Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Mbu003-หนังสือชนต่างวัฒนธรรม

Mbu003-หนังสือชนต่างวัฒนธรรม

Description: Mbu003-หนังสือชนต่างวัฒนธรรม

Search

Read the Text Version

อาข่า (กอ้ อีก้อ อะกา้ ขา่ ก้อ) Akha (Kaw) 99 ตำ� อยา่ ง ละเอยี ดโดยกอ่ น ทจี่ ะตำ� กจ็ ะนำ� ขา้ วสาร (ขา้ วเหนยี ว) แชไ่ วป้ ระมาณ ๑ คนื พอรงุ่ เชา้ กน็ ำ� มานง่ึ หลงั จากนง่ึ เสรจ็ หรอื ไดท้ แ่ี ลว้ กจ็ ะมกี ารโปรยดว้ ยนำ้� อกี รอบหนง่ึ แลว้ กน็ ง่ึ ตอ่ ระหวา่ งทร่ี อขา้ วสกุ กจ็ ะ มีการ ต�ำงาด�ำผสมเกลือไปด้วย เพ่ือไม่ให้ข้าวเหนียวที่ต�ำติดมือเวลาน�ำมาปั้นข้าวปุ๊กซ่ึงต้องใช้ในการ ทำ� พิธีเช่นกนั วนั ท่ี ๒ เปน็ วันทที่ กุ คนจะมารวมตวั กนั ท่บี า้ นของ “เจว่มา” ผู้นำ� ศาสนา เพ่ือจะปรึกษา และแบ่งงาน ในการจะปลูกสร้างชงิ ช้าใหญ่ของชุมชน หรอื อาขา่ เรียกวา่ “หล่าเฉอ่ ” ในวันน้จี ะไม่มีการทำ� พธิ ใี ด ๆ ท้ังส้ิน แม้กระทั่งสัตว์ก็จะไม่ฆ่า หลังจากท่ีสร้างชิงช้าใหญ่ของชุมชนเสร็จ ก็จะมีพิธีเปิดโล้ชิงช้าโดย เจว่มา ผู้น�ำศาสนา จะเป็นผู้เปิดโล้ก่อน จากน้ันทุกคนก็สามารถโล้ได้ หลังจากท่ีสร้างชิงช้าใหญ่ของ ชมุ ชนเสรจ็ ตอ้ งมาสรา้ งชงิ ชา้ เลก็ ไว้ ทหี่ นา้ บา้ น ของตนเองอกี เพอ่ื ใหล้ กู หลานของตนเลน่ ทกุ ครวั เรอื น จะต้องสร้างเพราะถือวา่ เปน็ พิธี วนั ที่ ๓ “วนั ลอ้ ดา อา่ เผว่ ” วนั นถี้ อื เปน็ วนั พธิ ใี หญ่ มกี ารเลย้ี งฉลองกนั ทกุ ครวั เรอื นมกี ารเชญิ ผอู้ าวโุ ส หรอื แขกตา่ งหมบู่ า้ นมารว่ มรบั ประทานอาหารในบา้ นของตน ผอู้ าวโุ สกจ็ ะมี การอวยพรใหก้ บั เจา้ บา้ น ประสบแต่ความสำ� เรจ็ ในวนั ขา้ งหน้า วันที่ ๔ วันสุดท้ายของพิธีกรรม “จ่าส่า” ส�ำหรับในวันนี้จะไม่มีการประกอบพิธีกรรมอะไรทั้งส้ิน นอกจากพากันมาโล้ชิงช้า เพราะเป็นวันสุดท้ายที่จะได้โล้ในปีนี้ แต่พอตะวันตกดิน หรือประมาณ ๑๘.๐๐ น. ผูน้ ำ� ศาสนากจ็ ะท�ำการเก็บ เชือกของชิงช้า โดยการมามดั ตดิ กับเสาชิงชา้ ถือวา่ บรรยากาศ ในการโล้ชิงช้ากจ็ ะได้จบลงเพยี งเท่าน้ี และหลัง อาหารคำ่� ก็จะท�ำการเก็บ เครือ่ งเซ่นไหวต้ า่ ง ๆ เขา้ ไว้ ท่ีเดิม หลังจากทเ่ี ก็บเครอ่ื งเซน่ ไหวเ้ หลา่ นี้แลว้ ถือว่าเสร็จสนิ้ พิธีกรรมประเพณีโลช้ งิ ช้า ประเพณไี ขแ่ ดง ปีใหมไ่ ข่แดง หรือ “ขม่ึ สึ ขมึ่ มี้ อาเผ่ว” ภายหลังจากทม่ี ีการอยู่กรรมจากการเผาไฟในไรช่ ว่ ง กลางเดอื นเมษายน ตรงกับเดอื นอาข่า “ขมึ่ สึ บาลา” อาขา่ จะประกอบประเพณี “ขมึ่ สึ ขึ่มม้ี อาเผ่ว” ขม่ึ สแึ ปลวา่ ปใี หม่ ขมึ่ มแ่ี ปลวา่ คนื ของปเี กา่ อาเผว่ แปลวา่ บรรพบรุ ษุ ผลู้ ว่ งลบั ไปแลว้ เมอื่ รวมกนั แลว้ จงึ มีความหมายว่า ประเพณีการส่งทา้ ยปเี ก่าต้อนรบั ปีใหม่ หรอื เรยี กอีกอยา่ งวา่ ประเพณปี ีใหม่ชนไข่ เน่อื งจากประเพณนี ้มี ีการนำ� ไข่มาใช้ประกอบพธิ ี และเดก็ ๆ ก็จะมกี ารเล่นชนไข่โดยการย้อม เปลอื กไข่ ใหเ้ ปน็ สแี ดง และใสต่ ะกรา้ หอ้ ยไปมา ประเพณชี นไขข่ องชาวอาขา่ เปน็ ประเพณที มี่ มี าชา้ นาน

100 ชนตา่ งวัฒนธรรมในประเทศไทย ไม่สามารถก�ำหนดว่ามีมาตั้งแต่เม่ือใด มีเพียงประวัติท่ีเล่าต่อกันมาว่า มีผู้น�ำทางวัฒนธรรม และการ ปกครองอาข่า เรียกว่า “เจ่วมา” และหมอสวดพิธีกรรมที่เรียกว่า “พ้ีมา” ซึ่งมีบทบาทการปกครอง ชุมชนได้มีการจัดประชุม ปรึกษาหารือ ด้านการปกครองชุมชน โดยใช้เนื้อหากฎจารีตตามที่ชนเผ่า อาข่านับถืออยู่ ด้วยเหตุน้ี ท่ีประชุมจึงมีการเชิญผู้น�ำทางวัฒนธรรม และการปกครอง คนแรกชื่อว่า “เจ่วย้อ อึ่มนะ เก่วเจ่ว” พร้อมมีผู้ช่วย คือ “เข่อเยว อ่าย้อ” และเชิญหัวหน้าหมอสวดทางพิธีกรรม “พม้ี า” คนแรกทช่ี อื่ วา่ “มด้ี อื สพิ ”ี้ พรอ้ มผชู้ ว่ ยทชี่ อื่ วา่ “จอ้ งหลอ่ ง” กบั “จอ้ งนะ” เพอื่ มาหาเรอื่ งราว เกีย่ วกับพธิ กี รรมประเพณีของชนเผ่า โดยเร่มิ มกี ารประชุมตงั้ แต่วนั ทเี่ ริ่มข้างแรม ๑ คำ่� จนถึง ๑๔ ค�่ำ หรอื อาขา่ จะเรยี กวา่ “ลาแจ๊ ถี่ หยะ” ชว่ งนจ้ี ะมกี ารหยดุ งานทง้ั หมด เพราะตอ้ งมกี ารประชมุ ของผนู้ ำ� ตา่ ง ๆ อาข่าจงึ เริ่มมีการประกอบ พิธทิ ีเ่ รียกว่า “ขึ่มเอว้ อาเผ่ว” พธิ กี รรมวนั แรก เร่ิมเมอื่ เหน็ ขา้ งข้ึน ๑ ค่�ำ อาขา่ เรยี กวา่ “ลาเด๊ะ ถี่หยะ” ก็จะมกี ารเริม่ ประกอบพธิ ใี หมท่ ่เี รยี กว่า “ขึม่ สึ อาเผว่ ” หมายถงึ พิธตี ้อนรบั ปใี หม่ อาข่าใหค้ วามหมายรวมถงึ การต้อนรับสง่ิ มีชีวติ ทเี่ กดิ ใหม่ทุกชนดิ บนโลกในของชว่ ง เดอื นเมษายน เม่อื ประกอบพิธนี ี้เสร็จกจ็ ะมีการทำ� พิธตี อ่ อกี ท่ีเรียกว่า “ขึ่มม่ี อาเผ่ว” เป็นพิธที ่เี กดิ ข้ึน เพ่ือฉลองปีใหม่ และฉลองต�ำแหน่งผู้น�ำทางวัฒนธรรม และการปกครองชุมชน “เจ่วมา” โดยผู้น�ำมี การประกอบพิธีของต�ำแหน่งที่เรียกว่า “เจ่ว หละ หยะ เออ” เป็นการเสร็จส้ินภารกิจของพิธีกรรม มกี ารคดิ คน้ ใหม้ กี จิ กรรมของหนมุ่ สาว เดก็ จะมคี วามสนใจ และจะไมเ่ บอ่ื หนา่ ย โดยจะจดั กจิ กรรมการ เลน่ ไขไ่ ก่ แจกหนมุ่ สาว สว่ นเดก็ ใหม้ กี ารยอ้ มเปลอื กไขใ่ หเ้ ปน็ สแี ดง แลว้ เอาไปชนเลน่ ขนั้ ตอนกจิ กรรม ทางพธิ กี รรม การประกอบพธิ กี รรมทางศาสนาในประเพณนี ้ี จะจดั ภายใน ๕ วนั เพราะดว้ ยเหตใุ ดไมม่ ี ขอ้ มูล วันแรก พิธี “ขึ่มเอ้ว อาผ่า” ช่วงเช้าตรู่ ครอบครัวแต่ละหลังจะไปตักน�้ำเพื่อใช้ในพิธีกรรม ซง่ึ ชมุ ชนไดก้ ำ� หนดแหลง่ นำ้� บริสทุ ธไ์ิ ว้ การไปตกั น�ำ้ จะเปน็ หญงิ หรอื ชายกไ็ ด้ แตน่ ิยมคือ หญงิ มากกวา่ น้�ำท่ีตกั นนั้ เรียกว่า นำ้� บรสิ ุทธ์ิ “อ้จี ุ อ้ีส้อ” โดยก่อนทม่ี กี ารตกั น�้ำต้องมกี ารลา้ งหน้าล้างตา ชำ� ระขาให้ สะอาด และท�ำจติ ใจใหบ้ รสิ ุทธ์ิ และจะเข้าคิวไปการตกั เมื่อตกั น้ำ� เสรจ็ กก็ ลับบ้าน พร้อมทั้งใหแ้ ช่ขา้ ว เหนียวที่จะหุงประกอบพิธี อีกทั้งให้ท�ำความสะอาดสถานที่หน้าบ้าน ภายในบ้านมีการจัดเก็บของใช้ ต่าง ๆ ให้เรยี บร้อย เพ่อื ตอ้ นรับวิญญาณบรรพบรุ ษุ ท่ลี ่วงลับ โดยเชอื่ วา่ วิญญาณบรรพบุรุษที่ลว่ งลบั จะมารบั ประทานอาหารทเี่ ซน่ ไหว้ และเกดิ ความโชคดี ดงั นน้ั ผปู้ ระกอบพธิ ตี อ้ งใจเยน็ และทำ� จติ ผอ่ งใส เพื่อใหเ้ กิดบุญกศุ ล และไม่ให้ผดิ ขั้นตอนประกอบพิธี ซงึ่ ผูป้ ระกอบพิธีน้นั ตอ้ งเปน็ ผู้ชายเท่านนั้ หา้ มผู้ หญิงเป็นผู้ประกอบพิธี เนื่องจากผู้หญิงไม่เป็นผู้สืบสายวงค์ตระกูล แต่สามารถเป็นผู้เตรียมของใช้ใน การท�ำพิธีกรรมได้ ยกเว้น ผหู้ ญงิ ที่ยกตำ� แหน่งเทา่ ผูช้ าย เรียกวา่ “ยาแย้ อ่ามา” สามารถท�ำพธิ ีได้ โดย จะทำ� พธิ กี รรม บริเวณฝั่งท่นี อนของผูห้ ญงิ เพราะเป็นท่ีเก็บอปุ กรณเ์ ซน่ ไหว้ และเม่อื ถงึ เวลาเที่ยงวันก็ จะมีการเริ่มประกอบพิธี ซึ่งวันแรกของการท�ำพิธีจะไม่ใช้ไก่ ตอนหัวค่�ำมีการสร้างระเบียงขนาดเล็ก

อาขา่ (ก้อ อีกอ้ อะก้า ข่ากอ้ ) Akha (Kaw) 101 ประมาณ ๑๒ x ๑๒ นว้ิ เรยี กว่า “จาแลเกว่ แปะ-เออ กือ้ กา” จะเปน็ พธิ แี กะเปลอื กไข่ของวันทส่ี อง ของชว่ งเชา้ โดยชานระเบียงจะมีบันได ๙ ขน้ั จ�ำนวน ๔ เสา ใชอ้ ปุ กรณไ์ มไ้ ผ่ เม่ือสรา้ งเสร็จก็จะน�ำเอา กอ้ นดนิ มาวางไว้ ๑ กอ้ นกลางคนื ประมาณ ๑๙.๐๐ น. จะมกี ารทำ� พธิ ี “อาเผว่ ลอ้ กอ่ ง อ”ุ เปน็ การลา้ ง อุปกรณ์ล้างเครื่องเซ่นไหว้น่ันเอง เม่ือท�ำการล้างเสร็จให้น�ำอุปกรณ์เคร่ืองเซ่นไหว้ไว้ในตู้เก็บ เป็นอัน เสรจ็ พธิ วี นั แรก และในคำ่� คนื ของวนั นจี้ ะมพี ธิ กี รรม คอื หนมุ่ สาวจะมกี ารรอตำ� ขา้ วเหนยี วทแี่ ชไ่ ว้ อาขา่ เรยี กวา่ “แชม้ า ถอ่ ง-เออ” เพอ่ื หอ่ เปน็ ขนมตม้ เรยี กวา่ “แตะป”ุ /”เตว๊ ะป”ุ เพอ่ื แจกจา่ ยใหแ้ ขกผมู้ าเยยี่ ม โดยต�ำข้าวเหนียวจากครกกระเดื่อง ซ่ึงหนุ่มสาวทุกคนจะรอต�ำ โดยไม่นอนเรียกว่า “ขึ่มสึ ข่ึมโหละ โหละ” เมื่อตอนไก่ขันเป็นตัวแรกเชื่อว่าหากผู้ใด เป็นผู้ต�ำข้าวเหนียวท่ีแช่ไว้เป็นคนแรกก็จะมีบุญ หรือเปน็ วันตอ้ นรบั ทักทายของวันปีใหมน่ นั่ เอง วันท่ี ๒ “ข่ึมสึ อาเผว่ ” การประกอบพธิ จี ะเร่มิ ต้ังแตเ่ ชา้ ตรู่ ตอนไก่ขนั ข้ันตอนการทำ� พิธี คือ เอากระบอกเหล้าพิธี เรยี กว่า “จ้ี บ่าจี้ส่”ี และเสยี บไม้ขนาดไมจ่ ้มิ ฟัน ใส่กระบอกไปมดั ติดกับต้เู ครือ่ ง เซ่นไหว้ “เปาะ เหลาะ เปาะทู้” และเทน้�ำใส่ถ้วย พร้อมขันเล็กตักน�้ำ เรียกว่า “อ้ีจ้อง จ้อง เออ” ใส่หลอดดูดท่ที ำ� ดว้ ยไมไ้ ผ่ชนดิ หนง่ึ ท่ีชอื่ ว่า “อา้ มา้ จ้ีเตอ๊ ะ” ปจั จบุ นั ใชไ้ ม้ไผ่อืน่ ๆ แทนได้ และจะตัก นำ้� ใสก่ ระบอกไมไ้ ผเ่ อาไว้ นำ� ขา้ วสารทที่ ำ� ตอนเชา้ ตรมู่ าปน้ั เปน็ ลกู กลม ๆ ขนาดเสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลาง ๑ นว้ิ หลายลูกแล้วต้มให้สุก พร้อมกับต้มไข่ ๑ใบ ต้มรวมกับข้าวสารเหนียว เพื่อใช้เป็นข้าวบริสุทธิ์ เมื่อสุก แลว้ ใหค้ ลกุ งาดำ� เรยี กวา่ “จาแล แลพ”ู้ ทงั้ สองสว่ นนใี้ ชป้ ระกอบพธิ กี รรม โดยจบั ไกต่ วั เมยี ขนสดี ำ� ๑ ตวั ตกั นำ�้ จากถว้ ยทเ่ี ตรยี มไวล้ า้ งไกใ่ หบ้ รสิ ุทธิ์ ไกต่ อ้ งใชใ้ นการประกอบพิธกี รรมทางศาสนา จงึ ตอ้ งทำ� การ ช�ำระล้างไก่ให้บริสุทธิ์ โดยรดน้�ำที่ขา ล�ำตัว หัว จุดละ ๓ ครั้ง ถือเป็นการล้างไก่ ให้สะอาด บริสุทธิ์ จากนน้ั กใ็ ชไ้ มท้ ่ที �ำไว้ตที ีห่ ัวไก่ และบีบคอให้ตายสนทิ การเผาไกห่ ้ามใช้ ้น�้ำร้อนลวก เมื่อเผาเสรจ็ แลว้ ล้างให้สะอาด แล้วช�ำแหละไก่ ส่ิงแรกท่ีจะเอากระเพาะอาหารท่ีล�ำคอไก่ออกก่อน แล้วหักขาแบออก สองข้างโดยให้ติดล�ำตัวอยู่ แล้วงัดอกไก่ออกมาโดยให้เครื่องในไก่ติดกับโครงไก่ไว้ แล้วล้างท�ำความ สะอาดสบั ชนิ้ สว่ นตา่ ง ๆ ของไกเ่ พอื่ บชู า คอื ตบั นอ่ งไก่ เนอ้ื อกไก่ แลว้ ใชถ้ ว้ ยรองรบั ทเ่ี ตรยี ม ใสเ่ กลอื ขงิ ขา้ วสารเหนยี วเตรียมไว้ เรียกถว้ ยน้ีว่า “ขึ่ม หมา่ หละดา่ ” แล้วแกงใหส้ กุ ๑) เมอ่ื ไกส่ ุกแลว้ ยกหมอ้ ลง และเอาอุปกรณ์ขนั โตกพธิ ีเข้ามาใกล้ ๆ จากนั้นตักชน้ิ ไก่ใส่ลง ในถ้วยไม้ไผ่ใบท่ี ๑ ซึง่ มีนอ่ งไก่ ตับ อกไก่ ๓ ชิน้ และนำ้� แกง ๒) ดูดเหล้าพิธีท่ีมีนำ้� บริสุทธิ์จากกระบอก “จี้ บา่ จ้ี ส”่ี ใส่ลงถว้ ยใบท่ี ๒ ๓) เอาน้ำ� ชาต้มซ่ึงสว่ นนจี้ ะใช้ขงิ และใบชาใสร่ วมกันกไ็ ด้ ใส่ถว้ ยไมไ้ ผใ่ บท่ี ๓ ๔) เอาข้าวบริสุทธ์ิ “ห่อส้อ” คอื ขา้ วท่ียงั ไมไ่ ดผ้ ่านการหงุ ตม้ มาท�ำเป็นข้าวบรสิ ุทธิเ์ พื่อใชใ้ น การประกอบพธิ ี ใส่ในตะกรา้ ใบท่ี ๑

102 ชนตา่ งวฒั นธรรมในประเทศไทย ๕) เอาลกู ขา้ วเหนียวต้มทีท่ าด้วยงาดำ� จ�ำนวน ๓ ลกู ใส่ในตะกรา้ ใบที่ ๒ ๖) เมอื่ เคร่อื งเซน่ ไหว้พรอ้ มแลว้ ใหเ้ อาม้านง่ั เล็ก ๆ พรอ้ มทั้งขนั โตก ไปวางไว้ใกล้ ๆ ตเู้ กบ็ เครอ่ื งเซน่ ไหว้ ประมาณ ๓ นาที เปน็ อนั วา่ เสรจ็ พธิ บี ชู า จากนน้ั กย็ กลงมา คนทำ� พธิ กี ก็ นิ เครอื่ งเซน่ ไหว้ เป็นคนแรก และเรยี กสมาชิกทกุ คนในบา้ นมากนิ ดว้ ย เสรจ็ แล้วก็เกบ็ เครือ่ งเซ่นไหวไ้ วใ้ นต้ขู า้ วสาร ๗) ผูป้ ระกอบพธิ ีก็จะน�ำไข่ทตี่ ม้ ไว้ และข้าวเหนยี วลูกกลมที่ต้มไว้ ซงึ่ ขา้ วเหนยี วจะมีทัง้ ที่ลง งาดำ� และไม่ลงงาด�ำ และไมค้ นข้าวใส่ในจานข้าว ยกออกไปบรเิ วณทส่ี รา้ งชานระเบียง ท�ำการแกะไข่ และขา้ วเหนยี วตม้ ใหด้ นิ กนิ เรยี กวา่ “จาแล แลเกว่ แปะ เออ” หมายถงึ แกะไขเ่ พอ่ื คมุ้ ครอง และความ เจริญ ซ่ึงช่วงที่มีการแกะไข่ให้ดินกินนั้นมีการพูดว่า “อุโมะ จ้อ-เออ อ่าหยะ หยะผ่า ส่อจื้อ โจสะ เล ลอ ยาจิ ยาเพ้ว เพว้ เน้ ถีม่ อ้ จอ้ -เออ ยาดะ โจสะ เลลอ” หมายถงึ ขอให้หมทู เ่ี ล้ยี งใต้ถนุ บา้ นมกี าร โตวันโตคืน ขอให้ไกต่ วั ผู้สแี ดงมีเดือยยาวและใหญ่ ๘) เมื่อท�ำเสร็จก็กลับเข้าบ้าน แล้วแกะไข่ใบนั้น (ถือว่าให้กิน) กับอุปกรณ์เครื่องใช้ในครัว เรอื น อาทิ กระทะขา้ ว / ไหหงุ ขา้ ว สตั วล์ ยี้ ง และอนื่ ๆ เพอื่ แสดงถงึ การคมุ้ ครองไมใ่ หเ้ กดิ เภทภยั นนั่ เอง ด้วยเหตุนี้หากผู้ใดท่ีต้องการจะออกไปล่าสัตว์ หรือหาของป่าจะไม่กินไข่ใบน้ี เพราะเช่ือว่าการไปหา ของป่าต่าง ๆ อาจไม่เจอ เนือ่ งจากเป็นไขท่ เ่ี กี่ยวกบั การปดปอ้ งคุ้มครอง ๙) ข้ันตอนต่อไปคือการท�ำพิธี “จาแลแลเก่ว ดะ เออ” คือการข้ึนเครื่องหมายแห่งการ คุ้มครองในครอบครัว โดยจะใช้เส้นตอกที่มีความแข็งแรงจ�ำนวน ๒ เส้น โดยที่รอบเส้นจะมีการแกะ ขา้ วเหนยี วลกู กลมที่ตม้ สุก ซึ่งใช้พธิ ี โดยขา้ วเหนยี วทตี่ ้มสกุ น้ีจะใชท้ งั้ สองสว่ น คือ ข้าวเหนียวลกู กลม ที่ลงงาดำ� และไม่ลงงาดำ� โดยการแกะสลับท่ีกนั เส้นละ ๙ ลกู จากน้ันกไ็ ปเสียบไว้ ประตูทางเข้าบ้าน ท่ีหลังคา ทง้ั ฝา่ ยผู้ชาย และผู้หญงิ ซงึ่ แสดงถึงการป้องกนั ส่งิ เลวร้ายไม่ใหเ้ ข้ามาในบ้าน ๑๐) เมอื่ ทำ� พธิ เี สรจ็ แลว้ ฝา่ ยผหู้ ญงิ หรอื อาจเปน็ หญงิ สาวกจ็ ะมกี ารตม้ ไขโ่ ดยการยอ้ มเปลอื ก ไข่ใหเ้ ป็นสีแดงแลว้ ใส่ตะกร้า ให้เด็กสะพายไปมา ของแต่ละครอบครวั หรือบางคนเมื่อต้องการกนิ ไข่ก็ ท�ำการชนไข่ให้แตกแล้วมากินก็ไม่ผิด และหากมีแขกมาเยี่ยมบ้านของตนก็จะมีการมอบไข่ หรือให้ไข่ กับญาติพน่ี อ้ ง สือ่ ถงึ ความรกั ทม่ี ใี หก้ ัน ๑๑) ตอนค่�ำประมาณ ๑๙.๓๐ น.ก็จะท�ำพิธี “อาเผ่ว ล้อก่อง อุ๊” คือการล้างเครื่องเซ่นไหว้ เก็บใสต่ ู้เป็นอนั เสร็จพธิ ีวนั ที่สอง วนั ที่ ๓ อยกู่ รรม (หยุด) “ขึ่มสึ เจ่ ลอง เออ” คอื การอยูก่ รรมตอ้ นรบั ฟ้าใหมท่ ่จี ะมีฝนตกลง มาเป็นครั้งแรกในประเพณีน้ี โดยจะมีการปักตาแหลว อาข่าเรียกว่า “ด๊า แล้” เพื่อแสดงให้บุคคล ภายนอกรวู้ า่ ทางชมุ ชนจะมกี ารทำ� พธิ ี หากไมม่ คี วามจำ� เปน็ กอ็ ยา่ เขา้ มาในชมุ ชน แตถ่ า้ เขา้ มาแลว้ ตอ้ ง อยูใ่ ห้ครบงานพธิ ีจงึ จะออกได้ ท้งั นี้เพือ่ ถือว่าเป็นการอยกู่ รรมให้เกดิ การคุ้มครองสูงสุด

อาข่า (ก้อ อีก้อ อะกา้ ข่ากอ้ ) Akha (Kaw) 103 วนั ท่ี ๔ พิธี “ข่ึมมี้ อา่ เผว่ ” ในวนั นีจ้ ะไม่ใช้ไขไ่ ก่ ในการประกอบพธิ ีกรรม วันน้ีจะท�ำเหมือนกับวันแรกทุกประการ แต่ในค�่ำคืนนี้เจ้าภาพท่ีมีการกระทุ้งกระบอกไม้ไผ่ จะมีการเล้ียงอาหาร สุราตลอดท้ังคนื วันที่ ๕ พิธี “ข่ึมมี้ เจ่วหละ หยะ-เออ” วันนี้จะเป็นวันประกอบพิธีกรรมและประเพณีชนไข่ เปน็ วนั สดุ ท้าย มพี ธิ ไี หวค้ รตู ำ� แหนง่ ผนู้ ำ� วัฒนธรรมและการปกครอง มกี ารฆา่ หมู เพ่ือเลยี้ งแขก กลมุ่ ท่ี เป็นหมอสวด เปน็ กลุ่มท่มี มี ีดหมอประจำ� ตำ� แหน่ง จะท�ำพธิ บี ชู ามีดหมอ เรียกว่า “หละ แหย่ ทเู ออ” โดยใช้ไก่เพศผู้ และกลุ่มช่างตีเหล็กก็ท�ำพิธีบูชา เคร่ืองเป่าลม วันนี้ถือว่าเป็นการบูชาต�ำแหน่งท่ีได้ สบื ทอดจากบรรพบรุ ษุ ตงั้ แตเ่ ชา้ จนถงึ เยน็ ตกกลางคนื หลงั จากรบั ประทานอาหารเสรจ็ กจ็ ะทำ� การเกบ็ อปุ กรณ์ เครือ่ งเซ่นไหว้ถอื วา่ เปน็ การเสรจ็ พธิ ีกรรม “ขม่ึ สึ ข่ึมม้ี อาเผว่ ” ปีใหม่ไข่แดง เทศกาลไลผ่ ี ประเพณีไล่ผี “ค้องแย๊ะ แย๊ะ เออ”เป็นประเพณีที่จัดข้ึนประมาณ เดือนตุลาคมของทุกปี ซ่ึงจะตรงกับช่วงที่พืชพันธุ์ที่ปลูกลงไปในไร่ มีผลผลิต และเริ่มท่ีจะเก็บเกี่ยวได้แล้ว อาทิเช่น แตงโม แตงกวา พืชผักต่าง ๆ๔ ประเพณนี จ้ี ดั ขน้ึ มาเพอ่ื ขบั ไลส่ งิ่ ไมด่ อี อกจากชมุ ชน อาทเิ ชน่ ภตู ผปี ศี าจทม่ี าอาศยั อยใู่ นชมุ ชน อาขา่ เรยี กว่า “แหนะ” รวมไปถึงโรคภยั ไข้เจบ็ ต่าง ๆ โดยมีการแกะสลักไม้เนือ้ ออ่ น เปน็ ดาบ หอก ปนื อาข่าเรยี กอปุ กรณ์เหล่านวี้ ่า “เตาะมา” เปน็ เครอื่ งหมายที่ใชใ้ นการขบั ไล่สิง่ ไมด่ อี อกจากชมุ ชน มกี าร ตะโกนร้องดัง ๆ โดยเดก็ ๆ ในหมบู่ ้าน จะมีการแตง่ หน้าโดยใชส้ ใี ห้ดูน่ากลัวทีส่ ุด สว่ นในมือนน้ั ถือดาบ หรือหอกที่ท�ำจากไม้ที่มีลวดลาย การตบแต่งอย่างละเอียด เด็ก ๆ ก็จะรวมกันเป็นกลุ่มหลาย ๆ คน เดนิ เข้าไปในแตล่ ะบ้าน โดยจะเข้าทาง ประตูหนา้ และตะโกนร้อง เสียงดงั ว่า “โช้ โช้ลิโล ๆ” เพอ่ื ให้ ส่ิงไม่ดีต่าง ๆ ท่ีอยู่ในบ้านหวาดกลัว และออกไปจากบ้าน ขณะที่เด็กเข้าไปในบ้าน เด็กสามารถที่จะ ค้นหาผลไม้ต่าง ๆ มารับประทานได้ บางครอบครัวก็จะน�ำแตงกวามาวางไว้ให้เด็กได้ล้ิมลอง จากนั้น เด็กก็จะเดนิ ออกทางหลงั บา้ น ระหวา่ งทอ่ี อกไปกจ็ ะมกี ารจดุ ปะทัด และยงิ ปนื ประเพณีนอ้ี าจถอื เปน็ ประเพณีท่ีน�ำไปสู่ฤดูกาลใหม่อีกฤดูกาลหน่ึง คือจะเร่ิมเข้าหน้าหนาว และหลังจากประเพณีนี้เสร็จ กย็ งั สามารถทำ� กจิ กรรมตา่ ง ๆ ไดห้ ลากหลาย อาทิ การแตง่ งาน การละเลน่ เปา่ แคน การออกไปลา่ สตั ว์ เสมือนประเพณกี ารออกพรรษาของไทย ๔ วสนั ต์ ณ ถลาง. ความเชอ่ื เรอ่ื งผี “ผ”ี และพธิ กี รรมของสงั คมอกี อ้ ในหมบู่ า้ นเผาหมี ตำ�บลแมส่ ายเชยี งราย, โบราณคดี : ๕ (มกราคม-มนี าคม ๒๕๑๗), น. ๒๕๕-๒๗๓

104 ชนต่างวฒั นธรรมในประเทศไทย ข้ันตอนในการประกอบพธิ กี รรม วันที่ ๑ ผหู้ ญงิ ก็จะออกไปตักนำ�้ ท่บี อ่ น้ำ� ศักด์ิสิทธิ์ เพื่อนำ� มาประกอบพธิ กี รรมในบา้ นของตน น้�ำที่ตักมาจากบ่อน�้ำศักด์ิสิทธ์ิอาข่าเรียกว่า “อี้จุ อีซ้อ” หมายถึงน�้ำบริสุทธ์ิ และในวันนี้ก็มีการต�ำ ข้าวปุ๊ก ข้าวปุ๊กหรือห่อถ่องคือข้าวที่ได้จากการต�ำอย่างละเอียด โดยก่อน ที่จะต�ำก็จะน�ำข้าวสาร (ข้าวเหนียว) แชไ่ ว้ประมาณ ๑ คืน พอรงุ่ เช้าก็นำ� มานึง่ หลังจากนง่ึ เสร็จ หรือได้ทแ่ี ล้วกจ็ ะมกี ารโปรย ด้วยน้�ำอีกรอบหน่ึง แล้วก็นึ่งต่อระหว่างที่รอข้าวสุก ก็จะมีการต�ำงาด�ำผสมเกลือไปด้วยเพื่อไม่ให้ ขา้ วเหนยี วทตี่ ำ� ตดิ มอื เวลานำ� มาปน้ั ขา้ วปกุ๊ ซงึ่ ตอ้ งใชใ้ นการทำ� พธิ เี ชน่ กนั วนั นท้ี ง้ั วนั จะเปน็ การประกอบ พิธีกรรมทางศาสนาทั้งนั้น ซึ่งสถานท่ีในการท�ำพิธีกรรมก็จะเป็นทางฝั่งผู้หญิง ท่ีห้ิงผีบรรพบุรุษ “เปาะเลาะเปาะท”ุ วันที่ ๒ วันน้ีเป็นวันท่ีเด็ก ๆ จะท�ำเคร่ืองมือท่ีใช้ในการไล่ผี หลังจากท่ีท�ำเคร่ืองมือเสร็จ เดก็ ๆ ก็จะพากันไปไลผ่ ีตามบา้ นตา่ ง ๆ ในวันนีเ้ ดก็ ๆ กจ็ ะไล่กันจนถงึ เยน็ ส่วนทางผ้นู ำ� ศาสนากจ็ ะมี การท�ำพิธี “เจ่ว ยอง ล้อ” คือเป็นการไหว้ครูในต�ำแหน่ง และมีการเล้ียงอาหารแขก ซึ่งต�ำแหน่ง “เจว่ มา” จะประกอบพธิ ไี หวค้ รใู นพธิ นี เี้ ทา่ นนั้ ในพธิ กี จ็ ะมกี ารฆา่ หมู และผเู้ ฒา่ ผแู้ กอ่ วยพรใหก้ นั และ กัน เมื่อถึงตอนเย็น เด็ก และผู้ใหญ่ก็จะมารวมตัวกันท่ีบ้านของผู้น�ำศาสนา “เจ่วมา” และน�ำดาบที่ แกะสลักทั้งหลาย แล้วเดินออกไปปักไว้ทางเข้าประตูหมู่บ้าน โดยก่อนทีจะมีการปัก ก็จะมีการยิงปืน คร้ังใหญ่ อาข่าเรียกว่า “ค้องแย๊ะจู่เออ” คือการรวมตัวยิงปืน เป็นการส่งท้าย เมื่อยิงปืนสร็จก็จะน�ำ ดาบใหญ่ อาข่าเรียกว่า “เตาะมา” ที่เป็นคู่ใหญ่ท�ำเสาพาด ส่ิงน้ีจะเป็นตัวท่ีป้องกัน ไม่ให้สิ่งไม่ดี เข้ามาในหมู่บ้านอกี สว่ นดาบเลก็ ๆ กป็ กั ไวข้ า้ ง ๆ เสาประตหู มบู่ า้ น เสรจ็ จากนี้กแ็ ยกย้ายกันกลบั บ้าน พอตกเย็น ก็จะมีการท�ำพิธี “ อ่าเผ่ว ล้อก่องอุเออ” คือการท�ำความสะอาด เคร่ืองเซ่นไหว้ต่าง ๆ และเก็บเข้าต้บู รรจุ เปน็ อันว่าเสร็จพธิ ไี ลผ่ ี “คอ้ งแย๊ะแยะ๊ เออ” พิธีถวายทานให้ผีเปรต อาข่าเป็นชนเผ่าท่ีมีความเช่ือในเร่ืองวิญญาณ ภูตผี ปีศาจ ไสยศาสตร์ส่ิงเร้นลับ พิธีกรรม คำ� สอนท่ีไดร้ บั การปลูกฝงั มาจากบรรพบรุ ุษ และสบื ทอดปฏิบัติ ตามอยา่ งเคร่งครัด เมือ่ เจ็บไขไ้ ดป้ ว่ ย ก็ต้องท�ำพิธี เพราะอาข่ามีความเช่ือว่า คนที่เป็นไข้หรือไม่สบายน้ัน เกิดจากผีเข้าสิงในร่างของมนุษย์ จงึ ตอ้ งทำ� พธิ ี เลีย้ งผีดงั เช่นพธิ ีถวายทานใหผ้ ีเปรตน้ีพธิ ีถวายทานใหผ้ เี ปรต “ค๊าด่าฉ่เี ออ” เปน็ พธิ กี รรม ทช่ี าวอาขา่ ไดป้ ฏบิ ตั กิ นั มาตง้ั แตส่ มยั บรรพบรุ ษุ ไมม่ กี ารระบวุ า่ เกดิ ขนึ้ เมอ่ื ใด ซง่ึ การประกอบพธิ กี รรม นีท้ �ำเพ่อื เชือ้ เชิญวญิ ญาณ เจา้ เมอื ง ทาส ผเี ปรต ของเผา่ ต่าง ๆ ที่อาศัยอย่ใู นชุมชนออกจากชุมชนไป รวมทั้งสง่ิ เลวรา้ ย หรือโรคภัยไขเ้ จ็บตา่ ง ๆ ทเ่ี กดิ ข้ึนกับมนุษยแ์ ละสตั ว์ ไมใ่ หม้ ารงั ครวญ ในชมุ ชนอีก ตอ่ ไป และทส่ี ำ� คญั พธิ กี รรมนจ้ี ะทำ� กต็ อ่ เมอื่ มโี รคระบาดในชมุ ชน ไมว่ า่ โรคทเี่ กดิ ขน้ึ กบั มนษุ ยห์ รอื สตั ว์ เลยี้ ง ซง่ึ ถ้าหากมี โรคมาระบาดในชมุ ชน ชมุ ชนนนั้ ๆ กจ็ ะประกอบพิธีถวายทานใหผ้ ีเปรต โดยใช้เวลา

อาข่า (ก้อ อกี ้อ อะกา้ ข่ากอ้ ) Akha (Kaw) 105 ในการประกอบพธิ เี พยี ง ๑ วนั ดงั นนั้ เมอ่ื ถงึ วนั กำ� หนดจะประกอบพธิ ถี วายทานใหผ้ เี ปรต “คะดา่ ฉเ่ี ออ” ชมุ ชนจะเลอื กวนั ฤกษด์ ขี ้ึนมา จากนั้นก็จะ ทำ� การประกอบพิธี ซ่งึ ในการประกอบพิธจี ะแบ่งได้ ๓ รอบ ดงั น้ี คอื รอบแรก อาขา่ เรยี กว่า “ถขี่ ่า” คือการประกอบ พิธกี รรมครัง้ ท่ี ๑ จะเร่ิมประกอบพธิ ีหลังจาก ปลูกสร้างประตูหมู่บ้านแล้ว ประมาณเดือน เมษายน – ตุลาคม รอบท่ี ๒ อาข่าเรียกว่า “หยี่ข่า” ประกอบพิธีหลังจากประเพณีไล่ผี “ค้องแย๊ะแย๊ะเออ” หรือออกพรรษาอาข่า ช่วง ระหว่างเดือน พฤศจิกายน – ธันวาคม รอบที่ ๓ อาข่าเรียกว่า “ซ้ึมข่า” ประกอบพิธีหลังประเพณีปีใหม่ลูกข่าง “ค๊าท้องพ๊าเออ” ช่วงระหว่างเดือน มกราคม – มีนาคม ข้นั ตอนในการประกอบพิธกี รรม ๑. ตดั ไผเ่ นอื้ ออ่ น “ไผเ่ ฮยี้ ” มาทำ� ตะแกรงทบี่ า้ นของผนู้ ำ� ศาสนา “เจว่ มา” ขนาดความกวา้ ง ประมาณ ๒x๓ เมตร จากนั้นก็ปูทับดว้ ยใบตอง ๒. ให้คนในชุมชนแต่ละหลังคาเรือนน�ำข้าวปลาอาหาร ของกิน ดอกไม้ เมล็ดพันธุ์ต่าง ๆ พร้อมผา้ สีตัดเปน็ ชน้ิ ๆ มาวางบริเวณตะแกรงที่เตรียมไว้ ซึง่ บางครอบครัวก็ทำ� ตะแกรงเลก็ ๆ แลว้ มา วางกม็ ี ๓. ป้ันรูปตุ๊กตาโดยใชด้ ินมาป้นั รูปท่ีป้นั ไกแ้ ก่ ชา้ ง ม้า ววั ควาย แลว้ ใส่ในตะแกรงไว้ อาข่า มีความเชอื่ เกยี่ วกบั การปั้นรปู สัตว์ตา่ ง ๆ วา่ สตั วเ์ หล่านี้จะนำ� ผีนายของหัวเมอื งต่าง ๆ ที่เขา้ มาอยใู่ น ชมุ ชนออกไปจากชมุ ชน โดยจะขรี่ ูปสตั วเ์ หลา่ น้แี ลว้ ออกไป ๔. เมอ่ื ทกุ ครอบครวั วางเครอ่ื งสงั ฆทานพรอ้ มแลว้ กจ็ ะชว่ ยกนั ยกตะแกรงไปทง้ิ บรเิ วณทาง เข้าชมุ ชนดา้ นทิศเหนอื เมื่อทงิ้ ตะแกรงเสรจ็ ก็ถอื วา่ เสรจ็ สน้ิ พธิ กี รรม ความสำ� คญั ของพิธถี วายทานให้ผีเปรต “คา๊ ด่าฉี่เออ” ๑) เป็นกระบวนการสร้างขวัญก�ำลังใจให้กับคนในชุมชน ให้คนในชุมชนมีความเข้มแข็งทาง ด้านจติ ใจ เพอื่ สร้าง ความตา้ นทาน เนือ่ งจากช่วงท่อี าข่าก�ำหนดท�ำพิธีกรรมน้ขี ้ึน ก็จะตรงกบั จงั หวะท่ี มกี ารเปลยี่ นแปลงฤดู ซงึ่ คนใน ชมุ ชนมโี อกาสทจ่ี ะเจบ็ ปว่ ยไดง้ า่ ย สขุ ภาพจะไมค่ อ่ ยดี อกี ประเดน็ หนงึ่ ท�ำพธิ ใี นช่วงทมี่ โี รคภยั ไข้เจบ็ จงึ ถอื ว่า เปน็ มติ หิ นง่ึ ของการสรา้ งขวญั กำ� ลงั ใจใหก้ บั คนในชมุ ชน (วคั ซนี จิตใจ) ๒) อาขา่ เชอื่ วา่ ภตู ผี ปีศาจ เปรต วญิ ญาณของเผา่ พนั ธุต์ า่ ง ๆ ท่ลี ว่ งลับไปแลว้ จะมาหากนิ กับมนษุ ยซ์ ึ่งเปน็ เจ้ากรรมนายเวร มาอาศัยอย่ใู นชมุ ชนจรงิ ดงั นั้นการประกอบพิธีถวายทานให้ผเี ปรต “ค๊าด่าฉี่เออ” ถือว่าเป็นการท�ำบุญ ถวายทานให้เจ้ากรรมนายเวรของชนเผ่าต่าง ๆ ท่ีล่วงลับไปแล้ว โดยเชิญออกจาชุมชน เพ่ือไปสูส่ ุขติ

106 ชนต่างวฒั นธรรมในประเทศไทย ปัจจุบันการประกอบพิธีถวายทานให้ผีเปรต “ค๊าด่าฉ่ีเออ” หลายชุมชนจะประกอบเพียง คร้ังเดียวต่อปี หรือบางปีก็ไม่มีการประกอบพิธีดังกล่าว เน่ืองจากการระบาดของโรคต่าง ๆ ไม่ค่อยมี อยา่ งไรกต็ ามหากชมุ ชนใดมโี รคภยั ไขเ้ จบ็ มาเบยี ดเบยี น สามารถทจี่ ะประกอบพธิ กี รรมนไี้ ด้ ๓ รอบตอ่ ปี ประเพณีเชดิ ชูต�ำแหน่งรองผูน้ �ำศาสนา “ยอลาอา่ เผว่ ” หลงั จากเทศกาลโลช้ งิ ช้าผ่านไป ๑๓ วัน หรือ ๑ รอบสปั ดาหข์ องอาข่า กจ็ ะมปี ระเพณยี อลา อ่าเผ่ว ประเพณีนี้จะจัดข้ึนประมาณเดือน กันยายนของทุกปี ตรงกับเดือนอาข่าคือ ยอลาบาลา โดยจะประกอบพิธีกรรมเป็นระยะเวลา ๒ วัน มีเร่ืองเล่าเกี่ยวกับ ประวัติความเป็นมาของประเพณีน้ี วา่ เกดิ ขนึ้ เนอ่ื งจาก ในชมุ ชนอาขา่ นอกจากจะมผี นู้ ำ� ศาสนา หรอื ทอี่ าขา่ เรยี กวา่ “เจว่ มา” แลว้ ในชมุ ชน อาขา่ กย็ งั มรี องผนู้ ำ� ศาสนา อาขา่ เรยี กตำ� แหนง่ นว้ี า่ “เจว่ หยา่ ” เปน็ บคุ คลทเี่ คยดำ� รงตำ� แหนง่ เปน็ ผนู้ ำ� ศาสนา “เจ่วมา” ในอดีต ดังน้ันประเพณี ยอลาอ่าเผ่ว จึงจัดข้ึนมาเพ่ือเชิดชูอดีตผู้น�ำศาสนา ฉะน้ัน ประเพณนี ถ้ี อื เป็นประเพณขี องอดตี ผเู้ คยด�ำรงตำ� แหน่ง เจว่ มา มาก่อนกว็ า่ ได้ ดังนั้นบรรดาผู้เป็นรอง ผู้น�ำศาสนาหรือ “เจ่วหย่า” ก็จะมีการประกอบพิธีกรรมเพื่อไหว้ครู และมีการเล้ียงอาหาร เรียกว่า เจว่ ยองลอ้ เออ โดยมกี จิ กรรมของพิธีกรรมดังน้ี ๑. วันแรก การเซ่นไหว้บรรพบุรุษ วันนี้มีการประกอบพิธีเซ่นไหว้ให้กับบรรพบุรุษท่ีล่วงลับ ไปแล้ว ข้นั ตอนการประกอบพธิ กี รรมคือ ช่วงเชา้ ผู้หญิงอาขา่ ก็จะออกจากบา้ น เพื่อไปตักน�ำ้ บริสุทธ์ิที่ บ่อน้�ำศักด์ิสิทธ์ิ เพ่ือมาใช้ในการประกอบพิธีกรรม โดยก่อนตักน�้ำก็มีการช�ำระล้างส่วนต่าง ๆ ของรา่ งกายใหส้ ะอาด โดยลา้ งขา ลา้ งมอื ลา้ งหนา้ อาขา่ เชอ่ื วา่ ผทู้ จ่ี ะไปตกั นำ�้ ในบอ่ นำ�้ ศกั ดสิ์ ทิ ธจิ์ ะตอ้ ง มีความบรสิ ุทธ์ทิ ้งั กาย วาจา และใจ หลงั จากที่ชำ� ระลา้ งร่างกายเสรจ็ แลว้ กจ็ ะเขา้ ควิ ตักน�้ำ อาขา่ เรยี ก น้�ำท่ีตักนี้ว่า “อี๊จุ อี๊ซ้อ” หมายถึงน้�ำบริสุทธิ์ เม่ือตักน้�ำกลับมาถึงบ้านแล้ว ก็จะท�ำการแช่ข้าวเหนียว เพ่อื จะตำ� ขา้ วปกุ๊ หรอื อาข่าเรียกวา่ “หอ่ ถอ่ ง” เพ่ือใชใ้ นการประกอบพธิ กี รรม เมื่อถึงเทยี่ งกจ็ ะทำ� การ น่งึ ข้าวทีแ่ ช่ไว้ และขณะทร่ี อขา้ วสกุ กจ็ ะคั่วงาด�ำ เพอ่ื ผสมกบั ขา้ วป๊กุ พร้อมเอาเคร่อื งเซ่นไหวอ้ อกจาก ตเู้ กบ็ แลว้ นำ� มาลา้ งดว้ ยนำ�้ บรสิ ทุ ธ์ิ เมอื่ ลา้ งเสรจ็ กท็ ำ� การผง่ึ ไวบ้ นชานเหนอื เตาไฟ ซง่ึ จะอยทู่ างฝง่ั ทนี่ อน ของฝ่ายหญิง อาข่าเรียกท่ีนี้ว่า “ข่อต๊ะ” อุปกรณ์เครื่องเซ่นไหว้ก็มี ขันโตกเล็ก ตะกร้าสานด้วยไม้ไผ่ ขนาดเสน้ ผ่านศนู ย์กลาง ๕ น้วิ จ�ำนวน ๒ ใบ กระบอกสำ� หรบั ใสเ่ หลา้ น้�ำชา และเนอื้ จ�ำนวน ๓ ชิน้ ม้าน่ังเล็ก ๑ ตัว (บางตระกูลไม่ใช้ม้าน่ังน้ี) และเมื่อข้าวสุกก็ตักข้าวออก ๑ ถ้วย เพื่อมาท�ำเป็นข้าว บริสทุ ธ์ิ ชนดิ ไมต่ �ำ เพื่อใช้ในการท�ำพิธี อาข่าเรียกขา้ วบริสุทธิ์นวี้ า่ “ห่อส้อ” จากน้ันนำ� ขา้ วสุกทีเ่ หลือ เป็นส่วนใหญ่ไปต�ำเป็นข้าวปุ๊ก ในครกขนาดใหญ่ เม่ือต�ำข้าวปุ๊กเสร็จ ก็น�ำกลับมาท่ีบ้าน แล้วน�ำเนิน การบิดข้าวเหนียวออกมา ๓ ช้ิน อาข่าเรียกว่า “อ่าเผ่วล้อฮี้” แล้วใส่ไว้ในตะกร้าเครื่องเซ่นไหว้ เอากระบอกเหล้าพธิ ี “จบี๊ ่าจี๊ชู / จ๊ีบ่าจสี๊ ่ี” จำ� นวน ๑ กระบอก โดยทิ้งเศษขีเ้ ถ้าท่ีอดั ปิดกระบอกออก

อาขา่ (ก้อ อกี อ้ อะกา้ ข่าก้อ) Akha (Kaw) 107 ทิ้งบรเิ วณเตาไฟ และเสียบไม้ขนาดไมจ้ ิ้มฟนั อาข่าเรยี กวา่ จฉ๊ี อ้ และหลอดดูดทีเ่ ป็นหลอดไม้ไผ่ อีก ๑ หลอด พร้อมท่ีตักน�้ำใบเลก็ ๆ เพือ่ จะใส่น�้ำบรสิ ุทธิ์ อาข่าเรยี กว่า “อจี๊ ๊อง” พรอ้ มใสน่ ้ำ� บริสทุ ธ์ิ ไปตงั้ ไว้ ตรงหน้าตูเ้ ครอื่ งเซน่ ไหว้ จับไก่เพศเมยี มา ๑ ตวั จากนน้ั ก็ใชน้ �้ำบริสทุ ธิร์ ด ๓ จดุ คือ ทข่ี า ปีก และหัว รดจุดละ ๓ คร้ัง จากน้ันก็เชือกไก่ หลังจากช�ำแหละไก่เสร็จ ก็ท�ำการสับเน้ือไก่ ใส่หม้อต้ม แต่ต้องมี ถ้วยรองเน้อื เรียกว่า “ข่ีมหมา่ หละตา่ ” ในถว้ ยจะมี ขงิ ขา้ วเหนียว เกลือ เพ่ือตม้ กับไก่ สาเหตุท่ตี ้อง ใช้ถว้ ยรองเนอ้ื ก่อนจะตม้ เนือ้ ก็เพือ่ ป้องกนั ไมใ่ ห้เนอื้ ไกท่ ส่ี ับเป็นชนิ้ ๆ ตกลงพน้ื เพราะถอื วา่ ไม่สะอาด และห้ามใสเ่ คร่อื งปรุงอื่น ๆ เด็ดขาด นอกจากขิง เกลอื และขา้ วเหนียว หากใส่เครอื่ งปรงุ ลงไปหลาก หลายถอื วา่ ไมบ่ รสิ ทุ ธิ์ และอาขา่ เชอ่ื วา่ ถา้ เครอื่ งปรงุ เยอะ เทพเจา้ ไมช่ อบ สำ� หรบั ชน้ิ สว่ นไกท่ ใ่ี ชใ้ นการ เซ่นไหว้ จะมี น่องไก่ ตบั อก ส�ำหรับตระกูลที่เซน่ ไหว้ โดยใชเ้ นอื้ ไก่ ๓ ช้ิน บางตระกูลใช้ ๕ ชนิ้ ในการ เซ่นไหว้ ซ่ึงจะเพ่ิม ปีก และเนื้อส่วนอ่ืนด้วย เม่ือ ต้มไก่สุกแล้ว ให้เอาขันโตกพิธีมาตั้ง จากน้ันก็เริ่ม ประกอบพิธี โดยคนท�ำพิธีจะเป็นผู้ชาย ก็จะยกขันโตกไปตั้งไว้ท่ีหน้าตู้เคร่ืองเซ่นไหว้ เพ่ือท�ำการบูชา ซ่ึงช่วงน้ีต้องหันหลังให้กับขันโตกพิธี เพราะเช่ือว่า เทพเจ้าจะลงมารับประทานอาหาร จากนั้นก็ยก ขันโตกลงมาข้างล่าง ผู้ประกอบพิธีจะกินอาหารของเทพเจ้าเป็นคนแรก อาข่าเรียกอาหารนี้ว่า “อา่ เผ่วลอจ๊า” เมื่อผ้ปู ระกอบพิธี กนิ เสรจ็ แลว้ ก็ให้สมาชิกคนอน่ื ๆ กิน เมือ่ กินเสรจ็ กันแลว้ กท็ ำ� การ เกบ็ ขันโตก และอาหาร เครื่องเซน่ ไหว้ ใส่ตขู้ า้ วสาร ถอื ว่า พิธีกรรมวนั แรกก็ถือวา่ เสรจ็ สน้ิ อนง่ึ ชว่ งทม่ี กี ารทำ� พธิ ี ทางชมุ ชนจะจดั บคุ คลขนึ้ มา ๑ คน เพอ่ื ทำ� การปกั ตาแหลว “ตาแหลว ๗ ตา” สหิ มะดา้ แล้ เพ่อื เป็นการแสดงถงึ การปอ้ งกนั คุม้ ครอง ทส่ี �ำคัญเพอื่ บ่งบอกให้บคุ คลภายนอก ทีเ่ ข้ามาในชมุ ชนร้วู ่า หากเขา้ มาในชมุ ชนแลว้ จะตอ้ งอยู่ร่วมงานพธิ ี จะออกไปไมไ่ ด้ หากอยรู่ ว่ มพิธไี ม่ ได้ก็ไม่ให้เขา้ มา โดยจะปักไว้ทางทิศเหนือ และทิศใต้ของชมุ ชน ๒. วนั ทีส่ อง วันฉลองตำ� แหน่ง “เจ่วหยา่ ” สำ� หรบั วันที่สองนี้ บุคคลผมู้ ีตำ� แหนง่ รองผนู้ ำ� ศาสนา “เจว่ หย่า” จะมีการประกอบพธิ ไี หวค้ รู ในต�ำแหนง่ ทยี่ งั คงดำ� รงอยู่ โดยจะมีการเลย้ี งอาหารกบั แขกที่มารว่ มงาน และเชญิ ผ้อู าวโุ สในหมบู่ า้ น มารว่ มงานดว้ ย ขั้นตอนในการประกอบพธิ กี รรม น�ำหมู สดี ำ� มา ๑ ตวั ขนาดแล้วแตท่ ีห่ าได้ จับเขา้ ไปในบา้ น แลว้ ทำ� การตั้งกระบอกเหล้าพธิ ี พร้อมทั้งน้�ำบริสุทธิ์ เพ่ือรดน้�ำหมู อาข่าเรียกน้�ำน้ีว่า “อ๊ีจ๊อง” โดยตั้งไว้ที่เตาไฟฝั่งผู้ชาย จากนั้นให้ เจ้าของบ้านซึ่งมีต�ำแหน่งเป็นรองผู้น�ำศาสนา เจ่วหย่า ก็จะท�ำการรดน�้ำหมู จากขา ล�ำตัว และหัว จุดละ ๓ ครง้ั แล้วใชม้ ดี ในต�ำแหน่ง ฆ่าหมู หลงั จากฆ่าเสรจ็ กท็ ำ� การเผา เม่ือเผาและท�ำความสะอาด ตัวหมูเสร็จแล้ว ก็ท�ำการช�ำแหละ เพื่อประกอบพิธี ซึ่งการท�ำอาหารนั้น จะต้องมีการลาบ ท่ีใส่เลือด

108 ชนตา่ งวัฒนธรรมในประเทศไทย เรยี กวา่ “แบยะเน”้ และลาบทไี่ มใ่ สเ่ ลอื ด เรยี กวา่ “แบยะพย”ู้ จากนนั้ กป็ ระกอบอาหาร เมอ่ื ทำ� อาหาร เสร็จกเ็ ชิญ แขก ผู้อาวุโส ร่วมรบั ประทานอาหาร เมื่อรบั ประทานอาหารเสร็จกท็ �ำขั้นตอนตอ่ ไปคอื การดดู เหลา้ ตอนเลกิ วงอาหาร “จบ๊ี า่ จสี๊ เ่ี ตอ๊ ะ” ใหเ้ อากระบอกเหลา้ พธิ กี ระบอกที่ ๑ ทตี่ ง้ั ตอน ที่ฆ่าหมู เรียกว่า “หยะแสะผู่” กระบอกท่ี ๒ เรียกว่า “เจว่ จี้ หมอ่ จ้ี” โดยท�ำการดเู หลา้ ในกระบอกท่ี ๑ จ�ำนวน ๓ ครั้ง แล้วมาดดู ท่ีกระบอกท่ี ๒ จ�ำนวน ๓ คร้ัง จากน้ันผูอ้ าวุโสกจ็ ะอวยพรให้ เพียงเท่าน้ี กถ็ อื วา่ เสรจ็ พธิ ใี นวนั นี้ เมอื่ ถงึ หวั คำ่� หรอื ประมาณ ๑๙.๐๐ น. กท็ ำ� การเกบ็ เครอ่ื งเซน่ ไหวต้ า่ ง ๆ เขา้ ตเู้ กบ็ เรยี กการเกบ็ เครอื่ งเซน่ ไหวน้ วี้ า่ “อา่ เผว่ ลอ้ กอ่ งอเุ๊ ออ” หลงั จากเกบ็ เครอื่ งเซน่ ไหวแ้ ลว้ กถ็ อื วา่ เสรจ็ สนิ้ พธิ กี รรม ประเพณกี นิ ขา้ วใหม่ “ยอพนู องหม่อื เชเ้ ออ” พิธีเลือกฤกษ์วันดี และกินข้าวใหม่ของอาข่า ถือเป็นพิธีที่ส�ำคัญอีกพิธีหน่ึงที่ชนเผ่าอาข่า สบื ทอด และปฏบิ ตั กิ นั มา ตงั้ แตส่ มยั บรรพบรุ ษุ พธิ ยี อพนู องหมอ่ื เชเ้ ออ หมายถงึ การกำ� หนดฤกษว์ นั ดี ของชมุ ชนเพอื่ จะใหส้ มาชกิ ในชมุ ชน สามารถทจี่ ะประกอบพธิ กี รรมกนิ ขา้ วใหม่ หรอื เกบ็ เมลด็ พนั ธข์ุ า้ ว อาขา่ เรยี กวา่ “แช้นมึ่ จเึ ออ” พิธนี จี้ ะมีสว่ นสำ� คญั ของกิจกรรมอยู่ ๒ รปู แบบคือ การเกบ็ เช้อื ขา้ วพนั ธ์ุ ใหม่ “แช้นึ้มยู้เออ” และการกินข้าวใหม่ “แช้น้ึมจึจ่าเออ อน่ึงประเพณีก�ำหนดวันฤกษ์ดีของชุมชน “ยอพนู องหมอ่ื เชเ้ ออ” จะใชร้ ะยะเวลาในการประกอบพธิ เี พยี ง ๑ วนั ซง่ึ การเลอื กฤกษว์ นั ดขี องชมุ ชนนนั้ จะให้ผนู้ ำ� ศาสนา หรืออาขา่ เรียกวา่ “เจว่ มา” ดูตับหมู เกย่ี วกบั ผลผลิตของชุมชน อาขา่ เรียกการดตู บั ของ เจ่วมา ว่า “หยะผี่ท้องเออ” เม่ือทราบว่าในวันรุ่งข้ึน จะมีการอยู่กรรมเพ่ือถือเป็นวันฤกษ์ดีของ ชุมชนแล้ว ในตอนกลางคืนก็จะมีการประกาศที่เรียกว่า “ลองกู้กู้เออ” ซ่ึงจะประกาศให้คนในชุมชน หยุดการท�ำงาน อยา่ เก็บของปา่ อย่ายงุ่ เรอ่ื งเพศ และทำ� จิตใจใหบ้ รสิ ุทธิ์ เม่ือถงึ วันรุ่งข้ึน คนในชุมชน ก็จะอยู่บ้าน ไม่ออกไปท�ำงาน แต่บรรดาสตรีก็อาจมีการเย็บผ้า ปักผ้าบ้าง ตอนเย็นก็จะมีการละเล่น สะบ้าได้ สำ� หรบั ทบ่ี า้ นของครอบครัวที่เปน็ แกนนำ� ในการถอื ฤกษ์วันดี จะมีพธิ ีกนิ ข้าวใหม่โดย ช่วงเชา้ ตรู่ พ่อบ้านทีเ่ ป็นผ้ชู าย และลูกบา้ นพร้อมกบั เด็ก จ�ำนวน ๓ – ๕ คน ของครอบครวั ทจ่ี ะทำ� พธิ จี ะเตรยี ม เคยี ว ๑ เลม่ ใสถ่ งุ ยา่ ม โดยพอ่ บา้ น (ผปู้ ระกอบพธิ )ี นน้ั จะใสห่ มวกอาขา่ “หลอ่ เฮอ” สว่ นคนอื่น ๆ จะเอาถงุ ยา่ มเพอ่ื เกบ็ ข้าวใหม่ มาท�ำเป็นขา้ วใหม่ คนละ ๑ ใบ แล้วเดินทางไปท�ำพธิ ีและ เก็บขา้ วใหม่ ท่ไี ร่ตั้งแต่เช้ามดื สาเหตุท่ีต้องไปเช้ามดื เพราะวา่ เพื่อไมใ่ หเ้ จอสตั ว์ เหลา่ นี้ คือ งู ลิง เกง้ กวาง เมน่ ลิน้ เพราะอาขา่ ถอื วา่ เปน็ สัตว์อปั มงคล หากเจอส่งิ เหลา่ น้ี วนั ท�ำพธิ ี ตอนขาไปตอ้ งเลอื ก วนั ใหม่ แต่ถา้ เจอตอนขากลบั มาถือว่าโชคเลวทสี่ ุด เพราะจะท�ำใหเ้ ชอื้ พันธขุ์ า้ วที่เกบ็ มา ไม่สามารถไป ใช้เป็นพันธุข์ า้ วตามทเ่ี ทพเจ้า และบรรพบุรษุ ได้ประทานสบื ทอดตอ่ ๆ กนั มา และจะถอื เป็นการขาด ความสัมพนั ธก์ บั บรรพบรุ ษุ ท่ีไดส้ บื ทอดกนั มา อาขา่ เรียกว่า “แชม้ าค้าด่อง” จะไมม่ ีวิธีการแก้ไขได้เลย ดังน้นั ผ้ทู ี่จะเปน็ ผปู้ ระกอบพิธีตอ้ งระวงั ให้ดีทสี่ ดุ สว่ นผู้หญิงกจ็ ะไปตักนำ�้ บริสทุ ธิ์

อาข่า (ก้อ อีกอ้ อะก้า ข่ากอ้ ) Akha (Kaw) 109 (อน่ึงการตักน้�ำบริสุทธิ์ บางครอบครัวจะไปตักหลังจากท่ีพ่อบ้าน ไปท�ำพิธีกลับมาถึงบ้าน เสรจ็ แลว้ เน่ืองจาก เกรงว่าบางทีหากเจอสตั วท์ ่กี ลา่ วมา กต็ อ้ งท�ำพธิ ีใหม่ จึงไมไ่ ปตักน้ำ� ไว)้ พรอ้ มทัง้ การเตรียมอาหารที่เป็นผัก และอ่ืน ๆ เพ่ือใช้งาน ซ่ึงการหาอาหารน้ีจะหาไว้ล่วงหน้าก็ได้ เช่น ผลไม้ บุก ปลา พรกิ ฯลฯ ซงึ่ ในพิธีกรรมนี้จะเปน็ การโชวอ์ าหารคร้งั ใหญ่ และเป็นหน้าตาของผ้หู ญิงโดยตรง เมื่อไปถึงไร่แล้ว ก็ไปเด็ดใบเผือกมา ๒ ใบ แล้วปูใส่บนหมวกวางบนหลังคา ซุ้มพิธี “ยาชุ้ม ขม่ึ ผ”ี่ จากนนั้ กเ็ ดด็ รวงขา้ วทส่ี มบรู ณใ์ หม้ ใี บขา้ วตดิ อยู่ ๑ ใบ จำ� นวน ๓ รวง อาขา่ เรยี กวา่ “แชน้ ม้ึ จเึ ออ” แลว้ วางบนหลงั คา ซมุ้ พธิ ไี ว้ แลว้ เกย่ี วรวงขา้ วทสี่ มบรู ณอ์ กี ๓ ครงั้ เกย่ี วครงั้ ละ ๓ รวง แลว้ วางทบั ซอ้ น กันเป็นรูปสามเหล่ียม (เหมือนการกองข้าว) จากนั้นก็ใช้เท้าขวา เหยียบรวงข้าวที่กองเป็นพิธีแล้ว จากนั้นก็เอารวงขา้ วที่เดด็ ไว้ ๓ รวง ใส่กับเมลด็ ขา้ วท่เี กย่ี ว แล้วมดั โดยใชใ้ บข้าวมัดใสถ่ ุง แลว้ เรม่ิ เก็บ เมล็ดข้าว เพอ่ื นำ� ไปเปน็ ขา้ วใหม่ “หอ่ สึ” เมือ่ เก็บได้พอประมาณก็ เลอื กรวงข้าวทีส่ วย ๆ อีก ๓ รวง เกี่ยวทิ้งไว้บนซุ้มพิธี ๓ รวง เหตุผล เนื่องจาก บางทีตอนเกี่ยวข้าวไร่ อาจมีการลืมข้าวท่ีเกี่ยว ฉะน้ัน หากมีการเกี่ยวข้าวแล้วทิ้งไว้บนหลังคาซุ้มพิธี ก็จะสามารถเก็บข้าวท่ีลืมในไร่แล้วคนมาใช้บริโภคได้ แต่หากไมเ่ กีย่ วขา้ วทง้ิ ไวบ้ นหลังคาซมุ้ พิธี ขา้ วทลี่ มื ในไร่ จะไม่สามารถใช้เปน็ ขา้ วทีค่ นบรโิ ภค นิยมทำ� เป็นอาหารสตั วเ์ ทา่ นน้ั อาขา่ เรียกขา้ วท่ลี ืมแบบนวี้ า่ “แช้ แง”้ จากนั้น ก็เดินทางกลบั บา้ น เม่ือกลับมาถึงบ้านเตรียมท�ำพิธีกรรม โดยเอาถุงท่ีใส่ห่อรวงข้าว ห้อยไว้ท่ีเสา ใกล้กับบริเวณ ทีจ่ ะทำ� พิธี อาข่าเรียกวา่ “ลอขา่ ” เป็นฝากนั้ ระหว่างหอ้ งหญิง ชาย จากนน้ั เอาถุงใบอน่ื ๆ ทเ่ี อาขา้ ว จากในไรอ่ อกไปผงึ่ แดด พอเปน็ พธิ ี ซง่ึ ถอื วา่ เปน็ ตากขา้ วจากแสงอาทติ ยน์ นั่ เอง แลว้ นำ� กลบั มาในบา้ น ค่ัวในกระทะ แล้วน�ำไปต�ำจากนั้นมาท�ำเป็นข้าวเม่า “แจะ หย่อ” มีวิธีการท�ำคือ เอาข้าวใหม่ที่คั่ว และต�ำเสร็จแล้ว น�ำมา ผสมน�้ำเพื่อให้อมน้�ำ แล้วใช้ใบตองมัดให้แน่น แล้วทิ้งไว้ระยะหนึ่ง ย่ิงนาน ย่งิ ดี เพราะจะท�ำใหข้ า้ วใหมน่ ุ่มขน้ึ และเมอื่ เที่ยงวัน จะมีการเซ่นไหว้พิธีกรรมมขี ้นั ตอน คอื ๑) เอาอุปกรณ์เซ่นไหว้จากตู้เก็บเครื่องเซ่นไหว้ อาข่าเรียกตู้เก็บนี้ว่า “เปาะเหลาะเปาะทู้” เพ่อื น�ำอปุ กรณ์มาลา้ งในน้�ำบริสทุ ธ์ิ เมอื่ ลา้ งเสร็จใหท้ �ำการผงึ่ ใหแ้ หง้ โดยวางไว้บนชานทห่ี อ้ ยอยูเ่ หนอื เตาไฟ ทางฝั่งผู้หญิงอาข่า เรียกชานนี้ว่า “ข่อต๊ะ” จะผ่ึงไว้ในขณะท่ีมีการเตรียมการ เช่น การฆ่าไก่ เป็นต้น (อปุ กรณ์ เคร่อื งเซน่ ไหว้ มดี ังน้ี คือ ขันโตกเล็ก / ตะกร้าสานด้วยไม้ไผ่ ขนาดเส้นผา่ ศนู ยก์ ลาง ๕ นิว้ จำ� นวน ๒ ใบ / กระบอกถ้วยท่ีเป็นไมไ้ ผ่ เพ่อื ใส่เหล้า , เนื้อ , นำ�้ ชา จ�ำนวน ๓ ใบ / มา้ นั่งเล็ก ๑ ตัว สำ� หรบั ม้านงั่ บางตระกูลก็ไมใ่ ช)้ ๒) น�ำกระบอกเหล้าพิธี “จี้บ่าจี้ส่ี” ๑ กระบอก โดยเอาเศษข้ีเถ้าท่ีอัดปิดกระบอกออก ทิ้งบริเวณท่ีเตาไฟ และเสียบไม้ขนาดเล็กเท่าไม้จิ้มฟัน ไว้ในกระบอก และเอาหลอดดูด ๑ หลอด (ทท่ี ำ� ดว้ ยไมไ้ ผ)่ จากนนั้ เอาถว้ ย ๑ ใบ พรอ้ มทตี่ กั นำ�้ ใบเลก็ ๆ เพอื่ ใสน่ ำ้� บรสิ ทุ ธิ์ อาขา่ เรยี กวา่ “อ้ี จอ้ ง” ไปต้ังไว้ตรงหน้าตู้เก็บเคร่ืองเซ่นไหว้

110 ชนตา่ งวฒั นธรรมในประเทศไทย ๓) ให้ไปจับไก่บริสุทธิ์ที่เป็นไก่ตัวผู้ ซึ่งไม่ใช่ไก่ขนสีขาว มา ๑ ตัว โดยไก่ต้องมีอวัยวะครบ ทุกสว่ น ไม่พกิ ารใด ๆ ทัง้ สนิ้ จากนนั้ น�ำน้ำ� บรสิ ุทธ์ิ ท่ใี สถ่ ้วย และตง้ั ไว้หน้าตู้เกบ็ เครอ่ื งเซ่นไหว้ รดที่ ขา – ลำ� ตัว – หัว จดุ ละ ๓ ครง้ั ซ่ึงการรดนำ�้ นีถ้ อื ว่าเปน็ การชำ� ระลา้ งไกใ่ ห้บรสิ ุทธ์ิ แลว้ ตีหวั ไกใ่ ห้ตาย ๔) เม่ือไก่ตายสนิท ก็เผาท�ำความสะอาด จากนั้นก็ท�ำการช�ำแหละ ซึ่งการช�ำแหละไก่ ตอ้ งระวงั อยา่ ใหเ้ ครอื่ งในไก่ เวลางดั ออกตอ้ งใหต้ ดิ ทางซโี่ ครงเทา่ นนั้ หากเครอื่ งในตดิ ออกมาดา้ นสว่ น นอกกต็ อ้ งฆา่ ไกต่ วั ใหม่ เนอื่ งจากถอื วา่ ผดิ ธรรมชาติ ตามทสี่ รรี ะดำ� รงอยู่ จากนน้ั สบั ไกเ่ พอื่ ตม้ โดยกอ่ น ทจี่ ะเอาเนอื้ ใสห่ มอ้ ตอ้ งมถี ว้ ยรองเนอ้ื อาขา่ เรยี กวา่ “ขม่ึ หมา่ หละดา่ ” ในถว้ ยจะมี ขงิ / ขา้ วสารเหนยี ว / เกลือ เพอื่ ทีจ่ ะตม้ กบั เน้ือไก่ หา้ มใส่เครือ่ งปรงุ อื่น ๆ เด็ดขาด เพราะถอื ว่า ไม่บรสิ ทุ ธิ์ และชิน้ ส่วนไก่ ทีท่ ำ� พิธีน้ันจะมี ปีกไก่ / และเนอื้ ส่วนอื่น ถอื วา่ ใช้ ๕ ชนิ้ ในการเซน่ ไหว้ เม่ือเนอ้ื ไกท่ ี่ตม้ สุกแล้ว ก็ให้ เอาขนั โตกพิธมี าตงั้ แล้วใส่อาหาร เครือ่ งเซน่ ไหวต้ า่ ง ๆ กล่าวคอื - ใสเ่ นอื้ ไกใ่ นสว่ นของ น่องไก่ / เน้อื อกไก่ / ตับไก่ กรณีครอบครัวท่ีท�ำพิธีเซ่นไหว้ โดยใช้เนื้อไก่ ๓ ช้ิน ส่วนตระกูลท่ีใช้ ๕ ชิ้น ให้เพิ่ม ปีกไก่ / เนือ้ จากส่วนอืน่ อกี ๒ ช้ิน ลงในถ้วยไมไ้ ผ่ ๑ ใบ พร้อมท้ังน�ำ้ แกไก่ ๕) ใส่เหลา้ พิธี ทีไ่ ดจ้ าก การดูดขึน้ กระบอกเหล้าพิธี ท่ีตงั้ ไวห้ นา้ ตู้เกบ็ เครือ่ งเซ่นไหว้ ใสถ่ ้วยไมไ้ ผใ่ บท่ี ๒ ๖) ใส่น�้ำชาต้ม หรือจะใช้เฉพาะ ใบชา / ขิง ใส่น�้ำบริสุทธิ์ ใส่ถ้วยไม้ไผ่ใบที่ ๓ (อย่างใด อย่างหนง่ึ ) ๗) เอาข้าวสารทไี่ ด้จากขา้ วใหม่ ใสต่ ะกร้าใบท่ี ๑ (บางตระกูล ใช้ข้าวสารเกา่ ต้ม เพ่อื ทำ� เปน็ ขา้ วปกุ๊ ) แลว้ น�ำขา้ วใหม่ “หอ่ สึ” ทที่ ำ� เปน็ ขา้ วเมา่ อาขา่ เรียกวา่ “แจะหย่อ” ใส่ตะกร้าใบท่ี ๒ หลังจากเตรียมเครื่องเซ่นไหว้แล้ว ให้ผู้ประกอบพิธี แกะห่อใบเผือกที่น�ำกลับมา จากไร่ แล้วเอารวงขา้ ว ๓ รวงออก มาล้างดว้ ยนำ�้ บรสิ ทุ ธ์ิ วางบนขันโตกพธิ ี จากนัน้ เอารวงข้าว แตะชมิ เครือ่ ง เซ่นไหว้ท่ีเตรียมไว้ เอาไปใส่กระบอกหิ้งบูชา “อ่าเผ่วบอลอ” โดยให้ล�ำต้นข้าวใส่ลงในกระบอกให้ รวงข้าว ออกมาทางปากกระบอก จากนัน้ ให้ปิดปากกระบอกพิธี แลว้ ท�ำการเซ่นไหว้ โดยมไี ม้สนจุดไฟ ให้สว่าง ขณะเซ่นไหว้เสรจ็ ก็ให้ผู้ประกอบพธิ กี นิ อาหารเทพเจ้า อาข่า เรียกว่า “อา่ เผ่วลอจา้ จ่าเออ” พรอ้ มทัง้ ใหส้ มาชิกคนอื่น ๆ กินดว้ ย อน่ึง บางตระกูล มีขัน้ ตอนการเซ่นไหวต้ ่างกันคือ เม่อื เตรียมเคร่อื งเซ่นไหวเ้ สรจ็ แลว้ กจ็ ะเอา เชือกจากกระบอกห้ิงบูชา อาข่า เรียกว่า “อ่าเผ่วบอลอ” โดยเปิดห่อใบเผือกท่ีน�ำมาจากไร่และมีรวง ข้าวอยู่ น�ำเชือกทกี่ ลา่ วมา คลอ้ งกบั รวงขา้ ง ๓ รวง ซึ่งรวงข้าวน้ี ต้องล้างดว้ ยนำ�้ บรสิ ุทธ์ิก่อน แลว้ เอา ข้นึ ไวบ้ นขันโตก จากนั้นท�ำการบชู า ประมาณ ๓ นาที โดยใช้ไมส้ นจุดไฟให้สว่าง ซง่ึ ปัจจบุ ันใชต้ ะเกยี ง กม็ ี จากนัน้ ยกลงมาขา้ งล่าง เอารวงข้าวทั้ง ๓ รวง ไปแตะทอี่ าหารเทพเจ้า แล้วนำ� ไปใสใ่ นกระบอกหิ้ง บูชา วิธีการท�ำเช่นน้ีเรียกว่า “แช้น้ึมเจาะเออ” เมื่อท�ำการใส่เรียบร้อยแล้ว ก็ใช้วัสดุเก่ามาอุดปากให้

อาข่า (กอ้ อีกอ้ อะก้า ข่าก้อ) Akha (Kaw) 111 แน่น ผู้ประกอบพธิ กี นิ อาหารเทพเจ้า เปน็ คนแรกก่อน จากนน้ั ก็ให้สมาชกิ คนอ่นื ๆ กิน เมื่อกนิ เสร็จให้ เก็บขนั โตกอาหารเคร่อื งเซน่ ไหว้ใสต่ ขู้ า้ วสาร จากนัน้ ใหป้ รุงเนอื้ ไก่ ตวั ที่ท�ำพธิ ี ให้ผ้อู าวุโสกินกอ่ น และ ประมาณบ่าย ๓ โมง ก็ท�ำพิธีฆ่าหมู โดยมีขั้นตอน คอื จบั หมตู วั แมส่ ดี ำ� ขนาดขน้ึ อยกู่ บั เจา้ บา้ น แลว้ ทำ� การตงั้ กระบอกเหลา้ พธิ ี พรอ้ มถว้ ยนำ้� บรสิ ทุ ธ์ิ พร้อมที่ตักเรียกว่า “อีจ้อง” ก่อนท�ำการฆ่าหมู ให้รดน้�ำหมูเพ่ือช�ำระล้างให้บริสุทธิ์ โดยรดน�้ำจาก ขา – ลำ� ตัว – หวั จุดละ ๓ ครงั้ แลว้ ใหห้ มนู อนทบั กบั เขยี งโดยใหท้ ับมอื ซา้ ยของหมู แลว้ ใหผ้ อู้ าวุโสฆา่ เมอื่ ฆ่าตายแลว้ กอ่ นทำ� การชำ� แหละ ใหใ้ ช้มีดท�ำการบากเป็นรอยทีม่ ือ และเทา้ หมู จากนัน้ กท็ �ำการผา่ ท้อง และควักเครื่องในออกมาทั้งหมด แล้วฉีกเฉพาะตับ เพ่ือท�ำนาย อาข่าเรียกว่า “หยะผ่ีท้อง” โดยจะท�ำนายเก่ียวกับการท�ำมาหากินเป็นหลัก จากน้ันก็น�ำหมูไปเผาช�ำแหละเป็นอาหาร และเชิญผู้ อาวุโสมากนิ - เมอื่ กินเสรจ็ กม็ กี ารดูดเหลา้ พิธีกอ่ น เพือ่ เป็นการปดิ พธิ ี เรยี กว่า “จ้ีบ่า จี้ส่ี เช”้ โดยกรณี ฆา่ หมู จะมีกระบอกเหล้าพธิ ี ทงั้ หมด ๔ กระบอก พรอ้ มหลอดดูด ๒ หลอด มีชอื่ เรียกกระบอกเหลา้ พิธีดังนี้คือ กระบอกที่ ๑ “อา่ เผว่ ล้อจ้สี ่” คือกระบอกท่ีใชบ้ ชู าเซน่ ไหว้ กระบอกที่ ๒ “หยะแสะผู่” คือกระบอกทตี่ ้งั ตอนท่ฆี ่าหมู กระบอกที่ ๓ “จ้ีเช้” กระบอกใหมแ่ ทนความหมายผเู้ ปน็ ญาติหรอื น้า กระบอกท่ี ๔ “เจ่วจีห้ ม่อจ้ี” เป็นกระบอกใหม่แทนผอู้ าวโุ ส เมือ่ พรอ้ มแลว้ กท็ �ำการตั้งกระบอกเหล้าพธิ ี โดยให้กระบอกท่ี ๑ อยู่ด้านในสุด และตามดว้ ย กระบอกท่ี ๒ /๓ และ ๔ ซึ่งจะบอกท่ี ๔ จะอยูด่ ้านนอกสดุ (บริเวณประตูทางเขา้ ) จากนน้ั ก็เร่มิ พิธีดูด เหล้าคอื หาตัวแทนอาวุโสที่เก่ียวข้องเป็นญาติจะดีมาก จ�ำนวน ๒ คน พร้อมทั้งคนเตรียมอีก ๑ คน รวม ๓ คน จากน้ันกเ็ ร่มิ ดูดเหลา้ พธิ ี คอื ดดู กระบอกท่ี ๑ ถึงกระบอกที่ ๔ กระบอกละ ๓ คร้ัง จากนั้น ก็ให้เจ้าของบ้านดูดกระบอกท่ี ๓ พร้อมทั้งเอาน้�ำจากกระบอกเหล้าพิธีมาใส่ถ้วย อาข่าเรียกน�้ำจาก กระบอกพิธีนี้ว่า “จ้ีบ่าจ้ีเช้” หลังจากนั้นผู้เฒ่าผู้แก่ก็จะอวยพรให้ จากนั้นก็ยกถ้วยให้ทางแม่บ้าน เพอ่ื ใหส้ มาชกิ ชมิ หลงั จากทสี่ มาชกิ ชมิ ครบทกุ คนแลว้ กจ็ ะตกั นำ�้ จากกระบอกเหลา้ พธิ ี สลบั กลบั ไปมา แลว้ พดู วา่ “จ้ีจา่ หล่อง มาเด” แลว้ เทใส่กระบอกที่ ๓ ดูดซำ้� อกี คร้ังเป็นอันเสรจ็ พธิ ี พิธถี อนขนไก่ พิธีถอนขนไก่หรือยาจิจิอ่าเผ่ว จะเริ่มเมื่อถึงวันแกะ “ย้อ” ตามการนับวันรอบสัปดาห์ของ อาข่า วันแกะหรือวันย้อ ถือเป็นวันเกิดของเทพเจ้า “อ่าเผ่วหม่ีแย๊” ผู้ให้ก�ำเนิดชีวิตมนุษย์ ดังนั้น เทพเจ้าของอาข่าจึงไดบ้ ญั ชาใหเ้ หล่าบรรดาปู่ยา่ ตายาย ของตระกูลต่าง ๆ ท่ลี ว่ งลับไปแล้วและอาศยั

112 ชนตา่ งวฒั นธรรมในประเทศไทย อยูก่ ับเทพเจา้ จำ� นวน ๗ ช่วั โครต อาข่าเรียกว่า “สิจอึ า่ เผว่ ” ใหล้ งมาจากสวรรคเ์ พ่อื มาสำ� รวจสมาชกิ ในโลกมนุษย์ของแตล่ ะตระกลู วา่ เกิด แก่ เจ็บตาย เทา่ ใด ในวนั น้อี าข่าจึงมีการประกอบพิธถี อนขนไก่ “ยาจจิ อิ า่ เผว่ ” ฉะนน้ั สมาชกิ ครอบครวั ถงึ อยแู่ หง่ หนใดกต็ าม จะตอ้ งกลบั มาทบ่ี า้ นเพอ่ื มารว่ มพธิ กี รรมน้ี พิธีถอนขนไก่จึงเป็นพิธีที่ส�ำคัญของอาข่า ใช้เวลาในการประกอบพิธีกรรมเพียง ๑ วัน ส่วนความเป็น มาของพิธีกรรมนี้ ไม่สามารถจะบอกได้ว่า เกิดขึ้นเม่ือใด ชาวอาข่าได้มีการปฏิบัติและสืบทอดกันมา ต้งั แตส่ มยั บรรพบรุ ษุ การอยกู่ รรม การประกอบการต่าง ๆ เพอื่ การยงั ชพี เป็นส่ิงท่ีชาวอาขา่ เราต้องดน้ิ รน และไขวค่ วา้ อยูท่ ุกวัน ไมห่ วงั ทจ่ี ะเปน็ ใหญเ่ ปน็ โตเหมอื นภเู ขา ไมห่ วงั จะมมี ากหรอื รำ่� รวย ขอเพยี งแคพ่ ออยพู่ อกนิ ไปวนั ๆ วนั น้ีล�ำบากแค่น้ี คืนนี้นอนพักผ่อน ความเหนื่อยยากของวันวานก็จะเลือนหายไปพร้อมกับความฝัน ตืน่ เชา้ มากส็ ูดดมอากาศที่สดชื่นบนภูเขา ผหู้ ญิงอาข่าก็จะมาหงุ ขา้ วปลาอาหาร ให้อาหารกับ หมู หมา กา ไก่ หลงั จากนนั้ ทกุ คนกจ็ ะมานงั่ รอบ ๆ โตกทไ่ี ดจ้ ดั เตรยี มไว้ พรอ้ มรบั ประทานอาหารเชา้ พรอ้ มหนา้ กันทัง้ พอ่ แม่ ลูก และทกุ คนในครอบครัว หลังจากทานข้าวเสร็จก็จะพากันเดินไปไร่ไปสวน ซึ่งอยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านไม่ต�่ำกว่า ๓-๕ กิโลเมตร หลังจากเสร็จภารกิจในไร่ก็เดินทางกลับมายังบ้าน อาบน�้ำ ทานข้าวเสร็จก็เข้านอน ซึ่งเป็น วิถีของอาข่าท่ีถือปฏิบัติกันอยู่ทุกวัน แต่ปัจจุบันการเดินทางไปไร่ในระยะ ๓-๕ กิโลเมตรในแต่ละวัน รู้สึกจะเป็นเรื่องยากส�ำหรับคนรุ่นใหม่ หรือแม้กระทั่งคนสามัญชนท่ัวไป เนื่องจากส่ิงอ�ำนวยความ สะดวกต่าง ๆ เข้ามาในชีวิตแทบทกุ วนั ไม่ว่า รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ หรอื เครื่องใชต้ ่าง ๆ นานา แตถ่ ึงแม้ สภาพชุมชนจะไปในแนวใด คนจะรบั มาซ่ึงสิง่ ไหน ลกึ ๆ เข้าไปในจติ ใจของพวกเค้า ก็ยังมบี างอยา่ งท่ี แฝงอยู่ และนัน่ ก็คือความเชื่อ สง่ิ ที่พวกเขาคิดวา่ มีจรงิ และตอ้ งถือปฏบิ ัติอย่างเคร่งครัด เป็นความเช่อื ทไ่ี ด้รบั และปลูกฝังมาตั้งแตส่ มัยเดก็ ๆ และจะยงั คงสบื ทอด และถอื ปฏิบตั ิกันต่อ ๆ ไป การอยู่กรรมในชนเผ่าอาข่าท่ียังมีการด�ำรงไว้ควบคู่กับความดั้งเดิมของประเพณี วัฒนธรรม จนถึงทุกวันน้ี การอยกู่ รรมอาขา่ เรยี กวา่ “ลองเออ” คือไมม่ กี ารประกอบกจิ กรรมใด ๆ ทั้งสนิ้ ไม่ว่าใน หมู่บ้าน หรือนอกหมู่บ้าน อาข่าเช่ือว่าเป็นวันท่ีแบ่งดินแดนระหว่างคนกับผี หรืออาข่ากับสรรพสิ่งใน ธรรมชาติ ซงึ่ การอย่กู รรมของอาข่าก็มีดงั น้ี ๑. พิธีอยู่กรรมวันหมู (หยะลองเออ) การอยู่กรรมในวันหมูน้ี อาข่าเรียกว่า “หยะลองเออ” ซ่ึงจะตรงกับการนับวันตามราศีสัตว์ คือ วันหมู โดยจะอยกู่ รรมหลงั จากทำ� พธิ ีถอนขนไก่ คำ� วา่ หยะ สามารถแปลความหมายได้ ๒ ลักษณะ

อาข่า (ก้อ อีกอ้ อะกา้ ข่าก้อ) Akha (Kaw) 113 คือ หมายถึงสัตว์เลี้ยงท่ีขึ้นช่ือว่าหมู และอีกความหมายหน่ึง คือ การซ่อน ซึ่งผู้อ่ืนจะมองไม่เห็น แต่การอยู่กรรมในวันหมูน้ัน หยุดเพียง ๑ วัน โดยไม่มีการประกอบกิจกรรมใด ๆ ตามความเช่ือของ อาขา่ เก่ยี วกับการอยูก่ รรมในวนั นี้ เพ่อื ซอ่ นตัว ระหว่างโลกทสี่ มั ผัสไม่ได้ (ผ)ี กบั โลกมนษุ ย์ โดยไม่ให้ แต่ละฝ่ายมองเห็นกัน จึงถือว่าเป็นการอยู่กรรมเพื่อแบ่งเขตของแต่ละฝ่าย โดยถือเอาวันหมูมาใช้ เนอื่ งจากหมู เวลาออกหากินมกั จะมองลงแตพ่ ืน้ ดนิ จะไม่มองอยา่ งอืน่ จึงถอื วันนีใ้ นการอยู่กรรม ๒. พธิ อี ยู่กรรมวันแซย้ ์ (แซ้ย์ลองเออ) การอยู่กรรมวันแซ้ย์นี้ จะเริ่มข้ึนเม่ือเสร็จส้ินพิธี ยอลาอ่าเผ่ว โดยหยุดอยู่ที่บ้าน ไม่ไปไหน เมอื่ ถงึ การนบั วนั แซย้ ์ ตามราศสี ตั ว์ การนบั วนั อาขา่ แซย้ ์ อาขา่ เลา่ กนั วา่ เปน็ สตั วช์ นดิ หนงึ่ ทม่ี ลี กั ษณะ คลา้ ยสนุ ขั จง้ิ จอก ซงึ่ จะอาศยั อยใู่ นเขตหนาว ทมี่ หี มิ ะปกคลมุ จากการศกึ ษาพบวา่ ไมเ่ คยมผี ใู้ ดพบเหน็ สัตว์ประเภทน้ีมาก่อน และเสมือนในนิทานมากกว่า ซึ่งอาข่าก็ยังให้การนับถือ อย่างไรก็ตามสัตว์ ดงั กลา่ ว อาขา่ เลา่ วา่ มคี ณุ สมบตั ิ สามารถทจี่ ะมองเหน็ สงิ่ ตา่ ง ๆ ได้ ทงั้ กลางวนั และกลางคนื และเชอ่ื วา่ แซ้ย์ตัวนี้สามารถมองเห็นมิตโิ ลกของวญิ ญาณ ท่สี ัมผสั ไมไ่ ด้ ดงั นน้ั อาขา่ ไมป่ รารถนาทจี่ ะใหม้ นษุ ยม์ องเหน็ ผเี หมอื นสตั วต์ วั น้ี ซง่ึ เชอ่ื วา่ หากมนษุ ยส์ ามารถ มองเหน็ โลกของวญิ ญาณไดเ้ หมอื นสตั วป์ ระเภทนี้ กจ็ ะทำ� ใหเ้ กดิ การเจบ็ ไขไ้ ดป้ ว่ ย และอาจถงึ แกช่ วี ติ ได้ อาข่าจึงไดม้ กี ารอยู่กรรมในวนั น้ี เพอื่ ไม่ให้มองเหน็ เหมือนสัตว์ท่ีได้ชื่อวา่ แซ้ยต์ วั น้ี จนถึงปจั จุบัน จากการศกึ ษาของนกั วจิ ยั พบวา่ ผอู้ าวโุ สหลายทา่ นไดน้ ยิ ามสตั วท์ ชี่ อ่ื วา่ แซย้ ต์ วั นว้ี า่ เปน็ หงส์ และนิยามไปถงึ สัตวท์ ่ีช่ือว่า หล่อง ซ่ึงปจั จุบนั อาข่าใชใ้ นการนบั วนั คือวันกระตา่ ย (หล่อง) แต่ผู้อาวุโส กลา่ วว่า น่าจะเปน็ มะโรง หรอื พยานาค เน่อื งจากสัตวส์ องตัวนจ้ี ะเป็นสัตว์ประเภทชั้นสูง ทีม่ อี ทิ ธิฤทธิ์ ต่อสง่ิ มีชีวิต อย่างไรกต็ ามนักวจิ ัยยงั คงต้องศึกษาและคน้ คว้าตอ่ ไป ๓. พิธีอยู่กรรมไมจ่ ดุ ไฟเผาปา่ (หมี่จา่ เขอ่ หมลี่ องเออ) พิธีกรรมน้ีจะมีข้ึนในช่วงปลายเดือนมีนาคม ถึงต้นเดือนกันยายนของทุกปี หลังจากท่ีมีการ ถางไร่เสร็จแลว้ กจ็ ะมกี ารจุดไฟเผาไร่ของตน เพ่อื ทำ� การเพาะปลกู โดยก่อนท่จี ะมีการจดุ ไฟเผาไรน่ นั้ ตอ้ งมกี ารเลอื กฤกษว์ นั ทดี่ ดี ว้ ย ชาวอาขา่ นยิ มเผาไฟในไรม่ ากทสี่ ดุ คอื วนั หมา “ขอ่ื ” เพราะมคี วามเชอื่ วา่ ในไร่ทท่ี ำ� การแผ้วถางแล้ว ถา้ จุดไฟเผา ก็จะไหม้ดี เหมอื นถกู หมาเลยี และบคุ คลทจี่ ะไปเผาไฟในไร่ ก่อน ๑ วัน ต้องไม่อาบนำ�้ เป็นความเชื่อของอาข่าวา่ ถ้าอาบน้ำ� แล้ว จะทำ� ให้การเผาไรไ่ มด่ ี และไหม้ ไมห่ มด เพราะอาขา่ เชอื่ วา่ นำ�้ กบั ไฟเปน็ ของคกู่ นั แตจ่ ะมาอาบนำ�้ กนั หลงั จากทที่ ำ� การเผาไรเ่ สรจ็ พรอ้ ม กันน้ีระหวา่ งเดนิ ทางไปเผาไฟในไรน่ ัน้ จะมกี ารเปา่ เขาควายไปด้วย อาข่าเรียกว่า “ยาจา่ ” เป่าเพอื่ ให้ เกิดลมพัด และเป็นการเป่าประกาศว่า วันน้ีเป็นวันดีเพ่ือจะท�ำการเผาไร่ และก่อนท่ีจะท�ำการจุดไฟ เผาไร่ กจ็ ะมกี ารทำ� แนวกนั ไฟรอบ ๆ ไรข่ องตน เพอ่ื ไมใ่ หไ้ ฟลกุ ลามไปทอี่ น่ื อาจทำ� ใหเ้ กดิ ความเสยี หายได้

114 ชนตา่ งวฒั นธรรมในประเทศไทย อาข่าเรียกการท�ำแนวกันไฟว่า “หมี่จาหมี่ก๊าพี้เออ” และเม่ือท�ำแนวกันไฟเสร็จแล้ว ก็จะจุดไฟเผา แตก่ อ่ นทจี่ ะจดุ ไฟมกี ารอธฐิ านครง้ั สดุ ทา้ ยวา่ “ขอใหส้ ตั วเ์ ลก็ สตั วใ์ หญ่ ทอ่ี าศยั อยใู่ นบรเิ วณไร่ ทจ่ี ะเผา จงหนีออกจากพนื้ ทไ่ี รไ่ ปซะ” จากนั้นก็ท�ำการจดุ ไฟเผา เมอื่ ทกุ ครวั เรอื นทำ� การเผาไฟในไรเ่ สรจ็ แลว้ กจ็ ะอยกู่ รรม อาขา่ เรยี กวา่ “หมจ่ี า่ เขอ่ หมล่ี องเออ” หมายถึงอยู่กรรมเนื่องจากเผาไฟในไร่ และในการอยู่กรรมดังกล่าวไม่ได้ท�ำพิธีกรรมใด ๆ โดยใช้เวลา เพียง ๑ วัน มีความเชื่อในการอยู่กรรมว่า หยุดเพื่ออโหสิกรรมกับสัตว์เล็ก สัตว์ใหญ่ ต้นไม้ใบหญ้า หรือส่ิงมีชีวิตต่าง ๆ ที่ได้ตายในช่วงการเผาไร่ โดยอย่าให้มีโทษซึ่งกันและกัน ความหมายและความ ส�ำคญั ของพิธกี รรมนี้ คือ ๑. แสดงถึงหมดฤดกู าลเผาไฟ เพอ่ื การเตรยี มพืน้ ท่ีเพาะปลูกพืชพนั ธุ์ต่าง ๆ ๒. เป็นการแสดงความอาลัยแก่ส่ิงมีชีวิตที่ล่วงลับไปจากการเผาไร่ ซ่ึงเป็นการอโหสิกรรม ไม่ให้เกดิ ความพยาบาท โดยหยดุ การทำ� งานเป็นเวลา ๑ วนั ๓. แผ่จิตเมตตา อุทิศส่วนบุญกุศลไปให้สัตว์ต่าง ๆ เพ่ือให้เกิดความสบายใจของมนุษย์ ซง่ึ ได้แสดงถงึ การใหค้ วามส�ำคญั ในฐานะทีเ่ ปน็ สงิ่ มชี วี ติ รว่ มโลกดว้ ยกัน ส่งิ ศกั ดส์ิ ทิ ธิ์ภายในบ้าน ในบ้านของอาข่าจะมีสิ่งศักด์ิสิทธิ์หลายอย่างหลายชนิด ที่ใช้ในการท�ำพิธีกรรมทางศาสนา ฉะนั้นส�ำหรับคนท่ีมาบ้านเยี่ยมเยียนบ้านอาข่า ต้องให้การเคารพในประเพณีที่เขายึดถือ และปฏิบัติ สืบทอดกันนานต้ังแตส่ มัยบรรพบรุ ุษ สงิ่ ศักดิส์ ทิ ธ์ทิ ่ีควรรมู้ ดี ังน้ี ๑. ศาลขวัญข้าว สร้างไว้เพื่อเก็บพันธุ์ข้าวที่จะน�ำไปเข้าพิธีท่ีบ่อน้�ำ ในวันเล้ียงผีบ่อน�้ำ ศาลขวัญขา้ วจะสร้างไวข้ ้างยงุ้ ข้าว ๒. หิ้งผีบรรพบุรุษ เป็นสิ่งศักด์ิสิทธิ์ท่ีสุดในบ้าน ซึ่งเปรียบเสมือนหิ้งพระของคนไทย จะอยู่ เหนอื ต้นเสาระหว่างหอ้ งผู้หญงิ และหอ้ งผู้ชายในบ้านสร้างไวเ้ พอ่ื เป็นท่ีอยขู่ องผบี รรพบรุ ุษ ๓. ห้องนอนฝ่ายหญิง ไม่ใช่เป็นสิ่งศักด์ิสิทธิ์ แต่เป็นห้องที่หวงห้ามภายในบ้านแขกจะเข้าไป ก่อนได้รบั อนุญาตไม่ได้ การปฏบิ ตั ิเม่อื เขา้ บ้านอาข่า ๑. ถ้าเข้าทางประตูหน้าอาข่าจะถือว่าเป็นแขกท่ีมาเยี่ยมเยียนบ้าน และเป็นแขกของพ่อ และจะได้รบั การตอ้ นรับเปน็ อยา่ งดี

อาข่า (กอ้ อกี อ้ อะกา้ ขา่ กอ้ ) Akha (Kaw) 115 ๒. การเขา้ บ้านของอาขา่ ทางประตหู ลัง สมยั ก่อนในการจีบสาวอาข่าจะใชป้ ระตูหลงั ในการ เข้าออก และถ้าเข้ามาทางประตูหลังก็จะถือว่ามาจีบสาว แต่ในปัจจุบันถ้าใครเข้ามาทางประตูหลัง ถอื วา่ มีเจตนาไมบ่ ริสทุ ธิ์ ๓. ไม่เดินเพ่นพา่ นในบา้ น หรอื จับต้องสง่ิ ของตา่ ง ๆ ภายในบ้าน ๔. ผู้ชายห้ามเขา้ ไปในห้องของผหู้ ญงิ ก่อนได้รับอนญุ าต ๕. ห้ามแตะตอ้ งหิง้ ผีบรรพบุรษุ และตะกรา้ บรรจุพนั ธุข์ ้าวใตห้ ้งิ ผีบรรพบุรุษ ๖. ห้ามตะโกนเสียงดงั ขณะอยใู่ นบ้าน ๗. เตาไฟในบา้ นหา้ มใช้มีดฟนั หรอื บ้วนนำ้� ลายลงบนเตาไฟ ๘. ห้ามตักข้าวในไหนึง่ เอง ต้องใหเ้ จ้าของบ้านตักให้ ๙. ห้ามข้นึ ไปเลน่ บนทีน่ อนของพ่อ และแม่ ลานวฒั นธรรม / ลานชุมชน (แดขอ่ ง / กาปา) การละเลน่ ในลานวฒั นธรรมเปน็ การละเลน่ ในเวลาคำ�่ คนื ใตแ้ สงพระจนั ทรท์ สี่ วยงาม โดยหลงั จากกลบั มาจากการทำ� ไรท่ ำ� สวนทงั้ หนมุ่ สาวกจ็ ะเตรยี มตวั จะมาทล่ี านวฒั นธรรม (แดขอ่ ง) โดยแตง่ กาย ดว้ ยชดุ ประจำ� เผา่ เพอ่ื รอ้ งรำ� ทำ� เพลง และมาแลกเปลย่ี นพดู คยุ กบั ผอู้ าวโุ สเรอื่ งประเพณวี ฒั นธรรม มา ถึงหนมุ่ ๆ กจ็ ะไปหาฟืนเพอ่ื มาดงั ไฟใหส้ ว่าง จากนัน้ ก็จะเต้นรำ� กัน เปน็ โอกาสของหนุ่มสาวท่จี ะเลอื ก คคู่ รองกนั หลงั จากรอ้ งร�ำท�ำเพลงเสรจ็ เรยี บรอ้ ยแลว้ หน่มุ สาวกจ็ ะกลบั ไปยังบ้านของตนเอง เพอ่ื พกั ผ่อนเอาแรง เพราะรุ่งเช้าต้องไปท�ำไร่ท�ำสวน การใช้ชีวิตของหนุ่มสาวอาข่าในสมัยนั้นเป็นแบบนี้ เนื่องจากในสมันน้ันการศึกษาไม่ท่ัวถึง หนุ่มสาวอาข่าจึงอ่อนในเรื่องการศึกษา แต่เต็มไปด้วยความ ฉลาดในเร่อื งของภมู ิปัญญาทอ้ งถ่นิ ท่ีชาวอาข่าควรอนุรักษไ์ ว้ใหล้ กู หลานสบื ทอดต่อ ๆ กนั ไป การแตง่ กาย สาวอาขา่ เมอ่ื แตง่ ตวั ครบเครอ่ื งนน้ั เพรศิ เพรา จนนา่ ตะลงึ ตง้ั แตศ่ รี ษะจรดเทา้ สว่ นเครอ่ื งแตง่ กายของบุรุษแม้จะไม่รุ่มรวยด้วยสีสันเช่นของสตรี แต่ก็มีความเฉียบที่จะเรียบ แต่เท่อย่างประหลาด อาข่าใช้ผา้ ฝ้ายทอเนือ้ แนน่ ย้อมเปน็ สีน้�ำเงินเข้มเกอื บดำ� ซ่งึ แตก่ อ่ นน้จี ะปลูกฝ้ายมาปั่นใชเ้ อง ปจั จบุ นั ซอ้ื ฝา้ ยดบิ จากคนไทยนำ� มาอดั เปน็ กอ้ นใหญ่ ยาว ๒๐ ซ.ม. บรรจใุ นปลอ้ งหรอื กลอ้ งไมไ้ ผ่ เวลากรอดา้ ย ผูห้ ญิงจะผกู กล่องฝ้ายไว้กบั เอว เกยี่ วใยเข้ากับตะขอกง ซึง่ เกาะไว้กบั ต้นขาแลว้ ปนั่ อย่างรวดเร็วออก มาเป็นฝ้ายหนา และเหนียวทนทาน หญิงอาข่าสอนให้ปั่นด้ายต้ังแต่อายุ ๖-๗ ขวบ เพราะมารดา คนเดียวป่นั ด้ายไมท่ ัน มาทอผา้ ใหใ้ ช้กันทั้งครอบครัว ผหู้ ญิงอาขา่ ทุกวยั ปนั่ ดา้ ยกนั ตลอดเวลาท่มี อื วา่ ง จากงานอื่น เช่นระหว่างเดินทางไปไร่ ขณะแบกฟืน หรือหาบน�้ำ จนกระท้ังขณะท่ีนั่งผิงไฟอยู่ในบ้าน

116 ชนต่างวฒั นธรรมในประเทศไทย ยามคำ่� สาวอาขา่ มกั แขง่ ขนั กนั วา่ ใครจะปน่ั ดา้ ยไดม้ ากทสี่ ดุ ในแตล่ ะวนั ดา้ ยนน้ี ำ� ไปทอผา้ เนอื้ แนน่ หนา้ กว้าง ๑๗-๒๐ ซม. จากนั้นก็น�ำไปย้อมคราม ซ่ึงเป็นผลิตผลพ้ืนบ้าน ใช้เวลาย้อมร่วมเดือนจึงจะได้ สนี �ำ้ เงินเขม้ ท่ีต้องการ เพราะตอ้ งย้อมซ�ำ้ แลว้ ซำ้� อีกทกุ วนั ผู้หญงิ อาข่าในเมืองไทยมแี บบแผนการแตง่ กายสามแบบดว้ ยกนั แบบแรก “อโู่ ลอ้ าขา่ ” สวมหมวกแหลม แบบทส่ี อง “โลมอี้ าขา่ ” สวมหมวกแบน แบบที่สาม “ผาหมีอาข่า” สวมหมวกแบนเช่นกันแต่รูปทรงของหมวกต่างกัน เคร่ืองเงินที่ใช้ตกแต่ง กม็ คี วามละเอยี ด กวา่ แบบ “โลมี้อาขา่ ” ๑. การแตง่ กายแบบ “อโู่ ลอ้ าขา่ ” ผ้หู ญงิ : หมวกแหลมนแ้ี บง่ ออกเปน็ สองสว่ น คอื สว่ นฐานซงึ่ เปน็ ผา้ คาด ศรี ษะประดบั ดว้ ย เหรยี ญตรา กระดุมเงิน และลูกปัดส่วนยอดมี โครงไม้ไผ่ ่อยู่ใต้ผ้าฝ้าย ย้อม ครามตกแต่งด้วยเครื่องเงิน ลูกปัด ลูกเดือย พู่แดงท่ีได้จาก ขนไก่ย้อมสี และของ แปลก ๆ ที่แต่ละคนจะสรรหามาจ�ำนวนและชนิด ของ วสั ดตุ กแตง่ จะแตกตา่ งกนั ไปตามฐานะ สภาพ อายุ และการมบี ตุ ร สำ� หรบั ตวั เสอื้ นน้ั เปน็ ผา้ ฝา้ ย ยอ้ มคราม แขนยาวตกแตง่ ด้วยผ้าหลากสี ตัวเสอ้ื ยาวขนาดสะโพก ดา้ นหลังปักดว้ ยลวดลาย สาบเสื้อ ตกแตง่ ดว้ ยผา้ สี แผน่ เสอื้ ดา้ นหนา้ ไมค่ อ่ ยเนน้ ลายมากเทา่ ดา้ นหลงั สว่ นกระโปรงเปน็ ผา้ ชนดิ เดยี วกนั ท�ำจีบเฉพาะดา้ นหลัง ยาวเหนือเข่า และมผี ้าชน้ิ เลก็ ตกแต่ง ดว้ ยเครือ่ งเงนิ และพสู่ แี ดงสำ� หรับคาดทบั กระโปรงด้านหนา้ ส่วนถงุ น่องนนั้ ตกแต่งดว้ ย ผ้าหลากสีและลูกเดือย ผชู้ าย : สวมเส้อื แขนยาวตกแต่งดว้ ยผ้าหลากสี และปกั ลวดลายคลา้ ยของผ้หู ญงิ แตต่ วั เส้อื จะสั้นกวา่ สว่ นกางเกงคลา้ ยกางเกงสะดอ แต่เป็นผา้ ฝ้าย ย้อมครามหมวกท�ำเปน็ ผ้าหนาแลว้ มว้ นปลายสองดา้ น เข้าหากันแลว้ เย็บตดิ น�ำผ้าฝา้ ยย้อมพนั อีกที ตกแต่งด้วยพู่สแี ดง ๒. การแต่งกายแบบ “โลม้ ้ีอาข่า” ผหู้ ญิง : หมวกแบนนจี้ ะตอ้ งมแี ผน่ เงนิ รปู สเี่ หลย่ี มคางหมเู ชดิ ขน้ึ มาทางดา้ นหลงั ดา้ นหนา้ แตง่ ดว้ ยแถว ลูกปัด สลับกับแถวกระดุมเงิน ล้อมกรอบใบหน้าด้วยลูกบอลเงิน เหรียญและลูกปัดห้อยเป็นสาย ประบ่า ตัวเสื้อด้านหลัง แต่งด้วยลายปะเศษผ้าช้ินเล็กชิ้นน้อยหลากสีสลับกับลายปักงามวิจิตร แต่งด้วยกระดุมเปลือกหอยกระดุมเงิน ลูกเดือย ลูกปัด และพู่ห้อย รัดน่องและย่ามก็ปักแต่งในท�ำ นองเดยี วกนั ผา้ ผกู เอวจะแตง่ ดว้ ยเปลอื กหอย และ ลกู เดอื ย ของสาวโสดจะกวา้ งกวา่ หญงิ แตง่ งานแลว้ สว่ นกระโปรงนั้นชาวอาข่าจะสวมเหมอื นกนั หมด

อาข่า (กอ้ อีก้อ อะกา้ ข่ากอ้ ) Akha (Kaw) 117 ผูช้ าย : เสื้อของบุรุษและเด็กชายมีลายปักประดับชายเสื้อโดยรอบและรอบตะเข็บข้างท้ังซ้ายขวา หรือบางทไี่ ม่มปี ักชายเปลี่ยนเป็นปักประดบั อย่างงดงามทสี่ าบหนา้ ๓. การแต่งกายแบบ “ผาหมอี าข่า” ผ้หู ญิง : หมวกสตรมี รี ปู คลา้ ยหมวกเกราะของนกั รบโบราณและประดบั ดว้ ย กระดมุ เงนิ เหรยี ญ ลกู ปดั ไมเ่ วน้ ชอ่ งวา่ งเลย ดา้ นขา้ งหอ้ ยสายลกู ปดั สแี ดงรอ้ ยยาวเกอื บถงึ เอว เสอื้ ดา้ นหลงั มกั เยบ็ ดว้ ยแถบผา้ คราม เขม้ กนุ้ ขาวเลก็ ๆ เรียงซ้อนกนั แตล่ ะแถบยังปกั ลายละเอียด เช่นเดียวกบั แขนเส้ือ ผา้ ผกู เอว และย่าม อาข่ากลุ่มนี้ จะแตกต่างจากอีกสองกลุ่มคือ จะ มีตัวเส้ือชั้นในอีกตัวหนึ่ง เป็นผ้าฝ้ายย้อมตกแต่งด้วย กระดุมเงนิ เหรยี ญ และแผ่นเงิน ผชู้ าย : เสอ้ื ผชู้ ายตวั ยาวกวา่ อาขา่ กลมุ่ อนื่ เยบ็ ดว้ ยแถบผกู้ นุ้ ขาวเรยี งซอ้ นกนั อาจตดิ กระดมุ หนา้ หรอื ออ้ มไปตดิ กระดมุ ขา้ งซา้ ย มกั ประดบั สาบหนา้ ดว้ ยเหรยี ญเงนิ หรอื สรอ้ ยเงนิ รอ้ ยลกู กระพรวน กางเกง ก็คล้ายกับกล่มุ อน่ื การประกอบอาชพี ตามต�ำนานของเผ่าอาข่าแบบด้ังเดิม ไม่ว่าจะท�ำอะไรก็ตาม ผู้ชายจะเป็นคนเร่ิมต้นท�ำก่อน จากน้ันก็ให้ผู้หญิงเป็นผู้ดูแลรักษา เป็นการท�ำเกษตร ยังชีพ คือปลูกไว้กินเอง และที่เหลือก็ส่งขาย อาชีพหลักของอาข่าคือการปลูกพืชไร่ อาข่ามีการจัดเตรียมพื้นที่ท�ำไร่เพื่อการปลูกพืชต่าง ๆ โดยอยู่ ไกลจากชุมชนไม่น้อยกว่า ๓-๕ กิโลเมตร จะไม่มีการใช้ท่ีดินบริเวณป่าชุมชนเพ่ือการเพาะปลูกพืชไร่ ทั้งนี้หากมีการปลูกพืชไร่ใกล้ชุมชน และมีสัตว์เลี้ยงเข้าไปทำ� ลายก็จะไม่มีการชดใช้ ซึ่งประเด็นน้ีเป็น กฎของชมุ ชน และมกี ารเลอื กทำ� เลสำ� หรบั จะทำ� ไร่ โดยใชค้ วามเชอื่ ของพธิ กี รรมมาเปน็ ฐานในการปฏบิ ตั ิ ในพน้ื ทีท่ ำ� ไร่ มกี ารเพาะปลูกพืชตา่ ง ๆ เช่นขา้ ว ข้าวโพด ถวั่ ประเภทต่าง ๆ และพืชผักเพ่อื การบรโิ ภค โดยมีการปลูกพืชต่าง ๆ เหล่านี้ในท่ีดินของตนที่เตรียมไว้ โดยมีเทคนิคการปลูก คือผสมเมล็ดพืชผัก ต่าง ๆ คลุกเคล้า และปลูกพร้อมข้าวไร่ของตนเองในผืนเดียวกัน ซึ่งเป็นการใช้ท่ีดินให้เกิดประโยชน์ สงู สดุ นอกจากนอี้ าขา่ ยงั นยิ มปลกู ผกั พรกิ ถว่ั ในบรเิ วณทใี่ กลแ้ หลง่ แมน่ ำ�้ หรอื บรเิ วณรว้ั บา้ นของตน ทั้งน้ีเวลาต้องการผักสดเป็นการยากท่ีจะเดินไปเก็บท่ีไร่ เพราะว่าไร่อยู่ไกล จึงเก็บท่ีร้ัวบ้านของตนท่ี ปลกู เอาไว้ สว่ นเวลาไปไร่ตอนเยน็ ๆ ก็จะเกบ็ ผกั จากทไี่ รก่ ลับมายงั บ้านของตน ชายอาข่าสว่ นมากจะ ทำ� ไร่ด้วย และถา้ วา่ ง ๆ กจ็ ะไปลา่ สัตว์ เพื่อน�ำมาประกอบเปน็ อาหาร ส่วนงานบา้ น ผหู้ ญิงจะเปน็ ผ้รู ับ

๑๑๘ ชนต่างวฒั นธรรมในประเทศไทย ผิดชอบ เช่น หุงข้าวปลาอาหาร และท�ำสวนเล็ก ๆ น้อย ๆ อาชีพท่ีนิยมท�ำกัน ได้แก่ ๑. ท�ำไร่ข้าว ส่วนมากจะปลูกไว้กินเอง เพราะว่าชาวอาข่าจะอยู่รวมกันเป็นเครือญาติเป็นจ�ำนวนมาก จึงต้องท�ำไร่ เปน็ เนือ้ ที่กวา้ ง ๆ เพ่อื ใหท้ ุกคนพอกนิ ๒. ท�ำไรข่ ้าวโพด โดยท่วั ไปชาวอาข่าจะปลูกเพอ่ื กนิ เอง และใช้ในการเลยี้ งสตั ว์ ๓. ทำ� ไรข่ งิ สว่ นมากจะปลกู ไวข้ าย และนอกจากนนั้ ยงั นำ� มาทำ� เปน็ ยาสมนุ ไพร เพอื่ นำ� มาใช้ ในครวั เรอื น พน้ื ทใี่ นการทำ� นาทำ� ไร่ จะปลกู ผกั และขา้ วสลบั กนั ไป โดยสว่ นใหญน่ ยิ มปลกู ขา้ วมากกวา่ และในพื้นที่ ๆ หนง่ึ จะปลูกผกั หลาย ๆ อยา่ งรวมกนั ๔. ล่าสัตว์ เป็นอาชีพของชาวอาข่าอีกแบบหน่ึงที่ชาวบ้านนิยมท�ำกัน ยามว่าง ๆ จะพากัน ไปลา่ สตั วห์ ลายคน และถา้ สตั วท์ ล่ี า่ ไดม้ ขี นาดใหญก่ จ็ ะเอามาแบง่ กนั เชน่ หมปู า่ กวาง เสอื ฯลฯ โดยที่ คนยงิ จะไดส้ ว่ นแบง่ เยอะกวา่ แลว้ ตามดว้ ยเพอื่ นฝงู ทไี่ ปลา่ ดว้ ยกนั สว่ นคนทอี่ ยทู่ างบา้ นกใ็ ชว่ า่ ไมไ่ ดร้ บั ส่วนแบ่งเลย ก็ได้เหมอื นกนั แตอ่ าจจะไดน้ อ้ ย ๕. เลยี้ งสตั ว์ มกี ารเลย้ี งสตั วไ์ ว้ เพอื่ บรโิ ภค และตอ้ งใชใ้ นพธิ กี รรมทางศาสนา ฉะนน้ั ชาวอาขา่ จึงนยิ มเล้ยี งสัตวม์ าก สัตว์ทีเ่ ล้ียงได้แก่ หมู มา้ ววั ควาย แพะ ไก่ สนุ ขั และต้องปลูกขา้ วโพด เพ่อื จะ น�ำมาเลี้ยงสัตว์เหล่าน้ีให้เจริญเติบโต และสัตว์ที่นอกเหนือจากการท�ำพิธีกรรมทางศาสนา หรือรับ ประทานแล้ว อาข่ากจ็ ะเอาไวข้ าย หรือน�ำไปแลกเปลยี่ นสนิ คา้ กบั คนตา่ งหม่บู ้าน ตา่ งท้องที่ หรอื แลก เปล่ยี นกันภายในหม่บู า้ นเอง ๖. รบั จา้ งทว่ั ไป ในปจั จบุ นั ชาวอาขา่ ขาดทที่ ำ� กนิ หรอื ทที่ ำ� กนิ ไมพ่ อเพยี งกบั จำ� นวนประชากร จงึ ทำ� ใหห้ ลายครอบครวั ตอ้ งหารายได้ โดยการเขา้ ไปรบั จา้ งทำ� งานในตวั เมอื ง รบั จา้ งทวั่ ไป หรอื รบั จา้ ง ท�ำงานใหก้ ับกรมปา่ ไม้ เชน่ ปลกู ป่า เปน็ ตน้ ๗. หาของปา่ ขาย การหาของปา่ ถงึ เปน็ อาชพี รองลงมาจากการทำ� ไรท่ ำ� สวน หลงั จากทท่ี ำ� ไร่ ทำ� สวนเสรจ็ แลว้ หรอื ยามทไ่ี มม่ งี านทำ� ชาวอาขา่ กจ็ ะเดนิ เขา้ ไปในปา่ ไปหาของปา่ ตา่ ง ๆ จากปา่ มาขาย โดยมีพอ่ ค้าจากขา้ งนอกมารบั ซื้อไป บางสว่ นกเ็ ก็บเอาไวก้ นิ เอง ของทีช่ าวบ้านนยิ มเกบ็ มาขายก็ไดแ้ ก่ หนอ่ ไม้ต่าง ๆ เหด็ แด้ โกง๋ สำ� หรบั ท�ำไม้กวาด ฯลฯ การหาของป่ามาขายถอื เปน็ อาชีพท่สี �ำคัญมากกบั ชาวเขาท่ีอยบู่ นดอยยอดสูงของแตล่ ะอยา่ งจะมเี ป็นช่วง ๆ ชาวบ้านมกั จะรู้ และเข้าใจว่าของแบบไหน มีมากในช่วงไหน

บทท่ี ๖ ลาหู่ ลาหู่ (มูเซอ) Lahu ตระกูลภาษาย่อยธิเบต – พม่า (Tibeto-Burman) สาขาพม่า-โลโล (Burmese-Lolo) Synonyms : Lohei, Muhso, Musso, Mussuh ประวตั คิ วามเป็นมา ค�ำว่า มเู ซอ เป็นภาษาที่คนไทยใชเ้ รียกชาวเขาเผ่านี้มาตง้ั แตเ่ ร่มิ มกี ารพัฒนาชาวเขาของกรม ประชาสงค์เคราะห์ ในสมัยน้ันข้ึนอยู่กับกระทรวงมหาดไทย ชาวจีนเรียกลาหู่ว่า ล่อเฮ หรือ ยิวล่อ ชาวไทยล้อื เรยี ก ขา่ เลอะ ชาวไทยใหญแ่ ละไทยเขนิ เรยี ก ลาหู่ แปลวา่ นายพราน ชาวลาหู่ เรียกตัว เองว่า ลาฮู (Lahu) ลาฮู แปลว่า คน สอื เชือ้ สายมากจาพวกโล-โล (Lo-Lo) รูปรา่ งสัดทดั ผวิ สีน้ำ� ตาล อ่อนคล้�ำกว่าม้ง หรือเย้า ผู้หญิงตัวเล็กกว่าผู้ชายเล็กน้อย ชอบกินหมาก มีภาษาพูดเฉพาะตัวแต่ไม่มี ตวั อักษรใชแ้ บง่ ออกเปน็ กลุ่มยอ่ ย ๆ หลายกลุ่มตามลักษณะการแตง่ กายของฝา่ ยหญงิ และภาษาพดู ท่ี ใชจ้ ะมคี วามแตกตา่ งกันเล็กนอ้ ย๑ เผา่ ลาหู่ (มูเซอ) ในประเทศไทย แบ่งเปน็ ๔ กลมุ่ ใหญ่ คือ ๑. ลาหแู่ ดง (Lahu Nyi) มจี ำ� นวนมากทส่ี ุดในบรรดาพวกลาหดู่ ว้ ยกัน เรยี กตัวเองวา่ ลาฮยู ะ (Lahu-ya) ๒. ลาหดู่ ำ� (Lahu Na) มจี ำ� นวนเปน็ ทส่ี องรองจากลาหแู่ ดง เรยี กตวั เองวา่ ลาฮนู ะ (Lahu Na) คนไทยภาคเหนอื และ ไทยใหญเ่ รียก ลาหู่ดำ� ๓. ลาหซู่ ิ (Lahu Shi) มจี ำ� นวนนอ้ ยทสี่ ดุ คนไทยเรยี ก ลาหกู่ ยุ (Mussuh Kwi) หรอื ลาหเู่ หลอื ง มี ๒ เชื้อสายคอื เชือ้ สาย บาเกยี ว (Ba Kio) และบาลาน (Ba Lan) ๔. ลาหู่เชเล (Lahu Shehleh) มีจ�ำนวนเป็นอันดับสามรองจากลาหู่ด�ำ เรียกตัวเองว่า ลาฮูนาเมย้ี ว (Lahu Na-Muey) นกั มานษุ ยวทิ ยาพอลและอเี ลน สวสิ ไดว้ เิ คราะหว์ ฒั นธรรมของคนลาหแู่ ลว้ ไดล้ งความเหน็ วา่ คนลาหู่มีความเชื่อและต้องการท่ีจะรับพรมากกว่าเผ่าอื่น ซ่ึงอาจเป็นเหตุผลอย่างหนึ่งที่ท�ำให้พวก ๑ ศภุ ชยั สถรี ศลิ ปนิ . รายงานการวจิ ยั เรอ่ื งปญั หาการศกึ ษาของชาวเขาเผา่ มเู ซอในบรเิ วณดอยมเู ซอ จงั หวดั ตาก. (ม.ป.ท. : สถาบนั วจิ ยั ชาวเขา กรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงมหาดไทย, ๒๕๒๗). น. ๑๓

120 ชนต่างวฒั นธรรมในประเทศไทย ลาหู่นะ (ลาหูด่ ำ� ) หันมานบั ถอื ศาสนาคริสเตยี นเปน็ ่อนั มาก และลาหูห่ ญี (มูเซอแดง) เชอื่ มนั ในศาสนา ผีบญุ ลาหู่แดง (Lahu Nyi) มีจ�ำนวนมากท่ีสุดในบรรดาพวกลาหู่ด้วยกัน เรียกตัวเองว่า ลาฮูยะ (Lahu-ya) ผหู้ ญงิ ลาหแู่ ดง มแี ถบผา้ สแี ดงเยบ็ บนผา้ สดี ำ� ผา้ นงุ่ มลี ายสขี าว สเี หลอื ง นำ้� เงนิ เสอื้ แขนยาว ทรงกระบอก ตัวเสือ้ สนั้ เปดิ เหน็ พุง ผา่ อก กลาง ติดแถบผ้าสีแดง ขอบคอใชก้ ระดมุ เงิน ผู้ชายตดั ผมส้ัน เสื้อสีด�ำผ่าอกกลางมีกระดุมโลหะเงินประดับที่แขนเสื้อ ข้างหน้าและ ข้างหลัง เวลาเดินทางมีหน้าไม้ กบั ดาบติดตัวไปด้วยเสมอ พวกลาหูแ่ ดงเรยี กพวกน้วี า่ ลาหู่เชเลอ เปน็ ชาวเขาเผา่ ทีม่ ีจ�ำนวนประชากร รองจากกะเหรย่ี ง และม้ง “ลาหู่” เป็นช่ือท่ีคนไทยท่ัวไปเรียกชาวเขาเผ่านี้ สันนิษฐานว่าเป็นค�ำในภาษาฉาน แปลว่า “พราน” หรอื “นักลา่ ” ส่วนชาวเขาเผา่ น้ีเรียกตนเองว่า “ลา่ ห”ู่ หรือ”ลาฮ”ู เพย้ี นไปตามสำ� เนยี งของ แต่ละกลุ่ม มีข้อสันนิษฐานว่าถิ่นฐานเดิมของลาหู่อยู่ในธิเบต และได้อพยพลงมาจนถึงลุ่มน้�ำสาละวิน ลาหใู่ นประเทศไทย เปน็ กลมุ่ ทอี่ พยพมาจากทางตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ของพมา่ เขา้ มาอยใู่ นประเทศไทย ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๑๕ เปน็ เผา่ ทแ่ี ยกเปน็ กลมุ่ ยอ่ ยมากทส่ี ดุ เทา่ ทสี่ ำ� รวจพบในประเทศไทยมปี ระมาณ ๗ กลุ่มยอ่ ย แตท่ ั้งหมดนพ้ี อจะจำ� แนกไดเ้ ปน็ ๒ ประเภทใหญ่ ๆ คอื ๑. ลาหดู่ ำ� (ลา่ หนู่ ะ) ประกอบดว้ ยลาหดู่ ำ� ลาหเู่ ฌเล ลาหแู่ ดง (ลา่ หญู่ )ี ลาหกู่ เุ ลาหรอื ลาหขู่ าว (ลา่ หพู่ )ู ๒. ลาหเู่ หลือง (ลา่ หู่ฌ)ี ประกอบด้วยลาหบู่ าหลา ลาห่บู าเกยี ว ลาหลู่ า่ บา้ การตัง้ ถ่นิ ฐาน ลาหสู่ ว่ นใหญ่ นยิ มตงั้ หมบู่ า้ นอยตู่ ามทรี่ าบสนั เขาหรอื ไหลเ่ ขา ทมี่ คี วามสงู ตงั้ แต่ ๑,๒๐๐ เมตร เหนือระดับนำ้� ทะเล แตป่ ัจจุบนั ได้มบี างส่วนย้ายลงมาตำ่� จนถึงพน้ื ราบ เชน่ ท่ีเชียงราย เชียงใหม่และ ตากกอ่ นต้ังหมบู่ ้าน จะท�ำกระทงเลก็ บรรจุเทยี นและขา้ วสาร เสียบบนปลายไม้ ไหว้เจา้ ที่ เพ่ือขออณุ ญาตก่อน และสิง่ กอ่ สร้างที่จะสรา้ งเปน็ อันดับแรกคอื บ้านผนู้ ำ� ศาสนาและลานเต้นรำ� ซง่ึ เป็นสถานที่ ศกั ดส์ิ ทิ ธค์ิ หู่ มบู่ า้ น โดยตอ้ งชว่ ยกนั ทำ� ใหเ้ สรจ็ ในวนั เดยี ว หลงั จากนนั้ จงึ จะสรา้ งบา้ นหลงั อนื่ ๆ อยรู่ อบ ๆ บ้านผู้น�ำ หมู่บ้านตามวัฒนธรรมของมูเซอ ต้องประกอบด้วยบุคคล ๔ คน คือ หัวหน้าหมู่บ้าน ผู้น�ำ ศาสนา หมอผี และช่างตีเหล็ก จึงจะถือว่าเป็นหมู่บ้านที่แท้จริง มูเซอเป็นเผ่าที่ชอบอพยพโยกย้าย หมู่บ้านมากทสี่ ุดในบรรดาชาวเขาดว้ ยกนั ซ่ึงมาจากสาเหตหุ ลายประการ ท่สี �ำคญั ก็คอื มีวัฒนธรรมที่ สืบทอดกนั มาว่า ต้องยา้ ยหมูบ่ ้านทุก ๕ - ๑๐ ปี ความคิดเหน็ เกีย่ วกบั ธรรมเนียมประเพณีแตกตา่ งกัน และความแตกแยกไม่ลงรอยกันในกล่มุ

ลาหู่ (มเู ซอ) Lahu 121 ลกั ษณะบ้านเรือน บ้านของมูเซอตามวัฒนธรรมดั้งเดิม จะเป็นบ้านยกพื้น หลังคาหน้าจ่ัว มุงหญ้าคาหรือใบ ก่อฝาและพ้ืนบ้านเป็นไม้ไผ่สับฟาก ภายในตัวบ้านแต่ละกลุ่มย่อยจะแตกต่างกัน แต่ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มใด มักจะต้ังหิ้งบูชาผีอยู่ในส่วนส�ำหรับเป็นที่นอน และมีกองไฟสี่เหลี่ยมอยู่ภายในบ้าน การสร้าง บ้านของมูเซอ ต้องท�ำให้เสร็จภายในหนึ่งวัน บ้านผู้น�ำศาสนาหรือผู้นำ� หมู่บ้าน จะมีธงหางว่าวปักอยู บนหลังคา ใหส้ ังเกตเห็นได้ชดั เจน๒ บ้านเรือนของ ชาวมเู ซอปลูกยกพนื้ ใตถ้ ุนสูง เสาไม้เนอ้ื แขง็ พน้ื ฟาก ฝาฟากหลงั คามุงดว้ ยคา หรือใบก้อ นิยม มุงทับกันหนาแน่น เพราะท�ำให้อบอุ่นในฤดูหนาว ตัวบ้านแบ่งออกเป็น ๒ ตอน ตอนหน้าเป็นชานนอกชายคาปูด้วยไม้ฟากมีบันไดเป็นท่อนยาวพาดจากพื้นดินขึ้นไปสู่บ้านตอนหลัง เป็นห้องส่ีเหล่ียม กว้าง ๓-๔ เมตร มีฝาสานรอบทุก ด้านสูงประมาณ ๑ เมตรคร่ึง ท�ำด้วยไม้ไผ่ล้วน ไม่มีเพดาน กลางห้องมีเตาไฟ ส�ำหรับท�ำอาหาร รอบ ๆ เตาไฟเป็นที่นอน (ขจัดภัย ๒๕๓๕, น.๕๖-๕๗) วิถชี ีวติ การเกดิ วธิ ปี ฏบิ ตั เิ มอื่ มเี ดก็ เกดิ ในบา้ น การคลอดลกู นน้ั ตอ้ งใชผ้ า้ หรอื เชอื กผกู กบั ขอ่ื บา้ นเพอ่ื ใหแ้ มเ่ ดก็ จบั และ มีแรงในการออกลูก เมื่อเด็กเกิดมาต้องตัดสายสะดือเด็กด้วยไม้ไผ่ หรือไม้เฮียะ จะไม่ใช้มีดตัด เพราะกลัวเด็ก จะเป็นบาดทะยัก จากน้ันก็ใช้เชือกผูกสายสะดือเด็กเอาไว้เพื่อไม่ให้เลือดไหลออกมา แล้วพ่อเด็กจึงน�ำรกไปฝังไว้ใต้บันได โดยพยายามให้เรียบร้อยท่ีสุดมิให้สัตว์มาคุ้ยและต้องฆ่าไก่ให้แม่ เด็กกนิ โดยต้องเป็นไก่ดำ� เทา่ นนั้ เพราะเช่ือว่าจะท�ำให้ น้�ำนมแม่มคี ณุ คา่ มากขนึ้ เมื่อลูกกินจะทำ� ให้ลูก มรี า่ งกายแขง็ แรงขนึ้ ในกรณที เ่ี ดก็ เกดิ มาอยา่ งปลอดภยั จะเอา ไปฝงั ไวท้ ใ่ี ตบ้ นั ไดบา้ น แตถ่ า้ เดก็ เกดิ มา แล้วเสียชีวิตต้องเอารกเด็กไปฝังในป่า คนท�ำคลอดส่วนใหญ่เป็นผู้เฒ่าผู้แก่ที่เป็นผู้หญิง และมี ประสบการณ์ในการท�ำคลอด ซงึ่ ตามธรรมเนียมแล้วพอ่ แมเ่ ดก็ ตอ้ งให้เงนิ แก่คนทีม่ าท�ำคลอดดว้ ย ขอ้ ห้ามเมอื่ มีการตงั้ ท้อง ๑) ห้ามแบกหญา้ คาเขียว เพราะเชื่อวา่ จะทำ� ให้แทง้ ลูก ๒) ห้ามไปอยู่ใต้ต้นมะละกอ เพราะเช่ือว่าจะท�ำให้แม่ไม่สบายและจะส่งผลให้ลูกในท้องไม่ สบายด้วย ๒ ศภุ ชยั สถรี ศลิ ปนิ . ชนเผา่ ลา่ หู่ หรอื มเู ซอในประเทศไทย. ขา่ วสารวจิ ยั ชาวเขา ๗,๑ (ม.ค.-ม.ี ค. ๒๕๒๖); หนา้ ๑๓-๒๒

122 ชนตา่ งวัฒนธรรมในประเทศไทย ๓) ปจั จบุ นั เมอ่ื มกี ารตงั้ ทอ้ ง แมเ่ ดก็ จะไปฝากทอ้ งทอี่ นามยั หรอื โรงพยาบาล และการคลอด ลูกกจ็ ะเปน็ ไปตามวธิ กี ารของแพทย์แผนปจั จุบนั การตงั้ ชอ่ื การตง้ั ชอ่ื เดก็ นน้ั เชอ่ื กนั วา่ ถา้ พอ่ แมต่ งั้ ชอื่ ใหโ้ ดยไมด่ วู นั เวลาทเ่ี กดิ หรอื เดก็ ไมช่ อบชอ่ื นน้ั เดก็ จะรอ้ งไห้ พ่อแมเ่ ดก็ ต้องให้ โตโบ มาทำ� พิธีตง้ั ช่อื ให้ เป็นการบอกใหเ้ ทวดารบั รู้ และเทวดากจ็ ะตัง้ ชอ่ื ใหม่ให้เด็ก ซ่ึงการท�ำพิธีเปล่ียนชื่อนี้ต้องท�ำในหอเหย่ มีเฉพาะโตโบ พ่อแม่เด็ก และเด็กเท่าน้ันในพิธี สง่ิ ของทใี่ ชป้ ระกอบในการท�ำพิธี ไดแ้ ก่ ฝา้ ยท�ำเป็นดอกไม้ เทียนไว้จดุ ในพิธี และด้ายส�ำหรบั ผกู ขอ้ มอื ใหเ้ ดก็ เมอ่ื โตโบสวดคาถาตา่ ง ๆ เสรจ็ แลว้ พอ่ แมเ่ ดก็ ตอ้ งกราบ และรดนำ�้ ลา้ งมอื ใหโ้ ตโบ เพอื่ ขอใหก้ าร ท�ำพิธีนี้มีความใสสะอาด บริสุทธ์ิแบบน้�ำ และมีการผูกข้อมือให้เด็ก ถ้าหมู่บ้านใดไม่มีโตโบ ต้องไปหาคนที่มีลูกเยอะ ๆ อาจจะเป็นคนภายในหมู่บ้าน หรือคนหมู่บ้านอื่นก็ได้ให้ต้ังชื่อลูกให้ โดยพ่อแม่เด็กต้องฆ่าไก่ ๑ ตัว ให้กับคนท่ีมาท�ำพิธีให้ เพื่อเป็นการขอบคุณที่ตั้งช่ือให้เด็ก และเด็กก็ สามารถเรยี กผ้ทู ม่ี าต้งั ชอ่ื ให้ว่าพอ่ แมไ่ ด้ ปจั จุบันการตั้งชอื่ จริง จะตัง้ เป็นภาษาไทย บางคนพ่อแม่ตง้ั ให้ บางคนหมอ พยาบาลตั้งให้ บางคนเจ้าหน้าท่ีเทศบาลต้ังให้ เม่ือไปแจ้งเด็กเกิด โดยดูจากต�ำราต้ังช่ือ สำ� หรับชือ่ เล่นก็ยงั เปน็ ภาษาลาหอู่ ยู่ โดยพอ่ แมเ่ ด็ก หรอื ผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านเป็นคนต้ังให้ การแตง่ งาน ช่วงเทศกาลปีใหม่ หนุ่มโสดจะจับกันเป็นกลุ่มตระเวนหาสาวหมู่บ้านอื่นเพื่อท�ำความรู้จัก หนุ่มลาหู่ไม่นิยมหาคู่ในหมู่บ้านของตนเอง เมื่อได้รู้จักและตกลงกันของหนุ่มสาวแล้ว หากฝ่ายหญิง ยินยอม การแต่งงานก็เร่ิมต้นด้วยการไปสู่ขอ หลังจากนั้นญาติทั้งสองฝ่ายจะหาวันแต่งงานตาม ประเพณีให้ การแต่งงานมักจัดในเวลากลางคนื คนื ท่ีเขา้ ท�ำพิธี จะมแี ก้วใสน่ ้ำ� ๑ ใบ และมีดา้ ยผกู ข้อ มืออีก ๒ เส้น หมอขวัญเป็นผู้ท�ำพิธีสู่ขวัญและผูกข้อมือให้ และท�ำน้�ำมนต์ให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวดื่ม ถือว่าเสร็จพิธีแต่งงาน เช้าวันใหม่ท้ังเจ้าบ่าวและเจ้าสาวจะต้องไปตักน�้ำให้กับบ้านของอีกฝ่ายหนึ่ง เสร็จแล้วก็จะหาฟืนเข้าบ้านของอีกฝ่ายหนึ่งเช่นเดียวกัน หากอยู่ต่างหมู่บ้านให้ตักน้�ำและหาฟืน เข้าบา้ นเจ้าสาวเท่านั้น เพราะตามประเพณีแล้วนิยมแตง่ เจา้ บ่าวเข้าบา้ นเจ้าสาว การเลย้ี งแขกหากเจา้ ภาพมฐี านะ จะเลย้ี งในวนั รงุ่ ขน้ึ หลงั พธิ แี ตง่ งาน หากเจา้ ภาพฐานะยากจน อาจไมม่ กี ารเลยี้ งแขก หรอื เลยี้ งในภายหลังก็ได้ซึง่ ประเพณไี ม่ถือเคร่งครัดในเรอ่ื งนี้ การหย่าร้าง การหย่าเป็นเร่ืองท่ีธรรมดาของลาหู่ เช่นหากพ่อแม่ผู้หญิงรู้สึกว่าลูกเขยไม่ดีหรือเข้ากันไม่ได้ อาจบังคับให้ลูกสาวเลิกได้ โดยการส่งให้ลูกสาวไปอยู่ที่อื่น กรณีเช่นน้ีเงินสินสอดท้ังหมดจะคืนไปยัง

ลาหู่ (มูเซอ) Lahu 123 เจ้าบ่าย ฝ่ายเจ้าสาวไม่มีสิทธิที่จะได้เพราะเป็นฝ่ายบอกเลิกเอง (ประเพณีของภาคอีสานหากเจ้าสาว บอกเลิกหลังแต่ง เจ้าบ่าวมีสิทธิเรียกร้องเงินค่าสินสอดเป็นสองเท่า เรียกว่า “บาทข่ีบาท” : ผู้เขียน) หากมลี กู แลว้ สามกี บั ภรรยาทง้ั สองฝา่ ยยนิ ยอมจะหยา่ กนั สนิ สมรสจะตอ้ งแบง่ เปน็ สามสว่ นเทา่ ๆ กนั หนึ่งเพื่อลูก สามี และภรรยา จากน้ตี ่างคนตา่ งไปแลว้ ส่วนลกู นใี้ ครจะดแู ลก็ได้ การตาย เมือ่ มคี นตายในบ้าน คนในหมู่บา้ นทุกครวั เรอื นจะตอ้ งนำ� ขา้ วสาร ๑ ถว้ ย และเทยี นไข ๑ เล่ม ไปใหก้ ับญาติพ้นี อ้ งคนตาย และญาติพนี่ อ้ งคนตายต้องฆา่ ไก่ ๑ ตวั ท�ำพิธีเอาปกี ไกแ่ ละขาไก่ เสียบไม้ นำ� ไปวางไวข้ า้ ง ๆ ศพ ซง่ึ มคี วามเชอื่ กนั วา่ ปกี ไกจ่ ะทำ� ใหว้ ิญญาณนั้นขนึ้ ไปสสู่ วรรค์ ส่วนขาไก่จะท�ำให้ วญิ ญาณน้นั เข่ียน้�ำด่ืมและเขยี่ หาอาหารกนิ ไดแ้ ละต้องมไี มก้ วาดจ�ำลอง ๓ มดั ท�ำมาจากหญา้ คาน�ำไป วางตรงหัว ตรงเอว และตรงเท้าของศพ ต�ำแหน่งละมัดเพื่อไม่ให้ศพฟื้นขึ้นมา เพราะเชื่อกันว่าถ้าคน ตายอยใู่ นชว่ งเกดิ จนั ทรปุ ราคา ศพจะฟน้ื คนื ชพี จงึ ตอ้ งมไี มก้ วาดไวส้ ำ� หรบั ตศี พ ไมใ่ หฟ้ น้ื ขนึ้ มา นอกจาก นย้ี งั ตอ้ งมไี ขไ่ กเ่ พอ่ื ใชใ้ นการหาสถานทฝี่ งั ศพในปา่ ชา้ ซง่ึ เชอื่ กนั วา่ ถา้ โยนไขข่ นึ้ ไปแลว้ ตกลงมาแตกแสดง ว่าศพอยากจะถูกฝังตรงนั้น แต่ถ้าโยนไข่ขึ้นไปแล้วตกลงมาไม่แตก มีความเชื่อว่าศพไม่อยากจะถูกฝัง ตรงนนั้ ตอ้ งหาทฝี่ งั ใหม่ เมอ่ื หาทฝี่ งั ศพไดแ้ ลว้ กข็ ดุ ดนิ ทไี่ ขแ่ ตก นน้ั เอามาวางไวก้ อ่ นแลว้ ขดุ หลมุ ใหใ้ หญ่ ขึ้นพอทีจ่ ะใสศ่ พได๓้ น�ำไม้ที่ผ่าเป็นช้ินเล็กมาเขี่ยลงในหลุมศพเพื่อไม่ให้วิญญาณของคนล่องลอยไปกับศพคนที่มา ร่วมพิธีฝังศพทุกคน เม่ือฝังศพเสร็จแล้ว ก็เอาก้อนดินที่ขุดไว้มาวางบนหลุม โดยวางให้ตรงกับหัวใจ ของศพ เม่ือฝังศพเสร็จแล้ว จะมีหมอผีมาท�ำพิธีกันวิญญาณ เพื่อไม่ให้คนที่ตายไปออกมาจากป่าช้า ไดโ้ ดยเอาไมไ้ ผม่ าปกั เปน็ เครอื่ งหมายกากบาท และทำ� ประตเู พอื่ ทใ่ี หค้ นมารว่ มงานศพกลบั ไปชอ่ งประตู เท่านั้น หากคนใดที่ไม่กลับช่องประตู มีความเชื่อว่าจิตวิญญาณของคน ๆ นั้นไม่กลับมาด้วยกัน เม่ือเสร็จพิธีแล้ว ชาวบ้านจะต้องเอาใบไม้กลับมาเพ่ือ น�ำมาประพรมน�้ำมนต์ท่ีผู้เฒ่าผู้แก่เตรียมไว้ ตรงทางเข้าหมู่บ้าน เพื่อขับไล่สง่ิ ไม่ดอี อกจากตัวเรา แล้วจึงจะเข้าหมู่บา้ นได้ เมื่อเข้ามาในหมบู่ า้ นแลว้ จะตอ้ งไปทบ่ี า้ นของผตู้ ายกอ่ น แลว้ ถงึ จะกลบั ไปบา้ นของตนได้ แลว้ ภายใน ๓ คนื จะตอ้ งมาเยย่ี มทบ่ี า้ น ผตู้ าย โดยมคี วามเชอ่ื วา่ จะไปรอรบั วญิ ญาณทล่ี อ่ งลอยไปตามวญิ ญาณศพ นอกจากนย้ี งั เชอื่ กนั วา่ คนท่ี ตายไปแลว้ ในคนื แรกนน้ั วญิ ญาณจะกลบั มาในบา้ น คนื ทสี่ องวญิ ญาณจะมาถงึ หวั บนั ไดบา้ น คนื ทส่ี าม วิญญาณจะมาอยู่นอกหมู่บ้าน และในคืนท่ีสี่ วิญญาณจะยืนร้องไห้ท่ีประตูป่าช้าอยากจะออกมาจาก ป่าชา้ มาใช้ชีวติ อย่างปกติ แต่กอ็ อกมาไม่ได้ เพราะหมอผีท�ำประตผู ีกันไว้ ๓ พมิ ขุ ชาญธนะวฒั น.์ “พธิ ศี พมเู ซอแดง” ศลิ ปวฒั นธรรม ๑๖,๗ (พ.ค. ๒๕๓๕) หนา้ ๑๖๔-๑๖๖

124 ชนต่างวัฒนธรรมในประเทศไทย กรณีศพเก่า เม่ือครบ ๑๕ วันหลังการตาย ญาติพ่ีน้องจะต้องไปท�ำพิธีส่งผี ต้องพาหมอผี และชาวบา้ นไปรว่ ม และเอาไกไ่ ปทำ� พธิ สี ง่ ผี หมอผกี จ็ ะกลา่ ววา่ “ขอใหเ้ ปน็ สขุ เปน็ สขุ เชา้ วนั นญ้ี าตพิ นี่ อ้ ง ก็จะอาลัย และอย่ามาหลอนพี่น้อง อย่ามาหาญาติ” ชาวลาหู่มีความเช่ือว่า ถ้าไม่ไปส่งผี ผีจะมา รบกวนเรา เช่นเราจะฝันร้าย หรือเมื่อท�ำไร่ท�ำสวนผลผลิตออก แล้วผีกลับมาเป็นในรูปแบบนก หรอื แมลงมาทำ� ลายผลผลติ จนเสยี หายหมดส้นิ ประเพณีและความเช่อื พื้นฐานความเชื่อของลาหู่ (ลาหู่) นับถือพระเจ้า หรืออื่อซา พระเจ้าของชาวลาหู่ (ลาหู่) คล้ายกับของศาสนาคริสต์ และยังมีความเชอ่ื เรือ่ งภูต ผี ขวัญ วิญญาณ ผสมผสานไปด้วยกัน พระเจ้า (อ่อื ซา) ออ่ื ซาถอื เปน็ ผยู้ ง่ิ ใหญ่ ผใู้ หก้ ำ� เนดิ โลกและความดที ง้ั ปวง การบชู าสวดออ้ นวอน ออ่ื ซา ถอื เปน็ สิ่งส�ำคัญ เพราะจะบันดาลให้ทุกคนสมบูรณ์พูนสุข ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ อย่างเช่นเทศกาล ปีใหม่ หรือกนิ วอ (เขาะจาเว) ช่วงปลายเดอื นมกราคม หรอื เดือนกมุ ภาพันธข์ องทุกปี ทุกหลังคาเรอื น ทุกกลุ่มบ้าน หรือหมบู่ ้านกต็ ้องทำ� การบูชา และสวด ผลผลิตทีไ่ ด้ในรอบปนี ั้น ๆ ให้กับ ออ่ื ซา เพ่อื ได้ รบั ประทาน และไดร้ ับรู้ รบั ทราบ บวกกบั ขอโชคลาภในปีตอ่ ไป เช่น ในปีนผ้ี ลผลิตไดเ้ ทา่ น้ีท�ำถวายให้ ทา่ นอ่ือซา หนง่ึ ถ้วย - จาน ท่านอื่อซารับประทาน และไดร้ บั รู้ ปหี น้าขอผลผลติ ใหไ้ ด้ เกา้ เทา่ เกา้ ถว้ ย - จาน เปน็ ต้น ผี ผนี ัน้ ชาวลาหเู่ ช่ือว่ามอี ยทู่ ัว่ ไปแต่มีทัง้ ผีดี และร้าย ต้งั แต่ในเรือนไปจนทว่ั บรเิ วณหมู่บา้ น เช่น ผหี ม่บู ้าน ผีเรือน เปน็ ผีทค่ี อยใหค้ วามคุ้มครอง ส่วนผนี ำ้� ผปี ่า ผดี อยและผอี นื่ ๆ ทอ่ี ยนู่ อกบ้าน ถอื เป็น ผีร้ายทใ่ี ห้โทษต่อคน ตวั อย่าง เช่น ผีบา้ น ผีเรอื น ทช่ี าวไทยเรยี กว่าศาลพระภูมิ หรือเจา้ ที่ในหม่บู ้านก็่ ช่วยคุ้มครองสมาชิก ในครอบครวั นนั้ ๆ เช่นกับชาวไทยพุทธ ผีปา่ หรือเจ้าทเ่ี จ้าทางในป่า เหมอื นกัน ในเมื่อคนเข้าไปท�ำสิ่งไม่ดีให้กับสถานท่ี ๆ นั้น หรือท่ีชาวไทยเรียกว่าลบหลู่ผีป่า ผีเขา หรือเจ้าป่า เจ้าเขา เจ้าท่ี ที่แห่งนั้น มันก็จะท�ำคนคนนั้นมีอันเป็นไป และถ้าคนคนน้ันรู้ตัวเองว่าได้กระท�ำผิดไว้ แลว้ ไดไ้ ปลบหล่ทู แี่ ห่งนั้น แลว้ กจ็ ะไปหาหมอผีมาแก้บน หรอื ท�ำพธิ ีตามความเชื่อชาวลาห่เู กย่ี วกับผี วญิ ญาณ หรือขวัญ วญิ ญาณ หรอื ขวญั เปน็ ภาคจติ ของรา่ งกาย ชาวลาหู่ มคี วามเชอ่ื วา่ ขวญั หรอื วญิ ญาณสามารถ ออกจากร่างได้ และร่างของตนเองสามารถถูกสิงจากวิญญาณเหล่าอ่ืนได้ คือเมื่อมีการเจ็บป่วยชาว ลาห่จู ะไปหาโตโบ ซึง่ เป็นผู้น�ำศาสนา ทำ� พิธีให้ ทา่ นคนเดียวสามารถท่ีจะทราบว่า คนนี้ไมส่ บายเนอื่ ง

ลาหู่ (มูเซอ) Lahu 125 ดว้ ยเหตอุ ะไร และจะบอกวธิ ปี ฏิบัตเิ พอ่ื การแกไ้ ขให้ได้ การท�ำพิธีน้นั พธิ จี ะเล็กหรือใหญข่ นึ้ อยู่กบั บุญ ของผูป้ ว่ ยเอง พธิ ีเลก็ นยิ มใชใ้ กเ่ ป็นเครือ่ งเซ่นไว้ หากพิธใี หญ่ตอ้ งใชห้ มู ไกแ่ ละหม่หู ลังเสรจ็ พธิ ีจะต้อง น�ำมาชาวบ้าน เพ่ือขอบุญจากคนในหมู่บ้านตามความเชื่อนั้น และได้รับการผูกข้อมือให้จากคนใน หมู่บ้านทเี่ ข้ามารว่ มพิธี เพอื่ จะได้หายจากอาการเจ็บปว่ ย พิธหี าขวัญ ถ้าชาวลาหู่รวู้ า่ ขวัญหาย กจ็ ะหาไกห่ นึ่งตวั น�ำมาทำ� พิธีเรียกขวัญเพือ่ ใหข้ วัญกลับมา การจะรู้ ว่าขวัญกลับมาหรือยังน้ันขึ้นอยู่กับการเส่ียงทายกระดูกไก่ ซ่ึงหมอผีเท่าน้ันจะทราบและบอกแก่ผู้เข้า มาทำ� พิธี หง้ิ บชู าในหอ้ งนอน ชาวลาหู่เช่ือว่า ในห้องนอนมีส่ิงศักด์ิสิทธิคอยคุ้มครองอยู่ ทุกบ้านจะต้องมีหิ้งบูชาไว้ส�ำหรับ บชู ากอ่ นนอน หรอื เมอ่ื มเี หตทุ ตี่ อ้ งขอความคมุ้ ครอง สงิ่ ศกั ดส์ิ ทิ ธทิ ส่ี ถติ อยใู่ นหอ้ งนอนนี้ ยงั ชว่ ยปกปอ้ ง คมุ้ ครองใหผ้ ู้อยอู่ าศัยพน้ ภัยจากผีรา้ ยทจ่ี ะทำ� ทำ� ลายได้อกี ด้วย หอแหยห่ รือวดั ชาวลาหู่เกือบทุกหมู่บ้านจะมีสถานท่ีประกอบพิธีกรรมที่เรียกว่า หอแหย่ มีไว้เพ่ือประกอบ พธิ กี รรมทางศาสนา ชาวลาหนู่ บั ถอื บรรพบรุ ษุ วญิ ญาณ และเทพเจา้ กอื ซา จงึ ทำ� ใหไ้ มเ่ หมอื นกบั ศาสนา พุทธทั่วไปในประเทศไทย “หอแหย่” เปรียบเสมือนโบสถ์หรือวัด ตามความเชื่อ ของศาสนานั้น ๆ สถานทป่ี ระกอบพธิ กี รรม หรอื หอแหยข่ องชาวลาหู่ จะสรา้ งอยทู่ สี่ งู และใกล้ ๆ กบั บา้ นของ ผนู้ ำ� ศาสนา (โตโบ) จงึ สังเกตไดว้ ่าถา้ มีหอเเหยอ่ ยทู่ ไี่ หนกม็ บี า้ นของโตโบที่ตรงน้ัน สงิ่ ของสำ� คญั ใู นหอเหย่ ไดแ้ ก่ โตะ๊ บชู า หรอื ชาวลาหเู่ รยี กวา่ “กะปะแต” เปน็ ทส่ี ำ� หรบั เทพเจา้ (กอื ซา) ลงมาประทบั และเปน็ ทสี่ อื่ สารกบั ผนู้ ำ� ศาสนาถอื วา่ เปน็ ทส่ี ำ� คญั ทส่ี ดุ ในศาสนสถาน นกเทพเจา้ จะมี ๒ ตัวคู่กันมีตัวผู้และตัวเมีย ชาวลาหู่เรียกตัวผู้ว่า นานะบุจุแงะ และตัวเมียเรียกว่า นะสิจุแงะ เขาจะเช่ือกันว่าเป็น นกของพระเจ้าท่ีจะน�ำพาขวัญของผู้ท่ีเสียขวัญกลับคืนมาเข้าสู่ร่างกาย นกไม้ ๒ ตวั นี้จะอยูค่ กู่ ับบอ่ น้�ำทพิ ย์ เรยี กวา่ ลเิ ด่ ซ่งึ ผูน้ �ำศาสนา จะคอยเติมน�ำ้ ทุก ๆ วันศลี โดยแต่ละเดือนจะ มวี นั ศีลอยู่ ๒ วนั คอื วนั แรม และขนึ้ ๑๕ คำ�่ ของทุกเดือนจะถือวันศลี ดังน้ันชาวลาหกู่ ห็ ยดุ ทำ� งานเพอ่ื ถอื ศลี และไดม้ กี ารจดั เตรยี มเครอ่ื งบชู าทจี่ ะนำ� ไปทำ� บญุ ทห่ี อเเหยเ่ พอื่ ทำ� พธิ กี รรมทางศาสนาจากนน้ั กม็ ี การเตน้ “ปอยแตแว” หรอื “จะคึ” กันอยา่ งสนุกสนาน ถือกันวา่ ถ้าเตน้ มากกจ็ ะได้บญุ มาก ในวนั ศลี มีข้อห้ามปฏิบัตดิ ังนี้

126 ชนตา่ งวฒั นธรรมในประเทศไทย ๑) จะไมไ่ ปทำ� งานนอกหมูบ่ ้าน ๒) ไมฆ่ า่ สัตว์ตดั ชีวิดในวันศลี ๓) ไม่ควรพูดถงึ เรอ่ื งท่ีไม่ดแี ละไม่เป็นมงคล ๔) จะไม่กนิ อาหารเน้ือสตั ว์ในวนั ศีล ถา้ กนิ อาจจะเกิดการเจ็บปว่ ยได้ง่าย แซ่ก่อหรอื ทรายกอ่ ท�ำเพ่ือส่ิงที่ล่วงลับท่ีท�ำไปแล้วโดยไม่รู้ตัว ในช่วงท�ำไร่ท�ำสวนท่ีฆ่าสัตวโดยไม่ตั้งใจ หรือต้ังใจ ก็ตาม ลาหเู่ ชอื่ ว่าท�ำพธิ ีกรรมแซกอ่ แล้ว จะท�ำใหบ้ าปส่งิ เหลา่ นจ้ี ะหายไปจะตัวเรา แลว้ อาชีพการทำ� ไร่ ทำ� สวน ผลผลติ จะได้ดี และการด�ำรงชวี ิตจะอย่อู ยา่ งเยน็ เป็นสุข ศาลา ชาวลาหทู่ อี่ ยใู่ นหมบู่ า้ นเดยี วกบั นนั้ ๆ จะตอ้ งรว่ มมอื กนั ทำ� ศาลา และแบง่ หนา้ ทก่ี บั สว่ นหนง่ึ ไปตันไม้ไผ่ อีกส่วนหน่ึงหาพื้นที่จะท�ำศาลา หลังจากท�ำศาลาเสร็จแล้ว พวกผู้หญิงและเด็ก ๆ จะน�ำ ข้าวสาร เอาไก่ หมู มาท�ำอาหารรว่ มกบั อาหารที่ลกุ แลว้ จะต้องไปถวายศาลากอ่ น และทิศทางตา่ ง ๆ ทีต่ ้ังไว้ ทศิ ทางแรกเหนอื ทศิ ทางใต้ ทศิ ทางตะวันออก ทศิ ทางตะวนั ตก ถวายทิศทางต่าง ๆ นี้ เพอ่ื ท่ี เป็นทิศทางที่เป็นทางไปหาของป่า หรือเป็นทิศทางที่เดิมไป ท�ำธุระต่าง ๆ ที่ท�ำส่ิงเหล่าน้ี ชาวลาหู่มี ความเชอ่ื วา่ ทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ ง มเี จา้ ของเลยขอขมาเจา้ ทเ่ี จา้ ทางกอ่ นวา่ วนั หนา้ เรามาทำ� อะไรผดิ ขออภยั โทษดว้ ย อยา่ งนเ้ี ปน็ ตน้ หลงั จากทำ� พธิ กี รรมตา่ ง ๆ เสรจ็ รว่ มประทานอาหารแลว้ เกบ็ ขา้ วของกลบั บา้ น พธิ ีกรรมนี้ มปี ลี ะครงั้ เดยี ว๔ การทำ� บญุ สะเดาะเคราะห์ ในการท�ำบุญสะเดาะเคราะห์ เมื่อชาวลาหู่ได้รับเคราะห์ หรือมีการเจ็บป่วยไม่สบายกาย และใจ ก็จะได้จัดเตรียม สิ่งของเพ่ือไปให้ผู้น�ำทางศาสนา ท�ำพิธี ซึ่งชาวลาหู่ เรียกว่า “ค๊อตาเตเว่” โดยเครอ่ื งมอื เหลา่ น้ี จะมผี บู้ อกวธิ กี ารทำ� คอื ลาซอ่ ลาซอ่ เปน็ ผเู้ ชย่ี วชาญการเครอื่ งมอื ในการประกอบ พิธีกรรมเพื่อน�ำ ไปไห้ผู้น�ำทางศาสนา หรือที่เรียกว่าโตโบ เพ่ือสวดขอพรให้หายจากเคราะห์ร้าย ตา่ ง ๆ หรอื เคราะหท์ จี่ ะมาถงึ นอกจากนี้ ยงั มสี ง่ิ ของทจี่ ะตอ้ งเตรยี มเพอ่ื นำ� ไปประกอบการทำ� พธิ กี รรม คอื ๑. เทยี น ถอื วา่ ให้นำ� ไปจดุ เพอ่ื แสงสว่าง ในการประกอบพธิ ีกรรม ๒. ส�ำลี หรอื ฝ้าย ส�ำลตี ้องเป็น สีขาว ชาวลาหู่ถือว่า ส�ำลีหรือฝ้ายน้ี จะไป รับค�ำพูดที่เคยพูดไม่ดี หรือผู้ให้ร้ายแก่ผู้อ่ืน ๓. ผ้าขาว เพอ่ื ความสะอาดและความบรสิ ทุ ธ์ิ ผา้ จงึ ตอ้ งเปน็ ผา้ สขี าว ๔. นำ้� เพอื่ นำ� ไปลา้ งมอื ผนู้ ำ� ศาสนาหรอื โตโบ ๔ พมิ ขุ ชาญธนะวฒั น.์ “พธิ สี ง่ ผมี เู ซอดำ�” สยามอารยะ ๓๓,๓ (ตลุ าคม ๒๕๓๕) หนา้ ๓๕-๓๖

ลาหู่ (มูเซอ) Lahu 127 ๕. ด้าย การพิธีจะต้องเป็นด้ายขาวเหมือนกัน ส�ำหรับด้ายนี้ เมื่อโตโบท�ำพิธีเสร็จก็เอาผูกข้อมือหรือ ห้อยคอ เพื่อป้องกันอันตรายส่ิงต่าง ๆ เหล่านี้ทั้งหมด จะเห็นได้ว่าอุปกรณ์ที่น�ำไปท�ำประกอบกับ เครอ่ื งมอื ในการประกอบพธิ กี รรมนนั้ จะตอ้ งเปน็ สขี าว ชาวลาหู่ หรอื แมแ้ ตศ่ าสนาใดกต็ าม จะใชส้ ขี าว เปน็ ส่อื ในการประกอบพิธีกรรมถือว่า สีขาวเป็นสีแห่งความบริสุทธิ์ เป็นสีแห่งมงคล ความเชื่อของ ชาวลาหมู่ คี วามเช่อื เรอื่ งบาป บุญ คณุ โทษ ซึ่งมีความเหมอื นกับศาสนาพุทธในประเทศไทย แตต่ ่างกนั ตรงทก่ี ารขอพรกบั เทพเจา้ การทำ� พธิ แี ละการปฏบิ ตั ธิ รรม ลาหทู่ ำ� ใหไ้ ดท้ ราบถงึ เกย่ี วกบั ความเชอ่ื และ พธิ ีกรรมต่าง ๆ ถึงแม้วา่ พธิ ีกรรมของชาวลาหู่ ใชเ้ วลาในการทำ� พธิ กี รรมไมน่ านนกั แต่ก็เชื่อวา่ มคี วาม หมายตอ่ การดำ� รงชีวติ ในอนาคตไดเ้ ปน็ อย่างมากอยา่ งดกี บั ชนเผา่ ลาหู่ ผู้ทำ� พิธกี รรมทางศาสนา ผู้ไหว้ และบูชาขอพรสวดมนต์นั้นจะต้องเป็น “โตโบ” ซึ่งเป็นผู้ที่ท�ำหน้าที่สอนศาสนา และเปน็ ส่ือกลาง ระหวา่ งชาวบา้ นกับเทพเจา้ กือซา นอกจากนี้โตโบยังต้องปฏบิ ัติหนา้ ทีท่ จี่ ะตอ้ งดแู ล รักษาหอแหย่อีกด้วย เพราะเป็นคนที่มีความเมตตากรุณา และเป็นบุคคลที่ชาวบ้านยอมรับนับถือ การเปน็ โตโบจะตอ้ งเปน็ ผทู้ ไ่ี ดร้ บั การสอื่ สารจากเทพเจา้ หรอื กอื ซาเขา้ ทรง ผเู้ ฒา่ ในชมุ ชนเลา่ วา่ ผทู้ จ่ี ะ มาเปน็ โตโบ ได้นนั้ จะตอ้ งมบี ุคลกิ ดังนี้ ๑) เป็นคนที่มีความเมตา และชอบช่วยเหลือผู้อื่น โดยจะให้ความรักกับทุกคนในหมู่บ้าน และไม่เลือกที่ จะล�ำเอยี งข้างใดข้างหนึ่ง ๒) เป็นคนท่ีมีความซ่ือสัตย์ สุจริต ต่อตนเองและผู้อ่ืน ไม่คิดเบียดเบียนผู้อ่ืนในท้ังทางตรง และทางออ้ ม ๓) เป็นคนท่มี ีจิตใจ กายทบ่ี ริสทุ ธ์ิ ไม่ชอบการฆ่าสตั ว์ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด และน้�ำมึนเมาทุกชนิด จะเป็นโตโบได้นั้นอยู่ที่เทพเจ้า หรือกือซาจะ ทรงรา่ งเทา่ นน้ั ถงึ เปน็ โตโบได้ หรอื เปน็ ผนู้ ำ� ศาสนาชาวลาหใู่ นขณะทบ่ี คุ คลภายนอกมองไมเ่ หน็ ประโยชน์ ของความเชอื่ ของชาวลาหู่ แตก่ ลบั มองเปน็ ความเชอ่ื ทง่ี มงาย ไรส้ าระ ลาหซู่ ง่ึ มวี ถิ ชี วี ติ แตกตา่ งจากชาว เขาเผา่ อน่ื ๆ ซึง่ ยงั คงเหนยี วแนน่ ในวิถชี ีวิตท่ีบรรพบรุ ษุ สร้างสมกนั มา และถ่ายถอด ไวป้ น็ มรดกของ เผ่าพันธุ์ อาจกล่าวได้ว่าชาวเขาทั้งหมด ลาหู่เป็นชาวเขาที่สม่�ำเสมอ ในขนบธรรมเนียมประเพณีทาง ศาสนาของตนเองมากท่ีสุด คนลาหู่จะเช่ือฟังค�ำสั่งสอน ของผู้น�ำศาสนา มีการไปชุมนุมกันที่หอแหย่ ทกุ วนั ขนึ้ และแรม ๑๕ คำ�่ เพอ่ื การทำ� พธิ กี รรมทางศาสนา เนอ่ื งจากเปน็ วนั ศลี มกี ารรดนำ�้ เพอื่ ลา้ งบาป ในตอนเย็น และตอนค�่ำกจ็ ะมกี ารเตน้ รำ� กันอย่างสนุกสนาน

128 ชนตา่ งวฒั นธรรมในประเทศไทย พธิ ฉี ลองปีใหม่ ภาษาลาหู่ (ลาห)ู่ เรยี กวา่ ประเพณเี ขาะเจา๊ เว มคี วามหมายในภาษาไทยแปลวา่ ปใี หมก่ ารกนิ วอ พธี ีฉลองปใี หมข่ องลาหู่ ไม่มีการกำ� หนดการเฉพาะเจาะจงแน่นอน จะเลือกเวลาท่สี มาชกิ ส่วนใหญ่อยู่ และเสรจ็ สน้ิ ภาระกจิ การทำ� งานทำ� ไร่ ทำ� สวน จากการเกบ็ เกย่ี วพชื ผลแลว้ อาจเปน็ ชว่ งเดอื นกมุ ภาพนั ธ์ มีนาคม หรือเมษายน ของแต่ละปีก็ได้ อีกทั้งทุกหมู่บ้านก็ไม่จ�ำเป็นต้องจัดฉลองปีใหม่พร้อมกัน เพราะแต่ละหมู่บ้านจะมีความพร้อมไม่ตรงกัน เมื่อถึงช่วงฉลองปีใหม่ สมาชิกของหมู่บ้านที่ไปท�ำงาน อยู่ห่างไกลจะเดินทางกลับมาร่วมงานฉลองปีใหม่ มีการฆ่าหมูด�ำ เพื่อน�ำเนื้อหมู และหัวหมูสังเวยต่อ เทพเจ้า อื่อชา ลาหู่นับถือมาก ต่อจากนั้น ก็จะน�ำเนื้อหมูมาปรุงเป็นอาหารเล้ียงกันอย่างสมบูรณ์ ในเทศกาลปีใหม่นี้ ชาวลาหู่ (ลาหู่) จะน�ำข้าวเหนียวนึ่งมาต�ำเสร็จ แล้วจะปั้นเป็นก้อนกลม เรียกว่า “ออ่ ผุ” หรือข้าวปุ๊ก จะนำ� ไปใช้เปน็ เคร่ืองถวายตอ่ เทพเจ้าอ่ือซา๕ ต้นวอ พิธีฉลองปใี หม่ของชาวลาหู่ (ลาหู่) มีเวลาปใี หมน่ านถงึ ๑๒ วนั โดยจะแบง่ การฉลองปี ใหม่ออกเป็นสองช่วง ช่วงแรก เป็นการฉลองปีใหม่ของผู้หญิง เรียกว่า “เขาะหลวง” หรือ “ปีใหญ่” มรี ะยะเวลา ๖ วนั ชว่ งทสี่ อง เปน็ การฉลองปใี หมข่ องผชู้ าย เรยี กวา่ “เขาะนอ้ ย” หรอื “ปเี ลก็ ” มรี ะยะ เวลา ๖ วัน ระหวา่ งช่วงแรกกบั ช่วงทีส่ องจะมหี ยดุ พกั ๑-๒ วัน ในหลังจากสองวนั น้แี ลว้ กลางคืนจะมี การเตน้ รำ� ทุก ๆ คืน ลาหู่เรียกวา่ “กา่ เคาะเว” ต้ังแตห่ วั ค�่ำไปจนกระท้งั รงุ่ สางไก่ขนั กลางวันชาย – หญงิ ลาหู่ (ลาห)ู่ จะมกี ารละเลน่ ทแ่ี ตกตา่ งกนั โดยผชู้ ายจะเลน่ ขวา้ งลกู ขา่ ง สว่ นผหู้ ญงิ จะเลน่ ลกู สะบา้ กนั และการเล่นโยนลูกบอลกลมขนาดเท่าก�ำปั้นมือ ลูกบอลน้ี ท�ำโดยใช้ผ้าเย็บห่อข้างในก็จะเป็นแกลบ หรือร�ำข้าว สาเหตทุ ีต่ อ้ งมกี ารฉลองปีใหมแ่ ยกกันระหวา่ งชายและหญิงนน้ั มผี เู้ ฒา่ อธบิ ายว่าสมยั กอ่ น นานมาแล้ว พวกผู้ชายชาวลาหู่ (ลาหู่) ต้องออกไปปฏิบัติภาระกิจนอกหมู่บ้านเป็นเวลานาน เช่น ไปสงคราม ไปค้าขาย ไปล่าสัตว์ในป่า จึงท�ำให้กลับมาร่วมฉลองปีใหม่ไม่ทัน บรรดาผู้หญิงท่ีอยู่ใน หม่บู ้าน จึงจดั งานฉลองปีใหมก่ นั กอ่ น เมือ่ พวกผชู้ ายกลบั มาถงึ ปใี หมก่ ็เสร็จพอดี เลยบรรดาผชู้ ายจัด งานฉลองปใี หม่กันอีกทหี ลัง ปัจจุบันพบว่าชาวลาหู่ (ลาหู่) ยังจัดฉลองปีใหม่เป็นสองช่วง คือเขาะหลวง และเขาะน้อย เหมือนสมัยก่อน แต่ท้ังเพศชาย และเพศหญิงจะเข้าร่วมฉลองเทศกาลทั้งสองช่วงด้วยกัน ท้ังน้ีเป็น เพราะพวกผูช้ าย และผหู้ ญงิ ตา่ งท�ำงานอยูใ่ กล้กนั ซงึ่ สามารถทราบขา่ ววันเรม่ิ ฉลองปใี หม่ของหมบู่ ้าน และชวนกันมาร่วมฉลองเทศกาลปีใหม่พร้อมกันได้ โดยช่วงแรกปีใหม่จะมีความสนุกสนานคึกคักมาก แตล่ ะคนมคี วามกระตอื รอื รน้ ทจี่ ะเขา้ มารว่ มกจิ กรรมตา่ ง ๆ ชว่ งหลงั แตล่ ะคนเรม่ิ เหนอ่ื ยลา้ ลง คนรว่ ม งานอาจจะนอ้ ยลงไป ๕ ศภุ ชยั สถรี ศลิ ปนิ . มเู ซอ. ขา่ วสารศนู ยว์ จิ ยั ชาวเขา ๕,๔ (ตลุ าคม-ธนั วาคม ๒๕๒๗), หนา้ ๑๔-๑๗

ลาหู่ (มเู ซอ) Lahu 129 พิธีวันศลี วันศลี ของชาวลาหู่จะตรงกับวนั ขน้ึ ๑๕ คำ่� และแรม ๑๕ ค่�ำ แตว่ นั ศลี ในช่วงปีใหม่จะตรงวนั ท่ีสามของปีใหม่ จะต้องงดการกินเน้ือสัตว์ การฆ่าสัตว์ การดื่มเหล้าในเมื่อวันศีล พวกเขามีความเช่ือ ว่าเป็นวันพักผ่อนของพวกเขา ตอนเย็นของวันศีลจะมีพิธีรดน�้ำด�ำหัวผู้เฒ่าผู้แก่ แล้วโตโบจะกล่าว อวยพรทกุ ๆ คน ดกึ ๆ ค่ำ� คนื จะมกี ารประกอบพธิ ใี นหอแหย่ (โบสถ์) แลว้ เตน้ ร�ำตีกลองและเป่าแคน กันอย่างสนกุ สนานตอ่ หน้าต้นวอ ประเพณีก่อทราย ประเพณีแซก่อนี้มีมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษปฏิบัติมา และสืบทอดต่อ ๆ กันมาจนถึงปัจจุบัน ชนเผ่าละหู่ที่นับถือพุทธ (ผี) ซึ่งแซก่อ ตรงกับวันท่ี ๑๔ เมษายนของทุกปี และเป็นวันสงกรานต์ไทย ชนเผา่ ลาหจู่ ะมปี ระเพณแี ซกอ่ เปน็ ประเพณที ป่ี ฏบิ ตั เิ พอื่ เปน็ การอทุ ศิ สว่ นกศุ ล ใหก้ บั สงิ่ ทล่ี ว่ งลบั ทท่ี ำ� ไปแล้วในการประกอบอาชีพ ท�ำไร่ ท�ำสวนโดยท่ีฆ่าสัตว์โดยตั้งใจ หรือไม่ต้ังใจ เช่ือว่าท�ำพิธีกรรมแซ กอ่ แลว้ จะทำ� ให้ไม่มีบาป แล้วอาชีพการทำ� ไร่ ทำ� สวน ผลผลิตจะได้ดี และชีวิตการเปน็ อยเู่ ยน็ เปน็ สขุ การเตรยี มสง่ิ ของทจี่ ะไปประกอบพธิ กี รรมแซกอ่ แตล่ ะบา้ นจะตอ้ งจดั หาดอกไมส้ วย ๆ นำ� มาใสก่ ระบอก ไมไ้ ผ่เพ่ือทีจ่ ะน�ำมาท�ำพธิ ีกรรม เชน่ เตรียมเมลด็ พชื ขา้ ว ข้าวโพด พรกิ เตรยี มทราย เตรียมเทียนไขน้ี ไปเก็บไว้ ณ จดุ ทเ่ี คารพ ชาวบ้านก็จะมาพร้อมกัน ณ จุดศูนย์รวมของหมู่บ้านเพื่อที่จะช่วยการท�ำพิธีกรรมแซก่อ หรือทรายก่อ เตรยี มขุดหลุมเล็ก ๆ ไวเ้ พอ่ื ทจี่ ะใส่เสาดอกไมล้ ง นำ� ดอกไม้มาประดบั จุดท่ที �ำพิธีกรรมแซกอ่ น�ำดอกไม้มาเพื่อที่จะประกอบพิธีกรรมให้สมบูรณ์แบบ น�ำสิ่งของเพาะปลูกมาไว้จุดท่ีท�ำพิธีกรรม เช่น เมล็ดข้าว ข้าวโพด พริก ชาวบ้านจุดเทียนเพื่อ จะประกอบพิธีขอขมาสัตว์ที่ตายไปในการท�ำไร่ ท�ำสวน ชาวบ้านท�ำเคร่ืองมืออุปกรณ์ ในการประกอบพิธีกรรม สร้างเสร็จแล้วเริ่มท�ำพิธีกรรมขอขมา สงิ่ ต่าง ๆ ในการท�ำไร่ เชน่ สัตว์ ทำ� พิธกี รรมจะตอ้ งมีพ่อหมอ หรือผเู้ ฒ่า ผู้แก่ในหมูบ่ า้ นท่สี ามารถอ่าน บทสวด เพอ่ื อุทศิ สว่ นกุศล ขอขมาตอ่ สัตวต์ า่ ง ๆ ท่โี ดนฆ่าตายในการทำ� ไร่ ทำ� สวนแล้ว สวดว่าขอให้ได้ ผลผลติ สงู เจรญิ งอกงาม ออกเมลด็ เหมอื นเมลด็ ทราย และสวดวา่ ขอใหช้ าวบา้ นทกุ หลงั คาเรอื นอยเู่ ยน็ เปน็ สขุ หลงั จากเสรจ็ พธิ กี รรม ชาวบา้ นเกบ็ เมลด็ พชื ทที่ ำ� พธิ กี รรม จะนำ� มาไวจ้ ดุ ทศี่ กั ดสิ์ ทิ ธใ์ิ นบา้ น การแตง่ กาย กลุ่มท่ี ๑ ๑. ลาหู่ย่ี และลาหนู่ ะ

130 ชนตา่ งวฒั นธรรมในประเทศไทย ชายจะใสเ่ สอ้ื สดี ำ� ทำ� ดว้ ยฝา้ ยสงู เลยเอวขน้ึ มา ใสเ่ สอ้ื ไมต่ ดิ กระดมุ กางเกงจะมลี กั ษณะเหมอื น กบั กางเกงใส่นอนตวั ใหญข่ ายาวเลยเขา่ มีผา้ คาดเอว๖ หญงิ จะน่งุ โสรง่ เส้อื สดี �ำมีแผน่ เงนิ กลม ๆ ผูกติดกบั เส้อื บรเิ วณชายเสื้อและขอบกระโปรงจะมี แถบผา้ สีแดง ขาว หรอื สีสันเปน็ ผืนเยบ็ ติดเขา้ ด้วยกนั ๒. ลาหเู่ ซเล ชายจะสวมเสื้อผ้าเหมือนลาฮยู ่ี แตใ่ ช้ผ้าพันขาสดี �ำและสีขาว หญิงจะใส่กระโปรงเสื้อแจ๊กเก็ตยาว มหี ว่ งเงนิ ระหว่างหน้าอก กลุ่มที่ ๒ ๑. ลาห่ยู ี (Lahu Nyi) หรอื ลาฮูยะ (Lahu-ya) ชายตดั ผมสนั้ เสื้อสีด�ำผา่ อกกลางมกี ระดุมโลหะเงินประดับท่ีแขนเส้ือ ขา้ งหน้าและ ขา้ งหลงั เวลาเดินทางมีหนา้ ไม้กับดาบติดตวั ไปดว้ ยเสมอ (บญุ ช่วย ๒๕๐๖, น. ๓๐๑-๓๐๒) หญงิ มแี ถบผา้ สแี ดงเยบ็ บนผา้ สดี ำ� ผา้ นงุ่ มลี ายสขี าวสเี หลอื ง นำ�้ เงนิ เสอื้ แขนยาวทรงกระบอก ตวั เสื้อสั้นเปิดเหน็ พงุ ผา่ อก กลาง ตดิ แถบผา้ สแี ดง ขอบคอใช้กระดมุ เงิน ๒. มูเซอด�ำ หรือ ลาฮูนะ (Lahu Na) คนไทยภาคเหนือและ ไทยใหญ่เรียก มูเซอด�ำ เพราะนิยมแต่งกายด้วยผ้าสีด�ำ ผู้ชายสวมเสื้อด�ำแขนยาว ผ่าอกกลางสั้นแค่บั้นเอว กางเกงจีน สีด�ำ หลวม ๆ ยาวลงไปแคห่ วั เขา่ มผี า้ สดี ำ� ทำ� เปน็ สนบั แขง้ ตดิ ขอบสขี าวตอนลา่ ง โพกศรี ษะดว้ ยผา้ ดำ� ผหู้ ญงิ สวมเสอ้ื ดำ� แขนยาว ตวั เสื้อยาวลงมาคร่ึงนอ่ ง นุ่งกางเกง ผ่าอกกลาง เยบ็ ผา้ สขี าวไว้ขา้ งตน้ คอหนา้ ลง มาถงึ ใตห้ วั ไหล่ โพกศรี ษะ ดว้ ยผา้ ดำ� ยาว ใสส่ นบั แขง้ สดี สาวชาวมเู ซอดำ� มกั จะใสเ่ สอื้ ผา่ อก แมใ้ นหนา้ หนาวก็จะใส่กันแบบนี้ท้ังชายหญิง และชอบประดับด้วยก�ำไลมือ ก�ำไลคออันโต ๆ พวกน้ีใส่ก�ำไลเงิน กันแล้วไม่ค่อยถอด ย่ิงรวยยิ่งใส่หลายอัน ชายมูเซอชอบเที่ยวข้ามถ่ิน และไม่ค่อยรักชอบสาวหมู่บ้าน ตนเอง อาจจะเพราะเคยเห็นกนั มาตั้งแตเ่ ดก็ แลว้ เขามกั จะไปเกย้ี วสาวตามหมบู่ า้ นไกล ๆ โดยวธิ รี ้อง เพลง หรอื เปา่ ใบไมไ้ ผเ่ ปน็ สญั ญาณเรยี กใหผ้ หู้ ญงิ มาหาตน ในตอนกลางคนื กจ็ ะเรยี กครู่ กั มา และพาไป หลับนอนในป่า แล้วก็จะมีการสู่ขอ โดยฝ่ายชายจะให้ไก่ หรือหมูมาแลกกับเจ้าสาว พิธีแต่งงานคือ บา่ วสาวน่ังคู่กนั ผใู้ หญ่จะมัดมือทงั้ คู่ แปลว่าใหอ้ ยดู่ ว้ ยกนั ตลอดไป ๖ โสฬส ศริ ไิ สย.์ สารานกุ รมกลมุ่ ชาตพิ นั ธล์ุ าฮ.ู (กรงุ เทพฯ : บรษิ ทั สหธรรมกิ จำ�กดั , ๒๕๓๙). น. ๒๒

ลาหู่ (มเู ซอ) Lahu 131 ๓. มูเซอชิ (Lahu Shi) หรือ มูเซอกุย (Mussuh Kwi) หรือมูเซอเหลือง มี ๒ เชื้อสายคือ เชอ้ื สาย บาเกียว (Ba Kio) และบาลาน (Ba Lan) ผูห้ ญิงแตง่ กาย ๒ แบบ คือ ในเวลาปกตสิ วมเสอื้ ด�ำ หรอื ขาว ตดิ แถบสีแดง นุง่ ผ้า ซนิ่ สดี ำ� ติดแถบผ้าสีขาวท้งั ขา้ งบนและลา่ ง โพกผา้ สีดำ� และขาว อกี แบบ หนงึ่ แตง่ กายคลา้ ยลซี อ ผชู้ ายเดมิ นยิ มโกนผม เวน้ ไวห้ ยอ่ มเดยี วตรงกลาง แลว้ ผกู ปลายผมดว้ ยเสน้ ดา้ ย หรือถักเปีย โพกศีรษะด้วยผ้าสีด�ำ สีขาว สวมเส้ือสีด�ำผ่าอก กลางมีกระดุมโลหะเงิน กางเกงแบบจีน หลวม ๆ สีฟา้ ๔. มูเซอเชเล (Lahu Shehleh) หรอื ลาฮนู าเมยี้ ว (Lahu Na-Muey) ผ้หู ญิงสวมเสื้อดำ� ยาว ลงมาถงึ ขอ้ เทา้ ผา่ อกขา้ งประดบั โลหะเงนิ หลายแถว พาดไขวล้ งมาถงึ ใตร้ กั แร้ รมิ ผา้ มสี เี หลอื ง ขาว แดง แขนเสื้อหลวม ๆ โพกศรี ษะผ้าด�ำ มหี ว่ งคอและกำ� ไล ส่วนผู้ชาย แตง่ กายเหมอื นชาวเขาเผ่าอนื่ การแต่งกายของมเู ซอดำ� และมูเซอแดงคล้าย ๆ กนั ตา่ งกันทีม่ เู ซอแดง ชอบขลิบชายแขนเส้ือ บา่ ชายเอว ดว้ ยผ้าสีแดงสด ภาษาท่พี ูดก็คล้ายกันมาก พวกนีม้ คี วามเช่ือแปลก ๆ เช่น บางคนเชื่อว่า ถา้ ใครไดย้ นิ เสยี งเขยี ดรอ้ งตวั เขาจะตอ้ งตาย บางคนถอื ไมย่ อมนอนคา้ งในทรี่ าบ ตอ้ งขน้ึ ไปนอนบนเขา การประกอบอาชพี ลักษณะทางเศรษฐกิจ : ขึน้ อยกู่ บั การท�ำไรบ่ นภูเขาโดยปลูกขา้ วไร่ และข้าวโพดเป็นพืชหลกั นอกจากน้นั ก็มแี ตง พรกิ ถว่ั ฯลฯ เพ่ือใช้บรโิ ภค บางหมูบ่ ้านปลูกฝ่นิ เป็นพืชเศรษฐกิจมกี ารเล้ียงสัตว์ เชน่ หมู ไก่ ววั ความ ม้า เพอ่ื ใช้ในพธิ ีกรรม ใชแ้ รงงาน และเพือ่ จำ� หนา่ ย ระบบเศรษฐกิจ ระบบเศรษฐกิจของมูเซอ พึ่งพาการเกษตรเป็นส่วนใหญ่ โดยการท�ำไร่ เลือ่ นลอย โดยใชเ้ วลาไรล่ ะ ๓ ปี จากนั้นจะย้ายไป หาแหลง่ อืน่ ใหม่ พืชท่ีปลกู ได้แก่ แตง ฟักทอง ถ่วั ขา้ วฟา่ ง แตงกวา กลว้ ย และพรกิ สตั ว์เล้ยี งท่สี �ำคญั ไดแ้ ก่ ไก่ และ หมู บางหมู่บ้านอาจมมี ้าไว้บรรทุก ของ มเู ซอมีความช�ำนาญในการลา่ สตั วม์ าก ผทู้ ีล่ ่าสตั วเ์ ก่งจะไดร้ ับการยก หรือรจู้ ักในนาม Supreme Hunter ชาวมเู ซอติดต่อคา้ ขายกับคนพนื้ ราบ สนิ ค้าทมี่ ูเซอตอ้ ง การได้แก่เกลือ ขา้ ว ผา้ เหล็ก ไฟฉาย ยารักษาโรค เป็นต้น สินค้าที่ชาวมูเซอน�ำมาขาย ได้แก่ พริก ฝิ่น เน้ือสัตว์ตากแห้ง ของป่า เป็นต้น ปจั จุบนั นห้ี า้ มปลกู ฝ่ิน ถอื ว่าฝิ่นเปน็ สง่ิ ผดิ กฎหมาย ๑. การทำ� ไร่ การท�ำไร่เป็นอาชีพหลักของชาวลาหู่ ซ่ึงถ้าเทียบกับอาชีพอื่นแล้ว ชาวลาหู่จะท�ำไร่กันมาก ที่สุด เพราะพ้ืนท่ีในสมัยก่อนดี มีความอุดมสมบูรณ์ โดยชาวบ้านจะท�ำไร่แบบหมุนเวียน คือที่หน่ึง ปลกู ข้าว อกี ทห่ี นึง่ ปลกู ข้าวโพด และอกี ท่ีหนึง่ อาจปลูกของกนิ ต่าง ๆ เช่น มะเขอื พรกิ ผักชี ตน้ หอม ปีนีป้ ลกู ขา้ วทีน่ ี่ ปีหน้าย้ายไปปลูกท่ปี ลูกขา้ วโพด และขา้ วโพดกม็ าปลกู ทปี่ ลูกขา้ วสลับกันไป ชาวบา้ น

132 ชนต่างวัฒนธรรมในประเทศไทย ส่วนมากจะปลูกไว้กินเอง และท่ีเหลือก็เอาไปขาย หรือไม่ก็แบ่งปันให้กับเพ่ือนบ้านท่ีอดอยากกว่า และเวลาไหน หรือปีไหนท่ีเราไม่พอกินก็จะขอแบ่งจากคนอื่น (ถือเป็นการแลกเปล่ียนสินค้า) เหมือน เป็นการยืมกันก่อน แล้วปีหน้าเราค่อยใช้คืนให้กับเขาในไร่ นอกจากมีต้นข้าวท่ีอุดมสมบูรณ์แล้ว ชาวบ้านยังมีการปลูกพืชต่าง ๆ โดยจะปลูกรวมกับข้าว เช่น ทานตะวัน แตงโม แตงกวา และยังมี การปลกู ไว้ทอ่ี ื่นโดยเลือกทที่ อี่ ุดมสมบูรณ์ โดยจะปลกู เอาไวไ้ ม่ค่อยหา่ งจากไร่ ได้แก่ ฟกั ทอง เผอื ก มัน ผักชี และตน้ หอม ถว่ั ฝักยาว เป็นตน้ วธิ ีการทำ� ไรข่ า้ ว หลงั จากเลอื กท�ำเลในการทำ� ไร่ข้าวแล้ว จะทำ� การถางปา่ ใหห้ มด แลว้ รอให้แหง้ หลงั จากนั้น จึงค่อยเผาให้หมด เพราะมีความเช่ือว่าหลังจากเผาป่าแล้ว ดินจะอุดมสมบูรณ์ และเม่ือฝนตกก็เริ่มมี การทำ� การเพาะปลกู เอาเสียมที่ทำ� จากไมย้ าว ๆ เจาะเป็นรูจากนน้ั ให้ผ้หู ญิงใส่เมล็ดขา้ วลงไป ถา้ หญา้ สงู ระดบั ฝา่ มอื หวั เขา่ หรอื เอวกถ็ อนหญา้ ออกไป เมอื่ ขา้ วเจรญิ เตบิ โตเตม็ ทพี่ รอ้ มทจี่ ะเกบ็ เกยี่ วได้ กเ็ อา เคียวเกีย่ วข้าว หลงั จากนน้ั มัดเปน็ เครอื ใหญ่ ๆ และตากท้งิ ไว้ พอแห้งแล้วกก็ องไวเ้ ปน็ จุด ๆ และเอา ไมไ้ ปตี พอไดผ้ ลผลติ มาก็จะน�ำไปเกบ็ ไว้ในยงุ้ ข้าวทที่ �ำไว้ การเหลอื พ้นื ที่ท�ำไร่ การเลือกพื้นท่ีส�ำหรับท�ำไร่ ชาวลาหู่มีความเช่ือว่า จะต้องขุดหลุม เอาดินออกมาแล้ววางไว้ ขา้ งแลว้ นง่ั อธษิ ฐานเสรจ็ แลว้ เอาดนิ กลบลงในหลมุ เหมอื นเดมิ แลว้ กลบั ไปบา้ น วนั ตอ่ มาดหู ลมุ ทก่ี ลบ ดนิ ว่า จะเต็มหรอื ไม่ หากหลดุ ดนิ เต็มแสดงวา่ ปีนี้จะไดผ้ ลผลิตเยอะอดุ มสมบูรณ์ จะพอกนิ ในรอบป้นี ี้ แตถ่ า้ ดนิ ไมเ่ ตม็ หลมุ ก็ หมายถงึ วา่ ผลผลติ ปนี กี้ จ็ ะไมส่ มบรู ณเ์ ทา่ ทคี่ วร หรอื ผลผลติ อาจจะไดไ้ มเ่ ตม็ เมด็ เตม็ หนว่ ย การจองพืน้ ท่ี เอาไมป้ กั ไว้ ถอื วา่ เปน็ การจองพนื้ ทนี่ ี้ เปน็ การประกาศวา่ พนื้ ทผ่ี นื นมี้ คี นจองแลว้ นอกจากนน้ั ยงั เป็นการขอเจา้ ท่ีเจา้ ทาง ชว่ ยสอดส่องดแู ลภายในไร่ ให้พืชพนั ธุใ์ นไร่มีความอุดมสมบรู ณ์ ปราศจาก สิง่ รบกวนเช่นแมลงต่าง ๆ ถ้าทดี่ ินที่ถางหญา้ ไวน้ ดิ นงึ น้นั มตี วั “ลง้ิ ” มาขุดหลุมไว้ แสดงว่าพนื้ ทนี่ เ้ี อา ไมไ่ ดจ้ ะ ตอ้ งมกี ารยา้ ยทท่ี ำ� กนิ ถา้ ไมย่ า้ ยไปเจา้ ของไรอ่ าจจะอายสุ น้ั ได้ แลว้ เปน็ สตั วช์ นดิ อน่ื ๆ ไมเ่ ปน็ ไร อุปสรรค์ในการท�ำไร่ การท�ำไร่ในสมัยก่อนของชาวลาหู่ จะเป็นการท�ำไร่แบบเป็นกลุ่ม ภาษาชาวบ้านเรียกว่า “เอามอื้ ” จะเปน็ การชว่ ยเหลอื ซงึ่ กนั และกนั ระหวา่ งเครอื ญาติ และทกุ คนในหมบู่ า้ น และในสมยั กอ่ น สัตว์ป่าก็มีเยอะ สัตว์ป่าเหล่านี้จะเข้ามากินข้าว เผือก มันส�ำปะหลัง หรือก่อความวุ่นวายในไร่ของ

ลาหู่ (มูเซอ) Lahu 133 ชาวบ้าน เช่น หมูป่า เป็นต้น จึงมีความส�ำคัญอย่างยิ่งท่ีชาวบ้านต้องอยู่เฝ้าไร่ของตน เพื่อให้พ้นจาก การกอ่ ความวุ่นวายของสัตว์ปา่ เหลา่ น้ี เรอื่ งระยะทางในการเดนิ ทาง เพราะวา่ คนในสมัยกอ่ นจะทำ� ไร่ ในท่ีไกล ๆ จึงต้องใช้เวลามากในการเดินทางแต่ละครั้ง เรื่องน้ีก็เป็นอุปสรรคกับชาวบ้านอยู่บ้าง แตช่ าวบ้านกห็ าทางออก โดยการไปนอนค้างคืนทไ่ี ร่ โดยในไรช่ าวบา้ นจะทำ� กระตอ๊ บไว้ หรือจะมกี าร สรา้ งบา้ นจนกลายเปน็ หมู่บา้ นกม็ ี ๒. การล่าสัตว์ ชาวเผ่าลาหู่เรียกว่าเป็น “นายพราน” หรือ “นักล่า” เพราะในสมัยก่อนมีต�ำนานเล่าว่ามี ผู้เก่งกล้าคนหนึ่งสามารถเสกของให้เล็กได้ วันหน่ึงผู้เก่งกล้าคนนี้ ไปล่าสัตว์ และได้กวางตัวเมียมา แต่ไม่มีท่ีใส่ พอดีเห็นกระรอกวิ่งไปวิ่งมา ก็เลยยิงกระรอก และถลกเอาหนังออกมา จากน้ันก็เสก เนอ้ื กวางให้เล็กลง และเอามาใส่ไวใ้ นหนงั กระรอกแทน แลว้ สงั่ ใหล้ กู นอ้ งน�ำกลับไปบ้าน แตล่ กู น้องไม่ เช่อื ว่าผเู้ ก่งกลา้ สามารถทำ� ไดแ้ คก่ ระรอกตัวเล็ก จึงแกะออกดู มีเน้อื กวางออกเลยกองเต็มพนื้ ใสย่ งั ไง ก็ใส่คนื ไม่ได้ ผูเ้ ก่งกล้ามาเสกเนอื้ กวางเขา้ ในหนังกระรอกใหอ้ กี ครง้ั เมอ่ื กลบั มาถึงในหมู่บ้านแล้วต้อง แบ่งเนือ้ ใหก้ บั ชาวบา้ นกนิ ท่ีแบ่งเนอื้ ให้กบั ชาวบา้ นนี้ ถือวา่ เป็นนำ�้ หนงึ่ ใจเดยี วกับคนในหมบู่ ้าน กับดักสตั ว์ ๑) เหา๊ แต เว เป็นกับดักที่ใช้กบั สตั วป์ ระเภทใหญ่ เชน่ หมูปา่ กวาง เสอื ฯลฯ ลกั ษณะของ กับดักนี้ จะเป็นแบบที่เมื่อสตั ว์เดนิ มาโดนเชือกไม้ทเ่ี หลาไวแ้ หลม ๆ ก็จะพงุ่ มาเสียบตัวของสัตว์ท�ำให้ สัตว์ตายในท่ีสุด ชาวลาหู่จะนิยมท�ำกับดักนี้ไว้ตาม ข้างทางท่ีเป็นทางเดินของสัตว์ หรือท�ำเม่ือได้เห็น รอยเท้าของสัตว์ ชาวบ้านจะรู้เลยว่า สัตว์ต้องเดินมาทางน้ีอีก ชาวบ้านก็จะท�ำกับดักนี้ไว้ และสัตว์ ประเภทเก้ง ชาวลาหู่มีความเช่ือว่า สัตว์ชนิดน้ีจะไปไหนมาไหนก็จะเดินกันเป็นแถว หลายตัว จะไม่ แตกแถว เพราะสัตวช์ นดิ นก้ี ลวั จะไปเหยยี บใส่กง้ิ กอื เวลาทเ่ี ดนิ เป็นความเชื่อของลาหู่ท่ีมีมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ฉะน้ัน ลาหู่จึงนิยมท�ำกับดักน้ีไว้ตามทาง เดินของสัตว์ โดยจะน�ำไม้เฮ้ยมาเหลาปลายให้แหลม ๆ แล้วเอาเชือกดึงไว้ตัวไม้จะเล็งไว้บริเวณท้อง หรือตรงจุดของหัวใจ แล้วจะมีเชือกดึงขวางทางเดินของสัตว์เอาไว้ เม่ือสัตว์เดินมาแล้วไปเหยียบโดน เชือกไม้แหลม ๆ ก็จะพงุ่ มาอยา่ งแรง ทำ� ใหส้ ัตวต์ าย ๒) แฮ้-งวะ-วา กับดักไก่ป่า สามารถดักได้ทุกช่วงเวลา จะใช้ดักเฉพาะสัตว์ปีกที่หากินตาม พื้นดินเท่านั้น เช่น ไก่ป่า เป็นต้น ส่วนวิธีการดัก ก็ไม่ยาก โดยก่อนท่ีจะท�ำกับดัก ต้องไปดายหญ้า ไปเป็นแถว แล้วเอาหญ้าที่ดายมาปิดข้าง ๆ ท้ังสองฝั่ง แต่ต้องเว้นท่ีไว้ส�ำหรับจะวางกับดัก เว้นช่อง กับดัก และยังเป็นช่องทางเปิดให้สัตว์เดินไปยังกับดัก ส่วนตัวเลาะจูจะท�ำมาจากไม้ ไผ่ที่เหลาไว้ เรียบรอ้ ยแล้ว จะมลี ักษณะโคง้ มัดตดิ กนั แลว้ เอาเชือก หรอื เถาวลั ย์ มาคล้องเป็นวงกลม และจะมีไม้

๑๓๔ ชนต่างวฒั นธรรมในประเทศไทย ท่ตี อ้ งใช้คูก่ ับตวั เลาะจู เปน็ ไม้เล็ก ยาวประมาณ ๑ เมตร และจะเอาไมเ้ สียบกับพื้นใหแ้ น่น แลว้ มดั ตัว เลาะจู ตรงปลายของไม้ จากน้ันก็งอไม้ใหโ้ ค้งลงมายงั พน้ื ดนิ และก็ทำ� ตะขอ รอ็ กเอาไว้ และทำ� หว่ งให้ มีขนาดพอท่ีหัว จะเข้าไปได้ ห่วงจะอยู่ในระดับเดียวกันกับหัว เวลาเดินมา หัวก็จะไปคล้องกับห่วงท่ี ท�ำไว้ และนกก็จะเดนิ ไปเรือ่ ย ๆ โดยคดิ จะใหห้ ลุด ออกจากห่วงแตห่ ารู้ไม่ว่า เมื่อตะขอหลดุ ไม้ทีป่ ักไว้ จะเด้งขนึ้ หัวกจ็ ะติดไปกบั ห่วง และจะติดอยู่กลางอากาศกับไม้นนั้ ๓) หวะ แก๊ะ แน๊ะ ที่ดักนกเป็นกับดักท่ีชาวลาหู่ท�ำข้ึนเพ่ือใช้ดักนกต่าง ๆ โดยจะใช้แมลง เป็นเหย่อื ลอ่ ใหน้ กมาติดกบั ดกั แมลงท่ีใช้ ได้แก่ แมลงเม่า (วปุฝ่าย) ดกั แด้ (วารว์ ปมุ า) แมลงเหลา่ น้จี ะ ออกเป็นฤดู ฉะน้ันการดักนก ส่วนมากจะดักช่วงท่ีมีแมลงเหล่าน้ี แต่บางคนก็สามารถเก็บแมลงไว้ดัก หลายวนั หรอื เปน็ เดอื นโดยเกบ็ ไวใ้ นกระบอกไมไ้ ผท่ ย่ี งั หนมุ่ หมน่ั เปลย่ี นบอ่ ย ๆ กส็ ามารถทจ่ี ะเกบ็ เอา ไว้ได้นาน วิธการดักก็น�ำแมลงมาติดไว้กับตัวกับดักท่ีท�ำไว้ แมลงก็จะดิ้น เม่ือนกเห็นแมลงดิ้นก็จะเข้า มากนิ แมลง และนกกจ็ ะตดิ อยทู่ ก่ี บั ดกั สว่ นมากจะตดิ บรเิ วณคอ หรอื บางตวั กต็ ดิ บรเิ วณขา การดกั โดย ใชแ้ มลงเมา่ จะนยิ มดกั ตอนเชา้ ตรู่ โดยจะไปดกั ไวต้ ามทาง แลว้ รออยขู่ า้ ง ๆ กบั ดกั ชนดิ นม้ี ขี นาดเลก็ เอา ไปไหนมาไหนไดส้ ะดวกจงึ ดกั ไดท้ ลี ะ ๒๐-๓๐ อนั สว่ นการดกั โดยใชด้ กั แด้ จะนยิ มดกั เวลาไปไรไ่ ปสวน โดยจะดกั ไวข้ า้ ง ๆ ทาง หรอื ตามแมน่ ำ้� ทร่ี ม่ ๆ เมอื่ ถงึ เวลาขา้ วเทย่ี งกจ็ ะมาดถู า้ ไดน้ กกจ็ ะนำ� ไปประกอบ อาหาร และจะท�ำการเปลี่ยนดักแด้ไว้ แล้วจะไปดูอีกรอบตอนเย็นก่อนท่ีจะกลับบ้าน การดักโดยใช้ ดกั แดจ้ ึงสามารถดักได้หลายวัน ๔) หวะ ก๊ะ นุ กับดกั นกขนาดใหญ่ เป็นกบั ดกั ท่ใี ชด้ กั เฉพาะนกทีม่ ีขนาดใหญ่ นยิ มดักไว้บน ต้นไม้ กบั ดกั ชนดิ นจ้ี ะดกั ช่วงทม่ี ผี ลไม้ ชาวลาหู่เรียกผลไม้นว้ี ่า อะ๊ นะกะสือ่ เป็นผลไม้ทม่ี ีขนาดเท่าไข่ มีสีแดงเป็นผลไม้ที่นกชอบกินวิธีการดักก็จะน�ำผลไม้ชนิดนี้ไปวางไว้ข้างในกับดักที่ท�ำไว้ เม่ือนกเห็นก็ จะเข้ามากินผลไม้ ทันทีที่นกเหยียบโดนเชือกที่ท�ำไว้ ไม้กับดักก็จะลงมาทับคอหรือล�ำตัวของนก และจะหนีบเอาไว้ นกก็จะตาย กับดักนี้นอกจากจะใช้ดักนกบนต้นไม้แล้วยังสามารถดักหนูกระรอก หรอื สตั วต์ า่ ง ๆ ทหี่ ากนิ ตามพนื้ ดนิ โดยจะดกั ไวต้ ามพน้ื ดนิ ทคี่ ดิ วา่ เปน็ ทห่ี ากนิ ของสตั วเ์ หลา่ น้ี หรอื ดกั ตามทางเดนิ ของสัตว์ ๕) หวะ แต เต เว) สัตว์ท่ีชอบหากินตามกอไผ่ ท�ำไว้บริเวณกอไผ่ทางหากินของสัตว์ต่าง ๆ โดยจะใชท้ อ่ นไมท้ มี่ ขี นาดใหญพ่ อสมควรมาดกั ไว้ วธิ กี ารดกั กจ็ ะเปน็ แบบยกปลายไมใ้ หส้ งู ขน้ึ แลว้ ลอ็ ค ไว้ข้างบน และข้างล่างจะมีการท�ำเป็นร่อง และ เอากระดูกของสัตว์เป็นเหยื่อมาวางไว้ข้างในท่ีเป็น รอ่ ง ๆ เวลาสตั วม์ า กจ็ ะเห็นกระดกู แล้วจะเข้ามากินกระดกู จนเหยียบกับดกั ไมท้ อ่ นใหญ่กจ็ ะตกลง มาทบั สตั วต์ ัวน้ันกจ็ ะทำ� ให้สตั ว์ตาย

บทท่ี ๗ ลซี อ ตระกูลภาษาจีน-ทิเบต ตระกูลภาษาย่อยทิเบต-พม่า (Tibeto-Burman) สาขาพม่า-โลโล Synonyms : Li-shaw, Li-hsaw, Lisaw, Liso, Lu-tzu, Yaoyen, Yaw-yen, Yawyin, Yeh-jen ลซี อ อาศยั อยใู่ น ๙ จังหวัดทางภาคเหนอื ๑ ประวตั ิความเป็นมา ศึกษาถิ่นก�ำเนิดเดิมของชาวลีซอโดยดูจากภาษาและการกระจายตัวของภาษา รวมไปถึง ประวตั ศิ าสตร์การอพยพแล้ว นักวิจยั สว่ นใหญแ่ ละชาวลีซอเองเช่ือว่า ถ่นิ ก�ำเนดิ เหนอื สุดของชาวลซี อ ไดแ้ กบ่ รเิ วณตะวนั ออกของทรี่ าบสงู ทเิ บต แตถ่ า้ จะใชห้ ลกั ฐานทางการกระจายตวั ของกลมุ่ ชนลซี อแลว้ ลซี อมถี นิ่ กำ� เนดิ เดมิ อยทู่ างตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ของยนู นาน จากประวตั ศิ าสตรข์ องยนู นาน ลซี ออาศยั อยู่ท่ีน้ันตั้งแต่ประมาณ ๒๐๐ ปีก่อนคริสตกาลแล้วนอกจากน้ี ราวปี ค.ศ ๖๘๕ Fan ch’ o ได้เขียน หนงั สอื ชอื่ Man shu (Book of the Sorthern Barbarians) ใหค้ วามรวู้ า่ มชี าวลซี ออาศยั อยทู่ บี่ รเิ วณ รอยต่อ ระหวา่ งยูนนานรอยต่อ ระหวา่ งยูนนาน - ไกวเจา - เสฉวนในสมัยนัน้ ๒ ปัจจุบันมีชาวลีซออยู่ในมณฑลยูนานของจีน บริเวณปลายสุดด้านตะวันออกของอินเดีย ทางเหนือของพม่า และทางเหนอื ของไทย การอพยพจากถิน่ กำ� เนิดเดมิ ลงมาทางใต้ของชาวลซี อ เกิดข้ึนจากการถูกกดดนั ทางการเมอื ง และการปกครองของจนี ปญั หาขอ้ ขดั แยง้ ระหวา่ งชาวลซี อและฝา่ ยปกครองของจนี มมี าตงั้ แตศ่ ตวรรษ ที่ ๑๖ จนมาถึงตน้ ศตวรรษท่ี ๒๐ เม่ือเกดิ การต่อสู้กนั และชาวลีซอสู้ไม่ได้ กอ็ พยพลงมาทางเหนือของ พมา่ โดยอพยพเขา้ มามากเมอ่ื ตอนตน้ ศตวรรษ ท่ี ๒๐ และตอ่ มาไม่นานเมื่อประสบกบั ปญั หาทางการ เมืองในพม่า และปัญหาการขาดแคลนที่ดินท�ำกิน ชาวลีซอก็อพยพเข้ามาในประเทศไทย โดยเข้ามา ทางจงั หวัดเชียงใหม่และเชยี งราย ๑ สงเคราะหช์ าวเขา, กอง. กรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงแรงงานและสวสั ดกิ ารสงั คม. ทำ�เนยี บชมุ ชนพน้ื ทส่ี งู ๒๐ จงั หวดั ในประเทศไทย ปี พ.ศ. ๒๕๔๐ นนทบรุ ี : สหพรน้ิ ตง้ิ การพมิ พ,์ ๒๕๔๑. น. ๔๗. ๒ เตอื นใจ ดเี ทศน์ (กญุ ชร ณ อยทุ ธยา). คมู่ อื การทำ�งานกบั ชาวเขาเผา่ ลซี อ. (ลำ�ปาง : โครงการศนู ยก์ ารศกึ ษาตอ่ เนอ่ื งเพอ่ื ชมุ ชนในเขตภผู า กรมการศกึ ษานอกโรงเรยี น. ๒๕๒๗). น. ๑๗

136 ชนต่างวัฒนธรรมในประเทศไทย การตง้ั ถน่ิ ฐาน ชาวลซี อนยิ มตงั้ ถน่ิ ฐานอยใู่ นบรเิ วณทเ่ี ปน็ ภเู ขาซง่ึ มคี วามสงู ไมน่ อ้ ยกวา่ ๘๐๐ เมตร และบรเิ วณ นัน้ มักมนี ้ำ� ใชส้ ะดวก เชน่ มีธารน�ำ้ ไหลผา่ น มีแอง่ น้ำ� หรือบอ่ น�้ำซับซึ่งตกั ใช้ได้ตลอดปี หมบู่ า้ นลซี อมัก ตงั้ อยบู่ นเนนิ เขาสว่ นทส่ี งู ทสี่ ดุ ของหมบู่ า้ น จะเปน็ ทตี่ งั้ ของศาลผปี ระจำ� หมบู่ า้ นหรอื ศาลผผี เู้ ฒา่ ซงึ่ ลซี อ รกั เคารพ และเชื่อวา่ ทา่ นปกครองดูแลหมบู่ า้ น ชว่ ยท�ำให้คนในหมบู่ ้านมคี วามสุขสมบูรณ์ ภายในศาล นอกจากมผี ปี ตู่ าผเู้ ฒา่ ยงั มผี หี ลวง และผที ท่ี ำ� หนา้ ทป่ี อ้ งกนั คณุ ไสยใหช้ าวลซี อ ศาลนม้ี รี วั่ ลอ้ มรอบเพอ่ื ปอ้ งกนั ไมใ่ หส้ ตั วเ์ ลย้ี งเขา้ ไปทำ� ความเสยี หาย ผหู้ ญงิ จะไมไ่ ดร้ บั อนญุ าตใหเ้ ขา้ ไปในบรเิ วณน้ี ยกเวน้ เดก็ หญิงเลก็ ๆ หรือในบางหมู่บา้ นหา้ มเฉพาะสตรที แี่ ต่งงานแล้ว๓ บา้ นลซี อ มี ๒ แบบ คอื แบบปลกู ครอ่ มบนดนิ และแบบยกพน้ื แบบแรกนยิ มกนั มากกวา่ เพราะ ปอ้ งกนั ความหนาวไดด้ ี เนอ่ื งจากผนงั ทง้ั ๔ ดา้ นทำ� ดว้ ยดนิ ทม่ี คี วามหนามาก ลซี อปลกู บา้ นบนเนนิ เขา ประตบู า้ นอยทู่ างดา้ นตำ�่ ของเนนิ และตรงกบั หงิ้ บชู าผบี รรพบรุ ษุ ซงึ่ แขวนไวท้ ผ่ี าผนงั ตรงขา้ ม ผนงั นอี้ ยู่ ทางดา้ นสูงของเนินเขา ลีซอเชือ่ กนั ว่าประตบู า้ นเป็นทางเข้าออกของผี ดงั นน้ั ประตูบา้ นตอ้ งไมต่ รงกนั กับประตูบ้านอนื่ มิฉะนน้ั ผจี ะไม่พอใจ อาจทำ� ใหค้ นในบา้ นเจ็บป่วยได้ ในหมู่บ้านลซี อเราจงึ ไมเ่ หน็ ส่งิ กอ่ สร้างใดมีประตูตรงกันเลย ภายในบา้ น บนหิ้งบชู าผีบรรพบุรุษจะมีถว้ ยซึ่งใส่นำ�้ นำ�้ ชา หรอื เหลา้ สำ� หรับผบี รรพบุรษุ ซง่ึ สงิ สถติ อยทู่ หี่ ง้ิ บชู าน้ี ไดแ้ กผ่ ปี ู่ ยา่ พอ่ และแมข่ องชายทเี่ ปน็ หวั หนา้ รครอบครวั หากบา้ นใดพอ่ และแม่ ยงั มชี ีวติ อยู่ กจ็ ะมีแตถ่ ว้ ยน�้ำสำ� หรบั ปแู่ ละยา่ ซึง่ เสียชีวิตไปแลว้ เทา่ น้ันส�ำหนับการจดั แบง่ เนอ้ื ท่ภี ายใน บ้านน้ัน ท�ำเป็นสัดส่วน คือใช้เนื้อท่ี ๑-๒ มุมบ้านกั้นเป็นห้องนอนอีกมุมหน่ึงเป็นท่ีเก็บเครื่องมือ การเกษตร และมีช้ันไม่ไผ่ส�ำหรับวางเครื่องครัวและเก็บพืชผักท่ีน�ำมาประกอบอาหารในแต่ละวัน มมุ นมี้ กั จะอย่ใู กลก้ ับประตู ทเ่ี หลอื อกี ๑-๒ มมุ สร้างแคร่ไวส้ ำ� หรบั นง่ั เลน่ นอนเล่น รบั แขก หรอื ใชเ้ ปน็ ทีน่ อนของลูกชาย หรือบางที่เป็นที่นอนของแขกทีม่ าค้างคนื ส่วนเตาไฟอยู่ใกลแ้ ครร่ ับแขก เพราะหาก มีผู้มาเยย่ี มเยือนในเวลากลางคืน หรอื ในวันท่ีมอี ากาศหนาว เตาไฟจะใหท้ ัง้ แสงสวา่ งและความอบอุ่น แกแ่ ขกของลซี อ วถิ ีชีวติ การเกดิ ชาวลซี อมคี วามเชอื่ วา่ ความฝนั บางเรอื่ งเปน็ ลางบอกเหตเุ กดิ ขน้ึ จรงิ ได้ โดยเฉพาะเกย่ี วกบั การ ๓ ประเสรฐิ ชยั พกิ สุ ติ . บา้ นลซี อ. เชยี งใหม่ : ศนู ยว์ จิ ยั ชาวเขา. ๒๕๒๖. น. ๒๑

ลีซู (ลซี อ) Li-shaw, Lisaw 137 ต้งั ครรภ์ ความฝนั บางอย่างของผ้หู ญิงเป็นลางบอกเหตถุ ึงการต้ังครรภ์ เชน่ จะฝันเหน็ วา่ มีเขี้ยวยาว ๆ ตัวโตมาเกาะ และดูดเลือดจับท้ิงยังไงก็ทิ้งไม่ได้ พอตื่นข้ึนมาก็จ�ำความฝันได้อย่างชัดเจน ถ้าฝันเช่นนี้ แสดงวา่ มีดวงวญิ ญาณมาอยูใ่ นท้องแล้ว๔ ในช่วงมีครรภ์อยู่จะมีความฝันบางลักษณะ ท่ีเป็นสัญญาณหรือลางบอกเหตุว่าเด็กในท้องจะ เป็นเพศใด หากแม่ฝันว่าไปล่าสัตว์ ยิงปืนแล้วได้เน้ือสัตว์ป่ามาเยอะ หรือฝันว่าได้ไปออกศึกสงคราม ความฝนั ลกั ษณะนแ้ี สดงวา่ เดก็ ในทอ้ งเปน็ เดก็ ผชู้ าย หากลางสงั หรณข์ องเดก็ ผหู้ ญงิ สว่ นใหญแ่ มม่ กั จะ ฝันว่าไดไ้ ปเกบ็ ผัก ไดแ้ ต่ผักงาม ๆ ดี ๆ หรือไดจ้ บั ปลาไดแ้ ต่ตัวใหญ่ ๆ ปลาท่ีมชี วี ติ อยู่ แสดงว่าเดก็ ใน ท้องเปน็ เด็กผูห้ ญิง ถา้ หากลางสังหรณเ์ ดก็ พิการ แม่มกั จะฝนั ว่าไปเกบ็ ผกั และผลไม้ต่าง ๆ ได้แต่ลูกที่ มีรอยตำ� หนิ ข้อหา้ มส�ำหรบั หญงิ มคี รรภ์ หญิงมีครรภ์ห้ามดูถูกเหยียบหยาม ไม่ว่าผู้เฒ่า ผู้แก่ หรือคนพิการ และบุคคลทั่ว ๆ ไป เพราะการทเี่ ราดถู กู หรอื หวั เราะเยาะคนอนื่ นน้ั อาจทำ� ใหล้ กู ในทอ้ งนน้ั เปน็ พกิ ารได้ ลซี จู ะสอนลกู หลาน ทุกคนว่า ห้ามดูถูกหรือหัวเราะเยาะผู้อื่น เพราะจะท�ำให้กรรมตามสนองเราได้ ไม่ต้องรอชาติหน้า (ลีซูเรยี กวา่ จุแ๊ ม) ในขณะหญิงมีครรภ์ภาวะความอ่อนแอทางด้านร่างกายและจิตใจ เป็นการง่ายต่อการถูก รบกวนจากส่ิงเลวร้าย ลีซูเช่ือการว่าหญิงมีครรภ์เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ ดังนั้นหญิงมีครรภ์จึงเป็น หญิงที่ไม่มีความบริสุทธิ์ ท�ำให้เกิดข้อห้ามไม่ให้เข้าไปใกล้สถานที่ประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น พิธีป่า (มึ๊กวู กว)ู พธิ ีป่าเป็นทอ่ี ยอู่ าศยั ของเจ้าป่า เจ้าเขา (อด๊ิ ่ามา) เมือ่ มีการทำ� พธิ ีกรรมเกยี่ วกับปา่ หา้ มหญงิ มีครรภ์ไปร่วมงานเด็ดขาดเพราะว่าเทพหรืออิ๊ด่ามา ไม่ชอบคนมีราศี และไม่ชอบคนท่ีสุขภาพไม่แข็ง แรง ถอื วา่ หญงิ มคี รรภเ์ ปน็ ผอู้ อ่ นแอ ถา้ เขา้ ไปรว่ มพธิ กี รรมอาจทำ� ใหเ้ ทพไมพ่ อใจ บางรายกอ็ าจจะตาย ทั้งแม่ และลูกในท้อง หรืออาจตายเฉพาะแต่ลูกก็ได้ ส่วนในบริเวณอาปาโหม่ฮีต้ังแต่ที่มีรั้วกั้นไว้ ห้ามหญิงเข้าไปไม่ว่าจะเป็นเด็กสาว หรือผู้ใหญ่ และหญิงมีครรภ์ ถือว่าหญิงสาวที่มีประจ�ำเดือนไม่ บริสทุ ธ์ิ มีความเชือ่ กันวา่ อาปาโหมช่ อบแต่ผู้ชายและเปน็ ทอี่ าศยั ของเทพ สถานที่ที่ต้มเหล้าข้าวโพด ลีซูมีความเช่ือว่า สถานที่ที่ต้มเหล้าเป็นสถานที่ท่ีศักดิ์สิทธ์ิ และมี เทพดแู ลการตม้ เหลา้ ทำ� ใหน้ ำ�้ เหลา้ ทอี่ อกมาดี และออกมาแรง ถา้ หญงิ มคี รรภไ์ ปมนั จะทำ� ใหเ้ หลา้ ออก มาไมด่ ีและกลั่นออกมาไมแ่ รง เพราะวา่ หญิงมีครรภ์ไมบ่ รสิ ทุ ธิ์ แตเ่ หล้าท่อี อกมาแสดงถึงความบรสิ ทุ ธิ์ ส่วนสถานท่ีที่จัดงานศพ ลีซูเชื่อกันว่าหญิงมีครรภ์ และคนขวัญอ่อนถ้าไปเจอกับสิ่งชั่วร้ายจะท�ำให้ไม่ ๔ เตอื นใจ ดเี ทศก์ (เพง่ิ อา้ ง) น. ๓๗

138 ชนตา่ งวฒั นธรรมในประเทศไทย สบายได้ หมอผหี รอื ผเู้ ฒา่ ผแู้ กก่ เ็ ลยหา้ มหญงิ มคี รรภ์ และคนออ่ นแอเขา้ ไปรว่ มพธิ งี านศพ เพราะผตู้ าย จะเอาผ้ทู ี่ขวัญออ่ นไปด้วย ถ้าใครขวญั ออ่ นแตเ่ จา้ ตวั ไมร่ ู้ตัว หมอผจี ะบอกใหผ้ ูน้ ้นั กลับไป แล้วหมอผีก็ จะไล่ผรี า้ ยโดยหมอผใี ช้โหลขว่ั (พชื ชนิดหนง่ึ ) มาฟาดลงบนโลงศพ เปน็ การข่ผู ีรา้ ยไม่ใหเ้ อาวญิ ญาณผู้ ออ่ นแอไปด้วย อาหารและยาของหญงิ มคี รรภ์ ลีซูเช่ือกันว่า แม่ท่ีต่ังครรภ์ต้องหลีกเล่ียงยาท่ีมีตัวยาขับเลือด หรืออาหารที่เป็นซากที่มีกล่ิน เหม็น เม่ือมารดาท่ีมีครรภ์ทานเข้าไปแล้ว เด็กในท้องจะได้รับอาหารจากมารดาทานเข้าไปด้วย ถา้ มารดามอี าการปว่ ยกจ็ ะทำ� ใหเ้ ดก็ ในทอ้ งปว่ ยไปดว้ ย ลซี เู ลยพถิ พี ถิ นั ในเรอื่ งการทานอาหารของหญงิ ทมี่ คี รรภม์ าก ผรู้ จู้ ะหมน่ั คอยตกั เตอื นมารดาทม่ี คี รรภเ์ สมอ ๆ เพราะความผดิ พลาดบางอยา่ งทไี่ มม่ ที าง แกไ้ ขได้ จงึ บอกให้ป้องกนั ไวก้ ่อน อาหารท่หี า้ มของหญิงมคี รรภ์ ๑. เผือก มัน ออ้ ย มคี วามเชอ่ื กนั ว่า จะทำ� ให้เด็กตวั อว้ น มไี ขมนั มากทำ� ให้คลอดยาก ๒. พืชหรือไม้ที่โดนทับหรือโดนทอนไม้เหน็บจนแบน มีความเช่ือว่า จะท�ำให้คลอดยาก เด็กกไ็ ม่ยอมออกมาง่าย ๆ ๓. ผลไม้ที่มีลักษณะเป็นแฝด เช่น กล้วยท่ีติดกัน มีความเชื่อกันว่า เมื่อมารดาทานเข้าไป เดก็ ที่มาเกดิ อาจเป็นคูแ่ ฝดได้ ๔. เนอ้ื สตั วท์ เ่ี ราไมไ่ ดฆ้ า่ เชน่ สตั วท์ ถ่ี กู กดั หรอื หมทู เ่ี ปน็ โรคตาย มคี วามเชอื่ กนั วา่ เมอ่ื มารดา กินเขา้ ไปแลว้ จะท�ำใหม้ ารดาและเดก็ ทารกท่ีอย่ใู นทอ้ งอาจจะชักได้ ๕. เนอื้ หมูแม่พันธห์ุ า้ มกินเพราะทำ� ใหเ้ ปน็ ลมบา้ หมูก็ได้ การตง้ั ช่อื พิธีน้ีจัดขึ้นโดยเด็กท่ีเกิดใหม่ มีความเชื่อกันว่า หลังจากเด็กทารกเกิดได้ประมาณ ๓ วัน แล้วจะต้องทำ� การตง้ั ชอื่ ใหเ้ ดก็ เพราะถา้ เกนิ ๓ วัน แล้วผีรา้ ยจะเอาไปตั้งชื่อ จะท�ำให้เดก็ ทารกทเี่ กิด มาแล้วเส่ียงชีวิตได้ มีความเช่ือกนั ว่าผีรา้ ยจะเอาไปเป็นลกู ของตนเองได้ ๑. ขั้นตอนในการท�ำพิธีกรรม การต้ังช่ือให้เด็กแรกเกิด เตรียมเคร่ืองเซ่นไหว้ เพื่อน�ำไปท�ำ พธิ ที ีอ่ าปาโหมฮ่ ี โดยฆา่ หมเู พ่ือเซน่ ไหว้อาปาโหม่ฮี เช่น หวั หมู ขาหมู หางหมู หัวใจหมู ตับหมู มา้ มหมู ซี่โครง ๑ ซี่ มาตม้ ใหส้ ุกเป็นเคร่อื งเซ่นไหว้

ลีซู (ลซี อ) Li-shaw, Lisaw 139 ๒. จัดวางเครื่องเซ่นไหว้ มาวางบนขันโตกท่ีห่อด้วยใบตอง เตรียมวางของบูชา เช่น ธูป น�ำ้ ๒ แก้ว ขา้ วสกุ ๒ ถว้ ย นำ� ไปถึงอาปาโหมฮ่ กี เ็ ปล่ียนน้ำ� ๓. การสวดอ้อนวอน ผู้ประกอบพิธีจุดธูปบอกอาปาโหม่ฮี โดยการท่องบทสวด เพื่อแจ้งให้ อาปาโหม่ฮที ราบ ในขณะนม่ี สี มาชิกตวั น้อย ๆ เพม่ิ ขน้ึ มาอกี ๑ คน ขอใหอ้ าปาโหมฮ่ชี ว่ ยคุ้มครองดวง วิญญาณของเดก็ คนน้ดี ว้ ย และขอใหอ้ าปาโหม่ฮีช่วยตง้ั ชอ่ื ใหด้ ว้ ย ๔. การเส่ียงทายเพื่อให้ได้ชื่อท่ีเหมาะสม โดยการโยนเหรียญ ให้นึกช่ือไว้ก่อนว่าจะเอา ชื่ออะไรบ้าง หลังจากที่ได้เส่ียงทายชื่อของเด็กแล้ว เมื่อได้ชื่อที่เหมาะสมแล้ว น�ำเครื่องเซ่นกลับมาที่ บ้าน จากน้ันมาท�ำพิธีเซ่นไหว้แท่นบูชาในบ้าน เพื่อแจ้งให้บรรพบุรุษผู้ล่วงลับให้ได้รับทราบอีกคร้ัง โดยการจดั เคร่อื งเซน่ ไหว้ใส่ขนั โตก สวดใหบ้ รรพบรุ ุษไดร้ บั รู้ว่ามสี มาชกิ ใหม่เพ่มิ ขน้ึ อีก ๑ คน จากนนั้ ใส่เงินออมลงในขันที่ใส่น้�ำไว้ เมื่อใส่เงินลงในขันหมดทุกคนแล้ว สวดอวยพรว่าให้เด็กคนนี้โตวันโตคืน พรอ้ มดว้ ยมัดดา้ ยสายสญิ จน์ใหก้ ับเดก็ บคุ คลท่มี ีชอื่ ครบ ๖ ช่อื ลซี แู ตล่ ะคนไดร้ บั การขนานนาม ทแ่ี ตกตา่ งกนั หลายอยา่ ง มชี อ่ื ทง้ั ทท่ี ำ� พธิ กี รรมและเครอื ญาติ นามท่ีได้ตามบุคคลลักษณะเฉพาะของแต่ละคน และมีฉายานามท่ีได้จากวีรกรรมท่ีเคยกระท�ำ และที่ โจษจนั มาแตอ่ ดตี ชอ่ื และนามจะเปลีย่ นแปลงไมไ่ ด้ แตฉ่ ายาเปลี่ยนแปลงได้ ๑. ชือ่ ทางพิธีกรรม คือ หลีจเี มะ แซล่ ี้ (ตอนท�ำพิธฉี าจวั เดื๋อ) ๒. ชอื่ เรียกตามสถานะ คือ อะหมี่ (ตามลำ� ดับการเกดิ เป็นลูกสาวคนทห่ี นง่ึ ) ๓. ชื่อที่อ่าบา่ แมะกบั อามาแมะตั้งให้ คอื ซือปเุ มะ (พ่อ แม่บญุ ธรรม เป็นตระกูลแมวปา่ ) ๔. นามที่ได้ตามบุคลิกและลักษณะของบุคคล คือ เมียผี่ (รูปร่างลักษณะเด่นหรือด้อย เป็นคนดวงตาเล็กและทำ� อะไรก็ช้า) ๕. ฉายาทไ่ี ด้จากวีรกรรมที่เคยกระท�ำมา คือ อ้าวั่วสื่อมา (ตอนเด็ก ๆ ชอบไล่จบั ผเี สื้อ) ๖. ชอื่ ทางการ คือ กลมรัตน์ การเรียกช่อื เป็นชอื่ ภาษาลซี ูจะเรียกตามล�ำดับการเกิด ผ้ชู ายลซี ู ๑. อาเบ้ผะ ๒. อาเลผะ

140 ชนต่างวัฒนธรรมในประเทศไทย ๓. อาซาผะ ๔. อาซ่ึผะ ๕. อาหว่ผู ะ ๖. อาหลูผะ ๗. อาซอื ผะ ๘. อาปา่ ผะ ผู้หญงิ ลซี ู ๑. อามี่มะ๊ ๒. อาเลม๊ะ ๓. อาซามะ๊ ๔. อาซ่ึมะ๊ ๕. หวู่ม๊ะ ๖. อาหลูม๊ะ ๗. อาซอื ม๊ะ ๘. อาป่าม๊ะ การแตง่ งาน ชายลซี ูไม่วา่ คนใดจะตอ้ งไม่แตง่ งานกบั สตรที ี่เขาเรยี กวา่ “จิจ”ิ หรือญาติ นน้ั คือ พ่สี าว หรอื นอ้ งสาวรว่ มตระกลู หรอื แมแ้ ตล่ กู ของนา้ กแ็ ตง่ ไมไ่ ดแ้ ตง่ ไดก้ บั ลกู สาวของอา และไมใ่ ชต่ ระกลู เดยี วกนั ๕ การเลือกคู่ หนุม่ สาวลีซูหาค่กู นั รอบ ๆ ครกตำ� ข้าวน้นั เอง ยามค่�ำสาว ๆ จะชมุ นมุ กันตำ� ข้าวไวห้ ุง ในวัน รุ่งขน้ึ เป็นโอกาสให้หนมุ่ ๆ ไปอาสาชว่ ยต�ำ แลว้ ปากต่อปากคำ� หยอกเย้าเก้ยี วพา พอสาวหยดุ พกั หนมุ่ กพ็ าคนท่ีถกู ใจไปนั่งพรำ่� พรอดกนั โดยบางคกู่ ็ถงึ ข้นั แลกก�ำไล หรือสญั ลักษณเ์ สน่หาอ่นื ๆ ซง่ึ ตา่ งฝา่ ย ก็จะพกติดตัวไว้ในกระเป๋าเสื้อแนบในหัวใจ บ่อยคร้ังการเกี้ยวพาจะท�ำกันอย่างครึกคร้ืนเมื่อถึงเวลา ทำ� งานในนา หรอื ในไร่ สาวจะสง่ ขา่ วไปนดั หมายหนมุ่ ๆ วา่ วนั นจี้ ะไปนาไหนแลว้ ทงั้ สาว ทงั้ หนมุ่ กแ็ ตง่ ตวั ชดุ ใหญไ่ ป “เลน่ เพลง” กนั นนั่ คอื แมเ่ พลงวา่ บาทแรก แลว้ ลกู คกู่ ร็ อ้ งรบั กนั ทง้ั หมจู่ นจบบท แลว้ พอ่ เพลงก็ตอบบาทแรกให้ลูกคู่ก็รับจนจบบท โต้กันไปโต้กันมาด้วยความหมายเกี้ยวพา ทั้งลูกล่อลูกชน ๕ ขจดั ภยั บรุ ษุ พฒั น,์ ชาวเขาในประเทศไทย, (กรงุ เทพฯ : แพรพ่ ทิ ยา, ๒๕๓๙) น. ๕๕

ลซี ู (ลีซอ) Li-shaw, Lisaw 141 เป็นต้น ด้วยเพลง “เดือนหกฝนตกแค่พร�ำ ๆ พอเดือนเก้าฟ้าจะล่มเสียให้ได้ เม่ือเดือนหกอกพ่ีก็แค่ เสียว ๆ ตกเดอื นเกา้ ราวกับเคยี วกรดี หัวใจ...” ฝ่ายใดติด หรือจนใหอ้ กี ฝ่ายเอาไปต่อเองได้ เปน็ อันวา่ แพเ้ ดด็ ขาดจบเกมในวนั นน้ั ขา่ วกจ็ ะแพรส่ ะพดั ไปทงั้ หมบู่ า้ นทำ� ใหฝ้ า่ ยแพเ้ สยี หนา้ ไปไมน่ อ้ ย ครอบครวั ของทง้ั สองฝา่ ยมกั จะรอู้ ยวู่ า่ ลกู ชาย ลกู สาวชอบกนั ถงึ เวลาคราวมคี ไู่ ดแ้ ลว้ ลซี เู ปรยี บเทยี บชายเหมอื น ล�ำต้น และก่งิ ไม้ สว่ นผู้หญิงเหมอื นใบ เมอื่ ลำ� ต้นรู้สึกว่าใบก�ำลังจะถูกแย่งชงิ ไปก็จ�ำเปน็ จะตอ้ งปอ้ งกัน พธิ ีแตง่ งาน ชนเผา่ ลซี นู นั้ จะเขา้ พธิ แี ตง่ งาน โดยคา่ สนิ สอดของหญงิ สาว และคา่ นำ้� นมจะมอบใหก้ บั พอ่ แม่ ของฝา่ ยหญงิ ฝา่ ยเดยี ว คา่ ตวั สาวลซี จู ะคอ่ นขา้ งแพง อาจแพงกวา่ สาวบาง สาเหตทุ คี่ า่ ตวั หญงิ สาวคอ่ น ขา้ งแพงนนั้ เพราะวา่ เมอ่ื แตง่ งานแลว้ ฝา่ ยหญงิ จะตอ้ งไปอยกู่ บั ทางฝา่ ยชาย และจะตอ้ งชว่ ยทำ� งานทกุ สงิ่ ทำ� ทกุ อยา่ งทง้ั ในบา้ น และนอกบา้ น ทำ� งานคอ่ นขา้ งจะหนกั สำ� หรบั เงนิ คา่ ตวั ของฝา่ ยหญงิ นนั้ ทางพอ่ แม่ ของฝา่ ยชายจะเปน็ คนออกใหท้ ง้ั หมด วธิ กี ารสขู่ อมหี ลายขนั้ ตอน ซงึ่ ทางฝา่ ยชายทจี่ ะมาขอตอ่ รองราคา สินสอดให้ลดลงบ้างน่ันเอง โดยเริ่มต้นด้วยหนุ่มสาวตกลงปลงใจ ว่าจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกันอย่างแน่นอน ถา้ เปน็ ตา่ งหมบู่ า้ นฝา่ ยชายจะนดั วนั ทจ่ี ะพาหญงิ สาวหนี เมอ่ื ถงึ วนั กำ� หนดนดั กม็ ารบั ตวั คนรกั ของตนไป โดยเอาตวั หญิงสาวไปแอบซ่อนไวท้ บี่ ้านของญาติไวก้ ่อน วันร่งุ เช้า ฝ่ายญาตขิ องเจ้าบ่าว ซงึ่ อาจจะเปน็ ลงุ หรอื อา พรอ้ มกบั กลมุ่ พอ่ สอ่ื อกี สองสามคน ยกขบวนมายงั หมบู่ า้ นของฝา่ ยหญงิ พรอ้ ม ทง้ั ญาตมิ ติ ร พอมาถึงบ้านฝา่ ยหญงิ กเ็ ปดิ ฉากให้พอ่ แมฝ่ า่ ยหญิงได้รู้เรอ่ื งราวของลูกสาวที่หายตัวไป บอกใหพ้ อ่ แมข่ องฝา่ ยหญงิ วา่ ไมต่ อ้ งหว่ งทหี่ ายตวั ไป เพราะปลอดภยั ทกุ ประการ และมคี วาม สุขดี ที่ได้ยกบวนกันมาในวันนี้ก็ด้วยปรารถนาอยากจะเป็นทองแผ่นเดียวกันกับคนของในบ้านน้ี เมือ่ การเจรจาสู่ขอเรยี บร้อยตกลงกนั ไดแ้ ล้ว กรณกี ารส่ขู อ ทางฝ่ายชายวางเงนิ ของคา่ ตวั ให้พ่อแม่ของ ฝา่ ยหญงิ เอาไวก้ อ่ น สว่ นทเ่ี หลอื กช็ ำ� ระใหว้ นั หลงั แตว่ า่ พอ่ แมฝ่ า่ ยหญงิ เปน็ นดั เวลาวา่ ใหช้ ำ� ระในวนั ไหน และเดือนไหน เม่ือถึงเวลาแล้วต้องจ่ายให้หมด ถ้าจ่ายไม่หมดต้องเอาลูกสาวของตนเองกลับคืนมา ถ้าหากฝ่ายชายมีฐานะค่อนข้างดีก็จะจ่ายค่าสินสอดให้หมด เม่ือมาถึงการนัดวัน และเดือนของพิธี แตง่ งาน พอ่ แมข่ องฝา่ ยหญงิ เปน็ คนนดั เองวา่ ใหแ้ ตง่ เดอื นไหน และวนั ไหน สว่ นพธิ จี ะจดั ขนึ้ ทบี่ า้ นของ ฝา่ ยหญงิ ซง่ึ กจ็ ะเชญิ แขก และญาตพิ น่ี อ้ งทง้ั สองฝา่ ยมากนั พรอ้ มหนา้ พรอ้ มตา ทง้ั สองฝา่ ยตอ้ งชว่ ยกนั เตรียมของ เช่น สุรา อาหาร พร้อมท้ังเคร่ืองเล่นต่าง ๆ ให้พร้อมเพรียง เวลาท่ีแต่งนั้นจะอยู่ในช่วง สาย ๆ ก่อนเที่ยง โดยจะจดั ขน้ึ ทหี่ น้าห้งิ ผบี รรพบรุ ุษภายในบ้าน ให้เจา้ บา่ วเจา้ สาวมาน่ังคกุ เขา่ คกู่ ันที่ บนพื้นปเู สอื่ ไว้ จากน้นั ผอู้ าวโุ สชายซึ่งเป็นผปู้ ระกอบพิธกี ารเซ่นไหว้ผบี รรพบุรุษ ดว้ ยหวั หมู ข้าว เหล้า น�้ำ ธปู พรอ้ มทง้ั บอกกลา่ วให้ได้ทราบถึงสมาชิกคนใหมท่ จ่ี ะมาเป็นลกู เขยของบ้านหลังน้ี จากน้ันน�ำน�้ำในถ้วยบนหิ้งให้คู่บ่าวสาวได้ด่ืมกัน เพื่อความเป็นสิริมงคล และเป็นพรจาก บรรพบรุ ษุ พธิ คี ำ� นบั ผบี รรพบรุ ษุ พอ่ แม่ และญาตผิ อู้ าวโุ สของทง้ั ๒ ฝา่ ย การคำ� นบั นนั้ ทง้ั คจู่ ะนงั่ คกุ เขา่

142 ชนตา่ งวัฒนธรรมในประเทศไทย วางมอื ทัง้ สองแตะลงบนพน้ื ด้านหนา้ แลว้ กม้ ศีรษะใหห้ น้าผากแตะพ้นื คนละ ๓ คร้งั ผู้อาวุโสก�ำลงั ให้ ศลี ให้พรเจ้าสาว ก้มหน้าอย่กู ับพน้ื สว่ นเจา้ บา่ วจะค�ำนบั ด้วยการกางมือท้งั สองข้างออก แล้ววางแตะ พื้นข้างหน้า จึงก้มศีรษะให้หน้าผากแตะพ้ืนคล้าย ๆ กับลักษณะการไหว้ครูของนักมวยไทย เสร็จพิธี แล้วผู้อาวุโสที่ประกอบพิธี จะน�ำเงินท้ังหมดที่แขกผู้มาร่วมในพิธีแต่งงาน มอบให้กับเจ้าบ่าวเจ้าสาว แลว้ จดั ใส่ในขันน้�ำใสน่ �้ำจากนน้ั ใหเ้ จา้ บ่าวไดด้ ื่ม ๓ อึก เพ่ือให้มีแต่ความร�่ำรวยด้วยทรัพย์สินเงินทองตลอดไป แล้วจึงเทเงินในขันทั้งหมดใส่ในมือ ของเจ้าบ่าวที่คอยรับอยู่แล้ว เจ้าบ่าวก็จะเทเงินทั้งหมดให้ กับเจ้าสาวท่ีชายผ้าโพกศีรษะของเธอคอย ประคองรับอยู่แล้วเช่นกัน จากนั้นก็เชิญญาติพ่ีน้อง และแขกที่มาร่วมงานร่วมวงรับประทานอาหาร ด้วยกัน ทุกคนจะดื่ม จะกินอย่างสนุกสนานอย่างเต็มที่ เจ้าภาพจะทยอยมาบริการอย่างไม่ขาดสาย พอตกกลางคืนก็มาถึงรายการของความสนุกสนานนั้นคือ จับกลุ่มเต้นร�ำกันหน้าบ้านของเจ้าภาพ เป็นการจับมือต่อ ๆ กันไปเป็นวงกลม ท้ังเด็ก และหนุ่มสาว ท้ังผู้ใหญ่ก็มาเต้นด้วยกันมีท้ังจังหวะช้า และเรว็ นอกจากนนั้ ก็มกี ารรอ้ งเพลงกนั เพลงท่รี ้องกม็ ี ๒ แบบ เช่น เพลงใหญ่ หมายถึง การร้องใน บา้ นหนา้ หง้ิ บรรพบรุ ษุ สว่ นเพลงทส่ี อง เพลงเลก็ หมายถงึ การรอ้ งแบบโตก้ ลบั ไป โตก้ ลบั มา จะมี ๒ ฝา่ ย ฝ่ายชาย และฝา่ ยหญิง การตาย ความเช่ือลางบอกเหตคุ นใกล้ตาย ลีซมู ีความเชอื่ กันวา่ ใครทขี่ วัญออ่ นหรือคนในช่วงปว่ ยหนกั ใกล้ตาย โดยมาปรากฏตัวให้เหน็ เปน็ เงา การปรากฏตวั ของดวงวญิ ญาณของคนขวญั ออ่ นนน้ั มี ๒ กรณี เชน่ ปรากฏตวั ใหเ้ หน็ เหมอื นคน ธรรมดา มาปรากฏตัวระยะเวลาสั้น ๆ ยังไมไ่ ดท้ กั ทายหรอื พดู คุยอยู่ ๆ ก็หายตวั ไปอยา่ งรวดเร็วจนผดิ สังเกต ถ้าเป็นเช่นน้ีผู้ที่เห็นดวงวิญญาณน้ัน ต้องไปบอกเจ้าของดวงวิญญาณ และบุคคลผู้ที่อยู่ในช่วง ขวญั ออ่ น โดยตัวเองไม่ได้ไปตรงบรเิ วณทม่ี คี นเห็น ตอ้ งรีบไปทำ� พธิ ี โดยใชไ้ ข่ ๑ ฟอง ข้าวสารหรอื ขา้ ว สกุ ๑ ถ้วย ธปู ๒ คู่ และให้คนทเี่ หน็ ดวงวญิ ญาณเป็นผู้เรยี กขวัญให้ ส่วนปรากฏตวั ให้เหน็ เป็นเงานน้ั มี ๒ แบบ ขาวครง่ึ หนง่ึ ดำ� ครง่ึ หนงึ่ แสดงวา่ เจา้ ของเงานนั้ ขวญั ออ่ นมาก และกำ� ลงั ปว่ ยหนกั ใกลจ้ ะตาย ถ้าหากรีบทำ� พธิ เี รียกขวญั อาจจะท�ำให้รอดตายกไ็ ด้ ส่วนกรณที ่ปี รากฏตัวเป็นเงาสีขาวทัง้ ตวั แสดงวา่ เจ้าของเงาคนนั้นใกลจ้ ะตายและไม่มที างรักษาได้ การตายและพิธีเก็บศพ ลีซูมีความเช่ือในเร่ืองความตาย เมื่อมีการตายในลักษณะนี้เกิดข้ึน ลำ� ดับแรก ลูกหลานและ ญาติพี่น้องจะจัดการอาบน้�ำช�ำระศพคนตายจนสะอาดเรียบร้อยก่อน แล้วจึงเปล่ียนเส้ือผ้าเครื่อง แต่งกายชุดใหม่ให้กับคนตาย จากน้ันจึงห่อด้วยผ้าขาวอีกช้ันหนึ่ง และจึงน�ำร่างเข้าบรรจุในโรงศพ

ลซี ู (ลซี อ) Li-shaw, Lisaw 143 ต้ังไว้บริเวณหน้าหิ้งผีบรรพบุรุษภายในบ้าน ท่ีหน้าศพจะต้ังเคร่ืองบูชา และเคร่ืองเซ่นไว้ตลอด เคร่ืองบูชาน้ันจะเป็นตะเกียงน้�ำมันก๊าดดวงเล็ก ๆ ๑ ดวง และธูป ซึ่งจะต้องจุดไฟตะเกียงตั้งไว้ ตลอดเวลา พรอ้ มท้ังธูปจดุ ไปปักไว้ในกระถาง และจะต้องคอยเตมิ นำ้� มันตะเกียง และจุดธปู ตอ่ ๆ ไป มิให้ขาดตอ่ ตลอดยะระเวลาท่ีต้ังศพไวใ้ นบ้าน ส่วนเครื่องเซ่นน้ัน จะเซ่นกันวันละ ๒ ครั้ง ในช่วงเช้าและเย็นโดยช่วงเช้าจะเป็นไก่ ๑ ตัว หรือหมูก็ได้ ข้าวสารหรือข้าวสุก น้�ำ เหล้า ช่วงเย็นก็เหมือนกัน ส่วนช่วงกลางคืนนั้น ตั้งแต่หัวค�่ำจน ถึงสว่าง ตลอดระยะเวลาท่ีตั้งศพไว้ในบ้าน มีกลุ่มหน่ึงจะท�ำพิธีสวดกล่อมร้องเพลงให้วิญญาณผู้ตาย ทหี่ นา้ โรงศพ จะกลา่ วใหผ้ ตู้ ายไดร้ วู้ า่ บดั นเ้ี ขาไดไ้ ปอยทู่ บี่ นสวรรคแ์ ลว้ ขอใหอ้ ยา่ หว่ งใยกบั ลกู หลายอกี เลย และมพี ธิ ีสวดสง่ วิญญาณผู้ตายให้ขึน้ ไปอยทู่ ่บี นสวรรค์ ในคนื สุดท้ายกอ่ นทจี่ ะนำ� ศพไปฝังตอนเช้าของ วันรุง่ ขึ้น ส่วนบรรดาแขกทั้งหลายที่มาช่วยงานกันอย่างเต็มที่กับการงาน ช่วงกลางคืนจนถึงสว่าง ตลอดระยะเวลาที่ต้ังศพอยู่ในบ้าน มีการเล่นไพ่ ไฮโล บ้านของเจ้าภาพอย่างสนุกสนาน ทั้งชาย และหญิงไดม้ โี อกาสเขา้ ร่วมวงเส่ยี งโชคกันอย่างพร้อมหนา้ พรอ้ มตา การเลน่ ทง้ั หลายท่มี ีขน้ึ ในงานศพ น้นั เพ่ือเปน็ การปลุกปลอบใจบรรดาลกู หลาน และญาติมติ รของผู้ตาย มใิ ห้โศกเศรา้ ในการจากไปของ ผ้ตู ายนัน่ เอง พิธจี ะไว้ศพมีท้งั หมด ๓ วัน ๓ คนื หรือจะไว้ ๗ วัน ๗ คนื กไ็ ด้แล้วแตล่ ูก ๆ ท้ังหลาย พิธีฝงั ศพ ลซี ไู มม่ ปี า่ ชา้ สำ� หรบั การฝงั ศพ แตจ่ ะเลอื กสถานทคี่ ดิ วา่ เหมาะสม ลกั ษณะเดยี วกบั ฮวงจยุ้ ของ คนจนี ถา้ หากหาสถานทฝ่ี งั ศพของผตู้ ายถกู ลกั ษณะของฮวงจยุ้ ได้ วญิ ญาณของผตู้ ายกจ็ ะอยอู่ ยา่ งสงบสขุ และจะแผ่บารมใี ห้กบั ลูกหลานและญาตมิ ติ ร ท�ำมาหาคา้ ขายขึน้ มีทรัพย์สนิ เงนิ ทอง ถา้ หากหาสถานท่ี ฝังศพไม่เหมาะ และไม่ถูกลักษณะของฮวงจุ้ย วิญญาณผู้ตายย่อมจะไม่สงบสุขจะกลับมาหาลูกหลาน และจะท�ำให้ลูกหลานเป็นพิษเป็นภัย และท�ำมาหากินก็ไม่ขึ้น เมื่อมาถึงสถานที่ฝังแล้วมีการโยนไข่ เส่ียงทาย เพ่ือถามวิญญาณผู้ตายว่าพอใจสถานท่ีท่ีเลือกให้แห่งนี้หรือเปล่า โดยจุดธูปบอกกล่าวกับ วิญญาณผู้ตายเสียก่อน แล้วโยนไข่ดิบ โยนไข่ด้านหน้าไปข้ามหลังให้ตกลงบริเวณที่จะขุดหลุมฝังศพ หากไข่แตกเป็นอันว่าวิญญาณผู้ตายพอใจ หากไข่ไม่แตกเป็นอันว่าวิญญาณผู้ตายไม่พอใจ ต้องโยนช้�ำ อกี จนครบ ๓ ครัง้ หากยังไม่แตกอีก ต้องเปล่ียนมาโยนข้ามหลังไปด้านหน้า หากคร้ังแรกยังไม่แตกก็โยนช�้ำจน ครบ ๓ คร้ัง แล้วยังไม่แตกแสดงว่าเจ้าของผู้ตายไม่พอใจท่ีจะให้ฝังร่างของตนในที่แห่งนี้ ต้องไปหาท่ี อนื่ และตอ้ งเสย่ี งทายโยนไขด่ บิ ถามตอ่ ไปจนกวา่ ไขแ่ ตกแลว้ เมอื่ หาไดส้ ถานทท่ี พี่ อใจจงึ ลงมอื ขดุ หลมุ ศพ ขดุ หลมุ เสรจ็ วางโรงศพลงไปแลว้ ถมดนิ ลงไปจนเสรจ็ สวดใหว้ ญิ ญาณผตู้ ายใหอ้ ยอู่ ยา่ งสงบสขุ หลงั จาก

144 ชนตา่ งวัฒนธรรมในประเทศไทย ท�ำพิธีเสร็จแล้ว ดวงวิญญาณของผู้ตายจะไปแจ้งให้กับศาลเจ้า (อาปาโหม่ฮี) ให้ทราบว่าตอนน้ีตนได้ ตายไปแลว้ หลังจากแจ้งการตายให้อาปาโหมฮ่ แี ลว้ ดวงวิญญาณของผตู้ ายกจ็ ะกลบั ไปรอของสว่ นบญุ จากลูกหลาน ที่มาท�ำบุญให้ในวันเช็งเม้งท่ีหลุมศพของผู้ตายครบ ๓ ครั้ง แล้วกลับมารายงานตัวกับ อาปาโหมฮ่ อี กี ครง้ั เพอื่ ขอไปเกดิ ใหมห่ รอื ขน้ึ สวรรคห์ รอื ลงนรก แลว้ แตต่ อนทย่ี งั มชี วี ติ อยไู่ ดท้ ำ� ความดี หรือท�ำบาปไว้มากเพียงใด ส�ำหรับผ้สู ืบสกลุ ก็จะมาประจ�ำอยูท่ ีแ่ ทน่ บชู าประจำ� บา้ นของผูส้ บื สกุลของ ตนเอง การซ้อื ทีด่ ินหวา่ นเมลด็ พนั ธพ์ุ ืชและซ้อื นำ้� ซือ้ ฟืนใหก้ ับผตู้ าย ลีซมู ีความเชอื่ กันวา่ เมอ่ื ตายไปแล้วแตก่ ็ต้องการท�ำมาหากินและต้องการท่ดี นิ ต้องการเมลด็ พันธพ์ุ ชื ซอื้ ท่ีดนิ ใหผ้ ตู้ าย กรณีหมอผีจะซ้อื ท่ีดนิ ให้รอบ ๆ บริเวณหลมุ ศพ จากผปี า่ ผดี อย เจา้ ที่เจ้าทาง ซึ่งเปน็ เจ้าของท่ดี ินบรเิ วณน้ี เพือ่ ให้วิญญาณของผตู้ ายไดใ้ ชเ้ ป็นพื้นท่ีสำ� หรับท�ำมาหากนิ โดยจะใช้เงนิ เหรียญโยนไปทั้ง ๔ ทิศรอบ ๆ บริเวณหลุมศพเป็นค่าที่ดิน จากน้ันจะท�ำพิธีหว่านพันธุ์ข้าว ข้าวโพด และเมลด็ พันธผุ์ กั พืชผลต่าง ๆ อกี หลายชนดิ ลงบนพื้นดินท่ีซอื้ ใหผ้ ้ตู าย เพอื่ ให้ผูต้ ายไดใ้ ช้พืชผลเหล่า นี้ท�ำมาหากินในโลกของผู้ตายต่อไป เสร็จจากการหว่านเมล็ดพืชพันธุ์ผักแล้ว โยนเงินเหรียญไปทาง ด้านฝั่งซ้ายของหลุมศพ ซื้อฟืนจากเจ้าท่ีเจ้าทางให้ผู้ตายได้ใช้หุงอาหาร โยนเงินเหรียญไปทางด้านฝั่ง ขวาของหลุมศพ ซ้ือน�้ำให้กับผู้ตายได้ใช้ได้อาบ และได้ด่ืมกินตลอดไป หมอผี “หนี่ผะ” จะสวดบอก กลา่ วใหก้ บั วิญญาณผู้ตายวา่ ยงั ไม่ได้ไปผดุ ไปเกดิ กข็ อใหท้ �ำมาหากนิ บริเวณน้ี อยา่ ได้ร่อนเรไ่ ปที่ไหน เป็นอนั ขาด ประเพณแี ละความเช่อื ชาวลีซอส่วนใหญ่นับถือผี (เหน่) มีบ้างส่วนน้อยที่เปล่ียนไปนับถือศาสนาคริสต์ หรือนับถือ ศาสนาพุทธผสมกับการไหว้ผี ผีท่ีส�ำคัญมากชองลีซอคือผีปู่ย่าตายาย ส่วยผีอ่ืนท่ีนับถือหรือเกรงกลัว มักเป็นผีที่อยู่ตามธรรมชาติ เช่น ผีดอย ผีดิน ผีน�้ำ ผีไร่ หรือผีที่เป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ เช่น ผีฟา้ ผา่ เป็นตน้ ๖ ผปี ยู่ า่ หรอื ผบี รรพบรุ ษุ ประจำ� บา้ น เปน็ ทนี่ บั ถอื มากของชาวลซี อเพราะในสงั คมลซี อนนั้ ผเู้ ฒา่ ผแู้ กแ่ ละผอู้ าวโุ สไดร้ บั ความเคารพนบั ถอื มาก โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ปยู่ า่ ตายาย พอ่ และแมข่ องครอบครวั บุคคลเหล่านี้เม่ือตายไป ก็เช่ือกันว่าจะกลายเป็นวิญญาณท่ีคอยปกปักรักษาผู้คนในครอบครัวของตน ๖ ประเสรฐิ ชัยพิกสุ ติ และทวชิ จตุวรพฤกษ์ สื่อประเพณดี ง้ั เดิมของชาวเขาเผ่าลีซอ เชียงใหม่ : สถาบนั วิจยั ชาวเขา ๒๕๑๓ น. ๖๗

ลซี ู (ลซี อ) Li-shaw, Lisaw 145 ดงั นั้น ภายในบา้ นของลีซอที่นบั ถือผีจะมีหง้ิ บูชาผีป่ยู ่าทเี่ รียกว่า ผต๋า-บหยะ) แขวนไวท้ ่ีฝาบา้ นด้านใน อันเป็นด้านที่อยู่ตรงกับประตูบาน บนแท่นน้ันจะมีถ้วยน้�ำส�ำหรับปู่ ย่า พ่อ และแม่ที่ตายไปแล้วเมื่อ ประเพณีที่ส�ำคญั มาถึง เช่น งานฉลองปใี หม่ ประเพณีเกบ็ เก่ียวชา้ วโพดและพืชผลใหม่ ฯลฯ ชาวลซี อ จะทำ� อาหารไหวผ้ ปี ู่ยา่ ณ หง้ิ บูชาดงั กลา่ ว ผปี ตู่ าผเู้ ฒา่ (ผรี กั ษาหมบู่ า้ น) (อา๊ ปา – โหม)่ (ป,ู่ ตา – เฒา่ , แก)่ เปน็ ผที ค่ี อยดแู ลรกั ษาหมบู่ า้ น และอ�ำนวยความสุขสมบูรณ์ให้สมาชิกในหมู่บ้าน ทุกหมู่บ้านของลีซอที่นับถือผีจะมีศาลผีปู่ตาผู้เฒ่า ตงั้ อยู่ ณ บรเิ วณทส่ี งู ทส่ี ดุ ทสี่ ดุ ของหมบู่ า้ น และชาวลซี อจะเซน่ ไหว้ (อา๊ ปา –โหม)่ นอี้ ยปู่ ระจำ� ในโอกาส และเทศกาลตา่ ง ๆ รวมทงั้ ในเวลาทล่ี ซี อมคี วามทกุ ขห์ รอื มปี ญั หากจ็ ะขอใหผ้ ปี ตู่ าผเู้ ฒา่ ชว่ ยเหลอื เสมอ บทบาทของผีบรรพบุรุษและผีรักษาหมู่บ้าน นอกจากปกป้องคุ้มครองลูกหลานและคนใน หมู่บ้านแล้วหน้าที่ที่ส�ำคัญยิ่งอีกอย่างหน่ึง คือการรักษาประเพณี จริยธรรม และคุณธรรมของลีซอ นนั่ คอื หากลซี อคนใดทำ� ความผดิ ความชว่ั หรอื ละเมดิ ประเพณอี นั ดงี ามทเ่ี คยประพฤตปิ ฏบิ ตั สิ บื ตอ่ กนั มา แลว้ ลซี อคนนน้ั พบกบั ความทกุ ข์ (เชน่ เจบ็ ปว่ ย สญู ทรพั ยส์ นิ ฯลฯ) กจ็ ะเชอ่ื กนั วา่ ผบี รรพบรุ ษุ ลงโทษ คนนน้ั วธิ แี กไ่ ขปญั หากค็ อื ผทู้ ที่ ำ� ผดิ จะตอ้ งทำ� พธิ เี ซน่ ไหวข้ อโทษผบี รรพบรุ ษุ แลว้ ประพฤตติ วั เสยี ใหม่ ให้ถกู ให้ควร นอกจากผีบรรพบุรุษและผีรักษาหมู่บ้าน ซ่ึงใกล้ชิดและให้ความอบอุ่นใจแก่ชาวลีซอแล้ว ชาวลีซอยังนับถือ และเกรงกลัวผีท่ีเป็นธรรมชาติหรือปรากฏการณ์ธรรมชาติอีกหลายชนิด ผีเหล่านี้ สว่ นใหญใ่ หท้ ง้ั คณุ และโทษ คอื ถา้ ทำ� ดกี จ็ ะอำ� นวยความสขุ สมบรู ณใ์ ห้ แตถ่ า้ ทำ� ไมด่ ี (เชน่ ตกั ตน้ ไมใ้ หญ่ โดยไม่เกรงเจ้าที่, พูดจาดูหมิ่นผี) ก็จะถูกลงโทษ คือท�ำให้เจ็บป่วยหรือทุกข์ร้อนล�ำบากได้ ผีต่าง ๆ เหลา่ นี้ไดแ้ ก่ ผีหลวงเป็นผีทปี่ กครองโลกท้ังโลก มที ี่อย่บู นภูเขาใหญ่หรือดอยสงู ๆ หรือในป่าใหญ่ ผีป้องกันคุณไสย เป็นผีที่คอยป้องกันไม่ให้ใครปล่อยของ หรือ ท�ำคุณไสยมาท�ำร้ายลีซอ (ชาวลีซอและชาวเขาหลายเผ่าเช่อื กนั ว่า มูเซอท�ำคุณไสยและปล่อยของเก่ง จงึ มักไม่ทะเลาะกับมเู ซอ) ผีน้�ำ เป็นผีที่อยู่ตามล�ำน�้ำหรือแหล่งน�้ำทั่วไปไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็กเพียงใดเม่ือชาวลีซอป่วย มกั เช่ือวา่ เปน็ การกระท�ำของผนี ้ำ� ผีดนิ เป็นผีทอี่ ยกู่ ับดินในอาณาบริเวณอันเปน็ ทตี่ ง้ั ของบา้ น ผีไร่,ผีนา เป็นผีท่ีอยู่ในไร่หรือนา (ค�ำว่า “นา” ภาษาลีซอในประเทศไทยเป็นของใหม่ ค�ำว่า “ผีนา” จึงไดค้ �ำเดยี วกับ “ผีไร”่ อนั เป็นคะทใี่ ชก้ นั มาแตด่ ้งั เดมิ )

146 ชนต่างวฒั นธรรมในประเทศไทย ผไี ฟ เปน็ ผที อ่ี ยทู่ ไ่ี ฟ เชน่ ถา้ ไฟไหมท้ อ่ี ยอู่ าศยั หรอื ไหมห้ มบู่ า้ น จะเชอ่ื วา่ ทำ� ผดิ ผไี ฟ นอกจากน้ี ยังหมายถึงผเี ตาไฟ ซ่ึงผชี นิดน้นี บั ถือกันเฉพาะลีซอบางสกุล เชน่ สกลุ หล่ีจา ซึ่งไหว้ผีชนิดน้เี พ่อื ขอให้ ผชี ่วยให้มขี า้ วปลาอาหารมาหุงกินทีเ่ ตาไฟมไิ ด้ขาด จะไดอ้ ิ่มเสมอ ผีขี้ผ้ึง ผู้ที่นับถือผีชนิดนี้ต้องมีข้ีผึ้งใช้ตลอด เอาหอม กระเทียมเข้าบ้านไม่ได้และบางบ้านสูบ ฝน่ิ ไม่ได้ นอกจากผีทใี่ ห้ทงั้ คุณและโทษ ยังมผี ีทีใ่ หแ้ ตโ่ ทษแกช่ าวลีซอ เชน่ ผีประจ�ำตน้ เมเจ ตน้ เป็นต้นไม้ใหญ่ มลี ำ� ดับเปน็ รูและขรุขระหงิกงอ กง่ิ กา้ นมีมากมาย มักอยู่ ในปา่ ใหญ่ ตน้ ไมช้ นดิ นท้ี ป่ี ลกู ในหมบู่ า้ นกม็ ี เพราะใบออ่ นของตน้ ไมน้ ก้ี นิ อรอ่ ยทง้ั ดบิ และสกุ แตเ่ ชอ่ื กนั ว่า ต้นที่อยูใ่ นหมบู่ า้ นไมเ่ ปน็ อนั ตรายเหมอื นต้นท่ีอยใู่ นปา่ ใหญ่ ผีตายโหง ได้แกผ่ ีทีต่ ายอย่างผิดปกติทงั้ หลาย เชน่ ถกู ฆ่าตาย ประสบอุบตั ิเหตตุ าย ฯลฯ ผจี รจดั หรอื ผไี มม่ ญี าติ เปน็ ผที เ่ี รร่ อ่ นไปทว่ั ลซี อทโ่ี ชคไมด่ อี าจถกู ผชี นดิ นที้ ำ� รา้ ยเอาไดโ้ ดยไมร่ ตู้ วั (ฝู้ - ช)ื มีลักษณะคล้ายผีสิงของไทย (พี้ - เผอ) มลี ักษณะคลา้ ยผปี อบของไทย นอกจากนี้ผีตา่ ง ๆ ดงั ไดก้ ลา่ วมาแลว้ ลีซอยงั เช่ือว่ามพี ระเจ้า ซง่ึ เป็นผสู้ ร้างทุกส่ิงทุกอยา่ งใน โลกนีด้ ว้ ย แตค่ วามสมั พันธ์ระหวา่ งชาวลซี อทนี่ บั ถือผกี ับ (โวซา) มีนอ้ ยมาก (โวซา) จะถกู กล่าวถึงเมือ่ มกี ารเลา่ นทิ านเกยี่ วกบั การสรา้ งสรรพสงิ่ ในโลก และลซี อจะนกึ ถงึ (โวซา) มาชว่ ยเหลอื กเ็ ฉพาะบางหน หรอื นาน ๆ ครงั้ และผเู้ ขยี นไมเ่ คยเหน็ ลซี อทนี่ บั ถอื ผคี นใดทำ� พธิ เี ซน่ ไหว้ โดยเฉพาะ ซงึ่ ตา่ งกบั ชาวลซี อ ท่นี ับถอื ศาสนาครสิ ต์ ท่นี ับถือแต่ (โวซา) หรอื พระเจ้าท่ีเหล่ามิชชนั นารนี ำ� มาใหเ้ คารพบูชาเท่านั้น การเรียกขวัญและผกู ด้วยขวัญ การเรยี กขวญั เป็นเร่ืองเกย่ี วกบั ความเชอ่ื ดา้ นจติ วิญญาณ เปน็ พธิ ีกรรมทที่ �ำข้นึ เพ่อื ความสุข สบายทง้ั กายและใจ พธิ นี ที้ ำ� ในหลายโอกาส เชน่ เมอื่ สมาชกิ ในบา้ นเจบ็ ปว่ ย พอเซน่ ไหวผ้ แี ลว้ กผ็ กู ดา้ ย ขวัญให้ผู้ป่วยเพื่อเรียกขวัญกลับคืนมา จะได้สบายดีดังเดิม นอกจากน้ียังผูกด้วยขวัญในโอกาสส�ำคัญ เพือ่ เป็นสิริมงคล เช่น ประเพณีปีใหม่ประเพณีเลย้ี งผีบรรพบุรษุ ประจ�ำปี ฯลฯ ผู้ทผ่ี กู ด้วยขวัญจะเปน็ ผเู้ ฒา่ ผแู้ กซ่ ง่ึ เปน็ ทเ่ี คารพนบั ถอื ถา้ ผกู ใหเ้ ดก็ มกั ผกู ทคี่ อ สว่ นหนมุ่ สาวหรอื ผใู้ หญจ่ ะผกู ทคี่ อหรอื ขอ้ มอื กไ็ ด้ขณะที่ผูกด้วยขวญั ผู้ผกู จะสวดมนตใ์ ห้พร ขอให้มีความสุขความเจริญ ไมป่ ่วยไข้

ลซี ู (ลซี อ) Li-shaw, Lisaw 147 ด้ายขวัญท่ีใช้ผูกคอมีความยาวราว ๕๐ ซ.ม. และผูกเอาไว้แบบสายสร้อยที่ใช้คล้องคอ สว่ นเสน้ ทผี่ กู ขอ้ มอื ยาวราว ๓๐ ซ.ม. ผทู้ ผ่ี กู ดว้ ยขวญั เกง่ ๆ จะผกู ดา้ ยเขา้ เปน็ ปมทลี ะชนั้ ๆ ราว ๓-๔ ปม พรอ้ มกบั สวดมนตอ์ วยพรดว้ ยประการตา่ ง ๆ ปมทกุ ๆ ปมจะใหผ้ ลในทางบวก คอื เปน็ ปมทผี่ กู เอาความ สุขความเจริญเข้า และผูกเอาส่ิงไม่ดี (เช่นความเจ็บไข้) ออกไปจากตัวผู้รับการผูกด้ายขวัญส�ำหรับผู้ที่ สวดมนต์ไม่เก่งมกั ผกู ดว้ ยขวญั ใหเ้ ฉย ๆ คนเหล่านสี้ ว่ นใหญเ่ ปน็ ผ้หู ญงิ คอื บรรดาย่า ยาย ปา้ และแม่ นนั้ เอง การท�ำนายโชคชะตาด้วยกระดูกไก่ การเล้ียงผีของลีซอนั้น ถ้าใช้ไก่เพื่อเซ่นไหว้จะมีกระดูกไก่ เพ่ือท�ำนายโชคชะตาของเจ้าภาพ และครอบครัว หรอื ดโู ชคชะตาของผู้ป่วย ผทู้ ่ดี กู ระดูกไกเ่ ปน็ คือผ้ทู ่ีมปี ระสบการณ์การดูมาพอสมควร เพราะการทำ� นายดว้ ยกระดกู ไกเ่ ปน็ การทำ� นายทคี่ อ่ นขา้ งซบั ซอ้ น และการเลย้ี งผแี ตล่ ะชนดิ จะมวี ธิ กี าร ดแู ตกต่างกันไป ส่วนของกระดูกไกท่ ใี่ ชด้ ู ไดแ้ ก่ กระดูกขาส่วนบน (ซ้าย – ขวา) กะโหลก ปากบนและปากล่าง กระดกู เหล่านีจ้ ะเอามาดเู มอื่ ไกน่ ้ันต้มสกุ แล้ว กระดกู ขาส่วนบน ใช้ดูมากท่สี ดุ โดยเหลาไม้ไผใ่ หเ้ ลก็ แหลม แล้วปักเขา้ ไปในรูเล็ก ๆ ที่มอี ยู่ ตามธรรมชาติในกระดกู ขาของไก่น้ัน การทำ� นายดจู ากจ�ำนวนรูปท่ีมีอยู่ และดูทศิ ทางการตัง้ ของไม่ไผ่ คือต้ังตรงหรือเอียงไปทางใด (เช่น เอียงไปทางหัวหรือเท้าหรือเอียงไปด้านซ้ายหรือขวาของตัวไก่) ส่วนจ�ำนวนรูทีม่ อี ยู่ จะดหี รอื ไมด่ ขี นึ้ อยกู่ บั ว่าเลียงผีชนิดใดหรอื ทำ� พิธีอะไร เชน่ ถ้าท�ำขวัญ มี ๒ รูจะ ไมด่ ี ถา้ เลย้ี งผดี นิ ใหก้ บั ผปู้ ว่ ยทผ่ี ดิ ผดี นิ หากขาไกม่ รี ไู มม่ าก นบั วา่ ดี เพราะแสดงวา่ จะไมม่ ผี อี น่ื มาทำ� รา้ ย อีกแล้ว ต่อไปผ้ปู ว่ ยจะมีสุขภาพดีดังเดิม กะโหลก ใชด้ ูเร่ืองการเดนิ ทาง เช่น ถา้ เดนิ ทางไปค้าขายจะได้ก�ำไรดหี รือไม่ จะประสบความ ส�ำเรจ็ ในงานท่ีต้องการไปทำ� หรอื ไม่ ประเพณีฉลองพืชผลใหม่ (กินข้าวโพดใหม)่ ประเพณนี จ้ี ัดข้นึ ทกุ ปี ในวันขน้ึ ๑๒-๑๔ คำ่� เดอื น ๗ (ราวเดือนสงิ หาคม) เปน็ การฉลองการ เก็บเกี่ยวข้าวโพดและพืชผลอ่ืน ๆ (ยกเว้นข้าวซึ่งจัดพิธีกินข้าวใหม่ต่างหาก ในราวปลายเดือน พฤศจกิ ายน) พชื ผลทไ่ี ดน้ จี้ ะเกบ็ มาใหผ้ ปี ยู่ า่ ผเู้ ฒา่ ทร่ี กั ษาดแู ลหมบู่ า้ น ใหผ้ ปี ู่ ยา่ พอ่ แม่ ผตี า ยาย และ ผญี าตพิ น่ี อ้ งอน่ื ๆ รวมถงึ ผไี มม่ ญี าตดิ ว้ ย เมอ่ื เซน่ ไหวแ้ ลว้ จะขอใหผ้ ดี งั กลา่ วอำ� นวยความสขุ สมบรู ณใ์ ห้ คือปลูกพืชผลได้ดี อยา่ ให้หนูไปกัดและขอให้คมุ้ ครองดแู ลผทู้ ำ� พธิ ีและครอบครวั ให้มีความสุข

148 ชนตา่ งวัฒนธรรมในประเทศไทย การทำ� พธิ ี วันแรกคือวันขึ้น ๑๒ ค�่ำ เดือน ๗ ประมาณ ๔ โมงเย็น ผู้ท�ำพิธีจะท�ำความสะอาดหิ้งบูชาผี บรรพบรุ ษุ ในบา้ น แลว้ เอาพชื ผลทป่ี ลกู ในไรท่ กุ ชนดิ เชน่ ขา่ วโพด ออ้ ย แตง กลว้ ย สปั ปะรด ผกั ตา่ ง ๆ รวมทัง้ ดอกไม้นานาชนดิ ทหี่ าไดต้ ามธรรมชาติ มาไวท้ ห่ี ้งิ นี้ (ยกเว้น แตงลาย ๆ ฟกั ทองดบิ ลกู กลมะใช้ ไม่ได้เพราะเช่ือกันว่า ถ้าใช้ลูกหลานอาจจะคอพอกเหมือนฟักทอง) เอาต้นข้าวโพดและต้นอ้อย อย่างละ ๒-๓ ต้นมาพิงประดับไว้ที่หิ้ง แขวนไว้ด้วยกล้วย ๑ หวี หรือคร่ึงหวี ประดับหิ้งด้วยดอกไม้ ต่าง ๆ จากนน้ั วางฝักข้าวโพด ท่อนอ้อย พืชผลอื่น และผกั ตา่ ง ๆ ไวด้ า้ นในของหิง้ ดา้ นนอกวางถ้วย น�้ำชาซึ่งจะมีกี่ท่ีแล้วแต่จ�ำนวนผีปู่ ย่า พ่อ แม่มีอยู่ แล้วจุดธูปเสียบไว้ท่ีหิ้ง และมาคุกเข่าค�ำนับ สวดมนตว์ ่า “ถงึ ประเพณีแล้ว ขอใหป้ ู่ ย่า พ่อ แม่มารบั ของท่จี ดั ให”้ วันที่ ๒ คือ วันข้นึ ๑๓ คำ่� วันน้ี ถา้ มีพืชผลหรอื ดอกไม้ท่จี ะเตมิ บนหง้ิ ก็เติมไดต้ ลอดวนั แต่ถา้ กาไม่ได้ก็ไมเ่ ติม วนั ที่ ๒ และ ๓ นี้ ในหมบู่ ้านที่มหี มอผี อาจมีการเขา้ ทรง เพอ่ื ใหผ้ ีมาดสู ิ่งของทจ่ี ัดให้ ผีจะมาพูดคุย และสั่งสอนคนในหมู่บ้านโดยผ่านหมอผี วันท่ี ๒ ลีซอมักหยุดงานเพื่อจัดเตรียมส่ิงของ ส�ำหรับท�ำพธิ ใี นวันรุ่งข้นึ วนั ท่ี ๓ คอื วนั ขน้ึ ๑๔ คำ่� วนั นม้ี พี ธิ มี ากทสี่ ดุ คอื เซน่ ไหวผ้ ตี า่ ง ๆ ตามลำ� ดบั ดงั น้ี ๑. ไหวผ้ ปี ตู่ า ผู้เฒ่าที่รักษาหมู่บ้าน ๒. ไหว้ผีบรรพบุรุษท่ีห้ิงผี ๓. ไหว้ผีตายาย ๔. ไหว้ผีญาติพี่น้องอื่น ๆ ที่อ่อน อาวโุ ส รวมทง้ั ผีไม่มีญาตดิ ว้ ย การไหวผ้ ีป่ยู ่าตาผูเ้ ฒา่ ทด่ี ูแลรักษาหมบู่ า้ น ผทู้ ำ� พิธีจะตืน่ แตเ่ ชา้ เพ่ือทำ� อาหารไปไหวผ้ ปี ่ตู าผู้ เฒ่าที่ศาลผปี ระจ�ำหม่บู ้าน การไหวใ้ ช้ไกห่ รอื หมู ถา้ ใช้ไก่ ลซี อบางสกลุ จะฆ่าไกท่ ี่บ้าน พอปรงุ เสรจ็ ก็ นำ� ไปไหว้ผีป่ตู าผเู้ ฒา่ แต่บางสกุล จะไหว้ผีป่ตู าผู้เฒา่ ๒ คร้ัง คอื ไหว้ดว้ ยไกเ่ ปน็ ก่อน พอฆา่ ไก่สังเวยที่ ศาลผปี ระจ�ำหมบู่ ้านแลว้ กน็ �ำไกม่ าตม้ ท่บี า้ น พอไก่สกุ จึงน�ำไปไหว้ผปี ตู่ าผู้เฒา่ อกี คร้งั หน่งึ ลซี อท่ใี ชห้ มู จะปรุงอาหารโดยต้มหมูกบั ผกั ทเี่ กบ็ มาจากไร่ (เช่น ผลฟกั ทอง ยอดฟกั ทอง, ถวั่ ฯลฯ อาหารน้ีจะทำ� จำ� นวนมากเพอ่ื ตกั แบง่ ไหวผ้ ที กุ กลมุ่ ) แลว้ ใสช่ ามจดั ลงถาด ของอน่ื ๆ กม็ ขี า้ วสวย ๒ ถว้ ย, นำ�้ หรอื เหลา้ ๒ ถว้ ย, ธูป ๔ ดอก พืชผล และผักตา่ ง ๆ ทเ่ี กบ็ เกี่ยวไดอ้ ยา่ งละ ๒ หรอื ๔ ชิน้ และจัดใส่ลงในถาดนั้น ถอื ไปทศี่ าลผปี ระจำ� หมบู่ า้ น ไหวผ้ ปี ตู่ าผเู้ ฒา่ ทร่ี กั ษาดแู ลหมบู่ า้ น ขอเชญิ ใหท้ า่ นมารบั อาหารดว้ ยถอ้ ยคำ� ดังนี้ “ปีละครง้ั พอถงึ ประเพณีก็เอาของมาใหป้ ู่ตาผเู้ ฒ่า ขอเชิญกินอาหารให้อ่ิม และช่วยดูแลพวกเรา ไม่ให้ป่วยไข้ ให้เพราะปลูกได้ดี ๆ ถ้าเราหวังอะไรก็ขอให้ได้อย่างน้ัน ถ้าขวัญของพวกเราไม่อยู่กับตัว ก็โปรดจบั มาใสต่ วั เรา ฯลฯ”


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook