เรื่องราวแห่งอาณาจักร 37 อาจเป็นความจริงว่าวีรอลเกศวรพ่ายแพ้ต่อจีน จึงสมด้วยเหตุผลที่เจิ้งเหอจับตัวและ จองจ�าน�าไปประเทศจีน ถึงแม้ไม่สามารถสืบหาหลักฐานความสมเหตุสมผล เพ่ือยืนยันวิธีการ ขัดขืนต่อแม่ทัพเรือเจิ้งเหอ เพราะกริยามารยาทที่ท่านไม่ประพฤติตนตามแบบอย่างกษัตริย์ แห่งอุษาคเนย์ แต่มีหลักฐานอีกแห่งหน่ึงยืนยันว่าแม่ทัพเรือท่ีเดินทางถึงเกาะลังกา เพราะหวัง ที่จะเปิดเส้นทางการค้าทางทะเลและพัฒนาการค้าของจีน๒๕ ความพ่ายแพ้ของวีรอลเกศวรจึง เป็นสัญญาณสุดท้ายแห่งความรุ่งเรืองทางเชื้อสายของอลเกศวรผู้ย่ิงใหญ๒่ ๖ความไม่ม่ันคงและ ความวุ่นวายของบ้านเมือง ซึ่งปรากฏมีมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรดัมพเดณิยะเร่ือยมาจนถึงการ ขึ้นครองราชย์ของพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๖ แห่งอาณาจักรโกฏเฏ ตามหลักฐานบอกว่าพระองค์ ได้รับมอบราชบัลลังก์เพราะไม่มีกษัตริย์สิงหลหลงเหลือบนเกาะลังกาเลย เหตุเพราะวีรอล เกศวรถูกจับตัวน�าไปประเทศจีน๒๗ การครองราชย์อันยาวนานของพระองค์เป็นระยะเวลาส�าคัญยิ่ง มิใช่เพียงแต่ประวัติ ศาสตร์ทางการเมืองของศรีลังกาเท่าน้ัน แต่รวมถึงประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรมของชาวสิงหล ด้วย ด้านทางการเมืองนั้นถือว่าเป็นช่วงสุดท้ายที่เกาะลังกาท้ังหมดตกอยู่ภายใต้อ�านาจของ กษัตริย์สิงหลพระองค์เดียว น่าเสียดายว่าไม่มีข้อมูลท่ีกล่าวถึงการเสริมสร้างอ�านาจของพระองค์ วรรณกรรมสมัย พระองค์แม้มีมากก็จริง แต่กลับไม่กล่าวถึงประเด็นน้ีเลย แม้เหตุการณ์ส�าคัญทางการเมืองหนึ่ง เดียวซ่ึงเกิดขึ้นก่อนยกทัพเข้าปราบปรามพวกวันนิและยึดครองอาณาจักรจัฟฟ์นาก็ไม่กล่าวถึง มีจารึกเป็นจ�านวนมากท่ีสร้างขึ้นสมัยพระองค์กระจายกันอยู่ท่ัวเกาะลังกา ดังเช่น เบลิคะละสันนสะสร้างข้ึนเม่ือพุทธศักราช ๑๙๕๘๒๘ นอกจากน้ันยังพบจารึกที่มเหย์ยาวะใกล้ เมืองแคนดี ระบุว่าสร้างในปีที่ ๔ แห่งการครองราชย์ของพระองค์ และจารึกเกี่ยวกับคณะสงฆ์ พบท่ีวัดคฑลาเดณิยะ ซ่ึงดูเหมือนว่าสร้างข้ึนในปีที่ ๕ แห่งการครองราชย์๒๙ คัมภีร์สัทธรรม รัตนากรยะระบุว่าพระองค์โปรดให้บูรณะศาสนสถานหลายแห่ง ดังเช่น แปปิลิยานะ คฑลาเดณิยะ อตั ตนคลั ละ และมหยิ งั คณะ๓๐ ไมส่ ามารถทราบไดว้ า่ เหตทุ พ่ี ระองคท์ รงมเี อกราชเหนอื อาณาเขต เหล่าน้ี เป็นเพราะพระปรีชาสามารถของพระองค์เองหรือเป็นมรดกตกทอดมาจากเสนาบดี อลเกศวร หลักฐานหลายแห่งชี้ว่าหลังข้ึนครองราชย์แล้ว พระองค์ได้แผ่กฤดานุภาพเหนือ เกาะลังกาทั้งหมด รวมถึงพวกวันนิและอาณาจักรจัฟฟ์นาด้วย
38 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ คมั ภรี ก์ วนี พิ นธย์ คุ เดยี วกนั นามวา่ คริ สนั เดศยะ ชวี้ า่ หลงั จากสงครามครงั้ ใหญก่ บั พวก วันนิจบลงด้วยการบังคับให้รับรองความเป็นใหญ่ของพระองค์๓๑ เหตุท่ีเข้ายึดครองพวกวันนิ เหล่านี้เพราะต้องการเข้าย�่ายีอาณาจักรจัฟฟ์นา อันเน่ืองจากพวกวันนิปกครองเขตแดนเชื่อม ต่อระหว่างชาวสิงหลกบั ชาวทมฬิ สุดทา้ ยพระเจา้ ปรากรมพาหไุ ดเ้ ร่ิมดา� เนินการเขา้ บุกตีกษัตรยิ ์ ทมิฬภายใต้จอมทัพนามว่าเจ้าชายสปุมัล๓๒ คัมภีร์ราชาวลิยะกล่าวว่าก่อนเตรียมการบุกรุกจะ เริ่มข้ึน เจ้าชายสปุมัลได้เข้าโจมตีหมู่บ้านขนาดเล็กภายในอาณาเขตของอาณาจักรจัฟฟ์นาก่อน แล้วจับนักโทษส่งมายังเมืองโกฏเฏ๓๓ หลังจากนั้นเจ้าชายสปุมัลได้ตระเตรียมกองทัพเพื่อ ท�าสงครามครั้งสุดท้าย ด้วยการเข้าโจมตียึดครองเมืองจัฟฟ์นา คัมภีร์เล่มเดียวกันยังระบุว่า พระเจ้าอารยจกั รวรัติถูกปลงพระชนม๓์ ๔ แตว่ รรณกรรมสมยั เดยี วกันส่วนใหญบ่ อกว่าพระองค์ ได้หลบหนีไปยังอินเดียตอนใต้๓๕ ชัยชนะครั้งน้ีท�าให้เจ้าชายสปุมัลกลายเป็นวีรบุรุษในสายตา ของชาวสิงหล ถึงแม้ว่าพระองค์จะมิใช่ชาวสิงหลก็ตาม ความรู้สึกช่ืนชมยินดีของชาวสิงหล ประกาศก้องในกวีนิพนธ์นามว่าแสฬลิหินิสันเดศยะและคัมภีร์โกกิลสันเดศยะ๓๖ คัมภีร์ แสฬลิหินิสันเดศยะระบุว่าการเข้าบุกรุกยึดครองอาณาจักรจัฟฟ์นาเกิดข้ึนในปีท่ี ๓๓ แห่งการ ครองราชย์ของพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๖๓๗ การมีชัยเหนืออาณาจักรจัฟฟ์นาน�าไปสู่การรวม เกาะลังกาภายใต้กษัตริย์ชาวสิงหล ถือว่าเป็นคร้ังสุดท้ายในประวัติศาสตร์ของศรีลังกา ยกเว้นการก่อกบฏของโชติยสิฏในเขตแคนดีแล้ว๓๘ การครองราชย์อันยาวนานของ พระองคแ์ ทบไมม่ คี วามวนุ่ วายภายในเลย เปน็ เหตใุ หพ้ ระองคส์ ามารถฟน้ื ฟวู ฒั นธรรมชาวสงิ หล ได้อย่างเต็มที่ พระเจ้าปรากรมพาหุจึงถือว่าเป็นมหาราชของชาวศรีลังกาอีกพระองค์หนึ่ง ซ่ึงสืบ ต่อจากพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๑ และพระเจ้านิสสังกมัลละ ในฐานะทรงครองความเป็น ราชาธิปัตย์เหนือผู้คนตลอดเกาะลังกา ต่อมาการสวรรคตของพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๖ (พ.ศ. ๒๐๑๐) เปิดช่องให้บ้านเมืองเข้าสู่ภาวะไม่มั่นคงอีกคร้ัง เม่ือพระราชโอรสของพระนาง อุลกุฑยเทวี ซ่ึงพระองค์ประสงค์ให้เป็นพระมหากษัตริย์สืบแทน ได้เสวยราชย์มีพระนามว่า พระเจ้าชัยพาหุที่ ๒ แต่ก็ครองราชย์ไม่ถึงสองปี เพราะเจ้าชายสปุมัลแม่ทัพใหญ่แห่งเมือง จัฟฟน์ าได้ยาตราทพั เขา้ ส่เู มืองโกฏเฏแลว้ สังหารพระเจา้ ชัยพาหทุ ่ี ๒ จากนนั้ สถาปนาตนข้นึ เป็น กษัตริย์เหนือเกาะลังกามีพระนามว่าภูวเนกพาหุที่ ๖ เหตุการณ์ความวุ่นวายครั้งน้ีบรรยายไว้ ในคัมภีร์ราชาวลิยะ๓๙ การข้ึนครองราชย์ของพระเจ้าชัยพาหุที่ ๒ และพระเจ้าภูวเนกพาหุที่ ๖ มีกล่าวถึงโดยย่อในคัมภีร์จุลวงศ์๔๐
เรื่องราวแห่งอาณาจักร 39 ความวุ่นวายภายใน การปลงพระชนม์พระเจ้าชัยพาหุท่ี ๒ ผู้เป็นพระราชนัดดาอันเป็นที่รักของพระเจ้า ปรากรมพาหุ เป็นที่รับรู้ของไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ในวงกว้าง จารึกแดดิคามะชี้ให้เห็นถึงการ ต่อต้านพระเจ้าภูวเนกพาหุท่ี ๖ ว่าพระองค์ต้องพบกับความวุ่นวายตามหัวเมืองน้อยใหญ่อยู่ หลายปี๔๑ พวกกบฏในหัวเมืองรอบนอกจากลุ่มน้�ากาฬุคังคาจนถึงลุ่มน้�าวลเวคังคา๔๒ รู้จักกัน ดีในนามสิงหลสังเคหรือสิงหลเปรลิยะ (การลุกฮือต่อต้านของชาวสิงหลต่อกษัตริย์ผู้มีก�าเนิด มาจากทมิฬ)๔๓ พระเจ้าภูวเนกพาหุจึงโปรดให้เจ้าชายอัมบุลคะละผู้เป็นพระราชอนุชาไปปราบ ปรามพวกกบฏตามหัวเมืองท้ังส่ีเหล่านั้น๔๔ สุดท้ายพระองค์ต้องยกกองทัพไปปราบปราม ด้วยพระองค์เอง แต่พระองค์ไม่สามารถยึดครองหัวเมืองบริเวณอุฑรฏะหรือดินแดนภูเขา ได้ เร่ืองราวของเขตอุฑรฏะซึ่งปรากฏในจารึกแดดิคามะระบุว่าเป็นหัวเมืองแยกออกจาก อาณาจักรโกฏเฏภายใต้เจ้าชายผู้ประกาศตนเป็นอิสระพระนามว่าเสนาสัมมตวิกรมพาหุ๔๕ หลักฐานส่วนนี้ถือว่าเป็นจุดเร่ิมต้นก�าเนิดอาณาจักรแคนดี นอกจากกล่าวถึงการต่อต้านกษัตริย์พระองค์น้ีแล้ว จารึกแดดิคามะยังอธิบายเชิง เปรยี บเทียบถงึ บรรยากาศอันสงบสุขและความรงุ่ เรืองระหว่างพระองค์กับพระเจ้าปรากรมพาหุ ด้วย พระเจ้าภูวเนกพาหุน้ันทรงอ้างว่าพระองค์เป็นพระราชโอรสและทายาทอันชอบธรรมของ พระเจ้าปรากรมพาหุ หลักฐานในจารึกแดดิคามะชี้ว่า ทรงเรียกพระองค์เองว่าศรีปรากรมพาหุ มหาราชาทหิราชนันทนะ หมายความว่า เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าปรากรมพาหุจักรพรรดิ ผู้ยิ่งใหญ่๔๖ นอกจากน้ันพระองค์ทรงให้นับศักราชการครองราชย์ของพระองค์ต่อจากพระเจ้า ปรากรมพาหุด้วย จารึกหลักเดียวกันนี้ระบุระยะเวลาท่ีพระองค์ทรงครองราชย์ในปีท่ี ๘ แห่ง รัชสมัย แต่คัมภีร์จุลวงศ์และคัมภีร์ราชาวลิยะกลับบอกว่าพระองค์ทรงครองราชย์เพียง ๗ ปี ส่วนสองปีที่เหลือเป็นของพระเจ้าชัยพาหุที่ ๒๔๗ แม้จะเกิดความวุ่นวายภายในอาณาจักรสมัย พระองค์ แต่พระเจ้าภูวเนกพาหุก็ทรงสามารถผูกมิตรกับเมืองจัฟฟ์นาภายหลังจากพระองค์ ทรงขึ้นครองราชย์เหนืออาณาจักรโกฏเฏแล้ว๔๘ แต่ไม่นานนักอาณาจักรแห่งนี้ก็สามารถแยก ตนเปน็ อสิ ระอกี ครงั้ หนง่ึ ๔๙ ความเปน็ หนงึ่ เดยี วของเกาะลงั กาทป่ี รากฏเหน็ สมยั พระเจา้ ปรากรม พาหุ ก็ส้ินสุดจบลงเพียงหน่ึงทศวรรษหลังการสวรรคตของพระองค์ ช่วงตอนท้ายมีอาณาจักร ประกาศตนเป็นอิสระ ๓ อาณาจักร แต่พระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรโกฏเฏก็ยังอ้างสิทธ์ิเหนือ อาณาจักรทั้งสามเหมือนเดิม
40 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ กษัตริย์พระองค์ต่อมาเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าภูวเนกพาหุท่ี ๖ ทรงพระนามว่า พระเจ้าภูวเนกพาหุท่ี ๗๕๐ แต่ทรงครองราชย์ไม่ยาวนานเพราะถูกเจ้าชายอัมบุลุคะละผู้เป็น พระเจ้าอาจับปลงพระชนม์เสีย แล้วสถาปนาตนข้ึนเป็นกษัตริย์ทรงพระนามว่าวีรปรากรม พาหุท่ี ๘ นักประวัติศาสตร์โปรตุเกสนามว่าเคาโตบอกว่าพระองค์ทรงครองราชย์เพียง ๓ ปี๕๑ แต่คัมภีรร์ าชาวลยิ ะระบุว่ารชั สมยั ของพระองคย์ าวนานถงึ ๒๐ ป๕ี ๒ พระเจา้ วรี ปรากรมพาหุต้อง พบกับความวุ่นวายระหว่างเครือญาติ กลายเป็นความแตกแยกสร้างตราบาปให้แก่ราชวงศ์จน สุดท้ายน�าไปสู่ความล่มสลาย ในสมัยของพระองค์เกาะลังกาได้ต้อนรับแขกแปลกหน้าเป็น ครั้งแรกนั้นคือโปรตุเกส เมื่อพุทธศักราช ๒๐๔๘๕๓ ความรู้สึกของผู้คนในเมืองโคลัมโบต่อแขก แปลกหน้าเห็นได้จากบันทึกในคัมภีร์ราชาวลิยะ๕๔ พระเจา้ วรี ปรากรมพาหสุ บื ทอดตา� แหนง่ โดยพระราชโอรสนามวา่ พระเจา้ ธรรมปรากรม พาหุท่ี ๙ ในปีพุทธศักราช ๒๐๕๒๕๕ หากยกเว้นเก่ียวข้องกับโปรตุเกสเสียแล้ว กษัตริย์พระองค์ น้ีแทบจะไม่มีความส�าคัญอันใดเลย ผู้สืบทอดบัลลังก์ต่อจากพระองค์เป็นพระอนุชาพระนาม วา่ พระเจา้ วชิ ยั พาหทุ ี่ ๖ ทรงขนึ้ ครองราชยใ์ นปพี ทุ ธศกั ราช ๒๐๕๖ หลกั ฐานจากจารกึ ของพระเจา้ วิชัยพาหุหลายแห่งท�าให้ทราบว่าพระองค์ทรงครองราชย์เหนืออาณาจักรโกฏเฏต้ังแต่ปี พุทธศักราช ๒๐๖๑ ซึ่งตรงกันข้ามกับคิวรอซท่ีเขียนว่าสมัยนั้นกษัตริย์ทรงพระนามว่าบัณฑิต ปรากรมพาหุทรงถูกพระเจ้าวิชัยพาหุวางยาพิษ๕๖ ปรณวิตานะพยายามแสดงหลักฐานแย้งว่า เนื้อหาบางส่วนในงานเขียนของคิวรอซมีความผิดพลาดคลาดเคล่ือน๕๗ พระเจ้าวิชัยพาหุท่ี ๖ ถูกพวกมุสลิมหรือพวกมัวร์ยุยงส่งเสริม พร้อมได้รับความ ช่วยเหลือจากกษัตริย์ซาโมรินแห่งคาลิคัตและกษัตริย์ซุเสเรียนแห่งมลบาร์ให้ท�าสงครามกับ โปรตุเกส โดยเข้าโจมตีโปรตุเกสท่ีท่าเรือโคลัมโบ ซ่ึงสร้างโรงเก็บสินค้าเสร็จไม่นาน๕๘ แต่ ชาวสิงหลและพันธมิตรก็ถูกตีกลับ การต่อสู้อันยาวนานไม่ประสบความส�าเร็จ หลังจากสูญเสีย ช่ือเสียงในสงครามครั้งน้ัน พระองค์ได้สูญเสียราชบัลลังก์และพระชนม์ชีพด้วยคดีวิชัยพา โกลละยะ (การเข้าโจมตีเมืองโกฏเฏและปลงพระชนม์พระเจ้าวิชัยพาหุ) เหตุการณ์น้ีเกิดข้ึน เมื่อปีพุทธศักราช ๒๐๖๔ คัมภีร์ราชาวลิยะบรรยายไว้ว่าเหตุการณ์น้ีเกิดข้ึนเพราะพระองค์มี พระราชประสงค์จะมอบราชบัลลังก์ให้แก่พระราชโอรสบุญธรรม แต่พระราชโอรสสามพระองค์ ก็พากันอ้างว่าเป็นสิทธิ์แห่งตน๕๙ ความวุ่นวายเพราะสาเหตุแห่งการสวรรคตของพระองค์มาจากพระราชโอรส ๓ พระองค์ ไดแ้ ก่ ภวู เนกพาหุ รายิคมั บัณฑาระ และมายาดนุ เน หลงั จากการสวรรคตของพระองค์ ท�าให้อาณาจักรโกฏเฏแตกออกเป็น ๓ ส่วนตามเจตนาของพระราชโอรส พระเชษฐาภูวเนกพาหุ
เรื่องราวแห่งอาณาจักร 41 ทรงครองอาณาเขตเหนือท่าเรือและดูแลการค้ากับต่างประเทศ ช่ือเสียงและอ�านาจของอดีต บูรพกษัตริย์แห่งอาณาจักรโกฏเฏอยู่ในมือของพระองค์ เจ้าชายรายิคัมบัณฑาระพระอนุชาได้ ครองหัวเมืองวัลลัลลาวิตี ปัสดุนและรายิคัมในเขตกอลล์ และเขตกาฬุตระ ส่วนพระอนุชาน้อง สุดท้องคือเจ้าชายมายาดุนเน ได้สร้างเมืองท่ีสีตาวะกะ พระองค์ทรงครอบครองหลายหัวเมือง ได้แก่ เมืองสีตาวะกะ เมืองเดนวกะ และเมืองสตระ (ปัจจุบันอยู่ในเขตสบรคามุวะ) กล่าวโดย พฤตินัยอาณาจักรบนเกาะลังกาแบ่งออกเป็น ๕ รวมถึงอาณาจักรจัฟฟ์นาและอาณาจักรแคนดี แตโ่ ดยนติ นิ ยั การอา้ งสทิ ธเิ์ หนอื เกาะลงั กายงั เปน็ ของพระมหากษตั รยิ แ์ หง่ อาณาจกั รโกฏเฏอย๖ู่ ๐ พระเจ้าภูวเนกพาหุหาได้ปกครองบ้านเมืองอย่างสงบสุขไม่ อันเนื่องจากความ ปรารถนาอย่างแรงกล้าของพระราชอนุชาแห่งสีตาวะกะ ผู้หวังครองบัลลังก์โกฏเฏและครอบ ครองเหนือเกาะลังกา ย่างเข้าปีพุทธศักราช ๒๐๖๙ การปะทะกันอย่างต่อเนื่องเกิดขึ้นระหว่าง พ่ีน้องทั้งสอง ขณะขับเค่ียวต่อสู้กันน้ันพระเจ้ามายาดุนเนได้รับการช่วยเหลือจากโปรตุเกสแห่ง ท่าเรือโคลัมโบ๖๑ แต่เมื่อย่างเข้าปีพุทธศักราช ๒๐๘๒ พระเจ้ามายาดุนเนถูกโปรตุเกสบังคับให้ สงบศึกจนถึงปีพุทธศักราช ๒๐๙๐ การต่อสู้แย่งชิงบัลลังก์ระหว่างพ่ีน้องสองคนเปิดช่องให้ โปรตุเกสเข้าแทรกแซงทางการเมือง เมื่ออาณาประชาราษฎร์แสดงการต่อต้านพระเจ้ามายา ดุนเนมากข้ึน พระเจ้าภูวเนกพาหุจึงโปรดให้จัดส่งคณะราชทูตเดินทางไปกรุงลิสบอนเม่ือปี พุทธศักราช ๒๐๘๓ พร้อมรูปหล่อทองค�าของพระราชนัดดานามว่าธรรมปาละ ด้วยการร้อง ขอว่าเจ้าชายควรได้รับการสถาปนาเป็นกษัตริย์โดยการรับรองจากจักรพรรดิแห่งโปรตุเกส เพราะเป็นองค์รัชทายาทอันชอบธรรม การร้องขอซึ่งไม่เคยมีมาก่อนแสดงให้เห็นว่าพระเจ้า ภูวเนกพาหุเปิดกว้างยอมลดพระองค์ลงเป็นทาสของพระเจ้าดอนฮวนที่ ๓ แห่งโปรตุเกส๖๒ กษัตริย์สองพี่น้องเร่ิมต้นสงครามอีกครั้งเมื่อปีพุทธศักราช ๒๐๙๑ สงครามครั้งน้ี โปรตุเกสให้ความช่วยเหลือพระเจ้ามายาดุนเนแต่ก็ไม่ยาวนาน ปีพุทธศักราช ๒๐๙๓ กองทัพ โกฏเฏบุกยึดครองสีตาวะกะด้วยความช่วยเหลือของโปรตุเกส ตรงกับเดือนพฤศจิกายนของ ปีน้ันเอง อุปราชโปรตุเกสแห่งเมืองกัวนามว่าดอมอะฟองโซเดอโนโรนหา ได้แวะเกาะลังกาขณะ เดินทางไปเกาะกัว๖๓ เพราะถูกลมทะเลตีออกนอกเส้นทาง อุปราชโปรตุเกสแสดงท่าที ไม่เชื่อกษัตริย์ลังกามากนัก ก่อนเดินทางออกจากเกาะลังกาได้บังคับให้กษัตริย์ลังกาและ พระอนุชามายาดุนเนท�าสัญญาสงบศึกพร้อมให้ส่งราชทูตไปยังเกาะกัว กลางปีพุทธศักราช ๒๐๙๔ พระเจา้ ภวู เนกพาหถุ กู ลอบปลงพระชนมภ์ ายในพระราชวงั เกลาณยี ะขณะทอดพระเนตร ข้างพระแกล การสวรรคตอย่างกะทันหันของพระองค์ท�าให้สัมพันธไมตรีระหว่างโปรตุเกสและ อาณาจักรโกฏเฏม่ันคงขึ้น
42 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ โกฏเฏภายใต้โปรตุเกส เจ้าชายหนุ่มธรรมปาละประกาศความเป็นกษัตริย์ทันทีภายหลังการสวรรคตของ พระเจา้ ภวู เนกพาหุ ถึงแมจ้ ะเป็นกษตั รยิ ก์ ็จรงิ แตเ่ ปน็ เพียงหุ่นเชดิ ของโปรตเุ กส ความแขง็ แกร่ง ของพระเจ้ามายาดุนเนและเจ้าชายราชสิงหะผู้เป็นพระราชโอรสแห่งอาณาจักรสีตาวะกะ เป็นเหตใุ ห้กษตั รยิ พ์ ระองค์ใหมต่ ้องอ่อนนอ้ มถอ่ มตนและอาศัยโปรตเุ กสมากข้ึน ปีพุทธศกั ราช ๒๑๐๐ พระเจ้าธรรมปาละเข้ารีตเป็นคริสต์นามว่าดอมฮวนเปริยะบัณฑาระ ขณะที่พระมเหสี ก็เข้ารีตเช่นกันโดยเปลี่ยนพระนามใหม่ว่าโดนาแคทธลีนาตามพระนามของพระมเหสีแห่ง กษัตริย์โปรตุเกส๖๔ เป็นเหตุให้ข้าราชบริพารหันมาเข้ารีตตามเป็นจ�านวนมาก๖๕ ความศรัทธา มุ่งมั่นของพระเจ้าธรรมปาละท่ีแสดงออกต่อศาสนาใหม่ ก็คือทรงพระราชทานวัดพระเข้ียวแก้ว ภายในพระราชวัง อาราม และเทวาลัยแห่งวัดเกลาณียะ ตลอดจนวัดท้ังหมดภายในอาณาจักร โกฏเฏให้เป็นสมบัติของชาวคริสต์ เพ่ือเป็นค่าบ�ารุงรักษาโบสถ์คริสต์คาทอลิกท่ีสร้างขึ้นท่ัว เกาะลังกา๖๖ พระเจ้าธรรมปาละไม่สามารถครอบครองอาณาจักรโกฏเฏได้ยาวนาน เพราะถูกโจมตี อย่างต่อเนื่องจากกษัตริย์แห่งอาณาจักรสีตาวะกะ หลังจากถูกโจมตีครั้งใหญ่ในปีพุทธศักราช ๒๑๐๗ พระเจ้าธรรมปาละและโปรตุเกสตกลงกันว่า การรักษาเมืองโกฏเฏเป็นการไร้ประโยชน์ เดือนกรกฎาคม ๒๑๐๘ พระองค์จึงละทิ้งเมืองหลวงโกฏเฏย้ายไปอยู่ภายในป้อมปราการ โคลัมโบอย่างถาวร๖๗ ต่อมาปีพุทธศักราช ๒๑๒๓ พระเจ้าธรรมปาละได้มอบถวายอาณาจักร โกฏเฏแกจ่ กั รพรรดแิ หง่ โปรตเุ กส๖๘นบั แตน่ นั้ มาพระเจา้ ธรรมปาละกอ็ ยอู่ าศยั ภายใตร้ ม่ เงาของ โปรตุเกส และส่งพระราชสาสน์ขอร้องให้พระเจ้าฟิลิปแห่งโปรตุเกสยอมรับสถานภาพแห่งตน๖๙ พระเจ้าฟิลิปแห่งโปรตุเกสมีพระราชสาสน์ส่งถึงอุปราชแห่งเมืองกัวมีใจความว่าพระเจ้าธรรม ปาละควรได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม พระองค์ทรงสวรรคตปีพุทธศักราช ๒๑๔๐ ถือว่า เป็นการสิ้นสุดราชวงศ์ชาวสิงหลแห่งอาณาจักรโกฏเฏและเป็นจุดเริ่มต้นการครอบครองของ โปรตุเกส๗๐ ย้อนกล่าวถึงอาณาจักรสีตาวะกะซึ่งถือก�าเนิดเกิดข้ึนจากการแบ่งแยกอาณาจักร โกฏเฏเม่ือปีพุทธศักราช ๒๐๖๔ แม้จะเป็นอาณาจักรท่ีมีบทบาทส�าคัญทางประวัติศาสตร์ของ ศรีลังกาสมัยพุทธศตวรรษท่ี ๒๑ แต่อาณาจักรสีตาวะกะก็ไม่เคยอ้างว่าเป็นอาณาจักรอิสระ เพราะไม่มีหลักฐานจากที่ไหนระบุว่ากษัตริย์สีตาวะกะข้ึนครองราชย์ในฐานะเป็นอาณาจักร เอกเทศ แม้หลักฐานบางแห่งจะระบุนามว่าราชา๗๑ จึงพิสูจน์ความจริงว่าเม่ือพระเจ้าธรรมปาละ ได้ถวายอาณาจักรโกฏเฏแก่พระเจ้าจักรพรรดิโปรตุเกสน้ันหมายรวมถึงอาณาจักรสีตาวะกะ
เร่ืองราวแห่งอาณาจักร 43 ด้วย แม้สมัยนั้นกษัตริย์แห่งอาณาจักรสีตาวะกะพระนามว่าพระเจ้าราชสิงหะที่ ๑ ยังทรงมี พระชนม์อยู่ก็ตาม๗๒ ต้ังแต่แยกตัวออกเป็นอิสระจากโกฏเฏแล้ว อาณาจักรสีตาวะกะก็มุ่งหน้าท�าสงคราม กับอาณาจักรโกฏเฏและหัวเมืองบริเวณภูเขาอุฑรฎะเรื่อยมา พระเจ้ามายาดุนเนผู้เป็นปฐม กษัตริย์แห่งอาณาจักรได้ขยายอาณาเขตครอบครองหัวเมืองรายิคาม ภายหลังการสวรรคตของ พระเจ้ารายิคามบัณฑาระผู้เชษฐา เม่ือปีพุทธศักราช ๒๐๗๙๗๓ ย่างเข้าปีพุทธศักราช ๒๐๘๒ พระองค์ได้ยาตราทัพเข้าโจมตีพระเจ้าภูวเนกพาหุท่ี ๗ แต่ก็พ่ายแพ้เสียหายยับเยิน เป็น ผลให้พระองค์ต้องยอมอ่อนน้อมต่อกษัตริย์แห่งอาณาจักรโกฏเฏ รวมท้ังมอบคืนดินแดนที่ พระองค์ยึดครองมา และจ�าต้องจ่ายภาษีสงครามเป็นจ�านวนมาก อีกทั้งต้องท�าสัญญาว่าจะ ไม่รุกรานอาณาจักรโกฏเฏอีก๗๔ ภายหลังการสวรรคตของพระเจ้าภูวเนกพาหุท่ี ๗ (พ.ศ.๒๐๙๔) พระเจ้ามายาดุนเน พยายามบุกรุกยึดครองอาณาจักรโกฏเฏอีกครั้ง แต่ความพยายามก็ล้มเหลวเพราะโปรตุเกส เข้าช่วยเหลือพระเจ้าธรรมปาละ ต่อมาการเข้ารีตของพระเจ้าธรรมปาละสร้างความแข็งแกร่ง ให้แก่พระเจ้ามายาดุนเน คัมภีร์ราชาวลิยะระบุว่าในวันเข้ารีตของพระเจ้าธรรมปาละน้ัน พระสงฆ์ได้หลบหนีเข้าไปอาศัยอาณาจักรสีตาวะกะและอาณาจักรแคนดีเป็นจ�านวนมาก๗๕ เมื่ออาณาประชาราษฎร์พากันประท้วงต่อต้านคร้ังใหญ่ จึงเป็นเหตุให้พระเจ้ามายาดุนเน ประกาศหาผู้คนเข้าสนับสนุน เม่ือพระเจ้าธรรมปาละละทิ้งเมืองหลวงโกฏเฏในปีพุทธศักราช ๒๑๐๘ ถอื วา่ เปน็ ชยั ชนะของพระเจา้ มายาดนุ เนอยา่ งแทจ้ รงิ ซงึ่ บดั นกี้ ลายเปน็ ผคู้ รองอาณาจกั ร ทางตอนใตเ้ พยี งผเู้ ดยี ว พระองคเ์ ปน็ ผมู้ อี า� นาจสงู สดุ ในอาณาจกั รสตี าวะกะและหวั เมอื งภายใน อาณาเขตของอาณาจักรโกฏเฏ ทั้งเมืองรายิคาม เมืองเดนวกะ สี่ต�าบล และเจ็ดต�าบล ยกเว้น ป้อมปราการโคลัมโบ เป็นที่น่าสังเกตว่าแม้พระองค์จะทุ่มเทสรรพก�าลังเพ่ือขับไล่โปรตุเกสให้พ้นจาก เกาะลงั กาหลายตอ่ หลายครง้ั แตห่ าไดป้ ระสบความสา� เรจ็ ไม่ ผสู้ บื ทอดตา� แหนง่ ตอ่ จากพระองค์ คือพระราชโอรสพระนามว่าพระเจ้าราชสิงหะท่ี ๑ พระองค์เป็นนักรบผู้เก่งกล้าทรงสืบทอด พระราโชบายของพระราชบิดา เบ้ืองต้นทรงมุ่งหน้าเข้าโจมตีอาณาจักรแคนดี เมื่อปีพุทธศักราช ๒๑๒๓ จนสามารถยึดครองได้ส�าเร็จแล้วผนวกเข้าเป็นดินแดนของพระองค์ จากน้ันทรงขับไล่ ราชนิกูลแคนดีทั้งหมดออกจากอาณาจักร๗๖ พระองค์จึงเป็นกษัตริย์ปกครองเกาะลังกาทั้งหมด ยกเว้นตอนเหนือและดินแดนในอารักขาของโปรตุเกส ตั้งแต่ข้ึนครองราชย์จนถึงวันสวรรคต พระองค์ทรงวุ่นวายอยู่กับการท�าสงครามขับไล่โปรตุเกส แต่หาได้ประสบความส�าเร็จไม่
44 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ พระองค์ไม่เป็นที่ช่ืนชอบของโปรตุเกสเหตุเพราะทรงท�าสงครามอย่างต่อเน่ือง ส่วนพระสงฆ์ก็ ไม่พอใจเนื่องจากพระองค์ละท้ิงพุทธศาสนาหันไปนับถือลัทธิฮินดู หลังจากพระองค์สวรรคต แล้ว อาณาจักรสีตาวะกะก็ตกเป็นของพระเจ้าธรรมปาละเพราะไม่มีรัชทายาทสืบแทน ย้อนรอยถอยหลังสมัยพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๖ บริเวณหัวเมืองแคนดีตกอยู่ภายใต้ การดูแลของเจ้าชายแห่งเมืองคัมโปละซ่ึงท�าหน้าที่เหมือนอุปราช๗๗ ในปีท่ี ๕๒ แห่งการครอง ราชย์ เจ้าเมืองนามว่าโชติยสิฏได้ร่วมมือกับเจ้าชายแห่งเมืองคัมโปละก่อกบฏด้วยการยกเลิก การส่งเคร่ืองราชบรรณการ๗๘ พระเจ้าปรากรมพาหุจึงรับส่ังให้เจ้าชายอัมบุลุคะละเป็นแม่ทัพ เข้าก�าราบโชติยสิฏ แม่ทัพมุ่งเข้าตีดินแดนอุฑรฏะด้วยทัพอันยิ่งใหญ่สามารถปราบปรามพวก กบฏเป็นผลส�าเร็จ พร้อมจับครอบครัวของโชติยสิฏเป็นนักโทษน�าเข้ามาถวายเป็นจ�านวนมาก จากน้ันมอบหมายให้เจ้าชายเมืองคัมโปละท�าหน้าที่ดูแลสืบต่อ ส่วนโชติยสิฏนั้นสามารถ หลบหนีไปได้เพราะใช้ภาษาโปรตุเกส โดยไปอาศัยอยู่กับพระเจ้าอารยจักรวรัติแห่งอาณาจักร จัฟฟ์นา๗๙ สมัยของพระเจ้าภูวเนกพาหุที่ ๖ เกิดมีกบฏต่อต้านเป็นจ�านวนมาก ด้วยถือโอกาส อ้างเร่ืองกบฏเป็นเหตุ เจ้าชายแห่งเมืองคัมโปละนามว่าวิกรมพาหุจึงแข็งขืนต่อต้านเข้ายึด เมืองแคนดี (พ.ศ.๒๐๑๖) แล้วสถาปนาตนเองข้ึนเป็นกษัตริย์แล้วแยกตนปกครองเป็นอิสระ๘๐ การก่อจลาจลต่อต้านของโชติยะสิฏกับเจ้าชายวิกรมพาหุแสดงให้เห็นว่าเมืองแคนดีนั้นมี ความมุ่งมั่นที่จะแยกตนปกครองเป็นอิสระตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษท่ี ๒๐ กษัตริย์แห่งอาณาจักรแคนดี พระเจ้าวิกรมพาหุเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายในนามวิกรมพาหุจักรพรรดิ๘๑ พระองค์ อาจเปน็ กษตั รยิ พ์ ระนามวา่ วกิ รมพาหทุ กี่ ลา่ วถงึ ในคมั ภรี จ์ ลุ วงศ๘์ ๒ คมั ภรี ร์ าชรตั นากรยะอธบิ าย รายละเอยี ดถงึ ศานสนปู ถมั ภข์ องพระองคอ์ ยา่ งยดื ยาว๘๓ แมว้ า่ อาณาจกั รของพระเจา้ วกิ รมพาหุ จะประกอบไปด้วยห้าหัวเมืองแห่งขุนเขา๘๔ แต่พระองค์ก็สามารถยึดครองเมืองบัตติคาโลว์ เมืองตรินโคมาลี เมืองเวลลัสะและเมืองปานมะ เข้ามาอยู่ภายใต้อาณาจักรซึ่งส่วนใหญ่เจ้าเมือง คือพวกวันนิ เพ่ือกดดันอาณาจักรโกฏเฏและยังสามารถขยายอาณาเขตเข้าควบคุมเหนือเจ้า ชายแห่งเจ็ดหัวเมืองด้วย๘๕ ผู้สืบทอดแทนพระเจ้าวิกรมพาหุคือพระราชโอรสพระนามว่า ชัยวีรอัสตานะ ซ่ึงทรงมีพระนามว่าวิกรมพาหุเช่นกัน๘๖ ตง้ั แตร่ ชั สมยั ของพระเจา้ ภวู เนกพาหแุ หง่ อาณาจกั รโกฏเฏและพระเจา้ มายาดนุ เนแหง่ สตี าวะกะลว้ นพยายามเขา้ ครอบครองอาณาจกั รแคนดี ครน้ั สมยั พระเจา้ ชยั วรี ะจา� ตอ้ งหนั เขา้ หา โปรตุเกส เพ่ือขอความช่วยเหลือรักษาอธิปไตย คร้ังหนึ่งพระเจ้าภูวเนกพาหุและพระเจ้ามายา
เร่ืองราวแห่งอาณาจักร 45 ดุนเนได้ร่วมมือกันเข้าโจมตีอาณาจักรแคนดี แม้พระเจ้าชัยวีระจะขอร้องให้โปรตุเกสเข้าช่วย เหลือ แต่ค�าร้องขอไม่เป็นผลเพราะโปรตุเกสยืนอยู่ข้างอาณาจักรโกฏเฏ๘๗ กษัตริย์แห่งหัวเมือง ใต้ได้ส่งพระราชสาสน์ให้กษัตริย์แห่งเมืองแคนดีเตรียมตัวรับสงคราม อีกคร้ังหนึ่งพระเจ้า ชัยวีระต้องขอความช่วยเหลือจากโปรตุเกสแม้เสนอเง่ือนไขด้วยการเข้ารีตเป็นคริสต์ก็ยอม แต่ก่อนท่ีพระองค์จะได้รับการช่วยเหลือ พระเจ้าภูวเนกพาหุและพระเจ้ามายาดุนเนก็พร้อมใจ กันรับข้อเสนอของพระเจ้าชัยวีระ (พ.ศ.๒๐๘๙) ปีรุ่งขึ้นพระเจ้าภูวเนกพาหุบังคับให้อาณาจักร แคนดีของพระเจ้าชัยวีระเป็นเมืองข้ึนของพระองค์ พร้อมบังคับให้พระราชธิดาแต่งงานกับ พระราชนัดดานามว่าธรรมปาละ เม่ือเป็นเช่นน้ีพระเจ้าชัยวีระจึงปฏิเสธการเข้ารีตเป็นคริสต์ แต่ก็ยอมรับความช่วยเหลือจากโปรตุเกส๘๘ พระเจ้าชัยวีรพาหุสวรรคตตรงกับปีพุทธศักราช ๒๐๙๒ ผู้สืบทอดต�าแหน่งคือ พระราชโอรสพระนามว่ากรัลลิยัดเดบัณฑาระ ด้านพระเจ้าราชสิงหะแห่งอาณาจักรสีตาวะกะ ได้ด�าเนินพระราโชบายสานต่อความฝันของพระราชบิดา ด้วยการรวมอาณาจักรแคนดีเข้ากับ อาณาจักรของพระองค์ คราวนั้นพระองค์ได้รับความช่วยเหลือจากวีรสุนทรมุดาลิยาร์แห่งเมือง เปราเดณิยะซ่ึงต่อต้านพระเจ้ากรัลลิยัดเด เหตุน้ันจึงส�าเร็จได้โดยง่ายพระเจ้าราชสิงหลสามารถ รวมอาณาจักรแคนดีเข้ากับอาณาจักรสีตาวะกะเป็นผลส�าเร็จ ส่วนพระเจ้ากรัลลิยัดเดได้หลบ หนีไปอาศัยโปรตุเกสท่ีเมืองตรินโคมาลี๘๙ ครั้นยึดครองอาณาจักรแคนดีเรียบร้อยแล้ว พระเจ้า ราชสงิ หะจงึ ทมุ่ เทสรรพกา� ลงั เพอ่ื ยดึ ครองเมอื งโคลมั โบ โปรตเุ กสนน้ั รดู้ วี า่ การปอ้ งกนั การโจมตี ของพระเจ้าราชสิงหะเป็นเร่ืองยากย่ิงนัก จึงปรึกษากันสร้างป้อมปราการอีกแห่งหน่ึง เพ่ือลด ความกดดันจากการบุกรุกโจมตีของพระองค์ คราวนั้นทายาทของกษัตริย์แห่งอาณาจักรแคนดีผู้อาศัยอยู่กับโปรตุเกสท่ีเมือง มันนาร์ แนะน�าว่ากองก�าลังบางส่วนควรเข้าโจมตีเมืองแคนดี ครั้นทราบข่าวเช่นน้ันพระเจ้า ราชสิงหะจึงเร่งเข้าตีเมืองโคลัมโบหนักขึ้น กองทัพจากเมืองมันนาร์เดินทางเข้ายึดเมืองแคนดี แล้วแต่งต้ังเจ้าชายดอน ฟิลิป ยมสิงหะบัณฑาระ ผู้เป็นพระราชนัดดาของพระเจ้ากรัลลิยัดเด ขึ้นครองราชย์ แต่พระองค์ก็สิ้นพระชนม์ด้วยระยะเวลาอันสั้น เพราะฝีมือของเสนาบดีนามว่า โกนัปปุบัณฑาระซึ่งร่วมเดินทางมากับโปรตุเกสจากเมืองกัว๙๐ ได้ถือโอกาสเข้ายึดอ�านาจแล้ว ขับไล่ทหารโปรตุเกสออกจากอาณาจักรแคนดีหมดส้ิน จากนั้นได้ข้ึนครองราชย์มีพระนามว่า พระเจ้าวิมลธรรมสรู ยิ ะท่ี ๑ การสถาปนาตนเองข้ึนเปน็ กษัตริย์เหนอื อาณาจักรแคนดีคร้งั นี้ มิใช่ เป็นเพียงการตั้งราชวงศ์ใหม่เท่าน้ัน แต่ยังถือว่าเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของศรีลังกาด้วย
46 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ เชิงอรรถ 1 Cv.,91.2f. 2 Cv.91.5-7. 3 UCHC., p.654. 4 Sdhrt., p.292. 5 Nks., p.34; Sdhrt., p.294; Rjv., p.47. 6 S.F. de Silva, ‘The Historical Geography of Some of the Capital Cities of Ceylon’, Ceylon Historical Journal, 1, July 1951, no.1, p.20. 7 Nks., p.34f; Rjv., p.94. 8 Somaratna, Political History of the Kingdom of Kotte, p.94. 9 ต�าแหน่งประภุราชะใกล้เคียงกับปติราชะบ่งถึงขุนนางในราชส�านัก แต่มีใช้เฉพาะยุคนี้หรือภายหลัง เท่าน้ัน โดยบ่งถึงต�าแหน่งอันเป็นศูนย์รวมในฐานะผู้ครอบครองหัวเมือง ดังเช่น อลเกศวรท่ี ๓ หลัง จากนั้นไม่มีใครรั้งต�าแหน่งนี้อีกเลย See, ‘UCHC., p.735. 10 Sdhrt., p.297. 11 EZ., 3. p.33. 12 JCBRAS XXII, no.65, 1912, p.366. 13 Nks., p.94. 14 Sdhrt., p.294. 15 Nks., p.95; Sdhrt., p.294. 16 Sdhrt., p.294. 17 Somaratna, Political History of the Kingdom of Kotte, p.113. 18 Sdhrt., p.294. 19 JCBRAS, xxiv., no.68, 1914, pp.96-102; J.E.Tennent, Ceylon, 1. pp.622-626; UCHC, p.665. 20 JCBRAS., xxiv, no.68, 1914, pp.98-119. 21 Sdhrt., p.317; JCBRAS; xxiv., no.68, 1914, pp.119-120. 22 JCBRAS, xxiv., no.68., p.98; Se-yih-ke-choo- quoted Tennent, Ceylon, 1, p.622; S. Beal, Buddhist Records of the Western World, 2, pp.294 and 282; UCHC, p.651; C.W.Nicholas and S.Paranavitana, A Concise History of Ceylon, Colombo, 1962, p.303. 23 Nks., p.94. 24 UCHC., p.651; Sdhrt., p.317.
เรื่องราวแห่งอาณาจักร 47 25 D.G.E. Hall., A Historyof South-East Asia, New York 1970, (third edition), p.201; J.F. Cady, South-East Asia, New York, 1964, p.155. 26 UCHC., p.665. 27 Rjv., p.47; JCBRAS, xx, no.60, 1907, p.62.n.3. 28 Rkd., p.94. 29 Ceylon Journal of Science, Section G., 2. 1957, p.195. 30 Sdhrt., p.296. 31 Grs.,vv.137-138. 32 Grs.,v.136. 33 Rjv., p.49. 34 Ibid. 35 Grs.,v.188ff; Kks.,vv.8 and 263. 36 Sls.,v.29; Kks.vv.8 and 81. 37 Sls.,v.29. 38 Rjv., p.49. 39 Rjv., pp.49-50. 40 Cv.,92.1.1. 41 EZ., 3, p.278ff. 42 หัวเมืองมาตระเป็นจังหวัดที่โด่งดังและรุ่งเรืองสูงสุดขึ้นตรงต่อกษัตริย์แห่งโกฏเฏ 43 Rjv., p.49. 44 ส่ีต�าบลเรียกกันว่าต�าบลฮะตะระ อยู่ทางเหนือและตะวันออกของโคลัมโบ และอยู่ติดเชิงเขาบริเวณ ที่ราบสูงแคนดี 45 UCHC., p.680. 46 EZ., p.278. 47 Cv.,92.2; Rjv., p.49. 48 UCHC., p.682. 49 S. Pathmanathan, Kingdom of Jaffna. 50 Cv.,92.2; Rjv., p.49. 51 พระองค์มิได้สวมมงกุฎเกินส่ีครั้งหมายความว่ารัชสมัยของพระองค์เพียงสี่ปีเท่านั้น See ‘JCBRAS’, xx, no.60, p.70. 52 Rjv., p.49. 53 SHC., p.94; UCR., xix, p.18.
48 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ 54 Rjv., p.51. 55 Fernao Queroz, The Temporal and Spiritual Conquest of Ceylon, 5 books, tr. and ed. S.G. Perera, 1930, Colombo, p.6. 56 Queroz., p.5. 57 S. Paranavitana, ‘The Emperor of Ceylon at the time of the Arrival of the Portuguese in 1505.’ UCR, xix, 1961, p.16. 58 SHC., p.96. 59 Ibid., p.96. 60 CPE., p.113. 61 Ibid., p.113. 62 P.E. Peiris – M.A. Eitzler, Ceylon and Portugal, Leipzing, 1927, vol.1. p.3. 63 Rjv., p.58; P.E.Peiris, Ceylon and the Portuguese, Colombo, 1935, p.77. 64 Queroz., p.330. 65 Peiris, Ceylon and the Portuguese, p.135; see also, Rjv., p.65. 66 Queroz., p.140. 67 Peiris, Ceylon and Portuguese, p.135. 68 หลังจากพระเจ้าธรรมปาละสวรรคตสิ้นแล้ว อาณาจักรโกฏเฏและทรัพย์สินทั้งหมดได้ตกเป็นของ พระเจ้าฟิลิปท่ี ๑ โดยถือว่าเป็นการตอบแทนแห่งความเมตตา การมอบถวายครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อ พุทธศักราช ๒๑๒๓ สมัยพระเจ้าดอมฮวนเฮ็นริเก้ แล้วท�าสัตยาบันอีกคร้ังในปีพุทธศักราช ๒๑๒๖ อาณาจักรโกฏเฏในท่ีน้ีหมายถึงอาณาจักรโกฏเฏ อาณาจักรสีตาวะกะ อาณาจักรรายิคาม อาณาจักร แคนดี และต�าบลท้ังส่ีและเจ็ด เมืองมาตระ เมืองเดนวกะ เมืองเวเลวะระ เมืองโกสคามะ เมือง ปาลุคามะ เมืองบัตติคาโลว์ เมืองโกตติยะ เมืองตรินโคมาลี และเมืองปุตตะลัม See. Queroz, p.428. 69 Rjv., p.55ff. 70 Queroz., p.428. 71 Rjv., p.56; CPE., 1. p.234. 72 CPE., p.234. 73 Rjv., p.58. 74 Rjv., p.65; CPE., I. p.245. 75 Rjv., p.49; Parakumba-sirita, v.48. 76 Rjv., p.49. 77 Ibid. p.49.
เรื่องราวแห่งอาณาจักร 49 78 Ibid. p.49. 79 Parakumba-sirita., v.48. 80 EZ., 4. p.276. 81 H.W. Cordrington, ‘Some Documents of Vikramabahu of Kandy’ JCBRAS, xxxii, no.84, 1931, p.67. 82 Cv.,92. 83 Rjrt., p.47. 84 วรรณกรรมภาษาสิงหลยุคกลางเรียกบริเวณนี้ว่าอุฑรฏะบ้าง กันดะ-อุฑะ-ปัส-กัฏฏวะ-ปัส-รฏะบ้าง กันดะอุฑะระฏะบ้าง (เมืองแห่งภูเขา). EZ., 4. p.226. ปัส-ระฏะ หมายถึง อุฑุนูวะระ ยฏินูวะระ ดัมบะระ เหวาแฮฏะ และหาริปัตตุวะ See, C.R. de Silva, Ceylon under the British Occupation, Colombo, 1945, p.239. 85 EZ., 4. p.268. 86 EZ., 4. P.270. 87 CPE., 1. p.267. 88 Peiris, Ceylon and Portuguese., 1. p.5. 89 CPE., p.267. 90 โกนัปปุบัณฑาระเป็นบุตรของวีรสุนทรมุดาลิยาร์แห่งเปราเดณิยะ ซึ่งเคยช่วยเหลือพระเจ้าราชสิงหะ ยึดครองอาณาจักรแคนดี ภายหลังถูกพระเจ้าราชสิงหะหาเลศประหารเสียด้วยข้อหาเป็นกบฏ โกนัปปุบัณฑาระผู้บุตรจึงหนีภัยไปอาศัยโปรตุเกสท่ีเมืองโคลัมโบ จากนั้นถูกเนรเทศไปเกาะกวม เพราะแสดงอาการกระด้างกระเดื่อง คร้ันอยู่เกาะกัวเปลี่ยนชื่อใหม่ว่าดอมฮวนแห่งออสเตรีย ตาม พระนามของพระอนุชานอกกฎหมายของพระเจ้าฟิลลิปท่ี ๒ แห่งสเปน ผู้มีพระปรีชาสามารถย่ิง เพราะพระชนมายุเพียง ๑๖ พรรษา ก็สร้างวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ด้วยการท�าลายกองทัพเรืออันเข้มแข็ง ของพวกเตริก์ท่ีเมืองเลปันโต See Rjv., pp.64-65; Mandarampura puvata, vv. 65-72; J.H.O. Pauluse, ‘Some Sinhalese Royal Families’ CBRAS., XX, 1952, pp.21-30.
๓ เรื่องราวของคณะสงฆ์
วนวาสีกับคามวาสี สืบเน่ืองจากการช�ำระอธิกรณ์ภายในคณะสงฆ์สมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๗ ต่อเน่ือง สืบมาจนถึงการฟื้นฟูคณะสงฆ์สมัยอาณาจักรดัมพเดณิยะ ความแตกต่างด้านนิกายจึงหมด หายไปกลายเปน็ ยคุ แหง่ การศกึ ษา พระสงฆท์ กุ รปู นามสมยั นตี้ า่ งถอื วา่ ตนเปน็ ผสู้ บื ทอดโดยตรง จากคณะสงฆ์มหาวิหารแห่งเมืองอนุราธปุระ๑ ผู้แต่งคัมภีร์สัทธรรมรัตนากรยะได้ขอร้องให้ กษัตริย์ท�ำหน้าที่อนุเคราะห์คณะสงฆ์ เพื่อด�ำรงรักษาความบริสุทธิ์และชื่อเสียงของเถริยนิกาย ตามประเพณีแห่งส�ำนักมหาวิหาร๒ แต่คณะสงฆ์สมัยน้ีก็มีความแตกต่างอย่างชัดเจน ตามหมู่ คณะและสถาบันการศึกษาตลอดจนการนับถือตามครูอาจารย์แห่งตน บทนี้ศึกษาความแตกต่างของคณะสงฆ์ตามเอกสารหลักฐานเท่าที่สามารถสืบค้นหาได้ สมัยอาณาจักรอนุราธปุระตอนปลายเกิดมีสามนิกายหลัก ได้แก่ ส�ำนักมหาวิหาร ส�ำนักอภัยคิรีวิหาร และส�ำนักเชตวันวิหาร๓ สามนิกายเหล่าน้ีแม้รุ่งเรืองในเบ้ืองต้นแต่ก็ประสบ กับความทรุดโทรมเส่ือมถอย เป็นเหตุให้พระเจ้าวิชัยพาหุท่ี ๑ แห่งอาณาจักรโปโฬนนารุวะต้อง ส่งราชทูตไปอัญเชิญพระสงฆ์จากรามัญประเทศเข้ามาฟื้นฟูพระศาสนา๔ แต่ไม่นานนิกายใหญ่ น้อยก็เกิดการแตกแยกอีกคร้ัง จนล่วงถึงสมัยพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๑ พระองค์ได้สังคายนา พระศาสนาและออกกฎกติกา เพ่ือควบคุมความประพฤติของพระสงฆ์ผู้ประพฤตินอกธรรม นอกวินัย๕ พระองค์ได้รับการช่วยเหลือจากพระทิมบุลาคะลมหากัสสปเถระ ซ่ึงเป็นพระสงฆ์ ผู้ด�ำรงต�ำแหน่งสูงสุดสมัยนั้น ด้วยวิธีการอันชาญฉลาดพระองค์จึงสามารถยุติความขัดแย้ง แตกต่างของนิกายสงฆ์ แม้คณะสงฆ์จะรวมเป็นหนึ่งเดียวไม่มีความแตกต่างและล้วนประพฤติ ตนตามแบบผู้สละโลก แต่ก็เกิดมีคณะอื่นข้ึนมาแทนที่รู้จักกันในนามวนวาสีและคามวาสี๖
เร่ืองราวของคณะสงฆ์ 53 ก�าเนิดและพัฒนาการของคณะสงฆ์ทั้งสองคณะเร่ิมปรากฏมีตง้ั แต่ยคุ น้ีจนส้นิ สดุ พทุ ธศตวรรษ ที่ ๑๙ รายละเอียดมีกล่าวถึงแล้วในงานวิจัยของพระธรรมวิสุทธิเถระ๗ ส�าหรับงานวิจัยเล่มน้ี มีวัตถุประสงค์หลักมุ่งเน้นเฉพาะเร่ืองความเป็นไปของคณะสงฆ์สองนิกายเท่าน้ัน เชื่อกันว่าพระป่าวนวาสีส่วนใหญ่พ�านักพักอาศัยตามป่าเขาและดอยดงต่างมุ่งมั่น สนใจแต่เรื่องวิปัสสนากรรมฐาน๘ แต่มิได้หมายความว่าท่านได้ตัดขาดจากสังคมชาวบ้าน หลักฐานบอกว่าพระป่าวนวาสีได้มีการโยกย้ายเรื่อยไปไม่ว่าเมืองหลวงจะย้ายไปท่ีแห่งใด สมัยอาณาจักรโปโฬนนารุวะน้ันศูนย์กลางของส�านักทิมบุลาคละวนวาสีได้ย้ายไปอยู่ที่ปลาพัต คะละ๙ และยังด�ารงคงม่ันในฐานะเป็นศูนย์กลางของคณะสงฆ์ฝ่ายวนวาสีจนกระท่ังถึงสมัย อาณาจักรดัมพเดณิยะ แต่คร้ันกษัตริย์สิงหลอพยพโยกย้ายผู้คนไปสร้างเมืองหลวงแห่งใหม่ ทางตะวันตกเฉียงใต้ใกล้ชายทะเล ศูนย์กลางของคณะสงฆ์ฝ่ายวนวาสีก็เคล่ือนย้ายด้วยเช่น กัน หลักฐานระบุว่าประมาณพุทธศตวรรษที่ ๒๐ คณะสงฆ์ฝ่ายวนวาสีแห่งส�านักปลาพัตคะละ กย็ งั เปน็ ทรี่ จู้ กั กนั แพรห่ ลาย๑๐ แตไ่ มน่ านเกดิ มคี ณะสงฆฝ์ า่ ยวนวาสซี งึ่ มศี นู ยก์ ลางอยทู่ แี่ ครคละ บริเวณหัวเมืองทางตะวันตกของเกาะ ประมาณ ๓๐ ไมล์ด้านทิศเหนือของเมืองหลวงโกฏเฏ คัมภีร์หังสสันเดศยะได้อธิบายถึงการก่อต้ังสถาบันการศึกษาของวัดแครคละ ซึ่งมีพระเถระ ผู้เป็นหัวหน้านามว่าวนรัตนมหาสามี๑๑ นอกจากแครคละแล้ว ส�านักวนวาสีแห่งเมืองวัตตละก็มีช่ือเสียงโด่งดังเช่นเดียวกัน สมภารเจ้าวัดสมัยน้ันนามว่าพระนาคเสนมหาเถระ๑๒ เชื่อกันว่าท่านมีชีวิตอยู่สมัยอาณาจักร ดัมพเดณิยะ๑๓ หลักฐานชิ้นนี้สามารถระบุระยะเวลาย้อนถอยหลังไปจนถึงพุทธศตวรรษท่ี ๑๘ คมั ภรี ห์ งั สสนั เดศยะและจารกึ แครคละระบวุ า่ วดั แหง่ นเ้ี ปน็ ทพี่ า� นกั พกั อาศยั ของพระนาคเสนเถระ ผเู้ ปน็ สมภารเจา้ วดั เหตทุ ท่ี ราบเพราะคาดเดาเอาจากการเกดิ ขน้ึ ของสา� นกั แครคละ สมยั นส้ี า� นกั วนวาสีแห่งน้ีอาจจะสูญเสียชื่อเสียงและหมดความส�าคัญ ส�านักวนวาสีอีกแห่งหน่ึงอยู่ท่ีเมือง เบนโตตะทางตอนใต้ของเกาะ มีกล่าวถึงหลายครั้งตามคัมภีร์น้อยใหญ่๑๔ แต่ไม่มีหลักฐาน ชี้ชดั ถึงพระเถระผรู้ งั้ ต�าแหน่งสมภารเจา้ วัด ระบเุ พียงวา่ เป็นศนู ยก์ ลางของคณะสงฆฝ์ า่ ยวนวาสี เช่นกัน รายละเอียดโดยย่อของส�านักแครคละมีกล่าวถึงในคัมภีร์หังสสันเดศยะ ผู้เขียนบอก ว่าเป็นผู้ศรัทธาชื่นชอบอย่างสูงต่อพระวนรัตนมหาสามีแห่งส�านักแครคละ๑๕ คัมภีร์เล่มนี้กล่าว ถึงวิถีชีวิตของพระสงฆ์ว่าด�ารงตนตามกฎระเบียบ ประพฤติถูกต้องตามพระวินัย และงดงาม
54 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ ด้วยศีลาจารวัตร ลักษณะเช่นน้ีถือว่าเป็นหลักปฏิบัติเบื้องต้นของพระสงฆ์ผู้พ�านักพักอาศัยใน อารามแห่งน้ี๑๖ นอกจากนั้นยังมีการฝึกฝนด้านวิปัสสนาธุระด้วย สอดคล้องกับกฎระเบียบ ของดัมพเดณิกติกาวัตรว่า หลักปฏิบัติเบ้ืองต้นของพระสงฆ์ฝ่ายวนวาสีคือควรใส่ใจเรื่อง วิปัสสนาธุระ๑๗ การเน้นเร่ืองวิปัสสนาธุระของพระสงฆ์ฝ่ายวนวาสีบอกไว้ชัดในคัมภีร์สัทธรรม รัตนากรยะของพระวิมลกีรติเถระ ซ่ึงท่านเป็นพระนักปราชญ์ผู้ชื่นชอบส�านักวนวาสีแห่งนี้ เพราะเชื่อเร่ืองการสูญหายเสาค้�าหลักพระพุทธศาสนา (ปัญจอันตรธาน) ผู้เขียนได้ร้องขอให้ สรรพสตั วป์ ฏบิ ตั วิ ปิ สั สนากรรมฐาน เพอื่ ใหค้ า� สอนของพระพทุ ธเจา้ รงุ่ เรอื งสวา่ งไสวชว่ั กาลนาน๑๘ ส่วนความม่ังคั่งแห่งจักรพรรดิผู้เขียนได้กระตุ้นเตือนให้อุบาสกอุบาสิกาพัฒนากุศลจิตภาวนา เพ่ือเป็นกุศลกรรมวิบากหลังจากละสังขารไปสู่ปรโลกเบ้ืองหน้า๑๙ ความสนใจเร่ืองวิปัสสนา กรรมฐานของพระสงฆ์ฝ่ายวนวาสีดังกล่าว ไม่ได้ห้ามเรียนรู้หรือสร้างสรรค์ผลงานด้าน วรรณกรรมแต่อย่างใด เพราะมีพระสงฆ์ฝ่ายวนวาสีเป็นจ�านวนมากพากันสร้างช่ือเสียงในฐานะ พระนักปราชญ์ ดังเช่น พระสงฆ์ที่สืบเชื้อสายมาจากพระธรรมกีรติเถระแห่งส�านักปลาพัตคะละ ล้วนโด่งดังในฐานะพระสงฆ์ผู้ทรงความรู้ด้านวรรณคดี๒๐ รายชื่อของพระสงฆ์นักปราชญ์ท่ี สืบสายมาจากพระธรรมกีรติเถระและผลงานของท่านปรากฏในปัจฉิมบทของคัมภีร์สัทธรรม รัตนากรยะ๒๑ คัมภีร์น้อยใหญ่สมัยน้ันชี้ว่างานเขียนของพระสงฆ์ฝ่ายวนวาสีล้วนกล่าวถึงแต่เรื่อง ธรรมสังเคราะห์๒๒ ไม่ยุ่งเก่ียวการเรียนการสอนหรือผลิตผลงานด้านโลกศาสตร์ เช่น กวีนิพนธ์ การละคร และดาราศาสตร์๒๓ แต่หลังจากตรวจสอบหลักฐานอย่างละเอียดแล้วกลับเห็นว่า ไม่ได้เป็นเช่นน้ันจริง ตัวอย่างเช่น พระวนรัตนมหาสามีแห่งส�านักแครคละเป็นปราชญ์แตกฉาน ทั้งคดีโลกและคดีธรรมไม่แพ้พระสงฆ์นักปราชญ์ฝ่ายคามวาส๒ี ๔ คัมภีร์หังสสันเดศยะบอกว่า ท่านได้แต่งคัมภีร์ด�าเนินตามกาพย์ภาษาสันสกฤต ซ่ึงถือว่าเป็นมาตรฐานในการผลิตผลงาน กวีนิพนธ์แนวสันเดศยะ๒๕ คัมภีร์กวีนิพนธ์เล่มน้ีผู้เขียนยกย่องพระวนรัตนเถระว่าเป็น ผู้เชี่ยวชาญความรู้ทางโลก เช่น กวีนิพนธ์ ละคร และดาราศาสตร์๒๖ และอธิบายถึงปัทมาวดี ปริเวณะที่แครคละว่าพระสงฆ์นักศึกษาบางรูปศึกษาวิชาทางโลกด้วย ดังเช่น กวีนิพนธ์และ ละครเชิงศาสนา๒๗ รายละเอียดเก่ียวกับหลักสูตรของสถาบันแห่งน้ีจะวิเคราะห์ต่อไป๒๘ หลักฐานดังกล่าวเบ้ืองต้นช้ีให้เห็นว่าพระสงฆ์ฝ่ายวนวาสียุคนี้มิได้เรียนวิชาทางโลกเท่านั้น แต่ยังผลิตผลงานอีกด้วย
เร่ืองราวของคณะสงฆ์ 55 กล่าวกันว่าพระสงฆ์ฝ่ายวนวาสีปฏิเสธคติความเช่ือของมหายานและความเช่ือแบบ ชาวบ้านขณะที่ฝ่ายคามวาสีกลับยอมรับความเชื่อเหล่านั้นอย่างอิสระ๒๙ หลักฐานเหล่าน้ีมี กล่าวถึงในคัมภีร์สัทธรรมรัตนากรยะ ซ่ึงเป็นงานเขียนเชิงกวีธรรมะสมัยพุทธศตวรรษที่ ๒๐ แต่งโดยพระธรรมทินนวิมลกีรติเถระ ถือกันว่าเป็นสุดยอดงานเขียนของพระสงฆ์ฝ่ายวนวาสี เน้ือหากล่าวถึงพระพุทธเจ้าว่ามี ๔ กาย กล่าวคือ รูปกาย ธรรมกาย นิมิตกาย และสุญกาย๓๐ ผู้เขียนอธิบายความหมายเหล่าน้ีว่า รูปกายหมายถึงพระพุทธเจ้าในร่างของสามัญมนุษย์ ซึ่งสามารถมองเห็นด้วยประสาทเนื้อ ธรรมกายเป็นร่างแห่งการตรัสรู้ภายใน หรือธรรมะ ของพระพุทธองค์ ส่วนนิมิตกายอธิบายว่าเป็นภาวะของโสปาธิเสสนิรวาณธาตุหมายถึงนิพพาน ส่วนที่เหลือเป็นภาวะสามารถเห็นได้เพียงผู้วิเศษเท่านั้น และสุญตาเป็นภาวะของพระพุทธเจ้า ในลกั ษณะของอนปุ าธเิ สสนริ วาณธาตุ ดังเชน่ การประทานพรพระนิพพานปราศจากส่วนที่เหลือ ตัวตน๓๑ ค�าสอนเก่ียวกับกายสามของพระพุทธเจ้าเป็นหลักค�าสอนเด่นอย่างหนึ่งของมหายาน พบเห็นในคัมภีร์อษฏสาหัสริกาปรัชญาปารมิตา ท่านนาคารชุนอธิบายว่ากายของพระพุทธเจ้า มีสองเท่านั้นกล่าวคือรูปกายและธรรมกาย๓๒ ส�านักวิชญาณวาทได้เพ่ิมกายสามเข้ามากล่าวคือ สัมโภคกายจึงกลายเปน็ ตรีนกิ ายของมหายาน๓๓บรรดาตรกี ายเหล่านนั้ ธรรมกายหรอื ธรรมธาตุ เป็นสารัตถะหลักของพระพุทธเจ้า และเป็นของจริงแท้หน่ึงเดียวตามปรากฏการณ์และเป็น ปัจเจกภาพ ส�าหรับสัมโภคกายเป็นภาคส�าแดงเป็นภาวะเหนือธรรมชาติ พระพุทธเจ้าจะปรากฏ พระกายบนสวรรค์หรือส�าแดงร่างในรูปแบบของเทวดาอันเรืองรอง ส่วนนิรมาณกายหมายถึง รา่ งกายทเี่ ปลยี่ นรปู รา่ งตามกฎไตรลกั ษณช์ อื่ วา่ เปน็ กายเนอื้ ของพระพทุ ธเจา้ ๓๔ ศพั ทว์ า่ ธรรมธาตุ ตามความหมายคือธรรมชาติของสรรพสิ่ง ซ่ึงเป็นที่รู้จักกันดีของนักศึกษาภาษาบาลี๓๕ ส่วนอีก สองอย่างเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ศาสนิกผู้ศรัทธามหายาน๓๖ การอธิบายเรื่องตรีนิกายและกายสี่ ของพระพุทธเจ้าตามหลักค�าสอนของมหายานอย่างละเอียดเช่นน้ี แสดงให้เห็นว่าพระธรรม ทินนวิมลกีรติเถระคุ้นเคยกับหลักค�าสอนเหล่านี้เป็นอย่างดี ค�าสอนเร่ืองรูปกายมีความคล้ายคลึงกับนิรมาณกาย แนวความคิดของมหายานเก่ียว กับธรรมกายอาจจะเปรียบเทียบกับธรรมกายของคัมภีร์เล่มนี้ ความหมายของนิมิตกายตาม คัมภรี เ์ ล่มนถ้ี อื วา่ เปน็ การตอ่ เติมเสริมแนวความคดิ เร่ืองสมั โภคกายของมหายาน เพราะผ้เู ขียน ไดเ้ พม่ิ อกี หนง่ึ กายตามหลกั คา� สอนเรอ่ื งกาย การอธบิ ายเรอ่ื งกายชใ้ี หเ้ หน็ ถงึ การขยายแนวความ คิดเรื่องสุญตาของท่านนาคารชุน๓๗ แสดงให้เห็นว่าพระธรรมทินนวิมลกีรติเถระรู้จักผลงาน
56 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ ของท่านนาคารชุนเป็นอย่างดี กล่าวเฉพาะบทที่ ๗ มีชื่อว่าไมตรียสังครหกถาอธิบายเร่ือง พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์พระไมตรียพุทธเจ้า ตามค�าทูลนิมนต์ของพระสารีบุตรในโอกาส ชื่อว่ารุวันสักมณะ๓๘ ความแตกต่างอย่างเด่นชัดข้อหนึ่งระหว่างมหายานกับเถรวาทคือ ความผูกพันกับคติความเช่ือเรื่องพระโพธิสัตว์หรือพระพุทธเจ้าในอนาคต มหายานยอมรับว่า มีพระโพธิสัตว์จ�านวนมากมายนับไม่ถ้วน๓๙ แม้แต่เจ้าชายสิทธัตถะก่อนตรัสรู้เป็นพระโคตม พุทธเจ้าก็ถือว่าเป็นพระโพธิสัตว์เช่นกัน คติความเช่ือเร่ืองพระโพธิสัตว์จึงได้ก่อร่างสร้างตัว กลายเป็นหลักค�าสอนส�าคัญอย่างหนึ่งของชาวพุทธสิงหล ด้วยเหตุนั้นคัมภีร์สัทธรรมรัตนากรยะ อ้างอิงเรื่องพระไมตรียโพธิสัตว์จึงพิจารณาได้ว่าเป็นการยอมรับ โดยเฉพาะการพยากรณ์ เก่ียวกับพระไมตรียโพธิสัตว์ว่ามีต้นเค้ามาจากมหายาน๔๐ ตั้งแต่สมัยอนุราธปุระตอนปลายเป็นต้นมา กษัตริย์ลังกาล้วนยอมรับคติความเช่ือ พระโพธิสัตว์ตามนัยมหายาน๔๑ ศิลาจารึกที่ส�านักเชตวันวิหารชี้บอกว่าพระโพธิสัตว์เท่านั้น จึงสามารถเป็นกษัตริย์ของเกาะลังกาได้๔๒ ความเช่ือแบบมหายานทรงอิทธิพลเร่ือยมาจนถึง พุทธศตวรรษที่ ๒๐ พระบรมราชูทิศแห่งโอรุวะระบุว่าพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๖ ทรงเป็น พระโพธิสัตว์ผู้ย่ิงใหญ่เรียกว่าโพธิสัตวาวตาระ๔๓ ผู้แต่งคัมภีร์สัทธรรมรัตนากรยะก็ยืนยันว่า พระองค์เป็นพระโพธิสัตว์จริง๔๔ หลักฐานส่วนนี้ช้ีให้เห็นว่าพระธรรมทินนวิมลกีรติเถระยอมรับ คติความเช่ือมหายานด้วยการอ้างถึงกษัตริย์ว่าเป็นพระโพธิสัตว์ มีคติความเช่ือของมหายาน สอดแทรกอยู่ในงานเขียนสมัยน้ันด้วย ดังเช่นเนื้อหาของคัมภีร์หังสเดศยะได้ขอร้องให้ พระวนรัตนเถระสาธยายรัตนสูตร เพื่อแสดงความอ่อนน้อมคารวะต่อเทพอุบลวัน เทพสามัน และเทพวิภีศะณะ๔๕ ตั้งจิตปรารถนาให้เทพเหล่าน้ันประทานพรแก่พระเจ้าปรากรมพาหุ ความจริงแล้วเถรวาทยุคด้ังเดิมไม่เก่ียวข้องกับคติความเช่ือเหล่าน้ีเลย แต่กลายมาเป็นที่ รจู้ กั แพรห่ ลายสมยั กลาง แมแ้ ตพ่ ระวนรตั นเถระกไ็ มส่ ามารถปฏเิ สธอทิ ธพิ ลความเชอ่ื ทางสงั คม ได้ ด้วยเหตุดังกล่าวหลักค�าสอนของมหายานและคติความเช่ือชาวบ้านต่างเป็นที่รู้จักกันดี ของพระสงฆ์ฝ่ายวนวาสี เพราะผู้เขียนคัมภีร์สัทธรรมรัตนากรยะและคัมภีร์หังสสันเดศยะ ล้วนได้แรงบันดาลใจจากคัมภีร์ของมหายานท้ังสิ้น ส�าหรับคณะสงฆ์ฝ่ายคามวาสีน้ันอาศัยอยู่ตามอารามวิหารใกล้เมืองหรือหมู่บ้าน ท�างานพระศาสนาอยู่กับชาวบ้านเป็นปกติวิสัย ศูนย์กลางส่วนใหญ่อยู่กลางเมืองหลวง สมัย อาณาจักรดัมพเดณิยะน้ันคณะสงฆ์ฝ่ายคามวาสีมีศูนย์กลางอยู่ที่วิชัยสุนทรารามแห่ง เมอื งดมั พเดณยิ ะ๔๖ คมั ภรี ว์ ตุ ตมาลาสนั เดศสตกะ ซงึ่ เปน็ กาพยภ์ าษาบาลไี ดอ้ ธบิ ายรายละเอยี ด
เร่ืองราวของคณะสงฆ์ 57 เก่ียวกับวัดที่แดดิคามะว่าสร้างโดยพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๕๔๗ และระบุเพ่ิมเติมว่าอาวาส แห่งนี้มีพระเถระผู้ใหญ่ทั้งสองคณะอาศัยอยู่๔๘ แม้ไม่มีหลักฐานระบุแน่ชัดว่าอาวาสแห่งน้ี เป็นศูนย์กลางของคณะสงฆ์ฝ่ายคามวาสี แต่ก็ยืนยันได้ว่าเป็นศูนย์กลางการบริหารคณะสงฆ์ ภายหลังการล่มสลายของอาณาจักรดัมพเดณิยะ ล่วงเข้าสมัยพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๖ แห่งอาณาจักรโกฏเฏ๔๙ พระองค์โปรดให้สร้างอาวาสหลายแห่งบริเวณเมืองหลวงโกฏเฏ สันนิษฐานว่าน่าจะน้อมถวายแด่คณะสงฆ์ฝ่ายคามวาสี เพื่อให้เป็นศูนย์กลางสงเคราะห์ช่วย เหลือชาวบ้าน งานเขียนประเภทสันเดศยะยุคนี้กล่าวถึงอาวาสขนาดใหญ่ในเมืองโกฏเฏนามว่า ราชมหาวิหาร๕๐ แปลว่าวัดของพระเจ้าแผ่นดิน น่าจะเป็นวัดส�าคัญสร้างโดยพระเจ้าปรากรม พาหุนอกจากน้ันยังมีตามหัวเมืองน้อยใหญ่ตลอดอาณาจักร วัดเหล่าน้ีคงเป็นศูนย์กลางทาง ศาสนาของบ้านเมืองเกือบคร่ึงศตวรรษ แต่รัชสมัยของพระเจ้าภูวเนกพาหุกลับไม่มีกล่าวถึง อาจเป็นไปได้ว่าความมากอิทธิพลของโปรตุเกสและบทบาทของคณะมิชชันนารีต่อพระเจ้า ภูวเนกพาหุ จึงท�าให้สถานภาพและชื่อเสียงของคณะสงฆ์ส้ินสุดลง นับต้ังแต่ช่วงแรกแห่งการ ครองราชย์ของพระเจ้าธรรมปาละ ความเสียหายร้ายแรงเกิดข้ึนกับราชมหาวิหาร เม่ือพระเจ้าธรรมปาละได้เข้ารีตเป็น คริสต์ พระสงฆ์ตามอารามวิหารเหล่าน้ีจึงพากันท้ิงวัดเสียแล้วอพยพไปอาศัยอาณาจักรสีตาวะกะ และอาณาจักรแคนดี๕๑ หลักฐานในพระบรมราชูทิศแสดงให้เห็นถึงความศรัทธามั่นคง ต่อศาสนาใหม่ของพระเจ้าธรรมปาละว่า พระองค์ทรงประทานอารามวิหารน้อยใหญ่ท่ีดินและ ภาษีของวัดทั้งหมดภายในอาณาจักรโกฏเฏ มอบถวายให้แก่พวกมิชชันนารีเพ่ือเป็นทุนส�าหรับ ค้�าจุนวิทยาลัย ซึ่งบาทหลวงโรมันคาทอลิกก�าลังเร่งสร้างตามหัวเมืองน้อยใหญ่ชายทะเล๕๒ นอกจากอารามนามราชมหาวิหารเหล่านั้นแล้ว จ�านวนวัดมากหลายที่สังกัดคณะสงฆ์ ฝ่ายคามวาสีก็ถูกพวกมิชชันนารียึดครองเช่นกัน ได้แก่ เกลาณียะ แวลิคามะ เดลคามุวะ อัตตนคัลละ และโตฏคามุวะ บางแห่งเป็นศูนย์กลางการศึกษาส�าคัญแห่งยุคซึ่งมีชื่อเสียง โด่งดัง๕๓ บทบาทของพระสงฆ์คามวาสี หนา้ ทหี่ ลกั ของพระสงฆฝ์ า่ ยคามวาสคี อื ศกึ ษาเลา่ เรยี นธรรมะ สวดสาธยายพระไตรปฎิ ก เทศนาธรรม และสงเคราะห์ศาสนพิธีแก่ชาวบ้านซึ่งสอดคล้องตามนัยแห่งคันถธุระ๕๔ มีกล่าว ไว้ในคัมภีร์อรรถกถา๕๕ และกติกาวัตร ดังเช่นโปโฬนนารุกติกาวัตรได้บัญญัติกฎระเบียบเพ่ือ
58 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ ใหพ้ ระสงฆป์ ระพฤตติ นตามคนั ถธรุ ะและวปิ สั สนาธรุ ะ เพอื่ ความเจรญิ รงุ่ เรอื งของพระศาสนา๕๖ ดัมพเดณิกติกาวัตรเพิ่มเติมอีกว่าหน้าที่หลักของพระสงฆ์ผู้ประพฤติตนตามคันถธุระ คือการสอน การเรียน และการแสดงธรรม๕๗ หลักฐานส่วนนี้มิได้หมายความว่าพระสงฆ์ฝ่าย คามวาสีพากันเหินห่างจากการปฏิบัติธรรม เพราะดัมพเดณิกติกาวัตรบอกว่าพระสงฆ์ฝ่าย คามวาสีน้ัน นอกจากศึกษาเล่าเรียนธรรมะและปฏิบัติหน้าที่ตามข้อบังคับแล้วควรเจริญภาวนา ด้วย๕๘ กติกาวัตรสมัยพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๖ ระบุว่าพระสงฆ์ฝ่ายคามวาสีควรร�าลึกไว้เสมอ ว่าหน้าท่ีเบ้ืองต้นคือการศึกษาเล่าเรียนและส่ังสอนธรรม๕๙ หลักฐานส่วนนี้ช้ีชัดเจนว่าหน้าที่ หลกั ของพระสงฆฝ์ า่ ยคามวาสคี อื ควรใกลช้ ดิ ตดิ ตอ่ กบั ฆราวาส เมอื่ เกย่ี วขอ้ งคนุ้ เคยกบั ฆราวาส นานวันเดือนปี ย่อมท�าให้ความคิดและความเป็นอยู่ของพระสงฆ์ฝ่ายคามวาสีมีความแตกต่าง จากพระสงฆ์ฝ่ายวนวาสีอย่างส้ินเชิง ความใกล้ชิดระหว่างพระสงฆ์ฝ่ายคามวาสีกับชาวบ้าน เช่นนี้น�าไปสู่ความประมาทและความเส่ือมถอย ด้วยเหตุน้ีหลักฐานหลายแห่งจึงอธิบายถึงการ ช�าระฟื้นฟูคณะสงฆ์หลายต่อหลายครั้ง โดยระบุว่าความเสื่อมเกิดขึ้นบ่อยครั้งในคณะสงฆ์ ฝ่ายคามวาสีมากกว่าฝ่ายวนวาสี๖๐ แต่อีกมุมหน่ึงความสัมพันธ์ใกล้ชิดระว่างพระสงฆ์ฝ่ายคามวาสีกับชาวบ้านก็เกิด พัฒนาการภายในคณะสงฆ์หลายอย่าง กลายเป็นลักษณะพิเศษระหว่างพระสงฆ์ผู้สนใจ วิปัสสนากรรมฐานกับพระสงฆ์ผู้มีความเช่ือแตกต่างจากหลักค�าสอนของพระพุทธเจ้า สันนิษฐานว่าพระสงฆ์ผู้อยู่ท่ามกลางสังคมต่างช่ืนชอบความเชื่อแบบชาวบ้าน ดังเช่น คติความเชื่อเกี่ยวกับยักษ์ หลักฐานเหล่านี้พบเห็นในคัมภีร์สุมังคลวิลาสินี ซึ่งอธิบายวิธีการ แก้ไขกรณีพระสงฆ์ถูกยักษ์เข้าสิง๖๑ บัญญัติข้อหนึ่งในดัมพเดณิกติกาวัตรห้ามพระสงฆ์ ถวายเครื่องพลีแก่ยักษ์หรือร่วมพิธีทรงเจ้าเข้าผี๖๒ ยุคนี้การทรงเจ้าเข้าผีกลายเป็นท่ีรู้จัก แพร่หลายของพระสงฆ์ฝ่ายคามวาสี โดยเฉพาะพระศรีราหุลเถระนั้นถือว่าเป็นผู้ช�านาญ ในพิธีกรรมเหล่าน้ี๖๓ หลักฐานเช่นนี้ปรากฏในงานเขียนหลายเล่มของท่าน คัมภีร์กุเวณิอัสนะ ซ่ึงมีเนื้อหาเก่ียวกับไสยศาสตร์ แต่งขึ้นเพ่ือสดุดีชัยชนะและประทานพรแด่พระเจ้าปรากรม พาหุที่ ๖ เป็นผลงานของพระสงฆ์ลูกศิษย์ของพระศรีราหุลเถระ๖๔ ส่วนพระวีทาคมไมตรียเถระ ได้ประณามความเชื่อเหล่านี้ โดยแต่งคัมภีร์ชื่อว่าบุดุคุณาลังการยะ๖๕ การกราบไหว้บูชาเทพอุบลวันและเทพวิภีศะณะพร้อมกับพระโพธิสัตว์มหายาน นามว่าอวโลกิเตศวร (นาถะ) ปรากกฎว่ามีอยู่เคียงข้างพระพุทธเจ้าแพร่หลายตามอาราม น้อยใหญ่ของคณะสงฆ์ฝ่ายคามวาสี คติความเชื่อเหล่านี้สามารถย้อนรอยถอยหลังถึงยุค
เร่ืองราวของคณะสงฆ์ 59 อนุราธปุระ๖๖ เป็นท่ีน่าสังเกตว่าท้ังวรรณกรรมหรือจารึกจ�านวนมากภายหลังพุทธศตวรรษ ที่ ๑๕-๑๘ ล้วนอ้างถึงคติความเช่ือเหล่านี้ และวรรณกรรมเหล่าน้ันต่างเป็นผลงานของพระสงฆ์ ฝ่ายคามวาสี๖๗ วิชัยพาหุปริเวณะแห่งหมู่บ้านโตฏคามุวะเป็นศูนย์กลางการประกอบพิธีกรรม สรรเสริญบูชาเทพนาถะ๖๘ ส�าหรับเดวินูวะระเป็นสถานสถิตของเทพอุบลวันและเกลาณียะเป็น สถานสถิตของเทพวิภีศะณะมาเนิ่นนาน๖๙ พระศรีราหุลเถระเป็นผู้เช่ือมั่นต่อเทพวิภีศะณะและศรัทธามั่นคงต่อเทพอุบลวัน หลักฐานส่วนน้ียืนยันได้จากงานเขียนของท่านชื่อว่าปเรวิสันเดศยะ๗๐ ส่วนสมภารเจ้าวัดแห่ง ติลกปริเวณะแห่งเมืองเดวินูวะระก็เป็นผู้ศรัทธาแก่กล้าต่อเทพอุบลวันเช่นกัน เพราะระบุถึง ในงานเขียนของท่านนามว่าโกกิลสันเดศยะ๗๑ คัมภีร์หังสสันเดศยะของพระวนรัตนเถระแห่ง ส�านักแครคละได้ร้องขอให้อ่อนน้อมต่อเทพเจ้าเหล่าน้ัน ท้ังพระศรีราหุลเถระและเจ้าอาวาส ติลกปริเวณะต่างพากันประกอบพิธีอ้อนวอนเทพเจ้าด้วยความเคารพศรัทธาสวามิภักด์ิ๗๒ เหตุเพราะคณะสงฆ์ฝ่ายคามวาสีผูกพันใกล้ชิดกับฆราวาสเช่นนี้ จึงยอมรับคติความเชื่อแบบ ชาวบ้านแล้วกลมกลืนเข้ากับพิธีกรรมทางพุทธศาสนาจนรวมเป็นเนื้อเดียวกัน เพราะศรัทธาเชื่อม่ันต่อความเช่ือแบบชาวบ้าน คณะสงฆ์ฝ่ายคามวาสีจึงทรงอิทธิพล ต่อชาวบ้านเป็นธรรมดาวิสัย สมัยน้ันต่างเช่ือกันว่าเทพอุบลวันและเทพวิภีศะณะสามารถ ประทานพรให้ส�าเร็จผลได้ ดังเช่น ประทานพรพระสวามีผู้มีความสามารถแด่พระราชธิดาของ กษัตริย์ หรือประทานบุตรแก่พระราชธิดาผู้ไร้บุตรมานาน ความเชื่อเช่นนี้เป็นแรงบันดาลใจให้ พระศรีราหุลเถระแต่งคัมภีร์ปเรวิสันเดศยะและคัมภีร์แสฬลิหินิสันเดศยะ เน้ือหาของคัมภีร์ ปเรวิสันเดศยะใช้นกพิราบเป็นผู้น�าสาสน์ส่งถึงเทพอุบลวันแห่งเมืองเดวินูวะระ เพื่ออ้อนวอน ประทานพรให้พระนางจันทราวดี ผู้เป็นพระราชธิดาของพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๖ สยัมพรกับ พระสวามีท่ีเหมาะสม๗๓ ส่วนคัมภีร์แสฬลิหินิสันเดศยะกล่าวถึงการส่งสาสน์ถึงเทพวิภีศะณะ แห่งเกลาณียะในนามของนันนุระ พระราชธิดาอีกพระองค์หนึ่งของพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๖ วอนขอให้เทพวิภีศะณะประทานบุตรแก่พระนาง สาสน์ท่ีส่งถึงเทพวิภีศะณะมีใจความว่า ข้าแต่ พระมหาเทพเทวาเจ้า ผู้เป็นพระเนตรแห่งโลกสาม ผู้มีพระบาทอันชุ่มเย็นด้วยกลิ่นหอมแห่ง เกสรของบุปผาชาติ อันเป็นมาลาคล้องพระบาทพระเทวาเจ้า ขอพระองค์ทรงเมตตาประทาน พรให้เจ้าหญิง (อุลกุฑยเทวี) ได้อัญมณีกล่าวคือพระราชโอรสผู้งามสง่า มีจิตใจงดงาม มีอายุ ย่ังยืนนาน รุ่งเรืองงดงาม มีพระปรีชาสามารถ และมีช่ือเสียงเล่ืองลือขจรไกล ขอให้พระโอรส ของพระองค์น้ันได้รับการยกย่องและช่ืนชมยินดีของพระมเหสีนามว่ารัตนาวลี ขอให้พระองค์
60 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ ได้เสวยราชย์เป็นพระเจ้าแผ่นดินแห่งลังกาเหมือนดังพระเจ้าปรากรมพาหุมหาราช ไม่มีความ ส�าเร็จอันใดย่ิงไปกว่าความเป็นใหญ่และอ�านาจอันสูงส่งของพระองค์อีกแล้ว พระกรุณาคุณ และช่ือเสียงของพระองค์จะเพ่ิมขึ้นเท่าพันทวี หากอัญมณีคือพระโอรสจะปรากฏเป็นของขวัญ อันทรงคุณค่าแก่พระราชธิดา ผู้กราบกรานน้อมบูชาที่พระบาทอันสูงเลิศด้วยดอกมะลิและ ปทุมชาติ๗๔ อรรถาธิบายดังกล่าวช่วยให้เข้าใจชัดแจ้งถึงอิทธิพลความเช่ือต่อคณะสงฆ์ฝ่าย คามวาสี ความยืดหยุ่นเช่นน้นี า� ไปสกู่ ารสร้างเทวาลยั จา� นวนมากใกลช้ ดิ ตดิ อารามวหิ าร หลักฐาน ระบุว่ายุคอนุราธปุระไม่มีอารามวิหารเกี่ยวข้องกับเทวาลัยแต่อย่างใด ปรากฏพบเห็นคร้ังแรก ในสมัยคัมโปละซึ่งระบุว่าบริเวณวัดลังกาติลกะมีรูปปั้นเทพเจ้าฮินดูประดิษฐานเช่ือมติดกับ พระวิหารด้านนอก๗๕ ต่อมาพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ความเชื่อเช่นนี้ได้รุ่งเรืองแพร่หลายเกิด มีเทวาลัยจ�านวนมากเคียงคู่อยูกับอารามวิหาร คัมภีร์อลุตนูวะระเดวาเลกรวีมะระบุว่า มีอาราม วิหารหลายแห่งอยู่ติดกับเทวาลัยและสมภารเจ้าวัดเป็นผู้ท�าหน้าท่ีสวดพระปริตรต่อหน้า เทพอุบลวันเป็นนิจ๗๖ คณะสงฆ์ฝ่ายคามวาสีแห่งส�านักคลตุรุมุละวิหารก็ประกอบพิธีเช่น เดียวกัน ๗๗นอกจากนั้นยังมีการน้อมถวายท่ีดินและภาษีอากรแก่สมภารผู้กระท�าพิธีกรรมด้วย เจ้าอาวาสผู้กระท�าพิธีกรรมเช่นนี้เรียกว่าวิทานสามี๗๘ ต�าแหน่งนี้เป็นกฎระเบียบเช่นเดียวกับ สามันเทวาลัยแห่งเมืองรัตนปุระ มิใช่เฉพาะส�านักคลตุรุมูละเท่านั้นยังมีอารามวิหารอีกหลาย แห่งที่อยู่ติดเทวาลัย หลักฐานจากพระบรมราชูทิศมหาสามันเทวาลัยระบุว่าหน้าท่ีหลักของ เจ้าอาวาสผู้ดูแลเทวาลัยคือสวดพระปริตรทุกวันด้านหน้าเทพสามัน๗๙ งานวรรณกรรมของพระสงฆ์ฝ่ายคามวาสีหลายเล่มแสดงถึงความคุ้นเคยกับ เครื่องหมายฤกษ์ยามตามนัยโหราศาสตร์ ตัวอย่างเช่น คัมภีร์ปเรวิสันเดศยะระบุว่าพระศรี ราหุลเถระก�าหนดฤกษ์ยามแก่นกพิราบ โดยเร่ิมต้นเดินทางวันจันทร์ตอนเช้าตามดวงหะตะ๘๐ ตอนดาวพุธเคล่ือนเข้าสู่ราศีกันย๘์ ๑ ส่วนคัมภีร์แสฬลิหิณิสันเดศยะได้รวบรวมรายช่ือฤกษ์ยาม เป็นจ�านวนมาก๘๒ ด้านคัมภีร์กุเวณิอัสนะบอกว่าพระศรีราหุลเถระได้แนะน�าผู้ส่งสาสน์ให้ ตรวจสอบฤกษ์ยามก่อนออกเดินทาง เพราะเห็นว่าเป็นเร่ืองส�าคัญย่ิงกว่าดวงดาว๘๓ พระเถระ น้ันนอกจากปฏิบัติตนตามความเชื่อดังกล่าวแล้วยังมีส่วนส�าคัญในการประกอบพิธีกรรม ทางไสยศาสตร์ด้วย ตัวอย่างเช่นคัมภีร์กุเวณิอัสนะบอกว่าพระเถระประกอบพิธีเซ่นสรวง เทพธิดากุเวณิ เพ่ืออ้อนวอนเทพธิดาให้ประทานพรแก่พระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๖๘๔ หลักฐาน ตามต�านานกล่าวว่าพระศรีราหุลเถระเป็นผู้ศรัทธาชื่นชอบเทพสกันดะโดยมีมนตราอย่างหนึ่ง
เร่ืองราวของคณะสงฆ์ 61 เรียกว่าสกันดวรปรสาทะ๘๕ กล่าวกันว่าเพราะมนตราน้ีเองท�าให้พระเถระสามารถมีความรู้ กว้างขวางทั้งศาสตร์และศิลป์จนได้รับการขนานนามว่าศาฑภาษาปรเมศวร แปลว่าผู้แตกฉาน ด้านภาษาท้ังหก๘๖ คัมภีร์ปเรวิสันเดศยะบอกว่าพระศรีราหุลเถระอ้างตนว่าได้รับพรจาก เทพสกันดะเมื่ออายุ ๑๕ ปี๘๗ ส่วนบูรพาจารย์ของท่าน๘๘ ซึ่งสังกัดส�านักอุตุรุมูละก็ศรัทธา ช่ืนชอบเทพสกันดะเช่นกัน คัมภีร์ราชรัตนากรยะบอกว่าส�านักแห่งน้ีเป็นสาขาหน่ึงของส�านัก อภัยคิรีวิหารสมัยอาณาจักรอนุราธปุระ๘๙ หลักฐานช้ินสุดท้ายที่กล่าวถึงคณะสงฆ์ฝ่ายวนวาสีและฝ่ายคามวาสีพบเห็นในคัมภีร์ ราชรัตนากรยะ ซึ่งว่าด้วยการฟื้นฟูคณะสงฆ์ภายใต้การอุปถัมภ์ของพระเจ้าเสนาสัมมตวิกรม พาหแุ หง่ อาณาจกั รแคนดี๙๐หลกั ฐานบางแหง่ บอกวา่ พระสงฆฝ์ า่ ยคามวาสพี ากนั ประพฤตทิ จุ รติ ผิดพระธรรมวินัยเพราะคิดว่าไม่มีใครสามารถช�าระฟื้นฟูคณะสงฆ์ได้๙๑ สถานการณ์เส่ือม ทรุดลงอีกเมื่อเกิดความไม่ม่ันคงทางการเมืองท่ัวเกาะลังกา ซึ่งเริ่มปรากฏเค้าลางตอนต้น พุทธศตวรรษที่ ๒๑ การต่อสู้ด้ินรนทางการเมืองภายในและการบุกรุกจากคนต่างชาติ เป็นเหตุ ให้กษัตริย์ภายหลังพระเจ้าวิกรมพาหุไม่สามารถให้ความอุปถัมภ์พระศาสนาได้ เม่ือขาดการ อุปถัมภ์จากบ้านเมืองพระสงฆ์ทั้งฝ่ายวนวาสีและฝ่ายคามวาสีก็ตกอยู่ในสภาพล้มเหลว ไม่สามารถสืบต่อพิธีอุปสมบทได้ ตอนท้ายพุทธศตวรรษที่ ๒๑ สถานการณ์เข้าสู่ภาวะวิกฤตจน พระเจ้าวิมลธรรมสูริยะท่ี ๑ แห่งอาณาจักรแคนดี ต้องส่งคณะราชทูตไปอัญเชิญพระสงฆ์ จากเมืองยะไข่มาประกอบพิธีอุปสมบท๙๒ สถาบันการศึกษาสงฆ์ หลักฐานส่วนหนึ่งระบุถึงสถาบันการศึกษาของคณะสงฆ์สมัยนี้ เรียกว่าอายตนะหรือ มูละ สถาบันเหล่าน้ีมีกล่าวถึงบ่อยคร้ังในวรรณกรรมและศิลาจารึกก่อนพุทธศตวรรษที่ ๒๙๓ ต่อมากลายเป็นสถาบันหลักระหว่างต้นยุคกลาง โดยเฉพาะยุคโปโฬนนารุวะ ก�าเนิดและ พัฒนาการของอายตนะมีกล่าวถึงอย่างละเอียดในงานวิจัยของคุณวรรธนะ๙๔ หลักฐานเบื้องต้น กล่าวถึงอายตนะหรือมูละ ๘ ดังน้ี อุตตรมูละ เสลันตรมูละ (บางทีเรียกว่าอุปลันตรมูละ) กัปปูรมูละ เสนาปติมูละ ปัญจปริเวณมูละ หรือปัญจปริเวณสมูหมูละ สรสิคามมูละ (บางที เรียกว่าสโรคมมูละ) วาหทีปกมูละ และทักขิณมูละ๙๕ คัมภีร์ธัมปิยาอฏวา-แคฏปทยะอธิบายว่า รากเหง้าของศัพท์ว่ามูละมาจากภาษาสิงหลหมายถึงสถาบันการศึกษา๙๖ ยุคแรกเริ่มนั้นสถาบัน เหล่าน้ียึดโยงอยู่กับศูนย์กลางการศึกษาของคณะสงฆ์และบริหารดูแลโดยพระมหาเถระ๙๗ นอกจากท�าหน้าที่ดูแลบริหารอายตนะแล้ว พระมหาเถระยังสามารถถือครองทรัพย์สมบัติรวม
62 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ ถึงท่ีดินและบ้านอันเป็นของสถาบันด้วย ดัมพเดณิกติกาวัตรระบุว่าอายตนะครอบครอง ท่ีดินมากมายโดยแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม หนึ่งน้ันเป็นท่ีดินส่วนตนและอีกหน่ึงนั้นเป็นส่วน บริจาคส�าหรับสงเคราะห์สมณปัจจัย๙๘ หลักฐานอธิบายเพ่ิมเติมอีกว่าสมภารเจ้าวัดของสถาบัน เหล่าน้ีไม่ยุ่งเกี่ยวกับภาษีหรือรายได้ ท�าให้สามารถบริหารการใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีกฎข้อหน่ึงตราไว้ว่าเจ้าหน้าที่สงฆ์ต้องเป็นลูกหลานท่ีสืบเช้ือสายมาจากตระกูลสังคมุและ คณแวสิเท่านั้น ส่วนการบริจาคที่ดินเป็นจ�านวนมากไม่มีรายละเอียดกล่าวถึงเลย ส�าหรับความสัมพันธ์เกี่ยวข้องระหว่างอายตนะกับคณะสงฆ์ฝ่ายคามวาสีและฝ่าย วนวาสีไม่มีหลักฐานกล่าวถึงเลย แต่สันนิษฐานว่าสถาบันเหล่าน้ีน่าจะเคลื่อนย้ายไปตาม เมืองหลวง สมัยอาณาจักรโปโฬนนารุวะเจริญรุ่งเรือง สถาบันเหล่าน้ีก็ย้ายออกจากเมือง อนุราธปุระ๙๙ คัมภีร์ปูชาวลิยะและคัมภีร์จุลวงศ์ระบุว่าพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๒ โปรดให้สร้าง อารามวิหารแล้วน้อมถวายให้เป็นท่ีพ�านักพักอาศัยของพระสงฆ์หมู่ใหญ่ รวมถึงพระมหาเถระ แห่งอายตนะท้ังแปดด้วย๑๐๐ ครั้นเมื่ออาณาจักรดัมพเดณิยะม่ันคงรุ่งเรืองในฐานะศูนย์กลาง ทางการเมือง อายตนะทั้งแปดก็เกิดพัฒนาการเปลี่ยนรูปแปลงร่างไป สมัยนี้แม้จะมีอายตนะ ทั้งแปดตามประเพณีกล่าวอ้าง แต่มีหลักฐานกล่าวถึงเพียง ๖ แห่งเท่านั้น โดยส�านักทักขิณมูละ และส�านักวาหทีปกมูละน้ันหายไป๑๐๑ และไม่มีกล่าวถึงอีกเลยตามคัมภีร์น้อยใหญ่ภายหลังยุคน้ี ดัมพเดณิกติกาวัตรบัญญัติไว้ว่าพระเถระผู้เป็นหัวหน้าอายตนะมีต�าแหน่งส�าคัญ รองลงมาจากพระมหาสาม๑ี ๐๒ ปรณวติ านะตง้ั ขอ้ สงั เกตวา่ พระสงฆท์ งั้ หมดสมยั นน้ั คงตอ้ งสงั กดั หน่ึงหรือสองสถาบัน๑๐๓ครั้นยุคดัมพเดณิยะผ่านไปเรื่องราวของอายตนะก็เลือนหาย การกล่าวถึง อายตนะก็น้อยลง แม้พระสงฆ์นักปราชญ์ผู้สังกัดส�านักอายตนะน้อยใหญ่ก็ไม่มีกล่าวถึง คัมภีร์ วุตตมาลาสันเดศสตกะ ซ่ึงแต่งสมัยพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๕ แห่งแดดิคามะได้กล่าวถึง มหาวิหารกลางเมืองหลวง ว่า เป็นท่ีพ�านักของพระสังฆราชพร้อมกับพระมหาเถระแห่งมูละ หลายแห่ง แต่ไม่แยกกล่าวถึงอารามวิหารส่วนหนึ่งต่างหากที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน๑๐๔พระธรรม วิสุทธิเถระสันนิษฐานว่าส�านักเสนอาปมูละ ส�านักสรสิคามมูละ และส�านักมหาเนตตปสาทมูละ๑๐๕ ได้แยกตัวออกจากส�านักอุตตโรมูละและส�านักวาหทีปกมูละ โดยตั้งข้อสังเกตว่าการย้าย เมืองหลวงเป็นเหตุให้อายตนะเสื่อมโทรมถดถอย๑๐๖ อีกเหตุผลหน่ึงปริเวณะเกิดพัฒนาการ อย่างโดดเด่นจนกลายเป็นศูนย์กลางการศึกษาแทนที่๑๐๗ กล่าวตามหลักฐานอายตนะน้ัน ท�าหน้าท่ีเป็นศูนย์กลางการศึกษาของคณะสงฆ์ต้ังแต่แรกเริ่มจนผ่านมาเป็นศตวรรษแต่ไม่ โดดเด่นแพร่หลาย
เร่ืองราวของคณะสงฆ์ 63 คัมภีร์จุลวงศ์ระบุว่าอุตตโรมูละปริเวณะมีพระนักศึกษา ๖๐๐ รูป๑๐๘ ส่วนกัปปูรมูละ มีพระนักศึกษาเกินสามร้อยเมื่อแยกออกจากส�านักเดิม ด้านปัญจปริเวณมูละน่าจะก่อตัวข้ึน เป็นสถาบันการศึกษาหรือกลุ่มห้าของปริเวณะ และเสลันตรมูละมีพระสงฆ์จ�านวนมากสังกัด คณะนี้๑๐๙ หลักฐานดังกล่าวท�าให้รู้ว่าอย่างน้อยอายตนะบางแห่งก็เอ้ือประโยชน์สนองความ ตอ้ งการทางการศกึ ษาแกพ่ ระสงฆ์ ซง่ึ เสมอื นเปน็ โครงสรา้ งการบรหิ ารอารามวหิ าร แตไ่ มป่ รากฏ รายละเอียดกล่าวถึงเมื่ออายตนะเม่ือกลายร่างเป็นปริเวณะแล้ว จึงสรุปว่าปริเวณะเร่ิมต้น เป็นท่ีรู้จักแพร่หลายในฐานะสถาบันการศึกษาของคณะสงฆ์ตั้งแต่พุทธศตวรรษท่ี ๑๙๑๑๐ ส่วนหลักฐานที่อ้างถึงพัฒนาการของปริเวณะ ซ่ึงกลายเป็นสถาบันการศึกษาจนท�าให้อายตนะ สูญหายไปไม่สามารถกล่าวอ้างยืนยันได้ แม้อายตนะซ่ึงเป็นส่วนหนึ่งทางโครงสร้างของคณะสงฆ์ จะเลือนหายไป แต่คณะสงฆ์ก็ยังคงชื่ออายตนะไว้จนกลายเป็นประเพณีเรื่อยมาจนถึง ยุคดัมพเดณิยะ คัมภีร์ปูชาวลิยะระบุว่าพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๒ โปรดให้จัดพิธีเฉลิมฉลอง ต�าแหน่งหัวหน้าแห่งอายตนะ๑๑๑ ดัมพเดณิกติกาวัตรระบุว่าการแต่งตั้งต�าแหน่งหัวหน้าแห่งอายตนะควรท�าด้วยสังฆมติ เป็นเอกฉันท์และต้องผ่านการยอมรับจากพระมหากษัตริย์ด้วย๑๑๒ สมัยพระเจ้าวิชัยพาหุท่ี ๔ พระองค์ทรงด�าเนินราโชบายตามแบบอย่างพระราชบิดาด้วยการแต่งตั้งต�าแหน่งมากมายแก่ พระเถระผู้ใหญ่ ผู้มีส่วนเก่ียวข้องกับพิธีอุปสมบทรวมถึงต�าแหน่งมูลปทวิด้วย๑๑๓ พระมหา กษัตริย์สองพระองค์สุดท้ายที่กล่าวถึงการพระราชทานต�าแหน่งอายตนะคือพระเจ้าภูวเนกพาหุ ท่ี ๒๑๑๔ และพระเจ้าวีรพาหุผู้ทรงปกครองร่วมกับพระเจ้าภูวเนกพาหุที่ ๕ ๑๑๕ ตั้งแต่น้ันมาไม่มี หลักฐานกล่าวถึงการแต่งตั้งสมณศักดิ์อีกเลย แม้จะมีพระสงฆ์นักปราชญ์ผู้โดดเด่นใช้ช่ือ อายตนะเป็นนามน�าหน้าก็ตาม คงเหลือเพียงสี่ส�านักเท่าน้ันท่ียังคงปรากฏชื่ออยู่ ได้แก่ ส�านัก อุตุรุมูละ ส�านักคลตุรุมูละ ส�านักมหาเนตปามูละ และส�านักเสเนวิรัตมูละ บรรดาสถาบันเหล่านั้นส�านักอุตุรุมูละเป็นส�านักส�าคัญสุดและมีอิทธิพลมากสุดสมัย อาณาจักรโปโฬนนารุวะ๑๑๖ คัมภีร์จุลวงศ์อธิบายรายละเอียดเก่ียวกับก�าเนิดสถาบันแห่งนี้ ว่าเป็นสถานที่ประดิษฐานพระเข้ียวแก้วและบาตรของพระพุทธเจ้าในบทว่าด้วยพระราชประวัติ ของพระเจ้าวิชัยพาหุที่ ๑๑๑๗ ต้ังแต่นั้นเป็นต้นมาส�านักแห่งน้ีถือว่าทรงอิทธิพลสูงสุดทั้งด้าน ศาสนาและการเมือง๑๑๘ หลักฐานจ�านวนมากเกี่ยวกับสถาบันแห่งนี้มีกล่าวถึงในคัมภีร์ดฬดาสิริตะ ซึ่งเป็นงานเขียนเชิงกาพย์กลอนภาษาสิงหลสมัยพุทธศตวรรษท่ี ๑๙๑๑๙ โดยระบุว่าผู้อัญเชิญ เจดีย์ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วแสดงแก่คณะสงฆ์ฝ่ายคามวาสีและพระราชวงศ์คือสมภาร
64 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ เจา้ อาวาสสา� นกั อตุ รุ มุ ลู ะ และเพมิ่ เตมิ อกี วา่ เปน็ ผทู้ า� หนา้ ทห่ี กั ตราประทบั ผอบบรรจพุ ระเขย้ี วแกว้ เบื้องพระพักตร์พระเจ้าแผ่นดิน เช้ือพระวงศ์ สมภารเจ้าส�านักอุตุรุมูละ และตัวแทนคณะสงฆ์ ฝา่ ยคามวาสสี องรปู รวมทง้ั ผทู้ า� หนา้ ทดี่ แู ลวดั พระเขย้ี วแกว้ ดว้ ย๑๒๐ จากหลกั ฐานสว่ นนสี้ ามารถ ยืนยันได้ว่าเพราะมีหน้าที่ดูแลรักษาพระเขี้ยวแก้วจึงท�าให้ส�านักอุตุรุมูละทรงอิทธิพลสูงต่อ ชาวบ้านและพระเจ้าแผ่นดิน คาถาตอนท้ายของคัมภีร์ปทสาธนฎีการะบุว่าพระมหาเถระนามว่า อุตตโรมูลราหุลมีหลานชายผู้สืบสายต่อมาคือพระวาจิสสระสังฆราช๑๒๑ นักวิชาการยืนยันว่าพระสังฆราชรูปนี้เป็นพระศรีราหุลเถระแห่งส�านักโตฏคามุวะ ซ่ึงอ้างในคัมภีร์กาวยเสขรยะว่าตัวท่านเองเป็นหลานชายพระอุตุรุมูละมหาเถระ๑๒๒ แม้ไม่ สามารถค้นหาหลักฐานเก่ียวกับพระวาจิสสระสังฆราชได้ แต่สามารถยืนยันได้ว่าผู้ถูกอ้างถึงใน คัมภีร์ทั้งสองเล่มเบื้องต้นคือพระเถระน้ันเอง พระพุทธธัตตเถระแสดงความเห็นว่า พระราหุล เถระเป็นมหาสามีแห่งส�านักอุตุรุมูละ ได้รับการสรรเสริญในคัมภีร์วิมุกติสังคหะว่าเป็นสมภาร เจ้าอาวาสตีรถครามะ๑๒๓ศัพท์ว่าอุตุรุมูละมีรากเหง้ามาจากส�านักคลตุรุมูละ แต่น่าเสียดายไม่มี หลักฐานใดสามารถพิสูจน์ความเห็นน้ีได้ ข้อความในคัมภีร์ปเรวิสันเดศยะของพระศรีราหุล เถระอ้างว่าท่านได้รับพรจากเทพสกันดะเม่ืออายุได้ ๑๕ ปี๑๒๔ หลักฐานส่วนนี้ท�าให้นึกถึง ต�านานของผู้ก่อตั้งส�านักอุตุรุมูละ ซ่ึงมีข้อความบรรยายไว้ว่าท่านเป็นผู้ศรัทธาแก่กล้าต่อ เทพสกันดะ๑๒๕ เป็นเร่ืองยากนักท่ีจะยืนยันความถูกต้องของหลักฐานดังกล่าว แต่สามารถต้ัง ข้อสังเกตได้ว่าส�านักอุตุรุมูละมีความเกี่ยวข้องกับคติความเช่ือเทพสกันดะจริง นอกจาก พระศรีราหุลเถระแล้ว ไม่มีหลักฐานจากแหล่งใดสมัยน้ีอ้างว่าเก่ียวข้องกับส�านักอุตุรุมูละเลย ส�านักแห่งน้ีอาจถึงคราวอวสานหลังจากพระศรีราหุลเถระมรณภาพล่วงแล้ว สา� นักคลตรุ ุมูละก็เหมอื นส�านักอุตรุ มุ ลู ะ กล่าวคอื เป็นศูนยก์ ลางสา� คญั สงู สดุ แหง่ หน่งึ ทางศาสนาสมัยอาณาจักรโปโฬนนารุวะ๑๒๖ คัมภีร์จุลวงศ์อธิบายรายละเอียดอย่างยืดยาวเกี่ยวกับ ก�าเนิดของส�านักแห่งน้ี๑๒๗ นิโครัสตั้งข้อสังเกตว่าบริเวณที่ตั้งของส�านักแห่งน้ีอยู่ใกล้มาคะมะ เมืองหลวงของแคว้นโรหณะ๑๒๘ สมัยพุทธศตวรรษท่ี ๒๐ ยังปรากฏมีส�านักนามอุโฆษท่ีเมือง เดวินูวะระนามว่าคลตุรุมูลปายะ๑๒๙ น่าเสียดายว่าไม่หลักฐานยืนยันว่ามีความเกี่ยวข้องกับ ส�านักคลตุรุมูละด้ังเดิมหรือไม่ คัมภีร์วุตตมาลาสันเดศสตกะอ้างถึงพระสงฆ์รูปหนึ่งนามว่า อุปลันตรมูลมหาเถระ สมัยน้ันท่านเป็นสมภารเจ้าส�านักคลตุรุมูละ และพ�านักพักอาศัยท่ี ราชมหาวิหารแห่งเมืองแดดิคามะพร้อมกับรั้งต�าแหน่งพระสังฆราชด้วย๑๓๐ ท่านได้รับการ ยกย่องว่าเป็นพระสงฆ์ผู้เที่ยงตรงต่อหลักค�าสอน มีจิตใจบริสุทธ์ิและงดงามด้วยศีลาจารวัตร ส่วนคัมภีร์นิกายสังครหยะระบุว่าพระเมตไตรยมหาเถระแห่งส�านักคลตุรุมูละ เป็นอีกรูปหน่ึง
เร่ืองราวของคณะสงฆ์ 65 ที่ช่วยเหลือพระสังฆราชธรรมกีรติเถระผู้เป็นหัวหน้าสงฆ์สมัยนั้น ปฏิรูปคณะสงฆ์ภายใต้การ อุปถัมภ์ของวีรพาหุแอทิปาทะ ผู้เป็นพระเจ้าแผ่นดินโดยพฤตินัยตอนปลายรัชสมัยพระเจ้า ภูวเนกพาหุท่ี ๕๑๓๑ คัมภีร์วฤตตมาลาซึ่งแต่งเป็นกลอนภาษาสันสกฤตระบุว่าพระเสลันตรสมูห มหาสามีเป็นอาจารย์ของพระทีปังกรเถระผู้แต่งคัมภีร์เล่มน้ี๑๓๒ หลักฐานเหล่าน้ีแสดงให้เห็นว่าพระสงฆ์ผู้เก่ียวข้องกับส�านักคลตุรุมูละล้วนพ�านัก อาศัยตามอารามวิหารทั่วเกาะลังกา ส่วนอารามวิหารท่ีติดกับเทวาลัยของเทพอุบลวันแห่งเมือ งอลุตนูวะระ เป็นท่ีรู้กันว่าเป็นสถานที่อยู่ของพระสงฆ์ที่สืบเช้ือสายต่อจากส�านักคลตุรุมูละ๑๓๓ อารามท่ีอยู่ติดกับมหาสามันเทวาลัยที่เมืองรัตนปุระก็เช่นกันต้องเป็นเจ้าอาวาสที่สืบเชื้อสาย ต่อจากส�านักน้ีเช่นกัน๑๓๔ จารึกแปปิลิยานะหลักท่ี ๑ ระบุว่าอารามวิหารและการก่อตั้งสถาบัน การศกึ ษาทตี่ ดิ กบั เทวาลยั กอ่ สรา้ งโดยพระเจา้ ปรากรมพาหทุ ี่ ๖ เพอื่ เปน็ มาตาพลแี ละนอ้ มถวาย แก่พระเมธังกรมหาสามี๑๓๕ พระมหาสามีรูปน้ีเช่ือว่ามีชีวิตอยู่ประมาณพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ คัมภีร์วิมุกติสังครหยะซ่ึงแต่งในปีที่ ๑๘ ในรัชสมัยของพระเจ้าวิกรมพาหุที่ ๓ แห่งอาณาจักร คัมโปละ ได้สรรเสริญความส�าเร็จแห่งวรรณคดีของพระมหาสามีรูปนี้ผู้เป็นสมภารเจ้าวัดที่ โตฏคามุวะ๑๓๖ เป็นท่ีทราบกันดีว่าวัดท่ีโตฏคามุวะอยู่ภายใต้การดูแลของพระศรีราหุลเถระ ผู้อ้างว่าสืบเช้ือสายมาจากส�านักอุตุรุมูละ การกล่าวถึงส�านักคลตุรุมูลปายะที่เมืองเดวินูวะระ เชอื่ วา่ นา่ จะเปน็ ศนู ยก์ ลางของพระสงฆอ์ กี แหง่ หนง่ึ ทแี่ ตกหนอ่ แยกออกจากสา� นกั คลตรุ มุ ลู ะ๑๓๗ งานวรรณกรรมหลายเล่มสมัยพุทธศตวรรษท่ี ๒๐ อ้างถึงสถาบันการศึกษาอีกแห่ง หนึ่งนามว่ามหาเนตปามูละ คัมภีร์จุลวงศ์ระบุว่าสถาบันการศึกษาแห่งน้ีมีก�าเนิดมาตั้งแต่ ยุคอนุราธปุระในพุทธศตวรรษที่ ๑๓๑๓๘ คัมภีร์ปูชาวลิยะอ้างว่าพระเจ้าวิชัยพาหุที่ ๔ โปรดให้ สรา้ งอารามแหง่ นบ้ี นยอดเขาวาตคริ ิ ปจั จบุ นั เรยี กวา่ วากริ คิ ละในเขตแคกลั ละ๑๓๙ เพอ่ื นอ้ มถวาย พระมหาเถระแห่งส�านักมหาเนตปามูละ พระมหาเถระรูปนี้พ�านักอยู่ท่ีมหาราชวิหารแห่งเมือง แดดิคามะ ด�ารงต�าแหน่งพระสังฆราชเป็นพระสงฆ์ผู้ทรงศีล ซ่ึงระบุไว้ในคัมภีร์วุตตมาลาสัน เดศสตกะ๑๔๐ คัมภีร์วฤตตมาลาของศรีรามจันทราภาวติเป็นโคลงสรรเสริญพระรัมมุงโกดะ ทปี งั กรเถระ ผรู้ ง้ั ตา� แหนง่ เจา้ สา� นกั มหาเนตปามลู ะ ประมาณตอนตน้ ของพทุ ธศตวรรษที่ ๒๐๑๔๑ คัมภีร์เล่มนี้ยังระบุอีกว่าท่านเป็นสมภารครองสองวัด กล่าวคือ รัมมุงโกดะวิหารและคลปาตะ วิหาร อีกทั้งยังรั้งต�าแหน่งเจ้าส�านักมหาเนตปามูละด้วย๑๔๒ ตัวท่านเองได้รับการอุปสมบท ภายใต้การดูแลของพระคลตุรุมูละมหาสามี พระพุทธธัตตเถระเห็นว่าพระทีปังกรเถระรูปน้ี เป็นรูปเดียวกันท่ีนิมนต์พระศรีราหุลเถระให้แต่งคัมภีร์ปาสาธนฎีกา๑๔๓
66 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ ความคิดเห็นเช่นน้ียังไม่มีเสียงสนับสนุน เพราะหลักฐานในคัมภีร์ปทสาธนฎีกา อ้างไว้ชัดเจนแล้วว่า พระศรีราหุลเถระสืบเช้ือสายมาจากตระกูลคันคตตันกรัมบวตัน และ เป็นเจ้าส�านักแห่งสับตรัตนประติราชปริเวณะแห่งหมู่บ้านเอรบัตโตฏะเมืองโกฏเฏ๑๔๔ ขณะท่ี พระทปี งั กรเถระเช่อื ว่าเป็นสมาชกิ ของครอบครวั วิกรมสงิ หะและเปน็ สมภารเจา้ สา� นักศรนี ิวาสะ ปริเวณะท่ีรัมมุงโกดะเมืองเกลาณียะ๑๔๕ คร้ันพระทีปังกรเถระมรณภาพลงต�าแหน่งสมภารเจ้า ส�านักได้รับการสืบต่อโดยพระวีทาคมะไมตรียเถระ คัมภีร์กวลกุณุมิณิมละซ่ึงเป็นคัมภีร์ กวีนิพนธ์ แต่งในปีที่ ๕๔ แห่งการครองราชย์ของพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๖ บอกว่าพระไมตรียเถระ ถือว่าตนเป็นมหาเนตปามูละมหาสามี๑๔๖ ท่านด�ารงต�าแหน่งสืบทอดเรื่อยมาจนถึงรัชสมัย กษัตริย์พระองค์ต่อมา คัมภีร์บุดุรุคุณาลังการยะ ซ่ึงเป็นผลงานของท่านอีกเล่มหนึ่ง แต่งขึ้น ในปีท่ี ๓ แห่งการครองราชย์ของพระเจ้าภูวเนกพาหุที่ ๖ ก็อ้างถึงต�าแหน่งน้ีเช่นกัน๑๔๗ เนื้อหา ในคัมภีร์อรัมแกเลสันนสะบอกว่ากษัตริย์พระองค์นี้ได้บันทึกการมอบถวายท่ีดินแด่พระมหา เนตปามูละมหาสามีด้วย๑๔๘ หลักฐานข้างต้นชี้บอกว่าพระเจ้าแผ่นดินทรงเลื่อมใสศรัทธา พระเถระรูปนี้ยิ่งนัก ซึ่งเป็นผู้ร้ังต�าแหน่งช้ันสูงเป็นท่ีเคารพสักการะของพระองค์ ส่วนส�านักเสเนวิรัตมูละมีกล่าวถึงครั้งแรกในจารึก ซ่ึงขุดพบท่ีส�านักเชตวันวิหารแห่ง เมืองอนุราธปุระ๑๔๙ จารกึ หลักนี้เขยี นขึ้นสมยั พระเจา้ มหินทะท่ี ๔ อธบิ ายไว้วา่ ส�านักแหง่ นีส้ งั กดั วัดเชตวันวิหาร อาจเป็นไปได้ว่าส�านักแห่งน้ีเป็นส�านักเดียวกันกับส�านักเสนาปติมูละที่อ้างถึง ในคัมภีร์วัตตมาลาสันเดศสตกะ๑๕๐ คัมภีร์จุลวงศ์ระบุถึงพระสงฆ์รูปหน่ึงนามว่าเสนานาถ ปริเวนตั เถระ ซงึ่ มชี วี ติ ในรัชสมยั ของพระเจา้ ปรากรมพาหุท่ี ๒๑๕๑ ไมม่ ีหลกั ฐานชช้ี ัดวา่ เสนานาถ ปริเวณะเป็นส�านักเดียวกันกับเสเนวิรัตมูละท่ีกล่าวไว้ในจารึก และเสนาปติมูละที่ระบุไว้ใน คัมภีร์วัตตมาลาสันเดศสตกะหรือไม่ หลักฐานชิ้นสุดท้ายที่กล่าวถึงพระมหาเถระแห่ง เสนาปตมิ ลู ะบอกวา่ ทา่ นเปน็ นกั บวชผศู้ รทั ธาและมเี มตตาคณุ ๑๕๒ แตไ่ มม่ หี ลกั ฐานดา้ นวรรณคดี หรือจารึกสมัยพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ท่ีอ้างถึงสถาบันแห่งน้ีเลย ส่วนพระบรมราชูทิศปัลกุมบุระ ซึ่งเป็นแผ่นทองแดงมอบถวายโดยพระเจ้าศรีวิกรมราชสิงหะ ผู้เป็นกษัตริย์พระองค์สุดท้าย แห่งอาณาจักรแคนดีระบุว่ามีพระเถระนามว่าเสเนวิรัตมูละมหาสามี๑๕๓ หากถือตามประวัติ การสืบทอดต�าแหน่งสมภารวัดปัลกุมบุรวิหารท่ีปรากฏตามหลักฐาน ก็หมายถึงพระเถระผู้ใหญ่ ที่มีชีวิตอยู่สมัยพระเจ้านามว่าภูวเนกพาหุ คอร์ดิงตันบอกว่ากษัตริย์พระองค์นี้คือพระเจ้า ภูวเนกพาหุแห่งอาณาจักรโกฏเฏ๑๕๔ เพราะวันท่ีมอบถวายตรงกับปีศักราช ๑๔๔๖ การพิสูจน์ เช่นน้สี ามารถยอมรับได้ พระเถระผ้ใู หญ่ท่กี ล่าวถึงในหลกั ฐานเปน็ ท่รี จู้ กั กันดีในนามภวู เนกพาหุ เพราะท่านเป็นน้องชายของกษัตริย์ พระบรมราชูทิศระบุเพิ่มเติมว่าในวันสวรรคตของพระเจ้า
เร่ืองราวของคณะสงฆ์ 67 แผ่นดินตัวท่านพร้อมน้องชายหลายคนได้อพยพเข้าไปสู่ดินแดนภูเขาสูง แล้วก่อร่างสร้างฐาน อยู่ที่อุรุลาวัตตะในอุฑุนวะระตอนกลางของประเทศ ต้ังแต่นี้เป็นต้นไปส�านักเสเนวิรัตมูละไม่มี การกล่าวถึงอีกเลย คณะในหมู่สงฆ์ ยังมีคณะสงฆ์อีกกลุ่มหน่ึงเรียกตัวเองว่าคณะ ความหมายที่ถูกต้องแน่นอนยังไม่เป็น ที่รู้จัก ก�าเนิดของศัพท์ว่าคณะใช้ระบุถึงกลุ่มของพระสงฆ์ที่อาศัยอยู่ร่วมกัน ศัพท์เกี่ยวข้อง กับคณโภชนะ (จ�านวนพระสงฆ์ท่ีฉันเป็นหมู่คณะ) มีกล่าวถึงเจ็ดครั้งตามหลักฐาน๑๕๕ ย้อนหลัง ไปสมัยอนุราธปุระ หลักฐานในคัมภีร์อรรถกถาหลายเล่มกล่าวไว้ว่าเป็นประเพณีของพระสงฆ์ ผู้ท�าหน้าที่สวดพระสูตรเป็นคณะ การสวดเช่นนี้เรียกว่าคณสัชฌายนา๑๕๖ วิธีสวดแบบน้ียังมี การรักษาสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะพิธีสวดพระปริตร นอกจากนั้นคัมภีร์วิสุทธิมรรค ยังระบุว่ามีกลุ่มของพระสงฆ์ผู้เช่ียวชาญเป็นกรณีพิเศษเกี่ยวกับสาขาของพระธรรมวินัย ตัวอย่างเช่นสุตตันติกคณะ๑๕๗ หมายความว่าเป็นกลุ่มหรือคณะของพระสงฆ์ผู้เช่ียวชาญ เฉพาะพระสุตตันตปิฎก หรืออภิธรรมิกคณะหมายถึงผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านอภิธรรม๑๕๘ หากมองเรื่องโครงสร้างของพระสงฆ์ศัพท์ว่าคณะปรากฏเห็นในคัมภีร์สารัตถทีปนี คัมภีร์ธรรมอปรทีปิกา คัมภีร์ปูชาวลิยะ และคัมภีร์สัทธรรมาลังการยะ๑๕๙ คัมภีร์เหล่าน้ันไม่ได้ กล่าวถึงความเข้มแข็งหรือรูปแบบของคณะแต่อย่างใด ด้านคัมภีร์มหาวรรคและจุลวรรคช้ีให้ เห็นความเข้มแข็งของคณะมากมายจากสองเป็นสาม จากห้าเป็นสิบ และอาจมากกว่าน้ัน๑๖๐ คัมภีร์จุลวงศ์ช้ีบอกถึงการรวมตัวกันแบบเด่ียวหรือเป็นคณะ ซ่ึงอาศัยอยู่รวมกันภายในวัด พระภิกษุท่ีรวมตัวกันเป็นกลุ่มเรียกว่าคณวาสิโน๑๖๑ จากหลักฐานส่วนนี้ไกเกอร์ต้ังข้อสังเกตว่า ศัพท์คณะแสดงถึงภิกษุผู้อยู่อาศัยด้วยกันภายในอารามวิหาร เพื่อท�าสังฆกรรมเช่นกลุ่มหนึ่ง กลุ่มใด๑๖๒ คัมภีร์สัทธรรมรัตนาวลี ซ่ึงแต่งเป็นกลอนภาษาสิงหลสมัยอาณาจักรดัมพเดณิยะ ก็มีเน้ือหากล่าวถึงคณะ หมายถึงกลุ่มของพระภิกษุผู้อาศัยในอาวาสเดียวกัน๑๖๓ นอกจากนี้ คัมภีร์เล่มน้ียังใช้ศัพท์คณะบ่งถึงวิหารในอรรถาธิบายอื่นด้วย๑๖๔ สถานภาพของคณะมีความแตกต่างอย่างมากกับสมัยโปโฬนนารุวะ เพราะมีกลุ่มหรือ คณะของพระสงฆ์ถึง ๗ กลุ่ม แต่ละกลุ่มมีพระหัวหน้าช้ันมหาเถระ กษัตริย์บางพระองค์ มอบถวายภาษีแก่คณะเหล่าน้ีเพ่ือเป็นค่าบ�ารุงรักษา จารึกแห่งหนึ่งบันทึกว่าสมัยของพระนาง กัลยาณวดีเทวี เสนาบดีนามว่าปิริวตุพิมวิชยานาวันและภริยาได้ถวายภัตตาหารและจีวรแก่
68 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ พระสงฆ์แห่งวัดรุวันแวลิในเมืองอนุราธปุระ มีพระเถระแห่งคณะท้ังเจ็ดรับมอบ๑๖๕ ปรณวิตานะ ตั้งข้อสังเกตว่าสมัยอาณาจักรโปโฬนนารุวะคณะสงฆ์ลังกาได้แบ่งออกเป็น ๗ คณะ๑๖๖ แต่การ กล่าวอ้างเช่นนี้ไม่มีข้อมูลยืนยันว่าคณะท้ังเจ็ดระบุไว้ที่แห่งใด ส่วนคัมภีร์นิกายสังครหยะอ้างถึง วิยัตปัตอฏคณยะว่าเป็นสถาบันการศึกษาท่ีพระเจ้าปรากรมพาหุโปรดให้บูรณปฏิสังขรณ์๑๖๗ บทนา� หนังสอื อนาคตวงั สยะของพระเมธานันทเถระบอกวา่ คณะทง้ั ๘ ทีก่ ล่าวถงึ ในคมั ภรี น์ กิ าย สังครหยะ ได้แก่ อุตตระ เสนาปติ ทักขิณะ มหาเนตตัปปสาทะ เสลันตระ สโรคคามะ คณะสงฆ์ฝ่ายวนวาสี๑๖๘ และฝ่ายคามวาสี น้ีเป็นความเห็นของพระพุทธทัตตเถระ๑๖๙ สมควรกล่าวตรงนี้ว่าข้อมูลอ้างอิงเก่ียวกับคณะในคัมภีร์นิกายสังครหยะเกิดมีข้ึน เพราะเก่ียวข้องกับกลไกการบริหารของพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๑ ส่วนอริยปาละเห็นว่าศัพท์น้ี หมายถึงกลุ่มฆราวาสผู้ท�าหน้าที่ดูแลพระมหากษัตริย์๑๗๐ คอร์ดิงตันตีความว่าเป็นแผนกหน่ึง ของกองทัพ เช่นกลุ่มทหารทั้งแปดผู้เช่ียวชาญในการรบด้วยเท้า๑๗๑ ส่วนคุณวรรธนะเห็นว่า วิยัตปัตอฏคณยะในคัมภีร์นิกายสังครหยะอาจเป็นกลุ่มของพระนักปราชญ์ผู้คงแก่เรียน แปดรูป หรือกลุ่มท้ังแปดของผู้คงแก่เรียน ซ่ึงรับใช้ใกล้ชิดพระมหากษัตริย์ในท้องพระโรง๑๗๒ ส่วนปรณวิตานะตีความว่าหมายถึงความเหมือนกันของการรวมตัวกันท้ังแปดของผู้ถึง ซึ่งศาสตร์๑๗๓ และอธิบายเพิ่มเติมว่าวิยัญญาหมายถึงการท�างานอันเดียวกัน๑๗๔ อาจจะเป็น ตัวแทนของคณะผู้เช่ียวชาญท้ังแปดในหลากหลายความรู้ ค�าว่าเคเนหิที่ปรากฏในจารึก รุวันแวฬิแสยะแห่งกัลยาณวดีและวิยัตปัตอฏคณยะ ส่วนคัมภีร์นิกายสังครหยะไม่ได้กล่าวถึง แม้ส�านักเดียว จารึกอลุตนูวะระระบุถึงคณะทั้งเจ็ดเช่นกัน๑๗๕ ปรณวิตานะต้ังข้อสังเกตอีกว่า ส�านักทั้งเจ็ดท่ีบันทึกในจารึกกัลยาณีอาจจะมีการสืบต่อจนถึงพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ดัมพเดณิ กติกาวัตรบัญญัติเป็นกฏว่าส�าหรับพิธีอุปสมบทกรรมนั้นจ�าต้องมีการอ่านกติกาวัตรท่ามกลาง หมู่สงฆ์ของคณะก่อนที่จะยอมรับนาคเป็นพระภิกษุ๑๗๖ และย้�าว่าพระภิกษุผู้สังกัดแต่ละคณะ ควรเข้าไปหาอุปัชฌาย์และอาจารย์เพื่อร่วมสังฆกรรมอุโบสถเดียวกัน หลักฐานส่วนนี้ตีความ ได้ว่าวัดหนึ่งต้องมีมากมายหลายคณะ และพระสงฆ์สมัยพุทธศตวรรษท่ี ๑๘ น่าจะแยกออก เป็นคณะ แต่น่าเสียดายกติกาวัตรไม่ได้ระบุถึงจ�านวนคณะเลย คัมภีร์สัทธรรมรัตนากรยะระบุว่าพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๖ ได้ถวายอัฏฐบริขารแก่ พระสงฆ์ผู้เป็นกลุ่มแห่งคณปรธานัส หรือผู้เป็นหัวหน้าแห่งคณะ๑๗๗ และสมัยของพระองค์ สมภารเจ้าอาวาสวัดเกลาณียะร้ังต�าแหน่งคณะนายกะ๑๗๘ นอกจากนั้นช่ือของพระเถระยังระบุ ในจารึกราชมหาเกลาณียะว่าเคเณหินายกะ ซ่ึงมีความหมายเดียวกัน๑๗๙ แต่ไม่สามารถช้ี ให้ชัดเจนว่าต�าแหน่งนี้ใช้บ่งถึงสมภารเจ้าอาวาสหรือหัวหน้าคณะ ส่วนจารึกอลุตนูวะระเดวา
เร่ืองราวของคณะสงฆ์ 69 เลกรวีมะระบุว่า มีผู้สืบทอดคณะถึง ๑๓ รูป ในฐานะเป็นเจ้าอาวาสวัดเชื่อมติดกับเทวาลัย ของเทพอุบลวันแห่งเมืองอลุตนูวะระ๑๘๐ คัมภีร์ราชาวลิยะใช้ศัพท์คณะหลายคร้ัง เพื่อบ่งถึง การพ�านักพักอาศัยของพระสงฆ์ ตัวอย่างเช่น พระวีทาคมะมหาสามีปกป้องเจ้าชายปรากรม โดยให้อาศัยในคณะปันติยะ หรือท่ีอยู่ของภิกษุ๑๘๑ อีกครั้งหน่ึงระบุว่าพระเจ้ามายาดุนเนและ พระอนุชาได้หลบภัยอาศัยคณะปันติยะ เพ่ือหลบหลีกความโหดร้ายของพระราชบิดานามว่า วิชัยพาหุที่ ๖๑๘๒ แต่ศัพท์ว่าคณะยังไม่เป็นท่ีชัดเจนว่าใช้เพ่ือบ่งถึงคณะสงฆ์ท้ังหมดหรือไม่ ด้วยเหตุ น้ันข้อมูลหลักฐานเหล่านี้จึงไม่อาจสรุปความหมายของศัพท์น้ีได้ว่าสูญหายหรือไม่ แม้ใช้มา ต้ังแต่สมัยอาณาจักรอนุราธปุระ ยุคนี้ยังมีใช้กันอยู่โดยบ่งถึงกลุ่มของพระสงฆ์ผู้เชี่ยวชาญ พระไตรปิฎกเฉพาะด้าน ดังเช่น วิชัยพาหุปรเิ วณะแหง่ หมู่บ้านโตฏคามุวะมกี ลมุ่ พระสงฆซ์ ง่ึ เป็น ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะพระไตรปิฎกแต่ละปิฎก เช่น พระสูตร พระวินัย และพระอภิธรรม๑๘๓ ส�าหรับ คัมภีร์สัทธรรมรัตนากรยะได้รวบรวมรายละเอียดงานด้านศาสนาและวรรณกรรมของพระสงฆ์ ผู้สืบทอดพระธรรมกีรติเถระแห่งส�านักปลาพัตคะละ๑๘๔ ผู้เขียนเชื่อว่าพระธรรมทินนวิมลกีรติ เถระเป็นสมาชิกรุ่นที่ ๓ มีผลงานด้านวรรณคดีอันโดดเด่น นอกจากพระธรรมทินนวิมลกีรติ เถระแล้ว ยุคน้ียังมีพระสงฆ์ที่โดดเด่นอีกหลายรูป มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระสังฆราชแห่ง ศตวรรษก่อนนั้น การพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างลูกศิษย์กับอาจารย์ กลายเป็นลักษณะ พิเศษมิใช่เกิดมีเฉพาะภายในวัดเท่านั้นแต่สามารถพบเห็นในวรรณกรรมด้วย พัฒนาการแห่งธรรมกีรติวงศ์ บรรดานามที่เอ่ยถึงเบื้องต้น พระวิมลกีรติเถระเป็นสมาชิกรุ่นที่สามท่ีสืบทอดมาจาก พระธรรมกรี ตเิ ถระ ผสู้ บื เชอื้ สายมาจากสา� นกั ปลาพตั คะละวนวาสอี กี ทอดหนงึ่ หมายถงึ สบื ทอด ด้วยผลงานด้านวรรณคดี การมอบถวายท่ีอยู่เพื่อพระสงฆ์ฝ่ายวนวาสีภายใต้การน�าของ พระเถระนามว่าธรรมกีรติมีกล่าวถึงในคัมภีร์จุลวงศ์และคัมภีร์ปูชาวลิยะ๑๘๕ หลักฐานท้ังสอง แห่งกล่าวว่าพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๒ โปรดให้จัดแจงเสนาสนะส�าหรับพระสงฆ์ผู้สละโลกออก ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน บริเวณส�านักปลาพัตคะละวนวาสี เหตุการณ์น้ีเกิดข้ึนภายหลัง การช�าระคณะสงฆ์ในปีพุทธศักราช ๑๗๙๓ ส่วนคัมภีร์จุลวงศ์อธิบายรายละเอียดอย่างประทับ ใจว่า เหตุการณ์น้ีเป็นงานเก่ียวกับพระศาสนารวมท้ังการช�าระคณะสงฆ์ มุดิยันเส๑๘๖ และ พระธรรมวิสุทธิเถระ๑๘๗ พยายามค้นหาสมาชิกของคณะสงฆ์ฝ่ายวนวาสีแห่งปลาพัตคะละ จนพบว่า พระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๒ ได้อาราธนาพระธรรมกีรติเถระแห่งตัมพรัฏฐะมาเผยแผ่
70 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ ศาสนาที่เกาะลังกา เพราะพระเถระมีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะผู้ทรงคุณธรรมช้ันสูง๑๘๘ มุดิยันเส และพระธรรมวิสุทธิเถระต่างแสดงความเห็นว่าหลังจากพระสังฆราชพระองค์น้ีแล้ว พระสงฆ์ ส�านักปลาพัตคะละเป็นท่ีรู้จักกันในชื่อว่าธรรมกีรติ พระสงฆ์ผู้สืบสายต่อจากพระสังฆราช นักปราชญ์รูปน้ีได้แยกตัวจากส�านักและผลิตงานวรรณกรรมช้ันเลิศมากมายสมัยกลาง สมาชิกท่านแรกของส�านักปลาพัตคละวนวาสีท่ีสร้างผลงานอันทรงคุณค่าในวง วรรณกรรมคือพระสีลวังสธรรมกีรติเถระ คัมภีร์สัทธรรมรัตนากรยะบอกว่าพระเถระรูปน้ี สบื สายมาจากพระสงฆแ์ หง่ สา� นกั มหาวหิ าร ซง่ึ เดมิ เปน็ อทุ ยานมหาเมฆวนั กลางเมอื งอนรุ าธปรุ ะ๑๘๙ พระสลี วงั สธรรมกรี ตเิ ถระเปน็ พระเถระรปู แรกทสี่ บื สายมาจากพระธรรมกรี ตเิ ถระผรู้ ง้ั ตา� แหนง่ มาหมิ ิ ทา่ นเปน็ ลกู หลานของตระกลู คณแวส๑ิ ๙๐ และทา� หนา้ ทร่ี บั ผดิ ชอบศาสนสถานทงั้ ในอนิ เดยี และศรีลังกา๑๙๑ คัมภีร์สัทธรรมรัตนากรยะไม่ได้ระบุถึงระยะเวลาของท่าน แต่หากถือเอา ตามหลักฐานในจารึกคฑลาเดณิยะย่อมทราบว่าตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าภูวเนกพาหุที่ ๔ เหตุนั้นท่านจึงมีชีวิตอยู่ตอนต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙๑๙๒ หลักฐานอีกแห่งหน่ึงบอกว่ามาหิมิเป็น ชื่อของพระธรรมกีรติเถระผู้สืบสายมาจากตระกูลคณแวสิ ท�าหน้าที่ดูแลรับผิดชอบการสร้าง และบูรณะศาสนสถานในอินเดียและลังกา การท่ีท่านก�าเนิดมาจากตระกูลคณแวสิพิสูจน์ถึง สมณศักด์ิท่ีระบุไว้ในคัมภีร์สัทธรรมรัตนากรยะว่าท้ังสองรูปเป็นคนเดียวกัน หลักฐานตาม คัมภีร์บอกว่าท่านแต่งกวีภาษาบาลี ๒ เล่ม ชื่อว่าปารมีมหาสตกะและชนานุราคจริตะ๑๙๓ คัมภีร์สัทธรรมรัตนากรยะและคัมภีร์สัทธรรมาลังการยะของพระเทวรักษิตชัยพาหุ ซ่ึงเป็นศิษย์ของท่านผู้อาศัยอยู่ท่ีมาลตีมาลเสลวิหารแห่งเมืองคังคาสิริปุระ (หรือคัมโปละ) บอกว่าพระมาหิมิแต่งกวีภาษาบาลีชื่อว่าสุชนัปปสาทะ๑๙๔ ตอนหนึ่งของบทส่งท้ายในงานเขียน ของพระมาหิมิธรรมกีรติช่ือว่าปารมีมหาสตกะบอกว่า ท่านอาศัยอยู่เกาะลังกาซึ่งปกครองโดย กษัตริย์พระนามว่าวิชัยพาหุ ผู้เป็นแสงสว่างแก่ชาวโลกและเป็นที่พ่ึงของพระศาสนา๑๙๕ กษัตริย์ พระองค์น้ียืนยันว่ามีชื่อเดียวกันถึงห้าพระองค์๑๙๖ แต่ผู้สืบทอดมีพระนามเดียวว่าพระเจ้า ภูวเนกพาหุท่ี ๔ อาจารย์ของพระวิมลกีรติเถระนามว่าพระเทวรักษิตะชัยพาหุเถระ เป็นสมาชิก รุ่นที่สองท่ีสืบสายมาจากพระมาหิมิธรรมกีรติเถระ๑๙๗ ท่านแต่งคัมภีร์นิกายสังครหยะ คัมภีร์ สทั ธรรมาลงั การยะ คมั ภรี พ์ าลาวตาร คมั ภีรส์ งั เขปสันนยะ และคัมภีร์ชนิ โพธาวาล๑ี ๙๘ เน้ือความ จากคมั ภรี ส์ ทั ธรรมาลงั การยะและคมั ภรี น์ กิ ายสงั ครหยะยนื ยนั วา่ ทา่ นดา� รงตา� แหนง่ สงั ฆราช๑๙๙ คัมภีร์สัทธรรมรัตนากรยะระบุว่าพระเทวรักษิตชัยพาหุเถระหรืออีกชื่อหนึ่งว่าธรรมกีรติเถระท่ี ๒ เปน็ ผสู้ บื สายมาจากมหาแดดลยิ ะวงั สะ และคณะสงฆม์ มี ตเิ หน็ ชอบแตง่ ตง้ั ใหท้ า่ นรงั้ ตา� แหนง่ ภายใต้การยอมรับของเสนาบดีวีรพาหุแอทิปาทะ๒๐๐
เรื่องราวของคณะสงฆ์ 71 พระสงฆ์รูปสุดท้ายซ่ึงเป็นสมาชิกสืบทอดมาจากพระธรรมกีรติเถระคือพระธรรม ทินนวิมลกีรติเถระ ซ่ึงเป็นผู้แต่งคัมภีร์สัทธรรมรัตนากรยะ บรรดานักเขียนของศรีลังกา ยุคกลางนั้น พระธรรมทินนวิมลกีรติเถระมีเอกลักษณ์โดดเด่นกว่าใคร เพราะท่านเป็นนักเขียน เชิงกาพย์กลอนผู้เดียวท่ีมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว๒๐๑ พระเถระรูปนี้เป็นศิษย์ของพระเทวรักษิตชัย พาหุเถระธรรมกีรติที่ ๓ คัมภีร์โกกิลาสันเดศยะ ซ่ึงเป็นคัมภีร์ฉันท์ภาษาสิงหลแต่งในรัชสมัย ของพระจ้าปรากรมพาหุท่ี ๖ ระบุว่าท่านด�ารงต�าแหน่งมาหิมิธรรมกีรติและพ�านักพักอาศัยท่ี โปโหยเกวิหารเมืองโกฏเฏ๒๐๒ นักเขียนยุคเดียวกันยืนยันว่าท่านคือพระเทวรักษิตชัยพาหุ เถระ๒๐๓ คัมภีร์โกกิลสันเดศยะบอกว่าท่านมีชีวิตอยู่ประมาณพุทธศักราช ๒๐๐๐-๒๐๐๓๒๐๔ แต่หลักฐานอีกแห่งหน่ึงบอกว่าพระชัยพาหุเถระด�ารงต�าแหน่งมาหิมิเมื่อปีพุทธศักราช ๑๙๓๙ เม่ือการสังคายนาพระศาสนาเสร็จสิ้นแล้ว ซ่ึงคร้ังน้ันท่านรับหน้าที่เป็นประธานสงฆ์ ตรงกับ รัชสมัยของพระเจ้าภูวเนกพาหุท่ี ๕๒๐๕ ด้วยหลักฐานเหล่านี้จึงสรุปได้ว่าเม่ือท่านรั้งต�าแหน่งมา หิมิคงเป็นพระเถระผู้ใหญ่ หลักฐานบางแห่งแย้งว่าท่านอาจจะมีชีวิตอยู่สมัยเดียวกันกับคัมภีร์ โกกิลสันเดศยะ คาดเดาเอาว่าประมาณ ๗๐ ปี หลังจากวันที่ท่านด�ารงต�าแหน่งมาหิมิแล้ว จึงเป็นไปได้ว่าพระมาหิมิธรรมกีรติท่ีกล่าวถึงในคัมภีร์โกกิลสันเดศยะคงไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็น พระสงฆส์ มาชกิ รปู สดุ ทา้ ยทสี่ บื สายมาจากพระธรรมกรี ตแิ หง่ สา� นกั ปลาพตั คะละวนวาสเี หมอื น พระธรรมทินนวิมลกีรติเถระ คัมภีร์สันเดศยะเพ่ิมเติมอีกว่าพระมาหิมิธรรมกีรติที่ ๓ สังกัด วัดวิมลกุละซ่ึงเป็นสาขาย่อยของตระกูลสุริยวงศ์๒๐๖ อิทธิพลวรรณะเหนือคณะสงฆ์ พระศรีราหุลเถระแห่งโตฏคามุวะอ้างไว้ในคัมภีร์ปทสาธนฎีกาว่าท่านเป็นหลานชาย ของพระเถระผู้ใหญ่นามว่าอุตุรุมูลราหุละ ซ่ึงสืบสายมาจากพระสารีบุตรมหาสามีแห่งยุค โปโฬนนารุวะ๒๐๗ นอกจากหลักฐานที่กล่าวถึงว่าท่านศรัทธาแน่วแน่ต่อเทพสกันดะแล้ว ข้อมูล เกี่ยวกับพระราหุละเถระแห่งส�านักอุตุรุมูละมีกล่าวถึงน้อยมาก การอ้างของพระศรีราหุลเถระ อาจจะพาดพิงถึงการสืบสายมาจากพระสารีบุตรเถระ ซึ่งรวมถึงพระสงฆ์นักปราชญ์นามอุโฆษ ช่ือวา่ สังฆรกั ขิตเถระแหง่ ยุคดัมพเดณยิ ะด้วย๒๐๘ ถงึ แม้จะไม่สามารถระบไุ ด้ชดั เจนเพราะอาศัย ศัพท์ว่านัตตาแปลว่าหลาน อันหมายถึงความสัมพันธ์เชิงอาจารย์กับลูกศิษย์ตามประเพณี ของคณะสงฆ์ยุคนั้น แต่ก็ถือว่าไม่สมเหตุสมผล และไม่มีหลักฐานส่วนใดในงานเขียนของ พระศรีราหุลเถระเองท่ีระบุถึงช่ืออาจารย์ แม้จะอ้างถึงความผูกพันฉันญาติกับพระราหุลแห่ง สา� นกั อตุ รุ มุ ลู ะกต็ าม๒๐๙เชอื่ กนั อกี วา่ พระศรรี าหลุ เถระเปน็ ศษิ ยข์ องพระวที าคมเถระ ผทู้ า� หนา้ ท่ี
72 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ สถาปนาพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๖ ให้ขึ้นครองราชย์เหนืออาณาจักรโกฏเฏ๒๑๐ พระพุทธทัตตเถระ ต้ังข้อสังเกตว่าพระวีทาคมเถระมิได้สืบเชื้อสายมาจากราชนิกูล ขณะที่พระศรีราหุลเถระเป็น สมาชิกของตระกูลกันดวุรุกุละ๒๑๑ ซ่ึงเก่ียวข้องกับราชนิกูลเหตุเพราะท่านมักอ้างช่ือครูของครู กล่าวคือพระราหุลแห่งส�านักอุตุรุมูละ ซึ่งท่านเองเป็นสมาชิกของตระกูลน้ัน๒๑๒ ไม่มีหลักฐานแห่งใดระบุว่าพระวีทาคมะเป็นศิษย์ของ พระราหุลแห่งส�านักอุตุรุมูละ และไม่มีหลักฐานระบุว่าท่านเกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลดังกล่าว จึงไม่สามารถทราบได้ว่า พระราหุลเถระแห่งส�านักอุตุรุมูละเป็นสมาชิกของตระกูลกันดวุรุกุละจริงหรือไม่ คัมภีร์ กันดวุรุสิริตะ ซึ่งเป็นหนังสือกวีนิพนธ์ภาษาสิงหลแต่งสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๘ กล่าวถึงหมู่บ้าน แห่งหนึ่งนามว่ากันดวุรุปุระในยุคดัมพเดณิยะ๒๑๓ แต่ก็ไม่ทราบว่าหลักฐานตรงน้ีมีความ เกี่ยวข้องกับตระกูลกันดุวุรกุละหรือไม่ และมีความเกี่ยวข้องกับเทพสกันดะหรือไม่ เพราะ เทวาลัยของเทพสกันดะต้ังอยู่ท่ีเมืองกตรคามะ ประมาณ ๑๕๐ ไมล์ทางตอนใต้ของ เมืองดมั พเดณยิ ะ๒๑๔ พระราหุลทัง้ สองรปู ตามทก่ี ลา่ วถงึ เบอ้ื งตน้ ลว้ นเปน็ ผศู้ รทั ธาตอ่ เทพสกนั ดะ หากคาดเดาเอาว่าเทพองค์นี้มีความเกี่ยวข้องกับก�าเนิดตระกูลกันดวุรุกุละ ก็หมายความว่า พระราหุลเถระท้ังสองรูปเป็นสมาชิกของตระกูลน้ี แต่การสรุปดังกล่าวเป็นเพียงการคาดคะเน เท่าน้ัน คัมภีร์คุตติลกาวยยะซึ่งเป็นหน่ึงในหนังสือกวีนิพนธ์อันลือนามสมัยอาณาจักรโกฏเฏ แต่งโดยพระแวตแตเวเถระผู้เป็นศิษย์ของพระศรีราหุลเถระ๒๑๕ กล่าวกันว่าพระเถระได้ออก จากส�านักเพราะครูของท่านไม่เอาใจใส่ดูแล ท่านแต่งคัมภีร์เล่มนี้เพ่ือต้องการบอกให้รู้ถึงความ ชว่ั รา้ ยทบ่ี งั เกดิ กบั ศษิ ยผ์ ไู้ มใ่ หค้ วามเคารพอาจารยแ์ หง่ ตน เรอื่ งนปี้ รากฏมใี นคตุ ตกิ ชาตกยะ๒๑๖ แต่ไม่มีหลักฐานในวรรณกรรมสมัยเดียวกันพาดพิงถึงเรื่องเช่นน้ี มีพระเถระรูปหนึ่งนามว่า สุมังคละเป็นผู้แปลถอดความคัมภีร์ภักติศาตกะของรามจันทรภารติเป็นภาษาสิงหล ท่านบอก วา่ เป็นศษิ ยข์ องพระศรรี าหลุ เถระแหง่ โตฏคามุวะเชน่ กนั ๒๑๗ แตไ่ มม่ หี ลกั ฐานชบ้ี อกวา่ เคยศกึ ษา เล่าเรียนท่ีวิชัยพาหุปริเวณะแห่งโตฏคามุวของพระศรีราหุลเถระ อาจเป็นไปได้ว่าท่านเป็นศิษย์ ของพระเถระผู้ใหญ่ซึ่งสืบสายมาจากอารามวิหารแห่งน้ี จารึกแปปิลิยานะหลักที่ ๑ ระบุว่า พระมังคลเถรสามีเจ้าส�านักแห่งสุเนตราเทวีปริเวณะแห่งแปปิลิยานะ เป็นศิษย์ของพระเถระ ผู้ใหญ่นามว่าเมธังกรมหาเถรสามีแห่งคลตุรุมูละ๒๑๘ พระบรมราชูทิศมหาสามันเทวาลัยก็ระบุ ว่าพระมหากษัตริย์ได้น้อมถวายวัดที่เชื่อมติดกับเทวาลัยแด่พระมังคลเถรสามี ซ่ึงเป็นศิษย์ ผู้ใหญ่ของพระเมธังกรเถระแห่งส�านักคลตุรุมูละ๒๑๙ ลูกศิษย์อีกท่านหน่ึงของพระเถระรูปน้ี
เรื่องราวของคณะสงฆ์ 73 นามว่ารัมมุงโกดะทีปังกรเถระ เป็นที่เคารพเชิดชูของรามจันทรภารติ๒๒๐ ไม่มีหลักฐานส่วนใด ระบุถึงระยะเวลาการมีชีวิตอยู่ของพระเมธังกรเถระ คัมภีร์วิมุกติสังครหวะ ซึ่งเป็นงานเขียน เชิงกวีแต่งในรัชสมัยของพระเจ้าวิกรมพาหุที่ ๓๒๒๑ บอกว่าพระคลตุรุมูลมหาสามีมีศิษย์อีกรูป หนึ่งนามว่าพระวิลคัมมูลเถระ ซ่ึงสรรเสริญความชาญฉลาดของอาจารย์แห่งตน๒๒๒ นักวิชาการบางท่านเช่ือว่าพระคลตุรุมูละเถระที่อ้างถึงในคัมภีร์วิมุกติสังครหวะเป็น พระเถระผู้ใหญ่ท่ีกล่าวถึงในจารึกแปปิลิยานะหลักท่ี ๑ และพระบรมราชูทิศมหาสามัน เทวาลัย๒๒๓ หากยืนยันว่าพระวิลกัมมูลเถระเป็นรูปเดียวกันกับพระมหาสามี ซ่ึงมีชื่ออ้างถึง ในจารึกกิตสิริเมวันเกลาณีแล้วไชร้ พระมหาสามีคลตุรุมูลเถระน่าจะมีชีวิตอยู่ตอนต้น พุทธศตวรรษท่ี ๑๙ หลักฐานจากจารึกจะเห็นว่าพระมหาสามีวิลคัมมูละมีชีวิตอยู่ประมาณ พุทธศักราช ๑๘๘๗ แต่วรรณกรรมสมัยพุทธศตวรรษท่ี ๒๐ ไม่มีเอ่ยถึงพระวิลคัมมูละเลย จึงพอสรุปได้ว่าพระมหาสามีคลตุรุมูละที่กล่าวถึงในคัมภีร์วิมุกติสังครหวะน่าจะมีชีวิตก่อน พุทธศักราช ๑๘๘๗ เพราะหลักฐานในจารึกกิตสิริเมวันเกลาณีกล่าวไว้ชัดเจนว่าพระวิลคัมมูล เถระซ่ึงศิษย์ของท่านรั้งต�าแหน่งมหาสามีประมาณพุทธศักราช ๑๘๘๗ หากคาดเดาตาม หลักฐานนี้ย่อมเป็นเร่ืองยากท่ีจะตัดสินว่าพระเมธังกรมหาสามีที่อ้างถึงในจารึกแปปิลิยานะ หลักที่ ๑ และพระบรมราชูทิศมหาสามันเทวาลัยเป็นคนละรูปกับพระมหาสามีคลตุรุมูละ กล่าวกันว่าเจ้าส�านักแห่งติลกปิริเวณะแห่งเมืองเดวินูวะระสังกัดส�านักคลตุรุมูละ๒๒๔ แต่ไม่ว่า ท่านจะเป็นศิษย์ของพระคลตุรุมูละเมธังกรเถระซ่ึงสืบต่อจากอาจารย์หรือไม่ ความจริงย่อม ปรากฏว่าพระเมธังกรเถระมีลูกศิษย์เป็นจ�านวนมาก ซึ่งต่างรั้งต�าแหน่งส�าคัญทางคณะสงฆ์ และการศึกษาในรัชสมัยของพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๖ พระเถระผู้ใหญ่ของคณะสงฆ์ยุคนี้ต่างระบุถึงตระกูลท่ีตนเกี่ยวข้องกับสถาบันทาง ศาสนาหรือการสืบสายต่อกันมา พระวินัยบอกว่าพระสงฆ์ต้องดูแลบิดามารดา๒๒๕ แต่ไม่มี ประเพณีของพระสงฆ์ผู้สืบสายต้องบอกวรรณะหรือตระกูลแห่งตนหลังจากเข้าสู่หมู่คณะแล้ว ความจริงแล้วทุกรูปจ�าต้องละท้ิงทุกสิ่งอย่าง พระพุทธพจน์ในปหาราทสูตรระบุว่า เหมือนด่ัง มหานที เช่น คังคา ยมุนา อจิรวดี สรภู และมหี เมื่อมารวมกันแล้วไหลลงสู่ทะเลหลวง ย่อมละท้ิงช่ือเก่าก่อน ทุกส่ิงอย่างล้วนเป็นมหาสมุทร แม้แต่วรรณะ ๔ กล่าวคือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ และศูทร เม่ือออกบวชจากเรือนไม่เก่ียวข้องด้วยเรือนแล้ว เข้าสู่พระธรรมวินัย อันตถาคตประกาศดีแล้ว ย่อมละท้ิงช่ือและตระกูลท้ังหมด ทุกรูปล้วนเป็นมุนีผู้เป็นบุตร ของพระศากยะ๒๒๖ คัมภีร์มหาวงศ์ระบุว่าอารามส�าหรับผู้ออกบวชจากตระกูลสูงเรียกชื่อว่า
74 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ อิสสรมณกะ๒๒๗ ส่วนอารามส�าหรับคนออกบวชจากวรรณะแพศย์เรียกว่าเวสสคิริ๒๒๘ พระราหุล เถระเห็นว่าข้อมูลเหล่าน้ีบ่งชี้ถึงความโดดเด่นเร่ืองวรรณะและความแตกต่างทางชนชั้นของ คณะสงฆ์ยุคอนุราธปุระตอนตน้ ๒๒๙ แม้ไม่มหี ลกั ฐานยนื ยนั สมมตฐิ านดงั กล่าว แตก่ ็ปรากฏเหน็ ว่าเกิดมีความกระตือรือร้นสนับสนุนความเป็นญาติของพระสงฆ์ที่ตนให้ความเคารพ ดังเช่น พระเจ้ากัสสปะที่ ๕ โปรดให้ถวายข้าวและผ้าแก่บรรดาญาติของพระสงฆ์กลุ่มปังสุกุลิกะ๒๓๐ พระเจ้าวิชัยพาหุท่ี ๑ มอบถวายหมู่บ้านถาวรแก่ญาติของพระสงฆ์ผู้ประพฤติวัตร๒๓๑ ตัวอย่าง เหล่าน้ีอาจช้ีให้เห็นถึงการอนุญาตบุคคลเข้าสู่คณะสงฆ์กลายเป็นสัญลักษณ์ทางสังคมของ ครอบครวั พระสงฆด์ ว้ ย ประเพณดี งั กลา่ วกระทบตอ่ โครงสรา้ งคณะสงฆก์ ลายเปน็ ความลม้ เหลว ของพระสงฆ์อย่างส้ินเชิง ยุคดัมพเดณิยะได้มีการตรากฎเกณฑ์ใหม่ส�าหรับพระสงฆ์ โดยเฉพาะการอุปสมบท และการแต่งตั้งต�าแหน่งทางคณะสงฆ์ ดัมพเดณิกติกาวัตรย�้าว่าการตรวจสอบผู้เป็นสามเณร ต้องท�าด้วยความระมัดระวังย่ิง ผู้เหมาะสมด้วยนิสัยและพฤติกรรมเพ่ือส่วนรวมจึงสมควร ยอมรับ๒๓๒ รัมมันดละแสดงความเห็นว่าหลักฐานดังกล่าวแสดงให้เห็นชัดเจนว่าความแตกต่าง ดา้ นชนชน้ั วรรณะเปน็ เกณฑช์ วี้ ดั การเขา้ สคู่ ณะสงฆส์ มยั ดมั พเดณยิ ะ๒๓๓ ไมท่ ราบแนช่ ดั วา่ กตกิ า เช่นน้ีมีนัยส่อถึงอคติการรับสมาชิกใหม่เข้าคณะหรือไม่ แต่ศตวรรษต่อมาได้มีความพยายาม กระตุ้นให้ชนชั้นสูงออกบวชมากขึ้น คัมภีร์นิกายสังครหยะระบุว่าตอนปลายพุทธศตวรรษ ท่ี ๑๙ เสนาบดวี รี พาหแุ อทปิ าทะพยายามยกสถานภาพพระศาสนาหลายครง้ั โดยขอรอ้ งกลุ บตุ ร จากตระกูลสูงให้ออกบวชรวมทั้งบุตรชายแห่งตนด้วย๒๓๔ คัมภีร์จุลวงศ์และคัมภีร์ราชรัตนากรยะ ระบุว่า พระเจ้าเสนาสัมมตวิกรมพาหุได้ช�าระคณะสงฆ์ฟื้นฟูพระศาสนา โดยโปรดให้มีการ อุปสมบทแก่กุลบุตรจากตระกูลสูง ๓๕๐ คน๒๓๕ หลักฐานส่วนหนึ่งระบุว่ามีการอุปสมบทภาย ใต้ราชูปถัมภ์ถึง ๑๐ พระองค์ แสดงให้เห็นถึงความประนีประนอมของคณะสงฆ์ผ่านชนช้ัน วรรณะ คัมภีร์จุลวงศ์บอกว่าต้ังแต่พุทธศตวรรษที่ ๒๑ เร่ือยมา มีการคัดสรรบุคคลจากตระกูล สูงเข้าพิธีอุปสมบทอย่างเข้มงวด ตัวอย่างเช่นพระเจ้าวิมลธรรมสูริยะที่ ๑ โปรดให้มีการฟื้นฟู การอุปสมบทด้วยความช่วยเหลือของพระสงฆ์จากแคว้นยะไข่ คราวน้ันโปรดอนุญาตกุลบุตร จากตระกูลสูงออกบวชหลายท่าน๒๓๖ พระเจ้าวิมลธรรมสูริยะท่ี ๒ ก็เช่นเดียวกัน โปรดให้มีการ อุปสมบทแก่กุลบุตรจากตระกูลสูง ๓๓ คน๒๓๗
เรื่องราวของคณะสงฆ์ 75 กฎข้อหนึ่งของกติกาวัตรย�้าว่าผู้ได้รับการคัดเลือกเป็นเจ้าส�านักอายตนะควรเป็น ลูกหลานจากตระกูลสังคมุและคณแวสิ๒๓๘ แสดงให้เห็นว่าตระกูลเหล่าน้ีทรงอิทธิพลเหนือ กิจการพระศาสนา ปรณวิตานะช้ีว่าค�าว่าคมุในสังคมุบ่งถึงตระกูล ซ่ึงเป็นผู้เก็บภาษีแต่ก�าเนิด หรือเป็นผู้บริหารที่ดินหรือท่ีท�ากินของวัด และมีวัตรประเพณีเกี่ยวข้องกับพระสงฆ์ ตระกูลนี้ ต้องเป็นที่รู้จักกันดีมิใช่เฉพาะการบริหารจัดการวัดเท่าน้ัน แต่รวมถึงความต้องการของคณะสงฆ์ ด้วย๒๓๙ พระธรรมทินนวิมลกีรติเถระบันทึกความเหมือนของศัพท์สังคมุว่ามาจากภาษาบาลีว่า สังฆคามะ โดยเห็นว่าศัพท์น้ีอาจจะมีรากศัพท์มาจากอักษรว่า สังฆคาม-สังคัม-สังคม-สังคม๒ุ ๔๐ หากวิเคราะห์ศัพท์สังฆคามะว่าเป็นสังฆัสสคาโมก็สามารถแปลว่าหมู่บ้านของพระสงฆ์๒๔๑ หากถือเอาค�าแปลตามนี้ก็สรุปได้ว่าสังคมุบ่งถึงชนิดของหมู่บ้านหรือครอบครัว ซึ่งมีความ สมั พนั ธใ์ กลช้ ดิ กบั พระสงฆ์ คมั ภรี จ์ ลุ วงศอ์ ธบิ ายการรวบรวมคณะสงฆเ์ ปน็ หนง่ึ เดยี วในรชั สมยั ของพระเจา้ ปรากรมพาหทุ ่ี ๑ ไดร้ ะบถุ งึ ความไมน่ า่ ยนิ ดขี องคณะสงฆผ์ อู้ าศยั อยใู่ นสงั ฆคามะ๒๔๒ ต�านานกล่าวไว้ว่ามีหมู่บ้านมากมายหลายแห่งเช่นเดียวกันน้ี สังคมุวะเป็นหนึ่งในหมู่บ้าน เหล่าน้ัน๒๔๓ คราวเมื่อท�าข้อตกลงเร่ืองความสงบสุขพระเจ้าคชพาหุท่ี ๑ และพระเจ้าปรากรม พาหุท่ี ๑ ได้เลือกหมู่บ้านนามว่าสังฆคามะ หลักฐานส่วนน้ีไม่สามารถยืนยันว่าหมู่บ้านนี้มาจาก สังคมะ อาจเป็นเพียงสถานที่พบกันระหว่างกษัตริย์ท้ังสองพระองค์ก็เป็นได้ หลักฐานดังกล่าวข้างต้นสามารถต้ังข้อสังเกตได้ว่าหมู่บ้านเหล่าน้ีมีความคล้ายคลึง กันและน่าจะเกี่ยวข้องกับคณวาสีวงศ์หรือคณวาสิกุละ๒๔๔ ปรณวิตานะช้ีว่าคณะหมายถึง วัด ส่วนวาสีหมายถึงคนรับจ้าง๒๔๕คณแวสิยังสามารถแปลว่าเจ้าหน้าท่ีวัดก็ได้ ตระกูลดังกล่าว น่าจะถือก�าเนิดมาจากเจ้าหน้าที่ผู้บริหารดูแลวัด ซ่ึงทรงอิทธิพลสูงทางการเมืองและเกี่ยวข้อง สัมพันธ์กับราชวงศ์ด้วย ก�าเนิดของตระกูลคณแวสิมีความส�าคัญทางประวัติศาสตร์ระหว่าง พุทธศตวรรษที่ ๑๙๒๔๖ คัมภีร์สัทธรรมรัตนากรยะอธิบายรายละเอียดคล้ายคลึงกันว่า คณแวสิ เป็นอีกชื่อหน่ึงของตระกูลแลแมณิ ซึ่งบรรพบุรุษคือเจ้าชายสกุลศากยะนามว่าสุมิตตะและ โพธคิ ปุ ตะ ผตู้ ดิ ตามมากบั กง่ิ พระศรมี หาโพธโ์ิ ดยพระบญั ชาของพระเจา้ อโศกมหาราช๒๔๗ คมั ภรี ์ เล่มดังกล่าวยังระบุอีกว่าคณแวสิที่กล่าวถึงตามวงศ์เป็นช่ือส�าคัญย่ิง เรียกกันว่าแลแมณิ เนื่องจากเป็นผู้บริสุทธิ์ทั้งสองฝ่ายและมีการสืบสายมาหลายร้อยป๒ี ๔๘ แม้จะมีการตีความว่า ตระกูลแลแมณิสมัยพุทธศตวรรษท่ี ๑๙-๒๐ และตระกูลลัมพกรณะสมัยอนุราธปุระตอนต้น มีความเกี่ยวข้องเป็นพระญาติของพระเจ้าอโศกมหาราช แต่ปรณวิตานะตั้งข้อสังเกตว่าเป็น การตีความตามเร่ืองราวเท่าน้ัน๒๔๙
76 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ คัมภีร์จุลวงศ์ระบุว่าพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๑ มอบถวายหมู่บ้านหลายแห่งในโกฏฏ สาระแก่คณแวสิ๒๕๐ สิริมาวิกรมสิงหะเห็นว่าค�านี้ใช้ในกรณีเกี่ยวข้องกับทหารวฬัยก์การะ๒๕๑ ความหมายของคณแวสิที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ยังไม่ชัดเจน แต่บ่งถึงว่าเป็นพระภิกษุท่ีอยู่ในคณะ หรือผู้สืบสายมาจากตระกูลคณแวสิ ดังอ้างอิงไว้ในคัมภีร์ดฬดาสิริตะว่าตระกูลคณแวสิ เก่ียวข้องกับพิธีกรรมบูชาพระเข้ียวแก้ว๒๕๒ จารึกสคมะระบุว่าอลเกศวรท่ี ๓ มาจากตระกูล คณแวสิตามฝ่ายข้างมารดา๒๕๓ คัมภีร์สัทธรรมรัตนากรยะก็บอกว่าพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๖ สืบเชื้อสายมาจากตระกูลน้ีเช่นกัน๒๕๔ แม้จะมีหลักฐานทั้งสองแห่งให้สืบค้นก�าเนิดของตระกูล คณแวสิตั้งแต่ยุคอนุราธปุระ แต่คร้ันย่างเข้าสู่ยุคคัมโปละกลับไม่มีกษัตริย์สิงหลพระองค์ใด อ้างว่ามาจากตระกูลน้ีเลย แอลลวละอ้างจารึกสคมะและคัมภีร์สัทธรรมรัตนากรยะว่า ตระกูล คณแวสิอาจเป็นสาขาหน่ึงของไวศยวรรณะ๒๕๕ หลักฐานเบ้ืองต้นแสดงให้เห็นว่าสังคมุและ คณแวสิมิใช่เพียงตระกูลท่ีเก่ียวข้องใกล้ชิดกับการดูแลสมบัติวัดเท่าน้ัน แต่ยังเก่ียวพันกับ ราชวงศ์ผู้บริหารบ้านเมืองด้วย อาจเป็นไปได้ว่าหมู่บ้านท่ีครอบครัวเหล่าน้ีอาศัยอยู่ได้รับสิทธิ ดูแลตัวเอง จึงเรียกว่าสังคมุและคณแวสิ ดัมพเดณิกติกาวัตรย�้าว่า ผู้ได้รับการคัดเลือกให้ด�ารง ต�าแหน่งเจ้าส�านักอายตนะควรสืบสายมาจากตระกูลนี้ ชี้ให้เห็นว่าตระกูลน้ีทรงอิทธิพลต่อ คณะสงฆ์ยุคกลาง กติกาวัตรน่าจะเป็นสาเหตุให้เกิดความแตกต่างเร่ืองชนชั้นวรรณะภายใน คณะสงฆ์ยุคต่อมา โดยเฉพาะต�าแหน่งพระเถระผู้ใหญ่ ส�าหรับพระมาหิมิสีลวังสธรรมกีรติเถระเป็นพระสงฆ์รูปหน่ึงที่โดดเด่นสมัยพุทธ ศตวรรษที่ ๑๙ จารึกคฑลาเดณิยะบันทึกว่าท่านอ้างตนเองว่าสืบเช้ือสายมาจากตระกูล คณแวสิ๒๕๖ คัมภีร์สัทธรรมรัตนากรยะก็ระบุว่าพระมาหิมิเป็นลูกหลานของตระกูลดังกล่าว๒๕๗ พระมาหิมิและอนุชนรุ่นหลังชอบอ้างว่าตระกูลของตนได้รับสิทธิพิเศษจากดัมเดณิกติกาวัตร โดยให้ร้ังต�าแหน่งพระเถระผู้ใหญ่ ความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างพระสงฆ์กับญาติพ่ีน้องท�าให้ เกิดความยุ่งยากสับสนทางโครงสร้างของสังคม อย่างน้อยพระสงฆ์จากตระกูลช้ันสูงของสังคม ไม่หลงลืมสถานภาพแห่งตน พระเถระผู้ใหญ่หลายรูปสมัยนี้ไม่ลังเลท่ีจะอ้างความสัมพันธ์กับ ตระกูลที่ทรงอิทธิพลทางสังคม คัมภีร์สัทธรรมรัตนากรยะระบุว่าพระมาหิมิเทวรักษิตชัยพาหุ เถระธรรมกีรติท่ี ๒ เป็นตัวอย่างแห่งความรุ่งเรืองของตระกูลนามว่ามหาแดลิยะวังสะ๒๕๘ แม้จะมีหลักฐานกล่าวถึงตระกูลน้ีน้อยมาก คัมภีร์สัทธรรมรัตนากรยะยืนยันว่า พระเถระอาจ จะมีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับตระกูลเมเหณวรวังสะ ซ่ึงเป็นตระกูลของเสนาบดีเสนาลังกาธิการะ และวีรพาหุแอทิปาทะ พระศรีราหุลเถระแห่งโตฏคามุวะก็อ้างว่าตนสืบเช้ือสายมาจากตระกูล กัณดวุรุกุละแห่งเดมฏานคามะ๒๕๙ แม้เชื่อกันว่าบิดามารดาของพระศรีราหุลเถระคือพระเจ้า
เรื่องราวของคณะสงฆ์ 77 วิกรมพาหุผู้เป็นเจ้าชายแห่งกัณฑวุรุกุละซ่ึงถึงมรณกรรมก่อนกาล และพระนางสีลวตีผู้หลบ หนีภัยมาอาศัยโพธิสมภารของพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๖๒๖๐ น่าสนใจคืองานเขียนสมัยเดียวกัน ไม่มีกล่าวถึงเลย กล่าวถึงบ่อยครั้งเฉพาะงานเขียนของท่านเอง๒๖๑ หลักฐานบางแห่งบอกว่าพระศรีราหุลเถระได้รับการเล้ียงดูในฐานะพระราชบุตร บุญธรรมของพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๖ ส่วนจารึกกิตสิริเมวันเกลาณีวิหารบอกว่าพระมาหิมิ วิลกัมมูลเถระสืบเชื้อสายมาจากตระกูลนามว่าคังคตลันกรัมบวลัน๒๖๒ พระศรีราหุลเถระได้รับ การอาราธนาให้แต่งคัมภีร์ปทสาธนฏีกาโดยพระสงฆ์นามว่าทีปังกรแห่งตระกูลคังคตลัน กรัมบวลัน๒๖๓ ไม่มีข้อมูลกล่าวถึงตระกูลน้ีมากกว่านี้ บทส่งท้ายของคัมภีร์โกกิลสันเดศยะ ผู้เขียนเรียกตัวเองว่าอัญมณีเสี้ยวแห่งตระกูลอิรุกัล๒๖๔ การเขียนเช่นน้ันถือว่าเป็นเอกสารของ นักเขียนภาษาสิงหลรุ่นเก่าแต่บางครั้งยังปิดบังกันอยู่ งานแปลคัมภีร์สันเดศยะโดยใช้ศัพท์ อันเก่าแก่สมัยพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ได้ให้รายละเอียดว่าผู้แต่งเป็นทั้งพระสงฆ์และฆราวาส โดยระบุว่าผู้แต่งสังกัดตระกูลอิรุกัลกุละซ่ึงเก่ียวข้องกับราชวงศ์สิงหล พระมเหสีของพระเจ้า ปรากรมพาหุท่ี ๒ และของอลเกศวรท่ี ๓ ซ่ึงเป็นเสนาบดีผู้ทรงอิทธิพลสูงสุดของพระเจ้าวิกรม พาหุที่ ๓ ล้วนเป็นสมาชิกของตระกูลนี้๒๖๕ สมภารเจ้าอาวาสวัดเกลาณียะวิหารสมัยต้น พุทธศตวรรษท่ี ๒๐ สืบเช้ือสายมาจากตระกูลเอกนายกแห่งโกสคามะ๒๖๖ สมาชิกคนหนึ่งของ ตระกูลน้ีได้ร้ังต�าแหน่งซ่ึงทรงอิทธิพลสมัยพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๖๒๖๗ วรรณะกับมรดกของอารามวิหาร ตระกูลท่ีเก่ียวข้องกับคณะสงฆ์น�าไปสู่พัฒนาการแบบใหม่เรื่องทรัพย์สมบัติของสงฆ์ ยุคนี้มีกล่าวถึงพันธุปรัมปราหรือญาติศิษยาปรัมปรา หมายถึง การสืบทอดทางเครือญาติและ การสืบสายทางศิษย์ กล่าวคือการครอบครองความเป็นเจ้าของทรัพย์สินของพระสงฆ์ผ่านครู สู่ลูกศิษย์ โดยเฉพาะศิษย์ที่เป็นเครือญาติของอาจารย์ หลักฐานตั้งแต่ยุคแรกอธิบายถึงการรับ มรดกช่ัวคราวทางพระสงฆ์ปรากฏเห็นในจารึกกิตสิริเมวันเกลาณี (พ.ศ.๑๘๘๗)๒๖๘บทว่าด้วย พระมาหิมิวิลกัมมูละซึ่งอ้างว่าเป็นลูกหลานสืบต่อมาจากครอบครัวคังคตลันกรัมบวลัน ขณะท่ี อารามเป็นทรัพย์สินของครอบครัวตลอดเจ็ดชั่วอายุคน ย่ิงกว่านั้น ท่านยังเอ่ยถึงคตารปริเวนตานะ หรือสมภารแห่งคตาราปริเวณะ ในฐานะเป็นผู้สืบทอดต�าแหน่งของพันธุปรัมปรา คัมภีร์วุตตมา ลาสันเดศสตกะบอกว่าพระคตาราอุปตปัสสเถระเป็นหลานชายของพระสรสิคามมูลมหาสามี ผู้มีนามว่ามาหิมิแห่งวิลคัมมูละ๒๖๙ หลักฐานท้ังสองแห่งอ้างถึงบุคคลเดียวกัน แต่ไม่มีหลักฐาน
78 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ ยืนยันว่าพระคตาราอุปตปัสสิเถระสืบทอดต�าแหน่งมาจากลุงแห่งตน ผู้มีนามว่ามาหิมิวิล คัมมูละในฐานะเป็นสมภารเจ้าอาวาสวัดเกลาณียวิหาร แต่ปรากฏว่าประเพณีศิษยปรัมปรา ก่อร่างสร้างฐานก่อนยุคนี้ เพราะจารึกระบุว่าสิบชั่วอายุคนก่อนพระมาหิมิวิลคัมมูลเถระ ชื่อผู้ สืบทอดต�าแหน่งวิลคัมมูละแสดงให้เห็นพื้นฐานของประเพณีท่ียังปฏิบัติมิใช่เพิ่งเกิดมีเฉพาะ ยุคแคนดี คัมภีร์หังสสันเดศยะพยายามสืบค้นหาตระกูลที่เก่ียวข้องกับพระมาหิมิวนรัตนะ ผู้เป็นสมภารเจ้าอาวาสวัดแครคละ๒๗๐ เน้ือหาตามคัมภีร์มีความคล้ายคลึงกันอย่างมากกับ ศิลาจารึกแครคละหลักท่ี ๒๒๗๑ หลักฐานท้ังสองแห่งบอกว่าอารามที่แครคละก่อต้ังโดย อรถนายกะทสเสนคมมุ คิ นั ตรุ ผเู้ ปน็ หลานชายของพระนาคเสนมหาเถระแหง่ สา� นกั วตั ตลวนวาสี หลักฐานอ้างถึงเจ้าหญิงนามว่าปัทมวดี หลานสาวของอรถนายกะผู้อาศัยในเรือนของเสนาบดี และเก่ียวกับอลเกศวรที่ ๓ เจ้าหญิงองค์นี้สมรสกับมหาเลสิงคามนะผู้เป็นหลานชายของ พระมาหิมิวนรัตนเถระ แต่ไม่หลักฐานกล่าวถึงบิดามารดาของพระเถระเลย ปรณวิตานะ พยายามสืบค้นหาประวัติของครอบครัวอลเกศวรโดยตั้งข้อสังเกตว่าพระวนรัตนเถระเป็น หลานชายของสุทสันมหเลนะ ท่านอาจจะเป็นบุตรของวีรอลเกศวรหรือวีรพาหุแอทิปาทะคนใด คนหน่งึ เปน็ แน๒่ ๗๒ คัมภรี ์ราชาวลิยะและหลักฐานจากจนี ไดอ้ ธบิ ายรายละเอยี ดเรอ่ื งราวทางการ เมืองยุคเร่ิมต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๐ แต่ไม่กล่าวถึงภารกิจด้านศาสนาของอลเกศวรเลย๒๗๓ หลักฐานบางแห่งบอกว่าเสนาบดีอลเกศวรได้อนุญาตบุตรชายคนหนึ่งให้อุปสมบท ส่วนคัมภีร์ นิกายสังครหยะบอกว่าวีรพาหุแอทิปาทะมอบหมายให้ลูกชายคนเล็กบวชเป็นพระภิกษุ๒๗๔ อาจเป็นไปได้ว่าพระมาหิมิวนรัตนะแห่งแครคละน่าจะเป็นบุตรชายของวีรพาหุแอทิปาทะ ส่วนผู้สร้างวัดคือทลเสนคมุมิคันตรุตามค�าสั่งของเจ้าหญิงปัทมวดี เพื่อเป็นที่พ�านักของ พระสงฆ์แล้วมอบถวายแก่พระวันรัตนเถระ เนื่องจากท่านเป็นลูกหลานผู้สืบสายมาจากตระกูล อลเกศวร สอดคล้องกับจารึกแครคละหลักที่ ๒ ซ่ึงระบุว่าอารามและที่ดินเป็นทรัพย์สินของ ตระกูลของพระวนรัตนเถระตั้งแต่ยุคดัมพเดณิยะ๒๗๕ ความเกี่ยวพันกันทางตระกูลยังมีการรักษาสืบต่อเรื่อยมา โดยพระเถระชั้นผู้ใหญ่ ภายในคณะสงฆ์ ก่อนหน้าน้ันพระศรีราหุลเถระได้แต่งกวีนิพนธ์สองเล่มนามว่า แสฬลิหินิสัน เดศยะและปเรวิสันเดศยะ จุดประสงค์หลักเพ่ือต้องการบนบานเทพเจ้าให้ประทานบุตรแก่เจ้า หญิงอุลฑุลายะเทวี และประทานพระสวามีแก่เจ้าหญิงจันทราวดี ผู้เป็นพระราชธิดาท้ังสองของ พระเจา้ ปรากรมพาหทุ ่ี ๖๒๗๖ อารมั ภบทของคมั ภรี ป์ ญั จกิ าประทปี ยะบอกวา่ พระเถระไดอ้ อ้ นวอน
เร่ืองราวของคณะสงฆ์ 79 เทพเจา้ โปรดประทานพรแดพ่ ระเจา้ ปรากรมพาหใุ หท้ รงมพี ระชนมายยุ นื นาน เหตเุ พราะพระองค์ รับท่านเป็นบุตรบุญธรรมและเลี้ยงดูอย่างด๒ี ๗๗ ความเก่ียวพันของพระเถระกับพระเจ้าแผ่นดิน และราชนิกูลมีหลักฐานกล่าวถึงค่อนข้างมากในงานเขียนของท่านเอง ความผูกพันใกล้ชิดกับ ราชวงศ์เช่นน้ีเป็นเหตุให้พระเถระสนใจสถานการณ์บ้านเมือง ความกระตือรือร้นเรื่องการเมือง มากเกินขอบเขตเป็นเหตุให้เสียหายร้าวลึก โดยเฉพาะความวุ่นวายตลอดรัชสมัยของพระเจ้า ภูวเนกพาหุท่ี ๖ ผู้ลอบปลงพระชนม์พระเจ้าชัยพาหุท่ี ๒ ซ่ึงเป็นโอรสของพระนางอุลฑุลายเทวี ต�านานบอกว่าพระศรีราหุลเถระรู้สึกผิดหวังกับเหตุการณ์คร้ังน้ีจึงตัดขาดงานพระศาสนา และปลีกตัวออกจากสังคม๒๗๘ หลักฐานส่วนน้ียืนยันได้จากการที่พระเถระไม่ได้เข้าร่วมการ อุปสมบทของพระมอญ ซ่ึงจัดข้ึนโดยพระเจ้าภูวเนกพาหุท่ี ๖๒๗๙
80 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ เชิงอรรถ 1 Sdhrt., p.297. 2 Ibid. 3 EZ., 2, no.6. วิกรมสิงหะเห็นว่าหากถือตามส�านวนของดัมพเดณิกติกาวัตรท่ีอยู่ในพิพิธภัณฑ์ อังกฤษ หมายเลข Or.6680 (139), ค�าว่านิกายท่ีบอกว่าเป็นพวกนอกรีตหมายถึงธรรมรุจิ สาคลิยะ และไวตุลยะ EZ., 2, no.6, p.275; คัมภีร์นิกายสังครหยะกล่าวถึงพระเจ้าปรากรมพาหุ ท่ี ๑ ว่าทรงรวมคณะสงฆ์ท้ังสามนิกายกล่าวคือธรรมรุจิ สาคลิกะ และไวตุลยะ Nks., p.22. แต่หลักฐานในคัมภีร์จุลวงศ์บอกว่าทั้งสามนิกายด�ารงสืบมาถึงเวลาน้ีรู้กันว่ามหาวิหาร เชตวัน และอภัยคิรี Cv.78, 12-22 and 77, 1-30, see also UCHC, p.567 ff. 4 Cv.,60-17ff. 5 Cv.,73.12ff. 6 Kts., p.8. 7 Y. Dhammavisuddhi, The Buddhist Sangha in Ceylon c.1200-1400, (unpublished thesis submitted for the degree of Doctor of Philosophy of the University of London), 1970, p.13ff. 8 Ibid., p.66. 9 ปลาพัตคะละเป็นภูเขาตั้งอยู่บริเวณเขตรัตนปุระแห่งมณฑลสบรคามุวะ see, JCBRAS, xxxi, pp.511-12. 10 Sdhrt., pp.72 and 520. 11 Hims.,v.165ff. 12 Hms.,v.185ff; H.W. Codrington, ‘The Karagala inscription’, JCBRAS., no.86, 1925, p.29 ff. 13 Nks., p.89. 14 Tss.,v.65; Prs.,v.69; Grs.,v.105; Kks.,v.90. 15 Hms.,v.164ff. 16 Hms.,v.173. 17 Kts., p.10. 18 Sdhrt., p.220. 19 Sdhrt., p.234. 20 Sdhrt., p.500f. 21 Sdhrt., p.500f.
เร่ืองราวของคณะสงฆ์ 81 22 Sannasgala, Sinhala Sandesa Sahityaya, p.179; M. Wickramsinha, Sinhala Sahityaya Nagima, Colombo, 1954, p.140. 23 Sannasgala, Sinhala Sandesa Sahityaya, p.179. 24 Hms.,v.144ff; cf. Grs.,v.16ff. 25 Hms., introduction, p.xxv. 26 Hms.,vv.184-196. 27 Hms.,v.181. 28 See Chapter five., p.148ff. 29 M. Wickramasinha, op.cit., p.120. 30 Shdrt., p.14ff. 31 See L’Abhidhammakosa de Vasubnadhu, Traduit et Annote parLouis De La Vallee Poussin, ii, p.284, vi,p.211; Louis De La Vallee Poussin, The Two Nirvanadhatus according to the Vibhasa, Indian Historicail Quarterly, vi. pp.39-45. 32 N. Dutt. Aspects of Mahayana Buddhism and Its Relation to Hinayana, London, 1930, p.95; M. Sasanaratana, Lakdiva Mahayana Adakas, Colombo, 1969, p.217. 33 N. Dutt, op.cit.p.117ff; Har Dayal, The Bodhisattva Doctrine in Buddhist Sanskrit Literature, p.28. 34 N. Dutt, op.cit., p.113ff. 35 See Dhigha Nikaya, (PTS), 2.p.8; Majjhima Nikaya, (PTS), 1. p.396. 36 S. Paranavitana, ‘Mahayanism in Ceylon’, CJSc, ii, p.43. 37 M. Sasanaratana, Baudha Darsana Sanghaya, Colombo, 1953, 2.vv.49-53. 38 Sdhrt., p.135ff. 39 Bodhicaryavatara, ed. W.Meddhananda, Colombo, 1953, 2.vv.49-53. 40 M. Sasanaratana, Lakdiva Mahayana Adahas, p.213. 41 G.C. Mendis, Early History of Ceylon, Colombo, 1958, p.54. 42 EZ., 4. p.242ff. 43 EZ., 3. p.66ff. 44 Sdhrt., p.71. 45 Hms.,v.201ff. 46 D. Sumanajoti, Damabadeni Yugaya, 2.p.68; Sahityaya, 4.63. 47 Vss.,v.51 f. 48 SSL., p.104.
82 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ 49 JCBRAS., xxii, p.15. 50 Sahityaya, 2, 1957, p.68. 51 Rjv.,v.58. 52 Queroz., p.539. 53 SSS., pp.181-186. 54 See, The Pali Text Society’s Pali English Dictionary, ed. T.W. Rhys Davids and William Stede, p.73. 55 Dhammapdatthakatha, (PTS), ed. H.C. Norman, London, 1906, 1. pp.7,8,154; Paramatthajotika, (PTS), ed. H.Smith, London, 1916, pp.194, 195, 306. 56 Kts., p.3. 57 Kts., p.13. 58 Kts., p.32. 59 Nks., p.96; Rjrt., p.17. 60 Kts., p.35. 61 Sumangalailasini, (PTS), 3. pp.969-70. 62 Kts., p.19. 63 Wachissara, Saranankara Sangharaja Samaya, p.89. 64 See above chapter one. p.23. 65 Bdgnl., 134ff. 66 See below chapter seven. 67 Prs.,v.178ff; trs.,v.100; Kks.,v.165; Sls.,vv.77-92. 68 N. Mudiyanse, Mahayana Monuments in Ceylon, 1968, Colombo, p.12. Prs., 178ff; Sls.,vv.77-92. 69 Prs.,v.178 ff. 70 Prs.,v.178; Kks.,v.287. 71 Kks.,v.287 72 Prs.,v.198. 73 G.Varasambodhi, Campola Ithihasaya, Colombo, 1948, p.32. AAGP., p.64. 74 Sls.,vv.77-92. 75 ADK., folio. klu. 76 ADK., folio. klu. 77 ADK., folio. klu.
เรื่องราวของคณะสงฆ์ 83 78 K. Nanavimala, Sapragamuve Parani Liyavili, p.34. 79 Skt. Hasta, eleventh (or thirteenth) lunar asterism, sv. Sanskrit-English Dictionary, A.A. Macdon ald, London, 1873. 80 Prs.,v.43. 81 Kuveni-asna, ed. K. Nanavimala, Ratnapura, 1956, p.11. 82 Sls.,v.16. 83 Kuveni-asna, p.11. 84 Kvsk., p.19. 85 Ibid. p.19. 86 For an account of sadbasa, see below chapter five. p.152 ff. 87 Prs.,v.203. 88 SRS., p.5. 89 Rjrt., p.55. 90 Ibid. 91 K. Wachisara, op.cit. p.27. 92 M.B. Ariyapala, Society in Mevieval Ceylon, Colombo, 1956, p.233. 93 R.A.L.H. Gunawardhana, Robe and Plough, Monasticism and Economic Interest in Early Medieval Sri Lanka, the University of Arizona Press, 1979, p.282ff. 94 Ibid. 95 Sinh. Uturumula, Galaturumula, Kapurumula, Seneviratmula, Paspirivenmula, Vilgammula, Va hadumula and Dakunumula, See, Ssvp., p.116. 96 Dhampiyaatuva-gatapadaya, ed. D.B. Jayatilaka, Kelaniya, p.200.Gunawardhana, op.cit. p.283. 97 Kts., p.13. 98 Cv., 78, 32-33. 99 Dhammavisudhi, op.cit., p.117. 100 Cv., 78, 32-33; Pjv., p.105. 101 Ibid. 102 Kts., p.13. 103 UCHC., p.247. 104 Vss.,vv.42-45. 105 Dhammavisuddhi, op.cit. p.96.
84 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ 106 See below chapter five. 107 Cv., 57, 20-21. 108 Cv., 57, 31ff. 109 Cv., 57, 32-34. 110 See below chapter five. 111 Pjv., p.30. 112 Kts., p.13. 113 Cv.,89, 64. 114 Nks., p.90. 115 Nks., p.96. 116 Gunawardhana, op.cit. p.416. 117 Cv.,57. 118 CCMT., p.213. 119 Daladasirita, ed. W. Sorata, Colombo, 1953, p.49ff. 120 Dls., p.49ff. 121 Padsadhana-tika, ed. Dhammananda and Vacissara, Colombo, p.134. Kvsk., 1.v.16. 122 Theravadi Bauddhacarayaya, A.P. Buddhadatta, Ambalangoda, 1960, p.140. 123 Ibid. 124 Prs.,v.203. 125 Cv.,57.6ff. 126 Gunawardhana, op.cit. p.446. 127 Cv., 57. 31ff.. 128 UCHC., p.431. 129 Prs.,v.148.Vss.,142. 130 Nks., p.96. 131 ADK., folio, klu. 132 Vrttamala, Br. Mus, Mr. Or.6611 (180), folio, ki. 133 Vidyodaya, 3, no.8, 1937, p.230. 134 Vidyodaya, 2, no.9, 1936, p.45; Kts., p. 43ff. 135 Prs.,v.203. 136 Vimuktisangrahava, ed. H. Silaratana, Homagama, 1923, p.215. 137 Ibld.
เรื่องราวของคณะสงฆ์ 85 138 Cv.,48.2. 139 Pjv., p.139. 140 Vss.,v.44. 141 Vrttamala, Br. Mus. Ms. Or.6611 (178). 142 Vrttamala, folio.ki. 143 Theravadi Bauddhacaryayo, p.147. 144 Pdst.,v.6. 145 Vrttamala, folio. ki. 146 Kavlakunu-minimala,v.8. 147 Bdgnl.,v.4. 148 SSL., p.144. 149 EZ., 3. no.25, p.241ff. 150 Vss.,v.43. 151 Cv.,88.85. 152 Vss.,v.45. 153 EZ., 3. no.25, p.241ff. 154 Ibid. 155 Pacittiyapali, ed. Sri Ariyavamsa, Colombo, 1929, p.74ff. 156 Majjhimanikayatthakatha, ed. Sri Dharmarama, Colombo, 1917, pp.150, 214, 354, 698. 157 G.P. Malalasekara, Dictionary of Pali Proper Name, London, 1938, ii, sv. 158 E.W. Adikaram, Early History of Buddhism in Ceylon, Colombo, 1946, p.25. 159 Saratthadipani, ed. B. Devarakkhita, Colombo, 1914, p.36. Dharmapradipika, ed. B. Wimalavamsa, Colombo, 1959, p.284. Pujavaliya, ed. K. Nanavimala, Ratnapura, 1960, p.311. Saddharmalankaraya, ed. M. Nanesvara, Colombo, 1914, pp.123. 160 Mahavagga, ed. H. Oldenberg, London, 1879, 1.30, p.58; 1.40, p.74; 1.13, p.197; Cullavagga, ed. H. Oldenberg, London, 1880, vi. p.170. 161 Cv.,89.18,57. 162 CCMT., p.198. 163 Saddhrmaratnavali, ed. D.B. Jayatilaka, Kelaniya, 1946, p.845. 164 Sdrtl., pp.237, 760. 165 EZ., 4. pp.253-260. 166 EZ., 4. p.254.
86 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ 167 Nks., p.65. 168 Anagatavamsa, ed. W. Medhananda, Colombo, 1934, p.viii. 169 TB., p.101. 170 Ariyapala, op.cit. p.232. 171 CBRAS., xxxi, p.398. 172 Gunawardhana, op.cit, p.461. 173 UCHC., p.541. 174 Nks., p.85. 175 EZ., 4. p.266. 176 Kts., p.9. 177 Sdhrt., p.295. 178 Hms.,v.104. 179 CALR., 1, pt.iii. p153 ff. 180 ADK., folio, ka. 181 Rjv., p.47. 182 Rjv., p.53. 183 Grs.,v.210. 184 Sdhrt., p.297. 185 Cv.,84. 1-25.; Pjv., p.145. 186 AAGP., p.11. 187 Dhammavisudhi, op.cit. p.49. 188 Cv.,84. 11-16. 189 Sdhrt., p.500. 190 See below p.79. 191 See below p.79. 192 Sdhrt., p.297. 193 EZ., 4. p.93ff; UCHC., p.636. 194 Sdhrt., p.778. 195 Paramimahasataka, p.97. 196 UCHC., p.637. 197 Sdhrt., p.298. 198 Sinhalese Literature, p.122; Pali Sahityaya, p.417; PLC., p.243. 199 Sdhrml., p.778; Nks., p.98.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228