Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Mbu002-หนังสือสังคมวิทยาเบื้องต้น

Mbu002-หนังสือสังคมวิทยาเบื้องต้น

Description: Mbu002-หนังสือสังคมวิทยาเบื้องต้น 01-228 copy

Search

Read the Text Version

วัฒนธรรม 99 อันเป็นความเชื่อและการปฏิบัติเฉพาะบุคคลและกลุ่มคนตามโอกาส เช่น เพื่อนหรือญาติส�าเร็จการ ศกึ ษาไดร้ บั ปรญิ ญา กพ็ ากนั ซอ้ื ดอกไมห้ รอื ของขวญั ไปรว่ มแสดงความยนิ ดี หรอื ในโอกาสไดร้ บั การแตง่ ตงั้ เลอ่ื นตา� แหนง่ กเ็ ปน็ โอกาสอนั ดที จี่ ะพากนั ไปรว่ มแสดงความยนิ ดมี มี ทุ ติ าจติ ในแตล่ ะกลมุ่ หรอื สงั คม (คนไทยและคนต่างประเทศ พระและฆราวาส) ก็จะมีการปฏิบัติแตกต่างกันออกไป เรียกได้ว่า มธี รรมเนียมไม่เหมือนกนั องค์ประกอบของวฒั นธรรม การศึกษาวัฒนธรรมท�าให้เกิดความรู้เข้าใจหลักแห่งความจริงเจริญงอกงาม ความเจริญ ก้าวหน้าหากคิดพิจารณาดูแล้วเป็นผลแห่งการกระท�าหรือปลายเหตุไม่ใช่ต้นเหตุ ก็แสดงว่ายังมีความ จรงิ อนื่ อกี ทเ่ี ปน็ สาเหตแุ หง่ ความเจรญิ รงุ่ เรอื งกา้ วหนา้ ดงั นน้ั วฒั นธรรมทง้ั หลายทป่ี รากฏเปน็ รปู แบบ ต่าง ๆ ในสังคม ก่อเกิดเป็นแบบแผนวิถีชีวิตของสังคมท่ัวไป ประกอบไปด้วยความจริงท่ีหลากหลาย (Pluralism) แม้มีองค์ประกอบหรอื เน้ือหาสาระสา� คญั ตา่ ง ๆ มากมาย แตก่ พ็ อจะสรปุ ได้ ดังนี้ ๑. เป็นความจริง (สัจธรรม, Code of reality) ความจริงแท้ทั่วไป ภาวะทีเ่ ป็นอย่างนนั้ เป็นธรรมชาติหรือธรรมดาของมันอย่างน้ัน ความจริงของโลกจักรวาล โลกกลมมีดาวดวงอ่ืน ๆ หลายประเภท โลกมีวัตถสุ สารพลงั งานมากมาย โลกหมนุ รอบตวั เองและรอบดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์ เป็นศูนย์กลางของระบบสรุ ยิ จกั รวาล ธรรมชาติของโลกมดี นิ น้า� ลม ไฟ มกี ลางวัน กลางคืน ฤดกู าล วนั เดือน ปี เปน็ ตน้ มสี ตั ว์ มมี นุษย์ มีการเกดิ แก่ เจบ็ และตาย มีวัตถสุ ง่ิ ของ มสี ิง่ ประดษิ ฐเ์ ทคโนโลยี ทง้ั หลาย มีครอบครวั องคก์ รสถาบันทง้ั หลาย มกี ารเกิดขนึ้ ตง้ั อยู่ และดบั พงั ไปเปน็ ธรรมดา เป็นตน้ ทั้งหมดเกิดขึ้นเป็นไปตามธรรมดาเหตุปัจจัย กล่าวคือมีสาเหตุและมีปัจจัยหลายอย่างท�าให้เกิด เปน็ สภาวธรรมกบั กฎเกณฑข์ องมนั ไมม่ ใี ครเปน็ ผสู้ รา้ งสรรคก์ า� หนดบนั ดาลบงั คบั เปลยี่ นแปลงไดต้ ามใจ ปรารถนาต้องการ ๒. ปฏิบัติได้จริง (จริยธรรม, Code of ethics or actual practices) เป็นหลักความ ประพฤตหิ รอื การดา� เนนิ ไปของชวี ติ เมอื่ รคู้ วามจรงิ สภาวธรรม กฎเกณฑค์ วามเปน็ ไปตามธรรมดาของ มนั ความเปน็ ไปตามเหตปุ จั จยั ความสมั พนั ธเ์ กยี่ วขอ้ งของสงิ่ ทงั้ หลาย กจ็ ะนา� ไปสกู่ ารประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ ที่ถูกต้อง ถูกต้องเหมาะสมกับกฎเกณฑ์และความจริง ก่อเกิดความสอดคล้องสัมพันธ์อย่างมีเหตุผล ส่งผลเป็นประโยชน์เก้ือกูลดีงามตามเหตุปัจจัย ในทุกแง่มุมของชีวิตและสังคม ไม่ว่าในเรื่องการเกิด การเป็นอยู่ การศึกษา การท�างาน การแต่งงาน การครองเรือน และการตาย เป็นต้น ล้วนต้องอาศัย หลกั การประพฤติปฏบิ ัติท่ถี กู ตอ้ งสอดคลอ้ งสัมพันธก์ ับความจรงิ ทางธรรมชาติหรอื สจั ธรรม ๓. เกดิ ความเจริญงอกงาม (วฒั นธรรม, Culture or way of life) เปน็ หลักความดงี าม เจริญพัฒนา เมื่อรคู้ วามจริงแลว้ นา� มาประพฤตปิ ฏิบตั ิให้สอดคล้องสมั พันธก์ ับส่งิ ทง้ั หลาย ก็จะก่อเกิด

100 สังคมวทิ ยาเบอื้ งตน้ ความเจรญิ รงุ่ เรอื งพัฒนา เกดิ เป็นแบบอยา่ งทั่วไปของคนในสงั คม เกิดการยดึ ถือปฏบิ ตั เิ ปน็ หลักความ ดีงามของชวี ติ ทางสงั คมสบื ทอดกันมา เพ่ือความเข้าใจความจริงมเี หตผุ ล การประพฤตปิ ฏิบตั ไิ ด้จริง แล้วกอ่ เกิดความเจริญงอกงาม ของชีวิตทางสังคม จึงขอยกตัวอย่าง ในการรับประทานอาหาร ความจริงมีอยู่ว่า มนุษย์เป็นอยู่ได้ก็ เพราะอาหาร อาหารมีคุณค่าความหมายประโยชน์จริง ๆ ก็เพ่ือหล่อเล้ียงร่างกายให้เจริญเติบโต เขม้ แขง็ แรงมสี ขุ ภาพพลานามยั ดี ชว่ ยเกอื้ หนนุ ชวี ติ ใหด้ า� รงอยไู่ ดเ้ ปน็ ไปทา� สง่ิ ตา่ ง ๆ ทงั้ หลาย สมยั แรกเรม่ิ มนษุ ยก์ ค็ งอยตู่ ามปา่ เขาลา� เนาไพรเชน่ เดยี วกนั กบั สตั วท์ งั้ หลาย สตั วก์ นิ อะไรเปน็ อาหาร มนษุ ยก์ ค็ งกนิ เลียนแบบตามกันไป กินดิน กินผัก หญ้า พืช ผลไม้ ข้าว ปลา และเน้ือ เป็นต้น กัดกินดิบ ๆ กินสด ๆ กินดว้ ยมอื ไมม่ ีการชา� แหละตดั ห่ันเปน็ ชิ้น ๆ ไม่มกี ารป้ิง ต้ม ย่าง ค่วั และผัด ไม่มกี รรมวิธใี น การกิน ไม่มีภาชนะถ้วยชามจานและช้อน การกินการเป็นอยู่คงเป็นไปด้วยความยากล�าบาก เต็มไป ด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ในขณะเดียวกันก็คงหาวิธีท่ีจะกินให้ดีให้ง่ายขึ้น ตัดหั่นเป็นช้ิน ๆ ด้วยไม้และหิน มีการเผา ปิ้ง และย่างด้วยไฟ เป็นการท�าให้สุกฆ่าเช้ือโรค ใช้ใบไม้และใบตองมาเป็นภาชนะ ต่อมา ชา� แหละตดั หั่นเป็นชนิ้ เลก็ ชิ้นใหญ่ด้วยโลหะ ขวาน มดี และเคร่ืองเทคโนโลยี มีการปิ้ง ต้ม ย่าง คว่ั ผดั ทอด และอบดว้ ยไฟแกส๊ และไฟฟา้ มกี ารคดิ คน้ ประดษิ ฐภ์ าชนะถว้ ยชามจานหมอ้ กระทะทที่ า� ดว้ ยวตั ถุ โลหะ กระดาษ พลาสตกิ เหล็ก และสเตนเลส มีเครือ่ งเทคโนโลยีในการป้ิง ตม้ ย่าง ทอด และอบท่ที ัน สมยั อย่างท่ที ราบกัน มกี ารรบั ประทานด้วยชอ้ น ส้อม หรือตะเกียบ นัง่ ทพี่ นื้ หรือน่งั บนโตะ๊ ในห้องแอร์ เยน็ ๆ มที ัง้ อาหารดี ๆ เสยี งเพลง ดนตรี ขบั กล่อม และคนเต้นฟอ้ นร�า บางสังคมนิยมเสพบรโิ ภคขา้ ว และเนื้อสัตว์ บางแห่งนิยมรับประทานแป้ง และบางท่ีนิยมกินขนมปัง ก็จะมีวิธีผลิต จัดหา แสวงหา รักษา ปรุงรสชาติอาหาร พฤติกรรมการรับประทาน และวัฒนธรรมแตกต่างกันออกไป ตามถ่ินท่ีอยู่ สภาพแวดล้อมทางสังคม ตามการเรียนรู้ถ่ายทอดปฏิบัติสืบต่อกันมา อันเป็นวิวัฒนาการทางสังคม วัฒนธรรมท่ีมปี รากฏอยู่ทัว่ ไป ในเร่ือง การดื่มน�้า ก็เช่นเดียวกัน แรกเริ่มเดิมที เพราะยังไม่มีวัฒนธรรม มนุษย์คงก้มลงกิน น้�าเช่นเดียวกันกับสัตว์ท้ังหลาย มีการเอามือวักน�้าหรือรองน้�าข้ึนมากิน กินเสร็จก็เดินหนีไป ยังไม่มี ภาชนะช่วยในการด่มื กิน จากน้นั กค็ งเอาใบไม้ใบตองท�าเปน็ กรวยตักนา�้ กนิ กินเสร็จกท็ ง้ิ ไป ไม่มีการ เก็บรักษา แล้วมีการพัฒนาวิธีการดื่มกินให้ดีขึ้น มีการท�าภาชนะส�าหรับดื่มด้วยดิน ด้วยวัตถุ โลหะ และเหล็ก เป็นต้น มีการคิดค้นประดิษฐ์ภาชนะท่ีเรียกว่าแก้ว ขวด เหยือก และกระติกน�้า ท�าด้วย กระดาษ พลาสตกิ แกว้ และสแตนเลส เปน็ ต้น มีวิธีทา� นา�้ ดืม่ น้�ารอ้ น นา้� เย็น ผสมปรุงรสชาติของนา้� สร้างประดษิ ฐ์เครอื่ งท�าน้�าร้อน น�้าเยน็ เคร่อื งปั่นนา�้ ผสมนา้� และตเู้ ย็นเก็บนา้� เป็นต้น ท้งั หมดเป็นเรื่อง ของวฒั นธรรมและวิวฒั นาการทางสังคมวัฒนธรรม

วัฒนธรรม 101 การแตง่ งานสมรส ในยคุ เรมิ่ ตน้ มนษุ ยค์ งผสมพนั ธก์ นั ไมแ่ ตกตา่ งไปจากสตั วท์ ง้ั หลาย ไมเ่ ลอื ก ว่าใครเป็นใคร ไม่เลือกว่าเป็นพ่อหรือแม่ พ่ีหรือน้อง ญาติหรือคนอ่ืน พ่ีสะใภ้หรือน้องเขย น้องสะใภ้ หรือพ่เี ขย ไมเ่ ลือกกาลเวลาและสถานที่ พบเจอกนั และมีความต้องการทางเพศเกิดขึ้น กม็ ีเพศสัมพันธ์ กนั ไดท้ นั ที ไมม่ กี ฎเกณฑก์ ตกิ าและพธิ รี ตี องอะไร คงเตม็ ไปดว้ ยปญั หาการตอ่ สแู้ กง่ แยง่ กนั เพราะมกี าร รงั เกียจกันและเป็นเร่ืองท่ีไมด่ ีน่าละอาย จงึ หาทก่ี �าบังตามพมุ่ ไม้ ต้นไม้ ปา่ และถ้�า เปน็ ตน้ รูจ้ ักสร้าง ทก่ี า� บงั และทอี่ ยอู่ าศยั และกห็ าวธิ ที จี่ ะอยรู่ ว่ มกนั อยา่ งมปี กตสิ ขุ โดยหารปู แบบการแตง่ งานขน้ึ กา� หนด เงอื่ นไขกฎเกณฑก์ ตกิ าการอยรู่ ว่ มกนั หรอื การแตง่ งานขนึ้ เรยี นรคู้ วามความเปน็ มนษุ ย์ เปน็ พอ่ แมญ่ าติ พน่ี อ้ ง และเรยี นรซู้ งึ่ กนั และกนั ตง้ั กา� หนดเงอื่ นไขกตกิ าการแตง่ งาน กา� หนดระยะเวลาวยั อนั เหมาะสม มกี ารเลอื กคู่ครอง มีการเจรจาสูข่ อ ขอความเห็นชอบจากพอ่ แม่และญาตพิ ่ีนอ้ ง มีพธิ ีกรรมหมน่ั เอาไว้ มีการก�าหนดเงินทุนสินสอด มีกระบวนการแห่ขันหมาก มีการเชิญผู้ใหญ่เพื่อนบ้านมาร่วมกันเป็น สกั ขพี ยาน มกี ารเลย้ี งแขกทม่ี ารว่ มงาน มพี ธิ กี รรมทางสงั คมและศาสนามารบั รอง กอ่ เกดิ พธิ กี ารแตง่ งาน สมรสตามความเหมาะสม ความเชอ่ื และการปฏบิ ัตขิ องสงั คมนั้น ๆ เป็นประเพณีวัฒนธรรมทา� สบื ตอ่ กันมา ปัจจุบัน หลังจากพิธีการแต่งงานเสร็จ ก็มีการจดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย และก็สามารถ หยา่ ร้างกันไดด้ ้วยดตี ามกฎหมาย เพอ่ื การเปน็ อยู่ทด่ี ตี ามการเปลยี่ นแปลงของสังคมและวัฒนธรรม ดังนน้ั กระบวนการความจรงิ น้ี เปน็ เรือ่ งของสัจธรรม จริยธรรม และวฒั นธรรม เป็นกระบวน การเพอ่ื ความเจรญิ ดงี าม ประกอบไปดว้ ยเหตปุ จั จยั หลายอยา่ ง กลา่ วคอื มหี ลายสาเหตแุ ละสง่ิ เกอ้ื หนนุ โดยอาศยั ปญั ญามนษุ ยร์ เู้ ขา้ ใจสจั ธรรมเปน็ ตวั แกนสา� คญั ในการยดึ ถอื ประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ รเู้ ขา้ ใจความจรงิ ตามธรรมดา แล้วน�ามาปฏิบัติให้สอดคล้องสัมพันธ์กับกฎเกณฑ์ธรรมดาน้ัน จึงจะเกิดความถูกต้องดี งามเจรญิ พฒั นากา้ วหนา้ พาใหส้ งั คมและวฒั นธรรมคงอยดู่ มี คี ณุ คา่ ความหมาย หากรเู้ ขา้ ใจสจั ธรรมไม่ ถกู ตอ้ ง กจ็ ะเกดิ การประพฤตปิ ฏบิ ตั คิ ลาดเคลอ่ื นเสยี หาย เกดิ ความวปิ รติ ผดิ เพยี้ น หาสาระแกน่ สารไม่ ไดไ้ รป้ ระโยชน์ มแี ตโ่ ทษภยั อนั ตรายเสอื่ มเสยี เลอ่ื นลอย เพราะกระบวนการวฒั นธรรม เปน็ กระบวนการ เหตุปจั จยั อาศัยกนั เกิดข้นึ เชน่ เดยี วกันกบั กระบวนการอนื่ ๆ ทัง้ หลาย เกณฑ์ตรวจสอบวฒั นธรรม ความจรงิ ทว่ั ไปมอี ยแู่ ลว้ ตามธรรมดาหรอื ธรรมชาติ มอี ยอู่ ยา่ งนนั้ เกดิ ขนึ้ เปน็ ไปตามเหตปุ จั จยั วฒั นธรรมเองกเ็ ชน่ เดยี วกนั มกี ารเกดิ ขน้ึ เปน็ ไปตามเหตปุ จั จยั และวทิ ยาการตา่ ง ๆ ทง้ั หลาย มกี ารแกไ้ ข ปรบั ปรงุ เปลย่ี นแปลงใหส้ อดคลอ้ งเหมาะสมกบั ความเปน็ จรงิ ยคุ สมยั การปฏบิ ตั ิ และการเปลยี่ นแปลง ทางสังคม เพื่อให้เกิดผลประโยชน์ในการยึดถือปฏิบัติ เพ่ือการด�าเนินชีวิตท่ีถูกต้องดีงาม เพ่ือความ อยู่รอดปลอดภัย มนุษย์จ�าต้องศึกษาเรียนรู้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง เป็นการศึกษาหาหลักความจริงท่ี เจรญิ พฒั นา ศกึ ษาเรยี นรหู้ าประสบการณ์ เกดิ ความเชอ่ื ทศั นคติ คา่ นยิ ม และการประพฤตปิ ฏบิ ตั อิ ยา่ ง ถกู ตอ้ งมเี หตผุ ลเพยี งพอ จงึ จะสามารถรกั ษาวฒั นธรรมใหค้ งอยไู่ ดต้ อ่ ไป ในการคดิ วเิ คราะหต์ รวจสอบ

102 สงั คมวิทยาเบ้อื งต้น ลักษณะและรูปแบบวัฒนธรรมท่ีเกิดปรากฏข้ึนในสังคมทั้งหลาย ส่วนใหญ่ให้ดูที่ประวัติศาสตร์ความ เปน็ มา (Cultural history) โครงสรา้ งทางสงั คมสถาบนั (Socio-institutional structures) การสรา้ งผลติ (Production or creation) ความหมาย การปฏบิ ตั แิ ละการแพรก่ ระจาย (Meaning, use or practice and distribution) และสุดทา้ ย ผลกระทบทางสังคม (Social effects) ก็เทา่ กบั ว่า วฒั นธรรมนั้นมา จากอะไร ประกอบไปดว้ ยอะไร เกดิ ขึน้ เพอ่ื อะไร มคี วามหมายอยา่ งไร มผี ลดแี ละเสียมากนอ้ ยเพียงไร ควรยดึ ถือปฏบิ ตั ิแค่ไหนอย่างไร จึงขอเสนอหลกั พิจารณาตรวจสอบวฒั นธรรม ดังตอ่ ไปน้ี ๑. เป็นความจริงมีเหตุผลหรือไม่ ต้องตรวจสอบดูว่า เป็นความจริงมีสาระหรือไม่ รู้จักคิด วิเคราะห์หาสาเหตุของสิ่งต่าง ๆ ท้ังหลาย รู้จักเหตุแห่งความเส่ือม ความเจริญ และวิธีการปฏิบัติ เพื่อบรรลุเป้าหมายที่วางเอาไว้ เป็นการรู้จักหลักความจริงถูกต้อง รู้จักกฎธรรมดา กฎแห่งเหตุผล และรจู้ กั หลักการทจ่ี ะท�าใหเ้ กดิ ผลประโยชนส์ งู สุด รู้เข้าใจโลกและชีวติ อย่างถูกตอ้ งมีเหตผุ ล ส�านึกรับ ผิดชอบในหลักแห่งความดี มุ่งท�าเต็มท่ีเต็มก�าลังความสามารถอย่างต่อเน่ือง เพื่อไปสู่จุดมุ่งหมายของ เหตุนั้น อันเป็นหลักความจริงอย่างหน่ึงในสังคม เพราะวัฒนธรรมเป็นเรื่องของความดีงามถูกต้อง ต้องต้ังอยู่บนฐานความจริงมีเหตุผล จึงจะส�าเร็จประโยชน์มั่นคงย่ังยืน หากไม่เป็นความจริงถูกต้อง ก็จะไม่สามารถด�ารงคงอยไู่ ด้ ๒. เหมาะสมกับตนเองและสังคมหรือไม่ ต้องรู้จักคิดพิจารณาว่า เหมาะสมกับตัวเองตาม ความเปน็ จรงิ และความเปน็ มาของสังคมหรือไม่ ตวั เองเป็นใคร ถูกต้องเหมาะสมกบั ภาวะ ฐานะ เพศ วยั กา� ลงั ความรู้ ความสามารถ ความชอบ ความถนดั ของตนเองตามความเปน็ จรงิ หรอื ไมอ่ ยา่ งไร สงั คม ไทยเปน็ สงั คมอะไร มปี ระวตั คิ วามเปน็ มาอยา่ งไร ประกอบไปดว้ ยอะไร เรายอมรบั นบั ถอื กนั มาอยา่ งไร เป็นการรู้จักชุมชนสังคมวัฒนธรรม รู้จักระดับความรู้ความสามารถความถนัดความชอบและ ความต้องการของกลมุ่ คน รูจ้ ักกิริยามารยาท กฎเกณฑก์ ตกิ า ระเบยี บวนิ ัย ขนบธรรมเนียมประเพณี ตลอดถึงข้อปฏิบัติต่าง ๆ ท้ังหลาย รู้เข้าใจแล้วปฏิบัติตนให้เหมาะสม ให้สอดคล้องสัมพันธ์ถูกต้อง ระหวา่ งตนเองกบั สงั คม ใหเ้ กดิ ประโยชนเ์ กอื้ กลู กนั อยา่ งมเี หตผุ ลเพยี งพอ ไมก่ ระทบเสยี หายตอ่ ตนเอง และสังคม ไม่มีปัญหาโทษภัยอันตราย มีแต่ความเจริญงอกงามสมบูรณ์ เกิดความสมดุลดีงามยั่งยืน มนั่ คงสบื ต่อไป ๓. ถกู ต้องตามกาละเทสะหรอื ไม่ ต้องตรวจสอบดูวา่ เหมาะสมกบั กาลเวลาและส่ิงแวดล้อม ทางสงั คม เขา้ กับยคุ สมยั และการเปลี่ยนแปลงทางสงั คมส่งิ แวดลอ้ มหรอื ไม่ เป็นการร้จู กั กาลเวลาและ สภาพการณ์ทางสังคม รู้เข้าใจแหล่งท่ีอยู่อาศัยและภูมิประเทศ แล้วท�าถูกต้องตามปรากฏการณ์ทาง สงั คม เปน็ การทา� ถกู ทถี่ กู เวลาอนั เหมาะสมพอเพยี ง จงึ จะเกดิ ผลดมี ปี ระโยชนไ์ มม่ โี ทษภยั อนั ตรายตามมา ๔. เกดิ ความดมี ปี ระโยชนห์ รอื ไม่ เปน็ การคดิ พจิ ารณาความดคี ณุ คา่ ความหมายประโยชนแ์ ท้ และเทยี มในการยดึ ถอื ปฏบิ ตั ิ เปน็ การรเู้ ขา้ ใจหลกั ความจรงิ ถกู ตอ้ งดงี าม รคู้ ณุ คา่ ความหมายอนั แทจ้ รงิ

วัฒนธรรม 103 ของมัน รู้จักเป้าหมายประโยชน์สูงสุดของมัน รู้เข้าใจโลกชีวิตและจุดหมายสูงสุดของชีวิต เห็นส่ิง ท้ังหลายดีและไม่ดี มที ง้ั คุณและโทษ เหน็ โทษของมันมมี ากกว่าคุณ จึงไม่ยดึ ถอื ปฏิบตั ิ ตอ่ เมอื่ เห็นคุณ มากกว่าโทษ จึงลงมือท�ายึดถือปฏิบัติตาม เพราะท�าไปแล้วดีไม่มีโทษเสียหาย เกิดแต่ประโยชน์ แก่ตนเองและสังคมการเมือง สังคมเห็นพร้อมยอมรับน�าไปปฏิบัติรับผิดชอบร่วมกัน ยึดถือปฏิบัติ เปน็ แบบแผนของชีวติ ทางสังคม ส่งผลเป็นวฒั นธรรมคงอยสู่ ืบตอ่ ไป เพื่อความเข้าใจสิ่งท่ีมนุษย์คิดสร้างขึ้น การเปลี่ยนแปลง และวิวัฒนาการสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น จึงขอยกตัวอย่างในการพิจารณาตรวจสอบความจริงเก่ียวกับ โลกจักรวาล สมัยโบราณทั้งฝ่ายตะวัน ออกและตะวนั ตก เราเชอ่ื กนั วา่ โลกจกั รวาลและสรรพสง่ิ ถกู สรา้ งกา� หนดบนั ดาลลขิ ติ โดยเทพเจา้ ผยู้ งิ่ ใหญ่ โลกแบนมีเหล่ยี มมมี มุ มที สี่ น้ิ สุด หากเรานง่ั เรือไปเรอื่ ย ๆ กจ็ ะหลุดออกไปจากโลก และแลว้ อรสิ โตเตลิ ได้ศึกษาค้นคว้าส่ิงต่าง ๆ ทั้งหลายโดยการสังเกต เปรียบเทียบ วิเคราะห์แต่ไม่มีการพิสูจน์ทดลอง เปน็ ลกั ษณะนง่ั คดิ ตรกึ ตรองหาคา� ตอบ แลว้ สรปุ ผลการศกึ ษาวา่ โลกหยดุ อยกู่ บั ทไี่ มไ่ ดห้ มนุ ดวงอาทติ ย์ หมนุ โคจรรอบโลก (ดว้ ยพลงั อา� นาจของเทพเจา้ ) โลกจงึ เปน็ ศนู ยก์ ลางของระบบสรุ ยิ จกั รวาล และสสาร ทงั้ หลายในโลกนม้ี ี ๔ ประการ คอื ดนิ นา�้ ลม ไฟ ทไ่ี ดร้ บั มาจากแนวคดิ ทางศาสนา และสง่ ผลมอี ทิ ธพิ ล ตอ่ สงั คมวฒั นธรรมยุโรปและอืน่ ๆ เป็นระยะเวลายาวนาน ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๕ ต่อมา มีนักวิทยาศาสตร์อย่างเช่น นิโคลัส โคเปอร์นิคัส (Nicolaus Copernicus, ๑๔๗๓-๑๕๔๓) และกาลเิ ลโอ กาลเิ ลอี๑ (Galileo Galilei, ๑๕๖๔-๑๖๔๒) ไดน้ า� แนวคดิ ของอรสิ โตเติลและนกั วทิ ยาศาสตร์ท่านอืน่ ๆ มาพิสูจนท์ ดลองตามหลกั วทิ ยาศาสตร์ เปน็ ลักษณะลกุ ขนึ้ เดนิ ศกึ ษาหาคา� ตอบ โดยเฉพาะการใชก้ ลอ้ งสอ่ งทางไกลทเ่ี รยี กวา่ กลอ้ งโทรทรรศนข์ องทา่ นกาลเิ ลโอ ไดท้ ราบความจรงิ และเสนอผลการวจิ ยั วา่ โลกจกั รวาลและสรรพสง่ิ เปน็ เรอื่ งของธรรมดาหรอื ธรรมชาติ ทป่ี ระกอบไปดว้ ยความจรงิ หลายอยา่ ง มวี ตั ถสุ สารพลงั งานและกลมุ่ กา๊ ซตา่ ง ๆ มากมาย โลกกลมและ โลกยงั มดี วงดาวตา่ ง ๆ หลายประการ ดาวเคราะห์ ดาวฤกษด์ วงอนื่ ๆ ดวงดาวทง้ั หลายโคจรมลี กั ษณะ เปน็ วงกลม โลกหมนุ รอบตวั เองและรอบดวงอาทติ ยอ์ ยา่ งสมา่� เสมอ ดวงอาทติ ยเ์ ปน็ ศนู ยก์ ลางของระบบ สุริยจักรวาล ซ่ึงตรงกับหลักค�าสอนของพระพุทธศาสนา ท่ีมีปรากฏในสังขารรูปปัตติสูตร พระสูตร เลม่ ที่ ๑๔ และพระไตรปฎิ ก เล่มท่ี ๒๐ ทช่ี ่อื วา่ องั คุตตรนกิ าย เอกทกุ ติกนบิ าตร ท่ีกล่าวถงึ เร่อื งโลกมี ๑ นักวิทยาศาสตร์กาลิเลโอ เกิดที่เมือง ปิซา (Pisa) ประเทศอิตาลี (Italy) เม่ือค้นพบโลกจักรวาลและสรรพสิ่งเป็นเคร่ืองของ ธรรมดาหรือธรรมชาติ ที่ประกอบไปด้วยความจริงหลายอย่าง โลกกลมและโลกยังมีดวงดาวต่าง ๆ มากมาย โลกหมุน รอบตัวเองและรอบดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยจักรวาล ท่านยังเป็นผู้กล้าเสนอแนวคิดน้ีที่ขัดกับ ค�าสอนเดมิ ถือว่าเปน็ การทา้ ทายตอ่ ตา้ นค�าสั่งสอนของศาสนา และแล้วภัยอันตรายความเดอื ดรอ้ นกม็ าถึงเขา เขาถูกจับและ ถูกกล่าวหาว่าเปน็ พวกนอกรตี ศาสนา ไม่เคารพเชอ่ื ฟงั ค�าสั่งสอนของศาสนา ถกู น�าข้นึ ศาลไตส่ วนศรทั ธา จวนจะถกู ประหาร ด้วยการดื่มยาพิษ แล้วเขาก็ยอมรับผิดไม่สั่งสอนหยุดท�าการศึกษาค้นคว้าทดลองต่อไป ก็เลยพ้นโทษความผิดไม่ถูกฆ่าตาย แต่กย็ งั มีผู้กล้าท้าทายหลกั ค�าสอนเดมิ จ�านวนมากมาย ทถี่ ูกฆา่ และเผาท้งั เป็น

104 สังคมวิทยาเบือ้ งต้น ลักษณะกลม มโี ลกธาตอุ นื่ ๆ อกี หลายพันดวง นอกจากโลก ดวงดาว ดวงจนั ทร์ และดวงพระอาทิตย์ ทเ่ี รามองรเู้ หน็ อยู่ ยงั มโี ลกธาตอุ นื่ อกี มากมายทเี่ ราไมส่ ามารถมองเหน็ ดว้ ยตาเปลา่ เปน็ เรอื่ งของธรรมดา หรอื ธรรมชาติ ทเี่ กดิ ขนึ้ ตามธรรมดาเหตปุ จั จยั ทา� ใหเ้ กดิ องคค์ วามรใู้ หม่ ความเชอื่ และการยดึ ถอื ปฏบิ ตั ิ แบบใหม่ แตส่ า� หรบั พระพทุ ธศาสนาแลว้ ไมใ่ ชเ่ รอื่ งใหม่ เพราะคา� สอนของพระพทุ ธศาสนามคี ณุ ลกั ษณะ เป็นวิทยาศาสตร์อยู่แล้ว สรรพส่ิงเกิดข้ึนเป็นไปตามเหตุปัจจัย ท้าให้มีการพิสูจน์ทดลองก่อนที่จะ ปลงใจเชอื่ ไมใ่ หป้ ลงใจเชอื่ อยา่ งโงง่ มงาย กลายเปน็ วา่ ความรทู้ างวทิ ยาศาสตรส์ นบั สนนุ สง่ เสรมิ หลกั คา� สอนของพระพทุ ธศาสนา ทา� ใหพ้ ระพทุ ธศาสนาเดน่ ทนั สมยั อยเู่ สมอ ไมล่ า้ หลงั ดงั ทคี่ นทว่ั ไปเขา้ ใจกนั ในเรื่อง พรหมลิขิตและกรรมลิขิต ท่ีปลงใจเชื่อยึดถือปฏิบัติและนิยมพูดกันอยู่แพร่หลายใน สังคมปจั จบุ ัน คนเราเกิดอะไรข้นึ ก็ตามท้งั ดีและไมด่ ี ประสบพบเจอปัญหา อบุ ัตเิ หตุ สง่ิ ดีงาม หรือพบ เจอคนรัก กม็ ักคิดเชื่อวา่ เป็นเพราะพรหมลิขิต หรอื กรรมลิขิต ไมไ่ ด้มองหาเหตปุ จั จัยหลาย ๆ อย่างท่ี เกิดอาศัยกันข้ึน พรหมลิขิตและกรรมลิขิตคืออะไร มาจากไหน เกิดข้ึนได้อย่างไร ท�าไมจึงเชื่อปฏิบัติ สืบต่อกันมา พรหมหรือพระพรหมเชื่อกันว่าเป็นเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ในศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู เป็นผู้ สูงสุดและประเสริฐเลิศท่ีสุด ไม่มีเพศรูปร่างขนาดน้�าหนัก สัมผัสจับต้องไม่ได้ เป็นปฐมของสรรพส่ิง เปน็ ผสู้ รา้ งโลกสรา้ งทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ ง แลว้ กา� หนดลขิ ติ ใหเ้ ปน็ ไปตามบญั ชาของพระองคท์ า่ น แมแ้ ตม่ นษุ ย์ เองก็ถูกสร้างก�าหนดลิขิตให้เป็นไปด้วยอ�านาจฤทธ์ิของพระพรหมผู้ยิ่งใหญ่นี้ ถูกก�าหนดมาอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น ไม่สามารถแก้ไขปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ ต้องยอมรับโชคชะตาชีวิตตนเองอย่างนั้น อย่าไปดิ้นรนขัดขืนฝืนพรหมลิขิต ผู้ที่คิดเช่ืออย่างนี้ก็จะไม่สู้ดิ้นรน ไม่มีการศึกษาเรียนรู้ฝึกฝนพัฒนา ตนเอง งอมืองอเท้าปล่อยชีวิตอยู่ไปวัน ๆ อย่างไร้จุดหมายปลายทางและคุณค่าความหมาย คอยแต่ วันเวลาที่เทพเจ้าผู้ย่ิงใหญ่จะมาช่วยเหลือ ด้วยการบวงสรวงอ้อนวอนขอร้องต่อส่ิงศักดิ์สิทธิ์น้ัน เป็นพวกนิยมพรหมลิขติ สว่ นกรรมหรอื กฎแหง่ กรรม เป็นหลกั ธรรมของพระพุทธศาสนา เปน็ หลักการกระท�าและผล แห่งการกระท�า ท�าดไี ดด้ ี ท�าชว่ั ได้ชั่ว ทา� กรรมใดเอาไว้ ก็ได้รบั ผลของกรรมนัน้ ปลกู หว่านพชื ชนิดใด ย่อมได้รับผลของพืชชนิดนั้น เป็นเร่ืองธรรมดาของพฤติกรรมการกระท�าของมนุษย์ท่ีประกอบไปด้วย เจตนาความต้งั ใจ เป็นการกระท�าอยา่ งมีเหตผุ ลถูกต้องพอเพยี ง ไม่มีเทพเจา้ ที่ไหนสรา้ งบนั ดาล ดงั น้ัน ความหมายแท้ของกรรมการกระท�าก็คือเจตนา เจตนาท่จี ะท�าทา� ดหี รอื ช่วั คนจะดีหรือช่วั ไม่ใช่เพราะ สง่ิ อนื่ ภายนอก พระพรหม เทพเจา้ ชาตติ ระกลู หรอื ทรพั ยส์ มบตั ิ เปน็ ตน้ แตเ่ ปน็ เพราะการกระทา� ของ ตนเอง ตัวเรานั่นเองท่ีจะสร้างลิขิตบันดาลให้เป็นไปตามเหตุปัจจัย ตัวเราถูกสร้างก�าหนดลิขิตด้วย กรรมการกระท�าทีป่ ระกอบไปด้วยเจตนาน้ี (จติ ) ดงั นัน้ จติ จงึ เป็นใหญ่เปน็ หัวหน้า จิตสา� คญั กวา่ กาย ทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ งลว้ นเกดิ จากจติ โลกนเ้ี ปน็ ไปตามอา� นาจของจติ หรอื เจตจา� นง เปน็ กฎเกณฑธ์ รรมดาของ ชีวิตและสังคมมนุษย์ ที่เข้าไปเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน แล้วเกิดการเรียนรู้ปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน ท�าให้ มนษุ ยแ์ ละสง่ิ แวดลอ้ มมอี ทิ ธพิ ลตอ่ กนั และกนั ใหร้ จู้ กั คดิ วเิ คราะหต์ รวจสอบสง่ิ เหลา่ นน้ั ตามความเปน็ จรงิ

วฒั นธรรม 105 แล้วลงมือท�าประพฤติปฏิบัติอย่างถูกต้องมีเหตุผลเพียงพอต่อเน่ือง เรียนรู้ยึดถือปฏิบัติสืบเน่ืองกันมา เป็นวัฒนธรรม กรรมการกระท�าที่ประกอบด้วยเจตนาจึงเป็นผู้ก�าหนดลิขิตทิศทางชีวิตให้ดีหรือเลว มปี ญั หาหรอื ไรป้ ญั หาอยา่ งน้ี และนค้ี อื กรรมลขิ ติ เปน็ เรอื่ งของชวี ติ ทสี่ ามารถแกไ้ ขปรบั ปรงุ เปลย่ี นแปลง ไดต้ ามเหตปุ จั จัย ทไี่ ม่องิ อาศัยตอ่ การเซน่ สรวงอ้อนวอนขอรอ้ งตอ่ พระพรหมหรือเทพเจา้ ผู้ยิ่งใหญ่นัน้ กรรมการกระทา� นแ้ี หละทา� ใหม้ นษุ ยแ์ ตกตา่ งกนั แมม้ พี อ่ แมค่ นเดยี วกนั กรรมในอดตี เปน็ ผกู้ า� หนดลขิ ติ ชวี ิตชาติปัจจบุ ัน กรรมปัจจุบนั กับกรรมในอดีตเปน็ ผบู้ นั ดาลลิขิตชีวิตชาตอิ นาคต ผทู้ สี่ ร้างเหตุดี ผลก็ ย่อมออกมาดี สว่ นผู้ทส่ี ร้างเหตไุ ม่ดี กจ็ ะเปน็ ผู้มีแตป่ ญั หาในอนาคต จึงปรากฏได้ชัดว่า หลักค�าส่ังสอนของพระพุทธศาสนาก็เป็นท่ีมาและเป็นรากฐานของ วัฒนธรรมท่ีเก่าแก่อย่างหนึ่ง โดยเฉพาะสังคมไทย ถือได้ว่าพระพุทธศาสนาเป็นรากฐานส�าคัญของ วัฒนธรรมไทย เป็นหลักวัฒนธรรมที่ถูกต้องดีงามและทันสมัยอยู่เสมอ เป็นความจริงไม่เปลี่ยนแปลง สามารถพิสูจน์ทอดลองได้ เกิดข้ึนมีเหตุมีผลไม่เลื่อนลอย ฉะนั้น ผู้ที่รู้เข้าใจเร่ืองกรรมตามแนวพุทธ ก็คือผู้ที่มีแนวคดิ และการปฏิบัตทิ ถี่ ูกตอ้ ง มชี ีวิตทีด่ งี ามประเสริฐและทันสมัยอย่เู สมอ เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ ก่อนท่ีจะตัดสินใจท�าอะไรลงไป จ�าต้องคิดวิเคราะห์พิจารณา ไตรต่ รองพิสจู น์ทดลองส่ิงต่าง ๆ ทั้งหลายตามความเป็นจรงิ มเี หตผุ ล ความจรงิ มีเหตผุ ลเหน็ ไดว้ า่ เป็น สิ่งส�าคัญจ�าเป็นในสังคมโลกปัจจุบัน ท�าให้เกิดปัญญารู้เข้าใจส่ิงท้ังหลายเหล่านั้น มองเห็นสรรพส่ิง เกดิ ขน้ึ เปน็ ไปตามเหตปุ จั จยั คอื มที ไี่ ปทม่ี ามแี หลง่ กา� เนดิ ไมไ่ ดเ้ กดิ ขน้ึ ลอย ๆ และการเกดิ ขน้ึ นน้ั มปี จั จยั สิ่งเก้ือหนุนหลายอย่างไม่ใช่มีปัจจัยเดียว เมื่อรู้เข้าใจส่ิงต่าง ๆ ทั้งหลายอย่างถูกต้องแม่นย�า จึงค่อย ลงมือท�าหรือยึดถือประพฤติปฏิบัติ จึงจะท�าให้วัฒนธรรมน้ันมีปรากฏเป็นแบบลักษณะดีงามมีคุณค่า ความหมายและอา� นวยประโยชนส์ ขุ รว่ มกนั และสมาชกิ ของสงั คมสามารถยดึ ถอื ปฏบิ ตั ริ กั ษาสบื ตอ่ กนั มาไดด้ ว้ ยดไี มม่ ปี ัญหา ลักษณะสา� คัญของวฒั นธรรม ลักษณะวัฒนธรรมในแต่ละสังคมย่อมมีความแตกต่างกัน ไม่ว่าในด้านความคิด ความเช่ือ คา่ นยิ ม การกระทา� และการประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ เพราะวฒั นธรรมเปน็ ผลผลติ ทางสงั คม และสงั คมมลี กั ษณะ พ้นื ฐานโครงสร้างไม่เหมือนกัน อันเป็นเร่ืองของประวตั ศิ าสตร์ ประสบการณ์ ความรู้เขา้ ใจ วิทยาการ ความเช่ือ และค่านิยมท่ีแตกต่างกัน ลักษณะวัฒนธรรมทางวัตถุ เช่น การแต่งกาย การใช้รถยนต์ และการใช้มือถือโทรศัพท์ เป็นตน้ เป็นลกั ษณะเปลีย่ นแปลงงา่ ยไมแ่ น่นอน เป็นไปตามกระแสและคา่ นิยมทางสังคม ส่วนลักษณะวัฒนธรรมไม่ใช่วัตถุ เป็นเรื่องของจิตใจกับศาสนา เป็นความเชื่อและ การปฏิบตั ิ เช่น เชื่อในเร่อื งพระเจ้าเปน็ ผสู้ ร้างโลกและสรรพส่ิง เชื่อเร่ืองโลกและสรรพสิ่งไมม่ ใี ครเปน็ ผู้สร้าง เป็นเรื่องของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่ือในเรื่องนรกสวรรค์ หรือเชื่อในเร่ืองกฎแห่งกรรม เปน็ ลกั ษณะเปลย่ี นแปลงยาก หรอื เปลย่ี นแปลงเปน็ ไปอยา่ งชา้ ๆ วฒั นธรรมจงึ เปน็ ลกั ษณะเกดิ ขนึ้ เปน็

106 สงั คมวทิ ยาเบื้องต้น ไปตามเหตุปจั จยั เกดิ ข้ึนอย่างมีเหตผุ ล ไม่ไดเ้ กิดขึน้ ลอย ๆ หรือบงั เอิญ ดงั นนั้ จึงพอสรปุ คณุ ลักษณะ สา� คญั ของวัฒนธรรม ดงั นี้ ๑. ส่ือความหมายได้ ความจริงมีอยู่ว่า เคร่ืองหมายสัญลักษณ์ พฤติกรรมการกระท�า และรูปแบบพฤติกรรม ที่คิดสร้างและแสดงออกมา ย่อมมีความหมายแท้และเทียมอยู่เสมอ ในทาง วัฒนธรรมท่ดี แี ละถกู ต้อง ลักษณะรูปแบบการกระทา� ท่มี ปี รากฏข้นึ เป็นวถิ ชี ีวติ ทางสงั คม คนในสังคม ยอมรบั ยดึ ถอื ปฏบิ ตั ริ ว่ มกนั ยอ่ มสอื่ ความหมายอนั แทจ้ รงิ ตอ่ ความจรงิ ทวั่ ไปเสมอ มสี าระเปน็ ประโยชน์ ทั้งต่อบุคคลและสว่ นรวม หากไมม่ รี ปู แบบพฤตกิ รรมการกระทา� กย็ ากทจี่ ะเขา้ ถงึ คณุ คา่ ความหมายแท้ ของสงิ่ นนั้ ได้ หรือมีแต่ลักษณะรูปแบบดังกล่าว แต่ไม่มีเนื้อหาสาระความหมาย ก็ไม่มีประโยชน์มีแต่ โทษภยั อนั ตรายและความสูญเสยี ตามมา ดงั ตวั อยา่ งตอ่ ไปน้ี การสรา้ งพระพทุ ธรปู รปู เหมอื นพระพทุ ธเจา้ สรา้ งขนึ้ มากเ็ พอ่ื รา� ลกึ นกึ ถงึ พระพุทธเจ้า สมัยพระพุทธเจ้า ครั้งที่พระองค์ทรงเสด็จไปยังสวรรค์ช้ันดาวดึงส์ เพื่อแสดงพระธรรม เทศนาโปรดพุทธมารดา และทรงเสด็จจ�าพรรษาอยู่ท่ีน่ันเป็นเวลา ๓ เดือน ฝ่ายพระเจ้าปเสนทิโกศล กษัตริย์ผู้ครองเมืองสาวัตถีแห่งแคว้นโกศล ผู้มีความผูกพันและเคารพยิ่งในพระพุทธเจ้า เมื่อไม่เห็น พระพทุ ธเจา้ กเ็ กดิ ความรา� ลกึ นกึ ถงึ เปน็ อยา่ งยงิ่ จงึ ตรสั สงั่ ใหน้ ายชา่ งทา� รปู เหมอื นพระพทุ ธเจา้ ดว้ ยไม้ จันทร์แดงแทนความเคารพคิดถึง แล้วเอาประดิษฐานไว้เหนืออาสนะที่พระพุทธเจ้าเคยประทับนั่ง ตอ่ มา เมอื่ ปี พ. ศ. ๓๗๐ ในรชั สมยั ของพระเจา้ กนษิ กะ ชาวกรกี โรมนั ผเู้ ลอ่ื มใสศรทั ธาในพระพทุ ธศาสนา ก็ไดค้ ดิ สรา้ งพระพุทธรูป (พระพุทธรปู คนั ธาระ) ประดษิ ฐานเอาไวใ้ นแคว้นคันธาระ ซงึ่ ตง้ั อยทู่ างเหนอื หรือตะวนั ตกเฉียงเหนือของประเทศอินเดยี ปัจจบุ นั อย่ใู นเขตเมอื งเปสวาร์ และระวัลปนิ ดี (Peshwar and Rawalpindi) ประเทศปากีสถาน ในสังคมไทย ก็มีการสร้างพระพุทธรูปสืบต่อกันมา อย่างท่ีมี ปรากฏให้เห็นอยู่ทั่วไป ก็เพ่ือความร�าลึกนึกถึงอาลัยอาวรณ์ในพระคุณของพระพุทธองค์ท่านและเปน็ แบบอยา่ งในการดา� เนนิ ชวี ติ ทสี่ รา้ งทา� พระพทุ ธรปู มปี ลายศรี ษะแหลม กเ็ พอ่ื สอื่ ความหมายวา่ พระองค์ ท่านมีพระปัญญาอันเฉียบแหลม หยั่งรู้ทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง หูยาน-หนักแน่น ไม่หูเบา สายตามองต�่า–ส�ารวมตรวจสอบตัวเองเสมอ ไม่เพ่งโทษคนอ่ืน น้ิวมือนิ่วเท้าเรียบเสมอกัน อนั มคี วามหมายวา่ ทรงมพี ระหฤทยั เสมอเหมอื นกนั หมดในสตั วท์ กุ หมเู่ หลา่ การประทบั นงั่ หรอื ยนื บน ดอกบัว ก็มีนัยว่าพระพุทธองค์ทรงหลุดพ้นแล้ว เป็นผู้รู้ ผู้ตื่นและเบิกบาน เม่ือเราบูชากราบไหว้ พระพุทธรปู ดว้ ยดอกไม้ ธปู และเทียน ดอกไม้นานาชนดิ ทเ่ี รยี งรอ้ ยเปน็ พวงมาลัย ก็สื่อความหมายถงึ กุลบุตรและกุลธิดาต่าง ๆ ทั้งหลายท่ีเขามาในพระพุทธศาสนา แล้วมีการประพฤติปฏิบัติดีเรียบร้อย ดงั ดอกไมท้ ร่ี อ้ ยเรยี งกันอย่างเปน็ ระเบยี บ ธูป ๓ ดอก หมายถึงพระพุทธคณุ ๓ คือ -พระปญั ญาธคิ ุณ ปัญญารู้แจง้ เห็นส่ิงทงั้ หลายตามความเป็นจริง - พระบริสุทธิคณุ บรสิ ุทธิ์ทางกายวาจาใจ หรอื มคี วาม ประพฤตดิ ปี ฏบิ ตั ชิ อบ -และพระมหากรณุ าธคิ ณุ มพี ระกรณุ าอนั ยงิ่ ใหญใ่ นสตั วโ์ ลกทงั้ หลาย สว่ นเทยี น ๒ เล่ม ก็ส่ือความหมายถึง พระธรรมและพระวินัย ที่ส่องแสงสว่างน�าทางให้กับสัตว์โลกท้ังหลาย

วัฒนธรรม 107 และทกุ ครงั้ ทก่ี ราบไหวบ้ ชู าพระพทุ ธรปู ตอ้ งรเู้ ขาใจวา่ พระพทุ ธเจา้ กเ็ ปน็ มนษุ ย์ ไมใ่ ชเ่ ทพเจา้ ผยู้ ง่ิ ใหญ่ หรือส่ิงศักด์ิสิทธิ์ แต่เป็นมนุษย์ที่ดีเลิศประเสริฐเหนือกว่ามนุษย์และเทวดาท้ังหลาย พระพุทธองค์ ทรงประกอบไปด้วยปัญญารู้แจ้งเห็นส่ิงท้ังหลายตามความเป็นจริง มีความประพฤติดีปฏิบัติชอบ และมีพระกรุณาอันย่ิงใหญ่ในสัตว์โลกท้ังหลาย ทรงสั่งสอนสัตว์โลกทั้งหลาย ไม่ให้ท�าความช่ัวทั้งปวง ให้ทา� แต่ความดี และทา� จติ ใจให้บริสุทธ์ิ (ศลี สมาธิ และปญั ญา) จงึ มาท�าเพอื่ ความร�าลึกนกึ ถึงพระคุณ อันยิ่งใหญ่นี้ หากเราท�าด้วยความคิดว่า พระพุทธองค์เป็นเทพเจ้าผู้ย่ิงใหญ่หรือส่ิงศักด์ิสิทธ์ิ กราบออ้ นวอนขอร้องโดยหวังให้พระองคท์ า่ นช่วยเหลือหรือดลบันดาลประทานพรให้ เป็นการร้เู ขา้ ใจ ผิดวิปริตผิดเพ้ียนไร้สาระ กลายเป็นก�าแพงขวางก้ันไม่ให้เข้าถึงแก่นแท้แห่งธรรมของพระพุทธองค์ ชดั เจน การคิดสรา้ งท�าและการแสดงพฤติกรรมล้วนเต็มไปด้วยความหมายอย่างนี้ ธงชาตไิ ทย มี ๓ สี คือสแี ดง ขาว และน�า้ เงนิ อันหมายถึง ชาติ ศาสนา และพระมหากษตั รยิ ์ สแี ดง กค็ อื เลอื ดของคนเรา ยอมสละไดก้ เ็ พอ่ื ชาติ สขี าวอนั บรสิ ทุ ธ์ิ หมายถงึ พระพทุ ธศาสนา ตอ้ งรกั ษา เอาไว้ให้คกู่ ับชาติและองคก์ ษตั รา สว่ นสีนา�้ เงนิ กส็ ่อื ความหมายเปน็ พระมหากษัตริย์ ผู้นา� ปวงประชา พาใหเ้ กดิ ความสงบสขุ รม่ เยน็ อนั เป็นสถาบนั หลักสา� คัญของประเทศ การสร้างบ้านก็เพื่อเป็นท่ีกินอยู่อาศัยหลับนอน หากสร้างบ้านให้วิจิตรพิสดารเพ่ือความโก้ หรหู ราอวดความรา�่ รวย กเ็ ปน็ เรอ่ื งของคณุ คา่ ความหมายเทยี มไรส้ าระสนิ้ เปลอื งเสยี เวลาเปลา่ รถยนต์ ก็เพ่ือน�าเราไปสู่จุดหมายปลายทางที่ต้องการจะไป โทรศัพท์มือถือก็เพื่อส่ือสารพูดคุยให้รู้เรื่องเข้าใจ การลอยกระทงก็เพื่อแสดงความกตัญญูขอขมาลาโทษต่อพระแม่คงคา ที่ได้กินใช้ดื่มหล่อเล้ียงชีวิต และบางคร้ังที่พล้ังเผลอทิ้งส่ิงสกปรกตกลงในแม่น�้าท�าให้น�้าสกปรก การท�าบุญให้ทานก็เพื่อสละ ความตระหน่ีช�าระจิตใจให้ใสสะอาดหมดจด การบูชาแสดงความเคารพบุคคลหรือสิ่งที่นับถือ ก็เพ่ือ แสดงความร�าลึกนึกถึงและความเคารพยกย่อง การกราบไหว้ก็เพื่อแสดงความเคารพทักทายและ มติ รไมตรี เป็นต้น สง่ิ ทัง้ หลายเหลา่ นล้ี ว้ นสอ่ื คณุ คา่ ความหมาย มคี ณุ ประโยชนอ์ ย่างแทจ้ รงิ ถ้ามนษุ ย์ รเู้ ขา้ ใจ และมเี จตนาปรารถนาดี มกี ารประพฤตปิ ฏบิ ตั ใิ หส้ อดคลอ้ งเหมาะสมเพยี งพอตอ่ เนอ่ื ง ถอื ไดว้ า่ เป็นความดีและเปน็ มงคลกบั ชีวติ ทา� ให้ชวี ติ เจริญร่งุ เรืองก้าวหน้าต่อไป ๒. เป็นรูปแบบการด�าเนินชีวิต เห็นท่ีได้มาจากแนวคิดพิจารณาอย่างละเอียดลึกซ้ึง ค�านึง ถงึ สจั ธรรม และจรยิ ธรรมเปน็ ส�าคัญ เช่อื ว่าดีและถกู ตอ้ งทสี่ ดุ มีคุณค่าความประโยชนม์ ากที่สุด ยึดถือ ปฏบิ ตั แิ ลว้ ไมม่ โี ทษภยั เสยี หาย มแี ตค่ ณุ ประโยชนฝ์ า่ ยเดยี ว ถกู ตอ้ งเหมาะสมกบั ตนเองสภาพแวดลอ้ ม ทางสังคมและยุคสมัย ยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมา ก็จะเป็นลักษณะรูปแบบพฤติกรรมและรูปแบบการ ด�าเนินชีวิตที่ดีงามประเสริฐ ก่อเกิดเป็นเอกลักษณ์ของสังคมเฉพาะ หากไม่ดีไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ ก็จะไมม่ ีการยึดถือปฏิบัติ และไมเ่ ปน็ แบบลกั ษณะในการดา� เนินชีวิต

108 สังคมวทิ ยาเบือ้ งตน้ เหมอื นอยา่ งชาวอนิ เดยี สมยั โบราณ กอ่ นทพี่ ระพทุ ธเจา้ อบุ ตั ขิ น้ึ เชอ่ื วา่ การทา� บญุ ทไ่ี ดบ้ ญุ มาก ก็คือการฆ่าสัตว์ท้ังหลายบูชายัญ การท�ายัญหรือบูชายัญเป็นวิธีการท�าบุญอย่างหน่ึงในสมัยน้ัน บูชาเทพเจ้าส่ิงศักด์ิสิทธ์ิด้วยชีวิตสัตว์ท้ังหลาย จึงนิยมฆ่าแพะ แกะ ไก่ ช้าง ม้า โค กระบือ และคน อยา่ งละรอ้ ย หา้ ร้อย หรอื พันบา้ ง และต้องเลอื กสัตว์และคนที่มลี ักษณะทด่ี ีไม่มีต�าหนิ เพือ่ เป็นทพี่ อใจ โปรดปรานของเทพเจา้ สงิ่ ศกั ดส์ิ ทิ ธิ์ ทา� พธิ บี ชู ายญั ขอรอ้ งออ้ นวอนตอ่ เทพเจา้ สงิ่ ศกั ดสิ์ ทิ ธน์ นั้ สรา้ งปญั หา ความเดือดร้อนแก่สัตว์และคนเป็นจ�านวนมาก เชื่อและปฏิบัติสืบต่อกันมาอย่างนั้น จนกระทั่ง พระพุทธเจ้าอุบัติข้ึน พระองค์จึงได้แสดงสอนบอกใหม่ว่า สัตว์และคนท้ังหลายต่างรักตัวกลัวตาย รักสุขเกลียดทุกข์เหมือนกัน การฆ่าท�าลายเบียดเบียนเป็นเรื่องไม่ดีผิดศีลธรรม ไม่ควรข่มเหงรังแก เบียดเบียนฆ่ากัน และไม่ใช่วิธีการท�าบุญ เพราะฉะนั้น ควรมีเมตตาต่อกัน จึงจะดีมีความปกติสุขใน สังคม การท�าบุญท่ีได้บุญ ต้องไม่ใช่ด้วยการฆ่าเบียดเบียนท�าลาย หากต้องการฆ่าต้องฆ่ากิเลสตัณหา ของตนเองจึงจะเป็นบุญหรือเป็นความดีมีความสุข ต้องท�าโดยให้ตนเองและคนอื่นอยู่ร่วมกันอย่างมี ความสขุ ปราศจากความอย่รู ้อนนอนทุกข์ เพราะบญุ เปน็ เรอ่ื งของความสขุ หรอื ความดี สะอาดบริสทุ ธ์ิ หมดจดทง้ั ทางกาย วาจา และจติ ใจ เมอื่ รเู้ ขา้ ใจความจรงิ อยา่ งน้ี จงึ ไมฆ่ า่ ทา� ลายเบยี ดเบยี นกนั คนไทย แมย้ อมรบั เอาพระพทุ ธศาสนา มาเปน็ รปู แบบการดา� เนนิ ชวี ติ ทางสงั คม แตไ่ มร่ บั เอาพธิ บี ชู ายญั มาเปน็ แบบอย่างในการท�าบุญ และเลือกท�าบุญโดยวิธีให้ตนเองและคนอื่นมีความสุขอยู่ร่วมกัน อันเป็น รปู แบบในการปฏิบตั ิทา� ความดี จดั ได้ว่าเปน็ แบบลกั ษณะวฒั นธรรมไทยมาถงึ ทกุ วนั น้ี ในอดตี กาล ทง้ั ฝา่ ยตะวนั ออกและตก เราเชอ่ื กนั วา่ มเี ทพเจา้ เปน็ ผสู้ รา้ งโลกสรา้ งทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ ง แล้วก�าหนดบันดาลให้เป็นไปตามบัญชาของพระองค์ท่าน แม้แต่มนุษย์เองก็ถูกก�าหนดบันดาลให้เป็น ไปตามอ�านาจฤทธิ์ของเทพเจ้าผู้ย่ิงใหญ่น้ี เพ่ือให้ท่านคุ้มครองรักษาช่วยเหลือหรือประทานพรให้ จงึ บวงสรวงออ้ นวอนขอรอ้ งตอ่ เทพเจา้ นนั้ เปน็ การหวงั พง่ึ สงิ่ ศกั ดสิ์ ทิ ธภ์ิ ายนอก เพราะอทิ ธพิ ลหลกั คา� สอนของพระพทุ ธศาสนา ทสี่ อนเรอ่ื งกรรมหรอื กฎแหง่ กรรม ทา� ดไี ดด้ ี ทา� ชวั่ ไดช้ ว่ั ปลกู หวา่ นพชื ชนดิ ใด ยอ่ มไดร้ ับผลของพืชชนดิ นน้ั ทา� เองกไ็ ดร้ ับผลเอง ดชี ัว่ อยู่ที่การกระท�า ไมม่ เี ทพเจา้ ทไ่ี หนสรา้ งบันดาล หรือคอยช่วยเหลือ เกิดมาเป็นมนุษย์ต้องช่วยเหลือหรือพ่ึงตนเอง และที่พึ่งในโลกน้ีมี ๒ ประการ คอื ทีพ่ ง่ึ ภายนอกและภายใน ที่พึ่งภายนอก มบี ิดามารดา สามีภรรยา ครูอาจารย์ ญาติสนทิ มติ รสหาย เป็นต้น เป็นที่พ่ึงได้ แต่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ไม่ย่ังยืนม่ันคงเสมอไป พ่อแม่แม้มีความรักหวังดีต่อบุตร เป็นท่ีพ่ึงของบุตรได้ แต่เพราะความไม่แน่นอนของชีวิต มีการห่างหายตายจากกันไปเป็นธรรมดา ส่วนคนอื่นเวลารักชอบพอใจกัน เคารพนับถือกัน ก็อาจพ่ึงพาอาศัยกันได้ ทะเลาะโกรธเกลียดกัน ไมเ่ คารพนบั ถอื กนั กพ็ งึ่ พงิ กนั ไมไ่ ด้ สว่ นทพ่ี ง่ึ ภายใน คอื คณุ งามความดขี องตนเอง ความรู้ ความสามารถ ความเพยี รพยายาม ความขยนั อดทน เปน็ ต้น เป็นท่ีพง่ึ ท่ีเที่ยงแทแ้ นน่ อน ย่ังยนื ม่ันคงตลอดไป เปน็ ที่ พ่ึงได้ทุกหนทุกแห่งทุกภพทุกชาติ ในที่พ่ึง ๒ อย่างน้ี พระพุทธศาสนาสอนเน้นให้พ่ึงที่พ่ึงภายในเป็น

วฒั นธรรม 109 สา� คญั อยา่ หวงั พงึ่ ทพ่ี งึ่ ภายนอกมากเกนิ ไป ดงั นน้ั จงอยา่ ไดป้ ระมาท ขอจงตง้ั จติ คดิ ทา� ศกึ ษาเรยี นรสู้ ตู้ น ให้มีความรู้และคุณธรรมเต็มท่ี เพ่ือท่ีจะพ่ึงตนเองได้ ไม่พึ่งคนอ่ืน “ตนแลเป็นที่พึ่งของตน คนอื่นใคร เลา่ จะเปน็ ท่ีพ่ึงได้” ถอื ไดว้ า่ เป็นหลกั ความจรงิ มเี หตผุ ล ที่คนทว่ั โลกยอมรับน้อมนา� มาประพฤติปฏิบัติ เกดิ ผลในทางปฏิบตั ไิ ด้จริง เป็นรูปแบบการดา� เนินชวี ติ ที่เหน็ ปรากฏอยู่ทั่วไป ๓. ถา่ ยทอดสบื ตอ่ กนั มา โลกแหง่ ความเปน็ จรงิ มอี ยวู่ า่ มนษุ ยค์ นแลว้ คนเลา่ ตายไป แตแ่ บบ ลักษณะความจริงและการด�าเนินชีวิตยังอยู่ เม่ือมนุษย์เกิดขึ้นมาในสังคม เขาก็จะเรียนรู้แบบลักษณะ ความจรงิ และรปู แบบพฤตกิ รรมนนั้ สภาพแวดลอ้ มสงั คมและวฒั นธรรมนนั้ เรยี นรสู้ ง่ั สมอบรมถา่ ยทอด กันอย่างต่อเน่ืองไม่ขาดสาย ไม่หยุดน่ิงคงอยู่กับที่ จากรุ่นสู่รุ่น จากยุคสู่ยุค จากอดีตถึงปัจจุบัน เป็นววิ ัฒนาการทางวฒั นธรรม มกี ารเกดิ ข้นึ คงอยู่ และเปลยี่ นแปลงไป หากวัฒนธรรมท่ตี ้ังอยู่บนฐาน ความจริงมเี หตผุ ล กจ็ ะไม่เก่าและใหม่ เป็นเรอ่ื งความสัมพนั ธ์ทโ่ี ยงใยกนั ไปในอดตี กับปัจจบุ นั เราพบ สัจธรรมอยา่ งหนึ่งวา่ ทกุ สิ่งทกุ อยา่ งในโลกนี้ ลว้ นเกดิ ข้ึนเปลีย่ นแปลงไปตามกาลเวลา ดังนัน้ ลกั ษณะ ส�าคัญของวัฒนธรรมอย่างหน่ึง ก็ต้องเกิดขึ้นคงอยู่เป็นไปแพร่กระจายอย่างต่อเน่ืองตามกาลเวลา มนษุ ยส์ ามารถแกไ้ ขปรบั ปรงุ เปลย่ี นแปลงไดต้ ามกาลเวลาและการเปลยี่ นแปลงทางสงั คม ดว้ ยเครอ่ื งมอื สา� คัญของมนุษย์ คอื ปัญญาและภาษา ช่วยในการเรียนร้ถู า่ ยทอดสบื ตอ่ กันมาถงึ ปัจจุบัน ในการเลยี นแบบสบื ต่อวฒั นธรรม หรอื การสรา้ งสรรค์ สืบตอ่ สง่ เสรมิ เพราะวัฒนธรรมใน โลกนี้มีหลากหลาย โดยเฉพาะวัฒนธรรมตะวันตก ต้องใช้ปัญญาในการเรียนแบบสืบต่อ ต้องรู้จักคิด วเิ คราะหค์ วามจรงิ มเี หตผุ ล คณุ คา่ ความหมายหรอื ประโยชน์ รเู้ ขา้ ใจอยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะสม วฒั นธรรม ทดี่ งี ามถกู ตอ้ ง ตอ้ งตงั้ อยบู่ นฐานความจรงิ มเี หตผุ ล ปฏบิ ตั แิ ลว้ เกดิ ประโยชนจ์ รงิ คอ่ ยยดึ ถอื ปฏบิ ตั เิ ปน็ รปู แบบพฤตกิ รรม หากปราศจากปญั ญากจ็ ะเปน็ ปญั หา คอื ทา� ไปโดยไมร่ เู้ ขา้ ใจ กจ็ ะมแี ตโ่ ทษภยั อนั ตราย ตามมา ดงั นน้ั จะเปน็ ชาวพทุ ธ ครสิ ต์ หรอื อสิ ลาม นบั ถอื พระเจา้ หรอื ความจรงิ มเี หตผุ ล ความจรงิ สงู สดุ คือพระเจ้า ความจริงสูงสุดคือธรรมดาหรือธรรมชาติท่ีเกิดขึ้นเป็นไปเพราะเหตุปัจจัย ส่ิงส�าคัญที่สุด ก็คือรู้เข้าใจสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง ความจริงมีเหตุผล ความจริงสิ่งสากล ความจริงสิ่งดีงาม แลว้ ปฏบิ ตั ใิ หถ้ กู ตอ้ งเหมาะสมกบั ความจรงิ สง่ิ ทง้ั หลายเหลา่ นน้ั นน่ั คอื วฒั นธรรมอนั ดงี ามของมนษุ ยโ์ ลก ความดงี ามเปน็ เรอื่ งของความจรงิ คอื สจั ธรรม เปน็ เรอ่ื งของการปฏบิ ตั ไิ ดผ้ ลจรงิ คอื จรยิ ธรรม และเปน็ เรื่องความเจริญรุ่งเร่ืองก้าวหน้าของชีวิตจริง คือวัฒนธรรม วัฒนธรรมท่ีว่าใหม่ทันสมัย โดยเฉพาะ วัฒนธรรมทางข้อมูลข่าวสารทเ่ี ก็บบนั ทึกเอาไว้ (“Recorded culture”) อันได้แก่ สง่ิ พิมพ์ ภาพยนตร์ ส่ิงประดษิ ฐ์ และส่อื สารการติดตอ่ ทางอิเลคโทรนคิ (Print, film, artifacts and electronic media) ก่อนท่ีจะลอกเลียนแบบเอาอย่าง ควรศึกษาเรียนรู้ให้เท่าทันตามความเป็นจริง รู้เข้าใจเนื้อหาสาระ ความหมายประโยชน์ มีเหตุผลถูกต้องดีงาม เหมาะสมกับกาลเทศะตนเองและสังคม เป็นที่ยอมรับ

110 สังคมวทิ ยาเบื้องต้น ต้องการของสังคม ค่อยยึดถือปฏิบัติตาม เพราะในสังคมโลกใบนี้ มีท้ังสิ่งดีและไม่ดี แท้และเทียม ต่อเมื่อได้รู้เข้าใจตามความเป็นจริง เกิดผลในทางปฏิบัติได้จริง จึงยึดถือปฏิบัติสืบต่อเป็นวัฒนธรรม คนทร่ี หู้ ลกั วฒั นธรรมเพยี งเลก็ นอ้ ย จะมใี จโนม้ เอยี งไปสกู่ ารไมม่ วี ฒั นธรรม แตถ่ า้ รหู้ ลกั วฒั นธรรมอยา่ ง ลึกซึ้ง จะมใี จมั่นคงในวัฒนธรรม มแี ตค่ วามเจริญงอกงามมน่ั คงสบื ตอ่ ไป หนา้ ท่ีของวฒั นธรรม มนุษย์ท่ีเจริญก็เพราะมีวัฒนธรรมที่ถูกต้อง สังคมท่ีเจริญก็เพราะมีวัฒนธรรมท่ีดีงาม แตว่ ัฒนธรรมท้ังหลายท่วั โลกปรากฏมีความแตกต่างกนั วฒั นธรรมของสังคมหน่ึงก็จะแตกตา่ งไปจาก สังคมหนึ่ง แม้มีการปฏิบัติทางวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน แต่หน้าที่ทางวัฒนธรรมดูเหมือนมีจุดหมาย หมายเดยี วกนั เชน่ สงั คมทง้ั หลายมวี ธิ กี ารเลย้ี งดอู บรมบตุ รทแี่ ตกตา่ งกนั แตม่ เี ปา้ หมายสา� คญั เดยี วกนั คือให้เขาเป็นคนดีมีความสามารถคุณธรรมจริยธรรม มีวิธีการศึกษาต่างกัน แต่ก็มีเป้าหมายเดียวกัน คอื ใหร้ เู้ ขา้ ใจ มหี ลกั การทา� งานแตกตา่ งกนั แตก่ ม็ เี ปา้ หมายเหมอื นกนั คอื ใหด้ เี รยี บรอ้ ยไมม่ โี ทษเสยี หาย นี้เป็นปรากฏการณ์ทางสังคมท่ัวไป เป็นความจริงทางสังคมท่ียอมรับกันทั่วไป เพราะความแตกต่าง ทางวฒั นธรรม มนษุ ยจ์ งึ มีความคดิ และการปฏิบัติท่ีแตกตา่ งกันออกไป สว่ นใหญ่ มักยดึ ถอื ปฏิบัตเิ ป็น ไปตามวัฒนธรรมของตนเอง แต่สังคมโลกปัจจุบัน ดูเหมือนเป็นสังคมโลกใบเดียวกัน เพราะอิทธิพล ความเจริญทางวทิ ยาการและเทคโนโลยีสมยั ใหม่ มกี ารตดิ ตอ่ สื่อสารกนั ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ติดตอ่ สนทนาเจรจาเหมอื นนงั่ จบั เขาคยุ กนั จงึ พยายามคดิ ลอกเลยี นแบบกนั และยดึ ถอื ปฏบิ ตั ทิ างวฒั นธรรม ทีค่ ล้ายคลงึ กัน อยา่ งไรกต็ าม จงึ พอจะสรุปหนา้ ทส่ี �าคญั ของวัฒนธรรม ดงั นี้ ๑. ช่วยสร้างแบบลักษณะมนุษย์ สร้างแบบลักษณะหรือบุคลิกภาพมนุษย์ ให้รูปแบบ พฤตกิ รรมและการดา� เนนิ ชวี ติ ชว่ ยใหค้ ดิ ดอี ยา่ ไปคดิ รา้ ยและคดิ อยากไดข้ องคนอนื่ ใหค้ ดิ วา่ นรกสวรรค์ มีจริง อย่าไปคิดว่านรกสวรรค์ไม่มี ให้คิดว่าพ่อแม่มีพระคุณ ห้ามคิดว่าท่านไม่มีบุญคุณ ให้คบหาแต่ เพื่อนดี ไม่ให้คบคนเลว ให้พูดดีอย่าพูดเท็จค�าหยาบส่อเสียดเหลวไหล ให้ท�าดีอย่าไปฆ่าท�าลาย เบยี ดเบยี นคนอนื่ ใหด้ มื่ นา้� ทส่ี ะอาดบรสิ ทุ ธิ์ หา้ มดม่ื สรุ ายาเมา ใหร้ บั ประทานอาหารทด่ี มี แี ตป่ ระโยชน์ คุณค่าของน้�าและอาหารจริง ๆ คือท�าให้ชีวิตอยู่ได้เป็นไป ให้แต่งกายสะอาดสุภาพเรียบร้อยอย่างนี้ คุณค่าแท้ของเส้ือผ้าเคร่ืองนุ่งห่ม ก็คือป้องกันความละอายความหนาวและลม เป็นต้น ควรแสดง บทบาทและมีหน้าท่ีทางสังคมอย่างนี้ ควรใช้ชีวิตในสังคมอย่างนี้ ๆ จึงจะเป็นท่ียอมรับต้องการ ของสังคม แลว้ จะพบแต่ชวี ิตท่ีดมี คี วามสขุ มคี วามเจรญิ รงุ่ เรอื่ งกา้ วหน้า ๒. ช่วยสร้างวัตถุเครื่องหมายส่ิงประดิษฐ์ วัฒนธรรมท่ีไม่ใช่วัตถุ เป็นเร่ืองนามธรรม ความเจริญพัฒนาด้านจิตใจ ไม่สามารถสัมผัสจับต้องได้ รู้เข้าใจยาก ท�าให้การเป็นอยู่ล�าบากมีปัญหา จงึ พยายามคดิ สรา้ งวตั ถเุ ครอ่ื งหมายสง่ิ ประดษิ ฐท์ เ่ี ปน็ รปู ธรรม สามารถสมั ผสั จบั ตอ้ งได้ เพอ่ื สอื่ ความหมาย

วฒั นธรรม 111 ป้องกันแก้ไขปัญหา หรือการเป็นอยู่ที่ดีข้ึน เช่น สัญลักษณ์ภาษา การพูด การเขียน การแสดงกิริยา อาการท่าทาง สัญลักษณ์ศาสนา ภาพจิตรกรรม สัญญาณไฟจราจร กฎหมาย ผลิตอาหาร บ้านเรือน องคก์ รสถาบนั อปุ กรณเ์ ครอ่ื งมอื เครอื่ งใช้ เครอื่ งอา� นวยความสะดวก และเทคโนโลยี เปน็ ตน้ อนั แสดง ถึงวิวัฒนาการวัฒนธรรมของมนุษย์มาตามล�าดับ จะเห็นได้ว่า สมัยแรกเริ่มเดิมที มนุษย์กินอาหาร ดว้ ยมอื ดว้ ยไม้ เปลอื กหอย หนิ โลหะ พฒั นากลายมาเปน็ ชอ้ น สอ้ มและไมต้ ะเกยี บ ตอ่ สกู้ นั ดว้ ยอวยั วะ ของร่างกาย (มือ เทา้ เข่า ศอกและปาก เปน็ ตน้ ) ไม้ หิน มดี หอก ดาบ ปนื ระเบดิ ขปี นาวุธ ปรมาณู และจรวด เปน็ ตน้ เดนิ ทางดว้ ยเทา้ เปลา่ มที รี่ องเทา้ สตั ว์ เกวยี น รถ เครอื่ งบนิ และยานอวกาศ เปน็ ตน้ สงั คมโลกปจั จบุ นั ถอื ไดว้ า่ เปน็ ยคุ แหง่ ความเจรญิ กา้ วหนา้ ทางเทคโนโลยสี มยั ใหม่ ทแ่ี สดงบทบาทสา� คญั ในการด�าเนินชีวิตทางสังคม ทุกแง่มุมของชีวิตทางสังคมล้วนข้ึนอยู่อาศัยส่ิงประดิษฐ์เทคโนโลยี เรมิ่ ตงั้ แตต่ นื่ นอนขนึ้ มา ตอ้ งการลา้ งหนา้ อาบนา�้ ดว้ ยนา้� อนุ่ หรอื รอ้ น ตอ้ งการดมื่ กาแฟ กเ็ ปดิ สวติ ซห์ รอื กดปุ่มเครื่องท�าน้�าร้อนหรือกระติกน�้าร้อน ก็ส�าเร็จได้ดังใจปรารถนา ต้องการท�าอาหาร ก็ท�าได้ด้วย เคร่ืองไฟฟ้าอย่างรวดเร็ว ต้องการเสพบริโภคข่าวสารข้อมูล ก็ท�าได้อย่างรวดเร็วด้วยวิทยุโทรทัศน์ หรอื อนิ เตอรเ์ นท ตอ้ งการตดิ ตอ่ พดู คยุ กนั กท็ า� ไดง้ า่ ยดายดว้ ยโทรศพั ทม์ อื ถอื หรอื อนิ เตอรเ์ นต็ ตอ้ งการ เดินทางก็ไปได้ด้วยจักรยานยนต์หรือรถยนต์ ต้องการเดินทางไกลรวดเร็วหรือต่างประเทศ ก็ไปด้วย เคร่ืองบิน การด�าเนินชีวิตทางสังคมเป็นไปอย่างสะดวกรวดเร็ว ในแง่วัฒนธรรม วัตถุส่ิงประดิษฐ์ เทคโนโลยีมีท้ังคุณและโทษ ช่วยในการสร้างสรรค์พัฒนาและท�าลายคุณภาพชีวิตและส่ิงแวดล้อม มนุษย์ผู้มีวัฒนธรรม คือผู้เจริญพัฒนาแล้ว ต้องใช้ปัญญาในเสพบริโภคใช้สอย รู้จักคิดหาคุณค่า ความหมายหรอื ประโยชนแ์ ทข้ องมนั รเู้ ขา้ ใจอยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะสมพอเพยี ง คอ่ ยยดึ ถอื ปฏบิ ตั ิ เพอ่ื ชวี ติ ท่ดี ีมแี ต่ความเจริญรุ่งเรืองกา้ วหนา้ ๓. ช่วยสร้างพัฒนาชีวิตและสังคม หน้าที่ส�าคัญอย่างหน่ึงของวัฒนธรรม คือสร้างพัฒนา คนและสังคม สร้างพัฒนาคนทั้งทางร่างกายและจิตใจ ให้มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ ให้มีบุคลิกภาพดี มพี ฤตกิ รรมถกู ตอ้ งเหมาะสม ใหเ้ กดิ ความเคยชนิ เปน็ นสิ ยั มรี ะเบยี บวนิ ยั ใหป้ ระพฤตสิ จุ รติ ทางกายและ วาจา ให้มีจิตใจงามหรือมีสุขภาพจิตดี เป็นแบบลักษณะมีคุณธรรม มีความอดทนอดกล้ันหนักแน่น ไม่หวั่นไหวกับส่ิงรอบข้าง สามารถควบคุมอารมณ์ท�าใจได้ สามารถปรับปรุงแก้ไขเปลี่ยนแปลงตัวเอง ตามเหตปุ ัจจยั ให้เกดิ ปัญญารเู้ ขา้ ใจถูกต้องชดั เจนถ่องแท้ รสู้ ิ่งทงั้ หลายตามความเป็นจรงิ สามารถคดิ วเิ คราะหพ์ จิ ารณาตรวจสอบแกไ้ ขปญั หาไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพประสทิ ธผิ ลเปน็ ธรรม รเู้ ทา่ ทนั ธรรมดา ของโลกและชีวิตตามสภาพความเป็นจริง รู้จักน�ามาประยุกต์ใช้ในชีวิตทางสังคมให้เกิดประโยชน์ เกิดการด�าเนินชีวิตได้อย่างถูกต้องดีงาม เกิดสภาวะสมดุลเหมาะสม เกิดแต่ประโยชน์สุขเก้ือกูล ฝา่ ยเดยี ว เปน็ การสรา้ งสรรคพ์ ฒั นาคณุ คา่ ความหมายสงิ่ ดงี ามใหก้ บั ชวี ติ และสงั คม สรา้ งความสมั พนั ธ์ เอกภาพของชีวิตและสังคม เพ่ือประโยชน์เกื้อกูลและความสุขของตนและสังคม และเพ่ือความเจริญ งอกงามย่งิ ๆ ขนึ้ ไป ตามนยั ความหมายแทข้ องวฒั นธรรม



บทท่ี ๗ ชีวิตทางสงั คม สังคมโลกปัจจุบัน ถือได้ว่าเป็นยุคที่เจริญก้าวหน้าถึงจุดสูงสุด อันแสดงถึงสภาพการเป็นอยู่ ของมนุษย์ วิทยาการและเทคโนโลยีใหม่ทันสมัย ช่วยในการด�าเนินชีวิตทางสังคม ลักษณะสังคม พรงั่ พรอ้ มสมบรู ณไ์ ปดว้ ยวตั ถสุ งิ่ ประดษิ ฐเ์ ทคโนโลยี แทนทจี่ ะสขุ สมหวงั กบั ความพรงั่ พรอ้ มสมบรู ณน์ น้ั แตก่ ลบั ทกุ ขผ์ ดิ หวงั หาคณุ คา่ ความหมายของชวี ติ ไมไ่ ดเ้ หมอื นเดมิ สงั คมโลกเจรญิ พฒั นามากขนึ้ ปญั หา ชีวิตทางสังคมก็มีมากซับซ้อนย่ิงขึ้น สภาพความเจริญทันสมัยซ้�ายังบีบบังคับให้มนุษย์ด้ินรนแสวงหา มากข้ึนตามล�าดับ ชีวิตทางสังคมยังเต็มไปด้วยปัญหาท้ังหลาย (ปัญหาชีวิต สัจธรรมและจริยธรรม) เหมอื นเดิม ตอ่ สดู้ นิ้ รนมากขนึ้ แก่งแย่งแข่งขันมากข้นึ เห็นแก่ตวั มากข้นึ เอารดั เอาเปรยี บกนั มากขึน้ ไวใ้ จกนั ยากมากขน้ึ ฆา่ ทา� ลายกนั มากขนึ้ ยงั มคี วามทกุ ขท์ างจติ ใจเหมอื นเดมิ ทกุ ขก์ ายทกุ ใจเหมอื นเดมิ วิตกกังวลใจ กระวนกระวายเดือดร้อนใจ ขุ่นมัวคับแค้นใจ เบ่ือหน่ายท้อแท้ใจ ว้าเหว่หงอยเหงาเศร้า ซึมใจเหมือนเดิม แก้ปัญหาหนึ่งได้ ปัญหาใหม่ก็เกิดขึ้นตามมา อันเป็นปัญหาคนสังคมส่ิงแวดล้อม เดมิ ๆ ในอดตี กาลเปน็ อยา่ งไรกย็ งั เปน็ เหมอื นเดมิ กพ่ี นั กล่ี า้ นปมี นษุ ยย์ งั มคี วามทกุ ขท์ างจติ ใจเหมอื นเดมิ ดูเหมือนทวีความรุนแรงเพ่ิมมากขึ้น นักคิดนักปราชญ์ทั้งหลายจึงได้พยายามคิดทบทวนความรู้องค์ ความรู้ต่าง ๆ ทั้งหลายที่มีอยู่กันใหม่ คิดใหม่ท�าใหม่อย่างต่อเน่ือง เพราะยังสับสนสงสัยในวงจรชีวิต ทางสงั คม (Social life or circle of social livings) ไม่เขา้ ใจในชวี ิตอยา่ งถอ่ งแท้ พยายามคิดคน้ หา ค�าตอบให้กับตนเองอยู่เสมอ เพื่อความสัมพันธ์สมดุลและบูรณาการของชีวิต เพราะปัญหาบางอย่าง วิทยาศาสตร์ยังไมส่ ามารถให้ค�าตอบได้ ยงั มคี วามสับสนไม่เขา้ ใจ มนษุ ยส์ ว่ นใหญย่ งั คิดเชือ่ และปฏิบัติ ตามความรู้และประสบการณ์เก่าเหมือนเดิม เป็นการยากท่ีจะตอบว่า ใครถูกใครผิด ใครถูกน้อย ใครถกู มาก มนั ขนึ้ อยทู่ ว่ี า่ ใครมเี หตผุ ลมากวา่ กนั ตา่ งคนตา่ งคดิ ตา่ งคนตา่ งเชอื่ และปฏบิ ตั ติ ามแนวทาง ของตน จึงมีรูปแบบการดา� เนนิ ชวี ติ แสดงพฤตกิ รรม และปญั หาชวี ติ ทางสงั คมทแี่ ตกต่างกันออกไป ลกั ษณะท่มี าของชีวติ ทางสงั คม จากปรากฏการณ์ทางสังคมท่ัวไป คนส่วนใหญ่มีความเช่ือว่า ชีวิตมาจากพระเจ้า และไม่ใช่ พระเจ้า หรือยังงงตอบไม่ได้ แสดงให้เห็นว่า คนบางกลุ่มมีความเช่ือและการปฏิบัติที่แน่นอนลงไป บางกลุ่มขึ้นอยู่กับสถานการณ์และเหตุปัจจัย ในขณะท่ีบางกลุ่มท�าตัวเป็นกลางไม่ปักใจเช่ืออะไร ก็เท่ากับว่าท�าดีบ้างท�าช่ัวบ้างไม่เห็นเป็นไร อันเนื่องมาจากแนวคิดทฤษฎีและการปฏิบัติทั้งหลายที่มี ปรากฏอย่ทู ัว่ ไป กลา่ วคือ ในทางชีววทิ ยาและทางวทิ ยาศาสตร์ เหน็ เชอ่ื กนั วา่ ชีวติ มาจากพอ่ แม่หรือ ตวั สเปริ ม์ ของพอ่ และไขข่ องแมท่ ผี่ สมผสานกนั เกดิ เปน็ หนว่ ยชวี ติ ขน้ึ ในมดลกู ของแม่ มกี ารเจรญิ เตบิ โต

114 สังคมวทิ ยาเบ้ืองตน้ ตามวนั เวลาประมาณ ๙ เดอื น กค็ ลอดออกมาเปน็ เดก็ ทารก มกี ารเลย้ี งดใู หอ้ าหารและสงิ่ อา� นวยความ สะดวกตา่ ง ๆ ทงั้ หลาย แล้วค่อย ๆ เจริญเติบโตพฒั นาเปลีย่ นแปลงตามกระบวนการชีวภาพ จากเดก็ เปน็ วัยรุ่นหนุ่มสาว เปน็ ผู้ใหญ่ เป็นคนแกช่ รา แลว้ กต็ ายไปในท่สี ุด ชีวติ ไมม่ อี ะไรมากมาย ชีวติ เปรยี บ เช่นกับการเดินทาง มีจุดเริ่มต้นและสิ้นสุด ทุกสิ่งทุกอย่างจบลงที่ความตาย เพราะฉะนั้น ชีวิตเกิดมา ไม่มีอะไร ต้องการท�าอะไรก็ท�าไปเถอะ กิน ด่ืม เล่น เที่ยว สนุกสนานเต็มที่ ไม่มีก็ลักขโมยฆ่าท�าลาย กหู้ นี้ยมื สนิ กไ็ ม่เห็นเปน็ ไร เพราะเหน็ วา่ ไม่มีอะไรตายไปกจ็ บกนั ส�าหรับผู้ท่ีนับพระเจ้า ชีวิตทางสังคมมาจากเทพเจ้าผู้ย่ิงใหญ่ท่ีสร้างก�าหนดลิขิตบันดาลให้ เปน็ ไปในโลกทางสงั คม ทรงเอาพระทยั ใส่ใจดแู ลทุกสง่ิ ทุกอย่างใหด้ า� เนินไปดว้ ยดี สรา้ งมนุษยข์ ึ้นมาก็ เพือ่ ให้รู้จักกับพระองค์ทา่ น ต้องปฏบิ ตั ติ ามหลกั คา� สงั่ สอนของพระองค์ทา่ น มีความจงรกั ภักดีศรัทธา ในพระองค์ท่าน ตายไปแล้วไปอยู่กับพระองค์ท่านในสวรรค์ ชีวิตเกิดขึ้นเป็นไปตามลิขิตบัญชาของ พระองคท์ า่ นหรอื เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่น้ี กย็ งั ดีกว่าทกี่ ลา่ วมา ยังเกรงใจพระเจ้ากลวั พระเจา้ ลงโทษ หรือไม่กเ็ หน็ เชื่อวา่ ชีวิตมาจากธรรมชาติ เกิดข้ึน ตง้ั อยู่ และดับตายไปเพราะเหตุปจั จยั และ กาลเวลา ชีวิตมาจากธรรมดาเหตุผลหรือเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เป็นกระบวนการธรรมดาที่เกิด ขนึ้ เพราะเหตุปัจจัย เกิดอาศยั ความจรงิ หลายอย่างประกอบกนั ขึน้ เหมือนกบั วตั ถุสง่ิ ตา่ ง ๆ ท้ังหลาย เชน่ “รถ” ทมี่ สี ว่ นตา่ ง ๆ นา� มาประกอบกนั เกดิ ขน้ึ แลว้ เรยี กกนั วา่ “รถ” หากแยกสว่ นประกอบทงั้ หมด ออกจากกนั ก็จะหาตัวรถตัวตนไม่ไดเ้ ลย ชีวิตมนษุ ยก์ เ็ ชน่ เดียวกันจะถือก�าเนดิ เกดิ ขนึ้ ไดน้ ั้น จะต้องมี เหตปุ จั จยั ไมใ่ ชเ่ กดิ ขนึ้ มาลอย ๆ ไรเ้ หตผุ ล กลา่ วคอื จะตอ้ งประกอบไปดว้ ยองค์ ๓ ประการ คอื มหี ญงิ ชายหรอื บดิ ามารดามาอยดู่ ว้ ยกนั หรอื มเี พศสมั พนั ธก์ นั (มาตาปติ โร สนั นปิ าตา โหนต)ิ ผหู้ ญงิ หรอื มารดา จะตอ้ งอยใู่ นวัยอันสมควร มีระดูควรแก่การตั้งครรภ์ (มาตา อตุ นุ ี โหติ) และในขณะเดียวกันจะต้องมี สตั วห์ รอื ปฏสิ นธจิ ติ ทจ่ี ะมาเกดิ ในครรภ์ (คนั ธพั โพ ปจั จปุ ฏั ฐโิ ต โหต,ิ คนั ธพั พะ สตั วผ์ ทู้ พ่ี รอ้ มจะมาเกดิ ในครรภข์ องมารดา) การเกดิ แหง่ สตั วม์ นษุ ยจ์ งึ จะมไี ด้ หากเหตปุ จั จยั ทง้ั สามประการไมป่ ระจวบเหมาะกนั การเกดิ แห่งหน่วยชวี ติ กจ็ ะมีไม่ได้ เพราะฉะน้นั ชวี ิตทางสังคมการเมืองจึงประกอบไปดว้ ยสว่ นตา่ ง ๆ อยู่ ๕ ส่วน คอื รูป เวทนา สัญญา สงั ขาร และวญิ ญาณ ท้งั ๕ สว่ นน้ี ย่อลงเป็น ๒ คอื รปู กับนามหรือ กายกับจิต กระบวนการวงจรชีวิตน้ีเป็นกระบวนการธรรมชาติที่ยืดยาวมีการเวียนว่ายตายเกิดหลาย ภพหลายชาติ ด้วยอ�านาจกิเลส กรรม วิบากตามเหตุปัจจัยและกาลเวลา การเกิดก็เป็นปรากฏการณ์ ทางธรรมชาตอิ ยา่ งหนง่ึ ความตายเปน็ เพยี งการยตุ ขิ องกระบวนการชวี ติ ชว่ั ระยะหนงึ่ ในชวี ติ หนงึ่ ชาติ หนึง่ ภพหน่งึ เท่าน้นั จากน้นั กเิ ลส กรรม วิบากกจ็ ะส่งผลให้ไปเกดิ ในชาติใหมภ่ พใหมอ่ ีกตอ่ ๆ ไปไมม่ ี ท่สี ิน้ สุด กระบวนการธรรมชาตนิ ีจ้ ะสิ้นสดุ ลงจรงิ ๆ กต็ ่อเม่ือคนเราละความชว่ั ทัง้ หลาย กระทา� ความ ดีท้งั ปวงให้ถงึ ที่สุด และประการสุดท้ายใหล้ ะทั้งความดีและความชวั่ ท้งั หมด อันหมายถึง “การบรรลุ พระนพิ พาน” คอื การไม่มกี ิเลสตัณหา ดับราคะ โทสะ โมหะ ดบั ทุกขห์ รอื ดับภพดับชาติ ไมม่ ีการเวยี น วา่ ยตายเกดิ อกี ตอ่ ไปในโลกสงั คม สว่ นกระบวนการวงจรชวี ติ ของปถุ ชุ นชนคนมกี เิ ลสทวั่ ไปยงั ตอ้ งมกี าร

ชีวติ ทางสงั คม 115 เวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักจบสิ้น ด้วยอ�านาจจิตหรือจิตดับดวงสุดท้ายท่ีจะน�าเอาบุญบาปกรรมกิเลส ไปเกิด (ปฏิสนธิจติ ) เกิดในภพและชาตติ ่าง ๆ ทั้งหลาย สูงบ้างตา่� บ้าง ดบี า้ งเลวบา้ ง คือเกิดในนรกบ้าง เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป็นอสุรกายบ้าง เป็นมนุษย์บ้าง เป็นเทวดาบ้าง หรือเป็น พรหมบา้ ง ตามแรงเหวี่ยงของกเิ ลส กรรม และวบิ าก (ผลกรรม) ท่ตี นสร้างท�าเอาไว้ กระบวนการชวี ติ จะเกิด-ดับ ด-ี เลว จะมปี ญั หาหรือไม่มีปญั หาข้ึนอยู่กบั เหตปุ จั จัยท่ีอาศยั กนั เกดิ ขึ้น เป็นกระบวนการที่ อาศัยกันเกิดข้ึน เป็นกระบวนการธรรมดาหรือธรรมชาติ เป็นเส้นทางชีวิตเต็มไปด้วยเหตุผลและเหตุ ปจั จยั สนใจความจรงิ ธรรมชาตสิ ง่ิ สงู สุด ใชช้ วี ิตอย่างระมัดระวงั อยา่ งสดุ ๆ เกรงใจและกลัวธรรมชาติ อย่างสดุ ๆ ลกั ษณะความเปน็ ไปของชวี ติ ทางสังคม จากข้อความท้ังหลายเบื้องต้น พอก�าหนดสรุปได้ว่า ชีวิตทางสังคมเกิดขึ้นเป็นไปตาม กระบวนการชวี ภาพ อา� นาจของเทพเจา้ ผ้ยู ิ่งใหญ่ และตามธรรมดาหรือกฎธรรมชาติ ในชวี ิตทางสังคม เราพอจะมองเห็นไดว้ ่า หากเราแยกศรี ษะ แขน ขาและลา� ตวั ออกจากกัน ก็จะรไู้ ดว้ า่ ตัวตนไม่มี ไมร่ ูว้ า่ ตัวตนท่ีแท้จริงคืออะไร ท่ีเราสมมติยึดถือเรียกว่า “คน” ตัวตนที่แท้จริงอยู่ตรงไหน ที่เรายึดถือว่า “ตัวตนหรือตัวกู” ก็อยู่ในสภาวะบีบค้ันกดดันขัดแย้งเปลี่ยนแปลงแปรปรวนตลอดเวลา เป็นสภาวะ ทีไ่ ม่เที่ยงแท้ มน่ั คง ย่ังยืน มกี ารเปล่ียนแปลงเสื่อมแตกสลายไปในท่สี ดุ (ไตรลกั ษณ์ ลกั ษณะทัว่ ไปของ สรรพส่ิง ๓ ประการ คอื ไมเ่ ที่ยง (อนจิ จัง) เป็นทกุ ข์ (ทุกขงั ) ไมใ่ ชต่ ัวตน (อนตั ตา) ทั้งหมดเป็นไปตาม เหตปุ จั จยั ทอี่ าศยั กนั เกดิ ขน้ึ เปน็ ความจรงิ ทเ่ี ปน็ อยตู่ ามธรรมดาชวี ติ ทางสงั คม ทสี่ ามารถคดิ ตรวจสอบได้ แตค่ นทว่ั ไปมองข้ามไปไมใ่ ส่ใจ เพราะมันเปน็ ธรรมดาของชีวติ ทางสังคม ความจริง กระบวนการชวี ิตมี การเปลยี่ นแปลงอยตู่ ลอดเวลา เกดิ และดบั เกดิ และดบั อยา่ งรวดเรว็ เปน็ ไปสบื ตอ่ อยา่ งรวดเรว็ ตอ่ เนอ่ื ง คนส่วนใหญ่จึงไม่รู้สึกตัวว่า ชีวิตน้ีเป็นไปเปล่ียนแปลงอยู่ตลอดเวลา และรู้สึกว่าเป็นไปอย่างสบาย ไมท่ กุ ขเ์ ดอื ดรอ้ น เพราะมีการเปลี่ยนแปลงเคลอื่ นไหวอริ ิยาบถ หากมนษุ ยอ์ ยู่ในอิริยาบถเดียวนาน ๆ เชน่ ยนื นาน ๆ เดนิ นาน ๆ นง่ั นาน ๆ หรอื นอนนาน ๆ กจ็ ะรสู้ กึ เจบ็ ปวดเมอ่ื ยเปน็ ทกุ ขไ์ มส่ บายทนไมไ่ หว จา� ต้องเปลยี่ นอิริยาบถอนื่ เพื่อบรรเทาความปวดเม่ือย และรู้สึกวา่ สบายมคี วามสุขไมม่ ปี ญั หาในชวี ติ ทางสังคม แท้ท่ีจริง ชีวิตทางสังคมเต็มไปด้วยปัญหาหรือทุกข์ มีปัญหามากกว่าไม่มีปัญหา แต่ก็เป็น ธรรมดาของชวี ติ ทางสังคม นอกจากนี้ ชวี ติ ยงั ดา� เนนิ เปน็ ไปดน้ิ รนตอ่ สเู้ พอ่ื ความอยรู่ อดปลอดภยั ในสงั คม ประกอบอาชพี หาเล้ียงชีวิต พบกับความหิวกระหาย หนาวร้อน ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ โรคภัยไข้เจ็บ อุปสรรค ปญั หา ความเศรา้ โศกเสียใจครา่� ครวญรา่� ไรเจบ็ ปวดรวดร้าว การทะเลาะวิวาทแก่งแย่ง แข่งขนั ท�ารา้ ย เบยี ดเบยี น ฆา่ ทา� ลายกนั สรา้ งปญั หากอ่ ความเดอื ดรอ้ นวนุ่ วายอยา่ งตอ่ เนอื่ ง ตอ่ สดู้ นิ้ รนปอ้ งกนั แกไ้ ข ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเน่ือง ชีวิตทางสังคมจึงมีแต่ความบกพร่องเต็มไปด้วยอุปสรรคปัญหา

116 สังคมวิทยาเบ้ืองตน้ ชวี ิตคนทั้งโลกจึงเป็นไปประสบพบแตป่ ญั หา ไมม่ ใี ครในโลกนี้ไมม่ ปี ัญหาผดิ หวังเสยี ใจ ปญั หาชีวิตทาง สังคมมีมากมาย มีทุกหนทุกแห่งท่ีมีมนุษย์อยู่ เมื่อรู้ความจริงอย่างน้ี จะปฏิบัติต่อปัญหาทั้งหลายให้ ถูกต้องอย่างไร ยอมรับดิ้นรนต่อส้แู ก้ไขปรับปรงุ เปล่ยี นแปลงหรือไมย่ อมรบั หลอกตวั เองหลบหลกี หนี หน้ายอมเป็นผู้พ่ายแพ้ หากยอมแพ้ไม่รับความจริงไม่สู้ก็จะเป็นการเพิ่มปัญหามากกว่าแก้ปัญหา แตถ่ า้ ยอมรบั กลา้ เผชญิ หนา้ ทกุ ปญั หา หาวธิ กี ารปอ้ งกนั แกไ้ ขปรบั ปรงุ เปลย่ี นแปลงอยเู่ หนอื หรอื เอาชนะ ปัญหา ก็จะเป็นผู้มีชีวิตดีงามไร้ปัญหา เพราะความจริงชีวิตทางสังคมเป็นอย่างน้ี มีได้ มีเสีย ได้ยศ เส่อื มยศ มสี มหวัง มผี ิดหวัง มีสุข มีทกุ ข์ มีคนยกย่องสรรเสรญิ และนนิ ทาใสร่ า้ ย สับเปลย่ี นหมนุ เวียน เข้ามาในชวี ิตแตล่ ะวนั เปน็ ความจริงและธรรมดาท่มี ีปรากฏอย่ทู วั่ ไป ดงั นนั้ การมีชวี ติ อยใู่ นสงั คมตอ้ ง เป็นอยู่ด้วยปัญญา มองเห็นส่ิงท้ังหลายเป็นเรื่องธรรมดาเหตุปัจจัย ก�าหนดรู้เท่าทันส่ิงท้ังหลาย ตามความเป็นจริง รู้คุณค่าความหมายประโยชน์ของส่ิงทั้งหลาย รู้เข้าใจปรับตัวจัดการสิ่งท้ังหลาย ตามเหตุและผล ไม่ตกอยู่ในอ�านาจของกระแสทางสังคมที่เปลี่ยนแปลง การด�าเนินเป็นอยู่ด้วยการรู้ เท่าทนั ธรรมดา ก็คือการด�าเนินชีวิตท่ดี งี ามประเสริฐ การที่มนษุ ย์ไม่ร้จู ักตนเอง ทา� ให้เป็นคนหลงโลก การทม่ี นษุ ยไ์ มร่ จู้ กั ความจรงิ สงิ่ ดงี าม ทา� ใหช้ วี ติ มปี ญั หา การทม่ี นษุ ยไ์ มร่ จู้ กั ใชช้ วี ติ ทางสงั คม ทา� ใหเ้ ปน็ คนผดิ หวังล้มเหลว ทง้ั หมดเปน็ เร่อื งธรรมดาเหตุผล ลกั ษณะชวี ิตมปี ญั หา ในชีวิตทางสังคม ทุกคนต้องด้ินรนต่อสู้แสวงหา เพื่อความอยู่รอดปลอดภัยไร้ปัญหา ต้องเคลื่อนไหวเป็นไปตามความกระหายอยากต้องการ และตามเจตจ�านงของตน พบเจอปัญหา หนักบ้างเบาบ้าง แกไ้ ขได้บ้างไมไ่ ด้บา้ ง มสี มหวงั บา้ งผิดหวังเสยี ใจบ้าง มสี ุขบ้างทุกบ้าง ไมม่ ีใครมชี วี ิต ราบเรยี บไมม่ ปี ญั หา ไมม่ ใี ครทจ่ี ะชนะตลอดไปและปราชยั ตลอดกาล ธรรมชาตขิ องมนษุ ย์ เมอื่ รา่ งกาย หิวกระหายอยากต้องการขึ้นมา ก็เสพบริโภคเพ่ือดับความหิวกระหายอยากต้องการ เพื่อการคงอยู่ ด�าเนนิ เป็นไปของชวี ติ ทางสงั คม ถ้าไมส่ มความอยากปรารถนาตอ้ งการ ก็จะกระวนกระวายเดือดร้อน เปน็ ปญั หา หากสมหวงั ดงั ตง้ั ใจ กจ็ ะมคี วามสขุ สบายใจไรป้ ญั หา ชวี ติ ทางสงั คมกเ็ ปน็ อยา่ งนี้ คอื มคี วาม อยากต้องการส่ิงนั้นส่ิงน้ี แล้วก็มีการแสวงหาเพื่อตอบสนองความอยากปรารถนาต้องการ คนบางคน แสวงหาในทางท่ีถูก โดยการประกอบอาชีพสุจริต ด้วยความขยันอดทนไม่เกียจคร้าน ไม่ลักขโมยไม่ เบียดเบียนข่มเหงรังแกคนอื่น บางคนแสวงหาในทางท่ีผิดหรือในทางลัด โดยการขอคนอ่ืนหรือกู้หนี้ ยืมสนิ ทา� ทจุ รติ ยักยอกฉ้อโกงลักขโมย แก่งแย่งแขง่ ขนั ขัดแย้งเอารดั เอาเปรียบ เบียดเบยี นฆา่ ท�าลาย กนั ทา� ลายความสมั พนั ธค์ วามสงบสขุ ของชวี ติ ทางสงั คม กอ่ ปญั หาสรา้ งความเสยี หายเดอื ดรอ้ นรา� คาญ แก่ตนและสังคม ชวี ิตทางสงั คมจงึ เต็มไปดว้ ยปัญหาตา่ ง ๆ ท้งั หลาย สาเหตุท่ที �าใหช้ ีวิตมีปญั หา ก็คือ ความกระหายอยากต้องการ (ตัณหา, Sensual cravings) เป็นสาเหตุส�าคัญและความซับซ้อน ของชีวิต โดยเฉพาะกระหายอยากในทางท่ีผิดปราศจากปัญญา อยากต้องการไม่ถูกต้องชอบธรรม

