“วาสนา” รากศัพทม์ าจาก - ๑) วสฺ (ธาตุ = อย)ู่ + ยุ ปจั จัย + อา (ปัจจัยอิตถีลงิ ค)์ , ทีฆะ ต้นธาตุ คือ อ ที่ ว- เป็น อา, แปลง ยุ เป็น อน : วสฺ > วาส + ยุ > อน = วาสน + อา = วาสนา แปลตาม ศพั ทว์ า่ “สงิ่ ท่ีอย่ใู นจิต” ๒) วาสฺ (ธาตุ = อบ, บม่ ) + ยุ ปจั จยั + อา (ปัจจยั อติ ถลี ิงค)์ , แปลง ยุ เป็น อน : วาส + ยุ > อน = วาสน + อา = วาสนา แปลตามศัพท์วา่ “ส่ิงอนั เขาบม่ เพาะมา” พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “วาสนา” ว่า that which remains in the mind, tendencies of the past, impression (สิ่งที่เหลืออยูใ่ นใจ, แนวโนม้ ของอดตี , ความฝงั ใจหรอื ประทบั ใจ) 149
ในภาษาไทย พจนานกุ รมฉบับราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ บอกไวว้ า่ - “วาสนา : (คำ� นาม) บญุ บารมี, กศุ ลท่ที ําให้ได้รบั ลาภยศ, เช่น เด็กคนนี้มีวาสนาดี เกิดในกองเงินกองทอง, มักใช้เข้าคู่กับค�ำ บุญ หรือ บารมี เป็น บุญวาสนา หรอื วาสนาบารมี เช่น เป็นบุญวาสนา ของเขา เขาเป็นคนมีวาสนาบารมีมาก. (ป., ส.).” ผู้เขียนบทวิเคราะห์ศัพท์เคยได้ยินผู้ใหญ่ซ่ึงเป็นทายกทายิกา ของพระสงฆ์สายธรรมยุตและคุ้นเคยกับวัดราชบพิธเอ่ยพระนามเดิม ของสมเด็จพระสังฆราช (วาสนมหาเถร) ว่า “ท่านชื่อวาสนา” เป็น ท�ำนองว่าเดิมพระองค์ท่านมีพระนามว่า “วาสนา” แล้วภายหลังจึง เปลย่ี นเปน็ “วาสน”์ เรื่องนี้เท็จจริงเป็นประการใดไม่ยืนยัน เล่าไว้ตามท่ีได้ฟัง ท่านเรียกมา อันเน่ืองมาจากความคิดที่เกิดข้ึนระหว่างพิจารณาศัพท์ “วาสน” ว่ามีรากศพั ท์อันเดียวกบั “วาสนา” (๕) “วงศ” บาลเี ปน็ “วํส” (วัง-สะ) รากศัพทม์ าจาก - ๑) วนฺ (ธาตุ = คบหา) + ส ปัจจยั , แปลง นฺ ที่ (ว)-นฺ เปน็ นคิ หติ (วนฺ > ว)ํ : วนฺ + ส = วนฺส > วํส แปลตามศัพท์ว่า “เชื้อสายที่แผ่ ออกไป” (คือเมอื่ “คบหา” กนั ตอ่ ๆ ไป คนที่รจู้ กั กันก็ขยายตวั เพ่ิมขน้ึ ) 151
๒) วสฺ (ธาตุ = อยู่) + อ ปัจจัย, ลงนิคหิตอาคมท่ีต้นธาตุ (วสฺ > วสํ ) : วสฺ + อ = วส > วสํ แปลตามศพั ท์ว่า “อยู่รวมกนั ” “วสํ ” ในบาลีใช้ในความหมายว่า - (๑) ไม้ไผ่ (a bamboo) (๒) เชื้อชาติ, เชื้อสาย, วงศ์ตระกูล (race, lineage, family) (๓) ประเพณ,ี ขนบธรรมเนียมที่สบื ต่อกนั มา, ทางปฏิบัตทิ ี่เป็น มา, ชอ่ื เสยี ง (tradition, hereditary custom, usage, reputation) (๔) ราชวงศ์ (dynasty) (๕) ขลยุ่ ไม้ไผ่, ขลุย่ ผิว (a bamboo flute, fife) (๖) กีฬาชนิดหนึ่งซึ่งอุปกรณ์การเล่นท�ำด้วยไม้ไผ่ (a certain game) ในทน่ี ี้ “วสํ ” มีความหมายตามขอ้ (๒) และ (๓) บาลี “วํส” สันสกฤตเป็น “วศํ ” ภาษาไทยใชอ้ ิงสันสกฤตเป็น “วงศ” เขยี นเป็น “วงศ”์ และแผลงเปน็ “พงศ”์ ด้วย พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ บอกไว้วา่ - “วงศ-, วงศ์ : (ค�ำนาม) เชื้อสาย, เหล่ากอ, ตระกูล. (ส. วํศ; ป. วสํ ).” 152
(๖) “วิวฒั ” บาลีเป็น “วิวฑฺฒ” (วิ-วัด-ทะ) รากศัพท์มาจาก วิ (ค�ำ อุปสรรค = วเิ ศษ, พเิ ศษ, แจ้ง, ต่าง) + วฑฒฺ (ธาตุ = เจรญิ ) + ต ปจั จยั , แปลง ฑฒฺ เปน็ ฑ,ฺ แปลง ต เปน็ ฒ : วิ + วฑฺฒ = ววิ ฑฺฒ + ต = วิวฑฺฒต > วิวฑตฺ > วิวฑฒฺ แปลตามศัพท์ว่า “เจริญอย่างวิเศษ” หมายถึง เฒ่า (old), เป็นท่ี เคารพสักการะ (venerable) “วิวฑฺฒ” จะแปลเป็นค�ำนามวา่ “ความเจรญิ ” กไ็ ด้ หมายถงึ การเพ่ิม, ความงอกงาม, ความคืบหน้า, ความรุ่งเรือง (increase, growth, furtherance, prosperity) “วิวฑฺฒ” เป็นศัพท์ที่ประกอบข้ึนใหม่ มีความหมายตรงกับ คำ� เดิมในบาลวี ่า “วฑฒฺ ” หรือ “วุฑฒฺ ” น่นั เอง ในคัมภีร์แสดงบุคคลที่เรียกว่า วุฑฺฒ > วุฒบุคคล ไว้ ๓ จำ� พวก คอื - ๑. ชาตวิ ฑุ ฒฺ (ชา-ต-ิ วดุ -ทะ) > ชาติวุฒ (ชาด-ติ-วุด) = ผเู้ จริญ โดยชาตติ ระกลู หรือต�ำแหน่งฐานะ ๒. วยวุฑฺฒ (วะ-ยะ-วดุ -ทะ) > วัยวุฒ (ไว-ยะ-วุด) = ผู้เจริญ โดยวยั คอื มอี ายมุ าก ๓. คณุ วุฑฺฒ (ค-ุ นะ-วดุ -ทะ) > คณุ วุฒ (คนุ -นะ-วุด) = ผเู้ จรญิ โดยคณุ คอื ผู้สมบูรณ์ดว้ ยความรแู้ ละคุณธรรมความประพฤตดิ งี าม “วิวฑฺฒ” ตัดตัวสะกดออกตามหลักนิยมในภาษาไทย คือตัด ฑ ออก จงึ เป็น “ววิ ัฒ” ความหมายทว่ั ไปคือ “ผู้เจรญิ ” 153
๑๒ พุทธบริษทั คารวสถาน อ่าน: พดุ -ทะ-บอ-ริ-สดั -คา-ระ-วะ-สะ-ถาน แปลรวมความ: ทรงเปน็ ท่ตี ้ังแหง่ ความเคารพของพุทธบริษัท แยกศพั ท์: พุทธ + บริษัท + คารว + สถาน อธบิ าย : (๑) “พทุ ธ” บาลีเขียน “พุทฺธ” (มีจุดใต้ ทฺ) อ่านว่า พุด-ทะ รากศัพท์มา จาก พุธฺ (ธาตุ = ร)ู้ + ต ปัจจัย, แปลง ธฺ ที่สดุ ธาตุเป็น ท,ฺ แปลง ต เป็น ธ (นัยหนึง่ วา่ แปลง ธฺ ทส่ี ดุ ธาตุกบั ต เป็น ทฺธ) : พธุ ฺ + ต = พุธฺต > พทุ ตฺ > พุทฺธ (พธุ ฺ + ต = พุธตฺ > พุทฺธ) แปลตามศพั ท์วา่ “ผู้รทู้ ุกอยา่ งท่ีควรร”ู้
“พทุ ธฺ ” แปลตามศัพท์ได้เกอื บ ๒๐ ความหมาย แต่ทเี่ ข้าใจกนั ทวั่ ไปมกั แปลวา่ - (๑) ผู้รู้ = รสู้ รรพสงิ่ ตามความเป็นจรงิ (๒) ผู้ตนื่ = ตน่ื จากกเิ ลสนทิ รา ความหลับใหลงมงาย (๓) ผเู้ บิกบาน = บริสุทธ์ิผ่องใสเตม็ ท่ี ความหมายทเ่ี ข้าใจกันเปน็ สามัญ หมายถึง “พระพทุ ธเจ้า” พจนานกุ รมบาล-ี องั กฤษ แปล “พทุ ฺธ” วา่ - one who has attained enlightenment; a man superior to all other beings, human & divine, by his knowledge of the truth, a Buddha (ผู้ตรัสรู้, ผู้ดีกว่าหรือเหนือกว่าคนอ่ืน ๆ รวมทั้งมนุษย์และเทพยดาด้วยความรู้ในสัจธรรมของพระองค์, พระพุทธเจา้ ) (๒) “บริษทั ” บาลเี ป็น “ปริสา” (ปะ-ร-ิ สา) รากศพั ทม์ าจาก - (๑) ปริ (คำ� อปุ สรรค = รอบ) + สทิ ฺ (ธาตุ = ปล่อย) + อ ปจั จยั + อา ปัจจยั เครือ่ งหมายอติ ถลี งิ ค,์ ลบ อิ และ ท ที่ สิทฺ (สทิ ฺ > ส) : ปริ + สิทฺ = ปริสิทฺ + อ = ปริสิท > ปริส + อา = ปรสิ า แปลตามศพั ทว์ า่ “หมู่ทม่ี าโดยรอบ” (๒) ปริ (ค�ำอุปสรรค = รอบ) + สิ (ธาตุ = คบหา) + อ ปัจจยั + อา ปัจจัยเครือ่ งหมายอติ ถลี งิ ค์, ลบ อิ ท่ี สิ (สิ > ส) 156
: ปริ + สิ = ปรสิ ิ > ปริส + อ = ปรสิ + อา = ปรสิ า แปล ตามศัพท์ว่า “ทเี่ ปน็ ทพ่ี บปะกันโดยรอบ” “ปริสา” ในบาลีใช้ในความหมายว่า คนที่แวดล้อมอยู่, กลุ่ม หรือหมู่ชน, ประชาชน, ชุมนุม, กลุ่มชน, พวกพ้อง, คณะหรือ หมู่เหลา่ , สมัชชา, สมาคม, ฝงู ชน (surrounding people, group, collection, company, assembly, association, multitude) บาลี “ปริสา” สนั สกฤตเปน็ “ปริษท”ฺ สํสกฤต-ไท-องั กฤษ อภธิ าน บอกไวด้ ังนี้ - (สะกดตามตน้ ฉบับ) “ปริษทฺ : (ค�ำนาม) ‘บริษัท,’ สภา, ที่ประชุม (= บันดาผู้ท่ี มาประชุม); an assembly, an audience or congregation, meeting.” ปริสา > ปริษทฺ ภาษาไทยใช้อิงสันสกฤตเป็น “บริษัท” (บอ-ริ-สัด) พจนานกุ รมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ บอกไว้ว่า - “บรษิ ทั : (ค�ำนาม) หมู่, คณะ, เชน่ พุทธบรษิ ัท, ท่ีประชุม เชน่ จะพูดอย่างไรต้องดบู รษิ ทั เสยี ก่อน; (ค�ำทีใ่ ช้ในกฎหมาย) รูปแบบการ ดำ� เนินกจิ การธรุ กจิ เพอ่ื หาก�ำไร ท่ีจดั ต้ังขน้ึ เปน็ นิติบุคคล โดยแบง่ ทุน เปน็ หนุ้ มมี ูลค่าเท่า ๆ กนั มีผ้ถู ือหุน้ ต่างรับผดิ จำ� กัดเพียงไมเ่ กินจำ� นวน เงินท่ีตนยังส่งใช้ไม่ครบมูลค่าของหุ้นท่ีตนถือ บริษัทมี ๒ ประเภท คือ บรษิ ทั จำ� กดั และบริษทั มหาชนจำ� กดั . (ส. ปริษทฺ; ป. ปรสิ า).” 157
พทุ ฺธ + ปรสิ า = พทุ ธฺ ปรสิ า > พุทธบรษิ ทั “พุทธบริษัท” ตามศัพท์น่าจะแปลว่า กลุ่มแห่งพระพุทธเจ้า, ชุมนุมแห่งพระพุทธเจ้า หมายถึงพระพุทธเจ้าหลายพระองค์มารวมกัน แต่ค�ำว่า “พุทธ-” ในค�ำนี้ไม่ได้หมายถึงพระพุทธเจ้า (the Buddha; Lord Buddha) หากแต่หมายถึงชาวพุทธหรือผู้นับถือ พระพทุ ธศาสนา (a Buddhist; adherent of Buddhism) พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ไทย-อังกฤษ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต บอกไว้ว่า - “พทุ ธบรษิ ทั (Buddhaparisa) : the Buddhist assembly; the four assemblies of Buddhists; Buddhists (collectively).” พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตโฺ ต บอกไวว้ า่ - “พุทธบริษัท : หมู่ชนท่ีนับถือพระพุทธศาสนามี ๔ จ�ำพวก คอื ภิกษุ ภกิ ษณุ ี อบุ าสก อุบาสิกา.” ค�ำว่า “บริษัท” ในความคุ้นเคยของคนไทย มักเข้าใจว่า หมายถึงองค์กรที่จัดต้ังขึ้นเพ่ือประกอบธุรกิจทางการค้า คือ com- mercial company แต่ “ปริสา - ปริษทฺ” ในบาลีสันสกฤต มิได้มีความหมายเฉพาะเช่นน้ี ดังเช่นค�ำว่า “พุทธบริษัท” ก็ไม่ได้ แปลว่าบริษัทการค้าของชาวพุทธ หากแต่หมายถึง หมู่ชนท่ีนับถือ พระพุทธศาสนา ๔ พวก คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ซ่ึง กค็ ือชาวพุทธทวั่ ไปนั่นเอง 158
(๓) “คารว” บาลีอ่านวา่ คา-ระ-วะ รากศัพทม์ าจาก ครุ + ณ ปจั จัย (ก) “คร”ุ (คะ-ร)ุ รากศัพทม์ าจาก - ๑) ครฺ (ธาตุ = ไหลไป; ลอยขนึ้ ) + อุ ปัจจยั : ครฺ + อุ = ครุ แปลตามศัพท์ว่า (๑) “ส่ิงที่เล่ือนไหล กว้างขวางไป” (๒) “ผูล้ อยเดน่ ” ๒) คิรฺ (ธาตุ = คาย, หล่ัง) + อุ ปัจจัย, ลบสระต้นธาตุ (คริ ฺ > คร)ฺ : คิรฺ + อุ = คิรุ > ครุ แปลตามศัพท์ว่า (๑) “ผู้คาย ความรักใหห้ มูศ่ ิษย”์ (๒) “ผหู้ ลั่งความรกั ไปในหมูศ่ ษิ ย”์ “คร”ุ ในบาลีใช้ในความหมายวา่ - (๑) หนัก, น�ำ้ หนักบรรทุก (heavy, a load) (๒) ส�ำคญั , ควรเคารพ, พงึ เคารพ (important, venerable, reverend) (๓) คนท่คี วรนบั ถอื , ครู (a venerable person, a teacher) (ข) ครุ + ณ ปัจจยั , ลบ ณ, แผลง อุ ท่ี (ค)-รุ เป็น โอ แลว้ แปลง โอ เป็น อว (ครุ > คโร > ครว), ทีฆะ อะ ท่ีต้นศัพท์ คือ ค-(รว) เป็น อา ดว้ ยอ�ำนาจ ณ ปจั จัย (ครว > คารว) : ครุ + ณ = ครุณ > ครุ > คโร > ครว > คารว (ปงุ ลงิ ค์) แปลตามศพั ท์ว่า “ภาวะแห่งคร”ุ หมายถึง การคารวะ, ความเคารพ, ความนับถือ (reverence, respect, esteem); ความย�ำเกรง, ความนอบน้อม (respect for, reverence towards) 160
ความหมายในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ บอกไวว้ ่า - “คารวะ : (ค�ำนาม) ความเคารพ, ความนับถือ. (คำ� กรยิ า) แสดง ความเคารพ. (ป.).” “คารวะ” ท่านจัดเป็นมงคลข้อหนึ่งในมงคล ๓๘ ประการ อันเป็นคุณธรรมท่ียังผู้ประพฤติปฏิบัติให้เข้าถึงความสุขความเจริญ กา้ วหน้า “คารวะ” ส�ำหรับชาวพุทธ โดยเฉพาะภิกษุ มีอะไรบ้าง พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต ขอ้ [๒๖๑] แสดงไว้ดงั นี้ - คารวะ หรือ คารวตา ๖ : ความเคารพ, การถอื เปน็ ส่งิ สำ� คัญ ท่ีจะพึงใส่ใจและปฏิบัติด้วยความเอื้อเฟื้อ หรือโดยความหนักแน่น จริงจัง, การมองเห็นคุณค่าและความส�ำคัญแล้วปฏิบัติต่อบุคคลหรือ สงิ่ นน้ั โดยถูกตอ้ ง ดว้ ยความจริงใจ (Garava, Garavata: reverence; esteem; attention; respect; appreciative action) ๑. สัตถุคารวตา (ความเคารพในพระศาสดา — reverence for the Master) ข้อน้บี างแห่งเขียนเปน็ พุทธคารวตา (ความเคารพ ในพระพทุ ธเจา้ — Satthu-garavata: reverence for the Buddha) ๒. ธัมมคารวตา (ความเคารพในธรรม — Dhamma- garavata: reverence for the Dhamma) 161
๓. สังฆคารวตา (ความเคารพในสงฆ์ — Sanฺ gha-garavata: reverence for the Order) ๔. สิกขาคารวตา (ความเคารพในการศึกษา — Sikkha- garavata: reverence for the Training) ๕. อัปปมาทคารวตา (ความเคารพในความไม่ประมาท — Appamada-garavata: reverence for earnestness) ๖. ปฏิสันถารคารวตา (ความเคารพในปฏิสันถาร คือ การ ต้อนรับปราศรัย — Patฺisanthara-garavata: reverence for hospitality) ธรรม ๖ อย่างนี้ ยอ่ มเป็นไปเพอื่ ความไม่เสอ่ื มแหง่ ภิกษ.ุ (๔) “สถาน” บาลีเป็น “าน” (ถา-นะ) รากศัพท์มาจาก า (ธาตุ = ตั้งอย)ู่ + ยุ ปัจจัย, แปลง ยุ เปน็ อน (อะ-นะ) : า + ยุ > อน = าน แปลตามศัพทว์ ่า “ทเี่ ป็นที่ตัง้ แห่งผล” “าน” ใช้ในความหมายหลายอย่างตามแตบ่ รบิ ท เชน่ สถานท,ี่ เขตแคว้น, ต�ำบล, แหล่ง, ท่ีอาศัย, ฐานะ, การตั้งอยู่, การด�ำรงอยู่, การหยุดอยู,่ การยนื , ท่ีตง้ั , ต�ำแหนง่ , เหตุ, โอกาส (ภาษาองั กฤษอาจ ใชไ้ ดห้ ลายค�ำ เช่น place, region, locality, abode, part, state, condition, standing position, location, ground) 163
บาลี “าน” สันสกฤตเปน็ “สถฺ าน” สสํ กฤต-ไท-องั กฤษ อภธิ าน บอกไวว้ า่ - (สะกดตามต้นฉบบั ) “สฺถาน : (ค�ำนาม) สถล, ที่, ต�ำแหน่ง; การอยู่; สมพาท, ความแม้น; อวกาศหรือมัธยสถาน; ท่ีแจ้งในเมือง, ทุ่ง, ฯลฯ; เรือน, บ้านหรือท่ีอาศรัย; บริเฉท; บุรี, นคร; ส�ำนักงาร; บท, สถิติ; การ หยดุ ; place, site, situation; staying; resemblance, likeness; leisure or interval; an open place in a town, a plain, &c.; a house, a dwelling; a chapter; a town, a city; an office; degree, station; halt.” ภาษาไทยใชต้ ามรูปสันสกฤตเป็น “สถาน” พจนานุกรมฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ บอกไวว้ า่ - “สถาน ๑ : (คำ� นาม) ท่ตี ้ัง เช่น สถานเสาวภา สถานพยาบาล สถานพักฟื้น สถานบริบาลทารก, ถ้าใช้ประกอบค�ำอื่นหมายถึง ที่, แหล่ง, เช่น โบราณสถาน ศาสนสถาน ฌาปนสถาน ปูชนียสถาน สังเวชนยี สถาน; ประการ เช่น มีความผิดหลายสถาน. (ส.; ป. ฐาน).” คารว + สถาน = คารวสถาน ศัพท์นี้ถา้ เปน็ รปู บาลี กเ็ ป็น คารว + ฏฺ + าน = คารวฏฺ าน (คา-ระ-วดั -ถา-นะ) แปลว่า “ท่ตี ั้งแหง่ ความเคารพ” 164
หรอื ถ้าจะใหถ้ กู ความหมายตามรูปบาลี กค็ วรเป็น “คารวานีย” เพราะศัพท์ว่า าน แปลว่า ท่ีตั้ง, เป็นท่ีต้ัง ยังเก็บความได้ไม่ตรง ความหมาย จงึ ควรลง อยี ปจั จัยอกี ชั้นหนึ่ง : าน + อยี = านีย (ถา-น-ี ยะ) แปลตามศัพท์ว่า “ควรแก่ การเป็นที่ต้งั แห่งผล” คารว + ฏฺ + านีย = คารวฏฺ านยี (คา-ระ-วดั -ถา-น-ี ยะ) แปลตามศพั ท์ว่า “ควรแกก่ ารเปน็ ท่ตี ้งั แห่งความเคารพ” “คารวฏฺานีย” เขียนแบบไทยเป็น “คารวฐานีย์” หรือจะ ไมใ่ สเ่ คร่อื งหมายการนั ตท์ ี่ ย เขยี นแบบค�ำเกา่ เปน็ “คารวฐานยี ” แต่ คงอา่ นวา่ คา-ระ-วะ-ถา-นี กไ็ ด้ “คารวฐานีย์” เทียบค�ำท่ีเราค่อนข้างคุ้นตาก็คือ “ครุฐานีย์” ที่แปลว่า ตง้ั อยใู่ นฐานะเปน็ ครู แต่พึงเข้าใจว่า ค�ำบาลีสันสกฤตท่ีเราเอามาใช้เป็นค�ำไทยนั้น เราไม่ได้ค�ำนึงถึงหลักไวยากรณ์ คือไม่ได้เอาหลักไวยากรณ์ติดมาด้วย เสมอไป เช่นค�ำนามเราเอามาใช้เป็นค�ำกริยาก็มาก บางทีก็แปลงรูป และความหมายตา่ งไปจากเดิมด้วยกม็ ี และในทซ่ี ึง่ ตอ้ งการสัมผสั เช่น ในสร้อยพระนามน้ีเป็นต้น ก็เป็นเหตุบังคับให้ต้องเลือกใช้ค�ำที่ได้รูป และเสยี งทีเ่ หมาะแกก่ ารอ่านออกเสยี งอกี โสดหนงึ่ ด้วย 165
๑๓ วิบลู สลี สมาจารวัตรวิปสั สนสุนทร อ่าน: วิ-บูน-ส-ี ละ-สะ-มา-จาน-ระ-วัด-ว-ิ ปัด-สะ-นะ-สุน-ทอน แปลรวมความ: ทรงงดงามในพระวิปัสสนาธุระ ทรงพระศีลา- จารวัตรอนั ไพบลู ย์ แยกศัพท์: วิบูล + สลี + สมาจาร + วตั ร + วปิ สั สน + สุนทร อธบิ าย : (๑) “วบิ ลู ” บาลเี ปน็ “วิปุล” (วิ-ป-ุ ละ) รากศพั ทม์ าจาก วิ (ค�ำอปุ สรรค = พิเศษ, แจง้ , ต่าง) + ปลุ ฺ (ธาตุ = มาก, ใหญ่) + อ ปัจจยั : วิ + ปลุ ฺ + อ = วิปุล (ค�ำคุณศัพท์) แปลตามศัพท์ว่า “มมี าก” หรือ “ใหญ”่ หมายถึง ใหญ่, กวา้ งขวาง, ยิง่ ใหญ,่ ล้นเหลือ (large, extensive, great, abundant) สสํ กฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกไว้ว่า “วปิ ุล : (คุณศัพท์) ‘วบิ ุล,’ ใหญ,่ กว้าง; ลึก, ซง้ึ ; large, great, broad; deep, profound;- (ค�ำนาม) เมรุบรรพต; ภูเขาหิมาลัย;
นรผู้ควรบูชา; พสุธา; the mountain Meru; the Himalaya mountain; a respectable man; the earth.” บาลี “วิปุล” ภาษาไทยใชเ้ ป็น “วิบลุ ” “วบิ ูล” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ บอกไว้วา่ - “วบิ ุล, วิบลู : (คำ� วเิ ศษณ)์ เต็ม, กวา้ งขวาง, มาก, ใชว้ ่า วิบลุ ย์ หรอื วิบูลย์ กม็ .ี (ป., ส. วิปลุ ).” พจนานุกรมฯ บอกว่า “วบิ ลู ” ใชว้ า่ “วิบุลย”์ หรอื “วบิ ลู ย”์ กม็ ี แลว้ สนั สกฤตบาลีจะวา่ อย่างไร? บาลี “วิปุล” ดำ� เนนิ กรรมวธิ ที างไวยากรณต์ อ่ ไปได้อีก ดังน้ี - (๑) วิปุล + ณยฺ ปจั จยั , ลบ ณ (ณยฺ > ย) : วปิ ุลฺ + ณยฺ = วปิ ุลณฺย > วปิ ุลย “วิปุลย” นีเ่ องท่ีไทยเราเอามาใชว้ า่ “วิบุลย”์ หรือ “วบิ ูลย”์ > วปิ ุลฺล > เวปุลลฺ (คำ� นาม) แปลว่า ความเพ่มิ พูน, ความอุดม สมบูรณ์, ความล้นเหลือ, ความเต็มเปี่ยม (full development, abundance, plenty, fullness) (๒) “วิปุลย” ด�ำเนินกรรมวิธีทางไวยากรณ์ต่อไปได้อีก คือ แปลง ลฺย เปน็ ลลฺ , แผลง อิ ที่ วิ-(ปุลฺย) เปน็ เอ : วิปุลย > วิปุลฺล > เวปลุ ลฺ 168
ท้ัง “วิปุลย” และ “เวปุลฺล” (ค�ำนาม) แปลว่า ความ เพิ่มพูน, ความอุดมสมบูรณ์, ความล้นเหลือ, ความเต็มเปี่ยม (full development, abundance, plenty, fullness) “เวปุลฺล” สันสกฤตเป็น “ไวปุลฺย” เราเขียนอิงสันสกฤตเป็น “ไพบลู ย”์ พจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ บอกไว้ว่า - “ไพบูลย์ : (ค�ำนาม) ความเต็มเปี่ยม, ความเต็มท่ี. (ค�ำวิเศษณ์) เตม็ เปีย่ ม, เตม็ ท.ี่ (ส. ไวปลุ ฺย; ป. เวปลุ ลฺ ).” สงั เกตการกลายรปู : (๑) วปิ ลุ ฺ (+ ณยฺ = วิปลุ ณฺย, ลบ ณ) > วิปุลย (บาลกี ลาย ต่อไปเป็น > วิปลุ ฺล > เวปุลลฺ ) (๒) จับเฉพาะตอนทเ่ี ปน็ “วปิ ลุ ย” ของบาลี ตามข้อ (๑) มา เทยี บสันสกฤต “ไวปลุ ฺย” จะเหน็ วา่ เปน็ รปู เดียวกนั คือ - : วปิ ลุ ย (แผลง อิ เป็น เอ) > เวปุลย (แปลง เอ เป็น ไอ) > ไวปลุ ยฺ ต่างตรงที่ วิปุลย ในบาลีไม่ได้หยุดอยู่แค่น้ี แต่กลายรูปต่อไป เปน็ วปิ ุลฺล > เวปลุ ลฺ (๓) อิ เป็น เอ > เอ เป็น ไอ เปน็ สูตรส�ำเร็จระหวา่ งบาลี > สันสกฤต ท�ำนองเดยี วกับ ว ในบาลสี นั สกฤตเป็น พ ในภาษาไทย (๔) วิปลุ > วปิ ุลย > เวปลุ ย > ไวปลุ ยฺ > ไพบูลย์ 169
(๕) รูปค�ำอื่น ๆ ที่ใช้ในภาษาไทย เช่น วิบุล วิบูล วิบุลย์ วิบูลย์ พิบุล พิบูล มาจากรากเดียวกันกับ วิปุล > เวปุลฺล > ไวปลุ ฺย > ไพบูลย์ ทราบไว้เป็นความรู้ : ในวรรณคดีบาลี ศัพท์ “เวปุลฺล” มักใช้ร่วมกันเป็นชุดกับ “วุฑฒฺ ”ิ (วุด-ท)ิ และ “วิรฬุ ฺห”ิ (วิ-รุน-หิ) : วฑุ ฺฒิ วริ ุฬหฺ ิ เวปุลฺล เช่น - วุฑฒฺ ึ วริ ฬุ หฺ ิเวปลุ ลฺ ํ ปปโฺ ปตุ พุทธฺ สาสเน. ขอจงบรรลถุ งึ ความเจริญ งอกงาม ไพบลู ย์ ในพระพุทธศาสนา เทอญ วุฑฺฒิ = ความเจรญิ วิรฬุ หฺ ิ = ความงอกงาม เวปลุ ฺล = ความเพมิ่ พนู > ไพบลู ย์ (๒) “สีล” เปน็ รปู คำ� บาลี ในภาษาไทยนิยมใช้ตามรูปสนั สกฤตเป็น “ศีล” แต่ในทน่ี ้คี งใช้ตามรปู บาลี “สีล” (ส-ี ละ) รากศัพทม์ าจาก - (๑) สีลฺ (ธาตุ = สงบ, ทรงไว)้ + อ ปัจจยั : สลี ฺ + อ = สีล แปลตามศัพท์ว่า “เหตุสงบแหง่ จติ ” “เหตใุ ห้ ธำ� รงกุศลธรรมไว้ได”้ “ธรรมทธี่ ำ� รงผู้ปฏิบตั ไิ ว้มใิ ห้เกดิ ในอบาย” 170
(๒) สิ (ธาตุ = ผูก) + ล ปจั จัย, ยืดเสียง (ทีฆะ) อิ ท่ี สิ เปน็ อี : สิ + ล = สิล > สีล แปลตามศัพทว์ า่ “เครื่องผูกจิตไว”้ นยั หน่ึงนยิ มแปลกันวา่ “เย็น” หรือ “ปกต”ิ โดยความหมายว่า เม่อื ไม่ละเมดิ ข้อหา้ มก็จะทำ� ใหเ้ กิดความรม่ เย็นเปน็ ปกตเิ รียบร้อย “สลี ” หมายถงึ - (๑) ข้อปฏิบัติทางศลี ธรรม, นสิ ยั ทด่ี ี, จรยิ ธรรมในพทุ ธศาสนา, หลักศีลธรรม (moral practice, good character, Buddhist ethics, code of morality) (๒) ธรรมชาติ, นิสัย, ความเคยชิน, ความประพฤติ (nature, character, habit, behavior) “สีล” ในบาลี เปน็ “ศลี ” ในสันสกฤต สสํ กฤต-ไท-องั กฤษ อภธิ าน บอกไวว้ า่ - (สะกดตามต้นฉบับ) (๑) ศีล : (ค�ำคุณศัพท์) มี; มีความช�ำนาญ; มีมรรยาทหรือ จรรยาดี, มอี ารมณด์ ;ี endowed with, or possessed of; versed in; well-behaved, well-disposed. (๒) ศีล : (ค�ำนาม) ชาติหรือปรกฤติ, คุณหรือลักษณะ; ภาวะ หรืออารมณ;์ สุศลี , จรรยา– มรรยาท– หรืออารมณด์ ี; การรักษาหรือ ประติบัทธรรมและจรรยาไว้ม่ันและเปนระเบียบ; โศภา, ความงาม; งูใหญ่; nature, quality; disposition or inclination; good conduct or disposition; steady or uniform observance of law and morals; beauty; a large snake. 171
(๓) “สมาจาร” แยกศัพท์เป็น สม + อาจาร (ก) “สม” มีทม่ี าเปน็ ๒ นัย คือ - ๑. สํ + อาจาร ๒. สม + อาจาร นยั ๑ สํ + อาจาร สํ (สัง) เป็นค�ำอุปสรรค นักเรียนบาลีท่องจ�ำกันมาว่า “สํ พรอ้ ม, กบั , ดี” ใชใ้ นความหมายวา่ พร้อมกนั , รว่ มกัน (together, altogether, the same, near by) และในบางบรบิ ทมคี วามหมาย วา่ ดี (good) สํ + อาจาร แปลงนิคหติ เป็น ม : สํ > สม + อาจาร นัย ๒ สม + อาจาร “สม” บาลีอ่านว่า สะ-มะ มคี วามหมายดังนี้ - ๑. ความสงบ, ความราบรื่น, ความสงบทางใจ (calmness, tranquillity, mental quiet) ๒. ท�ำได้อยา่ งยากล�ำบาก (fatigue) ๓. เรยี บ, ได้ระดบั , สมำ่� เสมอ (even, level) ๔. เสมอกนั , อย่างเดยี วกัน, เท่าเทยี มกนั , (มีลักษณะ นสิ ยั ใจคอ รสนิยม แนวโนม้ ฯลฯ ไปในทางเดียวกนั ) (like, equal, the same) ๕. เท่ียงธรรม, ซ่อื ตรง, มจี ิตไม่วอกแวก, ยุติธรรม (impartial, upright, of even mind, just) 174
๖. “-ด้วยกนั ” เช่น “สมตสึ ” (สะ-มะ-ตงิ -สะ) = สามสิบดว้ ย กัน (thirty altogether) > ถว้ น ๆ เตม็ ๆ อน่ึง ค�ำว่า “สม” ถ้าตีขลุมให้เป็นค�ำไทย (อ่านว่า สม) ก็มี ความหมายในทางดี คือหมายถงึ เหมาะ, เหมาะกับ, ควรแก่, ตรงกบั , รับกัน เช่น คู่นี้สมกัน, สมฐานะ, สมศักด์ิศรี, สมคะเน, สมน้�ำหน้า, สมคิด (ข) “อาจาร” บาลีอ่านว่า อา-จา-ระ รากศัพท์มาจาก อา (ค�ำอุปสรรค = ท่วั ไป, ยิง่ ) + จรฺ (ธาตุ = ประพฤติ; ศกึ ษา) + ณ ปัจจัย, ลบ ณ, “ทฆี ะต้นธาต”ุ คือ อะ ท่ี จ-(ร)ฺ เปน็ อา (จรฺ > จาร) : อา + จรฺ = อาจรฺ + ณ = อาจรฺณ > อาจรฺ > อาจารฺ แปล ตามศพั ทว์ า่ “อาการทป่ี ระพฤตอิ ยา่ งยง่ิ ” “อาการทศี่ กึ ษาอยา่ งทว่ั ถงึ ” (คือเอาใจใส่ให้ความส�ำคัญต่อเร่ืองนั้นๆ) หมายถึง อาจาระ, ความ ประพฤติ, การปฏิบัติ, ความประพฤติชอบ, กิริยามารยาทที่ดี (way of behaving, conduct, practice, right conduct, good manners) ความหมายของ อาจาร : (๑) เป็นค�ำนาม = การวางตัว, ความประพฤติ, การปฏิบัติ, ความประพฤตชิ อบ, กริ ยิ ามารยาททดี่ ี (way of behaving, conduct, practice, right conduct, good manners) (๒) เป็นค�ำคุณศัพท์ = ประพฤติดี, ประพฤติชอบ, มีความ ประพฤตเิ ช่นนัน้ เปน็ กจิ วตั ร (practising, indulging in, or of such & such a conduct) 175
บาลี “อาจาร”ฺ สนั สกฤตกเ็ ป็น “อาจาร”ฺ สํสกฤต-ไท-องั กฤษ อภธิ าน บอกไวว้ า่ - (สะกดตามตน้ ฉบบั ) “อาจาร : (ค�ำนาม) ระเบียบมรรยาท (กฤติกาแห่งมรรยาท); วินัยบัญญัติ; วินัย; ขนบธรรมเนียม; กริยาประพันธ์; rule of conduct; ordinance; precept; custom or usage; practice.” ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ บอกความหมายไว้วา่ - “อาจาร, อาจาร- : (ค�ำนาม) ความประพฤต,ิ ความประพฤติดี; จรรยา, มรรยาท; ธรรมเนียม, แบบแผน, หลกั . (ป., ส.).” สม + อาจาร = สมาจาร พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “สมาจาร” ว่า conduct, behaviour (ความประพฤต,ิ การปฏบิ ตั ิตวั ) พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต บอกความหมายไวด้ งั นี้ - “สมาจาร : ความประพฤติที่ดี; มักใช้ในความหมายท่ีเป็น กลาง ๆ ว่า ความประพฤติ โดยมีค�ำอื่นประกอบขยายความ เช่น กายสมาจาร วจีสมาจาร ปาปสมาจาร เป็นต้น.” ในภาษาไทย พจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ บอกไวว้ า่ - “สมาจาร : (คำ� นาม) ความประพฤติท่ีด,ี ธรรมเนียม, ประเพณี. (ป., ส.).” 176
(๔) “วตั ร” บาลเี ปน็ “วตตฺ ” (วัด-ตะ) รากศัพท์มาจาก วตตฺ ฺ (ธาตุ = เป็น ไป, ด�ำเนนิ ไป, เปน็ อยู่, หมุนไป) + อ ปจั จยั : วตตฺ ฺ + อ = วตตฺ แปลตามศพั ท์ว่า “กิจท่ดี �ำเนนิ ไป” “ขอ้ ที่ ควรถือประพฤต”ิ “วตฺต” ค�ำนี้รูปค�ำท่ีคุ้นกันในภาษาไทยคือ “วัตร” ซึ่งมี ความหมายวา่ - (๑) สิ่งที่ท�ำ, ส่ิงที่ด�ำเนินไป หรือเป็นกิจวัตร, หน้าท่ี, การ บรกิ าร, ประเพณ,ี งาน (that which is done, which goes on or is customary, duty, service, custom, function) (๒) การปฏิบัติหรือบ�ำเพ็ญ, การปฏิญญา, คุณความดี (observance, vow, virtue) “วตฺต” ในบาลี เปน็ “วฤฺ ตตฺ ” ในสันสกฤต สสํ กฤต-ไท-อังกฤษ อภธิ าน บอกไว้วา่ - (สะกดตามต้นฉบบั ) “วฤฺ ตตฺ : (คำ� นาม) กาพย,์ ฉนั ท;์ ความประพฤต;ิ ประโยค; การย,์ เหตุการณ์; มณฑล, วงกลม; เตา่ ; อาชพี ; verse, metre; conduct; practice; procedure, event; a circle; a tortoise; profession.” ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ บอกความหมายไว้ว่า - “วัตร, วัตร- : (คำ� นาม) กิจพึงกระทาํ เชน่ ท�ำวตั รเช้า ท�ำวัตร เย็น, หน้าที่ เช่น ข้อวัตรปฏิบัติ, ธรรมเนียม เช่น ศีลาจารวัตร; 177
ความประพฤติ เช่น พระราชจริยวัตร, การปฏิบัติ เช่น ธุดงควัตร อปุ ชั ฌายวตั ร, การจ�ำศีล. (ป. วตตฺ ; ส. วฤฺ ตตฺ ).” (๕) “วิปัสสน” บาลเี ป็น “วปิ สสฺ นา” (มีจุดใต้ ส ตัวแรก) อา่ นว่า วิ-ปดั -สะ-นา รากศพั ทม์ าจาก วิ (คำ� อุปสรรค = วิเศษ, พเิ ศษ, แจ้ง, ต่าง) + ทิสฺ (ธาตุ = เห็น), แปลง ทิสฺ เป็น ปสฺสฺ + ยุ ปัจจัย, แปลง ยุ เป็น อน (อะ-นะ) + อา ปัจจัยเคร่อื งหมายอิตฺถลี งิ ค์ : วิ + ทิสฺ > ปสฺส = วิปสสฺ ฺ + ยุ > อน = วิปสสฺ น + อา = วิปสสฺ นา แปลตามศัพท์ว่า “ปัญญาท่ีเห็นสภาวะตา่ ง ๆ มอี นิจจลักษณะ เปน็ ตน้ ในสังขาร” หมายถงึ การเห็นแจง้ , ความเหน็ วิเศษ, ญาณพิเศษ, ปัญญาเครื่องเห็นแจ้ง (inward vision, insight, intuition, introspection) พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ไทย-อังกฤษ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต แปล “วิปสั สนา” เป็นอังกฤษดงั น้ี - Vipassana : insight; intuitive vision; introspection; contemplation; intuition; insight development. พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยตุ โฺ ต บอกไวว้ ่า - “วิปัสสนา : ความเห็นแจ้ง คือเห็นตรงต่อความเป็นจริงของ สภาวธรรม; ปัญญาท่ีเห็นไตรลักษณ์อันให้ถอนความหลงผิดรู้ผิดใน สังขารเสียได้, การฝึกอบรมปัญญาให้เกิดความเห็นแจ้งรู้ชัดภาวะของ 178
สิ่งทั้งหลายตามท่ีมันเป็น (ข้อ ๒ ในกัมมัฏฐาน ๒ หรือภาวนา ๒); ดู ภาวนา, ไตรลกั ษณ์.” พจนานกุ รมฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ บอกไว้วา่ - “วิปัสสนา : (ค�ำนาม) ความเห็นแจ้ง, การฝึกอบรมปัญญาให้ เกดิ ความเหน็ แจ้งในสังขารทงั้ หลายวา่ เปน็ ของไม่เที่ยง เปน็ ทุกข์ เปน็ อนตั ตา. (ป.).” (๖) “สุนทร” บาลีเป็น “สุนฺทร” (มีจุดใต้ นฺ) อ่านว่า สุน-ทะ-ระ รากศัพท์ มาจาก สุ (คำ� อปุ สรรค = ดี, งาม, ง่าย) + ทรฺ (ธาตุ = เอ้อื เฟ้ือ) + อ ปัจจยั , ลงนคิ หิตอาคมท่ี สุ แล้วแปลงเปน็ นฺ (สุ > สํุ > สุน)ฺ : สุ > สํุ > สนุ ฺ + ทรฺ + = สุนฺทร แปลตามศพั ทว์ า่ “สงิ่ อนั จิตเอื้อเฟื้อด้วยดี” หมายถึง สวยงาม, ดี, งาม (beautiful, good, nice, well) “สุนทร” ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ บอกความหมายไว้วา่ - “สนุ ทร, สนุ ทร- : (คำ� วเิ ศษณ์) งาม, ด,ี ไพเราะ, เชน่ วรรณคดี เปน็ สง่ิ สนุ ทร, มกั ใชเ้ ข้าสมาสกับค�ำอืน่ เช่น สนุ ทรพจน์ สุนทรโวหาร. (ป., ส.).” วปิ สั สนา + สนุ ทร ใช้สูตร “ลบสระหนา้ ” คือ อา ท่ี -นา เพอ่ื สนุ ทรยี ์ในการออกเสียง : วิปัสสนา > วปิ ัสสน : วิปัสสนา + สุนทร = วปิ ัสสนสนุ ทร 179
๑๔ ชนิ วรมหามนุ ีวงศานศุ ษิ ฏ อ่าน: ชนิ -นะ-วอน-มะ-หา-มุ-น-ี วง-สา-น-ุ สดิ แปลรวมความ: ทรงเป็นอนุศิษย์ผู้สืบวงศ์สมณะมาแต่พระเจ้า วรวงศเ์ ธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจา้ แยกศัพท์: ชินวร + มหามุนี + วงศ + อนุศิษฏ อธบิ าย : (๑) “ชนิ วร” แยกศัพทเ์ ป็น ชนิ + วร (ก) “ชนิ ” บาลีอ่านว่า ชิ-นะ รากศัพท์มาจาก ชิ (ธาตุ = ชนะ) + ยุ ปัจจยั , แปลง ยุ เป็น อน (อะ-นะ) : ชิ + ยุ > อน = ชิน แปลตามศัพท์ว่า (๑) “ผู้ชนะ” (๒) “ผู้ชนะบาปอกุศลธรรม” หมายถึง พิชิต, มีชัย (conquering, victorious)
พจนานกุ รมบาลี-อังกฤษ ระบไุ วว้ ่า often of the Buddha, “Victor” (มักใช้เป็นพระคุณนามของพระพุทธเจ้า มีความหมายว่า “พระผู้มีชัย”) (ข) “วร” บาลีอ่านวา่ วะ-ระ รากศัพท์มาจาก วรฺ (ธาต = ปรารถนา) + อ ปัจจยั : วรฺ + อ = วร แปลตามศัพท์ว่า “ภาวะอนั บคุ คลปรารถนา” เป็นค�ำวิเศษณ์ แปลว่า ประเสริฐ, วิเศษ, เลิศ, อริยะ (excellent, splendid, best, noble) เป็นค�ำนามตรงกับค�ำท่ีเราใช้ว่า “พร” แปลวา่ ความปรารถนา, พร, ความกรุณา (wish, boon, favour) ชนิ + วร = ชินวร แปลว่า “พระชนิ เจา้ ผูป้ ระเสริฐ” เปน็ คำ� ที่ ใชเ้ รยี กพระพทุ ธเจา้ “ชินวร” เป็นค�ำสมาสที่เรียกในภาษาไวยากรณ์ว่า “วิเสส นตุ ตรบท” คอื ค�ำนาม (ชนิ ) อยูห่ น้า คำ� ขยาย (วร) อยู่หลงั (๒) “มหามนุ ”ี แยกศพั ท์เป็น มหา + มนุ ี (ก) “มหา” รูปค�ำเดิมในบาลีเป็น “มหนฺต” (มะ-หัน-ตะ) รากศัพทม์ าจาก มหฺ (ธาตุ = เจรญิ , ขยายตัว) + อนฺต ปจั จยั : มหฺ + อนตฺ = มหนฺต แปลตามศัพท์วา่ “สง่ิ ทขี่ ยายตัว” มี ความหมายว่า ยิ่งใหญ่, กว้างขวาง, โต; มาก; ส�ำคัญ, เป็นท่ีนับถือ (great, extensive, big; much; important, venerable) 182
“มหนฺต” เป็นค�ำเดยี วกบั ทใ่ี ชใ้ นภาษาไทยว่า “มหนั ต”์ พจนานกุ รมฉบับราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ บอกไวว้ า่ - “มหันต-, มหันต์ : (ค�ำวิเศษณ์) ใหญ่, มาก, เช่น โทษมหันต์. (เมอื่ เขา้ สมาสกับศพั ท์อื่น เปน็ มห บ้าง มหา บา้ ง เชน่ มหัคฆภณั ฑ์ คอื สิง่ ของท่มี คี ่ามาก, มหาชน คือ ชนจ�ำนวนมาก). (ป.).” “มหนฺต” เมื่อผ่านกรรมวิธีทางไวยากรณ์ได้รูปเป็น “มหา-” มักใช้เป็นส่วนหน้าของสมาส (ข) “มนุ ”ี รากศพั ทม์ าจาก - ๑) มนุ ฺ (ธาตุ = ร;ู้ ผกู ) + อิ ปจั จยั : มุนฺ + อิ = มนุ ิ แปลตามศัพทว์ า่ (๑) “ผู้รูท้ ั้งประโยชน์ ตนและประโยชนผ์ ู้อ่ืน” (๒) “ผู้รู้ประโยชน์ท้ังสอง” (๓) “ผผู้ กู จติ ของ ตนไวม้ ิใหต้ กไปสอู่ �ำนาจของราคะโทสะเปน็ ต้น” ๒) โมน (ความร)ู้ + อี ปัจจัย, รัสสะ อี เปน็ อ,ิ แผลง โอ ท่ี โม-(น) เป็น อุ (โมน > มนุ ) : โมน > มนุ + อี = มนุ ี > มุนิ แปลตามศพั ท์ว่า “ผูม้ ี ความรู้หรือมโี มเนยยธรรม” “มุนิ” หมายถึง ผู้บ�ำเพ็ญพรต, ผู้ศักดิ์สิทธิ์, นักปราชญ์, คนฉลาด (a holy man, a sage, wise man) “มุนิ” ในภาษาไทยใช้เป็น “มุนิ” และ “มุนี” พจนานุกรม ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ บอกไวว้ า่ - “มุนิ, มนุ ี : (คำ� นาม) นกั ปราชญ,์ ฤษี, พระสงฆ์. (ป., ส.).” 183
มหนฺต > มหา + มุนิ = มหามุนิ แปลว่า “มุนีผู้ใหญ่” หมายถงึ พระพทุ ธเจ้า (๓) “วงศ” บาลีเปน็ “วํส” (วงั -สะ) รากศัพท์มาจาก - (๑) วนฺ (ธาตุ = คบหา) + ส ปัจจัย, แปลง นฺ ที่ (ว)-นฺ เป็นนคิ หติ (วนฺ > ว)ํ : วนฺ + ส = วนส > วํส แปลตามศัพท์ว่า “เชื้อสายที่แผ่ ออกไป” (คอื เมือ่ “คบหา” กนั ตอ่ ๆ ไป คนทีร่ จู้ กั กันก็ขยายตวั เพม่ิ ขน้ึ ) (๒) วสฺ (ธาตุ = อยู่) + อ ปัจจัย, ลงนิคหิตอาคมท่ีต้นธาตุ (วสฺ > วสํ ) : วสฺ + อ = วส > วํส แปลตามศพั ท์วา่ “อยู่รวมกนั ” “วํส” ในบาลีใช้ในความหมายวา่ - (๑) ไม้ไผ่ (a bamboo) (๒) เชือ้ ชาต,ิ เช้ือสาย, วงศต์ ระกูล (race, lineage, family) (๓) ประเพณ,ี ขนบธรรมเนียมท่ีสบื ตอ่ กันมา, ทางปฏิบัตทิ ีเ่ ปน็ มา, ช่ือเสียง (tradition, hereditary custom, usage, reputation) (๔) ราชวงศ์ (dynasty) (๕) ขลุ่ยไม้ไผ,่ ขลยุ่ ผิว (a bamboo flute, fife) (๖) กีฬาชนิดหน่ึงซึ่งอุปกรณ์การเล่นท�ำด้วยไม้ไผ่ (a certain game) ในที่นี้ “วํส” มคี วามหมายตามข้อ (๒) และ (๓) 184
บาลี “วสํ ” สนั สกฤตเป็น “วศํ ” ภาษาไทยใชอ้ ิงสนั สกฤตเป็น “วงศ” เขยี นเป็น “วงศ”์ และแผลงเปน็ “พงศ”์ ด้วย พจนานกุ รมฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ บอกไว้วา่ - “วงศ-, วงศ์ : (ค�ำนาม) เช้ือสาย, เหล่ากอ, ตระกูล. (ส. วํศ; ป. วํส).” (๔) “อนุศษิ ฏ” แยกศพั ท์เป็น อนุ + ศิษฏ (ก) “อน”ุ เป็นคำ� อปุ สรรค แปลว่า น้อย, ภายหลัง, ตาม, เนือง ๆ แปลวา่ “นอ้ ย” เชน่ “อนเุ ถระ” = พระเถระชนั้ ผนู้ อ้ ย “อนภุ รรยา” = เมยี นอ้ ย 185
แปลว่า “ภายหลัง” เชน่ คำ� วา่ “อนุช” หรือ “อนชุ า” = ผ้เู กิด ภายหลัง คือน้อง “อนุชน” = คนภายหลัง คือคนรุ่นหลัง, คนรุ่น ตอ่ ไป แปลวา่ “ตาม” เช่น “อนบุ าล” = ตามเลี้ยงดู, ตามระวังรักษา แปลว่า “เนือง ๆ” เช่น “อนุสรณ์” = ระลึกถึงเนือง ๆ คือ เครอ่ื งระลกึ , ท่รี ะลึก ความหมายตามตัวของ “อนุ” พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล ไว้ว่า - (๑) after, behind (ภายหลงั , ขา้ งหลัง) (๒) for, towards an aim, on to, over to, forward (ไปยงั , ตรงไปยงั เป้าหมาย, ดำ� เนนิ ต่อไป, ข้ามไปยงั , ขา้ งหน้า) บางที “อน”ุ สะกดเปน็ “อณ”ุ (-ณุ ณ เณร) ใชใ้ นความหมาย วา่ เลก็ นอ้ ย, กระจ้อยรอ่ ย, อณู, ละเอยี ด, ประณตี (small, minute, atomic, subtle) ในทนี่ ้ี “อน”ุ แปลว่า ตาม, เนอื งๆ (ข) “ศิษฏ” บาลีเป็น “สิฏฺ” รากศัพท์มาจาก สาสฺ (ธาตุ = สั่งสอน, พร�่ำสอน; สั่ง, บังคับ) + ต ปัจจัย, แปลง อา ท่ี สา-(สฺ) เป็น อิ (สาสฺ > สสิ )ฺ , แปลง สฺ ทสี่ ุดธาตกุ ับ ต เปน็ ฏฺ (สตฺ > ฏฺ) : สาสฺ + ต = สาสตฺ > สสิ ตฺ > สิฏฺ แปลตามศพั ทว์ ่า “อัน- สัง่ สอนแล้ว” “อัน-บังคับแล้ว” 186
อนุ + สิฏฺ = อนุสิฏฺ แปลว่า ส่ังสอน, ตักเตือน, แนะน�ำ; ส่ัง, บัญชา (instructed, admonished, advised; ordered, commanded) (ทั้งถกู กระทำ� และกระทำ� ต่อผู้อืน่ ) พึงทราบว่า ในบาลี ค�ำว่า “อนุสิฏฺ” ใช้ควบเป็นค�ำเดียวกัน เช่นนี้ ไมไ่ ดแ้ ยกเปน็ “อน”ุ ค�ำหนงึ่ “สฏิ ฺ” ค�ำหนงึ่ “อนสุ ฏิ ฺ ” ในบาลี เปน็ “อนศุ ษิ ฏฺ ” ในสนั สกฤต เขยี นแบบไทย เป็น “อนุศิษฏ” (ไม่มีจุดใต้ ษฺ ไม่มีเครื่องหมายการันต์ที่ ฏ แต่ อ่านว่า --นุ-สิด) หมายเหตุ : สร้อยพระนาม “ชินวรมหามุนีวงศานุศิษฏ” วรรคน้ี แปล ตามศพั ทไ์ ด้วา่ ๑. ทรงเป็นวงศ์แห่งพระเถระผู้ใหญ่ อันพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ทรงสั่งสอนสืบมา หรอื - ๒. ทรงเป็นผู้อันพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้าผู้เป็นวงศ์แห่งพระมหามุนี (คือพระพุทธเจ้า) ทรงส่งั สอนสืบมา แปลอยา่ งน้โี ดยถอื ว่า ค�ำว่า “อนศุ ิษฏ” เป็นคำ� กรยิ าหรือเปน็ คุณศัพท์ แปลว่า “ผูอ้ นั -สัง่ สอนสืบมา” และไม่ได้หมายถงึ “อนศุ ิษย”์ (ศิษยผ์ ูน้ อ้ ย หรือศษิ ย์ทส่ี บื สายกนั ต่อ ๆ มา) ตามคำ� แปลเดิม 187
๑๕ บวรธรรมบพติ ร อา่ น: บอ-วอน-ท�ำ-มะ-บอ-พิด แปลรวมความ: ทรงเป็นเจ้าผปู้ ระเสริฐในทางธรรม แยกศัพท์: บวร + ธรรม + บพิตร อธบิ าย : (๑) “บวร” บาลเี ปน็ “ปวร” อา่ นว่า ปะ-วะ-ระ รากศัพทม์ าจาก ป + วร (ก) “ป” อ่านว่า ปะ มี ๒ นัย คอื - (๑) เป็นคำ� อปุ สรรค มคี วามหมายวา่ - ๑) ออกไป, ข้างหนา้ , ออก (forth, forward, out) ๒) มาก, มากกว่าธรรมดา (in a marked degree, more than ordinarily) ๓) ตอ่ ไป (onward) ๔) ตรงหนา้ , กอ่ น (in front of, before)
(๒) ตัดมาจากค�ำอ่ืน เช่น “ปธาน” (ปะ-ทา-นะ) = เป็นใหญ่, เป็นหัวหน้า, ส�ำคัญ, เป็นหลัก, ประธาน “ปการ” (ปะ-กา-ระ) = ทุกอยา่ ง, ทั้งหมด (ข) “วร” บาลีอา่ นว่า วะ-ระ รากศัพท์มาจาก วร (ธาตุ = ปรารถนา) + อ ปัจจยั : วรฺ + อ = วร แปลตามศพั ทว์ ่า “ภาวะอนั บคุ คลปรารถนา” หมายถึง ประเสริฐ, วิเศษ, เลิศ, อริยะ (excellent, splendid, best, noble) ความหมายของ “วร” ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับ ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ บอกไว้ว่า - “วร- : (คำ� นาม) พร; ของขวัญ. (คำ� วิเศษณ์) ยอดเยี่ยม, ประเสรฐิ , เลิศ. (ป., ส.).” “วร” เปน็ คำ� เดยี วกับท่เี ราเอามาใช้ว่า “พร” พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ บอกไว้ว่า - “พร : (ค�ำนาม) คําแสดงความปรารถนาให้ประสบสิ่งที่เป็น สิริมงคล เช่น ให้พร ถวายพระพร, ส่ิงที่ขอเลือกเอาตามประสงค์ เช่น ขอพร. (ป. วร).” ป + วร = ปวร แปลตามศพั ท์ว่า (๑) “ภาวะท่ีควรปรารถนา โดยประการทง้ั ปวง” (๒) “ส่งิ ทีป่ ระเสริฐโดยเปน็ ประธาน” หมายถงึ พเิ ศษสดุ , ประเสรฐิ สุด, เด่นหรอื มชี ่ือเสยี งพิเศษ (most excellent, noble, distinguished) 190
“ปวร” ใชใ้ นภาษาไทยเปน็ “บวร” พจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ บอกไวว้ า่ - “บวร, บวร- : (คำ� แบบ คอื ค�ำทีใ่ ชเ้ ฉพาะในหนงั สอื ไม่ใช่คำ� พดู ทั่วไป) (ค�ำวิเศษณ์) ประเสริฐ, ลํ้าเลิศ, ราชาศัพท์ใช้น�ำหน้าค�ำนามที่เกี่ยวกับ วงั หนา้ เช่น พระบวรวงศ์ พระบวรราชวัง คู่กับ บรม ซึ่งใช้แก่วังหลวง เช่น พระบรมวงศ์ พระบรมมหาราชวงั . (ป. ปวร; ส. ปรฺ วร).” (๒) “ธรรม” บาลเี ปน็ “ธมฺม” (ท�ำ-มะ) รากศพั ทม์ าจาก ธรฺ (ธาตุ = ทรงไว)้ + รมฺม (ปจั จัย) ลบ รฺ ท่สี ุดธาตุ (ธรฺ > ธ) และ ร ตน้ ปจั จัย (รมมฺ > มฺม) : ธรฺ > ธ + รมฺม > มฺม : ธ + มฺม = ธมมฺ แปลตามศพั ทว์ ่า “สภาพทที่ รงไว”้ “ธมมฺ ” สนั สกฤตเปน็ “ธรมฺ ” เราเขยี นองิ สนั สกฤตเปน็ “ธรรม” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ บอก ความหมายของ “ธรรม” ในภาษาไทยไว้ดังน้ี - (๑) คุณความดี เช่น เป็นคนมธี รรมะ เป็นคนมศี ลี มีธรรม (๒) คําสง่ั สอนในศาสนา เชน่ แสดงธรรม ฟังธรรม ธรรมะของ พระพทุ ธเจา้ (๓) หลกั ประพฤตปิ ฏิบัติในศาสนา เชน่ ปฏบิ ตั ิธรรม ประพฤติ ธรรม (๔) ความจรงิ เช่น ไดด้ วงตาเห็นธรรม 191
(๕) ความยตุ ธิ รรม, ความถกู ตอ้ ง, เชน่ ความเปน็ ธรรมในสังคม (๖) กฎ, กฎเกณฑ,์ เชน่ ธรรมะแหง่ หมคู่ ณะ (๗) กฎหมาย เชน่ ธรรมะระหว่างประเทศ (๘) ส่งิ ของ เชน่ เคร่ืองไทยธรรม ในท่นี ้ี “ธรรม” เนน้ ความหมายตามข้อ (๑) (๒) และ (๓) (๓) “บพิตร” มาจากสันสกฤตว่า “ปวิตฺร” บาลีเปน็ “ปวติ ฺต” (ปะ-วดิ -ตะ) รากศัพท์มาจาก ปุ (ธาตุ = สะอาด) แผลง อุ ที่ ปุ เป็น โอ แล้ว แปลง โอ เป็น อว (ปุ > โป > ปว) + ต ปัจจัย, ลง อิ อาคม หนา้ ปจั จยั , ซ้อน ต : ปุ > โป > ปว + อิ = ปวิ + ตฺ + ต = ปวิตฺต แปล ตามศพั ท์ว่า “ผู้สะอาด” คือ ผู้หมดจด, ผ้บู ริสทุ ธ์ิ บาลี “ปวติ ตฺ ” สนั สกฤตเปน็ “ปวิตฺร” สสํ กฤต-ไท-องั กฤษ อภิธาน บอกไวว้ า่ - (สะกดตามต้นฉบับ) “ปวติ ฺร : (คณุ ศัพท)์ บรสิ ทุ ธิ์, สะอาด, หมดจด; pure, clean; น. ผ้หู รือส่งิ ท่ีช�ำระใหส้ ะอาด; หญา้ ยัญ; ทองแดง; น้�ำ; ฝน; การขดั สี, การชำ� ระ; เนยใส; น�้ำผึ้ง; who or what cleans; sacrificial grass; copper; water; rain; rubbing, cleansing; ghee or clarified butter; honey.” 192
ในภาษาไทย ป > บ และ ว > พ : ปวติ ตฺ > ปวติ ฺร > บพติ ร พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ บอก ความหมายของ “บพติ ร” ในภาษาไทยไวด้ ังนี้ - “บพติ ร : (ราชาศัพท;์ ค�ำแบบ คอื ค�ำทใ่ี ช้เฉพาะในหนงั สอื ไม่ใช่ค�ำพดู ทั่วไป) (ค�ำนาม) พระองค์ท่าน เช่น บ�ำรุงฤทัยตระโบม บพิตรผู้อย่า ดูเบา, โดยมากเป็นค�ำที่พระสงฆ์ใช้แก่เจ้านาย ซึ่งใช้ค�ำเปลี่ยนไปตาม พระอิสริยยศของเจ้านาย เช่น สมเด็จพระราชภคินีบพิตร สมเด็จ พระบรมวงศบพิตร บรมวงศบพิตร พระเจ้าวรวงศบพิตร พระวรวงศ- บพิตร.” 194
โปรดสังเกตว่า “ปวิตฺต” บาลี กับ “ปวิตฺร” สันสกฤต ความหมายตรงกนั แต่ “บพิตร” ไทยใชใ้ นความหมายท่แี ปลกออกไป จนน่าสงสัยว่าเปน็ ศัพท์เดยี วกนั แนห่ รอื นา่ จะศึกษาสืบค้นต่อไป อภิปราย : กำ� หนดคำ� ศัพท์และคำ� แปลให้แม่นก่อน - บวร = ประเสรฐิ ธรรม = ธรรม บพิตร = เจา้ : บวร + ธรรม + บพติ ร = บวรธรรมบพิตร แปลตามศพั ท์ เทา่ ทตี่ าเหน็ วา่ “เปน็ เจา้ โดยธรรมผปู้ ระเสรฐิ ” หรอื “เปน็ เจา้ โดยธรรม อันประเสริฐ” คือ - นัยท่ี ๑ “เป็นเจา้ โดยธรรมผู้ประเสรฐิ ” : บวร = ผ้ปู ระเสริฐ : ธรรม + บพิตร = ธรรมบพิตร = เจา้ โดยธรรม : บวร + ธรรมบพติ ร = เจา้ โดยธรรมผปู้ ระเสรฐิ นัยท่ี ๒ “เปน็ เจ้าโดยธรรมอนั ประเสริฐ” : บวร + ธรรม = ธรรมอันประเสรฐิ : บพิตร = เจ้า : บวรธรรม + บพติ ร = บวรธรรมบพิตร = เจา้ โดยธรรมอัน ประเสรฐิ 195
แต่พระนามวรรคน้ีมีค�ำแปลว่า “ทรงเป็นเจ้าผู้ประเสริฐในทาง ธรรม” ถา้ น่ีเปน็ ความหมายท่ปี ระสงค์ การประกอบศพั ทธ์ รรมดา ๆ ก็ ควรจะเป็น “ธรรมบวรบพติ ร” คอื - : ธรรมบวร = ผู้ประเสรฐิ โดยธรรม : บพติ ร = เจา้ : ธรรมบวร + บพติ ร = ธรรมบวรบพิตร แปลว่า เจ้าผปู้ ระเสรฐิ โดยธรรม > เจ้าผ้ปู ระเสรฐิ ในทางธรรม แต่เมอื่ ศัพท์เปน็ “บวรธรรมบพติ ร” และคำ� แปลทปี่ ระสงคค์ อื “ทรงเปน็ เจา้ ผปู้ ระเสรฐิ ในทางธรรม” ก็จึงต้องปรับกระบวนแปลใหม่ ภาษาไวยากรณ์เรียกว่า “ต้ังวิเคราะห์” ใหส้ อดคล้องกบั คำ� แปล นั่นคือ - : “บพิตร” เปน็ ประธาน : “บวรธรรม” เป็นค�ำขยาย “บพติ ร” ปกติ “บวรธรรม” ควรจะแปลจากหลังไปหน้า คือแปลว่า “ธรรมอนั ประเสรฐิ ” (ถา้ จะใหแ้ ปลวา่ “ผปู้ ระเสรฐิ ในทางธรรม” ศพั ท์ ก็ควรจะเป็น “ธรรมบวร” ดังแสดงขา้ งตน้ ) แต่ในท่ีน้ีต้องแปลจากหน้ามาหลัง คือแปลว่า “ประเสริฐโดย ธรรม” 196
เปน็ อันว่าการประกอบศัพทแ์ ละค�ำแปลตอ้ งเป็นดงั นี้ - : บวร + ธรรม = บวรธรรม แปลว่า “ผู้ประเสริฐโดยธรรม” : บพิตร = เจ้า : บวรธรรม + บพิตร = บวรธรรมบพิตร แปลว่า “เจ้าผู้ ประเสรฐิ โดยธรรม” ตรงกับความหมายท่ีประสงค์ คือ “ทรงเป็นเจ้าผู้ประเสริฐใน ทางธรรม” ค�ำแปลน้ีมีนัยท่ีควรแก่การพินิจ กล่าวคือ “ผู้ประเสริฐ” ตาม คา่ นิยมของชาวโลกอาจเป็นได้มไี ด้ด้วยเหตผุ ลตา่ ง ๆ กนั เช่น - ประเสริฐเพราะเกิดในตระกลู สงู ประเสรฐิ เพราะมีทรพั ย์ ประเสริฐเพราะมียศมตี ำ� แหน่งมบี รวิ าร ประเสริฐเพราะมีศลิ ปวิทยาการ ฯลฯ ผู้ประเสริฐเหล่าน้ียังหาใช่ผู้ประเสริฐท่ีประสงค์ไม่ เพราะอาจ ไดส้ ง่ิ เหลา่ นน้ั มาโดยไมถ่ กู ทางหรอื อาจใชส้ ง่ิ เหลา่ นน้ั ไปโดยไมถ่ กู ธรรม ผู้ประเสริฐท่ีประสงค์ในที่นี้คือ ผู้ประเสริฐเพราะมีธรรม อัน เป็นความประเสริฐที่บริสุทธิ์ เพราะช่วยชูตนให้อยู่เหนืออ�ำนาจอัน ไม่ถูกต้องทั้งมวลได้ และยังช่วยเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นมีศรัทธามี ฉันทะที่จะด�ำเนินตามอันเป็นการเกื้อกูลแก่สังคมได้อีกสถานหนึ่งด้วย 197
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212