Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือเล่าเรื่องเมือง (ศรี) ลังกา

หนังสือเล่าเรื่องเมือง (ศรี) ลังกา

Description: หนังสือเล่าเรื่องเมือง (ศรี) ลังกา

Search

Read the Text Version

บทที่ ๓ การศกึ ษาคณะสงฆ์สมัยดมั พเดณิยะ* กล่าวน�ำ อาณาจักรดัมพเดณิยะปรากฏตัวข้ึนภายหลังการล่มสลายของ อาณาจักรโปโฬนนารุวะ เพราะการบุกรกุ ท�ำลายของพระเจ้ามาฆะแห่ง อาณาจกั รกาลงิ คะทางอนิ เดยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ ผลแหง่ สงครามครง้ั นน้ั ทำ� ใหอ้ ารยธรรมอนั ยง่ิ ใหญข่ องชาวลงั กาลม่ สลาย การสญู เสยี ความเปน็ เอกราชครานน้ั นอกจากจะทำ� ใหบ้ า้ นเมอื งแตกแยกแลว้ การพระศาสนา ที่เคยรุ่งเรืองม่ันคงก็พลอยเสื่อมโทรมไปด้วย ความทรงจ�ำอันเจ็บปวด ครั้งน้ันมบี ันทึกไว้ในคัมภีรม์ หาวงศ์ โดยผู้แต่งได้ประณามพระเจา้ มาฆะ เสมือนปศี าจชัว่ ร้าย เพราะ “พระองค์โปรดให้ท�ำลายเรอื นพระปฏิมาหัก พังท�ำลายพระเจดีย์ เข่นฆ่าอุบาสกอุบาสิกา ... เผาท�ำลายพระเจดีย์ ใหญ่สูงล�้ำมีรัตนาวลีเจดีย์เป็นต้นอันงดงาม เสมือนพระเกียรติยศ ของพระบุรพกษัตริยาธิราชเจ้าผู้มีพระราชศรัทธา และท�ำลายพระ สารรี กิ ธาตอุ นั เปรยี บเหมอื นพระชนมช์ พี ของพระบรุ พกษตั รยิ าธริ าชเจา้ ” (Phramahanama and Ganabundit: 2010, 240-241) อกี แหง่ หน่งึ พรรณนาเสริมความโหดร้ายป่าเถ่ือนของพระเจ้ามาฆะไว้ว่า “พระองค์ รับสั่งให้เข่นฆ่าชาวบ้านและท�ำลายศาสนา ร้ือเผารุวันแวฬิแสยะเจดีย์ * “การศึกษาคณะสงฆ์ของศรีลังกาสมัยอาณาจักรดัมพเดณิยะ” ตีพิมพ์ในวารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ Vol.21 No. 2 (2019)

90 เล่าเรือ่ งเมอื ง (ศร)ี ลงั กา และเจดีย์เหล่าอ่ืนจนหมดส้ิน ลดฐานะคนชั้นสูงให้เสมอกับสามัญชน และยึดทรัพย์สินของคนร�่ำรวยจนกลายเป็นคนเข็ญใจ ทรงบังคับชาว ศรลี งั กาใหน้ บั ถอื ศาสนาของพวกนอกรตี ” (The Rajavaliya: 2014, 58) ภาวการณเ์ ชน่ นท้ี ำ� ใหช้ าวลงั กาทง้ั มวล ไมว่ า่ จะเปน็ พระสงฆแ์ ละฆราวาส ตา่ งไดร้ บั ผลกระทบเสมอเหมอื นกนั ความยง่ิ ใหญท่ พี่ ระเจา้ ปรากรมพาหุ มหาราชแหง่ อาณาจกั รโปโฬนนารวุ ะทรงเพยี รสรา้ งเอาไว้ กพ็ งั ทลายลง เพยี งชว่ั ขา้ มปโี ดยฝมี อื อนั โหดรา้ ยของพระเจา้ มาฆะแหง่ อาณาจกั รกาลงิ คะ เหตกุ ารณบ์ า้ นเมือง ครนั้ บา้ นเมอื งตกอยใู่ นภาวะบา้ นแตกสาแหรกขาด เหลา่ เชอื้ พระวงศ์ ชาวสิงหลน้อยใหญ่ต่างพากันอพยพหลบหนีไปอยู่ตามบริเวณป่าเขา ไพรลึก แม้พยายามรวบรวมผู้คนออกต่อสู้กับพระเจ้ามาฆะหลายครั้งก็ พ่ายแพ้เสียทุกคร้ัง สมัยนี้มีเช้ือพระวงศ์สิงหลพระองค์หน่ึงนามว่าวิชัย พาหุผู้ประสูติในราชวงศ์สิริสังโพธิ ได้อพยพชาวสิงหลกลุ่มหน่ึงมาอยู่ ทางดินแดนตอนใต้ ด้วยการ “ปราบแคว้นมายาจนหมดเสี้ยนศัตรู ให้สร้างเมอื งน่ารน่ื รมย์ มกี �ำแพงและซุ้มประตเู มอื งงดงาม บนยอดเขา ชัมพุทโทณิอันสูงยิ่ง พระเจ้าแผ่นดินผู้ทรงมีพระปรีชา ทรงพระเกษม ส�ำราญเสวยราชสมบัติอยู่ ณ เมืองน้ัน” (Phramahanama and Ganabundit: 2010, 244) หลักฐานจากคัมภีร์กวสิฬุมิณะซึ่งเป็น พระนิพนธ์ของพระราชโอรสของพระองค์เองระบุว่า พระเจ้าวิชัยพาหุ ทรงสังกัดราชวงศ์ปณั ฑยะ (H.W. Codrington: 1994, 76) หากเป็น เช่นน้ันแสดงว่าพระองค์สืบเช้ือสายมาจากพระเจ้าวิชัยพาหุท่ี 1 ผู้เป็น ปฐมกษตั รยิ แ์ หง่ อาณาจกั รโปโฬนนารวุ ะกบั พระนางลลี าวดผี เู้ ปน็ ราชธดิ า

การศึกษาคณะสงฆ์สมัยดัมพเดณยิ ะ 91 ของกษัตริย์ปัณฑยะ ด้วยเหตุนั้นพระองค์ย่อมมีสิทธิโดยชอบธรรมที่จะ ประกาศตนเป็นกษตั ริย์เหนอื เกาะลังกา ส�ำหรับแคว้นมายาหรือเขตมายาระฏะนั้นแม้จะมีอาณาบริเวณ ขนาดเล็กก็จริง แต่ก็เป็นชัยภูมิอันเหมาะสมเพราะแวดล้อมด้วยป่าเขา เสมือนเป็นก�ำแพงธรรมชาติ ยากต่อการบุกรุกโจมตีของอริราชศัตรู ส�ำคัญสูงสุดคือพระองค์ได้อัญเชิญพระเขี้ยวแก้วและบาตรของ พระพุทธเจ้ามาประดิษฐานในเมืองหลวงด้วย ซึ่งถือว่าเป็นสิทธิโดย ชอบธรรมของความเป็นกษัตริย์ลังกา (Phramahanama and Ganabundit: 2010, 248) การครอบครองสิง่ ศกั ดิ์สิทธ์ดิ ังกล่าวท�ำให้ พระองค์ได้รับการยอมรับจากชาวสิงหลทุกหมู่เหล่า และสามารถสร้าง ความเข็มแข็งแก่อาณาจักรของพระองค์ (Chandra Richard de Silva: 2001, 98) ตลอดระยะเวลาการครองราชย์ของพระองค์ แม้จะได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากเจ้าเมืองน้อยใหญ่ชาววันนิ แต่หาได้สามารถขับไล่พระเจ้ามาฆะออกจากเกาะลังกาแล้วปกครอง เป็นเอกฉัตรได้ไม่ ปัจจัยส�ำคัญน่าจะมาจากความเข้มแข็งของพระเจ้า มาฆะเป็นส�ำคัญ อีกส่วนหนึ่งอาจขาดการสนับสนุนจากกษัตริย์แห่ง อาณาจกั รเหลา่ อนื่ ครน้ั พระองคส์ วรรคตสนิ้ แลว้ พระราชโอรสพระนาม วา่ พระเจา้ ปรากรมพาหทุ ่ี 2 (พ.ศ.1783-1813) ไดข้ นึ้ ครองราชยส์ บื แทน อีกหน่ึงทศวรรษต่อมา พระองค์ต้องพบกับการโจมตีของพระเจ้า จันทรภาณุแห่งอาณาจักรตามพรลิงค์ (Phramahanama and Ganabundi: 2010, 260) คัมภีร์หัตถนคัลลวิหารวังสะระบุว่า พระเจ้าจันทรภาณุบุกรุกโจมตีเพราะต้องการครอบครองเกาะลังกา (Hatthavanagallaviharavamsa: 1956, 32) ส่วนนักวิชาการสมัย

92 เล่าเรื่องเมอื ง (ศรี) ลังกา ใหม่แสดงความเหน็ ว่าพระองค์ต้องการควบคุมเสน้ ทางการค้าทางทะเล เนอ่ื งจากสมยั นนั้ ศรลี งั กาเปน็ เสน้ ทางการคา้ ขนึ้ ชอ่ื (Chandra Richard de Silva: 2001, 99) ส่วนคัมภีร์ชินกาลมาลีปกรณ์ของไทยระบุว่า พระเจ้าโรจแห่งเมืองสุโขทัยต้องการพระพุทธสิหิงค์จากเกาะลังกา จึง ขอร้องพระเจ้าสิริธรรมแห่งสิริธรรมนครให้ส่งราชทูตไปทูลขอจาก กษัตริย์ลังกา (Phraratanapanyathera: 2007, 110-111) ข้อมูล ดังกล่าวเป็นเหตุให้นักวิชาการบางท่านตีความว่า พระเจ้าจันทรภาณุ ยกทัพไปโจมตีเกาะลังกาครั้งนั้นเพราะต้องการพระพุทธสิหิงค์ เพ่ือ มอบถวายแก่พระเจ้าโรจแห่งเมืองสุโขทัยตามค�ำขอ สังเกตได้จาก ภายหลังสงครามกษัตริย์ลังกาได้ส่งพระพุทธสิหิงค์มาถวายกษัตริย์ แห่งสิรธิ รรมนคร (W.M. Sirisena: 2016, 40) ผู้วิจัยเช่ือว่าการยกทัพไปโจมตีเกาะลังกาของพระเจ้าจันทรภาณุ คร้ังน้ี น่าจะเปน็ ราโชบายแบบสิทธยาตรา (Siddhayatra) หรอื การเดนิ ทางอนั ศกั ดสิ์ ทิ ธด์ิ ว้ ยความสำ� เรจ็ (accomplished sacred expedition) ซ่ึงเป็นประเพณีของกษัตริย์แห่งอาณาจักรศรีวิชัย (Paul Michel Munoz: 2006, 124-125) เน่ืองจากเกาะลังกาสมัยน้ันในสายตา ของพระเจ้าจันทรภาณุผู้เป็นชาวพุทธ (Phramahanama and Ganabundit: 2010, 260) เปน็ ดินแดนศักดสิ์ ิทธเิ์ พราะเปน็ สถานสถติ ของพระเข้ียวแก้ว บาตรของพระพุทธเจ้า และต้นพระศรีมหาโพธ์ิ หลักฐานฝ่ายไทยยืนยันว่าแม้พระองค์จะพยายามสร้างสถูปบรรจุ พระบรมสารีริกธาตุหรือปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์ เพื่อให้อาณาจักรตาม พรลิงคเ์ ปน็ ศนู ยก์ ลางรวมใจของชาวใต้ก็จรงิ (The Relic Chronicle

การศึกษาคณะสงฆ์สมยั ดัมพเดณยิ ะ 93 of Nakhon Si Thammarat: 1928, 11) แต่ก็หาไดท้ รงคุณคา่ เสมอ เหมือนพระเข้ียวแก้วของพระพุทธเจ้าไม่ การยกทัพไปครั้งน้ีคงไม่มี จุดประสงค์อื่นใด นอกจากต้องการยึดครองพระเข้ียวแก้วและบาตร ของพระพทุ ธเจา้ เทา่ นน้ั การบุกรุกเกาะลงั กาครั้งแรกตรงกับพุทธศกั ราช 1790 (W.M. Sirisena, 2016 : 40-42) และจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของพระเจ้า จันทรภาณุ (Phramahanama and Ganabundit: 2010, 261) การบุกรุกเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อพุทธศักราช 1809 คราวน้ีพระเจ้าจันทร ภาณุได้สร้างสัมพันธไมตรีกับพระเจ้ามาฆะผู้ปกครองดินแดนราชะระฏะ พระองค์ได้เปล่ียนยุทธวิธีใหม่ด้วยการเดินทัพจากทางด้านเหนือของ เกาะลงั กาพรอ้ มการสนบั สนนุ ของพระเจา้ มาฆะ ระหวา่ งทางไดเ้ กลย้ี กลอ่ ม ชาวลงั กาใหเ้ ขา้ เปน็ สมคั รพรรคพวกเปน็ จำ� นวนมาก (Phramahanama and Ganabundit: 2010, 296) หลักฐานดังกล่าวตคี วามได้ว่าคราว เมื่อพระองค์พ่ายแพ้สงครามหนแรก พระเจ้าจันทรภาณุได้สั่งให้กอง ก�ำลังทหารส่วนใหญ่พ�ำนักอยู่กับพระเจ้ามาฆะ ส่วนพระองค์เดินทาง กลบั เมอื งตามพรลงิ คเ์ พอ่ื รวบรวมทหารกอ่ นทจ่ี ะยกพลมารวมกนั อกี ครงั้ สงครามคราวน้ีความพ่ายแพ้ตกแก่พระเจ้าจันทรภาณุอีกคร้ังและ สวรรคตในสนามรบ (The Rajavaliya: 2014, 117) คร้ังน้ีกษัตริย์ ลังกาได้รับความช่วยเหลือจากกษัตริย์แห่งปัณฑยะเหมือนคร้ังก่อน (Amaradasa Liyanagamage: 1967, 158) และชัยชนะก็ตกเป็น ของฝ่ายศรีลังกาอีกเช่นเคย ด้วยระยะเวลายาวนานของสงครามจึง กระทบต่อความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา เป็นเหตุให้กษัตริย์สิงหล โปรดให้ปฏิรูปพระศาสนาพร้อมตรากติกาวัตรข้ึน เพ่ือเป็นแนวทาง

94 เล่าเรื่องเมอื ง (ศรี) ลังกา ควบคุมความประพฤติของพระสงฆ์ให้ด�ำเนินตามพระธรรมวินัย อย่างเคร่งครดั กษตั ริยท์ รงตรากตกิ าวตั ร กติกาวัตรหมายถึงการตรากฎระเบียบโดยความเห็นชอบของ คณะสงฆ์ ส�ำหรบั เป็นคูม่ อื นำ� ทางของหมคู่ ณะเพื่อความประพฤตดิ งี าม ตามพระธรรมวินัย กติกาวัตรเป็นศัพท์ภาษาบาลีมาจากค�ำว่า “กติกา วัตตะ” ซึ่งพบเห็นดาษด่ืนในคัมภีร์พระวินัยปิฎก (The Katikavatas: 1971, 6) ความจริงพระสงฆ์ทุกรูปนามล้วนประพฤติตามพระวินัยที่ พระพทุ ธเจา้ ทรงบญั ญตั เิ ปน็ แนวทางไวด้ แี ลว้ แตค่ รน้ั กาลสมยั เปลย่ี นไป บางส่ิงบางอย่างเกิดข้ึนและท้าทายคณะสงฆ์โดยไม่แสดงตัวล่วงหน้า จึงมีความจ�ำเป็นต้องเพิ่มข้อบังคับหรือระเบียบกฎเกณฑ์ข้ึนมาใหม่ เพ่ือแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นพร้อมอนุเคราะห์พระสงฆ์ให้ประพฤติดีงาม ตามพระธรรมวินัย บางครั้งพระสงฆ์อาศยั อ�ำนาจอาณาจักรเข้ามาชว่ ย ออกกฎระเบียบ บางครั้งพระสงฆ์สามารถแก้ปัญหาด้วยการออก กฎระเบียบปกครองกันเอง แต่บางครั้งกษัตริย์ก็มองเห็นว่าเป็นหน้าที่ ของตนท่ีจะต้องเข้ามาแกไ้ ขปัญหาทเี่ กดิ ข้นึ ภายในคณะสงฆ์ เพราะทรง เห็นว่าคณะสงฆ์เป็นองค์กรหนึ่งซ่ึงมีความส�ำคัญส่งผลต่อความเป็นอยู่ และความดีงามของบา้ นเมอื ง (W.M.K. Wijetunga: 1970, 1-2) ประวัติศาสตร์ชี้ให้เห็นว่านับจากพระเจ้ามาฆะแห่งกาลิงคะ บุกรุกยึดครองเกาะลังกาจนถึงสมัยพระเจ้าวิชัยพาหุที่ 3 สถาปนา อาณาจักรดัมพเดณิยะ คณะสงฆ์ขาดราชูปถัมภ์อย่างส้ินเชิงจึงท�ำให้ พระศาสนาพบกับชะตากรรมจนเสื่อมโทรมเสียหาย (Gunaratne

การศึกษาคณะสงฆ์สมัยดมั พเดณิยะ 95 Panabokke: 1993, 175) ครั้นลุถึงสมัยพระเจ้าปรากรมพาหุที่ 2 พระองคท์ รงสดบั วา่ มพี ระสงฆป์ ระพฤตผิ ดิ เสยี หายจำ� นวนมาก จงึ ไดม้ อบ หมายใหพ้ ระอรญั กเมธงั กรมหาสามแี หง่ สำ� นกั อทุ มุ พรคริ ี ผเู้ ปน็ ศษิ ยเ์ อก ของพระพุทธวังสวนรัตนเถระ พร้อมกับพระเถระผู้ใหญ่อีกหลายรูป ช่วยกันไต่สวนอธิกรณ์ ขับไล่พระสงฆ์ผู้ประพฤติเสียหายออกจาก หมู่คณะ จากนัน้ ไดอ้ อกกติกาวัตรตราเปน็ กฎหมายตามความเหมาะสม แหง่ พระวนิ ยั สงฆ์ (Phrasangharaja Devarakshita Vijayabahuthera: 2016, 75) สันนษิ ฐานวา่ พระองคอ์ าจจะประพฤตติ ามพระเจ้าปรากรม พาหมุ หาราชแหง่ อาณาจกั รโปโฬนนารวุ ะ เพราะการจะสรา้ งความมนั่ คง ให้แก่บ้านเมืองนั้น ต้องสร้างความเข้มแข็งให้แก่พระศาสนาด้วย เนื่องจากศาสนจักรและอาณาจักรต่างเกื้อหนุนกันและกัน กติกาวัตร สมยั พระองค์ชอ่ื วา่ ดมั พเดณกิ ตกิ าวัตร สารตั ถะของดัมพเดณกิ ติกาวตั รสามารถแบง่ ออกเปน็ 4 ประเดน็ สำ� คัญ ดังนี้ 1) การเข้าสู่คณะสงฆ์ ดัมพเดณิกติกาวัตรนั้นให้ความส�ำคัญ คอ่ นขา้ งสงู สำ� หรบั การเขา้ เปน็ สมาชกิ คณะสงฆ์ โดยเฉพาะการคดั กรอง คุณสมบัติผู้เข้าเป็นสมาชิกสงฆ์ อาจเป็นไปได้ว่าพระสงฆ์ส่วนใหญ่ สมัยนน้ั มีวตั รปฏิบตั หิ ยอ่ นยานหรือประพฤตนิ อกธรรมนอกวนิ ัย จงึ เป็น เหตุให้กษัตริย์ทรงตรากติกาวัตรเพ่ือกล่ันกรองคนเข้าสู่เพศสมณะ คุณสมบัติดังกล่าวพิจารณาจากชาติก�ำเนิดและโคตรเป็นอันดับแรก นอกจากน้ันเป็นคุณสมบัติตามพระวินัยบัญญัติ ประเด็นน่าสนใจคือ เหตุใดชาติก�ำเนิดและโคตรจึงมีการตราเป็นกฎระเบียบ ซึ่งถือว่า

96 เล่าเรอ่ื งเมือง (ศร)ี ลงั กา ไม่สอดคล้องกับพุทธบัญญัติ ผู้เขียนเห็นว่าจารีตปฏิบัติเกี่ยวกับ โคตรตระกูลสมัยนั้นน่าจะทรงอิทธิพลต่อสังคมชาวดัมพเดณิยะไม่น้อย ความมากอิทธิพลดังกล่าวน่าจะเป็นเหตุให้เกิดการสอดแทรกเข้ามาใน วงการคณะสงฆ์ อีกประการหน่ึงการให้ความส�ำคัญเร่ืองชาติและโคตร นน้ั เหน็ จะเปน็ เพราะสมยั นน้ั ประเพณกี ารครอบครองทรพั ยส์ นิ เปน็ ทร่ี จู้ กั แพรห่ ลายในคณะสงฆ์ การใหค้ วามสำ� คญั เรอื่ งโคตรตระกลู นา่ จะเปน็ การ รักษาสืบต่อทรัพย์สินของตระกูลแห่งตนเป็นแน่ นอกจากโคตรตระกูล แล้ว การเข้าสู่คณะสงฆ์ต้องผ่านกระบวนการหลายขั้นตอน หนึ่งนั้น คือผู้ประสงค์จะบวชต้องผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติจากพระเถระ 3 รูป ครั้นผ่านแล้วจะส่งต่อให้พระเถระชั้นผู้ใหญ่เป็นผู้ตรวจสอบ ความสามารถอีกชั้นหน่ึง ก่อนท่ีจะส่งตัวให้พระอุปัชฌาย์เป็นคนดูแล ฝกึ ฝนตอ่ ไป สว่ นดขี องการคดั กรองหลายชนั้ คอื ทำ� ใหไ้ ดส้ มาชกิ มคี ณุ ภาพ และศรทั ธามัน่ คงในพระพทุ ธศาสนา 2) การด�ำรงเพศสมณะ นอกจากการตรวจสอบคุณสมบัติของ ผู้จะเข้าสู่พระศาสนาอย่างเข้มงวดแล้ว ขณะครองเพศเป็นบรรพชิตก็ เคร่งครัดเช่นเดียวกัน ดัมพเดณิกติกาวัตรเน้นการวางตนให้เหมาะสม ตามสมณภาวะ ดังเช่น การอุปัฏฐากพระอุปัชฌาย์ด้วยความเคารพ การให้เกียรติและเคารพเพื่อนสหธรรมิกตามพรรษา การปฏิบัติตนตาม พระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด และการดูแลสถานที่ส�ำคัญทางศาสนา ดว้ ยความเคารพศรทั ธา ความเขม้ งวดของดมั พเดณกิ ตกิ าวตั รอยา่ งหนง่ึ คือ หากมีการลาสิกขาเป็นฆราวาสจะไม่อนุญาตให้บวชอีกตลอดชีวิต (The Katikavatas: 1971, 157) ผู้เขียนเหน็ ว่าประเด็นนี้นา่ จะคลอ้ ย ตามประเพณีชาวบ้าน เน่ืองจากชาวพุทธศรีลังกาเห็นว่าเพศบรรพชิต

การศึกษาคณะสงฆ์สมยั ดมั พเดณยิ ะ 97 เป็นอุดมเพศ การเปล่ียนสถานภาพจากเพศช้ันสูงมาเป็นหีนเพศแบบ ชาวบ้านย่อมไม่เหมาะสม จุดเด่นของดัมพเดณิกติกาวัตรอีกข้อหน่ึง คือการถือนิสสัย โดยภิกษุผู้ยังไม่พ้นเบญจพรรษาจ�ำต้องศึกษาเรียนรู้ ภายใตพ้ ระอปุ ชั ฌายเ์ สยี กอ่ น กตกิ าวตั รขอ้ นถี้ อื วา่ สอดคลอดกบั พระวนิ ยั บัญญตั ิและเป็นปจั จัยส�ำคัญในการหลอ่ หลอมพระภิกษุใหม้ ีวตั รปฏิบตั ิดี งามถูกต้องตามพระธรรมวนิ ัย 3) การปกครองคณะสงฆ์ ความโดดเดน่ ของดมั พเดณยิ กตกิ าวตั ร อีกอย่างหนึ่งคือการจัดวางระบบการปกครองคณะสงฆ์อย่างดีเยี่ยม โดยเริ่มต้นจากเจ้าอาวาสผู้ท�ำหน้าท่ีดูแลทรัพย์สินของวัดและปกครอง พระสงฆ์ผู้อยู่ภายใต้การดูแล ผู้เขียนสันนิษฐานว่าเจ้าอาวาสส่วนใหญ่ น่าจะด�ำรงสถานภาพเป็นพระอุปัชฌาย์ด้วย เนื่องจากแต่ละวัดล้วนมี พระสงฆ์พ�ำนักพักอาศัยอยู่เป็นจ�ำนวนมาก การเป็นพระอุปัชฌาย์ หมายถึงมีสิทธิเพ่ิมข้ึนโดยเฉพาะการปกครองพระสงฆ์ในสังกัด ถัดมา เป็นพระเถระชั้นนายก (ภาษาสิงหลเรียกว่านายกแตน) ส่วนใหญ่ พระนายกเปน็ เจา้ สำ� นกั เรยี นหรอื เจา้ สำ� นกั อายตนะ ทำ� หนา้ ทเี่ ปน็ ผดู้ แู ล ส่ังสอนและควบคุมพระนักศึกษา ส�ำนักเรียนเหล่าน้ีล้วนอาศัยอาราม วิหารเป็นท่ีตั้ง ด้วยเหตุน้ันพระนายกส่วนใหญ่จึงด�ำรงต�ำแหน่งเป็น สมภารเจ้าอาวาสด้วย ต�ำแหน่งถัดมาเป็นพระสงฆ์ผู้เป็นหัวหน้า ฝา่ ยคามวาสแี ละอรญั ญวาสี หนา้ ทข่ี องพระสงฆส์ องรปู คอื ดแู ลปกครอง พระสงฆ์ที่ขึ้นตรงต่อนิกายของตน ต�ำแหน่งท้ังสองน้ีต้องได้รับการ แต่งต้ังจากษัตริย์ โดยการเห็นชอบของคณะสงฆ์ตามนิกายของตน ส่วนต�ำแหน่งสูงสุดคือพระสังฆราช (ภาษาสิงหลเรียกว่ามหาสามี) โดยคัดเลือกจากพระมหาสถวีระสองรูปจากสองนิกาย ผู้ท�ำหน้าท่ี

98 เล่าเรอ่ื งเมอื ง (ศรี) ลงั กา แต่งต้ังและรับรองต�ำแหน่งน้ีคือพระมหากษัตริย์เท่าน้ัน ด้วยลักษณะ โครงสรา้ งทเี่ ปน็ ระบบจงึ ทำ� ใหค้ ณะสงฆศ์ รลี งั กาสมยั อาณาจกั รดมั พเดณยิ ะ เป็นปึกแผ่นม่นั คงในระยะเวลาอันส้ัน 4) การปฏิสัมพันธ์กับคฤหัสถ์ ดัมเดณิกติกาวัตรผ่อนปรนการ ปฏิสัมพันธ์กับคฤหัสถ์ค่อนข้างมาก โดยไม่สนใจพระธรรมวินัยแต่ อยา่ งใด ดงั ตวั อยา่ งเชน่ พระสงฆผ์ คู้ รอบครองทด่ี นิ ไมต่ อ้ งเสยี ภาษอี ากร พระสงฆส์ ามารถรับทาสชายหญงิ ได้ กตกิ าวตั รข้อหน่งึ ระบวุ า่ “ภิกษจุ ะ รบั ทาสชายหญิง ทด่ี นิ อา่ งเกบ็ นำ้� โคและกระบอื ควรปรกึ ษาและไดร้ บั ความเหน็ ชอบจากพระมหาเถระเสียก่อน” (The Katikavatas: 1971, 153) ประเด็นน้ีชวนสงสัยว่าสังคมชาวบ้านน่าจะมีอิทธิพลต่ออาราม วิหาร อาจเป็นไปได้ว่าสังคมชาวสิงหลสมัยน้ันมองว่าการถวายสิ่ง เหล่านี้แด่พระสงฆ์มิใช่เป็นเร่ืองเสียหาย แต่เป็นผลบุญอย่างหน่ึงใน พระพุทธศาสนา ปัญหาคือเหตุใดดัมพเดณิกติกาวัตรจึงอนุญาตให้ ความด่างพร้อยเหล่านี้เกิดมีขึ้นในวงการพระพุทธศาสนา นักวิชาการ ท่านหนึ่งแสดงความเห็นอย่างน่าสนใจว่าเนื่องจากพระสงฆ์ช้ันผู้ใหญ่ ล้วนเป็นสมาชกิ ของตระกลู ขนุ นางชน้ั สงู การรบั สิ่งเหลา่ นก้ี ไ็ มแ่ ตกตา่ ง จากการยืนยันสถานภาพของสมาชิกแห่งตระกูล หากมองในแง่ ของสังคมการรับส่ิงเหล่าน้ีมิใช่ความเสียหายแต่อย่างใด กลับท�ำให้ ตระกูลแห่งตนมีความส�ำคัญเข้มแข็งมากข้ึน (Yatadolawatte Dhammavisuddhi: 2016, 144) หากศกึ ษาวเิ คราะหเ์ นอ้ื หาสาระของกตกิ าวตั รดมั พเดณกิ ตกิ าวตั ร อยา่ งละเอียด จะเห็นวา่ มไิ ดแ้ ตกต่างจากกตกิ าวตั รของพระเจา้ ปรากรม พาหุแห่งอาณาจักรโปโฬนนารุวะแต่อย่างใด เพียงแต่เสริมบางประเด็น

การศึกษาคณะสงฆ์สมัยดมั พเดณิยะ 99 ทเี่ หน็ ว่าส�ำคญั ในบริบทของยุคสมยั เทา่ น้นั ดังเชน่ การมอบสทิ ธพิ ิเศษ ให้แก่คณะสงฆ์ผู้ครอบครองท่ีดินโดยไม่มีการเก็บภาษีอากร ลักษณะ เช่นน้ีถือว่าเกิดมีขึ้นเฉพาะสมัยอาณาจักรดัมพเดณิยะเท่านั้น เหตุผล อาจเป็นเพราะคณะสงฆ์เริ่มมีจ�ำนวนมากขึ้น การถวายที่ดินจึงมีส่วน ส�ำคัญอย่างย่ิงเพราะสามารถส่งเสริมให้อารามวิหารสามารถเล้ียงดู ตนเองได้ ขณะท่ีการยกเว้นภาษีน่าจะเป็นเพราะความศรัทธาของ สถาบันกษัตริย์เป็นหลัก เพราะสมัยน้ีคณะสงฆ์มีบทบาทส�ำคัญต่อบ้าน เมืองอยา่ งเดน่ ชัด อีกประเดน็ หน่งึ คือความเขม้ งวดของการเข้าสู่รม่ เงา ของพระพุทธศาสนา กติกาวัตรของพระเจ้าปรากรมพาหุมหาราชนั้น มอบความส�ำคัญให้แก่อุปัชฌาย์ท�ำหน้าที่คัดเลือกและตรวจสอบ คุณสมบัติแต่เพียงผู้เดียว ดัมพเดณิกติกาวัตรน่าจะเห็นปัญหาเช่นนั้น จงึ แบง่ หนา้ ทตี่ รวจสอบคณุ สมบตั ผิ เู้ ขา้ สคู่ ณะสงฆห์ ลายชน้ั นบั ตงั้ แตผ่ รู้ บั จนถึงพระเถระผู้ใหญ่ โดยใช้ระบบการศึกษาเป็นตัวควบคุมและตรวจ สอบคณุ สมบตั กิ อ่ นทจ่ี ะมสี ทิ ธิเข้าพธิ ีบรรพชาอุปสมบท ระบบการศึกษาของคณะสงฆ์ ส�ำหรับการศึกษาของพระสงฆ์อาณาจักรดัมพเดณิยะยังด�ำเนิน ตามประเพณีสมัยอาณาจักรโปโฬนนารุวะกล่าวคือใช้ระบบอายตนะ แต่หลักฐานเกี่ยวกับรายละเอียดของอายตนะน้อยใหญ่สมัยน้ันไม่ ชัดเจนเหมือนสมัยโปโฬนนารุวะ ส่วนหลักสูตรการเรียนการสอนน้ัน แบง่ ออกเปน็ 5 ชั้น ดังนี้ 1) ปณั ฑุปลาสะ ช้นั นีส้ ำ� หรับผ้เู ตรียมเข้าพิธีบรรพชา ระยะเวลา เรียน 5 ปี หลักสูตรคือคัมภีร์แอนะวุม (เกี่ยวกับอักษรภาษาสิงหล)

100 เล่าเรื่องเมือง (ศร)ี ลังกา ทิมบุลาคละวิหารหรืออุทุมพรคิริ ศูนย์กลางการศึกษาสงฆ์สมัยอาณาจักรดัมพเดณิยะ (คัดลอกภาพจาก https://www.google.com/maps) ปลาภัตคะละวิหาร ศูนย์กลางการศึกษาของคณะสงฆ์สายธรรมกีรติวงศ์ สมัยอาณาจักร ดัมพเดณิยะ

การศึกษาคณะสงฆ์สมัยดมั พเดณิยะ 101 วดั วชิ ยั สนุ ทรวหิ ารหรอื วดั ภายในพระราชวงั สมยั อาณาจกั รดมั พเดณยิ ะ ศรลี งั กา (คดั ลอก ภาพจาก https://www.google.com/maps) ประตทู างเขา้ วหิ ารพระเขย้ี วแกว้ ภายในวดั วชิ ยั สนุ ทรวหิ าร เมอื งเกา่ ดมั พเดณยิ ะ ศรลี งั กา (คดั ลอกภาพจาก https://www.google.com/maps)

102 เล่าเรอ่ื งเมือง (ศร)ี ลังกา (บน-ลา่ ง) พระวหิ ารประดษิ ฐานพระเขยี้ วแกว้ ภายในวดั วชิ ยั สนุ ทรวหิ าร เมอื งเกา่ ดมั พเดณยิ ะ ศรลี งั กา (คดั ลอกภาพจาก https://www.google.com/maps)

การศึกษาคณะสงฆ์สมยั ดัมพเดณยิ ะ 103 รปู ปน้ั พระเจา้ ปรากรมพาหทุ ี่ ๒ ภายในพพิ ธิ ภณั ฑด์ มั พเดณยิ ะ เมอื งเกา่ ดมั พเดณยิ ะ ศรลี งั กา (คดั ลอกภาพจาก https://www.google.com/maps) ซากพระราชวงั ของกษตั รยิ แ์ หง่ อาณาจกั รดมั พเดณยิ ะ เมอื งเกา่ ดมั พเดณยิ ะ ศรลี งั กา (คดั ลอก ภาพจาก (คดั ลอกภาพจาก https://www.google.com/maps)

104 เล่าเร่ืองเมอื ง (ศรี) ลงั กา คัมภีร์สกสกฑะ (เก่ียวกับพุทธประวัติ) คัมภีร์สตรภาณวาร (คัดบาง พระสูตรจากคัมภีร์พระปริตร) และคัมภีร์ธรรมปิยา (คัมภีร์เกี่ยวกับ ธรรมบท) หากตรวจสอบคัมภีร์เหล่าน้ีจะเห็นว่าเน้นความรู้เบื้องต้น เก่ียวกับพระพุทธศาสนา ส่วนพระปริตรและคาถาธรรมบทน่าจะ สงเคราะห์ชาวบ้านในลักษณะการสวดและสนทนาธรรม คัมภีร์เหล่าน้ี ผเู้ รยี นตอ้ งเชย่ี วชาญทง้ั อา่ นและเขยี น นอกจากนน้ั ผเู้ รยี นตอ้ งเวน้ จาก การคลุกคลีกับหมู่คณะและเว้นจากการเจรจาไร้สาระ ต้องมีกริยา มารยาทงดงาม และปฏิบัติตามกฎระเบียบของอารามวิหาร คร้ันจบ หลกั สตู รแลว้ ควรนำ� ตวั ไปมอบใหแ้ กพ่ ระนายกแตน (พระเถระชน้ั ผใู้ หญ-่ ผู้เขียน) เพ่ือทดสอบความรู้และวัตรปฏิบัติ หากอายุเพียง 12 ปี จะตอ้ งพกั อาศัยในอารามของคณะสงฆ์ฝา่ ยคามวาสี หากมอี ายุ 13 ปี จะตอ้ งพกั อยกู่ บั อารามของคณะสงฆฝ์ า่ ยอรญั วาสี นอกจากนน้ั ผเู้ รยี น ต้องศึกษาคัมภีร์อีกหลายเล่ม กล่าวคือ คัมภีร์กาคิยาสิ (กายคตาสติ) คัมภีร์จตุปาริสุทธิสีละ (ว่าด้วยปาฏิโมกขสังวร อินทรีย์สังวร อาชีวะ ปรสิ ทุ ธศิ ลี และปจั จยสนั นสิ สติ ศลี ) คมั ภรี ส์ ตรกมฏหนั (วา่ ดว้ ยพทุ ธานสุ ติ เมตตานุสติ อสุภนุสติ และมรณานุสติ) และคัมภีร์มหาณกติกาวัตร (บางทีเรยี กว่ากตกิ าภะณะ) การศกึ ษาชน้ั ตน้ นผ้ี ทู้ ำ� หนา้ ทรี่ บั ผดิ ชอบดแู ลมไิ ดร้ ะบตุ ำ� แหนง่ หนา้ ที่ อยา่ งชดั เจน สนั นษิ ฐานวา่ นา่ จะเปน็ พระสงฆผ์ มู้ คี ณุ วฒุ ดิ า้ นทรงปราชญ์ หรอื อาจจะเปน็ พระสงฆผ์ เู้ ปน็ อาจารยส์ อนสงั่ ตามสถาบนั การศกึ ษาทวั่ ไป ส่ิงหนึ่งที่สังเกตเห็นคือผู้สมัครใจเข้ามาบวชน้ัน ไม่ได้มีการแยกศึกษา เป็นฝ่ายคามวาสีหรืออรัญวาสี ครั้นผ่านไประยะหนึ่ง หากอาจารย์ผู้ สอนสั่งพิจารณาเห็นว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมส�ำหรับศึกษาชั้นสูงข้ึนไป ยอ่ มมสี ทิ ธิ์น�ำศษิ ย์ไปส่งมอบใหค้ ณะสงฆต์ ามนิกายแห่งตน

การศึกษาคณะสงฆ์สมยั ดมั พเดณยิ ะ 105 2) สามเณร ครั้นบรรพชาเป็นสามเณรแลว้ ผเู้ รยี นต้องพกั อาศยั และศึกษาภายใต้ค�ำแนะน�ำส่ังสอนของอุปัชฌาย์เป็นระยะเวลา 5 ปี หลกั สูตรช้ันน้ีประกอบดว้ ยคัมภรี ์เหรณสิกขา (เน้ือหาวา่ ดว้ ยเสขยิ วัตร) คัมภีร์จตุปาริสุทธิสีละ (ว่าด้วยปาฏิโมกขสังวร อินทรีย์สังวร อาชีวะ ปริสุทธิศีล และปัจจยสันนิสสิตศีล) คัมภีร์กาคิยาสี (กายคตาสติ) คัมภีร์สตรกมฏหัน (ว่าด้วยพุทธานุสติ เมตตานุสติ อสุภนุสติ และ มรณานุสติ) และธุดงควัตร สังเกตได้ว่าหลักสูตรชั้นนี้เน้นเก่ียวกับ มารยาทอนั ดงี ามเปน็ พนื้ ฐานเบอ้ื งตน้ ขณะเดยี วกนั ตอนปลายกน็ อ้ มนำ� ผู้เรียนเข้าสู่การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน สันนิษฐานว่าพระอุปัชฌาย์ ผู้ท�ำหน้าที่สอนน้ันต้องเป็นผู้เช่ียวชาญท้ังคันถธุระและวิปัสสนาธุระ อีกประการหนึ่งการสอนสามเณรให้สนใจวิปัสสนากรรมฐาน ย่อมเป็น อบุ ายชกั นำ� ใหเ้ กดิ ความเลอื่ มใสในพระพทุ ธศาสนา เพอ่ื เปน็ ศาสนทายาท ที่ดีสืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไป หากพิเคราะห์อย่างละเอียดจะเห็นว่าหลักสูตรชั้นนี้ส่วนหนึ่งน�ำ คมั ภรี ข์ องชนั้ ปณั ฑปุ ลาสะมาศกึ ษาอกี ครง้ั หนง่ึ ไมม่ หี ลกั ฐานระบชุ ดั เจน ว่าเพราะเหตุใด สันนิษฐานว่าน่าจะเน้นความส�ำคัญโดยเฉพาะเพ่ิม ความทรงจ�ำเข้าไป สิ่งหนึ่งที่การศึกษาช้ันน้ีเน้นคือการถือธุดงควัตร แสดงให้เห็นว่ามีการศึกษาท้ังคันถธุระและวิปัสสนาธุระควบคู่กันไป การศึกษาท้ังสองดังกล่าวน่าจะเป็นการปูทางส�ำหรับการศึกษาในช้ันสูง ต่อไป ประเด็นน่าสนใจเป็นพิเศษคืออายุของผู้เรียน แม้ช้ันต้นปัณฑุ ปลาสะจะระบุถึงอายุของผู้เรียนว่า 12-13 ปี แต่ก็หาได้เกิดความ ชัดเจนไม่ เพราะหากตรวจสอบหลักสูตรทั้งช้ันปัณฑุปาลสะและชั้น สามเณรกเ็ ห็นความยากของเน้ือหาค่อนข้างเดน่ ชดั

106 เล่าเรือ่ งเมือง (ศรี) ลังกา 3) นสิ สยั หรอื นวกะ หลกั สตู รชน้ั นส้ี ำ� หรบั พระสงฆช์ น้ั นวกะขน้ึ ไป เน้ือหาของหลักสูตรเน้นความเชี่ยวชาญด้านพระวินัย ระยะเวลาการ เรียนการสอน ๕ ปี หลักสูตรสำ� หรับการเรียนการสอนช้ันนี้คือคัมภีร์ นิสบณะ คัมภีร์นิศรยมุกตพาหุสรุตยยะ และคัมภีร์นิสสยมุกตสัมมุติ นา่ เสยี ดายไมม่ หี ลกั ฐานระบถุ งึ รายละเอยี ดของคมั ภรี ท์ งั้ สามเลม่ ดงั กลา่ ว หากวเิ คราะหศ์ พั ทข์ องคมั ภรี น์ า่ จะบง่ ถงึ ภาวะของพระนวกะกอ่ นทจี่ ะพน้ นิสัยภาวะเป็นแน่ ส�ำหรับผู้ท�ำหน้าท่ีสั่งสอนนั้นนอกจากพระอุปัชฌาย์ ผู้ท�ำหน้าที่ตามพระวินัยบัญญัติแล้ว น่าจะมีพระสงฆ์ช้ันนักปราชญ์ท�ำ หน้าที่ดูแลอย่างใกล้ชดิ ด้วย นอกนนั้ คมั ภีร์เบ้ืองตน้ แลว้ ผ้เู รียนชนั้ นยี้ ัง ตอ้ งศึกษาคัมภรี ม์ ูลสกิ ขา คมั ภรี ก์ ตกิ าบณะ (อาจเป็นค�ำสอนที่ตราไวใ้ น กตกิ าวัตร) และคัมภรี ์สิขะวลัณฑวนิ ิสะ ส�ำหรับผจู้ บชัน้ นไี้ ดร้ ับการแต่ง ตง้ั ในต�ำแหนง่ นิสสยมุจจนกะ (ผู้พ้นแลว้ จากนิสยั ) หากพิเคราะห์เน้ือหาของหลักสูตรจะเห็นว่า ชั้นน้ีต้องการให้ นักเรียนเชี่ยวชาญในพระวินัยจริง นอกจากการท่องจ�ำแต่ละคัมภีร์ อย่างคล่องปากแล้วยังต้องผ่านกระบวนการสอบวัดผลด้วย เพราะ หลักฐานระบุชัดว่าคัมภีร์สิขะวลัณฑวินิสะนั้นต้องมีการสอบวัดผลสอง ครัง้ ต่อปี (The Katikavatas: 1971, 143) ความเข้มงวดด้านพระวนิ ยั นอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อคณะสงฆ์โดยรวมแล้ว ยังส่งผลต่อแวดวง วรรณกรรมดว้ ย 4) เถรสัมมุติ ชั้นนีส้ �ำหรบั ผรู้ ง้ั ต�ำแหนง่ นิสสยมุจจนกะเรียบร้อย แล้ว ระยะเวลาการเรียนการสอน ๕ ปี หลกั สตู รของชัน้ นี้ประกอบดว้ ย อุภโตวิภังค์กล่าวคือภิกขุวิภังค์และภิกขุณีวิภังค์ รวมถึงวินัยกรรมตาม พระวินัยปิฎกด้วย สันนิษฐานว่าหลักสูตรชั้นน้ีเป็นการเตรียมผู้ศึกษา

การศกึ ษาคณะสงฆ์สมัยดัมพเดณยิ ะ 107 ให้เป็นอาจารย์สอนส่ังตามสถานศึกษาของคณะสงฆ์ ส่ิงหนึ่งซ่ึง ขาดหายไปคอื คมั ภรี ส์ ำ� หรบั เปน็ หลกั สตู รการเรยี นการสอนเหมอื นชนั้ อน่ื ทผ่ี า่ นมานอกเหนอื จากวิภงั ค์ทง้ั สอง เปน็ ไปได้หรอื ไมว่ ่าผู้ผ่านมาถึงช้นั นมี้ คี วามรพู้ นื้ ฐานดแี ลว้ อกี ทงั้ วฒุ ภิ าวะกเ็ หมาะสมตอ่ การศกึ ษาพระวนิ ยั ปิฎกอย่างแตกฉานลึกซ้ึง น่าเสียดายว่าไม่มีหลักฐานส่วนใดระบุ รายละเอยี ดเก่ียวกับผูส้ อน ผู้เขยี นสันนษิ ฐานว่าผูท้ ำ� หน้าท่สี ่งั สอนช้ันนี้ น่าจะเป็นพระเถระผู้ใหญ่ระดับมหาสถวีระหรือพระมหาสามีสังฆราช เป็นแน่ เพราะหลักฐานระบุไว้ว่าพระสงฆ์ผู้ผ่านช้ันน้ี ย่อมได้รับการ แต่งต้ังในต�ำแหน่งนายกแตนและเถรสัมมุติ โดยความเห็นชอบของ คณะสงฆ์ (The Katikavatas: 1971, 145) ชัยติลกะอ้างว่าผู้ศึกษาชั้นนี้เรียกอีกช่ือหน่ึงว่าปรศทุปัสถาปกะ หมายถงึ การทำ� หนา้ ทอ่ี ปุ ฏั ฐากดแู ลหมคู่ ณะ การประพฤตติ ามธดุ งควตั ร และการรักษาวินัยมิให้บกพร่อง (Katikawatsangara: 1955, 11) หากเป็นเช่นน้ันแสดงว่าช้ันน้ีเลียนแบบการศึกษาชั้นปริสุปัฏฐากสมัย อาณาจักรอนุราธปุระ ซ่ึงเน้ือหาเน้นให้ผู้เรียนท่องจ�ำสองวิภังค์ ศึกษา วินัยกรรม เรียนพระอภิธรรมปิฎก พระสุตตันตปิฎก และคัมภีร์ชาดก พร้อมคมั ภรี ์อรรถกถา (Samantapasadika: Part II, 2007, 386) 5) มหาเถระ ถือว่าเป็นช้ันสูงสุดมีระยะเวลาการเรียนการสอน 5 ปี ชั้นนี้ต้องศึกษาพระไตรปิฎกพร้อมคัมภีร์อรรถกถาท้ังหมด จุดประสงค์ชั้นน้ีคือเน้นให้ผู้เรียนเป็นเสาหลักของพระพุทธศาสนา กล่าวคือ มีความรู้แตกฉานด้านค�ำสอน (ปริยัติ) เช่ียวชาญด้านการ ฝึกฝน (ปฏิบัติ) และการรู้แจ้งเห็นจริง (ปฏิเวธ) ผู้ผ่านช้ันนี้ถือว่ามี คุณสมบัติครบถ้วนมีสิทธิได้รับการคัดเลือกให้ด�ำรงต�ำแหน่งมหาสถวีระ

108 เล่าเรอื่ งเมือง (ศรี) ลังกา ของคณะสงฆ์ฝ่ายคามวาสีและคณะสงฆ์ฝ่ายอรัญวาสี ผู้เขียนเห็นว่า ผ้ผู า่ นหลกั สูตรนน้ี ่าจะมีจ�ำนวนนอ้ ย เน่อื งจากเนื้อหาของหลักสตู รยาก ต่อการศึกษาเพราะต้องใช้วิธีท่องจ�ำเท่าน้ัน การจะจดจ�ำคัมภีร์พระ ไตรปิฎกและคัมภีร์อรรถกถาได้ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องยากยิ่งนัก ส�ำหรับ ผู้ท�ำหน้าที่ส่ังสอนสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นพระเถระผู้ใหญ่ระดับ มหาสถวีระและมหาสามีสังฆราช ด้านการทดสอบน่าจะยากย่ิงกว่า ชั้นอ่ืนทั้งหมด เพราะนอกจากจะต้องผ่านด่านความรู้ด้านทฤษฎีแล้ว ความรู้ด้านวิปัสสนาธุระน่าจะเป็นเลิศ จนเป็นท่ียอมรับของคณะสงฆ์ และสถาบันกษัตริย์ ชัยติลกะอ้างว่าผู้ศึกษาชั้นน้ีต้องศึกษาพระไตรปิฎกและคัมภีร์ อรรถกถาทั้งหมดอย่างแตกฉาน (Katikawatsangara: 1955, 12) เน้ือหาของหลักสูตรชั้นนี้มีความคล้ายคลึงกับชั้นภิกขุโนวาทกะสมัย อาณาจักรอนุราธปุระ (Samantapasadika: Part II, 2007, 387) ตา่ งกนั เพยี งหลกั สตู รภกิ ขโุ นวาทกะเนน้ ผเู้ รยี นใหท้ ำ� หนา้ ทสี่ งั่ สอนภกิ ษณุ ี ส่วนหลักสูตรมหาเถระเน้นสร้างผู้เรียนให้ข้ึนด�ำรงต�ำแหน่งมหาสถวีระ ผเู้ ขยี นเหน็ วา่ กรอบระยะเวลาทกี่ ำ� หนดไวไ้ มน่ า่ จะเพยี งพอ เพราะเนอื้ หา ของหลักสูตรค่อนข้างกว้างและลึกซึ้ง การจะจดจ�ำเน้ือหาท้ังหมด ของพระไตรปิฎกและคัมภีร์อรรถกถาทงั้ หมดเป็นเร่ืองยากยิ่งนกั หลักสูตรท้ังห้าช้ันดังกล่าวเบื้องต้นเป็นระบบลงตัวท้ังในแง่ของ คมั ภรี ส์ ำ� หรบั การเรยี นการสอนและผทู้ ำ� หนา้ ทส่ี งั่ สอน สนั นษิ ฐานวา่ การ ออกแบบหลกั สตู รดงั กลา่ วนา่ จะเกดิ จากความคดิ ของคณะสงฆโ์ ดยผา่ น พระราชประสงคข์ องพระเจา้ ปรากรมพาหอุ กี ที อาจเปน็ ไปไดว้ า่ คณะสงฆ์ สมัยน้ันหย่อนยานด้านความประพฤติ อีกทั้งอ่อนด้อยด้านความรู้ใน

การศกึ ษาคณะสงฆ์สมยั ดัมพเดณยิ ะ 109 คัมภีร์พระพุทธศาสนา อีกประการหน่ึง อดีตกาลผ่านมาช้ีให้เห็นว่า การเนน้ การเรยี นการสอนอยา่ งมีประสิทธิภาพอยา่ งเดียวคงไม่เพียงพอ จึงจ�ำเป็นต้องเช่ือมโยงการศึกษาให้สอดคล้องกับระบบการปกครอง คณะสงฆ์ โดยมีต�ำแหน่งทางคณะสงฆ์ก�ำกับหรือควบคุมการเรียน การสอน เป็นท่ีน่าสังเกตอย่างหน่ึงว่าระยะเวลาการเรียนการสอนท้ัง ห้าชั้นค่อนข้างยาวนาน กว่าจะถึงชั้นสุดท้ายผู้เรียนต้องใช้เวลานาน ผเู้ ขยี นเหน็ วา่ ระยะเวลาดงั กลา่ วเปน็ เพยี งการกำ� หนดขน้ึ ใหเ้ หมาะสมกบั หลักสูตรเท่านั้น ผู้เรียนที่ปรีชาฉลาดอาจสามารถย่นเวลาให้สั้นลงได้ เพราะการทดสอบแตล่ ะช้นั เน้นการท่องจ�ำเปน็ หลกั ประเดน็ นา่ สนใจเกย่ี วกบั การเรยี นการสอนคอื หลกั สตู รชน้ั ตน้ โดย เฉพาะชั้นปัณฑุปลาสะและชั้นสามเณรนั้น แม้จะเน้นคัมภีร์เก่ียวกับ วินัยพ้ืนฐานและคัมภีร์ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาก็จริง แต่กลับให้ความส�ำคัญด้านธุดงควัตรและวิปัสสนาธุระเป็นหลัก สันนิษฐานว่าการจัดวางหลักสูตรดังกล่าว น่าจะเลียนแบบการศึกษา สมัยอาณาจักรโปโฬนนารุวะ ซึ่งสมัยนั้นเน้นให้ผู้ศึกษาชั้นต้นปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐาน (Naimbala Dhammadassi: 1996, 111-112) การขัดเกลาพฤติกรรมด้วยวิปัสสนากรรมฐานแต่ต้นมือเป็นเร่ือง ส�ำคัญย่ิง เพราะนอกจากเป็นแรงจูงใจให้นักศึกษาศรัทธามั่นคงใน พระพุทธศาสนาแล้ว ยังส่งผลถึงวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาด้วย สังเกตได้จากเนื้อหาของวรรณกรรมสมัยนี้ท้ังคดีโลกและคดีธรรมล้วน ผสมแทรกด้วยหลกั ธรรมคำ� สอนชั้นปรมตั ถเ์ สมอ ผลจากการศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพวัดผลได้จากจ�ำนวนของ พระสงฆน์ กั ปราชญผ์ แู้ ตง่ ตำ� รา ยกตวั อยา่ งเชน่ พระสงั ฆราชอโนมทสั สี

110 เล่าเร่ืองเมอื ง (ศร)ี ลังกา ไดแ้ ตง่ คมั ภรี ฉ์ นั ทภ์ าษาสนั สกฤตเกย่ี วกบั โหราศาสตรช์ อื่ วา่ ไทวญั การนเธนุ แสดงให้เห็นว่าสมัยน้ันภาษาสันสกฤตทรงอิทธิพลต่อคณะสงฆ์อย่างย่ิง สว่ นศษิ ยข์ องพระสงั ฆราชรปู นไี้ ดแ้ ตง่ คมั ภรี ภ์ าษาบาลชี อ่ื วา่ หตั ถวนคลั ล วิหารวังสะ เน้ือหาว่าด้วยพระราชประวัติของกษัตริย์ผู้บ�ำเพ็ญโพธิสัตว์ บารมพี ระนามวา่ พระเจา้ สริ สิ งั ฆโพธิ และการรณรงคส์ งครามกบั พระเจา้ จันทรภาณุแหง่ อาณาจักรตามพรลิงคข์ องไทย พระเถระรปู หนึ่งนามวา่ เวเทหะผู้เป็นศิษย์ของพระอรัญญรัตนะอานนท์เถระได้แต่งฉันท์ภาษา บาลนี ามว่าสมนั ตกูฏวณั ณนา วา่ ด้วยการพรรณนารอยพระพทุ ธบาทท่ี ศรปี าทะ ถดั มาเปน็ การรวบรวมนทิ านของอนิ เดยี และลงั กาแตง่ เปน็ คมั ภรี ์ ชอื่ วา่ รสวาหนิ ี และเลม่ สดุ ทา้ ยเปน็ คมั ภรี ไ์ วยากรณช์ อื่ วา่ สหี ลสทั ทลกั ขณะ พระเถระผเู้ ปน็ ศษิ ยข์ องพระอานนทเ์ ถระอกี รปู หนง่ึ นามวา่ โคตมะ ไดแ้ ตง่ คัมภีร์สัมพันธจินตาสันยยะเป็นภาษาสิงหล ส่วนพระพุทธัปปิยเถระ ผู้เป็นศิษย์รูปสุดท้ายของพระอานนท์เถระได้แต่งคัมภีร์ไวยากรณ์ ภาษาบาลีชื่อว่ารูปสิทธิและคัมภีร์ปัชชมธุว่าด้วยพุทธลักษณะ ด้าน พระมยูรปาทเถระได้แต่งคัมภีร์ภาษาสิงหลว่าด้วยเรื่องราวทางศาสนา ชื่อวา่ ปชู าวลิยะ และสุดท้ายเปน็ คมั ภรี ท์ างการแพทยแ์ ตง่ เปน็ ภาษาบาลี ชื่อว่าเภสัชชมัญชุสาเป็นผลงานของพระปัญจมูลเถระ (History of Ceylon: Vol. I, part II, 1960, 770-773) หากวิเคราะห์เน้ือหาของแต่ละคัมภีร์จะเห็นความหลากหลาย ซ่ึงมีเนื้อหาเก่ียวกับคดีโลกและคดีธรรม ประการหน่ึงชี้ให้เห็นถึง ความเป็นปราชญ์ของพระสงฆ์สมัยนี้ และอีกประการหนึ่งแสดงให้เห็น ถึงความใจกว้างของชาวลังกาสมัยอาณาจักรดัมพเดณิยะ ลักษณะ ดังกล่าวน้ีแตกต่างจากสมัยโปโฬนนารุวะอย่างชัดเจนซ่ึง สมัยน้ันเน้น

การศกึ ษาคณะสงฆ์สมัยดัมพเดณยิ ะ 111 แต่งต�ำราทางพระพุทธศาสนาเท่าน้ัน แต่พระสงฆ์สมัยอาณาจักร ดัมพเดณิยะกลับสามารถข้ามพรมแดนไปแต่งศาสตร์ภายนอกที่ไม่ เกี่ยวข้องกับพทุ ธศาสนาได้ ดังเชน่ โหราศาสตร์ ศาสตร์ทางการแพทย์ สันนิษฐานว่าสมัยน้ันภาษาสันสกฤตทรงอิทธิพลต่อคณะสงฆ์เป็น อย่างมาก เนื่องจากศาสตร์ภายนอกพระพุทธศาสนาล้วนมีการบันทึก เป็นภาษาสันสกฤต พระสงฆ์ผู้แตกฉานในภาษาสันสกฤตคงพิจารณา เห็นว่าความรู้เกี่ยวกับศาสตร์ภายนอกมีจ�ำนวนน้อยนัก ด้วยต้องการ สงเคราะห์ชาวบ้านจึงถอดแปลหรือเรียบเรียงคัมภีร์ภาษาสันสกฤตเป็น ภาษาสิงหลด้วย นอกเหนือจากนั้น พระเถระบางรูปผู้มีความรู้ภาษา สันสกฤตช้ันครูก็แต่งคัมภีร์เป็นภาษาสันสกฤต เป็นที่น่าสังเกตว่าการ แต่งคัมภีร์ทั้งศาสตร์ทางโลกและทางธรรมล้วนเป็นปกติของพระสงฆ์ ทั้งฝ่ายคามวาสีและอรัญวาสี แสดงให้เห็นว่าระบบการศึกษาคณะสงฆ์ สมยั อาณาจกั รดมั พเดณิยะเป็นหนึ่งเดียวไมแ่ ยกตามกลมุ่ ตามนิกาย กลา่ วโดยสรปุ การศกึ ษาคณะสงฆส์ มยั อาณาจกั รดมั พเดณยิ ะเกดิ จากการล่มสลายของบ้านเมืองเป็นปฐม ผลจากการแตกแยกแบ่งฝ่าย ของบ้านเมืองมีผลกระทบต่อคณะสงฆ์โดยตรง เพราะธรรมชาติของ พระสงฆ์นั้นเป็นอยู่ได้เพราะการอุปถัมภ์ดูแลของกษัตริย์และศรัทธา ชาวพทุ ธ ครนั้ กษตั รยิ ส์ งิ หลกอบกบู า้ นเมอื งสถาปนาอาณาจกั รดมั พเดณยิ ะ ข้ึนแล้ว ทรงพิจารณาเห็นพระสงฆ์ผู้ประพฤตินอกธรรมนอกวินัยเป็น จำ� นวนมาก จงึ ตรากตกิ าวตั รเพอื่ เปน็ แนวทางใหพ้ ระสงฆป์ ระพฤตดิ งี าม ตามพระธรรมวินัย นอกจากน้ันยังจัดระบบการเรียนการสอนขึ้น เพื่อ สง่ เสรมิ พระสงฆใ์ หเ้ รยี นรแู้ ละเขา้ ใจพระธรรมวนิ ยั อยา่ งถกู ตอ้ ง เรม่ิ ตง้ั แต่ ชั้นเบ้ืองต้นพื้นฐานจนถึงชั้นสูงสุดแตกฉานในคัมภีร์พระไตรปิฎก

112 เล่าเร่ืองเมอื ง (ศร)ี ลังกา นอกจากนั้น การศึกษาคณะสงฆ์ยังเช่ือมโยงกับระบบการปกครอง คณะสงฆ์อย่างลงตัวเป็นเน้ือเดียวกัน ระบบทั้งสองอย่างทั้งการศึกษา และการปกครองคณะสงฆ์ ล้วนผูกโยงกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ในฐานะองค์เอกอุปถัมภก ด้วยการจัดวางระบบอย่างมีประสิทธิภาพ จึงท�ำให้การพระศาสนาท่ีเส่ือมโทรมถดถอยสามารถฟื้นฟูจนม่ันคง ในเวลาอันสั้น สังเกตได้จากมีพระสงฆ์นักปราชญ์พากันแต่งคัมภีร์ สำ� คญั นอ้ ยใหญเ่ ปน็ จำ� นวนมากทงั้ ทเี่ ปน็ คดโี ลกและคดธี รรม จนสามารถ สืบคน้ หาได้ในปัจจบุ นั วันน้ี

การศึกษาคณะสงฆ์สมยั ดมั พเดณยิ ะ 113 เอกสารอ้างอิง Amaradasa Liyanagamage. The Decline of Polonnaruwa and the Rise of Dambadeniya. Colombo, the Department of Cultural Affairs, 1967. Chandra Richard de Silva. Sri Lanka A History. New Delhi: Vikas Publishing House PVT LTD., 2001. Gunaratne Panabokke. History of the Buddhist Sangha in India and Sri Lanka. Colombo: Karunatne & Sons Ltd., 1993. H.W. Codrington. A Short History of Ceylon. New Delhi: Asian Educational Services, 1994. Hatthavanagallaviharavamsa. ed C.E. Godakumbura. London, P.T.S., 1956. History of Ceylon Vol. I, part II. University of Ceylon. Colombo: Ceylon University Press, 1960. Katikawatsangara. Translated by D.B. Jayatilaka. Kelaniya, 1955. Naimbala Dhammadassi. The Development of Buddhist Monastic Education in Sri Lanka with Special Reference to the Modern Period. Unpublished thesis of Lancaster University, 1996.

114 เล่าเร่ืองเมอื ง (ศรี) ลงั กา Paul Michel Munoz. Early Kingdoms: Indonesian Archipelago & the Malay Peninsula. Singapore: Editions Didier Millet, 2006. The Katikavatas: Laws of the Buddhist Order of Ceylon from the 12th Century to the 18th Century. Translated by Nandasena Ratnapala. Munchen: Mikrokopie GmbH, 1971. The Rajavaliya: An Account of the Rulers of Sri Lanka. Translated by A.V. Suraweera. Colombo: Vijitha Yapa Publications, 2014. W.M. Sirisena. Sri Lanka and South-East Asia. Colombo: S. Godage & Brothers (Pvt) Ltd., 2016. W.M.K. Wijetunga. “Sarovada Dipaniya: A Katikavata of the 19th Century.” [Online]. Available http://dr.lib.sjp.ac.lk/ handle/123456789/283 Retrieved January 23, 2019, 1970. Translated Thai References Phramahanama and Ganabundit. Mahavamsa, Part. II. Translated by Asst. Prof. Suthep Promlert. Bangkok: Mahachulalongkornrajavidyalaya University Press, 2010.

การศกึ ษาคณะสงฆ์สมยั ดัมพเดณิยะ 115 Phraratanapanyathera. Jinakalamalipakorn. Translated by Pol. Lt. Seang Manavitoon. Bangkok: Ramthai Press Company Limited., 2007. Phrasangharaja Devarakshita Vijayabahuthera. Nikayasan- grahaya: Religious Record of India and Sri Lanka. Translated by Phramaha Phocana Suvaco. Nakorn- pathom: Salapimpakarn Publication, 2016. Samantapasadika Part II, Mahachulalongkornrajavidyalaya Edition. Mahachulalongkornrajavidyalaya Press, 2007. The Relic Chronicle of Nakhon Si Thammarat. Public in the funeral ceremony of Mrs. Thepnarindra (Sa-yuen Isarangkoorn na Ayudhaya) Phosonpipardnakorn Press, 1928. Yatadolawatte Dhammavisuddhi. A History of Medieval Sri Lanka Monastic Chapter, Monetary Management, Monastic Education and Buddhist Reformation. Translated by Phramaha Phocana Suvaco. Nakorn- pathom: Salapimpakarn Publication, 2016.

116 เล่าเรือ่ งเมอื ง (ศรี) ลงั กา (บนซ้าย) คัมภีร์หัตถวนคัลลวิหารวังสะฉบับถอดเป็นอักษรโรมัน และ (บนขวา) คัมภรี ์ดาฬดาสริ ิตะ เรียบเรียงโดยคณุ วรรธนะ ประตทู างเขา้ วหิ ารพระเขยี้ วแกว้ ภายในวดั วชิ ยั สนุ ทรวหิ าร เมอื งเกา่ ดมั พเดณยิ ะ ศรลี งั กา (คัดลอกภาพจาก https://www.google.com/maps)

การศึกษาคณะสงฆ์สมยั ดมั พเดณยิ ะ 117 หนิ สลกั เกย่ี วกบั พทุ ธประวตั บิ รเิ วณประตทู างเขา้ วหิ ารพระเขยี้ วแกว้ เมอื งเกา่ ดมั พเดณยิ ะ ศรลี ังกา (คดั ลอกภาพจาก https://www.google.com/maps) ซากปฏิมาฆระหรือพระวิหาร ภายในวัดวิชัยสุนทรวิหาร เมืองเก่าดัมพเดณิยะ ศรีลังกา (คดั ลอกภาพจาก https://www.google.com/maps)

118 เล่าเร่อื งเมือง (ศรี) ลงั กา (บนซ้าย) คัมภีรร์ ูปสทิ ธิฉบบั ภาษาสงิ หล และ (บนขวา) คมั ภรี ป์ ชู าวลิยะฉบบั ภาษาสงิ หล โพธิฆระหรือเรือนโพธิ์ ภายในวัดวิชัยสุนทรวิหาร เมืองเก่าดัมพเดณิยะ ศรีลังกา (คัดลอกภาพจาก https://www.google.com/maps)

การศึกษาคณะสงฆ์สมัยดัมพเดณยิ ะ 119 เจตยิ ฆระหรอื เรอื นเจดยี ์ ภายในวดั วชิ ยั สนุ ทรวหิ าร เมอื งเกา่ ดมั เดณยิ ะ ศรลี งั กา (คดั ลอก ภาพจาก https://www.google.com/maps) รูปสลักช้างศิลาทางขึ้นวิหารพระเข้ียวแก้วภายในวัดวิชัยสุนทรวิหาร เมืองเก่าดัมเดณิยะ ศรีลงั กา (คดั ลอกภาพจาก https://www.google.com/maps)

120 เล่าเรื่องเมอื ง (ศร)ี ลังกา

การประดษิ ฐานพระเข้ยี วแก้วที่หาดทรายแก้ว 121

บรรยายภาพ : พระเวสสันดรประทานพระกัณหาและพระชาลีแก่พราหมณ์ชูชก ภาพ จิตรกรรมฝาผนังวดั ธลวะราชมหาวิหาร เมืองแคนดี

บทท่ี ๔ การประดษิ ฐานพระเข้ียวแกว้ ทห่ี าดทรายแก้ว* กล่าวนำ� พระเขี้ยวแก้วมีความส�ำคัญต่อประเทศศรีลังกาท้ังในแง่การเมือง และการศาสนา หน่ึงนั้นในฐานะเป็นสัญลักษณ์สนับสนุนสถานภาพ ของกษัตริย์ลังกา กล่าวคือผู้ใดครอบครองย่อมสามารถประกาศตน เป็นกษัตริย์เหนือเกาะลังกา (Dhammavisuddhi: 1970, 316-317) อีกหนึ่งน้ันในฐานะเป็นสัญลักษณ์ของศาสนากล่าวคือเป็นสิ่งศักด์ิสิทธ์ิ เสมอื นตวั แทนของพระพทุ ธเจา้ (Dhammakitti Thera: 1874, 75-79) ความส�ำคัญของพระเขี้ยวแก้วถูกบันทึกไว้ในวรรณกรรมของชาวสิงหล หลายตอ่ หลายเลม่ แตล่ ะเลม่ ลว้ นชบี้ อกเปน็ แนวทางเดยี วกนั วา่ กษตั รยิ ์ แหง่ อาณาจกั รกาลงิ คะทางอนิ เดยี ไดส้ ง่ ตวั แทนอญั เชญิ ไปมอบถวายแด่ กษัตริย์ศรีลังกา เพราะพิจารณาเห็นว่าเป็นผู้พิทักษ์รักษาค�ำสอนของ พระชินสีห์ และเป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์แห่งแคว้นกาลิงคะ (Wickramasinhe: 1956, 20) ด้วยเหตุนั้นกษัตริย์สิงหลทุกพระองค์ จึงมีหน้าท่ีถวายการอารักขาพระเขี้ยวแก้วอย่างดีย่ิงเสมือนตัวแทน ของพระบรมศาสดาเจา้ ภาคใต้ของไทยสมัยอาณาจักรตามพรลิงค์มีหลักฐานหลายแห่ง ระบวุ า่ เชอื่ มโยงกบั ประเทศศรลี งั กา ในฐานะรบั เอาพระพทุ ธศาสนาลทั ธิ * “ข้อสังเกตเกี่ยวกับการประดิษฐานพระเข้ียวแก้วท่ีหาดทรายแก้ว” ตีพิมพใ์ นสารอาศรมวัฒนธรรมวลัยลกั ษณ์ Vol. 20 No. 1 (2020)

124 เล่าเรือ่ งเมอื ง (ศรี) ลังกา ลังกาวงศ์เข้ามาเผยแผ่จนเป็นที่รู้จักแพร่หลาย การรับพระพุทธศาสนา หมายรวมถึงหลักธรรมค�ำสอน คติความเช่ือ และจารีตประเพณี ซึ่ง หย่งั รากฝังลกึ ลงสู่แผน่ ดนิ ภาคใต้ของไทย บรรดาคตคิ วามเช่ือเหลา่ นั้น เร่ืองราวของพระเขี้ยวแก้ว ซึ่งมาประดิษฐานที่หาดทรายแก้วหรือเมือง นครศรีธรรมราช เป็นประเด็นน่าสนใจชวนวิเคราะห์ในเชิงลึก เพราะ นอกจากมบี รบิ ทเกย่ี วกบั ศาสนาเขา้ มาเกยี่ วขอ้ งแลว้ ยงั มเี รอื่ งการเมอื ง ผสมแทรกอีกด้วย การวิเคราะห์ประเด็นน้ีนอกจากจะท�ำให้ทราบเรื่อง ราวเก่ียวกับพระเข้ียวแก้วแล้ว ยังสามารถลงลึกในรายละเอียดว่า แท้จริงแล้วลัทธิลังกาวงศ์ท่ีเข้ามาเผยแผ่ยังอาณาจักรตามพรลิงค์นั้น เปน็ พระพทุ ธศาสนาสายเถรวาทหรือฝา่ ยมหายาน? เพราะอิทธพิ ลของพระสมณทตู เรื่องราวของพระเขี้ยวแก้วพบเห็นคร้ังแรกในคัมภีร์มหาวงศ์ของ ศรีลังกา เหตุการณ์คร้ังนั้นตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าสิริเมฆวัณณะ (พ.ศ.844-871) ดังความว่า “ในปีที่เก้าแห่งรัชสมัยของพระองค์ นางพราหมณีคนหน่ึงได้อัญเชิญพระเข้ียวแก้วของพระพุทธเจ้าจาก แคว้นกาลิงคะมาที่ลังกาทวีป พระเจ้าแผ่นดินแห่งลังกาทรงรับพระ เขี้ยวแก้วตามวิธีที่ท่านบรรยายไว้ในคัมภีร์ทาฐาธาตุวงศ์ พระองค์ทรง มีความเคารพอย่างสูงสุด ทรงบรรจุในผอบแก้วผลึกอันบริสุทธิ์แล้ว โปรดใหบ้ รรจใุ นพระราชมณเฑยี รชอ่ื วา่ ธรรมจกั ร ซงึ่ พระเจา้ เทวานมั ปยิ ติสสะรับสั่งให้สร้างไว้ในพระราชวัง แต่นั้นพระราชมณเฑียรจึงชื่อว่า ทาฐาธาตุฆระหรือเรือนประดิษฐานพระเข้ียวแก้ว พระองค์ทรงสละ พระราชทรัพย์ 900,000 และโปรดให้จัดพิธีเฉลิมฉลองพระเขี้ยวแก้ว อยา่ งยงิ่ ใหญ่ ทรงนำ� พระเขย้ี วแกว้ ไปยงั อภยั คริ วี หิ าร และแตง่ ตงั้ บคุ คล

การประดษิ ฐานพระเข้ยี วแก้วทหี่ าดทรายแก้ว 125 ท�ำพิธีบูชาพระเขี้ยวแก้วทุกปี” (Geiger: part, I, 1992, 7-8) หลักฐานเบ้ืองต้นชี้ให้เห็นว่านอกจากถวายความอุปถัมภ์พระเขี้ยวแก้ว อย่างยิ่งใหญ่แล้ว กษัตริย์ลังกายังโปรดให้แต่งคัมภีร์บันทึกเร่ืองราว และพธิ กี ารเกยี่ วกบั พระเขย้ี วแกว้ ในชอื่ วา่ ทาฐาธาตวุ งศด์ ว้ ย สนั นษิ ฐาน ว่าคัมภีร์เล่มนี้น่าจะทรงอิทธิพลต่อพระสมณทูตหลายรูป โดยเฉพาะ พระสงฆ์สายมหายานท่ีเดินทางมาคัดลอกพระคัมภีร์ส�ำคัญในส�ำนัก อภยั คิรวี ิหาร พระสมณทูตรูปแรกผู้บันทึกเรื่องพระเขี้ยวแก้วคือพระภิกษุ ฟาเหียน พระสงฆ์จีนรูปนี้เดินทางมาเกาะลังกาภายหลังพระเข้ียวแก้ว อญั เชญิ มาเกาะลงั กาแลว้ หนง่ึ ศตวรรษ ทา่ นไดพ้ ำ� นกั กบั คณะสงฆส์ ำ� นกั อภัยคิรีวิหารเป็นเวลา 2 ปี (พ.ศ.955-956?) ได้เห็นพิธีแห่แหน พระเขี้ยวแก้วอย่างย่ิงใหญ่ตระการตา จึงพรรณนาไว้ว่า “พระราชา (พระเจ้ามหานามะ พ.ศ.949-971-ผู้เขียน) ได้ให้ท�ำรูปภาพร่างกาย น้อยใหญ่แสดงไว้ตามริมถนนทั้งสองข้าง 500 ภาพ ซึ่งเป็นภาพท่ีมี ปรากฏมาในต�ำนานของพระโพธสิ ัตว์ เชน่ ครง้ั เป็นสทุ าน ครัง้ เปน็ สามะ ครั้งเป็นพระยาคชสาร และเม่ือครั้งเป็นกวางหรือม้า รูปภาพท้ังหมด เหล่าน้ีระบายด้วยสีอย่างสดใส และส�ำเร็จพร้อมไปด้วยความงดงาม ซึ่งแลดูเป็นประดุจส่ิงมีชีวิตอยู่ ต่อจากนี้พระทันตธาตุของพระองค์ก็ ถกู เชญิ ออกมาและพาไปในกลางถนน ทกุ แหง่ หนกถ็ วายเครอื่ งสกั การบชู า ต่อพระทันตธาตุตลอดทาง จนกระทั่งถึงวิหารของพระพุทธองค์ภายใน บรเิ วณอภยั คริ อี าราม ตรงนนั้ พระภกิ ษแุ ละคฤหสั ถร์ วมกนั เปน็ กลมุ่ ใหญ่ น้อยต่างเผาเคร่ืองหอมและจุดประทีปโคมไฟ ปฏิบัติกันอยู่เช่นนี้ตลอด ก�ำหนดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืนโดยมิได้หยุด จนกระทั่งครบเวลา

126 เล่าเรอื่ งเมอื ง (ศร)ี ลังกา ท่มี ีงาน 80 วนั บรบิ รู ณ์ เมือ่ (พระทนั ตธาตถุ ูกอญั เชิญ) กลบั ไปสู่วหิ าร ภายในนคร (ตามเดิม) แล้ว ในวันถือศีลประตูวิหารจะเปิด ผู้ท่ีเคารพ นับถือกเ็ ข้าไปกระท�ำกจิ พธิ แี ละบำ� เพ็ญศีลตามวนิ ยั ” (Fa-Hien: 1998, 105-107) รายละเอียดดังกล่าวนอกจากจะประจักษ์ด้วยสายตาแล้ว พระภกิ ษฟุ าเหยี นนา่ จะคดั ลอกสำ� นวนบางสว่ นมาจากคมั ภรี ท์ าฐาธาตวุ งศ์ และเร่ืองราวเกี่ยวกับพระเข้ียวแก้วน่าจะติดตัวพระภิกษุฟาเหียนไป เมอื งจนี ดว้ ยและคงจะเปน็ ทรี่ จู้ กั แพรห่ ลายของชาวจนี สงั เกตไดจ้ ากภาย หลังท่านเดินทางถึงจีนแล้ว 16 ปี (พ.ศ.971) พระเจ้ามหานามะแหง่ ศรีลังกาโปรดให้ส่งพระราชสาสน์ไปถวายพระจักรพรรดิจีน พร้อมด้วย แบบจ�ำลองวิหารพระเข้ียวแก้วในฐานะเป็นสัญลักษณ์แสดงความ จงรกั ภกั ดี (Seneveratne: 1917, 107) ส่วนจดหมายเหตุการเดินทางสู่ดินแดนตะวันตกของพระภิกษุ ถังซำ� จั๋ง ไดบ้ ันทึกเรอื่ งราวของพระเขี้ยวแกว้ เช่นกนั ดังความว่า “ขา้ ง พระราชวงั มวี ิหารทป่ี ระดษิ ฐานพระเขย้ี วแก้ว วหิ ารนส้ี งู หลายรอ้ ยเฉียะ ประดบั ประดาด้วยรัตนมณีมคี ่า ข้างบนวหิ ารมเี สาปลายเสาขจิตตกแต่ง ด้วยปัทมราคมณี เปล่งรัศมีเรืองรองส่องกระทบต้องกันแพรวพราว ไม่ว่าจะเป็นเวลากลางวันหรือยามค่�ำคืน ก็แลเห็นได้ไกลดังดวงดาวที่ แจม่ จรสั พระราชาทรงสรงนำ้� พระเขยี้ วแกว้ วนั ละ 3 ครง้ั บางครง้ั กส็ รง น�้ำหอม บางครั้งรมด้วยผงหอม ทรงถวายสักการบูชาด้วยวัตถุล�้ำค่า ท่ีหายากอยา่ งยงิ่ ” (Hiuen Tsiang: 1906, 248) กล่าวตามความจรงิ พระถังซ�ำจ๋ังไม่เคยเดินทางไปเกาะลังกาเลย สันนิษฐานว่าเรื่องราว เหล่าน้ีท่านน่าจะได้ข้อมูลมาจากการสอบถามกับพระสงฆ์ศรีลังกาแห่ง ลังการามบริเวณพุทธคยา เพราะหลักฐานยืนยันว่าพุทธคยาเป็น

การประดษิ ฐานพระเขยี้ วแก้วที่หาดทรายแก้ว 127 ศูนย์กลางการศึกษาจารีตประเพณีของพุทธศาสนาศรีลังกามาแต่เดิม (Seneveratne: 1917, 75-81) อยา่ งไรกต็ าม หลกั ฐานสว่ นนก้ี ช็ ใ้ี หเ้ หน็ ถึงความส�ำคัญของพระเขี้ยวแก้วในสายตาของพระสมณทูตจีน หลักฐานอย่างหนึ่งซ่ึงสอดคล้องกับบันทึกของพระภิกษุฟาเหียนคือ ผู้ ทำ� หนา้ ทร่ี ักษาพระเขยี้ วแกว้ เป็นภาระของคณะสงฆ์สำ� นกั อภยั คริ วี ิหาร พระสมณทูตอีกรูปหน่ึงซึ่งเดินทางมาเกาะลังกาคือพระภิกษุอ้ีจิง (พ.ศ.1214-1238) ท่านได้บันทึกเรื่องราวเก่ียวกับพระเข้ียวแก้วอย่าง น่าสนใจว่า “ท่านได้มโี อกาสเดนิ ทางไปเยือนเกาะลงั กา ครานัน้ กษตั รยิ ์ ศรลี งั กาถวายการตอ้ นรบั เปน็ อยา่ งดี ทา่ นไดเ้ ขา้ ไปสกั การะพระเขย้ี วแกว้ อย่างใกล้ชิด ซ่ึงประดิษฐานในวิหารภายในพระราชวัง ท่านพยายาม หาวิธีลักซ่อนพระเขี้ยวแก้ว แต่เนื่องจากมีการตั้งเวรยามรักษาอย่าง เขม้ งวดจงึ ไม่สามารถทำ� ได้ คร้ันกษตั ริยศ์ รีลังกาทราบเชน่ นัน้ จึงรบั สัง่ ให้สร้างผอบเก็บพระเขี้ยวแก้วหลายช้ัน โดยมีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบดูแล ถึง 5 คน หากมีการเปิดประตูเสียงก็จะดังข้ึนจากภายนอกวิหารโดย อัตโนมัติ เหตุท่ีต้องตั้งอารักขาเข้มงวดเช่นน้ี เพราะมีความเชื่อว่าหาก สูญเสียพระเข้ียวแก้ว พวกยักษ์จะออกมาอาละวาดจับกินชาวเมือง หมดสน้ิ ” (Lahiri: 1974, 390-391) หลกั ฐานเบ้ืองตน้ ชีใ้ หเ้ หน็ วา่ ไมว่ ่า จะเปน็ สมยั ใดกษตั รยิ ศ์ รลี งั กากท็ ำ� หนา้ ทอี่ ารกั ขาพระเขยี้ วแกว้ อยา่ งดยี ง่ิ อีกท้ังเน้ือหาของบันทึกก็เป็นไปในทิศทางเดียวกับบันทึกของพระภิกษุ ฟาเหยี นและพระภิกษถุ ังซำ� จงั๋ สมณทูตรูปต่อมาท่ีเดินทางมาศรีลังกาคือพระภิกษุวัชรโพธิ ท่านได้เข้าพ�ำนักท่ีส�ำนักอภัยคิรีวิหาร คราวแรกเป็นเวลา 6 เดือน (พ.ศ.1261) ส่วนคราวหลังพักอยู่หนึ่งเดือน ขณะพักอยู่เกาะลังกานั้น

128 เล่าเร่ืองเมือง (ศร)ี ลังกา ท่านได้มีโอกาสเข้าสักการะพระเขี้ยวแก้ว และเดินทางไปกราบไหว้รอย พระพุทธบาทที่ศรีปาทะด้วย (Seneveratne: 1917, 109) บนั ทึกการ เดินทางของพระภิกษุวัชรโพธิชี้ให้เห็นว่านอกจากชาวพุทธศรีลังกาจะ สกั การบชู าพระเขย้ี วแกว้ แลว้ รอยพระพทุ ธบาททศ่ี รปี าทะแหง่ เมอื งรตั น ปุระก็มีความส�ำคัญเฉกเช่นเดียวกัน สมณทูตรูปถัดมาคือพระภิกษุ อโมฆวชั ระ ทา่ นเดนิ ทางมาเกาะลงั กาเมอ่ื พทุ ธศกั ราช 1279 บนั ทกึ การ เดินทางระบุว่าขณะเดินทางถึงเมืองอนุราธปุระท่านได้รับการต้อนรับ อยา่ งสมเกยี รติ โดยมขี นุ นางผใู้ หญแ่ ละทหารกองเกยี รตยิ ศยนื เรยี งราย สองขา้ งทาง กษตั รยิ ล์ งั กาไดถ้ วายความเคารพทา่ นอยา่ งสงู สดุ ดว้ ยการ กราบที่เท้า ขณะพักอยู่เกาะลังกาน้ันท่านได้พักที่วัดพระเข้ียวแก้ว ซึ่ง อยู่ภายในส�ำนักอภัยคิรีวิหาร (Chou Yi-Ling: 1945, 290-292) พระภิกษุอโมฆวัชระนั้นเป็นศิษย์เอกของพระวัชรโพธิ สันนิษฐานว่า บันทึกเกี่ยวกับพระเข้ียวแก้วน่าจะได้รับอิทธิพลมาจากอาจารย์แห่งตน หลักฐานดังกล่าวเบื้องต้นชี้ให้เห็นว่าสมณทูตเหล่านั้นเดินทางมา เกาะลังกา นอกจากประสงค์เข้าสักการะพระเขี้ยวแก้วและบุณยสถาน ศักดิ์สิทธ์ิแล้ว ยังต้องการศึกษาคติค�ำสอนมหายานและคัดลอกคัมภีร์ ส�ำคัญของคณะสงฆส์ ำ� นกั อภยั คริ ีวหิ ารดว้ ย ประเด็นน่าสนใจคือ พระภิกษุอ้ีจิงก็ดี พระภิกษุวัชรโพธิก็ดี พระภกิ ษอุ โมฆวชั ระกด็ ี เคยแวะพกั อาศยั อารามวหิ ารบรเิ วณอาณาจกั ร ศรีวิชัยขณะเดินทางผ่านไปกลับอินเดียและจีน โดยเฉพาะสองรูปหลัง เคยพักและศึกษาพระสูตรส�ำคัญในส�ำนักอภัยคิรีวิหารบนเกาะชวา ซ่ึง กษัตริย์แห่งราชวงศ์ไศเลนทรโปรดสร้างถวายพระสงฆ์ชาวศรีลังกา (Degroot: 2006, 55) การเดินทางเข้าออกเกาะลังกาหลายครั้ง น่าจะ

การประดษิ ฐานพระเขย้ี วแก้วที่หาดทรายแก้ว 129 ท�ำให้พระสมณทูตเหล่าน้ันน�ำข่าวพระเขี้ยวแก้วมาบอกแก่พระสงฆ์ ศรีลังกาแห่งอภัยคิรีวิหารบนเกาะชวา เหตุเพราะพระเข้ียวแก้วเป็น ส่ิงศักด์ิสิทธิ์ของคณะสงฆ์ส�ำนักอภัยคิรีวิหารประการหนึ่ง และเหตุ เพราะการปฏสิ มั พนั ธใ์ นฐานะผนู้ บั ถอื มหายานประการหนง่ึ และเรอ่ื งราว เกย่ี วกบั พระเขย้ี วแกว้ นา่ จะเปน็ ทรี่ จู้ กั แพรห่ ลายตลอดอาณาจกั รศรวี ชิ ยั ตอ่ มาครนั้ กษตั รยิ แ์ หง่ อาณาจกั รศรวี ชิ ยั เขา้ ไปครอบครองดนิ แดนภาคใต้ ของไทย คติความเชื่อเก่ียวกับพระเขี้ยวแก้วในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธ์ิของ สำ� นักอภัยคิรีวิหารน่าจะติดตามไปดว้ ย ผู้เขียนเห็นว่าเนื้อหาว่าด้วยการอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วไป ประดษิ ฐานทห่ี าดทรายแกว้ น่าจะเปน็ เจตนาของพระสงฆส์ �ำนักอภยั คิรี วหิ าร ซึง่ ต้องการช้ใี หเ้ หน็ ว่าหาดทรายแก้วเปน็ สถานท่ีพระพทุ ธเจา้ ทรง เลอื กแลว้ วา่ เหมาะสมสำ� หรบั ประดษิ ฐานพระพทุ ธศาสนา หากมองในแง่ วรรณกรรมลักษณะเช่นนี้มิใช่เป็นเรื่องแปลกใหม่แต่ประการใด เพราะ ปรากฏเห็นในต�ำนานของศรีลังกาหลายเล่ม ซ่ึงระบุว่าเหตุที่เกาะลังกา รงุ่ เรอื งดว้ ยพระพทุ ธศาสนา เพราะเปน็ สถานทพี่ ระพทุ ธเจา้ ทรงพยากรณ์ เอาไว้และเคยเสด็จไปเยือนแล้ว นอกจากพระสมณโคดมพุทธเจ้าแล้ว อดีตพระพุทธเจ้าหลายพระองค์ก็เคยเสด็จไปเกาะลังกาเช่นกัน (Oldenberg: 2001, 124-129) แต่เนื่องจากเร่ืองราวพระเขี้ยวแก้ว เป็นคติความเช่ือของส�ำนักอภัยคิรีวิหารผู้ฝักใฝ่มหายาน จึงเปล่ียน ค�ำพยากรณจ์ ากพระพุทธเจา้ เปน็ พระสาวกอรหันตเ์ สีย และเปลี่ยนการ เสด็จมาเยือนของพระพุทธเจ้าเป็นการอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วเข้ามา แทนที่ (The Chronicle of the Stupa of Nakhon Si Thammarat: 1982, 2-4)

130 เล่าเรื่องเมอื ง (ศร)ี ลังกา เพราะอิทธพิ ลของสำ� นกั อภยั คิรีวิหาร ส�ำนักอภัยคิรีวิหารเกิดข้ึนสมัยพระเจ้าวัฏฏคามณีอภัย (พ.ศ. 454-466) คัมภีร์มหาวงศ์พรรณนาไว้ว่าคราวเม่ือพระองค์หลบหนี ราชภัยจากทมิฬคนนอก พระมหาติสสเถระได้ช่วยเหลือสงเคราะห์ พระองค์เปน็ อยา่ งดี ครนั้ กอบกู้บ้านเมอื งเรยี บรอ้ ยแล้วพระองค์โปรดให้ สร้างอภัยคิรีวิหารถวายเป็นสมบัติส่วนตัวแด่พระเถระ จึงเป็นเหตุให้ คณะสงฆ์แห่งส�ำนักมหาวิหารพากันคัดค้าน น�ำมาสู่การลงสังฆามติ ปรับอาบัติพระมหาติสสเถระด้วยการขับไล่ออกจากหมู่คณะ คราวน้ัน พระมหาแทฬิยติสสเถระผู้เป็นศิษย์คัดค้านค�ำตัดสินของพระมหาเถระ แหง่ สำ� นกั มหาวหิ าร จงึ พาศษิ ยจ์ ำ� นวนมากแยกออกจากสำ� นกั มหาวหิ าร มาอาศยั กบั อาจารย์แห่งตนท่สี �ำนกั อภัยคริ วี ิหาร (Mahanama Thera: 2000, 236-237) นี้เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความร้าวฉานของคณะสงฆ์ นับต้ังแต่ก�ำเนิดส�ำนักมหาวิหาร เป็นท่ีน่าสังเกตว่าแม้พระสงฆ์แห่ง ส�ำนักอภัยคิรีวิหารจะแยกตนต่างหากจากส�ำนักมหาวิหารก็จริง แต่ ค�ำสอนและวัตรปฏิบัติมิได้แตกต่างกันแต่ประการใด เห็นต่างเฉพาะ การพิจารณาอธิกรณ์พระมหาติสสเถระผู้เป็นอาจารย์แห่งตนเท่านั้น (Rahula: 1993, 84) ประเด็นน่าสนใจคือสถาบันกษัตริย์ซึ่งเป็นผู้ สร้างปัญหา มิได้เข้ามาแทรกแซงคณะสงฆ์ด้วยการแก้ปัญหาแต่ อย่างใด ลักษณะเช่นน้ีเปิดช่องให้คณะสงฆ์ท้ังสองส�ำนักสร้างความ ขดั แยง้ เร่ือยไป คณะสงฆแ์ หง่ สำ� นกั อภยั คริ วี หิ ารนน้ั มสี มาชกิ จำ� นวนนอ้ ย จงึ เปดิ กว้างยอมรับแนวคิดของคณะสงฆ์กลุ่มอ่ืนอีกหลายนิกายซ่ึงเดินทางมา

การประดิษฐานพระเข้ียวแก้วทห่ี าดทรายแก้ว 131 จากต่างแดน ดังเช่น ธรรมรุจินิกายแห่งปัลลรารามจากอินเดียตอนใต้ ซึ่งสืบสายมาจากวัชชีบุตรนิกาย ไวตุลยนิกายแห่งอินเดียซึ่งเป็นนิกาย เก่าแก่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชปฏิรูปศาสนา และวัชรยานนิกายจาก อินเดียใต้ ซ่ึงมีค�ำสอนเป็นรหัสนัยและเป็นอันหน่ึงอันเดียวกันกับลัทธิ ตันตระ (Chandawimala: 2007, 167-181) นอกจากนัน้ สำ� นกั อภัย คริ วี หิ ารยงั มีพระสงฆอ์ ีกหลายกลุ่มอาศยั อยูด่ ว้ ย ดังเช่น สรวาสติวาท นิกาย สัมมิติยนิกาย และอีกหลายนิกายย่อยแห่งมหาสังฆิกนิกาย (Gunawardhana: 1979, 256-257) จำ� นวนพระสงฆห์ ลากหลายนกิ าย ท่ีสังกัดส�ำนักอภัยคิรีวิหารสอดคล้องกับบันทึกของพระภิกษุฟาเหียน ซงึ่ ระบวุ า่ พระสงฆ์แห่งสำ� นักอภัยคริ วี ิหารมีจำ� นวนถึง 5,000 รปู ขณะ ที่ส�ำนักมหาวิหารมีเพียง 3,000 รูป (Fa-Hien: 1998, 107) กล่าว ตามหลักฐานคณะสงฆ์ส�ำนักอภัยคิรีวิหารนั้นมีแนวความคิดเป็นอิสระ พรอ้ มยอมรบั แนวความคดิ หรอื จารตี ปฏบิ ตั แิ บบใหมจ่ ากตา่ งถนิ่ การเปดิ กวา้ งทางความคดิ ดงั กลา่ วทำ� ใหส้ ำ� นกั อภยั คริ วี หิ ารมปี ฏสิ มั พนั ธก์ บั ชาวพทุ ธ ต่างแดน จนเป็นเหตุให้เกาะลังกาเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้พุทธศาสนา มหายาน และเป็นบุณยสถานศกั ดิส์ ทิ ธิร์ องลงมาจากชมพูทวปี ส�ำนักอภัยคิรีวิหารน้ันนอกจากจะมีพระเขี้ยวแก้วในฐานะส่ิง ศกั ดสิ์ ทิ ธค์ิ วู่ ดั แลว้ ยงั เปน็ ศนู ยก์ ลางการศกึ ษาคตคิ ำ� สอนและจารตี ปฏบิ ตั ิ ของมหายานดว้ ย (Gunawardhana: 1979, 16-17) สังเกตไดจ้ ากมี พระสงฆ์นักปราชญ์ชาววิเทศเดินทางมาคัดลอกคัมภีร์และศึกษาหลัก ค�ำสอนเป็นจ�ำนวนมาก ดังเช่น พระอารยเทวะผู้เป็นพระโอรสของ กษตั รยิ ล์ งั กา มจี ติ ศรทั ธาออกบวชภายใตก้ ารสอนสง่ั ของทา่ นนาคารชนุ คร้ันเรียนจบศาสตร์น้อยใหญ่แล้วได้เดินทางกลับเกาะลังกา ได้เข้าพัก

132 เล่าเร่อื งเมือง (ศร)ี ลังกา อาศัยท่ีส�ำนักอภัยคิรีวิหารและท�ำหน้าที่เป็นอาจารย์สอนสั่งศิษย์เป็น จำ� นวนมาก (Goonatilake: 1974, 24-27) อกี รปู หนงึ่ นามวา่ อโมฆวชั ระ ผเู้ ปน็ ชาวศรลี งั กาเชน่ กนั ออกบวชตงั้ แตย่ งั หนมุ่ ศกึ ษาเรยี นรศู้ าสตรแ์ ละ ศิลป์ภายใต้การดูแลของพระภิกษุวัชรโพธิ ขณะพักอยู่กับอาจารย์แห่ง ตนท่ีเกาะชวาได้ศึกษาหลักค�ำสอนตันตรยานจนช�่ำชอง ต่อมาได้รับ มอบหมายจากอาจารยใ์ หเ้ ดนิ ทางมาเกาะลงั กาเพอ่ื คดั ลอกคมั ภรี ส์ ำ� คญั ขณะพักอยู่ในส�ำนักอภัยคิรีวิหาร ได้ศึกษาคัมภีร์ตันตระเพิ่มเติมจาก พระสมันตภัทระ (Goonatilake: 1974, 56-58) และรูปสุดทา้ ยนามวา่ พระภิกษุรัตนาการศานติ ท่านรูปน้ีเป็นนักปราชญ์ผู้เช่ียวชาญค�ำสอน วัชรยาน เดินทางมาเกาะลงั กาพร้อมคมั ภีรม์ หายานร้อยเล่ม พ�ำนกั อยู่ เกาะลังกาหนึ่งทศวรรษ ได้สั่งสอนลูกศิษย์หลายร้อยรูปจนเช่ียวชาญ คมั ภรี ว์ ชั รยาน ครน้ั เดนิ ทางกลบั อนิ เดยี แลว้ กษตั รยิ โ์ ปรดแตง่ ตง้ั ใหด้ ำ� รง ตำ� แหนง่ ทวารบณั ฑติ แหง่ มหาวทิ ยาลยั วกิ รมศลิ า (Goonatilake: 1974, 82-83) จะเห็นได้ว่าสมัยน้ันเกาะลังกาเป็นแหล่งรวมข้อมูลมากด้วย คัมภีร์อันทรงคุณค่าอีกท้ังสมบูรณ์พร้อมด้วยคณาจารย์มหายานผู้ทรง ปราชญ์ จงึ เปน็ เหตใุ หพ้ ระสงฆต์ า่ งแดนเดนิ ทางมงุ่ หนา้ สเู่ มอื งอนรุ าธปรุ ะ ของศรีลังกา นอกจากต้องการศึกษาและคัดลอกคัมภีร์ส�ำคัญแล้ว ยัง ถือว่าเป็นเสน้ ทางจารกิ แสวงบญุ ระหวา่ งจนี กบั อนิ เดยี ดว้ ย (Dohanian: 1977, 17) หลักฐานโบราณคดีบริเวณท่ีราบสูงระตุโบโกทางชวาตอนกลาง (Ratu Boko Plateau) กลา่ วถงึ ศนู ยก์ ลางสำ� นกั อภยั คริ วี หิ ารแหง่ ทส่ี อง ซ่งึ มีนักปราชญ์ถอดแปลจารึกความว่า “สำ� นกั อภัยคิรีวิหารแห่งนี้สร้าง ข้ึนเพื่อเป็นที่พ�ำนักของพระสงฆ์ชาวสิงหล ผู้ศึกษาตามค�ำสั่งสอนของ

การประดษิ ฐานพระเขย้ี วแก้วที่หาดทรายแก้ว 133 พระชินสีห์” (De Casparis: 1961, 245) จารึกหลักน้ีระบุว่าจารขึ้น ประมาณพุทธศักราช 1335-1336 ซึ่งสมัยนั้นราชวงศ์ไศเลนทรก�ำลัง รุง่ เรืองเกรียงไกรตลอดเกาะชวา เกาะสมุ าตรา รวมถงึ คาบสมุทรมลายู ดว้ ย นอกจากนน้ั ราชวงศ์นี้ยังเป็นผสู้ รา้ งเจดีย์บรมพทุ โธตามคตคิ วาม เชื่อของพระพุทธศาสนาตันตรยาน ด้วยเหตุนั้น การสร้างส�ำนักแห่งนี้ ถอื วา่ เปน็ หลกั ฐานบง่ ถงึ ความสมั พนั ธอ์ นั ดงี ามระหวา่ งอาณาจกั รศรวี ชิ ยั กบั ศรีลังกา ถามวา่ ส�ำนักอภัยคริ ีวิหารบนเกาะชวาต้งั ขน้ึ เพ่ือจุดประสงคใ์ ด? ประเด็นน้ีมีผู้แสดงความเห็น ๒ แนวทาง หนึ่งนั้นอธิบายว่า เพราะพระสงฆ์ส�ำนักอภัยคิรีวิหารแห่งเกาะลังกาถูกกษัตริย์เบียดเบียน หลายตอ่ หลายครงั้ คณะสงฆช์ าวสงิ หลผฝู้ กั ใฝม่ หายานจงึ พากนั เดนิ ทาง มาขอพึ่งพระบรมโพธิสมภารกษัตริย์แห่งราชวงศ์ไศเลนทร ผู้ศรัทธา ม่ันคงต่อพระพุทธศาสนามหายาน โดยมีพ่อค้าชาวอินโดนีเซียเป็น ผู้ประสานงาน กล่าวคือเม่ือพ่อค้าชาวอินโดนีเซียเดินทางไปค้าขายกับ ลังกาและอินเดีย ได้มีโอกาสพักอาศัยส�ำนักอภัยคิรีวิหารของศรีลังกา โดยความอนเุ คราะห์ของพระสงฆ์ส�ำนกั น้ัน คราวคร้ังน้ันนา่ จะทราบถึง ชะตากรรมของพระสงฆ์ชาวสิงหล คร้ันกลับเกาะชวาแล้วได้เข้าเฝ้า กราบทูลกษัตริย์แห่งราชวงศ์ไศเลนทรให้สร้างอารามวิหารถวายแก่ พระสงฆ์ชาวศรีลังกา (De Casparis: 1961, 246-248) อีกหนึ่งน้ัน เห็นต่างโดยช้ีว่าการสร้างส�ำนักอภัยคิรีวิหารบนเกาะชวา มิใช่เพราะ กษตั รยิ แ์ หง่ ศรลี งั กาเบยี ดเบยี นพระสงฆส์ ำ� นกั อภยั คริ วี หิ าร แตเ่ ปน็ เพราะ ส�ำนักแห่งนี้รุ่งเรืองสูงสุดจนสามารถเผยแผ่พระพุทธศาสนามหายานไป ยังเอเชยี ตะวันออกและเอเชยี ตะวันออกเฉยี งใต้ (Goonatilake: 1974,

134 เล่าเร่อื งเมือง (ศร)ี ลังกา 61) สอดคล้องกับหลักฐานซ่ึงยืนยันชัดเจนว่าสมัยพุทธศตวรรษที่ 14-15 ส�ำนักอภัยคีรีวิหารแห่งเกาะลังกาได้รับราชูปถัมภ์อย่างดียิ่ง (Gunawardha: 1979, 507) และตรงกบั หลักฐานโบราณคดีซึง่ ระบุวา่ สำ� นกั อภยั คริ วี หิ ารมขี นาดใหญท่ ส่ี ดุ บนเกาะลงั กา เพราะมอี าคารซบั ซอ้ น ครอบคลมุ พนื้ ทมี่ ากกวา่ 759 ไร่ (Gunawardha: 1979, 28) ดว้ ยเหตนุ นั้ เหตผุ ลทวี่ า่ การสรา้ งสำ� นกั อภยั คริ วี หิ ารบนเกาะชวาเพอ่ื เปน็ พกั อาศยั ของ พระสงฆ์สิงหลทถ่ี ูกขับไล่อออกจากเกาะลงั กาจงึ ไมน่ า่ จะเปน็ ไปได้ การเกิดขึ้นของส�ำนักอภัยคิรีวิหารบนเกาะชวาช้ีให้เห็นถึง ประสทิ ธภิ าพของระบบการศกึ ษาสงฆข์ องศรลี งั กา ในฐานะสำ� นกั แหง่ น้ี เป็นศูนย์กลางการศึกษาของชาวสิงหล และมิใช่เป็นเพียงการยกย่อง สรรเสริญเท่านั้น แต่เป็นการสร้างความประทับใจให้เกิดแก่พระสงฆ์ ชาวชวา หรือมิใช่เพียงได้ยินช่ือเสียงในฐานะวัดธรรมดาเท่าน้ัน แต่เป็นการชื่นชมช่ือเสียงอันย่ิงใหญ่ในโลกพระพุทธศาสนาด้วย (De Casparis: 1961, 246-247) อกี ประการหนงึ่ การสรา้ งสำ� นกั อภยั คิรีวิหารบริเวณท่ีราบสูงรตุโบโกนั้น มิใช่ส�ำหรับพระสงฆ์นักปราชญ์ เท่าน้ันแต่หมายถึงคุ้มครองอาณาจักรด้วย เพราะส�ำนักอภัยคิรีวิหาร แห่งเกาะลังกาเองก็มีการอัญเชิญส่ิงศักดิ์สิทธ์ิออกแห่แหนเป็นประจ�ำ ทุกปี (หมายถึงพระเข้ียวแก้ว-ผู้เขียน) เป็นไปได้หรือไม่ว่าชื่อของ อภัยคิรวี ิหารบนเกาะชวามใิ ช่เปน็ เพยี งการเลอื กใหเ้ ช่ือมโยงดา้ นศาสนา กับอารามแห่งเกาะลังกา แต่เพราะบริเวณที่ราบสูงรตุโบโกเป็นเสมือน คฤหาสนห์ ลงั ใหญค่ อยคมุ้ ครองอาณาจกั รมตรมั สงั เกตไดจ้ ากภายหลงั ต่อมากษัตริย์ฮินดูแม้จะยึดครองบริเวณนี้ แต่ปฏิเสธท�ำลายพระพุทธ ศาสนาเสีย (Degroot: 2006, 71)

การประดษิ ฐานพระเขี้ยวแก้วท่ีหาดทรายแก้ว 135 นักวิชาการบางท่านแสดงความเห็นว่า การสร้างส�ำนักอภัยคิรี วิหารบริเวณท่ีราบสูงระตุโบโกชี้ให้เห็นถึงเหตุการณ์ส�ำคัญ 3 อย่าง 1) พระภิกษุอโมฆวัชระผู้ทรงความรู้ตันตรยานนามอุโฆษ ซึ่งท�ำหน้าที่ เปน็ สมณทตู ของพระจกั รพรรดแิ หง่ ราชวงศถ์ งั กอ่ นเดนิ ทางไปเกาะลงั กา เพื่อรวบรวมคัมภีร์ส�ำคัญได้เข้าพิธีสมณาภิเษกท่ีส�ำนักอภัยคิรีวิหาร แห่งเกาะชวา 2) มีการกล่าวถึงบทไตรโลกยวิชัยในคัมภีร์มหายานว่า ด้วยการครองราชย์ของกษัตริย์ชวาบนชัยภูมิบริเวณท่ีราบสูงรตุโบโก และการสร้างส�ำนักอภัยคิรีวิหารอันเป็นอารามส�ำหรับชาวสิงหล และ 3) จารกึ แหง่ สำ� นกั อภยั คริ วี หิ ารชใ้ี หเ้ หน็ ถงึ ความเปน็ อนั หนง่ึ อนั เดยี วกนั ระหว่างศรีลงั กากบั ชวา ซ่ึงสอดคล้องกบั เนอ้ื หาในจารกึ สิทธัม ทั้งสาม ประเด็นดังกล่าวเบื้องต้นยืนยันว่าพระสงฆ์ส�ำนักอภัยคิรีวิหารได้รับการ เชอ้ื เชญิ จากกษตั รยิ ช์ วาดว้ ยความเคารพอยา่ งสงู สดุ ในฐานะผปู้ ระกาศ ค�ำสอนตนั ตรโยคะ (Sundberg: 2004, 117) ดว้ ยเหตุน้นั การสรา้ ง ส�ำนักอภัยคิรีวิหารบนเกาะชวา นอกจากจะแสดงถึงความโด่งดังของ สำ� นักอภยั คิรีวิหารบนเกาะลงั กาแล้ว ยังเปน็ การแลกเปลย่ี นวัฒนธรรม กนั และกนั ระหวา่ งศรลี งั กากบั เกาะชวาอกี ทางหนง่ึ ดว้ ย (De Casparis: 1961, 245) คร้ันอาณาจักรศรีวิชัยขยายอาณาเขตเข้าครอบคลุมบริเวณ คาบสมุทรมลายูแล้ว พระสงฆ์แห่งส�ำนักอภัยคิรีวิหารแห่งเกาะชวา น่าจะขยายฐานไปสร้างส�ำนักอีกหลายแห่ง สอดคล้องกับหลักฐานใน ศิลาจารึกวัดเสมาเมือง ซึ่งระบุว่า “พระเจ้ากรุงศรีวิชัยผู้เป็นเจ้าแห่ง พระราชาทง้ั หลายในโลกทั้งปวง ไดท้ รงสรา้ งปราสาทอิฐทัง้ สามน้ี เปน็ ทบ่ี ชู าพระโพธสิ ตั วเ์ จา้ ผถู้ อื ดอกบวั (คอื ปทมุ ปาณ)ี พระผจญพระยามาร

136 เล่าเร่ืองเมือง (ศร)ี ลังกา แลพระโพธสิ ตั วเ์ จา้ ผถู้ อื วชริ ะ (คอื วชั รปาณ)ิ (Fine Arts Department: 1986, 196) พระโพธิสัตว์เจ้าผู้ถือดอกบัวเบื้องต้นน้ันอาจหมายถึง พระโพธสิ ตั วป์ ทั มปาณหี รอื พระอวโลกเิ ตศวรโพธสิ ตั วผ์ มู้ ดี อกบวั เนอื้ หา ในจารึกเสมาเมืองมีความคล้ายคลึงกับเนื้อความในจารึกแห่งส�ำนัก อภยั คริ ีวิหารบริเวณท่รี าบสูงระตโุ กโบ ซึ่งกลา่ วถงึ การอปุ ถมั ภว์ ัดแห่งนี้ โดยมีการอุทิศให้แด่กมลปาณิ ผู้มีดอกบัวอยู่ในมือและผู้ปกป้องจาก ความทกุ ข์ (Nastiti: 2011, 289) หากวเิ คราะห์เปรยี บเทยี บหลกั ฐาน ท้ังสองแห่งมีความเป็นไปได้ว่า วัดเสมาเมืองทางภาคใต้ของไทยสมัย อดีตอาจเป็นส�ำนักอภัยคิรีวิหารอีกแห่งหนึ่งบนคาบสมุทรมลายู และ คตคิ วามเชอื่ ทกุ สงิ่ อยา่ งนา่ จะมกี ารเลยี นแบบมาจากสำ� นกั อภยั คริ วี หิ าร แห่งเกาะชวา สนั นษิ ฐานว่าส�ำนักอภัยคริ วี ิหารบนคาบสมทุ รมลายูแหง่ น้ี นา่ จะ มีปฏิสัมพันธ์กับคณะสงฆ์ส�ำนักอภัยคิรีวิหารแห่งเกาะลังกาเฉกเช่น เดียวกันกับเกาะชวา สอดคล้องกับหลักฐานในต�ำนานพระธาตุเมือง นครศรีธรรมราชซึ่งระบุว่า มีพระภิกษุชาวลังการูปหน่ึงนามว่าพุทธ ค�ำเภียรวิวาทกับพระสงฆ์ลังกาด้วยกัน กษัตริย์ลังกาโปรดให้ยอม ความกันแต่ดื้อดึง พระองค์จึงฝากกับเรือส�ำเภาของพ่อค้ามาเมือง นครศรีธรรมราช (The Chronicle of the Stupa of Nakhon Si Thammarat: 1982, 5) ผู้เขียนเห็นว่าเหตกุ ารณค์ รง้ั นน้ี า่ จะเกดิ ขึน้ สมัยอาณาจักรโปโฬนนารุวะ คราวเมื่อพระเจ้าปรากรมพาหุโปรดให้ ปฏิรูปพระศาสนารวมนิกายสงฆ์เป็นหนึ่งเดียว หลักฐานจากลังการะบุ วา่ คราวนน้ั มภี กิ ษบุ างกลมุ่ ไมเ่ หน็ ดว้ ย ไดพ้ ากนั อพยพหลบหนรี าชภยั ไป อย่ตู า่ งแดน (Gieger: part. II, 1992, 1-3)

การประดษิ ฐานพระเขี้ยวแก้วท่หี าดทรายแก้ว 137 การปฏิสัมพันธ์ระหว่างส�ำนักอภัยคิรีวิหารแห่งเกาะลังกาและ สำ� นกั อภยั คริ วี หิ ารแหง่ คาบสมทุ รมลายดู งั กลา่ ว นา่ จะเกดิ การเลยี นแบบ คติความเช่ืออันโดดเด่นของตนโดยเฉพาะพระเขี้ยวแก้ว คร้ันกาลเวลา ผ่านไปเรื่องราวเกี่ยวกับพระเขี้ยวแก้วเดิมซ่ึงเน้นเกาะลังกาเป็นหลัก ก็ ปรบั เพม่ิ ใหม้ ีความเช่ือมโยงกับคาบสมทุ รมลายูมากขน้ึ ด้วยการระบุว่า พระเขย้ี วแกว้ มาประดษิ ฐานทห่ี าดทรายแกว้ กอ่ นเดนิ ทางไปยงั เกาะลงั กา ทงั้ นเ้ี พอื่ สรา้ งความชอบธรรมวา่ ดนิ แดนบรเิ วณหาดทรายแกว้ เปน็ ชยั ภมู ิ เหมาะสมต่อการประดิษฐานพระพุทธศาสนาของพระบรมศาสดาเจ้า และเป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาแห่งคาบสมุทรมาเลย์หรือ เป็นศูนย์กลางโลกแห่งพระพุทธศาสนาตามคติความเชื่อแนวพุทธ ประเด็นเพ่ิมเติมคือเบื้องต้นเน้ือหาดังกล่าวน่าจะเป็นการเล่าผ่าน มุขปาฐะมิใช่ลายลักษณ์อักษร สังเกตได้จากต�ำนานแต่ละเล่มล้วน ระบุรายชื่อบุคคลสถานที่แตกต่างกันออกไป ซ่ึงน่าจะเกิดการ คลาดเคลื่อน เนื่องจากการคัดลอกหลายครั้งต่างกรรมต่างวาระ แต่สารตั ถะของเร่ืองราวยงั เปน็ ไปในทิศทางเดยี วกัน เพราะอิทธพิ ลของพม่ารามญั ศรีลังกากับพม่ามีปฏิสัมพันธ์กันครั้งแรกสมัยอาณาจักรโปโฬน นารุวะ คัมภีร์มหาวงศ์พรรณนาไว้ว่า คราวเมื่อพระเจ้าวิชัยพาหุท่ี 1 (พ.ศ.1598-1653) กอบกู้บ้านเมืองจากทมิฬโจฬะแล้ว คร้ันทรงทราบ วา่ พระสงฆบ์ นเกาะลงั กาไมส่ ามารถประกอบพธิ อี ปุ สมบทกรรมได้ จงึ สง่ ราชทตู ไปขอพระสงฆผ์ เู้ ชยี่ วชาญพระไตรปฎิ กจากพระเจา้ อโนรธามงั ชอ่ แห่งอาณาจักรพุกาม (พ.ศ.1587-1620) เพ่ือมาประกอบพิธีอุปสมบท กรรม ครานั้นกษัตริย์แห่งอาณาจักรพุกามโปรดสงเคราะห์ศรีลังกา

138 เล่าเร่อื งเมอื ง (ศร)ี ลังกา รูปปั้นของพระภิกษุฟาเหียนท่ีเมืองฟูเจ้ียน รปู ปน้ั พระถงั ซมั จง๋ั ทเี่ มอื งซอี าน ประเทศจนี ประเทศจีน (คัดลอกภาพจาก https:// (คัดลอกภาพจาก https://www.google. www.google.com/maps) com/maps) อาคารอนสุ รณพ์ ระถงั ซมั จง๋ั ณ นาลนั ทา ประเทศอนิ เดยี (คดั ลอกภาพจาก https://www. google.com/maps)