ชีวิตทางสงั คม 117 ไมค่ �านงึ ถึงเหตุผลถูกต้องดีงาม ไมค่ า� นึงถงึ คณุ ค่าความหมายประโยชน์ในการเสพบรโิ ภคใช้สอย ความ กระหายอยากตอ้ งการเปน็ เรอื่ งปกตขิ องมนษุ ย์ มนษุ ยม์ คี วามอยากตอ้ งการเรอื่ ย ๆ ไมม่ วี นั สน้ิ สดุ ไมม่ ี ขีดจ�ากัด ความอยากต้องการถมเท่าไรก็ไม่รู้จักเต็ม ความอยากเสมอด้วยแม่น้�าน้ันไม่มี ความอยาก ต้องการเป็นแรงกระตุ้นจูงใจให้มนุษย์แสวงหากระท�าแสดงพฤติกรรมท้ังหลาย เป็นแรงขับตัวก�าหนด ช้ีน�าทางชีวิตทางสังคมให้ดีเจริญและให้เสื่อมล้มเหลว เพ่ือเข้าใจกระบวนการขับเคล่ือนของชีวิตทาง สงั คม ความกระหายอยากต้องการมีอยู่ ๒ ลักษณะ คอื ถกู -ผดิ ดี-ไม่ดี กลา่ วคอื ๑. ความอยากดถี กู ตอ้ งชอบธรรม (ฉนั ทะ, Craving for good-moral will or aspiration) เปน็ ความอยากยินดพี อใจในความดีงามมีเหตุผล อยากต้องการคณุ คา่ ความหมายแท้แก่ชวี ติ ต้องการ รู้เข้าใจสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง ต้องการรู้เท่าทันธรรมดาเหตุผล ต้องการปฏิบัติต่อส่ิงท้ังหลาย ใหถ้ กู ตอ้ ง ตอ้ งการชวี ติ ปราศจากปญั หา แลว้ พยายามแสวงหาเรยี นรคู้ วามจรงิ ทงั้ หลาย พยายามฝกึ ฝน พัฒนาตนให้มีคุณภาพชีวิต-จิต มีเหตุผลอดทนเข้มแข็งหนักแน่น มีความละอายใจเกรงกลัวต่อบาป ไม่กล้าล่วงละเมิดท�าผิด เป็นความอยากต้องการอยู่ในกรอบของกฎหมายและศีลธรรมจริยธรรม ไม่มี การแกง่ แยง่ แขง่ ขนั รษิ ยาเอารดั เอาเปรยี บเบยี ดเบยี นฆา่ ทา� ลายกนั ไมม่ โี ทษภยั อนั ตรายปญั หาตอ่ ตนเอง และคนอื่น เป็นความอยากกระตุ้นจูงใจให้ชีวิตด�าเนินไปในทางท่ีถูกต้องดีงามไร้ปัญหา ความอยาก ตอ้ งการประเภทน้ีเกิดจากปัญญาเปน็ ตัวก�าหนดชีน้ �าในการกระท�าแสดงพฤติกรรม ๒. ความอยากผิดไม่ถูกต้องชอบธรรม (ตัณหา, Craving for Evil-immoral will or aspiration) เป็นความกระหายอยากต้องการเสพตามอารมณ์กระแสค่านิยมไม่มีเหตุผล ไม่สามารถ อดทนอดกลนั้ ยบั ยงั้ ได้ ไมอ่ ยใู่ นกรอบของกฎหมายและศลี ธรรมจรยิ ธรรม ไมม่ คี วามละอายใจเกรงกลวั ต่อบาป กล้าฝ่าฝืนล่วงละเมิดท�าผิด ท�าลายคุณภาพชีวิตก่อปัญหาสร้างความเดือดร้อนแก่ตนเอง เป็นความอยากต้องการเต็มไปด้วยการแก่งแย่งแข่งขันริษยาเอารัดเอาเปรียบเบียดเบียนฆ่าท�าร้ายกัน เปน็ แรงกระตนุ้ จงู ใจใหค้ ดิ ผดิ ทา� ผดิ ใหช้ วี ติ ไปในทางทผ่ี ดิ มปี ญั หา สว่ นใหญม่ สี าเหตมุ าจากความอยาก ตอ้ งการผดิ ไมถ่ กู ตอ้ งชอบธรรม ความกระหายอยากตอ้ งการประเภทนเี้ กดิ จากความโงเ่ ขลาไมร่ ไู้ มเ่ ขา้ ใจ เป็นตัวก�าหนดช้ีน�าในการกระท�าแสดงพฤติกรรม ไม่รู้ความจริงถูกต้องดีงาม ไม่รู้คุณค่าความหมาย ประโยชน์ในการเสพบริโภค ไมร่ ู้จุดหมายเป้าหมายของชีวิต ไม่รูจ้ ะท�าจะปฏบิ ัตอิ ยา่ งไร ไมร่ จู้ ะดา� เนนิ ชีวิตให้เป็นไปอย่างไร เป็นความอยากต้องการตามอารมณ์ความรู้สึกสัญชาตญาณและกระแสค่านิยม ทางสังคม ชวี ติ ทางสงั คมจึงมแี ต่ทกุ ขเ์ ตม็ ไปด้วยปญั หา เพอื่ ความเขา้ ใจความกระหายอยากตอ้ งการอนั เปน็ แรงจงู ใจในการเคลอื่ นไหวแสดงพฤตกิ รรม ท้งั หลายของมนุษย์ จงึ ขอยกตัวอยา่ ง ในการเสพบรโิ ภคอาหาร อาหารมีคุณคา่ ความหมายประโยชน์ จริง ๆ ก็เพื่อหล่อเลี้ยงร่างกายให้เจริญเติบโตเข้มแข็งแรงมีสุขภาพพลานามัยดี ช่วยเก้ือหนุนชีวิตให้ ด�ารงอย่ไู ดเ้ ปน็ ไปทา� สิง่ ตา่ ง ๆ ทัง้ หลาย จา� ต้องรเู้ ข้าใจวา่ จะบรโิ ภคอะไร เพอื่ อะไร บรโิ ภคแคไ่ หนจงึ

118 สงั คมวิทยาเบื้องต้น จะพอดีมปี ระโยชนต์ ่อร่างกาย ท�าอย่างไรจงึ จะได้รบั ประโยชน์เตม็ ท่ีในการเสพบริโภค คนบางคนเสพ บรโิ ภคอาหารทปี่ รงุ แตง่ อยา่ งดดี ว้ ยสกี ลนิ่ และรส เปน็ อาหารทม่ี รี าคาแพง เสพกนิ ดว้ ยความเอรด็ อรอ่ ย ตามใจปากเสรมิ ความโกห้ รหู รารสนยิ มคา่ นยิ ม ไมค่ า� นงึ ถงึ คณุ คา่ ความหมายประโยชนโ์ ทษภยั อนั ตราย ต่อสขุ ภาพรา่ งกาย อาหารอรอ่ ยกร็ บั ประทานเตม็ ท่ี บางคนรู้จกั ประมาณในการเสพบริโภค เลือกเสพ กินอาหารท่ีดีราคาถูก ไม่เป็นไปตามอ�านาจของความอยาก บริโภคอะไรแค่ไหนอย่างไรพอเพียงมี ประโยชน์ต่อร่างกาย ร่างกายเป็นไปอยู่ได้ไม่อึดอัดล�าบาก มีสุขภาพพลานามัยดีแข็งแรงสมบูรณ์ จากทกี่ ลา่ วมา มสี าเหตแุ รงจงู ใจในการเสพบรโิ ภคตา่ งกนั ผลกย็ อ่ มปรากฏไมเ่ หมอื นกนั ผทู้ เี่ สพบรโิ ภค ตามใจปากอ�านาจของความอยากต้องการ บริโภคมากเกินไปท�าให้อึดอัดท�าให้อ้วนมีโทษอันตราย ต่อสุขภาพร่างกาย มีผลกระทบท�าลายคุณภาพชีวิต คิดหาสถานที่เสพบริโภคแล้วเดินทางไปหาเสพ ทา� ใหเ้ สียเวลาในการหาทีเ่ สพ เสพบริโภคอาหารแพงในที่หรหู รา ท�าใหใ้ ช้จ่ายเงนิ มากเกนิ ความจ�าเป็น เป็นสาเหตุแห่งความยากจนชีวิตมีปัญหา ผู้ที่รู้จักบริโภคพอเพียงพอประมาณมีเหตุผลไม่ตามใจปาก รูค้ ณุ ค่าความหมายในการเสพบริโภค อาหารดีราคาถกู อยใู่ นทไ่ี มไ่ กล เป็นการประหยดั เวลาและเงินท่ี จะเสยี ไปกบั การแสวงหาเสพบรโิ ภค มีสุขภาพพลานามยั เขม้ แขง็ แรงดีไมม่ ีโรคไรป้ ัญหา ในการศกึ ษาเลา่ เรยี น เปา้ หมายของการศกึ ษากค็ อื พฒั นาคนใหฉ้ ลาดสามารถรเู้ ขา้ ใจสง่ิ ตา่ ง ๆ ทั้งหลาย สามารถคิดเป็นท�าถูกปฏิบัติต่อส่ิงต่าง ๆ ทั้งหลายอย่างถูกต้อง สามารถมีชีวิตทางสังคมอยู่ ไดอ้ ย่างมคี วามสขุ ไร้ปัญหา ใครท่มี กี ารศึกษาจริง ๆ รู้เข้าใจสิง่ ทั้งหลายจรงิ ๆ พฒั นาตนเองจรงิ ๆ กจ็ ะ มีชีวิตทางสังคมดีเลิศประเสริฐ คนบางคนเรียนหนังสือก็เพราะต้องการนั่นต้องการนี่จากพ่อแม่ เรียนหนังสือเพราะค่านิยมทางสังคมหรือเป็นเพราะเพื่อน ศึกษาเล่าเรียนเพ่ือให้ได้รับใบปริญญา เรียนไปเล่นไปไม่มีความสนใจในการเรียน เรียน ๆ เล่น ๆ แล้วก็จบไปเอง ในขณะท่ีบางคนเรียนเพ่ือ ต้องการรู้เข้าใจจริง ๆ เพียรพยายามอดทนเรียนจดจ�าท�าความเข้าใจคิดวิเคราะห์หาเหตุผล น�าไป ประพฤตปิ ฏบิ ตั เิ พอื่ ใหเ้ กดิ คณุ ภาพชวี ติ ทางสงั คมทด่ี งี าม ผทู้ ไี่ มต่ ง้ั ใจศกึ ษาเลา่ เรยี น ไมข่ ยนั อดทนเรยี น สนุกสนานเฮฮาไปวัน ๆ ท�าให้ไม่มีความรู้ความเข้าใจในวิชาที่เรียน ไม่พัฒนาคุณภาพชีวิตทางสังคม เปน็ การหลอกตวั เองและคนอนื่ ทา� ใหส้ ญู เสยี เงนิ และเวลา สว่ นผทู้ ตี่ ง้ั ใจเรยี น กจ็ ะพยายามอดทนตง้ั ใจทา� ทา� ใหเ้ กดิ ความรคู้ วามเขา้ ใจและความสามารถ ไมห่ ลอกตวั เองเคารพซอื่ สตั ยต์ อ่ ตนเอง เหน็ คณุ คา่ ความ หมายในสงิ่ ทเี่ สยี ไป เรง่ พฒั นาคณุ ภาพชวี ติ เหน็ การศกึ ษาทง้ั ทางโลกและทางธรรมเปน็ สงิ่ สา� คญั จา� เปน็ ต่อชีวิตทางสังคม เห็นการศึกษาทางธรรมน�าชีวิต เห็นการศึกษาทางโลกท�าชีวิตให้คงอยู่เป็นไป ชีวิตทางสังคมจะเจริญหรือเส่ือมก็เพราะการศึกษา จะพบชีวิตทางสังคมท่ีดีงามมีความสุขไร้ปัญหาก็ เพราะการศึกษา และการศกึ ษาเปน็ กุญแจดอกสา� คัญนา� ไปสู่สิ่งอนื่ ๆ มากมาย เชน่ ชอ่ื เสยี ง เกยี รตยิ ศ เงินทอง อนั เป็นผลพลอยไดท้ ตี่ ามมา ในการท�างาน ต้องท�างานด้วยความรักงาน ตั้งใจท�าด้วยความขยันอดทนเพียรพยายาม รอบคอบซื่อสัตย์สุจริตไม่ผิดกฎหมายและศีลธรรม ไม่เบียดเบียนสร้างปัญหาก่อความเดือดร้อนแก่

ชีวติ ทางสังคม 119 ตนเองและคนอื่น ท�างานเพ่ืออะไร ท�างานเพื่อกายหรือเพื่อใจ ท�างานเพื่องาน ท�างานเพ่ือเงินสิ่ง ตอบแทน ท�างานเพ่ือตนเอง ท�างานเพื่อส่วนรวมสังคม คนส่วนใหญ่ทา� งานก็เพ่ือเงิน ทา� งานแล้วต้อง ไดเ้ งนิ เพราะงานคือเงิน เงนิ คอื งาน บนั ดาลสขุ คนบางคนทา� งานเพราะอยากได้หนา้ ตา� แหน่งอา� นาจ ชอื่ เสยี งเกยี รตยิ ศ บางคนทา� งานเพอื่ งาน ทางานเพอ่ื ใจไมใ่ ชเ่ พอ่ื กาย ทา� งานใหด้ เี รยี บรอ้ ย ทา� งานอยา่ ง มีความสุขสนุกกับการท�างาน ส่วนเรื่องอ่ืน เช่น เงินทอง ต�าแหน่งอ�านาจ ช่ือเสียงเกียรติยศ เป็นต้น เปน็ ผลพลอยได้ เปน็ ผลทางอ้อมทีต่ ามมา คนท่ที า� งานเพ่ือเงินหรือส่งิ ตอบแทนอ่ืน ๆ สกั แต่ว่าท�างาน ไมต่ ง้ั ใจทา� ไมม่ คี วามขยนั อดทน ไมซ่ อื่ สตั ยส์ จุ รติ มกั ทา� งานฉาบฉวยผวิ เผนิ ทา� งานไมเ่ รยี บรอ้ ยบกพรอ่ ง ไม่ประณีตมีโทษเสียหาย ส่วนผู้ท่ีท�างานเพ่ืองาน ก็จะต้ังใจท�างาน รักงานสู้งาน ท�างานเต็มที่ ท�างาน อย่างระมัดระวังรอบคอบ ท�าให้ได้ให้ส�าเร็จเรียบร้อย ก็จะเกิดผลเป็นระเบียบเรียบร้อยดีงามพึงพอใจ เอบิ อิ่มยนิ ดีมคี วามสขุ ชีวิตเป็นอย่างน้ี เมื่อเป็นอย่างนี้ จะจัดการอย่างไรกับความอยากต้องการทั้งฝ่ายดีและไม่ดี ทา่ มกลางสิ่งล่อเยา้ ยวนและความผันผวนเปลี่ยนแปลงท้ังหลาย สิ่งท่ีควรระมัดระวังไมใ่ หช้ ีวิตมปี ญั หา กค็ ือรเู้ ท่าทันอดทนอดกลนั้ ไม่ตกเปน็ ทาสของความอยากเสพบรโิ ภคใชส้ อย สิง่ ไหนไมด่ เี สพบริโภคท�า แลว้ เกิดโทษภยั เสียหาย ตอ้ งรเู้ ขา้ ใจลดละเลกิ ทา� ไม่หมกม่นุ เสพบริโภคจนเกินไป สิง่ ไหนดีเสพบรโิ ภค ท�าแลว้ น�าชวี ติ เจริญกา้ วหนา้ ดงี าม ต้องเร่งเพียรพยายามอดทนท�าต่อไป ทา� ใหไ้ ด้ท�าให้สา� เร็จ แลว้ จะ มีชีวิตที่ดงี ามประเสริฐ อยู่ท่ามกลางปัญหาท้ังหลายอยา่ งไมม่ ปี ัญหา ลกั ษณะชวี ิตไร้ปัญหา แน่นอนชัดเจน ชีวิตทางสังคมเต็มไปด้วยปัญหาเพราะความอยากต้องการ กล่าวโดยท่ัวไป ความอยากเปน็ แรงขบั กระตนุ้ จงู ใจมที ง้ั ในมนษุ ยแ์ ละสตั ว์ สตั วท์ ง้ั หลายใชค้ วามยากโดยตรงในการแสดง พฤติกรรม เคล่ือนไหวเป็นไปตามสัญชาตญาณ ตอบสนองความอยากหิวกระหายของมัน ส่วนมนุษย์ รู้จักประยุกต์ใช้ พยายามที่รู้เห็นและเข้าใจด้วยปัญญา พยายามแก้ไขปรับปรุงซ่ึงแตกต่างไปจากสัตว์ อน่ื ๆ ทงั้ หลาย เชน่ ในเรอื่ งการเปน็ อยู่ การแสวงหา การเสพบรโิ ภค และการดา� เนนิ ชวี ติ มนษุ ยพ์ ยายาม ท่ีจะศึกษาเรียนรู้เข้าใจส่ิงต่าง ๆ ท้ังหลายอย่างมีเหตุผล เพื่อแก้ไขปรับปรุงเปล่ียนแปลงพฤติกรรม อันเป็นผลมาจากการศึกษาและประสบการณ์ทางสังคม เพื่อความถูกต้องดีงาม อยู่อย่างปกติสุข ไรป้ ญั หา จากเหตผุ ลดงั กลา่ ว จงึ พอสรปุ ไดว้ า่ กระบวนการแสดงพฤตกิ รรมตา่ ง ๆ ทง้ั หลายของมนษุ ย์ มอี ยู่ ๒ แบบ ดังนี้ ๑. ไม่รู้ความจรงิ ส่งิ เร้ากระตุ้น อยากผิด จูงใจทา� ผิด ชวี ิตมปี ญั หา ๒. รคู้ วามจริง ส่ิงเรา้ กระตนุ้ อยากถูก จงู ใจทา� ถูก ชวี ิตไรป้ ญั หา

120 สงั คมวิทยาเบอ้ื งตน้ เพราะฉะนนั้ มนษุ ยท์ ง้ั หลายเกดิ มาจา� เปน็ ตอ้ งศกึ ษาเรยี นฝกึ ฝนอบรมพฒั นา เพอื่ ไมใ่ หม้ ปี ญั หา เพราะไมเ่ ชน่ น้นั คงไม่แตกต่างไปจากสัตวเ์ ดรจั ฉานทงั้ หลายแนน่ อน การดา� เนนิ ชวี ิตท่ีดงี ามประเสริฐ หรือไร้ปัญหา ต้องเร่ิมต้นด้วยการการขัดเกลาหรือเรียนรู้ทางสังคมที่ถูกต้องเหมาะสม เร่ิมจากปัจจัย ทางสงั คมภายนอก อนั ไดแ้ ก่ กลั ยาณมติ รทด่ี ี มพี อ่ แม่ ครอู าจารย์ พระภกิ ษสุ งฆ์ ญาตสิ นทิ มติ รสหาย เพอื่ น และสื่อทั้งหลาย ช่วยในการอบรมสั่งสอนปลูกฝังซึมซับในคุณงามความดี ความคิดความเชื่อทัศนคติ ค่านิยมและการปฏิบัติ ให้เกิดความรู้ความเข้าใจท่ีถูกต้อง โดยอาศัย ปัญญาปัจจัยภายในของมนุษย์ ช่วยคิดวิเคราะห์พิจารณาหาเหตุผลตามความเป็นจริง ปัจจัยภายในและนอกทั้งสองเป็นปัจจัยส�าคัญ ช่วยให้มนุษย์คิดเป็นท�าถูก ช่วยให้มนุษย์ด�าเนินชีวิตได้อย่างถูกต้องดีงามไร้ปัญหา สัมพันธ์สมดุลและ บรู ณาการ เกดิ ความเจรญิ รงุ่ เรอื งกา้ วหนา้ เสน้ ทางหรอื หลกั ปฏบิ ตั ไิ ปสกู่ ารมชี วี ติ ดงี ามประเสรฐิ ไรป้ ญั หา น้ันมีอยู่หลายเส้นทาง แต่ในทีน่ ี้ ชวี ิตที่ดีไร้ปัญหา ควรประกอบไปดว้ ยเหตุปจั จัย ๔ ประการ ดงั นี้ ๑. มีพฤติกรรมดี (Behavioral processes) มีการกระท�าเป็นปกติสะอาดปราศจากโทษ ภัยอันตราย ไม่เบียดเบียนฆ่าท�าลาย อันเกิดจากศึกษาเรียนรู้เข้าใจฝึกฝนอบรมพัฒนาอย่างต่อเน่ือง เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม ท�าให้เกิดความเคยชินเป็นนิสัยมีระเบียบวินัย ประพฤติสุจริต ทางกายและวาจา เปน็ การจดั ระเบยี บชวี ติ ทางสงั คม ใหส้ มั พนั ธถ์ กู ตอ้ งเหมาะสม ปฏบิ ตั หิ นา้ ทร่ี บั ผดิ ชอบ ประพฤติปฏิบัติเกื้อกูลเป็นประโยชน์ไร้ปัญหา มีพฤติกรรมปกติไม่เสียหาย ไม่เบียดเบียนฆ่าท�าลาย ไม่ลักขโมย ไม่ประพฤตินอกใจสามีภรรยา ไม่พูดเท็จ ไม่เสพสุราส่ิงเสพติด ไม่ท�าลายคุณภาพชีวิตตน และคนอ่ืน ช่วยสนับสนุนส่งเสริมเพิ่มพูนโอกาสชีวิตทางสังคมให้ดีงามไร้ปัญหา เพ่ือคุณงามความดี คุณค่าความหมายชีวิตทางสังคมต่อไป เป็นการจัดระเบยี บชีวิตเบ้อื งตน้ ๒. มจี ติ ใจดีมคี ุณธรรม (Mental processes) มีจติ ใจงามหรอื มีสุขภาพจิตดี เปน็ ลกั ษณะ ของบคุ คลทมี่ คี ณุ ธรรม อดทนอดกลนั้ หนกั แนน่ ไมห่ วน่ั ไหวกบั ปญั หาชวี ติ ทางสงั คมและการเปลยี่ นแปลง ทางสงั คมทเี่ กดิ ขน้ึ สามารถควบคมุ อารมณท์ า� ใจได้ สามารถปรบั ปรงุ แกไ้ ขเปลยี่ นแปลงตวั เองตามเหตุ ปัจจัย ปรับปรุงแก้ไขตัวเองให้มีความสุขตามความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมทางสังคม ปรับตัวเป็น อยู่เปน็ ไปอยา่ งมีเหตผุ ลสมั พันธส์ มดุลและบูรณาการ ภายใตก้ ระแสการเปลย่ี นแปลงทัง้ หลาย สขุ ภาพ จิตดีย่อมส่งผลให้สุขภาพพลานามัยดี มีบุคลิกลักษณะในชีวิตทางสังคมดี สุขภาพจิตดีเป็นส่ิงส�าคัญ จ�าเป็นส�าหรับทุกคน ชีวิตทางสังคมจะด�าเนินเป็นไปเจริญก้าวหน้าหรือเส่ือมถอยมีปัญหาส่วนหน่ึงมา จากสขุ ภาพจติ และการปรบั ตวั ในชวี ติ ทางสงั คม ทกุ คนตอ้ งฝกึ ฝนอบรมพฒั นาจติ ใหเ้ กดิ ความเขม้ แขง็ หนกั แนน่ มนั่ คง อดทนอดกลน้ั ยบั ยงั้ ตวั เองได้ เปน็ การสรา้ งพลงั ชวี ติ เปน็ การฝกึ จติ ใหม้ คี ณุ ภาพ ฝกึ จติ ให้มีคุณธรรมต่าง ๆ ท้ังหลาย เช่น มีความอดทนอดกล้ัน ข่มจิตข่มใจได้ ความขยันหม่ันเพียร ความกระตือรือร้น ความรับผิดชอบต่อหน้าท่ี ความซ่ือสัตย์สุจริตยุติธรรม ความรักเมตตากรุณา ความกตัญญรู ู้คุณ ความจรงิ ใจ การให้เสยี สละเอ้ือเฟ้ือเก้ือกลู เปน็ ต้น

ชวี ติ ทางสังคม 121 ในสงั คมปจั จบุ นั คนสว่ นใหญไ่ มฝ่ กึ ฝนอบรมพฒั นาจติ ใหม้ คี ณุ ธรรมคณุ ภาพ ละเลยการฝกึ ฝน อบรมพัฒนาตนในด้านจิต ปล่อยตัวปล่อยใจให้หลงใหลไปกับกระแสค่านิยมทางสังคม แสวงหา การเสพบรโิ ภควตั ถเุ กนิ ไป คอยรบั คอยเสพบรโิ ภคอยา่ งเดยี ว กลายเปน็ นกั เสพบรโิ ภคและสงั คมบรโิ ภค ชีวิตท่คี อยรบั คอยเสพบริโภคเป็นชวี ติ ท่อี อ่ นแอไม่พฒั นาเจริญก้าวหน้า เป็นชีวติ ทีป่ ระมาทเกยี จครา้ น ไมม่ ั่นคง เปน็ ชีวติ ทอ่ี ่อนแอเดนิ เองไมไ่ ด้ เดก็ ๆ ท่คี อยแต่ให้ผู้ใหญ่อุ้ม มกั เดนิ ด้วยตัวเองไม่ได้ เป็นชีวติ ที่เจริญพัฒนาทางเน้ือหนังอย่างเดียว ไม่เจริญพัฒนาด้านคุณภาพจิต จิตไม่มีความอดทนเข้มแข็ง หนกั แน่น คนสว่ นใหญจ่ ึงตกอยใู่ นสภาวะจติ ใจแยอ่ อ่ นแอแปรปรวนไมม่ น่ั คง กระวนกระวายหว่นั ไหว วติ กกงั วลฉนุ เฉยี วใจเสาะเปราะบางนา่ เบอ่ื หนา่ ยรา� คาญ ทา� ใหช้ วี ติ ทางสงั คมสบั สนวนุ่ วายออ่ นแอขาด ความกระตอื รอื รน้ อดทน ประมาทหลงใหลหมกมนุ่ มวั เมาในชวี ติ ทส่ี ะดวกสบาย ชวี ติ แสวงหาการเสพสขุ บรโิ ภคอยา่ งเดยี ว ไมแ่ ตกตา่ งไปจากสตั วเ์ ดรจั ฉานทง้ั หลาย ดา� เนนิ ชวี ติ เปน็ ไปตามอา� นาจของความอยาก ตอ้ งการอยา่ งไร้จุดหมายปลายทาง เป็นชวี ติ ทางสงั คมที่เต็มไปดว้ ยปญั หาต่าง ๆ มากมาย มปี รากฏให้ เห็นอย่ทู ัว่ ไปในทกุ สงั คม ๓. มีปัญญาดี (Processes of wisdom development) ในระดับสังคม รู้เข้าใจสิ่ง ทั้งหลายตามความเป็นจริง รู้เหตุผล รู้ดีรู้ช่ัว รู้ถูกรู้ผิด รู้ว่าควรไม่ควร รู้คุณรู้โทษ รู้ว่าประโยชน์ไม่ใช่ ประโยชน์ สามารถคดิ เปน็ ทา� ถกู แกป้ ญั หาได้ เปน็ ความฉลาดสามารถรเู้ ขา้ ใจสงิ่ ทง้ั หลายอยา่ งถกู ตอ้ ง แมน่ ยา� สามารถคดิ วเิ คราะหพ์ จิ ารณาไตรต่ รองตรวจสอบแกป้ ญั หาไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพประสทิ ธผิ ล เปน็ ธรรม การรเู้ ขา้ ใจชวี ติ ทางสงั คม กเ็ พอื่ ปฏบิ ตั ติ อ่ สงิ่ ทง้ั หลายไดถ้ กู ตอ้ ง เพอ่ื ใหป้ ญั หาชวี ติ ทางสงั คม บรรเทาเบาบางลดนอ้ ยลง เมอื่ มปี ญั ญารเู้ หน็ ตามความเปน็ จรงิ กร็ จู้ กั นา� ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชวี ติ ทางสงั คม ให้เกิดประโยชน์ ก็จะสง่ ผลช่วยในการด�าเนนิ ชวี ติ สอดคลอ้ งสมั พันธก์ บั สิง่ ต่าง ๆ ท้ังหลายถูกตอ้ งตาม เหตผุ ล ปญั ญาจงึ เปน็ ส่งิ ท่ีมคี ุณคา่ ความหมายสา� คัญจ�าเป็นตอ่ มนุษย์ ทา� ให้ชวี ติ ของมนุษย์แตกตา่ งไป จากการเป็นอย่ขู องสตั ว์เดรจั ฉานท้ังหลาย ในชีวติ ทางสงั คม บัณฑิตผูม้ ปี ญั ญาย่อมด�าเนนิ ชีวิตได้อยา่ ง ถกู ตอ้ งไรป้ ญั หา สว่ นผไู้ มม่ ปี ญั ญายอ่ มเปน็ อยเู่ ปน็ ไปในทางทผี่ ดิ มแี ตป่ ญั หา เพราะฉะนน้ั การเสอ่ื มจาก วัตถุทรัพย์สมบัติ ถือว่าเป็นความเสื่อมเพียงเล็กน้อย แต่ความเสื่อมจากปัญญา ถือว่าเป็นเร่ืองใหญ่ ส�าคัญ เพราะการเส่ือมจากปัญญา เป็นเหตุให้เส่ือมจากสิ่งทั้งหลายตามมา ปัญญาเป็นปัจจัยส�าคัญ อย่างมากต่อการด�าเนนิ ชีวติ ทางสังคมมปี ญั หาหรือไรป้ ัญหา ๔. มอี าชีพการงานสจุ ริต (Right livelihood) ในชวี ติ ทางสังคม ต้องรูจ้ กั ประกอบอาชพี สุจริตไม่ผดิ กฎหมายและศีลธรรม อาชพี ท่ีปราศจากโทษภยั อนั ตราย ไมข่ ่มเหงรงั แกเบยี ดเบียนเอารดั เอาเปรียบคนอ่ืน อาชีพการงานเป็นที่มาของรายได้เพ่ือการเป็นอยู่เป็นไปของชีวิตทางสังคม เป็นการ แสวงหาทรพั ยด์ ว้ ยความขยนั อดทนอดกลน้ั โดยชอบธรรม แสวงหาตอ้ งการวตั ถอุ ยา่ งมเี หตผุ ลพอเพยี ง เปน็ การทา� งานใหเ้ กดิ ผลผลติ เพอ่ื คา่ ตอบแทนโดยความถกู ตอ้ งชอบธรรม ใหเ้ กดิ ความพอเพยี งแกค่ วาม ต้องการเปน็ อยูเ่ ปน็ ไปของชวี ติ ทางสังคม แล้วรู้จักบริหารใชจ้ า่ ยทรพั ย์ใหเ้ ป็นประโยชน์ รูเ้ ข้าใจคณุ ค่า

122 สังคมวิทยาเบ้อื งตน้ ความหมายและประโยชน์ท่ีแท้จริงของทรัพย์ท่ีหามาได้ รู้จักเสพบริโภคถือเอาสารประโยชน์จากมัน ไมล่ มุ่ หลงหมกมนุ่ มวั เมาในการเสพใชจ้ า่ ยบรโิ ภค อาศยั ทรพั ยเ์ พอ่ื การเปน็ อยใู่ นการพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ พฒั นาคณุ ภาพจติ และปญั ญา เปน็ ปจั จยั พนื้ ฐานสา� คญั อยา่ งหนง่ึ ในการแกป้ ญั หาสรา้ งสรรคพ์ ฒั นาชวี ติ ทางสงั คม ใหช้ ีวติ ดา� เนินเป็นไปอยา่ งมคี ุณค่าความหมายจดุ หมายปลายทาง เปน็ การสร้างความมั่นคง ความสัมพันธ์ทางสังคมที่ดีงามไร้ปัญหา เพื่อการด�าเนินไปของชีวิตที่ดีงามประเสริฐไร้ปัญหา ในทาง พระพทุ ธศาสนา พระพทุ ธเจา้ สอนใหเ้ หน็ เงนิ หรอื ทรพั ยเ์ ปน็ เชน่ กบั งอู สรพษิ กเ็ พอ่ื ใหร้ จู้ กั คดิ มสี ตปิ ญั ญา ในการระมัดระวังเสพบริโภคใช้สอย เพราะไม่เช่นน้ันมันก็สามารถท�าร้ายท�าอันตรายเราได้เช่นกับ งอู สรพษิ ในชีวิตทางสังคม ความเจริญก้าวหน้าส�าเร็จของมนุษย์อย่างหนึ่ง คือการท�างานสุจริต มนษุ ย์เกิดมาแล้วต้องทา� งานหาเลย้ี งชีพทถี่ กู ตอ้ งมเี หตุผล ไมใ่ ชเ่ กิดมาแล้วกินอยเู่ ฉย ๆ ไม่ท�าอะไรเลย หากปราศจากการท�างานหาเล้ียงชีพ ชีวิตก็มีปัญหาไร้คุณค่าความหมาย ชีวิตที่ปราศจากการท�างาน เป็นชีวิตที่อันตรายไม่มั่นคง ในการประกอบอาชีพทุกประเภท ต้องมีความรักชอบพอใจ มีความ กระตือรือร้นในอาชีพที่ท�า ท�าด้วยความรู้ความเข้าใจ ท�าด้วยความเพียรพยายามขยันอดทน ท�าด้วย ความสุขสบายใจ ท�าให้ดเี รยี บรอ้ ยสมบรู ณ์ ท�าเตม็ ท่ที �าใหไ้ ดท้ า� ให้ส�าเรจ็ สว่ นเร่อื งเงินค่าตอบแทนเป็น ผลพลอยไดท้ ต่ี ามมา อาชพี การงานทเี่ หมาะสมกบั บคุ คลเหมาะสมกบั ความรคู้ วามสามารถและอปุ นสิ ยั ถอื ได้ว่าเป็นการประกอบอาชีพท่ดี งี ามประเสริฐ เพราะฉะนั้น ในระดับส่วนบุคคลและสงั คม บุคคลใด ใครผู้ใดรู้เขา้ ใจความจรงิ สิง่ ดีงาม เรง่ สร้างทา� ตามกระบวนการดังกลา่ ว กไ็ มน่ ่ามีปัญหาชีวิตอะไร ถงึ มี ก็มีนอ้ ยเปน็ ไปตามเหตุปจั จยั ความตอ้ งการของชวี ิตทางสงั คม หากเราถามมนษุ ยแ์ ตล่ ะคนวา่ ทา่ นตอ้ งการอะไรในชวี ติ น้ี คงไดร้ บั คา� ตอบทแ่ี ตกตา่ งกนั ออกไป คนนตี้ ้องการส่ิงน้นั คนนนั้ ตอ้ งการสิง่ นี้ คนตอ้ งการสิ่งนี้ก็เพื่อสิ่งน้ัน เมื่อไดส้ ิง่ นั้นแลว้ ก็ตอ้ งการสิ่งนน้ั ตอ่ ๆ ไป ไมม่ ที สี่ นิ้ สดุ ถมเทา่ ไรกไ็ มเ่ ตม็ ความอยากเสมอดว้ ยแมน่ า้� ไมม่ ี โดยทว่ั ไป มนษุ ยท์ กุ คนมคี วาม ต้องการสิง่ ต่าง ๆ มากมาย เมื่อมีความตอ้ งการ ก็พยายามแสวงหา ทา� งานหรือประกอบอาชพี เพอื่ ให้ ไดม้ าซง่ึ คา่ ตอบแทนเงนิ ทอง เมอื่ ไดเ้ งนิ มาแลว้ กน็ า� ไปซอ้ื สงิ่ ของตา่ ง ๆ มาเสพบรโิ ภคหรอื มาปรนเปรอ ชวี ติ เพอื่ ความเปน็ อยเู่ ปน็ ไปของชวี ติ ทางสงั คมอยา่ งเปน็ สขุ ไรป้ ญั หา ความสขุ จงึ เปน็ เปา้ หมายหรอื เปน็ ค�าตอบสุดท้ายที่มนุษย์ทุกคนต้องการ เมื่อกล่าวถึงความอยากต้องการ ก็มีหลายลักษณะประเภท เพ่อื ความเข้าใจรว่ มกัน เรามาคิดพิจารณาตรวจสอบความอยากตอ้ งการ ดังตอ่ ไปน้ี ส�าหรับมาสโลว์ (Abraham Harold Maslow, ๑๙๐๘-๑๙๗๐) นักจิตวิทยาชาวอเมริกา ไดศ้ กึ ษาถงึ ความอยากต้องการของมนุษย์ (Hierarchy of human needs) โดยเห็นว่า มนษุ ยท์ ุกคน

ชีวิตทางสงั คม 123 มคี วามอยากตอ้ งการตา่ ง ๆ มากมาย กเ็ พอื่ ตอบสนองความอยากตอ้ งการของตนเอง เขาไดเ้ สนอความ อยากต้องการของมนุษย์ไว้ ๗ ข้ัน คือ ๑. ความอยากต้องการทางร่างกาย (Physiological needs) ๒. ความอยากต้องการความปลอดภัย (Safety needs) ๓. ความต้องการความรักและเป็นส่วนหนึ่ง ของสังคม (Love and belonging needs) ๔. ความต้องการคุณค่าความหมายของชีวิต (Esteem needs) ๕. ความต้องการรูจ้ ักตนเอง (Self-actualization needs) ๖. ความต้องการทจี่ ะรูแ้ ละเขา้ ใจ (Needs to know and understand) ๗. ความอยากต้องการทางสนุ ทรยี ภาพ (Aesthetic needs) แตโ่ ดยทั่วไป จะกล่าวถึงความอยากตอ้ งการของมนุษย์เพียง ๕ ประเภท ดงั นี้ ๑. ความอยากต้องการทางร่างกาย (Physiological needs) เป็นความต้องการข้ัน พื้นฐานของมนุษย์ เช่น อยากต้องการอาหาร น้�า อากาศ ความต้องการนอนหลับผักผ่อน และการ ขบั ถา่ ย เปน็ ตน้ เปน็ ความตอ้ งการจา� เปน็ ทางสรรี ะรา่ งกาย หากสรรี ะรา่ งกายขาดบกพรอ่ งตอ้ งการขน้ึ มา จะเป็นแรงกระตุ้นจูงใจให้มนุษย์กระท�าแสวงหาตอบสนองความต้องการเหล่านี้ ตราบใดท่ียังไม่มี ความหวิ กระหาย ตราบน้ันมนุษย์ก็ยังไม่มคี วามต้องการ ความต้องการอาหารและน�้าดังกล่าว จงึ เป็น แรงผลกั ดันให้มนษุ ย์แสดงพฤตกิ รรมต่าง ๆ ทง้ั หลาย ๒. ความต้องการความปลอดภัย (Safety needs) เป็นความอยากต้องการความมั่นคง ปลอดภยั ในชวี ติ ทางสงั คม มนั่ คงปลอดภยั ทงั้ ทางรา่ งกายและจติ ใจ ตอ้ งการการคมุ้ ครองปกปอ้ งรกั ษา ตอ้ งการการมรี ะเบยี บวนิ ยั ในสงั คม มกี ารเปน็ อยเู่ ปน็ ไปปราศจากการขเู่ ขญ็ บงั คบั เบยี ดเบยี นฆา่ ทา� ลาย ไมม่ โี ทษภยั อนั ตรายในชวี ติ ทางสงั คม ตอ้ งการมสี ขุ ภาพกายและจติ ดพี รอ้ มสมบรู ณ์ ตอ้ งการมสี วสั ดภิ าพ ทางสังคมท่ีดี ต้องการมีความรู้ความสามารถความช�านาญในอาชีพต่าง ๆ ทั้งหลาย เพื่อชีวิตการเป็น อยมู่ ัน่ คงปลอดภัย ๓. ความตอ้ งการความรกั และเป็นสว่ นหนึ่งของสังคม (Love and belonging needs) ไม้ต้นเดียวไม่เป็นป่า คนคนเดียวไม่เป็นสังคม มนุษย์เป็นสัตว์สังคมมักอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มเป็นสังคม มนุษย์ทุกคนต้องการความรัก ต้องการรักคนอ่ืน รักพ่อแม่ญาติพี่น้อง รักเพื่อนพวกพ้อง ต้องการให้ คนอื่นรักหรือต้องการเป็นที่รักของคนอ่ืน ต้องการรักใครสักคนหรือต้องการใครสักคนรักตนเอง มนุษย์ต้องการอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ต้องการเป็นส่วนหน่ึงของกลุ่ม ต้องการเป็นสมาชิกท่ีดีของสังคม ต้องการมีความสัมพันธ์กันทางสังคม ต้องการคบหาเพื่อนพึ่งพาอาศัยซ่ึงกันและกัน ไม่ต้องการอยู่ โดดเดยี่ วเดยี วดาย ชีวิตทีป่ ราศจากความรักและเพือ่ น เป็นชีวติ ที่อับเฉาเศรา้ ใจไร้ความสุข ๔. ความอยากต้องการคุณค่าความหมายของชีวิต (Esteem needs) เป็นความอยาก ต้องการมีความรู้ความสามารถและความมั่นใจ มองเห็นคุณค่าและความหมายแท้ของชีวิต เร่งพัฒนา คณุ ภาพชวี ติ ใหม้ คี ณุ คา่ และความหมาย ทกุ คนลว้ นตอ้ งการเหน็ ตนเองหรอื ใหค้ นอนื่ เหน็ ตวั เองมคี ณุ คา่ และความหมาย ตอ้ งการทา� งานเปน็ อยเู่ ปน็ ไปอยา่ งมเี กยี รตศิ กั ดศิ์ รใี นสงั คม ตอ้ งการการยกยอ่ งยอมรบั

124 สังคมวิทยาเบื้องต้น นับถือจากผู้อ่ืน ต้องการประสบความสา� เร็จในชีวิตทางสังคม เป็นอยู่เป็นไปเป็นประโยชน์เก้ือกูลและ ความสุขแก่ตนเองและสังคม ชีวิตท่ีท�างาน เป็นชีวิตท่ีมีคุณค่าความหมาย ชีวิตที่ประสบความส�าเร็จ เป็นชวี ติ ทีน่ า่ ภาคภูมิใจ ชวี ิตท่ีไมท่ า� งาน เป็นชวี ิตทไี่ มม่ คี ณุ ค่าความหมาย ชวี ิตทไี่ มป่ ระสบความส�าเร็จ เป็นชีวิตที่แย่น่าหดหู่ใจ ชีวิตเป็นส่ิงท่ีมีคุณค่าความหมาย จงเร่งเสาะแสวงหาส่ิงดีงามให้แก่ชีวิต เพือ่ การเปน็ อย่เู ปน็ ไปในสงั คมที่ดีงามไร้ปญั หา ๕. ความอยากตอ้ งการร้จู กั ตนเอง (Self-actualization needs) คือความตอ้ งการทจ่ี ะ รเู้ ขา้ ใจความจรงิ ของมนษุ ยแ์ ละโลกทางสงั คม ตอ้ งการทจ่ี ะรเู้ ขา้ ใจสงิ่ ตา่ ง ๆ ทง้ั หลายตามความเปน็ จรงิ ต้องการรู้เข้าใจตนเองอย่างถ่องแท้แล้วพัฒนาตนเองเต็มที่ตามศักยภาพของตนเอง เป็นความอยาก ตอ้ งการดา้ นปญั ญาเพอื่ การปฏบิ ตั ทิ ถ่ี กู ตอ้ งและเพอื่ ความสมั พนั ธท์ างสงั คมอนั ดงี าม เปน็ ความตอ้ งการ ข้นั สูงทม่ี นษุ ย์พยายามค้นแสวงหาพฒั นา พฒั นาตนเองไปสคู่ วามเปน็ มนษุ ย์ทีส่ มบรู ณ์แบบ เปน็ ความ ต้องการจ�าเป็นต้องมีก่อนความต้องการอ่ืน ๆ ต้องรู้เข้าใจความจริงของชีวิตทางสังคม แล้วกล้าที่จะ เผชญิ กบั ปญั หาชวี ติ ทางสงั คมตลอดเวลาทมี่ ชี วี ติ อยู่ เปน็ ความรเู้ ขา้ ใจในกระบวนการเหตผุ ล หมดความ กงั วลหว่ งใยในชีวติ ทางสังคม ผู้ท่บี รรลคุ วามตอ้ งการขนั้ นี้ จะเป็นผรู้ ู้เข้าใจความจรงิ ของโลกทางสังคม ใช้ชีวิตทางสังคมอย่างถูกต้องเหมาะสม เป็นผู้หนักแน่นมั่นคงไม่วิตกกังวลไม่สะทกสะท้านหว่ันไหวใน ชวี ติ ทางสงั คม เปน็ ผยู้ ินดีพอใจสุขใจในชวี ิตทางสังคม มนุษย์ทุกคนล้วนมีความอยากต้องการ พยายามที่จะแสวงหาตอบสนองความต้องการของ ตนเอง ตง้ั แตข่ นั้ ทหี่ นงึ่ หรอื ขน้ั พนื้ ฐาน คอื ความอยากตอ้ งการทางสรรี ะรา่ งกาย จนถงึ ขน้ั สงู สดุ คอื ความ ต้องการท่ีจะรู้เข้าใจความจริงของมนุษย์และโลกทางสังคม ความต้องการของมนุษย์ ๕ ข้ันดังกล่าว จะเกิดข้ึนในข้ันใดขั้นหน่ึงก่อนก็ได้ ไม่เกิดข้ึนตามล�าดับขั้นตอน ขึ้นอยู่กับส่ิงเร้าและปัจจัยภายนอก ท่ีมากระตุ้นจูงใจท�าให้เกิดความอยากต้องการ แล้วมีการกระท�าเพื่อตอบสนองความต้องการนั้น ๆ เมอ่ื ความตอ้ งการในขนั้ นน้ั ๆ ไดร้ บั การตอบสนอง มนษุ ยก์ จ็ ะมคี วามตอ้ งการในขนั้ ตอ่ ไป ความตอ้ งการ ทัง้ หลายเหล่านี้คอ่ ย ๆ เกิดขึน้ พัฒนาเป็นไปไม่ใช่เกดิ ขนึ้ พร้อมกนั ทนั ที ชีวิตทางสังคมเต็มไปด้วยความต้องการต่าง ๆ มากมาย มนุษย์มีความต้องการไม่มีท่ีส้ินสุด ต้องการได้น่ันได้น่ีมาเสพปรนเปรอตน ต้องการไม่รู้จักอิ่มไม่รู้จักพอ ความต้องการของชีวิตทางสังคม มหี ลายอยา่ งมากมาย เมอื่ คดิ พจิ ารณาตามธรรมชาตแิ บบพทุ ธ กม็ หี ลายแบบลกั ษณะประเภท แตก่ พ็ อ จะสรุปได้ ดังน้ี ๑. ความอยากตอ้ งการทางรา่ งกาย (bฺ iological or physical needs) เปน็ ความตอ้ งการ ทางสรรี ะรา่ งกายหรอื ชวี วทิ ยา เปน็ ความตอ้ งการปจั จยั ขนั้ พนื้ ฐานสา� คญั ของมนษุ ย์ เปน็ ความตอ้ งการ เกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ ไม่ใช่เกิดจากการเรียนรู้จากสังคม เป็นความต้องการอาหาร เคร่ืองนุ่งห่ม ทีอ่ ย่อู าศยั ยารกั ษาโรค เปน็ ตน้ เพ่ือสุขภาพร่างกายที่ดีมีสุขไร้ปญั หา ชวี ติ ร่างกายของมนษุ ยก์ เ็ หมอื น

ชวี ติ ทางสังคม 125 เคร่อื งยนตป์ ระกอบดว้ ยสว่ นต่าง ๆ หรือเซลลต์ ่าง ๆ ทง้ั หลาย แตล่ ะสว่ นตา่ งท�างานสัมพันธ์กนั อยา่ ง เปน็ ระบบ ชวี ติ รา่ งกายอาศยั อาหารนา้� และอากาศเปน็ เครอ่ื งหลอ่ เลยี้ งบา� รงุ รกั ษาเอาไว้ เมอื่ ใดรา่ งกาย ขาดอาหารนา�้ และอากาศ หรอื ไมไ่ ดร้ บั การตอบสนองอยา่ งเพยี งพอ กจ็ ะทา� ใหเ้ กดิ ภาวะไมส่ มดลุ ทา� งาน เสียระบบไมส่ มั พนั ธ์กัน ร่างกายก็จะมปี ญั หาคอ่ ย ๆ อ่อนแรงลงอยู่ไม่ได้ แลว้ กห็ ยดุ ทา� งานหรอื ตายไป ในทส่ี ดุ รา่ งกายของมนษุ ยท์ กุ คนตอ้ งการอณุ หภมู ทิ เ่ี หมาะสมถกู ตอ้ งเพยี งพอ เพอื่ รกั ษาสมดลุ อณุ หภมู ิ ของร่างกาย ร้อนเกินไปหรือหนาวเกินไป ไม่มีเคร่ืองนุ่งห่มป้องกันแก้ไข ก็จะท�าให้ร่างกายเกิดปัญหา ภาวะขดั แยง้ ทา� งานไมส่ มั พนั ธเ์ ปน็ ระบบ รา่ งกายตอ้ งการการพกั ผอ่ นนอนหลบั เมอื่ ใชพ้ ลงั งานมากเกนิ ไป จ�าต้องการการพักผ่อนนอนหลับที่เพียงพอ เพื่อไม่ให้เกิดความเมื่อยล้า อันจะน�าไปสู่ภาวะขัดแย้งไม่ สมดลุ ของรา่ งกาย รา่ งกายตอ้ งการการขบั ถา่ ย การขบั ถา่ ยของเสยี ออกจากรา่ งกาย เปน็ ระบบหมนุ เวยี น ของเสียตามธรรมชาติของสรีระร่างกาย ระบบหมุนเวียนดังกล่าวท�าให้เกิดสภาวะสมดุลของร่างกาย หากไม่รู้จักดูแลรักษาสุขภาพร่างกายอย่างถูกต้อง ก็จะเกิดเจ็บป่วยไม่สบาย เม่ือร่างกายเจ็บป่วย ไม่สบาย จ�าต้องป้องกันแก้ไขบ�ารุงรักษาด้วยยา เพ่ือความเป็นอยู่เป็นไปได้ด้วยดีของชีวิตร่างกาย ในสงั คมปจั จุบัน นอกจากความตอ้ งการปจั จัยพื้นฐานสา� คัญจา� เปน็ ดงั กลา่ ว มนษุ ยย์ งั ตอ้ งการสงิ่ อน่ื ๆ อกี มากมาย แมไ้ มไ่ ดร้ บั การตอบสนองความตอ้ งการทางรา่ งกายอยา่ งถกู ตอ้ งเพยี งพอ แตก่ ส็ ามารถเปน็ อยู่เป็นไปได้ แต่การมีชีวิตอยู่อาจด�าเนินเป็นไปได้อย่างยากล�าบากไม่สะดวกสบาย เพราะขาดปัจจัย เครือ่ งอ�านวยความสะดวกในชวี ิตทางสังคม เช่น รถยนต์ คอมพิวเตอร์ วิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ พัดลม ตู้เย็น เป็นต้น เพราะชีวิตร่างกายก็เปรียบเสมือนเครื่องยนต์ ต้องการอาศัยปัจจัยต่าง ๆ ทั้งหลายมา บ�ารงุ หล่อเลี้ยงรักษา ไมเ่ ชน่ น้นั เครอ่ื งยนต์ชวี ติ กจ็ ะมีปญั หาหยุดท�างานพังเสยี แตกสลายไปในที่สดุ ๒. ความตอ้ งการทางสงั คม (Social needs) ในชวี ติ ทางสงั คม นอกจากความตอ้ งการทาง สรรี ะรา่ งกายแลว้ มนุษย์ยังตอ้ งการอาชีพการงาน ทรัพย์สมบัติ ยศต�าแหนง่ อา� นาจ คู่ชวี ติ ญาติสนทิ มิตรสหาย เพื่อนฝูงบริวาร ต้องการมีเกียรติชื่อเสียงเป็นท่ียอมรับนับถือยกย่อง มนุษย์เป็นสัตว์สังคม มักอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นสังคม เพ่ือช่วยเหลือพ่ึงอาศัยซึ่งกันและกัน เพ่ือป้องกันแก้ไขปัญหาภัย อันตรายท่ีจะเกิดขึ้น มนุษย์เกิดมาในสังคมจ�าต้องมีการเรียนรู้ทางสังคมหาประสบการณ์ทางสังคม ตอ้ งการวชิ าความรู้เป็นเครื่องมอื ในชวี ติ ทางสังคม เม่อื มคี วามรู้ความสามารถและทักษะความช�านาญ ในอาชีพ ก็ต้องการมีอาชีพการงาน มีการเป็นอยู่เป็นไปของชีวิตทางสังคม ต้องการแต่งงานมีคู่ชีวิต คอยดูแลเข้าใจเอาใจใส่ซ่ึงกันและกัน ช่วยกันสร้างฐานะทางสังคมให้เป็นปึกแผ่นม่ันคง เม่ือเกิดความ พร้อมทางสังคมเศรษฐกิจ ก็ต้องการบุตรธิดาเพ่ือสืบเชื้อสายเผ่าพันธุ์ ในสังคมมนุษย์ นอกจากผูกพัน กับพ่อแม่พ่ีน้องและญาติมิตรแล้ว มนุษย์ยังต้องผูกพันสัมพันธ์กับคนอื่น เป็นสมาชิกท่ีสังคมพึงพอใจ ยอมรับ เป็นความต้องการอย่างหนึ่งของชีวิตทางสังคม ท่ามกลางเพ่ือนมนุษย์ทั้งหลาย มนุษย์ยัง ตอ้ งการต�าแหน่ง อ�านาจ และเกียรติยศ ต้องการความยอมรับยกยอ่ งนบั ถือจากคนอน่ื ต้องการมีมติ ร เพอื่ นบรวิ าร อยรู่ ว่ มกนั รกั กนั พงึ พาอาศยั ซงึ่ กนั และกนั ตอ้ งการการคมุ้ ครองปกปอ้ งรกั ษาซงึ่ กนั และกนั

126 สงั คมวทิ ยาเบือ้ งต้น ตอ้ งการความเปน็ ระเบยี บวนิ ยั ในสงั คม ไมม่ โี ทษภยั อนั ตรายในชวี ติ ทางสงั คม ความอยากตอ้ งการทาง สังคมเปน็ ปจั จัยส�าคญั อย่างหนงึ่ ช่วยตอบสนองความต้องการของชวี ติ ทางสังคม ๓. ความอยากต้องการทางจิตใจ (Mental needs) ถึงแม้จะมีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์ มีทรัพย์สมบัติมากมาย มีบ้านใหญ่โตมโหฬาร มีปัจจัยเคร่ืองอ�านวยความสะดวกสบายพร้อมสารพัด ทุกอย่าง แต่ชีวิตทางสังคมยังต้องการความจริงถูกต้องดีงาม ความรักความอบอุ่น ความสุขสมบูรณ์ ความต้องการเหล่าน้ีเป็นความตอ้ งการทางจติ ใจ มนษุ ย์ต้องการรเู้ ข้าใจความจรงิ ของชวี ติ ทางสงั คม ตอ้ งการรสู้ ิง่ ตา่ ง ๆ มากมาย เพือ่ ความถูก ต้องดีงามหรือเป็นหลักการด�าเนินชีวิตทางสังคม ต้องการค�าตอบของชีวิตคนสังคมท่ีแน่นอนชัดเจน เพื่อก�าจัดความลังเลสงสัยในชีวิตทางสังคม เป็นความต้องการท่ีจะรู้ว่า ชีวิตคืออะไร เกิดมาจากอะไร เกดิ มาทา� ไม อะไรคอื เปา้ หมายของชวี ติ เกดิ มาแลว้ จะทา� อยา่ งไร ตายไปแลว้ จะไปไหน ตอ้ งการรเู้ ขา้ ใจ ชวี ติ อยา่ งถอ่ งแท้ ตอ้ งการรเู้ ขา้ ใจสงิ่ ตา่ ง ๆ ทงั้ หลายตามความเปน็ จรงิ ตอ้ งการรคู้ วามจรงิ โลกทางสงั คม เป็นความตอ้ งการข้ันสูงของมนษุ ย์ เปน็ ความต้องการดา้ นปญั ญา ร้เู ข้าใจแล้วนา� มาประยุกต์ใช้ในชีวิต ทางสังคม เป็นอยู่เป็นไปของชีวิตทางสังคมที่ถูกต้องดีงามไร้ปัญหา ธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนุษย์ ต้องการแต่สิง่ ดงี ามเหมือนกนั หมดทุกคน เป็นความอยากตอ้ งการความดหี รือของดี ตอ้ งการมีชวี ติ ที่ดี งามประเสริฐ แม้ตนเองจะเป็นคนเลวไม่ดี ก็ยังต้องการแต่ส่ิงดี ๆ ต้องการการงานดี ต้องการเพื่อนดี ตอ้ งการคนรกั ดี ตอ้ งการสามภี รรยาดี ตอ้ งการบตุ รหลานดี จงึ พยายามเลอื กแสวงหาสง่ิ ดที ส่ี ดุ พยายาม เสพบริโภคส่ิงดีที่สุด นอกจากน้ี ยังต้องการต้องการความรักความอบอุ่นม่ันคงปลอดภัย ต้องการ ความสขุ สมบรู ณห์ รอื ความสงบสขุ ของชวี ติ ทางสงั คม ตอ้ งการมชี วี ติ ทางสงั คมอยา่ งมคี วามสขุ อนั ประเสรฐิ ไมต่ อ้ งการมปี ญั หาความทกุ ขเ์ ดอื ดรอ้ น อนั เปน็ จดุ หมายปลายทางสดุ ทา้ ยของความตอ้ งการมนษุ ยท์ กุ คน ความสขุ ของชวี ติ ทางสงั คม ความสบาย ความพึงพอใจ ความไม่มีโรคภัยอันตราย การไม่มีปัญหาความเดือดร้อนวุ่นวาย คอื ความสขุ ทน่ี า่ ปรารถนาตอ้ งการ มนษุ ยท์ งั้ หลายพยายามตอ่ สดู้ น้ิ รนทา� งานหาเลยี้ งชพี เพยี รพยายาม ท�ากิจกรรมทุกอย่าง ทนร้อนทนหนาวทนเหนื่อยยากล�าบาก ก็เพ่ือเงินทอง เพ่ือการเป็นอยู่ที่ดี และสดุ ทา้ ย กเ็ พอื่ ความสขุ ความสขุ ทม่ี นษุ ยพ์ ยายามแสวงหานนั้ เปน็ อยา่ งไร จะบรรลคุ วามสขุ อนั เปน็ เป้าหมายส�าคัญของมนุษย์นั้นได้อย่างไร เพื่อชีวิตทางสังคมที่ดีงามมีความสุข จึงขอเสนอความสุข ๓ ระดบั ดังน้ี ๑. ความสขุ ทางรา่ งกาย (กายกิ สขุ , Physical or bodily happiness) เปน็ ความสุขท่ี เกิดจากการก�าเนิดมาดี มีหน้าตาดี บุคลิกลักษณะดี สุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย

ชีวติ ทางสงั คม 127 มคี รอบครวั ดี อาชพี การงานดี มที รพั ยส์ นิ เงนิ ทอง มฐี านะทางสงั คมและเศรษฐกจิ ดี มพี อ่ แมญ่ าตพิ น่ี อ้ ง เพอ่ื นมติ รดี มคี วามสมั พนั ธท์ างสงั คมดี มยี ศตา� แหนง่ อา� นาจเกยี รตชิ อื่ เสยี งเปน็ ทย่ี อมรบั มกี ารอยดู่ กี นิ ดี มคี วามสขุ ทางเนอื้ หนงั เปน็ ความสขุ ทเี่ กดิ จากการเสพบรโิ ภค เปน็ ความสขุ ทอ่ี งิ อาศยั วตั ถหุ รอื ปจั จยั ภายนอกต่าง ๆ ทัง้ หลาย มนุษย์ทุกคนต่างปรารถนาต้องการได้ความสุขเหล่าน้ี เม่ือมีสุขภาพพลานามัยดีพร้อม กพ็ ยายามทา� งานหาเงนิ ทอง เพอื่ ชวี ติ ทดี่ มี คี วามสขุ เพอ่ื สรา้ งฐานะทางสงั คมเศรษฐกจิ เมอื่ มฐี านะทาง สังคมเศรษฐกิจดีมั่นคง มีครอบครัวที่ดีมีความสุข ก็เป็นที่ยอมรับนับถือในสังคม ผู้บรรลุเสพเสวยสิ่ง ทง้ั หลายเหลา่ นี้ เรายอมรบั วา่ มคี วามสขุ ในชวี ติ ทางสงั คม ลองใชเ้ วลาทส่ี งบนกึ ทบทวนดู ในการทา� งาน หาเงิน คนเราคิดว่า เงินเป็นบ่อเกิดของความสุข ก็พยายามท�างานหาเงินสะสมเงินให้ได้มากที่สุด เพอื่ ทจี่ ะมคี วามสขุ ใหไ้ ดม้ ากทสี่ ดุ พอไดเ้ งนิ รอ้ ยหนงึ่ กต็ อ้ งการพนั พอไดพ้ นั กต็ อ้ งการหมนื่ -แสน-ลา้ น หรือหลาย ๆ ลา้ น ยง่ิ พยายามแสวงหามากเท่าไร ก็ยิ่งกระวนกระวายสบั สนกงั วลมาก กลายเป็นทกุ ข์ หนึ่งร้อย-พัน-หม่ืน-แสน-ล้านหรือหลาย ๆ ล้าน ได้มาแล้วยังเป็นทุกข์กังวลใจในการใช้จ่ายเก็บรักษา ดูแล แต่เราก็ทราบกันดีว่า ความสุขที่เกิดจากการมีทรัพย์ใช้จ่ายทรัพย์ ในการเสพบริโภคอาหาร หากเสพบริโภคอาหารที่ถูกใจ ก็จะเสพบริโภคเต็มที่เต็มอิ่ม เพื่อตอบสนองความต้องการเกิดความ พึงพอใจสุขใจ เม่ือใดกระเพาะอาหารว่างลงเกิดความหิวกระหาย เมื่อนั้นมนุษย์ก็จะมีอยากต้องการ หากไมไ่ ดร้ บั การตอบสนองทีพ่ อเพียง กจ็ ะรสู้ ึกระวนกระวายเปน็ ทุกข์มปี ัญหา ในวนั หน่ึง ๆ มนุษย์เรา มีความสุขความทุกข์สับเปล่ียนหมุนเวียนกันเข้ามาหลายรอบ เพราะเราต้องเสพบริโภคอาหารวันละ ๒-๓ คร้ัง เป็นความสุขที่เกิดจากการเสพบริโภค ความสุขประเภทน้ีต้ังอยู่บนพ้ืนฐานการตอบสนอง ความอยากต้องการที่พอเพียง เป็นความสุขไม่รู้จักอิ่มไม่รู้จักพอไม่รู้จักเต็ม เป็นความสุขนิดหน่อยแต่ ทุกข์มากไร้อิสรเสรีภาพ เป็นความสุขที่เจือปนด้วยความทุกข์ เป็นความสุขที่เต็มไปด้วยภาระกังวล ด้ินรนแสวงหา เป็นความสุขทย่ี ังมคี วามบกพร่อง เป็นความสขุ ชว่ั คราว แตก่ ็ไมเ่ ป็นไร หากมนุษยเ์ รารู้ เข้าใจปญั หาความสขุ รเู้ ท่าทนั ปญั หาความสขุ รกู้ ารบริหารจดั การอยา่ งถกู วิธี ปฏิบตั ติ อ่ มันใหถ้ ูกต้อง ตามความเป็นจริง เราก็จะมีชวี ิตทางสงั คมอย่างมคี วามสุขไรป้ ัญหาตามเหตุปัจจัย ๒. ความสขุ ทางจติ ใจ (เจตสกิ สขุ , Mental happiness) ความสขุ ทเ่ี กดิ จากคณุ งามความ ดแี ละคณุ ธรรม ความสขุ ทเี่ กดิ จากการทา� ดตี า่ ง ๆ ทง้ั หลาย ความสขุ ทางจติ ใจองิ อาศยั ความสขุ ประเภท ที่หน่ึง คือความสุขทางร่างกายหรือความสขุ ท่เี กิดจากการเสพบริโภควตั ถุ เปน็ ความสขุ ที่เกิดจากการ ไม่กระท�าความช่ัวท้ังหลาย ไม่ประพฤติเสียหาย ไม่สร้างปัญหาก่อความเดือดร้อนวุ่นวายสับสน เป็นความสุขที่เกิดจากการกระท�าความดีมีคุณธรรม ประพฤติปฏิบัติถูกต้องมีเหตุผล เกื้อกูลเป็น ประโยชนไ์ มเ่ บยี ดเบยี นทา� รา้ ย มนี า�้ ใจจรงิ ใจ ซอื่ สตั ยส์ จุ รติ มคี วามเมตตากรณุ า มคี วามเออื้ อาทรเสยี สละ เปน็ ความสขุ ภายในเกดิ จากคุณธรรมภายใน

128 สงั คมวิทยาเบือ้ งต้น คนดมี คี ณุ ธรรมรคู้ ณุ คา่ ความหมายของชวี ติ ทางสงั คม เหน็ คณุ คา่ ความหมายความสา� คญั ของ สังคม ประพฤติแต่ประโยชน์เก้ือกูลแก่ตนเองและผู้อ่ืน ช่วยเหลือเก้ือกูลเพ่ือนมนุษย์ด้วยความจริงใจ เตม็ ใจ มคี วามรบั ผดิ ชอบกตญั ญตู อ่ สงั คม ไมค่ ดิ เอารดั เอาเปรยี บเนรคณุ ตอ่ สงั คม เปน็ การรคู้ ณุ คา่ ความ ส่ิงทไี่ ด้มา ท�าให้เกิดประโยชน์แกช่ วี ติ และสังคม คนเราแสวงหาทรพั ยส์ ะสมทรัพย์เอาไว้ หากไม่มนี �้าใจ มคี ณุ ธรรม กจ็ ะเกบ็ ทรพั ยเ์ อาไวเ้ ฉย ๆ ไมค่ ดิ ใหเ้ สยี สละบรจิ าค ไมค่ ดิ ชว่ ยเหลอื เกอื้ กลู คนอนื่ สว่ นคนดมี ี คณุ ธรรมกจ็ ะคดิ หาเอาสารประโยชนจ์ ากทรพั ยท์ ไี่ ดม้ า ไมต่ กเปน็ ทาสอยใู่ นอา� นาจของวตั ถุ ไมล่ มุ่ หลง มวั เมาในทรพั ย์ภายนอก คิดเปล่ยี นจากทรพั ย์ภายนอกให้เปน็ ทรัพย์ภายใน อนั ทรงคณุ คา่ ความหมาย ท่ีประเสริฐ เป็นการสร้างคุณค่าความหมายของชีวิตต่อสังคม คนดีท่ีมีแต่ให้ชอบช่วยเหลือผู้อ่ืน ยอ่ มเปน็ ทรี่ กั เปน็ ทค่ี บหาของเพอ่ื นมนษุ ยท์ งั้ หลาย เปน็ ทยี่ อมรบั ตอ้ งการของสงั คม พอระลกึ ถงึ คณุ งาม ความดีที่ท�าเอาไว้ ก็เกิดความสุขสบายใจ เป็นความสุขที่ลึกซ้ึงชุ่มฉ�่าใจ เพ่ิมความสุขใจภูมิใจมั่นใจใน ชวี ิตทางสังคมมากขึน้ หากคดิ พจิ ารณาความสขุ ทางจติ ใจทเี่ กดิ จากคณุ งามความดี เปน็ ความสขุ ภายในองิ อาศยั การ ทา� ดเี กอื้ กลู เปน็ ประโยชนแ์ กต่ นเองและคนอน่ื หากไดร้ บั การยกยอ่ งยอมรบั นบั ถอื ในสงั คม กเ็ กดิ ความ เอบิ อม่ิ ยนิ ดมี คี วามสขุ ใจ หากถกู ตา� หนติ เิ ตอื น กจ็ ะเกดิ ความผดิ หวงั ทกุ ขใ์ จไมส่ บายใจ ความสขุ ประเภท น้ีถือได้ว่ายังไม่เป็นความสุขแท้สมบูรณ์ เพราะยังติดยังหวังต้องการอยู่กับความดีความสุข หวังเป็นที่ ยอมรับต้องการของสังคม หวังให้สังคมยกย่องยอมรับนับถือ หวังผลตอบแทนความดีท่ีได้กระท�า เป็นความสุขท่ีอิงอาศัยปัจจัยอย่างใดอย่างหน่ึงอยู่ เป็นความสุขท่ีไม่อิสระ มีการผันแปรเปล่ียนแปลง ไม่แน่นอน ฉะน้นั เรามาค้นหาความสุขข้ันต่อไปกันตอ่ ไป ๓. ความสุขทแ่ี ทจ้ รงิ (นิรามสิ สุข, higher or immaterial happiness) ความสขุ ทเ่ี กดิ จากปญั ญารูเ้ ขา้ ใจส่งิ ตา่ ง ๆ ท้ังหลาย แล้วปฏบิ ตั ติ อ่ สง่ิ เหลา่ นั้นอย่างถกู ตอ้ งมเี หตผุ ล เปน็ การดับทุกข์ แก้ไขปัญหาได้ ความสุขท่ีเกิดจากความไม่โลภ ไม่โกรธ และไม่โง่หลงงมงาย เป็นความสุขท่ีเกิดจาก ความจริงถูกต้องดีงาม ความสงบ ไม่อิงอาศัยวัตถุ เป็นความสุขแบบอิสระไม่อิงอาศัยปัจจัยภายนอก อยู่เหนือกระแสโลกทางสังคม ในระดับสังคม ความสุขประเภทน้ี เพียงเพื่อมนุษย์รู้เข้าใจส่ิงทั้งหลาย ตามความเป็นจริง จัดการสิ่งท้ังหลายอย่างมีเหตุผล รูจักบริหารตนและรักษาจิตใจเป็นปกติ ก็พบกับ ความสุขนี้ได้ เช่น ผมหงอกหรือหน้าแก่ไม่เด็กไม่ใส ก็พยายามท�าทุกอย่างให้มันด�าหรือหน้าเด็ก เสียเงินทองและเวลาเท่าไรไมว่ า่ ความอยากความพยายามเกินไปนน้ั ก็คอื ความทกุ ข์ เพราะไมร่ ้เู ข้าใจ พยายามฝ่าฝืนกฎธรรมชาติ ต่อเมื่อรู้เข้าใจว่า มันเป็นธรรมชาติเป็นอย่างน้ัน ก็ท�าใจปล่อยวางอิสระ น่ันคอื ความสขุ และนกี่ ค็ อื ความหมายแทข้ องคา� วา่ ปลอ่ ยวาง (อนปุ าทาน, Unattachment) ความสขุ ทเ่ี กดิ จากปญั ญาอสิ ระปลอ่ ยวางไมย่ ดึ มน่ั จนเกนิ ไป ในระดบั จรงิ แทส้ งู สดุ ความสขุ ประเภทน้ี หมายถงึ พระนพิ พาน (Salvation)

ชีวิตทางสงั คม 129 ชีวิตทางสังคมจะมีปัญหาหรือไร้ปัญหาข้ึนอยู่กับเหตุปัจจัย เราต้องยอมรับว่า ชีวิตทางสังคม อยทู่ า่ มกลางสงิ่ ตา่ ง ๆ มากมาย หรอื อยทู่ า่ มกลางปญั หา จะทา� อยา่ งไร จงึ จะไมม่ ปี ญั หา ทเ่ี ขา้ ไปเกยี่ วขอ้ ง สัมพันธ์ ถกู ส่ิงเหลา่ น้ันกระทบกระท่ังครอบง�า เมอ่ื พบเจอส่ิงดี ก็เกดิ ความยนิ ดีพึงพอใจสขุ ใจ หากพบ เจอสงิ่ ไมด่ ี กจ็ ะเกดิ ความผดิ หวงั ทกุ ขใ์ จโศกเศรา้ เสยี ใจ เปน็ เรอ่ื งธรรมดาของโลกทางสงั คม มนั เปน็ อยา่ ง น้ันเป็นไปตามเหตุปัจจัย สิ่งส�าคัญต้องรู้เท่าทันแล้วปฏิบัติให้ถูกต้อง ไม่ใช่ว่าพบเจอสิ่งไม่ดี ก็ผิดหวัง แลว้ หมดหวงั หมดกา� ลงั ใจ ไมร่ ไู้ มเ่ ขา้ ใจความจรงิ ของชวี ติ ทางสงั คม ละทงิ้ ความดงี ามถกู ตอ้ งทเี่ คยยดึ ถอื ปฏบิ ัติ มวั แต่ทุกขร์ ะทมตรมตรอมใจ ท้อแท้เบ่อื หนา่ ยโศกเศรา้ เสียใจ เปน็ การซ�้าเตมิ ท�าร้ายตนเองให้ แย่หนักเขา้ ไปอีก หากรเู้ ข้าใจความจริงธรรมดาโลกทางสงั คมวา่ มันเปน็ อย่างนี้ เปน็ ไปตามเหตปุ จั จยั ศึกษาเรียนรู้เข้าใจในความจริงในเหตุปัจจัย ดูแลตัวเองรักษาจิตใจให้เป็นปกติ หาวิธีแก้ไขปรับปรุง เปล่ียนแปลง ลุกข้ึนสู้ลงมือกระท�าเร่ิมต้นใหม่ พยายามท�าท�าให้ได้ให้ส�าเร็จ เป็นการพิสูจน์ทดสอบ ตนเอง เรามีปัญญาความสามารถอดทนมั่นคงแค่ไหน ในการสู้ความจริงและแก้ไขอุปสรรคปัญหา ส่ิงเหล่าน้ีเป็นบทเรียนชีวิตทดสอบความเป็นมนุษย์ ทดสอบจิตใจว่ามีความอดทนเข้มแข็งหนักแน่น เพียงไร หากสามารถสอบผ่านแก้ไขปัญหาได้ ก็จะประสบพบความจริงถูกต้องดีงาม มีชีวิตทางสังคม อย่างมีความสุขแท้จริงประเสริฐ แม้ประสบพบเจอสิ่งไม่ดีท้ังหลายก็ไม่เป็นปัญหา สามารถเป็นอยู่ ท่ามกลางปญั หาท้ังหลายไดอ้ ย่างมีความสขุ ไรป้ ญั หาทกุ ข์กงั วงใจ ความสุขทั้งสามประเภทน้ีเป็นความสุขที่อิงอาศัยซึ่งกันและกัน เป็นปัจจัยเก้ือหนุนซ่ึงกัน และกนั การทม่ี นษุ ยท์ ง้ั หลายแสวงหาความจรงิ ความดงี ามของชวี ติ ตอ้ งการความสขุ ของชวี ติ ทางสงั คม พยายามด้ินรนแสวงหาสิ่งต่าง ๆ ท้ังหลายเพื่อบรรลุความสุข ต้องการสิ่งนี้สิ่งนั้นก็เพ่ือความสุข เลยประสบปัญหาเรื่องความสุข เพราะไม่รู้เข้าใจชีวิตและความสุขคืออะไร หากรู้เข้าใจชีวิตและความ สขุ เปน็ อยา่ งไร กจ็ ะบรรลคุ วามสขุ ทแี่ ทจ้ รงิ ความสขุ ทางรา่ งกายหรอื ความสขุ ทเี่ กดิ จากวตั ถุ ไดว้ ตั ถมุ า เสพปรนเปรอตนเกดิ ความพงึ พอใจมคี วามสขุ จา� ตอ้ งรสู้ า� รวมระมดั ระวงั ขม่ จติ หกั หา้ มใจ รจู้ กั ประมาณ พอเพียงในการเสพบริโภค ไม่ตกเป็นทาสของวัตถุและค่านิยมทางสังคม ความสุขทางจิตใจเป็นความ สุขท่ีเกิดจากการท�าดีต่าง ๆ อย่างมีเหตุผลถูกต้องเพียงพอ ได้ท�าประโยชน์เกื้อกูลแก่ตนเองและ เพ่ือนมนษุ ย์ เป็นความสุขท่ีเกิดจากความดีมีคณุ ธรรม ความสขุ ท่ีแทจ้ รงิ เปน็ ความสขุ ที่เกิดจากปัญญา ไมม่ ปี ญั หา รเู้ ขา้ ใจความจรงิ ของโลกทางสงั คม แลว้ ปฏบิ ตั ติ อ่ มนั ใหถ้ กู ตอ้ งมเี หตผุ ล เปน็ ความสขุ ทอ่ี สิ ระ ประณีตสมบูรณ์ ผู้แสวงหาต้องการความสุข โปรดคิดพิจารณาใคร่ครวญไตร่ตรองเลือกปฏิบัติดา� เนิน ชวี ติ ทางสังคมเพื่อบรรลคุ วามสุขในขนั้ นน้ั ๆ ตามความหวงั ปรารถนาต้องการของท่านเอาเองเทอญ



บทที่ ๘ ปัญหาสงั คม กล่าวโดยทั่วไป ปัญหาเป็นเรื่องธรรมดาเหตุผล มีมาพร้อมกับมนุษย์ ไม่มีใครสามารถหลบลี้ หนีพ้นไปจากปัญหาได้ ปัญหาที่เกิดข้ึนมีหลายแบบลักษณะและประเภท เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็ยากที่จะ เรียกกลบั คนื มาได้ แต่ก็สามารถแกไ้ ขปรับปรุงเปล่ียนแปลงได้ ถา้ เรารู้เขา้ ใจตามความเปน็ จรงิ แลว้ นา� มาเป็นบทเรียนหรือประสบการณ์ บทเรียนประสบการณ์ที่ดี น�ามาเป็นแนวทางศึกษาเรียนรู้ มงุ่ สรา้ งสรรคพ์ ฒั นาชวี ติ ใหม้ คี ณุ ภาพยง่ิ ๆ ขนึ้ ไป สว่ นบทเรยี นประสบการณท์ ไ่ี มด่ ี นา� มาเปน็ อทุ าหรณ์ สอนเตือนตน ให้ระมัดระวงั ไม่ประมาทไมใ่ ห้ความผิดพลาดเสียหายเกดิ ขน้ึ ได้อีก ส�าหรับคนทชี่ อบชีวิตสบาย ชอบสงิ่ งา่ ย ๆ ไม่ชอบทา� อะไรดว้ ยตวั เอง ไม่สู้กบั อุปสรรคปญั หา จะเปน็ ชวี ิตไมม่ ีการพัฒนา มกั มีชวี ิตทอี่ ันตรายไม่ปลอดภยั มน่ั คง ไม่มีคณุ ค่าความหมาย และไม่เจริญ รุ่งเรืองก้าวหน้า ส่วนคนท่ีชอบความยากล�าบาก ชอบท�าอะไรด้วยตนเอง ต่อสู้กับอุปสรรคปัญหา จะเป็นชีวิตที่มีแต่การพัฒนา มักมีชีวิตท่ีอดทนเข้มแข็งทนทานปลอดภัยมั่นคง มีคุณค่าความหมาย และมีแต่ความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า ดังน้ัน เมื่อประสบพบเจออุปสรรคปัญหา จงคิดเสียว่า มันเป็น โอกาสดที ี่จะศกึ ษาเรยี นรู้สรา้ งสรรคพ์ ัฒนาตนใหม้ คี ุณภาพคุณคา่ และความหมาย ไม่มีท่ีไหนในโลกนี้ไม่มีปัญหา มนุษย์ทุกคนต้องมีปัญหา ต้องประสบพบปัญหาบางอย่าง แน่นอน ปัญหาส่วนตนหรือสังคม หนักบ้างเบาบ้าง ไม่มากก็น้อย ไม่ตลอดเวลาก็เป็นบางเวลา ตลอดเส้นทางชีวิตตั้งแต่เกิดจนถึงตาย ชีวิตทางสังคมเต็มไปด้วยปัญหา เมื่อประสบพบกับปัญหา ควรรเู้ ท่าทนั ปญั หานัน้ ควรคดิ พจิ ารณาหาเหตุปัจจยั ทโ่ี ยงใยสมั พันธก์ นั อย่างรอบคอบถกู ต้อง เพื่อหา ทางออกจัดการปรับปรุงแก้ไขเปลี่ยนแปลงปัญหานั้น มนุษย์กับปัญหาเป็นของคู่กัน ปัญหามีไว้ให้คิด ให้แก้ให้จัดการ ไม่ใช่มีไว้ให้แบกสร้างความทุกข์ทรมานให้กับตัวเอง ผู้ไม่รู้เข้าใจยึดติดปัญหาแบกโลก เอาไว้ เป็นคนโง่ ผู้รเู้ ขา้ ใจปญั หาตามความเป็นจรงิ มองเห็นปัญหาเป็นเร่ืองธรรมดาเหตุปัจจัย มองหา สาเหตุและปจั จยั ทง้ั ภายในและนอก กา� หนดรเู้ ทา่ ทนั ปรากฏการณป์ ญั หาทง้ั หลายอยา่ งถกู ตอ้ งมเี หตผุ ล คอื คนฉลาด ผู้สามารถจัดการแก้ไขปรับปรุงเปล่ียนแปลงปัญหาได้ตามเหตุปัจจัย สามารถด�าเนินชีวิต ทางสังคมอย่างมีเหตุผลถูกต้องดีงามประเสริฐ ไม่ยึดม่ันติดใจปล่อยวางอิสระหลุดพ้น เป็นผู้อยู่เหนือ ปัญหา เพ่อื ชวี ิตท่ดี งี ามประเสริฐ จึงตอ้ งมาทา� ความเข้าใจปัญหาทงั้ หลายตอ่ ไป ก่อนอ่ืน ต้องรู้เข้าใจปรากฏการณ์สังคมทั่วไปเสียก่อน สังคมโลกปัจจุบัน ถือได้ว่าเป็นยุคที่ เจริญก้าวหน้าทางวัตถุถึงจุดสูงสุด อันแสดงถึงสภาพการเป็นอยู่ของมนุษย์ วิทยาการและเทคโนโลยี ใหมท่ นั สมยั ชว่ ยในการดา� เนนิ ชวี ติ ทางสงั คม สงั คมพรง่ั พรอ้ มสมบรู ณไ์ ปดว้ ยวตั ถสุ งิ่ ประดษิ ฐเ์ ทคโนโลยี

132 สงั คมวทิ ยาเบอ้ื งต้น แทนท่ีจะสุขสมหวังกับความพร่ังพร้อมสมบูรณ์น้ัน แต่กลับทุกข์ผิดหวังหาคุณค่าความหมายของชีวิต ไม่ได้เหมือนเดิม สังคมโลกเจริญพัฒนามากข้ึน ปัญหาชีวิตทางสังคมก็มีวิวัฒนาการซับซ้อนยิ่งขึ้น สภาพความเจรญิ ทนั สมยั ซา�้ ยงั บบี บงั คบั ใหม้ นษุ ยด์ น้ิ รนแสวงหามากขนึ้ ตามลา� ดบั ชวี ติ ทางสงั คมยงั เตม็ ไปดว้ ยปัญหาท้ังหลายเหมอื นเดมิ ในทางรา่ งกาย มนษุ ย์ยังเผชิญปัญหาปญั หาโรคภัยไขเ้ จ็บ มีปวดหวั ตัวร้อนเป็นไข้ เป็นหวัดคัดจมูกน�้ามูกไหล โรคปอดตับไตเสียอักเสบไม่ดี โรคระบบทางเดินอาหาร ท้องเสีย โรคมะเร็ง และเอดส์ เป็นต้น ในด้านจิตใจ มนุษย์ยังเผชิญปัญหาทางจิตใจ เป็นโรคจิตไม่รู้ ความจา� เสอ่ื ม มคี วามวติ กกังวลใจ กระวนกระวายเดอื ดรอ้ นใจ ขุ่นมวั คับแคน้ ใจ อาฆาตพยายามปอง รา้ ย เบอ่ื หนา่ ยทอ้ แทใ้ จ วา้ เหวห่ งอยเหงาเศรา้ ซมึ ใจ เปน็ ตน้ ในทางสงั คม ยงั มกี ารฆา่ ทา� ลายเบยี ดเบยี น เอารดั เอาเปรยี บขดั แยง้ กนั เหมอื นเดมิ มปี ญั หาชวี ติ ทางสงั คม ความเสอ่ื มโทรมทางศลี ธรรม ความยดั แยง้ ระหว่างกลุ่มคน ปัญหาเดก็ และเยาวชน ความยากจน โสเภณี คอรัปชนั่ อาชญากรรม และยาเสพตดิ เป็นต้น ในด้านสิ่งแวดล้อม ก็ยังมีปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ ระบบนิเวศถูกท�าลาย ดินเสีย น�้าเสีย ปา่ ถูกทา� ลาย โลกร้อน อากาศเสยี เป็นพิษ เป็นตน้ อันเปน็ ปญั หาชวี ติ ทางสงั คมและสง่ิ แวดล้อม ทีส่ บั เปล่ียนหมุนเวียนไปตามกาลเวลาและเหตุปัจจัย แก้ปัญหาหน่ึงได้ ปัญหาใหม่ก็เกิดขึ้นตามมา ปัญหา ท้ังหลายอาจมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลาและเหตุปัจจัย แต่ท�าไมปัญหาจิตใจของมนุษย์ ดกู ย็ งั เหมอื นเดมิ มคี วามอยากโลภโกรธหลงและทกุ ขเ์ หมอื นเดมิ ในอดตี กาลเปน็ อยา่ งไรกย็ งั เปน็ เหมอื น เดิม กี่ปีกี่พันล้านปีมนุษย์ยังมีความทุกข์ทางจิตใจเหมือนเดิม ดูเหมือนทวีความรุนแรงเพ่ิมมากขึ้น และปัญหาบางอย่างไม่สามารถแก้ไขเปล่ียนแปลงได้ อย่างไรก็ตาม เม่ือมนุษย์ประสบพบเจอปัญหา ท้ังหลาย กม็ ักจะมีค�าถามวา่ มันเกดิ ข้นึ ได้อย่างไร อะไรเป็นสาเหตขุ องปัญหา จะจดั การแก้ไขป้องกนั เปล่ียนแปลงปัญหาน้ันได้อย่างไร จึงมีการคิดวิเคราะห์ศึกษากันอย่างต่อเน่ืองมาถึงปัจจุบัน มนุษย์จะ เป็นอยู่อย่างไรไม่มีปัญหาชีวิตทางสังคม เพราะฉะน้ัน ผู้เขียนจะพยายามคิดวิเคราะห์อธิบายบรรยาย โดยใช้หลักสังคมวิทยา และพระพุทธศาสนา เพื่อความจริงส่ิงดีงามมากท่ีสุด รู้เข้าใจปัญหาท้ังหลาย อย่างแจม่ แจง้ ชดั เจนต่อไป อะไรคอื ปญั หา ปรากฏการณ์การศึกษาปัญหาท้ังหลาย “ปัญหาสังคม” หมายถึง สภาวะทางสังคมและ พฤติกรรมของบุคคลท่ไี มพ่ ึงปรารถนา ทส่ี รา้ งความสับสนวนุ่ วายเดอื ดรอ้ นหรือความทกุ ขใ์ หก้ บั บคุ คล จา� นวนมาก แสดงถงึ ความไมเ่ ปน็ ระเบยี บและการเปลยี่ นแปลง ทเี่ กดิ จากการวางแผนการเปลย่ี นแปลง และการพัฒนาสังคม ปัญหาสังคมเหล่าน้ีรวมไปถึงรูปแบบพฤติกรรมเบี่ยงเบนทั้งหลาย เช่น ปัญหา ยาเสพติด อาชญากรรม การว่างงาน หยา่ ร้าง โสเภณี วัยรุ่น การฆา่ ตัวตาย เป็นตน้ หรืออาจอยใู่ นรูป แบบความขัดแย้งทางสังคม เช่น ปัญหาความขัดแย้งทางเชื้อชาติศาสนา ความรุนแรงในครอบครัว

ปัญหาทางสงั คม 133 ความขดั แยง้ ทางการคา้ และอตุ สาหกรรม ความขดั แยง้ ระหวา่ งกลมุ่ คน เปน็ ตน้ ในสงั คมสมยั ใหม่ แตล่ ะ คนและแต่ละกลุ่ม ต่างมีสถานภาพบทบาทหน้าท่ีแตกต่างกันในองค์กรสังคมท้ังหลาย และเมื่อ สถานภาพบทบาทหน้าท่ขี ดั แยง้ กนั กจ็ ะก่อใหเ้ กดิ ปัญหา ในปัญหาสังคม ขอบเขตของปญั หานั้นกย็ าก ที่จะก�าหนดได้ แต่ก็เป็นปรากฏการณ์ทางสังคมและวัฒนธรรม ท่ีจะก�าหนดการเปลี่ยนแปลง ความหมายและความรู้ปัญหาสังคม เช่นเดียวกัน การแก้ไขป้องกันปัญหาสังคม ก็มีการปรังปรุง เปลยี่ นแปลงไปตามสภาวการณเ์ ปลย่ี นแปลงของสงั คมปจั จบุ นั กลา่ วโดยทว่ั ไป ความเขา้ ใจปญั หาสงั คม ก็คือปัญหาที่ท�าอันตรายสร้างความเสียหายให้กับบุคคลจ�านวนมากในสังคม เพ่ือความรู้เข้าใจนิยาม และบริบทแห่งปญั หาสังคม จงึ จา� เปน็ ตอ้ งช้แี จงปญั หาท่กี ระทบกระเทอื นบุคคลในสังคม ดงั ต่อไปน้ี ปัญหาส่วนบคุ คล ปญั หาสว่ นบคุ คล (Personal troubles) เปน็ ปญั หาทเ่ี กดิ กระทบแตล่ ะคนหรอื แตล่ ะครอบครวั เราทราบกันดีว่า แต่ละคนหรือครอบครัว พ่อแม่พยายามเลี้ยงดูฝึกฝนอบรมบุตรธิดา ให้การศึกษา บุตรธิดา โดยหวังว่า เมื่อพวกเขาเติบใหญ่จะเป็นคนดีมีเหตุผลรู้ดีรู้ชั่ว รู้จักใช้ชีวิตถูกต้องเหมาะสม ไม่สร้างปัญหาให้กับตนเองและสังคม อยู่มาวันหน่ึง พ่อแม่กลับพบว่า บุตรธิดาของตนเองไม่ใส่ใจใน การศกึ ษาเลา่ เรยี น เพราะอาจคบเพอื่ นไมด่ หี รอื ตดิ อบายมขุ ยาเสพตดิ อนั นา� ไปสกู่ ารประพฤตเิ บย่ี งเบน เสียหายท�าลายอนาคตของตนเอง และความหวังของพ่อแม่ ที่สุดก็จะเป็นภาระของครอบครัว สร้างปญั หาใหก้ ับครอบครวั และสงั คมตอ่ ไป ปัญหาลกั ษณะน้ี เรยี กว่า ปัญหาสว่ นบคุ คล ปัญหาสาธารณะ ปัญหาสาธารณะ (Public issues) คือปัญหาที่เกิดขึ้นมีผลกระทบต่อบุคคลจ�านวนมาก เป็นเร่ืองที่จะต้องถกเถียงกันในวงกว้าง แล้วร่วมมือร่วมแรงร่วมใจร่วมกันหารูปแบบแนวทางแก้ไข ปอ้ งกนั ปญั หานน้ั เชน่ เมอ่ื ขอ้ มลู ทางสถติ จิ ากสา� นกั งานสถติ แิ หง่ ชาตเิ ปดิ เผยบอกแสดงวา่ ประเทศชาติ สูญเสียเงินงบประมาณจ�านวนหลายล้านต่อปี เพราะการทุจริตคอรัปชั่น อุบัติเหตุบนท้องถนน หรือป้องกันปราบปรามยาเสพติด ปัญหาเหล่าน้ีท�าลายประชาชน ท�าให้คนไม่มีคุณภาพชีวิต ท�าให้ ประเทศชาติเสียหาย พวกเราในฐานะประชาชนของประเทศ จ�าต้องพูดคุยถกเถียงช้ีแจงแสดงกันใน วงกวา้ ง แสดงความรบั ผดิ ชอบรว่ มกนั รว่ มแรงรว่ มใจกนั แกไ้ ขปอ้ งกนั หากไมม่ กี ารแกไ้ ขเปลยี่ นแปลงได้ ตอ้ งรวมแรงรว่ มใจกนั คดั คา้ นขดั ขวาง เพอ่ื ไมใ่ หเ้ กดิ ผลกระทบเสยี หายตอ่ ชาตบิ า้ นเมอื งตอ่ ไป ปญั หานี้ เรยี กว่า ปัญหาสาธารณะ

134 สงั คมวทิ ยาเบื้องต้น ปญั หาสังคม “ปัญหาสังคม (Social problems)” หมายถึงสภาวะทางสังคมที่ถูกคุกคามท�าลาย บรรทดั ฐานและคณุ ค่าทางสงั คม* มผี ลกระทบกระเทอื นต่อบุคคลจา� นวนมาก แลว้ บคุ คลเหล่านน้ั รว่ ม กันจัดการแก้ไขปัญหาน้ัน (Spector and Kitsuse, ๑๙๘๗, Miller and Holstein, ๑๙๙๓ และ Sullivan, ๒๐๐๐: ๕) เพราะฉะนน้ั ปัญหาสงั คม จงึ เปน็ เรือ่ งสภาวะทางสังคมท่เี บีย่ งเบนไปจากภาวะ ปรกติ ไม่สอดคล้องสัมพันธ์กับบรรทัดฐานและคณุ ค่าทางสังคม คกุ คามท�าลายความสัมพนั ธแ์ ละสงบ สขุ ของมนษุ ย์ ในแงน่ ี้ ปญั หาสงั คมจงึ มขี อบเขตทก่ี วา้ งมาก โดยรวมไปถงึ คน = อาชญากรรม คอรร์ บั ชนั การวา่ งงาน หยา่ ร้าง โสเภณี วัยร่นุ การฆา่ ตวั ตาย สตั ว์ = โรคระบาดต่าง ๆ สิ่งของ = สภาพแวดล้อม เปน็ พิษ ยาเสพติดให้โทษ สภาวการณ์ = อัคคภี ยั วาตภยั อุทกภัย สงคราม ความยากจน ท่จี �าต้องรว่ ม กันแก้ไขปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหรือก�าจัดปัญหาน้ัน ด้วยแนวทางนโยบายท่ีถูกต้องและสอดคล้องกับ สภาพการเปลยี่ นแปลงทางสงั คมท่เี ปน็ จริงอยา่ งมีประสทิ ธภิ าพประสทิ ธิผล ตามทศั นะของพระพทุ ธศาสนา “ปญั หา กค็ อื ตวั ทกุ ข”์ (Problems or sufferings) อนั หมาย ถึงสภาวะที่ถูกกดดันบีบค้ันขัดแย้งฝ่าฝืนบกพร่องผิดปกติไม่สะดวกสบายทนได้ยากมีภัยอันตราย นา่ กลวั ตอ้ งแตกดบั สน้ิ ไป เพราะเหตปุ จั จยั สรา้ งสรรคป์ รงุ แตง่ ทา� ใหเ้ กดิ ขน้ึ เปลยี่ นไปเปน็ สภาพอยา่ งอน่ื ไม่ปกติ เป็นสภาวะไม่สมบูรณ์มีความผิดปกติบกพร่องในตัวของมันเอง เป็นสภาวะสร้างความสับสน วนุ่ วายเดอื ดร้อนไมพ่ ึงประสงคต์ อ้ งการแกผ่ ปู้ ระสบพบเข้า ปญั หาหรอื ทุกข์กม็ ีหลายแบบลกั ษณะและ ประเภท ถา้ มองมาท่ตี วั มนษุ ย์ ก็จะพบปัญหาเก่ียวกับสงั ขารร่างกาย ทุกข์กายทุกข์ใจ เป็นความทกุ ข์ หรือปัญหาตามความเป็นจริงแบบอริยสัจ ท่ีมนุษย์ต้องก�าหนดรู้เข้าใจแก้ไขปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ตามเหตปุ ัจจยั อันเปน็ ปญั หาเกย่ี วกับการเกดิ แก่ ตาย เรียกวา่ ทุกขป์ ระจ�าสังขารร่างกาย เปน็ ธรรมดา หรือธรรมชาติอย่างนั้น หากเราคิดพิจารณาความเกิด แก่ ตาย ก็จะพบเห็นว่า มันไม่ได้เป็นสาเหตุ โดยตรงของปญั หา แตเ่ ปน็ สาเหตหุ นง่ึ ทา� ใหเ้ กดิ ปญั หา เกดิ มาแลว้ ไมด่ กี เ็ ปน็ ปญั หา กลวั ความแกค่ วามตาย ก็เป็นปัญหา ปัญหาเกี่ยวกับความโศกเศร้าเสียใจ ร�าพันคร�่าครวญ ไม่สบายกายและใจ คับแค้นใจ ประสบพบเจอสิ่งไม่เป็นท่ีรัก พลัดพรากจากส่ิงท่ีรัก ผิดหวังไม่สมหวัง เรียกว่าทุกข์จรมาเกิดขึ้น เปล่ยี นแปลงตามเหตปุ จั จยั และกาลเวลา เมอื่ หวิ กระหาย อยากตอ้ งการ ปวดเมอื่ ยตามแขนขารา่ งกาย ปวดหวั ตวั รอ้ น ปวดอจุ จาระปัสสาวะ ก็รู้สกึ เปน็ ทุกขม์ ีปัญหา เปน็ ปัญหาหรอื ทุกขป์ ระจ�าวัน หากไม่รู้ เขา้ ใจตามความเปน็ จรงิ ไปยดึ มน่ั ถอื มน่ั เกนิ ไปกเ็ ปน็ ทกุ ข์ ถา้ รเู้ ขา้ ใจอยา่ งถกู ตอ้ งมเี หตผุ ล จดั การบรหิ าร * บรรทัดฐาน คือกฎหรือมาตรฐานท่ีควบคุมพฤติกรรมมนุษย์ในสังคมให้มีวินัยเป็นระเบียบเรียบร้อย เป็นรูปแบบพฤติกรรมที่ กลุ่มคนในสังคมนั้น ๆ ร่วมกันคาดหวังยอมรับและต้องการ คุณค่าหรือค่านิยม คือความเชื่อท่ีกลุ่มคนในสังคมน้ัน ๆ ยึดถือ ปฏิบัติรว่ มกนั เปน็ เคร่อื งช่วยในการตัดสนิ ใจและก�าหนดการกระท�าของตนและสังคม

ปัญหาทางสงั คม 135 ตามเหตปุ จั จยั และกาลเวลา กจ็ ะปลอ่ ยวางอสิ ระไรท้ กุ ขก์ งั วล เพราะมนั เกดิ ขนึ้ ตง้ั อยเู่ ปน็ ไปตามธรรมดา เหตุปัจจัย ไม่เป็นไปในอ�านาจของเราหรือของใคร ในความหมายนี้ ชีวิตมนุษย์จึงเต็มไปด้วยปัญหา หรือความทุกข์ มีสุขน้อยแต่ทุกข์มาก ไม่มีใครรอดพ้นปัญหาน้ีไปได้ หากเรามองไปท่ีสภาพลักษณะ ทั่วไปของชีวิตสังคมโลก ก็จะเห็นสรรพส่ิง (สังขารหรือส่ิงทั้งหลายที่ปัจจัยปรุงแต่งสร้างขึ้นทั้งปวง เป็นทุกข์ = สัพเพ สังขารา ทุกขา, เป็นปัญหาในไตรลักษณ์ ปัญหาท่ัวไปของสรรพส่ิง) มีการเกิดข้ึน ดา� รงอยู่ แลว้ กแ็ ตกดบั สน้ิ ไป เปน็ ภาวะไมค่ งอยใู่ นสภาพเดมิ ได้ กเ็ ปน็ ปญั หาทว่ั ไปอยา่ งหนงึ่ รวมความแลว้ ถ้าไม่รู้เข้าใจสิ่งท้ังหลายตามความเป็นจริงมีเหตุผล ไปยึดติดถือม่ันจนเกินไป ก็เป็นปัญหาหรือทุกข์มี ทั้งระดับเล็กและใหญท่ ่วั ไป การศกึ ษาปญั หาสังคมทว่ั ไป โดยทวั่ ไป นกั สงั คมวทิ ยาทงั้ หลายสนใจศกึ ษาปญั หาในแงค่ วามเปน็ อยเู่ ปน็ ไปในสงั คม ในปลาย คริสต์ศตวรรษท่ี ๑๙ และต้นคริสต์ศตวรรษท่ี ๒๐ นักสังคมวิทยาทั้งหลายสนใจเร่ืองพยาธิวิทยาทาง สังคม (Social pathology approach) อนั เป็นเร่อื งของคนป่วยไรศ้ ลี ธรรมประพฤตเิ สียหายเบีย่ งเบน ไปจากบรรทดั ฐานและคณุ ค่าทางสังคม เป็นสภาวะทางสังคมที่ถือว่าเป็นโรคหรือไม่ปรกตทิ แ่ี สดงออก ในรูปปัญหาสังคม เชน่ ความยากจน โสเภณี อาชญากรรม คอรัปชัน่ ยาเสพติด การหย่าร้าง และการ ฆ่าตัวตาย เป็นต้น หลังจากสงครามโลกคร้ังที่ ๑ (๑๙๑๘) การศึกษาปัญหาสังคมเป็นลักษณะศึกษา ความเสียระเบียบทางสงั คม (Social disorganization approach) ยงั มคี วามสนใจในเรื่องพฤตกิ รรม เสียหายเบี่ยงเบนของบุคคล โดยมุ่งไปท่ีอิทธิพลส่ิงแวดล้อมทางสังคม อันเป็นเหตุปัจจัยภายนอก ช่วยในการอธิบายพฤตกิ รรมเสยี หายเบ่ียงเบนของมนุษย์ (Neubeck and Neubeck, ๑๙๙๗: ๒ และ Eitzen and Zinn, ๑๙๙๒: ๒) ในตน้ ครสิ ตศ์ ตวรรษที่ ๒๑ นกั สงั คมวทิ ยาทงั้ หลายไดเ้ หน็ ภาพของความ ขัดแย้งของปัญหาสังคม โดยมองลักษณะปัญหาของมนุษย์ในสังคม เป็นผลมาจากวิทยาการ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยสี มยั ใหมท่ นั สมยั การตดิ ตอ่ สอื่ สารทนั สมยั ทางคอมพวิ เตอรห์ รอื อนิ เตอรเ์ นท ที่ช่วยให้มนุษย์ในสังคมสมัยใหม่ได้รับความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น (Sullivan, ๒๐๐๐: ๓) เป็นแบบ ลักษณะการศึกษาปัญหาท่ีอยู่บนฐานวิทยาการความรู้ทางวิทยาศาสตร์ อันเป็นศาสตร์ของสังคมโลก ตะวันตกเสียส่วนมาก เป็นวิทยาการความรู้เกี่ยวกับวัตถุสิ่งของ อันเป็นเหตุปัจจัยภายนอก เป็นการ ศึกษาเหตุปัจจัยภายนอกเข้าหาภายใน หรือศึกษาสังคมสิ่งแวดล้อมเข้าหาตัวมนุษย์เอง จัดการแก้ไข ปรบั สงั คมสง่ิ แวดลอ้ มภายนอกเขา้ หาตวั มนษุ ยห์ รอื จติ ใจมนษุ ยเ์ ปน็ สา� คญั เพอื่ ปอ้ งกนั และแกไ้ ขปญั หา ทา� ใหป้ ญั หาทง้ั หลายลดนอ้ ยหมดหายไป เพอื่ การเปน็ อยเู่ ปน็ ไปไดด้ ว้ ยดขี องชวี ติ สงั คมโลก อนั เปน็ แบบ ลักษณะป้องกนั แกไ้ ขปญั หาสังคมสง่ิ แวดลอ้ มภายนอกได้ แต่มนุษยก์ ลบั ยังมีปญั หาเหมือนเดมิ

136 สังคมวทิ ยาเบอ้ื งตน้ การศกึ ษาปญั หาแบบพทุ ธ จากข้อความท่ีกล่าวมาเบื้องต้น พอจะก�าหนดรู้เข้าใจได้ว่า การศึกษาปัญหาทางตะวันตก เป็นการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์ พยายามศึกษาวิเคราะห์ปัญหาเชิงวิทยาศาสตร์ โดยการต้ังก�าหนด ปัญหา ต้ังข้อสมสมติฐาน ก�าหนดวางแผนการศึกษา เก็บรวบรวมข้อมูล สังเกต เปรียบเทียบ พิสูจน์ ทดลอง วเิ คราะหข์ อ้ มลู และสรปุ ผลการศกึ ษา เพอ่ื หาขอ้ สรปุ อธบิ ายบรรยายปรากฏการณป์ ญั หาสงั คม อย่างใดอย่างหนึ่งตามความเป็นจริงมีเหตุผลให้ได้มากที่สุดเท่าท่ีจะท�าได้ ส่วนการศึกษาปัญหา ตามแนวพทุ ธ ไมใ่ ชก่ ารศกึ ษาแบบวทิ ยาศาสตรห์ รอื ปรชั ญา แตเ่ ปน็ การศกึ ษาคน้ พบความจรงิ ชวี ติ สงั คม โลกหรือความจริงส่ิงท้ังหลายด้วยการตรัสรู้ อันเป็นประสบการณ์ทางจิตชั้นสูง เป็นเร่ืองของบุคคล ผมู้ ีศีล บา� เพญ็ สมาธิ ละกเิ ลสทเ่ี รียกว่านวิ รณ์ ๕ ได้ เปน็ จติ สะอาด สงบ สว่าง แลว้ บรรลุฌาน ๑-๒-๓-๔ ตามลา� ดบั นอ้ มจิตที่สงบหรอื ควรแก่การงานไปเพง่ ดอู ะไร (ญาณทัสสนะ) ก็จะรเู้ ห็นส่งิ นัน้ ด้วยปญั ญา ตามความเปน็ จรงิ (สมาหโิ ต ยถาภตู งั ปชานาต)ิ เกดิ การรแู้ จง้ สง่ิ ทง้ั หลายตามความเปน็ จรงิ (วปิ สั สนา- ญาณ) เหมอื นกบั คนเราเดนิ เขา้ ไปในทมี่ ดื หรอื หอ้ งมดื แลว้ เปดิ ไฟใหส้ วา่ ง แสงสวา่ งกจ็ ะทา� ลายความมดื เป็นการหยั่งรู้ถึงธรรมหรือธรรมดา ท�าให้หมดความลังเลสงสัย ท�าให้สามารถเห็นส่ิงต่าง ๆ ทั้งหลาย ไดอ้ ยา่ งแจม่ แจ้งชัดเจน ร้เู ข้าใจชวี ิตสงั คมปัญหาทัง้ หลายตามความเปน็ จรงิ มีเหตผุ ล เป็นแบบลกั ษณะ เกิดข้ึน ตั้งอยู่ และก็ดับหายไปตามเหตุปัจจัยและกาลเวลา เป็นการศึกษารู้เข้าใจปัญหาธรรมดาหรือ ธรรมชาติ ปัญหาทกุ อยา่ งมเี หตุปัจจัยทา� ใหเ้ กดิ หากจะแกแ้ ละดบั ตอ้ งแกแ้ ละดับที่เหตแุ ห่งปญั หาน้ัน ปัญหาแรกที่มนุษย์ทุกคนต้องทา� ความรู้เขา้ ใจ คือปญั หาชีวติ มนษุ ย์ ก่อนท่ีจะไปรู้เข้าใจ ปัญหาท้ังหลาย ต้องรู้เข้าใจปัญหาตัวเองก่อน อะไรคือปัญหาส�าคัญ ต้นตอที่แท้จริงของปัญหาอยู่ ตรงไหน จะจัดการกันแก้กันอย่างไร จึงจะไม่มีปัญหา เป็นการรู้เข้าใจอย่างถูกต้องถ่องแท้ รู้เท่าทัน ธรรมดาปัญหา ช่วยสร้างสรรค์พัฒนาตน ความรู้เข้าใจหลักธรรมดาหรือความจริงสิ่งดีงามท่ัวไป เป็นความรู้อันสูงส่งประเสริฐ แม้จะมีความรู้วิชาอื่นมากมาย แต่ขาดความรู้เข้าใจหลักธรรมดาปัญหา ชีวิตก็มีปัญหาไม่สามารถด�าเนินไปได้สะดวกราบรื่น ตามทัศนะของพระพุทธศาสนา ปัญหาหรือทุกข์ เป็นเร่ืองแรกส�าคัญจ�าเป็นต้องก�าหนดรู้เข้าใจก่อนสิ่งอื่นใด เป็นการศึกษาเริ่มจากตัวปัญหาท่ีแท้จริง เพราะเป็นสิ่งใกล้ตัวรู้เห็นเข้าใจง่าย ต้องรู้ว่าอะไรคือปัญหา ตัวปัญหาอยู่ท่ีไหน จากน้ันหาสาเหตุของ ปัญหา ก�าหนดรู้ท�าความเข้าใจสภาพลักษณะขอบเขตปัญหา เมื่อรู้เข้าใจสภาพขอบเขตปัญหาแล้ว จะท�าอย่างไรจะจัดการอย่างไร จึงจะได้หรือส�าเร็จ เหมือนกับนายแพทย์ตรวจดูอาการโรคของคน ปว่ ยไข้ จา� ตอ้ งรเู้ รอื่ งสรรี ะรา่ งกายเพราะเปน็ ทตี่ ง้ั แหง่ ปญั หาโรคทง้ั หลาย จากนน้ั คอ่ ยหาสมฏุ ฐานทเี่ กดิ ของโรค จนรู้เข้าใจโรคหรือแหล่งก�าเนิดโรค แล้วลงมือรักษาให้ยาหรือวางยา แล้วโรคก็จะหายไปเอง นายแพทยไ์ มส่ ามารถไมม่ หี นา้ ทกี่ า� จดั เชอ้ื โรคไดโ้ ดยตรง เปน็ แตเ่ พยี งผรู้ ดู้ อู าการบอกชแ้ี จง เพราะปญั หา

ปญั หาทางสังคม 137 หรอื โรคจะหายไดน้ น้ั กอ็ ยทู่ ตี่ วั ของมนั เอง อยทู่ เ่ี หตปุ จั จยั ความเหมาะสมลงตวั พอดี ฉะนน้ั หนา้ ทสี่ า� คญั ของมนษุ ยท์ กุ คน กค็ อื ตอ้ งเรยี นรเู้ ขา้ ใจชวี ติ อนั ทเ่ี ปน็ ตงั้ แหง่ ปญั หาหรอื ทกุ ขท์ งั้ หลายตามความเปน็ จรงิ มเี หตผุ ล แลว้ จดั การแกไ้ ขปอ้ งกนั ตามเหตปุ จั จยั เหลา่ นน้ั เปน็ การทา� หนา้ ทอี่ ยา่ งมเี หตผุ ลถกู ตอ้ งเหมาะ สมพอเพยี งต่อเนอ่ื ง อนั เป็นแบบลกั ษณะการศึกษาปัญหาทอี่ ยูบ่ นฐานธรรมหรือธรรมชาติ เกิดข้ึนเป็น ไปตามธรรมดาของมัน อันมีหลายสาเหตุและปัจจยั ทั้งภายในและภายนอก อนั เปน็ ศาสตรข์ องสงั คม โลกตะวนั ตกออกหรอื ของพระพทุ ธเจา้ เป็นวิทยาการความรู้เก่ียวกับธรรมดาหรือธรรมชาติ ท่ีเกิดขึ้น เปน็ ไปดบั ไปเพราะเหตปุ จั จยั ทงั้ ภาย กลา่ วคือเพราะมนษุ ยเ์ องและสังคมสิง่ แวดล้อม แต่ทรงสอนเนน้ ตัวมนุษย์เองเป็นผู้สร้างท�าปัญหา หรือเป็นสาเหตุส�าคัญของปัญหาท้ังหลาย เป็นการศึกษาเหตุปัจจัย ภายในไปสภู่ ายนอก หรอื ศกึ ษาจากชวี ติ มนษุ ยไ์ ปสสู่ งั คมสง่ิ แวดลอ้ ม จดั การแกไ้ ขปรบั มนษุ ยห์ รอื จติ ใจ มนุษย์ เข้าหาสังคมสิ่งแวดล้อม เพ่ือจัดการแก้ไขป้องกันเปล่ียนแปลงปัญหาทั้งสองทาง ให้เกิดความ ถกู ตอ้ งดีงาม ความสมดุลบูรณาการ ทา� ใหป้ ญั หาทัง้ หลายบรรเทาลดน้อยและหมดไป เพอื่ การเปน็ อยู่ เปน็ ไปไดด้ ว้ ยดี มชี วี ติ ทด่ี งี ามประเสรฐิ ไรป้ ญั หา อนั เปน็ แบบลกั ษณะสงั คมสง่ิ แวดลอ้ มภายนอกวนุ่ วาย มปี ัญหา แตม่ นุษยก์ ลบั สขุ สบายไร้ทุกข์กงั วลใจ จากปรากฏการณ์สงั คมท่ัวไป ผ้เู ขยี นสงั เกตเหน็ ไดว้ า่ เม่อื มีปญั หาเกดิ ข้นึ มนุษยท์ งั้ หลายมัก คดิ โทษคนอนื่ สง่ิ อนื่ มกั โยนปญั หาใหก้ บั คนอนื่ สงิ่ อนื่ คดิ ตอ้ งการใหค้ นอนื่ มาชว่ ยแกป้ ญั หากอ่ น มกั แก้ ปัญหาท่ีคนอื่นสิ่งอื่นภายนอกก่อน ก่อนท่ีจะมาแก้กันท่ีตัวมนุษย์เอง หรือช่วยเหลือตัวเองก่อน เปน็ ปรากฏการณม์ ใี หพ้ บเหน็ อยทู่ ว่ั ไป อนั เปน็ แบบลกั ษณะของคนทแ่ี ยอ่ อ่ นแอ ไมต่ อ่ สดู้ นิ้ รนขวนขวาย ไม่รู้ไม่เข้าใจตามความเป็นจริง เดินด้วยตนเองไม่ได้ มีแต่ความประมาท และมีแต่ปัญหา เพื่อให้เห็น ภาพรู้เขา้ ใจอย่างแจ่มแจ้งชดั เจน จึงขอยกตัวอย่าง สนุ ขั หรอื หมาขีเ้ ร้ือนตัวหนึง่ ธรรมดาวา่ หมาข้เี รือ้ น มักมีปัญหาคันไปตามตัวอยู่ตลอดเวลา มักคิดและโทษสิ่งอ่ืนอยู่เสมอ ย้ายที่เปล่ียนแปลงตลอดเวลา แรกเรมิ่ เดมิ ที มนั นอนอยใู่ ตต้ น้ ไมต้ น้ มะมว่ ง มนั กค็ นั และเกาตลอดเวลา แลว้ มนั กค็ ดิ ขน้ึ ไดว้ า่ ตน้ ไมต้ น้ มะม่วงน้ีไม่ดีต้องมีอะไรแน่นอนท�าให้มันคันเป็นปัญหา แล้วมันก็ย้ายไปนอนที่ใต้ท้องรถยนต์ แต่ก็ยัง คันเป็นปัญหาเหมือนเดมิ แล้วมันกค็ ิดโทษรถยนต์น้ัน ทา� ให้มนั คันเป็นทุกข์มปี ัญหา จากนน้ั มนั ก็ยา้ ย ตัวมันเองไปนอนในครัวในบ้านของเจ้าของมัน ก็ยังมีปัญหาเหมือนเดิมอีก แต่พอเจ้าของมันเผลอ มนั กก็ ระโดดข้นึ เตยี งนอนไปนอนท่ีนอนของเจา้ ของมัน แต่มนั ก็ยังคนั เปน็ ปญั หาเหมอื นเดมิ ผ้เู ขียนจึง ต้องการถามผูอ้ ่านหรือผมู้ ีปัญหาว่า อะไรคอื ปัญหา อะไรคอื สาเหตแุ ห่งปญั หา จะจดั การแกไ้ ขป้องกนั ปญั หานนั้ อยา่ งไร อนั เปน็ ประสบการณจ์ ากการสงั เกตเหน็ นสิ ติ นกั ศกึ ษาและเดก็ ทวั่ ไป มกั คดิ และโทษ ท่ีเรียนสถานศึกษา สภาพแวดล้อม ครูอาจารย์ผู้สอนจนเกินไป แล้วไม่ต้ังใจศึกษาเล่าเรียน อ้างไป ตา่ ง ๆ นานา ๆ และทส่ี ดุ กห็ นเี รยี นออกจากโรงเรยี นไป จงึ ขอใหค้ ดิ ทบทวนเสยี ใหมว่ า่ อะไรเปน็ ปญั หา ส�าคญั ท่แี ท้จริง ท่ีจะต้องจดั การแก้ไขให้ตรงจดุ ตรงประเดน็ มากท่สี ุด

138 สงั คมวิทยาเบือ้ งต้น กระบวนการท่เี ป็นปญั หาและไร้ปญั หา กระบวนการปญั หา เปน็ กระบวนการทเี่ กดิ ขน้ึ เปน็ ไปอาศยั ซงึ่ กนั และกนั (ตรงกบั หลกั ปฏจิ จ- สมปุ บาทในพระพทุ ธศาสนา สรรพสงิ่ เกดิ ขน้ึ เปน็ ไปอาศยั ซงึ่ กนั และกนั ) กระบวนการคดิ แกป้ ญั หาทาง สังคมตะวันตกส่วนใหญ่ มุ่งคิดจัดการป้องกันแก้ไขปัญหา โดยให้มนุษย์จัดการเอาชนะส่ิงแวดล้อม ภายนอก ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากพระเจ้าและวิทยาศาสตร์ เป็นแนวคิดป้องกันแก้ไขปัญหาที่แยกตัว มนุษย์ออกจากความจรงิ ธรรมดาหรือธรรมชาติ เพราะวิทยาการความรแู้ บบวิทยาศาสตร์ ที่สังคมโลก ตะวนั ตกเหน็ และยอมรบั วา่ เปน็ ความรจู้ รงิ แท้ มเี หตผุ ล และเปน็ สงิ่ สากล เปน็ ความรทู้ พี่ ยายามเอาชนะ ธรรมชาติ เอาธรรมชาติมาตอบสนองความต้องการมนุษย์เป็นส่วนใหญ่ ท�าให้มนุษย์แยกออกจาก ธรรมชาตอิ ยา่ งชดั เจน ทา� ใหต้ อ่ สขู้ ัดแยง้ กันมากขึ้น ก่อปญั หาสรา้ งความเดอื ดรอ้ นมากมายตามล�าดับ อนั สง่ ผลเสยี ตอ่ ชวี ติ สงั คมโลกจนถงึ ทกุ วนั น้ี จงึ มกี ารคดิ ใหมท่ า� ใหมก่ นั อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ปจั จบุ นั วทิ ยาการ ความรขู้ องฝา่ ยตะวนั ตกและออกไดม้ าประสานบรรจบกนั ตรงทวี่ า่ ความจรงิ ของชวี ติ สงั คมโลกประกอบ ไปด้วยความจริงทหี่ ลากหลายมากมาย ความจริงมหี ลายประการทเ่ี ก่ียวกบั พฤตกิ รรมการกระท�าและ การเปลี่ยนแปลงสังคมโลก ในกระบวนการสร้างท�าเปลี่ยนแปลง ก็มีมนุษย์เป็นตัวการส�าคัญสร้าง ท�าแสดง หรอื มีบุคคลทัง้ หลายเป็นผู้สร้างกา� หนดแสดงทางสังคม เป็นกระบวนการทางสงั คมทเี่ กิดข้ึน เป็นไปอย่างมีเหตผุ ล ประกอบไปด้วยหลายสิง่ หลายอย่าง ไม่ใช่เกิดขนึ้ ลอย ๆ ไร้เหตุผล ไมใ่ ชก่ ารสรา้ ง ดลบันดาลของเทพเจ้าผู้ย่ิงใหญ่ มนุษย์เท่าน้ันเป็นผู้สร้างก�าหนดบันดาลให้เกิดขึ้นเป็นไป ปัญหาทุก ปัญหามาจากมนุษย์ ปัญหาทุกปัญหาเกิดจากปัญหาส่วนบุคคล แล้วพัฒนากลายเป็นปัญหาสังคม เป็นหลักความจริงมีเหตุผล ความจริงสิ่งสากล ความจริงสิ่งดีงาม ในตัวมนุษย์แต่ละคน ก็มีจิตหรือ กระบวนการทางจิต เป็นตัวแกนสา� คญั ทา� ให้มนุษย์แสดงพฤตกิ รรมการกระท�าตา่ ง ๆ ทั้งหลาย ฉะนน้ั มนษุ ยจ์ า� ตอ้ งเรยี นรฝู้ กึ ฝนอบรมพฒั นาจติ หรอื ตนใหไ้ ดใ้ หบ้ รสิ ทุ ธบิ์ รบิ รู ณ์ ตามกระบวนการขดั เกลาหรอื เรียนรูท้ างสังคม กระบวนการนเ้ี ป็นลกั ษณะจติ ท่ีประกอบด้วยความคิด ความเชือ่ บรรทัดฐาน คุณค่า ทางสงั คม ทศั นคติ ประเพณี และวฒั นธรรม เปน็ สว่ นประกอบสา� คญั หรอื ปจั จยั สา� คญั ในการสรา้ งความ จริงทางสงั คม (Social construction of reality, เปน็ ทฤษฎใี หมท่ ันสมยั ทีส่ ดุ ) อันสอดคลอ้ งสัมพันธ์ กับหลักการทางพระพุทธศาสนา (โดยเฉพาะหลักกรรม อริยสจั และปฏจิ จสมปุ บาท) ธรรมหรือความ จริงเกิดอาศัยกันข้ึน เกิดข้ึน ต้ังอยู่ และดับไปเพราะเหตุปัจจัย คือมีหลายสาเหตุและปัจจัยท�าให้เกิด ข้ึนเป็นไป เกิดขึ้นเป็นไปอย่างถูกต้องเหมาะสม อันเป็นความสมดุลและบูรณาการระหว่างมนุษย์กับ ธรรมชาติส่ิงแวดล้อม ไม่มีการแยกออกจากกัน ในกระบวนการนี้ ก็ถือมนุษย์เป็นตัวการส�าคัญใน การสรา้ งทา� กา� หนดแสดง ในตวั มนษุ ย์ กถ็ อื จติ เปน็ ตวั แกนสา� คญั ในการกระทา� หรอื แสดงพฤตกิ รรมตาม เหตุปัจจยั อยา่ งถูกต้องเหมาะสมให้เกิดความสมดลุ ทุกสง่ิ ทกุ อยา่ งจะมปี ญั หาหรอื ไมม่ ปี ญั หา ก็ข้ึนอยู่ กับตัวมนุษย์เองเป็นส�าคัญ ปัญหาทุกปัญหาเกิดแต่เหตุ หากจะแก้และดับ ต้องแก้และดับที่เหตุแห่ง ปัญหานน้ั ตามกระบวนการนี้ หากมนษุ ยเ์ กิดมาไม่ร้คู วามจริง ไมร่ เู้ ขา้ ใจส่งิ ทง้ั หลายตามความเปน็ จริง

ปญั หาทางสงั คม 139 ไม่ศกึ ษาเล่าเรียน ไมม่ ีการฝกึ ฝนอบรมพัฒนาตนเอง เมอื่ มคี วามอยาก ก็จะมีความอยากต้องการทีผ่ ิด ไมถ่ กู ตอ้ งชอบธรรม ทา� ใหก้ ระทา� ผดิ หรอื แสดงพฤตกิ รรมผดิ พลาดเสยี หาย กลายเปน็ ปญั หาหรอื มชี วี ติ ทมี่ แี ตป่ ญั หา ในทางตรงกนั ขา้ ม ถา้ มนษุ ยเ์ กดิ มารคู้ วามจรงิ รเู้ ขา้ ใจสงิ่ ทงั้ หลายตามความเปน็ จรงิ ศกึ ษา เลา่ เรยี นฝกึ ฝนอบรมพฒั นาตนเอง ใหบ้ รสิ ทุ ธส์ิ มบรู ณห์ รอื มคี ณุ ภาพชวี ติ เมอื่ มคี วามอยาก กจ็ ะมคี วาม อยากต้องการท่ีถูกต้องชอบธรรม ท�าให้ท�าถูกหรือแสดงพฤติกรรมถูกต้องดีงามไม่ผิดพลาดเสียหาย ท�าใหไ้ มม่ ปี ัญหาหรือมชี วี ติ ท่ไี ร้ปญั หา เป็นกระบวนการธรรมดาเหตุผล และธรรมดาทว่ั ไป เมอ่ื รู้เขา้ ใจข้อเทจ็ จริงอยา่ งน้ีแลว้ ต้องมงุ่ สรา้ งสรรคพ์ ฒั นาตนใหร้ ้เู ข้าใจความจริงส่งิ ท้ังหลาย ความสัมพนั ธ์ของสิ่งทัง้ หลาย ระหว่างชวี ิต สงั คม และสงิ่ แวดล้อม ใหม้ คี ุณภาพคณุ คา่ และความหมาย ให้สามารถปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายรอบตัวอย่างถูกต้องเหมาะสม ก่อเกิดความดีงามเป็นประโยชน์สุข เก้ือกูล เกิดความบริสุทธิ์สมบูรณ์อิสระหลุดพ้น และเม่ือน้ัน สภาพท่ีเป็นปัญหาหรือทุกข์ อันเป็นกระ บวนการธรรมดาเหตผุ ล กจ็ ะบรรเทาลดนอ้ ยลงแลว้ ทส่ี ดุ กจ็ ะหมดหายไป ไมก่ อ่ ปญั หาสรา้ งความเดอื ด ร้อนวุ่นวายอีกต่อไป ก็เพราะมนุษย์เราเข้าถึงความจริงมีเหตุผล ความจริงส่ิงสากล ความจริงส่ิงดีงาม ตลอดถงึ ความสมั พนั ธข์ องสงิ่ ทง้ั หลาย ระหวา่ งมนษุ ย์ สงั คม และสง่ิ แวดลอ้ ม ใหป้ ระสานกลมกลนื เปน็ ประโยชน์ เกิดขึ้นเป็นไปอาศัยซึ่งกันและกันอย่างสมดุลพอเพียง เพราะธรรมดาความจริงสิ่งทั้งหลาย เกดิ ขน้ึ เปน็ ไปอาศยั ซง่ึ กนั และกนั ตามเหตปุ จั จยั และกาลเวลา อนั เปน็ กระบวนการพฒั นา พฒั นามนษุ ย์ ใหม้ ีคณุ ภาพชวี ิต พฒั นาปรับเปลี่ยนปัญหาเปน็ ปญั ญา พาชวี ิตเจรญิ งอกงามตอ่ ไป ผลกระทบจากปญั หา จากปรากฏการณก์ ารศกึ ษาปญั หาสงั คมทง้ั หลาย ปญั หา กค็ อื ตวั ทกุ ข์ ปญั หาหรอื ทกุ ขเ์ กดิ ขนึ้ ไดอ้ ย่างไร ก็มนษุ ยน์ น้ั แหละเป็นตัวบงการส�าคญั ในการสรา้ งทา� กา� หนดแสดง เป็นผู้สรา้ งทา� เอง แลว้ ก็ รบั ผลปญั หานนั้ เอง (เทา่ กบั ยอมรบั กฎแหง่ กรรม) เปน็ ขอ้ เทจ็ จรงิ ทค่ี นทงั้ หลายทงั้ ฝา่ ยตะวนั ตกและออก เห็นและยอมรับตรงกัน ผู้เขียนจึงตั้งข้อสังเกตอยู่เสมอว่า ปัจจุบันน้ี วิทยาการความรู้ของทั้งสองฝ่าย ไดม้ ารเู้ หน็ และยอมรบั ตรงกนั ในหลายเรอื่ ง เทา่ กบั วา่ สงั คมโลกปจั จบุ นั ไดย้ อมรบั วทิ ยาการความรทู้ อ่ี ยู่ บนฐานธรรมหรือธรรมดา เร่อื งปัญหาก็เปน็ เรื่องธรรมดาของมนษุ ย์ ตรงกนั ข้ามกับปญั หาหรอื ทกุ ข์ ก็คือความสขุ หรอื ไร้ ปัญหาน้ันเอง ในชวี ติ ทางสังคม ปญั หาและไร้ปัญหา หรอื ทกุ ขส์ ุข ก็เป็นเรือ่ งสา� คญั เกี่ยวข้องกบั มนษุ ย์ เองโดยตรง มีการศึกษากันอย่างกว้างขวางแพร่หลาย ท้ังทางตะวันตกและออก และมีการให้ค�าตอบ เอาไว้หลายแงม่ ุม ความจรงิ ทวั่ ไป มนุษย์เกดิ มาไมร่ อู้ ะไรเปน็ อะไร ไม่รู้จะท�าแสดงอยา่ งไร ต้องคอ่ ย ๆ ศึกษาเรียนรู้พัฒนาหาประสบการณ์ จากส่ิงแวดล้อมทางสังคม เช่น จากพ่อแม่ ครูอาจารย์ เพื่อน และจากสอ่ื ตา่ ง ๆ ทง้ั หลาย เมื่อเกดิ มามีชีวิตอยู่รอดปลอดภัย จะดา� รงชีวติ อย่างไร จะใช้ชวี ิตในสงั คม

140 สังคมวทิ ยาเบือ้ งตน้ อยา่ งไร จงึ จะไมม่ ปี ญั หาชวี ติ ทางสงั คม พบแตค่ วามสขุ ดงี ามไรป้ ญั หา เมอ่ื พดู ถงึ ความสขุ กม็ หี ลายแบบ ลกั ษณะประเภท ความสขุ ทางเนอื้ หนงั มงั สา ความสขุ ทอ่ี งิ อาศยั วตั ถปุ จั จยั ภายนอก ความสขุ ทางจติ ใจ ความสขุ ทเี่ กดิ จากคณุ งามความดหี รอื ทา� แตค่ วามดไี มม่ ปี ญั หา ความสขุ ทางปญั ญา เปน็ การรคู้ วามจรงิ ส่งิ ดีงาม เปน็ ความบริสทุ ธ์สิ มบูรณอ์ ิสระหลดุ พน้ เป็นความสขุ อย่างนนั้ ไมอ่ งิ อาศัยอะไร เปน็ ฝา่ ยดเี ปน็ ความสุขขั้นสูงสุด (ความสุข ๓ ระดับ ที่เกิดจากพฤติกรรมการกระท�า จิตใจ และปัญญา) ความสุข ท้ังหมดก็เกิดมาจากผลการสร้างท�าของมนุษย์เอง ในทางตรงกันข้าม หากมนุษย์ไม่รู้ไม่เข้าใจอะไร ขืนท�าลงไปแล้วไม่ดีก็มีแต่ปัญหา ก็เป็นปัญหาเกี่ยวกับตัวมนุษย์เอง เท่ากับว่า ท�ากรรมหรือปัญหาใด เอาไว้ ก็รับผลกรรมหรือปัญหานั้นเอง เป็นเร่ืองธรรมดาเหตุผล เกิดขึ้นเป็นไปตามธรรมดาเหตุปัจจัย มที ้ังหนกั และเบา มีทงั้ ระยะส้นั และยาว มีทง้ั ระดับเลก็ และใหญ่ เหมือนกบั ตน้ ไมม้ ีท้งั ให้ผลเร็วและชา้ หรือไม่ให้ผลเลยขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย มีท้ังราคาแพงและถูกหรือไม่มีราคาคุณค่าความหมาย ไม่ใช่เกิด ข้ึนลอย ๆ บังเอิญไร้สาระเหตุผล อย่างไรก็ตาม เพื่อคามรู้เข้าใจและการปฏิบัติอย่างถูกต้องมีเหตุผล จงึ ขอเสนอผลกระทบท่เี กดิ จากปญั หาท้งั หลาย ดังตอ่ ไปนี้ ๑. ตอ่ บคุ คล ความคดิ และพฤตกิ รรมการกระทา� ทกุ อยา่ งทตี่ งั้ ใจทา� ลงไป ยอ่ มมผี ลตอ่ มนษุ ย์ โดยตรงทงั้ ทางรา่ งกายและจติ ใจ แลว้ คอ่ ยพฒั นากลายไปเปน็ อยา่ งอนื่ เปน็ แบบลกั ษณะปญั หาไรป้ ญั หา ส่วนบุคคลหรือระดับเล็ก ผลกระทบทางร่างกาย การท�าดี-ช่ัวหรือจิตใจดี-ไม่ดีมีผลต่อร่างกาย เพราะรา่ งกายกบั จติ ใจตอ้ งทา� งานสมั พันธ์กนั อย่างมเี หตุผล สขุ ภาพร่างกายก็ขนึ้ อยกู่ ับสภาพคณุ ภาพ จิตใจน้ี จะสงั เกตเหน็ ได้วา่ เมอื่ มนุษยเ์ ราท�าชว่ั มีปัญหา เกิดความทกุ ขใ์ จ เดอื ดรอ้ นกลวั หวาดระแหวง กินก็ไม่ได้ นอนก็ไม่หลับ พักผ่อนก็ไม่เต็มท่ี ก็จะมีผลต่อสุขภาพร่างกาย ท�าให้เครียดปวดศีรษะ ความดันโลหติ สงู เปน็ โรคหวั ใจ เปน็ โรคกระเพาะอาหารและล�าไส้ สุขภาพรา่ งกายแยม่ ผี วิ กายด�าคลา้� หม่นหมองไม่ผ่องใสสวยงาม เป็นต้น หากท�าแต่ความดีไม่มีปัญหา ก็จะมีแต่สุขภาพร่างกายที่ดีไม่มี ปัญหาตรงกันข้ามตามท่ีกล่าวมา ส�าหรับผลทางจิตใจ ก็จะมีลักษณะสภาพจิตใจเป็นปัญหาไร้ปัญหา สุขหรือทุกข์ ดีหรือช่ัว เดือดร้อนสับสนกระวนกระวายไม่สบายใจ ไม่เดือดร้อนสับสนกระวนกระวาย สบายใจ กลวั หวาดระแวง องอาจกลา้ หาญในสงั คม เกดิ พลงั เขม็ แขง็ ทอ้ ออ่ นแอภายในจติ เปน็ ลกั ษณะ สภาพคดิ ปรงุ แตง่ จติ ทา� สงั่ สมเกบ็ มากเขา้ เปน็ แบบลกั ษณะจติ หรอื คณุ ภาพชวี ติ ทแี่ ตกตา่ งกนั อนั มผี ล ตอ่ การด�าเนนิ ชวี ติ ทัง้ ดีและไม่ดี มปี ัญหาไม่มีปัญหา เปน็ ข้อเทจ็ จริงอยา่ งหนึ่งทเ่ี กดิ ข้นึ กบั มนษุ ย์ทุกคน ๒. ครอบครัว พฤตกิ รรมการกระท�าบางอยา่ งท้ังดแี ละไมด่ ี มปี ัญหาและไร้ปญั หา ยอ่ มมีผล กระทบตอ่ ครอบครวั โดยออ้ ม เชน่ บตุ รทา� ดี ตง้ั ใจเรยี นหนงั สอื แลว้ ทา� การงานดมี คี วามมน่ั คง มแี ตค่ วาม เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า พ่อแม่ก็มีความดีใจภูมิใจสุขใจไปกับความส�าเร็จของบุตร หากบุตรท�าไม่ดีมีแต่ ปัญหาความเสียหาย นอกจากจะก่อปัญหาสร้างความเดือดร้อนวุ่นวายให้กับตัวเองและคนอ่ืนแล้ว

ปญั หาทางสังคม 141 พอ่ แมห่ รอื ครอบครวั กจ็ ะมแี ตค่ วามผดิ หวงั ทกุ ขใ์ จ มแี ตค่ วามอบั อายขายหนา้ ในสงั คม ไมอ่ งอาจสามารถ ในท่ามกลางสมาคม ไปไหนมาไหนก็หลบ ๆ ซ่อน ๆ ไป ในทา� นองเดยี วกัน หากพ่อแมท่ า� ผิดมีปัญหา กจ็ ะมผี ลกระทบตอ่ ครอบครวั เช่นเดยี วกนั ๓. สังคม ปัญหาบางอย่างท่ีเกิดข้ึนอาจมีผลกระทบต่อสังคมโดยอ้อม เป็นกรรมพฤติกรรม การกระทา� ท่ีเกย่ี วเนอ่ื งกนั เป็นแบบลักษณะหมคู่ ณะ สงั คม องค์กรสถาบนั เพราะมนุษยเ์ ราอยรู่ วมกัน เป็นหมู่คณะสงั คม คนหนงึ่ ทา� ผดิ เสยี หายมีปัญหา อาจมผี ลกระทบตอ่ สว่ นรวม เปน็ เรอ่ื งความสัมพันธ์ เกย่ี วข้อง สรรเสรญิ นินทา ยกย่องยอมรับไม่ยกย่องยอมรบั หากทา� ความดไี มม่ ีปญั หา กไ็ ดก้ ารยกย่อง ยอมรรบั เปน็ ทคี่ บหาของผคู้ นทง้ั หลายทวั่ ไป เปน็ ผอู้ งอาจสามารถในสงั คม กจ็ ะมแี ตล่ าภ ยศ สรรเสรญิ และความสุข ถ้าท�าช่ัวไม่ดีมีแต่ปัญหา ก็จะเส่ือมลาภ ยศ ถูกนินทา และมีแต่ความทุกข์ระทม เป็นท่ีรังเกียจไม่มีใครคบหาสมาคม ไม่มีความองอาจสามารถในสมาคม เป็นเร่ืองธรรมดาสังคมมีผล เกี่ยวเนือ่ งกัน มปี รากฏใหเ้ ห็นในทุกสงั คม ๔. ประเทศชาติ พฤติกรรมการกระท�าบางอย่างทั้งดีและไม่ดี เป็นปัญหาและไร้ปัญหา อาจมผี ลกระทบต่อประเทศชาติโดยอ้อม เปน็ ปญั หาทเ่ี กยี่ วเนอ่ื งกันเชน่ กัน อันส่งผลกระทบกระเทือน ในระดับกว้าง เช่น ผู้น�า นายกรัฐมนตรี ประธานาธิบดี และท่านทูต เพราะท่านเหล่านั้นเป็นตัวแทน ของประเทศชาติ หากแสดงพฤตกิ รรมหรอื ตดั สนิ ใจทา� ผดิ พลาดลงไป บรหิ ารจดั การเสยี หายผดิ พลาดไป ย่อมมีผลกระทบต่อประเทศชาติโดยอ้อมแน่นอน มีผลกระทบต่อส่วนรวมในวงกว้าง เป็นเร่ืองความ สัมพันธ์เก่ียวข้อง ความสงบเรียบร้อยดีงาม ความเป็นเอกภาพทางสังคม การยกย่องยอมรับต้องการ ไมย่ กยอ่ งยอมรบั ตอ้ งการ เปน็ ทร่ี งั เกยี จไมม่ ใี ครคบหาสมาคม เราจะไดย้ นิ อยบู่ อ่ ยครง้ั วา่ เปน็ กรรมหรอื ความซวยของประเทศชาติ ทเ่ี รามผี นู้ า� หรอื นายกไมด่ มี แี ตป่ ญั หา อนั แสดงใหเ้ หน็ เปน็ เรอื่ งธรรมดาทาง สงั คมประเทศชาติ มปี รากฏให้เห็นในทุกสังคมประเทศชาติ ๕. สังคมโลก ปัญหาบางอย่างที่เกิดข้ึนอาจมีผลกระทบกระเทือนต่อสังคมโลกโดยอ้อมได้ เช่นกนั เพราะเปน็ ปัญหาเก่ยี วเนอื่ งกัน เกดิ ขนึ้ สง่ ผลพวั พนั เกีย่ วกนั ไป เป็นเร่ืองความสัมพันธเ์ กี่ยวขอ้ ง ทางอ้อม เป็นปัญหาท่ีเกิดขึ้นเป็นไปบนฐานได้ลาภ เสื่อมลาภ ได้ยศ เส่ือมยศ มีคนยกย่องสรรเสริญ ไม่ยกย่องสรรเสริญ มีความสุข และก็ทุกข์เป็นปัญหาร่วมกัน อย่างเช่น พระพุทธเจ้า นักปราชญ์ นักวิทยาศาสตร์ท้งั หลาย ผลงานของท่านก็ส่งผลกระทบต่อมนุษย์ในทุกมุมของโลกถึงปจั จุบนั ปัญหา โลกร้อนหรือโลกเดือดร้อนไม่สงบ ก็เพราะเป็นผลมาจากแต่ละสังคมประเทศชาติ ท�าลายส่ิงแวดล้อม ทา� ใหเ้ กดิ ความเสียหายไม่สมดลุ พอเพียง จึงเกดิ เป็นปญั หา ทเี่ รยี กวา่ ปญั หาสังคมโลก เป็นเรื่องธรรมดาเหตุผล ท่ีเกิดอาศัยกันขึ้น เมื่อสิ่งน้ีเกิดหรือมี สิ่งน้ันก็เกิดหรือมีขึ้น ส่งผล พวั พันกันไปอยา่ งตอ่ เนอื่ ง มีปรากฏให้เหน็ ในทกุ สังคมโลก เพราะฉะนั้น ขอจงคิดทบทวนใหด้ ีเสยี ก่อน ก่อนที่จะตัดสินใจท�าอะไรลงไป ปัญหาทุกปัญหาเกิดมาจากตัวท่านเอง เป็นแบบลักษณะปัญหา

142 สังคมวิทยาเบ้อื งต้น สว่ นบคุ คล อันสง่ ผลกระทบต่อคนอ่ืน สังคม ประเทศชาติ และสงั คมโลกต่อไปอย่างมีเหตุผล คนบาง คนไม่มีเงิน แต่ต้องการเงิน จึงวางแผนลักขโมยหรือชิงทรัพย์ แล้วลงมือลักขโมยหรือชิงทรัพย์ หากเจา้ ของทรพั ยข์ ดั ขนื หรอื มกี ารตอ่ สู้ กอ็ าจจะถกู ทา� รา้ ยบาดเจบ็ พกิ ารหรอื ถกู ฆา่ ตาย เจา้ ของทรพั ย์ ได้รับความเสียหายหรือตายไป ถ้ามีลูกเมีย ลูกเมียก็เสียใจเดือดร้อนล�าบาก เป็นการก่อปัญหาสร้าง ความเดือดร้อนให้กับคนอ่ืนหรือครอบครัวของผู้อ่ืน แล้วอาจส่งกระทบต่อสังคมอีกต่อไป ผู้ก่อ อาชญากรรมก็เช่นกัน ต้องถูกจับมาลงโทษตามกระบวนการกฎหมายบ้านเมือง อาจติดคุกหรือถูก ประหารตามกรรมท่ีเขาท�า ท�าให้ครอบครัวหรือลูกเมียได้รับความอับอายขายหน้า เสียใจทุกข์ยาก ลา� บากเดอื ดรอ้ น กลายเปน็ ปญั หาครอบครวั และสังคมได้เชน่ กนั ประชาชนบางคนรเู้ ทา่ ไมถ่ งึ การณ์ ไมร่ คู้ ณุ คา่ ความหมายตน้ ไมป้ า่ ไมอ้ นั เปน็ ทรพั ยากรธรรมชาติ ไม่รู้ว่าน้�าอาศัยดินป่าต้นไม้ ดินป่าต้นไม้อาศัยน้�า สัตว์อาศัยน้�าป่าต้นไม้ หรือสรรพส่ิงคนสัตว์พืชพันธุ์ ธญั ญาหารอาศยั ดนิ นา้� ปา่ ตน้ ไมอ้ นั อดุ ม เปน็ กระบวนการเกดิ อาศยั กนั ตามธรรมดา จงึ ไดต้ ดั ไมท้ า� ลายปา่ ทา� ลายทรัพยากรธรรมชาติ ท�าลายสิ่งแวดลอ้ ม ทา� ให้เกดิ ความเสียหายขาดความสมดลุ ท�าใหโ้ ลกรอ้ น เกิดความแห้งแล้ง ดินแห้งแล้งไม่มีน�้าป่าต้นไม้ คนสัตว์จะอยู่กันอย่างไร ได้รับความทุกข์ยากล�าบาก เดือดร้อนกันไปท่ัว กลายเป็นปัญหาเพิ่มปัญหาตามล�าดับมีหลายระดับ มีท้ังระดับเล็กและใหญ่ กลา่ วคอื ระดบั สว่ นบคุ คล-สงั คมโลก กเ็ ปน็ ผลของปญั หาเกดิ อาศยั กนั ขนึ้ เปน็ กระบวนการธรรมดาเหตุ ปัจจัย อย่าไปนึกคิดแค่เพียงว่า เป็นปัญหาของกูหรือเป็นเรื่องเล็กน้อย ค่อยว่าหรือแก้กันทีหลัง คิดป้องกันแก้ไขไว้ก่อน ดีกว่าแก้ไขป้องกันทีหลัง เพราะปัญหาทั้งหลายท่ีเกิดขึ้นแล้ว ก็ยากท่ีจะเรียก กลับคืนมาได้ หรือยากท่ีจะจัดการแก้ไขได้ แบบลักษณะปัญหา จากข้อความท่ีปรากฏอยู่แล้วข้างต้น ปัญหาเป็นเร่ืองธรรมดามีมาพร้อมกับมนุษย์ ไม่มีใคร สามารถหลบล้ีหนีพ้นไปจากปัญหาได้ ปัญหาท่ีเกิดข้ึนมีหลายแบบลักษณะและประเภท มีท้ังหนัก และเบา มที งั้ ระยะสั้นและยาว มีท้งั ระดบั เลก็ สว่ นบุคคลและระดับใหญร่ ะดบั โลก แต่ทุกปัญหาเกดิ ขึ้น เป็นไปตามเหตุปัจจัยและกาลเวลา กล่าวคืออาศัยหลายสาเหตุและหลายปัจจัยเกิดข้ึนเป็นไป เป็นกระบวนการอย่างหนึ่งตามธรรมดาเหตุผล จากปรากฏการณ์ศึกษาท่ัวไป ปัญหาจะหนักหรือเบา ทงั้ นข้ี นึ้ อยกู่ บั ตวั บคุ คลหรอื วตั ถสุ งิ่ ของทง้ั ทมี่ ชี วี ติ และไมม่ ชี วี ติ ขนึ้ อยกู่ บั พฤตกิ รรมการกระทา� อนั เปน็ ความพยายามตง้ั ใจทา� แลว้ เกดิ ผลกระทา� ทเี่ ปน็ ปญั หา เปน็ ปจั จยั กา� หนดในการคดิ พจิ ารณาตดั สนิ ปญั หา วิทยาการความรู้ท้ังหลายได้เห็นพร้อมยอมรับตรงกันในแบบลักษณะนี้เสียส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม เม่ือมนุษย์ประสบพบเจอปัญหา ก็มักจะมีค�าถามว่า มันเกิดข้ึนได้อย่างไร อะไรเป็นสาเหตุของปัญหา จะจดั การแกไ้ ขปญั หานนั้ ไดอ้ ยา่ งไร กอ่ นทจี่ ะตดั สนิ ใจวา่ อะไรเปน็ ปญั หาสงั คม ควรพจิ ารณาวเิ คราะห์

ปญั หาทางสังคม 143 แยกแยะให้ชัดเจนถึงลักษณะปัญหา กล่าวโดยสรุป ปัญหาสังคมน้ันมีลักษณะส�าคัญ ๓ ประการ ดงั ตอ่ ไปนี้ ๑. มลี กั ษณะกระทบทา� ลายสขุ ภาพกายและจิตของบุคคลในสังคม ในกรณีกองโจรหรือผู้ก่อการร้ายก่อปัญหาสร้างเดือดร้อนวุ่นวายไม่สงบ พยายามก่อกวน ทา� ความเสยี หายลอบทา� รา้ ยฆา่ ประชาชนและเจา้ หนา้ ทบ่ี า้ นเมอื งผบู้ รสิ ทุ ธ์ิ ประชาชนและเจา้ หนา้ ทอี่ ยู่ ด้วยความระวังระแวงหวาดกลัว เพราะกลัวจะถูกท�าร้ายและถูกฆ่า การใช้ชีวิตประจ�าวันก็เปลี่ยนไป เตม็ ไปด้วยความหวาดกลัวไม่ปลอดภัย เตม็ ไปดว้ ยความทุกขเ์ ดอื ดรอ้ น แมร้ ่วมดว้ ยช่วยกนั ดแู ล อีกทง้ั เจา้ หนา้ ทท่ี หารใหก้ ารคมุ้ ครองปอ้ งกนั กย็ งั รสู้ กึ วา่ ไมม่ คี วามปลอดภยั ในชวี ติ และทรพั ยส์ นิ สภาวการณ์ ทางสังคมเช่นน้ี จะส่งผลกระทบกระเทือนสร้างปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชนเจ้าหน้าที่ จา� นวนมาก สง่ ผลใหส้ ขุ ภาพกายและจติ เสยี เดอื ดรอ้ นเปน็ ทกุ ขก์ งั วล ขยายกลายเปน็ ปญั หาสงั คมเพราะ คนจ�านวนมากได้รับความทุกขเ์ ดือดร้อนมชี วี ติ ไมส่ งบสุข ๒. มีลักษณะเบ่ียงเบนท�าลายบรรทดั ฐานและคณุ ค่าของสงั คม ในกรณีพระพุทธรูปและสถาบันพระมหากษัตริย์ในสังคมไทย สังคมไทยเป็นสังคมพุทธ ที่ยอมรับนับถือพระพุทธศาสนา หรือยอมรับหลักค�าสอนของพระพุทธเจ้ามาเป็นหลักการด�าเนินชีวิต ทางสังคม แม้พระพุทธเจ้าได้ปรินิพพานไปแล้ว แต่เราก็มีพระพุทธรูปหรือรูปเหมือนพระพุทธเจ้าเป็น ผ้แู ทนหรอื เปน็ สอ่ื ใหร้ า� ลกึ นกึ ถงึ พระคณุ ของพระพทุ ธองค์ เพราะพระพทุ ธองค์ไดต้ รสั รธู้ รรมความจรงิ แท้ท่ัวไป ทรงเสียสละเที่ยวเผยแผ่ธรรม ทรงพระคุณอันประเสริฐเลิศกว่าส่ิงใด ๆ ในโลกนี้ มีพระคุณ อันย่ิงใหญ่ต่อสัตวโลกท้ังหลาย ฉะน้ัน ชาวพุทธเมื่อร�าลึกนึกถึงพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธองค์ เช่ือม่ันในการตรัสรู้ของพระองค์ จึงได้มาสักการบูชากราบไหว้ เพื่อน้อมน�ามาเป็นแบบอย่างในการ ด�าเนินชีวิตหรือประพฤติปฏิบัติ พระพุทธรูปจึงถือว่าเป็นผู้แทนหรือส่ือพระพุทธเจ้า อันมีคุณค่า ความหมายทางจติ ใจ ทีป่ วงชนชาวพทุ ธตอ้ งเคารพสกั การบูชาสบื ตอ่ กันมาตราบนานเท่านาน ส�าหรับ สถาบันพระมหากษัตริย์ ก็มีพระคุณต่อแผ่นดินหรือมีมาคู่กับแผ่นดิน ทรงเสียสละทรงดูแลปกป้อง คุ้มครองแผ่นดนิ ศาสนาและประชาชนของพระองค์ ทรงธรรมทรงพระคณุ อันประเสรฐิ เช่นกนั จึงเป็น แบบอย่างท่ีดี เป็นเสาหลักของสังคมประเทศชาติ เป็นศูนย์รวมจิตใจของปวงชน เป็นท่ีรักเคารพบูชา ของประชาชน เป็นบรรทัดฐานคุณค่าท่ียึดถือปฏิบัติกันมาเป็นเวลานาน ห้ามแสดงกิริยาอาการอันไม่ สุภาพต่อพระพุทธรูป หรือกล่าวร้ายดูหม่ินดูถูกเหยียดหยามสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอันขาด หากมีใครมาแสดงกิริยาอาการอันไม่สภุ าพตอ่ พระพทุ ธรปู หรือมากลา่ วดูหม่นิ เหยยี ดหยามต่อสถาบนั พระมหากษัตริย์ อันขัดต่อคุณงามความดีบรรทัดฐานคุณค่าความเชื่อการประพฤติปฏิบัติ พฤติกรรม การกระทา� ดงั กลา่ วอาจกลายเปน็ ปญั หาในสงั คมไทยได้

144 สังคมวทิ ยาเบอื้ งต้น ๓. มีลกั ษณะท่บี ุคคลในสังคมตอ้ งรว่ มกันจัดการแกไ้ ขปัญหาน้ัน เม่ือมีปัญหาสังคมเกิดข้ึน คนส่วนใหญ่ในสังคมรับทราบว่าไม่ดีไม่พึงปรารถนาต้องการ มีผล เสียต่อการเปน็ อยคู่ วามสัมพันธ์สงบสขุ ของกลุ่ม รสู้ ึกเป็นทุกขเ์ ดือดร้อนทป่ี ัญหานั้นเกิดข้ึน แล้วนา� มา คิดพิจารณาหาเหตุผลสนทนาหาแนวทางแก้ไขป้องกันและก�าจัดปัญหานั้น ตามแนวทางประเพณี วัฒนธรรม กฎหมาย บรรทดั ฐาน ค่านิยม การปฏิบัติ และการเปลี่ยนแปลงทางสงั คมปจั จบุ ัน อยา่ งมี ประสิทธิภาพประสิทธิผลเป็นธรรม สอดคล้องสัมพันธ์กับสภาวการณ์สังคมโลกปัจจุบัน แล้วจัดการ แก้ไขปญั หานน้ั กลับสู่สภาวะปกตหิ รือใหม้ ีสภาพท่ดี ขี นึ้ เพ่ือเข้าใจแบบลักษณะปัญหาสังคมให้แจ่มแจ้งชัดเจนมากยิ่งขึ้น เป็นประโยชน์ในการคิด วิเคราะห์ประเมินตัดสินสถานการณ์ปัญหาหนักหรือเบา เกิดข้ึนคงอยู่เป็นไปอย่างไรในทางทิศใด จะจัดการแก้ไขป้องกันปัญหาน้ันอย่างไร จ�าต้องคิดพิจารณาตรวจสอบปัญหาอันประกอบไปด้วย ลกั ษณะ ๒ ประการ ดงั นี้ ๑. มีลักษณะวัตถุวิสัยปรากฏอยู่ (Objectivist paradigm) คือต้องมีการคิดวิเคราะห์ พิจารณาประเมินสถานการณ์ทางสงั คมตามความเป็นจริงมีเหตผุ ล สงั เกตประเมินวตั ถุจา� นวนคนท่ีได้ รบั ผลกระทบกระเทอื นความเดอื ดรอ้ นเสยี หายมมี ากนอ้ ยแคไ่ หนเพยี งไร หากมคี นไดร้ บั ความเดอื ดรอ้ น เสียหายเป็นจ�านวนมาก ก็บอกแสดงให้เห็นว่า ปัญหาน้ันหนักรุนแรง เช่น ปัญหาศีลธรรมจริยธรรม วยั รนุ่ ยาเสพตดิ หยา่ รา้ ง โรคเอดส์ เปน็ ตน้ ใหป้ ระเมนิ ทจ่ี า� นวนคนทไี่ ดร้ บั ผลกระทบกระเทอื นเดอื ดรอ้ น ต้องมขี นาดปริมาณทีว่ ดั ได้คา� นวณประเมนิ ได้ โดยวัดประเมนิ จากสถานการณข์ ้อมูลทางสถิตทิ เ่ี ชือ่ ถือ ตรวจสอบได้ ประเมนิ จากบคุ คลหรือเหตุปจั จยั อ่นื ประกอบ หากจะประเมนิ ปญั หาว่าหนักรุนแรงหรอื ไมร่ นุ แรง คงเปรียบเทยี บได้กับคนป่วยทเ่ี ป็นโรคเอดส์ เพราะเม่ือกล่าววา่ เปน็ โรคเอดส์ ก็ตอบไดท้ ันที ว่าหนักรุนแรง ๒. มีลักษณะอัตวิสัยปรากฏอยู่ (Subjectivist paradigm) ต้องคิดวิเคราะห์พิจารณา ประเมนิ คา่ นยิ มความเชอ่ื การปฏบิ ตั กิ จิ กรรมการเรยี กรอ้ งของกลมุ่ บคุ คล หากไมส่ อดคลอ้ งสมั พนั ธก์ บั บรรทัดฐานค่านิยมความเช่ือการปฏิบัติทางสังคม กลุ่มบุคคลพยายามรวมตัวกันเรียกร้องเพ่ือจัดการ แกไ้ ขปญั หาทเี่ กดิ ขนึ้ นั้น หากมกี ิจกรรมการเรียกร้องตอ้ งการมากและตอ่ เนอื่ ง กร็ ู้ไดว้ า่ ปัญหานัน้ หนกั รุนแรง (Borgatta, et al., ๒๐๐๐: ๒๗๖๔ และ สัญญาวิวัฒน์, ๒๕๔๒: ๙๘) แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ข้ึนชื่อว่าปัญหาย่อมมีความสลับซับซ้อนละเอียดอ่อน มักเกิดขึ้นเป็นไปอาศัยหลายสาเหตุและปัจจัย กล่าวคือมหี ลายสาเหตแุ ละปจั จยั ทา� ใหเ้ กดิ ขน้ึ เป็นไป ไม่ใชเ่ กดิ ขึ้นเปน็ ไปอาศัยเหตปุ จั จยั เดยี วแนน่ อน จึงจ�าตอ้ งคดิ พจิ ารณาระมดั ระวงั รอบคอบในการตรวจสอบตดั สินใจ

ปัญหาทางสังคม 145 สาเหตขุ องปญั หาสังคมทัว่ ไป จากการวเิ คราะหป์ ญั หาสงั คม ปญั หาทงั้ หลายเกดิ จากหลายสาเหตหุ ลายปจั จยั นกั สงั คมวทิ ยา ทั้งหลายต่างก็มีความคิดเห็นเก่ียวกับสาเหตุของปัญหา โดยมองปัญหาเปรียบเทียบกับโรค สมุฏฐาน เหตุเกิดของโรคก็มีหลายสาเหตุและปัจจัย ในการคิดวิเคราะห์ตอบปัญหา จา� เป็นต้องแยกแยะสาเหตุ ตามเงอื่ นไขตา่ ง ๆ ของปญั หา มองปญั หาหลาย ๆ ดา้ นกอ่ นคอ่ ยตดั สนิ ใจ หากวเิ คราะหห์ รอื ยนื ยนั ตอบ ในแงใ่ ดแง่หนึง่ ก็มักเกิดความผดิ พลาดตามมาอยู่เสมอ ๆ เพราะสังคมโลกประกอบไปด้วยสาเหตแุ ละ ปัจจัยตา่ ง ๆ มากมาย ไมม่ อี ะไรทเี่ ปน็ จรงิ แท้โดยเงอื่ นไขเดยี ว ฉะนัน้ ปญั หาสังคมทงั้ หลายอาจเกิดมา จากสาเหตุ ดังต่อไปนี้ ๑. ความไม่รู้จรงิ (Ignorance) ไมร่ ูเ้ ขา้ ใจส่งิ ตา่ ง ๆ ทง้ั หลาย ไม่รูห้ ลักการ ไม่รหู้ ลักความ จรงิ มเี หตผุ ล ไมร่ คู้ ณุ คา่ ความหมายสาระทแ่ี ทจ้ รงิ ไมร่ จู้ ะทา� ปฏบิ ตั อิ ยา่ งไร ไมร่ จู้ ะดา� เนนิ เปน็ ไปอยา่ งไร เม่ือไม่รู้สิ่งท้ังหลายตามความเป็นจริง จึงคิดผิดอยากผิดและท�าผิด ผิดไปจากความจริงมีเหตุผล ผิดพลาดเบี่ยงเบนไปจากความจริงบรรทัดฐานคุณค่าความเชื่อและการปฏิบัติทางสังคม จึงท�าให้ เกิดหรือมีปัญหา ถือได้ว่าเป็นสาเหตุส�าคัญท�าให้ให้มนุษย์มีปัญหาชีวิตทางสังคม พบกับชีวิตท่ีผิดหวัง ล้มเหลว ๒. การเรียนรู้ทางสังคม (Social learning) อันเป็นกระบวนเรียนรู้ความจริงสิ่งดีงามใน สังคม เกดิ รเู้ ข้าใจสิง่ ท้ังหลายตามความเป็นจรงิ แกไ้ ขเปล่ยี นแปลงพฒั นาพฤติกรรมอารมณค์ วามรสู้ ึก ความชอบทศั นคตแิ ละการปฏบิ ตั ิ ทแ่ี ตล่ ะคนเรยี นรพู้ ฤตกิ รรมบทบาทหนา้ ทที่ างสงั คม สรา้ งสรรคพ์ ฒั นา แบบลกั ษณะบคุ ลกิ ภาพใหเ้ หมาะสมกบั ตนเองและทส่ี งั คมคาดหวงั หรอื ยอมรบั หากมกี ารเรยี นรคู้ วามจรงิ ทางสังคมไม่ถูกต้องเหมาะสม ก็อาจประพฤติปฏิบัติผิดไม่สอดคล้องสัมพันธ์กับความจริงท้ังหลาย บรรทดั ฐาน คา่ นยิ มทางสงั คมวฒั นธรรม กอ่ ปญั หาสรา้ งความเดอื ดรอ้ นเสยี หายในการดา� เนนิ ชวี ติ ทาง สังคมไดเ้ ชน่ กัน ๓. การเปลยี่ นแปลงทางสงั คม (Social change) การท่รี ะบบ รูปแบบ กระบวนการของ โครงสรา้ งองคก์ รทางสงั คม เชน่ ระบบสงั คม กฎเกณฑ์ กฎหมาย ประเพณี วฒั นธรรม ครอบครวั ศาสนา การศึกษา การเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ ได้พัฒนาเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสของสังคมโลก อาจเป็นไปในทางก้าวหน้าหรือถอยหลัง เจริญหรือเส่ือม เป็นไปอย่างถาวรหรือช่ัวคราว คนส่วนใหญ่ ไมส่ ามารถปรับตัวใหเ้ ขา้ กบั ปรากฏการณ์ทางสังคมท่ีเปลี่ยนแปลงได้ กจ็ ะเป็นปญั หาในการปรับตัวใน กระบวนการเปลยี่ นแปลงพฒั นาสงั คมวฒั นธรรม เพราะสงั คมวฒั นธรรมมกั เปลย่ี นแปลงพฒั นาไปตาม เหตุปัจจัยและกาลเวลา หากไม่รู้เข้าใจตามความเป็นจริง ไม่สามารถแก้ไขปรับตัวได้ ก็อาจก่อปัญหา สร้างความสบั สนวุ่นวายได้

146 สังคมวิทยาเบื้องตน้ ๔. ความเสียระเบียบทางสังคม (Social disorganization) ภาวะที่ล้มเหลว แตกสลาย ระสา�่ ระสาย ขดั แยง้ ความจรงิ บรรทดั ฐานคณุ คา่ ทางสงั คมวฒั นธรรม สง่ ผลกระทบกระเทอื นตอ่ วถิ ชี วี ติ ที่เคยปฏิบัติกันมา ต่อองค์กรสถาบันทางสังคม ต่อการจัดการควบคุมดูแลทางสังคม ท�าให้ชีวิตทาง สังคมติดขัดไม่อาจด�าเนินไปได้อย่างสะดวกราบรื่น หากไม่มีการจัดการปรับปรุงแก้ไขเปลี่ยนแปลง ระเบยี บกฎเกณฑบ์ รรทดั ฐานคณุ คา่ ทางสงั คมวฒั นธรรม ชวี ติ ทางสงั คมกต็ ดิ ขดั เดอื ดรอ้ นสบั สนวนุ่ วาย เปน็ ปญั หา จงึ พอรเู้ ขา้ ใจกา� หนดไดว้ า่ ปญั หาทกุ ปญั หาเกดิ ขนึ้ เปน็ ไปตามเหตปุ จั จยั และกาลเวลา ไมใ่ ช่ เหตุปจั จยั เดยี วแน่นอน สาเหตุของปัญหาตามแนวพุทธ เพ่ือความเข้าใจสาเหตุแห่งปัญหาอย่างแจ่มแจ้งชัดเจนมากยิ่งขึ้น จึงขอแสดงทัศนะของ พระพทุ ธศาสนาเอาไวใ้ นทน่ี ี้ เพอื่ ชว่ ยในการพจิ ารณาวเิ คราะหส์ าเหตขุ องปญั หาทงั้ หลาย พระพทุ ธศาสนา มีว่า มนุษย์ทุกคนเกิดมาในโลกนี้ ยังไม่รู้อะไร ไม่รู้เหตุและผล ไม่รู้ว่าอะไรดีหรือชั่ว อะไรถูกหรือผิด เป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ ไม่รู้จะประพฤติปฏิบัติต่อสิ่งท้ังหลายในสังคมได้ถูกต้องอย่างไร เพราะยังไม่มีการศึกษาเรียนรู้มีประสบการณ์ทางสังคม การใช้ชีวิตทางสังคมสัมพันธ์กับส่ิงทั้งหลาย กต็ ดิ ขดั คบั ขอ้ งกอ่ ปญั หาสรา้ งความเดอื ดรอ้ นสบั สนวนุ่ วาย ฉะนนั้ ความไมร่ จู้ รงิ (อวชิ ชา, Ignorance) จึงเป็นรากเหง้าลึกของปัญหาท้ังหลาย เม่ือไม่มีการศึกษาเรียนรู้ฝึกฝนอบรมพัฒนาตนเอง ก็จะไม่รู้ เข้าใจในส่ิงท้ังหลายตามความเป็นจริง ไม่สามารถรู้เข้าใจเหตุผลบาปบุญคุณโทษ ไม่รู้จะปฏิบัติตนต่อ สง่ิ ทง้ั หลายอยา่ งไร กลายเปน็ ผโู้ งเ่ ขลาอยากผดิ หลงผดิ ทา� ผดิ มแี ตค่ วามกระหายอยากตอ้ งการเปน็ แรง ขับในการกระท�าแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ ท้ังหลาย พฤติกรรมของมนุษย์เป็นไปตามอ�านาจของกิเลส ตัณหาความกระหายอยากต้องการ ไม่มีเหตุผลถูกต้องชอบธรรม ไม่มีการควบคุมไม่มีความอดทนอด กลัน้ ไม่แตกตา่ งไปจากสัตว์ดริ ัจฉานทงั้ หลาย เป็นอยู่เปน็ ไปดว้ ยสญั ชาตญาณและความอยากต้องการ ที่ติดตัวมาแต่ก�าเนิด ในความหมายนี้ ตัณหาท่ีปราศจากปัญญาก็จะเป็นตัวก�าหนดช่วยเพ่ิมแต่ทุกข์ กอ่ แตป่ ญั หา ชวี ติ ทดี่ ไี มม่ ปี ญั หานน้ั มนษุ ยต์ อ้ งมกี ารศกึ ษาเรยี นรฝู้ กึ ฝนอบรมพฒั นาตนเอง ใหม้ ปี ญั ญา อยา่ งแทจ้ รงิ ปญั ญาทร่ี ดู้ รี ชู้ วั่ รถู้ กู รผู้ ดิ รปู้ ระโยชนแ์ ละไมเ่ ปน็ ประโยชน์ แลว้ ประพฤตปิ ฏบิ ตั สิ อดคลอ้ ง สัมพันธ์กับปรากฏการณ์ทางสังคมตามความเป็นจริง ก็จะแก้และดับปัญหาชีวิตทางสังคมได้ ตรงนี้ ชดั เจน พระพทุ ธศาสนาเนน้ การฝกึ ฝนอบรมพฒั นาจติ หรอื ตนเองใหเ้ กดิ ปญั ญา ในสงั คมมนษุ ยท์ ง้ั หลาย คนทป่ี ระเสรฐิ สดุ คอื คนทฝ่ี กึ ฝนอมรมตนดแี ลว้ เราทราบกนั ดอี ยแู่ ลว้ วา่ จะพฒั นาประเทศชาติ ใหพ้ ฒั นา ทคี่ น จะพัฒนาคน ใหพ้ ัฒนาทีจ่ ติ ใจ จะพฒั นาอะไร ๆ ตอ้ งพัฒนาตนเองก่อน คนทพี่ ัฒนาตนเองถงึ ท่ี สดุ แล้ว จะมีความรู้ มีความสามารถ มคี ุณธรรม รู้จักทา� งานประกอบอาชีพ รู้จกั วธิ ดี �าเนินชีวติ ใหค้ งอยู่ เปน็ ไป มชี ีวิตทีด่ ีงามประเสริฐไรป้ ญั หา

ปัญหาทางสงั คม 147 สาเหตุท่ีท�าให้ชีวิตทางสังคมมีปัญหาโดยตรง ก็คือความกระหายอยาก (ตัณหา) ในชีวิต ทางสังคม ต้องประสบพบกับความหิวกระหายอยากต้องการ พบกับสิ่งท่ีพึงพอใจ ไม่พึงพอใจ หรือมี อารมณ์ความร้สู กึ เฉย ๆ อยูต่ ลอดเวลา เมื่อหวิ กระหายอยากตอ้ งการเกดิ ขนึ้ มา กแ็ สวงหาเสพบริโภค หากได้รับการตอบสนองพอเพียง ก็พึงพอใจสุขสบายใจไร้ปัญหา หากไม่ได้รับการตอบสนองเพียงพอ ก็จะกระวนกระวายเดือดร้อนเป็นปัญหา บางคนรู้เข้าใจจัดการควบคุมได้ ในขณะที่บางคนท�าไม่ได้ เลยปลอ่ ยตวั และใจเปน็ ไปตามอา� นาจความกระหายอยาก กอ่ ปญั หาสรา้ งความเดอื ดรอ้ นตอ่ ตนเองและ สังคม ตณั หา คือความกระหายอยาก มีอยู่ ๓ ประการ (ตัณหา ๓) คือ ๑. ความอยากในกาม (กามตณั หา) เปน็ ความกระหายอยากตอ้ งการกามคณุ เพอ่ื ตอบสนอง ประสาทสมั ผสั ทง้ั หา้ กระหายอยากไดอ้ ารมณท์ พี่ งึ พอใจชอบใจมาเสพปรนเปรอตน เปน็ ความกระหาย อยากในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสถูกต้องทางกาย ท่ีน่าพึงพอใจชอบใจ รวมไปถึงกระหายอยากใน ต�าแหน่งอ�านาจ ชื่อเสียงเกียรติยศ ค�ายกย่องสรรเสริญ เป็นต้น เป็นความกระหายอยากต้องการเสพ บรโิ ภคตามกเิ ลสตณั หา ไมร่ จู้ กั อมิ่ ไมร่ จู้ กั พอไรเ้ หตผุ ลถกู ตอ้ งชอบธรรม เปน็ ภาวะกระวนกระวายเรา่ รอ้ น หลงใหลมัวเมาในเสพบริโภค แม้ประสบพบกับปัญหาชีวิตทางสังคม ก็ไม่รู้เข้าใจในโทษภัยอันตราย ท่ีเกดิ ข้ึนตามมา ยิ่งไมไ่ ดก้ ินเสพบรโิ ภคแล้ว ย่ิงทา� ใหเ้ ปน็ ปญั หาหนักเข้าไปอีก ๒. ความอยากใหค้ งอยอู่ ยา่ งนน้ั (ภวตณั หา) อยากตอ้ งการใหค้ งอยตู่ ลอดไป กระหายอยาก ไดน้ นั่ ไดน้ ี่ เปน็ โนน้ เปน็ น่ี อยากไดต้ า� แหนง่ อา� นาจ เมอ่ื ไดแ้ ลว้ มแี ลว้ ในสงิ่ ทต่ี นรกั ชอบพอใจ อยากตอ้ งการ ใหม้ อี ยู่ คงอยู่ เปน็ อยเู่ ปน็ ไปอยา่ งนต้ี ลอดไป ไมต่ อ้ งการใหม้ กี ารผนั ผวนเปลยี่ นแปลงสญู หายไป เปน็ การ ยึดตดิ ในตัวตนในวตั ถจุ นเกนิ ไป ไม่ยอมรบั เขา้ ใจในการเปลีย่ นแปลงของสรรพสง่ิ เมอ่ื มคี วามยดึ ติดรกั ชอบพงึ พอใจ กพ็ ยายามปกปอ้ งรกั ษาคมุ้ ครองใหค้ งอยอู่ ยา่ งนน้ั ตลอดไป ไมย่ อมใหพ้ ลดั พรากจากกนั ไป เมอื่ ตอ้ งการอยากใหม้ อี ยคู่ งอยตู่ ลอดไป แตก่ ลบั ไมค่ งอยอู่ ยา่ งนน้ั ตอ่ ไป จงึ ตกอยใู่ นภาวะผดิ หวงั เสยี ใจ กระวนกระวายเรา่ รอ้ นทกุ ขใ์ จเปน็ ปญั หา หรอื ถกู แยง่ เอาไป ยงิ่ ทา� ใหเ้ กดิ ทกุ ขเ์ ปน็ ปญั หาหนกั เขา้ ไปอกี เพราะมาหลงลมื ไมร่ เู้ ขา้ ใจวา่ สรรพสงิ่ ไมเ่ ทย่ี งแทแ้ นน่ อน มกี ารเกดิ ขน้ึ คงอยเู่ ปน็ ไปตามเหตปุ จั จยั และ กาลเวลา ๓. ความอยากให้หายพ้นไป (วิภวตัณหา) อยากต้องการให้ดับสูญหายไป ส่ิงไม่ดีไม่งาม ทั้งหลายท้ังปวง ส่ิงท่ีตนเกลียดไม่รักชอบพึงพอใจ ขอจงให้ดับสูญหายไป เม่ือประสบปัญหาชีวิตทาง สงั คม กต็ อ้ งการใหม้ นั หายไปโดยเรว็ ในบางครงั้ ถงึ กบั ฆา่ คนอน่ื หรอื ตวั เอง เพอ่ื แกป้ ญั หาชวี ติ ทางสงั คม ตายไปแลว้ ปญั หาทกุ อยา่ งกจ็ ะจบไป เมอ่ื ตอ้ งการอยากใหพ้ นิ าศสญู หายไป แตก่ ลบั คงอยอู่ ยา่ งนน้ั ตอ่ ไป คิดแก้ไขเปล่ียนแปลงไม่ได้ ไม่เข้าใจกระบวนการชีวิตและกระบวนการเหตุปัจจัย จึงผิดหวังเสียใจ กระวนกระวายเดอื ดร้อนประสบพบกบั ปญั หาชวี ิตทางสังคม (อังคุตตรนกิ าย ฉกั กนิบาต พระไตรปิฎก เลม่ ท่ี ๒๒, ขอ้ ที่ ๓๗๗)

148 สงั คมวิทยาเบ้อื งต้น หากวิเคราะห์พิจารณาให้ซ้ึงถึงความกระหายอยากไม่รู้จักอิ่มไม่รู้จักพอ ความกระหายอยาก เหล่านี้เป็นลักษณะอยากผิดไม่ถูกต้องชอบธรรมไร้เหตุผล เป็นฝ่ายต่�าตามอารมณ์ไม่สามารถอดทน อดกล้ันยับย้ังได้ ไม่อยู่ในกรอบของกฎหมายและศีลธรรม ไม่ค�านึงถึงคุณค่าความหมายประโยชน์ ในการเสพบริโภค ท�าลายคุณภาพชีวิตก่อปัญหาสร้างความเดือดร้อนแก่ตนและคนอ่ืน เต็มไปด้วย การแก่งแย่งแข่งขันริษยาเอารัดเอาเปรียบเบียดเบียนฆ่าท�าลายกัน เป็นแรงกระตุ้นจูงใจผลักดัน ให้กระท�าผิด ให้ชีวิตด�าเนินไปในทางที่ผิดมีปัญหา คนส่วนใหญ่ขาดการคิดพิจารณากระบวนการ ความอยากในชีวิตทางสังคม ไม่สนใจกระบวนการเหตุผลหรือถูกผิด จึงต้องประสบพบกับความทุกข์ มากกวา่ ความสขุ หรือความผิดหวังมากกวา่ ความสมหวงั พระพุทธศาสนาชี้ต้นเหตุแห่งปัญหาโดยตรงไปท่ีความกระหายอยากต้องการ ความทะยาน อยากไมร่ จู้ กั อมิ่ ไมร่ จู้ กั พอไรเ้ หตผุ ล (ตณั หา) เปน็ สาเหตขุ องปญั หาทงั้ หลาย เพราะเปน็ แรงกระตนุ้ จงู ใจ โดยตรงในการผลักดันขับเคล่ือนให้มนุษย์กระท�าแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ ท้ังหลาย และทรงช้ีเหตุแห่ง ปญั หาโดยออ้ มไปทค่ี วามไมร่ สู้ ง่ิ ทงั้ หลายตามความเปน็ จรงิ (อวชิ ชา) เปน็ รากเหงา้ ลกึ ของเหตแุ หง่ ปญั หา อวชิ ชาเปน็ กเิ ลสทล่ี ะเอยี ดมาก ไมใ่ ชส่ าเหตโุ ดยตรงของปญั หา คนเกดิ มาในโลกนไ้ี มร่ ไู้ มเ่ ขา้ ใจอะไร ไมม่ ี ความกระหายอยากตอ้ งการ ดา� เนนิ ชวี ติ เปน็ ไปธรรมดา อยเู่ ฉย ๆ ไมท่ า� อะไร ยงั ไมม่ กี ารแสดงพฤตกิ รรม ตา่ ง ๆ ท้งั หลาย กย็ ังไม่มีปัญหาอะไรในชวี ิตทางสงั คม ต่อเมือ่ ใดไม่รไู้ มเ่ ข้าใจสง่ิ ตา่ ง ๆ ทัง้ หลาย แลว้ มี ความกระหายอยากต้องการ มีแรงกระตุ้นจูงใจให้กระท�าแสดงพฤติกรรม ก็จะเกิดปัญหาตามมาทันที ถา้ จะเปรยี บเทียบให้รเู้ ข้าใจแจม่ แจ้งชดั เจน ความไมร่ ู้จริงเปรยี บดังอาการเมาสิง่ เสพติดเมายาบา้ หรอื เมาเหล้า ความกระหายอยากต้องการเปรียบเหมือนคนเมาไปฆ่าท�าลายคนอ่ืน เกิดความเสียหายทาง รา่ งกายและทรพั ย์สนิ ขึน้ มา การฆ่าท�าลายเปน็ การก่อปัญหาสร้างความเดือดรอ้ น ถือได้ว่าเป็นสาเหตุ ที่แท้จริงของปัญหาทั้งหลายตามท่ีกล่าวมา เป็นกระบวนการธรรมดา ที่เกิดข้ึนเป็นไปอย่างมีเหตุผล พอเพียง การปอ้ งกันแก้ไขปญั หาทั่วไป ต้องขอย�้าเตือนว่า เรื่องปัญหาเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ ชีวิตมนุษย์เต็มไปด้วยปัญหา มนษุ ยท์ กุ คนเกดิ มามหี นา้ ทสี่ า� คญั อยวู่ า่ ตอ้ งเรยี นรเู้ ขา้ ใจปญั หา สกู้ บั ปญั หา จดั การปอ้ งกนั แกไ้ ขปญั หา ตามความเป็นจริงมีเหตุผล หากไม่รู้ไม่เข้าใจปัญหา ไม่สู้กับปัญหา ไม่สามารถจัดการป้องกันแก้ไข ปญั หาได้ ถอื ได้ว่า เกดิ มาแลว้ ไม่รับผดิ ชอบปฏิบตั ิตามหน้าทอ่ี ันสา� คญั นี้ กล่าวโดยท่วั ไป การจัดการ ปอ้ งกนั แก้ไขปัญหาท้งั หลาย หรอื วิธีการกันและแก้ปญั หาชีวิตทางสังคม มีอยู่ ๒ ทาง ดงั นี้ ๑. ปอ้ งกนั แกไ้ ขภายในหรอื ทต่ี วั บคุ คล มนษุ ยท์ งั้ หลายเกดิ มาแลว้ นอกจากมหี นา้ ทเ่ี สพกนิ บริโภคตามความอยากต้องการแล้ว ต้องพยายามศึกษาเรียนรู้ฝึกฝนอบรมพัฒนาตนเอง ให้เกิดความ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook