Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Mbu002-หนังสือสังคมวิทยาเบื้องต้น

Mbu002-หนังสือสังคมวิทยาเบื้องต้น

Description: Mbu002-หนังสือสังคมวิทยาเบื้องต้น 01-228 copy

Search

Read the Text Version

บทท่ี ๑๒ การเมืองการปกครอง กล่าวโดยท่ัวไป มนุษย์เป็นสัตว์สังคมและการเมือง ท่ีมีความสลับซับซ้อนมากข้ึนตามล�าดับ มนษุ ยไ์ มอ่ าจอยคู่ นเดยี วได้ จา� ตอ้ งรวมกนั เปน็ กลมุ่ สงั คมและรฐั เพอ่ื ชว่ ยเหลอื พง่ึ พาอาศยั กนั และเพราะ เหตุผลทางเศรษฐกิจ จึงท�าให้ก่อเกิดสังคมและรัฐ การเมืองและการปกครอง การอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม สงั คมและรฐั เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนษุ ย์ท่ัวไป ภายในสังคมและรัฐ ประกอบไปดว้ ยความจรงิ ที่ หลากหลาย มมี นุษย์ มคี วามอยากตอ้ งการและการกระท�าที่แตกต่างกนั มกี ารตดิ ตอ่ สัมพันธ์กนั มกี าร ประกอบอาชีพ มีการค้าขาย มีการต่อสู้แก่งแย่งแข่งขันเอารัดเอาเปรียบกัน มีการลักขโมย มีการฆ่า ท�าลายกัน มีปัญหามากมายในสังคมมนุษย์ เพ่ือป้องกันแก้ไข ความอยู่รอดปลอดภัย ความยุติธรรม ความเป็นระเบียบเรียบรอ้ ย และความสงบสุขสมบรู ณม์ ัน่ คงของสังคมและรฐั จา� ต้องมกี ารจดั ระเบียบ บรหิ ารปกครองทด่ี ี เพอื่ การดา� เนนิ ไปดว้ ยดขี องสงั คมและรฐั อยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะสม และบรรลเุ ปา้ หมาย ในการพฒั นา จากปรากฏการณ์ทางสงั คม การเมืองและการปกครองมีอทิ ธพิ ลและบทบาทต่อวิถชี วี ิต ของประชาชนโดยสว่ นรวม ประชาชนจะมชี วี ติ ทดี่ หี รอื ทกุ ขย์ ากลา� บาก กข็ น้ึ อยกู่ บั ระบบการเมอื งและ การปกครอง ผู้รู้นักปราชญ์ท้ังฝ่ายตะวันออกและตก มีพระพุทธเจ้า เพลโต อริสโตเติล และท่านอ่ืน ๆ ทง้ั หลาย ตา่ งพยายามทจ่ี ะคน้ หารปู แบบการเมอื งการปกครองทสี่ มบรู ณแ์ บบทส่ี ดุ ตา่ งไดเ้ สนอแนวคดิ และหลักการส�าหรับการเมืองการปกครองท่ีดี เพ่ือช่วยแก้ไขและจัดการปัญหาชีวิตและสังคม ช่วย กา� หนดแนวทางและวางแผน เพอ่ื ความถกู ตอ้ งดงี าม เกดิ ความสมดลุ มน่ั คงยง่ั ยนื แมม้ แี นวคดิ และหลกั การบริหารปกครองมากมาย มีวิวัฒนาการรูปแบบการเมืองการปกครอง จะโดยคนเดียว กลุ่มคน หรือคนส่วนใหญ่ อันเป็นรูปแบบประชาธิปไตยมาตามล�าดับ และมีการคิดวิเคราะห์รูปแบบการเมือง การปกครองที่ดี ภายใต้การเปลี่ยนแปลงปรากฏการณ์สังคมหรือรัฐอย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งหน่ึงที่สังคม และรฐั หรอื รฐั บาลคาดหวงั ตอ้ งการ คอื ผนู้ า� นกั ปกครองทมี่ คี วามรู้ ความสามารถ และตงั้ อยใู่ นคณุ ธรรม สามารถคิดเป็น ท�าถูก มุ่งบริหารจัดการปกครองประเทศ เพื่อความถูกต้องดีงาม ความเป็นระเบียบ เรียบร้อย และประโยชน์สุขส่วนรวมมากกว่าส่วนตน และนักการเมืองนักปกครองดังกล่าวนี้ต้องยึด หลกั ความจรงิ มเี หตผุ ล ตลอดถงึ หลกั กฎหมายรฐั ธรรมนญู ในการบรหิ ารปกครองประเทศ ในการตดั สนิ แก้ไขจัดการปัญหาท้ังหลาย ห้ามท�าตามอารมณ์ตามใจตนเอง ห้ามท�าเพื่อประโยชน์ตนและพวกพ้อง แมใ้ นสงั คมโลกปจั จบุ นั สงั คมทง้ั หลายกย็ งั เรยี กรอ้ งตอ้ งการคนดมี คี วามรคู้ วามสามารถและประพฤตดิ ี มาบริหารปกครองประเทศ จัดการทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ ให้ก่อเกิดประโยชน์สูงสุด

200 สังคมวิทยาเบ้อื งตน้ เพื่อความเจริญพัฒนาก้าวหน้าม่ันคงยั่งยืน อันเป็นกระบวนการบริหารจัดการปกครองท่ีดี เป็นระบบ รปู แบบบริหารปกครองอย่างโปร่งใส เปน็ ธรรม ประหยัด และมีประสิทธิภาพประสทิ ธิผล อะไรคือการเมอื งการปกครอง การเมืองและการปกครองก็มีหลายรูปแบบลักษณะ มีการเปล่ียนแปลงไปตามยุคสมัย ทั้งนี้ ก็เพ่ือความดีงามของสังคมและรัฐ เม่ือกล่าวถึงการเมืองการปกครอง ก็อาจรู้เข้าใจคุณค่าและ ความหมายที่แตกต่างกันออกไป ตามความรู้ ประสบการณ์ สังคมรัฐและวัฒนธรรมของแต่ละบุคคล เพ่ือความรู้เข้าใจการเมืองการปกครองอย่างถูกต้อง จ�าต้องมาท�าความรู้เข้าใจประวัติความเป็นมา และความหมายกนั เสยี กอ่ น คา� วา่ “การเมอื ง” มาจากภาษาองั กฤษวา่ Politics ซึง่ มรี ากศัพท์เดมิ ว่า “Polis” เป็นภาษา กรีก แปลว่า รฐั หรอื นครรัฐ (Polis = city state or polity for modern state) ของกรซี สมัยโบราณ อันเป็นการรวมตัวทางการเมืองขนาดเล็กเพื่อใช้อ�านาจรัฐในการบริหารปกครอง ดังนั้น การเมือง จงึ หมายถงึ วธิ ที จี่ ะใชอ้ า� นาจในกจิ กรรมการปกครองอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพประสทิ ธผิ ล และเรอื่ งการเมอื ง อาจแตกตา่ งไปจากการปกครอง “Politics concerns the means whereby power is used to affect the scope and content of governmental activities. The sphere of the political may range well beyond that of state institutions (Giddens, ๒๐๐๒: ๔๒๐) การเมอื งจงึ เปน็ เรอื่ งของอา� นาจ การตอ่ สแู้ กง่ แยง่ แขง่ ขนั หรอื แสวงหาอา� นาจ อทิ ธพิ ล และผล ประโยชน์ เปน็ กระบวนการแสวงหาอา� นาจไปสเู่ ปา้ หมายการบรหิ ารปกครองประเทศ เปน็ ปรากฏการณ์ ทางสงั คมอยา่ งหนง่ึ ทพ่ี ยายามจดั ระเบยี บและควบคมุ สงั คมประเทศอยา่ งเปน็ ทางการ อนั มผี ลกระทบ ตอ่ ประชาชนและสงั คมทัง้ ดแี ละไมด่ ี ทัง้ นี้ ข้ึนอยู่กบั ผูน้ า� นกั การเมืองทัง้ หลาย ส่วนค�าว่า “การปกครอง” มาจากค�าว่า “Government” มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกคือ “Kybernates” แปลวา่ ผู้ถือหางเสอื เรอื เป็นการเปรยี บคณะปกครองหรอื รัฐบาลเหมอื นกบั เรือหรือ รัฐนาวา พาประชาชนไปสู่จุดหมายปลายทาง คือประโยชนส์ ุขร่วมกัน ฉะนน้ั การปกครอง จงึ หมายถึง การวางก�าหนดนโยบาย การตัดสนิ ใจ และเรอ่ื งหรือสถานการณ์ส�าคญั ของประเทศ ตอ่ บุคคลผูม้ ีความ รบั ผดิ ชอบในองคก์ รสถาบันรว่ มกนั ภายในเง่อื นไขกลไกทางการเมอื ง “Government refers to the regular enactment of policies, decisions and matters of state on the part of the officials within a political apparatus (Giddens, ๒๐๐๒: ๔๒๐)

การเมืองการปกครอง 201 การปกครองเปน็ เรอื่ งของการบรหิ ารจดั การประเทศ วางกา� หนดนโยบายสาธารณะประโยชน์ ชว่ ยแก้ไขป้องกนั ปญั หาต่าง ๆ ท้ังหลาย และจัดสรรทรัพยากรธรรมชาตทิ ม่ี อี ยู่ให้มคี ณุ ค่าความหมาย และประโยชน์แก่สังคมประเทศ เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยดีงาม ประโยชน์สุขร่วมกันในสังคม และความเจริญร่งุ เรืองก้าวหนา้ สืบตอ่ ไป ในสังคมโลกตะวันตกนิยมใช้การปกครองและการเมือง (Government and politics) สว่ นในสงั คมไทย มกั ใชก้ ารเมอื งและการปกครอง (Politics and government) อยา่ งไรกต็ าม การเมอื ง การปกครองแม้มีความหมายแตกต่างกัน แต่ก็มาด้วยกันเสมอ เพราะเป็นการแสวงหาอ�านาจรัฐแล้ว ต้องการบริหารปกครองประเทศ การเมืองจึงเป็นเรื่องของอ�านาจ อาชีพ มายากล โกหกหลอกลวง สกปรกเสยี หาย ใสร่ า้ ยหาชยั ชนะ หากทา� สา� เรจ็ กม็ สี งิ่ ตอบแทน ไดอ้ า� นาจสงิ่ ตอบแทนแลว้ กอ็ ยา่ มวั เมา อ�านาจเหมือนนา้� เมา เสวยเขา้ ไปแล้วทา� ใหป้ ระมาทหลงลมื สติ ความประมาทเป็นทางแหง่ ความเส่อื ม และความตาย ความไม่ประมาทเป็นทางแห่งความเจริญไม่เสื่อมและไม่ตาย อ�านาจทางการเมือง เป็นอ�านาจของหรือมาจากประชาชน ประชาชนเลือกหรือมอบอ�านาจให้มา เป็นอ�านาจมีทั้งคุณ และโทษ ผ้ใู ชอ้ า� นาจอธิปไตยต้องให้เป็นไปตามความประสงคต์ ้องการของประชาชน เปน็ ไปเพือ่ ความ ถูกตอ้ งชอบธรรมและยตุ ิธรรม เพ่อื ตอบสนองประโยชนส์ ุขของปวงชน ประชาชนมอี ิทธพิ ลบทบาทใน การบริหารจัดการสังคมประเทศชาติ มีส่วนร่วมในการแต่งต้ังและถอดถอนผู้น�านักปกครอง เป็นการ ปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพอ่ื ประชาชน เพอ่ื การเปน็ อยเู่ ปน็ ไปของสงั คมรฐั เพอื่ ความ ถูกต้องเหมาะสม ความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า ประโยชน์สุขเก้ือกูล และเพื่อความสัมพันธ์มั่งคงอันดี ระหวา่ งกัน ลักษณะการศกึ ษาการเมืองการปกครอง ตามหลักฐานการศึกษาทางพระพุทธศาสนา การเมืองการปกครองมีอยู่ ๒ ระบบรูปแบบ คอื ราชาธปิ ไตย (Monarchy or Royalty) พระราชาหรอื พระมหากษตั รยิ เ์ ปน็ ใหญม่ อี า� นาจสงู สดุ เหนอื สิ่งอ่ืนใดในการบริหารปกครองสังคมรัฐ อย่างเช่น พระเจ้าพิมพิสารผู้เป็นกษัตริย์นักบริหารปกครอง แควน้ มคธ มเี มอื งหลวงชอื่ ราชคฤห์ พระเจา้ ปเสนทโิ กศลเปน็ กษตั รยิ น์ กั ปกครองแควน้ โกศล อนั มเี มอื ง สาวตั ถเี ปน็ เมอื งหลวง และเปน็ เมอื งทพี่ ระพทุ ธเจา้ ประทบั อยจู่ า� พรรษาเปน็ สว่ นมาก พระเจา้ อเุ ทนเจา้ ผคู้ รองนครโกสมั พี แควน้ วงั สะ และพระเจา้ จนั ทปชั โชตผิ เู้ ปน็ กษตั รยิ น์ กั ปกครองแควน้ อวนั ตี มเี มอื งหลวง ชื่ออุชเชนี เห็นได้ว่าเป็นการปกครองแบบธรรมราชา แบบลักษณะพ่อปกครองลูก เห็นประชาชน เปน็ ลกู หลานของตน เป็นการบริหารปกครองแต่ผูเ้ ดยี ว ใช้อา� นาจอธปิ ไตยเพียงคนเดยี ว อา� นาจสงู สุด เด็ดขาดเป็นของบุคคลคนเดียว แล้วมีผู้ช่วยในการบริหารปกครองเป็นตา� แหน่งการเมืองการปกครอง ตามลา� ดบั กลา่ วคอื ตา� แหนง่ ปุโรหิต เสนาบดี และเสนาทหาร เป็นต้น มเี ขตแดนการบริหารปกครอง ภายในเมืองและนอกเมือง ที่เรียกว่าเขตคาม นิคม ชนบท พร้อมกับมีผู้น�าบริหารปกครองประจ�า

202 สังคมวิทยาเบือ้ งต้น และระบบรูปแบบอภิชนาธิปไตยหรืออ�ามาตยาธิปไตย (Aristocracy) เป็นการบริหารปกครองเป็น กลมุ่ เปน็ คณะบคุ คล เชน่ พวกเจา้ ลจิ ฉวผี บู้ รหิ ารปกครองแควน้ วชั ชี มเี มอื งหลวงชอื่ กรงุ เวสาลี พวกเจา้ มัลลกษัตริย์แห่งเมืองกุสินาราและเมืองปาวา พวกเจ้าศากยวงศ์หรือวงศ์ของพระพุทธเจ้า ผู้บริหาร ปกครองแควน้ สกั กะ ทมี่ ศี นู ยก์ ลางการเมอื งการปกครองอยใู่ นกรงุ กบลิ พสั ด์ุ เปน็ ตน้ ซง่ึ เปน็ กลมุ่ ชนชนั้ สงู ทางสังคมควบคุมการบริหารจัดการสังคมรัฐ เป็นระบบรูปแบบประชาธิปไตยทางสังคมตะวันออก ก่อนระบบรูปแบบประชาธิปไตยในยุคทองของกรีซโรมันทางสังคมตะวันตก ท่ีเสนอโดยโสเครตีส (Socrates, ๔๖๙-๓๙๙ BC) เพลโต (Plato, ๔๒๗-๓๔๗ BC, พ.ศ. ๑๑๖-๑๙๖) และอริสโตเติล (Aristotle, ๓๘๔-๓๒๒ BC) โสเครตีสเกิดหลังพระพุทธเจ้าประมาณ ๗๔ ปี ส่วนเพลโตก็ประมาณ ๑๑๖ ปี ถือได้ว่าเป็นผู้มีอิทธิพลบทบาทส�าคัญอย่างมากต่อแนวคิดทฤษฎีทางสังคมการเมือง อภิชนา ธิปไตยหรืออ�ามาตยาธิปไตยเป็นระบบรูปแบบใช้อ�านาจอธิปไตยโดยกลุ่มคน อ�านาจเด็ดขาดเป็นของ คณะบคุ คล จะทา� อะไรกม็ กี ารปรกึ ษาหารอื และตดั สนิ ใจรว่ มกนั มกี ารประชมุ แสดงความคดิ เหน็ ลงมติ รว่ มกนั ยอมรบั ฟงั ความเหน็ ของคนอนื่ ไมท่ า� โดยพลการตามใจตวั เอง เปน็ การเคารพสทิ ธใิ หเ้ กยี รตคิ นอนื่ เปน็ แบบลกั ษณะปกครองสามคั คธี รรม ทา� เปน็ ระบบรฐั สภา จะทา� อะไรกนั กพ็ รอ้ มเพยี งกนั ทา� มสี ว่ นรว่ ม กนั ทา� ในทุกภาคส่วน สภาหรือรัฐสภาเป็นการประชุมปรกึ ษาหารือของสตั บุรุษหรอื คนดี หากสภาไม่มี สตั บรุ ษุ หรอื คนดี กไ็ มเ่ ปน็ สภา ผใู้ ดแสดงความคดิ เหน็ และพดู ไมเ่ ปน็ ธรรมหรอื ไมเ่ ปน็ ความจรงิ มเี หตผุ ล คนผนู้ นั้ ไมช่ อื่ วา่ เปน็ สตั บรุ ษุ คนดคี นมคี วามรดู้ แี ละประพฤตดิ ี เปน็ คนรเู้ หตุ ผล ตน ประมาณ กาลเวลา สถานท่ีและบุคคล คนดีมีปัญญาตั้งอยู่ในธรรม สามารถแยกแยะตรวจสอบดีชั่วถูกผิด วินิจฉัยติดสิน โดยความเป็นธรรมเสมอภาคมีประสิทธิภาพประสิทธิผล ไม่ใช่เป็นผู้ใหญ่มีอายุมาก ผมหงอก รู้มาก พดู มากตามความจา� และตวั หนงั สอื อกั ษร เวลาแสดงความคดิ และพดู ตอ้ งเปน็ ความจรงิ มเี หตผุ ลถกู ตอ้ ง ตามกาลเวลา วาจาอ่อนหวาน เป็นไปเพ่ือประโยชน์สุขเกื้อกูล ประสานสามัคคี มีแต่ความรักเมตตา หวังดีเสมอ เปน็ ระบบรูปแบบประชาธิปไตยใหถ้ ือธรรมในการบริหารปกครอง ความจรงิ ถกู ต้องดีงาม เปน็ สา� คญั (ธรรมาธปิ ไตย) มแี ตค่ วามยตุ ธิ รรมไมล่ า� เอยี ง ไมส่ อนใหถ้ อื บคุ คลและสงั คม ไมว่ า่ เปน็ ระบบ รูปแบบปกครองคนเดียว คณะบุคคล และคนส่วนใหญ่ จึงจะเป็นมติเอกฉันท์สรุปจบลงในสภาหรือ รัฐสภา ถือเป็นระบบรูปแบบการปกครองท่ีดีที่สุด อันเป็นแบบลักษณะส�าคัญจ�าเป็นผู้น�านักปกครอง ต้องทรงธรรม มคี วามรูแ้ ละประพฤตดิ ี บุคลิกลักษณะอุปนสิ ัยจิตใจดี มคี วามอดทนหนักแนน่ มปี ัญญา คิดไกล มองไกลและใฝ่สูง เป็นนักเสียสละ ไม่เห็นแก่ตัวและความเหน็ดเหนื่อย ไม่เห็นแก่พวกพ้อง ญาติมิตรพี่น้อง น�าท�าเพื่อประโยชน์สุขเกื้อกูลของมหาชน บริหารปกครองสังคมรัฐอย่างเป็นธรรม โปร่งใส มีประสิทธิภาพประสิทธิผล เพ่ือไปสู่จุดหมายปลายทางประโยชน์สูงสุด แม้แต่ก่อนท่ีจะ ปรินพิ พาน พระพทุ ธองคก์ ท็ รงตรสั เตอื นเอาไว้ว่า ทกุ สิ่งทุกอย่างมีการเกดิ ขึ้น ต้งั อยู่ และเสือ่ มไปเปน็ ธรรมดา ขอจงอย่าได้ประมาท จงถือธรรมเป็นใหญ่เป็นส�าคัญในการบริหารปกครอง ดูก่อนอานนท์

การเมอื งการปกครอง 203 ธรรมและวินัยอันใดที่เราแสดงแล้วบัญญัติแล้วแก่ท่านท้ังหลาย ธรรมและวินัยนั้นจักเป็นศาสดาของ ท่านท้ังหลาย เม่ือเราล่วงลับดับขันธ์ไปแล้ว อันเป็นหลักสัจธรรมความจริงมีเหตุผลธรรมดา ที่มนุษย์ สามารถคดิ รเู้ ขา้ ใจไดไ้ มซ่ บั ซอ้ น เปน็ เหตผุ ลขอ้ เทจ็ จรงิ ทนตอ่ การพสิ จู นท์ ดลองทนั สมยั ไมเ่ ปลย่ี นแปลง ตลอดกาล ตา่ งคนตา่ งคดิ หารปู แบบการเมอื งการปกครองทดี่ ที สี่ ดุ แทท้ จี่ รงิ ไมว่ า่ ระบบรปู แบบไหนกด็ ี ได้ หากคนเรายดึ ถือธรรมเปน็ ประมาณส�าคัญ ในสมัยกรีซโบราณ เพลโต (Plato, ๔๒๗-๓๔๗ BC, พ.ศ. ๑๑๖-๑๙๖) นักปรัชญากรีกผู้ยิ่ง ใหญข่ องโลกตะวนั ตก ผูเ้ ป็นบดิ าแห่งการเมอื ง (Father of politics) ไดพ้ ยายามศึกษาวิเคราะห์และ อธิบายสังคมรัฐอย่างเป็นระบบระเบียบแบบแผนมีเหตุผลบนฐานความจริง โดยสนใจในเรื่องศีลธรรม และจริยธรรม หลักความจริงสิ่งดีงามและการด�าเนินชีวิตที่ดีงามประเสริฐ อันเป็นนามธรรมเสียส่วน ใหญ่ ส่วนอริสโตเติล (Aristotle, ๓๘๔-๓๒๒ BC) ศษิ ยเ์ อกของเพลโต ท่ไี ดร้ ับการยกยอ่ งว่าเป็นบดิ า ทางรฐั ศาสตร์ ไดศ้ กึ ษาคน้ ควา้ ตรวจสอบสงั คมรฐั แบบวทิ ยาศาสตร์ มนั คอื อะไร ทา� ดว้ ยอะไร ประกอบ ไปด้วยอะไร และเพื่ออะไร อันเป็นรูปธรรมเสียส่วนใหญ่ โดยการสังเกต เปรียบเทียบ วิเคราะห์ แลว้ สรปุ ผลการศกึ ษา เพอื่ ปอ้ งกนั แกไ้ ขปญั หาทง้ั หลาย เพอื่ นา� ไปใชแ้ ลว้ บรรลเุ ปา้ หมายเหลา่ นนั้ อยา่ งไร กต็ าม ท่านท้ังสองเหน็ ว่า อดุ มรฐั หรือสังคมรัฐทดี่ สี มบูรณ์ ตอ้ งดว้ ยผูน้ า� นักปกครองท่ีเปน็ ปราชญห์ รือ ราชาปราชญ์ (Philosopher king) มคี ณุ ธรรมคือความรู้ (Virtue is knowledge) กล่าวคอื มีปัญญา ความกล้าหาญ อดทนข่มใจได้ และความยุติธรรม เป็นต้น ประชาชนต้องได้รับการศึกษา และมีส่วน ร่วมในการเมอื งการปกครองอย่างเท่าเทยี มกนั ในครสิ ตศ์ ตวรรษที่ ๑๙ การศกึ ษาสงั คมรฐั อยา่ งเปน็ ระบบระเบยี บแบบแผนกเ็ กดิ ขน้ึ โดยเนน้ สนใจศึกษาเรื่ององค์กรสถาบัน กระบวนการทางการเมือง นโยบายสาธารณะประโยชน์ พฤติกรรม กจิ กรรม และหนา้ ทที่ างการเมอื ง เพราะอทิ ธพิ ลประวตั ศิ าสตร์ ปรชั ญา และแนวคดิ ทฤษฎวี วิ ฒั นาการ ของดาร์วิน (Darwin’s theory of evolution, ๑๘๐๙-๘๒) คร้ันถึงคริสต์ศตวรรษที่ ๒๐ ได้หันมา สนใจศึกษาวิเคราะห์อธิบายสาเหตุของปรากฏการณ์สังคมและการเมือง มุ่งเน้นหาความจริงทาง การเมืองทั่วไป โดยอาศัยกรอบแนวคิดทฤษฎีช่วยในการศึกษาพิสูจน์ทอลอง เป็นการศึกษาแบบ วิทยาศาสตร์อย่างเคร่งครัด เพ่ืออธิบายปรากฏการณ์สังคมและการเมือง และต่อมา สนใจในเร่ืองรัฐ องค์ประกอบของรฐั มีประชากร อาณาจกั ร รัฐบาล กฎหมาย และอ�านาจอธิปไตย เปน็ ต้น อย่างเปน็ ระบบรปู แบบทางการ และในเวลาตอ่ มา กย็ งั สนใจศกึ ษาความจรงิ ทางการเมอื งการปกครอง ระบบรปู แบบการเมอื งการปกครอง แบบลกั ษณะพฤตกิ รรมนกั การเมอื ง ความเจรญิ กา้ วหนา้ ทางตวั บทกฎหมาย ประชาธิปไตยและอา� นาจอธิปไตย เป็นต้น

204 สงั คมวทิ ยาเบ้ืองตน้ การก่อเกดิ การเมืองการปกครอง ในสมัยแรกเริ่ม นักคิดทั้งหลาย มีนักสังคมวิทยา มานุษยวิทยา และรัฐศาสตร์ เป็นต้น ไดพ้ ยายามคิดวิเคราะหอ์ ธบิ ายมนษุ ย์ มนษุ ย์เป็นใคร มาจากไหน มารวมตัวกนั ทา� ไม เกิดเป็นสงั คมรฐั และเพื่ออะไร พยายามทุกวิถีทางท่ีจะรู้เข้าใจสังคมรัฐ คิดเดาคาดคะเนไปต่าง ๆ นานา ก่อเกิดเป็น แนวคิดทฤษฎเี ก่ยี วกับสังคมรัฐ การเมอื งและการปกครองข้ึนมากมาย หากปัญหาใดมนษุ ย์ไมส่ ามารถ ตอบได้ กจ็ ะโยนปญั หานนั้ ใหก้ บั เทพเจา้ ผยู้ งิ่ ใหญ่ เปน็ ผตู้ อบหรอื ใหค้ า� ตอบ จากปรากฏการณท์ างสงั คม ท่ัวไป ลักษณะการก่อเกิดสังคมรัฐ การเมืองและการปกครอง (Origin of state, politics and government) มีอยู่ ๒ ลกั ษณะใหญ่ ๆ ดังต่อไปน้ี ๑. มาจากเทพเจา้ (God) สงั คมรัฐหรอื แมแ้ ต่มนษุ ยม์ าจากเทพเจ้าผยู้ งิ่ ใหญ่ เทพเจ้าเป็นผมู้ ี อ�านาจย่ิงใหญ่ เป็นผู้สูงสุดและประเสริฐเลิศท่ีสุด ไม่มีเพศรูปร่างขนาดน้�าหนัก สัมผัสจับต้องไม่ได้ แต่มีอยูอ่ ยา่ งนั้นเปน็ อมตะ เป็นปฐมของสรรพส่งิ เป็นผู้สร้างทุกส่ิงทุกอยา่ ง เทพเจ้าเป็นผู้สร้างกา� หนด ให้เป็นไปตามการบันดาลและเจตนารมณ์ของท่าน สร้างข้ึนมาก็เพื่อให้รู้จักกับพระองค์ท่าน สร้างขึ้น มาแล้วยังต้องคุ้มครองดูแลรักษา เหมือนกับพ่อแม่สร้างบุตรข้ึนมาแล้ว จ�าต้องเลี้ยงดูปกป้องบุตร พระองคม์ คี วามรกั ตอ่ เพอ่ื นมนษุ ยเ์ หมอื นพอ่ แมร่ กั บตุ ร เพอ่ื นรกั เพอื่ น และกษตั รยิ ร์ กั พสกนกิ ร มนษุ ย์ ถอื วา่ เปน็ องคป์ ระกอบอยา่ งหนงึ่ ของสงั คมรฐั สรา้ งมนษุ ยข์ นึ้ มาแลว้ ยงั ตอ้ งสรา้ งตวั แทนเปน็ ผปู้ กปอ้ ง ดูแลรักษา (กษัตริย์) มาบริหารจัดการควบคุมให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย เกิดความสงบสุข สมบูรณ์ กษัตริย์นักปกครองเป็นเสมือนตัวแทนหรือสืบเชื้อสายมาจากเทพเจ้า ที่ได้รับความยินยอม มอบหมายอา� นาจจากพระเจา้ มาบรหิ ารจดั การปกครองสงั คมรฐั ประชาชนตอ้ งเคารพเชอ่ื ฟงั ปฏบิ ตั ติ าม คา� แนะนา� สง่ั สอนนนั้ หา้ มละเมดิ ฝา่ ฝนื ลม้ ลา้ งอา� นาจเดด็ ขาดนน้ั (Divine power) ผลู้ ะเมดิ ฝา่ ฝนื ถอื วา่ มคี วามผดิ ตอ้ งไดร้ บั โทษตามทไี่ ดก้ ระทา� ผดิ นนั้ ใครคดิ คดทรยศกบฏกเ็ ทา่ กบั คดิ ตอ่ ตา้ นกบฏตอ่ พระเจา้ โดยตรง พระเจา้ ถอื วา่ กษตั รยิ น์ กั ปกครองคอื บตุ รของพระองค์ เราคอื พระบดิ าของเขา เขาคอื บตุ รของเรา เราจะดแู ลอบรมสงั่ สอนเขาเอง หากเขาทา� ผดิ เราจะทา� โทษเขาเองดว้ ยการเฆย่ี นตดี ว้ ยไมเ้ รยี ว แตเ่ พราะ ความรักอันบริสุทธ์ิมั่นคงเราจะไม่พรากไปจากกัน เป็นแนวคิดทฤษฎีการเมืองการปกครองมาจาก เทพเจ้า เรียกว่าทฤษฎีเทวสิทธิ์ (The divine theory or divine right theory) เป็นแนวคิดทฤษฎี เก่ียวกับพระเจ้าและเกา่ แกท่ ีส่ ุด มีปรากฏใหเ้ หน็ อย่ทู ่วั ไปท้งั ในสงั คมโลกตะวนั ตกและออก ๒. มาจากธรรมดาหรอื ธรรมชาติ (Nature or state of nature) สังคมรฐั หรือแมแ้ ตม่ นษุ ย์ เป็นเรอื่ งธรรมชาติ เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ เป็นสว่ นหนึง่ ของธรรมชาติ เป็นกระบวนการธรรมดา ทเี่ กดิ ขน้ึ เป็นไปเพราะเหตุปจั จยั ทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ งเปน็ เรอ่ื งธรรมดาท่ีเกดิ ขน้ึ ต้ังอยู่ และเปลีย่ นแปลงเป็น ไปตามเหตุปจั จัย กลา่ วคือมสี าเหตแุ ละมปี จั จยั ต่าง ๆ ท้งั หลายทา� ใหเ้ กดิ เปน็ การก่อเกดิ ทอี่ าศัยความ จริงหลายอยา่ งเกิดขน้ึ ไมใ่ ช่สาเหตุและปัจจยั เดยี ว และไมใ่ ช่เทพเจ้าสรา้ งท�าบันดาลใหเ้ กดิ ดลบันดาล

การเมืองการปกครอง 205 ท�าให้เป็นไปตามเจตนารมณข์ องทา่ น นกั คดิ ท้ังหลายทงั้ ฝา่ ยตะวนั ออกและตก ท้งั ในอดีตและปัจจุบนั อยา่ งเชน่ พระพทุ ธเจา้ อรสิ โตเตลิ นกั สงั คมวทิ ยา นกั จติ วทิ ยา นกั รฐั ศาสตร์ นกั วทิ ยาศาสตร์ และทา่ น อนื่ ทงั้ หลาย ต่างมองเห็นความจรงิ สังคมรฐั ประกอบไปด้วยความจริงหลายอย่างมากมาย มีมนุษยท์ ่ีมี ความคดิ ตอ้ งการและการกระทา� ทแี่ ตกตา่ งกนั มสี งิ่ มชี วี ติ และไมม่ ชี วี ติ มกี ารรวมกนั เปน็ สงั คมรฐั มกี าร ต่อสู้ทา� มาหากิน มีการเอารัดเอาเปรยี บกนั มกี ารดูถูกเหยียดหยาม มกี ารทะเลาะวิวาท มีการลักขโมย ฆ่าท�าลายกัน มีการติดต่อสัมพันธ์กัน มีการประพฤติปฏิบัติที่แตกต่างกัน สังคมรัฐเต็มไปด้วยปัญหา และต่างเห็นว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคมและการเมือง เกิดมาแล้วไม่รู้อะไร แม้แต่ตัวเองก็ไม่รู้เข้าใจ ไม่รู้ จะปฏิบัติต่อส่ิงแวดล้อมรอบข้างทั้งหลายอย่างไร จ�าเป็นต้องศึกษาเรียนรู้ฝึกฝนพัฒนาตนเอง ให้เกิด ความรู้ความสามารถ และคุณธรรม เพราะชีวิตมนุษย์จ�าต้องติดต่อเกี่ยวข้องสัมพันธ์ระหว่างกัน จึงมี กระบวนการขัดเกลาทางสังคม พัฒนาแบบลักษณะมนุษย์ เพื่อเป็นคนดีหรือสมาชิกที่ดีของสังคม โดยการอบรมปลูกฝังซึมซับความคิด ความเช่ือ ทัศนคติ ค่านิยม และการปฏิบัติ ก่อเกิดปัญญา ความรอบรู้เขา้ ใจถกู ตอ้ งชดั เจนถอ่ งแท้ รสู้ งิ่ ทงั้ หลายตามความเปน็ จรงิ สามารถคดิ วเิ คราะหต์ รวจสอบ แกไ้ ขปญั หาได้ สามารถดา� เนนิ ชวี ติ ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะสม กอ่ เกดิ แตป่ ระโยชนส์ ขุ เกอื้ กลู เปน็ ทย่ี อมรบั ตอ้ งการของสงั คมและรฐั เพราะเปน็ ผมู้ คี วามรู้ ความสามารถ และความประพฤตดิ ี ประชาชนจงึ ยนิ ยอม พรอ้ มใจกนั เลอื กหรอื มอบอา� นาจใหม้ า อา� นาจทมี่ คี วามถกู ตอ้ งชอบธรรม อา� นาจทม่ี าจากคนสว่ นใหญ่ ไม่ใชพ่ ระเจ้า มาเปน็ ผูน้ า� นกั ปกครองของสังคมรัฐ ทป่ี ระชาชนสามารถแต่งตงั้ และถอดถอนได้ มาดูแล ความทกุ ขส์ ขุ ของประชาชน มาช่วยสนบั สนุนส่งเสริมคนและสังคม ให้มีอาชพี และการเปน็ อยู่ท่ีดีตาม ความเหมาะสม มาชว่ ยแกแ้ ละกนั ปญั หาตา่ ง ๆ ทง้ั หลาย มาชว่ ยวางกา� หนดนโยบายสาธารณะประโยชน์ มาจดั สรรอา� นาจและทรพั ยากรธรรมชาตเิ พอื่ ประโยชนส์ ขุ ของปวงชน มาบรหิ ารจดั การปกครองสงั คม และประเทศให้ดีงามถูกต้อง ตามเหตุปัจจัยและความเหมาะสมของสังคมรัฐ เป็นลักษณะการเมือง การปกครองของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน เป็นแนวคิดทฤษฎีการเมืองการปกครอง ธรรมดา ที่ได้รับมอบหมายอ�านาจที่ถูกต้องชอบธรรมจากคนส่วนใหญ่ ผู้น�านักปกครองต้องฟังเสียง ประชาชน ตอ้ งเคารพเชอื่ ฟงั ปฏบิ ตั ติ ามคา� แนะนา� ตอ้ งการของประชาชน หา้ มฝา่ ฝนื ละเมดิ อา� นาจของ ปวงชน ผลู้ ะเมดิ ฝา่ ฝนื ถอื วา่ มคี วามผดิ ตอ้ งไดร้ บั โทษตามทไี่ ดก้ ระทา� ผดิ นน้ั เปน็ แนวคดิ ทฤษฎกี ารเมอื ง การปกครองธรรมดาหรือธรรมชาติ เรียกว่าทฤษฎีธรรมชาติ (The natural theory) เกิดข้ึนเป็นไป ตามธรรมชาตหิ รือธรรมดาเหตผุ ล มีปรากฏให้เหน็ อยูท่ วั่ ไปทัง้ ในสังคมโลกตะวันตกและออก รูปแบบการเมอื งการปกครอง แม้สังคมโลกปัจจุบันเจริญก้าวหน้าถึงจุดสูงสุด แต่สังคมรัฐยังเต็มไปด้วยปัญหาท้ังหลาย ชีวติ มนุษยก์ ็ยงั เผชิญปัญหาแบบเดมิ ๆ ปญั หาสงั คม เศรษฐกจิ การเมือง และปัญหาโลก ท่ีสับเปลี่ยน หมุนเวยี นกนั มาตามกาลเวลาและเหตปุ จั จัย สังคมรฐั ยังต้องการผูน้ า� นักปกครองและรัฐบาล ท่มี ีความ

206 สังคมวิทยาเบอ้ื งตน้ รู้ความสามารถมาอาสาสมัครจัดการแก้ไขปัญหาท้ังหลายเหล่านั้น มาช่วยบริหารปกครองให้เป็นไป อยา่ งเรียบรอ้ ยปกตสิ ขุ และเจริญรงุ่ เรืองก้าวหนา้ ต่อไป ผกู้ ล้าอาสาสมคั รในการบริหารจัดการปกครอง ก็มีหลายแบบลักษณะมีท้ังดีและไม่ดี มีท้ังแบบสุนัขและแบบราชสีห์ ท�าเป็นมาเหมือนสุนัขจ้ิงจอก เสวยอา� นาจอย่างราชสหี ์ แลว้ ลาจากไปเหมอื นหมา (come like a fox, reign like a lion and die like a dog) มีท้ังเก่งกล้าสามารถ และข้ีขลาดตาขาว มาคนเดียวบ้างและพร้อมใจกันมาบ้าง มาท�าเพ่ือตนบ้างและเพอื่ คนอน่ื บ้าง เปน็ เรือ่ งธรรมดาทางการเมืองการปกครอง รูปแบบการเมืองการ ปกครอง (Form of politics and government) จึงมหี ลายแบบลกั ษณะ มีทงั้ แบบเผด็จการทรราชย์ และประชาธปิ ไตย มกี ารเปลยี่ นแปลงตามเหตปุ จั จยั และกาลเวลา อยา่ งไรกต็ าม จากปรากฏการณท์ าง สังคมการเมืองทั่วไป และความนิยมแพร่หลาย จึงพอสรุปรูปแบบการเมืองการปกครองออกเป็น ๓ ประเภทใหญ่ ดังนี้ ๑. ปกครองโดยคนเดยี ว (Rule by the one) เปน็ การบรหิ ารปกครองแตผ่ เู้ ดยี ว ใชอ้ า� นาจ อธิปไตยเพียงคนเดียว อ�านาจสูงสุดเด็ดขาดเป็นของบุคคลคนเดียว ปกครองถือตนเองเป็นใหญ่ (อัตตาธิปไตย, Self dependence or supremacy) จะทา� อะไรก็ปรารภตนเองเปน็ สา� คัญ จะส่งั การ หรอื ท�าอะไรก็เอาความคิดของตนเองเป็นที่ต้ัง ไมย่ อมรับฟังความเห็นของคนอนื่ รูปแบบการเมอื งการ ปกครองโดยคน ๆ เดียวมีทั้งดีและไม่ดี หากผู้น�านักปกครองเป็นผู้มีปัญญาความรู้ ความสามารถ และมีคุณธรรม เป็นนักปกครองที่ทรงธรรม ท�าเพ่ือประโยชน์สุขของประชาชน ถือผลประโยชน์ของ ประชาชนเป็นท่ีต้ัง ก็จะเป็นระบอบการปกครองที่ดี มีแต่ประโยชน์สุขเกื้อกูลแก่ปวงชน ท่ีเราเรียกว่า ราชาธปิ ไตย (Monarchy or Royalty) แตถ่ า้ ผนู้ า� นกั ปกครองใชอ้ า� นาจไปในทางทผี่ ดิ เสยี หายไรเ้ หตผุ ล ใช้อา� นาจฉ้อฉลโกงกิน เปน็ คนโลภเห็นแกต่ ัว ท�าเอาแต่ประโยชน์สว่ นตน ไมส่ นใจคนอืน่ ถือประโยชน์ ตนและพวกพ้องเป็นส�าคัญ ท�ารังแกข่มเหงหลอกหลวงประชาชน เอารัดเอาเปรียบประชาชน ก็จะ เปน็ การเมอื งการปกครองทแี่ ยเ่ ลวทรามโหดรา้ ยทารณุ เปน็ ระบอบเผดจ็ การทรราชยห์ รอื ทรราชาธปิ ไตย- ทชุ นาธปิ ไตย (Dictatorship or tyranny) บรหิ ารปกครองโดยคนชวั่ (ทชุ น-ทรราช) ใชอ้ า� นาจเผดจ็ การ ชั่วรา้ ยควบคมุ การเมือง สังคมและเศรษฐกจิ สรา้ งปญั หากอ่ ความทกุ ข์ยากล�าบากเดอื ดร้อนแก่พ่ีน้อง ประชาชน ๒. ปกครองโดยกลุ่มหรอื คณะบุคคล (Rule by a group of people) เปน็ การบริหาร ปกครองเป็นกลุ่มเป็นคณะบุคคล ใช้อ�านาจอธิปไตยโดยกลุ่มคน อ�านาจเด็ดขาดเป็นของคณะบุคคล จะท�าอะไรกม็ กี ารปรกึ ษาหารือและตดั สนิ ใจร่วมกัน มกี ารประชุมแสดงความคดิ เหน็ ลงมติ ยอมรับฟัง ความเหน็ ของคนอนื่ ไมท่ า� โดยพลการตามใจตวั เอง เปน็ การเคารพสทิ ธใิ หเ้ กยี รตคิ นอนื่ รปู แบบการเมอื ง การปกครองโดยกลุ่มหรือคณะบุคคลมีทั้งดีและไม่ดี หากคณะบุคคลเป็นนักปกครองที่ทรงธรรม ท�าเพื่อประโยชน์สุขของปวงชน ถือประโยชน์ของคนอ่ืนเป็นส�าคัญ ก็จะเป็นระบอบการปกครองท่ีดี มีแต่ประโยชน์สุขเกื้อกูลแก่ประชาชน ที่เรียกว่า อภิชนาธิปไตยหรืออ�ามาตยาธิปไตย (Aristocracy)

การเมอื งการปกครอง 207 กลมุ่ คนผมู้ ฐี านะตา� แหนง่ ทางสงั คมสงู (Elite or noble class in Feudalism) ใชอ้ า� นาจในการบรหิ าร ปกครองประเทศ แต่ถ้าผู้น�านักปกครองใช้อ�านาจไปในทางที่ผิดเสียหาย ใช้อ�านาจฉ้อฉลโกงกินชาติ บา้ นเมอื ง เปน็ คนเห็นแกต่ ัว ท�าเอาแต่ประโยชน์สว่ นตน ไม่สนใจคนอ่ืน ถอื ประโยชน์ตนและพวกพ้อง เป็นส�าคัญ ท�ารังแกข่มเหงหลอกหลวงประชาชน เอารัดเอาเปรียบประชาชน ก็จะเป็นการเมือง การปกครองที่แย่เลวทราม เป็นระบอบเผด็จการทรราชโดยคณะบุคคล กลุ่มคนรวยมีฐานะมั่งค่ังใช้ อ�านาจฉ้อฉลโกงกินชาตบิ ้านเมอื งหลอกหลวงประชาชน (คณาธิปไตยหรือธนาธปิ ไตย, Oligarchy or plutocracy) เขา้ มาบริหารแสวงหาผลประโยชน์กอบโกยทรพั ยส์ มบัติของชาตบิ า้ นเมอื ง สรา้ งปญั หา ความเสยี แกส่ ังคมรฐั และก่อความทุกขย์ ากล�าบากเดอื ดร้อนแกป่ ระชาชนคนท่ัวไป ๓. ปกครองโดยคนส่วนมาก (Rule by the majority of people) เป็นการบริหาร ปกครองโดยประชาชนหรอื คนส่วนใหญ่ของประเทศ ใชอ้ า� นาจอธปิ ไตยโดยคนส่วนมาก อา� นาจสูงสุด เด็ดขาดเป็นของประชาชน ประชาชนเป็นเจ้าของอ�านาจอธิปไตย ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหาร ปกครอง จะทา� อะไรกฟ็ งั เสยี งประชาชน ยอมรบั ฟงั ความเหน็ ของคนสว่ นใหญ่ ตอ้ งไดร้ บั ความเหน็ ชอบ จากประชาชน ไมท่ �าโดยพลการตามใจตวั เอง ทา� ใหส้ อดคลอ้ งสัมพันธก์ ับความเห็นและความตอ้ งการ ของประชาชน ท�าให้ถูกต้องดีงามเป็นประโยชน์ส่วนรวม เป็นการเคารพสิทธิให้เกียรติประชาชน รปู แบบการเมอื งการปกครองโดยประชาชนมที งั้ ดแี ละไมด่ ี หากบรหิ ารปกครองโดยชนชนั้ กลางทงั้ หลาย ทย่ี ดึ หลกั กฎหมายหรอื รฐั ธรรมนญู ในการบรหิ ารปกครองอยา่ งเครง่ ครดั เพอ่ื ความเปน็ ระเบยี บเรยี บรอ้ ย เพ่ือความดีงามและประโยชน์สุขร่วมกันของประชาชนทุกภาคส่วน โดยเฉพาะท้ังภาคคนจนและรวย ใหเ้ ชอื่ มประสานเทา่ เทยี มกนั กอ่ เกดิ ประโยชนส์ ขุ เกอื้ กลู รว่ มกนั เกดิ ความสมดลุ และเสถยี รภาพมน่ั คง ก็จะเป็นระบอบการปกครองท่ีดีเหมาะสมกับสังคมยุคใหม่ มีความประนีประนอมยืดหยุ่นยุติธรรม มีแต่ประโยชน์สุขเกื้อกูลแก่ประชาชน ท่ีเรียกว่า มัชฌิมชนาธิปไตย (Polity or city state) กลุ่มคน ชนชนั้ กลางใชอ้ า� นาจในการบรหิ ารปกครองประเทศ และระบอบการปกครองทคี่ ลา้ ยคลงึ กนั กค็ อื การ ปกครองโดยประชาชนหรอื คนสว่ นมากของสงั คมประเทศ โดยเฉพาะคนจน เปน็ ผมู้ อี า� นาจหรอื ใชอ้ า� นาจ ในการบรหิ ารปกครอง เปน็ การปกครองของคนจน โดยคนจน เพอ่ื คนจน โดยเหน็ วา่ ทกุ คนมคี วามเปน็ มนุษย์เหมือนกัน ไม่มีการแบ่งชนชั้นทางสังคม แต่เพราะคนจนส่วนใหญ่ขาดการศึกษามีปัญญาน้อย ไม่สามารถบริหารปกครองสังคมรัฐให้เป็นไปได้ด้วยดี อาจใช้อ�านาจไปในทางที่ผิดเสียหายไร้เหตุผล เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ตอบสนองความต้องการของตนเองมากกว่าคนอ่ืน เพราะธรรมชาติของ มนุษย์เต็มไปด้วยความโลภอยากได้อยู่แล้ว ถ้าถือเอาเสียงประชาชนดังกล่าวเป็นใหญ่ เสียงของ ประชาชนทเี่ หน็ วา่ เปน็ เสยี งแหง่ สวรรค์ อาจกลายเปน็ เสยี งแหง่ นรกกไ็ ด้ อาจสรา้ งปญั หาความเสยี หาย ใหแ้ กป่ ระชาชน ทา� ลายสงั คมและประเทศชาตไิ ด้ ถอื ไดว้ า่ เปน็ การเมอื งการปกครองทไ่ี มด่ ี แตม่ คี วามเลว น้อยกว่าระบอบการปกครองอ่ืน ๆ เป็นระบอบประชาธิปไตยตามแบบอริสโตเติล (Democracy of Aristotle) เปน็ การปกครองโดยกลมุ่ คนจนเพ่อื คนจน

208 สงั คมวทิ ยาเบื้องตน้ แต่ในสังคมโลกปัจจุบัน ประชาธิปไตย (Democracy) คือประชาชนเป็นใหญ่ การปกครอง โดยประชาชน (Rule by the people) เมื่อมีการศึกษาประชาธิปไตย มักนิยมคิดวิเคราะห์อธิบาย บรรยายเป็นระบบรูปแบบรัฐบาล รัฐสภา และศาล เป็นผู้ใช้อ�านาจอธิปไตย (Sovereignty) อ�านาจ สูงสุดในการปกครองประเทศ อ�านาจอธิปไตยดังกล่าว แบ่งออกเป็น ๓ ฝ่าย คืออ�านาจนิติบัญญัติ บรหิ าร และตุลาการ (Legislative, executive and judicial power) อา� นาจนติ บิ ญั ญตั ิ อา� นาจใน การออกบญั ญัตกิ ฎหมายและรัฐธรรมนญู แก้ไขกฎหมายและรัฐธรรมนญู ใหไ้ ด้มาตรฐานและยตุ ธิ รรม ไม่ใช่สองมาตรฐานไร้ยุติธรรม น�ามาใช้บริหารปกครองอย่างเป็นธรรมเสมอภาค ไม่ออกบัญญัติโดย พลการ ตอ้ งฟงั เสยี งขา้ งมากของประชาชน และคอยควบคมุ ตรวจสอบการบรหิ ารปกครองฝา่ ยรฐั บาล หรอื บรหิ าร เป็นต้น องคก์ รทที่ �าหน้าทน่ี ้ี คอื รัฐสภา มีท้ังสภาเดยี วและสองสภาทงั้ สงู และลา่ ง อา� นาจ บรหิ าร อา� นาจในการใชก้ ฎหมายบรหิ ารปกครองประเทศ ดแู ลความสขุ ทกุ ขข์ องประชาชน ความสมั พนั ธ์ ระหว่างประเทศ ท�าสนธสิ ญั ญากับต่างประเทศ แตง่ ตั้งถอดถอนเลือ่ นยศและตา� แหน่งข้าราชการนาย ทหารต�ารวจและผู้แทนทูต ยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ เป็นต้น รัฐบาลเป็นผู้ใช้อ�านาจหน้าท่ีนี้ มที ง้ั รฐั บาลแบบคณะรฐั มนตรแี ละประธานาธบิ ดี อา� นาจตลุ าการ อา� นาจในการวนิ จิ ฉยั ตดั สนิ คดี ปกปอ้ ง คุ้มครองรักษาความถูกต้องชอบธรรม ดูแลปกป้องรักษาสิทธิเสรีภาพภราดรภาพในสังคมการเมือง ศาลหรือองค์กรศาลเป็นผู้ใช้อ�านาจหน้าท่ีนี้ ท้ังหมดต้องใช้อ�านาจอย่างถูกต้องชอบธรรมไม่ล�าเอียง ตรวจสอบถ่วงดลุ ซ่งึ กนั และกัน อา� นาจเหลา่ นมี้ าจากประประชาชน ประชาชนเลอื กโดยการลงคะแนนเสยี งเลอื กตง้ั และมอบ อา� นาจอนั ชอบธรรมใหม้ า ผหู้ รอื พรรคทไี่ ดค้ ะแนนสงู สดุ มสี ทิ ธจิ ดั ตง้ั รฐั บาลโดยชอบธรรม ดา� รงตา� แหนง่ ตามวาระและโอกาส อาจเปน็ ส่ปี บี ้างหรอื อาจจะไม่ถึง ทงั้ น้ีขึ้นอยกู่ บั เงือ่ นไขและเหตุปัจจยั ประชาชน เป็นเจ้าของอ�านาจอธิปไตย มีสิทธิตรวจสอบแต่งตั้งและถอดถอน ประชาชนมีส่วนร่วมในการเมือง การปกครอง (Political participation) จะทา� อะไรตอ้ งฟงั เสยี งประชาชน เสยี งของประชาชนเปน็ เสยี ง แห่งสวรรค์ ต้องยอมรับท�าตามความเห็นและความต้องการของประชาชน ท�าให้ดีถูกต้องชอบธรรม ตามความเป็นจริง เป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชน เพ่ือประชาชน ให้เกิดอิสรเสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ ความเป็นพ่ีน้อง (Liberty, equality and fraternity) ให้เกิดความเป็น ระเบยี บเรียบร้อย ประโยชนส์ ุขเกื้อกลู เกิดความเปน็ เอกภาพสมั พนั ธม์ ่นั คง และเจรญิ รงุ่ เรอื งก้าวหน้า แตถ่ ึงอยา่ งไร ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ถือวา่ เป็นรูปแบบการเมอื งการปกครองทด่ี ที สี่ ดุ แต่การเมืองการปกครองก็ยังเต็มไปด้วยปัญหาแบบเดิมไม่สิ้นสุด นักคิดนักปราชญ์ท้ังหลาย มีนัก สังคมวิทยาและรัฐศาสตร์ เป็นต้น จึงพยายามคิดต่อไปอีกว่า ยังมีรูปแบบการเมืองการปกครองอ่ืน อีกไหม ทดี่ กี ว่ารปู แบบประชาธิปไตย...

การเมอื งการปกครอง 209 แบบลกั ษณะอา� นาจ การให้ความหมายค�าว่า “อ�านาจ” ถือได้ว่าเป็นเรื่องยากมีความสลับซับซ้อนเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ในพจนานุกรมลักษณะวัฒนธรรมของสังคมเฉพาะอเมริกา อ�านาจได้ถูกให้ค�านิยามว่า ความสามารถทจ่ี ะทา� ไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพประสทิ ธผิ ล และในพจนานกุ รมระหวา่ งประเทศแคมบรดิ อา� นาจ หมายถงึ ความสามารถทจ่ี ะควบคมุ คนและสถานการณท์ ง้ั หลายทเ่ี กดิ ขน้ึ ได้ “Power is defined in the American Heritage Dictionary as “the capacity to perform effectively” and in the Cambridge International Dictionary as “the ability to control people and events” (Worell, et al., ๒๐๐๑: ๘๔๗) จากเหตุผลดงั กล่าว อา� นาจก็คือความรแู้ ละความสามารถทจ่ี ะคิดและท�าไดใ้ ห้ ส�าเร็จ แม้ว่าจะมีอุปสรรคปัญหาขัดขวางและกดดันก็ตาม อ�านาจมีทั้งถูกต้องชอบธรรมอยู่ในกรอบ ขอบเขตกฎหมายและศีลธรรมและไม่ถูกต้องชอบธรรมนอกเหนือไปจากกฎหมายและศีลธรรม ส่วนอ�านาจอธิปไตย (Sovereignty) เป็นอ�านาจของสังคมรัฐ เป็นอ�านาจสูงสุดเหนือสิ่งอ่ืนใดใน การบรหิ ารปกครองประเทศ เปน็ อา� นาจบรหิ ารจดั การสงั คมรฐั ใหเ้ ปน็ ปกตสิ งบเรยี บรอ้ ยดงี าม เปน็ องค์ ประกอบสา� คญั อยา่ งหนงึ่ ในสงั คมรฐั รฐั หรอื รฐั บาลไดม้ าจากปวงชนหรอื ประชาชนมอบใหม้ า มาบรหิ าร จดั การปกครองประเทศให้ด�าเนนิ ไปสะดวกดว้ ยดีไมม่ ปี ญั หา จากปรากฏการณ์ทางสังคมการเมือง อ�านาจเกิดจากคุณสมบัติคุณธรรมคุณงามความดีของ บุคคล กล่าวคือความรู้ความสามารถความประพฤติถูกต้องดีงามของบุคคล เขาจึงได้อ�านาจน้ันมา เป็นอ�านาจแหง่ ธรรม เปน็ อา� นาจท่ถี กู ตอ้ งดีงาม เกิดจากธรรมดาเหตุผล ไมม่ กี ารโกงขู่บงั คบั ฆ่าท�าลาย ไมม่ เี วรภยั อนั ตราย เป็นอา� นาจท่ีคนทง้ั หลายตอ้ งการยอมรับ อ�านาจเกดิ จากคนอืน่ ให้มา ผูใ้ หญ่หรือผู้ มอี า� นาจมอบใหม้ า เพราะรบั ใชห้ รอื เสนอหนา้ อาสาทา� งานให้ จงึ ไดอ้ า� นาจนนั้ มา เปน็ อา� นาจแหง่ ความ สัมพันธ์ส่วนบุคคล เกิดจากความรักสิเนหาพาให้ไม่มีเหตุผลชอบธรรม และอ�านาจเกิดจากการต่อสู้ แกง่ แย่งแข่งขันฆ่าท�าลายกนั โกงฆา่ คนอ่ืนเหยียบหัวคนอืน่ ข้ึนมามีอา� นาจ มาด้วยความกระหายอยาก เต็มไปด้วยเลือด ไม่คิดค�านึงถึงความถูกต้องดีงาม ไม่สนใจกฎหมายและศีลธรรม เพียรท�าพยายาม ทกุ อยา่ งเพือ่ อา� นาจ เปน็ อา� นาจแหง่ อธรรม เป็นอา� นาจไม่ถูกต้องชอบ ธรรม อ�านาจฉ้อฉลโกงกิน เต็มไปด้วยการต่อสู้เกรงกลัวหวาดระแวงอึดอัดร้อนรุ่มกลุ้มใจ เต็มไปด้วยเวรภัยอันตราย เต็มไปด้วยความอยากถือตัวและเป็นใหญ่ เป็นอ�านาจท่ีไม่ต้องการและ ยอมรับในสังคม แม้มีแบบลักษณะอ�านาจมากมาย แต่ก็จะสรุปอ�านาจความเป็นใหญ่ (อธิปไตย ๓ คอื ภาวะทถี่ ือเอาความเป็นใหญ่ ๓ ประการ) คือ ๑. อัตตาธิปไตย = อ�านาจเบ็ดเสร็จเผด็จการ (Supremacy of self or mind = totali- tarianism) ถือตนเป็นใหญ่ กระท�าปรารภตนเป็นส�าคัญ ท�าทุกอย่างเกี่ยวข้องกับตนเพ่ือตนเอง ให้ความสา� คญั ความคดิ ฐานะตา� แหนง่ เกยี รตศิ กั ดศิ์ รบี ทบาทหนา้ ทผี่ ลประโยชนข์ องตน เปน็ การเชอ่ื มน่ั

210 สังคมวิทยาเบื้องต้น ยดึ ถอื ตน มักเป็นคนใจแคบไร้เหตุผล ท�าตามใจตัวเอง ผู้ถือตนเป็นประมาณส�าคัญ มักใช้อ�านาจแบบ เบด็ เสรจ็ ควบคมุ คนอน่ื ไมใ่ หเ้ กยี รตอิ สิ ระเสรภี าพแกค่ นอน่ื ทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ งเปน็ ไปอยภู่ ายใตอ้ า� นาจของตน ไมส่ นใจธรรมความถกู ตอ้ งดงี ามมเี หตผุ ล คนทง้ั หลายไมต่ อ้ งการและยอมรบั อา� นาจเบด็ เสรจ็ เผดจ็ การ มักควบคุมกจิ การทุกอยา่ ง ควบคมุ การเมือง สงั คมและเศรษฐกิจ ๒. โลกาธิปไตย = อ�านาจนิยม (Supremacy of socio-political opinion or value = authoritarianism) ถือโลกเป็นใหญ่ กระท�าปรารภชาวโลก ถอื ความนิยมของคนสว่ นใหญ่ ถือเคารพ ฟงั เสยี งมหาชนเปน็ ประมาณ เสยี งของคนหมมู่ ากเปน็ เสยี งทถ่ี กู ตอ้ งชอบธรรม กระทา� เปน็ ไปตามกระแส ค่านิยมทางสังคม คนส่วนใหญ่ว่าอย่างไรหรือต้องการอะไร ก็ท�าตามน้ัน เป็นการถือท่ีอยู่บนฐาน การยกย่องนินทาสรรเสริญ ปราศจากความจริงมีเหตุผล เป็นการยึดถือไม่ถูกต้องชอบธรรม ผู้ถือโลก เปน็ ประมาณสา� คญั มกั ใชอ้ า� นาจเปน็ แบบอา� นาจนยิ ม นยิ มเปน็ ไปตามเสยี งของคนสว่ นใหญ่ แมใ้ หอ้ สิ ร เสรีภาพแกป่ ระชาชนบ้าง แต่ก็ไม่ต้องการใหใ้ ครมาวพิ ากษว์ ิจารณ์ขดั แยง้ คดั ค้าน แมใ้ ห้สทิ ธโิ อกาสใน การมสี ว่ นรว่ ม แตก่ ใ็ หบ้ างสว่ นไมเ่ ตม็ ที่ อา� นาจนยิ มมกั ควบคมุ เฉพาะการเมอื งการปกครอง สว่ นสงั คม นยิ มมักควบคุมเฉพาะเศรษฐกิจ เป็นปรากฏการณ์ธรรมดามีให้เหน็ อย่ทู ั่วไป ๓. ธมั มาธิปไตย = อสิ ระเสรีนิยม (Supremacy of Dhamma or right-moral code = liberalism) ถือธรรมเป็นใหญ่ กระท�ายึดถือหลักการ หลักความจริง หลักความถูกต้องดีงาม หน้าท่ี ทางสังคมทั้งหลาย เหตุผลเป็นส�าคัญ เป็นการรู้จักคิดวิเคราะห์หาสาเหตุของส่ิงต่าง ๆ ทั้งหลาย รู้จัก เหตุผลแห่งความเสื่อม ความเจริญ และวิธีการปฏิบัติเพ่ือบรรลุเป้าหมายท่ีวางเอาไว้ เป็นการรู้จักกฎ ธรรมดา กฎแห่งเหตุผล รู้จักหลักการที่จะท�าให้เกิดผลประโยชน์สูงสุด รู้คุณค่าความหมายสาระอัน แท้จริงของมัน รู้จักเป้าหมายประโยชน์สูงสุดของมัน รู้เข้าใจชีวิตสังคมรัฐและจุดหมายสูงสุดของชีวิต สงั คมรัฐ ร้เู ขา้ ใจอย่างถูกตอ้ งมเี หตุผล ส�านึกรบั ผดิ ชอบในหลักแห่งความดี มุ่งท�าเตม็ ท่เี ต็มก�าลังความ สามารถอยา่ งตอ่ เนอื่ ง เพอื่ ไปสจู่ ดุ มงุ่ หมายสงู สดุ รว่ มกนั ผถู้ อื ธรรมเปน็ ทต่ี งั้ มกั เปน็ คนใจกวา้ งมเี หตผุ ล มกั ใชอ้ า� นาจแบบอสิ รเสรนี ยิ ม นยิ มความจรงิ สง่ิ ดงี าม ความจรงิ สง่ิ สากล ความจรงิ มเี หตผุ ล อสิ รเสรนี ยิ ม เป็นการให้อ�านาจหมดทุกอย่าง ให้อิสระเสรีภาพเสมอภาคภราดรภาพอย่างเต็มท่ี เป็นการมีส่วนร่วม รับผิดชอบร่วมกัน ด�าเนินเป็นไปตามหลักความถูกต้องดีงามด้วยกัน เป็นประโยชน์สุขเกื้อกูล ความ สัมพันธ์มั่นคงร่วมกัน เป็นหลักสัจธรรมจริยธรรม เป็นหลักสากลธรรมดาเหตุผล ท่ีทุกคนปรารถนา ตอ้ งการยอมรับ (ทฆี นิกาย ปาฏกิ วคั ค์ พระไตรปิฎก เล่มท่ี ๑๑, ขอ้ ที่ ๒๒๘, หนา้ ที่ ๒๓๑) จากข้อความที่กล่าวมาเบ้ืองต้น อ�านาจและการใช้อ�านาจท่ีพยายามคิดวิเคราะห์ในสังคม การเมืองทั้งฝ่ายตะวันตกและออก หากคิดพิจารณาอย่างยุติธรรมไม่ล�าเอียง เป็นเร่ืองเดียวกัน ทป่ี ระสานกลมกลนื กนั เปน็ อยา่ งดี และยง่ิ ไปกวา่ นี้ อา� นาจและการใชอ้ า� นาจกข็ น้ึ อยกู่ บั บคุ คลและคณะ บคุ คล ไมใ่ ชพ่ ระเจา้ สรา้ งท�าดลบนั ดาล พูดให้เข้าใจงา่ ย ๆ ข้ึนอยูก่ ับพฤตกิ รรมและอุปนสิ ยั ของบคุ คล

การเมืองการปกครอง 211 ผใู้ ชอ้ า� นาจ อนั สามารถชบ้ี ง่ บอกแบบลกั ษณะของบคุ คลไดเ้ ปน็ อยา่ งดี กลา่ วคอื ถา้ เปน็ คนโงเ่ ขลาใจนอ้ ย ใจแคบเหน็ แกต่ วั ไรเ้ หตผุ ล ไดอ้ า� นาจมาแลว้ กจ็ ะใชอ้ า� นาจตามความอยากตอ้ งการของตนเองและพรรค พวกของตนเอง ไมแ่ ครไ์ มส่ นใจไมย่ อมฟงั คนอน่ื ไมท่ า� เพอ่ื สว่ นรวม อนั เปน็ แบบลกั ษณะทา� งานเพอื่ กาย เต็มไปด้วยกิเลสตัณหาความอยากต้องการ มักมัวเมาลุ่มหลงในโลกิยะสุข ไม่สนใจคนสังคมและ ความจรงิ ถกู ตอ้ งดงี าม คนประเภทนไี้ มแ่ ตกตา่ งไปจากสตั วเ์ ดรจั ฉานทงั้ หลาย การใชอ้ า� นาจกเ็ ปน็ แบบ ทีเ่ ห็นแกต่ ัวเตม็ ไปด้วยความกระหายอยากต้องการ เตม็ ไปด้วยปญั หาความขัดแย้งแตกแยกเสอ่ื มทรดุ ไมส่ มานฉนั ทไ์ มส่ ามคั คี ไมเ่ ปน็ ทป่ี รารถนาตอ้ งการในทางสงั คมการเมอื ง ถอื ไดว้ า่ เปน็ อา� นาจแหง่ อธรรม อ�านาจไมถ่ กู ตอ้ งชอบธรรม และบคุ คลผ้ใู ชอ้ า� นาจแบบนี้ กจ็ ดั เป็นบคุ คลช้นั ตา�่ เพราะคิดท�าก็เพอ่ื กาย หรือตนเอง หากเป็นคนเขลาไม่มั่นใจตัวเองและความถูกต้องดีงาม แคร์เห็นแก่คนสังคม ถือคนสังคม ส่วนใหญเ่ ป็นสา� คญั กจ็ ะใชอ้ า� นาจตามคนสว่ นใหญแ่ ละกระแสค่านิยมทางสังคมการเมอื ง เปน็ อ�านาจ ท่ีเห็นแก่คนสังคมการเมือง เป็นอ�านาจยังไม่ถูกต้องชอบธรรม เต็มไปด้วยความโลภโกรธหลง แต่ก็ยัง ดีมีน้�าใจยอมรับฟังเสียงของคนส่วนใหญ่ ผู้ใช้อ�านาจประเภทน้ี เห็นได้ว่า เป็นบุคคลช้ันกลางในสังคม การเมือง และถา้ ใครผใู้ ดเป็นคนดมี ปี ญั ญา คดิ ดีมองไกลใจกว้างหนกั แน่นมเี หตุผล ร้เู ข้าใจสงิ่ ท้ังหลาย ตามความเป็นจริง กระท�ายึดถือหลักความจริง ให้สอดคล้องสัมพันธ์กับปรากฏการณ์ความจริงน้ัน ไดอ้ า� นาจมาแลว้ ไมท่ า� เพอ่ื ตนเองและคนสงั คมสว่ นใหญ่ มงุ่ ทา� เพอื่ ความถกู ตอ้ งดงี าม สามารถเสยี สละ ได้ท้ังทรัพย์อวัยวะและเกียรติเพ่ือรักษาธรรม ก่อเกิดประโยชน์สูงสุด หรือประโยชน์สุขเกื้อกูลร่วมกัน อันเป็นแบบลักษณะอ�านาจแห่งธรรม อ�านาจท่ีถูกต้องชอบธรรม เป็นอ�านาจสูงสุดในสังคมการเมือง ท่ียอมรับปรารถนาต้องการในทุกองค์กรสถาบันสังคมการเมือง อ�านาจท่ีเต็มไปด้วยปัญญาความจริง ความถกู ตอ้ งความสุขและสามคั คี ผู้ทใี่ ชอ้ า� นาจในลกั ษณะแบบน้ี ถือไดว้ า่ เป็นบุคคลช้นั สูงสุด จึงพอก�าหนดสังเกตเหน็ ได้วา่ ในสังคมการเมอื ง บคุ คลผู้ไดอ้ �านาจมาแลว้ ก็จะใชอ้ �านาจเพอ่ื ตนเอง คนอื่น สังคมคนส่วนใหญ่ และเพ่อื ความจริงถกู ตอ้ งดงี าม เพราะฉะนั้น ผู้มอี �านาจต้องเป็นแบบ ลกั ษณะมปี ญั ญา มีสัจจะสัตย์ซอ่ื ถอื คุณธรรม อดทนหนักแน่น ยุติธรรม กลา้ หาญ เสยี สละ อ่อนนอ้ ม ถอ่ มตน ไมป่ ระพฤตผิ ดิ เสยี หาย และตง้ั ใจทา� เพอื่ ประโยชนส์ ขุ เกอ้ื กลู มหาชนเปน็ อนั มาก จงึ จะเปน็ ทร่ี กั ของประชาชน และไดร้ บั การสนบั สนนุ สง่ เสรมิ จากประชาชน อา� นาจสามกส็ ามารถแบง่ แยกบคุ คลออก เป็นสามประเภทไดเ้ ช่นกนั ตามนิยามความหมายและปรากฏการณท์ างสังคมการเมอื งทว่ั ไป หนา้ ทขี่ องผูน้ �านักปกครองท่ัวไป ผนู้ า� นกั การเมอื งการปกครองกเ็ ปน็ ปถุ ชุ นคนธรรมดาหากมกี ารศกึ ษานอ้ ยและดอ้ ยการฝกึ ฝน อบรมพฒั นามาบรหิ ารปกครองประเทศ ถา้ มคี วามอยากมากเกนิ ไปไรเ้ หตผุ ล อยากในสง่ิ ทผี่ ดิ ไมถ่ กู ตอ้ ง เป็นธรรม เห็นแก่ตัวไม่ยอมท�าเพื่อคนอ่ืน อยากเป็นใหญ่อยากเก่งเด่นดังเกินไป ไม่ยอมก้มหัวให้ใคร แสวงหาแตอ่ า� นาจอทิ ธพิ ลผลประโยชนเ์ ปน็ สา� คญั พยายามทา� ใหไ้ ดท้ า� ใหส้ า� เรจ็ ไมย่ อมเชอื่ ฟงั ทา� ตามใคร

212 สังคมวทิ ยาเบอ้ื งต้น กจ็ ะเกิดผลรา้ ยทา� ลายคนสังคมประเทศและประชาธิปไตย ดังน้ัน ผูน้ า� นักการเมืองการปกครองตอ้ งมี การศึกษาและได้ฝกึ ฝนอบรมพัฒนาตนมาเป็นอย่างดี จึงจะสามารถบรหิ ารปกครองตนสงั คมประเทศ ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งเปน็ ธรรม ผบู้ รหิ ารปกครองทส่ี งั คมคาดหวงั ยอมรบั และตอ้ งการ ตอ้ งเปน็ ผมู้ คี วามรคู้ วาม สามารถ บรหิ ารจดั การตน คน และงานไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพประสทิ ธผิ ลเปน็ ธรรมโปรง่ ใสตรวจสอบได้ คณะบคุ คลหรอื รฐั บาลตอ้ งมาจากประชาชน รฐั บาลจะคดิ จะพดู และทา� กเ็ พอ่ื ประชาชน มหี นา้ ทรี่ บั ผดิ ชอบความสุขทุกข์ของประชาชน ก�าหนดนโยบายวางแผนบริหารปกครองสังคมรัฐอย่างเป็นธรรม โปร่งใสตรวจสอบได้ จัดการแกไ้ ขปญั หาทง้ั หลาย ใหเ้ กดิ ความยุตธิ รรมเสมอภาคปราศจากอคติ ถือได้ ว่าเป็นภาระหน้าที่ส�าคัญย่ิงใหญ่ของผู้น�านักบริหารปกครอง แม้มีภาระหน้าท่ีในการบริหารปกครอง ประเทศมากมาย แต่ก็พอสรุปหน้าทีส่ า� คัญของผบู้ รหิ ารนักปกครองได้ ดังนี้ ๑. ต้องบรหิ ารปกครองโดยธรรม ผู้ไดอ้ �านาจแลว้ ใชอ้ �านาจให้นอ้ ย ต้องรจู้ ักใชใ้ ห้เปน็ ใช้ใน คราวจา� เปน็ ตอ้ งบริหารปกครองโดยหลักความจรงิ มเี หตุผล หลักความดีถกู ตอ้ ง อย่ใู นกรอบศลี ธรรม และกฎหมาย ไมป่ ระพฤตผิ ิดเสียหายไปจากหลกั ความจรงิ สง่ิ ดีงาม รูจ้ กั คดิ วิเคราะหห์ าความจริงสิง่ ดี งาม สง่ เสริมสนบั สนนุ ความจริงสง่ิ ดงี ามและการกระท�าทีถ่ กู ตอ้ ง (หลักศีลธรรมและจรยิ ธรรม) รจู้ กั วธิ ี แก้ไขป้องกันปัญหาท้ังหลาย ไม่ให้การกระท�าชั่วร้ายไม่เป็นธรรมเกิดขึ้น ไม่ให้มีการทุจริตคอร์รับชัน ก�าจัดคนช่ัวส่งเสริมคนดี รู้จักหารักษาผลประโยชน์ของสังคมประเทศ รู้รักษาความเป็นเอกราชและ เกยี รตภิ มู ขิ องชาติ รจู้ กั เหตแุ หง่ ความเสอ่ื ม ความเจรญิ และวธิ กี ารปฏบิ ตั เิ พอ่ื บรรลเุ ปา้ หมายทวี่ างเอาไว้ รู้ส�านึกรับผิดชอบในหลักแห่งความดี มุ่งท�าเต็มที่เต็มก�าลังความสามารถอย่างต่อเนื่อง เพ่ือไปสู่จุดมุ่ง หมายปลายทางการบรหิ ารปกครอง รเู้ ขา้ ใจแลว้ มงุ่ ทา� เพอ่ื ประชาชนทกุ หมเู่ หลา่ ตลอดถงึ สตั วท์ งั้ หลาย ให้เกิดความเป็นธรรม เป็นการจัดระเบียบสังคมรัฐ ให้เกิดความสงบเรียบร้อยดีงามและความมั่นคง ย่ังยนื ภายในสงั คมรัฐ ๒. ใหบ้ รกิ ารทางสงั คม ตอ้ งจดั สวสั ดกิ ารทางสงั คมและสงั คมสงเคราะห์ ใหว้ ตั ถสุ งิ่ ของบรกิ าร ทางสังคมและสาธารณะประโยชน์ ช่วยเหลือประชาให้พึ่งพาตนเอง ช่วยเหลือดูแลรักษาพยาบาล ประชาชนคนของชาติ ใหม้ สี ขุ ภาพกายและจติ ทด่ี สี มบรู ณ์ ชว่ ยอา� นวยความสะดวกสบายแกป่ ระชาชน วางก�าหนดนโยบายและโครงสร้างทางสังคม จัดระบบองค์กรสถาบันทางสังคมให้ดีเรียบร้อยมี ประสทิ ธภิ าพ มกี ารตดิ ตอ่ สอ่ื สารกนั ไดอ้ ยา่ งสะดวกรวดเรว็ ใหเ้ กดิ ความสงบสขุ เรยี บรอ้ ย ประโยชนส์ ขุ เก้อื กลู เพอ่ื การเปน็ อย่ทู ี่ดีในสงั คมรว่ มกนั ๓. ใหก้ ารศกึ ษา การศกึ ษาเปน็ เครอ่ื งมอื สา� คญั ในการสรา้ งพฒั นาคนและสงั คมประเทศชาติ ตอ้ งใหก้ ารศกึ ษาหรอื ขยายโอกาสทางการศกึ ษาแกป่ ระชาชนอยา่ งทว่ั ถงึ เพอื่ ใหป้ ระชาชนมกี ารศกึ ษา มคี วามรู้เข้าใจความจริงส่งิ ดงี าม ความจรงิ ของชวี ติ และสงั คมโลก มีเหตุผลไมห่ ลงโง่งมงาย รจู้ ักน�าไป ประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ สามารถใช้ชีวิตสอดคล้องสัมพันธ์กับสังคมรัฐได้อย่างถูกต้องเหมาะสม

การเมืองการปกครอง 213 ก่อเกิดแต่ประโยชน์สุขเก้ือกูลฝ่ายเดียว มีหลักในการด�าเนินชีวิต มีการประพฤติปฏิบัติอย่างถูกต้อง เหมาะสม ไมห่ ลงไปกบั กระแสของสงั คมโลก สามารถสรา้ งสรรคพ์ ฒั นาตนเองได้ สามารถคดิ เปน็ ทา� ถกู มีคณุ ธรรม สามารถคิดได้ มองไกล ใฝด่ ี มีระเบียบวนิ ัย รเู้ ข้าใจแล้วยดึ ถือปฏบิ ตั อิ ย่างถูกต้องเหมาะสม ภายใตก้ ารเปล่ยี นแปลงของสังคมโลกปจั จุบนั อยา่ งตอ่ เน่อื ง การศกึ ษาชว่ ยเตรยี มบคุ คลใหเ้ ปน็ สมาชกิ ทด่ี ขี องสงั คม ชว่ ยขดั เกลาใหเ้ กดิ ความรคู้ วามเขา้ ใจ ความจริงทางสังคมรัฐและประชาธิปไตย ทั้งในภาคทฤษฎีและปฏิบัติได้อย่างถูกต้องชัดเจน ดังน้ัน ตอ้ งจดั ใหก้ ารศกึ ษาในระดบั ตา่ ง ๆ เชน่ ระดบั กอ่ นประถมศกึ ษา ประถมศกึ ษา มธั ยมศกึ ษา และระดบั อุดมศึกษา ท้ังการศึกษาที่เป็นระบบรูปแบบและไม่เป็นระบบรูปแบบแก่ประชาชนผู้สนใจศึกษาอย่าง ทวั่ ถงึ ใหก้ ารบรกิ ารการศกึ ษาอยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะสมเพยี งพอเสมอภาค มกี ารสนบั สนนุ สง่ เสรมิ ผมู้ คี วาม รู้สามารถและต้องการศึกษาต่อในระดับสูง ให้สอดคล้องสัมพันธ์ความจริงสิ่งดีงามและอุดมการณ์ ประชาธปิ ไตย ท่ีเจริญพัฒนาเปลีย่ นแปลงอยา่ งตอ่ เนื่อง เกดิ การยอมรับและปฏิบัติ กลายเป็นค่านิยม และวัฒนธรรมทางการเมอื งการปกครอง ๔. ให้อาชีพการงาม การศึกษาท�าให้เกิดความรู้เข้าใจโดยตรง และท�าให้มีอาชีพการงาน โดยออ้ ม ตอ้ งใหป้ ระชาชนรจู้ กั ทา� มาหาเลยี้ งชพี ประกอบอาชพี ทส่ี จุ รติ อาชพี สจุ รติ ไมผ่ ดิ กฎหมายและ ศลี ธรรม อาชพี ทป่ี ราศจากโทษภยั อนั ตราย ประกอบอาชพี เพอื่ เกอื้ หนนุ พฒั นาชวี ติ ใหม้ คี ณุ ภาพ อาชพี การงานท่ีบุคคลกระท�าเปน็ ประจ�าเพื่อรายได้ อาชีพการงานเป็นทม่ี าของเงินรายได้ เพอ่ื การด�ารงชีวติ อยู่ในสังคม จ�าเป็นต้องสนับสนุนส่งเสริมให้เกิดความรู้ความช�านาญในอาชีพต่าง ๆ ท้ังหลายอย่าง ทว่ั ถงึ เมอื่ มคี วามสามารถชา� นาญในอาชพี แลว้ อาจใหย้ มื ทนุ ไปประกอบอาชพี เพอ่ื รายไดท้ ด่ี ไี มย่ ากจน เปน็ การสรา้ งฐานะทางสงั คม เพอื่ ใหเ้ กดิ ความเสมอภาคทางสงั คม ไมใ่ หเ้ กดิ การแบง่ ชนชนั้ วรรณะทาง สงั คม เพอ่ื ปอ้ งกนั การแตกแยกรงั เกยี จกนั ในสงั คม ถา้ ประชาชนสว่ นใหญม่ อี าชพี มรี ายไดเ้ ปน็ ของตนเอง เล้ียงตนเองพ่ึงตนเองได้ ก็จะไม่มีปัญหาสังคมอาชญากรรมการลักขโมยฆ่าท�าลายกัน ส่งผลให้สังคม ประเทศสงบเรียบร้อยเจริญรุ่งเรืองก้าวหนา้ ต่อไป ๕. สร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สังคมโลกปัจจุบันเป็นลักษณะโลกใบเดียวกัน เป็นกระบวนการเมืองการปกครองลักษณะที่คล้ายคลึงกัน เป็นกิจกรรมส�าคัญและปรากฏการณ์ ทางสงั คมการเมอื งอยา่ งหนง่ึ จา� ตอ้ งตดิ ตอ่ สรา้ งสมั พนั ธร์ ะหวา่ งประเทศ เพอ่ื แลกเปลย่ี นขอ้ มลู ขา่ วสาร ความรู้วิทยาการ ทัศนคติ และประสบการณ์ เพ่ือความรู้เข้าใจร่วมกัน ร่วมมือร่วมแรงร่วมใจร่วมกัน ผลประโยชน์ร่วมกัน ความสามัคคีร่วมกัน และเพ่ือสันติภาพของสังคมโลกร่วมกัน การติดต่อสัมพันธ์ ระหว่างกนั ท�าให้เกดิ การเปล่ียนแปลงพัฒนาสังคมรัฐการเมอื งการปกครองตามล�าดบั ได้อย่างแทจ้ ริง ๖. สร้างพัฒนาสังคมรัฐและเศรษฐกิจ สังคมโลกส่วนใหญ่คาดหวังต้องการกระบวนการ เมืองการปกครอง ท่ีดีงามถูกต้องและมีความเข้มแข็ง อันเป็นหลักประกันความสัมพันธ์มั่นคงภายใน-

214 สังคมวทิ ยาเบือ้ งตน้ นอกสังคมรัฐและการเปน็ อยทู่ ่ีดสี งบสขุ ของประชาชน ดงั นัน้ หน้าทส่ี า� คญั อย่างหน่ึงของการเมืองการ ปกครอง คือสร้างสรรค์พัฒนาสังคมรัฐและเศรษฐกิจ เพื่อสังคมรัฐท่ีดีน่าอยู่อาศัยและการเป็นอยู่ที่ดี งามมีคุณภาพมีความสุขของประชาชน ประชาชนจะมีชีวิตที่ดีและคุณภาพได้นั้นต้องมาจากระบบ การเมืองการปกครอง สังคมรัฐและเศรษฐกิจท่ีดีมีความเป็นธรรม หากประชาชนขาดปัญญาความรู้ เขา้ ใจในประชาธปิ ไตย หรอื การเมอื งการปกครอง สงั คมรฐั ต้องเรง่ แก้ไขปรับปรงุ พฒั นา ใหเ้ กดิ ความรู้ เขา้ ใจหรอื ตระหนกั คณุ คา่ ความหมายประโยชนป์ ระชาธปิ ไตย หรอื การเมอื งการปกครอง อนั มอี ทิ ธพิ ล บทบาทสา� คญั ตอ่ วถิ ชี วี ติ สงั คมประเทศชาติ ใหเ้ ขา้ มามสี ว่ นรว่ มในกระบวนการเมอื งการปกครองอยา่ ง จริงจัง สามารถควบคุม ก�ากับ และตรวจสอบผู้น�านักการเมืองอย่างใกล้ชิด เพ่ือเสริมสร้างพัฒนา ประชาธปิ ไตย สงั คมรฐั และเศรษฐกจิ เพราะในระบบการเมอื งการปกครองดงั กลา่ ว ประชาชนเปน็ ใหญ่ เปน็ รากฐานสา� คญั ของประชาธปิ ไตย สงั คม เศรษฐกจิ และประเทศชาติ ประชาธปิ ไตยประเทศชาตจิ ะ ส�าเร็จประโยชนเ์ จริญรุง่ เรืองกา้ วหนา้ เพราะประชาชนมีการศกึ ษา ในสงั คมประชาธิปไตย การปกครองโดยคนสว่ นมากหรอื เสียงขา้ งมาก เสยี งขา้ งมากดังกลา่ ว ต้องมกี ารการศึกษาหรือปัญญาอสิ ระ สามารถคดิ เปน็ ทา� ถกู ตดั สนิ ใจเองได้ ไมข่ ึ้นตอ่ ผใู้ ด ใครก็ชักจูง ไม่ได้ ก็เท่ากับว่าประชาชนถือธรรมหรือความถูกต้องชอบธรรมในการมีส่วนร่วมการบริหารปกครอง ทกุ คนตอ้ งมกี ารศกึ ษาหรอื ปญั ญา มคี ณุ ภาพชวี ติ สามารถดา� เนนิ ชวี ติ ใหส้ อดคลอ้ งสมั พนั ธก์ บั หลกั ธรรม ความจริงส่ิงท้ังหลายอย่างมีเหตุผล ไม่ถูกครอบง�าด้วยกิเลสตัณหากระแสค่านิยมทางสังคม มีปัญญา และเป็นใหญ่ในวิถีประชาธิปไตย จึงจะบรรลุความดีงามและประโยชน์สุขเก้ือกูล ประชาธิปไตยที่พูด คุยถกเถียงศึกษาเรียกร้องกัน จึงจะส�าเร็จประโยชน์ มีคุณค่าความหมายและสมบูรณ์แบบ ระบบรูป แบบดี มเี นอ้ื หาสาระ เป็นประชาธปิ ไตยอย่างแทจ้ รงิ

บทท่ี ๑๓ เศรษฐกิจ ธรรมชาตขิ องมนษุ ยท์ เี่ หมอื นกนั อยา่ งหนง่ึ คอื มคี วามอยากตอ้ งการ อยากตอ้ งการไมม่ ที ส่ี นิ้ สดุ ไม่มขี ีดจา� กดั อยากต้องการเสพบริโภค (ส�าหรบั พระพทุ ธศาสนา นตฺถิ ตณฺหาสมา นที = แมน่ �้าเสมอ ด้วยตัณหา (ความอยาก) ไม่มี (ถมเต็มได้ยาก ถมเท่าไรก็ไม่เต็ม), ตณฺหาย อุฑฺฑิโต โลโก = โลกหรือ สัตว์โลกอนั ตณั หากอ่ สร้างขึ้น, อจิ ฺฉาย พชฺฌตี โลโก = สตั ว์โลกถูกความอยากผูกมัดเอาไว้, อจิ ฉฺ า นร� ปริกสฺสติ อิจฺฉา โลกสมฺ ิ ทชุ ฺชหา = ความอยากชักลากมนุษย์ไป ความอยากละไดย้ ากในโลก) เพ่อื ให้ ชวี ิตคงอยู่เป็นไป กิจกรรมทางเศรษฐกิจ ของมนุษย์ทกุ อยา่ ง ก็เพือ่ การเสพบริโภคใช้สอยบริการ ตอบ สนองและบ�าบัดความต้องการของมนุษย์ เกิดความพึงพอใจและสุขใจ เกิดความดีงามมีคุณภาพชีวิต ทดี่ ี และในบางครง้ั หากเสพบรโิ ภคใชส้ อยแบบผดิ ๆ กเ็ กดิ ปญั หาไมส่ บายใจและทกุ ขใ์ จ สง่ ผลเสยี มโี ทษ ภัยอันตรายมีคุณภาพชีวิตท่ีไม่ดี เป็นกระบวนการเกิดอาศัยกันอย่างต่อเน่ืองเป็นระบบรูปแบบ ความอยากต้องการท�าให้มนุษย์ต้องต่อสู้ด้ินรนแสวงหาท�างาน เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจในรูปแบบ ตา่ ง ๆ มากมาย ในแตล่ ะวนั ชวี ติ มนษุ ยส์ ว่ นใหญก่ อ็ ยกู่ บั กจิ กรรมทางเศรษฐกจิ พยายามทา� ใหม้ ใี หเ้ กดิ ขน้ึ ทเี่ ราเรยี กวา่ เกดิ ผลผลติ เศรษฐกจิ ทา� สงิ่ หนงึ่ กเ็ พอ่ื สง่ิ หนงึ่ แปรเปลยี่ นสงิ่ หนงึ่ ไปสสู่ ง่ิ หนงึ่ ทา� ลายสงิ่ หนงึ่ ก็เพื่ออีกส่ิงหน่ึง สูญเสียส่ิงหนึ่งก็เพื่ออีกสิ่งหนึ่ง ได้สิ่งหน่ึงก็สูญเสียอีกส่ิงหนึ่ง เป็นเร่ืองธรรมดาหรือ ธรรมชาติ เป็นกิจกรรมที่มีความส�าคัญจ�าเป็นต่อมนุษย์ เป็นกิจกรรมชีวิตเศรษฐกิจ เป็นกิจกรรม ประจา� วัน ทา� งานผลติ เสพบรโิ ภคใชส้ อยบรกิ าร จา� หน่ายจ่ายแจก ซ้ือขาย แลกเปลย่ี น หมนุ เวียนเปน็ ระบบเศรษฐกจิ มีปรากฏให้เห็นในทุกสงั คมประเทศชาติ อะไรคือเศรษฐกจิ เรอ่ื งทส่ี า� คญั จา� เปน็ ในชวี ิตของมนษุ ย์อย่างหน่ึง กค็ อื เร่ืองเศรษฐกจิ เปน็ เรอ่ื งทผี่ ูร้ ้นู กั ปราชญ์ ทง้ั หลายทวั่ โลกไดพ้ ยายามคดิ วเิ คราะหแ์ ละอธบิ ายชวี ติ เศรษฐกจิ เอาไวห้ ลายแงม่ มุ แตถ่ งึ อยา่ งไรกต็ าม เพอ่ื ความร้เู ข้าใจและการปฏิบตั ทิ ีถ่ ูกตอ้ งร่วมกนั จงึ ขอยกตวั อยา่ งความหมายของเศรษฐกิจมาพอใหร้ ู้ เข้าใจ ดังน้ี ตามพจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน พุทธศกั ราช ๒๕๔๒ หนา้ ๑๑๐๖ ได้ให้ความหมาย ของเศรษฐกจิ เอาไวว้ า่ “เศรษฐกจิ ” หมายถงึ งานอันเกีย่ วกับการผลติ การจ�าหนา่ ยจา่ ยแจก และการ บรโิ ภคใชส้ อยสิง่ ต่าง ๆ ของชุมชน

216 สงั คมวทิ ยาเบ้ืองตน้ ตามพจนานุกรมสังคมวิทยาของสังคมตะวันตก “เศรษฐกิจ” หมายถึงการจัดการควบคุม ทรพั ยากรวัตถมุ นษุ ย์ สินคา้ และบริหารใหด้ ีมปี ระโยชน์ หรอื ไดแ้ ก่ สถาบันทางสงั คมอนั เกี่ยวกบั การ จัดการควบคุม ผลิต และจ�าหนา่ ยจ่ายแจกทรพั ยากรของมนษุ ย์ทัง้ หลาย “Economy refers to the organized management of human material resources, goods and services or the social institutions concerned the management, production and distribution of human resources (Jary and Jary, ๒๐๐๐: ๑๗๔)” จึงพอสรุปได้ว่า “เศรษฐกิจ” ก็คือกิจกรรมท�าให้ก่อเกิดผลผลิต จ�าหน่ายจ่ายแจก ซ้ือขาย แลกเปลย่ี น เสพบรโิ ภคใชส้ อยบรกิ าร เกิดการหมนุ เวียนระบบเศรษฐกิจ เป็นการทา� งานเกิดผลผลติ ที่ สามารถตีค่าออกมาเป็นวัตถุเงินทองค่าตอบแทน น�าผลผลิตสินค้าไปเสนอต่อผู้ที่มีความต้องการ หรอื นา� ผลผลติ ไปสตู่ ลาด เพอ่ื ใหเ้ กดิ การจา� หนา่ ยจา่ ยแจกซอื้ ขายแลกเปลยี่ น เกดิ การเสพบรโิ ภคใชส้ อย บริการ เศรษฐกิจส่วนใหญ่จึงเป็นเร่ืองของวัตถุสินค้าเงินตราจ�าหน่ายซื้อขายแลกเปล่ียนบริการ เพ่อื การคงอยู่เป็นไปของชีวิตทางสังคม ลกั ษณะการก่อเกดิ เศรษฐกจิ กล่าวโดยทั่วไป มนุษย์ท้ังหลายทั่วโลกมีความอยากต้องการส่ิงต่าง ๆ มากมาย เมื่อมีความ อยากต้องการ ก็พยายามดิ้นรนแสวงหา ท�างานหรือประกอบอาชีพ เพ่ือให้ได้มาซ่ึงวัตถุเงินทอง ค่าตอบแทน เครื่องอ�านวยความสะดวกสบายทั้งหลาย เพื่อเสพบริโภคใช้สอยบริการหรือเสพ ปรนเปรอชีวิต ตอบสนองและบ�าบัดความอยากต้องการของตนเอง เพื่อความเป็นอยู่เป็นไปของชีวิต เศรษฐกิจ นักคิดท้ังหลายทั้งฝ่ายตะวันออกและตก ทั้งในอดีตและปัจจุบัน อย่างเช่น พระพุทธเจ้า เพลโต้ อรสิ โตเตลิ นกั สงั คมวทิ ยา นกั รฐั ศาสตร์ และทา่ นอนื่ ทง้ั หลาย ตา่ งมองเหน็ ความจรงิ ชวี ติ มนษุ ย์ เต็มไปด้วยความอยากต้องการ อยากต้องการไม่มีท่ีสิ้นสุด อยากต้องการต้ังแต่เกิดจนถึงตาย มีความ อยากต้องการมากมายหลายอย่างหลายระดับ อยากต้องการส่ิงต่าง ๆ ทั้งหลาย อันเป็นความอยาก ต้องการทางร่างกาย สังคม และจิตใจ ชีวิตเศรษฐกิจจะแสดงพฤติกรรมการกระท�าต่าง ๆ ทั้งหลาย ก็ต่อเม่ือมีความอยากต้องการมากระตุ้นจูงใจเป็นพลังขับเคลื่อนในการดิ้นรนแสวงหา ในยุคแรกเร่ิม เดิมที เม่ือมีความอยากต้องการ ก็ดิ้นรนแสวงหากินตามธรรมชาติ กินอิ่มแล้วก็ด�าเนินต่อไป ไม่มีการ ท�างานสร้างท�าผลิต เก็บรักษาออมเพ่ือวันข้างหน้า เม่ือทรัพยากรท่ีมีอยู่เหลือน้อยหรือหมดไป ก็รู้จัก สร้างท�าข้ึนมาทดแทน รู้จักท�างานสร้างท�าผลิต เก็บรักษาประหยัดอดออม เสพบริโภคใช้สอยบริการ จา� หนา่ ยจา่ ยแจก ซอื้ ขาย แลกเปลย่ี น เกดิ พฤตกิ รรมทางเศรษฐกจิ แบบลกั ษณะชวี ติ เศรษฐกจิ กจิ กรรม ทางเศรษฐกิจ ระบบรูปแบบเศรษฐกิจ โครงสร้างองค์กรสถาบันเศรษฐกิจ การติดต่อสัมพันธ์ทาง

เศรษฐกิจ 217 เศรษฐกิจ การเปล่ียนแปลงพัฒนาเศรษฐกิจมาตามล�าดับอย่างต่อเน่ืองไม่หยุดยั้ง เกิดการหมุนเวียน เศรษฐกิจ แต่มนุษย์มีลักษณะพิเศษกว่าสัตว์อื่นท้ังหลายตรงที่จะท�าอะไร จะกินอะไรหรือกินอย่างไร จะอยอู่ ยา่ งไร ใชช้ วี ติ อยา่ งไร จะปฏบิ ตั ติ อ่ สงิ่ ทงั้ หลายอยา่ งไร จงึ จะเกดิ ความถกู ตอ้ งดงี าม เกดิ ประโยชน์ สุขเกอื้ กูล เกิดความสมั พนั ธ์มั่นคง บรรลจุ ุดหมายสูงสุดของชีวิตเศรษฐกิจ ลกั ษณะการศกึ ษาเศรษฐกิจ ในยคุ สมยั โบราณ การศกึ ษาเศรษฐกจิ ไมป่ รากฏเปน็ ระบบรปู แบบแนน่ อนชดั เจน แตเ่ รอ่ื งของ เศรษฐกิจก็เป็นเร่ืองของชีวิตการเป็นอยู่ด�าเนินไปในแต่ละวัน จะท�าอะไร จะกินอะไรหรือกินอย่างไร จะอยู่อย่างไร ใช้ชีวิตอย่างไร จึงจะมีชีวิตท่ีดีมีความสุข ปรากฏชัดเจน การศึกษาและการส่ังสอนชีวิต เศรษฐกจิ มใี นทกุ ศาสนา สงั คมและวฒั นธรรม แมแ้ ตพ่ ระพทุ ธศาสนากม็ กี ารศกึ ษาและสง่ั สอนเกยี่ วกบั ชวี ติ เศรษฐกจิ เอาไวม้ ากมายหลายระดบั มที ง้ั ระดบั ตา่� พน้ื ฐาน กลาง และสงู สอนใหร้ จู้ กั แสวงหาทรพั ย์ เกบ็ ออมรกั ษาทรพั ย์ บรหิ ารจดั การควบคมุ ใชจ้ า่ ยทรพั ยอ์ ยา่ งพอเพยี งมเี หตผุ ล ไมใ่ หท้ รพั ยเ์ สอ่ื มเสยี หาย (อบายมขุ ) ไมด่ ม่ื สรุ ายาเมายาเสพตดิ เทยี่ วผหู้ ญงิ เลน่ การพนนั คบคนชวั่ เปน็ มติ ร ไมเ่ กยี จครา้ นทา� การ งาน ทา� งานสจุ รติ ไมม่ โี ทษเสยี หาย สอนใหร้ จู้ กั ใชช้ วี ติ เศรษฐกจิ ตดิ ตอ่ สมั พนั ธค์ า้ ขายลงทนุ ดว้ ยปญั ญา ความซ่ือสัตย์สุจริต ความอดทนขยันหม่ันเพียรไม่หว่ันไหวท้อถอย มีน�้าใจเอื้ออาทรเสียสละไม่เอารัด เอาเปรียบกัน เป็นต้น เป็นความจริงชีวิตเศรษฐกิจท่ีเกิดอาศัยกันขึ้นอย่างมีเหตุผลและเหตุปัจจัย เพอื่ กนั และแกป้ ญั หาชวี ติ เศรษฐกจิ เพอื่ ความถกู ตอ้ งดงี าม ประโยชนส์ ขุ เกอ้ื กลู และความเจรญิ รงุ่ เรอื ง ก้าวหน้าของชีวติ ทางสังคม ในสมัยกรีกโบราณ ท้งั เพลโต (Plato, ๔๒๗-๓๔๗ BC, พ.ศ. ๑๑๖-๑๙๖) และอริสโตเติล (Aristotle, ๓๘๔-๓๒๒ BC) นักปรัชญากรีกผู้ยิ่งใหญ่ของโลกตะวันตก ก็ได้พยายาม ศึกษาวิเคราะห์อธิบายชีวิตเศรษฐกิจอย่างเป็นระบบมีเหตุผลบนฐานความจริง จากวิทยาการ ความรู้ ประวัติศาสตร์ประสบการณ์ จากเหตุไปหาผลหรือจากผลมาหาเหตุ จากปัจจุบันไปหาอดีตหรือจาก อดีตมาหาปัจจุบัน โดยมุ่งศึกษาชีวิตเศรษฐกิจท่ีดีงามประเสริฐ อันเป็นหลักการด�าเนินชีวิตทางสังคม สอนเน้นพลเมืองท่ีดีของสังคมรัฐต้องมีคุณธรรมคือความรู้ (Virtue is knowledge) ดังกล่าวมาแล้ว พลเมอื งทดี่ ตี อ้ งมกี ารศกึ ษาฝกึ ฝนอบรมพฒั นาตนใหม้ คี ณุ ธรรมคอื ความรอู้ ยา่ งตอ่ เนอ่ื ง สามารถดา� เนนิ ชีวิตเศรษฐกิจได้อย่างถูกต้องเหมาะสม เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยดีงาม ความสัมพันธ์ม่ันคง เกิดความดีมีความสุข คนมีความสุข ก็คือคนมีชีวิตเศรษฐกิจท่ีดีมีคุณธรรม พลเมืองทุกคนต้องมี สว่ นร่วมในเศรษฐกจิ เทา่ เทยี มกัน ช่วยพยงุ รักษาความสมดลุ สัมพันธม์ น่ั คง ส�าหรับอดัม สมิธ นักปราชญ์ด้านศีลธรรมชาวสก๊อต(แลนด์) (Adam Smith, Scottish moral philosopher, ๑๗๒๓-๙๐) ท่ีได้รับการยกย่องยอมรับว่าเป็นบิดาแห่งเศรษฐศาสตร์ ได้เขียน ตา� ราเศรษฐศาสตรเ์ ลม่ แรกของโลกชอ่ื วา่ “An Inquiry into the Nature and Causes of the Wealth of Nations” (๑๗๗๖) เคยได้ศึกษาวิเคราะห์และเสนอแนวคิดเก่ียวกับเศรษฐกิจเอาไว้ว่า ระบบรูป

218 สงั คมวทิ ยาเบื้องต้น แบบเศรษฐกจิ ทดี่ ีตอ้ งมีการแบง่ งานทางสงั คมอย่างถูกต้องเหมาะสม ประชาชนคนท�างานตอ้ งมคี วาม ช�านาญเชี่ยวชาญเฉพาะในการท�างานผลิต ภาคเอกชนต้องสามารถประกอบการด�าเนินธุรกิจกิจการ อย่างอิสระเสรี รัฐหรือรัฐบาลไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวแทรกแซงจัดการควบคุมผูกขาด จากน้ันเป็นต้นมา การศึกษาชีวิตเศรษฐกิจ (Economic life) จึงก่อเกิดเป็นระบบรูปแบบปรากฏชัดเจน ท่ีเราเรียกว่า เศรษฐศาสตร์ (Economics) เป็นวิชาการสาขาหน่ึงของสังคมศาสตร์ มีการศึกษากันอย่างแพร่หลาย กว้างขวาง เป็นวิชาท่ีศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ในการท�างานผลิตเพ่ือการกินอยู่เป็นอยู่ เป็นเร่ืองของการผลิต จ�าหน่ายจ่ายแจก ซ้ือขาย การบริโภคใช้สอยบริการ เพื่อตอบสนองและบ�าบัด ความต้องการของมนุษย์ ให้เกิดความดีงามถูกต้อง เกิดคุณค่าความหมายและประโยชน์สูงสุด เกิดความสมดุลสัมพันธ์ม่ันคง มีชีวิตท่ีดีงามสุขสมบูรณ์ มีท้ังระดับเล็กหรือเศรษฐศาสตร์จุลภาค (Microeconomics) เป็นการศกึ ษาพฤตกิ รรมการกระท�ามนษุ ย์ การกินการเป็นอยู่ การบรโิ ภคใชส้ อย บรกิ าร การตดั สนิ ใจเลอื ก ความชอบพงึ พอใจตอ่ สนิ คา้ และบรกิ าร พฤตกิ รรมผผู้ ลติ และผบู้ รโิ ภค ผขู้ าย กับผู้ซื้อ เงินทุนต้นทุนการผลิต การจ�าหน่ายจ่ายแจก ซ้ือขาย แลกเปล่ียน บริการ ตลอดถึงระบบ รปู แบบกลไกของตลาดการซอื้ ขาย เปน็ ตน้ ระดบั ใหญห่ รอื เศรษฐศาสตรม์ หภาค (Macroeconomics) เป็นการศึกษาเศรษฐกิจโดยรวมของระบบรูปแบบโครงสร้างองค์กรสถาบันสังคมตลอดถึงสังคมโลก เศรษฐกิจภายในและต่างประเทศ การผลิตบริโภคใช้สอยบริการ รายได้ประชาชาติ การจัดซื้อจัดจ้าง การลงทนุ การค้า ความสัมพนั ธร์ ะหว่างประเทศ การเงินการคลงั การเก็บการออมทรัพย์ การพัฒนา เศรษฐกิจโดยรวม การวางแผนก�าหนดนโยบายจัดสรรทรัพยากรให้ได้ประโยชน์มีประสิทธิภาพเป็น ธรรมโปรง่ ใสตรวจสอบได้ เป็นตน้ เปน็ ความจริงมคี วามสมั พันธ์กันเกิดข้นึ และสง่ ผลกระทบต่อมนุษย์ สงั คมประเทศชาตหิ รอื สงั คมโลกอยา่ งตอ่ เนอ่ื งไมห่ ยดุ ยงั้ ภายใตก้ ารเปลย่ี นแปลงของสงั คมโลกปจั จบุ นั กระบวนการและจดุ มุ่งหมายของเศรษฐกจิ กล่าวโดยทั่วไป กระบวนการเศรษฐกิจ ก็คือกระบวนการธรรมดาเป็นอยู่เป็นไปของชีวิต เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างหน่ึงหรือเป็นส่วนหน่ึงของธรรมดาหรือธรรมชาติ เกิดขึ้น ต้ังอยู่ และดบั ไปตามกระบวนการเหตปุ จั จยั และกาลเวลา จา� ตอ้ งอาศยั หลกั การประพฤตปิ ฏบิ ตั อิ ยา่ งมเี หตผุ ล ถกู ตอ้ งเหมาะสม เพอื่ การเปน็ อย่หู รือด�ารงอยไู่ ด้ไมม่ ีปัญหา ตามกระบวนการพฒั นาและเปลยี่ นแปลง สังคมเศรษฐกิจและการเมือง กระบวนการเศรษฐกิจจึงเป็นกิจกรรมทางสังคมอย่างหนึ่งที่ท�าให้เกิด ผลผลติ อนั เนื่องมาจากความตอ้ งการของมนษุ ยแ์ ต่ละคน เมอื่ มีความอยากตอ้ งการเกดิ ขึน้ กพ็ ยายาม ด้ินรนแสวงหา ทา� งานหรือประกอบอาชีพ เพ่ือให้ได้มาซึ่งค่าตอบแทนวัตถุเงินทอง เมื่อได้เงินมาแล้ว ก็น�าไปซ้ือสิ่งของตา่ ง ๆ ทงั้ หลาย มอี าหาร เครอ่ื งนงุ่ ห่ม ทีอ่ ย่อู าศยั และยารกั ษาโรค เป็นตน้ มาเสพ บริโภคใช้สอยหรือมาปรนเปรอชีวิต ตอบสนองบ�าบัดความอยากต้องการของตนเองให้เกิดความพึง พอใจหรอื ความสขุ ใจ ทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ งจบลงทต่ี รงน้ี ความพงึ พอใจหรอื ความสขุ จงึ เปน็ เปา้ หมายหรอื เปน็ คา� ตอบสุดท้ายตามนัยความหมายชวี ติ เศรษฐกิจทางตะวนั ตก

เศรษฐกิจ 219 จึงพอจะเห็นภาพได้ว่า เป็นกระบวนการน�าเสนอ ตอบสนอง และบ�าบัดก�าจัดความอยาก ต้องการของมนุษย์ทั้งหลายน่ันเอง ในกระบวนการดังกล่าวน้ี มนุษย์ด้ินรนแสวงหาท�าทุกอย่าง ก็เพื่อ เงนิ เงนิ คอื พระเจา้ เงนิ เปน็ สรณะทพ่ี งึ่ เงนิ เปน็ เปา้ หมายสดุ ทา้ ย เปน็ คา� ตอบสดุ ทา้ ย เงนิ ทา� ไดท้ กุ อยา่ ง ไมม่ เี งนิ ไมค่ บหาไมพ่ ดู คยุ ดว้ ย กย็ งั เปน็ การเนน้ ทวี่ ตั ถเุ งนิ ตราอนั เปน็ เหตปุ จั จยั ภายนอก ในชวี ติ เศรษฐกจิ หรือสังคมสมัยใหม่ จึงต้องเร่งท�างานเกิดผลผลิตและการลงทุน เร่งให้คนท�างานได้ผลผลิตมาก ๆ มีสินค้ามาก ๆ สง่ ออกมาก ๆ ซอ้ื ขายจา� หนา่ ยมาก ๆ เสพบรโิ ภคใชส้ อยกันมาก ๆ ได้เงินมาก ๆ มีเงนิ ทองมาก ๆ จึงถือได้ว่า เป็นความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าทันสมัยนิยม หากเสพบริโภคใช้สอยไม่เป็นไม่ ถูกต้องชอบธรรมก็เปน็ ปญั หา เกิดปญั หาต่าง ๆ ทั้งหลายตามมา จงึ ส�าคญั จ�าเปน็ คดิ ต่อไปอีกว่า จะท�า อย่างไรหรือเสพบริโภคใช้สอยอย่างไรจึงจะไม่มีปัญหา เลยหันมาสนใจศึกษาหลักการประพฤติปฏิบัติ ได้จริง อันเป็นหลักการด�าเนินชีวิตเศรษฐกิจที่เก่ียวกับจิต เป็นเรื่องของจิตรู้เข้าใจคุณค่าความหมาย ประโยชน์แท้หรือสูงสุดในการเสพบริโภคใช้สอยและการด�าเนินชีวิตเศรษฐกิจ เพื่อให้เกิดความสมดุล ถูกต้องดีงามท้ังสองทาง อันเป็นแบบลักษณะทางสายกลางตามแนวพุทธศาสตร์ ไม่จ�าเป็นต้องไปให้ ความส�าคัญกับเงินตรามากนัก เงินเป็นวัตถุอันตรายหรือเป็นอสรพิษ ท่ีอาจสามารถท�าร้ายอันตราย มนุษยเ์ ราได้ หากไมร่ ้เู ขา้ ใจและใชไ้ มเ่ ป็น เปน็ การเนน้ สอนใหร้ ะมัดระวังรู้เขา้ ใจ รจู้ ักหารักษาและกใ็ ช้ ใหเ้ กิดประโยชน์สูงสุดสา� หรับคนทวั่ ไป และในพระวนิ ยั ส�าหรบั พระภกิ ษุ พระพทุ ธองคถ์ งึ กับทรงหา้ มพระภกิ ษุรับหยบิ ตอ้ งสะสมเงิน ทองและส่ังสมข้าวปลาอาหาร ทรงปรบั อาบตั ิแก่พระภกิ ษผุ ู้ฝ่าฝืนลว่ งละเมดิ เปน็ การสอนเน้นใหร้ ู้จกั ความพอใจพอดพี อเหมาะมเี หตผุ ลไมเ่ รอ่ื งมาก รจู้ กั ควบคมุ ความอยากตอ้ งการ ไมป่ ลอ่ ยตวั ปลอ่ ยใจไป กบั กระแสความอยากตอ้ งการและคา่ นยิ มสงั คม ความอยากตอ้ งการและคา่ นยิ มทผี่ ดิ เปน็ สาเหตทุ า� ให้ เกดิ ทุกข์เปน็ ปัญหา เพือ่ ให้เกดิ การส�ารวมความระมดั ระวัง อยา่ ไปวุ่นวายกับการเสพบรโิ ภคใช้สอยจน เกินไป ให้มีชีวิตที่เรียบง่ายเป็นระเบียบเรียบร้อยถูกต้องดีงาม เร่งสร้างสรรค์พัฒนาชีวิตให้มีคุณภาพ และคณุ ค่าความหมาย ความจริงแท้อย่างหน่ึงในการเสพบริโภคใช้สอย นอกจากความอิ่มพึงพอใจสุขสบายใจแล้ว ยังมีความถูกต้องดีงามมีการพัฒนามีคุณภาพคุณค่าความหมายชีวิต ไม่ใช่จบลงตรงที่ความสุข มนษุ ยย์ งั มคี วามจรงิ แทค้ วามจรงิ อนั สงู สดุ ในชวี ติ เศรษฐกจิ จา� ตอ้ งรจู้ กั เขา้ ใจความจรงิ สง่ิ ทงั้ หลาย รจู้ กั คิดพิจารณาหาเหตุผลคุณค่าความหมายประโยชน์จากวัตถุสิ่งของท้ังหลาย อันเป็นคุณค่าความหมาย ประโยชน์จริงแทข้ องมนั ตอ้ งรเู้ ขา้ ใจวา่ เพอื่ อะไร เพอื่ ตอบสนองบา� บดั กเิ ลสตัณหาความอยากความโก้ หรูหรารสนิยมค่านิยม ก�าจัดป้องกันความทุกขเวทนาความหิวกระหาย คุณค่าความหมายประโยชน์ สงู สดุ ของการเสพบริโภคใช้สอย หรือเพ่ือความอยูร่ อดปลอดภยั ในชวี ติ เศรษฐกจิ อันเปน็ แบบลกั ษณะ รู้เขา้ ใจคณุ คา่ ความหมายแทข้ องชวี ิตสงั คมเศรษฐกจิ เป็นกระบวนการธรรมดาอาศัยกันเกิดขึ้น สิ่งนี้มี ส่ิงนี้จึงมี สิ่งน้ีดับสิ่งน้ีจึงดับ เพื่อการคงอยู่เป็นไป เจริญพัฒนาก้าวหน้า ไปสู่ความดีงามสมบูรณ์แบบ อิสระหลดุ พน้ อันเป็นจดุ ม่งุ หมายสดุ ทา้ ยของชีวติ เศรษฐกจิ ตามแนวพุทธหรอื ธรรมชาตินี้

220 สงั คมวทิ ยาเบ้อื งตน้ จึงพอมองเหน็ ภาพร้เู ข้าใจได้วา่ สายหน่งึ มองไปทค่ี วามเป็นไปความต้องการของมนุษย์สงั คม ท�าผลิตเพ่ือตอบสนองความต้องการน้ัน แล้วก็ได้ก�าไรหรือเงินมา ไม่สนใจไม่นึกค�านึงถึงคุณค่า ความหมายและคุณภาพ เป็นการมองเพียงด้านเดียวหรือเหตุปัจจัยเดียว จึงไม่สามารถแก้ไขป้องกัน ปัญหามนุษย์ได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์ อีกสายหนึ่งรู้เข้าใจธรรมชาติมนุษย์เป็นเรื่องธรรมดาเหตุผล เมื่อมีความอยากต้องการ ก็แสวงหาเสพบริโภค ได้วัตถุส่ิงของแก้วแหวนเงินทองมา ก็ขอให้รู้เข้าใจว่า เป็นเพียงเหตุปัจจัยไปสู่ส่ิงอื่น สนับสนุนส่งเสริมเกื้อหนุนมนุษย์ไปสู่การพัฒนาแบบสมดุลบูรณาการ หรอื บรสิ ทุ ธส์ิ มบรู ณห์ ลดุ พน้ เปน็ การมองหาเอาสารประโยชนจ์ ากวตั ถสุ ง่ิ ของแกว้ แหวนเงนิ ทองทมี่ อี ยู่ ไปสเู่ ปา้ หมายหรอื ประโยชนส์ งู สดุ จงึ จะสามารถแกไ้ ขปอ้ งกนั ปญั หามนษุ ยไ์ ดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งตรงประเดน็ พบกับชีวติ เศรษฐกจิ ที่ดงี ามประเสรฐิ ปัญหาพ้ืนฐานเศรษฐกจิ ในทกุ ทท่ี มี่ มี นษุ ยอ์ ยู่ กจ็ ะมปี ญั หาชวี ติ เศรษฐกจิ และแหลง่ การผลติ มนษุ ยจ์ ะอยกู่ นิ กนั อยา่ งไร กินอยู่กันอย่างไรจึงจะดีมีแต่ประโยชน์สุข ประกอบอาชีพท�าการงานอะไร ท�าอย่างไรจึงจะดีประสบ ความส�าเร็จ ท�างานที่ไหนอย่างไรจึงจะดีมีความสุข เพ่ือตอบสนองและบ�าบัดความต้องการของตน และเพื่อการด�ารงอยไู่ ด้ของชีวิตทางสังคม นอกจากปญั หาเหลา่ นีแ้ ลว้ ในระบบรูปแบบเศรษฐกิจ ยงั มี ปัญหาส�าคัญทางเศรษฐกิจ คือจะท�าผลิตอะไร ท�าผลิตอย่างไร และท�าผลิตเพ่ือใครหรือเพื่ออะไร เพราะเหตุผลของทรัพยากรที่มีอยู่หรือมีจ�านวนจ�ากัด จึงต้องคิดวิเคราะห์ค�านวณและวางแผนในการ บรหิ ารจดั การควบคมุ เปน็ การรเู้ ขา้ ใจปญั หา ขอ้ เทจ็ จรงิ ความจรงิ การเปลยี่ นแปลงพฒั นา ความตอ้ งการ ของสังคมหรือสังคมโลก เป็นการรู้เหตุผลพอประมาณและปรากฏการณ์ทางสังคม เป็นการรู้เข้าใจดี หรอื ไมด่ ี ควรหรอื ไม่ควรทา� ผลิต เป็นประโยชนห์ รอื ไมเ่ ป็นประโยชน์ ควรผลติ มากนอ้ ยแค่ไหนอย่างไร ก่อนท่ีจะตัดสินใจท�าการผลิต เพื่อไม่ให้เกิดโทษภัยอันตรายความเสียหายตามมา ท�าผลิตอย่างไร เมอ่ื ทราบขอ้ มลู พน้ื ฐานดงั กลา่ วแลว้ กต็ ดั สนิ ใจทา� การผลติ โดยหาวธิ กี ารทา� ใหไ้ ดท้ า� ใหส้ า� เรจ็ ทา� ใหเ้ กดิ ผลอย่างมีประสิทธิภาพประหยัดและเป็นธรรม และผลิตเพ่ือใครหรืออะไร เป็นการรู้เข้าใจเป้าหมาย ของการผลติ อยา่ งแจม่ แจง้ ชดั เจน รคู้ ณุ คา่ ความหมายและประโยชนท์ จ่ี ะกอ่ เกดิ ขนึ้ รเู้ ขา้ ใจความตอ้ งการ ของสังคมและสังคมโลกตามความเป็นจริง น�าผลผลิตท่ีได้ไปเสนอตอบสนองความต้องการของผู้เสพ บรโิ ภคใชส้ อยบรกิ ารอยา่ งเหมาะสมเปน็ ธรรม เพราะผเู้ สพบรโิ ภคใชส้ อยตอ้ งคา� นงึ ถงึ คณุ คา่ ความหมาย และประโยชน์จริง ๆ ก่อนท่ีจะตัดสินใจซ้ือสินค้าการผลิตบริการ บรรลุจุดมุ่งหมายของการท�าผลิต คอื ผลประโยชนก์ า� ไรและคณุ งามความดใี นการเสพบรโิ ภคใชส้ อยบรกิ ารรว่ มกนั ตามทว่ี างแผนและคาด การณ์เอาไว้ แต่โดยส่วนใหญ่ ผู้ท�าการผลิตสินค้าและบริการมุ่งท�าเพื่อผลประโยชน์ก�าไรเป็นส�าคัญ ไม่ค�านึงถึงคุณค่าความหมายและประโยชน์ของผู้เสพบริโภคใช้สอยบริการเท่าไรนัก เป็นการบั่นทอน ท�าลายคณุ ภาพชวี ิตและสังคม มากกวา่ สรา้ งสรรค์พัฒนา สร้างปญั หาก่อความเดอื ดร้อนใหก้ บั คนและ สังคม เป็นแบบลกั ษณะทว่ั ไปของเศรษฐกจิ หรอื ชวี ิตทางเศรษฐกจิ ทีม่ ปี รากฏใหเ้ ห็นอยทู่ ั่วสงั คมโลก

เศรษฐกิจ 221 ตัวแปรก�าหนดสา� คญั ในเศรษฐกจิ ในโลกแหง่ ความเปน็ จรงิ ชวี ติ เศรษฐกจิ กม็ กี ารเกดิ ขนึ้ เปน็ ไปตามตวั แปรกา� หนดและเหตปุ จั จยั ทางสังคม มใิ ชเ่ กิดจากตัวแปรก�าหนดเดียว หากเกดิ จากหลายตัวแปรก�าหนด ที่อิงอาศยั โยงใยสัมพนั ธ์ กนั เกิดข้ึน ในการศกึ ษาชวี ิตเศรษฐกจิ ผูร้ นู้ กั ปราชญท์ งั้ หลายได้พยาพยายามคิดค้นหาตวั แปรก�าหนด และเหตปุ ัจจัยท้ังหลาย ท่ีมีอทิ ธิพลแสดงบทบาทในระบบวงจรเศรษฐกจิ แม้มีตวั แปรก�าหนดและเหตุ ปัจจยั มากมาย แต่กพ็ อสรปุ ตัวแปรก�าหนดสา� คญั ได้ดังนี้ ๑. ตัวมนุษย์เอง มนุษย์ถือได้ว่าเป็นผู้มีอิทธิพลบทบาทส�าคัญในเศรษฐกิจ เป็นผู้สามารถ สรา้ งและท�าลายเศรษฐกิจ อนั เนื่องมาจากธรรมชาติของมนษุ ย์ มนุษยเ์ ตม็ ไปด้วยความอยากตอ้ งการ อยากตอ้ งการไมม่ ีขดี จ�ากัด (Unlimited wants in materials) หากเราสงั เกตก็จะเหน็ วา่ มที งั้ ความ อยากต้องการดีถูกต้องชอบธรรมและไม่ดีไม่ถูกต้องชอบธรรม ความอยากต้องการท�าให้มนุษย์ด้ินรน แสวงหาสงิ่ ตา่ ง ๆ มากมาย มาเสพบรโิ ภคปรนเปรอตวั เอง มาบา� บดั และตอบสนองความอยากตอ้ งการ ของตนเอง มนษุ ยจ์ า� เปน็ ตอ้ งทา� งานผลติ เพอ่ื ใหไ้ ดม้ าซงึ่ เงนิ สง่ิ ตอบแทน เพอ่ื ซอ้ื ขายแลกเปลย่ี นใชส้ อย บรกิ าร เพือ่ การดา� รงชีวติ อยไู่ ดใ้ นสังคม บางคนก็มีความอยากตอ้ งการผิด โดยการไปแสวงหาด้วยการ แย่งชิงลักขโมยปล้นฆ่า เอามาเสพบริโภคปรนเปรอตน ในขณะท่ีหลายคนเม่ือมีความอยากต้องการ ก็ไปแสวงหาโดยการซ้ือขายแลกเปลี่ยนอย่างถูกต้องเป็นธรรม เอามาเสพบริโภคใช้สอย เพื่อการเป็น อยู่เป็นไปของชีวิตทางสังคม เพ่ือสร้างสรรค์พัฒนาคุณภาพชีวิต แต่ถึงอย่างไร ท่านท้ังหลายเหล่านั้น เห็นได้ว่าเป็นตัวแปรและเหตุปัจจัยส�าคัญในสร้างสรรค์พัฒนาและท�าลายระบบรูปแบบเศรษฐกิจ เศรษฐกจิ จงึ ข้นึ อยกู่ บั มนษุ ย์ทง้ั หลายเปน็ ผูก้ า� หนดแสดงชวี ติ เศรษฐกจิ ๒. ตลาดการซอ้ื ขาย ตลาดการซอ้ื ขายผลผลติ สนิ คา้ และบรกิ าร เปน็ เรอ่ื งธรุ กจิ การคา้ บรกิ าร เปน็ การนา� ปัจจัยผลผลิตตา่ ง ๆ ทงั้ หลาย มานา� เสนอเพือ่ ตอบสนองความตอ้ งการผูเ้ สพบริโภคใชส้ อย บริการ เป็นการนัดพบเจอกันระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภค หรือผู้ขายกับผู้ซื้อ ท�าให้เกิดการต่อสู้แข่งขัน เอารัดเอาเปรียบและความร่วมมือซื้อขายสินค้าและบริการ ท�าให้เกิดการประกาศโฆษณา ชักจูงชวน เช่อื ในรปู แบบสือ่ โฆษณาตา่ ง ๆ ท้งั หลาย อันมีทงั้ ดีและไม่ดี หรือจริงและเทจ็ ชกั จูงให้คนเหน็ ดว้ ยรว่ ม มอื กนั บรโิ ภคใชส้ อยบรกิ าร ใหป้ ระชาชนแอนตไี้ มร่ ว่ มมอื เสพบรโิ ภคใชส้ อยบรกิ าร ผเู้ สพบรโิ ภคตอ้ งใช้ ปัญญาคิดพิจารณาวิเคราะห์ก่อนตัดสินใจซ้ือสินค้าและบริการ อันส่งผลสร้างสรรค์พัฒนาและท�าลาย ระบบวงจรเศรษฐกจิ เป็นตวั แปรกา� หนดสา� คญั อยา่ งหนงึ่ ในชวี ิตเศรษฐกิจและสังคม เปน็ เรอื่ งธรรมดา หรือธรรมชาตอิ ย่างหนึ่งของมนุษยท์ ้งั หลายทว่ั ไป ๓. รัฐบาล รัฐหรือรัฐบาลเป็นตัวแปรก�าหนดส�าคัญอย่างหนึ่งในระบบรูปแบบเศรษฐกิจ เป็นผู้ใช้อ�านาจอธิปไตยบริหารจัดการควบคุมเศรษฐกิจให้เกิดความเรียบร้อยสงบดีงาม ช่วยในการ วางแผนก�าหนดนโยบายเศรษฐกิจ ช่วยจัดการควบคุมปัญหาความขัดแย้งและร่วมมือระหว่างผู้ผลิต และผู้บริโภค ผู้ขายกับผู้ซื้อ นายจ้างกับลูกจ้าง ช่วยสร้างพัฒนาความสัมพันธ์อันดีระหว่างพวกเขา

222 สังคมวิทยาเบ้อื งต้น ทั้งหลาย ก�าหนดราคาผลผลิตสินค้าและบริการอย่างถูกต้องเหมาะสม ให้สอดคล้องสัมพันธ์กับชีวิต เศรษฐกจิ ปจั จุบนั เกิดความยุตธิ รรม การอยู่ดกี นิ ดี มีความสงบสขุ สมบรู ณ์ ความเจรญิ ร่งุ เรอื งก้าวหนา้ ความสามคั คผี กู พนั มนั่ คงยงั่ ยนื ในสงั คมโลกปจั จบุ นั รฐั บาลเหน็ ไดว้ า่ เปน็ ผกู้ า� หนดแสดงบทบาทสา� คญั ในชวี ติ เศรษฐกจิ ดงั กลา่ วนี้ ระบบรปู แบบเศรษฐกจิ สงั คมวทิ ยาเศรษฐกจิ กส็ นใจศกึ ษาระบบรปู แบบเศรษฐกจิ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งเศรษฐกจิ กบั องคก์ รสถาบนั ทางสงั คม อันมีระบบรูปแบบชีวิตเศรษฐกจิ ตา่ ง ๆ มากมาย อันเนือ่ งมาจากแนวคิดและ การปฏิบัติที่แตกต่างกัน สังคมและวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน จึงมีวิถีชีวิตเศรษฐกิจและระบบรูปแบบ เศรษฐกิจไม่เหมือนกัน หรือมีระบบรูปแบบการกินอยู่แตกต่างกัน แม้มีระบบรูปแบบชีวิตเศรษฐกิจ มากมาย ตามทป่ี รากฏการณ์ทางสังคมและทน่ี ิยมกันแพรห่ ลาย กพ็ อสรุประบบรูปแบบส�าคัญไดด้ งั นี้ ๑. ระบบรูปแบบเศรษฐกิจทุนนิยม (Capitalism) เป็นระบบรูปแบบเศรษฐกิจที่ให้ภาค เอกชนมีสิทธิและอิสระเสรีเต็มที่ในการประกอบการด�าเนินการธุรกิจกิจการ เป็นเจ้าของกรรมสิทธ์ิ จัดการควบคุมในธุรกิจเศรษฐกิจ มีอิสระเสรีในการตัดสินใจท�าการผลิต จ�าหน่วยจ่ายแจก บริโภค ใช้สอยบริการ การจ้างแรงงาน การลงทุน การแข่งขัน การแสงหาผลประโยชน์ก�าไร รัฐบาลไม่เข้าไป เก่ียวข้องแทรกแซงจัดการควบคุม ส่วนใหญ่ข้ึนอยู่กับความชอบต้องการพึงพอใจและราคาของผู้ บรโิ ภค หากผ้เู สพบรโิ ภคต้องการผลผลติ สนิ คา้ หรือบรกิ ารใด เขาก็เต็มใจที่จะซอื้ สนิ คา้ และบรกิ ารนนั้ ผผู้ ลติ กท็ า� การผลติ สนิ คา้ และบรกิ ารนน้ั ใหม้ าก เพอื่ ตอบสนองความตอ้ งการของผบู้ รโิ ภค โดยใชร้ ะบบ กลไกเง่ือนไขของราคาเป็นตัวแปรก�าหนดส�าคัญ แต่ในบางคร้ังก็สร้างปัญหาความเดือดร้อนเสียหาย ให้กับผู้บริโภค เพราะนายทุนคนมีเงินมากเป็นเจ้าของผูกขาดธุรกิจกิจการเห็นแก่ตัวเอารัดเอาเปรียบ แสวงหาผลประโยชนก์ า� ไรมากเกนิ ไป เปน็ ระบบรปู แบบเศรษฐกจิ ไมด่ ี มแี ตป่ ญั หาความเสยี หายเดอื ดรอ้ น ๒. ระบบรปู แบบเศรษฐกจิ สงั คมนยิ ม (Socialism) อนั เนอื่ งมาจากระบบรปู แบบเศรษฐกจิ ทุนนิยมท่ีเห็นแก่ตัวเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภคมากเกินไป รัฐหรือรัฐบาลจึงเข้ามาเก่ียวข้องแทรกแซง บริหารจัดการควบคุม เป็นผู้ประกอบการด�าเนินการเสียเอง เป็นเจ้าของกรรมสิทธ์ิวางแผนจัดการ ควบคุมท�าการผลิตในธุรกิจกิจการและอุตสาหกรรม ตัดสิทธิจ�ากัดสิทธิและอิสระเสรีภาพภาคเอกชน ไม่ให้ประกอบการด�าเนินการธุรกิจกิจการขนาดใหญ่ ให้เฉพาะธุรกิจกิจการบางอย่างหรือขนาดเล็ก เพื่อป้องกันแก้ไขปัญหาชีวิตเศรษฐกิจ ให้เกิดความถูกต้องชอบธรรม เสมอภาคทางชีวิตเศรษฐกิจ ไม่ให้มีการต่อสู้แก่งแย่งแข่งขันเอารัดเอาเปรียบ สร้างความขัดแย้งแตกแยกในสังคมประเทศ และใน บางครั้งยังต้องอาศัยความร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและเอกชน แต่ถึงอย่างไร รัฐหรือรัฐบาลยังเป็น ตวั แปรกา� หนดส�าคัญในการบรหิ ารจดั การควบคุมระบบรปู แบบเศรษฐกจิ เพื่อความเปน็ ธรรมโปร่งใส และประโยชน์สขุ เกื้อกูลของประชาชน

เศรษฐกิจ 223 ๓. ระบบรูปแบบเศรษฐกจิ คอมมวิ นิสต์ (Communism) ระบบรปู แบบเศรษฐกจิ ที่รัฐหรือ รัฐบาลเข้าไปบริหารจัดการควบคุมธุรกิจกิจการและอุตสาหกรรมทุกอย่างโดยเด็ดขาด เป็นเจ้าของ กรรมสทิ ธใิ์ นธรุ กจิ เศรษฐกจิ เองทงั้ หมด ไมใ่ หส้ ทิ ธอิ สิ ระเสรภี าพแกป่ ระชาชน ภาคเอกชนไมม่ สี ทิ ธเิ ปน็ เจ้าของทรัพย์สินธุรกิจกิจการ รัฐบาลเข้าไปจัดการควบคุมวางแผนก�าหนดท�าการผลิตเองท้ังหมด การที่จะท�าการผลิตอะไร อย่างไร และเพื่อใครหรืออะไร รัฐหรือรัฐบาลเป็นผู้ก�าหนดวางแผนตัดสิน ใจดา� เนนิ การเองทง้ั ส้นิ ๔. ระบบรปู แบบเศรษฐกจิ ผสม (Mixed economy) ระบบรปู แบบเศรษฐกจิ ผสมผสานกนั ระหวา่ งทนุ นยิ มกบั สงั คมนยิ ม เปน็ การมสี ว่ นรวมและรว่ มมอื กนั ของภาครฐั และเอกชนในการประกอบ การดา� เนนิ การธรุ กจิ กจิ การ ชว่ ยกนั กา� หนดวางแผนตดั สนิ ใจในการดา� เนนิ การ แตส่ ว่ นใหญภ่ าคเอกชน เปน็ ตวั แปรกา� หนดสา� คญั ในระบบชวี ติ เศรษฐกจิ กจิ กรรมทางเศรษฐกจิ สว่ นใหญจ่ งึ เปน็ ของภาคเอกชน สงั คมโลกปจั จบุ นั เปน็ สงั คมทปี่ ระกอบไปดว้ ยความจรงิ หลายอยา่ งเกดิ ขน้ึ เปน็ สงั คมทเ่ี ตม็ ไปดว้ ยความ จริงมีเหตผุ ล จึงนิยมคดิ แสวงหาระบบรปู แบบชีวติ เศรษฐกจิ ท่เี ปน็ จริงมเี หตุผลให้ไดม้ ากท่ีสุดเท่าทจ่ี ะ ทา� ได้ นบั ตง้ั แตค่ รสิ ตศ์ ตวรรษที่ ๑๙ เปน็ ตน้ มา (ปฏวิ ตั อิ ตุ สาหกรรมสมยั ใหม,่ Industrial Revolution, ๑๗๖๐-๑๘๕๐) สังคมโลกจึงไดพ้ ยายามแก้ไขปรบั ปรุงเปลย่ี นแปลงชวี ิตเศรษฐกิจ มีการออกกฎหมาย คุ้มครองใหค้ วามเป็นธรรมแก่ประชาชนคนขายแรงงาน นายจ้างกบั ลกู จา้ ง ผ้ผู ลติ กบั บรโิ ภค ผขู้ ายกบั ผซู้ อื้ ใหก้ ารศกึ ษาและเครอื่ งอา� นวยความสะดวกสบายแกป่ ระชาชนอยา่ งทวั่ ถงึ บรหิ ารจดั การสรา้ งสรรค์ พฒั นาทรพั ยากรธรรมชาตทิ ง้ั หลายอยา่ งเปน็ ธรรมประหยดั มปี ระสทิ ธภิ าพประสทิ ธผิ ลพอเพยี ง เปน็ การ เร่งสร้างสรรคพ์ ฒั นาชวี ติ เศรษฐกิจ หรือแมแ้ ต่ประเทศไทย (๑๙๖๐) กพ็ ยายามสร้างทา� พัฒนากนั และ แก้ปัญหาชีวิตเศรษฐกิจโดยใช้ระบบรูปแบบเศรษฐกิจผสม เป็นการแก้ไขปรับปรุงเปล่ียนแปลงชีวิต เศรษฐกจิ มาอยา่ งตอ่ เนอ่ื งจนถงึ ปจั จบุ นั ภายใตก้ ารเปลย่ี นแปลงชวี ติ สงั คมและระบบรปู แบบเศรษฐกจิ เพราะความเจรญิ ทางดา้ นวิทยาการ วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และอิสระเสรภี าพของตลาดการซ้อื ขาย เพ่ือความเหมาะสมสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก ความอยู่รอดปลอดภัย ความเจริญ รงุ่ เรอื งกา้ วหนา้ และความสมั พนั ธม์ น่ั คงระหวา่ งกนั แตถ่ งึ อยา่ งไร แมเ้ ราจะแกไ้ ขปอ้ งกนั ปญั หาหนง่ึ ได้ แต่ปญั หาใหม่ก็เกิดขน้ึ ตามมาอยา่ งตอ่ เนอื่ ง ดังปรากฏมีใหเ้ หน็ อยทู่ วั่ ไป หน้าท่ีของเศรษฐกจิ ท่วั ไป หลกั การดา� เนนิ ชวี ติ เศรษฐกจิ ทด่ี อี ยา่ งหนง่ึ คอื การปฏบิ ตั ทิ า� ตามหนา้ ท่ี เพราะทกุ อยา่ งมหี นา้ ที่ของมันดังที่เคยกล่าวมาแล้ว เศรษฐกิจก็มีหน้าท่ีรับผิดชอบในการท�าผลิตปัจจัยส่ิงต่าง ๆ ท้ังหลาย อาหาร เครอ่ื งนงุ่ หม่ ทอ่ี ยอู่ าศยั ยารกั ษาโรค เครอ่ื งอา� นวยความสะดวกสบายทง้ั หลาย ตอบสนองบา� บดั ความตอ้ งการของมนษุ ย์ สรา้ งความเจรญิ รงุ่ เรอื งกา้ วหนา้ ชว่ ยสรา้ งสรรคพ์ ฒั นาสนบั สนนุ สง่ เสรมิ รกั ษา ชีวิตทางสังคม บทบาท หน้าท่ี บรรทัดฐาน คุณค่าความหมายทางสังคมวัฒนธรรม ความมีสุขภาพ

224 สังคมวิทยาเบ้ืองต้น รา่ งกายและจติ ใจทดี่ พี รอ้ มสมบรู ณ์ ความมวี นิ ยั เปน็ ระเบยี บเรยี บรอ้ ย ความสามคั คสี มั พนั ธอ์ นั ดรี ะหวา่ ง กันทางสังคม แม้เศรษฐกิจมีหน้าที่ทางสังคมมากมาย เพ่ือความรู้เข้าใจอย่างถูกต้องร่วมกัน และเพื่อ ความดีงามสมบรู ณข์ องชวี ิตเศรษฐกจิ จึงพอสรุปหน้าท่ีส�าคญั ของเศรษฐกจิ ดงั นี้ ๑. สร้างแบบลักษณะมนุษย์ นอกจากมหี นา้ ท่ที �าให้มนษุ ย์คงอยู่เปน็ ไปไดแ้ ล้ว ยงั ต้องสรา้ ง แบบลกั ษณะและบคุ ลกิ ภาพมนษุ ย์ ใหเ้ จรญิ เตบิ โตพฒั นาขนึ้ อยา่ งมคี ณุ ภาพชวี ติ มชี วี ติ สขุ ภาพรา่ งกาย แขง็ แรงสมบรู ณ์ ปราศจากโรคภยั ไขเ้ จบ็ มชี วี ติ เศรษฐกจิ ทด่ี มี คี วามสขุ ปราศจากความอยรู่ อ้ นนอนทกุ ข์ เปน็ ชวี ติ ทมี่ ง่ั มศี รสี ขุ ปราศจากความยากจนเขญ็ ใจ ปญั หาความทกุ ขเ์ ดอื ดรอ้ นวนุ่ วายทง้ั หลาย เปน็ การ สร้างแบบลักษณะหรือบคุ ลกิ ภาพมนษุ ยท์ ด่ี ีงามประเสริฐ มพี ฤติกรรม จติ ใจ และมปี ญั ญาดี มสี ว่ นรว่ ม ชว่ ยสนบั สนนุ สง่ เสรมิ ความเปน็ มนุษยไ์ ด้อยา่ งแท้จริง ๒. สร้างความสัมพันธ์มั่นคง ปัญหาท่ีส�าคัญอย่างหน่ึงในครอบครัวสังคม ก็คือปัญหาชีวิต เศรษฐกจิ ครอบครวั สงั คมมปี ญั หาความทกุ ขเ์ ดอื ดรอ้ นวนุ่ วาย ทะเลาะววิ าททบุ ตกี นั แตกแยกลม้ เหลว แก่งแย่งแข่งขัดเอารัดเอาเปรียบกัน ลักขโมยฆ่าท�าลายกัน ไม่เป็นระเบียบไม่สงบสุข ก็เพราะชีวิต เศรษฐกจิ แยไ่ มด่ ี อนั สง่ ผลกระทบตอ่ การดา� เนนิ ชวี ติ ทางสงั คม ทา� ใหค้ นมกี ารศกึ ษาตา�่ ขาดโอกาสศกึ ษา ฝึกฝนอบรมพฒั นาตน ขาดความรู้ความสามารถ อันมผี ลตอ่ อาชพี การทา� งาน ประกอบอาชพี การงาน ไมด่ ไี มม่ น่ั คงปลอดภยั อาจนา� ไปสอู่ าชพี ทจุ รติ ผดิ กฎหมายและศลี ธรรม อาชพี การงานไมด่ กี จ็ ะเปน็ ทมี่ า ของเงนิ รายไดน้ อ้ ยไมเ่ พยี งพอ แมอ้ ดทนขยนั เพยี รพยายามทา� งานหนกั กย็ งั มรี ายไดน้ อ้ ยไมพ่ อเพยี งกบั รายจา่ ยการเป็นอยู่ อยกู่ นิ ท�ากนิ ไปวนั ๆ มีกินมีใช้ไมม่ เี ก็บ หรือไมม่ ีกนิ ไม่พอใชใ้ นชีวติ เศรษฐกจิ ดงั นน้ั จึงเป็นหน้าท่ีส�าคัญจ�าเป็นของเศรษฐกิจต่อชีวิตทางสังคม การด�ารงอยู่เป็นไปของคนทุกระดับชั้น ช่วยสร้างรักษาความสัมพันธ์ม่ันคงระหว่างกัน ให้เกิดความสมดุลมีวินัยเป็นระเบียบเรียบร้อยดีงาม ทกุ คนตอ้ งรเู้ ขา้ ใจใชช้ วี ติ เศรษฐกจิ อยา่ งพอประมาณ มเี หตผุ ล พง่ึ ตนเองไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะ เปน็ การ ดา� เนนิ ชวี ติ เศรษฐกจิ พอเพยี งดว้ ยปญั ญา รอบรรู้ อบคอบระมดั ระวงั ขยนั อดทนหมนั่ เพยี ร ซอื่ สตั ยส์ จุ รติ เอื้ออาทรเสียสละแบ่งบัน เกิดความสมดุลเป็นธรรมสัมพันธ์มั่นคงย่ังยืนระหว่างชีวิตเศรษฐกิจสังคม ประเทศชาตติ ลอดถงึ สงั คมโลก ๓. สรา้ งพฒั นาคนสงั คมประเทศชาติ ชวี ติ เศรษฐกจิ ทดี่ ตี อ้ งตง้ั อยบู่ นฐานความจรงิ สง่ิ ดงี าม ถูกต้อง เป็นรากฐานสร้างพัฒนาม่ันคงของชีวิตสังคมประเทศชาติ ท่ีเรียกกันว่า เศรษฐกิจพอเพียง ทางสายกลางพอประมาณพอใจพอดพี อเหมาะ ไมป่ ระมาทในชวี ติ เศรษฐกจิ จา� ตอ้ งระมดั ระวงั ประคบั ประคองชวี ติ ทางสงั คม ประชาชนทุกคนต้องรูเ้ ข้าใจคา� นงึ ถงึ สง่ิ ทงั้ หลายตามความเปน็ จรงิ ความจรงิ มี เหตุผล ประพฤติปฏิบัติให้สอดคล้องสัมพันธ์กันอย่างมีเหตุผลพอเพียง สามารถด�าเนินชีวิตเศรษฐกิจ ได้อยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม เกดิ แตป่ ระโยชนส์ ขุ เกือ้ กลู พึ่งพายืนหยัดอยูไ่ ดด้ ้วยตนเอง เกดิ ความอย่รู อด ปลอดภยั ความเจรญิ รงุ่ เรอื งกา้ วหนา้ ตอ่ ไปไดโ้ ดยสวัสดี เป็นการสรา้ งสรรคพ์ ัฒนาม่นั คงยัง่ ยืน

บรรณานกุ รม ภาษาไทย ทินพันธุ์ นาคะตะ, ดร. รัฐศาสตร์: ทฤษฎี แนวความคิด ปัญหาส�าคัญ และแนวทางศึกษาวิเคราะห์ การเมอื ง. กรุงเทพฯ: สหายบล็อกและการพิมพ์, ๒๕๔๓. พจนานุกรม ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒. กรุงเทพฯ: บริษทั นานมบี คุ๊ ส์ จา� กดั , ๒๕๔๖. พระไตรปฎิ ก ภาษาบาลี ฉบบั สยามรัฐ, ๔๕ เล่ม. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพม์ หามกฏุ ราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๘. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยตุ ฺโต). พุทธธรรม. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์บรษิ ัทสหธรรมกิ จ�ากัด, ๒๕๔๕. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต). ธรรมนญู ชวี ิต. กรุงเทพฯ: สา� นักพมิ พม์ ูลนิธพิ ุทธธรรม, ๒๕๔๗. พระเทพเวที (ป. อ. ปยตุ โฺ ต). พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร์ ฉบบั ประมวลธรรม. กรุงเทพฯ: มหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย, ๒๕๓๒. พระราชวรมุนี (ประยูร ธมฺมจิตฺโต). ปรัชญากรีก บ่อเกิดภูมิปัญญาตะวันตก. กรุงเทพฯ: ส�านักพิมพ์ ศยาม, ๒๕๔๒. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (ฉบับที่ ๑-๒) พ.ศ. ๒๕๔๒-๒๕๔๕. กรุงเทพฯ: ส�านักพิมพ์สูตร ไพศาล, ๒๕๔๗. มังคลตั ถทปี นี แปล, เลม่ ท่ี ๑-๓. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๐. วิสุทธิมัคคสังวัณณนา มหาฎีกา (ภาคที่ ๑-๓) ท้ังภาษาบาลีและแปล. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหามกุฏ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๐. สมบัติ ธา� รงธัญวงส,์ ศ. ดร. การเมือง: แนวความคดิ และการพฒั นา. กรุงเทพฯ: ส�านกั พิมพ์เสมาธรรม, ๒๕๔๓. สญั ญา สญั ญาววิ ฒั น,์ รศ. ดร. สงั คมวทิ ยาปญั หาสงั คม. กรงุ เทพฯ: สา� นกั พมิ พจ์ ฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , ๒๕๔๒. สุมังคลวิลาสินี นาม ทีฆนิกายัฏฐกถา มหาวัคควัณณนา ภาษาบาลี, ภาคที่ ๑. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ มหามกฏุ ราชวิทยาลัย, ๒๕๓๕. สุชีพ ปุญญานภุ าพ. พระไตรปิฎก ฉบับสา� หรับประชาชน. กรุงเทพฯ: โรงพิมพม์ หามกุฏราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๔. สพุ ตั รา สุภาพ, รศ. สงั คมวทิ ยา. กรุงเทพฯ: โรงพิมพไ์ ทยวัฒนาพานิช จ�ากดั , ๒๕๔๕. เสถียร พันธรงั สี, ศ. ศาสนาเปรยี บเทยี บ. กรงุ เทพฯ: ส�านกั พิมพส์ ขุ ภาพใจ, ๒๕๔๒. แสง จันทรง์ าม, ศ. ศาสนศาสตร์. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช จ�ากัด, ๒๕๔๕.

ภาษาองั กฤษ Acker, Joan. Gendered Institutions: From Sex Roles to Gendered Institutions Contem porary Sociology. No. ๒๑, ๕๖๕-๕๖๘, ๑๙๙๒. Berger, Peter and Luckmann, Thomas. The Social Construction of Reality. New York: Garden City, Anchor, ๑๙๖๗. Bernstein, R. The Restructuring of Social and Political Theory. New York: Harcourt, Brace, ๑๙๗๖. Borgatta, Edgar F., et al. Encyclopedia of Sociology. Vols. ๑-๕, USA: The Gale Group, ๒๐๐๐. Bowker, John. The Concise Oxford Dictionary of World Religions. USA: Oxford University Press, ๒๐๐๕. Bradshaw, York W., et al. Sociology for a New Century. USA: Pine Forge Press, ๒๐๐๑. Clegg, Stewart. Modern Organizations: Organization Studies in the Postmodern World. London: Sage Publications, ๑๙๙๐. Cohen, Jean L. and Arato Andrew. Civil Society and Political theory. Cambridge: MIT Press, ๑๙๙๒. Crane , Diana. The Sociology of Culture. Cambridge: Blacwell Publications, ๑๙๙๔. Crook, Stephen, et al. Postmodernization: Change in Advanced Society. London: Sage Publications, ๑๙๙๔. Delanty, Gerard. Modernity and Postmodernity. London: Sage Publications, ๒๐๐๐. Dowse, R. and Hughes, J. Political Sociology. London: John Wiley, ๑๙๗๒. Edel, Abraham. The Concept of Levels in Social Theory, in L. Gross, Symposium on Sociological Theory, Evanston, Row Peterson, ๑๙๕๙. Eitzen, D. Stanley and Zinn, Maxine Baca. Social Problems. USA: Allyn and Bacon, ๑๙๙๒. Foucalt, M. Politics and Reason: in Politics, Philosophy, Culture. New York: Routledge, ๑๙๘๘. Gagnon, J. and Henderson, B. Social Psychology of Sexual Development. New York: Free Press, ๑๙๘๕. Giddens, Anthony. Sociology. UK: Polity Press, ๒๐๐๒. Giddens, Anthony. Studies in Social and Political Theory. London: Hutchinson, ๑๙๗๗. Habermas, J. Modernity versus Postmodernity. New German Critique, ๑๙๘๑. Habermas, J. On Society and Politics: A Reader. Boston: Beacon Press, ๑๙๘๙. Hamilton, Malcolm. The Sociology of Religion. London: Routledge, ๒๐๐๑. Haralambos, Michael, et al. Sociology: Themes and Perspectives. London: HarperCol- lins Publishers, ๒๐๐๐. Hirst, P. Associative Democracy: New Forms of Economic and Social Governance. Cambridge: Polity Press, ๑๙๙๔. Hutchison, Eliszabeth D. Dimensions of Human Behavior: Person and Environment. USA: Pine Forge Press, ๑๙๙๙. Jary, David and Jary, Julia. Collins Dictionary of Sociology. Great Britain: HarperCollins Publishers, ๒๐๐๐.

Kuper, Adam and Kuper, Jessica. The Social Science Encyclopedia. London: Routledge, ๑๙๙๖. Lash, Scott. Modernity or modernism? Weber and contemporary social theory. London: Allen and Unwin, ๑๙๘๗. Lash, Scott and Friedman, Jonathan. Modernity and Identity. Cambridge: Blacwell Publications, ๑๙๙๖. Lengermann, Patricia Madoo and Niebrugge, Jill. Contemporary Feminist Theory, in Ritzer, George, Sociological Theory. Singapore: McGraw-Hill, ๑๙๙๖. Magill, Frank N., et al. International Encyclopedia of Sociology, Vol. ๑-๒. London: Salem Press, ๑๙๙๕. Marshall, Gordon. Oxford Dictionary of Sociology. USA: Oxford University Press, ๒๐๐๕. Michie, Jonathan, et al. Encyclopaedia of Social Sciences, Vol. ๑-๔, London: Fitzroy Dearborn Publishers, ๒๐๐๑. Miller, G. and Holstein, J. A. Constructionist Controversies: Issues in Social Problems Theory. New York: Aldine de Gruyter, ๑๙๙๓. Morgan, D. Social Theory and the Family. London: Routledge and Kegan Paul, ๑๙๗๕. Money, J. Prenatal Hormones and Postnatal Sexualization, in Gender Identity Differen tiation, Vol. ๒๑, edited by J. K. Cole and R. Dienstbier, Lincoln: University of Nebraska Press, ๑๙๗๔. Neubeck, Kenneth J. and Neubeck, Mary Alice. Social Problems: A Critical Approach. USA: McGraw-Hill Companies, Inc., ๑๙๙๗. O’Sullivan, Lucia F., Graber, Julia A. and Brooks-Gunn, Jeanne. Encyclopedia of Women and Gender, Vol. ๑, London: Academic Press, ๒๐๐๑. Owen, David. Sociology after Postmodernism. London: Sage Publications, ๑๙๙๗. Ritzer, George. Contemporary Sociological Theory. New York: McGraw-Hill, ๑๙๙๒. ––––––– Sociological Theory. Singapore: McGraw-Hill Book Companies, ๑๙๙๖. ––––––– Sociological Theory. Singapore: McGraw-Hill Book Companies, ๒๐๐๐. Spector, M. and Kitsuse, J. I. Constructing Social Problems. New York: Aldine de Gruyter, ๑๙๘๗. Sullivan, Thomas J. Introduction to Social Problems. USA: Allyn and Bacon, ๒๐๐๐. Szacki, Jerzy. History of Sociological Thought. Westport,Conn.: Greenwood Press, ๑๙๗๙. Thompson, John B. Ideology and Modern Culture. UK: Polity Press, ๑๙๙๐. Thompson, John B. The Media and Modernity: A Social Theory of the Media. UK: Polity Press, ๑๙๙๕. Turner, Bryan S. Theories of Modernity and Postmodernity. London: Sage Publications, ๑๙๙๑. Watts, A.G. Education, Unemployment and the Future of Work. Oxford: Oxford University Press, ๑๙๘๓. Worell, Judith, et al. Encyclopedia of Women and Gender, Vols. ๑-๒. London: Academic Press, ๒๐๐๑.

ประวตั ผิ เู้ ขยี น ผศ. ดร. สเุ ทพ สวุ รี างกูร (Assist. Prof. Dr. Suthep Suvirangkun) เกดิ ท่หี มบู่ ้านแหง่ หนึง่ ในจังหวัดหนองคาย เม่ือปี พ.ศ. ๒๕๓๔ ส�าเร็จการศึกษาเปรียญธรรม ๗ ประโยค วัดชนะสงคราม บางล�าพู กรุเทพฯ ในปี พ.ศ. ๒๕๓๗ ส�าเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี วิชาเอกสังคมวิทยา จากมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ส�าเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท วิชาเอก สังคมวิทยา จากมหาวิทยาลัยบะนะรัสฮินดู ประเทศอินเดีย (Banaras Hindu University, India) ในปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ได้เข้าท�างานเป็นอาจารย์ประจ�าภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะ สังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย กรุงเทพฯ เม่ือปี พ.ศ. ๒๕๔๓ ได้รับทุนการศึกษา พฒั นาบคุ ลากร จากมหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั ใหไ้ ปศกึ ษาตอ่ ทม่ี หาวทิ ยาลยั ปญั จาบ ประเทศ อนิ เดยี (Panjab University, India) ในระดับปริญญาเอก วิชาเอกสังคมวิทยา และไดส้ �าเรจ็ การศึกษา ในปี พ.ศ. ๒๕๔๙ ปัจจุบัน เป็นอาจารย์ประจ�าภาควิชาสังคมวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัย มหามกุฏราชวิทยาลัย ผลงานทางวิชาการ ได้เขียนบทความหลายเรื่องลงในวารสารรายสองเดือน “ปัญญาจักษุ” ของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย บทความต่าง ๆ ทั้งหลาย ดูได้ที่ www.mbu.ac.th และ งานวจิ ัยอกี ๕ เรื่อง




Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook