Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสืออัมพราลังการ บุญประดับฟ้า

หนังสืออัมพราลังการ บุญประดับฟ้า

Description: หนังสืออัมพราลังการ บุญประดับฟ้า

Search

Read the Text Version

๘ วชริ าลงกรณนริศรปสันนาภิสติ ประกาศ อ่าน: วะ-ชิ-รา-ลง-กอน-นะ-ริด-ปะ-สัน-นา-พิ-สิด-ตะ-ประ-กาด แปลรวมความ: สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาด้วยเหตุท่ี ทรงพระราชศรทั ธาเลื่อมใส แยกศพั ท์: วชริ + อลงกรณ + นริศร + ปสันน + อภสิ ติ + ประกาศ อธบิ าย : (๑) “วชิร” บาลอี า่ นวา่ วะ-ชิ-ระ รากศัพท์มาจาก วชฺ (ธาตุ = ไป, เป็นไป) + อริ ปัจจัย : วชฺ + อิร = วชิร แปลตามศัพท์ว่า (๑) “สิ่งท่ีไปได้เรื่อย” (คือไมม่ ีอะไรขดั ขวางการไปได)้ (๒) “ส่ิงทไี่ ปอย่างไม่มอี ะไรขดั ขวาง”

“วชิร” ในบาลีใชใ้ นความหมายวา่ - (๑) อสนีบาต (หรือสายฟ้า); อาวุธของพระอินทร์ (a thunderbolt; Indra’s weapon) (๒) เพชร (a diamond) (๒) “อลงกรณ” แยกศพั ทเ์ ป็น อลํ + กรณ (ก) “อล”ํ (อะ-ลัง) มคี วามหมายหลายนัย เช่น - (๑) พอละ, พอกนั ที (๒) อย่าเลย (อยา่ ทำ� หรอื อยา่ คิดเชน่ นั้นเลย) (๓) เป็นการสมควรท่ีจะ (ท�ำ) (๔) สามารถท่ีจะ (ทำ� หรือเป็น) ได้ (ข) “กรณ” (กะ-ระ-นะ) รากศพั ท์มาจาก กรฺ (ธาตุ = ท�ำ) + ยุ ปัจจัย, แปลง ยุ เป็น อน (อะ-นะ), แปลง น เปน็ ณ : กรฺ + ยุ > อน = กรน > กรณ แปลตามศัพท์ว่า “การ กระทำ� ” อลํ + กรณ แปลงนิคหติ ที่ (อ)-ลํ เป็น งฺ (อลํ > อลง)ฺ : อลํ + กรณ = อลํกรณ > อลงฺกรณ (อะ-ลงั -กะ-ระ-นะ) “อลงกฺ รณ” แปลตามศพั ทไ์ ด้หลายนัย ดังนี้ - (๑) “ท�ำใหพ้ อ” หรือ “ท�ำใหพ้ อใจ” = ไมต่ อ้ งท�ำอะไรอกี แล้ว เพราะพอแลว้ หรือเพราะพอใจแลว้ = ทำ� จนงามพอแลว้ 100

(๒) “ท�ำให้ใช้ได”้ = ท�ำจนดูดี ท�ำจนถูกใจ จนร้องออกมาว่า “ใช้ได้แล้ว” (๓) “อย่าท�ำ (อะไรอีก)” = ท่ีท�ำไว้น้ีดีแล้ว อย่าไปแตะต้อง อะไรอกี = งามดแี ลว้ (๔) “เหมาะแล้วที่จะท�ำให้ (เป็นท่ีถูกใจ)” = ที่เห็นสิ่งน้ันงาม หรือดีน้ัน เหมาะสมแล้ว (๕) “สามารถท�ำให้ (เป็นที่ถูกใจ) ได้” = ท�ำให้ยอมรับได้ว่า งาม วา่ ดี ว่าถูกต้องแล้ว “อลงฺกรณ” ตามความหมายสามัญทเ่ี ขา้ ใจกนั จึงหมายถึง การ ประดับ, เครื่องประดับ, การเสริมแต่ง, การตกแต่ง, การท�ำให้งาม ก็คือ การท�ำให้พอใจ ถูกใจนั่นเอง (doing up, fitting out, ornamentation) วชริ + อลงกฺ รณ ทีฆะ อะ ท่ี อลงกฺ รณ เปน็ อา : วชิร + อลงฺกรณ = วชิราลงฺกรณ แปลว่า “ประดับด้วย เพชร” หรือ “มเี พชรเป็นเครอ่ื งประดับ” (๓) “นรศิ ร” แยกศพั ทเ์ ป็น นร + อิศร (ก) “นร” บาลีอา่ นว่า นะ-ระ รากศัพทม์ าจาก - ๑) นี (ธาตุ = น�ำไป) + อร ปัจจัย, “ลบสระหน้า” คือ อี ท่ี นี (นี > น) 101

: นี > น + อร = นร แปลตามศพั ทว์ า่ “ผนู้ �ำไปสคู่ วาม เป็นใหญ”่ ๒) นรฺ (ธาตุ = น�ำไป; ไป, เป็นไป) + อ ปจั จยั : นรฺ + อ = นร แปลตามศัพทว์ ่า (๑) “ผนู้ �ำไป” (๒) “ผู้ ด�ำเนินไปสู่ภพน้อยภพใหญ่” (๓) “ผู้อันกรรมของตนน�ำไป” “ผู้ถูก นำ� ไปตามกรรมของตน” “นร” ความหมายท่ีเข้าใจกันคือ “คน” (man) ตามปกติ ไม่จ�ำกัดว่าหญิงหรือชาย ในบทร้อยกรอง (ในคัมภีร์) มักใช้หมายถึง คนกลา้ , เข้มแขง็ , วีรบุรุษ (a brave, strong, heroic man) (ข) “อศิ ร” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ บอกไวว้ า่ - “อิศร : (ค�ำนาม) ความเป็นเจ้าเป็นใหญ่, มักใช้เป็นส่วนท้าย ของสมาส เช่น นริศร มหิศร, หรือแผลงเป็น เอศร เช่น นฤเบศร. (ค�ำวิเศษณ์) เป็นใหญ่, เป็นใหญ่ในตัวเอง, เป็นไทแก่ตัวไม่ข้ึนแก่ใคร. (จาก ส. อีศวฺ ร ซ่ึงมกั ใช้ อิศวร).” คอื พจนานุกรมฯ บอกวา่ “อิศร” (อ่านว่า อิด) มาจาก “อศี ฺวร” ในสนั สกฤต สันสกฤต “อีศฺวร” บาลเี ป็น “อิสฺสร” (อดิ -สะ-ระ) รากศัพท์ มาจาก - ๑) อิ (ตดั มาจาก “อฏิ ฺฐ” = นา่ ปรารถนา) + อสฺ (ธาตุ = ม,ี เป็น) + อร ปัจจยั , ซอ้ น สฺ ระหวา่ ง อิ + อสฺ 102



: อิ + สฺ + อสฺ = อิสฺสฺ + อร = อิสฺสร แปลตามศัพท์ว่า “ผู้มี คือผู้เกิดในภูมิที่น่าปรารถนา” (อยากมี อยากเป็น อยากได้ อะไร สมปรารถนาทง้ั หมด ไมม่ ีใครขดั ขวาง) ๒) อิสฺสฺ (ธาตุ = เปน็ ใหญ)่ + อร ปัจจัย : อิสสฺ ฺ + อร = อิสสฺ ร แปลตามศพั ท์วา่ “ผู้เปน็ ใหญ”่ ๓) อสี ฺ (ธาตุ = ครอบง�ำ) อร ปัจจยั , ซอ้ น สฺ ระหวา่ ง อีสฺ + อร, รสั สะ อี ที่ อ-ี (ส)ฺ เปน็ อิ (อสี ฺ > อิส)ฺ : อีส > อสิ ฺ + สฺ + อร = อิสสฺ ร แปลตามศัพท์ว่า “ผูค้ รอบง�ำ” หมายถึงปกครอง “อิสฺสร” ในบาลีใช้ในความหมายดังน้ี - (๑) ผู้เป็นเจ้า, ผู้ปกครอง, ผู้เป็นนาย, หัวหน้า (lord, ruler, master, chief) (๒) พระเจา้ ผสู้ รา้ งโลก, พระพรหม (creative deity, Brahma) “อิสฺสร” ในภาษาไทยตัดตัวสะกดออกตัวหน่ึงตามหลักนิยม ใชว้ ่า “อสิ ร” พจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ บอก ไวว้ ่า - “อิสร-, อสิ ระ : (ค�ำวเิ ศษณ์) เปน็ ใหญ,่ เปน็ ไทแก่ตวั , เชน่ อิสร ชน, ท่ีปกครองตนเอง เชน่ รัฐอสิ ระ, ไม่ขน้ึ แก่ใคร, ไม่สังกัดใคร, เช่น อาชีพอิสระ นักเขียนอิสระ.น. ความเป็นไทแก่ตัว เช่น ไม่มีอิสระ แยกตัวเปน็ อสิ ระ. (ป. อสิ สฺ ร; ส. อีศฺวร).” 104

พจนานุกรมฯ บอกว่า อิสฺสร > อิสระ ตรงกับสันสกฤตว่า “อศี ฺวร” สํสกฤต-ไท-องั กฤษ อภิธาน บอกไว้วา่ - (สะกดตามต้นฉบับ) “อีศฺวร : (ค�ำนาม) พระอีศวรเปนเจ้า, พระเจ้า; ศัพท์นี้ใช้ หมายความถึงเทพดาต่างๆ ทั่วไป; ‘IS`vara’ the supreme ruler of the universe, God; this word is applied to all the different divinities.” พจนานุกรมฯ เก็บค�ำว่า “อีศวร” ไว้ โดยบอกว่า อีศวร คือ “อิศวร” หมายความว่าค�ำหลักเขียนเป็น “อิศวร” แต่จะเขียนเป็น “อศี วร” กไ็ ด้ ถา้ เขียนเป็น “อศี วร” ก็ให้หมายถึง “อิศวร” นัน่ เอง ที่คำ� วา่ “อศิ วร” พจนานกุ รมฯ บอกไวว้ ่า - “อิศวร : (คำ� นาม) ชื่อเรยี กพระศิวะซง่ึ เป็นพระเจ้าองค์หน่งึ ของ พราหมณ;์ ความเปน็ เจา้ เป็นใหญ,่ มกั ใช้เป็นสว่ นทา้ ยของสมาส และ แผลงเป็น เอศวร เช่น นเรศวร ราเมศวร, ใช้ย่อเป็น อิศร (อ่านว่า อสิ วน) กม็ ี เชน่ ใยยกพระธำ� มรงค์ ส�ำหรับองค์อิศรราช. (เพชรมงกุฎ). (ส. อศี วฺ ร).” สรุปว่า “อศิ ร” มาจาก “อศี วฺ ร” และมกั ใช้เปน็ “อศิ วร” “อีศฺวร” หรือ “อิศวร” บาลีเป็น “อิสฺสร” เขียนแบบไทย เป็น “อิสร” “อิศร” (อศี ฺวร) และ “อิสร” (อสิ สฺ ร) เป็นค�ำท่มี ีมูลอนั เดยี วกนั 105



(๔) “ปสนั น” บาลีเขียน “ปสนฺน” อ่านว่า ปะ-สัน-นะ รากศัพท์มาจาก ป (คำ� อุปสรรค = ทวั่ ไป, ข้างหนา้ , กอ่ น, ออก) + สทฺ (ธาตุ = ยินดี, ชน่ื ชม) + ต ปจั จัย, ลบ ทฺ ทส่ี ดุ ธาตุ, แปลง ต เปน็ นฺน หรือนยั หน่งึ ว่า แปลง ท ท่สี ุดธาตกุ ับ ต เปน็ นฺน : ป + สทฺ = ปสทฺ + ต = ปสทต > ปสต > ปสนนฺ แปลตาม ศัพทว์ ่า “ยนิ ดีแลว้ โดยพเิ ศษ” “ภาวะอนั คนยินดีโดยพิเศษ” “ปสนฺน” ใช้เป็นค�ำกริยาก็ได้ เป็นคุณศัพท์ก็ได้ มีความหมาย ดงั น้ี - (๑) ชัด, แจม่ ใส (clear, bright) (๒) มคี วามสขุ , ยินดี, ถกู ใจ, พงึ พอใจ (happy, gladdened, reconciled, pleased) (๓) ยินดีในความรู้สึกด้วยมโนธรรม, ท�ำให้ใจสบายหรือ ประนีประนอมกันได้, เช่ือ, ไว้วางใจ (pleased in one’s conscience, reconciled, believing, trusting) (๔) เครง่ ศาสนา, ศรัทธาแรง, ด,ี ทรงคณุ ธรรม (pious, good, virtuous) ค�ำที่เราคุ้นกันในภาษาไทยคือ “ศรัทธาประสาทะ” ค�ำว่า “ประสาทะ” บาลีเป็น “ปสาท” กม็ ีมลู รากมาทางเดียวกบั “ปสันน” นี่เอง คือ “ปสาท” เป็นค�ำนาม ส่วน “ปสันน” เป็นค�ำกริยาและ คุณศัพท์ 107

แต่พึงเข้าใจว่า ค�ำบาลีสันสกฤตท่ีเอามาใช้ในภาษาไทยนั้น คำ� นามเราอาจใช้เป็นค�ำกริยา คำ� กริยาอาจใชเ้ ปน็ ค�ำนาม ตามสะดวก ของเรา ตามหลักท่ีว่าเราเอาค�ำและความหมายบางอย่างมาใช้ แต่ ไมไ่ ดเ้ อาไวยากรณ์ตดิ มาดว้ ย “ปสันน” ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ บอกไวว้ า่ - “ปสันน-, ปสันนะ : (ค�ำแบบ คือค�ำท่ีใช้เฉพาะในหนังสือ ไม่ใช่ ค�ำพูดท่ัวไป) (คำ� กริยา) เลอ่ื มใส. (ป.).” (๕) “อภสิ ิต” บาลีเป็น “อภิสิตฺต” อ่านว่า อะ-พิ-สิด-ตะ รากศัพท์มาจาก อภิ (ค�ำอุปสรรค) มีความหมายว่า เหนือ, ทับ, ย่ิง, ข้างบน (over, along over, out over, on top of) โดยอรรถรสของภาษาหมายถึง มากมาย, ใหญ่หลวง (very much, greatly) + สิจฺ (ธาตุ = รด, ราด) + ต ปัจจัย, ลบ จฺ ที่สุดธาตุ (สิจฺ > สิ), ซ้อน ตฺ นยั หนึ่งวา่ แปลง จฺ ที่สดุ ธาตุกับ ต เปน็ ตตฺ : อภิ + สิจฺ = อภสิ จิ ฺ + ตฺ + ต = อภิสติ ฺจต > อภิสิตตฺ : อภิ + สิจฺ = อภสิ จิ ฺ + ต = อภิสจิ ตฺ > อภสิ ติ ฺต “อภิสิตฺต” แปลตามศัพท์ว่า “อันเขารดอย่างย่ิงใหญ่แล้ว” หมายถงึ - (๑) ประพรม, เจมิ (sprinkled over, anointed) (๒) ได้รับการอภิเษก [เป็นพระราชา], ท�ำพิธีสถาปนา (consecrated [King], inaugurated) 108



“อภิสิตฺต” ในภาษาไทยตัดตัวสะกดออกตัวหน่ึงตามหลักนิยม ใช้วา่ “อภสิ ิต” พจนานุกรมฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ บอกไวว้ ่า - “อภิสติ : (ค�ำกริยา) รดแล้ว, ได้รบั การอภเิ ษกแล้ว. (ป. อภิสติ ตฺ ; ส. อภิสิกตฺ ).” คำ� วา่ “อภเิ ษก” ทเี่ ราคนุ้ ในภาษาไทยกม็ มี ลู รากมาทางเดยี วกบั “อภิสิต” นี่เอง ปสันน + อภิสติ ทีฆะ อ ที่ อภิสิต เปน็ อา : ปสนั น + อภสิ ิต = ปสนั นาภิสติ (๖) “ประกาศ” บาลีเป็น “ปกาส” อ่านว่า ปะ-กา-สะ รากศัพท์มาจาก ป (คำ� อุปสรรค = ท่วั , ขา้ งหนา้ , ก่อน, ออก) + กาสฺ (ธาตุ = ส่องแสง, ส่งเสยี ง) + อ ปจั จยั : ป + กาสฺ = ปกาสฺ + อ = ปกาส แปลตามศัพท์ว่า “ผู้ สอ่ งสว่างท่วั ” “ผู้ส่งเสยี งไปทว่ั ” “ปกาส” ในบาลมี ักใช้ในความหมายว่า แสงสว่าง, ความสวา่ ง (light) ถ้าใช้ในความหมายว่า การอธิบาย, การท�ำให้ทราบ, ข่าวสาร, หลักฐาน, การช้ีแจง, การประกาศ, การเผยแพร่ (explaining, making known; information, evidence, explanation, 110

publicity) บาลีนิยมใช้ในรูป “ปกาสน” (ปะ-กา-สะ-นะ) (ป + กาสฺ + ยุ > อน = ปกาสน) ปกาส สนั สกฤตเป็น “ปฺรกาศ” สสํ กฤต-ไท-องั กฤษ อภธิ าน บอกไวว้ า่ - (สะกดตามต้นฉบับ) “ปฺรกาศ : (คำ� นาม) ‘ประกาศ,’ สูรยาตบะ, สูรยาโลก, แสงแดด; โศภา, ประภา; ความเบกิ บาน, ความสร้าน, ความแสดงไข; หวั เราะ; ย้ิม; ความเปิดเผยหรือแพร่หลาย; ธาตุสีขาวหรือธาตุหล่อระฆัง; sunshine; luster, light, expansion, diffusion, manifestation; a laugh; a smile; publicity; white or bellmetal.” บาลี “ปกาส” ในภาษาไทยใช้องิ รูปสันสกฤตเป็น “ประกาศ” พจนานกุ รมฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ บอกไว้วา่ - “ประกาศ : (ค�ำกริยา) ป่าวร้อง, แจ้งให้ทราบ, เช่น ประกาศ งานบุญงานกุศล. (ค�ำนาม) ข้อความทีแ่ จ้งใหท้ ราบทวั่ กัน เช่น ประกาศ ของวัด ประกาศของบริษัท; ข้อความที่ทางราชการแจ้งให้ประชาชน ทราบหรือวางแนวทางให้ปฏิบัติ เช่น ประกาศพระบรมราชโองการ ประกาศกระทรวง ประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี. (ส. ปฺรกาศ; ป. ปกาส).” 111



๙ วิสารทนาถธรรมทูตาภวิ ฒุ อ่าน: ว-ิ สา-ระ-ทะ-นาด-ท�ำ-มะ-ทู-ตา-พ-ิ วุด แปลรวมความ: ทรงเป็นที่พึ่งผู้แกล้วกล้าและมีพระปรีชา ฉลาดเฉลียว ทรงเป็นผยู้ ังความเจรญิ แก่กิจการพระธรรมทตู แยกศพั ท์: วิสารท + นาถ + ธรรม + ทตู + อภิวุฒ อธบิ าย : (๑) “วสิ ารท” แยกศพั ทเ์ ป็น วิ + สารท (ก) วิ เป็นค�ำอุปสรรค ปกติแปลว่า วิเศษ, พิเศษ, แจ้ง, ต่าง แตใ่ นท่นี ้ีใช้แทนศพั ท์ วิคต = ออกไป, ขาดหายไป (ข) สารท อ่านว่า สา-ระ-ทะ รากศัพท์มาจาก สรท + ณ ปัจจยั

- “สรท” รากศัพทม์ าจาก - ๑) สรฺ (ธาตุ = เบียดเบียน) + ต ปจั จัย, แปลง ต เปน็ ท : สรฺ + ต = สรต > สรท แปลตามศพั ทว์ ่า “ฤดเู ปน็ ทเ่ี บียดเบียน สตั ว”์ ๒) สา (สุนัข) + รมฺ (ธาตุ = เล่น, สนุก) + อ ปัจจยั , รสั สะ อา ท่ี สา เป็น อะ (สา > ส), แปลง ม เป็น ท : สา + รมฺ = สารมฺ + อ = สารม > สรม > สรท แปลตาม ศพั ท์วา่ “ฤดเู ป็นที่สนุกแห่งสุนขั ” (คอื เปน็ ฤดูผสมพนั ธ์ุ) “สรท” หมายถึง สรทกาล, ฤดูใบไม้ร่วง, ฤดูที่ตามมาต่อจาก ฤดูฝน (autumn, the season following on the rains) - สรท + ณ ปัจจัย, ลบ ณ, ทีฆะ อะ ต้นศัพท์คือ ส-(รท) เป็น อา (สรท > สารท) : สรท + ณ = สรทณ > สรท > สารท แปลแปลตามศัพทว์ า่ “อันมใี นสรทกาล” หมายถงึ เกยี่ วกับฤดูใบไมร้ ว่ ง, ของการเกบ็ เกยี่ ว ล่าสดุ , อันมีในปนี ,้ี สด ๆ (autumnal, of the latest harvest, this year’s, fresh) ความหมายท่ีว่า ยงั สด ๆ หรอื เพิ่งมีใหม่ ๆ เมื่อใชใ้ นเชิงอปุ มา “สารท” จึงมีความหมายว่า ไม่สุก, ไม่ช่�ำชอง, ไม่ถึงเวลา (unripe, not experienced, immature) นึกภาพคนท่ีไม่ช�่ำชอง ยังไม่พร้อมหรือยังไม่ถึงเวลา แต่ต้อง ท�ำกจิ อยา่ งใดอย่างหนึง่ อาการทีจ่ ะตอ้ งเกดิ มขี ้ึนก็คอื ความหวาดหว่ัน 114

ครั่นคร้ามนั่นเอง นี่คือที่มาของความหมายของ สารท = ความ ครั่นครา้ ม วิ + สารท = วิสารท (วิ-สา-ระ-ทะ) แปลตามศัพท์ว่า “ผู้มี ความครัน่ ครา้ มไปปราศแล้ว” ตามไปดูสูตรรูปวิเคราะห์ (การกระจายค�ำเพ่ือหาความหมาย) กันเลก็ นอ้ ย - วคิ โต สารโท เอตสฺมาติ วิสารโท ความคร่นั ครา้ มไปปราศแล้ว (= ออกไปแลว้ ) จากผนู้ ัน้ เหตุน้ัน ผู้นั้นจึงชื่อว่ามีความคร่ันคร้ามไปปราศแล้ว = ไม่ ครนั่ คร้าม “วิสารท” หมายถึง คุมสติอยู่, ม่ันใจ; รู้จักวางตัว, สัดทัด, ฉลาด (self-possessed, confident; knowing how to conduct oneself, skilled, wise) (๒) “นาถ” รากศัพทม์ าจาก นาถฺ (ธาตุ = ประกอบ, ขอร้อง, ปรารถนา, เปน็ ใหญ่, ท�ำให้รอ้ น) + อ ปัจจยั : นาถฺ + อ = นาถ แปลตามศัพท์ว่า - (๑) “ผู้กอปรประโยชน์แก่ผ้อู ่นื ” (๒) “ผขู้ อร้องคนอ่นื ให้บ�ำเพ็ญประโยชนน์ ้ัน ๆ” 115

(๓) “ผ้ปู รารถนาประโยชนส์ ขุ แกผ่ ทู้ ีค่ วรช่วยเหลือ” (๔) “ผเู้ ปน็ ใหญก่ วา่ ผทู้ ค่ี วรชว่ ยเหลอื ” (ผชู้ ว่ ยเหลอื ยอ่ มอยเู่ หนอื ผรู้ บั การช่วยเหลือ) (๕) “ผยู้ งั กเิ ลสใหร้ อ้ น” (เม่อื จะช่วยเหลอื คนอืน่ ความตระหน่ี ความเกยี จครา้ นเป็นต้นจะถกู แผดเผาจนทนน่งิ เฉยอย่ไู ม่ได)้ “นาถ” ความหมายท่ีเข้าใจกันคือ ท่ีพ่ึง, ผู้ปกป้อง, การ ชว่ ยเหลอื (protector, refuge, help) 116

(๓) “ธรรมทตู ” แยกศพั ทเ์ ปน็ ธรรม + ทูต (ก) “ธรรม” บาลีเป็น “ธมมฺ ” (ท�ำ-มะ) รากศัพท์มาจาก ธรฺ (ธาตุ = ทรงไว)้ + รมฺม (ปัจจยั ) ลบ รฺ ท่สี ดุ ธาตุ (ธรฺ > ธ) และ ร ตน้ ปจั จยั (รมฺม > มฺม) 117

: ธรฺ > ธ + รมฺม > มฺม : ธ + มฺม = ธมมฺ (ปุงลงิ ค)์ แปลตาม ศัพทว์ ่า - (๑) “กรรมทท่ี รงไว้ซงึ่ ความดที ุกอยา่ ง” (หมายถึงบุญ) (๒) “สภาวะที่ทรงผู้ด�ำรงตนไว้มิให้ตกไปในอบายและวัฏทุกข์” (หมายถึงคณุ ธรรมทั่วไปตลอดจนถงึ โลกุตรธรรม) (๓) “สภาวะที่ทรงไว้ซ่ึงสัตว์ผู้บรรลุมรรคเป็นต้นมิให้ตกไปใน อบาย” (หมายถึง โลกุตรธรรม คอื มรรคผล) (๔) “สภาวะที่ทรงลักษณะของตนไว้ หรืออันปัจจัยทั้งหลาย ทรงไว”้ (หมายถึงสภาพหรอื สัจธรรมทั่วไป) (๕) “สภาวะอันพระอริยะมีโสดาบันเป็นต้นทรงไว้ ปุถุชน ทรงไว้ไมไ่ ด”้ (หมายถงึ โลกตุ รธรรม คือมรรคผล) คำ� แปลตามศพั ทท์ ีเ่ ป็นกลาง ๆ “ธมมฺ ” คอื “สภาพท่ีทรงไว”้ “ธมมฺ ” สนั สกฤตเปน็ “ธรมฺ ” เราเขยี นองิ สนั สกฤตเปน็ “ธรรม” ในภาษาไทย พจนานกุ รมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ บอกความหมายของ “ธรรม” ไวด้ ังนี้ - (๑) คณุ ความดี เช่น เป็นคนมีธรรมะ เปน็ คนมศี ลี มธี รรม (๒) คาํ ส่ังสอนในศาสนา เช่น แสดงธรรม ฟังธรรม ธรรมะของ พระพุทธเจา้ (๓) หลักประพฤตปิ ฏิบัตใิ นศาสนา เชน่ ปฏบิ ตั ธิ รรม ประพฤติ ธรรม (๔) ความจริง เช่น ไดด้ วงตาเหน็ ธรรม 118

(๕) ความยุติธรรม, ความถูกต้อง, เชน่ ความเป็นธรรมในสังคม (๖) กฎ, กฎเกณฑ,์ เชน่ ธรรมะแหง่ หมู่คณะ (๗) กฎหมาย เช่น ธรรมะระหวา่ งประเทศ (๘) สง่ิ ของ เช่น เครอ่ื งไทยธรรม (ข) “ทูต” รากศพั ท์มาจาก ทุ (ธาตุ = ไป, ถึง, เปน็ ไป, เดือดรอ้ น) + ต ปัจจัย, ทฆี ะ (ยืดเสียง) อุ ท่ี ทุ เปน็ อู (ทุ > ท)ู : ทุ + ต = ทุต > ทูต แปลตามศัพท์ว่า “ผู้อันเขาส่งไป” “ผู้เดือดร้อน” (เพราะจะต้องผจญการต่าง ๆ แทนเจ้าของเร่ือง) หมายถึง ผ้ไู ปท�ำการแทน 119

บางต�ำราวา่ “ทตู ” ใช้ “ทูร” (ทู-ระ) แทนได้ “ทูร” แปลตามศัพท์ว่า “ท่ีท่ีไปถึงโดยยาก” หมายถึง ไกล, หา่ ง, หา่ งไกล ตามนัยน้ี ทูร < ทตู มคี วามหมายวา่ “ผ้ถู ูกส่งออกไปไกล” อน่ึง ควรเข้าใจให้ถูกต้องว่า “ทูต” ค�ำน้ีใช้ ท ทหาร ไม่ใช่ ฑ มณโฑ ธรรม + ทูต = ธรรมทูต แปลตามศัพท์ว่า “ทูตแห่งธรรม” “ทูตผู้ประกาศธรรม” หมายถึงพระสงฆ์ที่ถูกจัดส่งไปเพื่อประกาศ พระศาสนาในท้องถิน่ ตา่ ง ๆ 120

(๔) “อภวิ ุฒ” ประกอบดว้ ย อภิ + วุฒ (ก) “อภิ” เป็นค�ำอุปสรรค มีความหมายว่า เหนือ, ทับ, ย่ิง, ข้างบน (over, along over, out over, on top of) โดยอรรถรส ของภาษาหมายถึง มากมาย, ใหญ่หลวง (very much, greatly) (ข) “วฒุ ” รากศพั ท์มาจาก วฑฺฒ (ธาตุ = เจริญ) + ต ปัจจยั , แปลง อะ ท่ี ว-(ฑฺฒ) เปน็ อุ (วฑฺฒ > วุฑฺฒ), แปลง ฑฺฒ เป็น ฑ,ฺ แปลง ต เป็น ฒ : วฑฒฺ + ต = วฑฺฒต > วุฑฒฺ ต > วฑุ ฺต > วุฑฺฒ แปลตาม ศพั ท์วา่ “ผู้เจริญแลว้ ” “วุฑฺฒ” ในภาษาไทยตัดตัวสะกดออกตัวหนึ่ง เขียนเป็น “วฒุ ” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ บอกไว้ว่า - “วฒุ : (คำ� วิเศษณ)์ เจรญิ แล้ว; สูงอายุ. (ป. วฑุ ฺฒ; ส. วฺฤทฺธ).” อภิ + วฒุ = อภิวุฒ แปลตามศัพท์วา่ “ผูเ้ จริญแลว้ อย่างย่งิ ” ธรรมทูต + อภวิ ฒุ ทฆี ะ อ ท่ี อภิวุฒ เปน็ อา : ธรรมทูต + อภิวุฒ = ธรรมทูตาภิวุฒ แปลโดยโวหารว่า “ผู้ยังใหง้ านพระธรรมทูตอภวิ ฒั นาการ” 121



๑๐ ทศมนิ ทรสมมตุ ปิ ฐมสกลคณาธิเบศร อา่ น: ทด-สะ-มิน-สม-มุด-ปะ-ถม-สะ-กน-ละ-คะ-นา-ท-ิ เบด แปลรวมความ: ทรงเป็นใหญ่ในสงฆ์ทง้ั ปวง (คอื ทรงเปน็ สมเดจ็ พระสงั ฆราช) พระองค์แรกทีไ่ ดร้ บั สถาปนาในรัชกาลที่ ๑๐ แยกศัพท:์ ทศม + อนิ ทร + สมมตุ ิ + ปฐม + สกล + คณ + อธเิ บศร อธิบาย : (๑) “ทศม” เป็นศัพท์จ�ำพวกที่เรียกว่า “ปูรณสังขยา” คือค�ำส�ำหรับใช้ นับลำ� ดับท่ี “สังขยา” (บาลี: สงฺขฺยา -ยา เสียงสามัญ ออกเสียงเหมือน สัง-เคีย จะได้เสยี งที่ใกล้เคยี งทส่ี ุด) แปลว่า “การนบั ” มี ๒ อยา่ ง คือ - ๑. นับระบจุ ำ� นวนของส่งิ ที่นบั เรยี กวา่ “ปกตสิ งั ขยา” (แปลวา่ “นบั ตามปกต”ิ ) เช่น ๑, ๒, ๓, ๔, ๕ = ระบุจำ� นวนหมดท้ัง ๕

๒. นับเฉพาะล�ำดับของสิ่งท่ีนับ เรียกว่า “ปูรณสังขยา” (แปลว่า “นบั จ�ำนวนท่คี รบ”) เชน่ ท่ี ๑, ที่ ๒, ที่ ๓, ท่ี ๔, ที่ ๕ = ระบุเฉพาะล�ำดับทน่ี บั ตัวอย่างเช่น นับว่า “สิบสามวัน” อย่างนี้คือปกติสังขยา = ทัง้ ๑๓ วันรวมอยู่ในการนบั แต่ถ้านับว่า “วันท่ีสิบสาม” อย่างน้ีคือปูรณสังขยา = อยู่ใน การนับเฉพาะวันที่ ๑๓ วนั เดียว “ทศม” บาลเี ป็น “ทสม” (ทะ-สะ-มะ) แยกศพั ทเ์ ป็น ทส + ม “ทส” แปลว่า สิบ (จ�ำนวน ๑๐) “ม” (มะ) เป็นปัจจัยส�ำหรับท�ำศัพท์ปกติสังขยาให้เป็น ปูรณสังขยา ทส + ม = ทสม ทส = สิบ ทสม = ล�ำดับทส่ี ิบ บาลี “ทสม” ใชต้ ามสันสกฤตเปน็ “ทศม” พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ บอกไว้วา่ - “ทศม- (ค�ำแบบ คือค�ำที่ใช้เฉพาะในหนังสือ ไม่ใช่ค�ำพูดท่ัวไป) (ค�ำวิเศษณ์) ที่ ๑๐ เชน่ ทศมสุรทนิ = วันที่ ๑๐. (ส.).” โปรดสังเกต ขีด - หลัง ม (ม-) บอกให้รู้ว่า “ทศม” เป็นค�ำ ท่ีไม่ใช้เด่ียว ๆ แต่ต้องมีค�ำอื่นมาสมาสข้างท้าย ซึ่งในที่นี้ก็คือค�ำว่า “อนิ ทร” 124

(๒) “อนิ ทร” “อินทร” เป็นรูปสนั สกฤต บาลเี ปน็ “อินทฺ ” (อนิ -ทะ) รากศพั ท์ มาจาก - ๑) อิทิ (ธาตุ = เป็นใหญ่ย่ิง) + อ ปัจจัย, ลงนิคหิตอาคมที่ ตน้ ธาตุ แลว้ แปลงเปน็ นฺ (อทิ ิ > อึทิ > อินฺทิ), “ลบสระหนา้ ” คอื (อิทิ + อ ปัจจัย : อิทิ อยู่หน้า อ อยู่หลัง) ลบสระ อิ ที่ (อิ)-ทิ (อทิ ิ > อทิ ) : อทิ ิ > อึทิ > อนิ ฺทิ > อนิ ฺท + อ = อนิ ฺท แปลตามศัพท์วา่ “ผเู้ ป็นใหญย่ ิง่ ” ๒) อนิ ฺทฺ (ธาตุ = ประกอบ) + อ ปัจจัย : อินทฺ ฺ + อ = อินฺท แปลตามศัพท์ว่า “ผปู้ ระกอบดว้ ยความ ยิ่งใหญ”่ “อนิ ฺท” หมายถึง จอม, เจ้า, ผ้ยู ิง่ ใหญ่, ผเู้ ปน็ ใหญ,่ พระอนิ ทร์ พจนานุกรมบาลี-องั กฤษ แปล “อนิ ฺท” วา่ - (๑) lord, chief, king (ผ้เู ปน็ เจ้า, ผ้เู ป็นหัวหน้า, พระราชา) (๒) The Vedic god Indra (พระอนิ ทรต์ ามคัมภีร์พระเวท) “อินทฺ ” ในบาลีเปน็ “อินฺทรฺ ” ในสันสกฤต สํสกฤต-ไท-องั กฤษ อภิธาน บอกไว้ว่า - “อินฺทฺร : (ค�ำนาม) พระอินทร์, เจ้าสวรรค์, เทพดาประจ�ำทิศ ตะวันออก; Indra, the supreme deity presiding over Svarga, the regent of the east quarter.” 125

“อินฺท” ในภาษาไทนนิยมใช้อิงสันสกฤตเป็น “อินทร์” แต่ที่ คงเป็น “อินท”์ กม็ ี พจนานกุ รมฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ บอกไวว้ า่ - “อินท์ : (ค�ำนาม) ช่ือเทวราชผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และชัน้ จาตุมหาราช, พระอินทร์; ผู้เป็นใหญ่. (ป.; ส. อินทฺ รฺ ).” พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต บอกไว้วา่ - “อนิ ทร์ : ผเู้ ปน็ ใหญ,่ จอมเทพ, ชื่อเทวราชผเู้ ป็นใหญ่ในสวรรค์ ช้ันดาวดึงส์ และมีอ�ำนาจบังคับบัญชาเหนือเทพช้ันจาตุมหาราชิกา; เรียกตามนิยมในบาลวี า่ ท้าวสักกะ.” ทศม + อินทร = ทศมินทร แปลตามศัพท์ว่า “ผู้เป็นใหญ่ ล�ำดับที่สิบ” หมายถึง พระราชาพระองค์ท่ี ๑๐ หรือเรียกตามท่ี เขา้ ใจกันในภาษาไทยวา่ “รัชกาลที่ ๑๐” น่ันเอง (๓) “สมมุต”ิ บาลเี ป็น “สมมฺ ุต”ิ อา่ นว่า สำ� -ม-ุ ติ รากศัพท์มาจาก สํ + มุติ (ก) “ส”ํ (สัง) เปน็ ค�ำอปุ สรรค นกั เรียนบาลที ่องจำ� กันมาวา่ “สํ พรอ้ ม, กับ, ดี” ใชใ้ นความหมายวา่ พร้อมกัน, รว่ มกัน (together, altogether, the same, near by) และในบางบริบทมคี วามหมาย ว่า ดี (good) 126

(ข) “มุต”ิ รากศัพทม์ าจาก - ๑) มุ (ธาตุ = ร)ู้ + ติ ปจั จัย : มุ + ติ = มุติ แปลตามศพั ท์ว่า “ธรรมชาตทิ รี่ ”ู้ ๒) มนฺ (ธาตุ = ร)ู้ + ติ ปจั จยั , แปลง อะ ที่ ม-(น)ฺ เปน็ อุ (มนฺ > มุน), ลบ น ที่สุดธาตุ (มนุ ฺ > ม)ุ : มนฺ > ม > มุ + ติ = มุติ แปลตามศพั ท์วา่ “ธรรมชาติ ท่ีร”ู้ “มุต”ิ หมายถึง จิตใจ, ความเหน็ , ความคิด; การคิดถึง, ความ อยาก, ความอยากได้หรือปรารถนา (mind, opinion, thought; thinking of, hankering after, love or wish for) สํ + มตุ ิ แปลงนคิ หติ ท่ี สํ เป็น มฺ (สํ > สม)ฺ : สํ > สมฺ + มุติ = สมมฺ ตุ ิ แปลตามศัพทว์ ่า “การรพู้ รอ้ มกนั ” คอื รบั รู้รว่ มกัน, ยอมรับร่วมกัน “สมมฺ ตุ ”ิ ในบาลีใชใ้ นความหมายดงั น้ี - (๑) การยินยอม, การอนญุ าต (consent, permission) (๒) การเลือก, การคัดเลือก, คณะผแู้ ทน (choice, selection, delegation) (๓) การก�ำหนด, การก�ำหนดหมาย [เขตแดน] (fixing, determination [of boundary]) 127

(๔) การยินยอมโดยทั่ว ๆ ไป, ความเห็นท่ัว ๆ ไป, ระเบียบ แบบแผน, สิ่งที่ยอมรับทั่ว ๆ ไป (common consent, general opinion, convention, that which is generally accepted) (๕) ความคดิ เหน็ , คำ� สอน (opinion, doctrine) (๖) ค�ำจ�ำกัดความ, ค�ำประกาศ, การแถลง (definition, declaration, statement) (๗) ค�ำพูดที่นิยมกัน, เป็นเพียงชื่อหรือค�ำเท่านั้น (a popular expression, a mere name or word) (๘) ขนบประเพณ,ี เรอ่ื งเก่า ๆ (tradition, lore) คำ� ว่า “สมฺมุติ” อาจมีรูปค�ำเป็น “สมฺมต” (ส�ำ-มะ-ตะ) หรือ “สมมฺ ต”ิ (สำ� -มะ-ต)ิ ไดอ้ ีก มคี วามหมายในท�ำนองเดยี วกัน สมมต, สมมติ, สมมุติ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ บอกความหมายไว้ว่า - (๑) (คำ� กรยิ า) รู้สึกนึกเอาวา่ เช่น สมมตุ ใิ หต้ ุ๊กตาเป็นน้อง. (๒) (คำ� สนั ธาน) ตา่ งว่า, ถอื เอาว่า เช่น สมมตุ ิวา่ ไดม้ รดกสิบล้าน จะบริจาคช่วยคนยากจน สมมุติว่าถูกสลากกินแบ่งรางวัลที่ ๑ จะไป เทย่ี วรอบโลก. (๓) (ค�ำวิเศษณ์) ท่ียอมรับตกลงกันเองโดยปริยาย โดยไม่คํานึง ถึงสภาพท่แี ท้จรงิ เช่น สมมตุ ิเทพ. 128

(๔) “ปฐม” เปน็ รูปคำ� บาลี รากศพั ท์มาจาก - ๑) ปฐฺ (ธาตุ = พดู , กล่าว; สวด) + อม ปจั จัย : ปฐฺ + อม = ปม แปลตามศัพท์ว่า (๑) “สิ่งอนั เขาพดู ขึน้ ในเบือ้ งต้น” (๒) “บทอันเขาสวดโดยเป็นบททส่ี ูงสดุ ” ๒) ปถฺ (ธาตุ = นบั ) + อม ปัจจัย, แปลง ถ เป็น  : ปถฺ + อม = ปถม > ปม แปลตามศัพทว์ า่ “สิง่ อันเขานับ ในเบ้อื งต้น” “ปม” ในบาลีใช้ในความหมายดงั นี้ - (๑) ท่หี นง่ึ , ขึ้นหนา้ ทส่ี ุด, กอ่ น (the first, foremost, former) (๒) ชั้นต้น, เปน็ ครง้ั แรก (at first, for the first time) (๓) เรว็ ๆ น้,ี ใหม่ ๆ, เพงิ่ (recently, newly, just) ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ บอกไว้ว่า - “ปฐม, ปฐม- : (คำ� วเิ ศษณ์) ประถม, ล�ำดบั แรก, ล�ำดับเบื้องต้น; ช้ันท่ี ๑, เรียกเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นท่ี ๑ ในตระกูลจุลจอมเกล้า วา่ ปฐมจุลจอมเกลา้ ปฐมจุลจอมเกล้าวิเศษ. (ป.).” สงั เกตเลน่ เปน็ การบันเทงิ : ในภาษาองั กฤษ นับจำ� นวน (ปกติสงั ขยา) ๑, ๒, ๓ ว่า one two three ... 129





แต่พอนับล�ำดับ (ปูรณสังขยา) ที่ ๑, ที่ ๒, ที่ ๓ กลับไม่ใช่ one two three แต่กลายเปน็ first, second, third ในภาษาบาลี นับจ�ำนวน (ปกติสังขยา) ๑, ๒, ๓ ว่า เอก ทฺวิ ติ ... แต่พอนับล�ำดับ (ปูรณสังขยา) ที่ ๑, ที่ ๒, ที่ ๓ กลับไม่ใช่ เอก ทวฺ ิ ติ แต่กลายเป็น ปฐม ทุตยิ ตติย นี่คือภาษาท่ีมีหลักการเดียวกัน นักภาษาจึงบอกว่า ภาษา อังกฤษและภาษาบาลีสันสกฤตเป็นภาษาตระกูลเดียวกัน คือ Indo- European languages (๕) “สกล” บาลีอา่ นว่า สะ-กะ-ละ รากศพั ท์มาจาก ส + กล (ก) “ส” (สะ) ตดั มาจาก “สห” (สะ-หะ) เป็นคำ� อุปสรรค ใชเ้ ปน็ ส่วนน�ำหนา้ สมาส แปลว่า “กับ” (with) หมายถงึ ประกอบดว้ ย, ม,ี เหมอื นกบั (possessed of, having, same as) (ข) “กล” รูปค�ำเดิมในบาลีเป็น “กลา” (กะ-ลา) รากศัพท์มาจาก กลฺ (ธาตุ = นบั , คำ� นวณ) + อ ปจั จัย + อา ปัจจัยเครอื่ งหมายอติ ถีลงิ ค์ : กลฺ + อ = กล + อา = กลา แปลตามศัพท์วา่ “ส่วนอนั เขา นับด้วย ๑ เปน็ ต้น” 132

พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “กลา” ดังนี้ - (๑) a small fraction of a whole, one infinitesimal part (เสย้ี วเล็ก ๆ ของส่วนทีเ่ ตม็ , ส่วนทเ่ี ลก็ นอ้ ยเหลือประมาณ) (๒) an art, a trick (อุบาย, การหลอกลวง) สสํ กฤต-ไท-องั กฤษ อภธิ าน มศี ัพทว์ ่า “กล” บอกไว้ดงั นี้ - (สะกดตามตน้ ฉบับ) “กล : (คุณศัพท์) อันไม่ย่อย; อันเปล้ีย; undigested or crude; weak; - ‘นจี ศัพท,์ ธีรนาท,’ เสยี งขบั ร้องเบา ๆ; ตน้ สาลหรอื สาลพฤกษ์; (ค�ำใช้ในกวิตา) จังหวะอันเท่ากับส่ีมาตร์; กามศุจิแห่ง ชาย; พุดซา; ส่วนย่อยของวัตถุต่าง ๆ; เลขาหรือเศษหนึ่งส่วนสิบหก พยาสหรือเส้นสกัดดวงจันทร์; ภาคเวลา (เท่ากับ ๑๐ กัษถะหรือ ประมาณ ๘ วนิ าฑ)ี ; นาฑีแหง่ องศา; ดอกเบย้ี ; อาจารวทิ ยาอย่างใด อย่างหน่ึง; ฤดูประจ�ำเดือนของสตรี; เรือ; มายา; ความโกง; a low or soft tone, humming; the Sal tree; (in poetry) time equal to four Matras or instants; semen virile; the jujube; a small part of anything; a digit or one sixteenth of the moon’s diameter; a division of time (equal to thirty Kashthas or about eight seconds); a minute of a degree; interest on a capital; any practical art; the menstrual discharge; a boat; fraud, deceit.” 133

“กลา” ใช้ในภาษาไทยเป็น “กล” ตามสนั สกฤต พจนานุกรมฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ บอกไว้วา่ - “กล, กล- : (คำ� นาม) การลวงหรือล่อลวงใหห้ ลงหรือใหเ้ ขา้ ใจผิด เพ่ือให้ฉงนหรือเสียเปรียบ เช่น เล่ห์กล, เล่ห์เหลี่ยม เช่น กลโกง; เรียกการเล่นทลี่ วงตาใหเ้ หน็ เปน็ จรงิ ว่า เล่นกล; เคร่อื งกลไก, เครื่องจกั ร, เครื่องยนต์, เช่น ช่างกล. (ค�ำวิเศษณ์) เช่น, อย่าง, เหมือน, เช่น เหตผุ ลกลใด; เคลือบแฝง เชน่ ถ้าจําเลยให้การเป็นกลความ. (คำ� ทีใ่ ช้ ในกฎหมาย).” จะเห็นได้ว่า ความหมายในภาษาไทยที่ตรงกับบาลีก็มี ท่ีใช้ แตกตา่ งออกไปกม็ ี ส + กล = สกล แปลตามศัพท์ว่า “ส่ิงที่เป็นไปพร้อมกับ ส่วนย่อยท้ังหลาย” ไขความว่า “รวมส่วนย่อยเข้ามาไว้ท้ังหมด” จึง หมายถึง ทงั้ หมด, ทั้งปวง, ทัง้ ส้นิ , ทวั่ ไปหมด (all, whole, entire) (๖) “คณ” รากศัพท์มาจาก คณฺ (ธาตุ = นับ) + อ ปจั จยั : คณฺ + อ = คณ แปลตามศัพทว์ า่ “ส่วนยอ่ ยทนี่ บั รวมกัน” (๑) เมื่อใช้ค�ำเดียว หมายถึง กลุ่มคน, ฝูงชน, คนจ�ำนวน มากมาย (a crowd, a multitude, a great many) (๒) เมื่อใช้เป็นส่วนท้ายค�ำสมาส หมายถึงการรวมเป็นหมู่ของ ส่ิงนั้น ๆ (a collection of) กล่าวคือ กลุ่ม, ฝูงชน, มวล; ฝูง, 134

ฝูงสัตว์; โขลง, หมู่, การรวมกันเป็นหมู่ (a multitude, mass; flock, herd; host, group, cluster) ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ บอกความหมายของ “คณ-, คณะ” ไวด้ งั น้ี - (๑) หมู่, พวก, (ซงึ่ แยกมาจากสว่ นใหญ)่ . (๒) กลุ่มคนผู้ร่วมกันเพ่ือการอย่างใดอย่างหน่ึง เช่น คณะ กรรมการ คณะสงฆ์ คณะนักทอ่ งเท่ยี ว. (๓) หน่วยงานในมหาวิทยาลัยหรือสถาบันท่ีเทียบเท่าซ่ึงรวม ภาควิชาตา่ ง ๆ ท่จี ดั การเรียนการสอนวิชาในสายเดยี วกนั เชน่ คณะ นิตศิ าสตร์ คณะอักษรศาสตร์. (๔) จ�ำนวนค�ำท่ีก�ำหนดไว้ในการแต่งร้อยกรองแต่ละประเภท โดยแบง่ เป็นบท บาท และวรรค เชน่ คณะของกลอนแปด ๑ บท มี ๒ บาท แต่ละบาทมี ๒ วรรค แต่ละวรรคมี ๖ ถงึ ๙ ค�ำ. (๗) “อธเิ บศร” แยกศัพท์เป็น อธบิ + อิศร (ก) “อธิบ” บาลีเป็น “อธปิ ” (อะ-ท-ิ ปะ) รากศัพทม์ าจาก อธิ (คำ� อปุ สรรค = ย่งิ , ใหญ่, ทบั ) + ปา (ธาตุ = รกั ษา) + อ ปัจจัย, “ลบสระหนา้ ” คือ อา ท่ี ปา (ปา > ป) : อธิ + ปา = อธิปา > อธิป + อ = อธปิ แปลตามศัพท์วา่ “ผ้รู กั ษาอยา่ งยงิ่ ” 135

พจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ บอกไวว้ ่า - “อธิป, อธิป- : (คำ� นาม) พระเจ้าแผน่ ดนิ , นาย, หวั หน้า, ผู้เปน็ ใหญ่, มักใช้พ่วงท้ายศัพท์ เช่น นราธิป ชนาธิป, แต่เม่ือนําหน้าคําที่ ขึ้นต้นด้วยสระ มักใช้ อธบิ เชน่ นราธเิ บศร์ นราธิเบนทร.์ (ป., ส.).” (ข) “อศิ ร” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ บอกไว้ว่า - “อิศร : (ค�ำนาม) ความเป็นเจ้าเป็นใหญ่, มักใช้เป็นส่วนท้าย ของสมาส เช่น นริศร มหิศร, หรือแผลงเป็น เอศร เช่น นฤเบศร. (ค�ำวิเศษณ์) เป็นใหญ่, เป็นใหญ่ในตัวเอง, เป็นไทแก่ตัวไม่ข้ึนแก่ใคร. (จาก ส. อศี วฺ ร ซ่งึ มกั ใช้ อิศวร).” คือพจนานุกรมฯ บอกว่า “อิศร” (อ่านว่า อิด) มาจาก “อีศวฺ ร” ในสันสกฤต สันสกฤต “อิศวร” บาลเี ปน็ “อสิ สฺ ร” (อดิ -สะ-ระ) รากศพั ท์ มาจาก - ๑) อิ (ตัดมาจาก “อิฏฐฺ ” = นา่ ปรารถนา) + อสฺ (ธาตุ = มี, เป็น) + อร ปจั จัย, ซอ้ น สฺ ระหว่าง อิ + อสฺ : อิ + สฺ + อสฺ = อิสฺส + อร = อิสฺสร แปลตามศัพท์ว่า “ผู้มี คือผู้เกิดในภูมิท่ีน่าปรารถนา” (อยากมี อยากเป็น อยากได้ อะไร สมปรารถนาทัง้ หมดไม่มีใครขัดขวาง) ๒) อิสฺสฺ (ธาตุ = เป็นใหญ)่ + อร ปัจจยั : อิสสฺ + อร = อิสสฺ ร แปลตามศพั ท์วา่ “ผูเ้ ปน็ ใหญ”่ 136

๓) อสี ฺ (ธาตุ = ครอบงำ� ) อร ปัจจยั , ซอ้ น สฺ ระหว่าง อีสฺ + อร, รัสสะ อี ที่ อี-(ส)ฺ เปน็ อิ (อีสฺ > อสิ )ฺ : อีส > อิสฺ + สฺ + อร = อิสฺสร แปลตามศพั ท์วา่ “ผคู้ รอบงำ� ” หมายถึงปกครอง “อิสฺสร” ในบาลใี ช้ในความหมายดังนี้ - (๑) ผู้เป็นเจ้า, ผู้ปกครอง, ผู้เป็นนาย, หัวหน้า (lord, ruler, master, chief) (๒) พระเจา้ ผู้สร้างโลก, พระพรหม (creative deity, Brahma) “อสิ ฺสร” ในภาษาไทยตัดตวั สะกดออกตัวหนงึ่ ใช้วา่ “อสิ ร” พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ บอกไว้วา่ - “อิสร-, อิสระ : (ค�ำวิเศษณ์) เป็นใหญ่, เป็นไทแก่ตัว, เช่น อสิ รชน, ที่ปกครองตนเอง เช่น รฐั อิสระ, ไม่ขน้ึ แกใ่ คร, ไมส่ ังกดั ใคร, เช่น อาชีพอิสระ นักเขียนอิสระ.น. ความเป็นไทแก่ตัว เช่น ไม่มี อสิ ระ แยกตวั เป็นอสิ ระ. (ป. อสิ สฺ ร; ส. อีศฺวร).” พจนานุกรมฯ บอกว่า อิสฺสร > อิสระ ตรงกับสันสกฤตว่า “อีศฺวร” สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกไว้ว่า - (สะกดตามต้นฉบบั ) “อีศฺวร : (ค�ำนาม) พระอีศวรเปนเจ้า, พระเจ้า; ศัพท์น้ีใช้ หมายความถึงเทพดาต่างๆ ทั่วไป; ‘IS`vara’ the supreme ruler of the universe, God; this word is applied to all the different divinities.” 137

พจนานุกรมฯ เก็บค�ำว่า “อีศวร” ไว้ โดยบอกว่า อีศวร คือ “อิศวร” หมายความว่าค�ำหลักเขียนเป็น “อิศวร” แต่จะเขียนเป็น “อีศวร” กไ็ ด้ ถ้าเขียนเปน็ “อีศวร” กใ็ หห้ มายถึง “อิศวร” นนั่ เอง ที่ค�ำว่า “อศิ วร” พจนานกุ รมฯ บอกไว้วา่ - “อิศวร : (คำ� นาม) ช่ือเรียกพระศวิ ะซงึ่ เปน็ พระเจ้าองค์หนึง่ ของ พราหมณ์; ความเป็นเจ้าเปน็ ใหญ,่ มักใชเ้ ปน็ สว่ นทา้ ยของสมาส และ แผลงเป็น เอศวร เช่น นเรศวร ราเมศวร, ใช้ย่อเป็น อิศร (อ่านว่า อิสวน) กม็ ี เช่น ใยยกพระธ�ำมรงค์ ส�ำหรบั องค์อิศรราช. (เพชรมงกุฎ). (ส. อีศวฺ ร).” สรุปว่า “อิศร” มาจาก “อีศฺวร” และมักใชเ้ ปน็ “อศิ วร” และ “อศี วฺ ร” หรอื “อิศวร” บาลเี ปน็ “อสิ ฺสร” เขียนแบบไทย เปน็ “อสิ ร” “อิศร” (อีศวฺ ร) และ “อสิ ร” (อสิ ฺสร) เปน็ คำ� ทม่ี ีมลู อนั เดยี วกนั อธปิ + อิสฺสร = อธิเปสฺสร : อธิบ + อิศร = อธิเบศร แปล ตามศพั ท์วา่ “ผู้เปน็ เจ้าผู้เปน็ ใหญ”่ โปรดสังเกตว่า ท้งั “อธิบ” (อธปิ ) และ “อิศร” (อิสฺสร) ต่างก็ แปลวา่ “ผเู้ ปน็ ใหญ”่ แตก่ ารใชค้ ำ� ซำ้� ซอ้ นกนั เชน่ นไ้ี มถ่ อื วา่ เปน็ ขอ้ พริ ธุ ในภาษาไทยกลบั จะเปน็ ทนี่ ยิ มกนั ดว้ ยซ�ำ้ 138

แต่หากรังเกียจด้วยข้อท่ีใช้ค�ำซ�้ำซ้อน ก็มีทางอธิบายได้อีก อย่างหนึ่งว่า “อธิเบศร” เป็นค�ำจ�ำพวกที่เรียกในเชิงฉันทลักษณ์ว่า “ศ เข้าลิลิต” หมายถึงค�ำท่ีเติม “อีศ” (แล้วมักแผลงเป็น “เอศ”) เข้าข้างท้ายเพื่อให้ได้รูปหรือเสียงที่ต้องการในทางฉันทลักษณ์ แต่คง มคี วามหมายเท่าเดิม เชน่ - นารี > นาเรศ มยรุ า > มยุเรศ นาวา > นาเวศ สาคร > สาคเรศ ตามหลักน้ี “อธเิ บศร” ค�ำเดมิ กค็ ือ “อธบิ ” แต่ในทนี่ ี้ต้องการ เสียงสระ “เอด” เพ่ือให้สัมผัสกับค�ำว่า “เนต” ในวรรคต่อไป (ทศมนิ ทรสมมตุ ปิ ฐมสกลคณาธิเบศร > ปวธิ เนตโยภาสวาสนวงศววิ ฒั ) จึงใช้วิธี “ศ เข้าลิลิต” คอื เติม “อศี ” เขา้ ขา้ งทา้ ย : อธบิ + อีศ = อธบิ ศี > อธิเบศ > (แลว้ เติม ร เขา้ ข้างท้าย) อธเิ บศร ถ้าเป็นเช่นนี้ “อธิเบศร” ก็คงแปลไปตามธรรมดาว่า “ผู้เป็น ใหญ”่ เท่าน้ันเอง คณ + อธิเบศร ทฆี ะ อะ ที่ อธิเบศร เปน็ อา : คณ + อธิเบศร = คณาธเิ บศร 139



๑๑ ปวธิ เนตโยภาสวาสนวงศวิวฒั อา่ น: ปะ-วดิ -ทะ-เนด-ตะ-โย-พาด-วาด-สะ-นะ-วง-สะ-ว-ิ วดั แปลรวมความ: ทรงยังแสงสว่างแห่งแบบอย่างอันดีงามให้ บังเกิด โดยเจริญรอยตามสมเด็จพระอุปัชฌายะคือสมเด็จพระสังฆราช (วาสนมหาเถร) แยกศัพท์: ปวิธ + เนติ + โอภาส + วาสน + วงศ + วิวัฒ อธิบาย : (๑) “ปวิธ” บาลอี า่ นวา่ ปะ-ว-ิ ทะ รากศัพท์มาจาก ป (ค�ำอปุ สรรค = ทว่ั ไป, ขา้ งหน้า, ก่อน, ออก) + วิ (ค�ำอปุ สรรค = วเิ ศษ, พิเศษ, แจ้ง, ตา่ ง) + ธา (ธาตุ = ทรงไว)้ + อ ปจั จยั , “ลบสระหนา้ ” คือลบ อา ท่ี ธา (ธา > ธ)

: ป + วิ + ธา = ปวิธา > ปวิธ + อ = ปวิธ (คุณศัพท์) แปลตามศัพท์ว่า “ส่ิงอันเขาต้ังไว้ข้างหน้าโดยอาการที่แปลกออกไป” หมายถงึ ตั้งไว้, แตง่ ไว้ (set up, arranged) “ปวธิ ” ในภาษาไทย แผลง ป เปน็ บ ว เปน็ พ จึงเป็น “บพิธ” พจนานกุ รมฉบับราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ บอกไวว้ ่า - “บพิธ : (ค�ำกรยิ า) แต่ง, สร้าง. (ป. ป + วิ + ธา). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ เพิ่มเติม ค�ำนิยามเปน็ ดังน้ี - “บพธิ : (คำ� กริยา) แตง่ , สรา้ ง, เชน่ วดั ราชบพิธ. (ป. ป + วิ + ธา).” เปน็ อนั ยนื ยนั ไดช้ ดั เจนวา่ ชอื่ พระอารามแหง่ นส้ี ะกด “ราชบพธิ ” ไมใ่ ช่ “ราชบพติ ร” ดงั ที่มกั มีผู้เขยี นผดิ เนือง ๆ (๒) “เนติ” ค�ำเดิมในบาลีเป็น “นีติ” รากศัพท์มาจาก นี (ธาตุ = น�ำไป, บรรลุ, ถึง) + ติ ปัจจยั : นี + ติ = นีติ แปลตามศพั ทว์ า่ “ขอ้ บญั ญัติเปน็ เครือ่ งบรรล”ุ “เคร่ืองน�ำไปให้บรรลุ” หมายถึง การน�ำไป, การแนะน�ำ, กฎ, ข้อบงั คับ, แบบแผน 142

พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “นีติ” ว่า guidance, practice, conduct, right conduct, propriety; statesmanship, polity (การน�ำทาง, การปฏิบัติ, ความประพฤติ, ความประพฤติท่ี ถูกต้อง, การท�ำที่เหมาะท่ีควร; การใช้วิธีปกครอง, การปกครอง ประชาชน) บาลี “นีต”ิ (นี- สระ อ)ี ภาษาไทยใชเ้ ป็น “นติ ิ” (น-ิ สระ อิ) พจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ บอกไว้ว่า - “นติ ิ : (ค�ำนาม) นตี ,ิ กฎหมาย, กฎปฏบิ ตั ,ิ แบบแผน, เยย่ี งอยา่ ง, ขนบธรรมเนียม, ประเพณี, วธิ ปี กครอง, เครอื่ งแนะนาํ , อุบายอันด”ี ในภาษาไทยมักเข้าใจกันว่า “นิติ” คือ กฎหมาย (law) แต่ โปรดสงั เกตว่า ฝรั่งไม่ไดแ้ ปล นตี ิ ว่า law “นตี ”ิ แผลง อี ที่ นี เป็น เอ (นี > เน) = เนติ ในภาษาไทย พจนานกุ รมฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ บอกไวว้ า่ - “เนติ : (ค�ำแบบ คือค�ำที่ใช้เฉพาะในหนังสือ ไม่ใช่ค�ำพูดท่ัวไป) (คำ� นาม) นติ ,ิ แบบแผน, เยยี่ งอยา่ ง, ขนบธรรมเนยี ม, ประเพณ,ี กฎหมาย, วิธปี กครอง, เคร่อื งแนะนํา, อบุ ายอนั ด.ี (ป., ส. นีต)ิ .” 143

(๓) “โอภาส” บาลีอา่ นวา่ โอ-พา-สะ รากศัพท์มาจาก โอ (ค�ำอปุ สรรค = ลง) + ภาสฺ (ธาตุ = ร่งุ เรือง) + อ ปัจจัย : โอ + ภาสฺ = โอภาสฺ + อ = โอภาส แปลตามศัพท์ว่า “สภาวะท่ีรุ่งเรือง” หมายถึง ประกาย, แสงสว่าง, ความรุ่งโรจน์, ความโชติช่วง; ความปรากฏ (shine, splendour, light, lustre, effulgence; appearance) ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ บอกไว้วา่ - “โอภาส : (ค�ำนาม) แสงสว่าง; ความสุกใส, ความเปล่งปล่ัง. (ค�ำกริยา) สอ่ งแสง. (ป.).” อภปิ รายแทรก : ท่อนหน่ึงในวรรคน้ี ค�ำแปลเดิม บอกว่า “แสงสว่างแห่ง แบบอย่างอนั ดีงาม” แสงสว่าง = โอภาส แบบอยา่ ง = เนติ ดงี าม = ปวิธ ประสมศัพท์อนุวัตรตามค�ำแปลไดด้ งั น้ี - ปวธิ + เนติ = ปวิธเนติ > แบบอย่างอันดงี าม ปวิธเนติ + โอภาส = ปวิธเนตโยภาส > แสงสว่างแห่ง แบบอยา่ งอันดงี าม 144



โปรดสงั เกตว่า เนติ กบั โอภาส ถ้าสมาสกัน (เอาคำ� มาชนกัน) ก็ควรเป็น “เนติโอภาส” แต่ในท่ีน้ีเป็น “เนตโยภาส” ท้ังนี้เพราะ มีสนธิ (เอาคำ� มาเช่ือมกนั ) เข้ามาเก่ยี วด้วย ท่ีต้องใช้วิธีสนธิก็เพราะค�ำหลังคือ “โอภาส” ข้ึนต้นด้วยสระ (อ อา อิ อี อุ อู เอ โอ) ตามหลักไวยากรณ์ทา่ นวา่ ต้องใช้วธิ ีสนธิดว้ ย -ติ + โอ- จึงตอ้ งชนดว้ ยวิธเี ชือ่ ม นนั่ คือ แปลง อิ ท่ี ติ เปน็ ย 146

: เนติ > เนตย : เนตย + โอภาส : (ย + โอ = โย) : เนตย + โอภาส = เนตโยภาส อนึ่ง ควรสงั เกตวา่ ศัพทว์ ่า “ปวธิ ” ตามทแี่ ยกศัพท์ไว้น้นั ท่าน แปลว่า ต้ังไว้, แต่งไว้ (set up, arranged) พจนานุกรมฉบับ ราชบัณฑิตยสถานที่อ้างถึงก็บอกความหมายของค�ำว่า “บพิธ” ว่า แตง่ , สรา้ ง แต่ในค�ำแปลเดมิ แปล “ปวธิ ” ว่า “ดีงาม” ถ้ากระไรควรเอาใจชว่ ยแปลเสรมิ ใหอ้ กี นดิ หนึง่ ว่า “ปวิธ” กค็ อื แตง่ สร้างไวอ้ ย่างดีงามนั่นแล ค�ำว่า “ปวิธเนติ” นั้น อยากจะเดาใจผู้รจนาพระนามว่า เจตนาใช้ค�ำว่า “ปวิธ” เพ่ือให้มีนัยประหวัดไปถึงนามพระอาราม “ราชบพิธ” อันเป็นที่ประทับน่ันด้วยกระมัง เพราะค�ำบาลีสันสกฤต ทหี่ มายถึง “ดงี าม” มอี ีกต้ังหลายคำ� ท�ำไมเจาะจงใช้ค�ำว่า “ปวิธ” ค�ำว่า“ปวิธเนติ” จึงอาจแปลแบบล�ำลองได้อีกนัยหน่ึงว่า “ทรงเปน็ แบบอย่างทด่ี งี ามแหง่ วัดราชบพธิ ” และศัพท์ว่า “เนติ” ท่ีแปลว่า “แบบอย่าง” นั้น ถ้าแปล แบบไมเ่ อือ้ ศพั ท์วา่ “ผนู้ ำ� ” รวมกบั “ปวิธ” ท่ี (สมมุตวิ ่า) หมายถึง วัดราชบพธิ ก็จะได้ความว่า “ทรงเป็นผ้นู ำ� ท่ีดีงามแหง่ วัดราชบพธิ ” ที่ว่ามาน้ีเป็นเพียงจินตนาการเพ่ือสุนทรียาลังการแห่งภาษา เท่านั้น ไม่ควรถือเอาเป็นจริงจังเลย 147

(๔) “วาสน” บาลอี ่านว่า วา-สะ-นะ รากศัพท์มาจาก - ๑) วาสฺ (ธาตุ = อบ, บ่ม) + ยุ ปจั จัย, แปลง ยุ เปน็ อน : วาส + ยุ > อน = วาสน แปลตามศัพท์ว่า “อาการที่ เขาอบ” ๒) วสฺ (ธาตุ = อยู่) + ยุ ปัจจัย, แปลง ยุ เป็น อน, ทีฆะ ต้นธาตุ คือ อ ที่ ว-(สฺ) เปน็ อา (วสฺ > วาส) : วสฺ + ยุ > อน = วสน > วาสน แปลตามศพั ทว์ ่า “การอย”ู่ “ท่อี ย”ู่ “วาสน” ในบาลใี ช้ในความหมายวา่ - (๑) เครอื่ งนงุ่ ห่ม, น่งุ ห่ม (clothing, clothed in) (๒) อาศยั อยู่ (dwelling) ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ บอกไวว้ า่ - (๑) วาสนะ ๑ : (คำ� นาม) การน่งุ ห่ม, เครื่องนุง่ หม่ . (ป., ส.). (๒) วาสนะ ๒ : (คำ� นาม) การอบ, การทําใหห้ อม; เคร่ืองหอม, นํ้าหอม. (ป., ส.). อน่ึง พึงทราบว่า “วาสน” ศัพท์น้ี รากศัพท์เดียวกับค�ำว่า “วาสนา” (วา-สะ-นา) ทใ่ี นภาษาไทยพดู กันว่า “วาสนา” (วาด-สะ- หนฺ า) 148