Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Mbu002-หนังสือสังคมวิทยาเบื้องต้น

Mbu002-หนังสือสังคมวิทยาเบื้องต้น

Description: Mbu002-หนังสือสังคมวิทยาเบื้องต้น 01-228 copy

Search

Read the Text Version

นักสงั คมวิทยา 49 ในปจั จบุ นั นกั สงั คมวทิ ยาทง้ั หลายเหน็ ความจรงิ ทางสงั คมประกอบดว้ ยปรากฏการณธ์ รรมชาติ ที่หลากหลายมากมาย ความจริงสังคมการเมืองมีหลายประการ ท่ีเกี่ยวกับพฤติกรรมการกระท�าและ การเปล่ียนแปลงทางสังคมอย่างต่อเน่ือง อันรวมไปถึงความหมาย การแสดง ประสบการณ์ และการ ปฏิบัตติ ิดต่อ แต่ละคน แตล่ ะกลุ่มคน แต่ละครอบครัว แต่ละสถาบัน แตล่ ะระบบกฎเกณฑ์ และแต่ละ ปรากฏการณ์ทางสังคมการเมืองล้วนแสดงกระบวนการที่ซับซ้อนยากท่ีจะเข้าใจ อันน�าไปสู่การสร้าง ความจริงโลกสังคม เป็นความจริงหลายอย่างที่เกิดประกอบกันขึ้น นักสังคมวิทยาก็ได้พัฒนากรอบ แนวคิดเพื่ออธิบายและเข้าใจความจริงโลกสังคม ข้อเท็จจริงสังคมมีทั้งระดับเล็กและใหญ่ อันได้แก่ การกระทา� ของแตล่ ะบคุ คล (Individual actions) การกระทา� ระหวา่ งกนั ทางสงั คม (Social interactions) กลุ่ม (Groups) องค์กร (Organizations) สังคม (Societies) และโลก (World systems) ในสังคม มบี ุคคลผสู้ รา้ งก�าหนดแสดงทางสังคม ในบุคคล มจี ิตหรอื กระบวนการทางจิต เป็นตวั แกนสา� คญั ทา� ให้ มนษุ ยแ์ สดงพฤตกิ รรมการกระทา� ตา่ ง ๆ ทง้ั หลาย ดงั นนั้ จา� ตอ้ งฝกึ ฝนอบรมจติ หรอื ตนใหไ้ ดใ้ หบ้ รสิ ทุ ธิ์ บริบูรณ์ ตามกระบวนการขัดเกลาหรือเรยี นรู้ทางสังคม กระบวนการนีเ้ ปน็ ลกั ษณะจติ ท่ีประกอบดว้ ย ความคิด ความเชอ่ื บรรทดั ฐาน คุณค่าทางสังคม ทัศนคติ ประเพณี และวฒั นธรรม เป็นส่วนประกอบ ส�าคัญหรือปจั จัยสา� คัญในการสร้างความจรงิ ทางสังคม (Social construction of reality) แมม้ หี ลักการเหตุผล แนวคดิ ทฤษฎมี ากมาย ทีเ่ ก่ยี วกบั มนษุ ย์ สังคม และการประพฤติปฏิบตั ิ กข็ อเสนอเอาไวเ้ พยี งเท่านี้ และไดห้ วังวา่ ผู้ศึกษาทงั้ หลายสามารถรู้เขา้ ใจอยา่ งมีเหตผุ ลและตามความ เป็นจริง เลอื กน�าแตส่ งิ ดี ๆ ไปยึดถอื ปฏิบตั ิ กอ่ เกดิ แต่ความดงี ามและเป็นประโยชน์สขุ เก้ือกลู ตอ่ ไป



บทที่ ๓ ความคิดสมยั ใหม่ และหลังสมัยใหม่ ในการศึกษาคนสังคมการเมืองปัจจุบัน สิ่งหน่ึงท่ีจะต้องรู้เข้าใจ ก็คือ แนวคิดและทฤษฎี หรือวิวัฒนาการวิทยาการความรู้ท้ังหลาย ท่ีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเน่ือง มีการคิดใหม่ท�าใหม่อยู่ ตลอดเวลา มแี นวคดิ ทฤษฎกี ารปฏบิ ตั ทิ แ่ี ตกตา่ งขดั แยง้ กนั อยเู่ สมอ แนวคดิ และการปฏบิ ตั ถิ อื ไดว้ า่ เปน็ ปจั จยั สา� คญั ทา� ใหเ้ กดิ ปญั หาสงั คมการเมอื งทกุ ยคุ ทกุ สมยั ในสงั คมการเมอื ง กม็ กี ารคดิ และการปฏบิ ตั ิ ทเ่ี ปลยี่ นแปลงอยา่ งตอ่ เนอื่ งไมห่ ยดุ ยง้ั มกี ารคดิ ใหมแ่ ละทา� ใหมอ่ ยเู่ สมอ (Meta-theories) เพราะฉะนน้ั ก่อนที่จะคิดวิเคราะห์ตรวจสอบเรื่องอื่น จ�าเป็นต้องมาคิดพิจารณาทบทวนความคิดเห็นท่ีว่าใหม่ทัน สมยั และเกา่ ลา้ หลงั ไมท่ นั สมยั ตลอดถงึ หลงั จากนไี้ ป จะมอี ะไรใหมเ่ กดิ ขนึ้ ซงึ่ สว่ นใหญแ่ ลว้ เปน็ แนวคดิ ทฤษฎที างสงั คมตะวนั ตก เปน็ ทนี่ ยิ มศกึ ษากนั แพรห่ ลายในสงั คมโลกปจั จบุ นั เพอื่ ความรเู้ ขา้ ใจคนสงั คม การเมืองปัจจุบัน ประพฤติปฏิบัติร่วมกัน เป็นประโยชน์ในการศึกษาคิดเขียน จึงขอเสนอความคิด ๒ ประเภท คอื ความคดิ สมยั ใหม่และหลังสมัยใหม่ (Modernism and Postmodernism) ดงั น้ี ความคิดสมัยใหม่ (Modernism)* เราตอ้ งยอมรบั วา่ สงั คมโลกนเ้ี ปน็ สงั คมสมยั ใหมท่ เ่ี จรญิ ทางวตั ถุ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี อนั มที ง้ั ผลดแี ละเสยี สรา้ งทง้ั ความเจรญิ รงุ่ เรอื งและความเสอื่ มเสยี สงั คมมนษุ ยเ์ จรญิ กา้ วหนา้ มากเทา่ ไร มนุษย์ย่ิงจ�าเป็นต้องการรู้ตนเองสังคมการเมืองมากเท่าน้ัน นักคิดทางสังคมการเมืองทั้งหลาย จึงพยายามศึกษาเปรยี บเทียบสิง่ ต่าง ๆ ทงั้ หลายในอดตี กบั ปัจจุบัน เพอื่ ความรู้เขา้ ใจความเป็นมนษุ ย์ กับสังคมการเมือง เห็นความแตกต่างของสิ่งท้ังหลายอย่างชัดเจนที่เป็นไปตามเหตุปัจจัยกาลเวลา * Modernism or modernity refers to a historical period which began im Western Europe with a series of cultural, socail and economic changes during the seventeenth century, and it is usually characterized by three features: first, culturally, a reliance on reason an experience conditioned the growth of science and scientific consciousness, secularization and instrumental rationnality; second, as a mode of the it was based on the growth of industrial society, social mobility, market economy, literace; bureacratization and consolidation of the nation-state and third, it fostered a conception of the person as free, autonomous, self-controlled and reflexive. Opposed to traditional forms thought and life, modenity can be conceptu alized as a mode of social and individual experience that is shared by many men and women a;; over the world due to the expansion and parestige of scientific enquire, technological innovation, political models of democracy and nation-state boundaries and the subjective drive for self-development. Modernism is inherently globalizing (Koper and Kuper, 1996:546)

52 สังคมวทิ ยาเบอื้ งต้น ตามหลกั สจั ธรรมทวี่ า่ ทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ งลว้ นอนจิ จงั ไมเ่ ทยี่ งเปลย่ี นแปลงไปตามกาลเวลา ในดา้ นความคดิ ความเช่ือ ค่านิยม การปฏิบัติ วิทยาการ สิ่งประดิษฐ์ และเทคโนโลยีทั้งหลาย เกิดการยอมรับการ วิวัฒนาการสังคมการเมืองกันอย่างแพร่หลาย ยอมรับส่ิงใหม่มากกว่าส่ิงท่ีมีอยู่เดิม ท�าให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงส่ิงใหม่แทนของเดิม ท�าให้ของเดิมท่ีมีอยู่แล้วกลับถูกมองเห็นว่าเก่าโบราณล้าหลังไม่ทัน สมยั ไมย่ อมรบั กนั อกี ตอ่ ไป อะไรคอื ความจรงิ อะไรคอื ใหม่ อะไรคอื เกา่ อะไรคอื ทนั สมยั อะไรคอื ลา้ หลงั ความคดิ สมยั ใหม่ (Modernism, Modernity or Modernization) ตาม Habermas (๑๙๘๗) และ Barry Smart กลา่ วเอาไวว้ า่ เรม่ิ มมี าตง้ั แตค่ รสิ ตศ์ ตวรรษที่ ๕ มาจากภาษาละตนิ วา่ “modernus = modern” เป็นการพยายามท�าให้เกิดความแตกต่างกันใหม่ในชาวคริสต์ จากการนับถือศรัทธา พระเจ้าไปสู่ส่ิงอ่ืน แล้วต่อมาไม่นาน ก็มีการพยายามท�าให้เกิดความแตกต่างกันใหม่อีกในชาวคริสต์ จากการเคารพนบั ถอื ศรทั ธาพระเจา้ ไปแสวงหาความรจู้ รงิ มเี หตผุ ล ความจรงิ สง่ิ สากล ความจรงิ สง่ิ ดงี าม พยายามรู้เข้าใจสิ่งทั้งหลายในสากลโลกตามความเป็นจริง รู้เข้าใจส่ิงทั้งหลายด้วยจิตหรือปัญญา เพราะอิทธิพลแนวคิดของคานต์ (Kant’s conception of a universal history) เป็นกระบวนการ แตกตา่ งทางความคดิ และวฒั นธรรมจากเกา่ ไปสใู่ หม่ (Turner, ๑๙๙๑: ๓) เปน็ การแสวงหาความรจู้ รงิ ของสิ่งต่าง ๆ ท้ังหลายตามการเปลี่ยนแปลงเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าสังคมโลก เพราะความเป็นมาของ สงั คมนเี้ ชอื่ ศรทั ธาในพระเจา้ เปน็ ผสู้ รา้ งกา� หนดบนั ดาล ไมเ่ ชอื่ มนษุ ยแ์ ละธรรมชาตคิ อื ผสู้ รา้ งกา� หนดแสดง แนวคิดใหม่ทันสมัย นักปราชญ์หรือนักคิดทางสังคมการเมืองบางคนกล่าวบอกว่า ควรนับ ตัง้ แตค่ ริสต์ศตวรรษท่ี ๑๔ เพราะเป็นยคุ ฟ้นื ฟูศิลปะวทิ ยาการ (Renaissance) แต่นักสงั คมวทิ ยาส่วน ใหญเ่ หน็ วา่ แนวคิดใหม่ทันสมัย (Modernism) เปน็ ยคุ ประวัตศิ าสตรข์ องสังคมยโุ รปตะวนั ตก ทีเ่ กดิ การวิวัฒนาการเปล่ียนแปลงทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคมและวัฒนธรรม ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗ เพราะในระหว่างคริสต์ศตวรรษท่ี ๑๖-๑๗ เป็นยุคท่ีสนใจศึกษาค้นคว้าปรากฏการณ์ธรรมชาติแบบ วิทยาศาสตร์ (Scientism) มาช่วยแก้ปัญหาสังคมการเมืองทั้งหลายที่เกิดข้ึน แล้วส่งผลมีอิทธิพลต่อ การศกึ ษาสงั คมการเมอื งแบบวิทยาศาสตร์ในเวลาตอ่ มา ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗ จึงถือได้ว่าเป็นยุคความคิดใหม่ทันสมัย (Modernism) อันหมายถึง ยคุ สมยั ใหค้ วามสนใจในเรอื่ งศลิ ปะ วรรณคดี วทิ ยาการ สถาบนั เหตผุ ล การศกึ ษา เศรษฐกจิ การเมอื ง เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ รูปแบบของชีวิต ความจริงของชีวิตบนฐานของความเปลี่ยนแปลงพัฒนา สังคมโลก กล่าวคือเป็นช่วงเวลาแห่งความเจริญทางวัตถุ ความมั่นคงทางสังคม การเมืองและความรู้ เขา้ ใจตนเอง (Material progress, socio-political stability and self-realization) ในยโุ รปตะวนั ตก มอี งั กฤษ อเมรกิ า ฝรง่ั เศส อติ าลี เปน็ ตน้ แมม้ เี หตปุ จั จยั ตา่ ง ๆ มากมายทท่ี า� ใหเ้ กดิ สมยั ใหม่ เหตปุ จั จยั ส�าคัญเหล่านี้ คือ ความจริง (Truth) เหตุผล (Rationality) วิทยาศาสตร์ (Science) เทคโนโลยี (Technology) ผลของอุตสาหกรรม (Emergence of capitalism) การแผ่อ�านาจทางตะวันตก

ความคดิ สมยั ใหม่ และหลังสมยั ใหม่ 53 (Western imperialism) การแพร่กระจายความรู้ และอ�านาจทางการเมอื ง (Spread of literature and political power) การขับเคลื่อนทางสังคม (Social mobility) เป็นสาเหตุสา� คัญสนับสนุนส่ง เสริมการเปล่ียนแปลงพัฒนาสังคมโลก ที่เรียกกันว่า “สมัยใหม่ความทันสมัย (Modernism)” เพราะผลของความเจริญทางการศึกษาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม และการขับเคล่ือน ทางสังคม ท�าใหม้ นษุ ยต์ อ้ งการร้เู ข้าใจตนเองสงั คมการเมืองมากยิ่งข้นึ ตามล�าดบั ท�าให้ตอ้ งมาคดิ ใหม่ ท�าใหม่ เพ่ือความจริงถูกต้องดีงามแบบสากล สามารถพิสูจน์ทดลองเชื่อถือได้ แสดงความรับผิดชอบ ต่อสังคมโลกรว่ มกนั เพอ่ื ความรเู้ ขา้ ใจปฏบิ ตั ใิ หมร่ ว่ มกนั จงึ ขอลา� ดบั เหตกุ ารณก์ ารววิ ฒั นาการความคดิ ใหมท่ นั สมยั ดังต่อไปน้ี ครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี ๑๔ ยุคฟืน้ ฟูศลิ ปะวทิ ยาการ ในสังคมยโุ รปตะวันตก ไดส้ นใจและคน้ พบวทิ ยาการเกา่ ๆ ท้งั หลาย โดยเฉาะงานของเพลโต้ (Plato) และอริสโตเติล (Aristotle) ยุคนี้ศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกเจริญรุ่งเรืองเฟื่องฟูอย่างมาก แต่ก็มีกลุ่มนักคิดนักปราชญ์พยายามปฏิเสธความเช่ือและค�าสอนเกี่ยวกับพระเจ้า เน่ืองจากพวกเขา เห็นว่า เป็นส่ิงไม่มีตัวตน มองไม่เห็นสัมผัสจับต้องไม่ได้ เป็นเร่ืองงมงายไร้เหตุผลพิสูจน์ทดลองไม่ได้ จึงได้เกิดความคิดความเชื่อและลัทธิใหม่ข้ึนมา โดยเฉพาะความคิดความเช่ือในเร่ืองความเป็นมนุษย์ ความจรงิ ถกู ตอ้ งดงี าม มาแทนความคดิ ความเชอื่ เคารพศรทั ธาในเรอ่ื งพระเจา้ พยายามไลก่ า� จดั พระเจา้ ออกไปจากสังคมมนุษย์ เพราะอิทธิพลแนวความคิดของเพลโต (Plato) และอริสโตเติล (Aristotle) มองเห็นค�าส่ังสอนของศาสนาดั้งเดิมเป็นของเก่าล้าหลังไม่ทันสมัย เป็นการจุดประกายแสวงหาความ จรงิ ถกู ตอ้ งดงี ามขน้ึ อกี ครง้ั หนงึ่ หลงั จากถกู ปดิ กนั้ มานาน โดยความคดิ ความเชอ่ื ทว่ี า่ สรรพสง่ิ ทกุ อยา่ ง มนุษย์ โลก มาจากเทพเจ้าผู้ย่ิงใหญ่ท่ีสร้างก�าหนดลิขิตบันดาลให้เป็นไป ทรงเอาพระทัยใส่ใจดูแล ทุกสิ่งทุกอย่างให้ด�าเนินไปด้วยดี สร้างมนุษย์ขึ้นมาก็เพ่ือให้รู้จักกับพระองค์ท่าน ต้องปฏิบัติตามหลัก คา� สง่ั สอนของพระองคท์ า่ น มคี วามจงรกั ภกั ดศี รทั ธาในพระองคท์ า่ น ตายไปแลว้ ไปอยกู่ บั พระองคท์ า่ น ในสวรรค์ ชีวิตเกิดขึ้นเป็นไปตามลิขิตบัญชาของพระองค์ท่านหรือเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่นี้ แนวคิดทฤษฎี อย่างน้มี อี ทิ ธิพลบทบาทอย่างมากตอ่ ชีวติ ทางสังคมการเมืองตะวันตกถึงปจั จบุ นั หากเราสนใจศึกษางานของเพลโต (Plato, ๔๒๗-๓๔๗ BC) ท่านเป็นนักปราชญ์ผู้ย่ิงใหญ่ คนหนึ่งของกรีซและของโลก ที่เดินตามรอยของโสเครตสี (Socrates, ๔๖๙-๓๙๙ BC) ผู้เปน็ อาจารย์ ของท่าน โสเครตสี เกิดหลังพระพทุ ธเจา้ ประมาณ ๗๔ ปี สว่ นเพลโตกป็ ระมาณ ๑๑๖ ปี ท่านทัง้ ๒ ถอื ได้ว่าเป็นผู้มีอิทธิพลบทบาทอย่างมากต่อแนวความคิดทางสังคมและการเมืองตะวันตก (Western socio-political thoughts) โสเครตีสมีความเห็นความเช่ือในเรื่องความจริงดีงามถูกต้อง เป็นส่ิง สากลมีอยู่แล้วในธรรมชาติ มนุษย์จะดีหรือเลว จะเจริญหรือเส่ือม อยู่ท่ีตัวมนุษย์เอง ไม่ได้ข้ึนอยู่ กับใคร ๆ เช่นเดียวกับหลักการของพระพุทธศาสนา เขาพยายามสั่งสอนประชาชนให้เป็นคนดีมี

54 สังคมวทิ ยาเบื้องตน้ ปญั ญาและคณุ ธรรม เนน้ สอนในเรอื่ งความดมี คี ณุ ธรรม เนน้ สอนในเรอ่ื งความเปน็ มนษุ ยแ์ ละศกั ยภาพ ของมนุษย์ เช่ือมั่นในการกระทา� ของมนษุ ย์ ความดมี ีคณุ ธรรมอยากได้ต้องท�าเอง ไมม่ กี ารซอ้ื ขายไม่มี ใครมาหยิบยื่นให้หรือไม่มีใครมาดลบันดาลให้ โสเครตีสมีลูกศิษย์มากมายและเป็นที่รักเคารพนับถือ ของประชาชนทวั่ ไป การสง่ั สอนประชาชนทข่ี ดั กบั หลกั คา� สอนของศาสนาดงั้ เดมิ ทา� ใหเ้ ขาถกู จบั กลา่ ว หาฟอ้ งรอ้ งด้วยขอ้ หา ๓ ขอ้ คือ ๑. ไม่เคารพนบั ถือศรัทธาเทพเจา้ ของรัฐ ๒. ตัง้ เทพเจา้ องคใ์ หม่ขึ้นมา ๓. สงั่ สอนมว่ั สมุ มอมเมาเยาวชนใหห้ ลงผดิ แมผ้ พู้ พิ ากษาบอกวา่ หากหยดุ สอนประชาชนในเรอ่ื งอยา่ งน้ี จะปลอ่ ยใหเ้ ปน็ อสิ ระไมเ่ อาผดิ ลงโทษ ทา่ นกไ็ มย่ อมทา� ตาม ยงั ยดึ มนั่ ในความดถี กู ตอ้ ง ไมย่ อมเสนอลด โทษใหแ้ กต่ นเอง จงึ ถกู พพิ ากษาใหป้ ระหารชวี ติ ดว้ ยการดมื่ ยาพษิ แสดงใหเ้ หน็ วา่ โสเครตสี ไมก่ ลวั ความ ตาย แต่ทา่ นกลวั ความชวั่ มากกวา่ ยอมตายถวายชีวิตเพือ่ รกั ษาธรรม ไม่ยอมก้มหวั ใหอ้ ธรรม จารกึ ช่อื ลือนามไวใ้ นโลกตราบเท่าทกุ วันนี้ คริสตศ์ ตวรรษท่ี ๑๕-๑๖ ยุคแหง่ การส�ารวจและปฏิรปู คริสตศ์ าสนา* ศตวรรษนถ้ี อื ไดว้ า่ เปน็ ยคุ แหง่ การสา� รวจ พรอ้ มกบั เผยแผศ่ าสนาวฒั นธรรมลา่ อาณานคิ มหรอื ล่าเมืองข้ึน (ตรงกับสมัยกรุงศรีอยุธยาของเรา, ๑๓๕๐-๑๗๖๗ AD) วิทยาการท่ีเจริญก้าวหน้าข้ึน ทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์และการเดินเรือ นักส�ารวจชาวยุโรปต่างพากันออกทะเลล่องเรือ สา� รวจโลกใหมท่ ง้ั ทางตะวนั ตกและออกทพี่ วกเขาไมเ่ คยพบเหน็ มากอ่ น ไมว่ า่ จะเปน็ ทวปี เอเชยี อเมรกิ า อาฟรกิ าหรอื ออสเตรเลยี การเดนิ ทางของพวกเขาถอื ไดว้ า่ เปน็ การเผยแผเ่ ชอ่ื มโยงสงั คมวฒั นธรรมโลก เป็นครัง้ แรก เปน็ จดุ เรมิ่ ตน้ ของการแพรก่ ระจาย “ความทนั สมยั ” แบบตะวนั ตกไปทั่วสงั คมโลก ความเป็นไปในทุกระบบของสังคมการเมือง มักมีศาสนาเข้าไปมีอิทธิพลบทบาทเก่ียวข้องใน ทกุ สว่ น ระหว่างยคุ กลางสงั คมยโุ รป (๑๐๐๐ – ๑๕๐๐ AD) ครสิ ตศ์ าสนามอี ิทธพิ ลบทบาทอย่างมาก ในทุกระบบของสงั คม การศกึ ษา เศรษฐกิจ การเมือง และวฒั นธรรม เพราะความเจริญเปลี่ยนแปลง ทางสังคมการเมือง การปฏิรูปคริสต์ศาสนาโดยคริสต์ศาสนิกชนกลุ่มหน่ึงก็เกิดข้ึน โดยการต้ังนิกาย โปรเตสแตนต์ขึ้นมา เนื่องจากพวกเขาเห็นว่า คริสต์ศาสนาแบบดั้งเดิมนิกายคาทอลิกเก่าล้าหลัง ไม่ทันสมัย ไม่ช่วยแก้ปัญหาชีวิตทางสังคมการเมืองให้ดีข้ึน ซ�้ายังเป็นแหล่งมั่วสุมอ�านาจอิทธิพลผล ประโยชนข์ องคนบางกลมุ่ และพวกเขาเชอื่ วา่ คา� สอนของนกิ ายใหมโ่ ปรเตสแตนตจ์ ะชว่ ยฟน้ื ฟสู นบั สนนุ ส่งเสรมิ คา� สอนเดมิ ให้ทนั สมัยเหมาะสมกบั ยคุ สมยั อยา่ งแทจ้ รงิ สามารถชว่ ยแกไ้ ขปอ้ งกนั ปญั หาสงั คม การเมืองได้ ท�าให้เกิดการขัดแย้งทางความคิดและการปฏิบัติอย่างรุนแรง สร้างความสับสนสงสัย * คริสต์ศาสนา (Christianity) แบ่งเป็น ๓ นิกาย คือ ๑. นิกายคาทอลิกด้ังเดิม (Primary Catholic Church) ๒. นิกาย ออทอดอกซ์ เกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๑ (Orthodox Church) ๓. นิกายโปเตสแตนส์ เกิดข้ึนในคริสต์ศตวรรษท่ี ๑๖ (Protestant Church) (Jary and Jary, ๒๐๐๐:๖๖)

ความคิดสมยั ใหม่ และหลังสมัยใหม่ 55 ในศาสนาค�าสอนเป็นอย่างมาก ส่งผลให้คริสต์ศาสนาแบบดั้งเดิมลดอ�านาจอิทธิพลบทบาทลงเป็น อย่างมาก นา� ไปสูก่ ารแตกแยกระหว่างอาณาจกั รและศาสนจกั รในเวลาต่อมา ครสิ ต์ศตวรรษที่ ๑๗ ยคุ แห่งวทิ ยาศาสตร์ ในศตวรรษนี้ คริสต์ศาสนามีอิทธิพลบทบาททางสังคมและการเมืองลดน้อยลงตามล�าดับ (Secularization) เมอื่ มคี วามเจรญิ กา้ วหนา้ ทางการศกึ ษาและวทิ ยาศาสตรม์ ากขนึ้ มนษุ ยร์ จู้ กั ใชป้ ญั ญา อย่างมีเหตุผล คิดมองเห็นชีวิตสังคมการเมืองตามความเป็นจริง ไม่ใช่เร่ืองของเทพเจ้าส่ิงศักด์ิสิทธิ์ดล บนั ดาลใหเ้ ปน็ ไป แตเ่ ปน็ เรอ่ื งของความจรงิ มเี หตผุ ล คนเลยหนั ไปสนใจความจรงิ ธรรมชาตแิ ละเหตผุ ล มากขึ้น สนใจความจริงมนุษย์และสังคมโลก ศึกษาหาความรู้ต่าง ๆ ท้ังหลายตามความเป็นจริง ทส่ี ามารถพสิ จู นท์ ดลองไดต้ ามหลกั การทางวทิ ยาศาสตร์ ศกึ ษาคน้ ควา้ พสิ จู นท์ ดลองอยา่ งมเี หตผุ ลเปน็ ระเบียบแบบแผน ทีเ่ รยี กกนั วา่ “วทิ ยาศาสตรส์ มยั ใหม่” (New science) ความเจรญิ ทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยที า� ใหม้ นษุ ยม์ ชี วี ติ ทส่ี ะดวกสบายพรงั่ พรอ้ มไปดว้ ย วตั ถเุ ครอ่ื งอา� นวยความสะดวกสมยั ใหม่ ละเลยไมส่ นใจความสขุ ทางจติ ใจ เปน็ สงั คมวตั ถหุ รอื วตั ถนุ ยิ ม ความเจริญท�าให้เกิดแนวคิดและทฤษฎีใหม่ต่าง ๆ มากมาย ช่วยในการอธิบายบรรยายปรากฏการณ์ ทางธรรมชาติและความเร้นลับทั้งหลายที่เคยสงสัยกันมา ค�าถามที่วิทยาศาสตร์พยายามแสวงหา ค�าตอบ คือ ความจริงแท้ของความเป็นมนุษย์คืออะไร มนุษย์จะปฏิบัติตนต่อสิ่งต่าง ๆ ท้ังหลาย ใหถ้ กู ตอ้ งไดอ้ ยา่ งไร พยายามรเู้ ขา้ ใจตนเองและสงั คมอยา่ งถอ่ งแท้ เปน็ คา� ถามเกยี่ วกบั รปู แบบชวี ติ และ หลกั การดา� เนนิ ชวี ติ จรงิ โดยอาศยั ความรทู้ างวทิ ยาศาสตรม์ าประยกุ ตใ์ ชใ้ นการหาคา� ตอบเกย่ี วกบั ชวี ติ สังคมการเมือง ส่งผลให้เกิดการคิดใหม่ เขียนเรียบเรียงใหม่ และตั้งทฤษฎีใหม่ในหลายศาสตร์ หลายดา้ น (Metatheory = second order accounts of theories or second order theories of theories) ไม่ว่าในวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ แพทยศาสตร์ ไม่ว่าทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม และพฤตกิ รรมมนุษย์ มีววิ ัฒนาการเปล่ยี นแปลงมาตามล�าดบั กลายเป็นวา่ ความรแู้ นวคดิ ทฤษฎีท้ังหลายท่ีมีอยู่เดิมน้ัน ไม่ดีไม่ถูกต้องเที่ยงธรรมไม่มีเหตุผลไร้ประสิทธิภาพประสิทธิผลในการ ปฏบิ ตั ไิ ด้อย่างแทจ้ รงิ เพื่อเป็นการยืนยันอ้างอิงทฤษฎีที่สร้างข้ึนมาใหม่ (Metatheory) จึงขอเสนอแนวคิดทฤษฎี ทางสังคมวิทยาท่ีเห็นว่าใหม่ล่าสุด คือ แนวคิดภาพสร้างทางสังคม (Social constructionist approach or construction of social reality) แนวคดิ ภาพสรา้ งทางสังคม ภาพทม่ี นุษยส์ งั เกต เหน็ หรอื สรา้ งขนึ้ ในใจเกย่ี วกบั สงิ่ ทง้ั หลายรอบตวั เขา เขาสงั เกตเหน็ อะไรคดิ อะไร สง่ิ นนั้ กเ็ ปน็ ภาพสรา้ ง ส�าหรับเขา แนวคิดภาพสร้างทางสังคม เห็นความจริงทางสังคมประกอบด้วยปรากฏการณ์ทางสังคม หลากหลายมากมาย ท่ีเก่ียวกับการกระท�าระหว่างกันและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างต่อเนื่อง

56 สงั คมวิทยาเบอื้ งตน้ อันรวมไปถึงความหมาย การแสดง ประสบการณ์ และการปฏิบัติติดต่อ แต่ละคน แต่ละกลุ่มคน แต่ละครอบครัว แต่ละสถาบัน แต่ละระบบกฎเกณฑ์ และแต่ละปรากฏการณ์ทางสังคมล้วนแสดง กระบวนการทซี่ บั ซอ้ นยากทจี่ ะเขา้ ใจปรากฏการณท์ างสงั คม อนั นา� ไปสกู่ ารสรา้ งความจรงิ แหง่ โลกทาง สังคม จรงิ ๆ มันยากทีจ่ ะเข้าใจความหมายขอบเขตปรากฏการณ์ทางสังคมเชน่ นัน้ แตน่ ักสงั คมวิทยา ก็ได้พัฒนากรอบแนวความคิดเพ่ืออธิบายและเข้าใจโลกทางสังคมปัจจุบันว่า ความจริงของโลกทาง สงั คม มกี ระบวนการเปลยี่ นแปลงลกั ษณะอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ๒ ประการ คอื ๑. กระบวนการเปลยี่ นแปลง ลักษณะในระดับเล็กและใหญ่ (Microscopic-macroscopic continuum) นกั สงั คมวทิ ยาสังเกต เห็นว่าโลกทางสังคมมีความจริงอยู่ ๒ ระดับ คือระดับเล็กและใหญ่ อันได้แก่ การกระท�าของแต่ละ บคุ คล (Individual actions) การกระท�าระหว่างกันทางสังคม (Social interactions) กลุ่ม (Groups) องคก์ ร (Organizations) สงั คม (Societies) และโลก (World systems) ๒. กระบวนการเปลยี่ นแปลง ลกั ษณะวตั ถกุ บั จติ (Objective-subjective continuum) ปรากฏการณท์ างสงั คมวตั ถุ (Objective social phenomena) แสดงถึงความจรงิ มวี ัตถอุ ยู่ หมายถงึ ผกู้ ระทา� หรือแสดงทางสงั คม การกระท�า สัมพันธ์ องคก์ ร โครงสรา้ ง และกฎหมาย เปน็ ที่ทราบกันดีว่า ในความจริงของโลกทางสังคมนี้ ไม่มแี ต่ ปรากฏการณ์ทางสังคมวัตถุอย่างเดียว แต่ยังประกอบไปด้วยปรากฏการณ์ทางสังคมจิตหรือ กระบวนการทางจติ (Subjective social phenomena or mental processes) กระบวนการน้เี ป็น ลักษณะจิตที่ประกอบด้วยบรรทัดฐาน คุณค่าทางสังคม ทัศนคติ ประเพณี และวัฒนธรรมอ่ืน ๆ เป็นส่วนประกอบส�าคัญในการสร้างความจริงทางสังคม (Berger and Luckmann, ๑๙๖๗, Edel, ๑๙๕๙: ๑๖๗, Korenbaum, ๑๙๖๔: IX และ Ritzer, ๑๙๙๖: ๖๔๒-๖๔๖) ลักษณะส�าคัญของแนวคิดภาพสร้างทางสังคม ก็คือมนุษย์เป็นผู้สร้างความจริงทางสังคม การเมือง แสดงพฤติกรรมการกระท�าระหว่างกันทางสังคมการเมือง อันได้แก่การแสดงในเร่ือง ประวตั ศิ าสตร์ วัฒนธรรม ภาษา ประสบการณ์ ความสมั พันธ์ และการปฏบิ ตั ติ ดิ ตอ่ มนษุ ย์เองเรียนรู้ พัฒนาปรังปรุงเปล่ียนแปลงความหมายความเข้าใจเร่ืองโลกและความสัมพันธ์ของพวกเขาตามความ เป็นจริงทางสังคมการเมือง (Ritzer, ๑๙๙๒: ๑๗๖ และ Hutchison, ๑๙๙๙: ๔๙) เพราะฉะน้ัน กระบวนการความจริงทางสังคมการเมืองจึงประกอบด้วยหลายเหตุหลายปัจจัย มนุษย์จ�าต้องรู้และ เข้าใจตนเองกับกระบวนความจริงทางสังคมการเมืองเหล่านี้ รู้เข้าใจกระบวนการสังคมการเมือง ตามความจริง แล้วปฏิบัติให้สอดคล้องสัมพันธ์กับกฎเกณฑ์ของมัน ปฏิบัติต่อสิ่งท้ังหลายให้ถูกต้อง มเี หตผุ ล คอื ปฏบิ ตั ถิ กู ตอ้ งมเี หตผุ ลตอ่ ตนเอง สงั คมการเมอื ง และสจั ธรรมความจรงิ ทางสงั คมการเมอื ง อนั สง่ ผลใหช้ วี ติ และสงั คมเปน็ ระเบยี บเรยี บรอ้ ยดา� เนนิ ไปดว้ ยดถี กู ตอ้ งมเี หตผุ ลเปน็ ธรรมมปี ระสทิ ธภิ าพ ประสทิ ธผิ ลไรป้ ัญหา

ความคิดสมยั ใหม่ และหลงั สมยั ใหม่ 57 การววิ ฒั นาการเปลยี่ นแปลงทางสงั คม เศรษฐกจิ การเมอื ง และวฒั นธรรมครง้ั ยง่ิ ใหญ่ ทเี่ รยี กวา่ สมยั ใหมท่ นั สมยั (Modernism) ในโลกสงั คมตะวนั ตก สง่ ผลมอี ทิ ธพิ ลตอ่ สงั คมและวฒั นธรรมทง้ั หลาย ของโลก เชอ่ื มโยงใยสมั พนั ธส์ งั คมวฒั นธรรมไปทว่ั ทกุ มมุ โลก แพรก่ ระจายวฒั นธรรม “สมยั ใหมท่ นั สมยั ” แบบตะวนั ตกไปท่ัวทกุ มมุ โลก ดงั ปรากฏการณท์ างสังคมการเมือง ดังนี้ ปรากฏการณ์ทางสงั คม เกดิ การศึกษาหาความจรงิ มีเหตผุ ลเปน็ ระเบยี บแบบแผน รูจ้ ักใช้ปัญญาสืบหาความจริง รู้จกั สังเกตศึกษาเปรียบเทียบพิสูจน์ทดลองตรวจสอบตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ก่อนที่จะตัดสินใจท�า อะไรลงไป ตอ้ งคดิ ใหร้ อบคอบแมน่ ยา� ตอ้ งมกี ารศกึ ษาพสิ จู นท์ ดลองกอ่ นแลว้ จงึ ทา� ไมเ่ ชอื่ อยา่ งงมงาย ไร้เหตุผล พิจารณาใคร่ครวญตรวจสอบก่อนแล้วค่อยท�า รู้จักใช้ปัญญาอย่างมีเหตุผลบนฐานของ ความจริงถูกต้อง มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ท้ังหลายตามเหตุปัจจัย เห็นโลกและชีวิตตามความเป็นจริง เหน็ เชอ่ื ยดึ ถอื ปฏบิ ตั แิ ลว้ กอ่ ใหเ้ กดิ ประโยชนส์ ขุ ไรโ้ ทษภยั อนั ตราย นา� ชวี ติ ไปสคู่ วามเจรญิ กา้ วหนา้ ดงี าม ประเสริฐ อันเป็นเป้าหมายส�าคัญอย่างหน่ึงของการศึกษาตามหลักค�าสอนของพระพุทธศาสนา สอนให้รู้เข้าใจชีวิตและสังคมตามความจริงมีเหตุผล ใช้ชีวิตทางสังคมให้ถูกต้องเหมาะสมสอดคล้อง สัมพนั ธ์กับความจรงิ สิ่งทั้งหลาย รู้ความจริงยอมรบั ความจริงอยกู่ ับความจริง ไม่ให้หนีความจริงไม่หนี จากชวี ิตและสงั คมปจั จบุ นั ตามทค่ี นทัว่ ไปเขา้ ใจ ศาสนาสอนใหห้ ลุดพ้นไปจากโลก แม้แตพ่ ระอรหนั ต์ ผู้หมดกิเลสตัณหาก็ยังด�าเนินชีวิตในสังคมเป็นปกติ ไม่หลุดพ้นหนีสังคมไปไหน นอกจากท่านตายไป แตก่ ารใชช้ วี ติ ของทา่ นเปน็ ปกตสิ ขุ ไมส่ รา้ งปญั หากอ่ ความเดอื ดรอ้ นใหใ้ คร เปน็ ไปเพอื่ ประโยชนเ์ กอ้ื กลู และความสุขของท่านและสงั คม เกิดการศึกษาความเป็นมนุษย์ แบบลักษณะความเป็นมนุษย์ บทบาทหน้าที่ความสัมพันธ์ มนษุ ย์ และความเสมอภาคทางสงั คม ชไี้ ปทศี่ กั ยภาพความสามารถของมนษุ ยเ์ ปน็ สง่ิ สา� คญั แบบลกั ษณะ ความเป็นมนษุ ย์ ความรู้ ความสามารถ บทบาท หน้าท่ขี องมนษุ ยถ์ กู กา� หนดสรา้ งพฒั นาเปลีย่ นแปลง ทางส่ิงแวดล้อมสังคมและวัฒนธรรม ไม่ใช่ทางธรรมชาติหรือสรีระร่างกาย ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน ในความเป็นมนุษย์ เกิดแนวความคิดความเสมอภาคระหว่างสตรีและบุรุษ สตรีและบุรุษมีฐานะ เท่าเทียมกันทางสังคม สังคมและรัฐต้องยอมรับคุ้มครองให้ความเสมอภาค ให้สิทธิเสรีภาพเท่าเทียม กันในทุกด้าน ไม่ว่าในด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม ไม่มีการแบ่งชนช้ันวรรณะ ทางสังคม ไม่ดูถูกเหยียดหยามซึ่งกันและกัน Simone de Beauvoir (๑๙๐๘-๘๖) นักสตรีนิยม ชาวฝร่ังเศสกล่าวยืนยันว่า คนไม่ได้เกิดมาเป็นหญิงหรือชาย แต่เกิดมาเป็นคน สตรีจะเท่าเทียมบุรุษ หรือไม่ หากเราตดั ข้อจ�ากดั ของสตรอี อกไป โดยเฉพาะในเรื่องการแต่งงาน การก�าเนดิ บตุ ร และความ เปน็ แมท่ ี่มคี วามรบั ผดิ ชอบต่อบุตร (Marriage, childbirth and responsibilities of motherhood) อันสง่ ผลมอี ิทธพิ ลตอ่ แนวความคิดความเสมอภาคระหวา่ งชายหญิงในสงั คมโลกปจั จบุ ัน

58 สงั คมวทิ ยาเบือ้ งต้น ทา� ใหส้ ังคมโลกเจรญิ กา้ วหน้าไปอยา่ งรวดเร็วไม่หยุดยัง้ โดยเฉพาะความเจริญทางวัตถุ ท�าให้ ชวี ติ มนษุ ยม์ กี ารเปน็ อยทู่ สี่ ะดวกสบายขนึ้ มกี ารตดิ ตอ่ สอื่ สารกนั สะดวกงา่ ยขน้ึ เขา้ ถงึ ขอ้ มลู ขา่ วสารได้ อยา่ งรวดเรว็ รบั รทู้ ราบขา่ วไดอ้ ยา่ งทนั ใจ ทา� ใหเ้ กดิ การแพรก่ ระจายทางวฒั นธรรม กลายเปน็ วฒั นธรรม เสพบรโิ ภค หรอื สงั คมบรโิ ภค ในทางกลบั กนั สรา้ งมลพษิ ใหก้ บั ชวี ติ และสงั คมอยา่ งมาก คกุ คามทา� ลาย สังคมและวัฒนธรรม ย่�ายีศีลธรรมและจริยธรรม ท้าทายความอยู่รอดปลอดภัยของมนุษย์และสังคม สรา้ งปญั หากอ่ ความเดอื ดรอ้ นวนุ่ วายสบั สนใหก้ บั คนและสงั คมเปน็ อยา่ งมากเชน่ กนั ทา� ใหค้ นมปี ญั หา สุขภาพกายและจิตใจ ขาดหลักการขาดที่พึ่งไร้หลักการด�าเนินชีวิต ไม่รู้เข้าใจในความจริงความดีและ ความชว่ั ไมร่ จู้ ะปฏบิ ตั ติ นอยา่ งไร กงั วลใจหวน่ั ไหวไมม่ นั่ ใจในชวี ติ และสงั คม ตกอยใู่ นภาวะสบั สนวนุ่ วาย เดือดร้อนแก่งแย่งแข่งขันเห็นแก่ตัวตึงเครียดเป็นทุกข์ คนสมัยใหม่จึงไม่มีความหนักแน่นม่ันคง ในหลักศีลธรรมและจริยธรรม ไม่ค�านึงส�านึกในคุณค่าความหมายสารประโยชน์ของสิ่งทั้งหลาย มงุ่ แสวงหาเสพบรโิ ภควัตถุ ใช้ชวี ติ แบบมกั ง่ายไร้เหตุผลไรจ้ ดุ หมายปลายทาง ปรากฏการณ์ทางเศรษฐกจิ เกิดอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ มีการจัดรูปแบบของการผลิตในสังคมอุตสาหกรรมแบบใหม่ ใช้เครื่องจักรและเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการผลิต เพ่ือตลาดการค้าระหว่างประเทศอย่างเสรี ต้องการ แรงงานเพม่ิ มากขน้ึ โดยการใช้แรงงานท่ีชา� นาญเฉพาะทาง มีการแบง่ หนา้ ทีก่ ันอยา่ งถูกต้องเหมาะสม ใหร้ บั ผดิ ชอบ แบง่ งานตามความรู้ ความสามารถ และความถนดั ผลติ สนิ คา้ ใหไ้ ดม้ ากทส่ี ดุ เทา่ ทจ่ี ะทา� ได้ เกิดการค้าระหว่างประเทศ การค้าระหว่างประเทศมักถูกจ�ากัดด้วยค่าภาษี ธรรมเนียมใน การนา� เขา้ และส่งออกสินคา้ เกิดการคา้ เสรี พยายามท�าการคา้ ซื้อขายบริการระหว่างประเทศโดยเก็บ ค่าภาษีและธรรมเนียมต่�าไม่แพง หรือไม่มีการเก็บค่าภาษีและธรรมเนียม ไม่มีการกีดกันทางการค้า ระหว่างประเทศ ภาครฐั ภาคเอกชน ปจั เจกบคุ คล หรือบริษัท มีสนธสิ ัญญาเปิดประเทศท�าการค้าเสรี กับต่างประเทศ ต่างประเทศมีสิทธิติดต่อซ้ือขายกับภาคเอกชนได้อย่างเสรี ภาครัฐเข้าไปแทรกแซง ทางการคา้ นอ้ ยทสี่ ดุ มสี ทิ ธสิ ง่ สนิ คา้ เขา้ มาขายไดท้ กุ ประเภท มกี ารหมนุ เวยี นเงนิ ทนุ และปจั จยั การผลติ อยา่ งเสรี มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เศรษฐกิจดีข้ึน การเป็นอยู่เป็นไปสะดวกสบายขึ้น ขยายธุรกจิ กิจการต่าง ๆ ท้งั หลาย ท�าใหม้ ีการลงทนุ และเพ่มิ ทนุ มากขึ้น มคี วามตอ้ งการทางเศรษฐกจิ เพิ่มข้ึน ท�าให้คนกระตือรือร้นมากขึ้น มีความขยันขันแข็งทะเยอทะยานท�างานอยู่เสมอ กล้าคิดกล้า เสี่ยงท�าธุรกิจกิจการใหม่ ๆ อย่างต่อเน่ือง เพ่ือบรรลุเป้าหมายสูงสุดทางเศรษฐกิจ คือการได้มา ซึ่งเงินทองใหไ้ ด้มากที่สุด เงินคอื พระเจ้า ในทางตรงกันข้าม เมือ่ อตุ สาหกรรมเศรษฐกิจเจรญิ ก้าวหน้า พฒั นาขนึ้ ความกระหายอยากมากเกินไป มกี ารอพยพเขา้ มาท�างานในธรุ กิจกิจการมากขึน้ เกิดความ

ความคิดสมยั ใหม่ และหลังสมัยใหม่ 59 หนาแนน่ แออดั ทางสงั คมมากขน้ึ เกดิ การตอ่ สแู้ กง่ แยง่ แขง่ ขนั เอารดั เอาเปรยี บฆา่ ทา� ลายกนั เกดิ ความ เสอื่ มโทรมทางสงั คมและศลี ธรรมอนั ดงี ามตามมา สรา้ งปญั หากอ่ ความไมส่ งบใหแ้ กค่ นและสงั คมอยา่ ง ต่อเนื่องเชน่ กัน ปรากฏการณท์ างการเมอื ง นักคิดนักปราชญ์ท้ังหลายต่างวิพากษ์วิจารณ์ศาสนากันอย่างหนัก ศาสนาเป็นยาเสพติด เป็นสิ่งงมงายไร้สาระ ไม่มีเหตุผลไม่น่าเช่ือถือ ขาดประสิทธิภาพไร้ประสิทธิผล มีผลร้ายมากกว่าผลดี ต่อชีวิตทางสังคมการเมือง เพื่อลดอิทธิพลบทบาทศาสนาท่ีมีต่อระบบการศึกษา สังคม เศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม โดยพยายามที่จะช้ีไปท่ีความจริงมีเหตุผลส่ิงสากล อันสนับสนุนส่งเสริมใน เรอื่ งความเปน็ มนษุ ย์ ความรู้และคุณธรรมของมนษุ ย์ ความเสมอภาค กระจายอา� นาจ การมีส่วนร่วม ทางการเมอื ง เปน็ การสรา้ งการเมอื งการปกครองใหมแ่ บบ “ประชาธปิ ไตย (Democracy)” เปน็ รปู แบบ การปกครองที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครอง ใช้อ�านาจประชาธิปไตยผ่านผู้แทนของตน ผู้แทน หรอื รฐั บาลในรปู ของคณะบคุ คลทมี่ อี า� นาจ ตอ้ งปฏบิ ตั หิ นา้ ทรี่ บั ผดิ ชอบในการดา� เนนิ การของรฐั ทา� ให้ ประชาชนสา� นกึ รสู้ กึ คณุ คา่ ความหมายของประชาธปิ ไตย เกดิ ความเสรภี าพ เสมอภาค และภราดรภาพ เคารพยอมรบั ยดึ ถอื ปฏบิ ตั เิ ปน็ วฒั นธรรม ขนึ้ มาแทนการปกครองแบบราชาธปิ ไตย ซงึ่ พระมหากษตั รยิ ์ มีอ�านาจสงู สดุ เด็ดขาดในการปกครองบรหิ ารประเทศ การปกครองระบอบ “ประชาธิปไตย” ถอื ได้วา่ เป็นความทนั สมยั ในสังคมโลกปัจจบุ ัน อันมอี า� นาจอทิ ธิพลแพรก่ ระจายไปทวั่ ทกุ มมุ ของโลก ปรากฏการณท์ างวัฒนธรรม ในเร่ืองความเช่ือและการปฏิบัติ พยายามเห็นความส�าคัญความเป็นมนุษย์ ศักยภาพมนุษย์ ศึกษาพัฒนาเปล่ียนแปลงคุณภาพชีวิต พยายามรู้เข้าใจความเป็นมนุษย์ สติปัญญา ความสามารถ ความดีมคี ณุ ธรรม และการกระท�าของมนุษย์ ดีชัว่ อยทู่ ่กี ารกระท�าของมนุษย์ สงู หรือต�่าอยทู่ ก่ี ารท�าตัว ของมนุษย์ ขึ้นอยกู่ ับการกระท�าตามเหตปุ จั จัย ไมข่ ึ้นอยกู่ บั เทพเจ้าผมู้ ีอา� นาจดลบันดาล เกิดความเช่ือ มั่นในตัวเอง เชื่อมั่นในการกระท�าของตนเอง สามารถพึ่งตนเองได้ ทุกส่ิงทุกอย่างเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ ท่ีมนุษย์ มนุษย์เป็นผู้สร้างผู้ก�าหนดและผู้แสดง เพ่ือการเป็นอยู่ท่ีดีมีเหตุผลพอเพียงของเขาเอง ทา่ มกลางการเปลยี่ นแปลงผนั ผวนของสังคมโลกอย่างต่อเน่อื ง พยายามรู้เข้าใจตนเองและสังคมสิ่งแวดล้อมให้ได้มากที่สุด เป็นการเน้นในเร่ืองปัญญาความ สามารถการกระท�าอย่างฉลาดอดทนของตนเอง ไม่ให้เช่ือถือและปฏิบัติอะไรอย่างงมงายไร้เหตุผล ขอจงด�าเนินชีวิตบนพื้นฐานของความจริงดีงามถูกต้องมีเหตุผล ท่ีส�าคัญอย่าประมาทมัวเมาหลงใหล ในชีวิต รู้เข้าใจแล้วก็เร่งท�าเร่งศึกษาพัฒนา มนุษย์จ�าต้องศึกษาเรียนรู้พัฒนาตนเอง ศึกษาเรียนรู้ หาประสบการณ์ เกดิ ความเชอื่ ทศั นคติ คา่ นยิ ม และการประพฤตปิ ฏบิ ตั อิ ยา่ งถกู ตอ้ งมเี หตผุ ลเพยี งพอ

60 สังคมวิทยาเบอื้ งต้น จนกระท่ังสามารถคิดเปน็ ท�าถกู เปน็ คนดีมีคุณธรรม เปน็ สมาชิกทดี่ ขี องสงั คม สามารถด�าเนนิ ชีวิตใน สังคมอยา่ งมคี วามปกติสุขปราศจากทุกข์ปัญหา จากเส้นทางประวัติศาสตร์ความคิดทางสังคมการเมืองอันยาวนาน แม้พยายามแสวงความรู้ จริงอย่างต่อเน่ือง ความรู้เข้าใจตนเองสังคมการเมืองอยู่เสมอ ก็ยังไม่สามารถตอบปัญหาน้ีได้อย่าง แท้จริง แม้แนวคิดทฤษฎีใหม่ได้แพร่กระจายไปท่ัวทุกมุมของโลก ผสมผสานหล่อหลอมแนวคิด ความเชื่อค่านิยมและการปฏิบัติของคนในสังคมทั้งหลาย ก็ยังหาข้อยุติสรุปไม่ได้ เพราะระดับจิต สติปัญญา และประสบการณข์ องมนุษย์ท่ีแตกตา่ งกัน จงึ มแี นวความคดิ และการปฏบิ ัติท่ีต่างกนั มีการ ศึกษา ศาสนา สังคม และวัฒนธรรมที่แตกต่างกันออกไป เพราะการเปล่ียนแปลงพัฒนาก้าวหน้า การติดต่อส่ือสารสมัยใหม่ การขับเคล่ือนทางสังคม จึงเกิดการเรียนรู้เรียนแบบเอาอย่างทางสังคม กลายเป็นสงั คมและวัฒนธรรมประหนง่ึ วา่ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกนั ความจริง ความคดิ ความเชอื่ ท่ีแตก ต่างกันในเร่ืองศาสนานั้นยังไม่สามารถรวมกันได้ ยังปรากฏแตกต่างทางแนวคิดและปฏิบัติตามความ เชื่อและประสบการณ์ของตนอยู่ท่ัวโลก เร่ืองของศาสนากับชีวิตจิตใจในแต่ละสังคมเป็นเร่ืองละเอียด อ่อนไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เป็นเรื่องของพลังศรัทธามาก่อนปัญญาเหตุผล ยังคงมีอิทธิพล บทบาทต่อกันและกันอยู่เสมอ ในโลกสังคมตะวันตก แนวคิดและการปฏิบัติของศาสนาคริสต์ยังแพร่ กระจายครอบคลมุ ไปทว่ั ยงั เปน็ ทย่ี อมรบั นบั ถอื ของผคู้ นเปน็ จา� นวนมากในปจั จบุ นั ทงั้ ทสี่ งั คมโลกเจรญิ ถึงจุดสูงสุดแล้ว ศาสนาเป็นเร่ืองของชีวิตจิตใจ ส่วนวิทยาศาสตร์เป็นเร่ืองของวัตถุ ศาสนากับ วิทยาศาสตร์จึงเป็นการท้าทายกันระหว่างพลังศรัทธาและปัญญาเหตุผล แต่ก็ยอมรับกันโดยท่ัวไปว่า แนวคิดทฤษฎีและการปฏิบัติทางสังคมและวัฒนธรรมของสังคมตะวันตกถือได้ว่าเป็นแม่แบบส�าคัญ ของสงั คมและวัฒนธรรมของโลก ส่งผลกระทบต่อการเปล่ยี นแปลงพฒั นาของสงั คมโลกอยา่ งต่อเนื่อง ไม่หยดุ ย้ัง จะเปน็ ชาวพทุ ธ ครสิ ต์ หรอื อสิ ลาม นบั ถือพระเจ้าหรอื ความจริงมเี หตผุ ล ความจรงิ สูงสดุ คอื พระเจ้า ความจริงสูงสุดคือธรรมชาติที่เกิดข้ึนเพราะเหตุปัจจัย สิ่งส�าคัญที่สุด ก็คือรู้เข้าใจส่ิงทั้งหลาย แล้วปฏิบัติให้ถูกต้องเหมาะสมกับความจริงของส่ิงท้ังหลายเหล่านั้น น้ันคือวัฒนธรรมอันดีงามของ มนษุ ยโ์ ลก ความดงี ามเปน็ เรอื่ งของความจรงิ คอื สจั ธรรม เปน็ เรอื่ งของการปฏบิ ตั ไิ ดผ้ ลจรงิ คอื จรยิ ธรรม และเป็นเรื่องความเจรญิ รงุ่ เร่อื งก้าวหน้าของชีวิตจริง คอื วัฒนธรรม วฒั นธรรมทวี่ ่าใหมท่ ันสมยั ก่อนที่ จะเลียนแบบเอาอย่างเดินตามเขา ควรศึกษาเรียนรู้ให้เท่าทันตามความเป็นจริง รู้เข้าใจเนื้อหาสาระ ความหมายประโยชน์ มีเหตุผลถูกต้องดีงาม เหมาะสมกับกาลเทศะตนเองและสังคม เป็นที่ยอมรับ ตอ้ งการของสงั คม คอ่ ยยดึ ถอื ปฏบิ ตั ติ าม จงึ จะเปน็ การปฏบิ ตั สิ รา้ งสรรคส์ ง่ เสรมิ สบื สานวฒั นธรรมอยา่ ง แท้จรงิ

ความคิดสมยั ใหม่ และหลังสมัยใหม่ 61 ความคดิ หลังสมัยใหม่ (Postmodernism) * จากการศึกษาวิเคราะห์สังคมและวัฒนธรรมตะวันตก พอจะได้ภาพปรากฏการณ์ธรรมชาติ ทั่วไปว่า สังคมโลกตะวันตกเป็นสังคมที่เจริญพัฒนาถึงจุดสูงสุด พร่ังพร้อมสมบูรณ์ไปด้วยวัตถุ เทคโนโลยี และวิทยาศาสตร์ เป็นสังคมท่ีผ่านพ้นความเจริญสูงสุดหรือผ่านเลยสังคมอุตสาหกรรมไป แลว้ (Postmodern society or postindustrial society) ผคู้ นในยคุ นห้ี นกั ไปในการเสพบรโิ ภคใชส้ อย ทเ่ี รยี กกนั วา่ สงั คมบรโิ ภค (Consumer society) ภมู หิ ลงั ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรม เปน็ สงั คมทเี่ กยี่ วขอ้ ง สมั พนั ธก์ บั พระเจา้ เชอ่ื เคารพศรทั ธาในเรอื่ งเทพเจา้ ในสากลโลกน้ี มพี ระเจา้ ผยู้ ง่ิ ใหญพ่ ระองคห์ นงึ่ ทรง พลานภุ าพสงู สดุ เหนอื สงิ่ อนื่ ใด ทรงสรา้ งสรรคส์ รรพสงิ่ ทกุ อยา่ ง ทรงกา� หนดลขิ ติ บนั ดาลทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ ง ตามอา� นาจของตน ทรงเอาพระทยั ใสใ่ จดูแลทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ งให้ดา� เนนิ ไปด้วยดี สรา้ งมนษุ ยข์ น้ึ มาก็เพ่อื ใหร้ จู้ กั กบั พระองคท์ า่ น มนษุ ยม์ หี นา้ ทต่ี อ้ งปฏบิ ตั ติ ามหลกั คา� สง่ั สอนของพระองคท์ า่ น เพอ่ื ใหพ้ ระองค์ ท่านโปรดปราน ตายไปแล้วไปอยู่กับพระองค์ท่านในสวรรค์ตลอดกาล ผู้ที่ไม่เคารพศรัทธาย�าเกรงใน พระผเู้ ปน็ เจา้ ตายไปแลว้ ดวงวญิ ญาณของเขากจ็ ะไปอยใู่ นนรกตลอดกาลเชน่ กนั แนวคดิ และการปฏบิ ตั ิ ในลักษณะนยี้ ังมอี ทิ ธิพลบทบาทแพรก่ ระจายครอบคลมุ ไปท่วั สงั คม แม้วา่ สังคมตะวันตกเจรญิ พัฒนา ถึงจุดสงู สุด พร่งั พร้อมสมบูรณ์ไปดว้ ยวัตถุ แทนที่จะสุขสมหวังกับความพรงั่ พรอ้ มสมบรู ณ์นัน้ แต่กลับ ผิดหวังหาคุณค่าความหมายของชีวิตไม่ได้เหมือนเดิม กลับสร้างปัญหาก่อความเดือดร้อนให้กับสังคม มากกวา่ เดมิ เพราะขาดแคลนแรน้ แคน้ วฒั นธรรมทางจติ เกดิ วกิ ฤตการณท์ างวฒั นธรรมทางจติ อยเู่ สมอ สบั สนสงสยั ไมร่ เู้ ขา้ ใจความจรงิ ชวี ติ และหลกั การดา� เนนิ ชวี ติ พยายามสนใจใฝร่ ใู้ นเรอื่ งความเปน็ มนษุ ย์ คณุ ภาพมนษุ ย์ และลกั ษณะมนษุ ย์ (General sense of humanity, human qualities and identities) ไม่หยุดยั้งแม้แต่ในปัจจุบัน แม้วิทยาการตะวันตกเป็นแม่แบบแพร่กระจายไปทุกวงวิชาการท่ัวโลก ความจรงิ ความรทู้ เี่ จรญิ ถงึ จดุ สงู สดุ แบบตะวนั ตกกย็ งั ไมส่ ามารถตอบปญั หาชวี ติ ทางสงั คมการเมอื งได้ จึงส�าคัญจ�าเป็นต้องกลับมาคิดทบทวนกระบวนการความคิดและองค์ความรู้ต่าง ๆ ท้ังหลายกันใหม่ บนพน้ื ฐานความจรงิ สมยั ใหม่ทนั สมัย ในคริสต์ศตวรรษท่ี ๒๐ (ปรากฏแพร่หลายชดั เจน ๑๙๗๐s) ในสังคมโลกตะวันตก เพื่อความ เจรญิ ถกู ตอ้ งดงี ามของชวี ติ และสงั คม เกดิ มกี ระบวนการเปลยี่ นแปลงพฒั นาแนวคดิ ทางสงั คมการเมอื ง เป็นการตีความอธิบายการเปล่ียนแปลงพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมอีกคร้ังหนึ่ง * Postmodernism or postmodernity refers to certain twentieth century movement within the fields of philosophy political theory, literacy criticism, architecture, art other areas. Postmodernism challeges all modern orthpdoxies concerning styles, belies and sensibilities. In their places, it offers electic and unorthodox ideas and styles that question or subvert the received ideas of Western Europe civilization as a whole(Magill, 1995:1078)

62 สงั คมวทิ ยาเบ้อื งตน้ ตามปรากฏการณ์ธรรมชาติท่ีเกิดข้ึน อันน�าไปสู่การแตกท�าลายหรือมาแทนความคิดสมัยใหม่ (Modernism) ท�าใหเ้ กดิ ความแตกตา่ งระหว่างสมยั ใหมท่ นั สมัยและหลงั สมัยใหม่ เพราะพวกเขาไม่มี ความเชื่อม่ันในวิทยาการความรู้ที่มีอยู่ ความเจริญทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียังไม่สามารถช่วย แกป้ ญั หาชวี ติ ทางสงั คมไดอ้ ยา่ งแทจ้ รงิ จงึ เกดิ แนวความคดิ ทางสงั คมตามภาพทปี่ รากฏจรงิ อกี ครงั้ หนงึ่ ที่เรียกว่า ความคิดหลังสมัยใหม่ทันสมัย (Postmodernism) อันหมายถึง กระบวนการเปล่ียนแปลง สถาปตั ยกรรม ศลิ ปะ วทิ ยาการทง้ั หลาย ความคดิ ทฤษฎที างสงั คม เศรษฐกจิ การเมอื ง และวฒั นธรรม ความเชื่อและการปฏิบัติ รูปแบบชีวิต หลักการด�าเนินชีวิต และเรื่องอื่น ๆ ท้ังหลาย ที่เก่ียวกับ การเปลยี่ นแปลงพฒั นาสังคมโลกอยา่ งตอ่ เนือ่ งท้งั หมด เป็นท่ีทราบกันอยู่แล้ว สังคมโลกปัจจุบันเจริญพัฒนาด้านวัตถุถึงจุดสูงสุด ติดต่อส่ือสารกัน อย่างสะดวกรวดเร็วทางอินเตอร์เน็ต เห็นทั้งภาพและได้ยินท้ังเสียง ต้องการอะไรก็กดปุ่มเอาตามใจ ปรารถนา จะไปไหนมาไหน จะทา� งานหรอื เรยี นอะไร จะตดิ ตอ่ อะไร จะฝากเงนิ ถอนเงนิ จะซกั ผา้ รดี ผา้ จะกินจะด่ืมอะไรก็กดปุ่มเอา เป็นยุคดิจิตอล และกดปุ่ม (Digital and push button age) สะดวก สบายพร่ังพรอ้ มไปทุกอย่าง แทนทจี่ ะมคี วามสุขแต่กลบั ทกุ ข์เปน็ ปญั หา แทนทจ่ี ะรเู้ ขา้ ใจปญั หาที่มีอยู่ แต่กลับตอบไม่ได้ ปัญหาท่ีมีอยู่กลับทวีความรุนแรงหนักเข้าไปอีก ท�าให้เขาผิดหวังมาก พยายามหา ทางแก้ไขปรับปรงุ เปลีย่ นแปลง พยายามคิดกันใหมค่ รั้งแลว้ ครั้งเลา่ ตอ่ เนื่อง ในโลกแห่งความเปน็ จริง มีหลายสิง่ หลายอย่างท่มี นุษย์ยงั ไมร่ ู้เขา้ ใจอย่างชัดเจน เกิดขนึ้ มีผล กระทบต่อชีวิตมนุษย์อย่างต่อเน่ือง ท�าให้เกิดความแตกต่างระหว่างของเก่ากับใหม่ไม่หยุดย้ัง ชักจูง น�าพาส่ิงท่ีมีอยู่ไปสู่ความจริงขั้นต่อไป มนุษย์ก็พยายามที่จะตามรู้ความจริงส่ิงท้ังหลายเหล่านั้น เพราะเหน็ ว่าสิ่งทงั้ หลายท่ีมอี ยูใ่ นปัจจุบนั ไม่ดีไม่ถูกตอ้ งและไมม่ ีผลในการปฏบิ ัติ เป็นการศึกษาเรียนรู้ ปรากฏการณ์ธรรมชาติ เป็นเรื่องความเช่ือและการปฏิบัติคุณค่าและรูปแบบพฤติกรรมที่เกิดข้ึน ตามวิวัฒนาการสังคมโลก อันแสดงให้เห็นว่า วิทยาการความรู้บางอย่างที่มีอยู่ยังไม่เป็นความจริง ถูกต้อง จึงจ�าเป็นต้องพยายามแสวงหาความจริงกันต่อไป ในศตวรรษท่ี ๒๑ (คือเริ่มตั้งแต่ ๒๐๐๑) นกั คดิ ทางสงั คมการเมอื งทงั้ หลายจงึ พากนั คดิ และเกง็ กระบวนการเปลยี่ นแปลงพฒั นาสงั คมโลกจะเปน็ ไปในทิศทางใด จะเกดิ ปรากฎการณ์ทางสงั คมการเมืองอย่างไรกันต่อไป จากภาพปรากฏการณ์เบื้องต้น ความคิดทฤษฎีต่าง ๆ ทั้งหลายได้มีอิทธิพลบทบาทต่อ สงั คมวทิ ยาอยา่ งตอ่ เนอื่ ง ทา� ใหเ้ กดิ กระบวนการเปลย่ี นแปลงพฒั นาในรปู แบบตา่ ง ๆ ในสงั คมการเมอื ง เป็นสิ่งส�าคัญจ�าเป็นต้องมีการวิเคราะห์ตรวจสอบอธิบายคิดใหม่ท�าใหม่กับปรากฏการณ์เปลี่ยนแปลง อยเู่ สมอ กอ่ ใหเ้ กดิ แนวคดิ และทฤษฎใี หมท่ ส่ี อดคลอ้ งสมั พนั ธก์ บั การการเปลยี่ นแปลงพฒั นาสงั คมโลก ปัจจุบัน น่ีแหละคือ ความคิด ทฤษฎี วิวัฒนาการทางความคิดสังคมการเมืองแบบตะวันตก ไม่ทราบ วา่ ท่านมีความคดิ รเู้ ห็นเปน็ อย่างไร

บทที่ ๔ การขดั เกลาทางสังคม ความจรงิ ทั่วไป มนษุ ย์ทัง้ หลายเกดิ ขึน้ มายังไม่รอู้ ะไรเป็นอะไร ด-ี ชวั่ ถกู -ผดิ ควร-ไม่ควร ไม่รู้ จะปฏิบัติต่อสิ่งแวดล้อมรอบข้างท้ังหลายอย่างไร แม้แต่ตัวเองก็ไม่รู้จัก ต้องค่อย ๆ ศึกษาเรียนรู้หา ประสบการณ์ จากสงิ่ แวดลอ้ มทางสงั คม เชน่ จากพอ่ แม่ ครอู าจารย์ เพอื่ น และจากสอื่ ตา่ ง ๆ ทงั้ หลาย เกิดมามีชีวิตเป็นอยู่ในสังคม เม่ือเกิดมามีชีวิตอยู่รอดปลอดภัย จะขัดเกลาอบรมส่ังสอนกันอย่างไร จะด�ารงชวี ิตเปน็ ไปอยา่ งไร หรือใช้ชีวิตในสงั คมอยา่ งไร จงึ จะไม่มีปัญหาชีวิตทางสงั คม พบแต่ความดี งามประเสริฐ กลา่ วโดยท่วั ไป มนุษย์เกดิ มาจา� เปน็ ต้องศึกษาเรยี นร้ฝู ึกฝนอบรมพฒั นาตนเองอยา่ งต่อเนือ่ ง หรอื มกี ารขดั เกลาเรยี นรทู้ างสงั คม (Socialization) เพราะมนษุ ยจ์ า� ตอ้ งตดิ ตอ่ เกยี่ วขอ้ งสมั พนั ธก์ บั คน สังคมการเมือง จ�าต้องเรียนรู้สังคมและวัฒนธรรม เพื่อให้รู้เข้าใจตัวเองและสังคม เพ่ือให้เกิดการ ประพฤตปิ ฏบิ ตั ทิ เ่ี หมาะสม เพอื่ ชวี ติ ทถ่ี กู ตอ้ งประเสรฐิ เพอ่ื ชวี ติ ทดี่ งี ามสมบรู ณแ์ บบ เพอื่ เปน็ คนดหี รอื สมาชิกท่ีดีของสังคม การสร้างสรรค์พัฒนาแบบลักษณะหรือความเป็นมนุษย์ ต้องอาศัยการขัดเกลา ทางสังคม ซึมซับรับเอาความคิด ความเช่ือ ทัศนคติ ค่านิยม กฎเกณฑ์ ระเบียบแบบแผน และการ ปฏิบตั ิ ตามที่สงั คมคาดหวงั และยอมรบั ต้องการ จึงเกดิ แนวคดิ และการปฏิบตั ขิ ดั เกลาในแงม่ ุมต่าง ๆ ทงั้ หลาย พอ่ แมผ่ มู้ คี วามรบั ผดิ ชอบตอ่ ชวี ติ ทางสงั คมและอนาคตของบตุ ร ตา่ งพยายามสดุ ความสามารถ ในการขัดเกลาเรยี นรหู้ รือการสร้างสรรคพ์ ัฒนาความเป็นมนษุ ยห์ รือลกั ษณะมนุษย์ใหส้ มบูรณแ์ บบ ในปจั จบุ นั เรากา� ลงั เผชญิ ปญั หาการขดั เกลา ไมร่ จู้ กั หลกั วธิ ใี นการขดั เกลา ไมร่ จู้ ะเรม่ิ ตรงไหน ดว้ ยอะไร ไมส่ ามารถขดั เกลาอบรมสง่ั สอนไดด้ ี พอ่ แมบ่ างคนถงึ กบั ไมส่ นใจบตุ รปลอ่ ยไปตามยถากรรม กลายเป็นภาระและปัญหาของคนอ่ืนหรือสังคมต่อไป เพราะไม่รู้ไม่เข้าใจกระบวนการขัดเกลาหรือ กระบวนการเรียนรู้สร้างพัฒนามนุษย์ให้มีคุณภาพชีวิต มุ่งสร้างถาวรวัตถุมากกว่าสร้างพัฒนาคนให้มี คุณภาพคุณค่าความหมายและเป็นสมาชิกท่ีดีของสังคม ได้พยายามสร้างพัฒนาถาวรวัตถุอย่างเดียว ในที่สุดก็มาพบทางตันและผิดหวังต่อความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าทางวัตถุท้ังฝ่ายตะวันตกและออก เพราะไมส่ ามารถตอบสนองความตอ้ งการของชวี ติ และสงั คมไดอ้ ยา่ งแทจ้ รงิ จงึ หนั มามองมาคดิ ใหมว่ า่ จะทา� กันอยา่ งไร จะขัดเกลาสร้างพฒั นาคนอย่างไร ใหเ้ ขาสามารถเรียนรู้ คิดเปน็ ทา� ถูก และตง้ั อยใู่ น ความดีมีคุณธรรมศีลธรรมจริยธรรม อันเป็นเรื่องของชีวิตสัจธรรมและจริยธรรม ที่สามารถท�าปฏิบัติ ได้จริง ท่ามกลางการเปล่ียนแปลงของสังคมและวัฒนธรรม อันเป็นรากฐานส�าคัญในการสร้างพัฒนา สังคมประเทศชาตใิ ห้เจรญิ ร่งุ เรืองก้าวหน้าตอ่ ไป

64 สงั คมวทิ ยาเบื้องตน้ อะไรคือการขดั เกลาทางสงั คม การขัดเกลาทางสังคมเป็นกระบวนการเรียนรู้อย่างต่อเน่ือง ท่ีแต่ละคนต้องรู้เข้าใจคุ้นเคย ขนบธรรมเนยี มประเพณขี องกลมุ่ คน และก็ยอมรบั ทัศนคติและรูปแบบพฤติกรรมของกลมุ่ การท่ีเดก็ ทง้ั หลายศกึ ษาเรยี นรบู้ ทบาทตา่ ง ๆ ทงั้ หลายของวฒั นธรรมและระบบความเชอ่ื คา่ นยิ ม และบรรทดั ฐาน ท่ีใช้รว่ มกัน ก็เพอ่ื เปน็ สมาชกิ ทเี่ จรญิ เตบิ โตเป็นผใู้ หญท่ ี่ดขี องสงั คม ก็เพราะการขดั เกลาทางสงั คม “Socialization is the continuing process through which an individual becomes acquainted with the social customs of a group of people and accepts the group’s at- titudes and behavior patterns. It is through socialization that children learn to partici- pate in the various roles of their culture and subculture so that they can become full-fledged members of their society as adults (Magill, et al., ๑๙๙๕: ๑๒๙๒)” การขัดเกลาทางสังคมเป็นกระบวนการท่ีวัฒนธรรมของสังคมถูกถ่ายทอดไปยังเด็กทั้งหลาย และเปน็ การจดั แจงเปลยี่ นแปลงแกไ้ ขพฤตกิ รรมของเดก็ แตล่ ะคน ใหส้ อดคลอ้ งสมั พนั ธก์ บั ความตอ้ งการ ของชีวิตทางสังคม ในความหมายนี้ การขัดเกลาทางสังคมเป็นปัจจัยส�าคัญจ�าเป็นกว่าสิ่งใดในสังคม สา� คญั จา� เปน็ ตอ่ ชวี ติ ทางสงั คมและการสรา้ งสรรคพ์ ฒั นาวฒั นธรรมและสงั คมอนั เปน็ รปู แบบทวั่ ไปและ เฉพาะทางสังคม “Socialization is the process in which the “culture” of a society is transmitted to children and the modification from infancy of an individual’s behavior to conform to the demands of social life. In this sense, socialization is a “functional prerequisite” for any society, essential to any social life as well as to the cultural and “social repro- duction” of both general and particular social forms (Jary and Jary, ๒๐๐๐: ๕๖๘)” การขัดเกลาทางสังคมหมายถึงกระบวนกระท�าระหว่างกัน ที่แต่ละคนได้ศึกษาเรียนรู้ บรรทดั ฐาน คา่ นยิ ม ความเชอ่ื ทศั นคติ และลกั ษณะทางภาษาของกลมุ่ คน ในวธิ กี ารศกึ ษาเรยี นรปู้ จั จยั พื้นฐานทางวัฒนธรรมท้ังหลายเหล่าน้ี ตัวตนและบุคลิกลักษณะของแต่ละคนจะถูกก�าหนดสร้างข้ึน ดงั นน้ั การขดั เกลาทางสงั คมไดก้ ลา่ วถงึ ปญั หาสา� คญั ในชวี ติ ทางสงั คม ๒ ประเดน็ คอื การสบื ตอ่ ถา่ ยทอด ทางสังคมจากรุ่นสู่รุ่น และการพัฒนามนษุ ย์ “The term “socialization” refers to the process of interaction through which an individual acquires the norms, values, beliefs, attitudes and language characteristic of his or her group. In the course of acquiring these cultural elements, the individual self and personality are created and shaped. Socialization, therefore, addresses two

การขัดเกลาทางสังคม 65 important problems in social life: societal continuity from one generation to the next and human development (Borgatta, et al., ๒๐๐๐: ๒๘๕๕)” แม้มีค�านิยามความหมายมากมาย จากที่ปรากฏเบ้ืองบนนี้ จึงพอสรุปได้ว่า การขัดเกลาเป็น กระบวนการศกึ ษาเรยี นรสู้ งั คมและวฒั นธรรมอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ใหร้ เู้ ขา้ ใจความจรงิ มเี หตผุ ลถกู ตอ้ ง ยอมรบั ยดึ ถอื เปน็ หลกั ในการดา� เนนิ ชวี ติ ทางสงั คม ฝกึ ฝนอบรมพฒั นาตนเองอยา่ งตอ่ เนอื่ ง ใหเ้ กดิ ความเคยชนิ มรี ะเบยี บวนิ ยั เปน็ การจดั ระเบยี บชวี ติ ทางสงั คม ใหเ้ กดิ ทกั ษะความชา� นาญ เกดิ คณุ ภาพชวี ติ และจติ ใจ กอ่ เกิดลกั ษณะหรอื ความเปน็ มนุษยท์ ่ีสมบรู ณ์แบบ เกิดการประพฤตปิ ฏบิ ตั ทิ ่ถี ูกตอ้ งเหมาะสม ตามท่ี สังคมคาดหวังก�าหนดยอมรับและต้องการ สามารถอยู่ร่วมสัมพันธ์กับคนอ่ืนอย่างมีความสุขราบร่ืน ไร้ปญั หา เกิดการด�าเนินชวี ติ ที่ถูกตอ้ งดีงามประเสรฐิ เป็นคนดีหรอื สมาชิกท่ดี ขี องสงั คม ตลอดถงึ เปน็ แบบอย่างท่ีดีของสงั คมสบื ต่อไป ลกั ษณะการขัดเกลาทางสังคม การขดั เกลาเปน็ กระบวนการศกึ ษาเรยี นรตู้ ลอดชวี ติ เปน็ กระบวนการทซี่ บั ซอ้ น และมลี กั ษณะ ทห่ี ลากหลาย แตก่ ม็ เี ปา้ หมายเดยี วกนั คอื เปลย่ี นแปลงสรา้ งพฒั นาลกั ษณะมนษุ ยไ์ ปสคู่ วามสมบรู ณแ์ บบ ส�าหรับนักมานษุ ยวทิ ยา มองเห็นกระบวนการขดั เกลาทางสงั คม (Socialization process) เปน็ การ เรยี นรถู้ า่ ยทอดสบื ตอ่ ทางวฒั นธรรมจากรนุ่ สรู่ นุ่ (Cultural transmission from one generation to the next) และยงั นยิ มใชค้ า� วา่ การขดั เกลาทางวฒั นธรรมแทนการขดั เกลาทางสงั คม (Enculturation for socialization) อนั เปน็ ผลมาจากการศกึ ษาวฒั นธรรมและบคุ ลกิ ภาพ (Culture and personality) โดยการศึกษาของ Mead (๑๙๒๘), Benedict (๑๙๓๔) และ Malinowski (๑๙๒๗) ที่เน้นสนใจใน การปฏิบัติทางวัฒนธรรม อันมีผลต่อการเล้ียงดูเด็ก การถ่ายทอดคุณค่าความหมายวัฒนธรรม และการพัฒนาบุคลิกภาพ ช่วยในการสร้างก�าหนดลักษณะมานุษยวิทยาต่อการขัดเกลาทางสังคม การศึกษาเรื่องวัฒนธรรมและบุคลิกภาพส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลมากจากแนวคิดทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Psychoanalytic theory) มากกวา่ แนวคดิ ทฤษฎกี ารสรา้ งความจรงิ ทางสงั คม เชน่ การตดิ ตอ่ สัมพันธ์ เชงิ สญั ลกั ษณเ์ ครอ่ื งหมาย มกี ารทา� ความเคารพกราบไหว้ เปน็ ตน้ (Social constructionist theories such as symbolic interactionism) ดังน้ัน กระบวนการขัดเกลาจึงเป็นกระบวนการศึกษาเรียนรู้ วัฒนธรรมแบบองค์รวม มุ่งให้เกิดความรู้เข้าใจวิถีชีวิตของสังคมท้ังหมด ไม่ว่าจะเป็นการคิด พูด ท�า ความเชื่อ การปฏิบัติ การกิน การอยู่ การแต่งกาย การแสดงกิริยาอาการต่าง ๆ ท้ังหลาย รูปแบบ พฤติกรรมท้ังหมดเหลา่ นเ้ี ป็นผลมาจากการขดั เกลาทางวัฒนธรรม (Enculturation) ตามทศั นะของนกั จติ วทิ ยา กระบวนการขดั เกลาไมใ่ ชเ่ รอื่ งของการเรยี นรถู้ า่ ยทอดสบื ตอ่ ทาง วฒั นธรรม แตเ่ ปน็ เรอ่ื งของการพฒั นาบคุ คลดา้ นจติ เปน็ สา� คญั (Goslin, ๑๙๖๙) การขดั เกลาเปน็ เรอื่ ง

66 สังคมวิทยาเบ้ืองต้น การพฒั นาจติ หรอื กระบวนการคดิ (Cognitive development by Piaget, ๑๙๒๖) ทป่ี ระกอบไปดว้ ย ความจรงิ หลายสงิ่ หลายอยา่ งเกดิ ขนึ้ เปน็ การพฒั นาจติ แบบองคร์ วมระหวา่ งอทิ ธพิ ลทางสงั คมและการ เลีย้ งดูใหเ้ จริญเตบิ โตดีสมบรู ณ์แบบ (Combination of social influence and maturation) ใหม้ ี คุณภาพจิตหรือกระบวนการคิดที่ดีมีเหตุผล อันมีผลต่อรูปแบบพฤติกรรม (Patterns of behavior) เปน็ การถอื กระบวนการพัฒนาจติ เปน็ ปัจจัยส�าคญั ในการขดั เกลาเรยี นรูท้ างสังคม ตอ้ งจัดการขดั เกลา จิตอย่างจริงจงั ตัง้ แตเ่ ยาวว์ ยั ถือจิตหรือกระบวนการคิดสา� คญั กวา่ กาย เป็นตวั แกนสา� คัญในการแสดง พฤตกิ รรมทงั้ หลาย เช่นเดียวกับหลักการทางพระพุทธศาสนา นกั สงั คมวิทยา มองเห็นกระบวนการขดั เกลาทางสังคมเป็น ๒ ลักษณะ คือ ๑. เปน็ การเรียน รบู้ ทบาททางสงั คม (Learning of social or gender roles) เรยี นรกู้ ารแสดงพฤตกิ รรมตามสทิ ธหิ นา้ ท่ี และสถานภาพทางสังคม (Social rights, duties and statuses) เช่น สถานภาพหรือตา� แหนง่ ของคน ผู้เป็นพ่อ จะต้องแสดงบทบาทต่อบุตรอย่าไร และบุตรจะต้องแสดงพฤติกรรมต่อมารดาบิดาอย่างไร คนผเู้ ปน็ ครจู ะแสดงพฤตกิ รรมตอ่ นกั เรยี นอยา่ งไร และนกั เรยี นจะแสดงบทบาททางสงั คมตอ่ ครอู าจารย์ อย่างไร มนุษย์แต่ละคนจะต้องศึกษาเรียนรู้บทบาทหน้าท่ีทางสังคมตามความเหมาะสมกับฐานะ ตา� แหน่ง อายุ เพศ และวยั เพราะมนษุ ยแ์ ต่ละคนอาจมบี ทบาทหน้าที่ทางสังคมทีห่ ลากหลาย รู้เข้าใจ อยา่ งถกู ตอ้ งเกดิ การยอมรบั นา� มาประพฤตปิ ฏบิ ตั ใิ หส้ อดคลอ้ งสมั พนั ธก์ นั ทางสงั คม เพอ่ื ความสมั พนั ธ์ เอกภาพทด่ี งี ามทางสงั คม ๒. เปน็ การสรา้ งตวั ตนหรอื แบบลกั ษณะมนษุ ย์ (Self or identity formation) เป็นการสร้างลักษณะมนุษย์ให้สมบูรณ์แบบ เป็นกระบวนการสร้างจิตให้สัมพันธ์กับพฤติกรรมบุคคล โดยบุคคล เป็นการสร้างก�าหนดข้ึนโดยการเรียนรู้ประสบการณ์ภายนอกและสิ่งแวดล้อมทางสังคม รเู้ ขา้ ใจตวั เองหรอื ลกั ษณะมนษุ ยว์ า่ เปน็ หญงิ หรอื ชายในรปู แบบพฤตกิ รรม อารมณ์ ความรสู้ กึ ความชอบ ทศั นคติ ความเชอื่ และการปฏบิ ตั ิ โดยการเรยี นรคู้ วามจรงิ สงั คมและวฒั นธรรม อนั เปน็ ปจั จยั ภายนอก สา� คญั ในการสรา้ งตนหรือลกั ษณะความเปน็ มนษุ ย์ (Self or identity construction) เปน็ การศกึ ษา เรยี นร้แู ลว้ พัฒนาตนเองไปสคู่ วามสมบรู ณ์แบบอย่างตอ่ เนอื่ ง วยั เด็ก (ประมาณ ๒-๔-๕ ป)ี ถือวา่ เปน็ วยั สา� คญั แหง่ การเรยี นรพู้ ฒั นาไปสูค่ วามเปน็ มนุษยห์ รือลกั ษณะมนษุ ย์ทส่ี มบูรณแ์ บบ ประเภทการขดั เกลาทางสังคม การขดั เกลาทางสงั คมเปน็ กระบวนการศกึ ษาเรยี นรแู้ บบองคร์ วม เรยี นรสู้ งั คมและวฒั นธรรม ให้เข้าใจตั้งแต่เกิดจนตาย เพื่อความสัมพันธ์กับสิ่งต่าง ๆ ทั้งหลายอย่างถูกต้องมีเหตุผล เกิดการ เปล่ียนแปลงพฤติกรรม ก่อเกิดรูปแบบพฤติกรรมท่ีสมบูรณ์แบบ รูปแบบการขัดเกลาหรือเรียนรู้ทาง สังคมมีอยู่ ๒ ประเภท ดงั น้ี

การขดั เกลาทางสงั คม 67 ๑. การขดั เกลาโดยตรง (Primary or direct socialization) เปน็ การศกึ ษาเรยี นรขู้ อ้ เทจ็ จรงิ สังคมและวัฒนธรรมโดยตรงจากพ่อแม่หรือสถาบันทางสังคม เรียนรู้แสวงหาวิทยาการหลักการและ ทกั ษะความชา� นาญตา่ ง ๆ ทง้ั หลายโดยตรงจากผรู้ คู้ รอู าจารย์ เรยี นรแู้ สวงหาความจรงิ มเี หตผุ ลจากสอื่ โดยตรง เป็นการส่ังสอนอบรมโดยตรงให้รู้ว่า ส่ิงไหนดี-ไม่ดี ควร-ไม่ควร มีประโยชน์-ไม่มีประโยชน์ เปน็ การบอกแนะนา� ทางดแี ละไมด่ อี ยา่ งตรงไปตรงมา ใหร้ เู้ ขา้ ใจความจรงิ สง่ิ ทงั้ หลายตามความเปน็ จรงิ มีเหตุผล อันส่งผลให้น�าไปยึดถือปฏิบัติ เกิดผลดีมีความเจริญก้าวหน้าของชีวิตทางสังคม เป็นแบบ ลักษณะทดี่ มี ีการถา่ ยทอดสบื ตอ่ กันไป ๒. การขดั เกลาโดยอ้อม (Secondary or indirect socialization) เป็นการเรยี นร้สู ังคมและ วฒั นธรรมทางออ้ ม ไมไ่ ดบ้ อกแนะนา� อบรมสง่ั สอนกนั โดยตรง เปน็ การเรยี นรจู้ ากพฤตกิ รรมของคนอน่ื ปรากฏการณ์ทางสังคม สถานการณ์ หรือจากประสบการณ์ เรียนรู้เข้าใจโดยการสังเกตเปรียบเทียบ หรือคิดเดาคาดคะเน ตอลดถึงการได้เห็นได้ฟังอย่างไม่ต้ังใจ เช่น ในบางครอบครัว พ่อแม่มักพูดจา หยาบคาย ชอบเล่นการพนัน ชอบด่ืมสุรายาเมา หรือชอบทะเลาะตบตีกัน หรือในกลุ่มเพื่อนก็เช่น เดียวกัน เม่ือมีการติดต่อเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน ก็จะเกิดการเรียนรู้ซึมซับรับเอาแนวคิด ความเช่ือ และการปฏบิ ตั ิเหลา่ นนั้ ทา� ให้เกดิ รปู แบบพฤตกิ รรม อนั มีผลตอ่ การดา� เนนิ ชีวิตทางสังคม การสร้างลักษณะมนษุ ย์ตามกระบวนการขัดเกลา จะขัดเกลาเม่ือไร อย่างไร ด้วยอะไร จึงจะก่อเกิดแบบลักษณะมนุษย์ที่พึงประสงค์ต้องการ จ�าตอ้ งร้เู ขา้ ใจลักษณะธรรมชาติของมนุษย์ โดยทวั่ ไป มนษุ ยเ์ กิดมาแล้วไมร่ อู้ ะไร ไมเ่ ปน็ คนดีและไมใ่ ช่ คนชั่ว ไม่มีความสามารถอะไรเลย ช่วยตัวเองพ่ึงตนเองก็ไม่ได้ ความส�าคัญจ�าเป็นเบื้องต้นของมนุษย์ ต้องพ่ึงพาอาศัยคนอ่ืนหรือพ่อแม่ ในขณะเดียวกัน จ�าต้องเรียนรู้สิ่งท้ังหลายท่ีอยู่รอบกายตัวเอง เพื่อความอยู่รอดปลอดภัยของชีวิต หากไม่มีกระบวนการศึกษาเรียนรู้พัฒนา ก็คงเป็นอยู่เป็นไปตาม สัญชาตญาณท่ีติดตัวมาไม่แตกต่างไปจากสัตว์ท้ังหลาย ถ้ามนุษย์ถูกทอดทิ้งให้อยู่ล�าพังตัวเอง คงไม่ สามารถช่วยเหลือตวั เองได้ และคงตายไปในทสี่ ดุ ผิดไปจากสตั วอ์ ื่น ๆ ทง้ั หลาย เช่น สุนัข ลงิ ช้าง มา้ โค กระบอื เป็นตน้ พอเกดิ มาก็สามารถช่วยเหลือตัวเองพึง่ ตนเองได้ สามารถยนื ได้ เดินได้ และว่งิ ได้ สามารถอยู่รอดปลอดภัยตามสัญชาตญาณของพวกเขา สัตว์ทั้งหลายมีการเป็นอยู่เป็นไปด้วย สัญชาตญาณท่ีมีมาแต่ก�าเนิด ดังน้ัน เพราะความไม่รู้เข้าใจ จึงจ�าต้องเรียนรู้พัฒนาเพ่ือความอยู่รอด ปลอดภยั สัตวแ์ ละมนุษย์ตอ้ งการกินอาหาร ความเจรญิ เตบิ โต และสืบขยายพันธ์ุเหมอื นกัน แต่มนุษย์ มคี วามสามารถพเิ ศษกวา่ สตั วท์ งั้ หลาย กค็ อื มนษุ ยม์ ปี ญั ญาสามารถเรยี นรเู้ ขา้ ใจไดด้ กี วา่ มภี าษาในการ ตดิ ตอ่ สอ่ื สารไดด้ กี วา่ จงึ สามารถเปลย่ี นปญั หาเปน็ ปญั ญา และสรา้ งวฒั นธรรมอนั ดงี ามดว้ ยปญั ญาของ ตนได้ เจรญิ พฒั นาไปสลู่ กั ษณะความเปน็ มนษุ ยท์ สี่ มบรู ณแ์ บบตามลา� ดบั จนถงึ แบบสงู สดุ คอื พระอรยิ ะ อรหนั ต์ ผูป้ ราศจากกเิ ลสตณั หาทัง้ หลายทง้ั ปวง อนั เป็นจุดหมายสูงสดุ ความเป็นมนษุ ย์

68 สงั คมวทิ ยาเบือ้ งต้น ในทัศนะของพระพุทธศาสนากับความเป็นมนุษย์ พระพุทธศาสนามองเห็นกระบวนการ ความเป็นมนษุ ย์หรือชวี ิตประกอบไปด้วยส่วนใหญ่ ๆ อยู่ ๒ สว่ น คือกายกับจติ (Matter and Mind, รา่ งกายและจติ มโน วญิ ญาณ หรอื อตั ตา) กระบวนการทางชวี ภาพและจติ จะถกู สรา้ งกา� หนดไปสคู่ วาม เป็นมนุษย์ที่ดีสมบูรณ์แบบได้น้ัน ต้องประกอบไปด้วยความจริงท่ีหลากหลาย เป็นแบบลักษณะองค์ รวมสมดุลและบูรณาการ ในกระบวนการชีวิตนี้ ถือกระบวนการทางจิต (เจตนา) มีปัญญาเป็นส�าคัญ สา� คญั กวา่ พฤตกิ รรมทางรา่ งกาย การกระทา� ทป่ี ระกอบดว้ ยเจตนาดี เปน็ กระบวนการขดั เกลาหรอื เรยี น รู้ปรุงแต่งสร้างสรรค์พัฒนาความเป็นมนุษย์ไปสู่ความบริสุทธิ์บริบูรณ์หลุดพ้น จิตเจตนาเป็นตัวแกน สา� คญั ในการแสดงพฤตกิ รรมทกุ อย่าง ก�าหนดทิศทางชวี ติ ให้ดหี รอื เลว มปี ญั หาหรอื ไรป้ ญั หา ใหฉ้ ลาด หรือโง่ เพราะจิตเป็นผู้รู้สรรพส่ิงมีเหตุผลตามความเป็นจริง รู้เข้าใจตนเองกับสังคมส่ิงแวดล้อม น�ามา วจิ ยั พจิ ารณาแยกแยะใหเ้ ขา้ ใจชดั เจนถอ่ งแท้ นา� มาประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ แลว้ กอ่ เกดิ แบบลกั ษณะความเปน็ มนุษย์ โดยนัยนี้ ความเป็นมนุษย์หรือแบบลักษณะมนุษย์จึงถูกสร้างก�าหนดข้ึนโดยการศึกษาเรียนรู้ ฝึกฝนอบรมพัฒนาอย่างถูกต้องมีเหตุผลเพียงพอต่อเนื่องตลอดชีวิต เรียนรู้ความจริงสิ่งท้ังหลาย ความจริงทางสังคมและวัฒนธรรม ฝึกฝนอบรมพัฒนาให้เกิดความเคยชินมีระเบียบวินัย มีความ ประพฤตเิ ปน็ ปกตไิ มเ่ สยี หาย ใหม้ คี ณุ ธรรมหรอื มคี ณุ ภาพจติ ทด่ี ี และมปี ญั ญาอสิ ระ รเู้ ขา้ ใจสงิ่ ทง้ั หลาย ตามความเปน็ จรงิ การมปี ญั ญาคอื ความรเู้ ขา้ ใจดี และมศี ลี คอื ความประพฤตดิ ี (หรอื มวี ชิ ชาและจรณะ) เป็นแบบลักษณะท่พี ึงประสงค์ต้องการ ลักษณะความเป็นมนุษย์เป็นผลมาจากปจั จยั ภายในคอื ปญั ญา ของมนุษย์ และปัจจัยภายนอกคือส่ิงแวดล้อมทางสังคมและวัฒนธรรม เป็นการสร้างพัฒนากายและ จิตแบบองค์รวมระหว่างปัจจัยทางสังคมและการเลี้ยงดูเรียนรู้พัฒนาเปลี่ยนแปลง ให้เจริญเติบโต สมบูรณ์แบบเพียงพอต่อเนื่อง ให้มีคุณภาพชีวิตและจิต อันมีผลต่อแนวคิดและพฤติกรรมการกระท�า มนษุ ย์ ในการดา� เนินชีวิตทางสังคมและการเมอื ง กระบวนการขัดเกลาหรือเรียนรู้สามารถสร้างสรรค์พัฒนาแบบลักษณะมนุษย์ ที่ประกอบไป ดว้ ยกระบวนการทางจติ เป็นแบบองค์รวมระหว่างมนุษยก์ บั สงั คมส่ิงแวดลอ้ ม กอ่ เกดิ ความเป็นมนษุ ย์ หรือลักษณะมนุษย์ท่ีสมบูรณ์แบบ อันเป็นแบบลักษณะมนุษย์ที่พึงประสงค์ต้องการ ในกระบวนการ ของจติ หรอื ความคดิ ซกิ มนั ด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud’s psychoanalytic theory, ๑๘๕๖-๑๙๓๙) นักจิตวิเคราะห์ชาวออสเตรีย ได้คิดอธิบายรูปแบบพฤติกรรมมนุษย์มีความสัมพันธ์กับจิต เขาเช่ือว่า มปี ระสบการณท์ างจติ ทเ่ี ปน็ จติ สา� นกึ และไรส้ า� นกึ (Conscious and unconscious) และกระบวนการ ของจิตหรอื ความคิด อนั เปน็ โครงสร้างลักษณะบคุ ลกิ ภาพมนุษย์นน้ั ประกอบไปด้วยจิต ๓ สว่ น ดังนี้ ๑. Id เปน็ ส่วนพื้นฐานและเป็นส่วนของจิตไรส้ �านึกของบคุ ลิกภาพ (บคุ ลิกภาพ คอื ลกั ษณะ เฉพาะหรือสภาพนิสัยจ�าเพาะคน เป็นลักษณะนิสัย สันดาน อารมณ์ ความคิด ความรู้สึก

การขัดเกลาทางสังคม 69 ความชอบ และประสบการณ์) เป็นพลังสัญชาตญาณทางชีวภาพท่ีกระตุ้นผลักดันให้แสดงพฤติกรรม เปน็ สญั ชาตญาณหรอื แรงขบั ทางสญั ชาตญาณของมนษุ ย์ เปน็ ลกั ษณะสญั ชาตญาณดงั้ เดมิ มมี าแตก่ า� เนดิ เป็นจิตไร้ส�านึกท่ีท�างานสัมพันธ์กับกระบวนการทางชีวภาพ เป็นพลังแรงขับแสวงหาตามความอยาก ต้องการความหิวกระหายทางร่างกาย ทา� งานอยู่ภายใต้ความยนิ ดีพอใจเปน็ ไปตามสัญชาตญาณ ๒. Ego เปน็ สว่ นจติ ทา� งานตดิ ตอ่ เกย่ี วขอ้ งโดยตรงกบั ความจรงิ ของโลกสงั คม เปน็ ประสบการณ์ รสู้ กึ สา� นกึ ตระหนกั ถงึ ความจรงิ ทมี่ อี ยู่ ความจรงิ ทางสงั คมและวฒั นธรรม มปี จั จยั หลายอยา่ งประกอบ กนั เกดิ ขนึ้ มมี นษุ ย์ สง่ิ แวดลอ้ ม ขนบธรรมเนยี ม จารตี ประเพณี กฎเกณฑ์ กตกิ า ขอ้ บงั คบั และกฎหมาย เป็นต้น รู้เขา้ ใจความจรงิ มีเหตุผลนี้ ไม่ฝ่าฝืนละเมดิ ลว่ งเกนิ ตามอา� เภอใจ พยายามขม่ ใจบงั คับควบคมุ ความปรารถนายินดีพอใจต้องการของ Id ให้รับรู้รับทราบความจริงของโลกสังคม ท�างานอยู่ภายใต้ หลักความจริงมีเหตผุ ล ตรงกนั ข้ามกบั หลักความยินดพี อใจของ Id ๓. Superego เปน็ จติ สา� นกึ มเี หตผุ ลมโนธรรมหรอื ปญั ญา เปน็ สว่ นบคุ ลกิ ภาพทา� งานตดิ ตอ่ เก่ียวข้องกับคุณธรรมศีลธรรมและจริยธรรม ความจริงเป็นสิ่งธรรมดาแน่นอน มีอยู่อย่างนั้น ไม่เปลี่ยนแปลง ความจริงและการปฏิบัติที่ได้ผลดีจริง ท�าให้รู้เข้าใจความจริงแท้แห่งชีวิตและสังคม ด�าเนินชีวิตอย่างถูกต้องมีเหตุผล เป็นลักษณะจิตประกอบด้วยปัญญารู้ความจริงมีเหตุผล ดี-ช่ัว บาป-บญุ คณุ -โทษ เปน็ กระบวนการของจติ หรอื ความคดิ แลว้ ทา� เพอื่ ความดบี รสิ ทุ ธบิ์ รบิ รู ณ์ คอยบงั คบั ควบคุมการท�างานของ Ego (Haralambos, et al., ๒๐๐๐: ๓๕๑, Jary and Jary, ๒๐๐๐: ๒๒๘, ๔๙๗, Michie, et al., ๒๐๐๑: ๗๖๘) ตามกระบวนการท�างานแสดงพฤติกรรมของ Id Ego Superego คนเราจะท�าอะไรจะต้องมี แรงกระตุ้นจูงใจเป็นแกนส�าคัญในการกระท�า โดยส่วนพ้ืนฐานของจิต จะแสดงพฤติกรรมตามความ ต้องการ หรือความยินดีพอใจ ภายในจิตจะมีการต่อสู้ขัดแย้งระหว่างกันทั้งสามฝ่าย เวลาใดบุคคลมี พลังส่วนของ Id มากกว่า ก็จะเป็นแรงผลักดันให้แสดงพฤติกรรมตามความอยากต้องการยินดีพอใจ โดยไมค่ า� นงึ ถึงความจริงความถกู ตอ้ งในสังคม ไม่สนใจกฎเกณฑ์ กติกา ระเบยี บทางสังคม เป็นไปตาม สัญชาตญาณไม่ต่างไปจากสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย เมื่อใดมีพลังส่วนของ Ego มากกว่า ก็จะเป็นแรง กระตนุ้ ผลกั ดนั ใหก้ ระทา� ตามหลกั ความจรงิ ของโลกสงั คม ตามกฎเกณฑ์ กตกิ า ระเบยี บ และกฎหมาย ทางสงั คม หากคนใดมพี ลงั สว่ นของ Superego มากกวา่ กจ็ ะเปน็ พลงั ชว่ ยกระตนุ้ จงู ใจใหก้ ระทา� อยา่ ง มีเหตุผลถกู ต้องสอดคล้องสมั พนั ธ์กบั ความจรงิ สงิ่ ทัง้ หลาย คา� นึงถงึ ความดีบริสุทธิ์บริบูรณ์ พฤติกรรม การกระท�าของมนุษย์จึงข้นึ อยู่กับปรมิ าณและความเขม้ ของส่วนน้ัน ๆ ตามกระบวนการขัดเกลาหรือศึกษาเรียนรู้ของทฤษฎีจิตวิเคราะห์ ในระยะเวลา ๕ ปีแรก เพื่อความเป็นมนุษย์หรือลักษณะมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ ต้องเลี้ยงดูขัดเกลาฝึกฝนอบรมเด็กให้มี ความสอดคลอ้ งสมั พนั ธก์ นั พอดกี บั สภาพแวดลอ้ มทางสงั คมและวฒั นธรรม ใหร้ เู้ ขา้ ใจความจรงิ ของโลก

70 สังคมวทิ ยาเบอ้ื งตน้ สงั คม กฎเกณฑ์ บรรทดั ฐาน คา่ นยิ ม ความเชอ่ื และการปฏบิ ตั ิ ใหก้ ายจติ และสภาพแวดลอ้ มทางสงั คม สอดคล้องสัมพันธ์ในสัดส่วนที่เหมาะสมกัน ให้มีความเจริญพัฒนาพฤติกรรมในสัดส่วนท่ีพอกัน ใหก้ อ่ เกิดลักษณะบคุ ลกิ ภาพหรอื ความเปน็ มนษุ ยท์ ี่ม่ันคงยง่ั ยืน จอร์จ เฮอร์เบิร์ท มีด (George Herbert Mead, ๑๘๖๓-๑๙๓๑) นักสัญลักษณ์นิยมชาว อเมริกัน (US Pragmatist) ผู้ถือความจริงหรือพฤติกรรมมนุษย์เกิดข้ึนได้เพราะความสัมพันธ์ ทางเครอื่ งหมายหรอื สญั ลกั ษณ์ (Symbolic interactionism) เปน็ การเนน้ การรบั รขู้ องจติ (Conscious mind) เขา้ ใจตนเอง (Self awareness) แลว้ กอ่ เกดิ ความเปน็ มนษุ ย์ (Self regulation or formation) ลักษณะความเป็นมนุษย์ เป็นผลมาจากการติดต่อสัมพันธ์ทางสังคม รู้เข้าใจความจริงโลกสังคม เกิดการยอมรับบทบาททางสังคมและเลียนแบบเอาอย่าง ดังนั้น การสร้างลักษณะความเป็นมนุษย์ จึงประกอบไปด้วยความจริงท่ีหลากหลาย มีดเห็นว่า ตัวตนหรือความเป็นคน (Self or identity) โดยไม่ต้องสงสัย ถูกสร้างพัฒนาก�าหนดข้ึนโดยปัจจัยทางสังคมการเมือง จากการศึกษาเรียนรู้ และประสบการณ์ทางสังคมการเมือง ในทัศนะของมีด ลักษณะความเป็นมนุษย์ (Self identity) เป็นผลมาจากอา� นาจอทิ ธพิ ลทางสงั คมวัฒนธรรม หรือการติดตอ่ สัมพนั ธ์เปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่าง ต่อเนื่อง ลักษณะความเป็นมนุษย์จะเกิดข้ึนไม่ได้หากปราศจากสังคม ในกระบวนการน้ี มนุษย์แต่ละ คนจะเรยี นรเู้ อาอยา่ งบทบาททางสงั คมหรอื บทบาทของคนอน่ื กลา่ วคอื จะเรยี นรเู้ ขา้ ใจตนเอง กเ็ พราะ ปจั จยั ทางสงั คมและวฒั นธรรม ทตี่ นเองเขา้ ไปเกย่ี วขอ้ งสมั พนั ธ์ เกดิ การเรยี นรเู้ ขา้ ใจอยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะ สมมีเหตุผล อันมีผลตอ่ การรับรู้ตนเองและก่อเกิดแบบลักษณะมนษุ ย์ มดี ได้พยายามวเิ คราะห์อธบิ าย การสร้างความจริงทางสงั คม ถงึ ความแตกต่างระหวา่ ง I กบั Me อนั เป็นปัจจยั สา� คัญในกระบวนการ สร้างความเปน็ มนษุ ย์ และเปน็ กระบวนการทซี่ บั ซอ้ น I (myself as I am) กค็ ือตวั เราทเี่ ข้าไปเกยี่ วขอ้ ง สมั พนั ธก์ บั สงั คมสงิ่ แวดลอมอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง เกดิ การสมั ผสั รบั รเู้ ขา้ ใจ เกดิ สภาพปรงุ แตง่ จติ หรอื ความคดิ อันมีผลต่อความเป็นตัวตน ลักษณะตัวตนจะเกิดขึ้นก็เพราะอ�านาจอิทธิพลสิ่งอ่ืน เช่น พ่อแม่หรือ ครอบครวั Me (myself as others see me) ก็คือการยอมรับแนวคดิ ทัศนคติทางสงั คม เปน็ เร่ืองของ ความจรงิ ทวั่ ไปทเ่ี รารเู้ ขา้ ใจอยา่ งถกู ตอ้ งแลว้ เกดิ การยอมรบั ยดึ ปฏบิ ตั ติ าม รเู้ ขา้ ใจในคณุ คา่ ความหมาย ของสงั คมและวฒั นธรรม เขา้ ใจกฎเกณฑก์ ตกิ าระเบยี บประเพณี เกดิ การเลยี นแบบเองอยา่ งทางสงั คม วัฒนธรรม เกิดการยอมรับบทบาทหน้าที่ของตนเอง แสดงพฤติกรรมอย่างเหมาะสมในสังคม ทั้งสอง ทา� งานเกยี่ วขอ้ งสมั พนั ธก์ นั อยา่ งมเี หตผุ ลตอ่ เนอ่ื ง สรา้ งความจรงิ ทางสงั คมและลกั ษณะความเปน็ มนษุ ย์ โดยนยั ทก่ี ลา่ วมา จงึ พอสรปุ ไดว้ า่ กระบวนการสรา้ งความเปน็ มนษุ ย์ ประกอบไปดว้ ยหลายสงิ่ หลายอยา่ ง เป็นเร่ืองของมนุษย์กับสังคมสิ่งแวดล้อม เป็นเร่ืองของจิตหรือปัญญารับทราบความจริงทางสังคมและ วัฒนธรรม รเู้ ขา้ ใจอย่างถูกต้องมีเหตุผล แลว้ แสดงพฤตกิ รรมตามท่ีสังคมคาดหวงั ยอมรบั และต้องการ การศึกษาทั้งหลายยอมรับว่า ลักษณะความเป็นมนุษย์หรือรูปแบบพฤติกรรมมนุษย์ บุคลิกภาพและอุปนิสัยมนุษย์ถูกสร้างก�าหนดขึ้นทางสังคมและวัฒนธรรม ไม่ใช่ทางธรรมชาติชีวภาพ

การขดั เกลาทางสังคม 71 ลกั ษณะพฤตกิ รรมทง้ั หลายในความหมายความเหน็ ความเชอ่ื ความชอบ คา่ นยิ ม ทศั นคติ การประพฤติ และปฏิบัติถูกสร้างก�าหนดข้ึนเป็นลักษณะความเป็นคนหญิงชายภายใน ๐-๒ ปี ในระหว่าง ๓-๔ ปี เขาจะเรียนรู้พัฒนาสิ่งต่าง ๆ ทั้งหลายอย่างต่อเน่ือง และภายในระยะเวลา ๕ ปี ก็จะก่อเกิดเป็น บคุ ลกิ ภาพและอปุ นิสัยในความเป็นมนุษย์อยา่ งม่นั คงของพวกเขา (O’Sullivan, et al., ๒๐๐๑: ๕๗) โดยผ่านกระบวนการเรียนรู้หรือกระบวนการขัดเกลาเรียนรู้ทางสังคม มนุษย์หรือเด็กจะสร้างพัฒนา ลกั ษณะพฤตกิ รรมของพวกเขาดว้ ยการตดิ ตอ่ เกย่ี วขอ้ งสมั พนั ธก์ บั สงั คมสง่ิ แวดลอ้ ม เชน่ พอ่ แม่ สมาชกิ ของครอบครัว ครูอาจารย์ เพ่ือน สื่อสารมวลชน เป็นต้น ส่วนใหญ่จะซึมซับรับเอาทัศนคติ ค่านิยม และรปู แบบพฤตกิ รรมในสภาพแวดลอ้ มทางสงั คมและวฒั นธรรมทถี่ กู ตอ้ งเหมาะสม ลกั ษณะพฤตกิ รรม มนษุ ยเ์ ปน็ เรอื่ งของตวั เองกบั สง่ิ แวดลอ้ มทางสงั คม เกดิ จากการเรยี นรจู้ ากประสบการณท์ างสงั คมและ วัฒนธรรม (Borgatta, et al., ๒๐๐๐: ๑๐๕๗-๑๐๕๘ และ Jary and Jary, ๒๐๐๐: ๒๔๑) การวิจัย ลักษณะรูปแบบพฤตกิ รรมของมนุษย์ทงั้ หลายพบวา่ ความสามารถ พฤติกรรม และอปุ นสิ ยั ของมนุษย์ ทงั้ หลาย สว่ นใหญจ่ ะก่อเกดิ พฒั นาเปน็ รูปลกั ษณะเรียบร้อยภายใน ๐-๓ ขวบ กล่าวคอื มนษุ ย์เราเกดิ มาในตอนแรกนั้นเหมือนกันหมด ไม่รู้ส่ิงต่าง ๆ ท้ังหลายเหมือนกันหมด ไม่มีใครเกิดมาแล้วดีหรือช่ัว ฉลาดหรือโง่ทันที คนจะเป็นอัจฉริยบุคคลหรือคนโง่ ก็เพราะการศึกษาเรียนรู้ฝึกฝนอบรมพัฒนาตน การศกึ ษาเรยี นรใู้ นระยะเรม่ิ ตน้ หรอื ในวยั เดก็ เลก็ ถอื ไดว้ า่ เปน็ วยั สา� คญั แหง่ การเรยี นรสู้ รา้ งสรรคพ์ ฒั นา ความเป็นมนุษย์ หรือแบบลักษณะมนุษย์ เป็นรากฐานส�าคัญในการสร้างสรรค์พัฒนาคนให้มีคุณภาพ ชีวิตต่อไป จากข้อความท้ังหลายเบ้ืองต้น จึงพอสรุปได้ว่า การสร้างพัฒนาความเป็นมนุษย์หรือแบบ ลักษณะมนุษย์ ก็ด้วยการขัดเกลาหรือเรียนรู้ทางสังคมส่ิงแวดล้อม หรือการศึกษาเรียนรู้ฝึกฝนอบรม พัฒนาตนอย่างถูกต้องมีเหตุผลต่อเนื่อง เรียนรู้เข้าใจความจริงของโลกสังคม ความจริงส่ิงท้ังหลาย ความจริงมีเหตุผล ความจริงส่ิงสากล เรียนรู้เข้าใจตามความเป็นจริง เกิดการเปล่ียนแปลงพัฒนา พฤตกิ รรมทงั้ หลาย แสดงพฤตกิ รรมใหถ้ กู ตอ้ งเหมาะสมในสงั คมการเมอื ง ประพฤตปิ ฏบิ ตั ถิ กู ตอ้ งเกอื้ กลู เปน็ ประโยชนไ์ ร้ปัญหา มีชีวติ ทีด่ งี ามประเสรฐิ เจริญเติบโตเปน็ คนดีมีคุณธรรมศลี ธรรมและจรยิ ธรรม เปน็ สมาชิกทดี่ ขี องสงั คมการเมอื ง เป็นแบบอยา่ งทพ่ี งึ ประสงค์ตอ้ งการของสงั คมการเมอื งท้ังหลาย ปัจจยั ส�าคัญในการขัดเกลาทางสงั คม กล่าวโดยท่ัวไป ลักษณะหรือความเป็นมนุษย์จะถูกสร้างก�าหนดขึ้นโดยอาศัยเหตุปัจจัย หลายอย่าง อะไรเป็นปัจจัยส�าคัญในการสร้างพัฒนาความเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์แบบ แต่ก่อนเราเชื่อ กนั วา่ ความเปน็ มนุษย์เป็นเรอื่ งของปัจจยั ทางชวี ิภาพร่างกาย ปัจจุบัน ขนึ้ อยู่กบั ปัจจยั ทางสงั คมและ วัฒนธรรมเป็นส�าคัญ นักคิดนักปราชญ์บางคนเช่ือว่า ปัจจัยทางชีวภาพเหนือกว่าปัจจัยทางสังคม บางคนยืนยันว่า สังคมสิ่งแวดล้อมส�าคัญกว่าชีวภาพร่างกาย มนุษย์จะอยู่ไม่ได้หากปราศจากสังคม

72 สังคมวิทยาเบ้อื งต้น สิ่งแวดล้อม บางกลุ่มเห็นว่า ทั้งปัจจัยทางชีวภาพและทางสังคมต่างเป็นองค์ประกอบส�าคัญต่อการ สร้างสรรค์พัฒนาความเป็นมนุษย์หรือแบบลักษณะมนุษย์ เพราะทั้งสองต่างเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอยู่ ตลอดเวลาและต่อเนื่อง มคี วามซบั ซ้อนมีเหตุผลไมส่ ามารถแยกออกจากกันได้ ขน้ึ อยู่ท่วี า่ สดั สว่ นหรอื ปรมิ าณของสว่ นไหนจะมมี ากกวา่ กนั อนั จะสง่ ผลตอ่ การสรา้ งพฒั นาแบบลกั ษณะมนษุ ยต์ อ่ ไป อยา่ งไร ก็ตาม ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบน้ันขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยส�าคัญในการขัดเกลาการศึกษาเรียนรู้ พฒั นา ๒ ประการ ดงั น้ี ๑. ตัวมนษุ ยเ์ อง (Self or person or internal factors) ตอ้ งรู้จกั วิธดี ูแลรกั ษารา่ งกายและ จติ ใจ รบั ประทานแตอ่ าหารทม่ี ปี ระโยชนต์ อ่ รา่ งกาย พอประมาณตามกาลเวลาทเี่ หมาะสม เพอื่ สขุ ภาพ รา่ งกายทแ่ี ขง็ แรงสมบรู ณ์ รจู้ กั วธิ ฝี กึ ฝนอบรมพฒั นาจติ รจู้ กั คดิ วเิ คราะหอ์ ยา่ งถกู วธิ ี ฝกึ ฝนอบรมพฒั นา จติ ใหม้ คี ณุ ภาพจติ หรอื ชวี ติ ทเ่ี ขม้ แขง็ ทรงพลงั สามารถอดทนขม่ ใจ เอาชนะใจตนเองได้ ฝกึ ฝนพฤตกิ รรม อย่างถูกต้องเหมาะสม ให้เกิดความเป็นปกติและเคยชินมีวินัยความเป็นระเบียบเรียบร้อยไม่เสียหาย ภายใตส้ งั คมวฒั นธรรมทเ่ี ปลยี่ นแปลงอยา่ งตอ่ เนอื่ ง ชวี ภาพรา่ งกายในแตล่ ะช่วงวยั มีการเปลี่ยนแปลง อยู่ตอลดเวลาขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย ต้องรู้จักใช้ชีวิตอย่างถูกต้องเหมาะสมพอดีไม่ตึงหรือหย่อนเกินไป ตามวยั อตั ภาพและการเปลยี่ นแปลงพฒั นาความเปน็ มนษุ ย์ การขดั เกลาเปน็ กระบวนการเรยี นรพู้ ฒั นา อย่างต่อเน่ือง จุดส�าคัญของการสร้างพัฒนาความเป็นมนุษย์ คือสร้างพัฒนาให้เป็นคนมีสุขภาพ พลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์ มีชีวิตชีวาแจ่มใสร่าเริงเบิกบานไม่เฉื่อยชา ฉลาดมีไหวพริบปฏิภาณดี สามารถเรียนรู้เข้าใจได้ง่าย ช่วงวัยเด็กเป็นเวลาส�าคัญจริงจังเรียนรู้พัฒนาพ้ืนฐานบุคลิกภาพ วัยเด็ก เป็นวัยท่ีควรเข้มงวดกวดขันไม่ใช่ปล่อยอิสระตามใจ หากปล่อยอิสระเกินไปจะเป็นการสร้างปัญหาให้ กับเด็กในอนาคต เด็กจะมีพฤติกรรมเสียหายไม่อดทนหนักแน่นขาดเหตุผลระเบียบวินัย เม่ือเขาโตมี เหตุผลรู้ด-ี ชัว่ ถกู -ผิด มคี วามพรอ้ มสามารถเรียนรูอ้ ยู่ด้วยตวั เขาเอง ก็ควรให้อิสระแก่เขาในการคิดพดู ทา� คอยแนะนา� สง่ั สอนดอู ยหู่ า่ ง ๆ ไมเ่ ขา้ ไปจนุ้ จา้ นวนุ่ วายกบั เขาเกนิ ไป ฝกึ ใหเ้ ขาคดิ เองทา� เองอยา่ งถกู ต้องมีเหตุผล มองเห็นส่ิงท้ังหลายตามความเป็นจริง การเข้มงวดกวดขันหรือวุ่นวายกับเขาเกินไป จะไม่มีความเป็นตัวของตัวเองและขาดความม่ันใจ เป็นการท�าลายความอิสระความคิดความสามารถ ของเขา ท�าให้ไม่สามารถพัฒนาบุคลิกภาพหรือความเป็นมนุษย์ได้เต็มที่ จึงจ�าเป็นต้องรู้เข้าใจใน กระบวนการทซ่ี บั ซอ้ นหลากหลาย ๒. สังคมส่ิงแวดลอ้ ม (Social environment or external factors) ต้องมีสภาพแวดลอ้ ม ทางสงั คมและวฒั นธรรมทด่ี ถี กู ตอ้ งเหมาะสมกบั การเรยี นรเู้ พอื่ การสรา้ งพฒั นาความเปน็ มนษุ ย์ มนษุ ย์ จะสามารถสรา้ งพฒั นาลกั ษณะบคุ ลกิ ภาพไปสคู่ วามสมบรู ณแ์ บบไดน้ น้ั ตอ้ งอาศยั สงั คมและวฒั นธรรม ต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมท่ีดี อันได้แก่ มีพ่อแม่ ครูอาจารย์ เพื่อน สื่อสารมวลชน ขนบธรรมเนยี ม จารตี ประเพณี และวฒั นธรรมทดี่ ี เปน็ ตน้ เปน็ ปจั จยั ภายนอกชว่ ยในการขดั เกลาเรยี นรู้ ตอ้ งจดั สภาพแวดลอ้ มใหด้ ถี กู ตอ้ งเหมะสม ตอ้ งรจู้ กั หาเลอื กแหลง่ และแบบอยา่ งทด่ี ใี นการเรยี นรสู้ รา้ ง

การขัดเกลาทางสังคม 73 พฒั นาลกั ษณะความเปน็ มนษุ ย์ เพราะเมอ่ื เขา้ ไปเกย่ี วขอ้ งสมั พนั ธส์ ง่ิ แวดลอ้ มทง้ั หลาย กจ็ ะถกู สงิ่ เหลา่ นั้นหลอ่ หลอมปรับปรงุ เปลี่ยนแปลงพฤตกิ รรม ก่อเกดิ แบบลักษณะความเป็นมนษุ ย์ เปน็ ลักษณะนสิ ยั และอปุ นสิ ยั ของเขาไปในทสี่ ดุ มนษุ ยจ์ ะเจรญิ เตบิ โตมพี ฤตกิ รรมดหี รอื มคี ณุ ภาพชวี ติ ทดี่ ี ขนึ้ อยกู่ บั ปจั จยั ภายนอกหรือสิง่ แวดลอ้ มทางสงั คมและวฒั นธรรมเหลา่ น้ี การเรยี นรเู้ ขา้ ใจสงั คมวฒั นธรรมหรอื สงิ่ แวดลอ้ มเพอื่ การเปลย่ี นแปลงพฒั นาความเปน็ มนษุ ย์ หรือแบบลักษณะพฤติกรรม แบบลักษณะหรือพฤติกรรมมนุษย์ดังกล่าวเป็นผลมาจากอ�านาจอิทธิพล สงั คมส่ิงแวดลอ้ ม เพือ่ ความรเู้ ขา้ ใจความสา� คญั อ�านาจอิทธพิ ลปัจจยั ภายนอกสงั คมสง่ิ แวดล้อม จึงขอ ยกตวั อยา่ ง เร่ืองอมราและกมลา ในเดอื นตุลาคม ปี ค. ศ. ๑๙๒๐ ณ หมู่บ้านเลก็ ๆ แห่งหนึง่ ในเขต เมืองคลั คตั ต้า ประเทศอินเดีย เกิดขา่ วลอื กันว่า มีสัตว์แปลกประหลาด ๒ ตัว มรี ูปร่างลกั ษณะคลา้ ย กับมนุษย์ อยู่ในถ�้าในป่าแห่งหนึ่ง เมื่อสามีและภรรยาผู้เป็นนักสอนศาสนาได้ทราบข่าวนี้ ข่าวสัตว์ ประหลาด ขา่ วลกู มนษุ ยห์ มาปา่ จงึ ไดอ้ อกไปคน้ หาลกู หมาปา่ ตามถา�้ ตา่ ง ๆ ทง้ั หลาย กไ็ ดพ้ บลกู หมาปา่ เปน็ เดก็ หญงิ ๒ คน มอี ายปุ ระมาณ ๘ ขวบ แล้วก็ไดต้ ง้ั ช่ือให้กบั เดก็ หญิง ๒ คนใหมว่ ่า อมราและกมลา แล้วก็ได้ส่งไปเล้ียงท่ีสถานเลี้ยงเด็กก�าพร้า พยายามเล้ียงดูขัดเกลาอบรมส่ังสอนอมราและกมลาอย่าง ดี เพื่อให้กลบั กลายเป็นมนษุ ยต์ ามปกติ แต่กไ็ ม่สามารถท�าได้ เพราะเด็กสองคนน้ถี ูกหมาปา่ เล้ียงดมู า เปน็ เวลานาน เดก็ หญงิ ๒ คนนจี้ งึ มพี ฤตกิ รรมแบบสนุ ขั ชอบเดนิ คลาน ๔ ขาเหมอื นสนุ ขั ชอบเหา่ หอน ชอบกินอาหารเสยี บดู ๆ เน่า ๆ และชอบหลับนอนเหมอื นสุนัข แม้พยายามอบรมเลีย้ งดอู ย่างดี แต่ก็ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเด็กทั้ง ๒ คนได้ อมรามีชีวิตอยู่ได้ประมาณ ๑ ปีก็ตายไป ส่วนพีส่ าวกมลายงั ถกู อบรมเลยี้ งดูตอ่ ไป เธอมสี ติปญั ญาเทา่ กบั เด็กอายุ ๓ ขวบครึง่ สามารถพดู ไดน้ ิด หน่อยไมเ่ กิน ๔๕ คา� ในปีที่ ๓ กมลาพยายามเดนิ ได้ ๒ ขาเหมอื นคน แต่พฤตกิ รรมสว่ นใหญข่ องเธอ เป็นไปตามสัญชาตญาณเหมือนสุนัข เธอตายไปเมื่อมีอายุได้ ๑๗ ปี เธอมีชีวิตอยู่ในสังคมมนุษย์ได้ ประมาณ ๙ ปี เพื่อความเข้าใจอ�านาจอิทธิพลทางสังคมส่ิงแวดล้อมมากย่ิงข้ึน ต้องขออภัยล่วงหน้า หากจะ เปรียบเทียบคนกับสุนัข สุนัขไม่ว่าจะเกิดท่ีไหน ประเทศไหน พันธุ์ดีแค่ไหนก็ตาม หากปล่อยไปเข้า กลุ่มสุนัขจรจัดข้างถนน มันก็จะค่อย ๆ มีนิสัยพฤติกรรมคล้ายกับสุนัขข้างถนนไปในที่สุด สุนัขจรจัด ขา้ งถนน หากเราเอามาเลีย้ งและฝึกอยา่ งดี (คนสัตวท์ ั้งหลายเปน็ สัตว์ทีฝ่ กึ ฝนพัฒนาได้ แต่คนท่ฝี กึ ฝน พัฒนาแล้ว ดีเลศิ ประเสรฐิ กวา่ สตั วท์ ง้ั หลาย) ก็สามารถกลายเปน็ สนุ ัขแสนรนู้ ่ารักได้เชน่ กัน คนเราเอง ก็เหมือนกันไม่ว่าเกิดทไี่ หน ประเทศไหน ชาตไิ หน หรอื ในตระกูลไหนก็ตาม หากเราปล่อยปละละเลย ปล่อยไปตามยถากรรม ไม่มีการศึกษาเรียนรู้พัฒนาคุณภาพชีวิตให้มีความรู้ดีและประพฤติดี เล้ียงดู ขดั เกลาฝกึ ฝนอบรมพฒั นาผดิ พลาด มพี ฤตกิ รรมเสยี หายเปน็ ปญั หา กค็ งไมแ่ ตกตา่ งไปจากสนุ ขั พนั ธด์ุ ี ทีก่ ลายเปน็ สุนัขจรขดั ขา้ งถนน

74 สังคมวิทยาเบ้อื งตน้ เพราะอ�านาจอิทธิพลทางสังคมหรือสิ่งแวดล้อม อันเป็นปัจจัยภายนอก ลูกคนกลายเป็น ลกู สนุ ัข สุนขั พันธด์ุ ีกลายเป็นสนุ ัขจรจัดข้างถนน คนจะเกดิ ในชาติตระกูลในก็ตาม หากไม่มีการศึกษา เรียนรู้พัฒนาลักษณะความเป็นมนุษย์ ก็ไม่มีคุณค่าความหมายและไม่แตกต่างไปจากสัตว์ทั้งหลาย คนจะดีหรือเลวเพราะกระบวนการศึกษาเรียนรู้พัฒนาอย่างถูกต้องต่อเนื่องพอเพียง แล้วแสดง พฤตกิ รรมทง้ั หลายอยา่ งถูกต้องมีเหตุผล ไม่ใช่เพราะชาตโิ คตรตระกูล ญาตพิ ่นี ้อง ทรัพยส์ มบัติ สังคม สง่ิ แวดลอ้ มจงึ เปน็ ปจั จยั ภายนอกสา� คญั อยา่ งหนง่ึ ชว่ ยในการสรา้ งพฒั นาความเปน็ มนษุ ยห์ รอื ลกั ษณะ ความเป็นมนษุ ยใ์ หด้ พี ร้อมสมบูรณ์แบบ ลกู นกแขกเตา้ ในการสร้างพัฒนาแบบลักษณะและพฤติกรรมมนุษย์ นอกจากจะสอนให้รู้จักเลือกถ่ินฐาน สถานท่อี ย่อู าศัย เลอื กคบคน รูจ้ กั กนิ เสพบรโิ ภคใช้สอยอยา่ งถกู ตอ้ งมเี หตผุ ลพอเพียงแลว้ พระพทุ ธ- ศาสนา๑ สว่ นใหญ่ก็เห็นและยอมรบั ปัญญาและโยนิโสมนสิการ ความรูจ้ รงิ การรจู้ ักคดิ วิเคราะห์ให้ถกู วิธี อนั เป็นเหตุปัจจัยภายใน และกัลยาณมิตรและปรโตโฆษะ สังคมส่ิงแวดลอ้ มท่ดี ี อันเป็นเหตุปจั จยั ภายนอก เพื่อความร้เู ข้าใจและการปฏบิ ตั ริ ่วมกันยงิ่ ๆ ขน้ึ ไป จงึ ขอยกตวั อย่างอีกคร้งั หนงึ่ ในอดีตกาล มลี กู นกแขกเตา้ พนี่ อ้ ง ๒ ตวั มขี นเลก็ นอ้ ยยงั บนิ ไมไ่ ด้ อยใู่ นปา่ งวิ้ ใกลก้ บั ภเู ขาสานุ ดา้ นเหนอื ของภเู ขา มบี า้ นเปน็ ทอี่ ยอู่ าศยั ของพวกโจรหา้ รอ้ ย สว่ นทางทศิ ใต้ มอี าศรมเปน็ ทอ่ี ยอู่ าศยั ของ ษหี า้ รอ้ ยเชน่ กนั อยู่มาวันหนึ่ง เกิดมีลมพายุ (วาตมณฺฑลิกา) ได้พัดพาเอาลูกนกแขกเต้า ๒ ตัวน้ัน ไปตกในท่ีต่างกัน กล่าวคอื ตวั หนึง่ ไปตกในบา้ นโจร พวกโจรได้ต้ังชื่อใหว้ ่า สตั ตคิ ุมพะ (เจ้าหอก) กไ็ ด้ยนิ สิ่งท่พี วกโจรพดู ได้เห็นพฤติกรรมของโจรทั้งหลาย และก็ได้เจริญเติบโตในหมู่โจรเหล่านั้น อีกตัวไปตกที่พุ่มดอกไม้ ใกลอ้ าศรมของ ษี พวก ษจี งึ ใหช้ อ่ื วา่ ปปุ ผกะ (เจา้ ดอกไม)้ ไดเ้ จริญเตบิ โตในระหว่างพวก ษี ในกาล ครั้งนั้น มีพระราชาองค์หน่ึง พระนามว่า ปัญจาละ ได้เสด็จไปยังป่าพร้อมกับทหารบริวารคนติดตาม เพ่ือล่าสัตว์ เม่ือเห็นเนื้อทรายตัวหนึ่ง ก็ได้ส่ังให้ล้อมพร้อมก�าชับว่า สัตว์ว่ิงออกไปทางของผู้ใด ผู้น้ัน ต้องถกู ปรับรับผิดชอบ ฝ่ายเนือ้ ทรายก็ไดว้ งิ่ ตรวจดูทางท่ีจะว่งิ หนี เมือ่ เหน็ ทวี่ า่ งทางพระราชา ก็ไดว้ ิง่ หนอี อกไป พระองคก์ ไ็ ดต้ ดิ ตามสตั วน์ นั้ ไปโดยเรว็ พรอ้ มกบั ผตู้ ดิ ตาม เมอื่ ไมเ่ หน็ สตั วแ์ ลว้ กไ็ ดเ้ สดจ็ กลบั ในระหว่างทาง ก็ได้ทรงสนานและเสวยน้�า แล้วหาที่พักผ่อน แล้วก็ได้บรรทมหลับใต้ต้นไม้ใกล้กับ บ้านโจร ในวันนั้น โจรทั้งหลายไม่อยู่ เหลือแต่นกเจ้าหอกและคนท�าครัว เมื่อนกเจ้าหอกได้มาพบ ๑ หลักการหรือหลักธรรมน�าชีวิตไปสู่ความถูกต้องดีงามเจริญ (จักร ๔) ผู้ต้องการความเป็นมนุษย์หรือชีวิตดีงามเจริญก้าวหน้า พึงปฏบิ ัติตามหลกั การ ดงั ต่อไปนี้ ๑. รูจ้ ักเลอื กถน่ิ ฐานสถานท่ีอยู่อาศัยใหเ้ หมาะสม (ปฏริ ูปเทสวาสะ) ๒. รจู้ กั เลือกคบหาแต่ คนดี (สัปปุริสูปัสสยะ) ๓. ตั้งตนหรือจิตให้ถูกทาง เป็นการรู้จักคิดให้ถูกวิธีจุดหมายแน่นอน (อัตตสัมมาปณิธิ) ๔. มีทุนมาดี หรือเกิดมาดี มีร่างกายและจิตใจดีพร้อมสมบูรณ์ (ปุพเพกตปุญญตา) (อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต พระไตรปิฎก เล่มท่ี ๒๑, ขอ้ ท่ี ๓๑, หนา้ ที่ ๔๑) เปน็ หลกั การด�าเนนิ ชีวติ จรงิ ไมเ่ ฟ้อฝันเล่อื นลอย นี่แหละเป็นความจรงิ แท้ไม่เปลยี่ นแปลง

การขดั เกลาทางสงั คม 75 พระราชาบรรเทาแล้วอย่างนั้น ก็กลับไปบ้าน ได้พูดกับคนท�าครัวว่า พวกเรามาช่วยกันฆ่าพระราชา แล้วเอาทรัพย์สมบัติเส้ือผ้าอาภรณ์ จากน้ัน ก็ช่วยกันเอาไปทิ้งซ่อนปกปิดเอาไว้ด้วยก่ิงไม้และใบไม้ ทั้งหลาย ในขณะนัน้ พระราชาได้ตน่ื บรรทม และก็ได้ยนิ เสยี งนกกับคนท�าครัวพูดคุยกนั เหน็ วา่ ขืนอยู่ ต่อไป ต้องมีภัยอันตรายแน่ จึงได้เสด็จหนีไปทางใต้ อันเป็นที่อยู่ของพวก ษี แต่ในวันน้ัน พวก ษี ทง้ั หลายไดอ้ อกไปหาผลไม้ กไ็ ดไ้ ปเจอกบั เจา้ นกดอกไมต้ ามลา� พงั เมอ่ื นกเหน็ พระราชา กไ็ ดป้ ฏสิ นั ถาร ต้อนรับเป็นต้นว่า ขอเดชะ พระองค์เสด็จมาก็ดีแล้ว เชิญเสด็จมาทางน้ี เมื่อพระราชาได้ยินอย่างน้ัน ก็รู้สึกดีใจ และก็นึกคิดต่อไปว่า ท�าไมหนอ นกสองตัวน้ีถึงมีธรรมชาติแตกต่างกัน ฝ่ายเจ้านกดอกไม้ ได้ยินอย่างน้ัน ก็เลยทูลว่า พวกข้าพุทธเจ้าเกิดจากมารดาคนเดียวกัน เป็นพ่ีน้องกัน แต่เจริญเติบโต ในที่แตกต่างกัน จึงมีพฤติกรรมแตกต่างกัน ความแตกต่างทางพฤติกรรมนี้เกิดข้ึนโดยธรรมหรือ ธรรมชาติ (มังคลัตถทีปนี แปล, เลม่ ที่ ๑, หน้าท่ี ๒๔) แสดงให้เหน็ ว่า มนษุ ย์ทงั้ หลายหรอื แม้แต่สัตว์ ทง้ั หลาย คบเสพคนเชน่ ใด กจ็ ะเปน็ คนเชน่ นน้ั อนั แสดงถงึ อา� นาจอทิ ธพิ ลสงั คมสง่ิ แวดลอ้ มทมี่ ตี อ่ มนษุ ย์ ความเปน็ มนษุ ยห์ รอื แบบลกั ษณะมนษุ ย์ เปน็ การเหน็ ยอมรบั สงั คมสงิ่ แวดลอ้ ม ทเ่ี ปน็ เหตปุ จั จยั ภายนอก ช่วยในการสรา้ งสรรคพ์ ัฒนาเปลย่ี นแปลง ตัวแทนในการขดั เกลาทางสังคม ในโลกทางสังคม มีความจริงที่ปรากฏอยู่หลากหลาย ที่ต้องรู้เข้าใจความจริงของส่ิงเหล่าน้ัน รู้คุณค่าความหมายและประโยชน์ของส่ิงทั้งหลายอย่างถูกต้องมีเหตุผล และต้องรู้วิธีการท�าให้ได้ให้ สา� เรจ็ มนษุ ยเ์ ปน็ สตั วส์ งั คมจา� ตอ้ งตดิ ตอ่ เกยี่ วขอ้ งสมั พนั ธก์ นั ทางสงั คม จา� ตอ้ งรเู้ ขา้ ใจหลกั ความสมั พนั ธ์ สังคม เพื่อด�าเนินชีวิตทางสังคมอย่างถูกต้องมีเหตุผล การด�าเนินชีวิตทางสังคมที่ดีงามประเสริฐ ตอ้ งเรม่ิ ตน้ ดว้ ยการการขดั เกลาทถ่ี กู ตอ้ งเหมาะสม หรอื ดว้ ยการแสวงหาเรยี นรจู้ ากตวั แทนการขดั เกลา อันเปน็ ปจั จัยภายนอกช่วยในการเรียนรปู้ ลูกฝงั ซมึ ซบั รบั เอาแตส่ ิ่งดงี าม มีความคิด ความเชือ่ ทัศนคติ คา่ นยิ ม ประเพณี วฒั นธรรม และการปฏิบัติ เปน็ ตน้ ถอื ได้วา่ เปน็ ปัจจัยสา� คัญอยา่ งหนงึ่ ในการกอ่ เกดิ ลกั ษณะความเป็นมนษุ ย์ เกิดความร้เู ขา้ ใจที่ถูกตอ้ งมีเหตผุ ล เกดิ กระบวนการคิดท่ีถูกต้อง อนั มีผลต่อ รปู แบบพฤตกิ รรมมนษุ ย์ และการใชช้ วี ติ ทางสงั คม ตวั แทนการขดั เกลาหรอื ตวั แทนทางสงั คมทม่ี อี ทิ ธพิ ล สา� คญั ต่อลกั ษณะความเป็นมนุษย์ มดี ังน้ี ๑. พอ่ แมห่ รอื ครอบครวั (Parents or family) เปน็ สถาบนั ทางสงั คมเบอื้ งตน้ ทม่ี คี วามผกู พนั สมั พนั ธอ์ ยา่ งลกึ ซง้ึ เปน็ สง่ิ แวดลอ้ มหรอื กลมุ่ ตวั แทนทส่ี า� คญั ตอ่ ลกั ษณะพฤตกิ รรมมนษุ ย์ มภี าระหนา้ ที่ รบั ผดิ ชอบการขัดเกลาท้งั โดยตรงและโดยออ้ ม ต้องมคี วามรู้เขา้ ใจในกระบวนการขดั เกลา ต้องมเี วลา ใหค้ วามรกั ความอบอนุ่ อยา่ งพอเพยี ง ขดั เกลาอบรมสงั่ สอนบตุ รโดยตรงวา่ อะไรดอี ะไรชว่ั อะไรถกู อะไร ผดิ อะไรควรและไมค่ วร หา้ มไมใ่ หท้ า� ความชวั่ แนะนา� ใหท้ า� แตส่ งิ่ ดงี าม เพอ่ื เปน็ หลกั ในการดา� เนนิ ชวี ติ เพื่อให้บุตรด�าเนินชีวิตอย่างถูกต้องเหมาะสมในสังคม โดยอ้อม พ่อแม่ตัวแทนต้องมีคุณธรรมและ

76 สงั คมวิทยาเบอื้ งต้น จรยิ ธรรมเป็นแบบอยา่ งทดี่ ตี อ่ บตุ ร เพอื่ จะได้ยึดถอื เปน็ ต้นแบบในการดา� เนินชวี ิต พ่อแม่ไมค่ วรแสดง พฤติกรรมไม่ดีให้บุตรเห็น ไม่ควรมีพฤติกรรมโหดร้ายทารุณทุบตีกันต่อหน้าบุตร ไม่ควรฆ่าลักขโมย เอาของคนอน่ื ไมค่ วรรษิ ยาประทษุ รา้ ยคนอนื่ ไมค่ วรพดู เทจ็ พดู คา� หยาบเสยี หาย ไมค่ วรกลา่ วรา้ ยนนิ ทา ทา� ลายคนอนื่ ไมค่ วรดมื่ เสพสรุ ายาเสพตดิ ไมค่ วรเทยี่ วเลน่ ไมร่ บั ผดิ ชอบ ไมค่ วรใชช้ วี ติ อยา่ งไรจ้ ดุ หมาย ปลายไร้คุณค่าความหมาย ไม่ควรเสพบริโภคใช้สอยวัตถุเกินความจ�าเป็น สร้างค่านิยมฟุ่มเฟือยหรือ วัตถุนิยมใหแ้ กบ่ ตุ ร พ่อแม่บางคนหา้ มไมใ่ ห้ลูกดมื่ เหลา้ สบู บหุ รีเ่ ล่นการพนนั แต่ตวั เองกลบั ดื่มสูบเลน่ ให้ลูกเห็นเป็นประจ�า บางคนสอนให้ลูกขยันท�างานรู้คุณค่าของเงินไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แต่ตัวเองกลับ เกียจคร้านอยู่เฉยใช้จ่ายฟุ่มเฟือยไร้เหตุผล มีพฤติกรรมเสียหายไม่เป็นแบบอย่างท่ีดีต่อลูก เพราะลืม ไปวา่ แบบอยา่ งทดี่ มี คี า่ กว่าคา� สอน ๒. ครอู าจารย์ (Teachers) ทง้ั ทเ่ี ปน็ พระและฆราวาสเปน็ ปจั จยั สา� คญั อยา่ งหนงึ่ ทม่ี อี ทิ ธพิ ล ต่อพฤติกรรมมนุษย์ ครูอาจารย์เปรียบประดุจช่างที่ปั้นสร้างรูป ช่วยสร้างพัฒนาลักษณะความเป็น มนษุ ย์ ครอู าจารยน์ อกจากมหี นา้ ทส่ี ง่ั สอนใหก้ ารศกึ ษาตามหลกั วชิ าการแลว้ ยงั ตอ้ งชว่ ยในการพฒั นา เปล่ียนแปลงพฤติกรรม ช่วยในการสร้างสรรค์พัฒนาบุคลิกภาพและสติปัญญา เพ่ือการด�าเนินชีวิตที่ ถกู ตอ้ งดงี ามมปี ระโยชนแ์ ละความสขุ สมบรู ณ์ ครอู าจารยค์ วรเปน็ ครทู ดี่ มี ปี ระสทิ ธภิ าพ มคี วามสขุ สนกุ กบั การทา� งานทา� หนา้ ทค่ี วามเปน็ ครใู หส้ มบรู ณ์ จงึ จะประสบความสา� เรจ็ ในอาชพี ความเปน็ ครอู าจารย์ ครูอาจารย์ต้องมีความรู้เข้าใจในเนื้อหาสาระวิชาอย่างถ่องแท้ รู้เข้าใจในกระบวนการขัดเกลา รู้เข้าใจ หลกั วธิ กี ารสอน เปน็ ผมู้ พี ฤตกิ รรมนา่ รกั เคารพยกยอ่ งและนา่ เจรญิ ใจ กลา่ วคอื มคี วามเมตตากรณุ าพา สนิทสนมเป็นกันเอง ชวนให้เข้าไปหาปรึกษาไต่ถาม เป็นผู้หนักแน่นอดทนไม่หว่ันไหว เป็นที่พ่ึงให้ ความรกั อบอนุ่ มนั่ ใจได้ เปน็ ทปี่ รกึ ษาคอยแนะนา� วา่ กลา่ วตกั เตอื น เปน็ ผรู้ บั ฟงั คา� ปรกึ ษาหารอื ตา� หนติ ชิ ม อดทนฟังได้ไม่ร�าคาญเบื่อหน่าย สามารถสอนชี้แจงเรื่องต่าง ๆ ทั้งหลายให้รู้เข้าใจไร้ความกังวลสงสัย เป็นแบบอย่างชักจงู แนะนา� ในสิ่งทีด่ ีไมเ่ สียหาย การเปน็ ครอู าจารยท์ ด่ี มี ปี ระสิทธภิ าพสง่ ผลต่อแนวคดิ การประพฤตแิ ละปฏิบัตขิ องลกู ศิษย์อยา่ งแนน่ อน ๓. เพื่อน (Group of peer or friend) มีความส�าคัญจ�าเป็นและอิทธิพลอย่างมากในกลุ่ม เพ่ือน มีอิทธิพลต่อแนวความคิดและการกระท�า เป็นแรงจูงใจในการแสดงพฤติกรรมท้ังในทางบวก และลบ โดยทวั่ ไป สง่ิ ทเ่ี หมอื น ๆ กนั มกั ไหลมาอยรู่ วมกนั คนทม่ี อี ปุ นสิ ยั พฤตกิ รรมคลา้ ยกนั มกั คบหากนั แต่ถ้าหากมีอุปนิสัยพฤติกรรมที่แตกต่างกันมักเกิดความขัดแย้งคบหากันได้ไม่นาน เพื่อนท่ีชอบเรียน หนังสือมักคบหาเพ่ือนเรียนหนังสือด้วยกัน เพื่อนท่ีชอบท�างานมักคบหาเพื่อนท่ีท�างานด้วยกัน เพื่อนท่ีชอบด่ืมมักคบหาเพ่ือนท่ีชอบดื่มด้วยกัน เพื่อนท่ีชอบเท่ียวมักคบหาเพื่อนที่ชอบเท่ียวด้วยกัน เพื่อนที่ชอบเล่นมักคบหาเพ่ือนท่ีชอบเล่นด้วยกัน เพราะอิทธิพลอุปนิสัยพฤติกรรมท่ีเหมือนกัน

การขดั เกลาทางสงั คม 77 การคบหาสมั พนั ธ์จะเกดิ การเลียนแบบเอาอยา่ งซึง่ กันและกัน หากคบหาเพอื่ นไม่ดี อาจน�าไปในทางท่ี ผดิ เสยี หายได้ แมบ้ างครง้ั ไมไ่ ดค้ ดิ ตง้ั ใจทจ่ี ะทา� เพราะอทิ ธพิ ลของเพอ่ื น เพอื่ ความเจรญิ รงุ่ เรอื งกา้ วหนา้ ของชีวิต หา้ มคบหาเพ่อื นเลวไมด่ ี ให้ร้จู ักเลือกคบหาเพอ่ื นดีเปน็ บณั ฑิต เพอื่ นท่ีดีเปน็ บัณฑติ คอื เพื่อน ทค่ี ดิ ดพี ดู ดที า� ดี ชว่ ยเหลอื เกอ้ื กลู รว่ มสขุ รว่ มทกุ ข์ เสยี สละไมเ่ หน็ แกต่ วั ไมก่ ลา่ วรา้ ยนนิ ทาทา� ลายเพอื่ น คอยแนะน�าแต่สิ่งดีงามเปน็ ประโยชน์ ไม่ให้ท�าความช่ัวใหท้ า� แต่ความดี รักจริงใจห่วงใยหวงั ดีต่อเพือ่ น เสมอ และดา� เนนิ ชวี ติ ทางสงั คมอยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะสมมเี หตผุ ลเพยี งพอ ชวี ติ และอนาคตจะเจรญิ รงุ่ เรอื ง กา้ วหนา้ หรอื เสอื่ มเสยี ลม้ เหลวกเ็ พราะเพอ่ื น การสรา้ งสรรคช์ วี ติ และอนาคตทดี่ อี ยา่ งหนงึ่ คอื การเลอื ก คบหาเพอ่ื นดี ลกั ษณะเพอ่ื นดไี มใ่ ชด่ จู ากฐานะ ชาตติ ระกลู และการศกึ ษาใบปรญิ ญาบตั ร เพราะลกั ษณะ เหล่านี้เป็นเพียงเปลือกนอก ไม่ใช่เน้ือในลักษณะความเป็นเพ่ือนดี ต้องดูสังเกตจากพฤติกรรมการ กระทา� อนั เปน็ ปกตขิ องเขา ตอ้ งใชเ้ วลาดสู งั เกตใหน้ าน ๆ ดสู งั เกตใหแ้ น่ ๆ อยา่ รบี รอ้ นเพราะอาจมบี าง สง่ิ บางอยา่ งลวงตาลวงใจได้ ดสู งั เกตแนวความคดิ ถกู ตอ้ งเปน็ ปกตไิ หม ผดิ ไปจากกฎหมายและศลี ธรรม หรือเปล่า ดูสังเกตการพูดจาสุภาพเรียบร้อยจริงใจไหม พูดกับเรากับเพ่ือนและคนอ่ืน ๆ เป็นอย่างไร พูดต่อหน้าและลับหลังพูดอย่างไร ดูสังเกตการกระท�าถูกต้องมีเหตุผลไม่มีโทษเสียหายเรียบร้อย สม�่าเสมอหรือเปล่า ไม่ว่าต่อหน้าและลับหลังก็มีพฤติกรรมท�าเป็นปกติอย่างนั้น เพราะพฤติกรรมท�า เปน็ ปกติยอ่ มหมายถงึ ลกั ษณะอปุ นิสยั ที่แทจ้ รงิ ของเขา ในสังคมทั้งหลาย มที ั้งเพือ่ นดีและไมด่ ี จริงใจ หวงั ดแี ละไมจ่ รงิ ใจหวงั รา้ ย ควรคบหรอื ไมค่ วรคบ เพราะการคบหาเพอ่ื นเลวไมด่ กี จ็ ะนา� ไปในทางทผี่ ดิ เสยี หาย คบเพื่อนดเี ป็นบัณฑิตก็จะน�าไปสู่ความเจริญรุ่งเรอื งกา้ วหน้าในชวี ติ ทางสังคมตอ่ ไป ๔. สื่อสารมวลชน (Mass media) หมายถึงวิธีการและสถาบันที่น�าเสนอข้อมูลข่าวสาร และรปู แบบการตดิ ตอ่ สอ่ื สารเพอ่ื ผลติ ขอ้ มลู ขายสนิ คา้ และความบนั เทงิ เชน่ วทิ ยุ โทรทศั น์ ภาพยนตร์ วดิ โี อ หนงั สอื หนงั สอื พมิ พ์ และนติ ยสารตา่ ง ๆ ทงั้ หลาย เปน็ ตน้ โดยเฉพาะรายการโทรทศั น์ นอกจาก จะให้ความรู้ข้อมูลข่าวสารและความบันเทิงแล้ว ยังถือได้ว่าเป็นปัจจัยส�าคัญอย่างหนึ่งมีอิทธิพลต่อ ลักษณะพฤตกิ รรมมนษุ ย์ทั้งในทางบวกและลบ เพราะผชู้ มรายการโทรทัศน์ตา่ ง ๆ ท้งั หลาย ทงั้ ได้เหน็ ภาพและไดย้ นิ เสยี ง เปน็ สอ่ื ชกั ชวนโนม้ นา้ วจติ ใจใหเ้ กดิ ความสนใจนยิ มชมชอบ เกดิ แรงกระตนุ้ จงู ใจให้ เกิดการเลียนแบบเอาอย่าง แสดงพฤติกรรมการกระท�าท้ังหลาย เป็นสื่อท่ีมีอิทธิพลมากท่ีสุดต่อ พฤติกรรม หากผ้ชู มขาดวจิ ารณญาณใคร่ครวญไตรต่ รอง ส่อื เพื่ออะไร จรงิ หรือเท็จ ดหี รือไมด่ ี มสี าระ หรือไร้สาระ เป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ ก็จะส่งผลเสียเป็นโทษภัยอันตรายต่อพฤติกรรม เกิดการยั่วยุโน้มน้าวชักจูงแสดงพฤติกรรมเสียหาย ผู้ผลิตรายการเสนอข่าวสารข้อมูลต้องมุ่งท�าให้มี สาระคุณค่าความหมายและประโยชน์แก่ผู้เสพบริโภค เป็นแหล่งการศึกษาเรียนรู้เป็นประโยชน์ เพือ่ การพัฒนาคุณภาพชวี ติ และสังคม ไมใ่ ช่ม่งุ ผลิตเพื่อแกง่ แย่งแข่งขันผลประโยชน์กา� ไร รายการและ ขอ้ มลู ขา่ วสารทนี่ า� เสนอไป ไรส้ าระคณุ คา่ ความหมายไมเ่ กดิ ประโยชน์ กลายเปน็ ขยะขอ้ มลู ขา่ วสารเปน็

78 สงั คมวทิ ยาเบือ้ งตน้ โทษภัยอันตรายต่อชีวิตและสังคม สนับสนุนส่งเสริมค่านิยมท่ีผิดฟุ้งเฟ้อหรูหราหาสาระไม่ได้ ท�าให้ หลงใหลมวั เมาสนกุ สนานในการเสพบรโิ ภค เพราะสอ่ื สารมวลชนมที งั้ คณุ และโทษ ตอ้ งมวี จิ ารณญาณ ในการดูเสพบริโภค ปัญหาส�าคัญอย่างหนึ่ง จะท�าอย่างไรน�าเอาสื่อรายการข้อมูลข่าวสารมาเป็น ประโยชน์ในการศึกษาเรียนรูส้ ร้างสรรคพ์ ัฒนาลกั ษณะความเปน็ มนุษย์ ลกั ษณะมนุษยท์ ่ดี ีสมบูรณแ์ บบ กลา่ วโดยยอ่ ลกั ษณะความเปน็ มนษุ ยท์ ด่ี สี มบรู ณแ์ บบ กค็ อื แบบมคี วามรดู้ กี บั ความประพฤตดิ ี (วชิ ชาและจรณะ, Good wisdom and behavior) ดชี ัว่ อย่ทู ีต่ วั ท�า สงู ต่�าอยูท่ ีท่ �าตวั คนจะดนี ตี้ อ้ งฝึก และศึกษา กายวาจาใจต้องอบรมบ่มนิสัย ต้องฝึกจิตให้แน่นหนักเป็นหลักในการด�าเนินชีวิต ไม่มีใคร สามารถให้คนอื่นดีและเลวได้ นอกจากตัวของมนุษย์เอง จ�าต้องหม่ันเรียนรู้พัฒนาตนไปสู่ความ สมบูรณ์แบบ คนอ่ืนเป็นแต่เพียงผู้บอกแนะน�าเท่าน้ัน พ่อแม่ผู้ปกครองต่างคาดหวังต้องการให้ บตุ รหลานเปน็ คนดพี รอ้ มสมบรู ณแ์ บบ กลา่ วโดยพสิ ดารตามหลกั พระพทุ ธศาสนา ความเปน็ มนษุ ยห์ รอื แบบลักษณะมนุษย์ท่ีสมบูรณ์แบบน้ัน ต้องประกอบไปด้วยคุณธรรม ๗ ประการ (สัปปุริสธรรม ๗) อันไดแ้ ก่ รู้จกั เหตุ รู้จักผล รจู้ กั ตน รจู้ ักประมาณ รู้จกั กาล ร้จู กั ชุมชน และรูจ้ กั บคุ คล ดงั นี้ ๑. รจู้ กั เหตุ (ธมั มญั ญตุ า) รจู้ กั หลกั การ หลกั ความจรงิ หลกั ความดี หนา้ ทท่ี างสงั คมการเมอื ง ทั้งหลาย รู้จักคิดวิเคราะห์หาสาเหตุของสิ่งต่าง ๆ ท้ังหลาย รู้จักเหตุแห่งความเสื่อม ความเจริญ และวิธีการปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายท่ีวางเอาไว้ เป็นการรู้จักหลักความจริงถูกต้อง รู้จักกฎธรรมดา กฎแห่งเหตุผล และรู้จักหลักการท่ีจะท�าให้เกิดผลประโยชน์สูงสุด รู้เข้าใจโลกและชีวิตอย่างถูกต้องมี เหตุผล สา� นกึ รับผดิ ชอบในหลกั แหง่ ความดี มงุ่ ทา� เต็มท่ีเตม็ ก�าลังความสามารถอย่างมเี หตุผลพอเพยี ง ต่อเนือ่ ง เพอื่ ไปสู่จดุ มุ่งหมายของเหตุนั้น บตุ รจา� ตอ้ งรจู้ กั หลกั แหง่ ความดหี นา้ ทส่ี า� คญั ของตนเอง เชน่ ชว่ ยพอ่ แมท่ า� งานตามฐานะโอกาส ประพฤติตนให้เหมาะสม เคารพเชื่อฟังกตัญญูต่อพ่อแม่ หน้าท่ีส�าคัญยิ่งอย่างหนึ่งในวัยเด็ก คือการ ศกึ ษาเพอื่ พฒั นา การศกึ ษา คอื รากฐานสา� คญั ของชวี ติ คอื ดวงปญั ญาของมนษุ ย์ คอื ขมุ ทรพั ยม์ หาศาล คืออัญมณีอันล้�าค่า คือดวงประทีปท่ีไม่มีวันดับตลอดกาล ต้องรู้เข้าใจหลักการนี้ให้ชัดเจน การศึกษา เปน็ เหตปุ จั จยั สา� คญั แหง่ ความเจรญิ ของชวี ติ ตอ้ งตงั้ ใจทา� อยา่ งจรงิ จรงิ จรงิ จงั ไมเ่ รยี นเลน่ ๆ เหลวไหล ไมเ่ กยี จครา้ นมวั เมาหลงใหลในสรุ ายาเสพตดิ ตดิ การเทยี่ วเลน่ ตา่ ง ๆ เพราะรวู้ า่ เปน็ เหตแุ หง่ ความเสอื่ ม ไมด่ ี ทา� ลายคณุ ภาพชวี ติ และอนาคต ตงั้ ใจศกึ ษาไมเ่ รยี นเพยี งเพอื่ สอบผา่ น การเรยี นเพยี งเพอื่ สอบผา่ น ใครกท็ า� ได้ แตก่ ารเรยี นเพอ่ื นา� ไปใชป้ ระกอบอาชพี หรอื เพอื่ บรรลเุ ปา้ หมายของการศกึ ษาทแี่ ทจ้ รงิ ตอ้ ง ใสใ่ จทมุ่ เทอยา่ งหนักในการศึกษาเรียนรเู้ ข้าใจ

การขัดเกลาทางสังคม 79 พ่อแม่ผู้ปกครองต้องรู้จักหลักการให้การศึกษาท่ีถูกต้องเพียงพอ การเรียนการศึกษาต้องใช้ เวลาขยันอดทนทุ่มเทอย่างหนักต่อเนื่อง คนต้องการความรู้ ต้องละความสุข หากต้องการความสุข ต้องละความรู้ บางคนรักหวังดีต่อบุตรมากเกินไป ให้บุตรเรียนแบบสบาย ๆ ไม่ให้ล�าบาก คอยเอาใจ ตามใจไปเสยี ทุกอย่าง มอี ะไรนิดอะไรหนอ่ ยกช็ ่วยท�าแทนไปเสียทกุ อย่าง บุตรต้องการอะไรกร็ บี หาให้ เพอื่ ความสะดวกสบายของเขา คอยใหค้ อยอมุ้ อยู่ตลอดเวลา ปัญญาก็ไมเ่ กดิ เกดิ แตป่ ญั หา บุตรกลาย เปน็ คนออ่ นแอเอาแตใ่ จทา� อะไรไมเ่ ปน็ ปรบั ตวั เขา้ กบั สงั คมไดย้ าก เปน็ การสรา้ งพฤตกิ รรมนสิ ยั เสยี ให้ แก่บุตร เป็นการฆ่าท�าลายเขาโดยไม่รู้ตัว แต่บางคนรู้เข้าใจอย่างดีมีเหตุผล ตามใจในสิ่งท่ีถูกต้อง ขัดขวางคอยหา้ มในทางทีผ่ ดิ เสียหาย ฝึกสอนให้คดิ เองทา� เอง สอนให้พงึ่ ช่วยเหลอื ตัวเอง ฝึกสอนให้สู้ อดทนรจู้ กั ความทกุ ขย์ ากลา� บาก รจู้ กั ความจรงิ ของโลกและชวี ติ สอนใหเ้ รยี นใหท้ า� ใหส้ รา้ งพฒั นาความ เปน็ มนษุ ยเ์ ตม็ ท่ี เนน้ คณุ คา่ ภายในมากกวา่ วตั ถภุ ายนอก ความรคู้ วามสามารถนแ่ี หละจะเปน็ ทพี่ งึ่ ทแี่ ท้ จริงของเขาไปตลอดกาล เรารกั เขาช่วยเหลือเขาเปน็ ที่พ่ึงเขาได้ ในระยะเวลาท่เี ราอยู่ดว้ ยกนั ไมแ่ นว่ า่ เราจะจากเขาไปเม่ือไร เป็นการสร้างปลูกฝังคุณธรรมการต่อสู้ความหนักแน่นอดทน สามารถปรับตัว เข้าอยู่ได้กับสังคม เป็นคนหนักแน่นสุขง่ายทุกข์ยาก เป็นการสร้างพฤติกรรมนิสัยที่ดีถูกต้องแก่บุตร อยา่ งเป็นเหตุเปน็ ผลตามกระบวนการขัดเกลาทางสงั คม ๒. รู้จักผล (อัตถัญญุตา) รู้จักความมุ่งหมาย รู้จักจุดหมายของหลักการที่ตนปฏิบัติแล้วจะ บรรลเุ ป้าหมายนัน้ อย่างแนน่ อน เปน็ การรเู้ ขา้ ใจหลกั ความจรงิ ถกู ตอ้ งดงี าม รคู้ ุณคา่ ความหมายสาระ อันแทจ้ รงิ ของมนั รู้จกั เปา้ หมายประโยชนส์ งู สดุ ของมัน รู้เขา้ ใจโลกชวี ิตและจุดหมายสงู สุดของชวี ิต มนษุ ยต์ อ้ งรจู้ กั ความมงุ่ หมายของการศกึ ษา เปา้ หมายประโยชนข์ องการศกึ ษา คอื สรา้ งสรรค์ พฒั นาลกั ษณะความเปน็ มนษุ ย์ เพอ่ื รเู้ ขา้ ใจสง่ิ ทงั้ หลายตามความเปน็ จรงิ แลว้ ปฏบิ ตั ใิ หถ้ กู ตอ้ งตามหลกั ความจรงิ นนั้ เพอื่ ชวี ติ ทด่ี งี ามประเสรฐิ มองเหน็ สารประโยชนส์ า� คญั ของการศกึ ษา เปน็ สงิ่ สา� คญั จา� เปน็ อย่างยิ่งต่อชีวิต ชีวิตจะขาดการศึกษาไม่ได้ คนเราขาดอะไรก็ขาดได้ ขาดพ่อแม่ ขาดญาติพี่น้อง ขาดญาตสิ นทิ มติ รสหาย ขาดเงนิ ทองทรพั ยส์ มบตั ิ ถอื วา่ เปน็ ความเสอ่ื มเพยี งเรอื่ งเลก็ นอ้ ย แตก่ ารขาด จากการศกึ ษา เปน็ ความเสอ่ื มอนั ยง่ิ ใหญข่ องชวี ติ ชวี ติ มดื บอดไรท้ ศิ ทางไรค้ ณุ คา่ ความหมาย ถอื วา่ เปน็ ผูร้ ู้เข้าใจโลกชวี ิตและความมุ่งหมายของชีวิต การคบหาเพื่อนท้ังดีและไม่ดี ประโยชน์บทเรียนบางอย่างเราได้จากเพื่อดีและเลว ต้องรู้จัก ความมงุ่ หมายในการคบหาสมาคม สามารถมองเหน็ ทงั้ คณุ และโทษในการคบหาสมั พนั ธ์ หากคบเพอื่ น ไม่ดี ผลจะเกิดขึ้นตามมาอย่างไร เพราะเพื่อนมีอิทธิพลต่อเพื่อน เพ่ือนไม่ดีต้องน�าไปในทางท่ีผิดเสีย หายอย่างแน่นอน ท�าให้หลงติดสุรายาเสพติดติดเท่ียวติดเล่นอย่างแน่นอน ท�าให้เสียเงินเสียเวลา เป็นท่ีระแวงสงสยั ขาดความเคารพเชื่อถอื หากเป็นเพ่ือนดผี ลทตี่ รงกนั ขา้ มจะเกิดข้ึนตามมา

80 สังคมวทิ ยาเบื้องต้น การด่ืมน้�าและเหล้าสุรา ต้องรู้จักคุณและโทษแห่งการเสพด่ืม โทษแห่งการดื่มสุรายาเมา เมาแล้วคยุ ไม่ร้เู รื่องท�าให้เกดิ การทะเลาะววิ าท ท�าใหข้ าดสตปิ ระมาท ท�าให้ไม่รูจ้ กั อายเกรงกลวั อะไร กล้าทา� ผดิ ต่าง ๆ นานา ทา� ลายสตปิ ัญญาความสามารถ ท�าลายสขุ ภาพรา่ งกาย ท�าใหเ้ กิดโรคภยั ไข้เจบ็ ตา่ ง ๆ ทา� ใหเ้ สยี เงนิ และเวลา เปน็ ทรี่ ะแวงสงสยั ขาดความนบั ถอื เชอ่ื ถอื มองเหน็ โทษมากกวา่ คณุ อยา่ ง น้ีแล้วไม่ท�า พยายามท�าความเข้าใจระหว่างน�้าบริสุทธ์ิกับสุรายาเมา รู้เข้าใจในคุณและโทษของมัน แล้วก็เสพดื่มส่ิงท่ีมีคุณประโยชน์มากกว่า ในเร่ืองอื่น ๆ ก็ต้องรู้เข้าใจความมุ่งหมายของมันให้ได้ให้ ถกู ตอ้ งมเี หตผุ ลมากทสี่ ดุ เพอื่ คณุ ภาพชวี ติ ทดี่ ี ความเจรญิ รงุ่ เรอื งกา้ วหนา้ ของชวี ติ และเพอื่ ชวี ติ ทด่ี งี าม ประเสรฐิ ๓. รู้จักตน (อัตตัญญุตา) รู้จักตัวเองตามความเป็นจริง โดยการรู้จักภาวะ ฐานะ เพศ วัย ก�าลัง ความรู้ ความสามารถ ความชอบ ความถนัดของตนเองตามความเปน็ จรงิ รเู้ ข้าใจแล้วปฏิบัตติ น ให้ถูกต้องเหมาะสม ให้สอดคล้องสัมพันธ์ถูกต้องระหว่างตนเองกับสังคม ให้เกิดประโยชน์เกื้อกูลกัน อย่างมีเหตุผลถกู ต้องเพียงพอ ไม่มปี ญั หาโทษภัยอันตรายมแี ตค่ วามเจรญิ งอกงามสมบูรณ์ ตามนัยแห่งพระพุทธศาสนา ตัวตนหรืออัตตา บางครั้งหมายถึงตัวตนร่างกายของมนุษย์ แตบ่ างครงั้ กห็ มายถงึ จติ ตวั ตนทเี่ ราเหน็ รเู้ ขา้ ใจ มขี นาดรปู รา่ งนา�้ หนกั จบั ตอ้ งสมั ผสั ได้ พระพทุ ธศาสนา ก็ยอมรบั ในส่วนน้ี ถอื ว่าเปน็ ความจรงิ ทมี่ ีอยู่ แต่เปน็ ความจรงิ ขน้ั สมมติ (สมมติสจั จะ) ตัวตนของสัตว์ บุคคลเป็นความจริงขัน้ สมมติ เปน็ ความจรงิ ท่ีชาวโลกยอมรับกนั ทัว่ ไป ในความจริงข้นั สูงสดุ (ปรมตั ถ- สัจจะ) พระพุทธศาสนาสอนให้มองตัวตนของสัตว์บุคคลเป็นกระบวนการธรรมชาติอย่างหนึ่ง ที่สร้างสรรค์ปรุงแต่งขึ้นด้วยเหตุปัจจัย เป็นการรวมขององค์ประกอบทางธรรมชาติ หากมองแบบ แยกแยะสว่ นประกอบตา่ ง ๆ ออก กไ็ มม่ ตี วั ตน ตวั ตนทเี่ ขา้ ใจยอมรบั กนั กไ็ มใ่ ชต่ วั ตนทแ่ี ทจ้ รงิ (อนตั ตา) ถือได้ว่าเป็นความจริงขั้นสูงสุด เป็นการสอนให้รู้เท่าทันธรรมดาของตัวตนใน ๒ ระดับ ความจริงโดย สมมตแิ ละความเปน็ จรงิ แท้ รเู้ ขา้ ใจแลว้ ปฏบิ ตั ใิ หถ้ กู ตอ้ งเหมาะสม รเู้ ขา้ ใจแลว้ ไมย่ ดึ มน่ั หรอื หลงโลกจน เกนิ ไป จติ เปน็ อสิ ระไรก้ งั วลมคี วามสขุ ใจ เพราะการไมร่ เู้ ขา้ ใจผดิ ยดึ ตดิ ถอื มน่ั กอ่ ใหเ้ กดิ ความทกุ ขก์ งั วล ใจเปน็ ปัญหา ในเรือ่ งตน กส็ อนใหร้ ูจ้ ักพึ่งตนเอง ในเร่อื งการศกึ ษา การงาน การครองเรอื น หรอื การครอง ชวี ติ สอนใหร้ จู้ กั พง่ึ ตนเองดว้ ยการกระทา� และคณุ งามความดี ความรู้ ความสามารถ ความเพยี รพยายาม ความขยนั อดทน ตลอดถงึ การรหู้ ลกั ดา� เนนิ ชวี ติ ทด่ี งี ามประเสรฐิ เปน็ ตน้ ไมส่ อนใหพ้ งึ่ คนอนื่ หรอื ปจั จยั ภายนอก เทพเจ้าสิ่งศักดิ์สิทธ์ิทั้งหลายท่ัวไป จริงอยู่ มนุษย์เกิดมาในโลกน้ี จ�าต้องพึ่งพาอาศัยกัน พระพุทธศาสนารู้เขา้ ใจยอมรับไม่ปฏิเสธ แต่ก็ไดส้ อนถึงที่พงึ่ ๒ ประการ คือ ทพี่ ่ึงภายนอกและภายใน ท่ีพึ่งภายนอก มีบิดามารดา สามีภรรยา ครูอาจารย์ ญาติสนิทมิตรสหาย เป็นต้น เป็นที่พึ่งได้ แต่ไม่ เทย่ี งแทแ้ นน่ อน ไมย่ ง่ั ยนื มน่ั คงเสมอไป พอ่ แมแ่ มม้ คี วามรกั หวงั ดตี อ่ บตุ ร เปน็ ทพี่ ง่ึ ของบตุ รได้ แตเ่ พราะ

การขดั เกลาทางสังคม 81 ความไม่แน่นอนของชีวิต มีการห่างหายตายจากกันไปเป็นธรรมดา ส่วนคนอื่นเวลารักชอบพอใจกัน เคารพนับถือกัน ก็อาจพ่ึงพาอาศัยกันได้ ทะเลาะโกรธเกลียดกัน ไม่เคารพนับถือกัน ก็พ่ึงพิงกันไม่ได้ ส่วนท่ีพึ่งภายใน คือคุณงามความดีของตนเอง ความรู้ ความสามารถ ความเพียรพยายาม ความขยัน อดทน เป็นต้น เป็นที่พึ่งท่ีเท่ียงแท้แน่นอน ย่ังยืนม่ันคงตลอดไป เป็นที่พึ่งได้ทุกหนทุกแห่งทุกภพทุก ชาติ ในทพี่ ่ึงแห่งตน ๒ อย่างนี้ พระพทุ ธศาสนาสอนเน้นใหพ้ ่งึ ที่พ่งึ ภายในคือคุณงามความดเี ป็นสา� คญั อย่าหวังพ่ึงท่ีพ่ึงภายนอกมากเกินไป ดังนั้น ขออย่าได้ประมาท ขอจงตั้งจิตคิดท�าศึกษาเรียนรู้สู้ตน ให้มีความรู้และคุณธรรมเต็มที่ เพ่ือท่ีจะพึ่งตนเองได้ ไม่พึ่งคนอ่ืน “ตนแลเป็นท่ีพึ่งของตน คนอ่ืนใคร เล่าจะเป็นทีพ่ ึ่งได”้ ๔. รจู้ กั ประมาณ (มตั ตญั ญตุ า) รจู้ กั ความพอใจพอดพี อเพยี งพอเหมาะมเี หตผุ ล รจู้ กั ประมาณ ในการเสพบริโภคใช้สอยใช้จ่ายทรัพย์ รู้จักประกอบอาชีพท่ีสุจริตถูกต้องตามกฎหมายและศีลธรรม ยินดีพอใจในสิ่งของที่ตนได้มาโดยถูกต้องชอบธรรม หรือยินดีพอใจในส่ิงท่ีตนได้มีและเป็น เป็นการ บริหารจัดการระเบียบชีวิตให้สอดคล้องสัมพันธ์กับส่ิงทั้งหลายที่มีอยู่อย่างพอดีมีเหตุผลมีความสุขไร้ ปัญหาอย่างมน่ั คงยั่งยืน ในเสพบริโภคใช้สอยสิ่งต่าง ๆ ทั้งหลาย ต้องรู้จักคุณค่าความหมายความพอดีเหมาะสม ประโยชน์ของมัน อะไรคือคุณค่าความหมายประโยชน์แท้จริงของมัน จะเสพบริโภคใช้สอยเพื่ออะไร เพื่อสนองกิเลสตัณหาความอยากความโก้หรูหราค่านิยม หรือเพ่ือคุณค่าความหมายประโยชน์สูงสุด ของการเสพบรโิ ภคใช้สอย การรูจ้ ักประมาณพอเพยี งในการบริโภคใชส้ อย ไม่ฟุ้งเฟอ้ หลงใหลมัวเมาใน การบรโิ ภคใชส้ อยทไี่ มถ่ กู ตอ้ งไรส้ าระตามกระแสสงั คมคา่ นยิ ม รจู้ กั กนิ รจู้ กั อม่ิ แลว้ รจู้ กั พอเพยี งมเี หตผุ ล เม่ืออิ่มแล้วไม่ใช่นอนนิ่งอยู่เฉย ต้องรู้จักท�างานเพียรพยายามท�าเต็มท่ีเพื่อคุณภาพชีวิตท่ีดี ไม่ท�าลาย ไม่สร้างปัญหาก่อความเดือดร้อนเสียหาย เพื่อความสัมพันธ์สมดุลเอกภาพสันติภาพสงบสุขของชีวิต ทางสงั คม ๕. ร้จู กั กาล (กาลัญญตุ า) รจู้ กั กาลเวลาอันเหมาะสม รจู้ ักการวางแผน ท�าอนั ไหนก่อนและ หลงั รเู้ ขา้ ใจระยะเวลาในการลงมอื ทา� ปฏบิ ตั ิ และระยะเวลาแหง่ ผลของการทา� ปฏบิ ตั ิ รจู้ กั วา่ เวลาไหน ควรท�าอะไร แค่ไหน อย่างไร รู้จักเวลาเรียน รู้จักเวลาท�างาน รู้จักเวลากิน รู้จักเวลาออกก�าลังกาย เวลาเล่น เวลาพกั ผ่อนนอนหลับอยา่ งถูกต้องเหมาะสมเพยี งพอ เสยี เงนิ เสยี ทองไมเ่ ปน็ ปญั หา เทา่ กบั เสยี เวลาและเสยี ใจ กาลเวลาทผ่ี า่ นพน้ ไปเอากลบั คนื ไมไ่ ด้ ผู้ฉลาดต้องรู้จักกาลเวลาอันเหมาะสม เวลาท่ีเราเป็นเด็ก ต้องเร่งรีบศึกษาหาความรู้ใส่ตนเอง เมื่อเตบิ ใหญ่จะไดม้ วี ชิ าความรเู้ ปน็ เครอ่ื งมอื ในการประกอบอาชพี เพราะวยั เด็กเปน็ วัยแหง่ การศกึ ษา เรียนรู้พัฒนาตนเอง เวลาเป็นหนุ่มสาวเป็นผู้ใหญ่ ต้องรู้จักท�ามาหากิน ตั้งตัวสร้างฐานะให้เป็น หลักแหลง่ มั่นคง ยอมลา� บากเม่อื หนุม่ ดีกวา่ กลุม้ เม่ือแก่ เวลาแกเ่ ฒา่ มา ต้องรูจ้ กั สร้างคุณงามความดี

82 สังคมวิทยาเบื้องตน้ ให้กับตนเอง เพื่อเป็นเสบียงเครื่องเดินทางในวันข้างหน้า นอกจากเป็นการท�าชีวิตให้มีคุณค่าความ หมายอย่างตอ่ เนอื่ งแลว้ ยงั เปน็ แบบอยา่ งให้แก่บตุ รหลานอนชุ นคนร่นุ หลงั ขอจงอยา่ ไดป้ ระมาท ร้จู ัก จัดการบริหารวันเวลา อย่าปล่อยให้กาลเวลาวันคืนเดือนปีอันมีคุณค่าล่วงเลยไปอย่างไร้ประโยชน์ ใชว้ ันเวลาใหค้ มุ้ คา่ มีความหมายมากทีส่ ดุ อย่ามวั ผัดวันประกันพรุง่ ถือฤกษค์ อยยาม หากทา� ดีถูกตอ้ ง เหมาะสมกบั กาลเวลา ไมว่ ่าเวลาเชา้ เท่ยี ง เยน็ หรือกลางคืน กเ็ ป็นวันเวลาท่ีดีมคี ณุ ค่าความหมาย ๖. รูจ้ ักชุมชน (ปริสัญญตุ า) การรจู้ ักถ่ินฐานสถานที่ ร้จู ักชมุ ชนสังคมวฒั นธรรม ร้จู กั ระดับ ความรู้ความสามารถความถนดั ความชอบและความต้องการของกล่มุ คน รู้จกั กิริยามารยาท กฎเกณฑ์ กติกา ระเบียบวินัย ขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี ตลอดถึงข้อปฏิบัติต่าง ๆ ทั้งหลายของพวกเขา เพอ่ื ปฏิบัตใิ หถ้ กู ต้องเหมาะสม เกดิ ความสมดุลเอกภาพดงี าม ในสังคมทงั้ หลาย มีหลายกลมุ่ คน กลุ่มพระสงฆ์ กลุ่มนักการเมือง กลมุ่ พอ่ คา้ กลมุ่ ประชาชน แต่ละกลุ่มต่างก็มีบทบาท หน้าที่ กฎเกณฑ์กติกา ระเบียบวินัย ขนบธรรมเนียมประเพณี ข้อปฏิบัติ ของตน แม้จะมีข้อปฏิบัติที่แตกต่างกันออกไป แต่เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว ก็เพ่ือความดีงามถูกต้อง มเี หตผุ ลของชมุ ชน จา� ตอ้ งรจู้ กั ขอ้ เทจ็ จรงิ หลกั การปฏบิ ตั ิ และการเปลยี่ นแปลงของกลมุ่ คน กอ่ นทจี่ ะ ทา� อะไรลงไป ขอยกตวั อยา่ ง กลมุ่ พระสงฆใ์ นสงั คมไทย พระสงฆก์ เ็ ปน็ บคุ คลกลมุ่ หนง่ึ ในพทุ ธบรษิ ทั ๔ คอื ภกิ ษุ ภกิ ษณุ ี อบุ าสก อบุ าสกิ า หรอื ยอ่ ลงเปน็ ๒ กลมุ่ คอื บรรพชติ กบั คฤหสั ถ์ หรอื พระกบั ฆราวาส เม่ือมีพระรูปหน่ึงประพฤติเสียหายไม่ดีงามเกิดข้ึน พอได้ทราบข่าว ก็นึกเอาว่า พระสมัยน้ี แยไ่ มด่ ี ประพฤตเิ ลวทรามไมน่ า่ เลอื่ มใสศรทั ธา รงั เกยี จดถู กู เหยยี ดหยามพระทง้ั หลาย พาใหเ้ ลกิ นบั ถอื ศาสนาไป เพราะขาดการคิดความร้เู ขา้ ใจในกลุ่มพระสงฆ์ ในทุกสังคมมีทงั้ คนดแี ละชัว่ สงั คมพระสงฆ์ กเ็ ชน่ เดยี วกนั มพี ระดแี ละไมด่ ี พระกค็ อื ลกู ชาวบา้ น ทเ่ี ขา้ มาบวชเปน็ พระภกิ ษสุ ามเณร เปน็ สมมตสิ งฆ์ ทยี่ อมรบั กนั ทว่ั ไป ประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ ามหลกั พระธรรมวนิ ยั ของพระพทุ ธศาสนา ประพฤตปิ ฏบิ ตั ถิ กู ตอ้ ง เหมาะสม ก็เป็นพระดี ไม่ถกู ตอ้ งเหมาะสม กก็ ลายเป็นพระไมด่ ี ศาสนาไม่ดี หรือว่าคนที่เป็นพระไม่ดี ควรปฏิบัติต่อศาสนาและพระไม่ดีอย่างไร จะยึดบุคคลหรือพระธรรมวินัย ในฐานะที่เป็นชาวพุทธ (ทงั้ พระและฆราวาส) จะทา� อยา่ งไร จะปฏบิ ตั อิ ยา่ งไร จงึ จะถกู ตอ้ งเหมาะสมดงี าม หนา้ ทข่ี องชาวพทุ ธ โดยทวั่ ไป กค็ อื ศกึ ษาหลกั ธรรมวนิ ยั ใหร้ เู้ ขา้ ใจอยา่ งถอ่ งแท้ แลว้ นอ้ มนา� มาปฏบิ ตั ใิ หเ้ กดิ ประโยชนส์ งู สดุ ดูแลเอาใจใส่ท�านุบ�ารุงช่วยกิจการเผยแผ่พระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนเน้นให้ถือธรรมเป็น ส�าคัญ ไม่ยึดติดตัวบุคคล คนท่ีรู้หลักศาสนาเพียงเล็กน้อย จะเป็นผู้มีใจโน้มเอียงไปสู่การไม่มีศาสนา หากรู้หลกั ศาสนาอย่างลกึ ซ้งึ กจ็ ะเป็นผ้มู ีจติ ม่ันคงในศาสนา ๗. รู้จักบคุ คล (ปุคคลญั ญุตา) ความเปน็ ผู้รู้จักความแตกตา่ งแห่งบุคคล รจู้ ักความเปน็ หญงิ และชาย พ่อแม่และบุตร เด็กและผู้ใหญ่ พระภิกษุสามเณรและฆราวาส นักเรียนหรือครูอาจารย์ เจา้ นายหรือลูกน้อง นกั รอ้ งหรอื นักกีฬา นักการเมืองนกั ธรุ กิจพ่อคา้ หรอื ประชาชนทว่ั ไป คนไทยหรือ

การขดั เกลาทางสังคม 83 คนตา่ งชาติ เขาเป็นใครมาจากไหนชาติไหนนบั ถืออะไร รจู้ กั คณุ ลกั ษณะความเปน็ มนุษย์ คนดหี รอื ชั่ว คนพาลหรือบัณฑิต รวยหรือยากจน สูงหรือต่�า ด�าหรือขาว มีความรู้ความสามารถแค่ไหนอย่างไร มีอัธยาศัยใจคอย่างไร รู้จักแล้วจะปฏิบัติต่อบุคคลน้ันอย่างไร ควรคบหาหรือไม่อย่างไร ควรเข้าไป เกยี่ วขอ้ งสมั พนั ธแ์ คไ่ หนอยา่ งไร (ทฆี นกิ าย ปาฏกิ วคคฺ พระไตรปฎิ กเลม่ ท่ี ๑๑, ขอ้ ที่ ๓๓, หนา้ ที่ ๒๖๔) ต้องรู้จักความแตกต่าง และคุณลักษณะความเป็นคน โดยเฉพาะคุณงามความดีมีคุณธรรม ของเขา เป็นหลกั ในการปฏบิ ตั อิ นั ถกู ตอ้ งดงี ามต่อกัน ไม่ถืออายชุ นชน้ั วรรณะ คนจะเป็นคนดี ก็เพราะ ทา� ดมี คี ณุ ธรรม ไมใ่ ชเ่ พราะโคตรชาตติ ระกลู ทรพั ยส์ มบตั ิ คนจะเปน็ ผใู้ หญ่ กเ็ พราะมคี ณุ ธรรมจรยิ ธรรม ไมใ่ ชเ่ พราะแกอ่ ายมุ ากและผมหงอก ไมเ่ คารพยกยอ่ งใหเ้ กยี รติ เพราะชาตสิ กลุ สงู ไมด่ ถู กู เหยยี ดหยาม เพราะชาติสกุลต่�า ไม่ปฏิบัติดีเคารพยกย่อง เพราะเป็นคนรวย ไม่ปฏิบัติผิดดูถูกเหยียดหยาม เพราะเป็นคนจน ไม่ว่าสูงหรือต่�า รวยหรือจน ต้องเคารพยกย่องให้เกียรติไม่ดูถูกเหยียดหยาม เพราะความเป็นมนษุ ย์เหมือนกัน เป็นคนดีมคี วามรู้ ความสามารถ ศลี ธรรม และมคี ณุ ธรรม แม้เกิดใน สกลุ สงู รา�่ รวย แตเ่ ปน็ คนเลวอนั ธพาลประพฤตติ นเสยี หาย กไ็ มค่ วรเคารพยกยอ่ งใหเ้ กยี รติ ไมค่ วรเขา้ ไป คบหาสมาคมเก่ียวข้อง ยกย่องคนที่ควรยกย่อง ข่มคนที่ควรข่ม น่ีเป็นหลักการส�าคัญอย่างหน่ึงของ พระพุทธศาสนา ย่ิงเป็นพ่อแม่ สามีภรรยา และพระผู้ทรงศีลแล้ว ต้องมองไปที่ความดีมีคุณธรรมจริยธรรม ตอ้ งระมดั ระวังใหม้ าก อย่าหลงไปปฏิบตั ิผิดตอ่ ท่าน ไม่ดถู ูกเหยียดหยามใส่รา้ ยท่าน ในทางพระพทุ ธ- ศาสนา ถือว่าท่านเหล่านี้เป็นไฟชนิดหนึ่งที่จะตามเผาไหม้ท�าลายความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าของผู้ ปฏิบัติผิด เป็นไฟท่ีป้องกันยากย่ิงกว่าไฟธรรมดา ไฟฟ้า ไฟที่เกิดจากแก๊ส และไม้ พระพุทธองค์ ทรงสอนเตือนพวกเราว่า อย่าประมาท อย่าประพฤติปฏิบัติผิดต่อท่าน อย่าไปเล่นกับไฟคือคุณงาม ความดที ม่ี องไม่เห็น เปน็ การถือความดคี วามถกู ต้องมเี หตผุ ล แล้วปฏิบัติตามความดถี ูกตอ้ งนนั้ จากขอ้ ความเบอื้ งตน้ ความเปน็ มนษุ ยท์ สี่ มบรู ณแ์ บบนน้ั ตอ้ งดพี รอ้ มสมบรู ณแ์ บบไดด้ ว้ ยการ ศึกษาเรียนรู้ฝึกฝนอบรมพัฒนาตนเต็มที่ ให้มีคุณภาพจิตหรือชีวิต ให้มีปัญญาสามารถคิดพิจารณา ไตร่ตรองส่ิงต่าง ๆ ท้ังหลาย รู้เขา้ ใจส่งิ ทง้ั หลายเหล่านนั้ ตามความเป็นจรงิ ปฏบิ ัติตอ่ สงั คมสิง่ แวดลอ้ ม อย่างถูกต้องเหมาะสมมีเหตุผลเพียงพอ จึงนับได้ว่า เป็นบุคคลที่ดีเลิศประเสริฐสมบูรณ์แบบ เพ่ือให้ เกิดภาพท่ีชัดเจนมากยิ่งข้ึน จึงขอเปรียบเทียบชีวิตมนุษย์กับน�้า น้�าหากอยู่ในสภาวะของมันก็คือ ของเหลว อยู่ไดแ้ ค่บนดิน ต่อเมอ่ื ไรระเหยกลายเปน็ ไอนา้� กจ็ ะลอยตัวข้ึนสทู่ ี่สูง คือทอ้ งฟา้ รวมตัวกนั เป็นก้อนเมฆ แล้วหยดลงมาเป็นเม็ดน้�า ก่อให้เกิดผลชุ่มเย็นอุดมสมบูรณ์ต่อสรรพส่ิงทั้งหลาย ตัวเรา เองก็เหมนื นา้� เกิดมาแลว้ ไมเ่ รยี นรตู้ อ่ ส้อู ยูเ่ ฉย ก็คงไมแ่ ตกต่างไปจากสัตว์อนื่ ทั้งหลาย อยไู่ ด้แคบ่ นดิน ไปสู่ท่ีสูงไม่ได้ ต่อเม่ือไรต่อสู้เรียนรู้พัฒนาตัวเอง จากไม่รู้ให้รู้เข้าใจตามความเป็นจริง สามารถท�าลาย ความโง่เขลาเบาปัญญา สามารถเปล่ียนแปลงพัฒนาตนจนกลายเป็นคนท่ีสมบูรณ์แบบ อันก่อเกิดผล



บทที่ ๕ ชายและหญงิ เหน็ ไดว้ า่ เปน็ เรอื่ งหรอื ปญั หาสา� คญั อยา่ งหนง่ึ ในสงั คมการเมอื งตะวนั ตก ทน่ี ยิ มศกึ ษากนั มาก อย่างกวา้ งขวางแพรห่ ลาย อันเนอ่ื งมาจากปัญหาการเปลีย่ นแปลงคนสังคมการเมอื งหรอื สจั ธรรมและ จริยธรรม ชายและหญิงเป็นใครมาจากไหน ความเป็นหญิงและชายก่อเกิดข้ึนได้อย่างไร ท�าไมต้องมี ความสมั พนั ธร์ ะหว่างกัน และแสดงบทบาทหนา้ ทตี่ ่อกนั แลว้ อันไหนถูกและผิด เป็นปัญหาท่ีพยายาม หาค�าตอบมาทุกยุคทุกสมัยจนถึงปัจจุบัน บัณฑิตนักคิดทั้งหลายต่างพยายามศึกษาวิเคราะห์ค้นหา ค�าตอบ ตา่ งได้เสนอเหตผุ ลค�าตอบตามแนวคิดและการศกึ ษาประสบการณข์ องตนเอง ค�าตอบแรก ชายหญิงมาจากเทพเจ้าผู้ย่ิงใหญ่เป็นผู้สร้างก�าหนดให้เป็นไปในโลกทางสังคม สร้างขึ้นมาก็เพ่ือให้รู้จักกับพระองค์ท่าน ปฏิบัติตามหลักค�าสั่งสอน และมีความจงรักภักดีศรัทธาใน พระองค์ท่าน ตายไปแล้วไปอยู่กับพระองค์ท่านในสวรรค์ หญิงชายเกิดขึ้นเป็นไปตามลิขิตบัญชาของ พระองค์ท่านหรือเทพเจ้าผ้ยู ่งิ ใหญ่น้ี คา� ตอบทส่ี อง หญงิ ชายมาจากสเปริ ม์ ของพอ่ (Sperm) และไขข่ องแม่ (Ovum) ทผี่ สมผสานกนั หรือเกิดมาจากเซลล์ท่ีมีขนาดเล็กท่ีสุดเล็กกว่าหัวเข็ม เป็นหน่วยชีวิตขึ้นในมดลูกของแม่ เป็นการ ถ่ายทอดพันธุกรรมหรือคุณลักษณะชีวภาพของพ่อแม่ไปสู่ลูก โดยคุณลักษณะทั้งหลายจะอยู่ในยีนส์ (Genes) แล้วถ่ายทอดไปโดยผ่านโครโมโซม (Chromosome)* ยีนส์เป็นตัวสร้างก�าหนดลักษณะ รูปร่างหน้าตาท�าให้คนแตกต่างกัน ส่วนโครโมโซมเป็นตัวก�าหนดเพศหญิงชาย แล้วมีการเจริญเติบโต ตามวนั เวลาประมาณ ๙ เดอื น กค็ ลอดออกมาเปน็ เดก็ ทารก แลว้ คอ่ ย ๆ เจรญิ เตบิ โตพฒั นาเปลยี่ นแปลง ตามกระบวนการชีวติ จากเดก็ เป็นวยั รุ่นหนุ่มสาว เปน็ ผู้ใหญ่ เป็นคนแก่ชรา แล้วก็ตายไปในทสี่ ดุ ค�าตอบสุดท้าย ชายหญิงมาจากธรรมชาติ เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เป็นกระบวนการ ธรรมดาท่ีเกิดข้ึนเป็นไปเพราะเหตุปัจจัย ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ มารวมกันเกิดขึ้น เช่นเดียวกันกับ “รถ” ที่มีส่วนต่าง ๆ น�ามาประกอบกันเกิดขึ้น แล้วเรียกกันว่า “รถ” หากแยกส่วนประกอบท้ังหมด * โครโมโซม (Chromosome) มีอยู่ในบุคคลคนหนึ่ง ๔๖ โครโมโซม หรือ ๒๓ คู่ บุตรจะได้รับจากพ่อ ๒๓ และจากแม่ ๒๓ โครโมโซม ใน ๒๓ ตวั เหลา่ นี้ จะมโี ครโมโซมตวั หนงึ่ เปน็ โครโมโซมเพศ อกี ๒๒ ตวั เปน็ ตวั กา� หนดคณุ ลกั ษณะทางชวี ภิ าพ ผชู้ าย จะมีโครโมโซมเพศอยู่ ๒ ประเภท คือ X และ Y โครโมโซมเพศ Y เป็นตัวแทนลักษณะเพศชาย ส่วนผู้หญิงมีแต่โครโมโซม เพศ X เท่านัน้ อันเป็นตวั แทนลกั ษณะเพศหญิง ดังน้นั ถ้าโครโมโซมเพศ X ของพอ่ ผสมกบั โครโมโซมเพศ X ของแม่ เปน็ XX บุตรก็มเี พศเปน็ หญิง หากโครโมโซมเพศ Y ของพ่อผสมกับโครโมโซมเพศ X ของแม่ เปน็ XY บตุ รกม็ ีเพศเปน็ ชาย ความเป็น หญิงชายจึงขน้ึ อยกู่ บั โครโมโซมเพศนั่นเอง

86 สังคมวทิ ยาเบอ้ื งตน้ ออกจากกนั กจ็ ะหาตวั ตนของรถไมไ่ ดเ้ ลย หญงิ ชายประกอบไปด้วยส่วนสา� คัญใหญ่ ๆ อยู่ ๒ ส่วน คือ กายกับจิต กระบวนการชีวิตน้ีเป็นกระบวนการธรรมชาติท่ียืดยาว มีการเวียนว่ายตายเกิดหลายภพ หลายชาติ ด้วยอ�านาจกเิ ลส กรรม วิบาก เปน็ กระบวนการท่เี กิดขน้ึ ตั้งอยู่ แล้วก็ดบั ไปตามเหตปุ จั จัย ความตายเป็นเพียงการยุติของกระบวนการชีวิตชั่วระยะหน่ึง ในชีวิตหน่ึงชาติหน่ึงภพหน่ึงเท่าน้ัน จากน้นั กเิ ลส กรรม วบิ ากก็จะสง่ ผลใหไ้ ปเกดิ ในชาติใหมภ่ พใหมอ่ กี ต่อ ๆ ไปไมม่ ีทสี่ น้ิ สดุ กระบวนการ ธรรมชาติน้ีจะส้ินสุดลงจริง ๆ ก็ต่อเมื่อหญิงชายละความชั่วทั้งหลาย กระท�าความดีทั้งปวงให้ถึงท่ีสุด และประการสดุ ทา้ ยใหล้ ะทงั้ ความดแี ละความชวั่ ทงั้ หมด อนั หมายถงึ “การบรรลพุ ระนพิ พาน” คอื การ ไม่มีกิเลสตัณหา ดับราคะ โทสะ โมหะ ดับทุกข์ดับภพดับชาติ ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป ส่วนกระบวนการชีวิตของชายหญิงปุถุชนชนคนมีกิเลสทั่วไปยังต้องมีการเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จัก จบสนิ้ เกดิ ในภพและชาตติ ่าง ๆ ท้งั หลาย สูงบา้ งตา�่ บ้าง ดีบา้ งเลวบ้าง คอื เกิดในนรกบา้ ง เกดิ เป็นสัตว์ เดรัจฉานบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป็นอสุรกายบ้าง เป็นมนุษย์บ้าง เป็นเทวดาบ้าง หรือเป็นพรหมบ้าง ตามแรงเหวีย่ งของกิเลส กรรม และวิบากท่ตี นท�าเอาไว้ กระบวนการชีวิตจะเกิดจะดับจะมีปญั หาหรือ ไมม่ ปี ัญหาข้นึ อยู่กับเหตปุ ัจจัยทีอ่ าศยั กันเกดิ ขน้ึ เพศ และความเปน็ ชายหญงิ ก่อนอื่น ในการศึกษาสังคมวิทยา ต้องท�าความเข้าใจค�าว่า เพศ และความเป็นหญิงชาย (Sex and gender) เพอ่ื ความรเู้ ขา้ ใจท่ีถูกตอ้ ง และเปน็ ประโยชนใ์ นการศึกษาชายและหญงิ ต่อไป เบื้องต้น มีศัพท์อยู่ ๒ ศัพท์ คือ เพศ และความเป็นชายหญิง (Sex and gender) ในปี ค. ศ. ๑๙๖๐ และ ตน้ ค.ศ. ๑๙๗๐ ครผู ู้สอนโดยเฉพาะครอู าจารย์ทางตะวันตกไดพ้ ยายามสอน นกั ศึกษาท้ังหลายใหเ้ กดิ ความแตกตา่ งกัน ค�าวา่ “เพศ (Sex)” หมายถงึ กระบวนการธรรมชาติของส่งิ มีชีวิต ส่วนของสรีระร่างกาย ฮอร์โมนสารเคมีท่ีมีอยู่ในอวัยวะร่างกาย และการท�างานของร่างกาย ส่วนค�าว่า “ความเป็นชายหญิง (Gender)” เป็นสถานะภาพที่ได้มาทีหลัง ท่ีถูกสร้างก�าหนดข้ึน โดยกระบวนการทางจิตหรือความคิด วิธีการทางสังคมและวัฒนธรรม ค�าว่า “ความเป็นชายหญิง (Gender)” ไดม้ กี ารศกึ ษาในสังคมวิทยาตัง้ แต่ปี ค. ศ. ๑๙๖๐ สว่ นใหญ่ เป็นศพั ท์ท่ใี ช้ในสังคมวทิ ยา ผู้หญงิ เปน็ การศกึ ษาบทบาท ความสมั พันธ์ และแบบลกั ษณะชายหญิงท่ีสรา้ งก�าหนดขึน้ ทางสงั คม “In the beginning, there were two terms, sex and gender. Those who taught courses in the late ๑๙๖๐s and early ๑๙๗๐s were careful to distinguish one from the other. Students were told that sex was ascribed by biology: anatomy, hormones and physiology, while gender was an achieved status that was constructed through psy-

ชายและหญิง 87 chological, cultural and social means (Money, ๑๙๗๔: ๒๒๑) The term “gender” has developed within sociology since the ๑๙๖๐s. Gender is often used euphemistically in the sociology of women. The sociology of gender is more precisely the study of so- cially constructed male and female roles, relations and identities (Acker, ๑๙๙๒: ๕๖๕ and Lengermann and Niebrugge, ๑๙๙๖: ๔๔๖)” คา� วา่ “เพศ (Sex)” หมายถงึ ความแตกตา่ งของสว่ นสรรี ะรา่ งกาย และการทา� งานของรา่ งกาย ท่ีก�าหนดรูปร่างหน้าตาชายและหญิง ส่วนค�าว่า “ความเป็นชายหญิง (Gender)” คือความแตกต่าง ทางจติ สงั คม และวฒั นธรรมระหวา่ งชายและหญงิ ความเปน็ ชายหญงิ เปน็ เรอื่ งเกย่ี วกบั แนวคดิ ลกั ษณะ ชายหญิงที่สร้างก�าหนดขึ้นทางสังคม ไม่ใช่เรื่องที่สร้างก�าหนดข้ึนโดยเพศทางสรีระร่างกายของแต่ละ บคุ คล ความแตกตา่ งระหวา่ งเพศและความเป็นชายหญงิ เปน็ ปัจจยั พื้นฐานสา� คญั จา� เปน็ เพราะความ แตกตา่ งทง้ั หลายระหวา่ งผูช้ ายและหญงิ ไม่ใช่มีสาเหตมุ าจากกระบวนการธรรมชาตขิ องสง่ิ มชี ีวติ “Sex refers to anatomical and physiological differences that define male and female bodies. Gender, by contrast, concerns the psychological, social and cultural differences between males and females. Gender is linked to socially constructed no- tions of masculinity and femininity; it is not necessarily a direct product of an indi- vidual’s biological sex. The distinction between sex and gender is a fundamental one, since many differences between males and females are not biological in origin (Giddens, ๒๐๐๒: ๑๐๗)” คา� วา่ “เพศ (Sex)” คอื สว่ นกระบวนการธรรมชาตขิ องบคุ คล และสรา้ งกา� หนดบคุ คลเปน็ ชาย และหญงิ สว่ นคา� วา่ “ความเปน็ ชายหญงิ (Gender)” หมายถงึ คณุ ลกั ษณะทางจติ สงั คม และวฒั นธรรม ที่เกย่ี วกบั ความเปน็ ชายและหญงิ ในสังคมเฉพาะ “Sex refers to a person’s biological makeup and establishes whether a person is a male or female, while gender refers to the psychological, cultural and social at- tributes that are associated with being male and female in a specific society (Magill, et al., ๑๙๙๕: ๑๑๘๐)” จากค�านิยามเบ้ืองต้น ปรากฏชัดเจนว่า เพศและความเป็นชายหญิงนั้น มีความแตกต่างกัน อยา่ งชดั เจน เพศเปน็ เรอ่ื งของลกั ษณะกระบวนการธรรมชาตสิ รรี ะรา่ งกายของเพศชายหญงิ สว่ นความ เป็นชายหญิงเป็นเร่ืองของกระบวนการทางจิตหรือความคิด ท่ีถูกสร้างก�าหนดข้ึนทางสังคมและ

88 สงั คมวทิ ยาเบื้องตน้ วัฒนธรรม อันมีผลตอ่ พฤติกรรมทางสงั คมการเมอื ง แบ่งจ�าแนกความเปน็ ชายหญงิ หนา้ ทแ่ี ละบทบาท ทางสงั คมการเมอื ง เพศเปรยี บเสมอื นขอบเขตพน้ื ดนิ แหง่ การเพาะปลกู สว่ นความเปน็ ชายหญงิ เหมอื น กับส่ิงแวดล้อมพืชพันธุ์ธัญญาหารและต้นไม้ท่ีงอกงามเจริญพัฒนาสร้างความสัมพันธ์สมดุลบูรณาการ ตามธรรมชาติ ลกั ษณะชายหญงิ ลักษณะชายหญิง (Gender identity) หมายถึงความรู้สึกเกี่ยวกับตัวตนส่วนบุคคลว่าเป็น ผหู้ ญงิ หรอื ชายในความหมายพฤตกิ รรม ทศั นะคติ ความสนใจและความชอบ ขน้ั แรกในการสรา้ งพฒั นา ลักษณะชายหญิงต้องรู้เข้าใจความเป็นชายหญิงของตนเอง ในการสร้างพัฒนาความเป็นชายหญิง การศึกษาของคอห์ลเบิกเสนอว่า เด็กทั้งหลายสามารถรู้เข้าใจตัวเองและคนอื่นว่าเป็นชายหรือหญิง ท่อี ายปุ ระมาณ ๐-๒ ขวบ ในระหวา่ งอายุ ๓-๔ ขวบ พวกเขาสามารถเรียนรู้ก่อเกดิ ลักษณะความเปน็ คนหรือมนุษย์อย่างต่อเนื่อง และภายใน ๕ ขวบ พวกเขาก็จะก่อเกิดลักษณะที่มั่นคง จอห์น มันนี่ และแอนเกอ เออฮาดท์ ยืนยันว่า มีระยะเวลาส�าคัญในการสร้างสรรค์พัฒนาลักษณะชายหญิง การพัฒนาน้เี รมิ่ เกิดขน้ึ ประมาณ ๑๘ เดอื น และจบลงราวประมาณ ๔ ปี “Gender identity refers to a personal sense of self as a female or a male in terms of behaviors, attitudes, interests and preferences. The first step in developing gender identity is the task of labeling one’s own gender. Kohlberg’s work on the de- velopment of gender among children demonstrated that children are able to consis- tently label themselves and others as boys and girls at around two years of age. Between the age of three and four, they learn that gender is a stable characteristic of a person across time, and by the age of five they also learn that gender is a stable trait across situation. John Money and Anke Ehrhardt argue that there is a critical period for the development of gender identity. This development begins around ๑๘ months of age and ends around four years (O’Sullivan, et al., ๒๐๐๑: ๕๗)” ลกั ษณะชายหญงิ หรอื มนษุ ยเ์ ปน็ ความรสู้ กึ ตนเองทเี่ กย่ี วกบั ลกั ษณะทางวฒั นธรรมทถ่ี กู อบรม สงั่ สอนความเปน็ ชายและหญิงถา่ ยทอดสืบกันมา สว่ นใหญ่ เปน็ เรอ่ื งของความคิด ความเชื่อ และการ ปฏบิ ตั ิ รเู้ ขา้ ใจแลว้ ยอมรบั ลกั ษณะความเปน็ ชายและหญงิ นน้ั ลกั ษณะชายหญงิ เปน็ ผลของกระบวนการ ตดิ ตอ่ สมั พนั ธท์ ซี่ บั ซอ้ นระหวา่ งตวั เรากบั สงิ่ อน่ื การปรากฏลกั ษณะการแตง่ กายและแสดงอารมณค์ วาม รู้สึกของชายหญิงบอกกับพวกเราว่า ความเป็นชายหญิงไม่เพียงแต่เกิดจากเพศอย่างเดียว ซ้�ายังเกิด จากการสรา้ งพฒั นาลกั ษณะชายหญิงอีกดว้ ย

ชายและหญงิ 89 “Gender identity is the sense of self-associated with cultural definitions of masculinity and femininity. Gender identity is not so much acted out as subjectively experienced. It is the psychological internalization of masculine or feminine traits. Gender identity arises out of a complex process of interaction between self and oth- ers. The existence of transvestite and transsexual identities indicates that gender is not dependent upon sex alone and arises from the construction of gender identities (Jary and Jary, ๒๐๐๐: ๒๔๑)” ลักษณะชายหญิงเป็นองค์ประกอบส�าคัญของความเป็นหญิงและชาย การสร้างสรรค์พัฒนา ลักษณะชายหญิงต้องอาศัยการพัฒนาทางจิต การเรียนรู้บทบาททางสังคม และก่อเกิดลักษณะความ ชอบของชายหญงิ กระบวนการขดั เกลาทางสงั คมถอื วา่ เปน็ ปจั จยั สา� คญั ในการสรา้ งสรรคพ์ ฒั นาลกั ษณะ ชายหญิง “Gender identity forms the major component of femaleness and maleness. The construction of gender identity depends upon psychosexual development, learn- ing social roles and shaping sexual preferences. Socialization also is a crucial element in the formation of gender identities (Gagnon and Henderson, ๑๙๘๕: ๑๔๕)” ลักษณะชายหญิง ก็คือลกั ษณะที่รู้เขา้ ใจสภาวะตนเอง ร้เู ข้าใจความเป็นหญงิ และชาย เรยี นรู้ รูปแบบพฤติกรรมตามที่สังคมและวัฒนธรรมคาดหวังยอมรับและต้องการ แล้วสร้างสรรค์พัฒนา ลักษณะความเป็นชายหญิงอย่างต่อเน่ือง จนก่อเกิดลักษณะความเป็นชายหญิงอย่างมั่นคงย่ังยืน เพื่อความรู้เข้าใจยอมรับรับผิดชอบร่วมกันอย่างถูกต้อง แสดงบทบาททางสังคมท่ีถูกต้องมีเหตุผล และเพอื่ ความสัมพนั ธ์อนั ดีงามระหว่างกนั การขัดเกลาชายหญงิ การศึกษาท้ังหลายยอมรับว่า ส่ิงแวดล้อม หรือสังคมและวัฒนธรรมมีอ�านาจอิทธิพลและ บทบาทสา� คญั ในการเจรญิ เตบิ โตและพฒั นาการของมนษุ ยใ์ นดา้ นตา่ ง ๆ มากมาย ภายใตก้ ระแสสงั คม และวฒั นธรรมทเ่ี ปลย่ี นแปลงและพฒั นาอยา่ งรวดเรว็ และตอ่ เนอ่ื ง การขดั เกลาความเปน็ ชายหญงิ หรอื มนุษย์ (Gender socialization) ก็ได้รับอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมดังกล่าวนี้ อันเป็นกระบวนการทาง สงั คมทจ่ี ะหลอ่ หลอมถา่ ยทอดคณุ ลกั ษณะความเปน็ มนษุ ย์ ใหม้ รี ปู แบบพฤตกิ รรมตามทส่ี งั คมคาดหวงั และยอมรบั โดยผา่ นตวั แทนการขดั เกลาทางสงั คม สงิ่ แวดลอ้ มทางสงั คมจะมอี ทิ ธพิ ลตอ่ ลกั ษณะความ เป็นมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนตาย กล่าวคือ ต้ังแต่อยู่ในครรภ์หรือก่อนเกิดคลอดออกมา ส่ิงแวดล้อมหรือ พฤติกรรมสุขภาพของพ่อแม่มีผลต่อตัวอ่อนในครรภ์ เพราะถ้าหากพฤติกรรมสุขภาพร่างกายของพ่อ

90 สงั คมวิทยาเบอ้ื งตน้ แม่ไมด่ ี มีโรคตดิ ตอ่ ทีร่ า้ ยแรงเร้อื รัง ย่อมมีผลตอ่ ความผดิ ปกตบิ กพรอ่ งทางร่างกายและสติปัญญาของ เด็กในครรภ์ ในด้านอารมณ์ของแม่ก็มีผลต่อเด็กในครรภ์เช่นกัน เพราะถ้าหากเครียด หวาดกลัว และวิตกกังวลมากเกินไป ท�าให้ฮอร์โมนในเลือดของแม่ไม่ดีไม่สมดุล อันมีผลต่อการพัฒนาการทาง สมองสติปัญญา ในด้านการเสพบริโภคของแม่ อาหารทุกอย่างที่แม่บริโภคเข้าไปจะถูกส่งไปยังทารก ในครรภผ์ า่ นทางกระแสโลหติ หากเสพบรโิ ภคอาหารดมี คี ณุ คา่ ประโยชน์ กจ็ ะทา� ใหเ้ ดก็ มสี ขุ ภาพรา่ งกาย และสติปัญญาดี แต่ถ้าหากเสพบริโภคอาหารไม่ดีไม่มีคุณค่าประโยชน์ ก็จะท�าให้เด็กมีความผิดปกติ บกพรอ่ งทางสตปิ ญั ญาและสขุ ภาพรา่ งกาย สขุ ภาพรา่ งกายออ่ นแอไมแ่ ขง็ แรงสมบรู ณ์ ในทางการแพทย์ จงึ ตอ้ งห้ามสตรผี ูม้ ีครรภ์ ไม่ใหเ้ สพดม่ื บริโภคยาเสพตดิ บุหรแี่ ละสรุ ายาเมา และหลังคลอดเกิดมาก็จะ เขา้ สกู่ ระบวนการเรยี นรลู้ กั ษณะความเปน็ ชายหญงิ เปน็ กระบวนการเรยี นรคู้ วามจรงิ ทห่ี ลากหลายและ ซบั ซอ้ น โดยเรม่ิ จากพอ่ แมห่ รอื ครอบครวั ครอบครวั ถอื ไดว้ า่ เปน็ แหลง่ เบอื้ งตน้ สา� คญั ทม่ี อี ทิ ธพิ ลในการ ขัดเกลา ให้เรียนรู้รูปแบบพฤติกรรม กฎเกณฑ์ กติกา ค่านิยม ความเช่ือ และการปฏิบัติ ให้ยอมรับ ความเปน็ หญงิ และชาย โดยทวั่ ไป ชายและหญงิ ถกู เลยี้ งดโู ดยคาดหวงั วา่ เขาจะเปน็ คนดมี คี วามรคู้ วาม สามารถ และความประพฤติดี จรงิ ใจ ขยนั อดทน เออื้ เฟือ้ เสยี สละ และมีความรับผดิ ชอบ ความเปน็ ชายจะถูกขัดเกลาในลักษณะเป็นคนจริงมีสัจจะ อดทนเข้มแข็ง กล้าหาญเสียสละ และมีลักษณะ ความเป็นผู้น�า ส่วนความเป็นหญิงจะถูกเล้ียงดูอบรมในลักษณะมีใจดี ซื่อสัตย์ สุภาพอ่อนโยน อ่อนหวาน กิริยาอาการเรยี บร้อย ตามประเพณีวัฒนธรรมของสังคมไทย ผู้ชายจะถูกส่ังสอนอบรมให้เป็นผู้น�าและหาเล้ียง ครอบครัว ส่วนผู้หญิงก็จะถูกอบรมส่ังสอนให้เป็นผู้ตามและดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยใน ครอบครวั บตุ รทเ่ี กดิ มาตอ้ งใชน้ ามสกลุ บดิ า ผชู้ ายมภี าระหนา้ ทเี่ ลยี้ งดบู ตุ รและภรรยา มอี า� นาจหนา้ ที่ ในการจดั การบรหิ ารครอบครวั แตใ่ นปจั จบุ นั เราคาดหวงั ใหช้ ายหญงิ ทงั้ สองรบั ผดิ ชอบครอบครวั รว่ มกนั เราสงั่ สอนคาดหวงั ใหเ้ ขาเปน็ คนดมี คี วามกตญั ญตู อ่ บดิ าและมารดา รบู้ ญุ คณุ ทา่ นและหาทางตอบแทน เห็นความส�าคัญของคนอื่น อ่อนน้อมไม่ทะนงตนลบหลู่ดูถูกคน ความกตัญญูกตเวทีนี้เป็นหลักธรรม แห่งฟ้า เป็นคุณธรรมแห่งแผ่นดิน และเป็นหลักในการด�าเนินชีวิตอย่างหนึ่งของมนุษย์ เพราะท่าน ท้ังสองได้เล้ียงดูเรามาต้ังแต่เด็กจนเติบใหญ่ มีความยากล�าบากเหน็ดเหน่ือยเสียสละ และอดทน จึงสมควรระลึกถึงพระคุณของท่านแล้วหาทางท�าตอบแทน แม้ว่าท่านไม่ได้หวังให้ท�าตอบแทน หากเป็นคนดีต้องรู้จักส�านึกในบุญคุณ เราต้องการชายและหญิงเป็นคนดีที่มีความจริงใจเคารพเชื่อฟัง ไมด่ ื้อดงึ หรอื โกหกพดู เท็จ สอนใหต้ ั้งใจเรียนหรือท�างานบนฐานความจรงิ และถูกต้อง ก็ต้องเชอื่ ฟงั แลว้ ทา� ดว้ ยความตงั้ ใจอยา่ งมเี หตผุ ล จรงิ ใจทา� ชว่ ยเหลอื กจิ การงานของทา่ นตามความสามารถไมเ่ บอ่ื หนา่ ย ท้อถอย เพราะท่านมีประสบการณ์มาก่อนและมีความหวังดีอยู่เสมอ เราขัดเกลาหวังชายหญิงมี พฤติกรรมท่ีดีงามถูกต้องเหมาะสมไม่สร้างความเส่ือมเสียหรือเสียหาย ไม่สร้างปัญหาความเดือดร้อน

ชายและหญิง 91 แก่ตนเองและคนอ่ืน และเมื่อพ่อแม่ตายไป เราก็ต้องการให้เขาท�าบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ ตอ้ งร้เู ข้าใจวธิ ีการท�าบุญตามหลกั พระพทุ ธศาสนาอย่างถูกต้องมเี หตผุ ล เพื่อความรู้เข้าใจหลักท�าบุญอุทิศให้ผู้ตายตามหลักพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาเห็นว่า คนและสตั วท์ กุ ประเภทเกดิ มาในโลกนตี้ อ้ งตายอยา่ งแนน่ อน เมอื่ ตายไปแลว้ กจ็ ะไปเกดิ ตามแรงเหวยี่ ง ของกรรมการกระท�าท่ีตนเองสร้างท�าเอาไว้ เป็นไปตามอ�านาจแห่งกรรมดีและกรรมช่ัวท่ีตนเองเคย ท�าเอาไว้ กล่าวโดยสรุปมีอยู่ ๒ เส้นทาง คือ ดีกับไม่ดี (สุคติและทุคติ) หากท�าดีตายไปก็จะไปสู่สุคติ อันหมายถึงไปเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา และพรหม ถ้าท�ากรรมช่ัวก็จะไปสู่ทุคติ กล่าวคือไปเกิดเป็น สตั ว์นรก สตั วเ์ ดรัจฉาน เปรต และอสุรกาย สา� หรับผหู้ มดกเิ ลสหรือพระอรหนั ต์ ย่อมปรินิพพานไม่มี การเวยี นวา่ ยตายเกดิ อกี ผทู้ ย่ี งั มกี เิ ลสตณั หาตายแลว้ ไปเกดิ ใหมแ่ นน่ อน อะไรไปเกดิ ตอบวา่ จติ ไปเกดิ ในชาติใหม่ภพใหม่ จิตดับดวงสุดท้ายไปเกิด จิตดวงนี้จะน�าเอาบุญ บาป กรรม กิเลสติดตัวไปเกิด ดว้ ยเหตนุ ้ี ลกั ษณะมนษุ ยจ์ งึ มคี วามแตกตา่ งกนั แมม้ พี อ่ แมค่ นเดยี วกนั จงึ พอสรปุ ไดว้ า่ สง่ิ ทที่ า� ใหม้ นษุ ย์ มลี กั ษณะท่แี ตกต่างกัน มอี ยู่ ๒ สาเหตใุ หญ่ ๆ คอื กรรมเกา่ และกรรมใหม่ กรรมเกา่ คือพฤติกรรมการ กระท�าท่ีเคยท�าเอาไว้ในอดตี ชาติหรอื ชาตปิ างก่อน ส่วนกรรมใหม่ ก็คือการกระทา� ในปัจจุบัน เปน็ การ ศึกษาเรียนรู้พัฒนา การท�างาน การต่อสู้ ท่ีเพียรพยายามท�าในปัจจุบัน สามารถแก้ไขปรับปรุง เปลี่ยนแปลงได้ตามเหตุปัจจัย เริ่มตั้งแต่เกิดจนถึงตาย เกี่ยวกับความตายหรือหลังตาย ก็มีประเพณี นยิ มทา� บญุ อทุ ศิ ใหก้ บั ผตู้ าย จะทา� บญุ อทุ ศิ อยา่ งไร ทา� แลว้ ผตู้ ายจะไดร้ บั หรอื ไม่ ถา้ ไดร้ บั จะไดร้ บั อยา่ งไร หากไม่ได้รับจะเป็นอย่างไร ในเรื่องนี้ ก็มีคนถามพระพุทธเจ้าเช่นกัน เร่ืองมีอยู่ว่า พราหมณ์ช่ือ ชานสุ โสณี เขา้ เฝา้ ทลู ถามปญั หาวา่ พวกขา้ พเจา้ เปน็ พราหมณท์ า� บญุ ใหท้ านหลายอยา่ ง พรอ้ มกบั อทุ ศิ ส่วนบุญกุศลให้กับผู้ตายว่า ขอส่วนบุญส่วนกุศลน้ี จงส�าเร็จแก่ญาติสาโลหิตทั้งหลายผู้ล่วงลับไปแล้ว ทา่ นทง้ั หลายเหลา่ นนั้ จะไดร้ บั หรอื ไม่ พระพทุ ธเจา้ ตรสั ตอบวา่ จะไดร้ บั หรอื ไมน่ น้ั ขนึ้ อยกู่ บั เหตปุ จั จยั เพราะคนเราท�ากรรมไว้ไม่เหมือนกัน ย่อมไปเกิดในท่ีแตกต่างกันดังที่กล่าวมา การท�าบุญอุทิศให้กับ ผู้ตายจะได้รับหรือไม่ได้รับต้องประกอบไปด้วยองค์ ๓ ประการ คือ ๑. ผู้ตายไปเกิดในเปรตวิสัยหรือ เกิดเป็นเปรต เป็นอยู่ด้วยน้�ามูก เลือด หนอง คอยรับส่วนบุญจากญาติมิตรท่ีอุทิศไปให้อย่างเดียว ๒. ผทู้ า� บญุ อทุ ศิ ตอ้ งอทุ ศิ เจาะจงลงไป ๓. ผรู้ บั หมายถงึ พระภกิ ษตุ อ้ งมศี ลี มคี วามประพฤตดิ แี ละปฏบิ ตั ิ ชอบ ถ้าครบองค์ประชุมอย่างน้ี จึงจะได้ช่ือว่า เป็นการท�าบุญอุทิศให้กับผู้ตายอย่างถูกต้องสมบูรณ์ แตถ่ งึ อยา่ งไร หากไมค่ รบองคป์ ระกอบดงั กลา่ ว ผลบญุ กศุ ลทท่ี า� ไปแลว้ นน้ั พระพทุ ธเจา้ กต็ รสั ยนื ยนั วา่ ไมเ่ สอื่ มสลายหายไปไหน ผทู้ า� บญุ อทุ ศิ ยงั ไดร้ บั ผลและอานสิ งสบ์ ญุ ดงั นี้ คอื ๑. เปน็ ทรี่ กั ของคนหมมู่ าก ๒. เป็นท่ีคบหาของคนดี ๓. มีชื่อเสียงในทางดี ๔. เป็นผู้องอาจสามารถในสังคม และ ๕. เม่ือตายไป แล้วก็ไปเกิดในภพภมู ิทีด่ ี

92 สงั คมวิทยาเบ้อื งตน้ บทบาทชายหญงิ บทบาทชายหญงิ เป็นรปู แบบและความคาดหวงั ด้านพฤติกรรมเฉพาะทีส่ งั คมมีไวส้ า� หรับชาย หญงิ แตล่ ะคน บทบาททงั้ หลายเหลา่ นน้ั จะถกู กา� หนดไวอ้ ยา่ งแนน่ อนในสงั คมทง้ั หลาย และเปลย่ี นแปลง แตกต่างกนั ระหวา่ งสงั คมและทเี่ ฉพาะของสังคมท้ังหลาย “Gender roles are the specific behavior patterns and expectations that society holds for each gender. They are rigidly defined in many societies and vary among dif- ferent societies and areas (Magill, et al., ๑๙๙๕: ๕๖๙)” บทบาทชายหญิงเป็นความคาดหวังทางสังคมอันเกิดจากความรู้เข้าใจเกี่ยวกับชายหญิง และการแสดงพฤติกรรมของชายหญิง อันรวมไปถึงรูปแบบการพูด การเคล่ือนไหว กิริยาอาการ การแตง่ กาย และการแสดงทา่ ทางอาการ แนวคดิ ลกั ษณะชายและหญงิ เหน็ วา่ ตอ้ งแยกกนั เปน็ ไปไมไ่ ด้ ในเวลาเดยี วกนั และในบางสงั คม พฤตกิ รรมบทบาทอาจทา� ใหค้ นหรอื แนวคดิ แตกตา่ งกนั นนั่ คอื ลกั ษณะ ผหู้ ญงิ มแี นวโนม้ สงบเสงย่ี มเรยี บรอ้ ย และผชู้ ายกา้ วรา้ วไมส่ งบเสงย่ี มเรยี บรอ้ ย การอธบิ ายรายละเอยี ด เกย่ี วกบั รปู แบบพฤตกิ รรมชายหญงิ ไดป้ รากฏชดั เจนในการแบง่ งานในสถานการณก์ ารทา� งานของชาย และหญิง “Gender roles are the social expectations arising from conceptions surrounding gender and the behavioral expression of these, including forms of speech, mannerisms, demeanor, dress and gesture. Masculine and feminine ideas are often deemed to be mutually exclusive and in some societies the role behavior may be polarized, that is, the equation of passivity with the feminine role and activity with the masculine role. Prescriptions concerning gender role behavior are particularly apparent in the sexual division of labor in male and female work situations (Jary and Jary, ๒๐๐๐: ๒๔๑)” มนษุ ยเ์ กดิ มาตอ้ งเรยี นรบู้ ทบาททางสงั คมตามลกั ษณะฐานะตา� แหนง่ ของตน เรยี นรกู้ ารแสดง พฤตกิ รรมตามสทิ ธหิ นา้ ทแี่ ละสถานภาพทางสงั คม (Social rights, duties and statuses) ตามทส่ี งั คม คาดหวงั และยอมรบั ใหเ้ กดิ ความถกู ตอ้ งดงี ามและความเปน็ ระเบยี บทางสงั คม สถานภาพหรอื ตา� แหนง่ ของคนผเู้ ปน็ บดิ ามารดา จะตอ้ งรเู้ ขา้ ใจบทบาทของตนแลว้ แสดงบทบาทตอ่ บตุ รอยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะสม โดยทั่วไป สังคมคาดหวังและยอมรับว่า ผู้เป็นบิดามารดาจะต้องเล้ียงดูบุตร อบรมสั่งสอนไม่ให้ ท�าความชั่ว ให้ท�าแต่สิ่งดีงาม ให้การศึกษาศิลปวิทยาแก่บุตร และเป็นแบบอย่างท่ีดีแก่บุตร เป็นต้น และบุตรก็ต้องรู้เข้าใจบทบาทของตนแล้วแสดงพฤติกรรมต่อมารดาบิดาให้ถูกต้องดีงามเช่นกัน

ชายและหญงิ 93 มีความกตัญญูกตเวที ช่วยเหลือกิจการงานของท่านตามโอกาส มีความประพฤติตนให้เหมาะสม เคารพเชื่อฟังท่าน เป็นต้น คนผู้เป็นครูอาจารย์จ�าต้องรู้เข้าใจบทบาทท่ีจะแสดงพฤติกรรมต่อนักเรียน อยา่ งไร และนกั เรียนจะแสดงบทบาททางสงั คมต่อครอู าจารย์อย่างไร บทบาทสามีกับภรรยา นายจ้าง กับลูกจ้าง มนุษย์แต่ละคนจะต้องศึกษาเรียนรู้บทบาทหน้าท่ีทางสังคมตามความเหมาะสมกับฐานะ ต�าแหน่ง อายุ เพศ และวัย เป็นเรื่องธรรมดาของเหตุผลปัจจัย เพราะมนุษย์แต่ละคนอาจมีบทบาท หน้าท่ีทางสังคมที่หลากหลาย รู้เข้าใจอย่างถูกต้องเกิดการยอมรับน�ามาประพฤติปฏิบัติให้สอดคล้อง สัมพนั ธ์กันทางสงั คม เพื่อความสมั พันธเ์ อกภาพทีด่ งี ามทางสงั คม ความแตกต่างทางเพศท�าให้เกิดจากการแบ่งชายและหญิงในการแสดงบทบาททางสังคม ในสังคมท้ังหลาย บทบาทชายหญิงก่อเกิดขึ้นในลักษณะท่ีผู้หญิงดูเหมือนยอมรับบทบาทดูแลเล้ียงดู บุตรและดูแลจัดการเร่ืองภายในครอบครัว ส่วนผู้ชายก็ยอมรับบทบาทนอกครอบครัวเรื่องเศรษฐกิจ หรือเป็นผู้น�าครอบครัว การจ�าแนกชายหญิงในบทบาททางสังคมก่อเกิดขึ้นเพราะปัจจัยทางสังคม เศรษฐกิจ เทคโนโลยี และความสัมพันธ์ทางส่ิงแวดล้อม และเพราะลักษณะสรีระร่างกายทางเพศ โดยเฉพาะเพศหญิงมีหน้าท่ีให้ก�าเนิดบุตร และเลี้ยงดูบุตร ส่วนเพศชายเป็นเพศที่แข็งแรงมากกว่ามี หนา้ ทช่ี ว่ ยในการปกปอ้ งดแู ล ฐานะตา� แหนง่ ทแ่ี ตกตา่ งกนั ของชายหญงิ ในโครงสรา้ งทางสงั คมกช็ ว่ ยให้ เกิดการแบ่งบทบาทและการแบ่งงานทางสังคมโดยกระบวนการแยกคนให้เกิดความเหมาะสมสมดุล กระบวนการดงั กลา่ วทา� ใหเ้ กดิ บทบาทชายหญงิ ทถ่ี กู คาดหวงั ยอมรบั ใหแ้ ตล่ ะคนแสดงบทบาททางสงั คม ตามลกั ษณะเพศและพฤตกิ รรมของตน เกดิ ขนึ้ โดยธรรมดาเหตปุ จั จยั แลว้ สมคั รใจยอมรบั กนั เพราะผล การเรียนรู้และลกั ษณะพฤตกิ รรมทางเพศของแตล่ ะบุคคล เพื่อให้เห็นภาพบทบาทปรากฏท่ีชัดเจน ผู้หญิงไทยในสมัยโบราณถูกก�าหนดจ�ากัดบทบาท ภายในครอบครวั เปน็ แม่ศรเี รือนดูแลบ้าน เตรียมหาอาหาร เลย้ี งดบู ตุ ร ปรนนบิ ัตสิ ามี ไมม่ โี อกาสได้ ศกึ ษาเลา่ เรยี น และทา� งานนอกบา้ น แตต่ อ่ มา ไดเ้ หน็ การเปลย่ี นแปลงหลายอยา่ งในโครงสรา้ งบทบาท ทางสงั คม เพราะการตดิ ตอ่ เกยี่ วขอ้ งสมั พนั ธก์ บั โลกตะวนั ตก และความตอ้ งการเหตผุ ลสมยั ใหม่ แนวคดิ ใหมเ่ กย่ี วกบั ความเจรญิ กา้ วหนา้ ทนั สมยั เหตผุ ล และความเสมอภาค ทา� ใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงบทบาท ชายหญิง ดังน้นั ผหู้ ญิงส่วนใหญ่จึงไดพ้ ยายามสนใจศึกษาเลา่ เรียนให้มีความรคู้ วามสามารถใหไ้ ดม้ าก ท่ีสุด หลังสงครามโลกคร้ังที่ ๒ เหตุผลทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองได้กระตุ้นผลักดันผู้หญิง ท้ังหลายเข้ามามีบทบาทในธุรกิจและอุตสาหกรรม แต่ก็ยังมีผู้หญิงจ�านวนไม่มากได้ศึกษาอยู่ในระดับ สูงหรือระดับมหาวิทยาลัย ผลของความเจริญทางวิทยาศาสตร์ อุตสาหกรรม เทคโนโลยี การติดต่อ สอ่ื สาร และการขบั เคลอ่ื นทางสงั คม ทา� ใหผ้ หู้ ญงิ จา� นวนมากสนใจศกึ ษาทงั้ ในระดบั เบอื้ งตน้ และระดบั สงู เพ่ือทักษะ ความรู้ และความสามารถท่ีน�าไปสู่อาชีพและรายได้ บทบาททางสังคมของผู้หญิงทุกวันนี้ เราจึงสามารถพบเห็นได้ในทุกอาชีพสาขา และพวกเขาได้กลายเป็นบุคคลส�าคัญในการแสดงบทบาท ทง้ั ภายในและนอกบา้ น ทา� มาหาเลยี้ งชพี สนบั สนนุ สง่ เสรมิ เศรษฐกจิ และความเจรญิ สมั พนั ธม์ น่ั คงของ

94 สังคมวทิ ยาเบื้องต้น ครอบครวั และสงั คม จงึ ปรากฏชดั วา่ บทบาทชายหญงิ ถกู สรา้ งกา� หนดขนึ้ โดยปจั จยั ทางสงั คม เศรษฐกจิ การเมือง และวัฒนธรรม เกิดขึ้นเปลี่ยนแปลงโดยธรรมดาเหตุผลแล้วยอมรับกัน ไม่ใช่โดยปัจจัยทาง สรีระรา่ งกายหรอื ทางเพศ ชายหญิงและอา� นาจ การให้ความหมายค�าว่า “อ�านาจ” ถือได้ว่าเป็นเร่ืองยากมีความสลับซับซ้อนเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ในพจนานุกรมลักษณะวัฒนธรรมของสังคมเฉพาะอเมริกา อ�านาจได้ถูกให้ค�านิยามว่า ความสามารถทจ่ี ะทา� ไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพประสทิ ธผิ ล และในพจนานกุ รมระหวา่ งประเทศแคมบรดิ อา� นาจ หมายถงึ ความสามารถทจ่ี ะควบคมุ คนและสถานการณท์ ง้ั หลายทเ่ี กดิ ขน้ึ ได้ “Power is defined in the American Heritage Dictionary as “the capacity to perform effectively” and in the Cambridge International Dictionary as “the ability to control people and events” (Worell, et al., ๒๐๐๑: ๘๔๗) จากเหตุผลดงั กล่าว อา� นาจก็คอื ความร้แู ละความสามารถทจ่ี ะคิดและท�าไดใ้ ห้ ส�าเร็จ แม้ว่าจะมีอุปสรรคปัญหาขัดขวางและกดดันก็ตาม อ�านาจมีท้ังถูกต้องชอบธรรมอยู่ในกรอบ ขอบเขตกฎหมายและศลี ธรรมและไม่ถกู ตอ้ งชอบธรรมนอกเหนือไปจากกฎหมายและศีลธรรม ในส่วนนี้ จะพยายามคดิ วเิ คราะหอ์ ธบิ ายภาพลักษณะแนวคดิ ชายหญิงและอ�านาจ (Gender and power) ความสมั พันธ์ รูปแบบ โครงสร้างทางสงั คม ท่ีมปี รากฏใหเ้ ห็นอยา่ งต่อเนอ่ื ง ในลักษณะ ชายมีอ�านาจมากและหญิงมีอา� นาจน้อย หรือผู้ชายส่วนใหญ่มีอา� นาจเหนือผู้หญิง ดังปรากฏมีให้เห็น ทุกมุมโลก ผู้เช่ือสตรีนิยมในเร่ืองการวิวัฒนาการเปล่ียนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม (Radical feminists) ก็ได้พยายามคิดวิเคราะห์ท�าไมผู้ชายจึงเป็นผู้น�าและเป็นใหญ่ในครอบครัวและสังคม “Patriarchy” ถือได้ว่าเป็นรูปแบบหรือกรอบแนวคิดอันมีเหตุผลในการคิดวิเคราะห์อธิบายอ�านาจ ระหวา่ งชายและหญงิ ทเ่ี ปน็ ปรากฏการณท์ างสงั คม ไมว่ า่ จะเปน็ ภายในครอบครวั องคก์ ร สถาบนั ทาง สังคมและการเมือง โดยส่วนใหญ่แสดงความคิดเห็นเป็นเร่ืองสิทธิและอ�านาจที่ผู้ชายมีมากกว่าผู้หญิง เพราะปจั จยั ทางสงั คมและวฒั นธรรมของตน ผเู้ ชอ่ื สตรนี ยิ มในเรอื่ งสรรี ะรา่ งกาย (Material feminists) กพ็ ยายามจะบอกว่า ผชู้ ายมอี า� นาจเหนือผูห้ ญงิ กเ็ พราะโครงสร้างทางสรรี ะร่างกายท่ีไดเ้ ปรยี บ มีพลงั ความแข็งแรงมากกว่า ท�าให้เกิดการแบ่งแยกชายหญิงในสังคมทั้งหลาย ส�าหรับนักคิดสตรีนิยม มาคซิสม์ (Marxist feminists) ก็ได้เสนอความคิดเห็นในเรื่องชายหญิงและอ�านาจว่า เป็นเรื่องของ ประวตั ศิ าสตรค์ วามเปน็ มาและอา� นาจหนา้ ทที่ ย่ี ดึ ถอื ปฏบิ ตั สิ บื กนั มา เพอื่ ความถกู ตอ้ งดงี ามและความ สมั พนั ธม์ น่ั คงระหวา่ งกนั แตอ่ ยา่ งไรกต็ าม กย็ งั สะทอ้ นบอกใหเ้ หน็ วา่ ชายเหนอื กวา่ หญงิ หรอื หญงิ เปน็ รองชายอยู่ดี “Patriarchal ideology” และยังเป็นรองในหลายด้าน ไม่ว่าด้านสังคม เศรษฐกิจและ การเมือง ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน เป็นการต่อสู้กันระหว่างอ�านาจ ท�าให้เกิดการแบ่งแยกของชายหญิง

ชายและหญงิ 95 อันเป็นสาเหตุน�าไปสู่การการแบ่งชนช้ันทางสังคม ดังน้ัน นับตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ ๑๙ (๑๙๙๐s) นักสตรีนิยมสมัยใหม่ท้ังหลายจึงพยายามคิดก�าจัดการต่อสู้อ�านาจระหว่างชายและหญิง ไม่มีการแบ่ง ชนชั้นทางสังคม อันน�าไปสู่เป้าหมายความเสมอภาคชายหญิง (Gender equality) โดยช้ีไปท่ีความ เป็นมนุษย์ด้วยกัน โดยเฉพาะความรู้ความสามารถและความประพฤติของบุคคล เป็นเหตุผลส�าคัญ ความเสมอภาคทางสงั คม ดังปรากฏผหู้ ญิงทม่ี คี วามร้คู วามและความสามารถกไ็ ดแ้ สดงบทบาทตนเอง ในทุกภาคสว่ นของสังคมการเมือง ถอื ได้วา่ เป็นทยี่ อมรับและต้องการของสังคมท่วั ไป อ�านาจเป็นส่วนโครงสร้างพื้นฐานของระบบชายหญิง บทบาทชายหญิงเป็นลักษณะรูปแบบ ท่ีมาจากอ�านาจท่ียึดถือปฏิบัติสืบเน่ืองกันมา เป็นลักษณะภาระหน้าที่ที่ก�าหนดต่อบุคคล กลุ่มคน และสังคม แน่นอนชายหญิงในสังคมท้ังหลายอาจมีภาระหน้าที่ที่ยึดถือปฏิบัติแตกต่างกันออกไป แตโ่ ดยทวั่ ไป ในทกุ สงั คมการเมอื ง งานกจิ กรรมความรบั ผดิ ชอบและคณุ คา่ ความหมายของผชู้ ายจะถกู ประเมนิ ตคี า่ และเปน็ ทย่ี อมรบั มากกวา่ ผหู้ ญงิ ชายหญงิ จะมอี า� นาจกต็ อ่ เมอ่ื มคี วามสมั พนั ธเ์ กยี่ วขอ้ งกนั ท้ังน้โี ดยอาศยั ความร้คู วามสามารถ หนา้ ทีก่ ารงาน รายได้ และปจั จัยอื่น ๆ อา� นาจชายหญงิ จึงขึน้ อยู่ กับเหตปุ ัจจยั สามารถแกไ้ ขปรบั ปรงุ เปลีย่ นแปลงได้ตามเหตปุ จั จัยและกาลเวลา กลางศตวรรษท่ี ๒๐ เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบโครงสร้างอ�านาจชายหญิง อันเนื่องมาจากการแก้ไขเปลี่ยนแปลง ทางกฎหมาย ผู้หญิงได้มีสิทธิเสรีทางสังคมและการเมืองมากข้ึน มีสิทธิครอบครองทรัพย์สินและ ในครอบครัวมากข้ึน มีสิทธิได้รับค่าจ้างตอบแทนทัดเทียมกับผู้ชาย ได้รับการยอมรับคุ้มครองมากขึ้น ห้ามไม่ให้มีการแบ่งแยกชายหญิง เพราะชายและหญิงมีความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน ทุกคนเกิดมา เท่าเทียมกันในความเป็นมนุษย์ ชายหญิงมีฐานะเท่าเทียมกันทางสังคมการเมือง สังคมและรัฐต้อง ยอมรบั คมุ้ ครองให้ทัดเทยี มกัน ให้สทิ ธิเสรีภาพเทา่ เทยี มกนั ในทุก ๆ ดา้ น ไม่วา่ ในดา้ นสงั คม เศรษฐกิจ การเมอื ง และวฒั นธรรม ไมม่ กี ารแบง่ ชนชน้ั วรรณะทางสงั คม ไมร่ งั เกยี จดถู กู เหยยี ดหยามซงึ่ กนั และกนั อย่างไรกต็ าม กย็ งั ปรากฏชายมอี า� นาจเหนือกวา่ หญงิ กเ็ พราะความเชอ่ื และการปฏบิ ัติ บทบาทหนา้ ท่ี และโครงสร้างสรีระร่างกาย แต่สิ่งทั้งหมดเหล่านี้สามารถแก้ไขปรับปรุงและเปล่ียนแปลงได้ตามเหตุ ปัจจัย สามารถสร้างสรรค์พัฒนาเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาสังคมและวัฒนธรรม จึงต้องการให้คิด พิจารณาตาม Simone de Beauvoir (๑๙๐๘-๘๖) นักสตรีนิยมชาวฝร่ังเศสท่ีเคยกล่าวยืนยันไว้ว่า คนไม่ได้เกิดมาเป็นหญิงหรือชาย แต่เกิดมาเป็นคน สตรีจะเท่าเทียมบุรุษหรือไม่ หากเราตัดข้อจา� กัด ของสตรอี อกไป โดยเฉพาะในเร่อื งการแต่งงาน การก�าเนิดบุตร และความเป็นแมท่ ่ีมคี วามรับผิดชอบ ต่อบุตร (Marriage, childbirth and responsibilities of motherhood) อันส่งผลมีอิทธิพลต่อ แนวความคิดความเสมอภาคชายหญิงหรือความเปน็ คนในสงั คมโลกปัจจุบนั



บทที่ ๖ วัฒนธรรม ก็เป็นเร่ืองหนึ่งที่เก่ียวข้องกับวิถีชีวิตมนุษย์ทั้งหลาย ในอดีตกาล มนุษย์พยายามที่จะรู้เข้าใจ สรรพสิ่งในโลกใบน้ีทุกวิถีทาง รู้เข้าใจตัวเองกับสิ่งแวดล้อม โดยการเรียนรู้และประสบการณ์ของตน และคนอื่น ให้ถูกต้องเหมาะสมกับชีวิตและสังคม เกิดชีวิตท่ีดีงามประเสริฐและสังคมที่น่าอยู่อาศัย กอ่ เกิดวัฒนธรรมนา� มาประพฤตปิ ฏบิ ัตสิ ืบตอ่ กันมา เกดิ การพัฒนาเจรญิ รุง่ เรอื งตามล�าดับ วฒั นธรรม จึงท�าให้มนุษย์แตกต่างไปจากสัตว์ท้ังหลาย วัฒนธรรมดังกล่าวถูกสร้างก�าหนดแสดงด้วยภูตผีปีศาจ และเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ แต่ตอ่ มา เพราะความเจริญก้าวหนา้ ทางวิทยาการ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ได้กระตุ้นเตือนให้มนุษย์คิดใหม่ท�าใหม่เก่ียวกับสังคมและวัฒนธรรมเก่าด้ังเดิม พยายามหาค�าตอบ อธิบายปรากฏการณ์ทางสังคมและวัฒนธรรม ความจริงและความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ สังคมและ วัฒนธรรม โดยอาศัยหลักการทางวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วย เน้นการพิสูจน์ทดลองความจริงท่ัวไปอย่าง มีเหตุผลถูกต้อง เกิดองค์ความรู้ใหม่และส่ิงประดิษฐ์ใหม่อย่างต่อเน่ือง เป็นการท้าทายความคิด ความเช่ือและการประพฤติปฏิบัติเก่าด้ังเดิม อันเป็นสาเหตุน�าไปสู่ปัญหาความขัดแย้งทางสังคมและ วัฒนธรรม เพ่ือความรู้เข้าใจความจริงถูกต้องดีงามของสังคมและวัฒนธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพื่อแก้ไข ปรบั ปรงุ เปลย่ี นแปลงใหเ้ หมาะสมกบั สงั คมโลกปจั จบุ นั เพราะวฒั นธรรมเปน็ องคป์ ระกอบสา� คญั อยา่ ง หนง่ึ ของคนสงั คมการเมือง และเปน็ แบบแผนทถี่ ูกตอ้ งดงี ามในการดา� เนนิ ชีวิตทางสงั คมการเมือง อะไรคือวัฒนธรรม วฒั นธรรมอาจหมายถงึ รปู แบบการเปน็ อยทู่ ซี่ บั ซอ้ น ทม่ี นษุ ยส์ รา้ งสรรคพ์ ฒั นาขนึ้ และถา่ ยทอด สืบต่อจากรนุ่ สู่รนุ่ สงั คมประกอบไปด้วยผูค้ นทัง้ หลายท่ีมวี ัฒนธรรมและวิถีชวี ติ ท่ีแตกต่างกัน ไม่เพียง แตเ่ ปน็ เรอ่ื งของบรรทัดฐาน ขนบธรรมเนียม ลักษณะนสิ ยั ความเช่ือ และภาษาอย่างเดียว ซ�้ายังเป็น เรอ่ื งวตั ถสุ ่งิ ของทมี่ นษุ ย์สรา้ งขนึ้ ดังนนั้ วฒั นธรรมจึงประกอบไปด้วยสงิ่ ท่ีเป็นวัตถแุ ละไมใ่ ชว่ ตั ถุ “Culture may be defined as the complex patterns of living developed by human beings and passed down through the generations. A society is composed of people who have a distinctive culture and the way of life characterized not only by norms, customs, habits, beliefs and language but also by material artifacts. Culture thus consists of both material and non-material components (Magill, et al., ๑๙๙๕: ๓๐๑)”

98 สงั คมวิทยาเบื้องตน้ วฒั นธรรมอาจถกู นยิ ามวา่ สง่ิ ทมี่ นษุ ยส์ รา้ งขน้ึ การใชส้ ญั ลกั ษณเ์ ครอื่ งหมาย และสง่ิ ทสี่ รา้ งขนึ้ วฒั นธรรมทา� ใหก้ อ่ เกดิ เปน็ วถิ ชี วี ติ ของสงั คมทงั้ หมด รวมไปถงึ กริ ยิ าอาการ การแตง่ กาย ภาษา พธิ กี รรม บรรทดั ฐานพฤตกิ รรม และระบบความเชือ่ “Culture may be defined as the human creation and use of symbols and arti- facts. Culture may be taken as constituting the “way of life” of an entire society and this will include codes of manners, dress, language, rituals, norms of behaviors and systems of belief (Jary and Jary, ๒๐๐๐: ๑๒๙)” คา� วา่ วฒั นธรรม ตามรปู ศพั ท์ แปลวา่ หลกั แหง่ ความเจรญิ งอกงามหรอื ดงี ามเจรญิ นอกจากน้ี ยังมศี พั ท์อืน่ อีก เชน่ พัฒนา ภาวนา (Development) โดยอรรถมีความหมายเดยี วกนั เป็นการถามหา จะท�าอย่างไรให้เกิดความดีงามเจริญ อันเป็นผลรวมส่ิงที่มนุษย์คิดสร้างท�า เพ่ือความเจริญงอกงาม ทง้ั ทางรา่ งกายและจติ ใจ แลว้ ใชส้ งิ่ ทส่ี รา้ งขน้ึ นน้ั เพอ่ื การเปน็ อยทู่ ด่ี ขี องชวี ติ ทางสงั คมการเมอื งทง้ั หมด เป็นแบบแผนของการด�าเนินชีวิตของคนหรือสังคมทั้งหมด ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มคนหรือคนใดคนหน่ึง ท่ีสมาชิกของสังคมทั้งหมดเช่ือยึดถือเป็นแบบอย่างการประพฤติปฏิบัติร่วมกัน วัฒนธรรมมีทั้งท่ีเป็น วัตถุและมใิ ช่วตั ถุ อนั หมายถงึ สิ่งประดษิ ฐ์เทคโนโลยีต่าง ๆ ทง้ั หลาย และวิทยาการความคิดความเชือ่ ทัศนคติค่านิยมการปฏิบัติท้ังหลาย ท่ีแสดงถึงความจริงถูกต้องดีงาม การเรียนรู้รับช่วงสืบต่อกันมา การยอมรับยึดถือปฏิบัติร่วมกัน เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย สัมพันธ์สมดุลและบูรณาการ ความเจรญิ รงุ่ เรืองพัฒนากา้ วหนา้ ตอ่ ไป ส่วนค�าว่า อารยธรรม (Civilization) หมายถึงแหล่งความดีงามเจริญ ท่ีเป็นเมืองหรือสังคม ใหญเ่ ตม็ ไปดว้ ยความเจรญิ อนั มอี า� นาจอทิ ธพิ ลตอ่ สงั คมอนื่ ทา� ใหค้ นสงั คมอนื่ ทง้ั หลายคอยดเู ลยี นแบบ เดินตาม เรียกได้ว่า เป็นต้นแบบหรือผู้ให้วัฒนธรรมทั้งหลาย โดยนัยน้ี ก็หมายถึงสังคมตะวันตก โดยเฉพาะยุโรป อเมริกา เปน็ ตน้ ในบางคร้งั กห็ มายถึงหน้าจอทวี ี (=Recorded culture) ทคี่ นสังคม เจรญิ ทา� ผลติ รายการ แพรภ่ าพออกอากาศ แลว้ คนสงั คมทง้ั หลายดเู ลยี นแบบเอาอยา่ ง อนั สง่ ผลกอ่ เกดิ วัฒนธรรมได้เช่นกัน แต่ในความหมายเดิมทั่วไป นิยมหมายถึงแหล่งที่เจริญถึงจุดสูงสุดแล้วก็หยุดอยู่ กบั ท่ี ในความหมายนี้ แหล่งอารยธรรม ก็คอื อยี ปิ ต์ ทลี่ มุ่ แมน่ �้าไนล์ อินเดยี ทล่ี ุม่ แมน่ า้� สินธุ จีน ท่ลี ่มุ แมน่ า�้ เหลอื งหรอื ฮวงโห กรีซ และโรมัน เป็นตน้ สา� หรบั ค�าว่า ประเพณี (Tradition) หมายถึงความเชือ่ และการปฏิบัติสืบต่อกันมา ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของกลุ่มและสังคมเฉพาะ เป็นระดับเล็กรองลงมา เช่น ประเพณีบุญบ้ังไฟ ก็เป็นเรื่องเฉพาะมีในกลุ่มหรือสังคมภาคอีสาน หรือเรื่องโสเภณีในสังคมไทย นกั คดิ นกั เขยี นตา่ งประเทศ นยิ มมองเหน็ เปน็ เรอื่ งของวฒั นธรรม แตส่ า� หรบั ผเู้ ขยี นเหน็ วา่ เปน็ เรอื่ งของ ประเพณี เป็นเร่ืองของกลุ่มคนเฉพาะ ไม่ใช่คนกลุ่มใหญ่ท้ังหมด เป็นเฉพาะกลุ่มผู้หญิง (หรือผู้ชาย) ผู้มีการศึกษาน้อยด้อยโอกาสทางสังคม แล้วไม่มีทางเลือกอ่ืน และยังมีค�าว่า ธรรมเนียม (Custom)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook