั่วก็ขึ้นอยู่กับการบัญชาการของใจเป็นสำคัญ นค่ เราดอกไฟ้ใฬ้วพทพํยาล้ย ■irilil\" ffu \"tnlv

เพรา:ว่าคนส่วนใหญ่ใจป่วยหนักอย่างไบบียาใจบา รักษา โลกจึงใดัรัอนเป่นใฬขนฤกวัน นัณหา ส่งคบต่างๆ จึงตาบบา แสัวคราวนใบ่ว่าจ:!ดินใป่ กางใหน ใป่กาอ:ใร!าให้รู้สกว่านันรัอนใป่กุกย่าง ก้าวกุกตารางนิ้ว แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งกายและใจอยู่ได้ด้วยอาหาร อาหารกาย คือ รัตธุที่กินแล้วอิ่ม ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย ประทัง ชีวิตให้อยู่รอดต่อไปได้ เช่น หยู เห็ด เป็ด ไก่ ขนม นม เนย เป็นด้น อาหารใจ คือ ความดีที่มาหล่อเลึ๊ยงใจให้เป็นสุข แม้ในเวลาจะต้อง ตายไปจากโลกนี้ก็ไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนว่าตายแล้วจะต้องไปตกนรกหมก ไหม้ เช่น การให้ทานทำให้มีนํ้าใจมาควบคุมความโลภลงได้ คืลทำให้มี ความเย็นใจมาควบคุมความโกรธลงได้ ภาวนาทำให้มีปัญญามาควบคุม ความหลงลงได้ เป็นต้น ร่างกายมนุษย์ของเรานี้ก็แปลกเป็นเหมีอนผู้เจ็บปวยอยู่ทุกวันต้อง วมทฑิทพฬเย sisrd! \"otU\"(fu \"เทใจ\"

อาสัยกินยาไส้ คืออาหารไว้หล่อเลี้ยงร่างกายอยู่เสมอ แตใจคนเรานี้แปลกยิ่งกว่า เป็นเหมือนเจ็บปวยหนักกว่ากายอยู่ ตลอดเวลา เช่น คนอื่นเขาอยู่ดีๆ บางทีก็คิดจะไปโกงเขา คิดจะไปแย่ง ชิงลูกเมืยเขา คิดจะหลอกลวงเขา เป็นต้น อื่งอาการเจ็บปวยหนักทางใจ นี้เป็นเพราะความโลภ ความโกรธ ความหลงมันออกฤทธื้ให้มีวินิจฉัยผิด พลาดคลาดเคลื่อนไปจากทำนองคลองธรรม ใครไปเป็นเข้าก็นอนตาย ตาไม่หลับไปอีกชาติหนึ่ง และเพราะว่าคนส่วนใหญ่ใจปวยหนักอย่างไม่มียาใจมารักษา โลกจึงไต้ร้อนเป็นไฟขึ้นทุกว้น ปัญหาสังคมต่างๆ จึงตามมา แส้วคราวนี้ ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ไปทำอะไรก็ให้รู้สิกว่ามันร้อนไปทุกย่างก้าวทุก ตารางนี้ว แม้ว่าจะหนีไปอยู่ในห้องแอร์เย็นๆ แล้ว แต่ใจก็ยังร้อนรน ทุรนทุรายเหลือเกิน เช่น ถึงแม้ว่าจะกลับไปบ้าน ซึ่งเป็นสถานที่เดียวในโลกที่กลับไป แล้วรู้สิกอบอ่นปลอดภัย แต่เพราะใจปวยเสิยแล้ว บ้านที่เคยดีก็กลับ ร้อนเป็นไฟลุกเผาไหม้ให้ร้อนหนักเข้าไปอีก ถ้าเป็นนักเรียน หรือเป็นครูที่ใจปวยเสิยแล้ว เวลาไปโรงเรียน เดี๋ยวโรงเรียนก็ลุกเป็นไฟขึ้นมาอีกกองหนึ่ง ถ้าต้องทำงาน แต่ใจปวยเสิยแล้ว เวลาไปที่ทำงาน เดี๋ยวที่ทำงาน ก็ลุกเป็นไฟขึ้นมาอีกกองหนึ่ง และเฒ้ว่าจะมาบวชเป็นพระ ถ้าใจปวยเสิยแล้ว เผลอไปเล่นกับ ไฟคือกิเลสเข้า ผ้าเหลืองก็ร้อนลวกเป็นไฟไต้อีกเหมือนกัน แล้วอาการใจปวยนี้ สุดแสนจะยากลำบากต่อการรักษา ถ้าหาก รักษาไม่เป็นแล้วจะเจ็บหนักกว่าเก่าเพราะเอาเงินพันล้านมารักษาก้1ม่หาย น♦ร...เร้า*เอกไฟ้!ฬ้วนทาวิทยฟ้ย \"อาใร\" \"inlv

มีครอบครัวสักร้อยครอบครัวก็ไม่หาย มีลูกสักพันคนก็ไม่หาย บางทียิ่ง ร้อนหนักไปกว่าเก่าเสียอีก แล้วหนีไปไหนก็ไม่พัน เพราะว่ามันร้อนรน อยู่ข้างใน ใจจะหายปวยได้ต้องไข้ยาใจรักษา ยาใจ คือ ธรรมะที่ทำหน้าที่เป็นอาหารหล่อเลี้ยงใจ ถ้าที่ไหาเมีธรรมะที่นั่นก็เย็นใจเย็นกาย ถ้าบ้าาเมีธรรมะเดี๋ยวบ้านก็เย็น สถานที่ทำงานมีธรรมะเดี๋ยวที่ ทำ งานก็เย็น โรงเรียนมีธรรมะเดี๋ยวโรงเรียนก็เย็น แล้วยิ่งวัดที่เป็นต้น แหล่งของธรรมะมีธรรมะก็ยิ่งเป็นที่พึ่งพิงให้กับประชาชน จะยิ่งร่มเย็น กันทั้งสังคม เพราะธรรมะมีคุณอย่างนี้ นักปราชญ์จึงกล่าวว่า คนมีธรรมะเดิน ทางไปตรงไหนในโลก โลกตรงนั้นก็เย็นขึ้<นมา แม้แด่ต้องมายืนกลาง แตดก็ยังรูสีกเย็นใจ นี่คืออาาเภาพของธรรมะที่เป็นยาใจ วนทฑิทเทฟ้ย \"otW\"fu \"เทใ\"เ'



lioofi ๕ ะ พกตนให้เธนบณทิต โดย น้อง ซ!!ชด พระทุทธศาสนากับใบปริญญา lrf ช่วงนนิสิตนักศกษาที่เพิ่งเรียนจบ ก็เริ่มทยอยรับ ปริญญาบัตรกันแล้ว ๔ปีในมหาวิทยาลัยนั้นเร็วมาก เร็วจนเพิ่อนบางคนโนรุ่นเดียวกัน เรายังไม่รู้จักมัก คุนเท่าที่ควร แท่..ฟ้าฬทไฟ้ฬ้วนทฑิทยพัย เท:ๆทรทไแนา/รบโนไทญญไ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook