การศึกษาคณะสงฆ์ 137 การปลีกตัวออกจากสังคมของพระศรีราหุลเถระ อาจจะสร้างความเสียหายเกิดการ ล่มสลายหายไปของวิชัยพาหุปริเวณะ ซึ่งเป็นหน่ึงในสถาบันการศึกษาส�าคัญแห่งยุค สถานภาพ ของปัทมาวตีปริเวณะก็เช่นเดียวกัน เพราะภายหลังพระวนรัตนเถระแล้วไม่มีหลักฐานกล่าวถึง อีกเลย การขัดแย้งแข่งขันทางการเมืองท�าให้กษัตริย์ไม่สามารถอุปถัมภ์ปริเวณะเช่นอดีต เม่ือขาดราชูปถัมภ์เสียแล้วปริเวณะจึงต้องดูแลช่วยเหลือตัวเอง เป็นเหตุให้เกิดภาวะถดถอย ไม่สามารถคงความรุ่งเรืองสืบเนื่องยาวนาน ปัจจุบันถูกผลักไสอยู่ในสถานภาพเพียงการศึกษา ภายในวัดเท่าน้ัน๑๖๓ ดังคณะกรรมาธิการโคลบรูกกล่าวถึงในพุทธศตวรรษท่ี ๒๔๑๖๔
138 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ เชิงอรรถ 1 HBC., p.132. 2 Saratthadipani, ed. T. Davarakkhita, Colombo, 1914, p.510. 3 Mv.,35.57; 36.10. 4 Cv.,45.29; 48.135. 5 CCMT., p.193. 6 R.C. Childers, A Dictionary of the Pali Language, London, 1875, sv. 7 Nks., p.7; see also, Sdhrt., pp.135, 334, 335, 343, 345; HBC., p.132; EZ., 3. pp.223, a1. 8 Cv.,46.31. 9 Cv.,46,31. 10 EZ., 1. p.45. 11 Cv.,78.48ff. 12 Cv.,86.37-38. 13 Pjv., p.41. 14 Kts., p.9. 15 Grs.,vv. 54,57; Kks.,vv.116, 120; Rjv., pp.48,54. 16 Sdhrt., p.294. 17 Hms.,v.200. 18 JCBRAS., xxxii, no.86, pp.298-304. 19 Hms.,189ff. 20 Cv., tr. p.203, n.3. 21 Cv.,90.88ff. 22 Jinacarita, (PTS), ed. T.W. Rhys Davids, London, 1896, p.31. 23 Kotte Yugaye Sinhala Sahityaya, p.87; Dhammavisuddhi, op.cit, p.251, 1937, p.14ff. 24 UCHC., p.718ff. 25 Kks.,v.77. 26 Kks.,v.81. 27 Grs.,vv.214ff. 28 Myrs.,v.71. 29 Rjv., p.48.
การศึกษาคณะสงฆ์ 139 30 Ibid. 31 Cv., 90.98ff. 32 Myrs.,v.27. 33 Hms.,v.201ff. 34 Kks.,v.291. 35 Kks.,v.291. 36 PLS., p.248. 37 Cv.,83.50. 38 Cv.,90.94ff. 39 Cv.,91.24ff. 40 Kts., p.40ff. 41 EZ., 1. p.46. 42 Vmkts., p.215. 43 Pdst.,vv.1-2. 44 Vrttamala, Br.MUSMs. Or. 6611 (189), folio, Ki. 45 Ep.Birm, 3. no. 2. p.249. 46 Ssl., p.144. 47 SSS., p.180. 48 Rkd., p.91. 49 Hms.,vv.169ff. 50 Hms.,vv.169ff. 51 Kts., p.15. 52 Grs.,vv.219ff. 53 Grs., 223. 54 Jkm., p.93. 55 Grs.,v.222; Hms.,v.109. 56 Grs.,v.219ff; Hms.,v.1701. 57 Samanera-Banadahampota, ed. G.Seelaratana, Panadura, 1937, p.14ff. 58 Mahavagga, 2, 25,33. 59 Ibid.v.4.2. 60 Kts., p.9ff. 61 Grs.,v.222.
140 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ 62 Hms.,v.169. 63 E.Muller, Ancient Inscriptions of Ceylon, no.137, p.11; Kts., p.2 and 10. 64 Sikhavalanda, ed. D.B. Jayatilaka, Kelaniya, 1945, preface, p.ii. 65 Hms.,v.172. 66 Kts., p.10. 67 i.e. bhikkhu-bhikkuni matika, or Patimokkha. 68 ตัวอย่างเช่นคัมภีร์ภาณวารบาลีทั้ง ๔ แห่งคัมภีร์พระปริตร 69 โอกาสการแสดงอนุโมทนาทาน คือการถวายทานแก่คณะสงฆ์ 70 Samantapasadika, ed. J. Takakusu and Nakoto Nagai, Oxford University Press, 1934, iv. p.788ff. 71 Ibid. 72 Kts., p.11. 73 Kts., p.12. 74 Kts., p.12; Smp., p.577. 75 Hms.,v.173; Kts.,p.11. 76 ตัวอย่างเช่นวินัยท้ังสองเรียกว่าปาราชิกและปาจิตตีย์ 77 Kts., p.11. 78 Grs.,vv.219-221. 79 Smp., p.577. 80 สี่นิกายหลักของพระสุตตันตปิฎก คือ ทีฆะ มัชฌิมะ สังยุตตะ และอังคุตตระ 81 เจ็ดคัมภีร์ของพระอภิธรรมปิฎก คือ ธัมมสังคณี วิภังค์ ธาตุกถา ปุคคลปัญญัติ กถาวัตถุ ยมก และ ปัฏฐาน see Sahityaya, p.128. 82 KTS., p.11. 83 Hms.,v.174. 84 Hms.,vv.175 and 176; Grs.,vv.229. 85 Hms.,v.184ff. 86 Sls.,v.108; Grs.,v.231ff; Kvsk.,v.11; TB., p.155. 87 Kks.,v.291; SSL., p.43. 88 Grs.,v.226ff. 89 PLC., p.186. 90 PS., p.523. 91 Hms.,v.171; PLC., p.87.
การศึกษาคณะสงฆ์ 141 92 Cv.,64.2ff. 93 Grs.,v.223. 94 D.Pannasara, The Sanskrit Literature of Ceylon, Colombo, 1954, p.7. 95 Kvsk., preface, pix ff; R. Tennakon, Sri Rahula Krti, Colombo, 1956, p.23. 96 Hms.,v.187ff. 97 Pannasara, op.cit., p.117. 98 SSS., p.10ff. 99 Bhakti-sataka, ed. Ratnakara, Colombo, 1939. 100 Vrttamala, ed. W. Dipankara, Panadura, 1918. 101 N. de S. Wijesekara, ‘Sanskrit Civilization among the Ancient Sinhalese’, CHJ., 1, 1951, no. 1. p.29. 102 Hms.,v.178; Grs.,v.227. 103 See above chapter one. 104 C.E. Godakumbura, Sinhalese Literature, p.152. 105 See above chapter two. 106 EZ., 3. p.64ff. 107 Grs.,v.227. 108 Kts.,v.286. 109 Subhasitaya,v.3. 110 Hms.,v.188; Grs.,v.235ff. 111 Hms.,v.190ff. 112 Kts., p.12. 113 Grs.,v.225. 114 Mahavagga, 1, pp.199-152. 115 Kts., p.12. 116 Mahayansutralankara, ed. Sylvan Levi, 1907, p.70. 117 Grs.,v.225. 118 Grs.,v.224. 119 Prs.,v.43f; Sls.,v.15ff. 120 Grs.,v.226. 121 Kvsk., preface, p.22 and cantos, 14 and 18. 122 Grs.,v.238.
142 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ 123 Grs.,v.227. 124 Grs.,v.227. 125 Hms.,189 and 241. 126 Bdgnl.,v.134ff. 127 Grs.,v.241ff. 128 Grs.,v.114ff. 129 Kts., p.11. 130 Ibid. 131 Grs.,v.222. 132 Kts., p.11. 133 Ibid. 134 Samanera Banadahampota, p.9ff. 135 Grs.,vv.219, 220 and 223. 136 A.A. Altekar, Education in Ancient India. Benares, 1934, p.112; R.K. Mookerji, Ancient Indian Education, London, 1947, p.327. 137 See above p.148ff. 138 Dathavamsa,v.10. 139 UCHC., p.767. 140 Grs.,v.223. 141 Cv.,90.37. 142 Cv.,90.84. 143 Kts., p.4.ff. 144 Rjrt., p.57. 145 B. Subhuti, Namamala, Colombo, 1876, p.2ff. 146 See above chapter four. 147 HBC., p.141. 148 HBC., p.141. 149 Kts., p.31 ff. 150 Grs.,v.234. 151 JCBRAS., xxxii, no.86, p.298ff. 152 SSL., p.42f.
การศึกษาคณะสงฆ์ 143 153 Cullavagga, vi.21.1-2; Sikhavalanda, p.32ff; S. Dutt. Early Buddhist Monarchism, London, 1924, p.177ff. 154 Dhammavisuddhi, op.cit., p.309f. 155 Parakumbasirita,v.16. 156 KYSS., p.1. 157 Ruvanmala, ed. G.Silananda, Kandy, 1934. 158 Kvsk.,vv.14-22. 159 Namamalava, ed. Alwis, Colombo, 1914. 160 Sls.,v.96. 161 Guttila-kavyaya,v.7. 162 SSL., p.43. 163 Queroz., p.281. 164 Colebrook-Cameron Papers, ed. G.C. Mendis, 1956, p.84; R. Ruberu, Eduction in Colonial Ceylon, Colombo, 1962, p.241.
๖ ความสัมพนั ธก์ ับดนิ แดนอุษาคเนย์
ความสัมพันธ์กับพม่า ชื่อเสียงและความรุ่งเรืองของคณะสงฆ์ลังกาเจริญถึงขีดสุดสมัยพุทธศตวรรษท่ี ๒๐ จนดินแดนเหล่าอ่ืนเห็นว่าเกาะลังกาเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาเถรวาท โดยเฉพาะจารีต ปฏิบัติแห่งส�ำนักมหาวิหารที่มีการด�ำรงรักษาสืบต่อ สมัยน้ีพระพุทธศาสนาบนแผ่นดินพุทธภูมิ ได้สูญหายเป็นที่เรียบร้อยแล้วเนื่องการบุกรุกท�ำลายของมุสลิม ชาวพุทธตามอาณาจักรน้อย ใหญ่ไม่สามารถเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถานบนดินแดนชมพูทวีปได้ สถานการณ์เช่นนี้ เกดิ มขี น้ึ ตง้ั แตพ่ ทุ ธศตวรรษที่ ๑๕-๑๗ ดว้ ยเหตนุ จี้ งึ เปน็ ผลใหเ้ กาะลงั กากลายเปน็ แดนดนิ แดน ศักดิ์สทิ ธ์ิของชาวพุทธ เพราะพระสารรี กิ ธาตุ พระพทุ ธรูป และประติมากรรมได้รบั การคมุ้ ครอง รักษาด้วยความเคารพศรัทธาหวงแหน การเดินทางมาเยือนเกาะลังกาของพระสงฆ์ต่างชาติ สมัยพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ มีรายละเอียดกล่าวไว้๑ อันเนื่องมาจากตลอดพุทธศตวรรษท่ี ๑๘-๒๐ ความรุ่งเรืองของพระศาสนาท�ำให้ พระสงฆต์ า่ งชาตจิ ากทศิ านทุ ศิ เดนิ ทางมาเยอื นเกาะลงั กา จดุ ประสงคก์ ม็ หี ลากหลายอยา่ ง ตง้ั แต่ บวชแปลงเป็นลังกาวงศ์และฝึกฝนเรียนรู้ภายใต้การดูแลของพระสงฆ์สิงหล หรือศึกษาคัมภีร์ พระไตรปิฎกภายใต้การแนะน�ำของพระมหาเถระแห่งส�ำนักมหาวิหาร๒ การเช่ือมสัมพันธ์อย่าง ใกล้ชิดระหว่างศรีลังกากับอาณาจักรชาวพุทธเหล่าอื่น เห็นได้จากหลักฐานและอนุสรณ์สถาน มากมายทางประวัติศาสตร์ของประเทศเหล่าน้ัน แต่เป็นเร่ืองแปลกคือตำ� นานศรีลังกาไม่กล่าว ถึงภารกิจด้านน้ีเลย สมัยนี้ศูนย์กลางพระพุทธศาสนาคืออินเดียได้สูญหายไป คณะสงฆ์ ศรีลังกาได้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประเทศเพื่อนบ้านทางดินแดนอุษาคเนย์ ความเก่ียวข้อง เชิงวัฒนธรรมของศรีลังกากับประเทศแถบอุษาคเนย์สามารถย้อนรอยถอยหลังไปถึงสมัย อนุราธปุระ
ความสัมพันธ์กับดินแดนอุษาคเนย์ 147 ปิแอร์ดูปองต์ได้ตรวจสอบพระพุทธรูปสององค์จากชวาและเซเลเบสแล้วได้ยืนยันว่า เป็นอิทธิพลวัฒนธรรมทางประติมากรรมของสิงหล๓ โดยก�าหนดอายุพระพุทธรูปจากเซเลเบส ว่าประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘ มิเรลลา เลวี ดี อันโคนา ไม่เห็นด้วยกับอายุของพระพุทธรูป ท้ังสององค์นั้น แต่ยอมรับความเป็นไปได้ว่ามีก�าเนิดมาจากศรีลังกา๔ ยอซ์ส เซอร์เดย์ก็เห็นว่า ประติมากรรมบางอย่างจากอุษาคเนย์อยู่ภายใต้อิทธิพลส�านักอมราวดีผ่านมาทางเกาะลังกา๕ เทวประสารทโกฆได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับพระพุทธรูปพระอวโลกิเตศวรซึ่งค้นพบท่ีบินกิน ในเขตปาเล็มบังบนเกาะสุมาตรา โดยบอกว่าเป็นเพราะแรงบันดาลใจจากพระพุทธรูปที่ได้รับ มาจากศรีลังกา หากเปรียบเทียบกับรูปปั้นของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรที่สิตุลพาวะ น่าจะ ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๒๒๖ จารึกจากท่ีราบสูงรตุบะกะในชวาตอนกลางช้ีว่าอาจจะมีการติดต่อสัมพันธ์เชิงศาสนา กับศรีลังกาอย่างน้อยในตอนสุดท้ายของพุทธศตวรรษท่ี ๒๓ เดคาสปาริสได้แสดงความเห็น ว่า ศรีลังกาได้แสดงบทบาทอารยธรรมอินเดียแก่อุษาคเนย์๗ จารึกน้ีแสดงถึงความมีอยู่ของ ส�านักอภัยคิรีวิหารแห่งพระสงฆ์ศรีลังกาตามหัวเมืองใหญ่น้อย เดอ คัสปาริสบันทึกไว้ว่า หลักฐานส�าคัญสุดเป็นรายนามของผู้สร้างอภัยคิรีวิหาร ซ่ึงเป็นอารามแห่งหน่ึงอันโด่งดัง สมยั อนรุ าธปรุ ะ การยนื ยนั เชน่ นมี้ ใิ ชเ่ ปน็ เรอื่ งบงั เอญิ ความจรงิ คอื เปน็ การกอ่ สรา้ งอภยั คริ วี หิ าร ครง้ั ทส่ี อง ไมว่ า่ จะเปน็ การเลยี นแบบทด่ี กี วา่ หรอื วา่ แยก่ วา่ สงิ่ กอ่ สรา้ งซงึ่ มเี พยี งพอตามธรรมดา ในรูปแบบหรือจิตวิญญาณหรือทั้งสองอย่าง ยิ่งกว่าน้ันการขุดค้นท่ีราบสูงรตุบะกะอาจจะ เชื่อมโยงหลักฐานสามารถให้ความถูกต้องเก่ียวกับส่ิงก่อสร้าง ปัจจุบันการค้นคว้าสรุปว่า อาจจะคัดลอกมาจากจารึก แสดงถึงความเก่ียวพันทางวัฒนธรรมระหว่างชวากับลังกาใน ยุคไศเรนทร์๘ บรรดาประเทศทางอุษาคเนย์นั้น ศรีลังกามีความใกล้ชิดกับประเทศพม่ามากสุด หลงั จากพระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี ลม่ สลาย ชาวพทุ ธศรลี งั กาเรมิ่ หนั มาตดิ ตอ่ กบั พมา่ มากขนึ้ คมั ภรี จ์ ลุ วงศร์ ะบวุ า่ พระเจา้ วชิ ยั พาหทุ ่ี ๑ ไดจ้ ดั สง่ คณะราชทตู เดนิ ทางไปเขา้ เฝา้ กษตั รยิ ์ พม่าพระนามว่าอนุรุทธ์ ขอร้องให้พระองค์ส่งพระภิกษุสงฆ์เดินทางมาฟื้นฟูการอุปสมบทใน ศรีลังกา ซึ่งได้ถึงจุดเสื่อมสูญคราวทมิฬโจฬะยึดครองบริเวณส่วนมากของเกาะลังกา๙ ค�าขอ ร้องพร้อมด้วยการฟื้นฟูการอุปสมบทได้รับการตอบรับและส�าเร็จด้วยดี ต้ังแต่น้ันเป็นต้น มาสัมพันธภาพระหว่างสองอาณาจักรสืบเนื่องมาหลายศตวรรษ หากเชื่อตามคัมภีร์ชินกาล มาลีปกรณ์ พระเจ้าอนุรุทธ์ได้รับคัมภีร์พระไตรปิฎกจากประเทศศรีลังกาสมัยแห่งการครอง
148 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ ราชย์ของพระองค์๑๐ แต่หลักฐานส่วนน้ีอาจจะไม่ถูกต้องนัก เพราะศรีลังกาไม่มีสถานภาพท่ีจะ ช่วยเหลือประเทศอื่นได้ในขณะนั้น เพราะเป็นสมัยแห่งการฟื้นฟูอ�านาจของชาวสิงหล ลุซตั้งข้อ สงั เกตวา่ พระเจา้ อนรุ ทุ ธไ์ ดค้ ดั ลอกคมั ภรี พ์ ระไตรปฎิ กจากศรลี งั กาประมาณพทุ ธศกั ราช ๑๖๑๘ เม่ือพระมอญเดินทางมาศรีลังกาเพื่อช่วยชาวสิงหลฟื้นฟูพระพุทธศาสนา๑๑ หากเป็นเช่นนั้น พระไตรปิฎกน่าจะเข้าถึงเมืองพะโคในตอนท้ายแห่งการครองราชย์ของพระเจ้าอนุรุทธ์ ลุซช้ีว่าการเปล่ียนแปลงคร้ังใหญ่ของราชส�านักพะโคจากการนับถือมหายานตันตระหัน มาเป็นเถรวาท เกิดข้ึนในรัชสมัยของพระเจ้าครรชิตมากกว่าสมัยพระเจ้าอนุรุทธ์๑๒ ความจริง หลังรัชสมัยของพระเจ้าครรชิต วิถีแห่งศาสนาของเมืองพะโคอยู่ใต้อิทธิพลของสิงหลอย่าง มนั่ คง หลกั ฐานบางแหง่ บอกวา่ พระเจา้ ครรชติ โปรดใหร้ วบรวมและชา� ระพระไตรปฎิ กซง่ึ ผดิ พลาด และคลาดเคลื่อน๑๓ หลักฐานส่วนน้ีไม่ยืนยันความจริงได้ว่าสมัยเริ่มต้นแห่งการครองราชย์ พระองค์ทรงอุปถัมภ์การศึกษาและตรวจสอบพระไตรปิฎก การตรวจสอบแก้ไขคร้ังนี้มีพ้ืนฐาน ตรงตามส�านักมหาวิหารตามแนวทางของพระเจ้าอนุรุทธ์ ผู้ด�าเนินตามอย่างแห่งเถรวาทอย่าง เคร่งครัด๑๔ หลักฐานส่วนนี้แสดงให้เห็นถึงการบ�าเพ็ญพระราชกุศลของพระเจ้าครรชิต ตอนต้นแห่งการครองราชย์ของพระเจ้าครรชิต พระองค์โปรดให้แต่งชาดกซึ่งเคยมี ในเมืองพุกามโดยให้ช�าระใหม่ตามประเพณีของชาวสิงหล๑๕ อิทธิพลของพระพุทธศาสนายุคน้ี เห็นได้จากภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังและประติมากรรมมากมาย ในทางตรงกันข้ามภาพวาด แบบพราหมณ์ตามวัดยุคแรก ต้ังแต่การครองราชย์ของพระองค์ ก็มีปรากฏให้เห็นเช่นเดียวกัน ลุซต้ังข้อสังเกตว่าภาพวาดเหล่านี้อธิบายพุทธประวัติมีลักษณะลางเรือน กล่าวถึงวินัยแต่ละข้อ ตามพระวินัยปิฎก หรือพระสูตรแต่ละสูตรท่ีปรากฏในทีฆนิกายและมัชฌิมนิกาย ทั้งหมดมีช่ือ รายละเอียดตามแบบคัมภีร์พระไตรปิฎกของสิงหล๑๖ อิทธิพลสิงหลเกิดพัฒนาการเจริญ รุ่งเรืองแพร่หลาย ท้ังภาพวาดและประติมากรรมตลอดรัชสมัยของพระองค์ และถึงความเจริญ สูงสุดในปีหลังพระองค์สวรรคตแล้ว (พุทธศักราช ๑๖๕๖) หลักฐานเห็นได้จากวัดมิกบะกุบโยคยีก ซ่ึงสร้างโดยพระโอรสของพระองค์นามว่าราชกุมาร๑๗ จุดประสงค์คือการบรรยายว่าด้วย ประวัติศาสตร์ของชาวพุทธ และบอกเล่าเร่ืองราวต�านานสิงหล ซ่ึงด�าเนินตามคัมภีร์ทีปวงศ์ คัมภีร์มหาวงศ์ และคัมภีร์จุลวงศ์๑๘ การติดต่อทางวัฒนธรรมระหว่างศรีลังกากับพม่าสืบเน่ืองอย่างไม่ขาดสายตลอด ยุคกลาง ยกเว้นการขัดแย้งช่วงหน่ึง เมื่อพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๑ ได้ยกทัพเข้ารุกรานพม่า ตอนล่าง๑๙ ถึงแม้ว่าจะมีการกระทบกระทั่งกันทางการเมืองระหว่างศรีลังกากับพม่าระยะเวลา หน่ึง แต่ความผูกพันเหนียวแน่นทางศาสนาซ่ึงมีอยู่ระหว่างสองแผ่นดินไม่มีการขาดไปแต่
ความสัมพันธ์กับดินแดนอุษาคเนย์ 149 อย่างใด ความขัดแย้งคร้ังน้ันพระสงฆ์พม่าได้ขอร้องพระสงฆ์ลังกาให้ช่วยเพ็ดทูลพระเจ้า ปรากรมพาหุที่ ๑ เพื่อขอเป็นสัมพันธไมตรีดังเดิม๒๐ ต่อมาพระเจ้าวิชัยพาหุท่ี ๒ ได้ส่ง พระราชสาสน์เป็นภาษามคธมอบถวายแก่กษัตริย์พม่า โดยอ้างถึงมิตรไมตรีอันดีงามสมัย พระบรมอัยยิกาเจ้ากล่าวคือพระเจ้าวิชัยพาหุที่ ๑๒๑ จารึกของพระเจ้านิสสังกมัลละอ้างว่า พระองค์ได้เป็นมิตรไมตรีกับชาวพม่า๒๒ สัมพันธภาพพิเศษระหว่างศรีลังกากับพม่าคือการสถาปนานิกายสีหลนิกายในพม่า จารึกกัลยาณีระบุว่าพระเถระผู้ก่อตั้งนิกายน้ีคือพระฉปฏเถระ ผู้เดินทางมาศรีลังกาพร้อมกับ อาจารย์นามว่าอุตตราชีวมหาเถระ และพระพม่าอีกหลายรูปในรัชสมัยของพระเจ้าปรากรมพาหุ ท่ี ๑๒๓ พระฉปฏะไดบ้ รรพชาอปุ สมบทในศรลี งั กาและศึกษาเลา่ เรียนประเพณีศรีลังกาประมาณ ๑๐ ปี จนแตกฉานในพระไตรปิฎกและคัมภีร์อรรถกถา คราวเดินทางกลับพม่าบ้านเกิด ท่าน ได้พาเพื่อนพระสงฆ์ชาวศรีลังกามาด้วย ซึ่งล้วนแล้วแต่แตกฉานในคัมภีร์พระศาสนา๒๔ หลังจากเดินทางถึงพม่าแล้ว พระฉปฏะและพระสหธรรมิกเริ่มต้นประกอบพิธีอุปสมบทโดย แยกออกจากคณะสงฆ์พม่ากลุ่มเดิม แล้วต้ังคณะสงฆ์สิงหลหรือสีหลสังฆะขึ้นจนเป็นท่ีรู้จัก แพร่หลาย รายละเอียดเก่ียวกับเร่ืองน้ีมีอรรถาธิบายไว้ในในคัมภีร์สาสนวังสะ๒๕ จารึกพุกามระบุว่าพุทธศักราช ๑๘๐๓ พระสิงหลนามว่าอานันทเถระได้ปฏิรูป คณะสงฆ์พุกามด้วยรูปแบบอันเด่นชัดตามนัยแห่งส�านักมหาวิหารของศรีลังกา และได้รับ ความอุปถัมภ์เป็นอย่างดีจากเจ้าชายชัยวรรธนะผู้เป็นพระราชนัดดาของพระราชินีวตังสิกา๒๖ หลักฐานเกี่ยวกับพระราชินีวตังสิกาไม่แน่นอน ลูซต้ังข้อสังเกตว่ามีการอภิเษกสมรสเกี่ยว ดองระหว่างกษัตริย์พม่ากับเจ้าหญิงสิงหล พระนางวตังสิกาอาจจะเป็นหนึ่งในเจ้าหญิงเหล่า นั้น๒๗ นอกจากน้ันลูซยังสันนิษฐานอีกว่า พระราชชนนีชาวสิงหลพร้อมเหล่าอ�ามาตย์ท่ีเดินทาง มากับพระสงฆ์ลังกา กลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลในตอนปลายของอาณาจักรพุกาม๒๘ หลักฐานทาง โบราณคดชี ้บี อกวา่ พระสมณทตู พมา่ คดั ลอกแบบเจดยี ศ์ รลี งั กา แลว้ พฒั นาเปน็ เอกลกั ษณแ์ บบ หัมมิกะปัจจุบันยังหลงเหลือให้อนุชนรุ่นหลังศึกษา๒๙ พระเจ้าพินยาอูกษัตริย์แห่งอาณาจักร พุกามได้ส่งคณะราชทูตมาลังกา เพื่อทูลขอพระบรมสารีริกธาตุไปประดิษฐานภายในพระเจดีย์ ท่ีโปรดให้สร้างข้ึน๓๐ คัมภีร์สาสนวังสะระบุไว้ว่าพระสงฆ์สองรูปจากลังกานามว่าสิริธรรมาลังการะและ สีหลมหาสามีได้ข้ึนฝั่งท่ีเมืองกุสีมะ (พ.ศ.๑๙๗๒) ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาด้วย๓๑ กษัตริย์แห่งอาณาจักรพะโคพระองค์ต่อมาพระนามว่าพยินรามไม่ช่ืนชอบพระสงฆ์ลังกา จึงเนรเทศออกจากอาณาจักรของพระองค์ พระสงฆ์เหล่านั้นจึงเดินทางไปยังอาณาจักรสิริกเขตตะ
150 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ ซ่ึงพระเจ้าอังวะพระนามว่ามริญญนามโปรดให้การต้อนรับอย่างย่ิงใหญ่ พระสงฆ์ลังกาเหล่าน้ัน ต้ังมั่นอยู่ท่ีพม่าตอนล่างและเผยแผ่พระศาสนา๓๒ คัมภีร์ชินกาลมาลีปกรณ์กล่าวว่ามีพระสงฆ์ มอญจ�านวนมากได้ประกอบพิธีอุปสมบทที่กัลยาณีอุทกุกเขปสีมา (พ.ศ.๑๙๖๙)๓๓ กษัตริย์ พระองค์หนึ่งพระนามว่านรปติเป็นผู้สนับสนุนพระศาสนาเป็นอย่างดี พระองค์ทรงแต่งต้ัง พระมหาสามีเถระให้เป็นอาจริยะ คัมภีร์สาสนวังสะระบุว่าพระมหาสามีได้เดินทางไปลังกาและ ศกึ ษาพระไตรปฎิ กตามคา� แนะนา� ของพระมหาเถระ ครน้ั กลบั มาตภุ มู ไิ ดส้ ถาปนาคณะสงฆส์ งิ หล นิกายข้ึน๓๔ พระสงฆพ์ มา่ อกี รปู หนงึ่ นามวา่ ฉปฏะพา� นกั อยลู่ งั กายคุ เดยี วกนั หนงั สอื แตง่ แกค้ มั ภรี ์ อภิธัมมัตถสังคหะบอกว่าพระเถระรูปน้ีท�าหน้าที่ช�าระพระศาสนาในลังกา ด้วยความช่วยเหลือ ของพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๖ โดยท�าหน้าที่เป็นหัวหน้าผูกพัทธสีมาที่เมืองชัยวรรธนปุระ และ ฝึกสอนศิษย์ให้รู้พระวินัยปิฎกและพระอภิธรรมปิฎก๓๕ ไม่มีหลักฐานเก่ียวกับการช�าระ คณะสงฆ์สมัยน้ีเลย ปรณวิตานะแสดงความเห็นว่าไม่มีเหตุผลที่เกาะลังกาสมัยนี้ต้องปฏิบัติ ตามค�าสั่งของพระพม่า๓๖ ความจริงคือไม่มีหลักฐานบ่งถึงการช�าระคณะสงฆ์ในรัชสมัยของ พระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๖ ซึ่งกษัตริย์เห็นความจ�าเป็นตรวจสอบความเสื่อมโทรมของคณะสงฆ์ ซึ่งสืบเนื่องเรื่อยมาเป็นทศวรรษก่อนสมัยของพระองค์ แปปิลิยานกติกาวัตรจารึกไว้ชัดเจนว่า กฎเกณฑ์บางข้อเกิดผลกระทบ๓๗ อารัมภบทเกี่ยวกับกติกาวัตรระบุว่า เป็นการวางกฎเกณฑ์ เพื่อแนะน�าพระมังคลมหาเตรสามีแห่งวัดแปปิลิยานะ๓๘ มีหลักฐานเสริมอีกว่าพระเถระผู้น�า ทงั้ หมดเป็นผ้ใู ห้คา� ปรกึ ษาการออกกฎเกณฑ์นอ้ ยใหญ่ โดยเฉพาะพระสงฆ์พม่าเปน็ จา� นวนมาก ในลังกาสมัยนั้น พระเจ้านรปติแห่งเมืองอังวะจึงมอบถวายที่ดินหลายแห่งในเมือโกฏเฏ แล้ว สร้างวัดถวายพระพม่าผู้อาศัยอยู่ในเกาะลังกา และเพ่ือเป็นประโยชน์แก่ผู้เดินทางแวะมาเย่ียม หลายต่อหลายครั้ง๓๙ สรุปได้ว่าสมัยพระฉปฏเถระอยู่ในลังกาน้ัน ท่านต้องเป็นท่ีปรึกษาตาม โอกาสส�าคัญเป็นแน่ แม้จะมีความวุ่นวายทางการเมืองพระเจ้านรปติก็ยังคงรักษาความสัมพันธ์อันดีกับ ศรีลังกาเรื่อยมา กล่าวกันว่าพระองค์โปรดให้ส่งเคร่ืองราชบรรณาการคือทองและเงินเพ่ือบูชา พระเขี้ยวแก้ว ซึ่งขณะน้ันประดิษฐานที่เมืองโกฏเฏ๔๐ ผู้สืบทอดต่อมานามว่าติหัตหุระ สมัยน้ีมี ความวนุ่ วายภายในเมอื งองั วะระยะสนั้ ๔๑ แตพ่ ระองคย์ งั เจรญิ สมั พนั ธไมตรที างศาสนากบั ลงั กา เช่นเดิม พระเจ้าแผ่นดินและพระมเหสีได้ทรงท�าไม้กวาดด้วยพระเกศา ท�าด้ามด้วยอัญมณี โปรดให้ส่งมาท�าความสะอาดพื้นวัดพระเข้ียวแก้วแห่งเมืองโกฏเฏ๔๒ คณะราชทูตของพระองค์ ได้น�าผ้าเนื้อดีจากจีนน้อมถวายแก่กษัตริย์สิงหลด้วย
ความสัมพันธ์กับดินแดนอุษาคเนย์ 151 ความสัมพันธ์กับมอญ ต่อมาพระเจ้าธรรมเจดีย์กษัตริย์แห่งพม่าทางตอนใต้ได้ฟื้นฟูพระศาสนาขึ้นมาใหม่ ประมาณหนง่ึ ศตวรรษท่ีบา้ นเมอื งวุ่นวายเกิดความแตกร้าวทางการเมอื งครั้งใหญ่ การประพฤติ ของชาวพุทธก็ถูกละเลยเพิกเฉย๔๓ พระเจ้าธรรมเจดีย์ผู้เคยเป็นพระสงฆ์ได้ฟื้นฟูพระศาสนา ครั้งใหญ่ กล่าวคือทรงรวบรวมหลากหลายนิกายซ่ึงแข่งขันกันและกัน๔๔ จากน้ันทรงออกกฎ ระเบียบควบคุมทุกนิกาย การประนีประนอมด้วยการดึงนิกายน้อยใหญ่ให้รวมเป็นหนึ่งเดียว ภายใต้อ�านาจหน้าท่ีของสงฆ์และการอุปสมบทอย่างถูกต้อง๔๕ สมัยพระองค์เป็นยุคท่ีพระสงฆ์ ได้ร�่าเรียนศึกษาภายใต้พระสงฆ์สีหล พระองค์ทรงศรัทธาพระสงฆ์เถรวาทมาก สมัยน้ีมี พระสงฆเ์ ดนิ ทางไปสงั เวชนยี สถานหลายครงั้ และเดนิ ทางไปสา� นกั มหาวหิ ารแหง่ เกาะลงั กาดว้ ย เพราะเช่ือว่าศาสนาบริสุทธ์ิมีรูปแบบท่ีดีงามด�ารงคงอยู่อย่างโดดเด่นมั่นคง๔๖ เม่ือพระเจ้า ธรรมเจดีย์ทรงด�าริถึงการปฏิรูปคณะสงฆ์จึงเป็นธรรมชาติที่จะหันพระพักตร์ไปยังเกาะลังกา หลงั จากปรกึ ษาหารอื กบั พระสงฆผ์ เู้ ปน็ หวั หนา้ นกิ ายใหญน่ อ้ ยแลว้ พระเจา้ ธรรมเจดยี ์ ได้ตัดสินพระทัยส่งราชทูตไปลังกาเพ่ือขออุปสมบท หลักฐานนี้บันทึกไว้ในจารึกกัลยาณีมี ความว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ปัจจุบันวันน้ีการอุปสมบทของพระสงฆ์แห่งหัวเมืองมอญได้ ขาดสายจากคณะสงฆ์ในเกาะลังกามาเนนิ่ นาน แตโ่ ชคดียงั มกี ารดา� รงรักษาอย่ใู นเกาะลังกาและ มีความบริสุทธ์ิงดงาม สืบทอดพระธรรมวินัยต่อจากพระสงฆ์แห่งส�านักมหาวิหาร ซึ่งบริสุทธิ์ ไร้ต�าหนิด่างพร้อย ได้รับการอุปสมบทในอุทกุกเขปสีมาที่แม่น�้ากัลยาณี ประเพณีอุปสมบทอัน เปน็ หนอ่ เนอื้ แหง่ พระศาสนากป็ านประหนง่ึ หวา่ นพชื ชนั้ ดี จะเปน็ เหตใุ หแ้ ตกหนอ่ เพราะสามารถ อุปสมบทแก่กุลบุตรชาวมอญ ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ หากพระคุณเจ้าเดินทางไปอุปสมบทท่ี เกาะลังกา อานิสงส์แห่งคุณงามความดีย่อมจะหนุนส่งแก่ท่านมากมายเหลือพรรณนา๔๗ คร้ังนั้นพระเจ้าธรรมเจดีย์ได้นิมนต์พระมอญจ�านวน ๒๒ รูป พร้อมฆราวาสเดินทาง ด้วยเรือส�าเภาสองล�าในวันที่ ๙ มกราคม ๒๐๑๙๔๘ ผู้อัญเชิญเคร่ืองราชบรรณาการคือจิตรทูต และรามทูต เรือของคณะราชทูตโดยการน�าของจิตรทูตถึงเกาะลังกาด้วยความล�าบากตรงกับ เดือนกุมภาพันธ์ ๒๐๑๙๔๙ ส่วนเรืออีกล�าหน่ึงโดยการน�าของรามทูตถึงเกาะลังกาคล้อยหลัง เล็กน้อย กล่าวคือเดือนกรกฎาคม ๒๐๑๙ เมื่อคณะราชทูตเดินทางถึงเกาะลังกา มีข่าวลือกัน ว่าก�าลังมีกบฏต่อต้านพระเจ้าภูวเนกพาหุท่ี ๖๕๐ จารึกกัลยาณีบันทึกไว้ว่าพระราชอนุชาของ กษัตริย์เป็นผู้รับพระราชโองการให้เดินทางไปท่าเรือแวลิคามะ เพื่อปราบปรามพวกกบฏโดย ความช่วยเหลือของครวิอ�ามาตย์ ซึ่งเป็นผู้รักษาดูแลบริเวณหัวเมืองระหว่างโกฏเฏและแวลิคามะ ซ่ึงขณะนั้นคณะราชทูตมอญก�าลังทอดสมอเรือ๕๑ จารึกบันทึกไว้ว่าคณะราชทูตต้องหยุดเดิน
152 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ ทางโดยพักอยู่ท่ีเมืองแวลิคามะสามเดือน เนื่องจากเกรงว่าพวกกบฏจะท�าร้าย และรอคอยเวลา จนกระทั่งมีการปราบกบฏส�าเร็จ คร้ันคณะราชทูตเดินทางถึงเมืองโกฏเฏ พระเจ้าภูวเนกพาหุที่ ๖ โปรดให้พระสงฆ์แห่ง ส�านักมหาวิหารจัดแจงพิธีอุปสมบทแก่พระมอญ ๒๒ รูป พร้อมด้วยฆราวาสอีก ๒๒ คน คณะสงฆ์ท่ีเข้าร่วมสังฆกรรมครั้งนี้มีพระวีทาคมไมตรียเถระเป็นประธานสงฆ์ตามค�าทูลนิมนต์ ของกษัตริย์ ด้วยความเชื่อม่ันประเพณีที่สืบต่อกันมาจากพระสิงหลมหาเถระแต่เดิม ชาวมอญ ๔๔ คน ได้บูชาด้วยดอกไม้และของหอมอันเป็นศรัทธาชาวพุทธ และอนุญาตให้บวชเป็น สามเณร จากน้ันพระวนรัตนมหาเถระท�าหน้าที่มอบผ้าจีวร และให้นาคผู้ขอบวชสมาทาน รัตนตรัย๕๒ การอุปสมบทครั้งนี้ใช้เวลาถึงส่ีวันจึงบวชพระมอญส�าเร็จ วันแรกพระธรรมกิตติ มหาเถระท�าหน้าท่ีเป็นพระอุปัชฌาย์และพระปัญจปริเวณวาสีมังคลเถระท�าหน้าท่ีเป็นพระ กรรมวาจาจารย์ วันที่สองและสามพระวนรัตนเถระท�าหน้าที่เป็นพระอุปัชฌาย์และพระมังคล เถระทา� หนา้ ทเ่ี ปน็ พระกรรมวาจาจารย์ สว่ นวนั สดุ ทา้ ยพระมงั คลเถระทา� หนา้ ทเ่ี ปน็ พระอปุ ชั ฌาย์ และพระสีหฬราชยุวราชจริยมหาเถระท�าหน้าที่เป็นพระกรรมวาจาจารย์ เปน็ ทนี่ า่ สนใจวา่ พระศรรี าหลุ เถระผรู้ ง้ั ตา� แหนง่ พระสงั ฆราชไมไ่ ดเ้ ขา้ รว่ มพธิ อี ปุ สมบท คร้ังนี้ อาจเป็นเพราะความเป็นปรปักษ์กับกษัตริย์เร่ืองการเมือง จารึกกัลยาณีระบุท่านว่า เป็นพระสงฆ์ผู้ทรงคุณธรรมและด�ารงต�าแหน่งพระสังฆราชและเป็นเจ้าส�านักวิชัยพาหุ ปริเวณะ๕๓ ส่วนพระวนรัตนมหาเถระมีกล่าวถึงในจารึกว่าเป็นรูปเดียวกันกับพระวนรัตนเถระ แห่งแครคละ เพราะในจารึกระบุว่าท่านเป็นพระสังฆราช๕๔ ส่วนพระธรรมกิตติมหาเถระยืนยัน ว่าเป็นพระธรรมกิตติเถระ คัมภีร์โกกิลสันเดศยะระบุว่าท่านเป็นสมภารวัดโปโหยเกวิหารที่ เมืองโกฏเฏ๕๕ พระปัญจปริเวณวาสีมังคลเถระในจารึกเป็นพระมังคลเถระผู้เป็นสมภารสุเนต ราเทวีปริเวณะแห่งแปปิลิยานะ ผู้รั้งต�าแหน่งเจ้าอาวาสหลายแห่งสมัยพระเจ้าปรากรมพาหุ ท่ี ๖๕๖ มีความยุ่งยากเป็นอย่างยิ่งท่ีจะสืบค้นพระเถระนามว่าพระสีหฬราชยุวราชาจริยะ เพราะ ไม่มีหลักฐานกล่าวถึงต�าแหน่งนี้เลย พระสงฆ์ผ่านการอุปสมบทแล้วหลังจากเดินทางกลับพม่าได้จัดอุปสมบทข้ึนอีกท่ี เมืองมอญ มีพระมอญหลายรูปเข้าร่วมพิธีอุปสมบทครั้งน้ีตามรอยของพระสิงหล ด้วยวิธีการ เชน่ น้ี พระเจา้ ธรรมเจดยี จ์ งึ สามารถชา� ระคณะสงฆใ์ นราชอาณาจกั รใหบ้ รสิ ทุ ธไิ์ รม้ ลทนิ พระองค์ ทรงอุปถัมภ์พระสงฆ์สิงหลด้วยการให้ด�ารงต�าแหน่งสูงสุดพร้อมรวบรวมสงฆ์บนแผ่นดิน๕๗ การปฏิรูปของพระเจ้าธรรมเจดีย์เป็นเหตุการณ์ส�าคัญทางประวัติศาสตร์ของประเทศพม่า หลังจากปฏิรูปเรียบร้อยแล้วมรัมมะสงฆ์ซึ่งเป็นศูนย์การเรียนอันเก่าแก่ท่ีรักษาเร่ือยมา ต้ังแต่
ความสัมพันธ์กับดินแดนอุษาคเนย์ 153 พระโสณและพระอุตตรน�าศาสนาเข้ามาเผยแผ่มีความส�าคัญน้อยกว่าสีหลนิกาย ซึ่งได้รับการ แนะน�าเข้าสู่ประเทศโดยพระฉปฏเถระ และฟื้นฟูโดยพระสงฆ์ผู้ได้รับการอุปสมบทใหม่บริเวณ อุทกุกเขปสีมาที่แม่น�้ากัลยาณี ประเทศศรีลังกากลายเป็นเกาะทรงอิทธิพลและมีอ�านาจสูงสุด ต่อคณะสงฆ์พม่า๕๘ ความสัมพันธ์กับไทย อีกอาณาจักรหน่ึงในดินแดนแห่งอุษาคเนย์ท่ีมีความสัมพันธ์เก่ียวข้องกับประเทศ ศรีลังกาอย่างใกล้ชิดคือไทย ซ่ึงเป็นอาณาจักรปกครองตนเองเป็นอิสระตั้งแต่พุทธศตวรรษ ที่ ๑๘๕๙ แรกเริ่มปรากฏตัวในประวัติศาสตร์ชาวไทยทั้งมวลล้วนนับถือพระพุทธศาสนาเถรวาท จนกระทั่งเร็วน้ีมีความเห็นกันว่าพระพุทธศาสนามิได้เข้าไปสู่ลุ่มน้�าโขงจนกระทั่งพุทธศตวรรษ ที่ ๑๑ แต่การค้นพบแหวนหลายวงท่ีโอคเอียบริเวณท่าเรือฟูนันซ่ึงเขียนเป็นอักษรพราหมี จึงเชื่อว่าพระพุทธศาสนากลายเป็นที่รู้จักแพร่หลายบริเวณฟูนันโบราณต้ังแต่พุทธศตวรรษ ท่ี ๗๖๐ มีการตั้งข้อสังเกตว่าพระพุทธศาสนาในฟูนันเป็นหินยาน แต่ใช้ภาษาสันสกฤตบันทึก คัมภีร์๖๑ หลักฐานทางโบราณคดีพิสูจน์ถึงความแพร่หลายของลัทธิหินยานในอาณาจักรทวารดี สมัยอดีต ซ่ึงมีวัฒนธรรมครอบคลุมพ้ืนที่ขนาดใหญ่ในประเทศไทยยุคต้ังแต่พุทธศตวรรษ ท่ี ๑๑๖๒ จึงสันนิษฐานว่าชาวไทยนับถือพระพุทธศาสนาจากมอญด้านตะวันตกหรือจาก อาณาจักรศรีวิชัยในคาบสมุทรมาเลย์ ซ่ึงทั้งสองประเทศต่างรุ่งเรืองด้วยพระพุทธศาสนา เช่นกัน๖๓ คัมภีร์ชินกาลมาลีปกรณ์กล่าวถึงกษัตริย์พระนามว่าโรจราชาแห่งกรุงสุโขทัย หากถือ ตามหลักฐานประเทศไทยมีการติดต่อกับศรีลังกาเป็นคร้ังแรกประมาณพุทธศตวรรษท่ี ๑๘๖๔ การติดต่อดังกล่าวมีเรื่องเก่ียวข้องกับพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ซึ่งกษัตริย์สิงหลครอบครอง แต่เป็นเร่ืองยากนักท่ีจะเช่ือเรื่องนี้ ชัยวิกรมชี้ให้เห็นถึงความยุ่งยากเรื่องการค�านวณวันเดือนปี ที่เกิดข้ึนจากเร่ืองนี้ และบางเร่ืองบางเหตุการณ์อ่ืนเก่ียวกับคัมภีร์ชินกาลมาลีปกรณ์๖๕ นอกจาก ความยุ่งยากในการค�านวณวันเดือนปีแล้ว พระเจ้าโรจราชาในคัมภีร์ชินกาลมาลีปกรณ์ยังไม่ สามารถพิสูจน์ได้จากหลักฐานอ่ืน คัมภีร์เล่าว่ามีบุรุษรูปงามนามหน่ึงแห่งโกคามเป็นนักบวช ท่องเท่ียวไปตามป่า ได้พบนางฟ้าถูกรัดรึงด้วยมนตร์ปรารถนาจึงเสพกามารมณ์ด้วย ครั้นได้ อภิรมย์สมสู่กันแล้วจึงเกิดบุตรผู้มีรูปงามและทรงพลัง คร้ันต่อมาผู้คนยินดียกย่องให้เป็น กษัตริย์มีพระนามว่าโรจนราชา๖๖ แต่พระเจ้าโรจนะไม่ปรากฏว่ามีตัวตนทางประวัติศาสตร์ มีการต้ังข้อสังเกตว่าระหว่างรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๘ แห่งกัมพูชา คนไทย ได้ครอบครองดินแดนส่วนใหญ่อันเป็นประไทยปัจจุบัน๖๗ ก้าวย่างท่ีส�าคัญคือหัวหน้าคนไทย
154 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ ไดแ้ ตง่ งานกบั พระราชธดิ าของพระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี ๘ ตอ่ มาชนะพวกขอมผปู้ กครองแหง่ ลมุ่ แมน่ า�้ แล้วก่อตั้งอาณาจักรสุโขทัยขึ้น สรุปคือเร่ืองราวในคัมภีร์ชินกาลมาลีปกรณ์เป็นเพียงต�านาน ที่อธิบายการก่อตั้งเถรวาทในประเทศไทย พร้อมกับเรื่องราวของคนพื้นเมืองเกี่ยวเน่ืองกับ พระพุทธสิหิงค์ หลักฐานระบุระยะเวลาจากพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ยืนยันถึงความมุ่งมั่นของ กษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัยในการก่อต้ังพระพุทธศาสนาโดยอาศัยรูปแบบของศรีลังกา จารึกบางแห่งในเมืองสุโขทัยระบุว่ารูปแบบพระพุทธศาสนาจากสิงหลในอาณาจักร แห่งน้ีเกิดมีในพุทธศตวรรษที่ ๑๙๖๘ สมัยพระเจ้าลิไทยความเกี่ยวพันระหว่างศรีลังกาและ ไทยได้ใกล้ชิดมากข้ึน๖๙ กษัตริย์พระองค์นี้ด�ารงต�าแหน่งธรรมราชา พระองค์โปรดให้สร้าง พระพุทธบาทหรือรอยพระพุทธบาทจ�าลอง เชื่อว่าโปรดให้สร้างเลียนแบบรอยพระพุทธบาทบน ยอดเขาสมนั ตกฏู ทช่ี าวศรลี งั กากราบไหวบ้ ชู า๗๐ รชั สมยั ของพระองคม์ เี จา้ ชายพระองคห์ นงึ่ ออก ผนวชและเดินทางไปอินเดียและศรีลังกาพร้อมท้ังได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาบูชาด้วย๗๑ เจ้าชายพระองค์นี้พระนามว่ามหาเถระศรีสิทธาราชาจุฬามณีศรีรัตนาลังการ หลังจากเดินทาง กลับมาตุภูมิแล้วได้รับผิดชอบงานส�าคัญมากมาย โดยบูรณะซ่อมแซมและขยายวัดมหาธาตุ แห่งกรุงสุโขทัยด้วย หากวิเคราะห์ถึงศิลปะปรากฏบนศาสนวัตถุเหล่านี้ เลเมย์ตั้งข้อสังเกตว่า บางส่วนของคนงานเหล่าน้ีน�ามาจากศรีลังกา การชี้ให้เห็นคุณค่าซ่ึงบ่งให้เห็นอิทธิพลสิงหลที่ ปรากฏในงานศิลป์ของอาณาจักรสุโขทัย๗๒ ผู้ครองราชย์สืบต่อมาคือพระเจ้าฤาไทยทรงเสวยราชย์เมื่อปีพุทธศักราช ๑๘๙๐๗๓ พระองค์ทรงด�าเนินราโชบายสืบเน่ืองด้านการผูกสัมพันธไมตรีกับศรีลังกา จารึกแห่งหนึ่งขนาน นามพระองค์ว่าศรีสูรยวังสะรามมหาธรรมราชาธิราช และระบุว่าพระองค์ได้อาราธนานิมนต์ พระสังฆราชจากศรีลังกามาอาณาจักรสุโขทัยเพื่อฟื้นฟูพระศาสนา๗๔ ผู้แต่งคัมภีร์สัทธรรม สังคหะเป็นพระสงฆ์ไทย ซึ่งเดินทางมาศรีลังกาและศึกษาภายใต้การดูแลของพระธรรมกิตติ มหาสามีแห่งคฑลาเดณิยะ๗๕ คัมภีร์จามเทวีวงศ์ซ่ึงเป็นหน่ึงในต�านานเมืองเชียงใหม่บันทึก ไว้ว่า ในวันสร้างวัดมหาวันและรัตนเจดีย์ พระสงฆ์จากศรีลังกาหลายรูปเดินทางมาพร้อมกับ พระสารีริกธาตุและประดิษฐานไว้ภายในเจดีย์๗๖ ผู้ก่อตั้งเมืองหริภุญไชยบริเวณแม่น�้าปิง พระนามว่าเม็งรายได้รับพระบรมสารีริกธาตุจากศรีลังกา๗๗ กล่าวกันว่าพระองค์ได้รับพระบรม สารีริกธาตุจากพระสิงหลหมู่ใหญ่ซึ่งเดินทางมาจากศรีลังกา๗๘ พระองค์ทรงท�าพระราชกุศล อันใหญ่หลวงต่อพระสารีริกธาตุโปรดให้ประดิษฐานบรรจุไว้ภายในวัดกานธม ซึ่งสร้างไว้กลาง เมืองเชียงใหม่ หลักฐานส่วนน้ีท�าให้เข้าใจถึงความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างศรีลังกากับไทยใน พุทธศตวรรษที่ ๑๘-๑๙
ความสัมพันธ์กับดินแดนอุษาคเนย์ 155 ภารกิจทางศาสนาที่ส�าคัญสูงสุดจากประเทศไทยกับศรีลังกาเกิดข้ึนในรัชสมัยของ พระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๖ คัมภีร์ชินกาลมาลีปกรณ์อธิบายรายละเอียดภารกิจท้ังหมดในบทว่า ด้วยสีหลสาสนาคมนัง๗๙ คัมภีร์บอกว่าภารกิจครั้งน้ีน�าโดยพระเถระนามว่าธรรมคัมภีร์เถระ และมหาเมธังกรเถระ จุดประสงค์หลักของภารกิจคร้ังนี้คือการศึกษาพระศาสนาและอุปสมบท จากคณะสงฆ์ศรีลังกาซึ่งก�าลังเจริญรุ่งเรือง พระเถระทั้งสองรูปติดตามด้วยพระมอญเขมรและ พระไทยหลายรูป เดินทางถึงศรีลังกาในปีพุทธศักราช ๑๙๖๘ ตรงกับปีที่ ๑๐ แห่งรัชสมัยของ พระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๖๘๐ คร้ันเดินทางถึงศรีลังกาแล้วได้เข้าไปหาพระวนรัตนมหาสามีผู้ เป็นพระสังฆราช หลังจากท�าสามีจิกรรมสนทนากันแล้วจึงเล่าเรียนพระธรรมวินัย และการ สวดมนต์ตามอักขรวิธีอย่างถูกต้อง สุดท้ายได้อุปสมบทตามที่ตนต้องการ๘๑ พิธีอุปสมบทพระสงฆ์ชาวไทยจัดขึ้นตามฤกษ์งามยามดีของกษัตริย์ท่ียาปาปัฏฐานะ ริมฝั่งแม่น้�ากัลยาณี ค�าว่ายาปาปัฏฐานะไม่สามารถพิสูจน์ได้ สันนิษฐานว่าคงมิใช่เมืองจัฟฟ์นา เพราะเมืองน้ีไม่ใกล้แม่น้�ากัลยาณี สมัยน้ันเมืองจัฟฟ์นาอยู่ภายใต้อาณาจักรโกฏเฏ (พ.ศ. ๑๙๙๓)๘๒ แม้ปัจจบุ ันไม่มสี ถานที่ระบุนามว่ายาปาปฏั ฐานะใกล้แมน่ ้�ากลั ยาณี มีบริเวณสองแหง่ สมัยอาณาจักรโกฏเฏ ซึ่งระบุนามยาปาปัฏฐานะ หน่ึงนั้นระบุว่าวันท่ีเจ็ดแห่งเดือนวิสาขะในปีที่ สามแห่งการครองราชย์ของพระเจ้าสิริสังฆโพธิ์ สิริสกลากลาสรวัชญาบัณฑิตภูวเนกพาหุ จกั รพรรดิ หมายถงึ พระเจา้ ภวู เนกพาหทุ ี่ ๖ ทรงพระราชทานสถานทอี่ นั เปน็ ทอี่ ยนู่ ามภาษาสงิ หล ว่ายาปาปฏนะแก่พระวีทาคมไมตรียเถระมหเนตปาทูลมหาสถาวีระและศิษย์ผู้สืบทอด๘๓ หลักฐานส่วนท่ีสองกล่าวถึงรัชสมัยของพระเจ้าภูวเนกพาหุที่ ๖ ผู้ได้ฟังพระธรรมเทศนาจาก พระวีทาคมไมตรียเถระที่ยาปาปฏนะจึงมอบถวายแก่ท่านและศิษย์นามว่าพระนิยัณดวเนผุสส เทวสุมังคลเถระ หลักฐานสุดท้ายระบุชัดเจนว่ายาปาปฏนะหมายถึงบริเวณอาณาจักรปิหิฏิ กษัตริย์ศรีลังกามีพระราชานุญาตให้จัดพิธีอุปสมบทข้ึนโดยพระวนรัตนมหาสามี แห่งแครคะละ๘๔ เป็นประธานสงฆ์ด้วยการท�าหน้าท่ีเป็นกรรมวาจารย์มีผู้ช่วยเหลือนามว่า พระธรรมาจริยเถระในฐานะเป็นพระอุปัชฌาย์ พระสงฆ์ต่างประเทศเหล่าน้ันครั้นเข้ารับ พิธีอุปสมบทแล้ว ได้มีโอกาสเข้ากราบสักการะพระเข้ียวแก้ว รอยพระพุทธบาทบนยอดเขา สุมนกูฏและโสฬสบุณยสถานอันศักด์ิสิทธ์ิ จากนั้นเข้าอ�าลาพระอุปัชฌาย์และอาจารย์เดินทาง กลับบ้านเกิดเมืองนอน ครั้นเดินทางกลับได้ชักชวนพระสงฆ์ลังกาเดินทางไปด้วย ๒ รูป นามว่ามหาวิกรมพาหุและมหาอุตตมปัญญา เพ่ือท�าหน้าที่เป็นพระอุปัชฌาย์และอาจารย์เม่ือ มีการอุปสมบทในอนาคต๘๕ ภารกิจคร้ังประวัติศาสตร์น้ีประสบความส�าเร็จเป็นประโยชน์แก่ ดินแดนอุษาคเนย์ โดยเฉพาะไทยและลาว
156 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ พระสงฆ์เหล่านี้ท้ังหมดพักอาศัยอยู่ท่ีวัดป่าแดงหลวงเมืองเชียงใหม่ (พ.ศ.๑๘๘๓) แล้วจัดพิธีอุปสมบทแก่พระเถระผู้ใหญ่ที่มาจากอยุธยาศรีสัชนาลัย และสุโขทัย๘๖ พิธีอุปสมบท จัดขึ้นคร้ังแรกบริเวณใกล้แม่น้�าวังแห่งเมืองล�าพูน (พ.ศ.๑๙๗๖)๘๗ พระสงฆ์เหล่านั้นได้ เดินทางกลับล�าพูนในปีเดียวกันและเริ่มต้นประกอบพิธีอุปสมบทเป็นครั้งที่สอง พิธีอุปสมบท คร้ังต่อมามีพระจากอาณาจักรใกล้เคียงมาร่วมด้วย จนกระทั่งคณะสงฆ์สีหลมีเป็นจ�านวนมาก และทรงมีอิทธิพลเป็นท่ีรู้จักแพร่หลาย๘๘ สีหลสังฆะซ่ึงแนะน�าเข้าสู่ประเทศไทยและลาวต่างได้ รับราชูปถัมภ์เป็นอย่างดี และมีบทบาทส�าคัญย่ิงทางประวัติศาสตร์ศาสนาท้ังสองประเทศ เมืองเชียงใหม่ประเทศไทยมีอารามแห่งหนึ่งนามว่าสีหฬาราม (ปัจจุบันเรียกว่าวัดพระสิงห์) อยู่ภายใต้การทูลค�าแนะน�าของสีหฬสงฆ์ พระเจ้าโยนกรัฏฐะโปรดให้สร้างศาสนสถานมากมาย ซ่ึงบางแห่งยังคงมีอยู่๘๙ คณะสงฆ์สีหลได้น�าการศึกษาภาษาบาลีเข้าสู่ประเทศไทยและ ประเทศลาว จนพระสงฆ์ไทยและลาวมีความช�านาญด้านภาษาบาลีอย่างสูงมากกว่าที่เคยมี มาก่อน ผู้แต่งคัมภีร์ชินกาลมาลีปกรณ์ก็เป็นสมาชิกของคณะสงฆ์สีหล๙๐ หลงั จากพธิ อี ปุ สมบทกรรมครง้ั นนั้ แลว้ ความเกยี่ วพนั ระหวา่ งศรลี งั กากบั ประเทศไทย ก็ด�ารงสืบเนื่องอีกนาน ปีพุทธศักราช ๑๙๙๘ พระเจ้าติโลกราชโดยค�าแนะน�าของพระสงฆ์สีหล นิกาย ได้ร้องขอหน่อพระศรีมหาโพธิ์แห่งเมืองอนุราปธุระเพ่ือน�ามาปลูกภายในบริเวณ วัดโพธารามมหาวิหารแห่งเมืองเชียงใหม่๙๑ เชื่อกันว่าเหตุการณ์นี้ตรงกับพุทธศักราช ๑๙๙๘ และมีการจัดพิธีอุปสมบทตามมา๙๒ ส่วนพระสารีริกธาตุท่ีน�ามาจากศรีลังกาโดยพระมหาธรรม คัมภีร์เม่ือปีพุทธศักราช ๒๐๒๑ ได้บรรจุไว้ภายในราชกูฏะหรือพระธาตุเจดีย์หลวงกลาง เมืองเชียงใหม่๙๓ ส�าหรับพระพุทธปฏิมานามว่ารัตนปฏิมากรได้ประดิษฐานไว้ภายในเจดีย์ แห่งนี้ในรัชสมัยของพระเจ้าติโลกราช คัมภีร์ชินกาลมาลีปกรณ์กล่าวถึงพระพุทธรูปองค์น้ี ในบทชื่อว่ารัตนปฏิมายอาคมนัง ได้ระบุว่า พระพุทธรูปองค์น้ีเดิมสร้างขึ้นโดยพระเจ้ามิลินท์ ตามค�าแนะน�าของพระนาคเสนเถระแล้วภายหลังน�าเข้ามาสู่ศรีลังกา๙๔ เช่ือกันว่าพระเจ้าอนุรุทธ์แห่งอาณาจักรพุกามได้อัญเชิญมาพม่า หลังจากนั้นพระพุทธรูป องค์น้ีได้เคลื่อนย้ายประดิษฐานหลายเมืองจากกัมพูชาสู่เมืองไทย จนสุดท้ายค้นพบที่เมือง เชียงใหม่ในรัชสมัยของพระเจ้าติโลกราช๙๕ จากการพิเคราะห์อย่างละเอียดพระพุทธรูปองค์ นี้มีความส�าคัญสูงสุดต่อไทย ปัจจุบันประดิษฐานภายในพระราชวังแห่งราชวงศ์จักรีที่ กรุงเทพมหานคร๙๖ พระเจ้าติโลกราชผู้ท�าหน้าที่สนับสนุนสงเคราะห์คณะสงฆ์สิงหลทุกส่ิง อย่างได้ออกผนวช และสวรรคตเม่ือปีพุทธศักราช ๒๐๓๑ พระราชโอรสนามว่าบรมราชาท่ี ๓ ทรงครองราชย์สืบต่อ๙๗ จากน้ีไปอีกสามศตวรรษไม่มีบันทึกความสัมพันธ์ทางศาสนาระหว่าง ศรีลังกากับไทย จนถึงรัชสมัยของพระเจ้ากีรติศรีราชสิงหะแห่งอาณาจักรแคนดี
ความสัมพันธ์กับดินแดนอุษาคเนย์ 157 ความสัมพันธ์กับประเทศเหล่าอ่ืน นอกจากประเทศเหล่านี้แล้ว ประเทศบนดินแดนอุษาคเนย์ที่ติดต่อสัมพันธ์ทาง วัฒนธรรมกับศรีลังกาอีกคือกัมพูชา ซึ่งมีต้นก�าเนิดมาจากอาณาจักรฟูนัน๙๘ กัมพูชาได้รับ อิทธิพลพุทธศาสนาจากส�านักมหาวิหารสิงหล ซึ่งน�าเข้าสู่ประเทศพม่าโดยพระมอญตอนท้าย พุทธศตวรรษท่ี ๑๗๙๙ หากวิเคราะห์ตามนัยนี้เซเดส์บอกว่า อาณาจักรเขมรเชื่อว่าพระศิวะเป็น ผู้สืบสายมาจากโลกสวรรค์ และพระพุทธเจ้าผู้มีพระชนม์ก็คือพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ต่อมา ราชวงศเ์ ขมรตกตา�่ ถดถอยเรอื่ ยมา เพราะพราหมณบ์ งั คบั ชาวบา้ นใหเ้ ลอ่ื มใสศรทั ธาลทั ธศิ าสนา แห่งตนด้วยเดชานุภาพอันย่ิงใหญ่ ด้วยค�าขู่ของพวกพราหมณ์พระพุทธศาสนาแบบสิงหล จึงหายไป สุดท้ายกษัตริย์ผู้เป็นอวตารของเทพเจ้าก็ร่วงหล่นจากโตะบูชา๑๐๐ พระพุทธศาสนา เถรวาทได้กลายเป็นศาสนาส�าคัญของชาวเมืองตอนท้ายรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมัน๑๐๑ คัมภีร์ จุลวงศ์บันทึกไว้ว่ากษัตริย์มอญได้จับพระราชธิดาของพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๑ ซึ่งส่งไปมอบ ถวายแด่กษัตริย์กัมพูชา นอกจากนั้นยังจับกุมคุมขังราชทูตสิงหลผู้ถือพระราชสาสน์น�าไปมอบ แดก่ ษตั รยิ ก์ มั พชู าดว้ ย๑๐๒ คา� วา่ กมั โพชะปรากฏนามตามจารกึ ของพระเจา้ นสิ สงั กมลั ละดว้ ย๑๐๓ หลักฐานเหล่าน้ีชี้ให้เห็นถึงความมีอยู่ต่อเนื่องแห่งมิตรภาพระหว่างกัมพูชากับศรีลังกาสมัย ยุคโปโฬนนารุวะ ตั้งแต่เวลาน้ีจนถึงเร่ิมต้นพุทธศตวรรษท่ี ๒๐ ไม่มีหลักฐานส่วนใดกล่าวถึงความ สัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างศรีลังกากับกัมพูชาเลย คัมภีร์ชินกาลมาลีปกรณ์กล่าวถึงรัตนปฏิมา ซึ่งน�าเข้ามาสู่พม่าโดยพระเจ้าอนุรุทธ์แห่งอาณาจักรพุกาม ได้เคลื่อนย้ายไปหลายที่จนถึง อาณาจักรกัมพูชา๑๐๔ แต่ไม่มีหลักฐานแน่ชัดกล่าวถึงผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชาวกัมพูชา ตอ่ มาพระมหาธรรมคมั ภรี เ์ ถระและพระมหาเมธงั กรเถระไดเ้ ดนิ ทางไปศรลี งั กาสมยั ของพระเจา้ ปรากรมพาหุท่ี ๖ มีพระกัมพูชาหลายรูปร่วมเดินทางด้วย เพ่ืออุปสมบทตามจารีตนิยมของ คณะสงฆ์มหาวิหาร๑๐๕ หลังจากเดินทางกลับแล้วพระสงฆ์เหล่านี้ท�าหน้าที่ประกาศค�าสอนของ พระพุทธเจ้าในบ้านเมืองแห่งตน ไม่มีบันทึกกล่าวถึงพระสงฆ์กัมพูชาในศรีลังกาอีกเลย สันนิษฐานว่าบรรดาดินแดนแห่งอุษาคเนย์น้ัน กัมพูชายังรักษาสัมพันธภาพกับศรีลังกาตลอด ยุคกลาง หลกั ฐานเบอ้ื งตน้ ทา� ใหเ้ หน็ ภาพชดั เจนวา่ สา� นกั มหาวหิ ารมบี ทบาทสา� คญั ในการเผยแผ่ ค�าสอนของเถรวาทบนดินแดนแผ่นดินอุษาคเนย์ตลอดยุคกลาง อิทธิพลของพระพุทธศาสนา สิงหลมีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยเฉพาะชีวิตของผู้คนซ่ึงเป็นส่วนหนึ่งของโลก เถรวาท
158 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ เชิงอรรถ 1 UCHC., p.753. 2 Ibid. 3 Pierre Dupont, ‘Les Buddha dits d’Amaravati en Asie du Sud-Est, BEFEO, xlix, 1959, pp.632-636. 4 Mirella Levi D’Ancona, ‘Amaravati, Ceylon and three imported image’ The Art Bulletin, xxxiv, no.i. 1952, pp.125-127. 5 G. Coedes, The Indianized States of Southeat Asia, Honalulu, 1968, pp.18, 54. 6 D. Gosh, ‘Two Bodhisattva Images from Ceylon and Sri Vijaya; Jnl. Of the Gtr., Ind. Soc., iv.1937, pp.125-127. 7 J.G. de Casparis, ‘New evidence on Cultural Relations between Java and Ceylon in Ancint Times’, Felicitation Volume presented to Prof. G.Goedes on his 75th birth day’ Artius Asiae, xxiv, 1964, pp.241-248. 8 Ibid. 9 Cv.,50.17ff; UCHC., p.563f. 10 Jkm., p.100. 11 G.H. Luce, ‘Mons of the Pagan Dynasty’, JBRAS, xxxvi, pt. i. August, 1953, pp.1-9. 12 G.H. Luce, Old Burma-Early Pagan, New York, 1969, vol.61. 13 Ibid. 14 Ibid. 15 Ibid., p.62. 16 Ibid. 17 Ibid. 18 Ibid. 19 Cv.,76. 10-13; see also UCHC., p.473. 20 Cv.,76.10ff. 21 Cv.,80.6. 22 EZ., 2., no.17, 26, 27. 23 IA., xxii, p.151ff; Ep.Bim.,iii, pt.ii, p.200. 24 IA., xxii, p.29; The Glass Palace Chronicle of the Kings of Burma, tr. Pe Maung Tin and G.H. Luce, Oxford, 1923, p.142ff. 25 Sav., p.65ff.
ความสัมพันธ์กับดินแดนอุษาคเนย์ 159 26 Luce, Old Burma-Early Pagan, p.127. 27 Ibid. 28 Ibid. 29 G.E. Harvey, History of Burma, p.28. 30 Ibid. 31 Ssv., p.29. 32 Ssv., p.29. 33 Jkm., p.91ff. 34 Ssv., p.95. 35 PS., p.33. 36 UCHC., p.755. 37 Kts., p.32. 38 Ibid. 39 Op.cit. p.100. 40 Ibid. 41 D.G.E. Hall, History of South-East Asia, New York, 1970, p.164. 42 Ibid. 43 Ibid., p.100. 44 Ibid., p.101. 45 N.R.Ray, Theravada Buddhism in Burma, Calcutta, 1946, p.183. 46 Ibid. 47 IA.,xxii, p.15 ff; Ep.Birm,ii. pt.ii, p.220ff. 48 Ibid. 49 Ibid. 50 See above chapter one. 51 IA., xxii, p.158. 52 Ibid; Ep.Birm, iii. pt.ii. p.220ff. 53 IA, xxii, p.239. 54 IA, xxii, p.239. 55 See above chapter three. 56 Ray, op.cit. p.191. 57 Ibid.
160 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ 58 Ibid. 59 Coedes, op.cit. p.218. 60 L.Malleret, L’Archaeologie du Delta du Mekong, Paris, 1962, III, p.311. 61 H.G. Quaritch Wales, Dvaravatti, (The Earliest Kingdom of Siam, 6th to 11th century), London, 1969, p.3. 62 Ibid. 63 Coedes, op.cit. p.218. 64 Jkm.,p.86ff 65 Epochs of the Conqueror, p.xi.ff. 66 Jkm., p.87ff. 67 Hall, op.cit. p.123. 68 G.Coedes, Receuil des inscriptions du Siam, Bangkok, 1924-29, p.89ff and pp.127-129. 69 JSSA., p.220. 70 Re.des ins.du Siam, pp.89-90; ISSA., p.356. 71 ISSA., p.356. 72 Reginald Le May, A Concise History of Buddhist Art in Siam, Cambridge, 1938, p.114f. 73 Issa., p.219. 74 G.Coedes, ‘Document sur la dynastie de Sukhodaya’, BEFEO, xvii, no.2, p.4ff. 75 PS., p.383ff; S.Paranavitana, ‘Religious Intercourse between Ceylon and Siam in the 13th-15th Centuries’, JCBRAS., xxxii,1932, pp.190-213. 76 Annals du Siam, iii. volume, (Chronique de Lapun, Histoire de la Dynatie de la Dynastie Chamat’evi), tr.M.Camille Notton, Paris, 1930, p.55. 77 Annals du Siam, iii. volume, Chronique de Xieng Mai), tr. M.Camille Nottor, Paris, 1923, p.52. 78 Ibid. 79 Jkm., p.91ff; G. Coedes, ‘Documents sur L’Histoire Politique et religieuse du Lao’s occidental’, BEFEO, xxv, 1925, pp.4-12. 80 Jkm., p.93. 81 Ibid. 82 Somaratna, op.cit. p.201ff.
ความสัมพันธ์กับดินแดนอุษาคเนย์ 161 83 JCBRAS., xxxii, no.85, p.209 84 SSL., p.144. 85 Jkm., p.93. 86 Ibid. 87 Ibid. 88 Ibid. 89 EC., p.xxv. 90 JCBRAs., xxxii., no.85, p.209. 91 EC., p.xxv. 92 Jkm., p.98; M. Camille Notton, Annals da Siam, (Chronique de Xieng Mai), voice. ii, p.115. 93 Ibid. 94 Jkm., p.99. 95 Ibid, p.111. 96 EC., p.xxvi. 97 Hall, op.cit., p.94. 98 ISSA., p.65. 99 See above p.399.98; G.Coedes, Pour miex compredre Angkor, Paris, 1947, p.66. 100 Hall, op.cit. p.125. 101 Ibid. 102 CV., 76, 21-23 and 55. 103 EZ.,2, p.151. 104 Jkm., p.100ff. 105 See above p.177.
๗ คติความเช่อื เก่ยี วกบั สิ่งศกั ด์สิ ทิ ธ์ิ
ความเชื่อพระเขี้ยวแก้ว คติความเชื่อพิธีกรรมและประเพณีวัฒนธรรมทางพระพุทธศาสนาของชาวสิงหล ไม่ปฏิบัติเคร่งครัดนัก แต่ธรรมดาวิสัยก็ต้องมีพัฒนาเปลี่ยนแปลงบ้าง เพราะค�ำสอนของ พระพทุ ธเจา้ กอ่ เกดิ พฒั นาการจนรงุ่ เรอื งแพรห่ ลาย ประวตั ศิ าสตรย์ คุ ตน้ บอกวา่ พระพทุ ธศาสนา ผูกพันกับคติความเชื่อแบบชาวบ้าน ดังเช่นการกราบไหว้บูชายักษ์นาคและเทพเจ้าซ่ึงเป็น ความเช่ือแบบพราหมณ์ คัมภีร์พระพุทธศาสนาระบุว่ายักษ์นาคและเทพเจ้าล้วนยอมรับความ ยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า๑ พัฒนาการแรกเร่ิมในศรีลังกาคือพระพุทธศาสนายอมรับคติ ความเชื่อหลากหลาย พร้อมทั้งพิธีกรรมและประเพณีที่ประพฤติปฏิบัติทั่วไป ซ่ึงถือว่าไม่ ขัดแย้งกับค�ำสอนหลักของพระพุทธเจ้า ลักษณะเช่นน้ีเป็นการกลมกลืนกับความเชื่อทางสังคม อันหลากหลาย บรรดาคติความเชื่อทางศาสนาของศรีลังกายุคกลางนั้น พระเข้ียวแก้วถือว่าส�ำคัญ สูงสุด แม้ประวัติของพระเขี้ยวแก้วจะย้อนถอยหลังไปพุทธศตวรรษที่ ๙๒ แต่เร่ิมมีความสำ� คัญ มากสุดยุคหลัง อาจเป็นเพราะเกิดการตื่นตัวยอมรับว่าผู้ครอบครองพระเขี้ยวแก้วมีสิทธ์ิ ครองราชย์เหนือแผ่นดินลังกา๓ ความเชื่อเช่นน้ีเริ่มต้นจากยุคโปโฬนนารุวะ เมื่อพระเขี้ยวแก้ว กลายเป็นเครื่องคุ้มครองของอาณาจักร๔ กษัตริย์สิงหลผู้ท�ำหน้าที่คุ้มครองรักษาพระเขี้ยวแก้ว จ�ำต้องประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วภายในพระวิหารใกล้พระราชวัง และท�ำหน้าท่ีคุ้มครองรักษา ทง้ั กลางวนั และกลางคนื ความเชอื่ เรอ่ื งความยง่ิ ใหญข่ องพระเขยี้ วแกว้ เกดิ ขน้ึ ตอนพทุ ธศตวรรษ ท่ี ๑๗-๑๘ ล่วงเข้าสมัยโกฏเฏพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๖ โปรดให้สร้างวิหารอันใหญ่โตงดงามและ มีพระราชโองการจัดพิธีแห่แหนอย่างย่ิงใหญ่๕ หลักฐานส่วนนี้บันทึกไว้ในคัมภีร์ดาฬดาสิริตะ
คติความเช่ือเก่ียวกับส่ิงศักดิ์สิทธิ์ 165 จึงท�าให้ทราบว่าพิธีแห่แหนพระเข้ียวแก้วย่ิงใหญ่ตระการตาต่อสาธารณชนเพียงไร๖ ก่อนสมัย อาณาจักรโกฏเฏพระเขี้ยวแก้วมีการโยกย้ายตามความเปล่ียนแปลงของราชวงศ์สิงหล และ จ�าต้องคุ้มครองพระเข้ียวแก้วจากผู้บุกรุกต่างชาติหรือผู้ยึดครองบัลลังก์บ่อยคร้ัง เม่ือพระเจ้า ปรากรมพาหุที่ ๖ ข้ึนเสวยราชย์เป็นกษัตริย์แห่งอาณาจักรโกฏเฏแล้ว พระราชกรณียกิจเบ้ืองต้น คือโปรดให้สร้างพระวิหารเพ่ือประดิษฐานพระเข้ียวแก้ว คัมภีร์สัทธรรมรัตนากรยะระบุว่า พระองค์โปรดให้สร้างอาคารสามชั้นอย่างสวยสดงดงาม ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วใกล้ชิดติด พระราชวัง๗ ส่วนบาตรของพระพุทธเจ้าซึ่งปกติเก็บรักษาไว้พร้อมกับพระเข้ียวแก้วหลายศตวรรษ ไม่มีกล่าวถึงเลย หลักฐานสุดท้ายกล่าวถึงสมัยของพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๔๘ นับจากน้ันไม่มี หลักฐานกล่าวถึงในคัมภีร์เล่มใดเลย นักกวีน้อยใหญ่สมัยน้ันนอกจากบรรยายมหานครโกฏเฏแล้วยังได้กล่าวถึงวัด พระเขี้ยวแก้วด้วย โดยระบุว่าได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดีจากกษัตริย๙์ คัมภีร์คิรสันเดศยะ ระบุว่าพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๖ โปรดให้จัดงานแห่แหนพระเข้ียวแก้วทุกปีเพื่อสักการบูชา๑๐ คัมภีร์สัทธรรมรัตนาลังการยะกล่าวว่าพิธีแห่ดังกล่าวเป็นหน้าท่ีของกษัตริย์ผู้ศรัทธาต่อ พระเขี้ยวแก้ว ส่วนต�านานระบุว่าพระเจ้าแผ่นดิน (พระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๖) โปรดให้สร้างวิหาร สามชั้นอย่างอลังการส�าหรับประดิษฐานพระเข้ียวแก้ว ให้ท�าผอบทองค�าล้อมด้วยมณีอันมี ค่ามากมายเปล่งประกายเจิดจ้า และโปรดให้สร้างผอบทองค�าครอบอีกชั้นหนึ่ง นอกจากน้ัน โปรดให้ท�าผอบทองค�าอันสวยงามเลิศล้�าแล้วประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วภายในผอบส่ีชั้น คัมภีร์ คิรสันเดศยะอธิบายเสริมอีกว่าพระองค์โปรดให้จัดพิธีบูชาทุกวันและแห่แหนทุกปี เพราะทรง เคารพศรัทธาต่อพระเข้ียวแก้ว แต่รายละเอียดพิธีแห่แหนไม่มีกล่าวถึง พิธีดังกล่าวพบใน คัมภีร์ดาฬดาสิริตะ สมัยพระเจ้าภูวเนกพาหุท่ี ๗ พระเข้ียวแก้วประดิษฐานภายในอารามกลาง เมืองโกฏเฏ เมื่อพระเจ้าธรรมปาละเข้ารีตเป็นคริสต์แล้ว หิริปิฏิเยนิลาเมได้อัญเชิญพระเข้ียวแก้ว ออกจากเมืองโกฏเฏแล้วน�าไปถวายแด่พระเจ้ามายาดุนเน๑๑ กล่าวกันว่าชาวพุทธต่างเป็นห่วง ถึงความปลอดภัยของพระเขี้ยวแก้ว เน่ืองจากมิชชันนารีมีอิทธิพลต่อราชส�านักโกฏเฏ๑๒ หลักฐานบอกว่าการครอบครองพระเข้ียวแก้วหมายถึงผู้ท�าหน้าท่ีคุ้มครองอาณาจักร ด้วยเหตุ นั้นจึงท�าให้สถานภาพทางการเมืองของพระเจ้ามายาดุนเนเข้มแข็งขึ้น พระองค์จึงมี พระราชทินนามว่าตรีสิงหลาธิศวระหรือกษัตริย์แห่งตรีสิงหล๑๓ พระองค์โปรดให้สร้างวัด
166 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ พระเขี้ยวแก้วท่ีเดลคมุวะแล้วประดิษฐานไว้ภายในและโปรดให้ประกอบพิธีแห่แหนเป็น ประจ�าทุกปี๑๔ ส่วนผู้สืบทอดคือพระเจ้าราชสิงหะที่ ๑ แม้จะทรงขัดแย้งกับคณะสงฆ์บ้าง แต่ก็ โปรดให้มีประเพณีแห่แหนพระเขี้ยวแก้วทุกปีเช่นกัน โดยให้จัดท่ีสามันเทวาลัยแห่งเมืองรัตน ปุระ๑๕ สันนิษฐานว่าพระองค์อาจจัดพิธีแห่แหนบูชาเทพสามันพร้อมกับพระเข้ียวแก้ว แต่ราย ละเอียดไม่มีกล่าวไว้ สมันตกูฏะหรือสมโนฬะ (บางแห่งเรียกว่าอดัมพีค) ซ่ึงเป็นสถานที่พระพุทธเจ้าทรง ประทับรอยพระบาทเบ้ืองซ้ายบนก้อนหิน กลายเป็นบุณยสถานส�าคัญส�าหรับผู้จาริกแสวงบุญ ยุคกลางของศรีลังกา ความเชื่อเรื่องรอยพระพุทธบาทและการสักการบูชาเป็นท่ีรู้จักแพร่หลาย หน่ึงศตวรรษก่อนอาณาจักรโกฏเฏ คัมภีร์มหาวงศ์บอกว่าเม่ือคร้ังเสด็จลังกาคร้ังที่ ๓ พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปยังสมันตกูฏและประทับรอยพระบาทเบ้ืองซ้ายเอาไว้๑๖ นอกจาก หลักฐานนี้แล้วไม่ปรากฏว่ามีในต�านานหรือหลักฐานอื่นใด มีงานเขียนของชาวต่างชาติระบุว่า รอยพระพุทธบาทท่ีสมันตกูฏมีการเคารพกราบไหว้สูงสุดก่อนพุทธศตวรรษท่ี ๑๖๑๗ คัมภีร์จุลวงศ์และจารึกอัมพคามุวะบันทึกไว้ว่าพระเจ้าวิชัยพาหุท่ี ๑ ได้เสด็จจาริกไป ยงั เขาสมนั ตกฏู เพอื่ สกั การะรอยพระพทุ ธบาท ครน้ั ทราบถงึ ความลา� บากของผจู้ ารกิ บณุ ยสถาน แห่งน้ี จึงโปรดให้สร้างอาคารหลายแห่งและมอบถวายหมู่บ้านเรียกว่าคิลิมลยะ เพ่ือช่วยเหลือ ผู้จาริกแสวงบุญ๑๘ หลักฐานฝ่ายศรีลังกาอ้างถึงคติความเช่ือเกี่ยวกับรอยพระพุทธบาทและ การจาริกแสวงบุญสมันตกูฏเริ่มต้ังแต่สมัยพระเจ้าวิชัยพาหุที่ ๑ สมัยน้ีถือว่าเป็นการปฏิรูป ความเชื่อเก่ียวกับรอยพระพุทธบาท จากนั้นเป็นต้นมาดูเหมือนว่าสมันตกูฏรุ่งเรืองแพร่หลาย ได้รับราชูปถัมถ์หลายต่อหลายศตวรรษ ดังเช่นพระเจ้านิสสังกมัลละ๑๙ พระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๒๒๐ และพระเจ้าวิชัยพาหุที่ ๔๒๑ หลักฐานล้วนบันทึกไว้ว่าพระเจ้าแผ่นดินเหล่าน้ันได้เสด็จไป กราบไหว้บุณยสถานแห่งน้ี พร้อมพระราชทานหมู่บ้านเป็นจ�านวนมากเพื่อเป็นพุทธบูชา ความเช่ือเร่ืองรอยพระพุทธบาทเริ่มมีความส�าคัญมากขึ้น จากกวีนิพนธ์ของพระเว เทหเถระชื่อว่าสมันตกูฏวัณณนา ซ่ึงมีเนื้อหาอธิบายถึงความเป็นมาและความส�าคัญของ พระพทุ ธบาทแหง่ น๒ี้ ๒ แมร้ อยพระพทุ ธบาทจะไมไ่ ดต้ งั้ อยใู่ นเสน้ ทางของพวกนกั กวผี แู้ ตง่ คมั ภรี ์ สันเดศยะสมัยอาณาจักรโกฏเฏ ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ละเลยที่จะอ้างถึงสมันตกูฏและรอย พระพุทธบาทแต่อย่างใด๒๓ ไม่มีการกล่าวถึงพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๖ หรือกษัตริย์แห่ง อาณาจักรโกฏเฏพระองค์ใด โปรดให้ซ่อมแซมหรือเสด็จจาริกแสวงบุญบุณยสถานแห่งน้ี แต่พระเจ้าเสนาสัมมตวิกรมพาหุผู้ปกครองอาณาจักรแคนดี ได้เสด็จไปสักการะบุณยสถาน
คติความเช่ือเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ 167 แห่งน้ี พร้อมโปรดให้จัดงานเทศกาลและน้อมถวายส่ิงของมีค่าราคาแพงเป็นจ�านวนมาก๒๔ สมัยน้ีสมันตกูฏกลายเป็นบุณยสถานท่ีร�่ารวยม่ังคั่ง เนื่องจากมีที่ดินอันเป็นพระบรมราชูทิศ หลายยคุ หลายสมยั เปน็ จา� นวนมาก พรอ้ มทง้ั รายไดจ้ ากการบชู าของผจู้ ารกิ แสวงบญุ จา� นวนมาก มีบันทึกไว้ว่าพระเจ้าราชสิงหะที่ ๑ ผู้ประกาศเลิกนับถือพระพุทธศาสนาแล้วหันไป นับถือลัทธิฮินดู ได้ละเลิกสิทธิของพระสงฆ์ผู้ดูแลรอยพระพุทธบาทพร้อมภาษีที่ดิน ให้ถวาย แก่พระผู้หันมานับถือลัทธิฮินดูเสีย๒๕ รอยพระพุทธบาทบนเขาสมันตกูฏมิใช่ศูนย์รวมใจเฉพาะชาวพุทธสิงหลเท่านั้น แต่ รวมถึงนักจาริกแสวงบุญชาวต่างแดนด้วย พระเมธังกรเถระหน่ึงในผู้น�าของคณะสมณทูต กัมพูชาและไทย ซ่ึงได้รับการอุปสมบทท่ีเกลาณียะ (พ.ศ.๑๙๖๘) ก่อนที่จะเดินทางกลับบ้าน เกิดเมืองนอน เพื่อก่อตั้งสิงหลสังฆะที่เมืองสุโขทัย ได้เดินทางไปกราบไหว้รอยพระพุทธบาท จารึกพระพุทธบาทที่เมืองสุโขทัยกล่าวว่ามีความคล้ายคลึงกับรอยพระพุทธบาทบนยอดเขา สมันตกูฏซ่ึงเป็นอัญมณีแห่งเกาะลังกา๒๖ คณะสมณทูตของพระเจ้าธรรมเจดีย์แห่งอาณาจักร หงสาวดีท่ีเดินทางมาศรีลังกาสมัยของพระเจ้าภูวเนกพาหุที่ ๖ ก็เคยเดินทางไปกราบไหว้สักการะ รอยพระพุทธบาทเช่นกัน๒๗ จารึกสามภาษาท่ีเมืองกอลล์อธิบายรายชื่อพระบรมราชูทิศของ กษัตริย์แห่งราชวงศ์หมิงพระนามว่าหย่งเล่อ (พ.ศ.๑๙๕๓) โปรดให้แม่ทัพเรือนามว่าเจิ้งเหอ และวังเจียงเล็งสร้างอารามวิหารบนยอดเขา ปรณวิตานะกล่าวว่าวัดแห่งน้ีรู้จักกันในนามลังกา ปรวตะ (สมันตกูฎ)๒๘ ความเชื่อเรื่องรอยพระพุทธบาทโด่งดังไปไกลทั่วโลก นักเดินทางต่างประเทศและ นักเขียนล้วนอ้างถึงสมันตกูฏหรืออดัมพีค บรรดานักเดินทางชาวยุโรปยุคกลางกล่าวคือมา โคโปโลและมาริโญลลิบอกว่าอดัมพีคเป็นหนึ่งในสถานท่ีอัศจรรย์แห่งลังกา และเพิ่มเติมว่า ธรรมดาของชาวมุสลิมนั้นมีความศรัทธามากกว่าชาวพุทธ๒๙ นักประวัติศาสตร์ชาวโปรตุเกส นามว่าริเบย์โรและเควย์รอซก็ให้รายละเอียดเกี่ยวกับอดัมพีคเช่นกัน๓๐ เม่ือโปรตุเกสสามารถ ยึดครองหัวเมืองใกล้รอยพระพุทธบาทแล้วได้อุทิศถวายภูเขาสมันตกูฏแก่นักบุญยูเซบิอัส๓๑ คติการบูชาพระพุทธรูป ส�าหรับคติความเชื่อเก่ียวกับพระพุทธรูปในศรีลังกานั้น สามารถสืบค้นไปจนถึง ยุคแรกเริ่ม หลักฐานอ้างอิงเก่ียวกับพระพุทธรูปก่อนพุทธศตวรรษท่ี ๙ มีไม่มากนัก มีกล่าวถึง มากในคัมภีร์มหาวงศ์๓๒ ความโด่งดังแพร่หลายเรื่องพระพุทธรูปเห็นได้จากวิหารขนาดใหญ่
168 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ (ปฏิมาฆระ) ซึ่งสร้างทุกหนแห่งทั่วเกาะลังกา โดยเฉพาะสมัยอนุราธปุระและโปโฬนนารุวะ สถาปัตยกรรมที่โดดเด่นหลังยุคโปโฬนนารุวะคือคฑลาเดณิยวิหารและลังกาติลกวิหาร สร้าง สมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๙๓๓ วิหารท่ียิ่งใหญ่แห่งยุคโกฏเฏอยู่ท่ีวัดเกลาณิวิหาร คัมภีร์แสฬลิหิณิ สันเดศยะอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับวัดเกลาณียะอย่างละเอียด โดยบอกว่าผู้มาเยี่ยมเยียน อารามแห่งน้ีย่อมเห็นวิหารขนาดใหญ่นามว่าลังกาติลกะ ซ่ึงมีนามคล้ายวิหารสมัยโปโฬนนารุวะ และสมัยคัมโปละ๓๔ ผู้แต่งคัมภีร์บอกว่าวิหารหลังนี้มีความส�าคัญมากเป็นรองเพียงสฬปิฬิมเคยะ และบอกอีกว่าสีส�าหรับแต้มทาวิหารคล้ายคลึงกับสีน�้าทะเลของท้าวโกสีย์ซึ่งเจิดจ้าด่ังระลอก คล่ืน๓๕ ฉันท์บทที่ ๖๒ อธิบายว่าวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์ทองค�าตั้งอยู่ด้าน ซ้ายของวิหาร๓๖ ถัดมาเป็นพระพุทธรูปอีกองค์หน่ึงมีพญานาคแผ่พังพานบนพระเศียร เพ่ือ บ่งถึงพระพุทธเจ้าขณะประทับคราวฝนตกหนักมีพญานาคมุจลินทน์คอยแผ่พังพานปกป้อง๓๗ ส่วนพระพุทธรูปใต้ต้นโพธ์ิเป็นปางประทับนั่งสมาธิพร้อมด้วยมหาบุรุษลักษณะ ๓๒ ประการ๓๘ จากประตดู า้ นทิศใต้ผทู้ า� หนา้ ท่ีส่งสาสน์คือนกได้ยินเสียงกลองและการบูชาพระพุทธรปู ตรีภงั ค์ สององค์ที่ติวังกปิฬิมเคยะตามเวลาอันเป็นมงคลฤกษ์๓๙ วิหารอีกหลังหน่ึงนามว่าเตลกฏรเคยะ เช่ือกันว่าสร้างตรงจุดพระอรหันต์ถูกต้มด้วยหม้อน�้าเดือดโดยพระเจ้ากัลยาณีติสสะ๔๐ พิธีเก่ียวกับพระพุทธรูปมีการปฏิบัติเหมือนบุคคลมีชีวิตอยู่ อาจเป็นไปได้ว่าความคิด เช่นนี้เป็นความคิดเชิงสัญลักษณ์เฉพาะบุคคลเช่นพิธีอุปสุมภะและอภิเษก๔๑ บางครั้งติวังกะ มีพื้นฐานทางประติมากรรมที่แตกต่างจากรูปปั้น เม่ือพระพุทธรูปได้รับการปฏิบัติเหมือนคน มีชีวิต จึงต้องมีพิธีสรงน้�าแต่งตัวและถวายอาหาร สมัยอาณาจักรอนุราธปุระอาจจะมีพิธีกรรม ช่ือว่าอภิเษก (การประพรมพระพุทธรูปด้วยน�้าศักดิ์สิทธ์ิ)๔๒ คัมภีร์สัทธรรมรัตนากรยะอธิบาย รายละเอยี ดเกยี่ วกบั พธิ กี รรมทกี่ ระทา� โดยพระเจา้ ธนั ยกฏกะแหง่ อนิ เดยี ใต้ ตามคา� บอกเลา่ ของ บูรพาจารย์นามว่าสีลวังสธรรมกีรติเถระ๔๓ คัมภีร์บอกว่าพระพุทธรูปศิลาท่ีวัดธันยกฏกะมีการ สรงน้�าทุกวัน พระพุทธรูปหินอ่อนก็คลุมด้วยผ้าหนาขนาดสองนิ้วพร้อมดอกไม้เสววันดิยะ๔๔ ตกแต่งเพื่อให้พระพุทธรูปมีลักษณะเหมือนดอกไม้ ถัดมาเป็นการสรงน้�าในอ่างน้�าหอมและ น�้ามันงา จากนั้นขัดสีด้วยน�้ามันพร้อมสรงด้วยน�้าอันบริสุทธิ์๔๕ สันนิษฐานว่าพิธีกรรมที่คล้าย กันถูกจัดข้ึนในเทศกาลพิเศษเพื่อพระพุทธรูปเป็นกรณีพิเศษ พิธีกรรมที่บรรยายเก่ียวกับ พระพุทธรูปอมราวดีเหมือนวิธีปฏิบัติของฮินดู เพราะยุคน้ีพระพุทธศาสนาบริเวณอมราวดี ได้รับอิทธิพลแบบฮินดูค่อนข้างมาก แม้พระสงฆ์ผู้น�าท�าพิธีกรรมจะเป็นชาวสิงหล แต่ไม่มั่นใจ ว่าจะเป็นพิธีกรรมท่ีคล้ายคลึงกับสมัยยังรุ่งเรืองหรือไม่
คติความเช่ือเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ 169 หลงั จากการเขา้ มาของพระมหนิ ทเถระผคู้ นชาวลงั กาไดย้ อมรบั นบั ถอื พระพทุ ธศาสนา แล้ว ความเช่ือด้ังเดิมเกี่ยวกับเทพเจ้าและเหล่ายักษ์ไม่ปรากฏให้เห็นอีกเลย๔๖ เทพเจ้าและ เหล่ายักษ์เป็นส่ิงที่มีอยู่จริงตามจักรวาลวิทยาของชาวพุทธ เทพเจ้าเหล่าน้ันไม่มีรูปเคารพแต่ ก�าเนิดก่อนพระพุทธศาสนาหมายถึงเทพเจ้าฮินดู การรุกรานของทมิฬคร้ังแล้วคร้ังเล่าท�าให้ ศรีลังการู้จักเทพเจ้าแห่งอินเดียใต้ ซึ่งเร่ิมต้นแต่สมัยอาณาจักรโปโฬนนารุวะจนกลายเป็นที่ รู้จักแพร่หลาย และการแต่งงานเก่ียวดองกับพระราชธิดากษัตริย์อินเดียตอนใต้สมัยกลาง เปิดโอกาสให้เทพเจ้าฮินดูก่อร่างสร้างฐานะต่อผู้คน เฉพาะยุคอาณาจักรคัมโปละนั้นเทพเจ้า ฮินดูสามารถประดิษฐานภายในอาคารอันเดียวกันกับพระพุทธรูปได้๔๗ เทพนาถะแห่งโตฏคามุวะ ส่วนสมัยโกฏเฏพระสงฆ์กลายเป็นผู้ท�าพิธีน�าสักการบูชาเทพเจ้าเหล่าน้ี๔๘ บรรดา เทพเจา้ ท่ีสักการบชู ามพี ระโพธิสตั ว์มหายานรวมอยดู่ ว้ ย คติความเช่อื เก่ยี วกับพระโพธิสัตว์ของ มหายานน่าจะเป็นที่รู้จักแพร่หลายสมัยกลาง โดยเฉพาะการบูชาเทพนาถะหรืออวโลกิเตศวร เดมิ มคี วามเชอื่ วา่ กษตั รยิ ศ์ รลี งั กาตอ้ งเปน็ พระโพธสิ ตั ว์ และสบื ตอ่ มาจนถงึ ตอนปลายอาณาจกั ร อนุราธปุระ เป็นท่ีน่าสังเกตว่าพระโพธิสัตว์ในที่นี้หมายถึงพระพุทธเจ้าในอนาคต รู้จักในโลก เถรวาทว่าเมตเตยหรือไมตรียะ๔๙ ความเชื่อเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์สมัยอนุราธปุระมีหลักฐาน ปรากฏเห็นในจารึก ซ่ึงระบุว่ากฎหมายข้อห้ามท้ังหลายตราไว้ส�าหรับผู้ไม่กราบไหว้ไมตรีย พุทธเจ้าแม้เดินผ่านหน้าประตูบ้าน๕๐ คัมภีร์จุลวงศ์กล่าวว่าพระสงฆ์แห่งส�านักมหาวิหารช่ืนชม ความชาญฉลาดของพระพุทธโฆษาจารย์เพราะเชื่อว่าท่านไม่ใช่ใครอื่นนอกจากพระไมตรีย โพธิสัตว์๕๑ ความเช่ือว่าพระไมตรียะเป็นอนาคตพระพุทธเจ้านั้น ปรากฏเห็นคร้ังแรกในจักกวัตติ สีหนาทสูตรแห่งคัมภีร์ทีฆนิกาย๕๒ จากน้ันมีการดัดแปลงเสริมแต่งในคัมภีร์ภาษาบาลีนามว่า อนาคตวังสะ๕๓ ต่อมาได้รวมเข้าเป็นงานเขียนภาษาสิงหลนามว่าปูชาวลิยะ สัทธรรมาลังการยะ และสัทธรรมรัตนากรยะ๕๔ จารึกแปปิลิยานะระบุถึงรูปปั้นของพระไมตรียะว่าอยู่เคียงข้าง เทพนาถะ๕๕ ดูเหมือนว่ายุคนี้เทพนาถะยึดครองสถานภาพช้ันสูงในฐานะพระโพธิสัตว์มากกว่า พระไมตรยี ะ สรา้ งแรงบนั ดาลใจของผคู้ นปรารถนาพบเหน็ พระไมตรยี ะ เมอื่ ทา่ นเปน็ พระพทุ ธเจา้ ในอนาคตจึงท�าให้สถานภาพของพระโพธิสัตว์องค์น้ีด�ารงอยู่ท่ามกลางพระสงฆ์และฆราวาส คติความเชื่อเกี่ยวกับพระอวโลกิเตศวรเป็นท่ีรู้จักแพร่หลายอย่างมากในศรีลังการะหว่าง พุทธศตวรรษ ๒๐ ดังท่ีปรณวิตานะตั้งข้อสังเกต๕๖ ส่วนใหญ่หลักฐานเก่ียวกับเทพองค์นี้
170 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ มีในงานเขียนภาษาสิงหลนับถอยหลังไปสมัยพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๖ ความแพร่หลายของ เทพนาถะในศรีลังกาจากสมัยอาณาจักรอนุราธปุระ ได้มีนักวิชาการวิเคราะห์เจาะลึกในราย ละเอียดเรียบร้อยแล้ว๕๗ ความโด่งดังแพร่หลายของเทพนาถะเห็นได้จากจ�านวนรูปปั้นตามวิหารน้อยใหญ่ และเทวาลัยทั่วเกาะลังกาสมัยนั้น ผู้เขียนคัมภีร์โกกิลสันเดศยะขอร้องผู้ส่งสาสน์เม่ือผ่านไป เมืองมาตระถึงมิหิริปันนะ ให้พักท่ีวัดของเทพนาถะใกล้ฝั่งแห่งเมืองตุมโมดะระ๕๘ ศูนย์กลาง ความเช่ือเทพนาถะสมัยนั้นคือโตฏคามุวะ ซ่ึงเป็นศูนย์กลางการศึกษาของศรีลังกายุคนั้น ด้วย ผู้ท�าหน้าที่ดูแลคือพระศรีราหุลเถระ คัมภีร์ติสรสันเดศยะกล่าวถึงเทวาลัยของเทพนาถะ อีกแห่งหนึ่งท่ีโดรวกะแห่งเมืองแคคัลละ๕๙ ด้านเหนือของเกาะใกล้คาบสมุทรจัฟฟ์นายังมี วัดขนาดใหญ่อีกแห่งหนึ่งเป็นที่สถิตของเทพนาถะ๖๐ คัมภีร์โกกิลสันเดศยะระบุว่าวัดแห่งน้ี มีรูปปั้นเทพนาทินดุอันงดงามมีผิวอันบริสุทธ์ิเหมือนยอดเขาไกรลาศ คัมภีร์คิรสันเดศยะอ้าง ถึงความเช่ือเทพนาถะผ่านสาสน์ของบทกวีที่ส่งถึงพระศรีราหุลเถระ ขอร้องให้ท่านสวดมนต์ อ้อนวอนเทพนาถะ ให้ปกปักรักษาเกาะลังกาและพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๖๖๑ โดยระบุว่าเทพเจ้า องค์นี้มีทิพเนตรกอปรด้วยพระเมตตาคุณ๖๒ ผู้อ้อนวอนได้บนบานว่าขอสรรพอันตราย รวมถึง ปัจจามิตร ยาพิษ โรคร้าย และวิญญาณร้าย ให้มลายหายสิ้น ชัยชนะพร้อมด้วยความรุ่งเรือง จงมีแก่กษัตริย์และบ้านเมือง นักกวีบอกว่าด้วยการท�าเช่นน้ันย่อมท�าให้คุณลักษณะของ พระโพธิสัตว์เป็นที่รู้จักท่ัวโลก๖๓ เช่ือกันว่าพระโพธิสัตว์ด�ารงฐานะผู้พิทักษ์คณะสงฆ์ลังกาจน กระทั่งผ่านพ้นถึง ๕๐๐๐ ปี๖๔ และถือว่าเป็นหน้าท่ีของเทพอุบลวันด้วย๖๕ คัมภีร์สันเดศยะเปรียบเทียบวัดโตฏคามุวะว่าเป็นนครแห่งเทพกุเบระ (อลกะ) เปล่ง ประกายด้วยรัศมีสีขาว เหตุที่กล่าวเช่นน้ีเพราะเทพนาถะมีกายสีขาว๖๖ และรัศมีท่ีเปล่งประกาย ออกจากพระกายเป็นสีขาวล้วนเหมือนพระจันทร์ จากนั้นผู้แต่งขอร้องให้ผู้น�าสาสน์ส่งถึง เทพนาถะผู้งดงามรุ่งเรือง และบ�าเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์จนตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน ผู้เป็นที่พึ่งแห่งมวลมนุษยชาติซ่ึงยังเวียนว่ายอยู่ในทะเลแห่งสงสาร๖๗ คัมภีร์ยังกล่าวถึง พระพทุ ธรปู ภายในวดั ซงึ่ อาจเปน็ รปู ปน้ั พระโพธสิ ตั ว์ ประดษิ ฐานภายในหอ้ งตดิ กบั หอ้ งโถงใหญ่ หรือห้องเทพเจ้า คัมภีร์โกกิลสันเดศยะก็กล่าวถึงรูปปั้นเทพนาถะภายในวัดโตฏคามุวะว่า สร้างบริเวณใกล้ชิดกับพระพุทธรูป รูปปั้นพระโพธิสัตว์อยู่ภายในห้องโถงใหญ่ ชาวบ้านพากัน สักการบูชาเพื่อให้เดินทางปลอดภัย๖๘ คาถาบทท่ี ๒๓๔-๒๓๕ แห่งคัมภีร์คิรสันเดศยะบอกว่า สมัยน้ีผู้คนกราบไหว้เทพนาถะเพราะเป็นผู้ประทานพร๖๙ รูปปั้นของเทพนาถะอยู่ภายในวิหาร
คติความเชื่อเก่ียวกับสิ่งศักดิ์สิทธ์ิ 171 ภายในวัดโดรวกะ ลักษณะกายภาพเน้นสดุดีความงามของพระโพธิสัตว์และระบุว่ารูปปั้นมี สีขาวและมีชฏามุกุฏะ๗๐ พระศรีราหุลเถระเป็นผู้ศรัทธาอย่างแรงกล้าต่อเทพนาถะ คัมภีร์ ปเรวสิ นั เดศยะไดอ้ า้ งถงึ เทพนาถะทวี่ ดั โตฏคามวุ ะวา่ ชอื่ ทวิ ยรุ สุ ยิ ะผเู้ ปน็ ตระกลู แหง่ พระอาทติ ย์ ซ่ึงเป็นสมัญญานามของพระพุทธเจ้า๗๑ คัมภีร์กาวยเสขรยะบอกว่าความรุ่งเรืองและช่ือเสียง ของเทพนาถะสามารถเทียบเท่าพระอาทิตย์และพระจันทร์๗๒ หลักฐานที่น่าสนใจท่ีสุดเกี่ยวกับเทพนาถะปรากฏในคัมภีร์วฤตตรัตนากรปัญจิกา ของศรีรามจันทรภาวติ๗๓ สันนิษฐานว่านักปราชญ์ท่านน้ีอาจเป็นอาจารย์แห่งวิชัยพาหุปริเวณะ ท่านเป็นผู้ศรัทธาอย่างแรงกล้าต่อเทพเจ้าองค์น้ีเหมือนพระศรีราหุลเถระผู้เป็นครูแห่งตน คา� สรรเสริญเทพเจา้ องค์นี้ปรากฏในคัมภรี ์วฤตตรัตนากรปญั จกิ าความวา่ ขอพระอวโลกิเตศวร ผู้เป็นท่ีพึ่งแห่งคุณธรรมและทะเลแห่งเมตตาคุณขจัดปัดเป่าสรรพทุกข์ พระองค์ผู้ทรง ความเพียรทุกทิวาและราตรี ทรงน�าเหล่ามวลมนุษยชนให้ข้ามพ้นทะเลหลวงแห่งสงสาร ขอ พระอวโลกิเตศวรผู้มีพระเมตตาส�าหรับคนยากจนเข็ญใจจงโปรดปกปักรักษา พระองค์ผู้ รุ่งโรจน์มีรัศมีเสมอดังการปรากฏแห่งทะเลน้�านม บัดน้ีข้าขอน้อมสักการะพระอวโลกิเตเศวร ผู้เป็นเทพแห่งความร่�ารวย ผู้เปล่งปลั่งงดงามเป็นนิตย์ดั่งสุริยันจันทรา ด่ังดอกมะลิเบ่งบาน ดังสร้อยแห่งมุกดา ดังสายเงินยวง ผู้ถือลูกประค�าและดอกบัวแก้ว ผู้ปรารถนาความส�าเร็จ แก่ชาวโลกท้ังมวล ผู้มีมงกุฎปรากฏรูปร่างดังผู้ช�านะกล่าวคือพระพุทธเจ้า ผู้เป็นบรมครู ผู้ยิ่งใหญ่ และผู้ทัดทรงมาลาดังชฏามุกุฏะ พระเป็นเจ้าอวโลกิเตศวรผู้สัพพัญูและหาผู้ เปรียบมิได้ รู้กันว่าเป็นผู้ปกปักรักษาโลก ขจัดภัยทุกวันคืนทรงมีพระเมตตาต่อชนยากจน เข็ญใจ ข้าขอถึงเทพเจ้าพระองค์นั้น ผู้ประทับเพ่ือความเพลิดเพลิน ท้ังทรงมีคุณงามความดี เหนือบรรดาพระโพธิสัตว์ ขอพระองค์และเหล่าสรรพสัตว์ผู้ปรารถนาสวรรคโลกและดินแดน สุดท้ายอันสวยงามจงประสบความส�าเร็จดังปรารถนา ขอให้สรรพสัตว์จงเป็นสุขถ้วนหน้าเถิด การบรรยายใหเ้ หน็ ความสา� คญั เชน่ นเ้ี ปน็ เพยี งตวั อยา่ งหนง่ึ ของเทพนาถะในนามอวโลกเิ ตศวร๗๔ หลักฐานจารึกและวรรณคดีส่วนใหญ่เรียกขานพระองค์ตามชาวอินเดียใต้๗๕ ซ่ึงพบเห็นเม่ือมหายานได้สูญหายไปจากคาบสมุทรอินเดียแล้ว รูปปั้นเทพนาถะที่โตฏคามุวะ นั้นมีนางตาราอยู่เคียงข้าง คัมภีร์ของตันตระบอกว่าเป็นมเหสีของพระอวโลกิเตศวร๗๖ คัมภีร์ ตสิ รสนั เดศยะกลา่ วถงึ รปู ปน้ั นางตาราเคยี งขา้ งเทพนานถะเชน่ กนั และผเู้ ขยี นรอ้ งขอใหส้ ง่ สาสน์ เพื่อสักการะเทพธิดาพระองค์น้ีก่อนที่จะจากวัดแห่งน้ันด้วย๗๗ ผู้เขียนบอกอีกว่าเทพธิดา องค์น้ีท�าหน้าที่ปัดเป่าความชั่วร้ายในสงสารและเป็นด่ังต้นไม้ทิพย์ท่ีมอบความสุขและความ
172 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ ร�่ารวย เทพนาถะท่ีโตฏคามุวะรุ่งเรืองแพร่หลายจนถึงพุทธศตวรรษที่ ๒๑ เพราะมีหลักฐาน ปรากฏในกวีนิพนธ์นามว่านาถเทวิปุวตะ ซ่ึงเขียนขึ้นในพุทธศตวรรษท่ี ๒๑๗๘ ผู้เขียนก�าหนด ให้เทพนาถะท่ีโตฏคามุวะเป็นแก่นของเรื่อง โดยอธิบายว่าเทพนาถะเป็นอวตารมาจากบัลลังก์ ดอกไมแ้ ห่งสวรรค์ช้นั ดสุ ติ เปน็ ผคู้ อยดแู ลชว่ ยเหลือโตฏคามุวะตลอดท้งั สงเคราะหผ์ ู้ปรารถนา อ้อนวอน พระองค์น้ันมีห่านเป็นพาหนะ๗๙ คมั ภรี น์ ามวา่ แวดนั กวโิ ปตะ (เปน็ หลกั สตู รใชส้ อนภายในวดั ) ซงึ่ แตง่ ขน้ึ สมยั อาณาจกั ร แคนดี๘๐ บรรยายถึงเทพนาถะที่โตฏคามุวะว่า ข้าแต่เทพนาถะผู้เป็นราชันแห่งเทพ พระองค์ ผู้ทรงด�ารงอยู่ ทรงเพ่งแต่ธรรมในอารามนามว่าโตฏคามุวะแห่งหัวเมืองตอนใต้ ผู้ด�ารงชีวิต หลายโกฏิกัลป์นับไม่ถ้วน ผู้ปรารถนาความเป็นพุทธภาวะ ผู้ได้รับพุทธพยากรณ์จากอดีต พระพุทธเจ้าแล้ว ผู้ท�าลายความต้องการและมีศิลปะอันสมบูรณ์ด้วยอ�านาจแห่งฤทธิ์ และ เป็นผู้บันดาลอายุอันยืนนานแก่ผู้ศรัทธา ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าขอน้อมสักการะด้วยสองกร พร้อมคุกเข่าอ้อนวอน ขอพระองค์โปรดประทานปัญญาแก่ตัวข้าด้วยเทอญ๘๑ สันนิษฐานได้ว่า คตคิ วามเชอ่ื เทพนาถะโดง่ ดงั เปน็ ทรี่ จู้ กั แพรห่ ลายในศรลี งั กาสมยั กลาง โดยเฉพาะพทุ ธศตวรรษ ที่ ๒๐ ศูนย์กลางของความเชื่ออยู่ที่โตฏคามุวะ ไม่แต่เพียงฆราวาสเท่าน้ัน พระเถระผู้โด่งดัง สูงสุดสมัยนั้นเช่นพระศรีราหุลเถระ ก็เป็นผู้ศรัทธาแรงกล้าต่อเทพองค์นี้เช่นกัน เทพอุบลวันแห่งเดวินูวะระ เช่ือกันว่าเทพอุบลวัน เทพสมัน เทพวิภีศะณะ และเทพสกันดะมีหน้าที่ปกปักรักษา เกาะลังกา ความเช่ือเก่ียวกับจตุเทพเหล่าน้ีสามารถย้อนรอยถอยหลังไปพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ เพราะปรากฏเห็นคร้ังแรกในจารึกลังกาติลกะของพระเจ้าภูวเนกพาหุที่ ๔ ซ่ึงระบุถึงเทพเจ้า เหล่าน้ีในฐานะเป็นผู้คุ้มครองเกาะลังกา๘๒ บรรดาเทพเหล่าน้ันเทพอุบลวันได้รับการสักการะ เซ่นไหว้มากกว่าใครอื่น ความโด่งดังของเทพองค์นี้เห็นได้จากกวีนิพนธ์ประเภทสันเดศยะ กล่าวคือ คัมภีร์มยูระ คัมภีร์โกกิละ คัมภีร์ปเรวิ และคัมภีร์ติสระ ล้วนกล่าวถึงพระองค์ทั้งส้ิน เนื้อหาของคัมภีร์เหล่านั้นอธิบายถึงเทพเจ้าองค์น้ี มีการร้องขอให้คุ้มครองรักษาโดยเฉพาะ ทางการเมือง เช่ือกันว่าพระองค์ได้รับมอบหมายจากท้าวสักกะให้เป็นผู้ปกป้องเกาะลังกา หลักฐานส่วนน้ีสามารถสืบค้นถอยหลังไปถึงสมัยอาณาจักรอนุราธปุระ คัมภีร์ปเรวิสันเดศยะ กล่าวว่าเทพอุบลวันมีหน้าท่ีปกป้องพระพุทธศาสนาตามพระด�ารัสของพระพุทธเจ้าก่อนจะ ปรินิพพาน๘๓
คติความเชื่อเกี่ยวกับส่ิงศักด์ิสิทธิ์ 173 จุดก�าเนิดของความเชื่อว่าเทพอุบลวันท�าหน้าท่ีปกปักรักษาเกาะลังกามาจากคัมภีร์ มหาวงศ์ ซง่ึ ระบุว่าเมือ่ ใกลเ้ ข้าสูป่ รินพิ พานภาวะพระพทุ ธเจา้ ไดต้ รสั ส่งั ทา้ วสกั กะผเู้ ปน็ จอมเทพ ให้ท�าหน้าท่ีคุ้มครองเกาะลังกา ซ่ึงเป็นแหล่งพักพิงแห่งหลักค�าสอนของพระองค์ในอนาคต ท้าวสักกะได้มอบหมายภารธุระแก่เทพอุบลวันอีกทอดหนึ่ง๘๔ คัมภีร์สัทธรรมาลังการยะกล่าว ว่า พระเจ้าวิชัยได้รับการคุ้มครองจากเทพอุบลวัน ผู้ได้รับค�าส่ังจากท้าวสักกะให้ดูแลเกาะลังกา ตามความปรารถนาของพระพุทธเจ้า๘๕ คัมภีร์มยูรสันเดศยะกล่าวถึงเรื่องราวของท้าวสักกะ ผู้ส่ังให้เทพอุบลวันเป็นผู้ท�าหน้าที่คุ้มครองดูแลเกาะลังกาเช่นกัน๘๖ เหตุที่เทพอุบลวัณณะกลาย มาเป็นผู้รับผิดชอบภาระน้ี เพราะมีความสามารถสนองงานตามค�าสั่ง๘๗ ดังปรณวิตานะกล่าว ถึงเบ้ืองต้น๘๘ ความจริงมีการอ้อนวอนเทพอุบลวันเพื่อปกป้องเกาะลังกาเป็นเหตุให้เจ้าชายวิชัย เดินทางมาอย่างปลอดภัย แต่เพื่อรักษาการเขียนเชิงประวัติศาสตร์แนวภาษาบาลีและภาษา สิงหล จึงไม่ปรากฏหลักฐานอ้างอิงเกี่ยวกับเทพเจ้าองค์นี้หลังจากการปรากฏตัวคร้ังแรก จน กระท่ังพุทธศตวรรษที่ ๑๘ เทพอุบลวันปรากฏตัวคร้ังแรกเมื่อวีรพาหุผู้เป็นนัดดาของเสนาบดีของพระเจ้า ปรากรมพาหุที่ ๒ มีชัยเหนือพระเจ้าจันทรภาณุ ได้เดินทางไปยังเวปุระ (ปัจจุบันเรียกว่า เดวินูวะระ) เพ่ือท�าพิธีเซ่นไหว้สักการะเทพอุบลวัน๘๙ คัมภีร์จุลวงศ์กล่าวว่าเทวาลัยของ เทพอุบลวันที่เดวปุระได้รับการบูรณะซ่อมแซมโดยพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๒ ต�านานบรรยาย ไว้ว่าครั้นพระองค์ทรงทราบว่าเมืองเทวนครเป็นแหล่งบุณยสถานศักด์ิสิทธิ์ จึงโปรดให้เสนาบดี สร้างเทวาลัยขนาดใหญ่ขึ้นแล้วมอบถวายแด่เทพเจ้าแห่งดอกบัว ผู้เป็นราชันแห่งเทพ ครั้งหน่ึง พระองค์ไดเ้ สด็จไปยงั เทวนครแลว้ ให้สร้างเทวาลัยอย่างงดงามล�า้ คา่ ส�าหรบั เป็นสถานสถติ ของ ราชันแห่งเทพ แต่นั้นมาพระองค์โปรดให้เฉลิมฉลองทุกปีมิได้ขาด มีนามเรียกว่าเทศกาล แอศละเพื่อน้อมถวายแด่เทพเจ้าองค์น้ัน๙๐ ความเชื่อเทพอุบลวันเป็นการเปิดศักราชใหม่สมัย ของพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๒ คัมภีร์อลุตนูวะระเทวาลัยกรวิมะได้อธิบายรายละเอียดเก่ียวกับ ความเกย่ี วขอ้ งของพระเจา้ ปรากรมพาหทุ ่ี ๒ กบั เทวาลยั ของเทพอบุ ลวนั ทเี่ ดวนิ วู ะระ โดยอธบิ าย วา่ เมอ่ื พระเจา้ ปรากรมพาหทุ รงเปน็ พระโรคทไ่ี มส่ ามารถเยยี วยาได้ เสนาบดนี ามวา่ เทวปตริ าชะ ไดถ้ กู สง่ ไปเพอ่ื ออ้ นวอนขอพรเทพอบุ ลวนั ๙๑ คราวนน้ั วนั เพญ็ เดอื นแอศละเสนาบดไี ดส้ วดมนต์ อ้อนวอนเทพเจ้าในนามของพระเจ้าแผ่นดิน หลักฐานเสริมอีกว่าเทพเจ้าได้แปลงกายเป็น พราหมณน์ งุ่ หม่ ผา้ ขาวเทย่ี วปา่ วประกาศวา่ เปน็ การไรป้ ระโยชนท์ จ่ี ะเยยี วยารกั ษาพระเจา้ แผน่ ดนิ การปฏิเสธเป็นการเปิดเผยอิทธิฤทธิ์ จึงท�าให้พระเจ้าปรากรมพาหุเลื่อมใสศรัทธาต่อเทพอุบลวัน พระองค์ได้ประทานท่ีดินเป็นจ�านวนมากแก่เทวาลัย
174 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ หลักฐานส่วนใหญ่ท่ีกล่าวถึงความเชื่อเทพอุบลวันล้วนไม่ยืนยันแน่นอนว่าเดวินูวะระ เป็นศูนย์กลางความเชื่อสมัยนั้นหรือไม่ คัมภีร์จุลวงศ์บันทึกไว้ว่าเทวาลัยของเทพอุบลวันอยู่ที่ เดวินูวะระ เดิมสร้างโดยพระเจ้าทาปุลุเสน (ทาโฐปภูติ) ต่อมาบูรณะโดยพระราชด�ารัสของ พระเจา้ ปรากรมพาหทุ ี่ ๒ และพระองคโ์ ปรดใหจ้ ดั พธิ แี หแ่ หนเทพเจา้ องคน์ ใ้ี นเทศกาลแอศละ๙๒ คัมภีร์แปรกุมบาสิริตะซ่ึงเป็นกวีนิพนธ์เชิงสรรเสริญพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๒ ระบุว่าพระเจ้า ทาปุลุเสนโปรดให้สร้างเทวาลัยเทพอุบลวันที่เดวินูวะระ หลังจากได้เห็นเทพเจ้าผู้มเหศักดิ์ลอย ข้ึนจากมหาสมุทร เพื่อปกป้องเกาะลังกาตามค�าแนะน�าของพระพุทธเจ้า๙๓ หลักฐานส่วนอ่ืน ท่ีกล่าวถึงเรื่องราวการเดินทางมาศรีลังกาของเทพอุบลวันพบเห็นในคัมภีร์ปเรวิสันเดศยะ เมื่อผู้เขียนอธิบายถึงมกุลแวลละซ่ึงเป็นบริเวณไม่ไกลชายทะเลจากเดวินูวะระว่าพรมขนาด ใหญ่ผุดขึ้นรองรับผู้เป็นราชันแห่งเทพนามว่าอุบลวันซึ่งเสด็จขึ้นมาจากทะเล๙๔ ปรณวิตานะยืนยันว่าเทพอุบลวันกับพระอวโลกิเตศวรคือเทพวรุณซึ่งเป็นเทพเจ้า ยุคพระเวท๙๕ โดยอ้างเร่ืองราวในคัมภีร์แปรกุมพาสิริตะและคัมภีร์ปเรวิสันเดศยะว่า เทพเจ้า เดินทางมาศรีลังกาจากท้องทะเล เพราะยุคหลังพระเวทเช่ือกันว่าเทพวรุณเป็นเทพแห่ง มหาสมุทร๙๖ คัมภีร์ปเรวิสันเดศยะบอกว่าผู้ส่งสาสน์คือนกได้รับการร้องขอให้เดินทางถึง เทวาลัยของเทพอุบลวันท่ีเดวินูวระตอนรุ่งสาง ขณะเริ่มต้นพิธีเต้นร�าของนางระบ�า๙๗ เทวาลัย ของเทพอุบลวันเรียกชื่อว่าราชเค แปลว่าพระราชวังแห่งกษัตริย์๙๘ คัมภีร์มยูรสันเดศยะอธิบาย ถึงผู้ส่งสาสน์ได้บอกทิศทาง โดยเบื้องต้นไหว้ศาสนสถานหลายแห่งตามอาราม และถัดมาเดิน ตรงไปยังเทวาลัยของเทพอุบลวัน ผ่านมาวัตมฑุวะจึงเห็นตัวเมืองเดวินูวะระ๙๙ ส่วนคัมภีร์ โกกลิ สนั เดศยะอธบิ ายถงึ การเดนิ ทางตามตาราง จากเดวนิ วู ะระโดยเรมิ่ ตน้ บรรยายรายละเอยี ด ของตัวเมือง และแนะน�าผู้ส่งสาสน์ให้รู้จักเทวาลัยของเทพอุบลวัน๑๐๐ เมืองเดวินูวะระเป็นเมืองท่าที่สับสนวุ่นวายมากสุดเมืองหนึ่งในศรีลังกายุคกลาง๑๐๑ เทวาลัยของเทพอุบลวันอยู่ตรงปลายแหลมซ่ึงยื่นออกไปในทะเล๑๐๒ หลักฐานอ้างอิงระบุไว้ใน คัมภีร์สันเดศยะและหลักฐานทางกายภาพ สามารถยืนยันได้ว่าเมืองเดวินูวะระเป็นเมืองท่ี โด่งดังสูงสุด จารึกสามภาษาของเมืองกอลล์ระบุว่า ทูตจากประเทศจีนแดนไกลได้น�าเคร่ืองบูชา เซ่นไหว้ของโอรสแห่งสวรรค์ (ฮ่องเต้) มาถวายแก่เทพเจ้าเตนวรัย (เดวินูวะระ) ในฐานะเป็น เทพมีนามตามภาษาทมิฬ๑๐๓ คัมภีร์ปเรวิสันเดศยะอธิบายว่าเจ้าชายชาวอินเดียผู้เป็นพ่อค้า หลายพระองค์อาจจะต้ังรกรากท่ีเมืองเดวินูวะระ ได้สร้างเทวาลัยแด่เทพเจ้าตามท่ีตนศรัทธา๑๐๔ อิบันบาตูตะบอกว่าระหว่างการเดินทางของตนได้เห็นพราหมณ์จ�านวนหลายพันท�าหน้าที่รักษา เทวาลัยของเทพอุบลวันที่เดวินูวะระ๑๐๕
คติความเช่ือเก่ียวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ 175 เทวาลัยท่ีเดวินูวะระถูกรื้อเผาท�าลายโดยเดอเซาซาในปีพุทธศักราช ๒๑๓๑๑๐๖ เควย์รอซก็กล่าวถึงการท�าลายของเดอเซาซาโดยบันทึกว่าเป็นสถานที่บูชาเทพวิษณุซ่ึงได้รับ การท�าลายอย่างสิ้นซากโดยฝีมือของเดอเซาซา๑๐๗ นอกจากเดวินูวะระจะโด่งดังในฐานะเป็น สถานสถิตของเทพอุบลวันแล้ว ยังมีสถานที่อ่ืนท่ีเป็นเทวาลัยของเทพเจ้าองค์น้ี ศูนย์กลางแห่ง ท่ีสองของเทพอุบลวันอยู่เมืองอลุตนูวะระเขตต�าบลสตระในเขตแกคัลละ ซ่ึงกลายเป็นท่ีรู้จัก แพร่หลายสมัยหลัง สร้างโดยพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๔๑๐๘ คัมภีร์อลุตนูวะระเทวาลัยกรวีมะ ค�านวณที่ดินและภาษีเหล่าอื่นที่น้อมถวายแด่เทวาลัยแห่งน้ีว่ามีต้ังแต่ยุคเริ่มต้นพุทธศตวรรษ ท่ี ๒๒๑๐๙ ปัจจุบันเทพอุบลวันยืนยันแล้วว่าคือเทพวิษณุ รูปปั้นของเทพวิษณุยืนอยู่เคียงข้าง พระพุทธรูปตามอารามน้อยใหญ่ แต่การพิสูจน์เช่นน้ีปรากฏมีมาประมาณสามส่ีศตวรรษ เพราะมีหลักฐานอ้างอิงถึงการปรากฏตัวของเทพอุบลวันในพุทธศตวรรษท่ี ๒๐ และก่อนหน้า นั้นเทพองค์นี้มีเอกลักษณ์แตกต่างจากเทพวิษณุ ปรณวิตานะชี้ว่าจารึกลังกาติลกะของพระเจ้า ภวู เนกพาหทุ ี่ ๔ สามารถยืนยันรูปปนั้ ที่อยู่ภายในวัด เทพวษิ ณุมกี ารกลา่ วถงึ เช่นเดยี วกบั พรหม และท้าวสักกะ แต่เทพอุบลวันเป็นเทพท่ีแตกต่างเพราะรวมลงในเทพคุ้มครองเกาะลังกา๑๑๐ ความแตกต่างระหว่างเทพอุบลวันกับเทพวิษณุสามารถยืนยันได้จากหลักฐานอ้างอิงในคัมภีร์ โกกิลสันเดศยะและคัมภีร์ติสรสันเดศยะ คัมภีร์โกกิลสันเดศยะระบุว่าเทพอุบลวันมีรูปเปรียบเสมอเทพวิษณุตามลักษณะ เทวานุภาพ๑๑๑ มุดาลิยาร์คุณวรรธนะซึ่งเป็นคนแรกที่ชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างเทพอุบลวัน กับเทพวิษณุแย้งว่า ถ้าเทพอุบลวันมิใช่ใครอ่ืนนอกจากเทพวิษณุแล้วไซร้ ค�ากล่าวอ้างเช่นนี้ คงหมายถึงพระองค์เป็นรูปเปรียบตัวเอง๑๑๒ และอธิบายเพิ่มเติมว่าค�ากล่าวอ้างอาจจะมีความ หมายถ้านักกวีระบุว่าไม่มีการเปรียบเทียบเทพอุบลวันยกเว้นตัวท่านเอง แต่นักกวีมิได้กล่าว เช่นนั้น และการกล่าวอ้างแสดงนัยว่าเทพอุบลวันและเทพวิษณุเป็นเทพที่แตกต่างกัน๑๑๓ ชัยติลกยอมรับความคิดน้ีและยืนยันหลักฐานเพ่ิมเติมเพ่ือสนับสนุนแนวความคิดนี้ด้วย คัมภีร์ติสรสันเดศยะอธิบายถึงเทพอุบลวันว่าเป็นเทพธิดาสิริ (เทพแห่งความรุ่งเรือง) และ เทพธิดาสรสวี (เทพธิดาแห่งปัญญา) ผู้มีอยู่สุขส�าราญ๑๑๔ กล่าวกันว่าเทพธิดาสิริเป็นมเหสีของเทพวิษณุ ส่วนสรัสวดีเป็นมเหสีของพระพรหม เทพวิษณุผู้ช�านะความเศร้าโศกเหนือความทุกข์ยากจึงเป็นผู้มีพระวรกายด�า ส่วนพรหมสร้าง คุณธรรมตามความจ�าเป็นและประพฤติพรหมจรรย์ จึงสามารถหลบเลี่ยงจากโชคชะตาท่ี
176 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ โศกเศร้าของเทพวิษณ๑ุ ๑๕ ชัยติลกะช้ีว่าการยืนยันว่าเทพอุบลเป็นเทพวิษณุไม่สมเหตุสมผล๑๑๖ เพราะไม่มีเหตุผลว่าท�าไมพระองค์จึงต้องเศร้าโศกเมื่อคู่ครองยังอยู่คู่พระองค์ ส�าหรับผู้แต่ง คัมภีร์ติสรสันเดศยะแล้ว เทพอุบลวันเป็นเทพเจ้าที่แตกต่างและย่ิงใหญ่กว่าเทพวิษณุ ปรณวิตานะยืนยันว่าประเด็นนี้ต้องมีการยอมรับแนวคิดกันและกัน เพราะมิฉะนั้น ความ เหมือนกันอาจจะเป็นการประณามกวีที่บรรจุเรื่องเหลวไหลไร้สาระ๑๑๗ การต้ังข้อสังเกตเหล่าน้ี ช้ีให้เห็นว่าต้ังแต่ยุคแรกจนถึงสมัยการแต่งคัมภีร์โกกิลสันเดศยะจนถึงส้ินสุดพุทธศตวรรษ ที่ ๒๐ เทพอุบลวันเป็นเทพเจ้าแตกต่างจากเทพวิษณุ อิทธิพลของพวกพราหมณ์ยุคโกฏเฏและสมัยต่อมามีส่วนสนับสนุนให้เทพอุบลวัน เปน็ เทพวษิ ณุ กอ่ นนน้ั อบิ นั บาตตู ะบอกวา่ มพี ราหมณห์ นง่ึ พนั ทา� หนา้ ทบี่ ชู าเทพอบุ ลวนั ทเ่ี ทวาลยั แห่งเมืองเดวินูวะระ คัมภีร์ปเรวิสันเดศยะก็ยืนยันถึงอิทธิพลของพวกพราหมณ์ที่เดวินูวะระ ในพุทธศตวรรษท่ี ๒๐ เช่นกัน๑๑๘ คัมภีร์อลุตนูวะระเทวาลัยกรวีมะซึ่งแต่งเป็นคาถาเกี่ยวกับ เร่ืองราวของเทพไวศณวะท่ีได้รับการเช้ือเชิญจากราเมศวรัม เพ่ือสลักรูปปั้นของเทพเจ้าแห่ง เดวินูวะระ๑๑๙ คัมภีร์เพิ่มเติมว่ารูปปั้นของเทพวิษณุท�าด้วยจันทน์แดงได้ช�าระล้างใกล้ชายหาด ในรัชสมัยของพระเจ้าทาปุลุเสน ซ่ึงนายช่างได้น�ามาจากราเมศวรัม ปรณวิตานะตั้งข้อสังเกตว่า หลักฐานส่วนนี้คงเป็นข้อมูลใหม่เพ่ืออธิบายยุคเก่า ซ่ึงเป็นเหตุการณ์เกิดข้ึนสมัยผู้คนพากัน ศรัทธาเทพอุบลวัน อาจเป็นเพราะอิทธิพลของพวกพราหมณ์ผู้มีสถานภาพทางสังคมค่อนข้าง สูงในพุทธศตวรรษที่ ๒๐๑๒๐ ไม่มีเหตุผลยืนยันว่าเทพอุบลวันถูกผลักไสไปอยู่เบื้องหลังด้วย การสลัดทิ้ง อันเนื่องจากเทพวิษณุได้ครองต�าแหน่งแทนท่ีในฐานะเทพแห่งเดวินูวะระ ความแพร่หลายของความเชื่อว่าเทพเจ้าแห่งเดวินูวะระคือเทพวิษณุในพุทธศตวรรษ ที่ ๒๐-๒๒ พิสูจน์จากการอ้างอิงของเควย์รอซ ซ่ึงบันทึกว่ามีการสักการะเช่นไหว้เทพวิษณุท่ี เดวนิ วู ะระ และตอ่ มาถกู เผาทา� ลายอยา่ งสนิ้ ซากโดยฝมี อื ของแมท่ พั โปรตเุ กสนามวา่ เดอเซาซา๑๒๑ การยืนยันเทพอุบลวันว่าเป็นเทพวิษณุกลายเป็นที่ยอมรับทั่วไปสมัยแคนดี เม่ือปรากฏเห็นการ บูชาเซ่นไหว้แพร่หลายตลอดเกาะลังกา๑๒๒ คัมภีร์มหาวงศ์บอกว่าเทพอุบลวันได้รับมอบหมาย จากท้าวสักกะให้ท�าหน้าที่ดูแลรักษาเกาะลังกาในวันใกล้พุทธปรินิพพาน๑๒๓ ความเช่ือเช่นนี้ เกดิ แรงกระตุน้ ขนึ้ ในยุคกลาง อาจจะได้แรงบันดาลใจมาจากกษัตรยิ ส์ ิงหลและผคู้ นซึง่ แสวงหา สิ่งคุ้มครองรักษา เหตุเพราะบ้านเมืองประสบกับความวุ่นวาย หลักฐานระบุว่าวีรพาหุผู้เป็นหลานของเสนาบดีของพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๒ คร้ัน มีชัยเหนือพระเจ้าจันทรภาณุได้เดินทางไปเดวินูวะระ เพ่ือสักการะเซ่นไหว้เทพอุบลวัน๑๒๔ คาดเดาได้ว่าวีรพาหุได้อ้อนวอนขอพรเทพเจ้าให้ตนมีชัยก่อนที่จะยกทัพเข้าต่อสู้กับศัตรู
คติความเช่ือเกี่ยวกับสิ่งศักด์ิสิทธ์ิ 177 และหลังมีชัยแล้วได้เดินทางมาถวายเครื่องสักการะเซ่นไหว้ คัมภีร์ติสรสันเดศยะบอกว่า มีการ บนบานเทพอุบลวันให้ประทานความเข้มแข็งทางการเมืองแก่พระเจ้าปรากรมพาหุแอปาแห่ง แดดิคามะ ตลอดถึงพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๖ และผู้อ้อนวอนกราบกรานทั่วไป๑๒๕ คัมภีร์ ปเรวิสันเดศยะได้อ้อนวอนเทพอุบลวันให้คุ้มครองพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๖ พระอุปราชและ จตุรงคเสนีทั้งมวล๑๒๖ สาระหลักของคัมภีร์เล่มน้ีคือการร้องขอเทพเจ้าให้ประทานพระสวามีผู้ เหมาะสมแกพ่ ระนางจนั ทราวดี พระราชธดิ าพระองคโ์ ตของพระเจา้ ปรากรมพาหทุ ่ี ๖ ซง่ึ สามารถ ประทานความเป็นกษัตริย์แก่เจ้าชาย๑๒๗ คัมภีร์หังสสันเดศยะบอกว่าเทพอุบลวัน เทพสามัน เทพสวัต (สกันดะ) และ เทพวิภีศะณะ ล้วนพร้อมใจกันประทานพรแก่พระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๖ ให้ครองราชย์ยาวนาน ปราศจากความวุ่นวาย และสามารถสร้างอธิปไตยหนึ่งเดียวตลอดเกาะลังกา๑๒๘ ผู้เขียนคัมภีร์ โกกลิ สนั เดศยะไดร้ อ้ งขอเทพอบุ ลวนั ใหช้ ว่ ยสรา้ งความเขม้ แขง็ ทางการเมอื งแกพ่ ระเจา้ ปรากรม พาหุท่ี ๖ ด้วยการยึดครองอาณาจักรจัฟฟ์นาทางตอนเหนือ ซ่ึงในไม่ช้าก็สามารถรวมเข้าเป็น อาณาจักรสิงหล หลังจากบริเวณน้ันเคยตกเป็นเมืองของชาวทมิฬหนึ่งศตวรรษ๑๒๙ คัมภีร์ โกกลิ สนั เดศยะและคมั ภรี ม์ ยรู สนั เดศยะอา้ งถงึ เทพอบุ ลวนั ในนามวา่ กหิ แิ รลอิ บุ ลวนั สนั นษิ ฐาน ว่าน่าจะอธิบายถึงรูปปั้นท่ีสร้างจากไม้จันทน์แดง๑๓๐ จารึกพุทธศตวรรษที่ ๑๓ ซ่ึงค้นพบเร็วนี้ ที่เมืองเดวินูวะระกล่าวถึงสถานที่นามว่ากิริแรลิ๑๓๑ ปรณวิตานะตั้งข้อสังเกตว่าต�านานรูปปั้น จันทน์แดงกลายมาเป็นที่รู้จักบริเวณกิริแรลิในนามแห่งเดวินูวะระ แต่ต่อมาได้สูญหายไป แล้ว๑๓๒ คัมภีร์โกกิลสันเดสยะอธิบายว่าเทพเจ้าองค์น้ีมีชัยเหนือก�าลังแห่งมารด้วยลูกศร ผู้เข้า มาข่มขู่พระพุทธเจ้าก่อนวันตรัสรู้๑๓๓ นี้อาจเป็นการดัดแปลงของผู้แต่งคัมภีร์ เพราะไม่มี หลักฐานอ้างอิงถึงเทพเจ้าผู้ยืนอยู่เคียงข้างพระพุทธเจ้าในวันตรัสรู้๑๓๔ คัมภีร์ปเรวิสันเดศยะ บรรจุคาถามากมายอธิบายความงดงามและความยิ่งใหญ่ของเทพอุบลวัน๑๓๕ และยังอ้างถึง มเหสีนามว่าสัณฑวันและพระโอรสนามว่าธนุด้วย๑๓๖ เทพสามันแห่งรัตนปุระ คัมภีร์มหาวงศ์กล่าวว่าเขาสมันตกูฏ (บางแห่งเรียกว่าสุมนกูฏ) ซึ่งพระพุทธเจ้า ประทับรอยพระบาทเบ้ืองซ้ายมีนามเช่นนั้น เพราะยอดเขาเป็นสถานสถิตของเทวราชานามว่า สุมนะ๑๓๗ เทพเจ้าองค์นี้มีกล่าวถึงครั้งแรกเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จเกาะลังกา โดยมีพระนามว่า มหาสมุ นะแหง่ สมุ นกฏู ๑๓๘ คมั ภรี ส์ มนั ตกฏู วณั ณนาบอกวา่ เพราะเทพสมุ นะอาราธนานมิ นตเ์ ปน็ กรณีพิเศษ พระพุทธเจ้าจึงเสด็จไปเขาสมันตกูฏ แล้วท�าให้กลายเป็นสถานท่ีศักดิ์สิทธ์ิ ด้วยทรง
178 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ พระเมตตาพระพุทธเจ้าจึงประทับรอยพระบาทเบ้ืองซ้าย๑๓๙ ปรณวิตานะแสดงความเห็นว่า เทพสมุนะแห่งสุมนกูฏมิใช่ใครอื่นแต่เป็นพระโพธิสัตว์มหายานนามว่าสมันตภัทร และอธิบาย เพิ่มวา่ เทพสุมนะพัฒนาการมาจากเทพยมะแห่งยคุ พระเวท๑๔๐ หากเปรยี บเทียบเทพอุบลวนั กับ เทพองคน์ ้ี ดเู หมอื นเทพสมุ นะถกู ทงิ้ หลายศตวรรษ ไมม่ หี ลกั ฐานทางวรรณคดหี รอื ทางโบราณคดี ก่อนยุคน้ีกล่าวถึงเลย๑๔๑ เทพสุมนะปรากฏตัวอีกคร้ังสมัยพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๒ เมื่อคัมภีร์จุลวงศ์อ้างว่า เทวปติราชะผู้เป็นเสนาบดีของพระองค์ได้เดินทางไปยังคังคสิริปุระ (คัมโปละ) และท�ารูปปั้น ของเทพสุมนะพร้อมประด้วยตกแต่งด้วยทองและอัญมณีมากมาย๑๔๒ ต�านานเสริมอีกว่าจาก นนั้ ไดอ้ ญั เชญิ รปู ปน้ั นไี้ ปยงั สมุ นกฏู แลว้ จดั พธิ แี หแ่ หนอยา่ งยงิ่ ใหญแ่ ละประดษิ ฐานภายในเจดยี ์ ใกล้รอยพระพุทธบาท๑๔๓ ต้ังแต่นั้นเป็นต้นมาคติความเชื่อเร่ืองเทพสุมนะ ดูเหมือนมีบทบาท ส�าคัญในบรรดาเทพเจ้าของชาวลังกา คัมภีร์หังสสันเดศยะกล่าวถึงเทพเจ้านามว่าสมันโบสัต (สามนั โพธสิ ตั ว)์ ว่าเปน็ หนงึ่ ในจตุเทพผคู้ มุ้ ครองเกาะลงั กา เพราะมกี ล่าวถงึ เวลาสวดพระปริตร และการแผ่เมตตา๑๔๔ อลคิยวันนะได้แต่งคัมภีร์แสวุลสันเดศยะในรูปแบบของสาสน์ส่งผ่าน โดยไก่ถึงเทพสุมนะที่สปรปุระ (ปัจจุบันเรียกว่ารัตนปุระ) โดยร้องขอให้พระองค์ปกปักรักษา และประทานชัยชนะแก่พระเจ้าราชสิงหะที่ ๑ แห่งสีตาวะกะผู้อุปถัมภ์ค�้าชูเหล่ากวี๑๔๕ ซ่ึงขณะ น้ันพระองค์ก�าลังท�าสงครามกับโปรตุเกส พระบรมราชูทิศที่มหาสามันเทวาลัยของพระเจ้า ปรากรมพาหุท่ี ๖ ให้รายละเอียดมากมายเก่ียวกับท่ีดินและการดูแลรักษา ซ่ึงพระองค์โปรดให้ ประทานแก่เทวาลัยแห่งเมืองรัตนปุระ๑๔๖ ศูนย์กลางความเช่ือเทพสามันสมัยนี้อยู่ที่เมืองรัตนปุระ ซึ่งไม่ห่างจากทางขึ้นเขา สุมนกูฏมากนัก อาจเป็นไปได้ว่าด้วยความแพร่หลายอย่างรวดเร็วของความเชื่อเรื่องรอย พระพุทธบาท เทพสุมนะผู้สถิตบนขุนเขาสุมนกูฏจึงเป็นท่ีรู้จักแพร่หลายด้วย๑๔๗ ความเชื่อนี้ เพ่ิมขึ้นเท่าทวีเน่ืองจากผู้เดินทางขึ้นสู่ยอดเขาต่างปรารถนาการประสาทพรจากเทพเจ้า คัมภีร์ แสวุลสันเดศยะกล่าวถึงสถานท่ีสองแห่งโดยเน้นคุณลักษณะกรุณาหรือความการุณย์ของ เทพสุมนะ โดยระบุว่าสายพระเนตรสีฟ้าของเทพบิดรนามว่าสุมนะ ผู้รุ่งโรจน์ล�้าค่าเหมือน อัญมณีของอินทรนีละและดอกอิทีวระ (ดอกบัวสีฟ้า) ดังปลาสวยงามสองตัวที่ว่ายวนในชลธาร แห่งความเมตตามายาวนานส่งต่อแก่มวลมนุษย์ตลอดทิพาราตร๑ี ๔๘ คัมภีร์อธิบายถึงพระอุระ ของเทพเจ้าดังนี้ว่า ทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาลของพระอุระแห่งมหาเทพสุรา ผู้มีเส้นพระเกศา ด่ังความมืดมิด มีพระเนตรเมตตาแก่บรรดานางฟ้า ได้ครอบครองสระท่ีเต็มไปด้วยสายน้�า อันเย็นฉ่�าแห่งพระเมตตาคุณ๑๔๙
คติความเชื่อเก่ียวกับสิ่งศักด์ิสิทธ์ิ 179 การเน้นย�้าความเมตตาของเทพเจ้าอาจจะเด่นชัดกว่าการสาธยายพระคาถา ประหนึ่ง เสียงกู่ก้องแห่งปีติภาวะของผู้แสวงบุญ ซึ่งมุ่งหน้าเดินทางจาริกมาท่ีสุมนกูฏทุกปี นอกจากน้ัน เทพสุมนะยังทรงเมตตาภาวะแก่ผู้เดินทางมากราบไหว้ อันเนื่องจากว่าเทพเจ้าองค์น้ีท�าหน้าที่ คุ้มครองรักษารอยพระพุทธบาท เมื่อได้รับการคุ้มครองและช่วยเหลือจากเทพสุมนะแล้ว นักจาริกแสวงบุญทุกตัวคนต่างต้ังจิตร้องขอพรให้เทพเจ้าแผ่เมตตา เพื่อสามารถเดินทางขึ้น ถึงยอดเขาอย่างปลอดภัย และกราบไหว้บูชารอยพระพุทธบาท ซ่ึงเป็นตัวแทนคือพระพุทธเจ้า ชาวพุทธศรีลังกาเชื่อว่าหากพากันแผ่ส่วนบุญส่งให้ถึงเทวดาน้อยใหญ่ ย่อมสามารถด�ารง เทพภาวะยืนนานจนถึงภาวะพระนิพพาน หลังจากปรากฏตัวครั้งแรกในคัมภีร์มหาวงศ์ เทพสมุ นะมบี นั ทกึ กลา่ วถงึ ครงั้ แรกสมยั ดมั พเดณยิ ะ๑๕๐ หลกั ฐานบนั ทกึ ไวว้ า่ มหาสามนั เทวาลยั แห่งรัตนปุระได้มีการก่อสร้างในรัชสมัยของพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๒ เพ่ือเป็นการตอบแทน ค�าอธิษฐานท่ีบนบานโดยเสนาบดีผู้เป็นพราหมณ์นามว่าอารยกามเทวะ ขณะรับผิดชอบท�า เหมืองแร่บริเวณเขตสบรคามุวะตามค�าส่ังของพระเจ้าแผ่นดิน๑๕๑ หลักฐานเดิมเสริมว่าคราวแรกเสนาบดีประสบความล้มเหลว แต่ครั้งที่สองประสบ ความสา� เรจ็ จงึ ไดส้ รา้ งเทวาลยั เพอ่ื นอ้ มรา� ลกึ ถงึ เทพเจา้ สมุ นะ ประวตั ขิ องอารยกามเทวะมกี ลา่ ว ไว้ในพระบรมราชูทิศแห่งมหาสามันเทวาลัยด้วย๑๕๒ คัมภีร์สมันสิริตะกล่าวถึงการก่อสร้าง เทวาลัยโดยพาดพิงถึงเหมืองแร่ขนาดใหญ่รอบสมันตกูฏ ด้วยเหตุนี้เทพสุมนะองค์นี้จึงเป็นที่ รู้จักเป็นอย่างดีสมัยกลาง ปัจจุบันผู้แสวงโชคซ่ึงเส่ียงชีวิตในการค้นหาอัญมณีย่อมไม่หลงลืม ที่จะบนบานต่อเทพเจ้าองค์นี้ คัมภีร์สมันสิริตะอธิบายว่าเม่ือสร้างเทวาลัยเสร็จแล้ว พระเจ้า ปรากรมพาหทุ ี่ ๒ ไดท้ รงอมุ้ รปู ปน้ั เทพสมุ นะดว้ ยพระองคเ์ องแลว้ ประดษิ ฐานภายในเทวาลยั ๑๕๓ จากนั้นพระราชทานหมู่บ้านเขตสบรคามุวะ รัตนปุระ เวรลุเป และแต่งต้ังเจ้าหน้าท่ีพร้อมคนรับ ใช้เพือ่ รกั ษาดแู ล การสรา้ งมหาสามนั เทวาลัยแห่งรัตนปุระตามคมั ภรี ์สมันสิรติ ะก็สอดคล้องกบั พระบรมราชูทิศมหาสามันเทวาลัยของพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๖๑๕๔ สาระของพระบรมราชูทิศ คือยืนยันการพระราชทานที่ดินโดยบุรพกษัตริย์และการแต่งต้ังเจ้าหน้าที่ดูแลรักษาเทวาลัย ซ่ึงพระองค์เป็นผู้ริเร่ิมจัดแบ่งหน้าที่ด้วยวิธีการแบบใหม่ พระบรมราชูทิศแห่งมหาสามันเทวาลัยระบุว่า กษัตริย์สิงหลตั้งแต่พระเจ้าปรากรม พาหุที่ ๒ เป็นต้นมาได้อุทิศถวาย ๒๖ หมู่บ้าน รวมถึงสบรคามุวะ รัตนปุระและเวรลุเป๑๕๕ รวมถึงทอง เงิน ไข่มุก หินมีค่า ช้างม้า วัวควาย และทาส เป็นต้น นอกจากน้ัน หลักฐานระบุถึง การแต่งต้ังเจ้าหน้าท่ีเป็นจ�านวนมาก เพ่ือดูแลรักษาเทวาลัยและมรดกของเทวาลัย กล่าวกันว่า นีลเปรุมัลพราหมณ์ผู้เป็นหลานชายของอารยกามเทวะ ได้รับแต่งต้ังให้ดูแลเทวาลัยและอาราม
180 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ วิหารติดกัน โดยได้รับต�าแหน่งบัณฑารนายกะและต�าแหน่งบัสนายกะ (หัวหน้าเจ้าหน้าท่ี ผู้บริหารดูแลเทวาลัย) ต�าแหน่งเช่นน้ีต่อเน่ืองจนกระท่ังถึงบุตรหลาน ส่วนอีกต�าแหน่งคือ มุขเวฏฏิแต่ไม่ระบุไว้ชัดเจน หากถือตามคัมภีร์หังสสันเดศยะ หน้าท่ีของมุกเวฏฏิคือเป็น เลขานุการบันทึกรายละเอียด๑๕๖ และผู้ร้ังต�าแหน่งชื่อว่ามลิยะเปรุมัลซึ่งเป็นพราหมณ์อีกคน พระเจ้าแผ่นดินโปรดให้ตรากฎหมายแต่งตั้งคนใช้ ๑๖ คน รวมถึงเจ้าหน้าที่ประกอบ พิธี และมอบถวายเครื่องแต่งกายท่ีท�าด้วยทองถักทอด้วยอัญมณีมีราคา ๑,๐๐๐ กษาปณ์ โปรดให้เบิกจ่ายจากกองคลังหลวงหรือจากเสนาบดีผู้ดูแลราชส�านัก ย่ิงกว่านั้นพระองค์ยังแต่ง ต้ังต�าแหน่งกปุวาเทวะผู้สวมมงกุฎอัญมณี และเคร่ืองประดับเหล่าอ่ืนที่ท�าด้วยทอง อีกทั้ง แต่งต้ังนักดนตรีผู้เช่ียวชาญเคร่ืองเล่น ๕ ชนิด (ปัญจตูรยะ) เพื่อให้กลมกลืนกับการเต้นร�า ท�านองและเคร่ืองเล่น พร้อมนางร�า ส่วนต�าแหน่งที่ท�าหน้าท่ีบริหารจัดการเทวาลัยอ่ืนอีกคือ รัตนายกะ (หัวหน้าสารถี) รฏนายกะ (หัวหน้าเขตผู้ท�าหน้าที่รับผิดชอบผู้คนและพิพากษา ประจ�าหมู่บ้านท่ีเป็นของเทวาลัย) มุดัลนายกะ (เหรัญญิก) และวันนกุ (ผู้ดูแลของมีค่า) อีกรูปแบบหนึ่งท่ีกล่าวไว้ในพระบรมราชูทิศมหาสามันเทวาลัยคือ การบริหารของ อารามวิหารท่ีอยู่ติดกับเทวาลัย มีการกล่าวถึงก่อนหน้านี้ว่าสมัยอาณาจักรคัมโปละน้ัน รูปปั้น ของเทพเจา้ ฮินดูและเทพเจา้ ท้องถิน่ ปรากฏตัวครัง้ แรกในวหิ ารภายนอกหอ้ งโถงระหว่างกา� แพง ช้ันในและชั้นนอกของวิหารลังกาติลกะ ต่อมาพิธีกรรมได้รุ่งเรืองขึ้นดังเช่นมหาสามันเทวาลัย แห่งเมืองรัตนปุระมีอารามวิหารมากมายกลายเป็นส่วนเพ่ิม๑๕๗ พระบรมราชูทิศระบุว่าจ�านวน รายได้ท่ีเกิดขึ้นจากเทวาลัยเป็นส่วนเสริม เพ่ือรักษาต้นโพธ์ิสามต้นรายรอบวิหาร๑๕๘ หากถือ ตามหลักฐานนี้คงมีพระสงฆ์ ๓ รูป ท�าหน้าท่ีดูแลความต้องการประจ�าวันแต่ละสถานท่ี หัวหน้า คณะของพระสงฆ์เหล่านเี้ รยี กว่าคณนายกะ๑๕๙ พระสงฆผ์ ู้รั้งตา� แหน่งคณนายกะควรรอบรหู้ ลัก ค�าสอนและพระวินัย (ธรรมวินัย) และความศักดิ์สิทธ์ิ ดังเช่นพระมังคลเตรสามีผู้ส�าเร็จ หลักสูตรเตรภณะ๑๖๐ ภายใต้การดูแลของคลตุรุมูละเมธังกรมหาเตรสามีแห่งวัดแปปิลิยานะ ผู้รั้งต�าแหน่งนี้ ซ่ึงเป็นพระสงฆ์รูปท่ีสองผู้รั้งต�าแหน่งวิทานสามี หน้าที่คือเอาใจใส่ดูแลวัด วนั ต่อวนั คณะของวัดรวมถงึ พระรูปทส่ี ามผู้อาจจะเปน็ คนมีศรทั ธาและเคร่งครดั ในศลี าจารวตั ร หน้าที่ของคณะสงฆ์คือสวดพระปริตรด้านหน้าเทพเจ้าและแสดงธรรมแก่ชาวบ้านผู้มาบนบาน ศาลกล่าว เพ่ือช่วยเหลือปัจจัยสี่แก่พระสงฆ์ รวมถึงประทานพรแก่พระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๖ ผู้พระราชทานหมู่บ้านเมเนริปิติยะ อุฑุวาแทนเน แคตังคามะ และหมู่บ้านเหล่าอ่ืนพร้อม ที่นา สวน วัวควาย และคนรับใช้แก่อารามวิหาร
คติความเชื่อเกี่ยวกับส่ิงศักดิ์สิทธิ์ 181 พระบรมราชูทิศระบุว่ามีพิธีแห่แหนประจ�าปีเรียกกันว่าแอศละเปราเฮรา เพื่อร�าลึกถึง เทพสามัน๑๖๑ หลักฐานระบุว่าพระเจ้าราชสิงหะที่ ๑ โปรดให้จัดงานแอศละเปราเฮราเป็นประจ�า ทุกปี และโปรดให้ท�าพร้อมกับงานแห่พระเขี้ยวแก้ว๑๖๒ พระบรมราชูทิศยังกล่าวถึงเทพเจ้า อีกสององค์นามว่าบิโสเทวิยันและกุมารเดวิยัน ซึ่งเกี่ยวข้องกับเทพสามัน๑๖๓ คัมภีร์แสวุล สนั เดศยะสง่ั ผสู้ ง่ สาสนห์ ลงั จากแจง้ ความปรารถนาแกเ่ ทพสมุ นะแลว้ ใหแ้ สดงความนอ้ มคารวะ แด่พระมเหสีของเทพเจ้าแล้วรายงานพระนางถึงเหตุผลที่ตนเดินทางมา๑๖๔ ส่วนชื่อของเทพธิดา ผู้เป็นมเหสีน้ันอาจจะไม่ใช่ช่ือเฉพาะตัว พระบรมราชูทิศและคัมภีร์สันเดศยะไม่มีกล่าวถึงเลย เทพธิดาองค์ถัดไปช่ือว่ากุมารเทวีปรากฏเห็นในพระบรมราชูทิศและช่ือว่ากุมารเดวิณทุปรากฏ ในคัมภีร์สันเดศยะ๑๖๕ ซ่ึงระบุว่ามีการเคารพบูชาจากผู้ปรารถนาความส�าเร็จและการคุ้มครอง รักษา ส่วนคัมภีร์แสฬลิหิณิสันเดศยะก็เหมือนคัมภีร์แสวุลสันเดศยะ กล่าวคืออธิบายถึงการ บูชาในรูปแบบของข้อความน�าส่งแก่เทพเจ้า กรณีของเทพวิภีศะณะผู้ประทับอยู่พร้อมมเหสี และพระราชโอรสผู้เป็นบุตรของราชาแห่งเทพ๑๖๖ อาจสรุปได้ว่าระหว่างยุคน้ีไตรอานุภาพประกอบด้วยเทพเจ้าหลัก กล่าวคือ มเหสี และพระโอรสได้รับการบูชาในพระวิหารท่ีอุทิศถวายแก่เทพเจ้าน้อยใหญ่ ปรณวิตานะตั้งข้อ สังเกตว่าไม่มีหลักฐานส่วนไหนอ้างถึงโอรสของเทพสุมนะเลย ส่วนคัมภีร์กุมารเดวิณดุและ พระบรมราชูทศิ แหง่ มหาสามนั เทวาลัยลงรอยกับไตรอานภุ าพนี้ ซึ่งไมม่ หี ลักฐานอา้ งถงึ ลกั ษณะ เฉพาะของเทพเจ้าองค์นี้เลย๑๖๗ คัมภีร์แสวุลสันเดศยะระบุว่าเทพสามันมีอีกนามหนึ่งชื่อว่า สปุ ประดิษฐานร่วมอยู่ในมหาสามันเทวาลัยประมาณพุทธศตวรรษที่ ๒๑๑๖๘ หลักฐานดังกล่าว ช้ีบอกว่าไม่ให้ความส�าคัญเทพองค์ใดเป็นการเฉพาะ การสวดมนต์สรรเสริญสามารถเอ่ยถึง เทพองคอ์ น่ื ใดกไ็ ด้ ปจั จบุ นั เทพนามวา่ สปไุ มม่ อี ยใู่ นสามนั เทวาลยั หรอื แมแ้ ตเ่ ทวาลยั อน่ื ทว่ั เกาะ ลังกา แม้ในวรรณกรรมก็ไม่มีการกล่าวถึง เทพวิภีศะณะแห่งเกลาณียะ เทพเจ้าผู้ท�าหน้าท่ีพิทักษ์รักษาเกาะลังกาองค์ต่อมาคือเทพวิภีศะณะ ซึ่งเดิมเป็น เทพเจ้าท้องถ่ินแล้วกลายมาเป็นที่รู้จักแพร่หลายในยุคนี้หรือก่อนหน้าน้ีไม่นานนัก คัมภีร์ รามยณะระบุว่าวิภีศะณะเป็นน้องชายของราวณะ หรือกษัตริย์รากษสผู้เป็นต�านานแห่ง เกาะลังกา๑๖๙ กล่าวกันว่าเทพวิภีศะณะได้ละทิ้งพ่ีชายไปอาศัยพระรามผู้เป็นปรปักษ์ และ ช่วยเหลือพระรามจนมีชัยสามารถสังหารพี่ชายตน ครั้นสงครามสิ้นสุดลงได้รับแต่งตั้งให้เป็น กษัตริย์ครองเกาะลังกา ต�านานบอกว่าสถานที่สถิตของเทพวิภีศะณะอยู่ท่ีเกลาณิยะ๑๗๐ ไม่สามารถรู้ได้ว่าเทพวิภีศะณะได้รับการยกสถานภาพข้ึนเป็นเทพเม่ือใด จารึกลังกาติลกะของ
182 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ พระเจ้าภูวเนกพาหุท่ี ๔ บันทึกไว้ว่าบรรดาเทพมากหลายน้ัน เทพวิภีศะณะเป็นผู้ท�าหน้าที่ คุ้มครองพระพุทธเจ้า รูปปั้นของเทพวิภีศะณะสถิตอยู่ภายในวิหารชั้นล่าง๑๗๑ คัมภีร์นิกาย สังครหยะระบุว่าเทพวิภีศะณะเป็นหนึ่งในจตุเทพประจ�าเกาะลังกา๑๗๒ หลักฐานกล่าวถึงเทพวิภีศณะเหล่าน้ีท่ีปรากฏในสมัยอาณาจักรคัมโปละท�าให้ต้ังข้อ สงั เกตไดว้ า่ สมยั นนั้ เทพวภิ ศี ะณะไดข้ น้ึ สตู่ า� แหนง่ อนั โดดเดน่ ในฐานะจตเุ ทพผทู้ า� หนา้ ทอี่ ารกั ขา และต้องรวมลงในเทพเจ้าของชาวสิงหลก่อนหน้าน้ันเป็นแน่ คัมภีร์นิกายสังครหยะระบุว่า เสนาบดีอลเกศวรท่ี ๓ ครั้นสร้างป้อมปราการที่เมืองชัยวรรธนะปุระโกฏเฏแล้ว ให้สร้างอาราม สี่แห่งเพื่อป้องกันนครจากสี่ทิศ แล้วน้อมถวายแด่เทพอุบลวัน เทพสามัน เทพวิภีศะณะ และ เทพการติเกยะ (สกันดะ) พร้อมตรากฎหมายว่าควรมีการประกอบพิธีกรรมด้วยการประโคม ดนตรีตีกลองบูชาถวายแก่เทพเจ้าเหล่าน้ันทุกทิพาราตรี๑๗๓ ความพิเศษของเทพวิภีศะณะคือเป็นผู้ประทานบุตรแก่ผู้บนบาน ช่ือเสียงด้านนี้เป็น ที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง พระโอรสของพระมเหสีรัตนาวลีนามว่าพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๑ ก็ได้ รับพรจากเทพเจ้าองค์น๑ี้ ๗๔ เก่ียวกับการสมภพของพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๑ คัมภีร์จุลวงศ์บอก ว่าพระบิดาของพระองค์คือพระเจ้ามานภรณะได้รับพรจากเทพเจ้าผู้ทรงเดชนามว่าเทวราชา๑๗๕ ไกเกอร์และวิเจสิงหะเห็นว่าเทพองค์น้ีคืออินทราหรือสักกะผู้เป็นจอมเทพ๑๗๖ แต่ความแตกต่าง ของเทพองคน์ เี้ พง่ิ ปรากฏเหน็ ยคุ กลางนเี้ อง คมั ภรี แ์ สฬลหิ ณิ สิ นั เดศยะระบวุ า่ เทพวภิ ศี ะณะเปน็ ผู้ประทานพรแก่พระโอรสของพระเจ้ามานภรณะและพระนางรัตนาวลี๑๗๗ อาจเป็นไปได้ว่า เทพองค์นี้รู้จักแพร่หลายสมัยกลาง มิใช่เพียงฐานะผู้อารักขาเท่านั้นแต่เป็นเทพผู้สามารถ ประทานบุตรด้วย ผู้เขียนเร่ืองราวของพระเจ้าปรากรมพาหุอธิบายเพ่ิมอีกว่าเทพวิภีศะณะ เหมือนเทพสามันคือเป็นเทพเจ้าท้องถ่ินได้รับการสักการบูชาเฉพาะบริเวณมายารฏะ รวมถึง เกลาณียะและชาติคามะ ซึ่งเป็นสถานที่สมภพของพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๑ ศูนย์กลางการประกอบพิธีกรรมเซ่นไหว้เทพวิภีศะณะสมัยอาณาจักรโกฏเฏอยู่ท่ี เกลาณียะ สันนิษฐานว่าเป็นศูนย์กลางอ�านาจหลังการเสียชีวิตของราวณะ ไม่สามารถสืบค้น ระยะเวลาแห่งการสร้างเทวาลัยเทพวิภีศะณะบริเวณน้ัน แต่ยังมีประเด็นชวนสงสัยว่าความเกิด มีของเทพองค์นี้ในบริเวณศักดิ์สิทธ์ิของชาวพุทธ ซ่ึงมีชื่อเสียงในฐานะเป็นหน่ึงบุณยสถานอัน พระพุทธเจ้าเสด็จลังกากลายเป็นจุดส�าคัญแห่งความรุ่งเรืองของเทพวิภีศะณะหรือไม่ เทพองค์ นี้มีกล่าวถึงมากสุดในกวีนิพนธ์ประเภทสันเดศยะ๑๗๘ โดยเฉพาะคัมภีร์หังสสันเดศยะ๑๗๙ ซ่ึงบอกว่าเทพวิภีศะณะได้ขึ้นครองบัลลังก์ลังกาโดยการสนับสนุนของพระรามตามเน้ือหา ของคัมภีร์มหากาพย์รามายนะ เทพองค์นี้ได้รับการร้องขอและอ้อนวอนจากกษัตริย์ลังกาผู้
คติความเชื่อเก่ียวกับส่ิงศักด์ิสิทธิ์ 183 กราบไหว้และสักการะ คร้ันกษัตริย์ได้รับผลส�าเร็จจึงมอบถวายช้างม้าที่นาและหมู่บ้านแก่วัด อันเป็นท่ีสถิตของเทพเจ้าท่ีเกลาณียะ๑๘๐ พระศรรี าหลุ เถระเปน็ ผศู้ รทั ธามนั่ คงตอ่ เทพวภิ ศี ะณะ คมั ภรี แ์ สฬลหิ ณิ สิ นั เดศยะบอก วา่ เทพองคน์ มี้ ใิ ชเ่ ปน็ เพยี งนอ้ งชายของราวณะเทา่ นนั้ แตเ่ ปน็ ผกู้ า� เนดิ จากปลตสิ โิ คตร๑๘๑ เนอื้ หา ของคัมภีร์เล่มนี้ร้องขอเทพเจ้าให้ประทานพรแก่พระโอรสของพระนางอุลกุฑยเทวี พระราชธิดา พระองค์เล็กของพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๖ ผู้จะเป็นทายาทสืบทอดบัลลังก์ต่อไป คัมภีร์อ้างว่า เทพวิภีศะณะได้ประทานพรแก่พระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๑ ผู้เป็นพระโอรสของพระเจ้ามานภรณะ และพระนางรัตนาวลีด้วย และเพ่ิมเติมว่าขอให้พระโอรสของพระนางอุลกุฑยเทวีเป็นผู้มี ศักดานุภาพเฉกเช่นพระอัยยิกา แต่ความจริงคือพระโอรสผู้ประสูติแต่พระนางอุลกุฑยเทวีแม้ จะครองราชย์สืบแทนพระอัยยิกา แต่หาได้มีศักดานุภาพเหมือนพระเจ้าปรากรมพาหุไม่ เพราะ ถูกพระเจ้าภูวเนกพาหุที่ ๖ ปลงพระชนม์หลังครองราชย์เพียง ๒ ปี คัมภีร์หังสสันเดศยะระบุถึงการสวดพระปริตรภายในเทวาลัยของเทพวิภีศะณะ โดย พระสงฆ์ผู้เป็นหัวหน้าคณนายกะนามว่าพระภูวเนกพาหุเถระแห่งวัดเกลาณียะ๑๘๒ คัมภีร์ โกกลิ สนั เดศยะกลา่ ววา่ สา� หรบั เทศกาลทท่ี า� สบื ตอ่ กนั มาจะมเี ดก็ สาวแตง่ ตวั เหมอื นนางฟา้ โสภา เต้นร�าภายในเทวาลัย๑๘๓ ส่วนพระสงฆ์เหล่าน้ันพากันสวดพระคาถา ซึ่งแต่งข้ึนเพ่ือสรรเสริญ เยินยอเทพเจา้ พระศรรี าหุลเถระแนะนา� ใหค้ นสง่ สาสน์ว่าหลังจากส่งสาสนแ์ ล้วควรสกั การะเทวี และโอรสของเทพวิภีศณะด้วย เพราะมีรูปปั้นสามเทพภายในเทวาลัยเดียวกัน หมายถึง มเหสี และพระโอรส แต่ไม่ปรากฏว่ามีนามเช่นไร คาดเดาเอาว่าเพราะอยู่ภายในห้องเดียวกันเสมือน ตัวแทนไตรเทพ๑๘๔ เทพกตรคามะแห่งกตรคามะ ตอ่ มาเป็นคตคิ วามเช่ือเกย่ี วกบั เทพกตรคามะซงึ่ ยืนยนั แลว้ วา่ คอื เทพสกนั ดะ ไกเกอร์ สืบค้นหาหลักฐานอ้างอิงครั้งแรกเก่ียวกับเทพสกันดะ โดยย้อนหลังไปสมัยอาณาจักรอนุราธปุระ แล้วย�้าว่าพระเจ้าทัปปุละแห่งอาณาจักรโรหณะได้ท�าการบูชาสักการะเทพเจ้าองค์นี้เช่นกัน๑๘๕ เร่ืองราวของเทพสกันดะยังมีกล่าวถึงพร้อมกับเทพกุมารผู้มีนามอันเก่าแก่ ซึ่งเกี่ยวกับการใช้ เวทมนตร์คาถาของพระเจ้ามานวัมมะ๑๘๖ จารึกกปุรุแวฑุโอยะระบุว่าพระเจ้าคชพาหุที่ ๒ โปรดให้พระราชทานทดี่ ินแก่ผ้สู ร้างรูปปน้ั เทพกันตะ (สกนั ดะ)๑๘๗ หลักฐานเหลา่ น้ที �าใหโ้ คดกมุ บรุ ะ ตั้งข้อสังเกตว่าการบูชากราบไหว้เทพสกันดะอาจจะเป็นท่ีรู้จักแพร่หลายของชาวสิงหลมาต้ังแต่ ยุคโปโฬนนารุวะ๑๘๘
184 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ คัมภีร์ภาษาสิงหลนามว่ากันดะอุปตะซึ่งเขียนข้ึนในตอนปลายอาณาจักรแคนดีบอก ว่า พระเจ้าทุฏฐคามนีอาจจะสร้างเทวาลัยชายป่าบริเวณเมืองกตรคามะแล้วมอบถวายแด่ เทพสกันดะ ผู้ประทานพรพระองค์จนสามารถมีชัยเหนือกษัตริย์ทมิฬนามว่าเอฬาระ และ สามารถฟื้นฟูราชวงศ์สิงหล๑๘๙ ต่อมาเมืองกตรคามะกลายเป็นศูนย์กลางส�าคัญทางทหาร เพื่อเตรียมทัพท�าสงคราม ขับไล่จักรวรรดิโจฬะในพุทธศตวรรษที่ ๑๖ แต่น่าเสียดายไม่มีหลักฐานสมัยนั้นกล่าวถึง เทพเจ้าองค์นี้เลย คัมภีร์นิกายสังครหยะระบุว่าเสนาบดีอลเกศวรท่ี ๓ ได้สร้างอุทิศเทวาลัยสี่ แห่งแก่จตุเทพในทิศทั้งสี่ภายในเมืองโกฏเฏ ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ส�าคัญ๑๙๐ กล่าวกันว่าหน่ึง ในเทวาลัยได้มอบถวายแก่เทพการติเกยะ ซ่ึงเป็นอีกนามหน่ึงของเทพสกันดะ จารึกที่ลังกาติลกะ ระบุชื่อเทพการัตติเกยะว่าเป็นหน่ึงในจตุเทพผู้คุ้มครองเกาะลังกา๑๙๑ นักปราชญ์นามอุโฆษช่ือ ว่าพระศรีราหุลเถระก็อ้างว่าตัวท่านได้รับพรจากเทพสกันดกุมาร คัมภีร์ปัญจิกาประทีปยะและ คัมภีร์กาวยเสขรยะซึ่งเป็นผลงานของท่านล้วนอ้างว่า ตัวท่านได้รับพรจากเทพสกันดะขณะ มีอายุได้ ๑๕ ปี ซ่ึงท�าให้ท่านสามารถเป็นผู้แตกฉาน ๖ ภาษา และทรงพระไตรปิฎก๑๙๒ และ ปู่ของท่านก็เป็นผู้ศรัทธามั่นคงต่อเทพสกันดะ๑๙๓ ส่วนคัมภีร์หังสันเดสศยะอ้างว่าเทพสกันดะ มี ๖ พักตร์ อยู่ท่ัวเมืองโกฏเฏ มีการบรรเลงกลองบริเวณเทวาลัยและมอบถวายเทวตาพลีเป็น จ�านวนมาก๑๙๔ คัมภีร์แสฬลิหิณิสันเดศยะระบุว่ามีเทวาลัยของเทพมหาเสน (สกันดะ) ท่ีเมือง โกฏเฏ๑๙๕ คัมภีร์มยูรสันเดศยะและคัมภีร์แสวุลสันเดศยะบรรยายถึงเทพเจ้าองค์น้ีโดยใช้ นกสองตัวเป็นผู้ท�าหน้าที่น�าส่งสาสน์ คัมภีร์มยูรสันเดศยะกล่าวถึงพาหนะของพระองค์ ส่วนคัมภีร์แสวุลสันเดศยะบอกว่าเทพองค์น้ีมีแขนเป็นจ�านวนมาก๑๙๖ วรรณคดีสมัยน้ีไม่ กล่าวถึงเทพกตรคามะเลย แม้เป็นศูนย์กลางส�าคัญของคติความเช่ือ คัมภีร์ชินกาลมาลีปกรณ์ แต่งที่เชียงใหม่ในปีพุทธศักราช ๒๗๕๙ กล่าวถึงเทพเจ้าแห่งกัฏฐคามว่าเป็นหนึ่งในจตุเทพ ผู้ท�าหน้าท่ีคุ้มครองเกาะลังกา๑๙๗ จากหลักฐานเบ้ืองต้นปรณวิตานะต้ังข้อสังเกตว่าเทวาลัยท่ี เทพกตรคามะ ซึ่งผู้มีศรัทธาอุทิศถวายแก่เทพสกันดะ เป็นท่ีรู้จักแพร่หลายของประเทศ นอ้ ยใหญแ่ มห้ า่ งไกลจากศรลี งั กาเชน่ ประเทศไทย๑๙๘ เทพสกนั ดะเรมิ่ โดง่ ดงั ในฐานะเปน็ เทพเจา้ ส�าคัญสมัยอาณาจักรแคนดี เพราะมีการอัญเชิญรูปปั้นเข้าร่วมขบวนแห่แอศละเปราเฮรา สมัยราชวงศ์นายักกร์๑๙๙
คติความเช่ือเกี่ยวกับส่ิงศักดิ์สิทธิ์ 185 เทพฮินดูเหล่าอื่น บรรดาเทพเจ้าฮินดูที่มีการยอมรับให้สถิตในเทวาลัยยุคกลางน้ัน เทพคเณศหรือ คณบดีก็ร้ังต�าแหน่งสูงเช่นกัน บรรดาเทวาลัยของฮินดูท่ีกล่าวถึงในคัมภีร์สันเดศยะ ยังมีสถานท่ี สองแห่งที่มีการบูชาถวายแด่เทพคณบดีอยู่ทางใต้สุดของเกาะลังกา คัมภีร์ติสรสันเดศยะระบุ ถึงเทวาลัยของเทพคเณศท่ีแวเลมฑมะใกล้มคุลแวลละแห่งเมืองเดวินูวะระ๒๐๐ คัมภีร์โกกิล สันเดศยะบอกว่าเทวาลัยอยู่ใกล้ชิดติดทะเลจนเห็นเคล่ือนกระทบฝั่ง๒๐๑ ส่วนปเรวิสันเดศยะ ระบุถึงเทวาลัยของเทพคเณศท่ีแวลเลมฑมะและเพิ่มเติมว่าสร้างถวายโดยพ่อค้าผู้เป็นเจ้าชาย ทางอินเดียตอนใต้นามว่ารามจันทร ผู้แต่งบรรยายถึงพิธีกรรมและการบวงสรวงท่ีปฏิบัติกัน ภายในเทวาลัยเพื่อร�าลึกถึงเจ้าชายรามจันทร๒๐๒ มีการตีกลองยามรุ่งสางตามมาด้วยการ ขับกล่อมโศลกและเร่ืองราวของเหล่านักบวช คัมภีร์โกกิลสันเดศยะระบุถึงเทวาลัยอีกแห่งหนึ่ง ท่ีสร้างอุทิศแก่เทพคเณศว่าต้ังอยู่ใกล้กาฬุคังคา๒๐๓ คติความเชื่อเทพคเณศสามารถสืบค้น ถอยหลังจนถึงสมัยอาณาจักรอนุราธปุระ เพราะมีการค้นพบรูปปั้นของเทพองค์น้ีอยู่ด้านมุข ของกัณฐกเจดีย์ท่ีมิหินตะเล๒๐๔ โคดกุมบุเรระบุว่ามีการพบรูปปั้นเทพคณบดีภายในเทวาลัย แห่งหน่ึงใกล้ศิวเทวาลัยหลักท่ี ๕ ณ เมืองโปโฬนนารุวะ๒๐๕ เทพองค์น้ีสถิตอยู่ในวิหารลังกาติลกะ พร้อมเทพน้อยใหญ่๒๐๖ สรุปว่าคติความเชื่อเทพคเณศเป็นที่รู้จักแพร่หลายเฉพาะชาวทมิฬ คติความเช่ือที่ส�าคัญสูงสุดเกี่ยวกับเทพเจ้าฮินดู ซ่ึงทรงอิทธิพลต่อชาวสิงหลคือ เทพศิวะ เพราะเกิดมีเทวาลัยมากมายทั่วเกาะลังกา มีผู้คนสร้างอุทิศถวายมากมายหลายปาง เช่น สุทรรศานและไภรวะ กวีนิพนธ์ประเภทสันเดศยะอ้างอิงความเชื่อเทพองค์น้ีว่ามากมาย ดาษด่ืน การค้นพบทางโบราณคดีและซากปรักหักพังล่าสุดชี้ให้เห็นถึงความแพร่หลายต้ังแต่ ยุคโปโฬนนารุวะเรื่อยมา๒๐๗ หลักฐานส่วนใหญ่ล้วนมุ่งเน้นถึงยุคการยึดครองของทมิฬโจฬะ ทางด้านเหนือของเกาะลังกา กวีนิพนธ์ภาษาสิงหลนามว่าสสทาวตะระบุนามเทพศิวะบรรดา เทพน้อยใหญ่ผู้เคารพสักการะพระพุทธเจ้า๒๐๘ ภาพวาดในหอพระธาตุแห่งมหิยังคณเจดีย์ ก็อธิบายถึงเทพเจ้าใหญ่น้อยผู้เข้ามาอ่อนน้อมยอมตนหลังจากพระพุทธองค์ปราบพระยามาร ได้แล้ว๒๐๙ หลักฐานส่วนน้ีอาจช้ีให้เห็นว่าก่อนอาณาจักรโกฏเฏเล็กน้อย มีความพยายาม รวมเทพศิวะเข้ามาไว้ภายในเทวาลัย โดยเฉพาะบริเวณที่มีชาวพุทธอยู่อาศัย จนกระทั่งถึงยุค อาณาจักรคัมโปละจึงมีความพยายามท่ีจะสถิตรูปปั้นเทพศิวะในวิหารชาวพุทธ ซ่ึงปรากฏ เห็นคร้ังแรกท่ีวัดลังกาติลกะ๒๑๐
186 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ ส่วนเทวาลัยที่อุทิศถวายเทพไภรวะซึ่งเป็นปางหนึ่งของเทพศิวะต้ังอยู่ที่เมือง สีตาวกะ๒๑๑ อลคิยวันนาบอกว่าภายในเทวาลัยมีพิธีกรรมการเต้นร�าบูชาเทพเจ้า และภาพวาด มากมายอธิบายถึงสงครามระหว่างพระรามและท้าวราวณะ เร่ืองราวของมหาภารตะ ความ ส�าเร็จของเทพสกันดะ และสงครามของเทพศิวะ๒๑๒ เทวาลัยของเทพไภรวะปัจจุบันเรียกว่า แพแรนฑโิ กวลิ นอกจากนนั้ อลคยิ วนั นายงั พรรณนาถงึ ความศรทั ธามน่ั คงตอ่ เทพศวิ ะของพระเจา้ ราชสิงหะท่ี ๑ สอดคล้องกับหลักฐานในคัมภีร์มหาวงศ์และคัมภีร์มันดารัมปุระปุวตะ๒๑๓ เทวาลัยอีกแห่งหนึ่งท่ีน้อมถวายแก่เทพศิวะอยู่ท่ีมุนเนศวรัมใกล้หลาวตะ๒๑๔ มีคัมภีร์อีกเล่มหน่ึงกล่าวถึงเทวาลัยท่ีมอบถวายแด่เทพอิศวรซ่ึงเป็นปางหน่ึงของ เทพศิวะ พระบรมราชูทิศแห่งมุนเนศวรัมเทวาลัยอธิบายรายละเอียดมากมายเกี่ยวกับกษัตริย์ โปรดให้ซ่อมแซมเทวาลัย และแต่งตั้งเจ้าหน้าที่จ�านวนมากพร้อมคนรับใช้เพื่อดูแลรักษา เทวาลัยแห่งนี้๒๑๕ พระบรมราชูทิศหลักนี้มีความคล้ายคลึงกับพระบรมราชูทิศแห่งมหาสามัน เทวาลัยเพราะเป็นกษัตริย์พระองค์เดียวกัน๒๑๖ หลักฐานระบุว่าการก่อสร้างเทวาลัยได้รับการ ดูแลเรื่อยมาโดยพราหมณ์นามว่าพาราณสีนีลกัณฐะ หลังจากก่อสร้างเทวาลัยเรียบร้อยแล้ว พระเจ้าแผ่นดินรับส่ังให้ฟื้นฟูการบริหารดูแลเทวาลัย โดยโปรดแต่งต้ังหัวหน้าคนใหม่ช่ือว่า พราหมณ์พาราณสี แต่กรณีของมหาสามันเทวาลัยเป็นต�าแหน่งภัณฑอารยนายกะ๒๑๗ คัมภีร์ อธิบายเพ่ิมเติมว่าได้มีการแต่งตั้งคนรับใช้อีก ๑๖ คน มีหัวหน้านามว่ากปุวเทวะเพื่อท�าหน้าท่ี ท�าพิธีกรรมทุกวัน มุนเนศวรัมเทวาลัยก็มีวัดพุทธอยู่ภายในบริเวณเช่นเดียวกัน แต่ไม่มีหลักฐานกล่าว ถึงการบริหารจัดการเลย หลักฐานระบุว่ามุนเนศวรัมเทวาลัยรุ่งเรืองแพร่หลายไปไกลสมัย พทุ ธศตวรรษท่ี ๒๐ เพราะความโด่งดังของเทวาลัยแหง่ เทพศิวะจึงทา� ให้ชาวสิงหลศรัทธาคล้อย ตาม ยกเว้นกรณีพระเจ้าราชสิงหะที่ ๑ หลักฐานทางภูมิศาสตร์ท�าให้ทราบว่าบริเวณนี้เป็นท่ีอยู่ ของชาวทมิฬผู้สวดมนต์อ้อนวอนเป็นโศลกภาษาทมิฬ แสดงว่าเทวาลัยแห่งนี้เป็นศูนย์กลาง ส�าคัญของชาวทมิฬ ท�าให้ทราบชัดว่าคติความเช่ือเก่ียวกับเทพศิวะก็ทรงอิทธิพลต่อชาวพุทธ สิงหลเช่นกัน การตรวจสอบหลักฐานอย่างละเอียดท�าให้ทราบว่าแม้พระสงฆ์เองก็ศรัทธา เทพศิวะเหมือนกัน๒๑๘ ความโด่งดังของเทพศิวะรุ่งเรืองขึ้นพร้อมพระสงฆ์อย่างไม่ต้องสงสัย พระธรรมเสนเถระผู้แต่งคัมภีร์สัทธรรมรัตนาวลีได้แนะน�าชาวบ้านให้ละเลิกเช่ือถือเทพวิษณุ และเทพมเหศวร แลว้ หนั มานบั ถอื พระรตั นตรยั เปน็ ทพ่ี ง่ึ ๒๑๙ คมั ภรี ป์ ชู าวลยิ ะและคมั ภรี ส์ ทั ธรรม าลงั การยะใหร้ ายละเอยี ดเกย่ี วกบั ความมากอทิ ธพิ ลความเชอื่ ตอ่ เทพศวิ ะ โดยชบ้ี อกวา่ เปน็ เรอ่ื ง ไร้สาระและชาวพุทธควรหันมาค้�าชูพระพุทธศาสนา๒๒๐
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228