บทน�ำ 1 ๑ บทนำ�
ความเป็นมาของการศึกษา ๑.๑ พงศาวดารกับเร่ืองราวเก่ียวกับพระพุทธศาสนา พงศาวดาร คือบันทึกเร่ืองราวของเหตุการณ์เก่ียวกับประเทศชาติ หรือพระ มหากษตั รยิ ผ์ เู้ ปน็ ประมขุ ของประเทศชาตนิ นั้ เชน่ พงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา พงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์๑ บางฉบับเขียนว่า พระราชพงศาวดาร ซึ่งมีความหมายถึงการ อวตารของพระวิษณุเทพเจ้าในศาสนาฮินดู ดังน้ัน พงศาวดารจึงเป็นหนังสือบันทึก เหตุการณ์ (chronicle) ประเภทหน่ึง ซึ่งเน้นเรื่องเก่ียวกับพระมหากษัตริย์ผู้เป็น ประมุขของประเทศ หรือพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ท่ีเก่ียวกับประเทศ ตลอดเหตุการณ์ส�ำคัญต่าง ๆ ในอดีต แม้อรรถกถาสุมังควิสาลินี ก็อธิบายความหมาย ว่า บันทึกเร่ืองราวเกา่ ๆ ทอ่ี ธบิ ายเรอื่ งราวตา่ ง ๆ วา่ สงิ่ นไ้ี ดเ้ ปน็ มาแลว้ อยา่ งน้ี สง่ิ นี้ ไดเ้ ปน็ มาแลว้ เชน่ น๒้ี ลักษณะเน้ือหาในพงศาวดาร เป็นค�ำให้การ หรือเป็นจดหมายเหตุโดยทาง ราชส�ำนักเป็นผู้ให้บันทึกขึ้น พงศาวดารจึงถือเป็นหลักฐานท่ีส�ำคัญทางประวัติศาสตร์ อีกอย่างหนึ่งที่ท�ำให้คนรุ่นหลังได้ทราบประวัติความเป็นมาของพระมหากษัตริย์ในอดีต ความที่พระพุทธศาสนาได้มีบทบาทส�ำคัญต่อสถาบันพระมหากษัตริย์นับตั้งแต่ อดีต บันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องกับพระมหากษัตริย์ จึงมักมีเรื่องราวเก่ียวข้อง กับพระพุทธศาสนาในแง่มุมต่าง ๆ ด้วย พงศาวดารจึงนอกจากจะจารึกเหตุการณ์ บ้านเมืองในอดีตแล้ว บางช่วงบางตอนของเหตุการณ์บ้านเมืองเหล่านั้น ยังสะท้อนให้ เห็นเหตุการณ์เก่ียวกับพระพุทธศาสนาในหลาย ๆ รูปแบบ และหลายลักษณะ นับต้ังแต่เร่ิมต้นสถาปนากรุงศรีอยุธยา กระท่ังถึงวาระสุดท้าย
บทน�า 3 เช่น ในรัชสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสุนทรบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว (พระเจ้าอู่ทอง) มีข้อความระบุไว้ว่า “ศักราช ๗๑๕ ปีมะเส็ง เบญจศก วันพฤหัสบดี เดือนส่ี ข้ึนค�าหน่ึง เพลา สองนาฬิกาห้าบาท ทรงพระกรุณาตรัสว่า ที่ต�าหนักเวียงเล็กน้ัน ให้สถาปนาพระวิหาร และพระมหาธาตุเป็นพระอารามแล้ว ให้นามชื่อว่าวัดพุทไธสวรรค์”๓ “ศักราช ๗๒๕ ปีเถาะ เบญจศก ทรงพระกรุณาตรัสว่า เจ้าแก้วเจ้าไทย ออกอหิวาตกโรคตาย ให้ขุดข้ึนเผาเสีย ท่ีปลงศพน้ัน ให้สถาปนาพระเจดีย์แลพระวิหาร เป็นพระอารามแล้ว ให้นามชื่อว่า วัดป่าแก้ว”๔ จากหลกั ฐานทา� ใหท้ ราบวา่ สมเดจ็ พระรามาธบิ ดี ทรงอยใู่ นราชสมบตั ยิ าวนาน ๒๐ ปี เสด็จสวรรคตเมื่อศักราช ๗๓๑ และได้ทรงสถาปนา หรือสร้างวัดซ่ึงมีความ ส�าคัญทางประวัติศาสตร์เป็นมรดกตกทอดมาถึงปัจจุบัน ๒ วัด คือวัดพุทไธสวรรค์ และวัดป่าแก้ว ในรชั สมยั ของสมเดจ็ พระราเมศวร ไดม้ บี นั ทกึ ความตอนหนง่ึ วา่ “พระเจา้ อยหู่ วั เสด็จยังในเมืองพิษณุโลก นมัสการพระชินราชชินสีห์ เปล้ืองเครื่องต้นถวาย ทรง
4 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา สักการะบูชาสมโภชเจ็ดวัน แล้วเสด็จลงมาพระนคร....เสด็จออกทรงศีลยังพระที่นั่ง มังคลาภิเษก เพลา ๑๐ ทุ่ม ทอดพระเนตรไปยังฝ่ายทิศบูรพ์ เห็นพระสารีริกบรมธาตุ ปาฏิหาริย์ เรียกปลัดวังให้เอาพระราชยานทรงเสด็จออกไป ให้กรุยปักขึ้นไว้สถาปนา พระมหาธาตุนั้นสูง ๑๙ วา ยอดนภศูลสูงสามวา แล้วให้ขนานนามให้ช่ือว่า วัด มหาธาตุ และให้ท�าพระราชพิธีประเวศพระนคร และเฉลิมพระราชมณเทียร”๕ “ศักราช ๗๘๖ ปีมะโรง ฉศก สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้าสร้างวัด มเหยงคณ์ สมเด็จพระราเมศวรผู้เป็นพระราชกุมารเสด็จไปเมืองพิษณุโลก คร้ังนั้นเห็น นา�้ พระเนตรพระพุทธชินราชตกออกเปน็ โลหิต๖ ศกั ราช ๗๙๖ ในแผน่ ดนิ ของพระบรม ไตรโลกนาถเจ้า ได้ทรงยกวังท�าเป็นวัดพระศรีสรรเพชญ์ และท่ีถวายพระเพลิงสมเด็จ พระรามาธิบดี ท่ีพระองค์สร้างกรุงเก่านั้น ให้สถาปนาพระมหาธาตุและพระวิหารเป็น พระอาราม แล้วให้นามว่า วัดพระราม” “ลุถึงศักราช ๘๐๖ ปีชวด ฉศก ให้บ�ารุง พระพุทธศาสนาบริบูรณ์ และหล่อรูปพระโพธิสัตว์ ๕๕๐ พระชาติ”๗
บทน�า 5 “ศักราช ๘๑๑ ปีมะเส็ง เอกศก สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเจ้า ทรงผนวช ณ วัดจุฬามณีได้แปดเดือน แล้วลาผนวช”๘ “ลุถึงศักราช ๙๐๕ ปีเถาะ เบญจศก เม่ือสมเด็จพระเจ้าหงสาวดีได้ยกทัพ มาตอี ยธุ ยา พระสงฆซ์ ง่ึ อยใู่ นสมณเพศ อยา่ งเชน่ พระมหานาค ซง่ึ บวชอยทู่ ว่ี ดั ภเู ขาทอง ก็มีใจรักชาติบ้านเมือง ได้สึกออกมารับต้ังค่ายกันทัพเรือต้ังแต่วัดภูเขาทองลงมาจนถึง วัดป่าพลู โดยขอก�าลังจากญาติโยม ทาสชาย หญิงของมหานาคช่วยกันขุดคูนอก ค่ายกันทัพเรือของข้าศึก ซ่ึงต่อมารู้จักกันว่า คลองมหานาค”๙ จากเหตุการณ์ครั้งนี้ ท�าให้เห็นบทบาทของพระสงฆ์ในการเข้าไปมีส่วนร่วมใน รักษาประเทศชาติไว้ บางช่วงบางตอน พระสงฆ์ที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์บ้านเมือง หากไม่ ระมัดระวังก็มีอันตรายถึงชีวิตเช่นกัน เช่นกรณีพระพนรัตน์วัดป่าแก้ว ซ่ึงเป็นผู้ให้ฤกษ์ แก่พระศรีศิลป์ในการล้มล้างราชบัลลังก์ของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้า ต่อมาเหตุการณ์ผลิกผัน ท�าการไม่ส�าเร็จ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิฯ จึงสั่งให้เอา
6 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา พระพนรัตน์ไปฆ่าเสีย แล้วเอาศีรษะไปเสียบประจาน ณ ตะแลงแกงพร้อมกับศพ พระศรีศิลป์๑๐ จะเห็นได้ว่า เรื่องราวท่ีจารึกไว้ในพงศาวดาร มีความเก่ียวข้องกับพระพุทธ ศาสนาอยู่ทุกยุคทุกสมัย โดยกระท่ังสุดท้ายก่อนที่จะเสียกรุงศรีอยุธยาให้แก่พม่า วัดวา อารามที่เคยกลายเป็นสัญลักษณ์ของความสงบร่มเย็น ก็ได้กลายเป็นสมรภูมิรบ พม่า ได้ยกทัพมาตั้งค่ายในวัด บุกโจมตี และฆ่าผู้คนไปเป็นจ�านวนมาก เมื่ออายุแผ่นดิน ศรีอยุธยาถึงกาลอวสาน จึงเกิดอาเพศให้เห็นประหลาด เช่น พระประธานวัดเจ้า พระนางเชิงน�้าพระเนตรไหลลงมาจนถึงพระนาภี ในวัดพระศรีสรรเพชญ์นั้น พระบรม ไตรโลกนาถ พระอุระแตก ดวงพระเนตรตกลงมาอยู่ท่ีตักเป็นอัศจรรย์ พระเจดีย์วัดราช บูรณะนั้น กาบินมาเสียบตายอยู่บนปลายยอด รูปพระนเรศวรเจ้าโรงแสงในกระทืบ พระบาทสน่ันไปท้ังส่ีทิศ และเม่ือพม่าเข้ากรุงได้ ก็เอาไฟเผาพระราชวัง และวัดพระ ศรีสรรเพชญ์ ขณะท่ีพระเจ้าแผ่นดินอยุธยา ได้หนีออกจากพระนครไปพระองค์เดียว ได้รับความล�าบาก สุดท้ายก็ถึงแก่พิราลัย แผ่นดินอยุธยาจึงอันปิดฉากลงในปี พ.ศ.๒๓๑๐ ปีกุน นพศก
บทน�ำ 7 ร่องรอยพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา มีปรากฏทุก ยุคสมัย ตลอดระยะเวลา ๔๑๗ ปี อย่างไรก็ตาม เนื้อความก็ยังกระท่อนกระแท่น ยังไม่เคยมีการประมวล และน�ำมาวิเคราะห์รายละเอียด โดยเฉพาะในประเด็นเรื่อง บทบาท ความสัมพันธ์ และคตินิยมต่าง ๆ ทางพระพุทธศาสนาท่ีมีต่อสังคม และท่ี สังคมมีต่อพระพุทธศาสนา จึงเป็นท่ีมาของการศึกษาในคร้ังน้ี ๑.๒ ขอบเขตของการศึกษา การศึกษาครั้งนี้ มุ่งสืบค้นเร่ืองราวเก่ียวกับพระพุทธศาสนาที่ปรากฏอยู่ใน พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา จากน้ันวิเคราะห์บทบาท ความสัมพันธ์ และคตินิยมทาง พระพุทธศาสนาที่มีต่อสังคม และคตินิยมทางสังคมที่มีต่อพระพุทธศาสนา เบ้ืองต้นผู้ศึกษาใช้พระราชพงศาวดาร พงศาวดาร และประชุมพงศาวดารสมัย กรุงศรีอยุธยา ซ่ึงตีพิมพ์ในโอกาสต่าง ๆ โดยจัดกลุ่มเป็นเอกสารชั้นปฐมภูมิคือตัว พงศาวดาร และเอกสารชั้นทุติยภูมิ ได้แก่จดหมายเหตุ ประชุมพงศาวดาร ตลอดจน ถึงต�ำนาน ต�ำราทางวิชาการต่าง ๆ กลุ่มพงศาวดาร ประกอบด้วย พระราชพงศาวดาร เล่ม ๑-๒-๓ ตีพิมพ์ โดยกรมศึกษาธิการ (ร.ศ.๑๒๐), พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับวัน วลิต พ.ศ.๒๑๘๒, พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ภาค ๑-๒-๓ ตีพิมพ์ เม่ือ รศ.๑๓๑ (พ.ศ.๒๔๕๕), พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสิด ตีพิมพ์ พ.ศ.๒๔๘๖, พระราชพงศาวดารกรุงเก่า กรมราชบัณฑิตจัดพิมพ์ ๒๕๐๑ กลมุ่ จดหมายเหตุ และประชมุ พงศาวดาร ประกอบดว้ ย ลาลแู บร์ จดหมายเหตุ กรุงศรีอยุธยา, ประชุมพงศาวดาร ภาคท่ี ๑๙, ประชุมพงศาวดาร ภาคท่ี ๒๐, ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๓๗, ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๓๘, ประชุมพงศาวดาร ภาคท่ี ๔๐, ประชุมพงศาวดาร ภาคท่ี ๖๔, ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๙, จดหมายเหตุระยะทางราชทูตลังกาเข้ามาขอคณะสงฆ์ที่กรุงศรีอยุธยา, ตีพิมพ์ ๒๔๗๓, จดหมายเหตุเก่า เรื่อง พระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยาแต่งทูตไปนมัสการ พระมาไลย์เจดีย์เมืองหงสาวดี เป็นต้น
8 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ๑.๓ วิธีการศึกษา การศึกษาคร้ังน้ี ผู้เขียนได้สืบค้นเอกสารพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาจากเอกสาร หลัก ประกอบไปด้วย ฉบับจันทนุมาศ, ฉบับหลวงประเสริฐ ตีพิมพ์ พ.ศ.๒๔๘๖, ฉบับพระราชหัตถเลขา ภาค ๑-๒-๓ ตีพิมพ์เม่ือ รศ.๑๓๑ (พ.ศ.๒๔๕๕) และเทียบเคียงฉบับอ่ืน ๆ เช่น ประชุมพงศาวดาร ภาคท่ี ๑๙, ประชุมพงศาวดาร ภาคท่ี ๒๐, ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๓๗, ประชุมพงศาวดาร ภาคท่ี ๓๘, ประชุม พงศาวดาร ภาคที่ ๔๐, ประชุมพงศาวดาร ภาคท่ี ๖๔, ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๙, จดหมายเหตุระยะทางราชทูตลังกาเข้ามาขอคณะสงฆ์ที่กรุงศรีอยุธยา, ตีพิมพ์ ๒๔๗๓, จดหมายเหตุเก่า เร่ือง พระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยาแต่งทูตไปนมัสการ พระมาไลย์เจดีย์เมืองหงสาวดี เป็นต้น โดยได้ด�ำเนินการตามล�ำดับดังนี้ ๑. คัดเนื้อหาส่วนที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาออกมา แล้วจัดหมวดหมู่ ตามเนื้อหาเรียงล�ำดับตามล�ำดับรัชกาล ๒. วิเคราะห์บทบาทและความสัมพันธ์ระหว่างพระพุทธศาสนากับสังคม สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยวิเคราะห์เนื้อหาท่ีได้จากการศึกษาในข้อ ๑ โดยแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน คือ ส่วนที่เป็นบทบาท และความสัมพันธ์ที่พระพุทธศาสนามีต่อสังคมในสมัย กรุงศรีอยุธยา ๓. วิเคราะห์คตินิยมทางพระพุทธศาสนาท่ีมีต่อสังคม และคตินิยมท่ีสังคม มีต่อพระพุทธศาสนาสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยพิจารณา ๒ ประเด็นหลัก ๑) คตินิยม ท่ีพระพุทธศาสนามีต่อสังคม ๒) คตินิยมท่ีสังคมมีต่อพระพุทธศาสนา การวิเคราะห์คตินิยมพระพุทธศาสนาที่มีต่อสังคม ผู้ศึกษาอาศัยคตินิยมท่ี ปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎก และอรรถกถาเป็นแนวคิดและทฤษฎีส�ำหรับการวิเคราะห์ ส่วนคตินิยมที่สังคมมีต่อพระพุทธศาสนา อาศัยคตินิยมทางสังคมสมัยอยุธยาเป็น แนวคิด พร้อมทั้งเชื่อมโยงให้เห็นอิทธิพล หรือบทบาทส�ำคัญในการก�ำหนดคตินิยม ใหม่ข้ึนในพระพุทธศาสนา
บทน�า 9
10 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา เชิงอรรถ ๑ ดูรายละเอียดใน https://th.wikipedia.org/wiki/จังหวัดพระนครศรีอยุธยา. ๒ ที.สี.อ. (ไทย) ๑/๑/๕๓๘. ๓ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม), (นนทบุรี : ส�ำนักพิมพ์ ศรีปัญญา, ๒๕๕๓), หน้า ๓๘. ๔ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๔๑. ๕ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๔๗. ๖ เร่ืองเดียวกัน, หน้า ๕๑. ๗ เร่ืองเดียวกัน, หน้า ๕๔. ๘ เร่ืองเดียวกัน, หน้า ๕๔. ๙ เร่ืองเดียวกัน, หน้า ๗๘. ๑๐ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับหลวงประเสริฐ, หน้า ๔๑๐.
.
12 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา
ความเป็นมาของอยุธยา 13 ๒ ความเปน็ มาของอยธุ ยา
กรุงศรีอยุธยาและร่องรอยการเข้ามาของพระพุทธศาสนา ๒.๑ กรุงศรีอยุธยาก่อน พ.ศ.๑๘๙๓ กรุงศรีอยุธยาได้รับการสถาปนาเป็นเมืองหลวงในปี ๑๘๙๓ ตามท่ีระบุไว้ ในพงศาวดาร แต่ในรูปของต�ำนาน มีผู้ต้ังข้อสันนิษฐานไว้ว่า๑ ก่อน พ.ศ.๑๔๘๑ ก็เคยเป็นเมืองหลวงของประเทศสยาม ช่ือว่ากรุงศรีอยุธยา มีกษัตริย์ทรงปกครอง สืบต่อกันมาหลายพระองค์ แต่ความในพงศาวดารบกพร่อง ไม่ใคร่ติดต่อกันได้ ลงท้าย ช่ือกรุงศรีอยุธยาสูญหายกลายไปเป็นเมือง เรียกว่าเมืองเสนาราชนคร จึงเห็นว่าคง จะเป็นด้วยกรุงศรีอยุธยาเสื่อมถอยลง เมืองอ่ืนมีอ�ำนาจเข้มแข็งก็ปกแผ่ลงมาได้ไป เป็นเมืองขึ้น จึงได้ลดจากกรุงลงเป็นเมืองไป ในพงศาวดารโยนก๒ ระบุว่า เคยเป็นท่ีประดิษฐานพระมหามณีรัตน์ไว้ มี รายละเอียดประกอบว่า เม่ือคราวน้�ำท่วมเมืองกัมพูชา พระมหาเถระได้อัญเชิญ พระมหามณรี ตั นล์ งสำ� เภามาอาศยั อยทู่ างตอนเหนอื ของนครอนิ ทปฐั ระยะทางสามเดอื น เศษ ต่อมาพระมหามณีรัตน์ก็อยู่ในความครอบครองของพระเจ้าอาทิตย์ราชซึ่งครอง กรุงสยามฝ่ายเหนือ ซ่ึงตามความเข้าใจของผู้รจนาต�ำนานก็ว่าเป็นพระนครศรีอยุธยา โบราณแต่ในพงศาวดารก็ยังไม่สามารถระบุได้ว่าต้ังอยู่ที่ใด ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ได้ให้ความเห็นว่า อยุธยา ถือก�ำเนิดมาจากแคว้น สุพรรณบุรี และลพบุรี สุพรรณบุรีมีอ�ำนาจทางทิศตะวันตกของแม่น�้ำเจ้าพระยา ซึ่งมี เมืองเก่าหลายเมืองรวมอยู่ด้วย เช่น นครชัยศรี ราชบุรี เพชรบุรี ส่วนลพบุรีมีอ�ำนาจ ทางซีกตะวันออกแม่น�้ำเจ้าพระยา และพระเจ้าอู่ทองก็สถาปนาอยุธยาข้ึนโดยตั้งขึ้นใน
ความเป็นมาของอยุธยา 15 เมืองอโยธยาท่ีมีมาก่อน เป็นเมืองท่ีอยู่ระหว่างกลางระหว่างสุพรรณบุรีกับลพบุรี๓ ถอื ตามนยั น้ี อยธุ ยา กค็ อื เมอื งทไ่ี ดร้ บั การสถาปนาขน้ึ ในบรเิ วณเมอื งอโยธยาเดมิ นน่ั เอง สืบความย้อนหลังจากน้ีจากหลักฐานอื่น๔ ได้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าบรรพบุรุษของ พระเจ้าอู่ทองนั้นสืบเชื้อสายมาจากมาจากเชียงราย แต่พ่ายต่อข้าศึกเมืองสตอง จึงได้ หนีลงมามายังแว่นแคว้นสยามประเทศ ข้ามแม่น�้าโพถึงเมืองร้างแห่งหนึ่งตั้งอยู่ฝั่ง ตรงกันข้ามเมืองก�าแพงเพชร จึงได้ต้ังเมืองอยู่ที่เมืองร้างแห่งน้ัน และให้นามเมืองว่า ไตรตรึงษ์ เพราะเหตุที่มีพระอินทร์จ�าแลงมาบอกสถานท่ีให้ ทรงครองราชย์อยู่ในเมือง แห่งนี้ตลอดช่ัว ๔ รัชกาล แผนที่โบราณดินแดนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้วาดโดยฝรั่งยุโรป ท่ีมา: http://www.raremaps.com/gallery/enlarge/24485
16 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ห่างจากเมืองนั้นออกไปทางทิศใต้ มีชายเข็ญใจรูปร่างเป็นปมเต็มตัว จึงได้ ชื่อว่า นายแสนปม ปลูกพริกมะเขืออยู่ริมฝั่งแม่น�้ำ นายแสนปมถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ใกล้บริเวณต้นพริก ต้นมะเขือ จึงท�ำให้ผลใหญ่กว่าผลอื่น ๆ พระราชธิดาพระยาไตรตรึงษ์อยากเสวยมะเขือ ให้สาวใช้ไปหาซื้อ ก็ได้มะเขือ จากบ้านนายแสนปมนั้น คร้ันเสวยแล้วก็ทรงพระครรภ์ ความทราบถึงพระบิดา ก็ทรง ให้ไต่สวนหาความจริง ก็ไม่พบว่าพระธิดาไปสมัครสังวาสกับบุรุษใด คร้ันครรภ์แก่ครบ กำ� หนด กท็ รงประสตู พิ ระกมุ ารบรบิ รู ณด์ ว้ ยบญุ ญาธกิ าร และไดร้ บั การเลย้ี งดเู ปน็ อยา่ งดี ครั้นพระกุมารมีพระชนม์ได้ ๓ พระชันษา พระอัยกามีพระประสงค์เสี่ยงทาย หาบิดาของพระราชกุมาร จึงให้เป่าประกาศให้บรรดาชาวเมืองถือของกินมาถวาย พระราชกุมาร โดยตั้งสัตยาธิษฐานว่า หากบุรุษใดเป็นบิดา ขอให้กุมารรับของจากบุรุษ นั้นมาเสวย แล้วให้พระนางอุ้มพระราชกุมารน้อยไปสู่ที่ชุมชนหน้าพระลานหลวง แม้ จะมีบุรุษจ�ำนวนมากยื่นขนมให้ แต่พระราชกุมารก็หาได้สนพระทัยไม่ กระทั่งถึง นายแสนปม มีเพียงก้อนข้าวเย็น พระราชกุมารเห็นก็ว่ิงเข้าไปกอดคอ แล้วรับเอา ก้อนข้าวน้ันมาเสวย พระเจ้าไตรตรึงษ์ทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้นก็เกิดความละอายพระทัย ได้มอบ พระราชธิดาให้นายแสนปม แล้วปล่อยลงแพ ครั้นลอยมาถึงไร่มะเขือ นายแสนปมก็ พาบุตร ภรรยาข้ึนไป และอาศัยอยู่บนกระท่อมแห่งนี้ ด้วยอานุภาพแห่งบุญของคนท้ังสาม ร้อนถึงท้าวสักกะ ต้องลงมา พร้อมกับ มอบกลองวิเศษให้นายแสนปม พร้อมกับบอกว่า เพียงแค่ตีกลองปรารถนาก็จะได้สิ่ง ที่ต้องการ นายแสนปมจึงอธิษฐานขอให้มีรูปงาม ก็ได้สมปรารถนา ฝ่ายภรรยา ปรารถนาทองธรรมชาติ จึงได้อธิษฐานตีกลอง ก็ได้สมปรารถนาเช่นกัน เม่ือได้ทอง เป็นจ�ำนวนมาก นางก็สั่งให้ช่างท�ำอู่ให้พระราชกุมาร ตั้งแต่นั้นมา พระราชกุมารก็ได้ พระนามใหม่ว่า “อู่ทอง” คร้ันถึง พ.ศ.๑๘๖๒ พระราชบิดาก็ตีกลองทิพย์เนรมิตรพระนครใหม่ ให้ ช่ือว่า เทพนคร เพราะส�ำเร็จด้วยเทวานุภาพ ชนเป็นจ�ำนวนมากได้เข้ามาอาศัย เทพนครแห่งนี้ บ้านเมืองมีความอุดมสมบูรณ์ พระบิดาของพระเจ้าอู่ทองก็ทรงครอง
ความเป็นมาของอยุธยา 17 ราชสมบตั ใิ นพระนครแหง่ นี้ ทรงพระนามใหมว่ า่ พระเจา้ ศริ ไิ ชยเชยี งแสน ทรงครองราช มาได้ ๒๕ ปี ก็สวรรคต พระเจ้าอู่ทองก็ได้สืบทอดราชบัลลังก์แทนสืบต่อมา คร้ันถวายพระเพลิงพระศพพระราชบิดาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ๒ ปีหลังจากน้ัน ก็ทรงด�ำหริปรารถนาจะสร้างเมืองใหม่ จึงให้เสนาอ�ำมาตย์ไปแสวงหาแผ่นดินใหม่ ครั้นไปเห็นท�ำเลที่หนองโสนเหมาะสมด้วยประการท้ังปวง จึงได้สร้างต�ำหนัก และเร่ิม สร้างเมืองบริเวณท่ีแห่งนี้ ให้นามใหม่ตามเมืองเดิมว่า กรุงเทพมหานคร และได้นาม ว่า บวรทวาราวดี เพราะเหตุที่มีแม่น้�ำล้อมรอบบ้าง เรียกว่าศรีอยุธยาบ้าง ด้วยเหตุ พระนารายณ์อวตารมาช่วยสร้างบ้าง ครั้นถึงพุทธศักราช ๑๘๙๓ จึงได้สถาปนา เป็นเมืองหลวง และเสด็จมาประทับที่พระนครแห่งนี้ นับเป็นกษัตริย์พระองค์แรกแห่ง กรุงศรีอยุธยา ในจดหมายเหตุลา ลูแบร์ ได้กล่าวถึงปฐมกษัตริย์อันเป็นต้นราชวงศ์สืบทอด มาถึงสมัยอยุธยา ความดังน้ี ปฐมกษัตริยข์ องชาวสยามน้นั ทรงพระนามวา่ พระปฐมสุรยิ เทพนรไทยสุวรรณ บพิตร พระมหานครแห่งแรกท่ีเสด็จข้ึนเถลิงราชสมบัติน้ันช่ือว่า ไชยบุรีมหานคร ซ่ึงข้าพเจ้าไม่แจ้งว่าต้ังอยู่ที่ไหน เมื่อเสด็จขึ้นเถลิงราชย์นั้นพระพุทธศาสนยุกาลล่วง แล้ว ๑๓๐๐ พรรษา นับศักราชสยามและมีพระมหากษัตริย์สืบสันตติวงศ์ต่อมา อีก ๑๐ ชั่วกษัตริย์ องค์สุดท้ายทรงพระนามว่า พญาสุนทรเทศมหาเทพราช ย้าย พระนครหลวงมาสร้างราชธานีใหม่ท่ีเมืองธาตุนครหลวง จะต้ังอยู่แห่งหนต�ำบลใด ข้าพเจ้าก็ไม่แจ้งอีกเหมือนกัน ในปี พ.ศ.๑๗๓๑ พระมหากษัตริย์องค์ท่ี ๑๒ สืบต่อ จากพระองค์นี้ทรงพระนามว่า พระพนมไชยศิริ ทรงให้อาณาประชาราษฎร์ของพระองค์ อพยพตามไปยังเมืองนครไทย ซึ่งต้ังอยู่บนฝั่งแม่น�้ำอันไหลมาจากภูเขาแดนลาว ซึ่ง ไหลลงสแู่ มน่ ำ�้ เจา้ พระยา ตอนเหนอื เมอื งพษิ ณโุ ลกไปเลก็ นอ้ ย แตน่ นั้ ไปยงั เมอื งนครไทย ไกลกัน ๔๐ ถึง ๕๐ ลี้ แต่พระมหากษิตริย์พระองค์น้ีมิได้ประทับอยู่ ณ เมืองนครไทย ตลอดมา หากได้เสด็จไปสร้างและประทับอยู่ ณ เมืองพิบพลี บนฝั่งแม่น�้ำสายหนึ่ง ซ่ึงปากน�้ำน้ันอยู่ห่างราว ๒ ลี้ ข้างทิศตะวันตกของปากน�้ำ (เจ้าพระยา) มีพระมหา กษัตริย์สืบราชสันตติวงศ์ต่อมาอีก ๔ ชั่วกษัตริย์ พระองค์สุดท้ายซ่ึงทรงพระนามว่า รามาธิบดี ได้ทรงสร้างเมืองสยามขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๑๘๙๔ และเสด็จขึ้นด�ำรงสิริราช มไหศวรรย์สมบัติ ณ ที่นั้น๕
18 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา จดหมายเหตุ ยังได้ระบุถึงที่ต้ัง และรายละเอียดของกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัย ของสมเด็จพระนารายณ์ ความตอนหน่ึงว่า ตั้งอยู่ ณ ละติจูด ๑๔ องศา ๒๐ ลิบดา ๔๐ พิลิบดา และลองติจูด ๑๒๐ องศา ๓๐ ลิบดา มีรูปร่างลักษณะคล้าย ๆ ถุงย่าม ปากถุงอยู่ทางทิศตะวันตก ล�ำแม่น้�ำใหญ่บรรจบกับล�ำคลองหลายสายซ่ึงแล่นวงรอบกรุงน้ันตรงด้านเหนือ และ แยกลงไปทางดา้ นใตเ้ ปน็ หลายแพรกดว้ ยกนั พระบรมมหาราชวงั นน้ั ตง้ั อยทู่ างดา้ นเหนอื บนล�ำคลองที่เป็นคูพระมหานครทางด้านตะวันออกมีทางเดินข้ามอยู่แห่งเดียว คล้าย คอคอด ซ่ึงจะออกจากพระนครได้โดยไม่ต้องข้ามล�ำน้�ำ ตัวนครนั้นกว้างขวางมาก ด้วยมีก�ำแพงล้อมรอบตัวเกาะดังที่ข้าพเจ้ากล่าว แล้ว แต่เนอื้ ที่ภายในกำ� แพงพระมหานครนั้น มผี คู้ นอยู่ประมาณ ๑ ใน ๖ สว่ นเท่ากนั อันหมายถึงพ้ืนที่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ นอกนั้นรกเป็นป่าช้า แต่มีวัดเท่าน้ัน เปน็ ความจรงิ ทว่ี า่ ทางเขตดา้ นชานพระมหานคร ซงึ่ มชี าวตา่ งประเทศตงั้ ภมู ลิ ำ� เนาอยนู่ น้ั ท�ำให้เพิ่มจ�ำนวนพลเมืองข้ึนอีกเป็นอันมาก๖ สรุปความว่า พ.ศ.๑๘๙๓ ยอ้ นหลงั ไป กรุงศรีอยุธยายงั อย่ใู นรูปของต�ำนาน แต่ก็พอมีเค้าความเป็นมาว่าเคยเป็นเมืองส�ำคัญมาก่อน ต่อเมื่อพระเจ้าอู่ทองสถาปนา ข้ึนเม่ือวันศุกร์ เดือน ๕ ขึ้น ๖ ค่�ำ เวลา ๓ นาฬิกา ๙ บาท ปีขาล โทศก ศักราช ๗๑๒ (พ.ศ.๑๘๙๓)๗ อยุธยาจึงได้ปรากฏตัวขึ้นในฐานะเป็นเมืองหลวงของสยาม ประเทศ ๒.๒ กรุงศรีอยุธยาหลัง พ.ศ.๑๘๙๓ ความในพงศาวดารช่วงพระเจ้าอู่ทองได้สถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีน้ัน ได้มีการระบุถึงเมืองที่อยู่ในฐานะเป็นประเทศราช ๑๖ เมือง ประกอบด้วย มะละกา ชะวา ตะนาวศรี นครศรีธรรมราช ทะวาย เมาะตะมะ เมาละเลิง สงขลา จันทบุรี พิศณุโลก สุโขทัย พิไชย สวรรคโลก พิจิตร ก�ำแพงเพชร และนครสวรรค์๘ ขณะ เดียวกันก็มีเมืองอีก ๒ เมืองที่ทรงให้ความส�ำคัญ โดยส่งพระเชษฐา (หลวงพะงั่ว) และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ (พระราเมศวร) ไปครอง ได้แก่ เมืองสุพรรณบุรี และลพบุรี ตามล�ำดับ
ความเป็นมาของอยุธยา 19 กรุงศรีอยุธยาตามค�าบอกเล่าของนิโกลาส์ แซรแวส ซึ่งเดินทางเข้ามาใน รัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์ ได้กล่าวถึงต�าแหน่งของกรุงศรีอยุธยาว่า มีอาณาเขต ตั้งแต่องศาท่ี ๗ แห่งละติจูดเหนือ กระทั่งถึงองศาที่ ๑๙ ทางทิศใต้จรดแม่น�้าอ่าว ไทยกับเมืองปัตตานี ทางทิศเหนือจรดประเทศลาว ทิศตะวันออกจรดประเทศแกว และ กัมพูชา ทิศตะวันตกจรดเมืองอังวะ, พะโค และดินแดนแคว้นมะละกา ส่วนยาวแต่ เหนือจรดใต้ประมาณ ๒๒๐ ล้ี๙ (๙๗๖.๘ กิโลเมตร) ในจดหมายเหตุของลา ลูแบร์ ได้พรรณนาถึงลักษณะของกรุงศรีอยุธยาไว้ว่า มีรูปร่างลักษณะคล้าย ๆ กับถุงย่าม ปากถุงอยู่ทางทิศตะวันตก ล�าแม่น�้าใหญ่บรรจบ กับล�าคลองหลายสายซึ่งแล่นวงรอบกรุงนั้นตรงด้านเหนือ และแยกลงไปทางด้านใต้ เป็นหลายแพรกด้วยกัน พระบรมมหาราชวังน้ัน ตั้งอยู่ทางด้านเหนือ บนล�าคลองที่ เป็นคูพระมหานครทางด้านตะวันออกมีทางเดินข้ามอยู่ทางเดียว คล้ายคอคอด ซ่ึงจะ ออกจากพระนครได้โดยไม่ต้องข้ามล�าน้�า๑๐
20 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ช่วงท่ีกรุงศรีอยุธยาด�ารงฐานะเป็นราชธานี แต่ละรัชกาล ก็ได้มีความพยายาม แผ่อาณาเขตออกไปหลายด้าน ขณะเดียวกัน ในบางช่วงบางสมัย ก็เกิดศึกภายในอัน มีสาเหตุมาจากการเปล่ียนผ่านรัชกาลบ้าง การก่อการกบฏชิงราชบัลลังก์บ้าง การไม่ ต้ังอยู่ในธรรมราชาบ้าง เป็นเหตุให้เมืองขึ้นเกิดการแข็งเมือง หรือท�าให้ข้าศึกจาก ภายนอกเฉพาะอย่างยิ่งคือพม่า ได้โอกาสยกทัพมาทดสอบก�าลัง หรือบางคร้ังก็ยกทัพ มาตีเอาเมืองชายแดนส�าคัญอยู่เนือง ๆ เช่น ใน พ.ศ.๒๑๐๖ พม่าได้ยกทัพมาตีเอา เมืองพิษณุโลก ตีเอาหัวเมืองฝ่ายเหนือ และสุดท้ายใน พ.ศ.๒๑๑๑ ก็ได้ยกทัพมาตี เอากรุงศรีอยุธยา ถัดแต่นั้น คือ พ.ศ.๒๑๑๒ ไทยสูญเสียเอกราชให้แก่พม่าช่วง ระหว่าง พ.ศ.๒๑๑๒-๒๑๒๖ อย่างไรก็ตาม สมเด็จพระนเรศวรก็ทรงกอบกู้เอกราช เป็นอิสรภาพจากพม่า ได้เป็นผลส�าเร็จใน พ.ศ.๒๑๓๓ รวมทรงใช้ระยะเวลาถึง ๘ ปี กรุงศรีอยุธยาจึงได้ กลับมาเป็นราชธานีอีกคร้ัง และเร่ือยมากระท่ังถึง พ.ศ.๒๓๑๐ ไทยก็เสียเอกราชแก่ พม่าอีกคร้ัง ครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของกรุงธนบุรี และเป็นการปิดฉากความเป็นเมือง หลวงตลอดไป
ความเป็นมาของอยุธยา 21 ๒.๓ ล�ำดับรัชกาลสมัยกรุงศรีอยุธยา ในช่วงระหว่างกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีระหว่างปี พ.ศ.๑๘๙๓-๒๓๑๐ รวมระยะเวลา ๔๑๗ ปี มีกษัตริย์ปกครองท้ังส้ิน ๕ ราชวงศ์ รวม ๓๓ พระองค์ ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้ ล�ำดับ พระนาม ราชวงศ์ ปีครองราชย์ หมายเหตุ ๑ สมเด็จพระรามาธิบดี (อู่ทอง) ที่ ๑ เชียงราย พ.ศ. ๑๘๙๓-๑๙๑๒ ๑๙ ปี ๒ สมเด็จพระราเมศวร (คร้ังท่ี ๑) “” พ.ศ. ๑๙๑๒-๑๙๑๓ ๑ ปี ๓ สมเดจ็ พระบรมราชาธริ าช (พงวั ) ท่ี ๑ สุวรรณภูมิ พ.ศ. ๑๙๑๓-๑๙๓๑ ๑๘ ปี ๔ เจ้าทองลัน “” พ.ศ. ๑๙๓๑-๑๙๓๑ ๗ วัน สมเด็จพระราเมศวร (ครั้งที่ ๒) เชียงราย พ.ศ. ๑๙๓๑-๑๙๓๘ ๗ ปี ๕ สมเด็จพระรามราชาธิราช “” พ.ศ. ๑๙๓๘-๑๙๕๒ ๑๔ ปี ๖ สมเด็จพระนครอินทราธิราช สุวรรณภูมิ พ.ศ.๑๙๕๒-๑๙๖๗ ๑๖ ปี สมเด็จพระบรมราชาธิราช “” พ.ศ. ๑๙๖๗-๑๙๙๑ ๒๔ ปี ๗ (สามพระยา) ท่ี ๒ ๘ สมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ “” พ.ศ. ๑๙๙๑-๒๐๓๑ ๔๐ ปี ๙ สมเด็จพระบรมราชาธิราชท่ี ๓ “” พ.ศ. ๒๐๓๑-๒๐๓๔ ๓ ปี ๑๐ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ “” พ.ศ. ๒๐๓๔-๒๐๗๒ ๓๘ ปี สมเด็จพระบรมราชาธิราช “” พ.ศ. ๒๐๗๒-๒๐๗๖ ๔ ปี ๑๑ (หน่อพุทธางกูร) ที่ ๔ ๑๒ พระรัษฎาธิราช “” พ.ศ. ๒๐๗๖-๒๐๗๗ ๑ ปี ๑๓ สมเด็จพระไชยราชาธิราช “” พ.ศ. ๒๐๗๗-๒๐๘๙ ๑๒ ปี ๑๔ พระยอดฟ้า “” พ.ศ. ๒๐๘๙-๒๐๙๑ ๒ ปี ขุนวรวงษาธิราช “” พ.ศ. ๒๐๙๑-๒๐๙๑ ๔๒ วัน ๑๕ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ “” พ.ศ. ๒๐๙๑-๒๑๑๑ ๒๐ ปี ๑๖ สมเด็จพระมหินทราธิราช “” พ.ศ. ๒๑๑๑-๒๑๑๒ ๑ ปี ๑๗ สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช สุโขทัย พ.ศ. ๒๑๑๒-๒๑๓๓ ๒๑ ปี ๑๘ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช “” พ.ศ. ๒๑๓๓-๒๑๔๘ ๑๕ ปี ๑๙ สมเด็จพระเอกาทศรถ “” พ.ศ. ๒๑๔๘-๒๑๖๓ ๑๕ ปี ๒๐ เจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์ “” พ.ศ. ๒๑๖๓-๒๑๖๓ ไม่ถึงปี ๒๑ สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม “” พ.ศ. ๒๑๖๓-๒๑๗๑ ๘ ปี ๒๒ สมเด็จพระเชษฐาธิราช “” พ.ศ. ๒๑๗๓-๒๑๗๔ ๒ ปี ๒๓ สมเด็จพระอาทิตยวงษ์ “” พ.ศ. ๒๑๗๓-๒๑๗๓ ๓๖ วัน ๒๔ สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ปราสาททอง พ.ศ. ๒๑๗๓-๒๑๙๘ ๒๕ ปี ๒๕ สมเด็จเจ้าฟ้าไชย “” พ.ศ. ๒๑๙๘- ๒๑๙๙ ๑ ปี
22 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ๒๖ สมเด็จพระศรีสุธรรมราชา “” พ.ศ. ๒๑๙๙-๒๑๙๙ ๓ เดือน ๒๗ สมเด็จพระนารายน์มหาราช “” พ.ศ. ๒๑๙๙-๒๒๓๑ ๓๒ ปี ๒๘ สมเด็จพระเพทราชา พลูหลวง พ.ศ. ๒๒๓๑-๒๒๔๖ ๑๕ ปี ๒๙ สมเด็จพระเจ้าเสือ “” พ.ศ. ๒๒๔๖-๒๒๕๑ ๗ ปี ๓๐ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ “” พ.ศ. ๒๒๕๑-๒๒๗๕ ๒๔ ๓๑ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ “” พ.ศ. ๒๒๗๕-๒๓๐๑ ๒๖ ปี ๓๒ สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร “” พ.ศ. ๒๓๐๑-๒๓๐๑ ๓ เดือน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่นั่งสุริยาศน์ “” พ.ศ. ๒๓๐๑-๒๓๑๐ ๙ ปี ๓๓ อมรินทร์ ๒.๔ ร่องรอยการเข้ามาของพระพุทธศาสนา ๒.๔.๑ หลักฐานจากคัมภีร์พระพุทธศาสนา ภายหลังพุทธปรินิพพานแล้ว ได้มีการแผ่ขยายของพระพุทธศาสนาไปยัง ประเทศต่าง ๆ ร่องรอยที่ชัดเจนที่สุดก็คือช่วงรัชสมัยของพระเจ้าอโศก ประมาณ พ.ศ.๒๓๕ ภายหลงั ทำ� สงั คายนาเสรจ็ แลว้ กม็ กี ารสง่ สมณทตู ไปประกาศศาสนา ๙ สาย และ ๑ ในน้ัน มีพระโสณะและพระอุตตระถูกส่งมายังดินแดนที่เรียกว่าสุวรรณภูมิ๑๑ ในคัมภีร์พระไตรปิฎก มีกล่าวถึงดินแดนที่เรียกว่า สุวรรณภูมิ ๓ แห่ง ได้แก่ คัมภีร์ขุททกนิกาย มหานิเทศ ๒ แห่ง, ขุททกนิกาย อปทาน ๑ แห่ง เน้ือความที่ปรากฏในขุททนิกาย มหานิเทศ พรรณนาถึงการเดินทางแสวงหา โภคทรัพย์ว่าต้องล่องเรือออกสู่มหาสมุทรไปยังรัฐต่าง ๆ ซ่ึง ๑ ในนั้นคือ สุวรรณภูมิ รัฐ๑๒ ส่วนคัมภีร์อปทาน ปรากฏอยู่ในอดีตชีวประวัติของพระชตุกัณณิกเถระว่า อดีต ชาติได้เป็นบุตรเศรษฐีอยู่ในเมืองหงสวดี เป็นที่รู้จักแก่คนทั้งหลาย มีคนเข้าไปหา หรือพบด้วยวัตถุประสงค์ต่าง ๆ บรรดาชนเหล่านั้น ระบุถึงชาวสุวรรณภูมิด้วย๑๓ ในคัมภีร์อรรถกถามีระบุถึงดินแดนท่ีเรียกว่าสุวรรณภูมิหลายแห่ง แต่ละแห่ง ท่ีพบมีลักษณะคล้ายกันคือต้องอาศัยการเดินทางด้วยเรือ เช่น ในอรรถกถาเอกนิบาต กล่าวถึงระยะทางการเดินเรือไปยังสุวรรณภูมิน้ัน ๗๐๐ โยชน์ (๑ โยชน์=๑๖ กิโลเมตร, ๗๐๐ โยชน์=๑,๑๒๐ กิโลเมตร) ใช้เวลาเดินทาง ๗ วัน ๗ คืน๑๔ อรรถกถาขุททกนิกาย อปทาน ได้เล่าเรื่องอดีตชาติสมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่า
ความเป็นมาของอยุธยา 23 ปทุมุตตร มีพ่อค้าคนหน่ึงชื่อพาหิยะ ได้เดินทางไปค้าขายที่เมืองสุวรรณภูมิ แต่เรือ อัปปางระหว่างทาง ได้อาศัยแผ่นกระดานแผ่นหน่ึงประคองตัวจึงรอดชีวิต๑๕ หลักฐานจากคัมภีร์พระไตรปิฎก และคัมภีร์อรรถกถา แม้จะยังไม่สามารถระบุ ได้ว่า สุวรรณภูมิ อยู่ที่ใด แต่จากบันทึก ต�านาน พงศาวดาร หรือเอกสารอ่ืน ๆ ท่ีได้จากดินแดนแถบน้ี พอจะสรุปได้ว่า ดินแดนสุวรรณภูมินั้นครอบคลุมไทย-ลาว- พม่า-กัมพูชา ด้วยดินแดนแถบนี้ มีโบราณสถานหรือโบราณวัตถุมีลักษณะคล้ายกัน กับท่ีสาญจิ ซ่ึงเป็นศิลปะหลังสมัยพระเจ้าอโศกเล็กน้อย เป็นประจักษ์พยาน แสดงให้ เห็นถึงร่องรอยการเข้ามาของพระพุทธศาสนา ๒.๔.๒ หลักฐานจากโบราณคดี จากหนงั สอื “สวุ รรณภมู จิ ากหลกั ฐานโบราณคด”ี ๑๖ ของ ศาสตราจารยผ์ าสกุ อินทราวุฒิ แสดงให้เห็นว่า ภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ มีการติดต่อกับอินเดียแล้วตั้งแต่ สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ปัจจุบันดินแดนนี้มีอาณาเขตครอบคลุม ๘ ประเทศ ได้แก่ พม่า ไทย ลาว เวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ หลักฐานท่ี ยนื ยนั ขอ้ เทจ็ จรงิ นค้ี อื ภาชนะสา� รดิ ลกู ปดั หนิ และลกู ปดั แกว้ ซง่ึ มแี หลง่ กา� เนดิ ในอนิ เดยี แต่มีการค้นพบที่บ้านดอนตาเพชร อ�าเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี ที่มา: http://www.matichon.co.th/news/289961
24 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา เฉพาะอยา่ งยงิ่ สมยั เรมิ่ ตน้ ประวตั ศิ าสตร์ มกี ารคน้ พบหลกั ฐานการประดษิ ฐาน พระพุทธศาสนาในประเทศพม่า ไทย และเวียดนาม ครอบคลุมพ้ืนที่ต่าง ๆ เช่น ในประเทศพม่า พบท่ีเมืองไบถาโน ฮาลิน ศรีเกษตร สะเทิม พะโค ธันยวดี เวศาลี หลักฐานที่พบอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษท่ี ๖-๑๔ ประกอบด้วยฐานอาคารทรงเจดีย์, โกศดินเผาบรรจุอัฐิ, จารึกคาถาเยธมฺมา, ผอบเงินกะไหล่ทองมีรูปอดีตพุทธสาวก, แผ่นหินสลักภาพพระพุทธเจ้า ประเทศไทย พบที่เมืองอู่ทองโบราณ เมืองนครปฐมโบราณ และเมืองลพบุรี หลักฐานท่ีพบในช่วงระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๐-๑๔ ประกอบด้วย จารึกคาถา เย ธมฺมา, ประติมากรรมรูปพระสาวก, พระพุทธรูปนาคปรก, ธรรมจักรศิลาพร้อมเสา, พระพมิ พด์ นิ เผา, ประตมิ ารปู บคุ คลจารกึ นามพทุ ธบดิ า, พระพทุ ธรปู ศลิ านงั่ หอ้ ยพระบาท ส่วนในเวียดนามพบที่เมืองออกแก้ว เมืองญาตรัง หลักฐานท่ีพบได้แก่จารึกคาถา เยธมฺมาเป็นอักษรพราหมีบนหัวแหวน อยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๗-๘ ศาสตราจารย์ฮิมานชู ประภา เรย์ (Himanshu Prabha Ray) ได้เสนอให้ เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างพระพุทธศาสนากับการค้าภายในประเทศอินเดียสมัย โบราณ โดยต้ังข้อสังเกตว่า ที่ตั้งวัดวาอารามในพระพุทธศาสนา มีความสัมพันธ์กับ เส้นทางการค้าในสมัยแรกเร่ิมประวัติศาสตร์ของอินเดีย มีการพบจารึกการถวายทาน ที่นิยมระบุช่ือ อาชีพ และของท่ีถวายในกลุ่มชนชั้นปกครอง พ่อค้า วานิช กลุ่มการค้า คนคุมกองคาราวาน และกลุ่มพระกับแม่ชี ซ่ึงเป็นไปได้ว่า วัด พระ และแม่ชี มีบทบาท หลักในการค้าท้ังเพ่ือแสวงหาผลก�ำไรมาบ�ำรุงเล้ียงระบบ ตลอดส่ิงจ�ำเป็นส�ำหรับวิหาร เช่น ผ้า ธูป และน�้ำมัน จนมีการใช้สัญลักษณ์ทางพระพุทธศาสนา เช่น ตรีรัตนะ ศรีวัตสะ และสวัสดิกะบนภาชนะ เงินตรา ตราประทับ ตลอดจนจารึกอักษรพราหมี และขโรษฐอี ย่างอย่างขวางตามแหลง่ โบราณคดตี ่าง ๆ ของอนิ เดยี ในช่วงพทุ ธศตวรรษ ท่ี ๒-๓ รวมท้ังท่ีพบในเอเชียอาคเนย์ทั้งในท่ีราบลุ่มแม่น�้ำอิระวดี แม่น้�ำเจ้าพระยา และแม่น้�ำโขง๑๗ ดร.เอียน ซี โกลฟเวอร์๑๘ แห่งคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยลอนดอน มี ความเห็นสอดคล้องกันว่า ก่อนพุทธศตวรรษท่ี ๑๐ น้ัน มีหลักฐานทางโบราณคดีท่ี แสดงให้เห็นถึงร่องรอยของการติดต่อสัมพันธ์กันอย่างเป็นระบบในอ่าวเบงกอลตั้งแต่
ความเป็นมาของอยุธยา 25 พุทธศตวรรษต้น ๆ โดยเฉพาะจากลูกปัด เคร่ืองส�าริด ตราประทับ เงิน งาช้าง ตลอด จนภาชนะดินเผา โดยยกหลักฐานจากชาดก และบันทึกของอินเดียโบราณต่าง ๆ ที่ กล่าวถึงการเดินทางแสวงโชคท่ีสุวรรณภูมิ ซ่ึงถือกันว่าเส่ียงที่สุด ท้ังจากเรืออัปปาง การแผดเผาของแดด การกระหน่�าของพายุคล่ืน โรคภัยไข้เจ็บ โดยมีเป้าหมายส�าคัญ อยทู่ ที่ งั้ การแสวงหาผลกา� ไรในการคา้ ขายและเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา หลกั ฐานดงั กลา่ ว น้ี สอดคล้องกับหลักฐานท่ีค้นพบในคัมภีร์พระพุทธศาสนาดังได้กล่าวแล้วข้างต้น ท่ีมา: http://www.manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9560000078345 หากจะถามว่า พระพุทธศาสนาเข้ามากรุงศรีอยุธยาเม่ือใด เราอาจจะต้อง ย้อนกลับไปต้ังแต่สมัยอู่ทอง ซึ่งจากหลักฐานทางโบราณคดี เมืองอู่ทองเป็นเมืองที่มี ร่องรอยการอาศัยอยู่ของชุมชนมาตั้งแต่ก่อนสมัยประวัติศาสตร์ และมีการติดต่อแลก เปล่ียนสินค้ากับชุมชนในภูมิภาคเดียวกัน เคยเป็นศูนย์กลางหรือท่าเมืองส�าคัญที่ติดต่อ ค้าขายกับอินเดีย และท่ีเมืองอู่ทองน้ีเอง พ่อค้าชาวพุทธจากกลุ่มแม่น้�ากฤษณา-
26 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา โคทาวรี ได้เดินทางเข้ามาติดต่อค้าขาย และต้ังถ่ินฐานในช่วงสมัยอินโด-โรมัน และได้ น�าเอาพระพุทธศาสนาเข้ามาด้วย หลักฐานที่พบได้แก่ประติมากรรมรูปภิกษุ ๓ องค์ ถือบาตร ห่มจีวรคลุมตามแบบนิยมของศิลปะอมราวดี และประติมากรรมพระพุทธรูป นาคปรก ประทับขัดพระบาทหลวม ๆ ตามแบบศิลปะอมราวดี อู่ทองจึงเป็นเมือง ท่าโบราณท่ีเจริญรุ่งเรืองสืบต่อมาจนกลายเป็นเมืองส�าคัญของรัฐทวารวดี และเป็น ศูนย์กลางพระพุทธศาสนาที่เก่าแก่ท่ีสุดของรัฐทวารวดี๑๙ ที่มา: http://www.manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9560000078345 ต่อจากสมัยทวารวดีอันเป็นสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ของประเทศไทยท่ีใช้ พระพุทธศาสนาเป็นหลักร่วมกับศาสนาอื่น ๆ โดยเฉพาะศาสนาพราหมณ์น้ัน บนผืน แผ่นดินไทยทุกวันน้ี มีนครรัฐ รัฐ และอาณาจักรเกิดขึ้น และพัฒนาคลี่คลายร่วมกับ นครรฐั รฐั และอาณาจกั รอนื่ ๆ ในภมู ภิ าคเอเชยี อาคเนยอ์ ยา่ งตอ่ เนอื่ ง โดยมพี ระพทุ ธ
ความเป็นมาของอยุธยา 27 ศาสนาเปน็ คตคิ วามเชอื่ หลกั และมกี ารปรบั ปรงุ รปู แบบตา่ ง ๆ ในแตล่ ะพน้ื ทแี่ ละยคุ สมยั ไมว่ า่ จะเปน็ รฐั ตามพรลงิ ค์ สริ ธิ รรมนคร นครศรธี รรมราช ศรวี ชิ ยั (ภาคใต)้ สพุ รรณภมู ิ ละโว้ อโยธยา อาณาจักรขอม (ภาคกลาง) รัฐศรีโคตรบูรณ์ ล้านช้าง โยนก และ ล้านนา (ภาคอีสาน) รูปแบบและยุคสมัยของรอยพระพุทธศาสนาท่ีพบร่วมสมัยกับ ทวารวดี หลังทวารวดีแบบอินเดีย จามปา และชวาตันตระแบบท้องถิ่น แบบกัมพูชา และในนิกายเถรวาทแบบต่าง ๆ กล่าวโดยสรุป ชาวกรุงศรีอยุธยารู้จักพระพุทธศาสนามาก่อนท่ีพระเจ้าอู่ทอง สถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี อย่างน้อยที่สุดก็นับถอยหลังไปต้ังแต่สมัยอู่ทอง สุโขทัย ด้วยมีหลักฐานชัดเจนว่า พระเจ้าแผ่นดิน และชาวเมืองนับถือพระพุทธศาสนา มาก่อนแล้ว แม้จะมีการเปล่ียนผ่านยุคสมัย แต่พระพุทธศาสนาก็ยังคงมีอิทธิพลต่อวิถี ชีวิตประชาชนไม่เปลี่ยนแปลง เห็นได้ชัดเจนเม่ือ พ.ศ.๑๘๙๓ พระเจ้าอู่ทองสถาปนา กรุงศรีอยุธยา ถัดจากนั้น ๓ ปี คือ พ.ศ.๑๘๙๖ ก็ทรงเร่ิมอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา ด้วยการสร้างวัดพุทไธสวรรค์ ครั้นถึง พ.ศ.๑๙๐๖ ก็ทรงสร้างวัดป่าแก้วข้ึนอีก๒๐
28 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา แม้ในช่วงระหว่างกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี กรุงศรีอยุธยากับศรีลังกาก็มี การติดต่อกันอยู่หลายครั้ง มีการหลักฐานทั้งการเดินทางของพระสงฆ์ไทยไปศึกษา พระพุทธศาสนาท่ีศรีลังกา ขณะเดียวกันก็มีหลักฐานทางศรีลังกาเองก็ส่งทูตมาขอ พระสงฆ์จากศรีอยุธยาไปสืบพระศาสนาในศรีลังกา หลักฐานท่ีว่านี้ก็คือพงศาวดาร ซึ่งถือเป็นหลักฐานส�ำคัญอีกประเภทหนึ่งที่ ช่วยให้เราสามารถเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่าง ๆ ท่ีเกิดขึ้นแต่ละยุคสมัย
ความเป็นมาของอยุธยา 29 เชิงอรรถ ๑ พระยาโบราณราชธานินทร, ต�ำนานกรุงเก่า, (พิมพ์เป็นอนุสสรณ์ในงานพระราชทาน เพลิงศพ นายฟื้น สุพรรณสาร ๓๐ ตุลาคม ๒๕๐๓), หน้า ๑. ๒ พระยาประชากิจกรจักร์ (แช่ม บุนนาค), พงศาวดารโยนก, (พระนคร: โรงพิมพ์โสภณ พิพรรฒธนากร, ๒๔๗๘), หน้า ๘๗. ๓ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, อยุธยา: ประวัติศาสตร์และการเมือง, พิมพ์คร้ังท่ี ๔, (กรุงเทพฯ: มูลนิธิโตโยต้าแห่งประเทศไทย จัดพิมพ์, ๒๕๔๘), หน้า ๕. ๔ กรมศึกษาธิการ, พระราชพงศาวดาร เล่ม ๑, (กรมศึกษาธิการ: โรงพิมพ์พิศาล บรรณนิต์ิ, ร.ศ. ๑๒๐), หน้า ก-ค. ๕ มองซิเอร์ เดอ ลาลูแบร์, จดหมายเหตุลา ลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม, สันต์ ท.โกมลบุตร ผู้แปล, (นนทบุรี: ส�ำนักพิมพ์ศรีปัญญา, ๒๕๕๗), หน้า ๔๒. ๖ มองซิเอร์ เดอ ลาลูแบร์, จดหมายเหตุลา ลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม, หน้า ๓๖. ๗ พระราชพงศาวดารกรุงเก่า กรมฉบับราชบัณฑิต, (ตีพิมพ์ในพระราชทานเพลิงศพ มหาเสวกเอก เจ้าพระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษาธิบดี, ๑๐ สิงหาคม ๒๕๐๑), หน้า ๑. พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสิดอักษรนิด, (พิมพ์แจกในงาน พระราชทานเพลิงศพพันเอกพร้อม มิตรภักดี พ.ศ.๒๔๘๖) หน้า ๑๗. ๘ กรมราชบัณฑิต, พระราชพงศาวดารกรุงเก่า, (พิมพ์เนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพ เจ้าพระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกศาธิบดี ๑๐ สิงหาคม ๒๕๑๐), หน้า ๑. ๙ นิโกลาส์ แซรแวส, ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและการเมืองแห่งราชอาณาจักรสยาม, สันต์ ท. โกมลบุตร ผู้แปล. (นนทบุรี: ศรีปัญญา, ๒๕๕๐), หน้า ๒๒. ๑๐ มองซิเออร์ เดอ ลาลูแบร์, จดหมายเหตุลา ลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม, สันต์ โกมลบุตร ผู้แปล, พิมพ์ครั้งท่ี ๔, (กรุงเทพฯ: ส�ำนักพิมพ์ศรีปัญญา, ๒๕๕๗), หน้า ๓๖. ๑๑ วิ.มหา.อ. (ไทย) ๑/๑/๑๑๘-๑๒๐.
30 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ๑๒ ขุ.มหา. (ไทย) ๒๙/๕๕/๑๘๘, ๒๙/๑๗๔/๔๙๕. ๑๓ ขุ.อป. (ไทย) ๓๒/๒๙๔/๖๙๒. ๑๔ อํ.เอก.อ. (ไทย) ๑/๒/๒๐๙. ๑๕ ขุ.อป.อ. (ไทย) ๑/๓/๑๒๙-๑๓๐. ๑๖ อ้างใน บัญชา พงษ์พานิช และคณะ, จากอินเดียถึงไทย: รอยทางพระพุทธศาสนา แรก ๆ, (กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๙), หน้า ๑๔. ๑๗ เร่ืองเดียวกัน, หน้า ๑๖. ๑๘ เร่ืองเดียวกัน, หน้า ๑๘. ๑๙ เร่ืองเดียวกัน, หน้า ๓๘. ๒๐ กรมราชบัณฑิต, พระราชพงศาวดารกรุงเก่า, หน้า ๒.
32 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา
ยุคเร่ิมต้นถึงการเสียกรุงคร้ังท่ี ๑ 33 ๓ ยุคเรมิ่ ตน้ ถงึ การเสยี กรงุ ครั้งท่ี ๑
พระพุทธศาสนาช่วงที่ ๑ (ระหว่าง พ.ศ.๑๘๙๓-๒๑๑๒) ในปี พ.ศ.๑๘๙๓ นับต้ังแต่พระเจ้าอู่ทองได้สถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็น ราชธานี จนถึงเหตุการณ์การเสียกรุงศรีอยุธยาให้แก่พม่าคร้ังท่ี ๑ ในปี พ.ศ.๒๑๑๒ พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ได้บันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาไว้ ดังรายละเอียดต่อไปน้ี ๓.๑ รัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีท่ี ๑ (อู่ทอง) รชั กาลของสมเดจ็ พระรามาธบิ ดที ี่ ๑ (พระเจา้ อทู่ อง) ไดส้ ถาปนากรงุ ศรอี ยธุ ยา เป็นราชธานี ทรงเป็นกษัตริย์พระองค์แรก เสวยราชสมบัติระหว่างปีพุทธศักราช ๑๘๙๓-๑๙๑๒ (จุลศักราช ๗๑๒-๗๓๑) รวมระยะเวลา ๒๐ ปี มีเหตุการณ์ เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาดังรายละเอียดตามล�ำดับต่อไปนี้ ๓.๑.๑ สถาปนาวัดพุทไธศวรรย์ วัดพุทไธศวรรย์ ต้ังอยู่ริมแม่น้�ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก ต�ำบลส�ำเภาล่ม อ�ำเภอ พระนครศรีอยุธยา พระเจ้าอู่ทองโปรดให้สร้างขึ้นในบริเวณพระต�ำหนักเวียงเล็ก พระราชพงศาวดารระบุศักราช ๗๑๕ ตรงกับพุทธศักราช ๑๘๙๖ ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังนี้ “ศักราช ๗๑๕ ปีมะเส็งเบญจศก (พ.ศ.๑๘๙๖) วันพฤหัสบดี เดือน ๔ ขึ้น ๑ ค�่ำ เพลา ๒ นาฬิกา ๕ บาท ทรงพระกรุณาตรัสว่า ที่พระต�ำหนักเวียงเหล็ก นั้น ให้สถาปนาพระวิหาร และพระมหาธาตุเป็นพระอารามแล้ว ให้นามช่ือวัด พุทไธศวรรย์”๑
ยุคเริ่มต้นถึงการเสียกรุงคร้ังท่ี ๑ 35 ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม (๑) จุลยุทธการวงศ์ระบุว่าให้สร้างปรางค์ พระธาตุ และพระวิหาร ระบุศักราชตรงกัน๒ (๒) นับเป็นคร้ังแรกในประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยาท่ีปรากฏหลักฐาน พระมหากษัตริย์อุทิศพระต�าหนักเพ่ือสถาปนาเป็นวัดในพระพุทธศาสนา (๓) ความมุ่งหมายในการสถาปนาวัด ให้เป็นที่บ�าเพ็ญพระราชกุศล ซึ่งกลายเป็นแบบอย่างในเวลาต่อมา (๔) เดิมสะกด “พุทไธสวรรย์” สร้างหลังจากท่ีมีการสถาปนากรุงศรี อยุธยาเป็นราชธานีแล้ว ๓ ปี๓ (๕) รปู แบบสถาปตั ยกรรมกา� หนดใหพ้ ระมหาธาตเุ ปน็ ศนู ยก์ ลางของวดั เพราะวัดพุทไธศวรรย์เป็นท่ีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ภาพประกอบ: (๑) http://www.bansansuk.com/travel/Phutthaisawan/
36 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ๓.๑.๒ สถาปนาวัดป่าแก้ว วัดป่าแก้ว (ปัจจุบันคือวัดชัยมงคล หรือวัดใหญ่ชัยมงคล) เป็นวัดแห่งท่ี ๒ ที่ได้รับการสถาปนาขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าอยู่ทอง นับระยะเวลา ๑๐ ตั้งแต่ทรง สถาปนาวัดพุทธไธศวรรย์ (พ.ศ.๑๘๙๖) จุดมุ่งหมายของการสถาปนา เพื่อเป็น อนุสรณ์สถานแด่เจ้าแก้วไทย ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังน้ี “ศักราช ๗๒๕ ปีเถาะเบญจศก (พ.ศ.๑๙๐๖) ทรงพระกรุณาตรัสว่า เจ้าแก้วไทยออกอหิวาตกโรคตาย ให้ขุดข้ึนเผาเสีย ที่ปลงศพนั้นให้สถาปนาเจดีย์วิหาร เป็นพระอารามแล้ว ให้นามชื่อว่าวัดป่าแก้ว”๔ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม (๑) จุลยุทธการวงศ์ระบุว่า โปรดให้สร้างเจดีย์ พระวิหาร และอาราม ณ ที่พระราชทานเพลิง แล้วขนานนามว่าวัดป่าแก้ว ศักราชระบุตรงกัน๕ (๒) สถานที่สร้างวัดใช้สถานท่ีปลงศพเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ ดูเหมือนจะมี ความมุ่งหมายอุทิศเป็นส่วนกุศลแด่ผู้วายชนม์ และเป็นอนุสรณ์สถานด้วย เพราะอัฐิ ของเจ้าแก้วไทยได้รับการบรรจุไว้ที่นี่ (๓) รูปแบบสถาปัตยกรรมก�ำหนดให้พระเจดีย์เป็นศูนย์กลางของวัด ๓.๑.๓ สร้างวัดพระราม พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยธุ ยา ฉบับพันจันทนมุ าศ (เจมิ ) ไมม่ รี ะบกุ ารสรา้ ง วัดพระรามไว้ แต่มีระบุไว้ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับหลวงประเสริฐ ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังน้ี “ศักราช ๗๓๑ ระกาศก (พ.ศ.๑๙๑๒) แรกสร้างวัดพระราม คร้ังนั้น สมเด็จพระรามาธิบดีเจ้าเสด็จนฤพาน”๖ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม
ยุคเริ่มต้นถึงการเสียกรุงครั้งที่ ๑ 37 (๑) เริ่มสร้างวัดพระรามข้ึนในปลายรัชกาลของสมเด็จพระรามาธิบดี ท่ี ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) โดยมีพระราชประสงค์จะให้เป็นศูนย์กลางของเมือง แต่เสด็จ สวรรคตก่อน จึงกลายเป็นเพียงอนุสรณ์ส�าหรับสมเด็จพระรามาธิบดีท่ี ๑๗ (๒) พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ไม่มี การกล่าวถึงการสร้างวัดพระราม สรุป ในรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (อู่ทอง) มีบันทึกเกี่ยวข้องกับ พระพุทธศาสนา ๓ เร่ือง เป็นเรื่องการสถาปนาวัด ๒ เร่ือง ได้แก่ การสถาปนา วัดพุทธไธสวรรค์ และวัดป่าแก้ว (ปัจจุบันคือวัดชัยมงคล) และเรื่องการสร้างวัด ๑ เร่ือง ได้แก่ การสร้างวัดพระราม ๓.๒ รัชกาลสมเด็จพระราเมศวร สมเด็จพระราเมศวร เป็นพระมหากษัตริย์ข้ึนเสวยราชสมบัติกรุงศรีอยุธยา ๒ ช่วง ช่วงแรก เป็นระยะสั้น ๆ (พ.ศ.๑๙๑๒) เมื่อสมเด็จพระบรมราชาธิราชเข้า
38 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา มาแต่เมืองสุพรรณ ก็เสด็จออกไปอัญเชิญเสด็จเข้ามาพระนคร ถวายราชสมบัติแด่ สมเด็จพระบรมราชาธิราชแล้วแล้ว พระองค์ก็ถวายบังคมลาขึ้นไปครองเมืองลพบุรี ดังเก่า ช่วงที่ ๒ ระหว่าง พ.ศ.๑๙๒๗-๑๙๓๐ รวมอยู่ในสิริราชสมบัติ ๔ ปี มีเหตุการณ์เก่ียวกับพระพุทธศาสนาดังรายละเอียดตามล�าดับต่อไปนี้ ภาพประกอบ: https://th.wikipedia.org/wiki/ ๓.๒.๑ ทรงทอดพระเนตรพระสารีริกธาตุแสดงปาฏิหาริย์ และ สถาปนาวัดมหาธาตุ ในคราวยกทัพไปปราบเจ้าเมืองเชียงใหม่ เม่ือได้ชัยชนะแล้ว ก็เสด็จกลับ พระนคร ในตอนค�่า ได้เสด็จออกทรงศีลท่ีพระที่นั่งมังคลาภิเษก ได้ทอดพระเนตรเห็น พระธาตุแสดงปาฏิหาริย์ เป็นแสงสว่างพุ่งมาทางทิศตะวันออก จึงโปรดให้ปลัดวังไป ท�าเคร่ืองหมายไว้ ต่อมาก็ได้สร้างพระมหาธาตุ และสถาปนาเป็นพระอาราม ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังนี้
ยุคเร่ิมต้นถึงการเสียกรุงคร้ังที่ ๑ 39 “พระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกทรงศีล ยังพระที่นั่งมังคลาภิเษกเพลา ๑๐ ทุ่ม ทอดพระเนตรโดยฝ่ายทิศบูรพ์เห็นพระสารีริกธาตุบรมธาตุเสด็จปาฏิหาริย์ เรียกปลัดวัง ให้เอาพระราชยานทรงเสด็จออกไป ให้เอาตรุยปักขึ้นไว้ สถาปนาพระมหาธาตุนั้นสูง ๑๙ วา ยอดนพศูลสูง ๓ วา ช่ือวัดมหาธาตุ”๘ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม (๑) จุลยุทธการวงศ์ ระบุว่า ทรงศีลอุโบสถ (๒) จากหลักฐานแสดงให้เห็นว่า พระเจ้าอยู่หัวฝักใฝ่ในพระศาสนา เวลากลางคืนเสร็จจากราชกิจต่าง ๆ แล้ว ก็ยังออกทรงศีล (๓) เฉพาะพระปรางค์องค์ใหญ่ของวัดมหาธาตุนั้น สร้างด้วยศิลาแลง และหินทราย มีอิฐก่อซ่อมแซมท้ังด้านนอกและด้านใน ตรงฐานช้ันล่างมีภาพลิงปั้น ด้วยปูน และประดับด้วยเศษถ้วยชามลายครามติดอยู่โดยรอบ๙ ๓.๒.๒ บูชาพระพุทธชินราช และพระพุทธชินศรี ในคราวยกทัพไปปราบเจ้าเมืองเชียงใหม่ เม่ือได้ชัยชนะแล้ว ก็เสด็จกลับ พระนคร ระหว่างทางได้ทรงแวะนมัสการพระพุทธชินราช และพระพุทธชินศรี พระคู่ บ้านคู่เมืองส�ำคัญของเมืองพิษณุโลก โดยในการเสด็จคร้ังนี้ ได้ทรงเปล้ืองเคร่ืองต้น ถวายเป็นพุทธบูชา และทรงโปรดให้มีการมหรสพสมโภชเป็นระยะเวลา ๗ วัน ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังนี้ “เจ้าอยู่หัวเสด็จเข้าเมืองพิษณุโลก นมัสการพระชินศรี พระชินราช เปล้ือง เคร่ืองต้นท�ำสักการบูชา สมโภช ๗ วัน”๑๐ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม นับเป็นครั้งแรกในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาท่ีพระเจ้าแผ่นดินเปลื้องเคร่ืองต้น บูชาพระคู่บ้านคู่เมือง คือพระชินศรี และพระพุทธชินราช สะท้อนให้เห็นถึงพระราช ศรัทธาที่มีต่อพระพุทธชินศรี และพระพุทธชินราช ซ่ึงเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองท่ีส�ำคัญ
40 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ๓.๒.๓ สถาปนาวัดภูเขาทอง วัดภูเขาทอง ปัจจุบันอยู่ห่างเกาะเมืองศรีอยุธยาไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ประมาณ ๓ กิโลเมตร ส่วนเจดีย์ภูเขาทองท่ีเห็น ถูกสร้างขึ้นภายหลัง๑๑ มีหลักฐาน ปรากฏอยู่ในค�าให้การชาวกรุงเก่า๑๒ ระบุว่าพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองโปรดให้สร้างข้ึน เมอื่ ปี ๒๑๑๒ ในรชั สมยั ของพระสธุ รรมราชา เพอ่ื ประกาศชยั ชนะเหนอื กรงุ ศรอี ยธุ ยา ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังนี้ “ศักราช ๗๔๙ ปีเถาะนพศก (พ.ศ.๑๙๓๐) สถาปนาวัดภูเขาทอง เพลาเย็นเสด็จไปพระท่ีนั่งมังคลาภิเษก ท้าวมลซึ่งตายแต่ก่อนนั้นมาน่ังขวางทางเสด็จ อยู่แล้วก็หายไป”๑๓ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม จุลยุทธการวงศ์ระบุว่า โปรดให้สร้างเจดีย์และวัดภูเขาทอง ศักราชระบุ ตรงกัน๑๔ ภาพประกอบ: (๑) https://th.wikipedia.org/wiki/
ยุคเร่ิมต้นถึงการเสียกรุงคร้ังที่ ๑ 41 สรุป ในรัชกาลสมเด็จพระราเมศวร มีบันทึกเก่ียวข้องกับพระพุทธศาสนา ๓ เร่ือง เป็นเร่ืองของการสถาปนาวัด ๒ เร่ือง, การเสด็จพระราชด�ำเนินไปนมัสการ พระคู่บ้านคู่เมืองพิษณุโลก ๑ เรื่อง วัดที่ได้รับการสถาปนาในรัชกาลสมเด็จพระราเมศวรคือวัดพระมหาธาตุ ส่วน ท่ี ๒ ได้แก่วัดภูเขาทอง มูลเหตุของการสถาปนาวัดมหาธาตุเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ท้ังน้ีสืบเนื่องมาจากการที่ได้ทรงทอดพระเนตรเห็นปาฏิหาริย์ของพระบรมสารีริกธาตุ ๓.๓ รัชกาลสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ สมเด็จพระบรมราชาธิราช (ขุนหลวงพะงัว) เป็นพระมหากษัตริย์องค์ท่ี ๓ ขึ้นเสวยราชสมบัติกรุงศรีอยุธยาระหว่าง พ.ศ.๑๙๑๓-๑๙๒๕ รวม ๑๓ ปี ในระหว่างน้ี มีบันทึกเร่ืองราวเก่ียวกับพระพุทธศาสนา ดังน้ี ๓.๓.๑ สถาปนาวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ บางครั้งเรียกสั้น ๆ ว่า วัดมหาธาตุ การสร้าง พระเจดีย์เอาไว้กลางเมืองถือคติว่า พระเจดีย์เป็นสถานท่ีประดิษฐ์ หรือสถิตของ พระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งเสมือนเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า เป็นศูนย์กลางของจักรวาล ขนาดเล็กท่ีสุดก็คือเป็นศูนย์กลางของการปกครอง เพราะเป็นท่ีประทับของสมเด็จ พระสังฆราชฝ่ายคามวาสี คู่กับวัดชัยมงคล หรือวัดป่าแก้ว ซ่ึงเป็นท่ีประทับของ พระสังฆราชฝ่ายอรัญวาสี ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังนี้ “ศักราช ๗๓๖ ปีขาลฉอศก (พ.ศ.๑๙๑๗) สมเด็จพระบรมราชาธิราช และพระเถรธรรมากัลยาณ แรกสถาปนาพระศรีรัตนมหาธาตุ ฝ่ายบุรทิศ หน้าพระบัน ช้ันสิงห์สูง ๑๙ วา ยอดนพศูลสูง ๓ วา”๑๕ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม (๑) วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ฉบับหลวงประเสริฐเขียนว่า “วัดพระศรี รัตณะมหาทาตุ”๑๖
42 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา (๒) หน้าพระบันชั้นสิงห์ ฉบับหลวงประเสริฐระบุว่า สูงเส้น ๓ วา๑๗ เท่ากับ ๔๖ เมตร (๑ เส้น เท่ากับ ๔๐ เมตร, ๑ วา เท่ากับ ๒ เมตร) (๓) ฉบบั พระราชหตั ถเลขาระบคุ วามดงั น้ี “ศกั ราช ๗๓๖ ปขี าลฉศก สมเด็จพระบรมราชาธิราช และพระเถรธรรมากัลญาณปฤกษากัน แรกสถาปนาพระศรี รัตนมหาธาตุ ฝ่ายบุรทิศ น่าพระบัญชรช้ันสิงห์สูง ๑๙ วา ยอดนพศูลสูง ๓ วา”๑๘ สรุป ในรัชกาลสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ มีระบุถึงเร่ืองเกี่ยวกับพระ พุทธศาสนา ๑ เร่ือง ได้แก่ การสถาปนาวัดพระศรีมหาธาตุ ภาพประกอบ: http://kroooil.com/Students/04Web-Ayutthaya2/p7.html
ยุคเร่ิมต้นถึงการเสียกรุงครั้งที่ ๑ 43 ๓.๔ รัชกาลสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ เสวยราชสมบัติกรุงศรีอยุธยาในระหว่างปี ๑๙๖๔-๑๙๗๗ รวมอยู่ในราชสมบัติ ๑๖ ปี ในระหว่างน้ี มีเหตุการณ์เก่ียวกับ พระพุทธศาสนาดังรายละเอียดตามล�ำดับต่อไปนี้ ๓.๔.๑ สถาปนาวัดราชบูรณะ วัดราชบูรณะเป็นวัดที่สมเด็จพระบรมราชาทรงสถาปนาขึ้นเพ่ือบริเวณท่ีถวาย พระเพลิงพระศพของเจ้าอ้ายพระยา และเจ้าย่ีพระยา ซึ่งทั้งสองพระองค์สวรรคต เพราะทำ� สงครามแยง่ ชงิ ราชสมบตั ิ แตล่ งเอยดว้ ยถกู พระแสงงา้ วสนิ้ พระชนมบ์ นคอชา้ ง ราชสมบัติจึงตกแก่พระอนุชาองค์สุดท้าย (เจ้าสามพระยา) ซ่ึงก็ต่อได้ขึ้นครองราชย์ สมบัติ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราชท่ี ๒ จุดประสงค์ของการสร้าง เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแด่พระเชษฐาท้ังสองพระองค์นั่นเอง ปจั จบุ นั รอ่ งรอยของสะพานปา่ ถา่ น และเจดยี เ์ จา้ อา้ ยพระยา เจา้ ยพ่ี ระยาอยตู่ รง บรเิ วณเกาะกลางสแ่ี ยกถนนปา่ ถา่ น เยอ้ื งวดั ราชบรู ณะลงมาทางทศิ ตะวนั ออกเฉยี งใต๑้ ๙ ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังน้ี “สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้า ให้ขุดเอาพระศพเจ้าอ้ายพระยา เจ้าย่ีพระยา ไปถวายพระเพลิง ที่ถวายพระเพลิงนั้น ให้สถาปนาพระมหาธาตุและพระวิหารเป็น อารามแล้ว ให้นามชื่อว่าวัดราชบูรณะ ที่เจ้าอ้ายพระยา เจ้ายี่พระยาชนช้างกันถึง พิราลัย ให้ก่อพระเจดีย์สององค์ไว้ที่เชิงตะพานป่าถ่าน”๒๐ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม (๑) ฉบับหลวงประเสริฐระบุ พ.ศ.๑๙๖๗ ในการสร้างนั้น หลักฐาน ระบุว่า ให้ก่อพระเจดีย์สองพระองค์สวมที่เจ้าอ้ายพระยา เจ้าย่ีพระยาชนช้างด้วยกัน ถึงอนิจภาพ๒๑ (๒) พี่น้องแย่งราชสมบัติกันที่สืบทอดมาแต่พระบิดา เสียชีวิตเพราะ ต้องพระแสงง้าวพระศอขาด ราชสมบัติจึงตกเป็นของเจ้าสามพระยา
44 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา (๓) ปัจจุบันเจดีย์นี้อยู่ตรงสี่แยกมุมวัดมหาธาตุ และวัดราชบูรณะ ถนนชีกุน ต�าบลหัวรอ พระนครศรีอยุธยา๒๒ ภาพประกอบ: https://watboran.wordpress.com/category/ ๓.๔.๒ การบูชารูปเคารพอ่ืน ค�าว่า รูปเคารพอ่ืน หมายเอารูปเคารพท่ีไม่ใช่พระพุทธรูป รูปสัญลักษณ์แทน พระธรรม หรือรูปพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา แต่คนสมัยกรุงศรีอยุธยาให้ความเคารพ และมีการน�ามาประดิษฐานไว้ในวัด เพื่อให้คนได้กราบไหว้บูชา ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังนี้ “ศักราช ๗๘๓ ปีฉลูตรีนิศก สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้า เสด็จไปเอาเมือง พระนครหลวงได้ ท่านจึงให้เอาพระยาแก้วพระยาไทยแลครัวกับท้ังรูปพระโค รูปสิงห์ สัตว์ทั้งปวงมาด้วย คร้ันถึงพระนครศรีอยุทธยา จึงให้เรารูปสัตว์ท้ังปวงไปบูชาไว้ ณ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุบ้าง ไปไว้วัดพระศรีสรรเพชญ์บ้าง”๒๓
ยุคเร่ิมต้นถึงการเสียกรุงครั้งท่ี ๑ 45 ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม ฉบับหลวงประเสริฐไม่มีข้อความดังกล่าว ๓.๔.๓ สร้างวัดมเหยงคณ์ ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังน้ี “ศักราช ๗๘๖ ปีมะโรงฉอศก (พ.ศ.๑๙๖๗) สมเด็จพระบรมราชาธิราช เจ้าสร้างวัด มเหยงคณ์”๒๔ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม (๑) ฉบบั หลวงประเสรฐิ ระบศุ กั ราช ๘๐๐ มะเมยี ศก (พ.ศ.๑๙๘๑)๒๕ (๒) วดั มเหยงค์ ปจั จบุ นั ตงั้ อยทู่ ตี่ า� บลหนั ตรา อา� เภอพระนครศรอี ยธุ ยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้รับการปฏิสังขรณ์หลายครั้ง หลายรัชกาล หลังเสีย กรุงศรีอยุธยาคร้ังที่ ๒ ได้กลายเป็นวัดร้างร่วม ๒๐๐ ปี ถูกทอดท้ิง ไม่มีคนดูแล กระทั่งปี ๒๕๒๗ พระครูเกษมธรรมทัต ได้จัดต้ังส�านักกรรมฐานข้ึนในบริเวณวัด โบราณสถานได้รับการดูแล ถากถางพันธุ์ไม้ต่าง ๆ ที่ขึ้นปกคลุมโบราณสถานไว้ ปรบั บรเิ วณพนื้ ทใ่ี นฝา่ ยพทุ ธาวาส และสงั ฆาวาสใหร้ ม่ รน่ื และสงบเงยี บจากสงิ่ รบกวน๒๖ ภาพประกอบ: http://www.dhammathai.org/watthai/central/watmahaeyong.php
46 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ๓.๔.๔ ความเชื่อเร่ืองลาง ค�ำว่า ลาง หมายถึง ส่ิงหรือปรากฏการณ์ที่เชื่อกันว่าจะบอกเหตุดีหรือ เหตุร้าย๒๗ เช่น การท่ีสมเด็จพระราเมศวรเสด็จไปเมืองพิษณุโลก ทอดพระเนตรเห็น น�้ำพระเนตรพระพุทธชินราชไหลออกมาเป็นสีแดง เป็นต้น ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังนี้ “ศักราช ๗๘๖ ปีมะโรงฉอศก (พ.ศ.๑๙๖๗) สมเด็จพระราเมศวรผู้เป็น พระราชกุมารท่านเสด็จไปเมืองพิษณุโลก ครั้งน้ันเห็นน�้ำพระเนตรพระพุทธชินราชตก ออกเป็นโลหิต”๒๘ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม (๑) ลางร้ายปรากฏให้เห็นปี ๑๙๖๗ แต่เหตุร้ายเพลิงไหม้พระราช มณเทียร และไหม้พระท่ีนั่งตรีมุขเกิดขึ้นจริงใน ๒ ปีถัดมา (๒) เหตุเพลิงไหม้ท้ัง ๒ ครั้งนี้ พงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐระบุ พ.ศ.๑๙๘๓, ๑๙๘๔ ตามล�ำดับ๒๙ สรุป ในรัชกาลสมเด็จพระบรมราชาธิราชท่ี ๒ มีเร่ืองของการสถาปนาวัด ราชบรู ณะ ๑ เรอ่ื ง, การสรา้ งวดั มเหยงค์ ๑ เรอ่ื ง สว่ นอกี ๒ เรอ่ื ง เปน็ เรอื่ งคตคิ วามเชอื่ คติความเช่ือแรก เป็นเร่ืองของการบูชารูปเคารพอ่ืนท่ีไม่ใช่พระพุทธรูป ส่วน เรื่องท่ี ๒ เป็นความเช่ือเรื่องโชคลาง คือเห็นน�้ำพระเนตรพระพุทธชินราชไหลออก เป็นเลือด ลางร้ายที่เกิดตามมาก็จากความเช่ือดังกล่าวน้ีเชื่อมโยงไปถึงเหตุการณ์เกิด เพลิงไหม้พระท่ีน่ังในอีก ๒ ปีถัดมา ๓.๕ รัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เป็นกษัตริย์องค์ที่ ๘ แห่งกรุงศรีอยุธยา เสด็จ เสวยราชสมบัติระหว่างปี ๑๙๗๗-๑๙๙๒ (จ.ศ.๗๙๖-๘๑๑) รวมระยะเวลา ๑๖ ปี ถือว่าเป็นกษัตริย์พระองค์หน่ึงที่ครองราชย์สมบัตินานท่ีสุด ในรัชสมัยของ พระองค์มีเหตุการณ์เก่ียวกับพระพุทธศาสนาดังรายละเอียดตามล�ำดับต่อไปนี้
ยุคเริ่มต้นถึงการเสียกรุงครั้งท่ี ๑ 47 ๓.๕.๑ สถาปนาวัดพระราม ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังนี้ “ที่ถวายพระเพลิงสมเด็จพระรามาธิบดีที่พระองค์สร้างกรุงนั้น ให้สถาปนา พระมหาธาตุและพระวิหารเป็นอาราม ให้นามช่ือวัดพระราม”๓๐ ข. ข้อสังเกตเพิ่มเติม คติการสร้างวัดในลักษณะน้ี คล้ายกับท่ีเคยปรากฏแล้วในรัชกาลก่อน ๆ คือ เพอื่ เปน็ พระราชานสุ รณ์ เปน็ การถวายพระเกยี รตแิ ดส่ มเดจ็ พระรามาธบิ ดอี กี โสตหนง่ึ ดว้ ย ๓.๕.๒ สถาปนาวัดพระศรีสรรเพชญ์ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงยกวังท�ำเป็นวัด แล้วจึงโปรดให้สร้างพระที่น่ัง เบญจรัตนมหาปราสาทองค์หนึ่ง ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังนี้ “สมเด็จพระราเมศวร ผู้เป็นพระราชกุมารข้ึนเสวยราชสมบัติทรงพระนามช่ือ พระบรมไตรโลกนาถ ยกวังท�ำเป็นวัดพระศรีสรรเพชญ์เสด็จมาอยู่ริมน้�ำ”๓๑ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม ฉบับราชหัตถเลขาระบุ จ.ศ.๗๙๖ (พ.ศ.๑๙๗๗)๓๒ ตรงกับฉบับพันจันท นุมาศ (เจิม) ๓.๕.๓ บ�ำรุงพระพุทธศาสนา หล่อรูปพระโพธิสัตว์ การทะนุบ�ำรุงพระศาสนาในบริบทน้ี ไม่ปรากฏรายละเอียดว่าท�ำอย่างไรบ้าง แต่หลักฐานพงศาวดารระบุว่า ช่วง พ.ศ.๑๙๘๖ น้ัน ข้าวเปลือกแพง ซึ่งส่วนหนึ่ง น่าจะส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ตลอดถึงพระสงฆ์ด้วย ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังนี้ ศักราช ๘๐๖ ปีชวดฉอศก (พ.ศ.๑๙๘๗) ให้บ�ำรุงพระพุทธศาสนาให้ บริบูรณ์ และหล่อรูปพระโพธิสัตว์ ๕๕๐ พระชาติ๓๓
48 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม (๑) ฉบับหลวงประเสริฐระบุว่า หล่อรูปพระโพธิสัตว์ ๕๐๐ ชาติ ศักราชระบุ ๒๐๐๑๓๔ (๒) ฉบบั พระราชหตั ถเลขา มรี ะบตุ อ่ ไปอกี วา่ “แลว้ ทรงสรา้ งวดั จฬุ ามณ”ี ๓๕ ๓.๕.๔ เล่นมหรสพ ฉลองพระ หลักฐานจากพงศาวดารหลายแห่ง น�ำไปสู่ข้อสรุปได้ว่า การเล่นมหรสพ เป็น ส่วนหนึ่งของการฉลอง และถือเป็นส่วนหนึ่งของการบูชา ทั้งนี้รวมไปถึงพุทธบูชาด้วย ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังน้ี “ศักราช ๘๐๘ ปีขาลอัฐศก (พ.ศ.๑๙๘๙) เล่นการมหรสพฉลองพระ และพระราชทานสมณชีพราหมณ์และวณิพกท้ังปวง”๓๖ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม ฉบับหลวงประเสริฐระบุศักราช ๘๒๒ (พ.ศ.๒๐๐๓)๓๗ ๓.๕.๕ สร้างพระวิหารวัดจุฬามณี วัดจุฬามณีถือเป็นวัดที่มีความส�ำคัญ เพราะเป็นสถานท่ีประทับของสมเด็จ พระบรมไตรโลกนาถ เมื่อคร้ังเสด็จออกผนวชเป็นระยะเวลา ๘ เดือน ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังนี้ “ศักราช ๘๑๐ ปีมะโรงสัมฤทธ์ิศก (พ.ศ.๑๙๙๑) สมเด็จพระบรมไตรโลก นาถเจ้าสร้างพระวิหารวัดจุฬามณี”๓๘ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม (๑) พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับหลวงประเสริฐระบุ พ.ศ. ๒๐๐๗๓๙ (๒) เน้ือความฉบับพันจันทนุมาศตรงกับฉบับพระราชหัตถเลขา
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254