Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือประวัติศาสตร์ศรีลังกา

หนังสือประวัติศาสตร์ศรีลังกา

Description: หนังสือประวัติศาสตร์ศรีลังกา

Search

Read the Text Version

เร่ืองราวของคณะสงฆ์ 87 200 Sdhrt., p.500; Nks., p.96. 201 KYSS., p.126ff. 202 Nks.,v.120. 203 W.F. Gunawardhana, Kokila-sandesa-varnanava, Colombo, 1934, p.4. 204 K.T.W. Sumanasuriya, A Critical Edition of the Kokila-sandesaya, Colombo, 1955, p.14. 205 Nks., p.94; Sdhrt., p.294. 206 Kks.,v.120. 207 Pdst.,v.4. 208 Nks., p.89. 209 Kvsk., canto, 1.,v.23; Pdst.,v.6. 210 SRS., p.126. 211 TB., p.160. 212 See below p.90. 213 SSL., p.67ff. 214 See above p.73f. 215 GTLK., p.iv. 216 Pansiya Panas Jataka Pota, ed. N.Dhammananda, 1955, p.13ff. 217 Bhakti-Sataka-Sinhala Sannaya, ed. A.D. de. S. Batuvantudave, Colombo, 1914, p.113. 218 Vidyodaya, vol.5. no.2, p.34. 219 Kts., p.41. 220 Vrttamala, Br. Mus. Or. 6611 (180). 221 Vimuktisangrahava, ed. H.Silaratana, Homagama, 1923, p.125. 222 . Ibid. 223 TB., p.141; Sandakinduruda-kava, ed. M.Piyaratana, Colombo,1960, p.iii 224 K.D.P. Wickramasinha, Sinhala Lekhaka Parapura, Colombo, 1964, p.384. 225 Mhv., pp.147-8; 297-8. 226 Anguttara Nikaya (PTS), London, 1899, part.iv., p.202; see also Digha Nikaya, ed. T.W. Rhys Davids, London, 1947, 11, p.72 f. 227 Mv.,xx, 14-15. 228 Mv.,xx. 60-62. 229 HBC., p.58.

88 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ 230 Cv.,52.27. 231 Cv.,60.69. 232 Kts., p.9. 233 Sahityaya, Dambadeni Kalapaya, 1958, p.92. 234 Nks., p.96. 235 Cv.,92.22ff; Rjrt., p.165. 236 Cv.,94.15ff. 237 Cv.,94.14ff. 238 Kts., p.9. 239 UCHC., p.748. 240 M. Vimalakirti, Sinhala Anduva, Colombo, 1956, p.236. 241 Dhammavisuddhi, op.cit., p.125. 242 Cv.,87.3. 243 หมู่บ้านแห่งนี้ต้ังอยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของโคกแลละในต�าบลแฮฏหะยะเขตกุรุแณคะละ See EZ., 4. no.1, pp.4-8. 244 วังสะและกุละในที่น้ีบ่งถึงผู้สืบสายหรือตระกูล ท้ังสองศัพท์มีเห็นดาษดื่นตามคัมภีร์ภาษาบาลีและ สิงหล แต่เป็นเรื่องยากนักที่จะก�าหนดให้ชัดเจน Cf. SSSK, S.V.; PTSD., s.v. 245 UCHC., p.748. 246 EZ., 4. pp.310ff. 247 Ibid. 248 Sdhrt., pp.294-295. 249 UCHC., p.663. 250 Cv., 74.48. 251 Sirima Wickramasinha, The Age of Parakramabahu I, (unpublished thesis submitted for the Doctor of Philosophy of the University of London), 1958, p.71. 252 Dlds., p.49ff. 253 EZ.,4. pp.4-8. 254 Sdhrt., p.295. 255 H. Ellawala, Social Institutions in Ceylon from the 5th century B.C. to the 4th century A.D., Colombo, 1971, p.36. 256 EZ., p.93ff. 257 Sdhrt., p.500. 258 Ibid.

เร่ืองราวของคณะสงฆ์ 89 259 Kvsk., canto.1. v.23; Prs.,v.203. 260 SRS., p.96; KYSS., p.64; TB., p.155. 261 Pancikapradipaya,vv.1-2; Pdst.,v.1-4; Kks.,v.81. 262 CALR, 1, p.153. 263 Pdst.,v.6. 264 Kks.,v.291 265 Sumanasuriya, op.cit., p.vii. 266 SHC., p.54. 267 Hms.,v.104. 268 Hms.,v.48. 269 Vss.,vv. 51-58. 270 Hms.,v.182. 271 Ibid. 272 CBRAS., xxxii, no.86, pp.298-300. 273 Rjv., p.47; JCBRAS., no.68, pp.96-120, 110-111. 274 Nks., p.96. 275 CBRAS., no.86, p.299. 276 Sls.,v.103; Prs.,v.198. 277 Pancikapradipaya,vv.2-3. 278 SRS., p.34. 279 Ibid.



๔ อาณาจกั รกับศาสนจกั ร

การช�ำระอธิกรณ์สงฆ์ ก่อนก�ำเนิดอาณาจักรโกฏเฏนั้น สถานการณ์ทางการเมืองสับสนวุ่นวายเพราะความ ขัดแย้งภายในและการแทรกแซงของต่างชาติ ซ่ึงเริ่มปรากฏมีมาตั้งแต่ช่วงท้ายอาณาจักร ดัมพเดณิยะ คณะสงฆ์เองก็ประสบกับความยากล�ำบากเนื่องจากขาดราชูปถัมภ์ จึงไม่สามารถ รกั ษาความมน่ั คงและความบรสิ ทุ ธไิ์ ด้ สถานการณเ์ ชน่ นเ้ี ปดิ โอกาสใหค้ นหลอกลวงปลอมแปลง เข้าแทรกแซงคณะสงฆ์ คัมภีร์นิกายสังครหยะระบุว่าชาวบ้านสร้างความเส่ือมเสียแก่คณะสงฆ์ ด้วยการประพฤติเสียหายท�ำลายพระศาสนา๑ ท่ามกลางสถานการณ์อันร้ายแรงเช่นนี้ยังมี ความพยายามยับยั้งความเสื่อมโทรมของคณะสงฆ์เช่นกัน คัมภีร์นิกายสังครหยะและคัมภีร์ สัทธรรมรัตนากรยะบอกวา่ ความพยายามครัง้ นแ้ี ตกต่างจากอดตี เพราะไมใ่ ช่ราชูปถมั ภ์แต่เป็น เหลา่ ขนุ นาง เนอ่ื งจากวา่ ยคุ นต้ี ระกลู ขนุ นางเปน็ ผปู้ กครองโดยพฤตนิ ยั สามารถผลกั ผคู้ รองราชย์ ให้อยู่เบ้ืองหลัง๒ ความพยายามช�ำระพระศาสนาคร้ังแรกเป็นผลงานของเสนาบดีนามว่าเสนาลังกาธิการะ ในรัชสมัยของพระเจ้าภูวเนกพาหุท่ี ๔ แห่งอาณาจักรคัมโปละ ท่านได้อาราธนานิมนต์พระสงฆ์ ฝ่ายวนวาสีและฝ่ายคามวาสีมาประชุมพร้อมกัน โดยมีพระวนรัตนมหาสามีแห่งอมรคิริวาสะ เป็นประธานสงฆ์๓ การสังคายนาเริ่มต้นด้วยการสอบสวนความประพฤติของพระสงฆ์ และ พิจารณาช�ำระอธิกรณ์พระสงฆ์ผู้ด�ำเนินชีวิตเสียหาย แล้วให้ขับออกจากหมู่คณะเสีย คัมภีร์ นิกายสังครหยะระบุว่าการช�ำระพระศาสนาครั้งนี้ตรงกับพุทธศักราช ๑๘๘๘ ในปีท่ี ๔ แห่งการ ครองราชย์ของพระเจ้าภูวเนกพาหุท่ี ๔๔ การอุปถัมภ์ของเสนาบดีเสนาลังกาธิการะครั้งน้ี ไม่สามารถช�ำระอธิกรณ์ในพระศาสนาให้หมดสิ้น เพราะยังมีการประพฤติพิธีกรรมบางอย่าง ผิดพลาดอยู่ คร้ันสังคายนาเสร็จแล้วเสนาบดีเสนาลังกาธิการะให้สร้างอุโบสถสูง ๓ ช้ัน บริเวณ

อาณาจักรกับศาสนจักร 93 เมอื งเดวนิ วู ะระและอคั รโพธวิ หิ ารแหง่ เมอื งแวลคิ ามะ๕ ปรณวติ านะตงั้ ขอ้ สงั เกตวา่ เสนาบดเี สนา ลงั กาธกิ าระตอ้ งเปน็ ผู้ศรัทธามนั่ คงในพระศาสนาเปน็ แน่ เพราะเป็นผเู้ อาใจใส่เรือ่ งศาสนาอย่าง ดียิ่ง เห็นได้จากเลือกท่าเรือส�าคัญสองแห่งทางตอนใต้ และรับเงินช่วยเหลือจากผู้คนบริเวณ หวั เมอื งรยคิ าม ซงึ่ เปน็ คแู่ ขง่ สา� คญั ของราชสา� นกั เพอ่ื อปุ ถมั ภพ์ ระศาสนา๖ คมั ภรี ก์ วนี พิ นธภ์ าษา สิงหลเล่มหน่ึงนามว่าติสรสันเดศยะ แต่งขึ้นเพื่ออ้อนวอนให้เทพเจ้าท้องถ่ินประทานพรแก่ พระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๕ แห่งแดดิคามะ ซึ่งพระองค์เป็นผู้สนับสนุนเสนาบดีเสนาลังกาธิการะ๗ ภายหลังการสังคายนาภายใต้การอุปถัมภ์ของเสนาบดีเสนาลังกาธิการะแล้ว ต�านาน ระบุว่ามีความพยายามตรวจสอบความเสื่อมโทรมของพระศาสนาอีกคร้ัง ภายใต้ความอุปถัมภ์ ของเสนาบดีอลเกศวรที่ ๓ ผู้ปกครองก่ึงอิสระในฐานะเป็นผู้ก่อต้ังอาณาจักรโกฏเฏ ความส�าเร็จ ทางการเมืองท�าให้ท่านหันมาสนใจอุปถัมภ์คณะสงฆ์ คัมภีร์นิกายสังครหยะบันทึกไว้ว่ามีความ จ�าเป็นอย่างยิ่งที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยคณะสงฆ์๘ ท่านได้ปรึกษากับพระสังฆราชนามว่าพระธรรม กิตติมหาสามี แล้วมอบหมายให้พระเถระท�าหน้าท่ีขับไล่พระภิกษุผู้สร้างความเสียหายออกจาก คณะสงฆ์เสีย นอกจากช�าระคณะสงฆ์แล้วอลเกศวรยังอุปถัมภ์อีกหลายอย่างเพ่ือความดีงาม ของพระศาสนา๙ ครน้ั ต่อมาเปน็ หนา้ ทข่ี องเสนาบดีวีรพาหุแอทิปาทะผปู้ กครองเกาะลงั กาเปน็ อิสระจาก พระเจ้าภูวเนกพาหุที่ ๕ แห่งอาณาจักรคัมโปละ๑๐ แม้ไม่มีหลักฐานชิ้นใดให้รายละเอียดเก่ียว กับการสังคายนาครั้งน้ี แต่สันนิษฐานว่าความไม่ม่ันคงทางการเมืองย่อมกระทบต่อความเส่ือม เสียของพระศาสนาเป็นแน่ การล่มสลายของราชวงศ์ดัมพเดณิยะเร่ือยมาจนถึงการข้ึนครอง ราชย์ของพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๖ แห่งอาณาจักรโกฏเฏ กษัตริย์ผู้อ่อนแอหลายพระองค์ไม่ สามารถควบคุมเสนาบดีผู้ทรงอิทธิพลได้ ดังเช่นความอ่อนแอของกษัตริย์แห่งอาณาจักรคัมโปละ เปิดช่องให้ขุนนางผู้ใหญ่ก้าวข้ึนสู่อ�านาจ จารึกของยุคน้ีชี้บอกว่าเสนาบดีผู้ใหญ่มีศักดินา มากกว่าเชื้อพระวงศ์ เพราะความอ่อนแอทางการเมืองท�าให้พระศาสนาหยุดความก้าวหน้า สมัยอาณาจักรคัมโปละมีเพียงการสร้างวัดลังกาติลกะและวัดคฑลาเดณิยะอันลือชื่อเท่าน้ัน ศาสนสถานสองแห่งนี้แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของสถาปัตยกรรมทางอินเดียตอนใต้๑๑ นอกจากกษัตริย์และเสนาอ�ามาตย์แล้ว พระเถระผู้ใหญ่บางรูปก็เป็นหัวเร่ียวหัวแรง ในการสร้างศาสนสถาน และพยายามฟื้นฟูความเส่ือมโทรมของคณะสงฆ์เช่นกัน พระเถระนาม ว่าธรรมกีรติถือว่าเป็นพระผู้ใหญ่นามอุโฆษแห่งยุคนั้น นอกจากน้ันยังมีพระสีลวังสธรรมกีรติ เถระผู้เป็นศิษย์ของพระธรรมกีรติเถระแห่งส�านักปลาพัตคะละ เป็นผู้รับผิดชอบในการวาง

94 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ รากฐานพระศาสนาด้วยการสร้างอารามในอินเดียตอนใต้ คัมภีร์สัทธรรมรัตนากรยะระบุว่า ท่านอาศัยอยู่ที่ธันยกฏกะแห่งอินเดีย (อมราวดี) ซึ่งเป็นศูนย์กลางส�าคัญแห่งหนึ่งของพระพุทธ ศาสนาในยุคอินเดียโบราณ และสร้างวิหารหินนามว่าศรีธันยกฏกด้วย๑๒ หลังจากเดินทางกลับ ลังกาแล้ว ท่านได้อาศัยอยู่ท่ีอลวัตตุระวิหาร (บางครั้งเรียกว่าคเนโกดะวิหาร) ในรัชสมัยของ พระเจ้าวิชัยพาหุ คอร์ดิงตันยืนยันว่าพระเถระรูปนี้เป็นรูปที่ห้าตามชื่อน้ัน๑๓ คร้ันพระสีลวังสธรรมกีรติเถระมรณภาพส้ินแล้ว พระสีลวังสเถระผู้เป็นศิษย์ได้สืบต่อ ต�าแหน่งธรรมกีรติแทนอาจารย์แห่งตน ท่านได้แต่งกวีนิพนธ์ภาษาบาลีช่ือว่าปารมีมหาสตกะ๑๔ พระเถระได้พ�านักพักอาศัยที่วัดนามว่ามาลติมาลเสบะ ซึ่งอยู่บนภูเขาใกล้หมู่บ้านอัมลุบุวากันดะ สร้างถวายโดยพระเจ้าภูวเนกพาหุที่ ๔ แห่งอาณาจักรคัมโปละ คราวน้ันท่านได้แต่งคัมภีร์ กวีภาษาบาลีชื่อว่าชนานุราคะจาริตะ๑๕ พระเถระได้เดินทางจากมาลติมาลเสละไปยังคฑลาเดณิยะ ที่อุฑุนูวะระ และได้สร้างวิหารภายในวัดทิกคละชื่อว่าสัทธรรมติลกะ (หรือเรียกว่าคฑลาเดณิยะ วิหาร) ด้วยความช่วยเหลือของสถาปนิกชาวอินเดียนามว่าคเณศวราจารี๑๖ จารึกของพระเถระ ผู้ใหญ่แห่งน้ีระบุวันว่าในปีท่ี ๓ แห่งการครองราชย์ของพระเจ้าภูวเนกพาหุที่ ๔๑๗ พระเถระได้ รับคัดเลือกให้เป็นประธานสงฆ์ในการช�าระพระศาสนาในปีพุทธศักราช ๑๙๑๒ ภายใต้การ อุปถัมภ์ของเสนาบดีอลเกศวรท่ี ๓๑๘ เล่าลือกันว่าพระเถระเป็นพระอนุชาของกษัตริย์นามว่า ปรากรมพาหุ ลูกศิษย์ของพระเถระคือพระชัยพาหุเทวรักษิตเถระหรือธรรมกีรติที่ ๒ บางคร้ัง เรียกว่ามหาแดลิยาวังสะเทวรักษิตเถระ ท่านเป็นผู้แต่งคัมภีร์สัทธรรมาลังการยะ คัมภีร์พาลาว ตารสันเน คัมภีร์ชินโพธาวลี และคัมภีร์นิกายสังครหยะ พระเถระได้ร่วมมือกับพระไมตรียเถระ แห่งส�านักคลตุรุมูละช่วยกันสังคายนาคณะสงฆ์ในปีพุทธศักราช ๑๙๓๙ ภายใต้การอุปถัมภ์ ของเสนาบดีวีรพาหุแอทิปาทะ๑๙ ตอนกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๙ บ้านเมืองประสบกับความวุ่นวายหลายอย่าง เกิดการ เปลี่ยนแปลงทางการเมืองลุกลามถึงความเสื่อมโทรมคณะสงฆ์ด้วย พุทธศักราช ๑๙๒๙ เป็นปีแห่งการอสัญกรรมของเสนาบดีอลเกศวรผู้สร้างความมั่นคงแก่คณะสงฆ์ ต่อแต่นี้ไม่มี หลักฐานกล่าวถึงผู้ปกครองซึ่งสืบทอดอ�านาจต่อจากอลเกศวร และพระสงฆ์นักปราชญ์ผู้ สืบทอดพระธรรมกีรติที่ ๑ เพียงแต่กล่าวถึงพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๖ แห่งอาณาจักรโกฏเฏ ซ่ึงพระองค์โปรดให้บูรณะซ่อมแซมและปฏิสังขรณ์พระวิหารของบูรพกษัตริย์เท่าน้ัน ผู้สืบทอด อ�านาจต่อจากพระเจ้าปรากรมพาหุนั้นได้สร้างศตวรรษใหม่ มิใช่เพียงเร่ืองการเมืองเท่าน้ันแต่ รวมถึงวิถีชีวิตด้านวัฒนธรรมด้วย ความผูกพันระหว่างอาณาจักรกับศาสนจักรยุคน้ียาวนาน เกินกว่าห้าทศวรรษ

อาณาจักรกับศาสนจักร 95 หลกั ฐานระบวุ า่ สมยั เจา้ ชายปรากรมพาหทุ รงเยาวว์ ยั ไดร้ บั การปกปอ้ งรกั ษาจากพระเถระ ผู้ใหญ่ คัมภีร์ราชาวลิยะอ้างว่ากล่าวโดยพฤตินัยพระวีทาคมมหาเถระเป็นผู้มีอ�านาจทางการ เมือง เพราะท�าหน้าที่ดูแลรักษาเจ้าชายปรากรมพาหุและปกป้องพระมารดาของเจ้าชายจากการ ลอบท�าร้ายของเสนาบดีวีรอลเกศวร ตลอดจนมีส่วนส่งเสริมสนับสนุนให้ขึ้นครองราชย์๒๐ นอกจากพระวที าคมมหาเถระแล้ว ยังมพี ระสงฆจ์ า� นวนมากซึง่ แวดลอ้ มใกลช้ ิดพระเจา้ แผ่นดิน พระศรีราหุลเถระระบุไว้ในงานเขียนของท่านหลายเล่มว่าตัวท่านมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ พระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๖๒๑ พระเจ้าปรากรมพาหุทรงมีพระราชศรัทธาพระศาสนาอย่างแรงกล้า ทรงทุ่มเททุกส่ิงอย่างเพ่ือป้องกันความเส่ือมโทรมของพระพุทธศาสนา ซ่ึงเสียหายจากการ ถูกทอดท้ิงยามเกิดสงครามสมัยกษัตริย์พระองค์ก่อน พระราชศรัทธาแน่วแน่ที่จะฟื้นฟู พระศาสนาปรากฏเห็นในพระบรมราชูทิศมหาสมันเทวาลัยแห่งเมืองรัตนปุระว่า พระมหา กษัตริย์ทรงประทับน่ังท่ามกลางคณะสงฆ์พร้อมกับเจ้าเมืองน้อยใหญ่และเสนาอ�ามาตย์ ได้ทรง สอบถามวิธีการฟื้นฟูและด�ารงรักษาวัดวาอารามและเทวาลัย ซ่ึงจ�าเป็นต้องบูรณะซ่อมแซม๒๒ เบ้ืองต้นพระองค์โปรดให้สร้างอารามวิหารแก่พระสงฆ์ในเมืองหลวงส�าหรับเป็นที่ พ�านักพักอาศัย คัมภีร์ราชาวลิยะบันทึกไว้ว่าพระเจ้าแผ่นดินโปรดให้สร้างวัดเป็นจ�านวนมาก ภายในเมืองหลวง๒๓ คัมภีร์ราชาวลิยะฉบับแปลของวาเลนตินบรรยายไว้ว่า พระเจ้าปรากรม พาหุทรงประทับอยู่ท่ีรายิคาม ๓ ปี แล้วย้ายเมืองหลวงมาท่ีโกฏเฏ คราวน้ันโปรดให้สร้างเมือง อย่างสวยสดงดงามด้วยหินสีฟ้าล้วน และพระราชวังก็อลังการสร้างด้วยหินสีฟ้าเช่นเดียวกัน บริเวณเมืองหลวงเกลื่อนกล่นด้วยรูปปั้นเทพเจ้าน้อยใหญ่ท่ีพระองค์ทรงกระท�าเทวตาพลี พระองค์ทรงแวดล้อมด้วยพระสงฆ์ผู้ด�ารงต�าแหน่งชั้นสูง โปรดให้ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้ว และสร้างอารามวิหารจ�านวนมากเพ่ือให้เพียงพอแก่พระสงฆ์๒๔ หลักฐานส่วนนี้ชี้ว่าพระราช กรณียกิจด้านศาสนาเร่ิมมีต้ังแต่ปีแรกแห่งการครองราชย์ พระองค์โปรดให้สร้างโรงอุโบสถ เพื่อให้คณะสงฆ์สามารถท�าสังฆกรรมตามพระวินัยบัญญัติได้ ส่วนพระเขี้ยวแก้วซึ่งเป็นหน้าท่ี ของกษัตริย์ชาวสิงหลต้องคุ้มครองรักษาภายในพระราชวัง ศาสนูปถัมภ์ของพระเจ้าปรากรมพาหุ เร่ืองราวของพระเข้ียวแก้วได้เร่ิมต้นข้ึนสมัยพุทธศตวรรษท่ี ๑๗๒๕ สมัยบ้านเมือง แตกแยกวุ่นวายก่อนถึงยุคของพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๖ พระเขี้ยวแก้วได้โยกย้ายเปลี่ยนแปลง ไปตามอาณาจักรน้อยใหญ่ และบ่อยคร้ังจ�าเป็นต้องมีการปกปักรักษาจากอริราชศัตรูภายนอก และผแู้ ยง่ ชงิ บลั ลงั กภ์ ายใน ครนั้ พระเจา้ ปรากรมพาหทุ รงทราบเหตนุ จ้ี งึ ดา� เนนิ ตามพระราโชบาย

96 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ ของกษัตริย์ครั้งอดีต ด้วยการสร้างวิหาร ๓ ช้ัน ภายในพระราชวังอย่างสวยสดงดงามเพื่อ ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้ว๒๖ นักกวีน้อยใหญ่สมัยนั้นล้วนพากันสรรเสริญกษัตริย์สิงหล ผู้สร้างมหานครโกฏเฏ และท�าหน้าท่ีคุ้มครองรักษาพระเข้ียวแก้วด้วยถ้อยค�าอันเลิศหรู๒๗ ต่อมาพระเจ้าปรากรมพาหุโปรดให้ซ่อมแซมวิหารและศาสนสถานซ่ึงถูกท้ิงร้างเสีย หายสมัยสงคราม เบื้องต้นโปรดให้บูรณะวิหารลังกาติลกะและวิหารคฑลาเดณิยะ ซ่ึงสร้างมา ต้ังแต่สมัยอาณาจักรคัมโปละ จารึกคฑลาเดณิยะระบุว่าพระองค์โปรดให้บูรณะภายหลังเข้า ยึดครองหัวเมืองอุฑรฏะไม่นาน ซึ่งสมัยนั้นปกครองโดยเจ้าชายนามว่าเสนาลังกาธิการะ สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นหลานชายของเสนาบดีเสนาลังกาธิการะ๒๘ ด้วยความศรัทธาต่อเจ้าเมือง แคนดีพระองค์จึงโปรดให้บูรณะวิหารท้ังสองแห่ง เพราะเป็นท่ีเคารพศรัทธาสูงสุดของผู้คน บริเวณนั้นด้วย รายชอ่ื อารามวหิ ารทโี่ ปรดใหบ้ รู ณะซอ่ มแซมปรากฏพบเหน็ ในคมั ภรี ส์ ทั ธรรมรตั นากร ยะและคมั ภรี จ์ ลุ วงศ์๒๙ ไดแ้ ก่ มหยิ งั คณะเจดยี ์ เกลาณยี ะเจดยี ์ และโดรณาโกฑะเจดยี ์ นอกจาก นั้นยังมีสบรคมุวิหาร อาคารห้าชั้น และสฬปิฬทฏารเคยะวิหารท่ีวัดเกลาณียะด้วย๓๐ คัมภีร์ แสฬลิหิณิสันเดศยะบรรยายถึงวัดกัลยาณีในรัชสมัยของพระองค์อย่างวิจิตรพิสดาร๓๑ หลังจากซ่อมแซมเรียบร้อยแล้ววิหารแห่งนี้โด่งดังแพร่หลายไปไกล นอกจากนั้นคร้ันพระองค์ ทรงทราบถึงความยากล�าบากของผู้แสวงบุญ ซึ่งเดินทางข้ึนเขาสมันตกูฏเพ่ือนมัสการรอย พระพุทธบาท จึงโปรดให้สร้างราวเหล็กบริเวณปีนป่ายล�าบาก๓๒ และโปรดให้สร้างอาคารที่ พกั ตา� บลคิลมิ าเลใกลเ้ ขาสมนั ตกฏู พรอ้ มแจกจา่ ยอาหารและเครือ่ งดมื่ เป็นพระราชกุศลด้วย๓๓ นอกจากสรา้ งและซอ่ มแซมศาสนสถานแลว้ พระองคย์ งั ใหค้ วามสนใจกอ่ สรา้ งสถาบนั การศึกษาของคณะสงฆ์ตามวัดวาอารามน้อยใหญ่ด้วย มีหลักฐานกล่าวถึงอย่างน้อยสองแห่ง คือปริเวณะที่แปปิลิยานะ กล่าวกันว่าโปรดให้สร้างข้ึนเพื่อร�าลึกถึงพระราชมารดาสุเนตราเทวี๓๔ จารึกแปปิลิยานะหลักที่ ๒ กล่าวถึงพระเจ้าแผ่นดินทรงบ�าเพ็ญพระราชกรณียกิจแก่สถาบัน แห่งนี้๓๕ อีกแห่งหนึ่งคือมหาปายปริเวณะที่อุสสาปิฏิยะเขตแกคัลละ๓๖ น่าเสียดายไม่มีคัมภีร์ เล่มใดสมัยนั้นกล่าวถึงอุสสาปิฏิยปริเวณะ นอกจากน้ันแล้วยังมีสถาบันการศึกษาขนาดใหญ่ ซ่ึงได้รับราชูปถัมภ์เช่นกัน ได้แก่ ปัทมาวดีปริเวณะที่แครคละ วิชัยพาหุปริเวณะที่โตฏคามุวะ ติลกปริเวณะที่เดวินูวะระ และศรีฆนานันทปริเวณะที่วีทาคมะ ครั้นพระองค์ทรงอุปถัมภ์ ปริเวณะขนานใหญ่จึงท�าให้สถาบันการศึกษาเหล่าน้ีรุ่งเรืองแพร่หลาย๓๗

อาณาจักรกับศาสนจักร 97 พระราชกรณียกิจเก่ียวกับสถาบันการศึกษาคณะสงฆ์มิใช่เพียงก่อสร้างอาคารหรือ มอบถวายที่ดินเท่าน้ัน พระองค์ยังทรงเล็งเห็นถึงความส�าคัญของคัมภีร์น้อยใหญ่ ซ่ึงเป็นปัจจัย ส�าคัญในการขับเคล่ือนการศึกษาของสงฆ์ด้วย เพราะบูรพมหากษัตริย์ล้วนด�ารงตนเป็นแบบ อย่าง เม่ือมากมีพระสงฆ์ผู้มีความรู้แลกอปรด้วยศีลธรรม ย่อมแสดงถึงความมั่นคงดีงามของ พระศาสนาและอาณาจักร๓๘ ด้วยเหตุนั้นพระองค์จึงโปรดให้พระสงฆ์ผู้ทรงความรู้แสดงหลัก ธรรมค�าสอน และโปรดให้คัดลอกคัมภีร์ส�าคัญทั้งพระไตรปิฎกและอรรถกถาลงในใบลาน เฉกเช่นอดีตกษัตริย์พระนามว่าพระเจ้ามหินทะท่ี ๔ ได้มอบหมายพระเถระผู้คงแก่เรียน นามว่าพระธรรมมิตตาเถระให้แต่งคัมภีร์อธิบายพระอภิธรรม๓๙ พระองค์โปรดให้ส่งของอันมี ค่ามากมายไปยังแคว้นโจฬะ เพื่อนิมนต์พระเถระให้เดินทางมาเกาะลังกา ด้วยความเคารพ ศรัทธาว่าเป็นผู้งดงามด้วยศีลาจารวัตรและเชี่ยวชาญในพระไตรปิฎก๔๐ พระองค์ทรงด�าเนินตามเอาแบบอย่างบูรพกษัตริย์ด้วยทรงเห็นความจ�าเป็นของการ คัดลอกคัมภีร์ จึงทรงท�าทุกวิถีทางให้เกิดมีคัมภีร์ค�าสอนของพระพุทธเจ้าให้มากที่สุด พระสงฆ์ รูปใดท�าการคัดลอกคัมภีร์ส�าคัญ พระองค์โปรดให้ตอบแทนอย่างดีด้วยการมอบถวายหมู่บ้าน และทด่ี นิ จา� นวนมาก พระบรมราชทู ศิ มดวละของพระเจา้ วชิ ยั พาหทุ ่ี ๖๔๑ บนั ทกึ ถงึ การมอบถวาย ที่ดินจ�านวนมากแก่บุรุษนามว่าธรรมาลังการบัณฑิต ผู้เพียรคัดลอกคัมภีร์ส�าคัญท่ีสุเนตราเทวี ปริเวณะแห่งแปปิลิยานะ๔๒ จารึกแปปิลิยานะหลักท่ี ๒ อ้างข้อมูลส�าคัญเกี่ยวกับส่ิงของท่ี พระองค์โปรดให้ถวายแก่พระสงฆ์ผู้แต่งหนังสือหน่ึงพันครันถะ๔๓ อีกท้ังผู้คัดลอกคัมภีร์ พระไตรปิฎกด้วย๔๔ ครั้นเสร็จแล้วโปรดให้ประทานคัมภีร์ส�าคัญซ่ึงได้คัดลอกแล้วแก่อาราม วิหารทั่วเกาะลังกา พร้อมแต่งต้ังเจ้าหน้าท่ีให้จัดแจงเขียนหนังสือด้วย แสดงให้เห็นว่าพระองค์ ทรงมคี วามจรงิ ใจแนว่ แนใ่ นการสรา้ งคมั ภรี ท์ างศาสนา เพอื่ ใหเ้ ปน็ ประโยชนแ์ ละเปน็ การเผยแผ่ ความรู้ทางศาสนา ภายหลังจากเสนาบดีวีรพาหุแอทิปาทะอุปถัมภ์การช�าระอธิกรณ์คณะสงฆ์แล้ว หาได้ มีความพยายามตรวจสอบความเป็นไปในคณะสงฆ์ไม่จนกระทั่งรัชสมัยของพระเจ้าปรากรม พาหุ ความไม่แน่นอนทางการเมืองซ่ึงเกิดข้ึนก่อนการครองราชย์น�าความเหลวแหลกมาสู่ คณะสงฆ์๔๕ ปัจจัยเคร่ืองยังชีพได้หมดส้ินสูญหาย พระสงฆ์ไม่สามารถด�ารงเพศสมณะและ ประพฤติปฏิบัติต่อไปได้ ด้วยปัจจัยเหล่าน้ีบีบบังคับให้พระสงฆ์ต้องประพฤติตัวเลียนแบบ ชาวบ้านเพ่ือความอยู่รอด๔๖ พระเจ้าปรากรมพาหุปรารถนาเห็นความเจริญรุ่งเรืองของ พระศาสนา จึงจ�าต้องช�าระคณะสงฆ์ฟื้นฟูพระศาสนา ภาพแห่งความเส่ือมโทรมของพระศาสนา มีอธิบายชัดเจนในจารึกแปปิลิยานะหลักท่ี ๒๔๗ เพ่ือตรวจสอบความเส่ือมโทรมของพระศาสนา

98 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ พระองค์จ�าต้องสอบถามพระเถระผู้ใหญ่ จารึกแปปิลิยานะหลักท่ี ๒ และกติกาวัตร๔๘ ได้บันทึก กฎระเบยี บเกี่ยวกับความประพฤตขิ องพระสงฆ์ กติกาวัตรสมัยนี้มีสว่ นคลา้ ยคลึงกับดมั พเดณิ กติกาวัตร คัมภีร์สัทธรรมรัตนากรยะกล่าวว่ากษัตริย์อนุชนรุ่นหลังได้ด�าเนินตามเอาอย่าง พระองค์เพื่อช�าระศาสนาและปกป้องเถริยนิกาย๔๙ พระเจ้าปรากรมพาหุทรงด�าเนินการสร้าง ความมั่นคงแก่คณะสงฆ์ ด้วยการจัดให้มีอุปสมบทเป็นประจ�าทุกปี หลักฐานบอกว่าตอนท้ายพุทธศตวรรษท่ี ๑๖ พระเจ้าแผ่นดินสิงหลหลายพระองค์ ประสงค์จะลดทอนความล�าบากของคณะสงฆ์จึงจัดพิธีอุปสมบท ตัวอย่างเช่นพระเจ้าวิชัยพาหุ ท่ี ๑ โปรดให้นิมนต์พระสงฆ์จากรามัญประเทศมาอุปสมบท เป็นต้น๕๐ และโปรดให้จัดพิธี อุปสมบทอีกหลายครั้ง สมัยพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๑ ก็โปรดให้จัดพิธีอุปสมบทเช่นกัน๕๑ พระเจ้าวิชัยพาหุท่ี ๓ และพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๒ แห่งอาณาจักรดัมพเดณิยะ ได้ท�าการเฉลิม ฉลองพิธีอุปสมบทถึง ๘ คร้ัง แต่ละคร้ังเป็นเวลาหน่ึงสัปดาห๕์ ๒ ประเพณีเช่นน้ีกลายเป็นหน้าท่ี ของพระมหากษัตริย์รุ่นต่อมาอีกหน่ึงศตวรรษ การอุปสมบทท่ีจัดขึ้นโดยพระเจ้าภูวเนกพาหุ ท่ี ๑ เรียกว่าเทศกาลของโลก๕๓ พระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๖ นั้นประสงค์ประพฤติเลียนแบบ บูรพกษัตริย์ จึงโปรดให้จัดพิธีอุปสมบทเป็นประจ�าทุกปี คัมภีร์สัทธรรมรัตนากรยะระบุว่า พระองค์โปรดให้จัดพิธีอุปสมบทอย่างย่ิงใหญ่ เพื่อสร้างความม่ันใจว่าเถรวาทนิกายจะบริสุทธ์ิ และยั่งยืนยาวนาน๕๔ คัมภีร์ชินกาลมาลีปกรณ์บันทึกถึงการเดินทางมาเกาะลังกาของพระเมธังกร เถระและคณะ เพ่ือเข้ารับการอุปสมบทภายใต้ค�าแนะน�าของพระสงฆ์ชาวสิงหล๕๕ การเดินทาง ครั้งน้ีมีพระสงฆ์จากกัมพูชาไทยและพม่าร่วมเดินทางมาด้วยหลายรูป ๕๖ ความสงบสุขของบ้านเมืองภายใต้พระบารมีของพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๖ เป็นเหตุให้ ชาวพุทธช่วยกันรักษาสืบต่อพระศาสนาและสานต่อประเพณีวัฒนธรรมอันดีงาม นอกจาก สร้างอารามวิหารภายใต้ราชูปถัมภ์และการสงเคราะห์นักปราชญ์ตลอดท่ัวเกาะลังกาแล้ว ยุคนี้ พระสงฆ์ล้วนเก่งด้านการบริหารจัดการ เม่ือได้รับการช่วยเหลือด้วยปัจจัยจ�าเป็นส�าหรับ บรรพชิต พระสงฆ์ทั้งมวลจึงหมดภาระพร้อมที่จะเติมเต็มเชื่อมต่อภารกิจแห่งตน ชาวบ้านก็พา กันตื่นตัวรับรู้หลักธรรมค�าสอน ส่วนการศึกษาเจริญรุ่งเรืองสูงสุด สังเกตได้จากวรรณกรรม จ�านวนมากและการเผยแพร่ความรู้ทางศาสนาด้วย ผลตามมาท�าให้เกาะลังกากลายเป็นยุค แห่งการฟื้นฟูหรือยุคทองของวัฒนธรรมชาวสิงหล ความสงบสุขและความเจริญรุ่งเรืองภายใต้พระบารมีของพระเจ้าปรากรมพาหุไม่ได้ ยั่งยืนยาวนาน

อาณาจักรกับศาสนจักร 99 เค้าลางความเสื่อมปรากฏ ภายหลังพระองค์สวรรคตล่วงแล้วบ้านเมืองก็เข้าสู่ความวุ่นวายอีกคร้ัง เพราะการ ต่อสู้แย่งชิงราชสมบัติระหว่างพระเจ้าชัยพาหุที่ ๒ กับพระเจ้าภูวเนกพาหุท่ี ๖ ท�าให้บ้านเมือง อ่อนแอผู้คนแตกแยก แม้คณะสงฆ์จะไม่แทรกแซงบ้านเมืองก็จริง แต่ก็เลือกข้างฝ่ายที่ตน พอใจ ดังเช่นพระศรีราหุลชื่นชอบพระเจ้าชัยพาหุที่ ๒ คัมภีร์แสฬลิหิณิสันเดศยะอธิบายถึง การออ้ นวอนเทพวภิ ีศะณะแห่งวดั เกลาณยี ะให้ประทานการกา� เนดิ เจ้าชายพระองค์น้ี๕๗ มีพระเถระ ผู้ใหญ่อีกหลายรูปก็ปรารถนาให้เจ้าชายชัยพาหุขึ้นครองราชย์ เพราะเห็นว่าพระองค์เป็นทายาท อันชอบธรรมของพระเจ้าปรากรมพาหุ๕๘ แต่พระศรีราหุลเถระก็ต้องพบกับความเสียใจอย่าง รุนแรงเมื่อพระเจ้าภูวเนกพาหุที่ ๖ โปรดให้ปลงพระชนม์พระเจ้าชัยพาหุเสียแล้วครองราชย์ สืบแทน คัมภีร์ปทสาธนฎีกาซึ่งแต่งโดยท่านเองตอนวัยชราในรัชสมัยของพระเจ้าภูวเนกพาหุ ที่ ๖ ไม่กล่าวถึงส่ิงใดสมัยนี้เลย๕๙ จารึกกัลยาณีระบุช่ือพระเถระผู้ใหญ่หลายรูปที่เข้าร่วมพิธี อุปสมบทเม่ือพุทธศักราช ๒๐๑๙ ในรัชสมัยของพระเจ้าภูวเนกพาหุท่ี ๖ แต่ไม่ระบุถึง พระศรีราหุลเถระเลย๖๐ หลักฐานเหล่าน้ียืนยันถึงความตรงไปตรงมากลายเป็นความบาดหมาง ทางการเมือง จนท�าให้พระศรีราหุลเถระไม่เข้าร่วมพิธีอุปสมบทคร้ังนั้น ส่วนพระสงฆ์อีกกลุ่มหน่ึงกลับช่ืนชอบเจ้าชายสปุมัลผู้มีชัยเหนืออาณาจักรจัฟฟ์นา ชัยชนะคร้ังนั้นท�าให้พระองค์เป็นท่ีรักใคร่ของอาณาประชาราษฎร์ ตัวอย่างเช่นเจ้าส�านักแห่ง ติลกปริเวณะแห่งเมืองเดวินูวะระ ได้แต่งคัมภีร์โกกิลสันเดศยะอ้อนวอนเทพเจ้าให้ประทานพร แกเ่ จา้ ชายสปมุ ลั ผปู้ ระทบั อยเู่ มอื งจฟั ฟน์ า และปรารถนาใหเ้ ปน็ พระอปุ ราชของพระเจา้ ปรากรม พาหุ๖๑ หลักฐานส่วนน้ีแสดงให้เห็นว่าผู้สนับสนุนพระองค์อย่างแท้จริงส่วนใหญ่มาจากตอนใต้ สุดของเกาะลังกา๖๒ ผู้สนับสนุนการครองราชย์ของพระองค์อีกส่วนหน่ึงมาจากเขตกาฬุคังคา และวลเวคังคา รวมถึงเขตเดวินูวะระด้วย๖๓ กลุ่มพระสงฆ์น�าโดยพระวีทาคมไมตรียเถระพยายามสนับสนุนเจ้าชายสปุมัล ส่วน พระศรีราหุลและคณะได้ขอพรเทพเจ้าประทานความปลอดภัยแก่กษัตริย์พระองค์ใหม่๖๔ พระบรมราชทู ศิ อรมั แกเกระบหุ ลกั ฐานถงึ การเดนิ ทางไปเมอื งจฟั ฟน์ าของพระวที าคม ไมตรียเถระ ซ่ึงสมัยน้ันเจ้าชายสปุมัลดูแลปกครองอยู่๖๕ แม้หลักฐานระบุว่าการเดินทางครั้งนี้ มีจุดประสงค์เพ่ือนมัสการบุณยสถานอันศักด์ิสิทธ์ิก็ตาม แต่ก็ชวนให้ตีความถึงความใกล้ชิด ระหวา่ งเจา้ ชายสปมุ ัลกับพระสงฆก์ ลุ่มนโี้ ดยการน�าของพระวที าคมไมตรียเถระ พระบรมราชูทิศ ฉบบั เดยี วกนั อธบิ ายวา่ หลงั ขนึ้ ครองราชยแ์ ลว้ ไมน่ านพระเจา้ ภวู เนกพาหทุ ี่ ๖ ไดบ้ รจิ าคไทยทาน

100 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ จ�านวนมากแก่พระวีทาคมเถระและผองศิษย์ ความผูกพันใกล้ชิดระหว่างพระวีทาคมไมตรีย เถระกบั พระเจา้ ภวู เนกพาหทุ ี่ ๖ ยนื ยนั ไดจ้ ากตา� แหนง่ ประธานสงฆค์ ราวจดั พธิ อี ปุ สมบททแ่ี มน่ า�้ กัลยาณีเม่ือปีพุทธศักราช ๒๐๑๙๖๖ คัมภีร์จุลวงศ์และคัมภีร์ราชาวลิยะกล่าวถึงสมัยของพระเจ้าภูวเนกพาหุที่ ๖ แต่ไม่ กล่าวถึงพระราชกรณียกิจทางศาสนาของพระองค์เลย คัมภีร์ราชรัตนากรยะระบุว่าพระองค์ โปรดให้สร้างกรัณฑุวะหรือผอบบรรจุพระเขี้ยวแก้วด้วยราคาเจ็ดพันมัสสัส๖๗ โดยมอบหมาย ใหพ้ ระสงฆท์ า� พธิ บี ชู าทกุ เดอื นและทกุ ปี พรอ้ มแจกจา่ ยอาหารบณิ ฑบาตนบั ไมถ่ ว้ น๖๘ และโปรด ให้สร้างคลคามวิหารที่คลคามะในมณฑลกลางอีกด้วย๖๙ พระบรมราชูทิศอรัมแกละระบุราย ละเอียดเกี่ยวกับพระราชกุศลของพระองค์แก่ธรรมราชาปริเวณะที่อรพัตโตฏะ ซึ่งสมภาร เจ้าส�านักนามว่าพระนิยันทวาเนผุสสเทวสุมังคลเถระ ท่านเป็นลูกศิษย์ผู้ใหญ่ของพระวีทาคม ไมตรียเถระ นอกจากนั้นทรงบ�าเพ็ญพระราชกุศลแก่คณะสงฆ์กลุ่มวีทาคมะด้วย๗๐ พระราชกรณียกิจด้านศาสนาสมัยของพระองค์ยังเก่ียวข้องกับกษัตริย์พม่าด้วย เน่ืองจากว่าพระเจ้าธรรมเจดีย์แห่งเมืองพะโคได้จัดส่งคณะสงฆ์มอญมารับการอุปสมบทจาก พระสงฆ์ชาวสิงหล ด้วยความช่วยเหลือแนะน�าของพระวีทาคมไมตรียเถระ พระองค์จึงสามารถ เติมเต็มความปรารถนาของคณะสมณทูตชุดน้ี และสามารถสร้างช่ือเสียงให้แก่เกาะลังกา ในฐานะเป็นศูนย์กลางของเถรวาทนิกาย นอกจากน้ันพระองค์ยังให้ความส�าคัญกับความเชื่อแบบชาวบ้านด้วย โดยโปรดให้ สร้างเทวาลัยโดรวกะ ส่วนบริเวณติดกันโปรดให้สร้างวิหารหลังเล็กเพ่ือถวายแด่เทพธิดา ปัตตินิ๗๑ กล่าวกันว่าพระองค์มอบถวายท่ีดินและของมีค่ามากมายรวมทั้งแส้และพระราชยาน แก่เทพสามันแห่งมหาสามันเทวาลัยเมืองรัตนปุระ๗๒ พระราชกุศลด้านศาสนาอันจ�ากัดแสดง ให้เห็นว่า แม้พระองค์ไม่สามารถคงความเป็นใหญ่เหนือเกาะลังกา แต่ก็พยายามสืบทอด ราโชบายซึ่งด�าเนินมาต้ังแต่พระเจ้าปรากรมพาหุ คร้ันพระองค์สวรรคตแล้ว สถานการณ์บ้านเมืองเลวร้ายลงไปอีก ผู้สืบทอดบัลลังก์ ต่อจากพระองค์นามว่าพระเจ้าบัณฑิตปรากรมพาหุท่ี ๗ ถูกลอบสังหารโดยพระเจ้าอานามว่า วีรปรากรมพาหุท่ี ๘ ต�านานภาษาสิงหลไม่กล่าวถึงพระราชกุศลส่ิงใดของบัณฑิตปรากรมพาหุ และผู้ครองราชย์สืบต่อพระเจ้าวีรปรากรมพาหุท่ี ๘ การครองราชย์ ๒๔ ปี ของพระองค์ไม่มี แต่หลักฐานบางแห่งแย้งว่าพระองค์โปรดให้บูรณะวัดคลคมะ๗๓ และวัดอัลคมะ๗๔

อาณาจักรกับศาสนจักร 101 กษัตริย์พระองค์ต่อมาพระนามว่าพระเจ้าธรรมปรากรมพาหุ พระองค์ไม่สามารถ ท�าส่ิงใดเพ่ือพระศาสนาได้มากนัก เพราะความไม่สงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ส่วนหนึ่งเป็น ความวุ่นวายจากพสกนิกรเอง อีกส่วนหน่ึงมาจากค�าขู่ของพวกมุสลิมที่ตั้งรกรากอยู่บริเวณ ชายทะเล๗๕ การโจมตีของพระเจ้าอทิราสรยะแห่งกายัลปัฏฏนัม และการเข้ามาของโปรตุเกส สร้างความปั่นป่วนทางการเมืองเป็นอย่างมาก ภาวการณ์เช่นนี้พระองค์จ�าต้องละเลยศาสนา พระสงฆ์บรรยายคุณลักษณะของพระองค์เสมือนมิตรผู้ยากจนแต่ชอบบูชาพระพุทธเจ้า แล้วขนานนามว่าธรรมกะหมายถึงผู้ให้๗๖ ข้อมูลจากเควย์รอสท�าให้เข้าใจความดีงามของ พระองค์ต่อพสกนิกรรวมถึงคณะสงฆ์ด้วย ทรงบูรณะวัดเกลาณียะซ่ึงตกอยู่ในสภาพทิ้งร้างมา นาน โดยค�าเพ็ดทูลของคณนายกะหรือสมภารเจ้าอาวาสและเสนาบดีนามว่าวิชยักโกนาระ๗๗ หลังจากเสร็จส้ินแล้วทรงมีพระราชด�ารัสว่าค่าภาษีทุ่งนาและเงินฟานัมของมะพร้าวแต่ละต้น ควรจ่ายเพ่ือบ�ารุงรักษาวัด ยิ่งกว่านั้นพระองค์โปรดพระราชทานเขตวัดอย่างกว้างขวางรวมถึง บริเวณวัตตละ โคนาเหนะ ดิวิยามุลละ จรดแม่น้�ากัลยาณี๗๘ ผู้สืบทอดต่อจากพระองค์คือพระเจ้าวิชัยพาหุที่ ๖ พระองค์จ�าต้องพบกับความ ตึงเครียดทางการเมืองเพราะการกระทบกระท่ังกันระหว่างมุสลิมกับพ่อค้าโปรตุเกสบริเวณ เมืองโคลัมโบ ส่วนราชบัลลังก์ก็ถูกท้าทายโดยพระโอรสของพระองค์เอง แม้จะเกิดความ วุ่นวายและสับสนทางการเมือง แต่พระองค์ก็สามารถอุปถัมภ์พระศาสนาโดยเฉพาะช่วงแรก แห่งการครองราชย์ จารึกวัดกัปปาโกฑะแห่งต�าบลแกคัลละระบุว่าพระองค์โปรดให้สร้าง ปริเวณะภายในบริเวณวัด ส่วนการบูรณะเป็นหน้าท่ีของเสนาบดีนามว่าวิชัยสิงหะเอกนายกะ เปรุมัล จากนั้นได้มอบถวายที่ดินและภาษีเพื่อบ�ารุงรักษาวัด๗๙ นอกจากน้ันพระองค์ทรงให้ ความอุปถัมภ์ลัทธิอ่ืน พระบรมราชูทิศคัลลวิหารยะบอกว่า พระเจ้าแผ่นดินทรงอุทิศท่ีดินแก่ โมฏฏาปิฏยิ ะเทวาลยั ในเขตแกคัลละ๘๐ พระบรมราชทู ศิ เดวนิ วู ะระเทวาลัยระบวุ า่ พระองค์โปรด ให้อุทิศถวายท่ีดินแก่เทพอุบลวัน๘๑ และพระราชทานแส้และพระราชยานแก่มหาสามันเทวาลัย แห่งเมืองรัตนปุระด้วย๘๒ ขณะทอ่ี าณาจกั รโกฏเฏประสบกบั ความยงุ่ ยากทางการเมอื ง อาณาจกั รแคนดีกลบั พบ แต่สันติสุขเป็นยุคแห่งความสุขเบิกบาน ภายใต้ผู้สร้างอาณาจักรพระนามว่าเสนาสัมมตวิกรม พาหุ เป็นผลให้พระองค์หันมาอุปถัมภ์พระศาสนาซ่ึงถึงภาวะเส่ือมโทรมมานาน คัมภีร์จุลวงศ์ บรรยายรายละเอียดมากมายเก่ียวกับพระราชกรณียกิจด้านพระศาสนา๘๓ ส่วนคัมภีร์ ราชรัตนากรยะซึ่งแต่งปีสุดท้ายแห่งการครองราชย์ของพระองค์ก็กล่าวถึงเช่นเดียวกัน๘๔ บรรดาพระราชกรณียกิจด้านพระศาสนานั้น ผลงานอันโดดเด่นคือการก่อสร้างศาสนสถาน

102 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ มากมายหลายแห่ง พระองค์โปรดให้สร้างเจดีย์ใกล้เมืองหลวงแล้วประดิษฐานพระบรม สารีริกธาตุ โปรดให้สร้างวิหารขนาดใหญ่โดยใช้เสาหิน สร้างโรงอุโบสถสองช้ันในบริเวณ เดียวกัน และสร้างสถูปและวิหารใกล้วัดมัลวตุวิหารแห่งเมืองแคนดี เฉพาะบริเวณภายใน พระนครโปรดให้สร้างกุฏีพักสงฆ์ ๘๖ แห่ง โปรดให้สร้างวัดถวายพระสงฆ์ผู้เป็นอยู่อย่าง สมถะและเรียบง่าย๘๕ โปรดให้สร้างวัดมหาวิหารเพื่อพระเถระผู้ทรงพระไตรปิฎก ซ่ึงเดินทาง มาจากต่างแดน ๓๕ รูป มีพระธรรมกิตติเถระเป็นหัวหน้า ซึ่งท�าหน้าท่ีช�าระคณะสงฆ์และ ประกอบพิธีอุปสมบทที่แม่น้�ามหาแวลิคังคา ต�านานบอกว่าพระองค์โปรดให้สร้างโปโหเคมลุวะ แหง่ แคนด๘ี ๖ นอกจากนนั้ โปรดใหส้ รา้ งวดั อศั คริ ยิ ะกลางเมอื งแคนดี ตรงบรเิ วณพระราชจติ กาธาน ของพระราชมารดา ซ่ึงเก็บพระอัฐิบรรจุไว้๘๗ ปรากฏหลกั ฐานวา่ มกี ารคดั ลอกคมั ภรี ส์ า� คญั หลายเลม่ เปน็ ครง้ั แรกนบั แตก่ ารสวรรคต ของพระเจ้าปรากรมพาหุ กล่าวกันว่าพระองค์โปรดให้คัดลอกคัมภีร์ใบลานถึง ๓๐,๐๐๐ ชุด คราวน้ันทรงสละพระราชทรัพย์เป็นเหรียญเงินถึง ๖๐,๐๐ เหรียญ๘๘ ส�าหรับพิธีอุปสมบท น้ันได้ขาดหายไปต้ังแต่สมัยของพระเจ้าภูวเนกพาหุท่ี ๖ เหตุเพราะความไม่มั่นคงของบ้านเมือง พระเจ้าวิกรมพาหุจึงฟื้นฟูพิธีอุปสมบทอีกคร้ัง โดยโปรดให้จัดอุทกเขปสีมาบริเวณแม่น้�า มหาแวลิคังคา มีพระธรรมกิตติเถระเป็นประธานสงฆ์ คราวน้ันมีสามเณรเข้ารับการอุปสมบท กว่า ๓๕๐ รูป๘๙ หลักฐานบอกว่าคณะสงฆ์ถึงความเสื่อมโทรมสมัยบ้านเมืองวุ่นวายภายหลัง การสวรรคตของพระเจ้าปรากรมพาหุ คัมภีร์ราชารัตนากรยะบอกว่า ความเสื่อมของพระสงฆ์ คามวาสีมีหลักฐานกล่าวถึงมากมาย๙๐ เม่ือทราบดังนั้นแล้วพระเจ้าวิกรมพาหุจึงได้ประชุม คณะสงฆ์ท้ังสองคณะกล่าวคือวนวาสีและคามวาสี ภายใต้ค�าแนะน�าของพระธรรมกิตติเถระ จึงโปรดให้สอบสวนความถูกต้องท่ามกลางที่ประชุมแล้วมีพระราชด�ารัสว่า ผู้ใดเห็นด้วยก็ทรง ให้การสนับสนุน ส่วนผู้ใดถูกกล่าวหาว่าประพฤติผิดก็ส่ังให้ลาสิกขาและขับออกจากคณะสงฆ์ เสีย๙๑ คัมภีร์จุลวงศ์ระบุว่าพระราชกรณียกิจด้านศาสนาไม่ได้จ�ากัดเฉพาะเขตเมืองหลวง เทา่ นนั้ อารามรอบนอกกใ็ หค้ วามสา� คญั เชน่ กนั ดงั เชน่ โปรดใหบ้ รู ณะมหยิ งั คณเจดยี ๙์ ๒ นอกจาก น้ันทรงพิจารณาเห็นความยุ่งยากของผู้แสวงบุญว่าต้องล�าบากกับการเดินทางข้ึนเขาสมันตกูฏ จึงโปรดให้สร้างสะพานข้ามแม่น้�าและสร้างบันไดถึง ๗๖๕ ขั้น๙๓ พระราชจริยาวัตรด้าน พระศาสนามีหลักฐานกล่าวถึงมากมาย กล่าวกันว่าความสงบสุขรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา สมัยอาณาจักรแคนดีเป็นเหตุให้พระสงฆ์ต้องเป็นหน้ีพระองค์

อาณาจักรกับศาสนจักร 103 ความขัดแย้งแห่งราชวงศ์ ย้อนกลับมาดูอาณาจักรโกฏเฏอีกคร้ัง หลังจากแบ่งแยกอาณาจักรตามความต้องการ ของกษัตริย์สามพ่ีน้องแล้ว (พ.ศ.๒๐๖๔) เกาะลังกาก็กลายเป็นสมรภูมิแย่งชิงความเป็นใหญ่ ภายใน ตลอดรัชสมัยของพระเจ้าภูวเนกพาหุท่ี ๗ หาเกิดมีความสงบสุขไม่เพราะการบุกรุก โจมตีของพระอนุชามายาดุนเน ฝ่ายโปรตุเกสช่วยเหลือพระเจ้าภูวเนกพาหุต่อต้านพระอนุชา ด้วยกโลบายอันชาญฉลาดโปรตุเกสจึงสามารถควบคุมกษัตริย์โกฏเฏได้ทุกสิ่งอย่าง ท�าให้ พระพุทธศาสนาทางตอนใต้ชายทะเลเร่ิมเส่ือมโทรม ไม่มีหลักฐานกล่าวถึงพระราชกุศลของ พระเจ้าภูวเนกพาหุเลย ต้นฉบับใบลานท่ีวัดโกดิคามุวะซึ่งค้นพบโดยเบลล์บอกว่า วัดแห่งน้ี สร้างโดยพระเจ้าภูวเนกพาหุที่ ๖ หรือ ๗๙๔ หากพิจารณาหลักฐานจากต้นฉบับคัมภีร์ใบลาน เปรียบเทียบกับสถานการณ์ทางการเมืองสามารถคาดเดาได้ว่า วัดแห่งน้ีสร้างโดยกษัตริย์ พระองค์ก่อนเป็นแน่ แม้พระเจ้าภูวเนกพาหุจะยังด�ารงพระชนม์ชีพในฐานะเป็นชาวพุทธจน กระทั่งถึงวันสวรรคต แต่ก็ถือว่ารัชสมัยของพระองค์มิใช่จุดเร่ิมต้นความเสื่อมโทรมของ พระพุทธศาสนา หลักฐานระบุว่าพระองค์ป้องกันราชบัลลังก์จากพระอนุชามายาดุนเนด้วยการผูกมิตร กับโปรตุเกส โดยร้องขอให้รับรองราชบัลลังก์เพื่อพระราชนัดดานามว่าธรรมปาละ๙๕ เสนาบดี ผู้ได้รับการคัดเลือกให้เดินทางไปโปรตุเกสเพื่อภารกิจคร้ังนี้คือศรีราธารักษะบัณฑิต ท่านเป็น พราหมณม์ นี ามตามหลกั ฐานโปรตเุ กสวา่ บณั ฑติ าระ๙๖ กษตั รยิ โ์ ปรตเุ กสรอ้ งขอตอ่ กษตั รยิ ล์ งั กา ด้วยการส่งคณะมิชชันนารีเดินทางไปเกาะลังกาเพ่ือเปลี่ยนชาวเมืองให้เข้ารีต๙๗ เรเบียว บันทึกไว้ว่าประมาณสี่ทศวรรษแรกต้ังแต่โปรตุเกสเข้ามาเยือนเกาะลังกามีคนเข้ารีตเพียง น้อยนิด๙๘ ส่วนเควย์รอซระบุถึงการต้ังรกรากของพวกโปรตุเกสมากกว่ามิชชันนารี ตอนท้าย แห่งรัชสมัยของพระเจ้าภูวเนกพาหุพวกมิชชันนารีจึงได้รวมตัวกันเป็นองค์กร เสนาบดี ศรีราธารักษะบัณฑิตเดินทางกลับมาพร้อมกับนักบวชฟรานซิส ๖ ท่าน โดยมีบาทหลวงฮวน เดอวิลลาเดอโคนเดเป็นหัวหน้า คณะมิชชันนารีได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากกษัตริย์ลังกา บาทหลวงเดอโคนเดได้รับความไว้วางใจให้ดูแลเรื่องการศึกษาของเจ้าชายธรรมปาละองค์ รัชทายาท งานของพวกมิชชันนารีเร่ิมต้นจากนักบวชฟราสซิสกลุ่มนี้ เม่ือพุทธศักราช ๒๐๘๖ แต่การประกาศค�าสอนของพระเยซูเจ้าก็ประสบความส�าเร็จค่อนข้างน้อย เพราะพระเจ้าแผ่น ดินลังกาทรงวางพระองค์เป็นกลาง๙๙

104 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ หลักฐานบอกว่าพระเจ้าภูวเนกพาหุทรงพระราชทานทรัพย์สมบัติแก่บาทหลวงหลาย คร้ังเพ่ือบ�ารุงรักษาศาสนา๑๐๐ ผู้ว่าการโปรตุเกสประจ�าอินเดียนามว่ามาร์ตินอะฟองโซเดอเซาซา สมัยอยู่เมืองโกฏเฏเคยเชื่อว่ากษัตริย์ลังกาอาจจะเข้ารีตเป็นคริสต์ เพราะพระองค์แสดงออก ถึงความใจกว้างต่อพวกมิชชันนารี แต่ไม่นานพวกนักบวชฟรานซิสก็ทราบความจริง จึงท�าให้ การประกาศค�าสอนของพระเยซูเจ้ายุ่งยากมากข้ึน แม้กษัตริย์ลังกาจะปฏิเสธค�าเชื้อเชิญการ เข้ารีต แต่พวกมิชชันนารีก็หวังว่าพระองค์อาจจะเลิกล้มความเช่ือของบรรพบุรุษ๑๐๑ สันนิษฐาน ว่าพระองค์ไม่กล้าเปลี่ยนความคิดเพราะเกรงความไม่ม่ันคงทางการเมือง อาจเป็นการเปิดช่อง ให้พระอนุชามายาดุนเนแห่งสีตาวะกะอ้างความชอบธรรม พระองค์ทราบดีว่าการเข้ารีตเป็น คริสต์ย่อมท�าให้พสกนิกรขาดความเช่ือมั่น เป็นการสร้างความเข้มแข็งให้แก่พระเจ้ามายาดุนเน เพราะมีประเพณีความเชื่อว่าคนนอกศาสนาของพระพุทธเจ้าไม่สมควรปกครองลังกา๑๐๒ หลักฐานเชน่ นเ้ี ป็นการอธบิ ายทัศนคติของพระเจ้าภูวเนกพาหตุ ่อภาระหนา้ ท่ขี องพวกมชิ ชนั นารี แม้พระองค์จะทรงยืนยันว่าเป็นชาวพุทธแต่พระราโชบายด้านศาสนากลับถูกคน รุ่นหลังเหยียดหยาม ผู้เขียนคัมภีร์ราชาวลิยะบรรยายไว้ว่าพระเจ้าภูวเนกพาหุคือต้นเหตุ แหง่ ความอยุติธรรมทา� ใหล้ กู หลานต้องทนทกุ ขท์ รมาน เพราะพระพทุ ธศาสนาถูกกระทา� ยา่� ย๑ี ๐๓ การก้มหัวยอมรับโปรตุเกสและแสดงอาการเห็นใจบาทหลวงคาทอลิกไม่เป็นที่พอใจของ พสกนิกรทั้งมวล โดยเฉพาะการมอบหมายต�าแหน่งหน้าที่การงานช้ันสูงให้แก่โปรตุเกส ส่วน พระเจ้ามายาดุนเนแห่งอาณาจักรสีตาวะกะน้ัน อาณาประชาราษฎร์เห็นว่าพระองค์เป็นผู้น�า ของบ้านเมืองอย่างแท้จริง ด้วยเหตุนั้นเมืองสีตาวะกะจึงเป็นศูนย์รวมแห่งจิตใจของชาวสิงหล พระองค์กลายเป็นวีรบุรุษอันโดดเด่นของชาวพุทธแห่งหัวเมืองแดนใต้๑๐๔ พระองค์ยิ่งมีผู้ศรัทธาสวามิภักด์ิมากขึ้นเม่ือท�าหน้าท่ีคุ้มครองพระเขี้ยวแก้ว ซึ่งเป็น สัญลักษณ์แห่งผู้พิทักษ์รักษาอาณาจักร คราวเม่ือเกิดภาวะวุ่นวายทางการเมืองภายในอาณา จักรโกฏเฏ หิริปิฏิเยนิลาเมซึ่งเป็นผู้ท�าหน้าท่ีดูแลพระเขี้ยวแก้วได้อัญเชิญไปยังอาณาจักร สีตาวะกะแล้วมอบถวายพระเจ้ามายาดุนเน๑๐๕ เหตุการณ์นี้กระทบต่อความรู้สึกของชาวพุทธ สิงหลยิ่งนัก เพราะต่างเช่ือว่าพระเข้ียวแก้วควรได้รับการรักษาคุ้มครองเป็นอย่างดี สมัยนั้น ชาวสิงหลล้วนเชื่อว่าผู้ครอบครองพระเข้ียวแก้วหมายถึงกษัตริย์ลังกาโดยนิตินัย๑๐๖ ก่อนที่จะ ประดิษฐานพระเข้ียวแก้วพระเจ้ามายาดุนเนโปรดให้สร้างวิหารอย่างยิ่งใหญ่ตระการตาภายใน พระราชวังเพื่อประดิษฐาน๑๐๗ นอกจากสร้างวิหารพระเขี้ยวแก้วหลังใหม่แล้ว พระเจ้ามายาดุนเน ยังอุปถัมภ์คณะสงฆ์ผู้ไม่พอใจพระราโชบายของพระเจ้าภูวเนกพาหุแห่งโกฏเฏ แต่น่าเสียดาย พระราชกรณียกิจด้านศาสนาของพระองค์มีน้อยนัก เหตุเพราะภาวะสงครามตลอดรัชกาล

อาณาจักรกับศาสนจักร 105 หลงั จากพระเจา้ ภวู เนกพาหสุ วรรคตสน้ิ แลว้ เกดิ เหตกุ ารณเ์ ปลย่ี นแปลงประวตั ศิ าสตร์ ศรีลังกาคือการเข้ารีตเป็นคริสต์ของพระเจ้าธรรมปาละ (พ.ศ.๒๑๐๐) นับจากวันน้ันความเป็น พุทธหมดสิ้นจากอาณาจักรโกฏเฏ คัมภีร์ราชาวลิยะบรรยายไว้ว่าวันเข้ารีตของพระเจ้าธรรมปาละ นั้น คณะสงฆ์พากันหลบหนีไปอาศัยอาณาจักรสีตาวะกะและอาณาจักรแคนด๑ี ๐๘ น้ีคือโชคร้าย ท่ีคณะสงฆ์จ�าต้องเผชิญ ทันทีที่เข้ารีตเป็นคริสต์พระเจ้าธรรมปาละโปรดให้มอบถวายวัด เกลาณียราชมหาวิหารและวัดกิติสิริเมวันกัลยาณีซึ่งอยู่ตรงข้ามแม่น้�ากัลยาณีให้เป็นสมบัติ ของพวกบาทหลวงฟานซิสกัน นอกจากนั้นพระองค์ยังโปรดให้บริจาคอาณาบริเวณของวัด พระเข้ียวแก้วแห่งเมืองโกฏเฏ และวัดทุกแห่งภายในราชอาณาจักรรวมทั้งท่ีดินสวนค่าเช่าและ ค่าช่วยเหลือ เพื่อเป็นทุนส�าหรับบ�ารุงรักษาวิทยาลัยของพวกบาทหลวงฟาสซิสกัน ซึ่งก�าลัง ก่อต้ังขึ้นท่ัวเกาะลังกา๑๐๙ จากนั้นเร่ิมต้นนโยบายยกเลิกพิธีกรรมทางศาสนาบรรดามีบน เกาะลังกายกเว้นคริสต์ศาสนา๑๑๐ เหตุผลคือต้องการถอนตัวจากการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา พระเจ้าราชสิงหะท่ี ๑ หายนะรุนแรงสุดสมัยของพระองค์คือการบุกเผาท�าลายอารามวิหารและสถานที่บูชา โปรตุเกสผู้ท�าหน้าท่ีพิทักษ์พระเจ้าธรรมปาละตามพระราชด�ารัสของกษัตริย์โปรตุเกส ได้ค้นหา รูปปั้นท้ังหมดด้วยวิธีการอันชาญฉลาดแล้วเผาท�าลายกลายเป็นเศษผงแล้วกลืนกินจนหมด สิ้น๑๑๑ อภัยสิงหะตั้งข้อสังเกตว่าวิธีการเช่นน้ีมีการสืบทอดต่อมาโดยโปรตุเกสผู้ครอบครอง ลังกา๑๑๒ วัดท่ีนวคามุวะ มาปิฏิคามะ วัตตละ แวลิคามะ เดวินูวะระ และกัลยาณีถูกท�าลายและ รื้อเผาเสียหายจนส้ินซาก๑๑๓ วิธีการท�าลายพระพุทธศาสนาได้ท�าอย่างต่อเน่ืองตลอดเวลาที่ โปรตุเกสยึดครองหัวเมืองชายทะเล๑๑๔ แต่พระเจ้าธรรมปาละและโปรตุเกสไม่สามารถท�าลาย ล้างพระพุทธศาสนาได้นานนัก เพราะยังมีความแข็งแกร่งของอาณาจักรสีตาวะกะคอยต่อต้าน อยู่ ผสู้ บื ทอดตา� แหนง่ แทนพระเจา้ มายาดนุ เนคอื พระเจา้ ราชสงิ หะท่ี ๑ ซง่ึ เปน็ กษตั รยิ ช์ าตนิ กั รบ เป็นผู้ปกครองท่ีเข้มแข็ง เป็นท่ีเกรงกลัวของโปรตุเกสและกษัตริย์แห่งโกฏเฏ ระยะแรกแห่ง การครองราชย์พระองค์ประสบความส�าเร็จด้านศาสนา ซ่ึงรักษาสืบต่อมาจากพระราชบิดา มายาดุนเน โดยโปรดให้มีการแห่แหนพระเขี้ยวแก้วเป็นประจ�าทุกปีท่ีมหาสามันเทวาลัยแห่ง รัตนปุระ๑๑๕ เวลาเดียวกันก็โปรดให้มีการสวดพระปริตรและแสดงพระธรรมเทศนาบริเวณ เทวาลัยด้วย๑๑๖ นอกจากนั้นโปรดให้สร้างวัดท่ีดัณดุแวลคามะซ่ึงเคยถูกโปรตุเกสเผาท�าลาย๑๑๗ คัมภีร์อลุตนูวะระเทวลัยกรวีมะระบุว่า พระองค์โปรดให้ดูแลอุบลวันเทวาลัยที่เดวินูวะระและ วัดที่ติดกับเทวาลัยด้วย๑๑๘

106 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ หลกั ฐานมากมายสมยั นน้ั ยนื ยนั ตรงกนั วา่ พระองคท์ รงเปน็ พระมหากษตั รยิ ผ์ ทู้ า� หนา้ ท่ี ปกป้องพระศาสนาและคุ้มครองโลกสันนิวาส กวนี พิ นธอ์ นั โดง่ ดงั ของอลคยิ วนั นะในราชสา� นกั ของพระองคอ์ ธบิ ายวา่ วดั พระเขย้ี วแกว้ ท่ีวัดเดลคามุวะเป็นท่ีรู้จักแพร่หลายภายใต้ราชูปถัมภ์๑๑๙ และอธิบายเสริมต่อว่าพระสังฆราช นามว่าพระมหินทาลังการะ ผู้โด่งดังในฐานะเป็นนักกวีได้พ�านักพักอาศัยวัดเดลคมุวะวิหาร๑๒๐ ส่วนการแต่งคัมภีร์ทางศาสนาก็โดดเด่นเช่นกัน หลังส้ินสุดสมัยของพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๖ มีความพยายามด้านวรรณคดีเพียงเล็กน้อย ผลงานที่ส�าคัญระหว่างสมัยของพระเจ้าปรากรม พาหุท่ี ๖ กับพระเจ้าราชสิงหะท่ี ๑ คือคัมภีร์ดหัมโสณฑะกวะ๑๒๑เป็นงานกวีนิพนธ์โดยใช้เนื้อหา พทุ ธประวัติเป็นแกนเร่อื ง ผู้แต่งคอื ทา่ นธรรมธวัชบณั ฑิต เชอื่ กันวา่ เป็นบิดาของอลคิยวันนา๑๒๒ กลา่ วกนั วา่ อลคยิ วนั นาผลติ ผลงานอกี เลม่ หนงึ่ นามวา่ กสุ ชาตกยะ๑๒๓ เปน็ กาพยท์ างพทุ ธศาสนา และคัมภีร์สุภาศิตยะแต่งสมัยของพระเจ้าราชสิงหะท่ี ๑๑๒๔ แต่บรรยากาศแห่งความสุข ของวัฒนธรรมสิงหลระหว่างรัชสมัยของพระองค์ไม่ยืนนาน เน่ืองจากการสนับสนุนงานด้าน วัฒนธรรมตอนช่วงต้นของรัชสมัย คมั ภรี จ์ ลุ วงศไ์ มก่ ลา่ วยกยอ่ งสรรเสรญิ พระองค์ แตป่ ระณามวา่ เปน็ ผลู้ ะทงิ้ และทา� ลาย ศาสนา อีกทั้งเชื่อมโยงกับเสียงเล่าลือกันว่าพระองค์ทรงท�าปิตุฆาตแล้วขึ้นครองรัชบัลลังก์๑๒๕ ต�านานบอกว่าหลังจากท�ากรรมอันหนักแล้วพระองค์ทรงทูลถามคณะสงฆ์ว่ามีวิธีแก้ไขปิตุฆาต หรือไม่ คณะสงฆ์กราบทูลว่าไม่มีวิธีใดเลยที่จะหลุดพ้นจากอนันตริยกรรม ซ่ึงเป็นกรรมหนัก ทางพุทธศาสนา๑๒๖ คัมภีร์สุลุราชาวลิยะบอกว่าการตอบของคณะสงฆ์น�าหายนะคร้ังใหญ่มาสู่ หมคู่ ณะ๑๒๗ หลังจากนัน้ พระองคห์ ันเขา้ หาลัทธไิ ศวะนกิ าย และแตง่ ต้ังอรฏิ ฐกีเวณฑะพราหมณ์ แห่งอินเดียใต้เป็นปุโรหิต ตั้งแต่น้ันมาพระเจ้าราชสิงหะท่ี ๑ ทรงด�าเนินพระราโชบายท�าลาย พระพุทธศาสนา เป็นที่น่าสังเกตว่าคัมภีร์จุลวงศ์ประณามพระเจ้าราชสิงหะว่าเป็นผู้ท�าลายคณะสงฆ์ แต่หลักฐานยุคเดียวกันหลายเล่มไม่กล่าวถึงถึงการท�าปิตุฆาตของพระองค์เลย คัมภีร์ราชาว ลิยะซึ่งเขียนข้ึนใกล้กับรัชสมัยของพระองค์ไม่กล่าวถึงแผนการท�าปิตุฆาต เพียงแต่บอกว่า พระเจ้ามายาดุนเนสวรรคตภายหลังครองราชย์มา ๗๐ ปี๑๒๘ และอธิบายเสริมว่าระหว่างมี พระชนม์ชีพอยู่นั้น พระเจ้ามายาดุนเนทรงมอบหมายพระราชโอรสแก่เหล่าทหารและพสกนิกร พร้อมราชบลั ลังก๑์ ๒๙ สว่ นผู้เขยี นคมั ภรี ์ราชาวลิยะไม่เหน็ ดว้ ยกับการตอ่ เตมิ เรื่องราวการทา� ลาย ล้างเจ้าชายแห่งสีตาวะกะและอุฑรฏะของพระเจ้าราชสิงหะ๑๓๐ ยิ่งกว่าน้ีคัมภีร์เล่มนี้ยังยืนยัน

อาณาจักรกับศาสนจักร 107 ข้อมูลตามคัมภีร์จุลวงศ์ถึงความเกี่ยวพันกันระหว่างพระเจ้าราชสิงหะกับอริฏฐกีเวนฑุ โดย กล่าวว่าพวกนับถืออิสลามกลุ่มหน่ึงซ่ึงเดินทางมาจากเมืองโสลีประมาณพุทธศักราช ๒๑๒๓ บรรดาคนเหล่าน้ันอริฏฐกีเวนฑุเปรุมัลกลายเป็นท่ีชื่นชอบของพระเจ้าราชสิงหะ หลังจากน้ัน พระองค์ทรงแต่งตั้งให้เป็นมันนัปเปรุมะโมโหฏฏิ และต่อมาด�ารงต�าแหน่งเป็นเสนาบดีของกอง ทัพสีตาวะกะ๑๓๑ นกั ประวตั ศิ าสตรช์ าวโปรตเุ กสนามวา่ เรเบยี วโรบอกวา่ พระเจา้ มายาดนุ เนเปน็ พระราช บดิ าของพระเจา้ ราชสงิ หะ แตไ่ มก่ ลา่ วถงึ เหตแุ หง่ การสวรรคตเลย๑๓๒ นกั ประวตั ศิ าสตรโ์ ปรตเุ กส อีกคนหนึ่งนามว่าเควย์รอซ กล่าวถึงรายละเอียดวันสวรรคตของพระเจ้ามายาดุนเนว่า เม่ือ พระเจ้ามายาดุนเนไม่สามารถน�ากองทัพเข้าท�าสงครามกับโปรตุเกสเน่ืองจากทรงชราภาพใน เดือนพฤษภาคมพุทธศักราช ๒๑๒๑ พระองค์ได้สละต�าแหน่งจอมทัพให้แก่พระเจ้าราชสิงหะ ผู้เป็นราชาแห่งสีตาวะกะและโกฏเฏและต่อมามีพระนามว่าจักรพรรด๑ิ ๓๓ อีกด้านหน่ึงนักเขียน คนเดียวกันน้ีระบุว่าหลังจากพระองค์ทรงผิดพลาดจากการปิดล้อมโคลัมโบเมื่อพุทธศักราช ๒๑๒๔ เจ้าชายราชสิงหะเร่งด่วนกลับสีตาวะกะหลังจากได้รับข่าวการสวรรคตของพระราชบิดา ผู้มีพระชนมายุ ๘๕ ปี๑๓๔ หากมีการกระท�าปิตุฆาตพระเจ้ามายาดุนเนดังค�าพรรณนาในคัมภีร์ จลุ วงศแ์ ลว้ ไซร้ คงมกี ารเอย่ ถงึ โดยนกั เขยี นคนนซ้ี งึ่ ไมช่ น่ื ชอบทงั้ พระเจา้ มายาดนุ เนและพระเจา้ ราชสิงหะแล้ว เพียงแต่กล่าวว่าพระเจ้ามายาดุนเนมีพระชนมายุยาวนานเพ่ือท�าลายเข่นฆ่า พวกเรา๑๓๕ แต่เห็นสมควรมองหาหลักฐานอีกส่วนหนึ่ง ซ่ึงพิสูจน์ความคล้ายคลึงกับคัมภีร์ จุลวงศ์ และสาเหตุความเกลียดชังของพระเจ้าราชสิงหะต่อคณะสงฆ์ ตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๑๒๔ เป็นต้นมา พระเจ้าราชสิงหะทรงท�างานอย่างหนักในการ ท�าสงครามกับโปรตุเกส โปรตุเกสเองก็พยายามท�าทุกวิถีทางเพ่ือขัดขวางความแข็งแกร่งและ พยายามสร้างความปั่นป่วนแก่พระจ้าราชสิงหะ ในท่ีสุดก็สบช่องด้วยความช่วยเหลือของ เจา้ ชายบางพระองค์ นา่ สนใจคอื พระสงฆผ์ ไู้ ดร้ บั ความอปุ ถมั ภส์ งเคราะหเ์ ปน็ อยา่ งดจี ากพระเจา้ มายาดุนเนและพระเจ้าราชสิงหะก็เป็นผู้มีส่วนร่วมวางแผนการด้วย๑๓๖ จึงคาดเดาเอาว่า พระสงฆ์บางรูปอาจมีความสัมพันธ์ฉันครอบครัวเดียวกับเจ้าชายผู้ก่อกบฏ พระเจ้าราชสิงหะ ทรงลงโทษผู้มีส่วนร่วมรู้เห็นอย่างโหดเหี้ยม เจ้าชายบางพระองค์ถูกประหารชีวิต บางพระองค์ ทรงปลิดชีวิตตนเอง กล่าวกันว่าพระองค์โปรดให้ลงมือกับพระสงฆ์เช่นเดียวกับเจ้าชายรวมถึง พระเถระผใู้ หญแ่ หง่ สตี าวะกะผมู้ สี ว่ นรว่ มดว้ ย๑๓๗ แมจ้ ะถกู ลงโทษอยา่ งรนุ แรง เจา้ ชายพระองค์ หนึ่งนามว่าโสตุปาลบัณฑาระ ซ่ึงเป็นเจ้าชายแห่งเจ็ดต�าบลได้ก่อตัวเป็นกบฏในเขตของตนเอง

108 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ แล้วขอความร่วมมือจากโปรตุเกส๑๓๘ พระเจ้าราชสิงหะได้บุกเข้าโจมตีพวกกบฏอย่างรวดเร็ว แล้วส่ังให้เผาหมู่บ้านน้อยใหญ่ในเขตเจ็ดต�าบล ส่วนเจ้าชายโสตุปาลบัณฑาระได้หลบหนีไป อาศยั โปรตเุ กส คมั ภรี ม์ นั ดารมั ปรุ ปวุ ตะระบวุ า่ พระสงฆแ์ หง่ อฑุ รฏะเปน็ ผวู้ างแผนการ๑๓๙ เจตนา เพ่ือมอบราชบัลลังก์แก่เจ้าชายโกนัปปุบัณฑาระ ผู้เป็นบุตรของวีรสุนทรบัณฑาระแห่งราชวงศ์ เปราเดณิยะ ผู้ถูกวางอุบายสังหารโดยพระเจ้าราชสิงหะ๑๔๐ โกนัปปุบัณฑาระอาศัยอยู่กับ โปรตุเกสที่โคลัมโบ แผนการนี้ถูกเปิดเผยในเวลาอันรวดเร็วและผู้มีความผิดถูกลงโทษอย่าง รุนแรง หลังจากเหตุการณ์ครั้งน้ี พระเจ้าราชสิงหะกลายเป็นผู้เห้ียมโหดมากข้ึนเพิ่มทวี ความเกลียดชังต่อคณะสงฆ์หลังจากแผนการลอบปลงพระชนม์ เป็นเหตุให้พระองค์เริ่มต้น เข่นฆ่าพระสงฆ์ ทรงเลิกนับถือพระพุทธศาสนาหันไปเข้ารีตนับถือฮินดูไศวนิกาย พระสงฆ์เป็น จ�านวนมากถูกสังหาร คัมภีร์มันดารัมปุรปุวตะระบุว่า พระสงฆ์จ�านวน ๑๒๑ รูป ในอาณาจักร สีตาวะกะถูกประหารชีวิตคราวเดียว๑๔๑ นอกจากนั้นยังรับสั่งให้เผาท�าลายวัดวาอารามเป็น จ�านวนมาก และส่ังให้เผาคัมภีร์ต�าราท่ีสามารถยึดได้เสียส้ิน๑๔๒ พระภิกษุส่วนใหญ่ท่ีรอดพ้น จากความตายต่างพากันลาสิกขาและหลบหนีจากความโหดร้ายของพระเจ้าราชสิงหะ ท่ีดินอัน บูรพกษตั รยิ ์นอ้ มถวายวดั เปน็ พทุ ธบชู าถกู ยดึ ครองแลว้ มอบให้แกน่ กั บวชลทั ธไิ ศวนกิ ายผดู้ แู ล ดังเช่นเขาสมันตกูฎ๑๔๓ หลักฐานส่วนนี้บอกว่าพระสงฆ์ตามหัวเมืองชายทะเลและบริเวณหุบเขา ตอนกลางต่างทนทุกข์ เพราะพระเจ้าราชสิงหะทรงแต่งตั้งนักบวชไศวนิกายตามหัวเมืองน้อย ใหญ่๑๔๔ บัดนี้พระสงฆ์ตามหัวเมืองชายทะเลและหัวเมืองแถบภูเขาสูงได้ถูกทิ้งถูกขู่ให้เกรงกลัว ต้องต่อสู้เพ่ือความอยู่รอด ผลกระทบจากเหตุการณ์นี้คือพระสงฆ์ส่วนใหญ่ได้ลาสิกขา บางส่วนหลบหนีเข้าป่าและอาศัยอยู่ด้วยการพรางตน๑๔๕ บางส่วนเป็นอุบาสกท�าหน้าที่ดูแลท่ี ดินของวัดเลี้ยงชีพ๑๔๖ แม้จะเกลียดชังคณะสงฆ์แต่พระองค์ก็ทรงคุ้มครองพระเขี้ยวแก้วท่ี วัดเดลคามุวะ ภายหลังได้มีคนพาหลบหนีจากพระเจ้าราชสิงหะ๑๔๗ เพราะมีความเช่ือกันว่า ผู้คุ้มครองพระเขี้ยวแก้วเป็นผู้ปกครองท่ีมีสิทธิ์ในอาณาจักรชาวสิงหล คัมภีร์มันดรัมปุรปุวตะ ระบุว่า ขณะพระองค์สวรรคตได้ขอขมากรรมพระสงฆ์และหันมาเป็นชาวพุทธเช่นเดิม๑๔๘ ความเส่ือมโทรมของพระศาสนา จะเห็นได้ว่าพระพุทธศาสนาซ่ึงเจริญรุ่งเรืองสมัยของพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๖ แห่ง อาณาจักรโกฏเฏ และพระเจ้าเสนาสัมมตวิกรมพาหุแห่งอาณาจักรแคนดี ได้ถึงคราวเส่ือมโทรม ภายในสามทศวรรษ โดยเฉพาะบรเิ วณหวั เมอื งตอนใตแ้ ละบางส่วนของดนิ แดนภเู ขา มหี ลกั ฐาน

อาณาจักรกับศาสนจักร 109 ชี้ว่าคณะสงฆ์ไม่สามารถด�ารงคงอยู่ด้วยตนเอง เหตุเพราะขึ้นอยู่กับความอุปถัมภ์ของกษัตริย์ ด้วยราชูปถัมภ์ในอดีตกลายเป็นความจ�าเป็นกรณีเกิดเร่ืองภายในคณะสงฆ์ การพ่ึงพากษัตริย์ ถอื วา่ เปน็ การลดทอนองคก์ รจนขาดความเปน็ อสิ ระ กษตั รยิ ผ์ สู้ บื ทอดราชบลั ลงั กต์ อ่ จากพระเจา้ ปรากรมพาหุแห่งอาณาจักรโกฏเฏไม่มีความโดดเด่นด้านการอุปถัมภ์คณะสงฆ์ พระเจ้าแผ่น ดินเหล่าน้ีต้องด�าเนินตามประเพณีโบราณด้วยการบ�ารุงรักษาและบริจาคปัจจัยแก่สงฆ์ ความ เก่ียวพันระหว่างรัฐกับคณะสงฆ์เริ่มเสื่อมลงสมัยคร่ึงหลังของศตวรรษ ซึ่งอยู่ระหว่างการ สวรรคตของพระเจ้าปรากรมพาหุและการเข้ามาของโปรตุเกส ตลอดพุทธศตวรรษที่ ๒๑ เหตุการณ์ส�าคัญคือความไม่ม่ันคงทางการเมืองและความ วุ่นวายเพราะสงครามต่อเน่ือง เพราะเหตุกษัตริย์ไม่สามารถสืบต่ออุปถัมภ์พระศาสนา อิทธิพล ของพวกพราหมณ์มิใช่เฉพาะในราชส�านักเท่านี้แต่รวมถึงสังคมด้วย น้ีเป็นเหตุปัจจัยหน่ึงท่ี ท�าให้สัมพันธภาพระหว่างรัฐกับคณะสงฆ์เลือนรางจางหายไป คัมภีร์นิกายสังครหยะบันทึกไว้ ว่าเสนาบดีวีรพาหุแอทิปาทะมอบทาส ชายหญิง วัวควาย บ้านช้างและหมู่บ้านแก่พราหมณ์๑๔๙ พวกพราหมณ์จากอินเดียเพ่ิมจ�านวนมากข้ึนเพราะได้ประโยชน์จากษัตริย์สิงหลสมัยนั้น การไหลบ่าของพวกพราหมณ์อินเดียสู่เกาะลังกาเน่ืองจากการบุกรุกของพวกมุสลิมท�าให้พวก พราหมณ์ได้สิทธ์ิหลายอย่างด้านความเป็นอยู่๑๕๐ มีพราหมณ์เป็นจ�านวนน้อยที่หันมานับถือ พุทธศาสนา๑๕๑ แต่ส่วนใหญ่ประพฤติตามความเช่ือแห่งตนแต่เก่าก่อนและสามารถตักตวงผล ประโยชน์จากชาวพุทธ๑๕๒ สมัยน้ีความรุ่งเรืองของพวกพราหมณ์เข้มแข็งมากข้ึน หลักฐาน บอกว่าภารกิจในการเดินทางไปโปรตุเกสเม่ือปีพุทธศักราช ๒๐๘๔ โดยการน�าของปุโรหิต ผู้เป็นพราหมณ์ของพระเจ้าภูวเนกพาหุที่ ๗ นามว่าศรีราธารักษะบันฑิต๑๕๓ อริฏฐกีเวนฑุผู้เป็น เสนาบดีและปุโรหิตของพระเจ้าราชสิงหะที่ ๑ ก็เป็นพราหมณ์ ๑๕๔ควรตั้งข้อสังเกตว่าอิทธิพล ของพราหมณท์ เี่ จรญิ บนความออ่ นแอของผปู้ กครองทา� ใหค้ วามผกู พนั ระหวา่ งรฐั และคณะสงฆ์ อ่อนแอลง หลังจากพระวีทาคมไมตรียะเถระแล้วไม่พบเห็นคณะสงฆ์ด�ารงต�าแหน่งราชคุรุ อีกเลย ตลอดพุทธศตวรรษท่ี ๒๑ คณะสงฆ์ตกต่�าถึงขีดสุด จุดเริ่มต้นของความเสื่อมโทรม สามารถสืบค้นถอยหลังถึงพุทธศตวรรษที่ ๒๐ หลังจากรัชสมัยของพระเจ้าวิกรมพาหุแล้ว ไม่มี หลักฐานส่วนใดกล่าวถึงคณะสงฆ์วนวาสีและคามวาสีอีกเลย แม้จะมีบทบาทส�าคัญหลังจาก การรวมคณะสงฆเ์ ปน็ หนง่ึ เดยี วสมยั พระเจา้ ปรากรมพาหทุ ่ี ๖ หรอื ไมม่ กี ารกลา่ วถงึ พระสงั ฆราช ผู้โดดเด่นยกเว้นพระธรรมกิตติเถระสมัยพระเจ้าวิกรมพาหุ อลคิยวันนากล่าวถึงพระสงฆ์ทรง

110 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ คุณธรรมสองรูปผู้มีชีวิตอยู่สมัยพระเจ้าราชสิงหะที่ ๑๑๕๕ แต่ไม่กล่าวถึงพระสงฆ์รูปอื่นหรือ คณะสงฆส์ องกลมุ่ เลย นอกจากพระสงฆส์ องรปู นแี้ ลว้ อกี รปู หนงึ่ ทเ่ี อย่ ถงึ คอื พระเทวนครรตั นา ลงั การเถระ ผมู้ บี ทบาทสา� คญั ในการสถาปนาพระเจา้ วมิ ลธรรมสรู ยิ ะท่ี ๑ ใหข้ น้ึ ครองราชยเ์ หนอื อาณาจักรแคนดี๑๕๖ สรุปว่าภายหลังรัชสมัยของพระเจ้าภูวเนกพาหุท่ี ๖ ไม่มีพระเถระรูปใดที่ โดดเด่นสมควรบันทึก การหายไปของคณะสงฆ์สองกลุ่มอาจเป็นเหตุให้พลังแห่งความรัก ศาสนาของคณะสงฆ์สูญหายไปด้วย รูปแบบทางสังคมก็มีส่วนกระตุ้นความเส่ือมโทรมของคณะสงฆ์ด้วย สังเกตได้จาก ระบบวรรณะของสังคมยุคกลางได้แทรกซึมเข้าแวดวงคณะสงฆ์ หลังยุคอาณาจักรโปโฬนนารุวะ ความเปน็ ผนู้ า� ของคณะสงฆท์ รงสถานภาพทางสงั คมและทรงอทิ ธพิ ลทางการเมอื งดว้ ย หลกั ฐาน หลายแห่งชี้ให้เห็นถึงวรรณะและความมั่นคงเรื่องวรรณะภายในคณะสงฆ์ บรรดาพระสงฆ์เหล่านั้น พระสงฆ์รูปหนึ่งสมัยพุทธศตวรรษท่ี ๑๘ ได้ต้ังความปรารถนาเพ่ือเกิดในวรรณะชั้นสูง๑๕๗ หลกั ฐานจากขา้ งตน้ แสดงใหเ้ หน็ วา่ จากพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๙ เปน็ ตน้ มา ความแตกตา่ งทางวรรณะ มีผลกระทบต่อการอุปสมบท๑๕๘ ลักษณะเช่นนี้ตรงกันข้ามกับความคิดด้ังเดิมของพระพุทธ ศาสนาและความเสมอภาคของคณะสงฆ์ สุดท้ายอคติทางชนชั้นวรรณะซ่ึงประกอบด้วยคน ชั้นต�่าทางสังคมเป็นจ�านวนมาก จึงท�าให้คณะมิชชันนารีของชาวคริสต์ได้ประโยชน์เป็นอันมาก จากช่องว่าง โดยเฉพาะบริเวณเขตชายทะเลของเกาะลังกา ซ่ึงเป็นถิ่นอาศัยของพวกชาวประมง และคนเก็บอบเชย ซ่ึงสมัยน้ันขาดการเหลียวแลทางศาสนา การท�าลายพระศาสนาอีกทางหนึ่งคือคณะสงฆ์เข้าไปแทรกแซงสถาบันพระมหา กษัตริย์ แม้ว่าคณะสงฆ์ศรีลังกาจะมีบทบาทส�าคัญทางการเมืองตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม ซึ่งมีอิทธิพล โดยการซอ่ นตวั อยเู่ บอื้ งหลงั แตย่ คุ กลางกลบั พบเหน็ วา่ พระเถระผใู้ หญจ่ า� นวนมากเขา้ ไปมสี ว่ น เกยี่ วขอ้ งทางสงั คม ดงั เชน่ พระวที าคมเถระไดส้ ถาปนาเจา้ ชายปรากรมพาหขุ น้ึ เปน็ กษตั รยิ เ์ หนอื อาณาจกั รโกฏเฏ๑๕๙ พระศรรี าหลุ เถระแสดงตนอยา่ งเปดิ เผยวา่ สนใจทางการเมอื งดว้ ยการผลติ งานด้านวรรณกรรมเกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างเด่นชัด ภายหลังการสวรรคตของพระเจ้า ปรากรมพาหุ พระสงฆ์แบ่งออกเป็น ๒ กลุ่ม หน่ึงน้ันน�าโดยพระศรีราหุลเถระ ส่วนอีกกลุ่มหน่ึง น�าโดยพระวีทาคมไมตรียเถระ ซึ่งพยายามผลักดันกษัตริย์ที่กลุ่มตนชื่นชอบขึ้นครองราชย์ การต่อสู้ทางการเมืองสองปีสิ้นสุดลงเม่ือผลส�าเร็จเป็นของพระสงฆ์กลุ่มหลัง พระเจ้าภูวเนกรม พาหุท่ี ๖ ได้ข้ึนครองราชย์ พระศรีราหุลเถระแสดงความเสียใจด้วยการตัดขาดจากสังคม แล้วแยกตัวปลีกวิเวก แม้พระวีทาคมไมตรียเถระและคณะจะสามารถรักษางานพระศาสนา

อาณาจักรกับศาสนจักร 111 ภายใต้การดูแลของพระเจ้าภูวเนกรมพาหุที่ ๖ แต่พวกท่านก็ไม่ได้รับความพึงพอใจจาก คณะสงฆ์ของพระศรีราหุลเถระ ผู้ชื่นชอบพระเจ้าชัยพาหุที่ ๒ สิ่งเหล่านี้ปรากฏผลภายหลังเมื่อ พระศรีราหุลเถระเป็นเจ้าส�านักวิชัยพาหุปริเวณะท่ีโตฏคามุวะ ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาท่ีโด่งดัง แพร่หลายมากสุดแห่งยุค๑๖๐ ครั้นพระศรีราหุลเถระมรณภาพแล้วภาวะถดถอยของปริเวณะ แห่งนี้ก็ส�าแดงอาการแห่งความเส่ือมโทรมอย่างรวดเร็ว ความวุ่นวายทางการเมืองและการขาดราชูปถัมภ์จึงน�าพาให้เกิดการแตกแยกทาง คณะสงฆ์ การแตกแยกดังกล่าวเป็นผลให้เกิดความตกต�่าทางเพศสมณะ เมื่อปราศจาก ราชูปถัมภ์ผู้น�าของคณะสงฆ์ย่อมไม่สามารถรักษาสมาชิกภาพได้พระสงฆ์ต่างพากันละเลย พระวินัยเป็นจ�านวนมาก คร้ันเกิดความย่อหย่อนทางพระวินัยรวมพิธีกรรมเกี่ยวกับศาสนาจึง กลายเป็นส่วนหน่ึงของเพศสมณะ คัมภีร์นิกายสังครหยะอธิบายไว้ว่าจ�านวนของผู้ปกครองมี การสบื ตอ่ บลั ลงั กค์ อ่ นขา้ งรวดเรว็ ในพทุ ธศตวรรษที่ ๑๙ กลายเปน็ ผลใหค้ ณะสงฆเ์ สอ่ื มโทรม๑๖๑ น่าเสียดายคือคัมภีร์เล่มน้ีไม่มีการกล่าวถึงการฟื้นฟูพระศาสนาเลย แต่ระบุว่าพระสงฆ์ ผู้ประพฤติตนเสียหายได้ถูกขับออกจากคณะสงฆ์๑๖๒ กฎหมายเกี่ยวกับคณะสงฆ์หนึ่งเดียว สมยั น้คี ือแปปลิ ยิ านะกตกิ าวตั รของพระเจา้ ปรากรมพาหุที่ ๖๑๖๓ แต่เน่ืองจากหลักฐานทขี่ าดการ ปะติดปะต่อจึงเป็นยากต่อการอ้างอิงได้ หลักฐานที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดของกติกาวัตรท�า ให้เห็นความคล้ายคลึงกันกับดัมพเดณิยะกติกาวัตร ตัวอย่างเช่น กฎข้อหนึ่งของกติกาวัตร กระตุ้นให้พระสงฆ์ไม่ควรมอบทรัพย์สมบัติที่เป็นของวัดแก่ชาวบ้านผู้แสวงหาโชคลาภ๑๖๔ กฎอีกข้อหน่ึงบัญญัติไว้ว่าไม่เป็นการสมควรท่ีพระสงฆ์จะรักษาความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ ชาวบ้านเพื่อหวังได้รางวัล๑๖๕ อาจต้ังข้อสังเกตได้ว่าความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างพระสงฆ์กับ ฆราวาส โดยเฉพาะกับญาติพี่น้องเป็นเหตุผลหน่ึงซึ่งน�าไปสู่ความแตกแยกของคณะสงฆ์ น้ีอาจ จะเป็นประเพณีรักษาทรัพย์สมบัติของวัด ซ่ึงเบื้องต้นมาจากยุคดัมพเดณิยะ พระบรมราชูทิศ ปัลลกุมบุระระบุว่า การประพฤติเช่นนี้เกิดมีพัฒนาสมัยพุทธศตวรรษท่ี ๒๑ เป็นการต่อเน่ือง เร่ืองทรัพย์สินของบางวัดจนกลายเป็นส่วนหน่ึงของทรัพย์สมบัติของครอบครัว๑๖๖ ความพยายามของพระเจา้ ปรากรมพาหทุ ี่ ๖ ทเี่ พยี รแกไ้ ขความเสอื่ มโทรมของคณะสงฆ์ ไม่คงยืนนาน ตอนท้ายของพุทธศตวรรษท่ี ๒๐ สถานการณ์คณะสงฆ์เข้าสู่ภาวการณ์ร้ายแรง จนพระเจ้าวิกรมพาหุแห่งอาณาจักรแคนดีต้องพยายามแก้ไขความเส่ือมโทรมของคณะสงฆ์ อีกครั้ง คัมภีร์ราชรัตนากรยะบอกว่าพระสงฆ์ฝ่ายคามวาสีล้วนถึงภาวะเสื่อมถอยจนไม่มีใคร สามารถป้องกันความเส่ือมได้๑๖๗ ไม่ทราบว่าต้องใช้เวลานานเท่าไรกว่าพระเจ้าวิกรมพาหุ

112 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ จะประสบความส�าเร็จในการชักชวนให้คณะสงฆ์เข้าสู่ภาวะปกติเหมือนแต่ก่อน สันนิษฐานว่า การปฏิรูปของพระองค์ไม่มีผลกระทบต่อเน่ืองนอกอาณาเขตแคนดี เพราะไม่ปรากฏเห็นว่า กษัตริย์โกฏเฏหรือสีตาวะกะได้พยายามแก้ไขความเสื่อมโทรมของคณะสงฆ์ ด้วยเหตุนั้น จึงปรากฏว่าสถานการณ์ได้เส่ือมโทรมลงตลอดจนพุทธศตวรรษท่ี ๒๑ นับเป็นความโชคร้ายของพระพุทธศาสนาท่ีกษัตริย์สองพระองค์ กล่าวคือ พระเจ้า ธรรมปาละและพระเจ้าราชสิงหะปฏิเสธให้ความอุปถัมภ์คณะสงฆ์แต่หันมาปราบปรามแทน เพราะนโยบายทางศาสนาของพระเจ้าธรรมปาละ ท�าให้คณะสงฆ์ตามหัวเมืองชายทะเลต้อง ประสบชะตากรรมอันเลวร้าย รวมท้ังชีวิตอันสงบเรียบง่ายและอารามวิหารมากมาย ซ่ึงเคย เจริญรุ่งเรืองสมัยพุทธศตวรรษท่ี ๒๐ สถานการณ์เลวร้ายสุดเม่ือพระเจ้าราชสิงหะทรงหันไป นับถือไศวนกิ ายและขบั ไล่พระสงฆท์ ้ังหมดออกจากอาณาจักร ความโชคร้ายครัง้ สองนไี้ ด้กลาย เป็นผลกระทบรุนแรงจนกระท่ังถึงการก�าเนิดข้ึนของราชวงศ์ใหม่ภายใต้การปกครองของ พระเจ้าวิมลธรรมสูริยะท่ี ๑ แห่งอาณาจักรแคนดี กล่าวกันว่าพระเจ้าแผ่นดินพระองค์น้ีไม่ สามารถประชุมคณะสงฆ์แม้เพียงส่ีรูป เพื่อท�าพิธีอุปสมบทกรรมภายในราชอาณาจักรของ พระองค์ได้ สถานการณ์เช่นนี้เป็นเหตุให้พระองค์ต้องส่งราชทูตไปนิมนต์พระสงฆ์จากแคว้น ยะไข่มาฟื้นฟูพิธีอุปสมบทกรรม

อาณาจักรกับศาสนจักร 113 เชิงอรรถ 1 Nks., p.90. 2 See above chapter two. 3 Nks., p.90; Sdhrt., p.294. 4 Ibid. 5 Ibid. 6 UCHC., p.641. 7 Tisara-sandesaya., ed. P. Wimaladhamma, Colombo, 1936, v.44ff. 8 Nks., pp.93; Sdhrt., p.294. 9 Nks., p.93-94. 10 Nks., p.294. 11 N. Mudiyanse, The Art and Arthitecture of the Gampola Period, Colombo, p.46ff and 63ff. 12 Sdhrt., p.301. 13 H.W. Codrington, Gampola period of Ceylon History, JCBRAS, vol.xxxii, no.86, p.262. 14 PS., p.440. 15 Sdhrt., p.301. 16 EZl, 3. p.45. 17 EZl, 3. p.45. 18 Nks., p.94. 19 Njks., p.94. 20 Rjv., p.48; JCBRAS, xxii, no.65, p.312. 21 Pancikapradipaya,v.i; Pfst.,v.6. 22 CALR, 2. part. 1. p.42. 23 Rjv., p.46. 24 JCBRAS, xxii, no.65, p.15. 25 Rjv., p.50. 26 W.Geiger, Cuture of Ceylon in Medieval Times, Wiesbaden, 1960, p.214. 27 Sdhrt., p.297; JCBRAS, xxii, no.65, p.312. 28 EZ., 4. pp.16-17; Cv.,91.17. 29 Sdhrt., p.297; Cv., 91.17ff. 30 Sdhrt., p.297. 31 Sls.,v.60ff.

114 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ 32 Sdhrt., p.296. 33 Sdhrt., p.296; Cv.,91.24ff. 34 Kts.,v.40ff. 35 See below chapter five. p.143ff. 36 See below chapter five. p.142ff. 37 CCMT., p.205. 38 Cv.,54, 35. 39 Cv.,84.9. 40 EZ.,v. p.45. 41 EZ.,v. p.45. 42 Pali Sinhala Piritpota, K. Pannasara, Kelaniya, 1963, p.326. 43 Kts., p.03.42. 44 Nks., p.96. 45 Sdhrt., p.5 46 Kts., p.42 f. 47 Kts., p.32 f. 48 EZ.,v. p.46. 49 Sdhrt., p.291. 50 Cv.,60.7. 51 Cv.,78,30. 52 Cv.,81, 49ff; 84.37ff; 87.72ff. 53 Cv.,90.39. 54 Sdhrt., p.297. 55 Jkm., p.7. 56 See below chapter. six. 57 Sls.,v.102ff. 58 M. Silva, Sri Rahula Sanghrajatuma, Colombo, 1930, p.57f; Totagamuve Viharaya Pilibanda Puraa Itihasa Kathava, Anonymous, Colombo, 1889, p.16ff. 59 Padasadhana-tika, ed. Dhammananda and Vachissara, Colombo, 1908; SSL., p.142. 60 IA, p.13 ff; Ep.Bire, iii. 61 Kks.,v.261ff. 62 Sumanasuriya, op.cit. p.14. 63 See below chapter two. 64 Sls.,v.42ff. 65 IA., xxii. p.13ff; Ep.Birm.3. part. 2. no.2. p.220ff.

อาณาจักรกับศาสนจักร 115 66 จารึกแปปิลิยานะหลักท่ี ๑ ของพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๖ ก็กล่าวถึงเหรียญช่ือว่ามัสสะ คอร์ดิงตัน ต้ังข้อสังเกตว่า ๑๒-๑๖ มัสสะจึงเป็นฟานัม ซ่ึงเป็นเหรียญที่ใช้อยู่ท่ัวไปสมัยเดียวกัน น้�าหนักของ เหรียญฟานัมเท่ากับเมล็ดงา ๕.๘ และเพิ่มเติมว่ามัสสะในยุคน้ีเป็นเหรียญทองแดง See H.W. Codrington, Ceylon Coin and Currency, p.80. 67 Rjrt., p.163. 68 Lawrie, Gazetteer of the Central Province of Ceylon, Colombo, 1896, 2. p.224. 69 SSL., p.144ff. 70 RKD., p.28. 71 CALR., ii. p.38. 72 GCPC., ii.p.33. 73 RKD., p.36. 74 CPE., i. p.63. 75 EZ., 3 .p.65. 76 Queyroz., i.p.25. 77 EZ., 3 .p.65. 78 EZ., 3. p.65. 79 RKD., p.87. 80 RKD., p.88. 81 EZ., 3. p.70; P.D.S. Weerasuriya, Devundara Ithihasaya, p.95. 82 CALR., ii. part. i. p.38. 83 Cv.,92.6ff. 84 Rjrt., p.56. 85 EZ., 4. p.9. 86 AAGP., p.16. 87 Rjrt., p.57; Cv.,92.25. 88 Rjrt., p.57 89 Rjrt., p.57. 90 Rjrt., p.57. 91 Rjrt., p.57; Cv.,92.16-17. 92 Rjrt., p.57; Cv.,92.18-20. 93 RKD., p.41. 94 Queyroz., pp.234-235 95 CPE., i. p.45. 96 Queyroz., p.236. 97 Ibid.

116 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ 98 Ibid. 99 Rebeyro’s Ceilao, ed. P.E. Peiris, p.8. 100 Abeyasinha, op.cit., p.192. 101 Peiris-Fitzler, Ceylon and Portugal, (Kings and Christians), Leipzig, 1927, p.11. 102 HBC., p.63. 103 Rjv., p.56ff. 104 CPE., i. p.135. 105 Ethnology, ed P.E.P. Deraniyagala, Colombo, 3. p.136. 106 CCMT., p.214. 107 Rjv., p.60. 108 Rjv., p.58. 109 Queyroz., p.330. 110 Abeyasinha, op.cit., p.208. 111 S.D. Baily, Ceylon, 1852, London, p.42. 112 Abeyasinha, op.cit., p.207. 113 Queyroz, pp.441, 437 and 714. 114 Abeyasinha, p.207. 115 K. Nanavimala, Saparagamuve Parani Liyavili, p.45. 116 Ibid. p.46. 117 RKD., p.33. 118 ADK., folio.ki. 119 Svls.,v.188ff. 120 Svls.,v.122. 121 Sinhala Sahitya Vamsaya, p.299. 122 Ibid. 123 Ibid., p.300. 124 Ibid., p.303. 125 Cv.,93,6-8. 126 Cv.,93, 6-8; Mandarampura-puvata, v.63ff. 127 Sulu-Rajavaliya, ed. C.D.S.K.Jayawardhana, Colombo, 1914, p.22. 128 Rjv., p.61. 129 Rjv., p.61. 130 Rjv., p.59. 131 Rjv., p.68. 132 JCBRAS, xvii, no.56, p.385. 133 Queyroz., p.431.

อาณาจักรกับศาสนจักร 117 134 Queyroz., p.438. 135 Queyroz., p.323. 136 Ceylon and the Portuguese, p.94. 137 Ibid. 138 S.G. Perera, A Historyof Ceylon, (The Portuguese and the Dutch Periods), Colombo, 1948, p.50. 139 Mandarampura-puvata, v.62. 140 Rjv., p.65. 141 Mandarampura-puvata, v.66ff. 142 Cv., 93, 10; Mandarampura-puvata, vv.59-70. 143 Senkalagala-saila-sasanavamsa. Br. Mus. Or. 6606 (138). 144 Sulu Rajavaliya, p.22. 145 EZ., 3. p.127. 146 SPL., p.37f. 147 SPL., p.36f. 148 Mandarampura-puvata, v.135ff. 149 Nks., p.94. 150 UCHC., p.767; R.C. Majumdar, An Advanced History of India, London, 1948, p.305 ff. 151 See above chapter. one. 152 See below, chapter seven. p.223. 153 See above p.120. 154 See above p.124-125. 155 Savul-sandesaya, vv.122 and 171. 156 Devanagala Sannasa, Br. Mus. Or. 6609 (113). 157 Hattavanagalla-vihara-vamsa, ed. Sri Silaskandra, 1909, Colombo, p.46. 158 See above p.46. 159 Rjv., p.58; J.E. Tennent, Christianity in Ceylon, London, 1856, p.24; CPE., p.94; R. Boudens, The Catholic Church in Ceylon under Dutch Rule, Rome, 1957, p.32ff. 160 Rjv., p.48ff. 161 See below chapter five. pp.227ff. 162 Nks., pp.94-97. 163 Nks., pp.94, 96 and 97. 164 Kts., pp.34ff. 165 Kts., p.35. 166 Kts., p.35. 167 EZ., 3. p.240ff.



๕ การศกึ ษาคณะสงฆ์

ปริเวณะ : ก�ำเนิดและพัฒนาการ ระยะเวลาแห่งการครองราชย์เกินห้าทศวรรษของพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๖ เป็นช่วง แห่งความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา เกิดสถาบันการศึกษาเป็นจ�ำนวนมากตลอดท่ัว เกาะลังกา เป็นท่ีรู้จักแพร่หลายของนานาประเทศจนมีเหล่านักปราชญ์เดินทางมาจากต่างแดน เพื่อศึกษาวัฒนธรรมลังกา คัมภีร์ประเภทสันเดศยะอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับสถาบันการ ศึกษาส�ำคัญหลายแห่งซ่ึงโด่งดังถึงขีดสุด เพราะเกิดมีความมั่นใจปลอดภัยจากการอารักขา คุ้มครองด้วยดีจากพระมหากษัตริย์ ไพร่ฟ้าประชาชนจึงเริ่มหันมาพัฒนางานด้านศิลปะ โดย เฉพาะคณะสงฆ์ต่างมุ่งมั่นกับการการผลิตวรรณกรรม เป็นผลให้เกิดมีวรรณกรรมจ�ำนวนมาก ความเสียสละทุ่มเทของกษัตริย์ต่อพระสงฆ์นักปราชญ์และสถาบันการศึกษา ทำ� ให้รัชสมัยของ พระเจ้าปรากรมพาหุเป็นยุคแห่งความรุ่งเรืองสูงสุดในประวัติศาสตร์การศึกษาของศรีลังกาอีก ยุคหนึ่ง สถาบันการศกึ ษาของคณะสงฆ์ยุคนี้เปน็ ท่รี ูจ้ ักกันแพรห่ ลายในนามปริเวณะ ความจริง ศัพท์ว่าปริเวณะเกิดมีต้ังแต่ยุคแรกเริ่ม แต่เป็นเร่ืองยากนักที่จะก�ำหนดเวลาว่าเม่ือใดเร่ิมมี การนำ� มาใชก้ บั สถาบนั การศกึ ษา ยคุ นศี้ พั ทว์ า่ ปรเิ วณะบง่ ถงึ สถาบนั การศกึ ษาภายในอารามวหิ าร วิชาพระพุทธศาสนาและภาษาบาลีใช้เป็นหลักสูตรการเรียนการสอน เพราะถือว่าเป็นภาษาหลัก ส�ำหรับศึกษา ยุคอนุราธปุระตอนต้นศัพท์ว่าปริเวณะบ่งถึงกุฎีที่อยู่ของพระสงฆ๑์ คัมภีร์สารัตถ ทปี นอี ธบิ ายวา่ ปรเิ วณะหมายถงึ หนง่ึ ในทอ่ี ยภู่ ายในวหิ ารแตล่ ะหลงั มกี ำ� แพงลอ้ มรอบ๒ หลกั ฐาน เกี่ยวกับปริเวณะมีกล่าวถึงมากมายตั้งแต่ยุคต้น คัมภีร์มหาวงศ์ช้ีว่าศัพท์ว่าปริเวณะปันติ ใช้อ้างถึงอาคารที่พักประกอบด้วยห้องหรือกุฎี๓ ส่วนคัมภีร์จุลวงศ์กล่าวว่าศัพท์นี้บ่งถึงกุฏิหรือ อาคารภายในวิหารสร้างถวายโดยกษัตริย์หรือศรัทธาญาติโยม๔ ไกเกอร์เห็นว่าเกี่ยวข้องกับ

การศึกษาคณะสงฆ์ 121 ปราสาทอาจใช้เป็นความหมายคล้ายคลึงกัน๕ ชิลเดอร์กล่าวถึงความหมายของกุฎีส�าหรับ ปริเวณะเช่นกัน๖ ส่วนคัมภีร์นิกายสังครหยะบอกว่าส�านักมหาวิหารสมัยอาณาจักรอนุราธปุระ มีปรเิ วณะถงึ ๓๖๔ แห่ง รวมถงึ สา� นักมหาวิหารแหง่ โรหณะดว้ ย ตัวอย่างเชน่ ตสิ สมหารามวิหาร มีปริเวณะ ๓๖๓ แห่ง๗ ด้วยเหตุน้ันศัพท์ว่าปริเวณะไม่จ�าเป็นต้องบ่งถึงกุฏีเสมอไป เพราะยุค หลังอนุราธปุระมีปรากฏในต�านานและจารึกหลายแห่ง สมัยพระเจ้าอัคคโพธิท่ี ๔ วิหารและปริเวณะสร้างข้ึนโดยเจ้าเมือง (มันฑลิกะ)๘ พระเจา้ มานะโปรดใหส้ รา้ งปรเิ วณะเพอ่ื พระเชษฐานามว่าพระมานวมั มเถระ เปน็ วหิ ารอนั งดงาม และแต่งตั้งให้ท่านเป็นเจ้าส�านัก๙ พระมานวัมมเถระเลือกการมีชีวิตอยู่ในอาราม ทุ่มเทให้กับ การปฏิบัติธรรมและศึกษาพระศาสนา แต่ไม่ม่ันใจว่าการท่ีท่านเป็นเจ้าอาวาสน่าจะแปลความ หมายขยายถงึ ความเปน็ หวั หนา้ แหง่ การสรา้ งนกั ปราชญข์ องอารามขนาดใหญด่ ว้ ยหรอื ไม่ จารกึ ของพระเจ้ากัสสปะที่ ๕ บอกว่า มหากปารปริเวณะเป็นท่ีแจกจ่ายข้าวหน่ึงอมุณะเสื่อและจีวร๑๐ ข้อมูลเกี่ยวกับปริเวณะพร้อมบริเวณขนาดใหญ่อาจบ่งถึงการสร้างวัด จึงสามารถสรุปว่าศัพท์ ปริเวณะซ่ึงหมายถึงกุฎีแต่ด้ังเดิมได้พัฒนามาเป็นวิทยาลัยขนาดใหญ่มีสงฆ์ผู้พ�านักพักอาศัย แต่ไม่มีหลักฐานพอที่จะสรุปได้ว่าวิทยาลัยเหล่าน้ีเป็นสถาบันการศึกษาในศตวรรษต่อมาหรือไม่ ยา่ งเขา้ สยู่ คุ โปโฬนนารวุ ะ ศพั ทว์ า่ ปรเิ วณะใชบ้ ง่ ถงึ กลมุ่ อาคารของวดั สา� หรบั ใชก้ จิ กรรม หลากหลาย คัมภีร์จุลวงศ์บันทึกไว้ว่าพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๑ โปรดให้สร้างอาฬาหณะปริเวณะ พร้อมกับอาคารทั้งหมดที่เช่ือมอยู่กับอาราม วิหาร เจดีย์สองแห่ง พระอุโบสถ และปราสาท หลายหลัง พร้อมกับสิ่งท่ีเกี่ยวพันกันด้านเหนือของวัดเชตวันวิหาร๑๑ สถาบันแห่งน้ีหมายถึง พระสงฆ์ผู้มุ่งม่ันกับการศึกษาและผลิตงานวรรณกรรม แต่ก็ไม่ชัดเจนว่าสถาบันแห่งนี้เป็น ปริเวณะหรือเป็นสถานที่พระสงฆ์ซึ่งศึกษาเล่าเรียนเหมือนยุคอาณาจักรโกฏเฏหรือไม่ สมัยดัมพเดณิยะศัพท์ว่าปริเวณะถูกน�ามาใช้อธิบายที่อยู่อาศัยของพระสงฆ์ผู้เช่ียวชาญ ดา้ นงานวรรณคดแี ละภารกจิ ดา้ นการศกึ ษา เทวปตริ าชะผเู้ ปน็ อคั รเสนาบดขี องพระเจา้ ปรากรม พาหุที่ ๒ ได้สร้างวิหารถวายพระอโนมทัสสีเถระผู้โด่งดังด้านเมตตาคุณและเช่ียวชาญงาน วรรณกรรม ท่านอยู่อาศัยท่ีปริเวณะนามว่าอัตตนคัลละ๑๒ และสร้างมยุรปาทปริเวณะที่ วากิริคะละในเขตแกคัลละ ซ่ึงเป็นสถานท่ีอยู่ของพระนักปราชญ์นามว่าพุทธบุตรเถระ ผู้แต่ง คัมภีร์ปูชาวลิยะ๑๓ แต่ไม่อาจยืนยันได้ว่าท่ีพ�านักพักอาศัยของพระสงฆ์นักปราชญ์สมควร เรียกว่าสถาบันการศึกษาชนิดหนึ่งได้หรือไม่

122 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ แม้ไม่ทราบชัดถึงพัฒนาการของปริเวณะในฐานะสถาบันการศึกษาก่อนพุทธศตวรรษ ที่ ๒๐ แต่ก็รับรู้กันว่าการเรียนการสอนมีศูนย์กลางอยู่ภายในวัดน้อยใหญ่ โดยมีพระสงฆ์ ท�าหน้าที่ส่ังสอนและดูแลรักษาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพ่ือประกาศค�าสอนพระพุทธศาสนา จึงจัดการเรียนการสอนภายในวัด ท�าให้เกิดระบบใกล้ชิดอุปัชฌาย์สืบเน่ืองต่อจากบรรพชา และอุปสมบท๑๔ ยุคแรกน้ันการสั่งสอนพระธรรมวินัยจ�ากัดเฉพาะศิษย์ภายในวัดเท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไปพระสงฆ์อยู่เป็นหลักแหล่งมากขึ้น วิหารจึงเปิดกว้างส�าหรับฆราวาสด้วย แต่น้ันมาวัดซึ่งเป็นศูนย์กลางส�าหรับกิจกรรมทางศาสนาท้ังหมดและกลายมาเป็นโรงเรียน ส�าหรับชาวบ้านด้วย ต่อมารุ่งเรืองเป็นศูนย์กลางการศึกษาอันโด่งดังท�าให้เกิดนักปราชญ์ นามอุโฆษเป็นจ�านวนมาก ความเติบโตของการศึกษาคณะสงฆ์ซ่ึงเป็นศูนย์กลางรอบวัด กลายร่างใหม่ในนามปริเวณะ เริ่มเห็นเด่นชัดมากสุดในพุทธศตวรรษท่ี ๒๐ จนเห็นภาพการ เกิดข้ึนของสถาบันการศึกษาจ�านวนมากทุกภาคส่วนของเกาะลังกา แม้จะมีหลักฐานว่าวัดหลายแห่งมีอยู่ในเมืองหลวงโกฏเฏ๑๕ แต่ไม่มีการระบุถึง ศนู ยก์ ลางการศกึ ษาอนั ยงิ่ ใหญซ่ ง่ึ จงู ใจใหน้ กั เขยี นในยคุ นนั้ เอย่ ถงึ สา� นกั ปลาพตั คะละแหง่ คณะ วนวาสีไม่จัดเป็นศูนย์กลางการศึกษาอันยิ่งใหญ่ในช่ือว่าปริเวณะ เป็นแต่เพียงท่ีพักอาศัย ของพระสงฆ์ผู้สืบสายต่อจากพระธรรมกีรติเถระอันโด่งดัง เพราะส�าเร็จด้านการศึกษาในฐานะ นักปราชญ์๑๖ ศูนย์กลางการศึกษาบางแห่งสมัยนี้อาจเกิดมีหลายปีก่อน ต่อมากลายเป็น ส�านักมีชื่อเสียงภายใต้ราชูปถัมภ์ของพระเจ้าปรากรมพาหุ บรรดาสถาบันเหล่านั้น ส�านัก ปัทมวดีปริเวณะแห่งแครคละเป็นสถาบันอันโดดเด่นสมัยพุทธศตวรรษที่ ๒๐ คัมภีร์หังสสัน เดศยะกล่าวถึงการส่งมอบสาสน์แก่พระเถระวันรัตนะแห่งแครคละผู้เป็นเจ้าส�านักแห่งน้ี๑๗ อาคารวัดแครคละมีระบุถึงในจารึกแครคละด้วย๑๘ ว่าตามหลักฐานวัดแห่งน้ีสร้างสมัยอาณา จักรดัมพเดณิยะ ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากกษัตริย์พร้อมท่ีดินจ�านวนมากเพ่ือบ�ารุงรักษา ให้นานวัน ส�านักแห่งน้ีสร้างก่อนรัชสมัยของพระเจ้าปรากรมพาหุ แต่เจริญรุ่งเรืองแพร่หลาย เติบโตจนกลายเป็นสถาบันอันโดดเด่นในช่วงการครองราชย์ของกษัตริย์พระองค์น้ี คัมภีร์ หังสสันเดศยะซึ่งเขียนตอนต้นรัชสมัยของพระองค์อธิบายถึงความเจริญของสถาบันแห่งน้ี และระบุว่าเจ้าส�านักคือพระวนรัตนเถระ๑๙ จากหลักฐานท�าให้ทราบชัดว่าปัทมาวตีปริเวณะอยู่ ติดกับปัทมาวตีวิหารแห่งหมู่บ้านแครคละ

การศึกษาคณะสงฆ์ 123 ปริเวณะยุคโกฏเฏ ศูนย์กลางการศึกษาท่ีส�าคัญอีกแห่งหนึ่งคือวิชัยพาหุปริเวณะแห่งหมู่บ้านโตฏคามุวะ เจ้าส�านักคือพระศรีราหุลเถระผู้เป็นนักปราชญ์และนักกวีนามอุโฆษแห่งยุค ปริเวณะแห่งน้ีอยู่ ติดกับวัดท่ีโตฏคามุวะซ่ึงเป็นหมู่บ้านแห่งหนึ่งทางมณฑลใต้ของลังกา วัดแห่งน้ีเป็นสถาบันอีก แห่งหนึ่งท่ีมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน แรกสร้างสมัยอาณาจักรดัมพเดณิยะ ไกเกอร์ยืนยันว่า ผู้สร้างวัดแห่งน้ีคือพระเจ้าวิชัยพาหุที่ ๔ ผู้บ�าเพ็ญบารมีดังพระโพธิสัตว์๒๐ กล่าวกันว่าพระองค์ โปรดให้สร้างวัดที่วัตตละด้วย แม้ค�าบรรยายเกี่ยวกับงานด้านศาสนาของพระเจ้าวิชัยพาหุท่ี ๔ ไม่ได้กล่าวถึงการสร้างวัดท่ีโตฏคามุวะ แต่ต�านานก็บรรยายเพ่ิมเติมว่า วิหารท่ีติตถคามะ อันใหญ่โตมีปราสาทขนาดใหญ่ สร้างโดยพระเจ้าวิชัยพาหุผู้ยิ่งใหญ่ได้ผุพังเสื่อมโทรม พระเจ้า ปรากรมพาหุโปรดให้สร้างปราสาทขนาดใหญ่อย่างสวยสดงดงามโดยแบ่งเป็นสองช้ัน มียอด แหลมโปร่ง อลังการด้วยภาพจิตรกรรมน้อยใหญ่ น้อมถวายพระเถระผู้ใหญ่นามว่ากายสัตถิ ผู้พ�านักพักอาศัยอยู่ที่วิชัยพาหุปริเวณะ พระองค์ยังน้อมถวายหมู่บ้านนามว่าสลัคคามะ ใกล้ ฝั่งแม่น�้าเป็นอาณาเขตมอบให้เป็นสมบัติแก่ปริเวณะด้วย๒๑ ค�าอธิบายจากต�านานไม่ได้ช่วยให้ก�าหนดแผนที่ของวิชัยพาหุปริเวณะเลย ไม่ว่าเป็น ทต่ี ง้ั ของปราสาทหรอื เกย่ี วกบั พระเจา้ แผน่ ดนิ เพยี งบอกวา่ ปราสาทขนาดใหญบ่ รู ณะโดยพระเจา้ ปรากรมพาหุท่ี ๔ เป็นของด้ังเดิมสร้างถวายโดยพระเจ้าวิชัยพาหุมหาราช พระเมธังกรเถระ ผู้แต่งกวีนิพนธ์ภาษาบาลีชื่อว่าชินจริต อาศัยอยู่ท่ีปริเวณะแห่งหน่ึงสร้างโดยพระเจ้าวิชัยพาหุ ผู้เป็นยอดแห่งวงศ์ของกษัตริย๒์ ๒ นักเขียนบางท่านจับประเด็นตรงมหาราชจึงน�ามาตีความว่า ผู้ก่อต้ังวิชัยพาหุที่โตฏคามุวะคือพระเจ้าวิชัยพาหุท่ี ๑๒๓ แต่กษัตริย์พระองค์น้ีไม่โดดเด่นเรื่อง พระราชกรณยี กจิ ดา้ นพระศาสนาทางตอนใตข้ องเกาะลงั กา ตรงกนั ขา้ มพระฉายาสองนามเหมาะ กบั พระเจา้ วชิ ยั พาหทุ ่ี ๔ ผทู้ รงมพี ระชนมช์ พี ไมน่ านกอ่ นทจี่ ะมกี ารบนั ทกึ ระยะเวลาของปรเิ วณะ เป็นคร้ังแรก และช่ือว่าเป็นกษัตริย์นักบุญ ความจริงคือกษัตริย์แห่งราชวงศ์ดัมพเดณิยะมี พระราชศรัทธาต่อหัวเมืองทางตอนใต้ของเกาะลังกา๒๔ โดยเฉพาะโตฏคามุวะ จึงสรุปได้ว่าผู้ ก่อตั้งปริเวณะท่ีหมู่บ้านแห่งนี้คือพระเจ้าวิชัยพาหุท่ี ๔ อารามแห่งน้ีพัฒนาเป็นปริเวณะใน รัชสมัยของพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๔ แห่งอาณาจักรกุรุแณคละ พระเถระช้ันผู้ใหญ่แห่งส�านักคลตุรุมูละและส�านักอุตุรุมูละต่างได้รับแต่งตั้งให้เป็น เจา้ สา� นกั แหง่ น้ี ผสู้ บื ทอดตอ่ จากพระกายตั ถเิ ถระคอื พระศรรี าหลุ เถระ ยคุ นเ้ี องวชิ ยั พาหปุ รเิ วณะ เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด มีงานเขียนหลายเล่มกล่าวถึง บรรดาคัมภีร์เหล่าน้ันคัมภีร์โกกิลสันเดศยะ

124 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ อ้างถึงส�านักแห่งน้ีว่าอยู่วัดที่โตฏคามุวะ และอธิบายรายละเอียดของพระวิหารด้วย๒๕ แต่ไม่ กล่าวถึงปริเวณะหรือสถาบันการศึกษาแห่งอื่น เพียงกล่าวถึงพระศรีราหุลเถระในฐานะเป็น เจ้าส�านักวิชัยพาหุปริเวณะ๒๖ คัมภีร์คิรสันเดศยะอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับวิชัยพาหุปริเวณะ ค่อนข้างละเอียด๒๗ โดยบอกว่าวิชัยพาหุปริเวณะเป็นสถาบันการศึกษาโด่งดังสูงสุดสมัยน้ัน ศรีฆนานันทปริเวณะแห่งหมู่บ้านวีทาคมะก็มีการกล่าวถึงเช่นเดียวกัน๒๘ พระเถระ ชั้นผู้ใหญ่สองรูปก็มาจากวีทาคมะ ซึ่งเป็นหมู่บ้านขนาดเล็กประมาณ ๑๕ ไมล์ทางตอนใต้ ของเมืองโกฏเฏ พระเถระทั้งสองรูปน้ีเป็นอาจารย์ของพระศรีราหุลเถระ แต่ไม่มีหลักฐานชี้บอก ว่าเป็นนักเขียนหรือไม่ คัมภีร์ราชาวลิยะบอกว่าพระวีทาคมเถระรูปแรกพยายามสร้างอิทธิพล ทางการเมือง๒๙ จนสามารถผลักดันให้พระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๖ ข้ึนครองราชย์๓๐ พระวีทาคม เถระอกี รปู หนงึ่ ซง่ึ มชี อ่ื เสยี งโดง่ ดงั ดา้ นความเปน็ ปราชญ์ พระเถระทงั้ สองรปู นอ้ี าศยั อยทู่ หี่ มบู่ า้ น วีทาคมะ พระเถระรูปหลังอาจเป็นศิษย์ของรูปแรก วัดวีทาคมะติดกับปริเวณะสร้างโดยพระเจ้า ปรากรมพาหุท่ี ๔ แห่งอาณาจักรกุรุแณคะละ การสร้างศรีฆนานันทปริเวณะมีบันทึกไว้ในคัมภีร์จุลวงศ์ความว่า ทางวิททุมคามะ ไม่ไกลจากเมืองหลวงรายิคาม พระองค์โปรดให้สร้างวิหารอย่างยิ่งใหญ่ ภายในบริเวณนามว่า ศรีฆนานันทปริเวณะ พร้อมต้นโพธิ์และพระวิหารแล้วมอบถวายแด่อาจารย์ผู้เป็นพระเถระ นักปราชญ์ชาวโจฬะ๓๑ คัมภีร์จุลวงศ์เพิ่มเติมว่าเวลานั้นปริเวณะมีอยู่ติดกับวัดวีทาคมะ แต่ไม่ เป็นที่รู้จักแพร่หลาย ส่วนคัมภีร์มยุรสันเดศยะกล่าวถึงพระพุทธรูปภายในสถาบันแห่งนี้ เป็นกรณีพิเศษ๓๒ นอกจากคัมภีร์มยุรสันเดศยะแล้ว ไม่มีคัมภีร์เล่มไหนกล่าวถึงปริเวณะ แห่งนี้อีกเลย แม้แต่พระวีทาคมไมตรียเถระผู้แต่งคัมภีร์หลายเล่มสมัยน้ันยังไม่อ้างถึงเลย คัมภีร์หังสสันเดศยะบอกว่าท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดวีทาคมะอันเพลิดเพลินร่มเย็น๓๓ แม้คัมภีร์ กวลกุณุมิณิมละก็ระบุว่าท่านอาศัยอยู่ที่วัดวีทาคมะ ศรีฆนานันทปริเวณะที่อยู่ภายในบริเวณ วัดวีทาคมะจึงไม่เป็นท่ีสนใจสืบค้นของเหล่านักวิชาการ ไม่ทราบแน่ชัดว่าพระวีทาคมไมตรีย เถระเปน็ เจา้ สา� นกั แหง่ ปรเิ วณะนจี้ รงิ หรอื ไม่ ความจรงิ คอื ศรฆี นานนั ทปรเิ วณะไมไ่ ดเ้ ปน็ สถาบนั อันโดดเด่นสมัยน้ัน แม้เป็นสถานท่ีพ�านักของพระวีทาคมไมตรียเถระผู้เป็นนักปราชญ์นาม อุโฆษก็ตาม ผู้แต่งคัมภีร์โกกิลสันเดศยะอ้างว่าท่านเป็นเจ้าส�านักติลกปริเวณะ๓๔ และระบุเพิ่มเติม ว่าเป็นน้องชายสุดท้องของพระเถระผู้ใหญ่ท่ีอยู่อาศัยวัดมุลคิริใกล้เมืองเดวินูวะระอันโด่งดัง๓๕ จากหลักฐานตรงน้ีมาลาลาเสการาช้ีว่าติลกปริเวณะอยู่ที่มุลกิริคละ๓๖ คัมภีร์โกกิลสันเดศยะ

การศึกษาคณะสงฆ์ 125 อธิบายการเดินทางของผู้ส่งสาสน์ผ่านเมืองเดวินูวะระอย่างยืดยาว เดาเอาว่าติลกปริเวณะไม่ใช่ อื่นไกลอยู่ในเมืองเดวินูวะระนั่นเอง แต่เป็นเร่ืองแปลกคือแม้ผู้เขียนจะบรรยายเมืองเดวินูวะระ กจ็ รงิ แต่กลับไมใ่ หร้ ายละเอียดเกีย่ วกบั ตลิ กปรเิ วณะซ่ึงทา่ นรัง้ ตา� แหนง่ เจา้ ส�านกั คมั ภรี จ์ ลุ วงศ์ อธิบายรายละเอียดว่าวัดและปริเวณะสร้างโดยพระเจ้าวีรพาหุ ผู้เป็นพระราชนัดดาของพระเจ้า ปรากรมพาหุท่ี ๒ แห่งอาณาจักรดัมพเดณิยะ๓๗ และอธิบายเพิ่มเติมว่าเป็นสถานท่ีผู้คนยกย่อง สรรเสริญ ต่อมาภายหน้าปริเวณะแห่งนี้กลายมาเป็นท่ีรู้จักกันในนามว่านันทนปริเวณะ ไม่มี หลักฐานพิสูจน์ว่านันทนปริเวณะเป็นชื่ออันเดียวกันกับติลกปริเวณะหรือไม่ เป็นที่น่าสังเกตว่า ผู้เขียนคัมภีร์ประเภทสันเดศยะสมัยน้ันไม่กล่าวถึงติลกปริเวณะแห่งเมืองเดวินูวะระเลย ตัวอย่างเช่นผู้ส่งสาสน์ในคัมภีร์คิรสันเดศยะ คัมภีร์หังสสันเดศยะ และคัมภร์แสฬลิหิณิสันเดศยะ ซึ่งไม่ได้ไปไกลเกินเมืองเดวินูวะระเลย แม้คัมภีร์ปเรวิสันเดศยะซึ่งผู้ส่งสาสน์ต้องเดินทางไป เมืองเดวินูวะระก็ไม่กล่าวถึงปริเวณะแห่งน้ีเช่นกัน วัดที่เมืองเดวินูวะระสร้างโดยพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๔ แห่งอาณาจักรกุรุแณคะละ คัมภีร์จุลวงศ์ระบุว่าพระองค์โปรดให้สร้างวัดขนาดใหญ่ท่ีเดวปุระ ประกอบด้วยอาคารสองช้ัน มีส่ีประตู สร้างสิงห์นอนเฝ้าท้ังสี่ด้าน๓๘ ส�าหรับวัดแห่งน้ีพระองค์โปรดให้น้อมถวายหมู่บ้านโดย รอบนามว่าคัณฐิมาน โดยประกาศว่าเป็นทรัพย์สินมอบถวายแก่พระพุทธเจ้า๓๙ แม้ไม่มีข้อมูล อ้างอิงถึงส่ิงก่อสร้างของปริเวณะแห่งน้ีก็จริง แต่ก�าเนิดของติลกปริเวณะก็สามารถสืบค้นถอย หลงั ไปถงึ พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๙ เชน่ เดยี วกบั ศรฆี นานนั ทปรเิ วณะแหง่ หมบู่ า้ นวที าคมะ ตลิ กปรเิ วณะ ท่ีเมืองเดวินูวะระไม่ปรากฏว่าเป็นศูนย์กลางการศึกษาที่ย่ิงใหญ่เหมือนปัทมาวตีปริเวณะและ วิชัยพาหุปริเวณะ ปริเวณะท่ีเกิดหลังสุดสมัยอาณาจักรโกฏเฏคือสุเนตราเทวีปริเวณะแห่งหมู่บ้าน แปปิลิยานะ ผู้สร้างคือพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๖ คัมภีร์จุลวงศ์อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับ กษัตริย์พระองค์นี้น้อยมาก ส่วนต�านานกล่าวถึงว่าพระองค์โปรดให้สร้างปริเวณะแห่งนี้ เพ่ือ เป็นอนุสรณ์ร�าลึกถึงพระราชมารดาสุเนตราเทวี๔๐ จารึกแปปิลิยานะหลักท่ี ๑ และหลักท่ี ๒ อธิบายรายละเอียดเก่ียวกับส่ิงก่อสร้างภายในสุเนตราเทวีปริเวณะ๔๑ ข้อมูลจากจารึกบอกว่า พระเจ้าแผ่นดินโปรดให้สร้างสถาบันแห่งน้ี เพื่อร�าลึกนึกถึงพระราชมารดาในวันเพ็ญเดือน แมดิน ในปีที่ ๓๙ แห่งการครองราชย์ ด้วยเหตุน้ันส่ิงก่อสร้างภายในวัดจึงปรากฏมีในปี พทุ ธศกั ราช ๑๙๕๘ พระองคม์ อบถวายวดั และปรเิ วณะแกพ่ ระมงั คลเถระ ซงึ่ เปน็ ลกู ศษิ ยผ์ ใู้ หญ่ ของพระเมธังกรเถระแห่งส�านักคลตุรุมูละ ผู้เป็นพระเถระผู้ใหญ่รูปหน่ึงแห่งยุค นอกจากจารึก แปปิลิยานะแล้ว ไม่มีหลักฐานส่วนใดกล่าวถึงรายละเอียดว่าปริเวณะแห่งน้ีเป็นศูนย์กลาง

126 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ การศึกษาอันยิ่งใหญ่ แม้แต่ผู้แต่งคัมภีร์สันเดศยะซ่ึงมีโอกาสผ่านมาเห็นก็ไม่กล่าวถึงวิหารเลย อาจเป็นเพราะปริเวณะแห่งน้ีไม่เป็นท่ีรู้จักแพร่หลายเหมือนปัทมาวตีปริเวณะและวิชัยพาหุ ปริเวณะก็เป็นได้ นอกจากปริเวณะที่กล่าวถึงข้างต้นแล้ว ยังมีปริเวณะอีกหลายแห่งปรากฏมีในข้อมูล อ้างอิง เริ่มต้นจากลังกาเสเนวิรัตปริเวณะซึ่งมีกล่าวถึงในคัมภีร์วิมุกติสังครหยะ สันนิษฐานว่า ผู้เขียนคงเป็นเจ้าส�านักแห่งนี้๔๒ คัมภีร์ปทสาธนฎีกาของพระศรีราหุลเถระกล่าวว่าผู้สร้าง ปริเวณะแห่งนี้นามว่าสัปตรัตนาประติราชะ ผู้เป็นเจ้าส�านักนามว่าทีปังกรเถระ ซึ่งเป็นผู้ขอร้อง พระศรีราหุลให้แต่งคัมภีร์เล่มน้ี๔๓ พระเถระอันเป็นท่ีเคารพนับถือของคัมภีร์วรตมาลาของ ศรีรามจันทรภารตีคือรัมมุงโกฑะทีปังกรเถระแห่งศรีนิวาสปริเวณะ๔๔ สถาบันอีกแห่งหนึ่ง นามว่าปัญจปริเวณะผู้เป็นเจ้าส�านักคือพระมังคลเถระ ซึ่งนามท่านปรากฏในจารึกัลยาณี ของพระเจ้าธรรมเจดีย์ด้วย๔๕ พระบรมราชูทิศอรัมแกเลของพระเจ้าภูวเนกพาหุที่ ๖ เอ่ยถึง พระนิยมวาเนผุสสเทวสุมังคลเถระผู้เป็นศิษย์ผู้ใหญ่ของพระวีทาคมไมตรียเถระว่าเป็น เจ้าส�านักธรรมราชาปริเวณะท่ีเอรพัตโตฏะใกล้เมืองหลวงโกฏเฏ๔๖ สถาบันการศึกษาอีกแห่ง หนึ่งที่เกลาณียะเรียกว่าราชรัตนปริเวณะ๔๗ นอกจากสร้างสุเนตราเทวีปริเวณะแล้ว พระเจ้า ปรากรมพาหุยังโปรดให้สร้างมหาปายะปริเวณะท่ีอุสสาปิฏิยะแห่งเมืองแคกัลละด้วย๔๘ ส�าหรับบรรยากาศการศึกษาภายในปริเวณะนั้น รายละเอียดได้มาจากกวีนิพนธ์ ประเภทสันเดศยะ เร่ิมต้นจากคัมภีร์หังสสันเดศยะซึ่งอธิบายถึงปัทมาวตีปริเวณะท่ีแครคละ ท�าให้เห็นภาพสถาบันแห่งนี้อย่างชัดเจน๔๙ ส่วนคัมภีร์คิรสันเดศยะกล่าวถึงวิชัยพาหุปริเวณะที่ โตฏคามุวะอย่างละเอียดเช่นกัน ซึ่งผู้เขียนเองเป็นศิษย์ผู้เคารพช่ืนชมพระศรีราหุลเถระ ผู้เป็น เจ้าส�านักปริเวณะแห่งน้ี แต่มีความแตกต่างเกี่ยวกับรายละเอียดด้านข้อมูลของสถาบันเหล่าน้ี ตัวอย่างเช่น คัมภีร์เหล่านั้นไม่อธิบายรายละเอียดเก่ียวกับการบริหารหรือการบ�ารุงรักษา ปริเวณะ จึงต้องเช่ือถือข้อมูลท่ีกล่าวไว้ในแหล่งอ่ืนดังเช่นจารึกแปปิลิยานะ การศึกษาสงฆ์ การศึกษาในสถาบันการศึกษาของสงฆ์ปกติเอ้ือประโยชน์เฉพาะพระสงฆ์เท่าน้ัน คัมภีร์หังสสันเดศยะอธิบายถึงปัทมาวตีปริเวณะว่าสถาบันแห่งน้ีรับเฉพาะพระเณรเท่านั้น๕๐ อาจเป็นไปได้ว่าสถาบันแห่งนี้เป็นศูนย์กลางการศึกษาของคณะสงฆ์วนวาสีจึงไม่รับนักเรียน ผู้เป็นฆราวาส แต่ค�าอธิบายเช่นนี้ถือว่าไม่ถูกต้อง เพราะหากตรวจสอบหลักสูตรการเรียน การสอนแลว้ จะพบวา่ มหี ลกั สตู รทางโลก เชน่ วชิ าดาราศาสตร์ กวี และละคร แมด้ มั พเดณกิ ตกิ า

การศึกษาคณะสงฆ์ 127 วัตรจะห้ามเพราะเห็นว่าเป็นความรู้ต้องห้าม๕๑ คัมภีร์คิรสันเดศยะบอกว่าวิชัยพาหุปริเวณะ แห่งหมู่บ้านโตฏคามุวะมีนักเรียนฆราวาสด้วย๕๒ บรรดานักเรียนฆราวาสนั้นมีพราหมณ์หนุ่ม ผเู้ รยี นจตรุ เวทพรอ้ มกบั พระพทุ ธศาสนา๕๓ พราหมณน์ ามวา่ ศรรี ามจนั ทรภาวตเี ปน็ ผแู้ ตง่ คมั ภรี ์ ภักติศตกะและคัมภีร์ภาษาสันสกฤตอีกหลายเล่ม ท่านเป็นชาวอินเดียโดยก�าเนิดและอาจจะ เดินทางตรงมาศรีลังกา เพ่ือต้องการศึกษาภายใต้ค�าแนะน�าของพระศรีราหุลเถระ มาตรฐาน ช้ันสูงของการศึกษาสงฆ์พบได้ตามปริเวณะสมัยนี้ จึงเป็นเหตุเชิญชวนนักศึกษาต่างชาติแม้ จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะคัมภีร์ชินกาลมาลีปกรณ์บอกว่าหนึ่งในจุดประสงค์หลัก ของคณะสมณทูตจากดินแดนอุษาคเนย์ที่เดินทางมาศรีลังกาคือศึกษาพระไตรปิฎกภายใต้การ แนะน�าของพระสีหลมหาเถระ๕๔ คัมภีร์เสริมว่าพระสงฆ์เหล่าน้ีเรียนรู้คัมภีร์สิงหลและวิธีการ สวดคัมภีร์หลายเดือน สอบทานความถูกต้องชัดเจนเรื่องการออกเสียงภายใต้พระวนรัตนเถระ แห่งปัทมาวตีปริเวณะแห่งแครคละและเข้าพิธีอุปสมบทต่อมาภายหลัง ส�าหรับนักเรียนปริเวณะมีอยู่สองกลุ่มใหญ่ กลุ่มแรกเป็นสามเณรซึ่งเรียนรู้คัมภีร์ ที่เหมาะสมกับวัย๕๕ อีกกลุ่มหนึ่งเป็นผู้ผ่านอุปสมบทแล้วแบ่งออกเป็นหลายชั้นตามอายุและ การศึกษาของแต่ละรูป๕๖ ปกติหลักสูตรของปริเวณะเป็นการศึกษาพระไตรปิฎก กล่าวคือ พระสูตร พระวินัย และพระอภิธรรม คัมภีร์หังสสันเดศยะอธิบายถึงของการเรียนการสอน ของปัทมาวตีปริเวณะว่า นักเรียนท่ีเป็นสามเณรควรสนใจศึกษาเหรณสิขาหรือสามเณรสิกขา กล่าวคือวินัยเบื้องต้นที่บัญญัติส�าหรับสามเณรผู้ก�าลังเตรียมตัวเข้าอุปสมบท๕๗ วินัยส�าหรับ สามเณรมีการจัดวางให้มีคุณภาพดีเย่ียมสองประการ กล่าวคือพัฒนาการการเรียนและ บุคลิกภาพ เรียกว่าเป็นผู้มีอาจารย์และอุปัชฌาย์ เป็นการยากท่ีจะก�าหนดหลักเกณฑ์วิธี ประพฤติตามคัมภีร์ดังเช่นมหาวรรค๕๘ ความแตกต่างคืออุปัชฌาย์เป็นผู้ได้รับความไว้วางใจ ท�าหน้าท่ีแนะน�าสามเณรตามคัมภีร์และหลักธรรม ขณะท่ีอาจารย์เป็นผู้รับผิดชอบฝึกฝน กิริยามารยาท ด้วยเหตุน้ีจึงเรียกว่ากรรมวาจาจารย์ ผู้สมควรเป็นอุปัชฌาย์จะต้องมีพรรษายุกาล อย่างน้อย ๑๐ ปี ส่วนอาจารย์น้ันต้องมีพรรษาอย่างน้อย ๖ ปี๕๙ ดัมพเดณิกติกาวัตรระบุว่าสามเณรควรเรียนรู้กับพระอุปัชฌาย์สักระยะหนึ่ง พระ อุปัชฌาย์ควรดูแลรับผิดชอบทุกส่ิงอย่างด้วยการสอนสามเณรสิกขาและฝึกฝนตามแต่เห็น สมควร๖๐ กฎเกณฑ์เช่นน้ีมีใช้ท้ังสองคณะกล่าวคือวนวาสีและคามวาสี คัมภีร์คิรสันเดศยะระบุ ว่าสามเณรแห่งวิชัยพาหุปริเวณะนั้น นอกจากศึกษาสามเณรสิกขาแล้วควรศึกษาไวยากรณ์ ด้วย๖๑ ส่วนพระภิกษุควรศึกษาคัมภีร์ที่เขียนหลากหลายเก่ียวกับพระไตรปิฎก คัมภีร์หังสสัน เดศยะระบุว่าพระภิกษุผู้ผ่านสามเณรภาวะอุปสมบทแล้วต้องศึกษาคัมภีร์มูลสิกขาและคัมภีร์

128 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ สิกขาวลัณทะ๖๒ คัมภีร์มูลสิกขาเป็นต�าราเล่มเล็กเกี่ยวกับวินัยบัญญัติ เช่ือกันว่าเขียนยุคต้น อาณาจักรอนุราธปุระ เนื่องจากเป็นบทย่อความเก่ียวกับข้อพระวินัย ผู้บวชใหม่จึงต้องท่องจ�า คัมภีร์เล่มน้ีกล่าวถึงโปโฬนนารุกติกาวัตรและดัมพเดณิกติกาวัตรด้วย๖๓ คัมภีร์อีกเล่มหน่ึง ชื่อว่าสิกขาวลัณฑะเป็นผลงานของนักเขียนนิรนาม ซึ่งแต่งแก้คัมภีร์เดียวกันชื่อว่าสิกขา วลัณฑวินิสะ ว่าด้วยข้อบัญญัติเก่ียวกับพระวินัยจัดแบ่งเป็นหมวดหมู่เพ่ือเป็นคู่มือแนะน�า พระสงฆ์๖๔ คัมภีร์เล่มน้ีอ้างข้อมูลหลายแห่งจากคัมภีร์สมันตปาสาทิกา ซึ่งเป็นคัมภีร์แต่งแก้ พระวินัยปิฎก การน�าคัมภีร์ท้ังสองมาสอนก็เพ่ือให้เข้าใจวินัยของสงฆ์อย่างแจ่มแจ้ง พระนักศึกษาผู้เข้าใจพื้นฐานกติกาของวัดเรียบร้อยแล้วต้องศึกษานิสภณะสืบต่อ๖๕ หมายถึงความรู้ส�าหรับพระนักศึกษาช้ันต้น เม่ือได้รับการยอมรับเข้าเป็นสมาชิกสงฆ์จึงเรียก กันว่านวกะ๖๖ ส�าหรับการศึกษานิสภณะน้ันพระนักศึกษาควรท่องจ�าสองมาติกา๖๗ และ ส่ีภาณวาร๖๘ พระสูตรเพ่ือเทศนาในวันอุโบสถโดยเฉพาะสูตรส�าคัญ ดังเช่น อันธกวินทสูตร มหาราหโุ ลวาทสตู ร และอมั พฏั ฐสตู ร เพอื่ สามารถสนทนาโตต้ อบผเู้ ขา้ มาเยยี่ มเยยี นอารามวหิ าร นอกจากนั้นต้องศึกษาอนุโมทนาอีกสามอย่างเพื่อสามารถสนทนาในโอกาสพิเศษ๖๙ เฉพาะวินัย กรรมอันเป็นพื้นฐาน เช่น อุโบสถและปวารณา และอีกหนึ่งหัวข้อคือกรรมฐาน๗๐ คัมภีร์สมันต ปาสาทิกาบอกว่าเหล่าน้ีคือส่ิงที่นิสภณะควรเรียนจนม่ันใจว่ามีความสามารถเป็นอิสระจนแยก ออกจากอาจารย์ได้๗๑ ดัมพเดณิกติกาวัตรรวมคัมภีร์ขุททกสิกขาและคัมภีร์ธาตุปาฐะเข้าเป็น หลักสูตรส�าหรับนิสภณะด้วย๗๒ ระยะเวลาแห่งการเรียนส�าหรับนวกะน้ันห้าปี กติกาวัตรบอก ว่าสุดท้ายควรส่งไปหาพระนายกะหรือพระมหาสามีต่อไป๗๓ หากพระมหาสามีอนุญาตให้เล่ือน ช้ันได้จึงเรียกว่านิสสยมุจจนกะ และอนุญาตให้ศึกษาหลักสูตรธรรมที่สูงข้ึนไป๗๔ หลักสูตรส�าหรับนักศึกษาช้ันนิสสยมุจจนกะเรียกว่าเตรบณะ๗๕ ซ่ึงประกอบด้วย สองวิภังค์แห่งพระวินัย กล่าวคือปาจิตติยบาลีและปาราชิกบาลี๗๖ มีเน้ือหาเกี่ยวกับความรู้เร่ือง วินัยกรรม เมื่อพระนักศึกษาชั้นนิสสยมุจจนกะสามารถท่องจ�าคัมภีร์ และมีความประพฤติ อนั ดงี ามแลว้ ควรไดร้ บั เถระสมั มตุ ตหิ รอื การยอมรบั ตา� แหนง่ เถระโดยคณะสงฆ๗์ ๗ ซง่ึ หลกั สตู ร มีระยะเวลาการเรียน ๕ ปี พระนักศึกษาที่ส�าเร็จในระยะเวลา ๑๐ ปี ภายหลังอุปสมบทแล้ว และจบการท่องจ�า พระคัมภีร์ตามระยะเวลาน้ัน ได้รับการอนุญาตให้ศึกษาพระไตรปิฎก ส�าหรับวิชัยพาหุปริเวณะ มีกลุ่มพระนักศึกษาเรียนสุตตปิฎกและอีกกลุ่มหนึ่งมุ่งมั่นการเรียนวินัยปิฎก๗๘ ขณะกลุ่ม ที่สามสนใจศึกษาพระอภิธรรมปิฎก คัมภีร์สมันตปาสาทิกาเรียกพระสงฆ์ทั้งสามกลุ่มน้ีว่า

การศึกษาคณะสงฆ์ 129 ภิกขุโนวาทกะหรือผู้แนะน�าภิกษุ๗๙ คัมภีร์ดังกล่าวบอกว่าภิกขุโณวาทกะควรเรียนไตรปิฎก พร้อมคัมภีร์อรรถกถาทั้งหมด ซ่ึงเป็นผู้เช่ียวชาญในคัมภีร์อรรถกถาหนึ่งในส่ีนิกาย๘๐ เพราะ ทรงจ�าท�าให้สามารถอธิบายนิกายอ่ืนได้รวมถึงอภิธรรมเจ็ดคัมภีร์๘๑ ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญคัมภีร์ อรรถกถาท้ังส่ี เพราะว่าท�าให้สามารถอธิบายคัมภีร์ที่เหลือ ดัมพเดณิกติกาวัตรก็กล่าวถึง ภิกขุโณวาทกะเช่นกัน๘๒ แต่ขาดรายละเอียดเกี่ยวกับหลักสูตรการเรียนการสอน ไม่อาจยืนยัน ได้ว่าหลักสูตรท่ีระบุไว้ในคัมภีร์สมันตปาสาทิกาจะมีสอนในปริเวณะยุคโกฏเฏหรือไม่ ถัดมาส�าหรับพระสงฆ์ผู้ส�าเร็จการศึกษาระดับเถระ ควรมุ่งม่ันสนใจไต่ถามความรู้ เก่ียวกับปิฎกใดปิฎกหน่ึง บรรดาพระสงฆ์เหล่าน้ันกลุ่มแรกควรศึกษาอภิธรรมปิฎกพร้อม คัมภีร์อรรถกถาท้ังหมดและคัมภีร์ฎีกาด้วย๘๓ อีกกลุ่มหนึ่งเป็นผู้ช่ืนชอบพิเศษในสุตตันตปิฎก พร้อมอรรถกถาและฎีกา ส่วนกลุ่มท่ีสามเป็นผู้เชี่ยวชาญในพระวินัยปิฎก๘๔ ไม่มีการกล่าวถึง พระสงฆ์ผู้ศึกษาพระไตรปิฎกทั้งหมด แต่ก็มีหลักฐานระบุถึงพระสงฆ์ท่ีโดดเด่นซึ่งได้ความรู้ จากพระไตรปิฎก เช่น เจ้าส�านักแห่งปัทมาวตีปริเวณะนามว่าพระวนรัตนเถระเป็นพระสงฆ์ผู้มี ความรู้ลึกซ้ึงในพระไตรปิฎก๘๕ พระศรีราหุลเถระผู้ได้รับสมัญญานามว่าติปิฏกวาคีศวราจารยะ เพราะท่านเป็นผู้ทรงพระไตรปิฎก๘๖ พระวีทาคมไมตรียเถระและเจ้าส�านักแห่งติลกปริเวณะที่ เดวินูวะระมีนามว่าตริปิฏกวาคีศวราจารย์เช่นเดียวกัน๘๗ หลักฐานจากต่างประเทศสามารถ ยืนยันได้ว่าการศึกษาของพระสงฆ์ลังกามีโครงสร้างเป็นแบบแผนดีเย่ียม โดยมีจุดประสงค์ หลักคือการเผยแผ่ความรู้ทางพระศาสนาแก่คณะสงฆ์ท้ังมวล หลักสูตรของปริเวณะในยุคอาณาจักรโกฏเฏไม่มีขอบเขตเพียงการฝึกฝนพระสงฆ์ หรือสอนธรรมะเท่านั้น แต่มีหลายสาขาวิชาท่ีสอนในสถาบันเหล่านี้ ส�าหรับวิชัยพาหุปริเวณะ ผู้ศึกษาเรียนรู้หลายภาษา เช่น ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต และภาษาทมิฬ๘๘ ภาษาบาลีเป็นภาษา ส�าหรับศึกษาให้เกิดความรู้เกี่ยวกับพระไตรปิฎก ซ่ึงบันทึกเป็นภาษาบาลี พระศรีราหุลเถระ ชื่อว่าเป็นผู้ส่งเสริมไวยากรณ์ภาษาบาลี โดยใช้คัมภีร์โมคคัลลานปัญจิกาประทีปยะและคัมภีร์ พุทธิปปสาทนีฎีกา (บางทีเรียกว่าปสาธนฎีกา) ส�าหรับคัมภีร์ปัญจิกประทีปยะเป็นหนึ่งใน งานเขียนสรุปภาษาบาลีชั้นเลิศของศรีลังกา๘๙ ส่วนหน่ึงเขียนเป็นภาษาบาลีอีกส่วนเขียนเป็น ภาษาสิงหล เป็นงานเขียนแต่งแก้คัมภีร์ปัญจิกาของพระโมคคัลลานะผู้เป็นนักไวยากรณ์บาลี นามอุโฆษ ต�าราไวยากรณ์อีกเล่มหนึ่งของพระศรีราหุลเถระคือพุทธิปปสาทนีฎีกา เป็นงาน แตง่ แกค้ มั ภรี ป์ ทสาธนะของพระปยิ ทสั สเี ถระ๙๐ คมั ภรี เ์ หลา่ นอ้ี าจเปน็ แรงกระตนุ้ การศกึ ษาภาษา บาลีแห่งยุคโกฏเฏ งานเขียนเหล่านี้ยืนยันว่าพระศรีราหุลเถระและศิษย์ของท่านล้วนศึกษา

130 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ ตามแบบไวยากรณ์ของพระโมคคัลลานเถระ ซ่ึงเป็นหน่ึงในสองของส�านักไวยากรณ์ภาษาบาลี คัมภีร์หังสสันเดศยะระบุถึงการศึกษาว่า พระนักศึกษาท่ีปัทมาวตีปริเวณะแห่งแครคละสนใจ ไวยากรณ์ของพระกัจจายนเถระ และคัมภีร์อรรถกถานยาสฎีกา คัมภีร์สองเล่มเป็นผลงาน ของส�านักไวยากรณ์ภาษาบาลีนามว่ากัจจายนะ๙๑ จึงเป็นที่รู้กันว่าคณะสงฆ์วนวาสีน�าโดย พระวนรัตนเถระเดินตามแบบส�านักกัจจยานะ ส่วนคณะสงฆ์คามวาสีน�าโดยพระศรีราหุลเถระ เดินตามแบบส�านักโมคคัลลานะ อิทธิพลสันสกฤต ส�าหรับการเรียนภาษาสันสกฤตมีเคียงคู่กับการศึกษาภาษาบาลีมาต้ังแต่ยุคเร่ิมต้น การติดต่อหลายคร้ังกับอินเดียตอนใต้ และการอพยพเคล่ือนย้ายของพวกพราหมณ์เข้ามาสู่ ลังกานับตั้งแต่ยุคโปโฬนนารุวะเร่ือยมา ท�าให้เกิดพัฒนาการเรียนรู้ภาษาสันสกฤตจนถึง ศตวรรษถัดมา อิทธิพลของภาษาสันสกฤตต่อวรรณกรรมของศรีลังกายุคกลาง ทั้งภาษาบาลี และภาษาสิงหลล้วนมีหลักฐานชัดเจน อิทธิพลการศึกษาภาษาสันสกฤตมีผลทางการเมือง และสังคม อาจจะพิสูจน์จากข้อความในต�านานเกี่ยวกับการศึกษาของบรรดาเจ้าชาย เช่น พระเจ้าปรากรมพาหุ ตรงตามหลักฐานอ้างถึงหน้าที่ของเกาฏิยะและมนุ๙๒ ความกระตือรือร้นอย่างแรงกล้าส�าหรับการเรียนภาษาสันสกฤตสืบเน่ืองเรื่อยมา จนถึงพุทธศตวรรษที่ ๒๐ นอกจากภาษาบาลีแล้วภาษาสันสกฤตก็ถือว่ามีความส�าคัญเพราะ เป็นหลักสูตรในปริเวณะ บรรดาพระนักศึกษาของวิชัยพาหุปริเวณะมีพราหมณ์หนุ่มหลายคน ศึกษาภาษาสันสกฤต๙๓ ไม่มีหลักฐานอ้างถึงพระนักศึกษาเรียนภาษาสันสกฤตในปริเวณะเลย แม้จะมีการโต้แย้งกันเก่ียวกับการหายไปหลายประเด็นอย่างมีเหตุผล พิจารณาว่าการศึกษา ภาษาสันสกฤตเป็นความท้าทายของพระนักศึกษา พระนักปราชญ์ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้มีความ รู้เก่ียวกับภาษาสันสกฤตเป็นอย่างดี พระศรีราหุลเถระได้รับสมัญญานามว่าสัฑภาศาปรเมศวร หมายถึงผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาท้ังหก ได้แก่ ภาษาสันสกฤต ภาษาปรากฤต ภาษามาคธี ภาษา บาลี ภาษาเสารเสนี ภาษาอรภรังหะ และภาษาไพศาจี๙๔ บางแห่งบอกว่าภาษาทมิฬเป็นท่ีรู้จัก แพร่หลายของนักปราชญ์สิงหลสมัยน้ัน มีความเป็นไปได้ว่าภาษาทมิฬไม่เคยรวมเข้าเป็น ภาษาอารยัน ภาษาทั้งหกตามรายช่ือมีการใช้บ่อยครั้งในละคร ซึ่งมีการสอนในปริเวณะสมัยนั้น ภาษาทมิ ฬไมม่ ใี ชใ้ นเรอ่ื งนเี้ ชน่ กนั ความเชยี่ วชาญของพระศรรี าหลุ เถระเกย่ี วกบั ภาษาสนั สกฤต สะทอ้ นใหเ้ หน็ เปน็ อยา่ งดใี นงานเขยี นของทา่ น๙๕ พระวนรตั นเถระแหง่ แครคละกโ็ ดง่ ดงั ในฐานะ ผู้เช่ียวชาญภาษาสันสกฤตเช่นกัน๙๖

การศึกษาคณะสงฆ์ 131 นกั กวภี าษาสงิ หลแหง่ ยคุ นนั้ สว่ นใหญเ่ ปน็ พระสงฆ์ ไมเ่ พยี งแตไ่ ดร้ บั อทิ ธพิ ลจากภาษา สันสกฤตเท่านั้น แต่บ่อยครั้งที่หยิบยืมความคิดและจินตนาการจากภาษาสันสกฤตด้วย๙๗ คัมภีร์สันเดศยะซึ่งเลียนแบบคัมภีร์เมฆทูตของกาลิทาสแสดงให้เห็นถึงการขยายความรู้เกี่ยว กับสันสกฤตอย่างกว้างขวาง๙๘ หลักฐานระบุว่านักปราชญ์ผู้เป็นพราหมณ์ท่ีโด่งดังนามว่า ศรีรามจันทราภาวตี ซ่ึงศึกษาพระพุทธศาสนาภายใต้พระศรีราหุลเถระเป็นอาจารย์สอนภาษา สันสกฤตในวิชัยพาหุปริเวณะ ท่านเป็นคนแต่งกวีศาตกภาษาสันสกฤตนามว่าภักติศาตกะ เพื่อสรรเสริญพระศรีราหุล๙๙ งานเขียนอีกเล่มหนึ่งช่ือว่าวรัตตมาลาว่าด้วยประวัติของ พระรัมมุงโกดะทีปังกรเถระ๑๐๐ แต่งเพื่อเป็นตัวอย่างมาตรฐานภาษาสันสกฤตซึ่งเป็นพ้ืนฐาน คัมภีร์วรัตตนากระ วิเจเสกระตั้งข้อสังเกตว่ากวีศตกะส่วนใหญ่ล้วนแต่งข้ึนสมัยอาณาจักร โกฏเฏ๑๐๑ บ่อยคร้ังพระสงฆ์นักปราชญ์ยุคน้ีชอบศึกษาจนเจนจัดเช่ียวชาญภาษาต่างประเทศ แม้จะมีจ�านวนน้อยเพราะไม่มั่นคงในศาสนาแห่งตนหรือมารดรภาษา บรรดาภาษาอินเดียน้ัน ภาษาทมิฬถือว่าโดดเด่น ทั้งปัทมาวตีปริเวณะและวิชัยพาหุปริเวณะต่างเปิดโอกาสให้ พระนักศึกษาเรียนภาษาทมิฬด้วย๑๐๒ นอกจากน้ันชาวทมิฬทางภาคเหนือของเกาะ ซ่ึงถือว่าเป็น ชาวทมิฬด้ังเดิมที่อาศัยอยู่บนเกาะลังกาก็มีจ�านวนมาก อิทธิพลของชาวทมิฬเห็นได้จากการ แต่งงานเก่ยี วดองระหวา่ งสงิ หลกับทมฬิ โดยเฉพาะกลุ่มคนช้นั สูงสมยั นั้น พระเจา้ ปรากรมพาหุ ท่ี ๖ ทรงเลือกเจ้าชายทมิฬนามว่านันนูรุตุนายาร์ให้อภิเษกสมรสกับพระราชธิดานามว่า โลกนาถา๑๐๓ ภายหลังอภิเษกสมรสแล้วพระราชธิดาพระองค์นี้ได้ใช้นามตามแบบทมิฬว่า อุลกุฑยเทวี๑๐๔ นอกจากเจ้าชายพระองค์น้ีแล้ว ยังมีเจ้าชายอีกหลายพระองค์ เช่น เจ้าชายสปุมัล (ภาษาทมิฬเรียกว่าเสมบคัปเปรุมัล) ผู้มีชัยเหนืออาณาจักรจัฟฟ์นา และพระอนุชานามว่า อัมบุลุคละแม่ทัพของพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๖ ก็เป็นชาวทมิฬเช่นกัน๑๐๕ พระบรมราชูทิศโอรุวะละชี้บอกถึงอิทธิพลของพราหมณ์ชาวทมิฬในราชส�านักของ กษัตริย์โกฏเฏ๑๐๖ พราหมณ์เหล่าน้ีอาจจะเลือกใช้ภาษาทมิฬเป็นภาษาส�าคัญของกลุ่มตน คัมภีร์คิรสันเดศยะบอกว่าวิชัยพาหุปริเวณะเขียนละครเป็นภาษาทมิฬ๑๐๗ เช่ือว่าผู้เขียนคัมภีร์ โกกลิ สนั เดศยะ ซงึ่ เปน็ เจา้ สา� นกั ตลิ กปรเิ วณะแหง่ เมอื งเดวนิ วู ะระสามารถเทศนาเปน็ ภาษาทมฬิ และสิงหล๑๐๘ คัมภีร์สุภาศิตยะของอลคิยวันนาระบุว่าคัมภีร์เล่มน้ีมีเนื้อหาอธิบายค�าสอนของ พระเถระรูปนี้ เพ่ือให้เป็นประโยชน์แก่สามัญชนท่ัวไป ซ่ึงอาจไม่เข้าใจภาษามาตรฐาน เช่น ทมิฬ สันสกฤต และบาลี๑๐๙ ตัวอย่างเหล่าน้ีชี้ชัดถึงสถานภาพของภาษาทมิฬ ซ่ึงมีการเรียนการสอน ตามหลักสูตรของปริเวณะทั่วไป

132 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ วิชาทางโลก หลักสูตร เช่น ฉันท์ อลังการ ตรรกศาสตร์ โหราศาสตร์ และแพทยศาสตร์ ก็มีสอน ตามปรเิ วณะเช่นกนั ๑๑๐ แมพ้ ระนักศกึ ษาแห่งปัทมาวตีปรเิ วณะกต็ อ้ งศึกษาวชิ าเหลา่ น้ี แต่คมั ภีร์ หังสสันเดศยะกลับอ้างว่าเจ้าส�านักแห่งนี้นามว่าพระวนรัตนเถระปฏิเสธวิชาเหล่าน้ัน เพราะเป็น สาขาความรู้ต้องห้ามจึงไม่อนุญาตให้พระนักศึกษาเรียน๑๑๑ สันนิษฐานว่าอาจห้ามเฉพาะ นักศึกษาท่ีเป็นพระสงฆ์เท่าน้ัน ดัมพเดณิกติกาวัตรระบุว่าวิชาเหล่าน้ีเป็นสาขาวิชาต้องห้าม และไม่แนะน�าให้พระสงฆ์เรียนหรือสอน๑๑๒ อย่างไรก็ตามวรรณคดียุคนี้ก็ท�าให้เห็นภาพว่า มีพระสงฆ์จ�านวนมากเช่นพระศรีราหุลเถระ ซ่ึงคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับสาขาวิชาหลากหลาย เช่น ฉันท์ วาทศิลป์และการละคร (กวนลุสตกะ) คัมภีร์คิรสันเดศยะระบุว่าเฉพาะวิชัยพาหุปริเวณะนักศึกษาฆราวาสเท่านั้นที่เรียน วิชาการแพทย์๑๑๓ พระสงฆ์ห้ามเรียนแม้แต่วิธีดูแลคนไข๑้ ๑๔ การห้ามเช่นน้ีเฉพาะจุดประสงค์ พิเศษเท่าน้ัน พระวินัยก็บัญญัติไว้ว่าพระสงฆ์ไม่ควรเรียนแพทย์เพื่อสิ่งตอบแทน ดัมพเดณิ กติกาวัตรบอกว่าเป็นความผิดส�าหรับพระท่ีแจกยาช่วยชาวบ้านมากกว่าส่ังสมอาหารห้าชนิดที่ กล่าวไว้ในพระวินัยปิฎก๑๑๕ เห็นสมควรระบุตรงน้ีว่าสถาบันการศึกษาพระพุทธศาสนาบางแห่ง เชิญชวนให้พระสงฆ์เรียนการแพทย์ อสังคะแห่งส�านักโยคาจารบอกว่า ศิลปะแห่งการเยียวยา เป็นหน่ึงในวิชาท่ีพระสงฆ์สมควรศึกษาเรียนรู้เพ่ือประโยชน์แก่คนอ่ืน๑๑๖ ความคิดเช่นนี้ปรากฏ เห็นในคัมภีร์คิรสันเดศยะ ผู้เขียนบอกว่านายแพทย์เคยเรียนวิชาแพทย์ท่ีวิชัยพาหุปริเวณะ รับรู้ความจริงเหมือนธรรมะ ซึ่งเป็นยารักษาความเจ็บป่วย ยาจึงมีเพื่อความเป็นอยู่สบาย ของมนษุ ยชาต๑ิ ๑๗ ดมั พเดณกิ ตกิ าวตั รบอกวา่ ตอ้ งการใหพ้ ระสงฆม์ งุ่ มน่ั ในวชิ าครหติ วทิ ยา หรอื สาขาความรู้ที่ต้องห้าม ด้วยเหตุน้ีจึงไม่ต้องสงสัยว่าการอนุญาตให้พระสงฆ์ประกอบยาโดย ปราศจากการละเมิดวินัยจึงเรียกว่าการละเมิดเชิงยินยอม คัมภีร์คิรสันเดศยะบอกว่านักศึกษา บางคนทวี่ ชิ ยั พาหปุ รเิ วณะสนใจศกึ ษาการคา� นวณดา้ นโหราศาสตรแ์ ละเรม่ิ ตน้ สรู ยสทิ ธานตะ๑๑๘ เจ้าส�านักแห่งปริเวณะน้ันมีความสนใจวิชาโหราศาสตร์ เพราะมีหลักฐานจากกวีนิพนธ์สันเดศยะ สองเล่ม กล่าวคือ ปเรวิสันเดศยะและแสฬลิหิณิสันเดศยะ๑๑๙ ส�าหรับปัทมาวตีปริเวณะได้ห้ามพระนักศึกษาเรียนวิชาการเมือง แต่นักศึกษาแห่ง วิชัยพาหุปริเวณะกลับสามารถเรียนวิชาน๑ี้ ๒๐ ด้วยความรู้เกี่ยวกับภาษาสันสกฤต นักศึกษาแห่ง วิชัยพาหุปริเวณะจ�าต้องสืบค้นหนังสือคู่มือ เช่น อรถศาสัตระของเกาฏิลยะ และมานวททมา สารท หลักฐานเหล่านี้ปรากฏในคัมภีร์กาวยเสกขรยะ๑๒๑ นักศึกษาแห่งวิชัยพาหุปริเวณะมิใช่ เพียงเรียนพระพุทธศาสนาเท่านั้นแต่อนุญาตให้เรียนศาสนาอื่นด้วย๑๒๒ มีหลักฐานระบุว่ามี

การศึกษาคณะสงฆ์ 133 นักเรียนจ�านวนมากศึกษาเวท ๔ กล่าวคือ ฤคเวท สามเวท ยชุรเวท และอถรรพเวท๑๒๓ และ ต้องเรียนปุราณะ ๑๘ เล่ม มหากาพย์รามายณะ และมหาภารตะด้วย๑๒๔ คัมภีร์หังสสันเดศยะ กล่าวว่า เจ้าส�านักแห่งปัทมาวตีปริเวณะปฏิเสธคัมภีร์พระเวท คัมภีร์ปุราณะ และคัมภีร์มหา กาวยะเพราะเป็นวชิ าไร้ประโยชน์๑๒๕ คมั ภีรบ์ ดุ ุคุณาลังการยะของพระวที าคมไมตรียเถระแสดง อาการเกลียดชังงานเขียนเหล่านี้เพราะเป็นการลดคุณค่ามุ่งหวังแต่ได้เท่านั้น๑๒๖ อย่างไรก็ตาม ความกระตือรือร้นของพระศรีราหุลเถระและลูกศิษย์ด้านอิทธิพลฮินดูสะท้อนให้เห็นในคัมภีร์ คิรสันเดศยะ เพียงเพื่อสรรเสริญพระเถระในฐานะผู้แตกฉานในวิชาหลายหลากเท่าน้ัน๑๒๗ และยังให้รายละเอียดเกี่ยวกับความตื่นตัวของชาวบ้านในการศึกษาเทวนิยายของฮินดูด้วย๑๒๘ จึงพอสรุปได้ว่าการศึกษาลัทธิฮินดูยังปรากฏมีตามปริเวณะ แต่ไม่มีค�าสอนของศาสนาอื่น จากข้อมูลเบ้ืองต้นท�าให้เห็นว่าปริเวณะสมัยอาณาจักรโกฏเฏน้ันได้เปิดโอกาสแก่ นักเรียนสามารถศึกษาวิชาหลากหลายอย่างกว้างขว้าง ส�าหรับปัทมาวตีปริเวณะที่แครคละ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของคณะสงฆ์ฝ่ายวนวาสีน้ัน มีหลักสูตรที่เป็นของตนเองเฉพาะ ขณะที่ วิชัยพาหุปริเวณะท่ีโตฏคามุวะ อันศูนย์กลางการศึกษาของคณะสงฆ์ฝ่ายคามวาสีอนุญาตให้ นักศึกษาเรียนหลากหลายวิชาโดยไม่มีข้อห้าม ส่วนระบบชั้นของผู้ศึกษาตามปริเวณะน้ันอาจจะมีการทดสอบความสามารถ แต่ไม่ สามารถหาข้อมูลมายืนยันว่ารูปแบบการศึกษาคณะสงฆ์เป็นอย่างไร ดัมพเดณิกติกาวัตรบอก วา่ มกี ารทดสอบหลายอยา่ งตามยคุ สมยั เนน้ พระนกั ศกึ ษาเปน็ หลกั โดยเฉพาะการทดสอบความ จ�า การย่อคัมภีร์ และเชาวน์ปัญญา๑๒๙ ความจริงเป็นการทดสอบด้วยการให้นักศึกษาท่องจ�า สิ่งที่เรียนมา๑๓๐ คัมภีร์คิรสันเดศยะระบุถึงกลุ่มของพระนักศึกษาแห่งวิชัยพาหุปริเวณะ ซึ่ง ช่ืนชอบการท่องจ�าไวยากรณ์๑๓๑ ดัมพเดณิยะกติกาวัตรแสดงให้เห็นวิธีทดสอบความสามารถ ด้านการจดจ�าบนพื้นฐาน เฉกเช่นเดียวกันกับนักศึกษาแห่งวิชัยพาหุปริเวณะเตรียมตัวเพื่อ ทดสอบความจ�าด้วยการใช้ไวยากรณ์ วิธีท่ีสองเป็นการทดสอบปริกศาเคนะ ซึ่งระบุไว้ในดัมพเดณิกติกาวัตรว่าเสนอการ ทดสอบสรุปเน้ือหาหนังสือและเชาวน์ปัญญา๑๓๒ กติกาวัตรบอกอีกว่านักศึกษาสามารถตอบ ค�าถามโดยวิธีเปรียบเทียบ และส่วนตรงกันข้ามจากเริ่มต้นจนถึงสุดท้ายของคัมภีร์ นักศึกษา บางคนในวิชัยพาหุปริเวณะศึกษาสิกวลัณฑะโดยวิธีการสอบสวนจากคัมภีร์ตั้งแต่เริ่มต้น ถึงสุดท้าย๑๓๓ น้ีเป็นความจ�าเป็นเพราะท�าให้จิตใจสดช่ืนด้วยการสามารถรวบรวมความคิด ความสามารถในการทรงจา� และความชาญฉลาด เพอ่ื สรปุ ดว้ ยตนเอง ขอ้ มลู ทแี่ สดงในดมั พเดณิ กติกาวัตรเกี่ยวข้องกับการทดสอบความประพฤติของพระนักศึกษา อาจจะยืนยันถึงโครงสร้าง หลักของการศึกษาในสถาบันการศึกษาคณะสงฆ์แห่งยุคโกฏเฏด้วย

134 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ บรรยากาศตามปริเวณะ ส�าหรับวิธีการสอนน้ันอาจจะดัดแปลงมาจากยุคก่อน ซ่ึงเป็นรูปแบบประเพณีสืบต่อ กันมา อาจารย์จะสอนท่องคัมภีร์และเป็นหน้าท่ีของนักเรียนที่จะต้องฟังครูสอนอย่างต้ังใจและ เรียนคัมภีร์จากปากของอาจารย์ ส่วนพระนักศึกษาท่ีอาศัยอยู่ภายในวัดกับอาจารย์แห่งตน แต่ละวันผ่านไปต้องท�าหน้าที่หลายอย่าง หน้าที่เหล่านี้มีกล่าวไว้ในเหรณสิกขา๑๓๔ การฝึกจิตใจ และมารยาทเป็นรูปแบบหน่ึงของการฝึกฝนตั้งแต่เป็นสามเณร อาจารย์ต้องคอยดูแลเอาใจใส่ นักศึกษาเพราะถือว่าเป็นหน้าที่ ส่วนหน้าท่ีดูแลพระเถระและการเรียนการสอนเป็นส่วนส�าคัญ ในชีวิตของนักศึกษา แต่ละวันก็ต้องทบทวนหนังสือแต่เช้า อธิบายและสนทนาแลกเปล่ียน ด้วยการถามและตอบ๑๓๕ สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นโครงสร้างการศึกษาหลักของยุคน้ัน๑๓๖ ส�าหรับภาษาที่น�ามาสอนในปริเวณะส่วนใหญ่เป็นภาษาสิงหล เพราะนักเรียนล้วนพูด ภาษาสงิ หล แตภ่ าษาบาลแี ละภาษาสนั สกฤตก็อาจจะมใี ชเ้ มอ่ื ตอ้ งการ หลกั ฐานบอกวา่ นกั ศกึ ษา บางคนของปัทมาวตีปริเวณะมาจากอุษาคเนย์ นักศึกษาบางท่านในวิชัยพาหุปริเวณะมาจาก อนิ เดยี ใต๑้ ๓๗ พระสงฆจ์ ากตา่ งแดนทเี่ ดนิ ทางมาเรยี นในสถาบนั เหลา่ นใ้ี ชภ้ าษาบาลเี ปน็ ภาษากลาง สอดคล้องกับหลักฐานในคัมภีร์ทาฐาวังสะว่าจุดประสงค์ของผู้เขียนต้องการแปลเรื่องราว เกี่ยวกับพระเข้ียวแก้ว จากภาษาสิงหลเป็นภาษาบาลี เพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านดินแดน เหล่าอ่ืน๑๓๘ พระสงฆ์จากดินแดนอุษาคเนย์ซึ่งเดินทางมาเรียนพระไตรปิฎกภายใต้การแนะน�า ของพระวนรัตนเถระแห่งแครคละ ได้ใช้ภาษาบาลีเป็นภาษากลางในการศึกษาเล่าเรียน เพราะ ถือว่าเป็นภาษานานาชาติในโลกเถรวาท อาจเป็นไปได้ว่าภาษาสันสกฤตเป็นภาษากลางส�าหรับสอนเฉพาะวิชาในแวดวงจ�ากัด การอพยพของพราหมณ์เข้าสู่ศรีลังกาและการแพร่หลายด้านวัฒนธรรมของพราหมณ์เริ่มมี อิทธิพลแพร่หลายยุคกลาง๑๓๙ โดยเฉพาะสมัยอาณาจักรโกฏเฏ คัมภีร์คิรสันเดศยะระบุถึง พราหมณ์หนุ่มศึกษาคัมภีร์พระเวทจากวิชาหลากหลายที่วิชัยพาหุปริเวณะ๑๔๐ แม้รามจันทรภาวตี ก็มาจากปริเวณะเดียวกัน อาจเป็นไปได้ว่าในกรณีของนักศึกษาผู้เป็นพราหมณ์ภาษากลาง ส�าหรับการเรียนการสอนน่าจะเป็นภาษาสันสกฤต ข้อมูลจากแหล่งน้อยใหญ่ยังกล่าวถึงห้องสมุดในฐานะเป็นอีกรูปแบบหน่ึงของการ เรียนการสอนด้วย คัมภีร์จุลวงศ์บอกว่าพระเจ้าภูวเนกพาหุท่ี ๓ โปรดให้คัดลอกพระไตรปิฎก ท้ังหมดแล้วมอบถวายแก่อารามวิหารน้อยใหญ่ท้ังปวง เพ่ือป้องกันการสูญหายเส่ือมโทรมของ พระไตรปิฎก๑๔๑ พระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๔ โปรดให้แปลคัมภีร์ชาดกภาษาบาลีเป็นภาษาสิงหล

การศึกษาคณะสงฆ์ 135 แล้วแจกจ่ายตลอดเกาะลังกาเพื่อเก็บรักษาไว้ภายในอารามวิหาร๑๔๒ และการคัดลอกหนังสือ ในสุเนตราเทวีปริเวณะที่แปปิลิยานะ๑๔๓ ส่วนพระเจ้าเสนาสัมมตวิกรมพาหุแห่งอาณาจักรแคนดี ก็โปรดให้ใช้จ่ายเงินจ�านวนมากเพ่ือคัดลอกคัมภีร์ส�าคัญเช่นกัน๑๔๔ นอกจากสุเนตราเทวี ปริเวณะแล้ว จ�าต้องมีสถานท่ีแห่งอื่นท่ีได้คัดลอกต�าราเก็บรักษาเอาไว้ หนังสือนามมาลาของ พระศรีสุภูติเถระได้ระบุจ�านวนหนังสือไวยากรณ์ ๕๓ เล่ม ซ่ึงคัดลอกมาจากคัมภีร์ปัญจิกา ประทีปยะของพระศรีราหุลเถระอีกทีหนึ่ง๑๔๕ หลักฐานส่วนน้ีท�าให้จินตนาการถึงหนังสือจ�านวน มากในห้องสมุดวิชัยพาหุปริเวณะ ซ่ึงน่าจะมีหนังสือเก่ียวกับศาสนาและหลากหลายสาขาวิชา ผู้อุปถัมภ์หลักของปริเวณะคือกษัตริย์โดยพระราชทานท่ีดินเรือกสวนหรือหมู่บ้าน เพื่อให้เพียงพอต่อการบ�ารุงรักษา๑๔๖ บางกรณีเก็บข้าวหรือพืชไร่อย่างอื่นหรือเงินโดยบันทึกใน บญั ช๑ี ๔๗ หรอื แมแ้ ตก่ ารเกบ็ ภาษแี ละคา่ สนิ ไหม๑๔๘ ทเี่ ปน็ สว่ นพระราชทานมอบถวายแกป่ รเิ วณะ เหล่าน้ี บางกรณีเมื่อสร้างปริเวณะเสร็จแล้วก็พระราชทานท่ีดินและไร่นาจ�านวนมากเพ่ือบ�ารุง รักษาสถาบันแห่งน้ันด้วย๑๔๙ หลักฐานบางแห่งอธิบายว่ากษัตริย์โปรดให้พระราชทานที่ดิน จ�านวนมากรวมถงึ หมบู่ า้ นมหาโกฑะและวลั ปิฏยิ ะแกพ่ ระศรรี าหลุ เถระ ผ้เู ปน็ เจา้ สา� นักวชิ ยั พาหุ ปริเวณะ๑๕๐ สันนิษฐานว่าอาจจะเพ่ือบ�ารุงรักษาสถาบันแห่งน้ี จารึกแครคละหลักที่ ๒ บันทึกไว้ ว่าพระเจ้าปรากรมพาหุทรงพระราชทานที่ดินและไร่นาแด่พระวนรัตนเถระผู้เป็นเจ้าส�านัก แห่งปัทมาวตีปริเวณะ๑๕๑ พระบรมราชูทิศอรัมแกเลของพระเจ้าภูวเนกพาหุที่ ๖ อธิบายถึง การพระราชทานที่ดินและไร่นาแก่พระวีทาคมไมตรียเถระและลูกศิษย์ผู้ใหญ่ของท่านนามว่า พระนิยันทวเนผุสสเทวสุมังคลเถระ ผู้เป็นเจ้าส�านักแห่งธรรมราชาปริเวณะท่ีเอรพัตโตฏะ๑๕๒ สา� หรบั หลกั ฐานเกยี่ วกบั คา่ เลา่ เรยี นตามปรเิ วณะไมม่ กี ลา่ วถงึ อาจเปน็ ไปไดว้ า่ ปรเิ วณะ สงเคราะห์การศึกษาโดยไม่เก็บค่าเล่าเรียน ท้ังแก่พระนักศึกษาและฆราวาสผู้ปรารถนาเข้ามา ศึกษาเล่าเรียน พระภิกษุสามารถมาพ�านักพักอาศัยโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เพียงท�าหน้าที่ อุปัฏฐากตามสถานะแห่งตน๑๕๓ พระธรรมวิสุทธิเถระวิเคราะห์ดัมพเดณิกติกาวัตรว่าพระสงฆ์ บางรูปอาจจะรับของตอบแทนจากฆราวาส เพราะท�าหน้าท่ีสั่งสอนลูกหลาน๑๕๔ น่าสังเกตว่า การประพฤติตัวเช่นน้ันมิได้ผิดหรือไม่เหมาะสม เพราะระบบการศึกษาคณะสงฆ์ควรมีการ วิจารณ์ ความจริงคือกติกาวัตรต�าหนิการประพฤติเช่นน้ีซึ่งเกิดข้ึนจนเป็นเรื่องธรรมดา ไม่สามารถรู้ได้ว่ากติกาวัตรห้ามประพฤติเช่นน้ันหรือไม่ แต่แปปิลิยานะกติการวัตรได้ต�าหนิ ความประพฤติเช่นว่าน้ี ซึ่งเกิดข้ึนจนกลายเป็นปกติ แม้จะมีกล่าวถึงในกติกาวัตรหลายยุค หลายสมัย แต่ไม่มีหลักฐานพอที่จะรู้ได้ว่าการประพฤติท่ีผิดวินัยเช่นนี้มีตามปริเวณะหรือ

136 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ ไม่ เพราะการศึกษาแบบปริเวณะเป็นการศึกษาไม่เสียค่าเล่าเรียน การทดแทนค่าใช้จ่ายคือ นักศึกษาควรดูแลอาจารย์ ส่วนนักศึกษาฆราวาสควรถวายส่ิงของเป็นทานและปัจจัยเล้ียงชีพ อย่างอ่ืนแทนท่ี ปริเวณะมีพัฒนาการเจริญรุ่งเรืองสูงสุดภายใต้ราชูปถัมถ์ของพระเจ้าปรากรมพาหุ ท่ี ๖ การปกครองบ้านเมืองของพระองค์มิใช่เพียงแต่สนับสนุนนักปราชญ์และก่อสร้างสถาบัน การศึกษาเท่านั้น แต่ได้อุปถัมภ์ช่วยเหลือสนับสนุนทุกส่ิงอย่าง นักกวีร่วมสมัยบางท่านกล่าว สรรเสริญพระองค์ว่าเปรียบเทียบเสมอพระเจ้าโภชะ ผู้สงเคราะห์การศึกษาของอินเดียสมัย โบราณ๑๕๕ หลักฐานจากวรรณกรรมสมัยน้ันบอกว่า มีนักเขียนและนักกวีเป็นจ�านวนมากซ่ึงได้ รับการอุปถัมภ์จากพระองค์และแสดงความยินดีด้วยการแต่งกลอนในหอแห่งนักกวีนามว่า กวิการมฑอุวะ๑๕๖ การส่งเสริมการศึกษาของพระองค์อย่างเต็มที่ปรากฏเห็นเป็นหลักฐานใน คัมภีร์รุวันมละ ซึ่งเป็นคัมภีร์ดัชนีของนักกวี๑๕๗ นอกจากพระเจ้าแผ่นดินแล้ว ยังมีเชื้อพระวงศ์ ผู้ฝักใฝ่ในการอุปถัมภ์การศึกษา ยกตัวอย่างเช่น พระนางอุลกุฑยเทวี พระราชธิดาพระองค์เล็ก ของพระองค์ ขอร้องให้พระศรีราหุลเถระแต่งชาดกเป็นฉันท๑์ ๕๘ ยุคน้ีถือว่าเป็นยุคสมัยของชาว สิงหลโดยแท้ นันนูรุตุนัยยาร์พระราชบุตรเขยของพระองค์ก็แต่งดัชนีคัมภีร์นามมาตาวะ๑๕๙ เพราะการร้องขอของเจ้าชายพระองค์น้ีพระศรีราหุลเถระจึงแต่งคัมภีร์แสฬลิหิณิสันเดศยะ๑๖๐ เสนาบดีก็มีส่วนช่วยสนับสนุนการศึกษาเช่นกัน เช่นเสนาบดีผู้ชราท่านหน่ึงนามว่าสลาวตชัยปาละ ร้องขอให้พระวัตเตเวเถระขยายความเร่ืองราวในชาดกเป็นผลให้เกิดคัมภีร์คุตติกะกาวยยะ๑๖๑ หลักฐานเหล่านี้ช้ีบอกว่าการส่งเสริมการศึกษาของคนชั้นสูง ท�าให้เกิดมาตรฐานทางการศึกษา ซ่ึงแพร่หลายในสังคมชั้นสูงด้วย หลังจากรัชสมัยของพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๖ ปริเวณะประสบกับความเสื่อมโทรม ความเจริญรุ่งเรืองท่ีพบเห็นในรัชสมัยของพระองค์ กลับกลายเป็นความวุ่นวายแตกแยกกลาย เป็นการต่อสู้แย่งชิงอ�านาจระหว่างพระเจ้าชัยพาหุท่ี ๒ กับพระเจ้าภูวเนกพาหุที่ ๖ ระยะเวลา เพียงสามปีเกิดความแตกแยกจนเข้าสู่ภาวะสงคราม โดยเฉพาะการเข้ามาของโปรตุเกส เมื่อพุทธศักราช ๒๐๔๘ ความวุ่นวายขยายผลเป็นสนามรบสร้างความเสียหายต่อปริเวณะ ท้ังมวล หลังจากการสวรรคตของพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๖ แล้ว มีหลักฐานกล่าวถึงธรรมราชา ปริเวณะที่เอรบัตโตฏะ เจ้าส�านักคือพระนิยัณทวเนผุสสเทวะสุมังคลเถระ ซ่ึงเป็นศิษย์ผู้ใหญ่ ของพระวีทาคมไมตรียเถระ๑๖๒


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook