ลซี ู (ลซี อ) Li-shaw, Lisaw 149 การไหว้ผีบรรพบุรุษ ไหว้ท่ีห้ิงผีภายในบ้าน โดยวางชามกับข้าว ถ้วยข้าวสวย ถ้วยเหล้า (หรอื นำ้� หรือนำ�้ ชา) ไว้บนหงิ้ ปอกแตงสัปปะรดฝานเป็นแผ่นวางบนหงิ้ เชน่ กนั ใส่ขา้ วโพด พืชผกั ต่าง ๆ และดอกไมต้ า่ ง ๆ เพม่ิ ดว้ ย แลว้ จงึ จดุ ธปู ไหว้ (โคง้ คำ� นบั ) ครงั้ ละ ๒ ดอก แลว้ วางไวบ้ นหงิ้ ขา้ งถว้ ยเหลา้ แต่ละถ้วย (หรือแต่ละคู่) แล้วมานั่งคุกเข่าอยู่หน้าห้ิงน้ัน เอามือทั้งสองแตะพ้ืนดินข้างตัวพร้อมกับก้ม หวั ลงคำ� นบั แลว้ กลา่ วอญั เชญิ ผปี ยู่ า่ พอ่ แมม่ ารบั อาหาร และขอใหท้ า่ นดแู ลทกุ คนในบา้ นใหม้ คี วามสขุ พอกล่าวเชญิ เสรจ็ ทิ้งกับข้าวไว้สักประเดยี๋ วกเ็ อาลงจากหิง้ ได้ การไหว้ผตี ายาย สถานที่ไหว้คอื พืน้ ดินบรเิ วณทอ่ี ยถู่ ดั จากเสากลางบา้ นลงมา เหตุทีต่ ้องไหว้ บรเิ วณนี้ เพราะผตี ายาย เป็นผีตา่ งสกลุ กับผปี ระจำ� บ้าน (ผีบรรพบุรุษฝ่ายชาย) จงึ ตอ้ งไหวใ้ นพ้ืนที่ทอ่ี ยู่ ตำ่� กว่าพ้นื ท่ี อันเป็นทต่ี ้งั ของหิ้งผบี รรพบรุ ษุ (โปรดดูแผนภมู ิ) การไหว้นน้ั เอาอาหารใสถ่ าด มีขา้ วสวย ๒ ถว้ ย เหลา้ ๒ ถ้วย กับขา้ ว (หมหู รอื ไกต่ ้มกบั พชื ผลใหม)่ ๑ ชาม พืชผกั ต่าง ๆ ดอกไม้ และธูป ๒ คู่ (ลซี อบางคนบอกวา่ ธปู คอื ตะเกยี บทผี่ ใี ชค้ อื อาหาร) และวางมา้ นง่ั เลก็ ๆ ไวข้ า้ งถาดดา้ นละ ๑ ตวั สำ� หรบั ตาและยาย จากน้ันผู้ท�ำพิธีน่ังคุกเข่าหันหน้าไปทางประตู มีถาดอาหารวางอยู่ข้างหน้าจุดธูป ค�ำนับ แลว้ ปักธปู ทีเ่ สากลางบ้าน แล้วมานงั่ คุกเขา่ กลา่ วคำ� อันเชิญผตี ายยายมากนิ อาหาร และขอใหท้ ่านช่วย ดแู ลทกุ คนในบ้านให้มคี วามสุข จากนัน้ ทง้ิ อาหารไวส้ กั ประเด๋ยี วกเ็ กบ็ ถาดอาหารได้ การไหวผ้ ญี าตอิ น่ื ๆ และขา้ วสวยและผไี มม่ ญี าติ สถานทไี่ หวค้ อื บรเิ วณทต่ี ดิ กบั ประตดู า้ นใน อนั เปน็ พน้ื ทท่ี ต่ี ำ่� ทสี่ ดุ ของบา้ น การไหวใ้ ชก้ ระดงั ใบใหญ่ (เพราะผที ม่ี ารบั อาหารมจี ำ� นวนมาก) ใสข่ า้ วสวย และเหล้าหลายถ้วย กับ ข้าว ๑ ชามใหญ่ พืชผักจ�ำนวน มาก และดอกไม้ต่าง ๆ แล้วจุดธูปหลาย ๆ ดอก ปักไว้ท่ีเสาประตูจากนั้น คุกเข่ากล่าวเชิญผีญาติอื่น ๆ ท่ีไม่สามารถไปรับของท่ีห้ิงผีบรรพบุรุษ และเชิญผที ีไ่ ม่มี ญาติใหม้ ารับอาหารด้วย แล้วขอใหม้ คี วามสขุ จากนัน้ ท้ิงอาหารไวส้ ักประเดย๋ี วกเ็ ก็บ ถาดอาหารได้ พอถึงเวลาบ่อยของวันท่ี ๓ ลีซอจะเอาพืชผัก ผลไม้ และดอกไม้ต่าง ๆ ที่วางไว้ ณ ห้ิงผี บรรพบุรุษไปท้ิง (อยากเก็บส่วนใดไว้กินก็เก็บได้) วันน้ีทุกคนจะหยุดงาน แม้แต่ไปหาของกินก็ไม่ท�ำ เพราะวนั นผี้ ีบรรพบรุ ษุ จะแบกของกลับบ้านซึ่งต้องเดินทางไกลมาก ระหวา่ งทางอาจมโี จร ของกห็ นัก เพราะมีจ�ำนวนมาก จึงต้องไปนอนคา้ งท่ีศาลผีประจ�ำหมบู่ า้ น ๑ คนื ดังนั้น ถา้ ผีบรรพบรุ ษุ เหน็ ใครไป ทำ� งาน จะคดิ ว่าคนนัน้ ขยัน และไหน ๆ ก็ ออกมาท�ำงานแล้ว กจ็ ะให้ช่วยแบกของไป พอไปแลว้ คนคน นนั้ อาจกลบั มาบ้านไมถ่ กู วนั นี้จึงไมท่ �ำงานเดด็ ขาด และไมใ่ ห้หา่ งหม่บู ้านไปไกลด้วย ความเชื่อท่ีว่ากัน “เหล้า”เป็นน�้ำบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธ์ิท่ีกล่ันออกมาจากข้าวโพด ดังน้ัน เหลา้ กับวิถีชีวติ ของชนเผ่าลีซูจะผกู พันกันและงานพิธีกรรมทางความเชื่อของชนเผ่าลซี ู มคี วามเชอ่ื กัน วา่ เกยี่ วขอ้ งกบั เหลา้ สามารถสงั เกตไดถ้ งึ ความสำ� คญั ของเหลา้ จากพธิ กี รรมตา่ ง ๆ ของชนเผา่ ลซี ู มดี งั นี้
150 ชนต่างวฒั นธรรมในประเทศไทย พิธีงานขึน้ ปใี หม่ ชนเผ่าลีซูท�ำงานกันอย่างเต็มที่แล้ว จะมีการฉลองแสดงความยินดีกับผลผลิตท่ีได้แต่ละปี ในงานปใี หมน่ จี้ ะมกี ารฉลองกนั อยา่ งสนกุ สนานและ มกี ารตดั เยบ็ เสอ้ื ผา้ ใหม่ ๆ และมกี ารทำ� พธิ ขี อบคณุ เทพเจ้าต่าง ๆ ช่วยปกป้องภัยอันตรายและช่วยดูแลผลผลิตด้วยดีเสมอมา พิธีขอบคุณเทพเจ้าต่าง ๆ นนั้ จะมกี ารบชู า เพอื่ เปน็ การขอบคณุ หนง่ึ ในสง่ิ ของทจ่ี ะบชู าใหเ้ ทพเจา้ และดวงวญิ ญาณของบรรพบรุ ษุ นน้ั คือ เหลา้ ทผ่ี ลติ จากขา้ วโพดในรอบปแี ละตอ้ งเป็นเหลา้ ท่คี รอบครวั ตนเองตม้ พิธีท�ำบญุ “หล่ีฮฉี ัว” ขึ้นในวันท่ี ๓ ของเดือน “ซาฮา” (เดือน ๓ ของลีซู) พิธีน้ีเป็นการท�ำบุญให้กับวิญญาณ บรรพบรุ ษุ ทไี่ ดล้ ว่ งลบั ไปแลว้ ซงึ่ เชอื่ กนั วา่ ถา้ ลกู หลานใสใ่ จและทำ� บญุ ให้ ตลอดจนดแู ลบรเิ วณหลมุ ฝงั ศพให้เป็นอย่างดี จะท�ำให้ลูกหลานมีความเจริญรุ่งเรือง มีทรัพย์สิน เงินทอง การท�ำบุญให้วิญญาณ บรรพบรุ ุษ จะทำ� บริเวณหลุมฝังศพ พธิ ีเซน่ ไหว้ เชน่ ไก่ หมู จากน้ันจะมกี ารปรับปรงุ ซอ่ มแซมหลุมฝัง ศพและบรเิ วณรอบ ๆ ซงึ่ การทำ� พธิ ี “หลฮี่ ฉี วั ” อยา่ งนอ้ ยตอ้ งทำ� ๓ ปตี อ่ วญิ ญาณ ๑ ดวง หากลกู หลาน มที รัพย์กอ็ าจจะท�ำให้ทุกปี แต่คนไมพ่ รอ้ ม หรอื ไมม่ เี งินทจี่ ะทำ� กไ็ มเ่ ป็นไร มเี มอ่ื ไหรค่ อ่ ยท�ำกไ็ ด้ พธิ ีเรยี กขวญั พธิ ีเรยี กขวัญข้ามสะพาน “กจู่ ียกู ัว๊ ะ” ลซี มู คี วามเชอ่ื กนั วา่ โลกของวญิ ญาณกบั โลกของมนษุ ยน์ นั้ อยกู่ บั คนละภพ พธิ กี รรมนน้ี ยิ มทำ� กบั คนขวัญอ่อนและคนท่สี ุขภาพไม่แขง็ แรง สขุ ภาพจิตไม่ค่อยดี เช่น ฝนั ร้ายบ่อย ๆ มีความเช่อื กนั ว่า ขวญั (โชฮา) ไม่อยกู่ ับร่างของเจา้ ของ ผีกำ� ลงั จะเอาดวงวญิ ญาณไป ท�ำให้สขุ ภาพและจติ ใจไม่ค่อยสงบ พธิ นี ้จี ะท�ำทีห่ นา้ บา้ นตรงบรเิ วณทางเขา้ บ้าน การจะเตรยี มสะพานไม้ สว่ นใหญ่จะเป็นผรู้ ู้หรอื หัวหน้า ครอบครัว (บิดา) ไปตัดไม้มาผ่าคร่ึงแล้วน�ำมาวางคู่กันท่ีพ้ืนทางเข้าบ้าน ที่หัวสะพานจะเสียบต้นไม้ เล็ก ๆ หรือกิ่งไม้ ข้างละ ๑ ต้น แล้วน�ำใบไม้มาท�ำเป็นกรวย ๒ อัน น�ำข้าวสุกมาใส่ข้างละ ๑ ถ้วย และเอาน้�ำมาใสข่ ้างละ ๑ จอก ส่วนธูปนน้ั จุดหวั สะพานขา้ งละ ๑ คู่ ผูร้ ูห้ รือบดิ าของครอบครวั ทีม่ ีการ ทำ� พธิ ี จะยกเครอ่ื งเซน่ ไหวท้ เี่ ตรยี มไวไ้ ปตงั้ ทห่ี วั สะพาน การเรยี กขวญั จะมกี ารบอกใหด้ วงวญิ ญาณของ ผู้ป่วยให้กลับมาร่างของผู้ป่วย เมื่อบอกดวงวิญญาณ เสร็จแล้วแบ่งตับไก่กับข้าวสุก และน�้ำใส่ในกวย ใบไมท้ งั้ ๒ อนั อยา่ งละนดิ เชิญขวัญกลับมากินเครื่องเซน่ ไหว้พร้อมกบั เขา้ บา้ นและ เชญิ ใหข้ วญั กลับ เข้าบ้านด้วย แล้วผู้ป่วยต้องนั่งคุกเข่าให้ผู้ท�ำประกอบพิธีสวดช่วยมัดมือหรือมัดคอให้ อันเป็นพิธีเรียก ขวัญก็จบ
ลีซู (ลซี อ) Li-shaw, Lisaw 151 พิธีเรยี กขวญั ใหญ่ “โชฮาควู ” พธิ ใี นครัง้ นีจ้ ะทำ� ขึน้ เพือ่ เรยี กขวญั ใหก้ ลับคนื มารา่ งของตนเอง ผู้ท่ีขวัญอ่อนและผู้ท่ขี วัญลอ่ ง ลอยออกจากร่าง จนท�ำใหร้ า่ งกายไม่สบาย มีความเชือ่ กนั ว่า ขวญั ผู้หญงิ จะมี ๗ ดวงสว่ นขวญั ผูช้ ายจะ มี ๙ ดวง หากหายไปดวงใดดวงหน่ึง จะท�ำให้ไม่สบายได้ พิธีกรรมน้ีจะท�ำขึ้นภายในบ้านของผู้ป่วย อุปกรณ์และเครื่องเซน่ ก็จะมี เช่น เงนิ เหรยี ญ ขา้ วสกุ หวั หมู ไก่ น้ำ� เหลา้ ขา้ วโพด ธปู ด้ายสายสิญจน์ และ (ฟุบ่ะ) เงินห้อยคอ เคร่ืองประดับของผู้ป่วยชุดหนึ่ง จะวางบนกองเส้ือผ้าของผู้ป่วยแล้วก็จะวาง บนขันโตกอีกที และตั้งไวข้ า้ ง ๆประตูทางขวามอื ๒ ชุด และซา้ ยมอื ๑ ชุด ใช้วางเครอ่ื งเซน่ ไหว้ท่ีจะ เซน่ สังเวย โดยหกั กง่ิ ไม้เลก็ ๆ ๔ กง่ิ น�ำมาเสียบปักไวบ้ นโตก เพอื่ สรา้ งบรรยากาศให้เหมือนกบั ปา่ นอก หม่บู า้ นท่ีผรี า้ ยอาศัยอยู่ แล้วเอานำ้� เหล้า ข้าว ธปู และไข่ ๑ ฟอง เร่มิ พิธีโดยหมอผี (หนผี่ ะ) จะสวด มนตภ์ าวนาให้ผรี ้ายท่ีกักขวญั ของผูป้ ่วยน้ัน ใหป้ ลอ่ ยขวัญกลบั มาสูรา่ งกายของผู้ป่วย เสรจ็ แล้วหมอผี ออกไปยืนท่ีประตูบ้านในมือถือไข่และด้ายสายสิญจน์ สวดมนต์ให้ผีบรรพบุรุษมากินอาหารที่เตรียม เอาไว้ให้ แลว้ หมอผเี ขา้ มาในบา้ นท�ำพิธีมดั คอมดั ข้อมือของผูป้ ว่ ย ดว้ ยด้ายสายสิญจนเ์ ป็นการรับขวัญ ทกี่ ลบั มาสูร่างกายรียบร้อยแล้ว เปน็ อันจบพธิ ี พธิ เี รยี กขวญั ทีอ่ าปาโหมฮ่ ีของประจำ� หม่บู ้าน พธิ จี ะขน้ึ ทอี่ าปาโหมฮ่ ี “อาปาโหมฮ่ ชี อื หญา่ ดชี่ วั ” กรรมนนี้ ยิ มทำ� กบั คนทว่ั ไป โดยไมไ่ ดเ้ จาะจง ว่าจะต้องเป็นหญิงมีครรภ์เท่าน้ัน อาปาโหม่ฮีเป็นศาลเจ้าประจ�ำหมู่บ้านของชนเผ่าลีซู ลีซูที่นับถือ บรรพบรุ ษุ หรอื นบั ถอื ผี จะตอ้ งใหค้ วามเคารพอาปาโหมฮ่ ี ถา้ ใครเจบ็ ปว่ ยหรอื ไมส่ บายกจ็ ะทำ� พธิ ขี อพร ขอให้อาปาโหม่ฮีช่วยคุ้มครอง และให้ปลอดภัยจากโรคภัยตลอดจนสิ่งช่ัวร้ายต่าง ๆ จากน้ันก็เสกบท คาถาลงในด้ายสายสญิ จน์ แล้วน�ำกลบั มาให้กับคนทไ่ี ม่สบายผกู ทีค่ อหรอื ทีข่ อ้ มือ ส่วนอุปกรณใ์ นการ ทำ� พิธีกจ็ ะมี ไก่ต้มสกุ ๑ ตวั ธูป ๒ คู่ ดา้ ยสายสญิ จน์ ขา้ วสุก ๒ ถว้ ย น�ำ้ ๒ จอก ถาดใส่ ๑ อนั แล้วนำ� ไก่ตม้ มาจดั ใสถ่ าดทเ่ี ตรยี มไว้ เอาข้าวสกุ ๒ ถว้ ย มาวางข้าง ๆ ไก่ข้างละ ๑ ถ้วย แล้วเอาน้�ำที่ใส่น�้ำไว้ มาวางกบั ถ้วยข้าวสุกข้างละ ๑ จอก จดุ ธปู ๒ คู่ มาวางขา้ งไก่คลู่ ะขา้ ง แลว้ น�ำดา้ ยมาวางบนถาด ผู้ที่ ทำ� พธิ กี รรมเหลา่ นตี้ อ้ งไปสวดขอพรทอี่ าปาโหมฮ่ ี ลซี มู คี วามเชอ่ื กนั วา่ อาปาโหมฮ่ เี ปน็ หวั หนา้ บรรพบรุ ษุ ทล่ี ว่ งลบั ไปแลว้ ถา้ อาปาโหมฮ่ ดี แู ลเราอยพู่ วกภยั รา้ ยกไ็ มก่ ลา้ มารงั ควาญได้ สถานทต่ี ง้ั อาปาโหมฮ่ ตี อ้ ง อยเู่ หนอื หมบู่ า้ น ลซี เู องกไ็ มน่ ยิ มทจี่ ะสรา้ งบา้ นใหอ้ ยใู่ นบรเิ วณเหนอื กวา่ อาปาโหมฮ่ ี เพราะถอื วา่ อาปา โหมฮ่จี ะต้องอยู่เหนอื กวา่ ลูกหลาน (คนในหมบู่ ้าน) กรณที จ่ี ะมกี ารเดินทางไกลหรอื เดินทางไปคา้ งแรง ในป่า จะมกี ารภาวนาหรืออธิฐานใหอ้ าปาโหมฮ่ี ช่วยคุ้มครองให้ตนเองไม่ใหเ้ กิดอันตรายใด ๆ ทั้งสิ้น
152 ชนต่างวฒั นธรรมในประเทศไทย ประเพณีปใี หม่ ประเพณีปใี หม่ “โข่เซยยี่ ” จดั ขน้ึ ในวันท่ี ๑ เดือน ๑ ของเดือนลีซู ซึง่ ลีซเู รยี กเดือนนี้วา่ “โขเ่ ซยยี่ อาบา” เปน็ วันทมี่ คี วาม ส�ำคญั มากสำ� หรบั ชาวลซี ู เพราะเชอ่ื วา่ เปน็ วันทีเ่ รม่ิ ตน้ ส�ำหรับชวี ติ และสิง่ ใหม่ ใหส้ ิ่งเก่า ๆ ที่ไม่ดีหมด ไปพรอ้ มกบั ปเี กา่ จงึ ตอ้ งมกี ารเฉลมิ ฉลองดว้ ยการทำ� พธิ กี รรม และจดั งานรน่ื เรงิ เชน่ การทำ� บญุ ศาลเจา้ และเทพเจ้าต่าง ๆ ของชาวลีซู การขอศีลพรจากเทพเจ้า และผู้อาวุโส การร้องเพลง การเล่นดนตรี และการเต้นร�ำ เปน็ ต้น ก่อนวันปีใหม่ ๑ วัน หรือวนั สุดท้ายของเดือน “หลายี” (เดือน ๑๒) จะมกี าร ต�ำข้าวปกุ๊ หรือเรียกวา่ “ปา่ ปาเตีย๊ ะ” ส�ำหรับกจิ กรรมและพธิ กี รรมต่าง ๆ ทที่ ำ� ในวนั น้คี อื นงึ่ ขา้ วเหนยี ว เพอ่ื ตำ� ขา้ วปุ๊กในตอนเชา้ เมื่อขา้ วสกุ แล้วก็นำ� ข้าวเหนยี วไปตำ� ใน “ลทู ูว” จนนุ่ม และโรยแปง้ หรืองา เพอ่ื ไมใ่ ห้ขา้ วเหนียวติดมือ และปั้นเป็นก้อนพอประมาณ ใส่ลงไปในใบตองท่ีเตรียมไว้ โดยทบไปตองไปมา หน้าละ ๒ ก้อน จนกระท่ังใบตองหมดแผน่ จงึ ท�ำแผน่ ใหมเ่ ร่ือย ๆ จนหมด หมายเหตกุ อ่ นวนั “ปา่ ปาเตย๊ี ะ” ๑ วนั ตอนเยน็ วนั นนั้ “มอื หมอื ” จะตอ้ งเปน็ คนแชข่ า้ วเหนยี ว ก่อน และจุดประทัดเป็นสัญญาณบอก จากน้ันชาวบ้านอ่ืน ๆ จึงจะแช่ข้าวเหนียวได้ - ช่วงเย็นต้อง เตรียมต้นไม้ “โข่เซยี่ยและจึว” ซึ่งจะเลือกเอาจากต้นไม้ท่ีมีลักษณะงาม ล�ำต้นเรียวยาว สูงประมาณ ๑.๕ เมตร โดยนำ� ตน้ ไม้มาปักกลางลานบริเวณบ้าน จากนน้ั นำ� “ปา่ ปา” และเนือ้ หมูหน่ั ยาวประมาณ ๖-๗ น้วิ “ซาซือ” แขวนที่เสา และจุดธปู ๒ ดอก และมีการเตรยี มไขต่ ้ม และเสน้ ดา้ ยยาวขนาดท่ีจะ มดั ทค่ี อหรอื ขอ้ มอื ได้ เทา่ กบั จำ� นวนสมาชกิ ในบา้ น ผอู้ าวโุ สในบา้ น (จะเปน็ ผชู้ าย) เปน็ ผทู้ ำ� พธิ เี รยี กขวญั “โชวฮาควู ” โดยการเอาไขต่ ม้ ทง้ั หมด และเสน้ ดา้ ยทจี่ ะใชม้ ดั วางขนถว้ ยทใี่ สข่ า้ วสกุ ทว่ี างบนผา้ อกี ชน้ั หนงึ่ ไปยืนเรียกขวัญที่หน้าประตูบ้านเม่ือท�ำพิธีเสร็จ จึงท�ำการผูกด้ายสายสิญจน์ และให้ไข่ต้มแก่สมาชิก คนละใบ เพอ่ื ใหข้ วัญท่ีอาจหลดุ ลอยไปจากรา่ งกายของเจ้าของไดก้ ลบั เข้าร่างของตน สำ� หรับการต้ัง “โข่เซยีย่ และจึว” นน้ั เพื่อเป็นการอนั เชิญใหเ้ ทพผ้หู ญงิ ลงมาประทบั ซึง่ จะให้ ศีลและพรแก่เจ้าของบ้าน และจะลงมาเยี่ยมเยยี นปีละครงั้ ในตอนเชา้ ของวัน “อาพูวทีง่ ”ี (วนั แรกของ วันปีใหม่) ดังนั้นจึงต้องท�ำความสะอาดบ้าน ก่อนท่ีเทพองค์น้ีจะลงมา เช่ือว่าหากบ้านไหนสกปรกจะ ไมใ่ หพ้ ร นอกจากนยี้ งั ใชส้ ำ� หรบั เปน็ จดุ ศนู ยก์ ลางในการเตน้ รำ� รอบ ๆ ตน้ อกี ดว้ ย เพอื่ เฉลมิ ฉลองปใี หม่ และขับไล่ส่ิงชั่วร้ายออกจากบริเวณบ้านเมื่อต้ัง “โข่เซยี่ยและจึว” แล้วก็เตรียมท�ำเทียนโดยเอาก้อนข้ี ผึ้งไปรนไฟให้อ่อน แล้วปั้นเป็นก้อน และไปรูดกับด้ายที่ขึงเตรียมไว้จนหมดด้าย แล้วน�ำมาตัดเป็น ท่อน ๆ ยาวพอประมาณส�ำหรบั ใช้ทำ� พิธีบูชาสงิ่ ศกั ดิ์สทิ ธ์ิ และวิญญาณบรรพบุรษุ กลางคนื จะมกี าร เต้นร�ำรอบ ๆ “โข่เซยี่ยและจึว” ของทุก ๆ บ้านตลอดคืน โดยจะมีการเวียนจนครบทุกบ้าน เพ่ือเป็นการขับไล่สิ่งเลวร้ายไปให้หมด พร้อมกับปีเก่า และต้อนรับส�ำหรับปีใหม่ ซึ่งชาวลีซูเรียกว่า “โข่เบ่จ๊วั ะ”
ลีซู (ลซี อ) Li-shaw, Lisaw 153 เครอ่ื งดนตรที ใี่ ชป้ ระกอบการเตน้ รำ� ไดแ้ ก่ ซงึ “ชอื บอื ” แคนนำ้� เตา้ “ฟวู่ หลวู ” มหี ลายประเภท มีทัง้ แคนสั้น และแคนยาว และขลุ่ย “จวู่ หลู่ว” เป็นตน้ อาพวู ทง่ี ี คอื วนั แรกสำ� หรบั ของการปใี หม่ ในวนั น้ี ทกุ บา้ นจะตอ้ งตน่ื แตเ่ ชา้ เพอื่ เตรยี มอปุ กรณ์ สำ� หรบั ทำ� พธิ เี ซน่ ไหวว้ ญิ ญาณบรรพบรุ ษุ และเทพ “อาปาโหมว่ ” เชน่ ปง้ิ “ปา่ ปา” ตม้ “ซาซอื ” เปน็ ตน้ รวมทั้งการตักน้�ำ ในเช้าน้ีเช่ือว่าจะน�ำมาซ่ึงโชคลาภ และเงินทองท่ีไหลมาตามน�้ำ นอกจากนี้จะไม่น�ำ เศษขยะทก่ี วาดทงิ้ ภายในบา้ นไปทงิ้ นอกบา้ นเดด็ ขาด จนกวา่ พธิ ปี ใี หมจ่ ะเสรจ็ สน้ิ จะนำ� เศษขยะไปเกบ็ ไว้ในถงั ขยะภายในบ้านกอ่ น เม่อื เตรยี มอปุ กรณ์เสร็จแลว้ ก็เดินทางไปศาลเจ้าประจ�ำหมบู่ ้าน “อาปาโหม่วฮ”ี โดยทกุ บ้าน ต้องส่งตัวแทนไปร่วม ๑ คน ซึง่ ต้องเป็นผ้ชู ายเทา่ น้ัน อุปกรณ์ทีน่ �ำไป ได้แก่ ปา่ ปา ๑ คู่ เหลา้ ๑ ขวด และซาซอื ๑ อนั เพอื่ นำ� ไปขอศลี พรจากเทพ “อาปาโหมว่ ” ซง่ึ เปน็ เทพทป่ี กปอ้ งดแู ลคนภายในหมบู่ า้ น โดยมี “มอื หมอื ” เปน็ ผนู้ ำ� พธิ ี เมือ่ เสร็จพธิ ีแล้วกก็ ลบั มาพร้อมกับพรต่าง ๆ สว่ นสมาชกิ คนอน่ื ๆ ก็รอ ทบี่ า้ น เมอื่ ไดย้ นิ เสยี งประทดั ดงั ซง่ึ เปน็ สญั ญาณบอกวา่ พธิ ขี อพรจากเทพ “อาปาโหมว่ ” เสรจ็ สน้ิ ลงแลว้ จะมีการเรียกหมู เรยี กไก่ หรอื อ่นื ๆ ตามแต่ท่แี ต่ละคนอยากได้ เพราะเชื่อกนั ว่าเชา้ น้ี “อาปาโหม่ว” จะให้พรแก่ทกุ คนตามต้องการ จากน้นั จึงจัดเตรียมของ เซน่ ไหวบ้ รรพบรุ ษุ ในบา้ น และเซน่ ไหว้ และในเชา้ มดื วนั นห้ี า้ มผหู้ ญงิ ออกนอกบา้ น จนกวา่ พระอาทติ ย์ จะข้ึน หากเข้าไปบ้านของผู้อ่ืนจะโดนราดด้วยน�้ำสกปรก เพราะเชื่อว่าจะน�ำความช่ัวร้ายมาสู่คนใน ครอบครวั นน้ั จงึ ตอ้ งขบั ไลอ่ อกไป สว่ นผชู้ ายสามารถไปบา้ นของคนอนื่ ได้ โดยทผี่ ชู้ ายคนแรกทเี่ ขา้ บา้ น เรยี กวา่ “ฉะหมอ่ื ” คนในครอบครวั นน้ั จะใหข้ องตา่ ง ๆ เชน่ ขนม เงนิ หรอื ของใชต้ า่ ง ๆ ตามแตเ่ จา้ ของ บ้านจะให้ เพราะเช่ือว่าเขาจะน�ำความโชคดีมาให้ และในวันนี้เป็นวันศีลจะไม่มีการฆ่าสัตว์ใด ๆ พอสายกเ็ ตรียมอุปกรณ์เพอื่ ไปร่วมพธิ ีดำ� หวั “มือหมือ” ซึง่ เรียกวา่ “มือหมือไป”๊ อุปกรณท์ ี่เตรยี มไป ไดแ้ ก่ ปา่ ปา ซาซอื ดอกไม้ ธูปเทยี น และเหลา้ ส�ำหรับพธิ ีนี้ เปน็ การแสดงความขอบคุณ “มอื หมอื ” ซ่ึงเป็นผู้น�ำพิธีกรรมต่าง ๆ ตลอดปีที่ผ่านมา และขอศีลพรจาก “มือหมือ” อีกด้วย จากน้ันจะมีการ เตน้ รำ� รอ้ งเพลง โดยหนมุ่ สาวจะแตง่ กายดว้ ยชดุ ชนเผา่ และสวมเครอ่ื งประทบั อยา่ งสวยงามมาเตน้ รำ� อยา่ งสนกุ สนาน ผู้ใหญก่ จ็ ะร้องเพลง พดู คยุ กัน จนกระทง่ั ดึก กจ็ ะมีการเต้นร�ำเวียนรอบบ้านทุกบา้ น ซึ่งเรียกว่า “โข่เซยย่ี จวั๊ ะ” เพอื่ เป็นการเฉลมิ ฉลอง และตอ้ นรบั ปีใหม่ ตลอดจนเพื่อให้พร และสริ มิ งคล แก่เจา้ ของบ้านตา่ ง ๆ โดยเจ้าบ้านจะคอยต้อนรับด้วยการน�ำขนม นำ�้ ชา และเหล้ามาเล้ียงขอบคุณ อาพวู งง่ี คอื วนั ทส่ี องสำ� หรบั งานปใี หม่ ในวนั นช้ี าวบา้ นจะมาทำ� พธิ ดี ำ� หวั ผนู้ ำ� ชมุ ชน “ฆวั่ ทวู ไป”๊ เพ่ือขอบคุณผู้น�ำชุมชนท่ีดูแล และปกครองคนในชุมชนให้อยู่เย็นเป็นสุขตลอดปี ซ่ึงพิธีกรรมและ กจิ กรรมเหมอื นการดำ� หวั “มอื หมอื ” แตจ่ ะไมม่ กี าร “โขเ่ ซยย่ี จวั๊ ะ” จะรว่ มกจิ กรรม และเตน้ รำ� ตลอดวนั และตลอดคืนท่นี ่ี
154 ชนตา่ งวฒั นธรรมในประเทศไทย อาพูวส่างี คือวันที่สามส�ำหรับงานปีใหม่ ในวันน้ีช่วงเช้าจะไปยังบริเวณศาลเจ้า “อ๊ิด่ามอ” หรอื “มวึ๊ กวกู ัว” เพ่อื ขอศีลขอพรจากเทพ “อ๊ิดา่ มอ” ซึ่งเป็นเทพผยู้ ่งิ ใหญท่ ่ีปกป้องดูแลไมใ่ หเ้ กดิ สิ่ง ช่ัวร้ายส�ำหรบั คน แม้แต่จะอย่นู อกเขตหมูบ่ า้ นกต็ าม จะปกปอ้ งทวั่ ทุกทิศ สำ� หรบั เคร่อื งเซน่ ไหว้ ไดแ้ ก่ ซาซือ ป่าปา และเหล้า และต้องมีหนุ่มสาวท่ีบริสุทธิ์ ความประพฤติดี จำ� นวน ๔ คน ประกอบด้วย หญงิ สาว ๒ คน และชายหนุ่ม ๒ คน เพราะเทพ “อิด๊ ่ามอ” เปน็ เทพแห่งความบริสทุ ธ์ิ (หนุ่มสาวที่ไป รว่ มพธิ ี ๒ คู่ ไมไ่ ดน้ ำ� ไปประหตั ประหารแตป่ ระการใด เพยี งแคเ่ ปน็ หนงึ่ ในเครอ่ื งเซน่ ไปรว่ มพธิ เี ทา่ นนั้ ) นอกจากนน้ั กจ็ ะมบี คุ คลอน่ื ๆ ไปรว่ มได้ เมอื่ ทำ� พธิ ขี อพรแลว้ กเ็ ตน้ รำ� รอ้ งเพลง จากนน้ั จะมกี ารดำ� หวั ผู้น�ำคนอน่ื ๆ ตามแต่ชาวบา้ นจะเหน็ สมควร และอยากท�ำพธิ ดี ำ� หวั เช่น ผู้ชว่ ยผู้ใหญ่บ้าน เปน็ ต้น หมายเหต:ุ พธิ สี ำ� คญั ในงานปใี หมจ่ ะมเี พยี ง ๓ วนั เทา่ นนั้ นอกจากนน้ั จะสามารถจดั งานรน่ื เรงิ เตน้ ร�ำ รอ้ งเพลง ได้เรอ่ื ย ๆ ประมาณ ๓-๗ วนั หรอื ตามแต่คนในชมุ ชนอยากจะจัด พิธีขอบคณุ เทพ พธิ ีเซ่นไหว้เทพ (หงว่ั ฮาหว)ู่ ๗ มีขึ้นในวันท่ี ๕ เดือน “หงั่วฮา” (เดือน ๕ ของลีซู) ในวันน้ีจะมีการท�ำพิธีเซ่นไหว้เทพ “อาปาโหม”่ และมกี ารพฒั นาศาลเจา้ ตลอดจนมกี ารขอศลี ขอพรจากเทพอาปาโหม่ เพอ่ื ใหพ้ ชื ผกั เจรญิ อกงาม เชอื่ กนั วา่ หากเพาะปลกู พชื ผกั ในวนั นจี้ ะทำ� ใหพ้ ชื ผกั เจรญิ งอกงามมาก แมแ้ ตก่ ารหายาสมนุ ไพร ก็ตาม เชือ่ กันว่าในวันนี้ตัวยาจะมีฤทธ์แิ รง สามารถรักษาโรคไดด้ ีกวา่ วันอื่น ๆ พธิ ขี อบคุณเทพ (ฉวือแป๊ะกั๊วะ) มีขน้ึ ในวนั ที่ ๑๒-๑๔ เดือน ๗ “ซย่ฮี า” เป็นพธิ ีแสดงความขอบคณุ เทพเจ้า ทช่ี ่วยดแู ลรกั ษา พชื พรรณธญั ญาหารของชมุ ชน ใหม้ คี วามอดุ มสมบรู ณ์ เจรญิ เตบิ โตจนไดผ้ ลผลติ ในชว่ งตลอดปที ผ่ี า่ นมา พิธีกรรมจะไม่เหมือนกัน เพราะว่าแต่ละตระกูลจะมีรายละเอียดของการประกอบพิธีกรรมท่ีไม่ เหมือนกัน โดยรวม ๆ แล้วในวันแรกจะมีการน�ำผลผลิต พืชผลต่าง ๆ เช่น กล้วย แตงกวา ข้าวโพด อ้อย และดอกไม้ต่าง ๆ มาประดับประดาบนห้ิงบูชาบรรพบุรุษ และท�ำพิธีสวดบทสักการะแก่เทพ ต่าง ๆ ซ่ึงในเทศกาลน้ีทุกบ้าน จะต้องท�ำความสะอาดบ้าน และร่างกายของตัวเอง เพื่อเป็นสิริมงคล กับบ้าน และตนเอง ไม่มีการไปท�ำงานหรือท�ำธุระนอกบ้าน หากไม่จ�ำเป็น จากนั้นในวันที่ ๓ จึงน�ำ พืชผลและดอกไม้ต่าง ๆ ออกจากห้ิงบูชา ตอนเย็นเปล่ียนน้ำ� และจดุ ธูป อนั เปน็ วา่ จบพิธี ๗ ลกั ขณา ดาวรตั นหงษ์ “พิธไี หวผ้ ขี องบรรพบุรุษของชาวลีซอ” ภาษาและวฒั นธรรม ปที ่ี ๑๓ ฉบับท่ี ๑ (๒๕๓๗) หนา้ ๘๒-๙๑
ลีซู (ลีซอ) Li-shaw, Lisaw 155 ซอ่ มแซมศาลเจา้ (เฮอ้ ยป่ี า) จะจัดขน้ึ ในวันที่ ๗ ของเดือน “เฮอ้ ยปี า” (เดือน ๒ ของลีซ)ุ พิธจี ัดข้นึ ท่ศี าลเจ้า “อาปาโหม่” โดยมกี ารท�ำพธิ ีเซ่นไหว้ “อาปาโหม่” และพฒั นาศาลเจ้า เมือ่ เสรจ็ แล้วมกี ารกนิ ขา้ วร่วมกนั รอ้ งเพลง และเตน้ ร�ำตลอดจน มีการเสวนาแลกเปล่ยี นตา่ ง ๆ กัน ซง่ึ ผเู้ ข้ารว่ มพิธีน้จี ะมีแต่ผชู้ ายเทา่ นนั้ เพราะ ถอื ว่า “เฮอ้ ยปี า” เป็นการเฉลิมฉลองปีใหม่ของผชู้ าย มเี ร่อื งเลา่ กนั ว่าในอดีตชว่ งที่มีเทศกาลปใี หม่น้ัน ผู้ชายทั้งหลายต้องออกไปสู้รบกัน เหลือแต่ผู้หญิงที่อยู่ร่วมพิธีในวันปีใหม่ ดังนั้นหลังปีใหม่ ๑ เดือน พวกผ้ชู ายได้กลับมา และไดจ้ ดั งานปีใหม่อีกครั้งหนงึ่ เปน็ การทดแทน พระประจ�ำหมู่บ้าน (หมือ่ หมอ้ื ผะ) หมื่อหม้ือผะเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน จะเป็นผู้ดูแลศาลเจ้า “อาปาโหม่” และเป็นผู้น�ำในการ ประกอบพิธกี รรมต่าง ๆ ของลซี ู ตลอดจนเมอ่ื ถึงวันสำ� คัญตา่ ง ๆ หมื่อหมอ้ื ผะก็จะไปรับการปรึกษา จากบรรดาผู้สูงอายุในหมู่บ้าน ส�ำหรับหน้าท่ีของหมื่อหม้ือผะ คือทุก ๆ ๑๕ วัน ในข้ึน ๑๕ ค่�ำ หรือ แรม ๑๕ ค�่ำ เป็นวันศีลหรือวันหยุดงานของลีซู หมื่อหมื้อผะจะต้องไปท�ำความสะอาดปัดกวาด เช็ดถูหิ้งท่ีอาปาโหม่ และจุดธูป เปล่ียนน�้ำ แล้วก็บอกกล่าวให้อาปาโหม่รับรู้ว่าวันนี้เป็นวันศีล ขอให้ อาปาโหม่ช่วยเมตตาดูแลคุ้มครองบรรดาลูกหลาน และสตั วเ์ ล้ียงทงั้ หลายในหมู่บ้านเถอะ การแตง่ กาย เครื่องแต่งกายของสตรีลีซู เป็นประจักษ์พยานอันชัดถึงการแข่งขันกันเป็นหน่ึงอย่างไม่ยอม น้อยหน้าใครเห็นได้ตั้งแต่ส่วนบ่า และตันแขน ขอเสื้อซ่ึงใช้แถบผ้าเล็ก ๆ ซ้อนทับสลับสีไล่กันไป รอบ ๆ คอ และไส้ไก่ปลายเป็นปุยมากมายที่ห้อยสยายลงมาจากปลายผ้ารัดทางด้านหลัง ทั้งเคร่ือง ประดับเงิน และมีแต่งทับสลับช้อนเป็นแผงเต็มอกไม่มีที่ว่าง การแต่งกายของสตรีลีซูเปลี่ยนแปลงไป จากด้ังเดิมมาก ซึ่งจะเห็นได้ชัดในบริเวณช่วงไหล เน่ืองจากสมัยก่อนใช้การเย็บด้วยมือ แต่สมัยนี้เย็บ ด้วยจักร การเย็บจะปราณีตกว่า สวยกว่า แต่เล็กกว่าแบบดั้งเดิม เดิมที่ลีซูท�ำเส้ือผ้าฝ้ายใยกัญชา แต่ทุกวันนี้หญิงลีซูแถบเหนือจะใช้ผ้าฝ้าย ส่วนพม่าในจีนก็ยังคงนุ่งกระโปรง ผ้าใยกัญชาจีบสลับซับ ซอ้ น ลซี ใู นพมา่ การแตง่ กายจะแตกตา่ งกนั และหลายแบบ ซง้ึ ไมเ่ หมอื นกนั ชนเผา่ ลซี ใู นเมอื งไทย หญงิ ลีซูในเมืองไทยหันมาใช้ผ้าฝ้าย หรือผ้าใยสังเคราะห์ซ่ึงมีขายทั่วไปในท้องตลาด ตัวเส้ือทรงตรงหลวม ยาวผา่ ขา้ งทง้ั สองขน้ึ มาถงึ เอว ดา้ นหนา้ คลมุ เขา่ ดา้ นหลงั หอ้ ยลงไปคลมุ นอ่ ง คอกลมตดิ สาบเฉยี งแบบ จนี จากกลางคอลงไปถงึ แขนขวา ผา้ ชนิ้ อกของเสอื้ มกั ตา่ งกนั สว่ นอนื่ ๆ ตวั เสอ้ื มกั เปน็ สฟี า้ อมเขยี วหรอื สอี ่ืน ๆ
156 ชนตา่ งวัฒนธรรมในประเทศไทย เส้ือผ้หู ญิง ช้ินอกก็มกั ใช้ผา้ สเี ขียว หรอื ฟ้าใสไปเลยส่วนบ่าของเสอ้ื น้ัน ใชผ้ า้ ด�ำตัดเปน็ วงกลมคว้านวงคอ ตรงกลางแลว้ จงึ ใชแ้ ถบผา้ สสี ด หลากหลายเยบ็ เรยี งซอ้ นกนั เขา้ ไปจดั เสน้ รอบวงนอก และทำ� แบบเดย่ี ว กนั ทต่ี ้นแขน ผสู้ าวใหญ่ หรอื ผมู้ ีอายแุ ถบสีผ้าจะไม่คอ่ ยมีสี แต่ส�ำหรับสาวรนุ่ ใหม่ยิง่ ซอ้ นสลบั สตี า่ ง ๆ แถบไว้ท่ีบา่ และต้นแขนจะท�ำให้ดโู ดดเด่นไดม้ ากกเ็ ปน็ ที่ฮือฮากวา่ สาวทั้งหลาย ใตเ้ สอ้ื ยาวนี้สตรสี วม กางเกงขากว๊ ยสดี ำ� และรดั นอ่ งแดง แตง่ ขอบดว้ ยสฟี า้ แถมปกั ประดบั ดว้ ยสอี นื่ รอบเอวพนั ไวแ้ นน่ หนา ดว้ ยผา้ ดำ� ผนื กวา้ ง ยาวถงึ หกเมตร ดา้ นหลงั หอ้ ยพหู่ างมา้ หนง่ึ คยู่ าวครงึ่ เมตร แตล่ ะสายในหางมา้ นเ้ี ปน็ ไส้ไก่ผา้ ม้วนเสยี แน่นหนา แลว้ เยบ็ ตรงึ ด้วยไหมสีตดั กบั ผา้ ทปี่ ลายเสน้ ยงั ติดตมุ้ ไหมพรมหลากสเี ล็ก ๆ ไว้อีก แต่ก่อนนี้แต่ละพู่ก็มีไส้ไก่ราว ๒๕๐ - ๓๐๐ เส้น แต่ความที่หญิงลีซูต่างคนก็ต่างไม่ยอมแพ้กัน ทกุ วนั นพี้ ขู่ องใครมนี อ้ ยกวา่ ๑๐๐ เสน้ คนนนั้ เปน็ ขเี้ กยี จ รวมแลว้ ประมาณ ๕๕๐ เสน้ แตป่ จั จบุ นั หญงิ ลซี จู ะท�ำแค่ ๑๕๐ เส้น เพราะว่ามนั เยอะเกนิ ไปดแู ลว้ ไมส่ วย ผสู้ าวใช้ผา้ โพกศรี ษะดำ� เวลาแตง่ เต็มยศ ซงึ่ ท�ำดว้ ยแถบผา้ พับใหก้ วา้ งราว ๓-๔ ซ.ม. วัดรอบศีรษะให้ขนาดพอดี แลว้ จึงใช้หัวเขา่ ตัวเองเปน็ หุ่น พันแถบผ้าน้ีหลายรอบจนเป็นหมวกรูปทรงท่ีเห็นเย็บตรึงให้แน่นหนา แล้วใช้เส้นไหมพรมหลากสีติด กนั ออกจากหลบื ผา้ ดา้ นบนซา้ ยของหมวกออ้ มใตช้ ะโงกดา้ นหนา้ แลว้ ปดั ขน้ึ อยา่ งเกไ๋ กท๋ างดา้ นขวาไป หอ้ ยเปน็ หางมา้ จากกลางกระหมอ่ มดา้ นหลงั เสน้ ไหม สว่ นออ้ มใตห้ นา้ หมวก นนั้ ประดบั ดว้ ยลกู ปดั แกว้ และปยุ ไหมพรมอยา่ งงดงาม สว่ นสาวใหญใ่ ช้แถบผา้ ด�ำพนั ศรี ษะหลวม ๆ เรยี บ ๆ เท่านนั้ เสื้อผชู้ าย เทศกาลปใี หมเ่ ปน็ ยามทห่ี ญงิ สาวลซี ทู งั้ หลายแตง่ กายกนั อยา่ งเตม็ ที่ เครอื่ งประดบั เงนิ จะทบั โถม อยู่เต็มทรวงเจ้าหล่อน จะสวมเสื้อก๊ักก�ำมะหย่ีด�ำ ซึ่งปักปรายไปด้วยดุมเงิน เป็นสาย และดอกดวง ทงั้ ดา้ นหน้า และหลังยดื อกปดิ ด้วยหวั เข็มขัดเงินแผน่ สเี หลยี่ ม เรยี งลงมาเป็นแถวรอบคอ รดั ด้วยแถบ ผ้าติดสร้อยระย้า ซึ่งแผ่สยายอยู่เต็มอก ส่วนติ่งหูเจาะรูสองข้างเก่ียวตะขอห้อยตุ้มระย้าซ่ึงติดพู่ไหม พรมเพ่ิมสีสันเข้าไปด้วย แถมสร้อยเงินหลายสายที่โยงผ่านใต้คางจากตุ้มซ้ายไปสู่ตุ้มขวา ส่วนข้อมือ ท้งั สองสวมก�ำไลแผน่ กวา้ ง แต่งด้วยอัญมณี แมน้ ้ิวก็สวมแหวนเงนิ ไว้ ชดุ ของผชู้ ายเรยี บประกอบดว้ ยกางเกงเปา้ ตำ่� สฟี า้ หรอื สอี ะไรกไ็ ด้ สวมเสอ้ื แขนยาว จะตดิ ดว้ ย ก�ำมะหยี่ ซับในขวามักแต่งด้วยดุมเงินยิ่งมากย่ิงดี ท่ีได้มาตรฐานถึง ๑๐๐๐ เม็ด เอวคาดด้วยผ้าแดง และในยา่ มกห็ อ้ ยพหู่ างมา้ ยาวคลา้ ยของผหู้ ญงิ แตว่ า่ หนมุ่ นนั้ หอ้ ยไวข้ า้ งหนา้ เดมิ ทผี ชู้ ายจะสวมผา้ โพก ศีรษะท�ำด้วยผ้าไหมสีแดง ฟ้า เหลือง และด�ำ แต่ปัจจุบันหายากแล้ว เห็นใช้กันแต่ผ้าขนหนูขาว สอดกระดาษแขง็ ให้ตง้ั ข้ึนราว ๒๐ ซ.ม. พนั รอบศีรษะงา่ ย ๆ และห้อยตุ้มหูเงินขา้ งเดยี วจากรูทเ่ี จาะ ไว้ท่ตี ง่ิ หซู า้ ย สวมก�ำไลก้านเงินเรียบ ๆ ทขี่ ้อมือขา้ งละวง
ลีซู (ลซี อ) Li-shaw, Lisaw 157 ยา่ มของลซี ู ยา่ มใชง้ านของลซี ทู อดว้ ยดา้ ยขาว หรอื ดา้ ยดบิ โดยใชท้ ผี่ กู ขอ้ มอื เปน็ ผา้ พน้ื ขาวยกลายทางสแี ดง หรือสีอ่ืน ๆ นอกจากสะพายบ่าเหมือนเผ่าอ่ืน ยังมีการติดสายหวายถัก ซึ่งใช้คาดศีรษะให้ตัวย่าม หว้ อยบู่ นบา่ อกี ดว้ ย ยา่ มไปงานทอดว้ ยเสน้ ดา้ ย มกี ารทงิ้ ครยุ กรายดา้ นขา้ ง แลว้ ยงั มหี ู คอื ชน้ิ ผา้ สเ่ี หลย่ี ม เลก็ ๆ ทม่ี มุ ทงั้ สองของยา่ ม ลายปกั งดงามแปลกตาท่ี หนู ไ่ี มม่ ซี ำ้� กนั เพราะถอื วา่ เปน็ ลายเซน็ ของคนทำ� บางคนกจ็ ะตดิ กระดมุ เงนิ เมด็ นอ้ ยไวท้ มี่ มุ หู ปากยา่ มกนุ๊ และปะแตง่ ดว้ ยแถบผา้ หลากสี และยงั ทงิ้ แถบ ผา้ สแี ดง และสฟี า้ เขม้ หอ้ ยจากหลู งไปดว้ ย ยา่ มทงี่ ดงามทส่ี ดุ ไมว่ า่ จะเปน็ ของลซี ู หรอื เผา่ อนื่ ใดคอื ยา่ ม เกี้ยวสาว ของหนุ่มวัยก�ำดัดนั้นท�ำเหมือนย่ามท่ีกล่าวมาแล้ว แต่แผ่นหน้าปักลูกปัดเป็นเม็ดเล็ก ๆ หลายสีไว้เต็มพืดเป็นลายละเอียดแถบผ้าท่ีห้อยจากหูน้ันยาวร่วม ๒๐ ซ.ม. ปักประดับด้วยด้ายสีสด หลายสีไม่มีว่างเว้นกัน ย่ามห้อยครุยไหมพรมหลากสียาวเทาแถบผ้าจากหู และปกย่ามติดกระดุม ตมุ้ ระยา้ เงนิ ตลอดแนว การผลติ หนา้ ทผี่ ลติ เสอ้ื ผา้ เครอ่ื งนงุ่ หม่ เปน็ ของฝา่ ยหญงิ เชน่ เดยี วกบั ชนเผา่ อนื่ ๆ วสั ดทุ ใี่ ชผ้ ลติ ปจั จบุ นั ซื้อผ้าทอ และด้ายย้อมสีส�ำเร็จรูปจากโรงงานท่ีมีขายตามร้าน ลักษณะการทอผ้าของลีซูเหมือนกลุ่ม มเู ซอ คือ เป็นแบบหอ้ ยหลงั หรือสายคาดหลงั การทอผา้ เพอื่ เย็บสวมใส่ ไมม่ ปี รากฏในชมุ ชนลซี ูของ ประเทศไทย ปัจจุบนั มเี พียงการทอผา้ หน้าแคบขนาดเล็ก ๆ เพื่อน�ำมาเย็บประกอบเป็นยา่ มเทา่ นนั้ การตกแต่ง ลกั ษณะการตกแต่งเส้อื ผา้ ส่วนใหญ่เน้นประดบั ด้วยแถบริ้วผ้าสลับสี ผ้าตัดปะและเมด็ โลหะ เงนิ มกี ารตกแตง่ ดว้ ยลายปกั บา้ งเลก็ นอ้ ย และดา้ นขา้ งสายยา่ มชว่ งตอ่ กบั พทู่ จี่ ะทงิ้ ชายลงมาทงั้ สองดา้ น เทา่ นนั้ นอกจากนน้ั ยงั มกี ารตกแตง่ เพมิ่ เตมิ ใหด้ โู ดดเดน่ ขน้ึ อกี หลายแบบ เชน่ ใชพ้ ไู่ หมพรมหลากสี กระจกุ ด้ายลูกปดั และเคร่ืองเงิน ลวดลาย ลกั ษณะลวดลายพน้ื ฐานซง่ึ เปน็ ทร่ี จู้ กั ดใี นกลมุ่ ผหู้ ญงิ และสว่ นใหญเ่ ปน็ ลวดลายทเ่ี กดิ จากการ ใช้แถบริ้วผ้าสลับสีผสมผสานกับลายตัดผ้าปะ เช่น คัวะเพียะคว้า (ลายหางธนู) เพี่ยะกุมาคว้า (ลายหน้าอกเสื้อ) อ๊ะหน่า (ลายเข้ียวหมา) ลายนี้ย่ิงท�ำเขี้ยวได้เล็กมากเท่าไหร่ แสดงว่าผู้ท�ำมีฝีมือดี ฟูย่ีฉี่ (ลายท้องงู) นะหูเมี่ยซืย (ลายตาหมวก) อี๊กือจะย่า (ลายริ้วผ้าสลับสี) ใช้สลับหรือก�ำหนดลาย จะสังเกตได้ในการตกแต่งคอเสื้อผู้หญิง จะใช้ลายเพียงสองลาย คือ อี๊กือจะย่า หรือ ลายริ้วผ้าสลับสี และลายอะ๊ หนา่ หรอื ลายเขยี้ วหมาซง่ึ งา่ ยตอ่ การ ปรบั ใหโ้ คง้ ไปตามแนวรอบคอ ลายอก๊ี อื จะยา่ ลายรวิ้
158 ชนตา่ งวฒั นธรรมในประเทศไทย ผ้าสลับสี และลายเขยี้ วหมา จะใชป้ ระกอบกบั ทกุ ลาย ส่วนลายอนื่ ๆ ไมน่ ยิ มนำ� มารวมกนั จะเลอื กใช้ เพียงลายใดลายหนึ่ง น�ำมาเป็นลายหลักแล้วแต่งประกอบด้วยลายอ๊ีกือจะย่า และลายอ๊ะหน่าซึ่งส่วน ใหญจ่ ะใช้ตกแตง่ แขนเส้ือ เข็มขัด และหมวกเด็ก การเย็บผ้าเปน็ ไสไ่ ก่ ลซี ูมคี วามเชย่ี วชาญในการเยบ็ ผ้าเปน็ เสน้ เลก็ ๆ ยาวประมาณ ๘-๑๒ เมตร สสี ดใสเพ่อื น�ำมา มัดรวมกัน ติดปลายแต่ละเส้นด้วยกระจุกด้ายเล็ก ๆ สวยงาม เพ่ือใช้เป็นพู่ประดับผ้าคาดเอวทั้งชาย และหญงิ สว่ นหมวกผหู้ ญงิ เพอื่ สวมใสใ่ นโอกาสสำ� คญั ๆ จำ� นวนไสไ้ กม่ ดั หนง่ึ ๆ ตอ้ งมากกวา่ ๒๐๐ เสน้ มิฉะนั้นพ่ปู ระดับจะแกว่งไกวไม่สวยเวลาเคลอื่ นไหวเตน้ รำ� ศิลปะ การทอผ้า การทอผา้ ซงึ่ แตล่ ะเผา่ กม็ คี วามแตกตา่ งกนั ในรปู แบบของแตล่ ะเผา่ ซง่ึ จะมสี ญั ลกั ษณใ์ นแบบ ของตัวมันเอง ซ่ึงย่ามก็เป็นอีกสัญลักษณ์หน่ึงชาวลีซู ถ้าคนทั่วไปรู้จักชาวชนเผ่าดี ซ่ึงถ้าได้เห็นย่ามก็ จะรู้ได้เลยว่า เจ้าของย่ามนี้เป็นของชาวชนเผ่าลีซูแน่นอน ลวดลายผ้าของชาวลีซูจะมีความแตกต่าง จากเผา่ อื่น ๆ วธิ ีการทอย่ามของชาวลีซู ๑. เอาเส้นดา้ ยมาเรียงกันอย่างระเบยี บตามแนวนอน ๒. ขนาดกบั ไมข้ ้นึ เคร่ืองทอย่าม ซ่งึ น�ำมาเรียบลำ� ดบั ไว้ ๓. การเรยี บด้ายใหจ้ ำ� นวน ๒ คู่ เช่น ๒ เสน้ หรอื ๔ เสน้ ควบ ๔. คลอ้ งด้ายหลักที่ ๑ และสาวด้ายท้งั หมดจะผา่ นหลักท่ี ๒-๓-๔ และ ๕ นำ� ไปคล้องหลกั ที่ ๖ แลว้ สาวกลบั มาคล้องหลกั ที่ ๑ ๕. ดงึ ดา้ นหน้าทั้งหมดใหต้ ึงเสมอกัน และน�ำมาพนั รอบหลักท่ี ๒ ตามมาแนวเขม็ นาฬกิ า ๖. ดงึ ดา้ ยทง้ั หมดใหต้ งึ เสมอกนั มาทอดา้ นหนา้ หลกั ที่ ๓ ซง่ึ เปน็ จดุ แยก โดยใชด้ า้ ยอกี กลมุ่ หนง่ึ เป็นดา้ ยตะกอสอดทเ่ี ข้าไประหว่างดา้ ย หรือที่แยกเป็น ๒ ส่วนเท่า ๆ กัน ๗. ดา้ ยส่วนทไ่ี มไ่ ดค้ ล้องตะกอ แยกผา่ นดา้ นหลงั ไปหลักท่ี ๔ และสว่ นทีค่ ล้องตะกอดึงผา่ น ด้านหนา้ หลกั ท่ี ๔ ๘. ดงึ ด้ายทั้งหมดให้ตึง พนั ออ้ มหลักท่ี ๖ และสาวใหต้ ึง
ลีซู (ลีซอ) Li-shaw, Lisaw 159 ๙. ดงึ กลบั มาเร่ิมตน้ ทีห่ ลกั ท่ี ๑ ใหม่ หากตอ้ งการสลบั สกี เ็ ปลย่ี นดา้ ยใหม่เปน็ สีทเ่ี ราตอ้ งการ โดยเรมิ่ ต้งั แตห่ ลกั ท่ี ๑ เชน่ กัน ท�ำหมนุ เวยี นไปเรอื่ ย ๆ จนถงึ ความสูงและความกว้างทเ่ี ราต้องการ ๑๐. ถอดไมท้ ้ังหมดออกจากไม้ขึน้ เครือ่ งทอย่าม ๑๑. จากนนั้ นำ� เครื่องทอย่ามทางกา้ นไม้ ร้ังผ้าไปผกู ยึดกับฝาหรอื เสาระเบยี งบา้ น ๑๒. ให้ได้มรี ะดบั ความสูงประมาณศีรษะของผทู้ อ ๑๓. น�ำด้ามไม้พันผ้าแผ่นหนังมาอ้อมรอบเอวด้านหลังของผู้ทอ และผูกที่หัวปลายท้ังสอง ข้างของไมพ้ นั ผา้ พรอ้ มกับดงึ เคร่ืองทอยา่ มให้ตึงพอประมาณ ๑๔. ทีน่ ่ังของผทู้ อยา่ มให้อยใู่ นต�ำแหน่งทเี่ หมาะสม และเร่ิมทอ อุปกรณ์ท่ีใช้ในการทอย่าม ฉือหย่า คอื ด้าย คว่าผี่ คือ ผา้ พันสะโพก หยา่ สือผ่ี คอื ไมก้ ระทบ หยา่ ค้ลู ูถู คือ ไมแ้ ยกด้าย หย่าลดู้ า คอื ไมค้ �ำ้ เอว การเย็บเสอ้ื ผ้า ลักษณะการแต่งกายของหญิงลีซู จะมีความโดดเด่นที่ว่ามีสีสัน และลวดลายหลากหลาย โดยส่วนใหญ่จะใช้สีแดงเป็นหลัก ในการตกแต่งตั้งแต่ผ้าโพกหัวท่ีเป็นทรงกลม ตกแต่งด้วยลูกปัด และพู่ประดับหลากสี เวลาสวมใส่จะส่งผลให้ใบหน้าดูโดดเด่น สวยงามย่ิงข้ึน ส่วนตัวเส้ือน้ันเป็นเส้ือ แขนยาว คอกลม ทรงตรง จะมีสีหลาย ๆ สี เช่น สีน�้ำเงิน ฟ้า เขยี ว เว้นแตแ่ ขนเสือ้ ทงั้ สองขา้ งจะเป็น สีแดง ตัวเส้ือด้านข้างผ่าตั้งแต่เอวลงไป ความยาวของด้านหน้าถึงหัวเข่า ส่วนด้านหลังยาวถึงตาตุ่ม ทค่ี อเสือ้ เยบ็ ผ้าดำ� ตดิ รอบ ๆ ถัดจากนน้ั มา ก็ใชแ้ ถบผ้าเลก็ ๆ หลากสมี าเยบ็ ติดกนั เป็นแถบ ๆ ลงมา จนถึงบ่า เว้นระยะนิดหนึ่ง แล้วเย็บแถบใหญ่ติดท่ีต้นแขนท้ังสองข้าง และท่ีสายเฉียงด้านหน้าต้ังแต่ คอลงมาถึงใต้รกั แรข้ วา ทข่ี อบเสอื้ ชว่ งผา่ ตั้งแตเ่ อวลงมา ติดแถบผ้าแถบใหญ่สีเดียวกับตัวเส้อื ส�ำหรับ กางเกงนน้ั เปน็ กางเกงขากว๊ ยสดี ำ� ยาวถงึ ใตเ้ ขา่ ทเี่ ปา้ จะหยอ่ นลงมาจนเกอื บถงึ หวั เขา่ ทเี่ อวคาดผา้ ดำ� ผืนใหญ่ โดยเยบ็ ตดิ กับด้านหน้าขอบบน ซึง่ จะใชส้ ีอะไรกไ็ ด้ สว่ นเสอ้ื ก�ำมะหยี่สดี �ำ เย็บประดบั ดว้ ยเงนิ ทรงกลมผ่าซีกรอบ ๆ คอ และอกห้อยเงนิ เล็ก ๆ เตม็ คอเตม็ อก ถัดจากอกลงมาถงึ หนา้ ทอ้ ง เปน็ เสอ้ื ของชาวลีซูผชู้ าย เส้ือผูช้ ายนนั้ นยิ มใส่เสอื้ เชิ้ตท่ีหา ซอ้ื มาจากในเมอื ง สว่ นกางเกงนนั้ ยงั นยิ มใสก่ างเกงลซี อู ยู่ เชน่ เปน็ กางเกงขากว๊ ย เปา้ กางเกงนนั้ หยอ่ น ยาวลงมาเกอื บถงึ เขา่ สว่ นสนี น้ั สอี ะไรกไ็ ดแ้ ลว้ แตค่ นชอบสไี หน ยกเวน้ แตส่ ดี ำ� เพราะผชู้ ายจะไมใ่ สส่ ดี ำ� สดี ำ� นนั้ เปน็ สขี องกางเกงผหู้ ญงิ ตวั เสอ้ื กำ� มะหยคี่ อกลมแขนยาวสดี ำ� ผา่ อกมกี ระดมุ เงนิ ตดิ ไขวท้ างดา้ น
160 ชนต่างวัฒนธรรมในประเทศไทย ขวาไดร้ กั แร้ ตวั เสอ้ื จะมกี ระเปา๋ ขา้ ง ๆ ประดบั ประดาดว้ ยเงนิ เปน็ รปู ทรงกลมเลก็ ๆ จะเยบ็ เตม็ ดา้ นหนา้ และด้านหลัง ต้ังแต่ต้นคอจนถึงไหล่ท้ังสองขา้ งซ่งึ ยาวลงมาถงึ อก ลวดลาย ลักษณะลวดลายพื้นฐานซึ่งเป็นท่ีรู้จักดีในกลุ่มผู้หญิง ส่วนใหญ่เป็นลวดลายที่เกิดจากการใช้ แถบริว้ ผา้ สลับสี ผสมผสานกับลายตัดผา้ ปัก จะมีดงั นี้ ๑. ควั ะเพียะควา้ “ลายหางธน ” ๒. เพี่ยะกมุ าคว้า “ลายหนา้ อกเสอื้ ” ๓. อะ๊ หนา่ ยอื “ลายเขย้ี วหมา” ลายนยี้ งิ่ ทำ� เขยี้ วไดเ้ ลก็ มากเทา่ ไหร่ แสดงวา่ ผทู้ ำ� นน้ั มฝี มี อื ดมี าก ๔. ฟูยฉี ี่ “ลายงูเขียว” ๕. นะหเู มีย่ ซืย “ลายหมวกตา” ๖. อ๊กี ือจะยา่ “ลายร้ิวผา้ สลับส”ี ใช้สลบั หรือก�ำหนดลาย ส่วนใหญ่จะสังเกตได้ จากการตกแต่งคอเสื้อของผู้หญิงจะใช้ลายสองลาย คือ ร้ิวผ้าสลับสี (อ๊กี ือจะย่า) ลายเขย้ี วหมา (อะ๊ หนา่ ยอื ) ซง่ึ เปน็ ลายท�ำงา่ ย แคป่ รับให้โค้งไปตามแนวรอบคอ ส่วนลาย รว้ิ ผา้ สลบั สี (อก๊ี อื จะยา่ ) และลายเขย้ี วหมา (อะ๊ หนา่ ยอื ) จะใชป้ ระกอบกบั ทกุ ลาย สว่ นลายอน่ื ๆ ไดแ้ ก่ ลายหางธนู (ควั ะเพียะคว้า) ลายหน้าอกเสอื้ (ลายเพียะกุมาคว้า) ลายงเู ขียว (ลายฟูยฉี ่ี) ลายหมวกตา (หน่าหูเมี่ยซือ) ลายน้ีส่วนใหญ่ไม่นิยมน�ำมารวมกัน เพราะค่อนข้างจะท�ำยาก และเป็นลายที่โดดเด่น อยู่แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่จะเลือกใช้เพียงลายใดลายหนึ่งน�ำมาเป็นลายหลัก แล้วค่อยตกแต่งประกอบด้วย ลายอ่ืน ๆ ที่ไม่ซับซ้อน ส่วนใหญ่แล้วจะใช้ตกแต่งแขนเสื้อ เข็มขัด และหมวกเด็ก ซ่ึงถ้ากล่าวถึงอดีต กับปัจจุบันแล้ว โดยส่วนใหญ่แล้วอดีตจะใช้มือในการตัดเย็บแบบประณีต และมีลวดลายแบบดั้งเดิม แต่ปัจจุบันชาวลีซูได้มีการดัดแปลง ลายบางลายของแบบด้ังเดิมก็เริ่มหายไปบ้าง และปัจจุบันนี้ก็ใช้ เครื่องจกั รในการตัดเย็บมากข้นึ ซึง่ อาจมีความทนกว่าแบบดงั้ เดมิ การประกอบอาชพี ชาวลีซอในประเทศไทย ปลูกข้าวเป็นอาหารหลักไว้ส�ำหรับบริโภค และบางครอบครัวก็ปลูก มากเพื่อเอาไว้ขาย นอกจากนี้ยังปลูกข้าวโพดไว้กินเองและเป็นอาหารสัตว์ (ลีซอใช้ข้าวโพดเล้ียงหมู และไก่ ไปในหมู่บ้านลีซอ เป็นสัตว์ท่ีใช้ในพิธีกรรม และบริโภคในงานเลี้ยงต่าง ๆ ส่วนท่ีจะใช้กินเป็น
ลซี ู (ลีซอ) Li-shaw, Lisaw 161 อาหารประจ�ำวันนั้นมีน้อยมาก) นอกจากข้าวและข้าวโพด พืชอื่น ๆ ที่ลีซอปลูกไว้บริโภคได้แก่ ข้าวฟา่ ง ข้าวเหนยี ว ฟัก ฟกั ทอง แตง ถวั่ ชนิดตา่ ง ๆ (ถั่วผกั ยาว, ถ่ัวลันเตา, ถ่วั เหลอื ง ฯลฯ) เผือก มัน ผักกาด กะหล�่ำปลี มะเขือ มะเขอื เทศ มะระ พริก ฯลฯ พชื เหง่าน้ปี ลูกกนั ตามฤดกู าล สว่ นพชื ทีป่ ลกู ไว้ขาย ไดแ้ ก่ ขา้ ว ขา้ วเหนยี ว ข้าวเหนยี วด�ำ ถ่วั เหลือง ขา้ วโพด งา กาแฟ กะหลำ่� ปลี ฯลฯ นอกจากน้ี ลซี อในบางทอ้ งทย่ี งั ปลกู ฝน่ิ ไวข้ ายดว้ ย แตป่ จั จบุ นั การปลกู ฝน่ิ มนี อ้ ยลง เพราะเปน็ อาชพี ทเี่ สย่ี งตอ่ การ ถูกจับกุมและเน่ืองจากหน่วยงานทั้งของรัฐและเอกชนพยายามส่งเสริมไห้ชาวลีซอปลูกพืชผลอ่ืนแทน การปลูกฝน่ิ ๘ การท�ำไร่ ลซี ถู ือวา่ การเกษตรนัน้ เป็นอาชีพหลักของชนเผา่ ลซี ู เปรียบเสมอื นกับหัวใจของลีซู ดงั น้นั จึง ใหค้ วามส�ำคญั กับท�ำเล ทจ่ี ะเลือกส�ำหรับการทำ� ไร่ค่อนขา้ งจะเลือกที่ดนิ ดี เพือ่ จะใหไ้ ดผ้ ลผลติ สูง จงึ มี การเลอื กหาทำ� เลที่ดี ๆ โดยดูจากแหลง่ ท่ีมีตน้ ไมข้ น้ึ ขนาดแน่น ดินด�ำรว่ นอุม้ น�้ำ อยไู่ มไ่ กลจากแหลง่ นำ�้ ลำ� ธารมากนกั หากเลอื กไดก้ จ็ ะเลอื กสถานทไ่ี มห่ า่ งไกลจากหมบู่ า้ นมากนกั เพอื่ ความสะดวกในการ เดินทาง เมื่อพบสถานที่ท่ีถูกใจแล้ว จะลงมือตัดต้นไม้และแผ้วไร่ แผ้วไร่เสร็จทิ้งไว้ประมาณ ๒-๓ วัน แล้วเผา จากนั้นเก็บเศษที่เผาไม่หมด จากนั้น ๒-๓ วัน ก็ท�ำพิธีเซ่นไหว้บอกกล่าวของอนุญาตผีป่า ผีดอย ผเี จา้ ท่ีเจ้าทาง วา่ ขอให้ผลผลิตดี และปลูกอะไรก็ขอใหไ้ ดด้ ีไดก้ ิน แลว้ คอ่ ยไปถางหญ้าถางเสรจ็ แล้วลงมือท�ำขุนดินให้ละเอียด จากนั้น เตรียมพร้อมสำ� หรับการเพาะปลูก เมื่อฤดูฝนตอนพฤษภาคม พ้ืนที่ส่วนใหญ่จะใช้ส�ำหรับการปลูก ข้าว ข้าวโพด รองลงมาก็เป็นพืชผลอย่างอ่ืน เช่น มะเขื่อเทศ กะหลำ�่ ปลี พรกิ งา ขิง มนั ฝรง่ั และถ่วั ชนิดต่าง ๆ ฤดูการปลกู ข้าว (จญาม)ี ต้นเดือนพฤษภาคม เมอื่ ฝนลงมาแรกเร่ิมมีงานหนกั ๆ สองอย่างในไรท่ ่ีรอฝนลงมา เมอื่ ฝนลง มาก็เตรียมการลงมือท�ำการปลูกข้าวและข้าวโพด ก่อนจะถึงเวลาปลูกข้าวเร่ิมท่ีต้องเตรียม คือ เสียม ขนาดเล็กและเมล็ดพันธุ์ไว้ให้พร้อม โดยใช้วิธีการปลูกแบบหยอดหลุม ฝ่ายชายจะเป็นฝ่ายขุดหลุม โดยใช้ไม้ไผ่ล�ำยาวสวมปลายด้วยเสียมขนาดเล็กแทงลงไปในดินแล้วงัดขึ้นมาเบา ๆ เป็นหลุมเล็ก ๆ ส่วนฝ่ายหญิงจะเดินตามจะมีกระเป๋าย่ามใส่เมล็ดพันธุ์ข้าวสะพายบ่าไปด้วย และจะหยอดเมล็ดพันธุ์ ลงในหลุมประมาณ ๓-๕ เมด็ โดยไมป่ ดิ หลุมปล่อยให้ฝนตกลงมาเดนิ กก็ ลบของมนั เอง จะปลูกกนั เป็น คู่ ๆ มีการรอ้ งเพลง และมีการกันพูดคุยกันอยา่ งสนุกสนาน ๘ มนัส มณปี ระเสริฐ การใชป้ ระโยชน์ท่ีดินของชาวลีซอ (เชยี งใหม่ : ศูนยว์ จิ ัยชาวเขา) ๒๕๒๕
บทท่ี ๘ ลัวะ ลัวะ Lua (Htin, Kha T’in) ตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติก (Austroasiatic Language Family) สาขาขมุ (Khmuic Branch) Synonyms : ถ่ิน มัล ปรยั Chao Doi, Kha Phai, Kha T’in, Lawa, Pray, Thin จากการรวบรวมขอ้ มลู ในปี ๒๕๔๕ พบว่ามี กลุ่มชาตพิ นั ธเ์ุ ผา่ ลวั ะอาศยั อย่ใู นพื้นที่ ๘ จงั หวดั โดยพบมากทส่ี ดุ ทีจ่ ังหวัดเชียงใหม่ รองลงมาเปน็ เชียงราย และ แม่ฮ่องสอน๑ ประวตั ิความเป็นมา ลวั ะ เปน็ กลมุ่ ชาตพิ นั ธก์ ลมุ่ หนงึ่ ทต่ี ง้ั ถนิ่ ฐานอยทู่ างภาคเหนอื ของประเทศไทย บรเิ วณชายแดน ไทยและลาวในจังหวัดน่าน ขณะเดียวกันก็พบคนกลุ่มน้ีในประเทศลาว บริเวณชายแดนทางตะวันตก ของแขวงสายะบุรี (Sayabouri) โดยคนกลุ่มนี้จะเรียกกลุ่มของตนว่า พ่าย (phay หรือ pray) หรือ ลวั ะ (lua) (Perlus, ๑๙๗๔) คำ� เรยี กชอ่ื บางชอื่ ของชนกลมุ่ นใี้ นประเทศลาว ตรงกบั ทช่ี าวลวั ะบางกลมุ่ ในจังหวัดน่าน เรียกตนเองว่า “ปรัย” หรือ “ลัวะปรัย” และยังพบกลุ่มที่เรียกตนเองว่า “มัล” หรือ “ลวั ะมัล” อีกด้วย๒ ชาวลัวะทั้งในจังหวัดน่านของไทยและในแขวงสายะบุรีของลาวน่าจะจัดเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ ดง่ั เดมิ กลมุ่ หนงึ่ ของภมู ภิ าคเอเชยี อาคเนย์ ซง่ึ คงจะตง้ั ถนิ่ ฐานอยใู่ นบรเิ วณทอี่ าศยั อยใู่ นปจั จบุ นั นม้ี าแต่ ด้ังเดิม มิไดอ้ พยพมาจากทใ่ี ดเพราะดนิ แดนทเี่ ปน็ ท่อี ยขู่ องชนกลมุ่ น้ีในประเทศไทยและลาวน้ันเดิมจะ เป็นดินแดนท่ีติดต่อถึงกันได้ตลอด และอาจจะเรียกว่า “ดินแดนลัวะ” เม่ือมีการแบ่งเขตพรมแดน ระหวา่ งไทยกับลาว ทำ� ใหก้ ล่มุ ชนท่เี คยอยู่รว่ มกนั ในบริเวณเดียวกนั ถกู แยกออกไป กลุ่มหน่ึงอยใู่ นเขต ประเทศไทย อกี กล่มุ หนึ่งอย่ใู นเขตแดนลาว และอาศัยอยใู่ นบรเิ วณน้ตี ลอดมาโดยไม่มกี ารอพยพไปที่ ใดเลย จากการศึกษาเรื่องชนกลุ่มน้อยทั้งในประเทศไทยและลาว ก็ไม่พบชาวลัวะกลุ่มนี้ในบริเวณ อนื่ ๆ อกี เลย หรอื ถงึ แมจ้ ะมกี ารอพยพอยบู่ า้ งกค็ งจะเปน็ การอพยพอยใู่ นบรเิ วณ “ดนิ แดนลวั ะ” นเ่ี อง เช่นประมาณปี พ.ศ. ๒๔๑๙ ทีช่ นกล่มุ น้อยในประเทศลาวถูกกดขจ่ี ากฝ่ายปกครองทง้ั ในเร่ืองการเสยี ภาษี การสง่ สว่ ย ชาวลัวะในประเทศลาวได้ก่อการกระดา้ งกระเดอ่ื งจนกระทงั้ ทางการลาวต้องทำ� การ ปราบปราม จึงไดอ้ พยพเขา้ มาในเขตแดนไทยในจังหวดั น่าน มาต้งั บา้ นเรือนในหมูบ่ า้ นของชาวลวั ะใน ๑ ลวั ะ http://agrodev.doae.go.th/datadev๓.lawa.htm เขา้ ถึงเมื่อวนั ที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๘ ๒ ศรีศักร วัลลิโภดม ลัวะ ละว้า และกะเหรย่ี ง : ชนเผา่ ในทส่ี ูงกับความสมั พันธ์ทางเศรษฐกจิ การเมือง กับรัฐในท่ีราบ เมอื งโบราณ ๑๒,๑ (ม.ค-ม.ี ค. ๒๕๒๙) หน้า ๕๔-๖๔
164 ชนตา่ งวัฒนธรรมในประเทศไทย เขตไทย ต่อมามีการอพยพเข้ามาสู่ดินแดนไทยอีกในระว่างปี พ.ศ. ๒๕๑๗-๒๕๑๘ เน่ืองจากหนีภัย คอมมิวนิสต์ในประเทศลาว ครั้งนี้ชาวลัวะได้เข้ามาอาศัยอยู่ท่ีศูนย์อพยพบ้านน�้ำยาว อ.ปัว และศูนย์ สบตอง อ.แม่จริม จังหวัดน่าน (ภูเอธ วีโรทัย, ๒๕๒๘) ดังนั้นจึงพอสรุปได้ว่าในดินแดนจังหวัดน่าน นั้นมชี าวลัวะซึ่งเป็นกลุม่ ชนดงั้ เดิมตงั้ ถน่ิ ฐานอยแู่ ล้ว และไดม้ ชี นกลมุ่ เดยี วกนั นบี้ างสว่ นอพยพมาจาก ประเทศลาวเพิ่มเข้ามาอีกในภายหลัง แต่ไม่ว่าชนกลุ่มนี้จะอาศัยอยู่ที่ใด หรือมีช่ือเรียกกลุ่มของตน หลากหลายอยา่ งไร ชนกลมุ่ นกี้ จ็ ดั เปน็ กลมุ่ ชาตพิ นั ธเ์ ดยี วกนั ทม่ี ภี าษาและวฒั นธรรมทม่ี ลี กั ษณะเฉพาะ กลุม่ ของตน ชาวลัวะที่เมืองน่านนี้นอกจากจะมีชื่อเรียกกลุ่มของตนหลายชื่อดังได้กล่าวมาในตอนต้นแล้ว ชนกลุ่มนี้ยังมีช่ือท่ีทางราชการตั้งให้อีก คือ “ถ่ิน” หรือบางคร้ังเรียกว่า “ข่าถ่ิน” อีกด้วย โดยนัยว่า ชนกลมุ่ นเ้ี ปน็ คนทอ้ งถนิ่ ทอี่ าศยั อยใู่ นบรเิ วณตา่ ง ๆ ในจงั หวดั นา่ นมาเปน็ ระยะเวลานานแลว้ นน่ั เอง แต่ โดยทั่วไปแล้วเทา่ ท่ีพบในจงั หวดั น่านชนกลุ่มนีจ้ ะเรยี กตวั เองว่า “ลัวะ” คำ� วา่ “ลวั ะ” นี้ ชาวไทยยงั ใช้ เรียกกลุ่มชาติพันธ์อ่ืน ๆ อีก เช่น “ละเวือะ” “ละว้า” ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ และ “อูก๋อง” ที่จังหวัด อุทัยธานีและสุพรรณบุรี ท�ำให้บางคร้ังเกิดความสับสนว่าชาวลัวะที่จังหวัดน่านเป็นกลุ่มชาติพันธ์ เดยี วกนั และกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์อ่นื ๆ ดงั กลา่ วน้ี โดยเฉพาะกลมุ่ ละเวอื ะหรือละวา้ ไปดว้ ย เป็นท่ีน่าสังเกตว่าช่ือท่ีทางราชการไทยก�ำหนดขึ้นเพ่ือใช้เรียกชนกลุ่มนี้น้ัน ผู้ถูกเรียกไม่ชอบ และไม่ยอมรับเลย เพราะคิดว่าเป็นการดูถูกเหยียดหามพวกเขา ถ้าให้เขาเลือกระหว่างค�ำท่ีคนไทยใช้ เรียกเขา ๒ ค�ำ (คือลัวะ และ ถิ่น) เขาทนค�ำ “ลัวะ” ได้มากกว่า” ซึ่งตรงกับท่ี สุวิไล เปรามศรีรัตน์ (๒๕๓๗) กลา่ วไว้ คอื คำ� วา่ “ลวั ะ” จะเปน็ ทยี่ อมรบั ของผถู้ กู เรยี กทงั้ สองกลมุ่ (มลั และ ปรยั ) ในจงั หวดั น่านโดยบางครั้งใช้ค�ำดังกล่าวคู่กับชื่อท่ีใช้เรียกตนเองเพื่อให้ชัดเจนย่ิงข้ึน เช่น “ลัวะปรัย” หรือ “ลวั ะมัล” เป็นตน้ ชาวลวั ะกลุม่ มลั มีทั้งหมด ๑๕ หมบู่ ้านมีจำ� นวนทั้งส้ินมากกวา่ ๓๐,๐๐๐ คน ส่วนมากอาศยั อยู่ในเขต อ.ปัว และพบในบางเขตของ อ.เชียงกลาง และ อ.เมือง กลุ่มปรัยมีทั้งหมด ๕๑ หมู่บ้าน ส่วนมากอาศัยอยู่ในเขต อ.บ่อเกลือ อ.ทุ่งช้าง บางเขตของ อ.เชียงกลาง และ อ.ปัว รวมทั้งใน อ.เมือง และ อ.สนั ติสขุ ในการศึกษาภาคสนามที่จังหวัดน่านระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๓๗-๒๕๔๐ ผู้วิจัยได้เดินทางไปยัง หลาย ๆ หมู่บ้านท่ีมีกลุ่มชาติพันธ์นี้อาศัยอยู่ในจังหวัดน่าน ท้ังที่ อ.ทุ่งช้าง อ.ปัว อ.เชียงกลาง และ อ.บ่อเกลอื พบวา่ ชนกล่มุ น้ีสว่ นใหญจ่ ะบอกว่า พวกเขาเปน็ ชาวลัวะโดยไม่ระบวุ า่ เป็นกลุ่มไหน มีเพยี ง บางหมบู่ า้ นเทา่ นน้ั ทจี่ ะระบวุ า่ เปน็ ลวั ะกลมุ่ มลั หรอื กลมุ่ ปรยั แตจ่ ะมเี ฉพาะหมบู่ า้ นชาวลวั ะทเ่ี ปน็ ทตี งั้ ของฐานปฏิบัติการต�ำรวจตระเวนชายแดน หรือเป็นท่ีตั้งของศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาที่จะ บอกวา่ พวกเขาเปน็ “ชาวถน่ิ ” ปจั จบุ นั ชนกลมุ่ นสี้ ว่ นใหญจ่ ะบอกวา่ พวกเขาเปน็ “คนลวั ะ” และภาษา
ลวั ะ Lua (Htin, Kha T’in) 165 ท่ีเขาใช้พูดกันนั้นคือ “ค�ำลัวะ” อย่างไรก็ตามก็ยังค้นพบเช่นกันว่าในบางกลุ่มน้ันจะระบุชัดเจนว่า พวกเขาเป็น “ลัวะมัล” และบางคนท่ีอายุเกิน ๕๐ ปีขึ้นไป ก็จะบอกว่าเขาพูดภาษามัล (mal) หรือภาษามยั (maj) ซงึ่ Suriya Ratannakul (๑๙๗๕) สันนิษฐานว่าคำ� ว่า mal และ maf คงจะเปน็ ค�ำเดยี วกัน และเป็นค�ำท่ชี าวลัวะบ้านสกาดใช้เรยี กภาษาที่เขาใช้กนั อยู่ ชาวลัวะหรือชาวถ่ินน้ีจะอาศัยอยู่ท่ัวเกือบทุกอ�ำเภอในจังหวัดน่าน (ไม่พบชาวลัวะท่ี อ. ท่าวงั ผาเพียงอำ� เภอเดยี ว) โดยจะตัง้ บ้านเรอื นอย่ใู กล้กบั ลำ� นำ�้ สายส�ำคัญ ๆ ในจังหวดั น่าน เชน่ น้ำ� และ, น้ำ� ปวั , น�ำ้ ว้า, นำ้� ขนุ เปน็ ต้น (สายน�ำ้ ตา่ ง ๆ เหลา่ นีล้ ว้ นเป็นสาขาย่อยของแม่นำ้� น่าน แม่นำ�้ สาย หลักของจังหวัดน่าน) รวมท้ังกานตั้งช่ือหมู่บ้านก็มักจะตั้งช่ือตามล�ำน�้ำเหล่านั้นด้วยเช่นบ้านน้�ำและ บ้านนำ�้ พิ บา้ นห้วยทราย เปน็ ต้น ชาวลัวะในปัจจุบันมีการติดต่อใกล้ชิดกับคนพ้ืนราบหรือคนเมือง ดังน้ันจึงสามารถพูดภาษา ค�ำเมือง รวมทั้งภาษาไทยกรุงเทพฯ ได้อีกด้วย จากการท่ีมีชาวลัวะลงมาท�ำงานรับจ้างในกรุงเทพฯ และจากสื่อทั้งทางวิทยุและโทรทัศน์ท�ำให้ชาวบ้านได้ฟังภาษาไทยกรุงเทพ ฯ ทุกวัน รวมท้ังยังได้รับ การศึกษาจากโรงเรียนอีก ท�ำให้สามารถฟังและพูดภาษาไทยได้ และยังใช้ค�ำว่าภาษาไทยอีกด้วยใน เวลาที่พูดค�ำลัวะ โดยเฉพาะในกลุ่มชาวลัวะที่อายุต่�ำกว่า ๒๐ ปี จะมีแนวโน้มในการใช้ค�ำภาษาไทย กรุงเทพฯ มากขึ้น และมากกว่าคนวัยอ่ืน ๆ ทีเดียว อย่างไรก็ดีในบางหมู่บ้านแถบ อ�ำเภอบ่อเกลือ อำ� เภอทุ่งช้าง ยงั พบวา่ หญิงสงู อายบุ างคนท่อี ายเุ กิน ๖๐ ปีข้นึ ไป จะพดู ได้แต่ภาษาลัวะเท่าน้ัน การตั้งถ่นิ ฐาน ชาวลัวะมักจะตั้งหมู่บ้านบนภูดอย บริเวณเทือกเขาสูงที่ขนาดตัวยาวเรียงสลับซับซ้อนกันใน จงั หวดั นา่ นถา้ เทยี บกบั หมบู่ า้ นชาวเขากลมุ่ อน่ื แลว้ หมบู่ า้ นลวั ะจะอยใู่ นระดบั ตำ�่ กวา่ หมบู่ า้ นแมว้ ลซี อ หรือมูเซอ โดยจะต้ังบ้านเรือนอยู่ในระดับความสูงระหว่าง ๒,๕๐๐ – ๓,๐๐๐ ฟุต ในแต่ละบ้านจะมี คนอาศยั อยโู่ ดยเฉลยี่ แลว้ ประมาณ ๘-๑๐ คน ลกั ษณะบา้ นเรอื นของชาวลวั ะจะคลา้ ยคลงึ กบั บา้ นเรอื น ของชาวบา้ นเรอื นไม้ ยกพน้ื สงู ซงึ่ จะใชป้ ระโยชนจ์ ากพน้ื ทใ่ี ตถ้ นุ บา้ นเพอ่ื ทำ� กจิ กรรมตา่ ง ๆ รวมทงั้ เปน็ ทเี่ กบ็ ฟนื เครอื่ งมอื และอปุ กรณต์ า่ ง ๆ ในการเกษตรกรรม บา้ นเรอื นของชาวลวั ะแตล่ ะหลงั จะอยใู่ กล้ กนั ลดหลน่ั กนั ลงไปตามแนวสนั เขา เรอื นแตล่ ะหลงั ทอ่ี ยบู่ รเิ วณเดยี วกนั ผอู้ ยอู่ าศยั มกั จะมคี วามสมั พนั ธ์ ทางเครอื ญาตกิ นั และบรเิ วณใกล้ กนั กบั ตวั เรอื นจะมเี รอื นครวั และเลา้ ขา้ ว ซงึ่ มกั จะมชี าวบา้ นเชอ่ื มตอ่ ถึงกัน จะเห็นได้ว่าบริเวณตัวเรือนที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัยน้ียกพ้ืนสูงกว่าบริเวณชานบ้าน ซ่ึงพื้นจะอยู่ ระดบั เดียวกับพื้นของเรอื นครวั ภายในตวั บ้านบางบา้ นอาจจะเป็นห้องเดยี่ วโลง่ ๆ บางบ้านอาจจะกนั้ เปน็ ๑ ห้อง หรือ ๒ หอ้ ง และมนี อกชานกว้างซ่ึงใช้เปน็ ที่น่งั เล่นและพกั ผ่อนของสมาชิกในครอบครัว หรือใช้รับแขกหรือรับประทานอาหารในบางครั้ง รวมท้ังเป็นที่นอนของสมาชิกในครอบครัวด้วยบาง
166 ชนต่างวฒั นธรรมในประเทศไทย บ้านท่ีไม่ได้สร้างยุ้งข้าว ก็จะเก็บข้าวไว้ในเรือนที่อยู่อาศัยนี้เอง โดยจะเก็บไว้ในท่ีใส่ข้าวเปลือกคล้าย ตะกรา้ ขนาดใหญ่ท�ำจากไมไ่ ผ่สาน เรียกวา่ “แคงัวะอ”์ ๓ บา้ นเรอื นของชาวลวั ะ ในปจั จบุ นั มกั จะเปน็ บา้ นหลงั เดย่ี ว ๆ ของแตล่ ะครอบครวั มเี พยี งบาง หมบู่ า้ นที่ยงั พอจะพบบา้ นเรอื นแถวยาวที่เป็นท่อี าศัยของหลาย ๆ ครอบครวั ซง่ึ มักจะเป็นญาติพ่นี ้อง รว่ มตระกลู รว่ มผเี ดยี วกนั และสบื สายโลหติ มาจากพอ่ แมเ่ ดยี วกนั เชน่ ที่ บา้ นหว้ ยโทนและบา้ นนำ�้ แพะ อ. บ่อเกลือ เป็นต้น ลักษณะ “บ้านเรือนแถว” นี้เท่าที่พบในปัจจุบันท่ีห้วยโทนขนาดลดลงกว่าสมัย ก่อนตามที่ภูเบธ วีโรทัยได้ศึกษาไว้บางคร้ังพบเป็นจ�ำนวนถึง ๑๓ ครอบครัว อยู่รวมกัน ซึ่งแต่ละ ครอบครัวกจ็ ะมหี อ้ งเปน็ ของตนเอง คอื ถ้ามี ๑๓ ครอบครวั กจ็ ะมี ๑๓ หอ้ ง ทั้ง ๑๓ ครอบครวั นีจ้ ะใช้ พน้ื ทสี่ ว่ นกลางรว่ มกนั เชน่ บรเิ วณเตาไฟนงึ่ ขา้ ว เปน็ ตน้ บา้ นเรอื นแถวนใ้ี นปจั จบุ นั ทพ่ี บทบ่ี า้ นหนองนา่ น บ้านน�้ำแพะ จะอยกู่ ันประมาณ ๕-๖ ครอบครัว และถา้ มีไมแ้ ละท่ีดนิ บางครอบครวั ก็อาจจะแยกออก ไปตง้ั เรือนใหม่ของตนเอง แต่ยงั คงนบั ถอื ผีบรรพบุรษุ ผเี รอื น รว่ มกับสมาชกิ ของบ้านเรอื นแถวนี้อยู่ เนอ่ื งจากบา้ นของชาวลวั ะเปน็ บา้ นใตถ้ นุ สงู ทกุ บา้ นจะมบี นั ไดขน้ึ บา้ น ซงึ่ บางเรอื นจะทำ� เปน็ บนั ไดที่สามารถออกได้เพ่อื ป้องกันไมใ่ หส้ ตั ว์บางชนิดข้ึนเรอื น เช่น สุนขั ไก่ เปน็ ตน้ เม่อื ข้ึนมาถึงบันได ขน้ั บนสดุ กจ็ ะถงึ ประตกู อ่ นจะเขา้ ไปสชู่ านบา้ น เหนอื ขอบบนของประตนู จี้ ะมตี ะแหลว (เครอื่ งรางสาน ดว้ ยไมไ่ ผ่ มรี ปู รา่ งคลา้ ยดาว) ซงึ่ ตามความเชอ่ื ของชาวลวั ะแลว้ จะเปน็ เครอื่ งรางทช่ี ว่ ยคมุ้ ครองปอ้ งกนั สมาชกิ ของเรอื นหลงั นน้ั ๆ ใหพ้ น้ จากอนั ตรายตา่ ง ๆ โดยสลา่ หรอื ชา่ งปลกู บา้ นจะเปน็ ผทู้ ำ� ใหเ้ มอื่ มกี าร ปลูกบา้ น ตะแหลวนี้จะต้องเปลีย่ นอนั ใหม่ทุกปใี นยามขึ้นปีใหมส่ งกรานต์ หลงั คาบ้านเดิมมกั มงุ ดว้ ยหญ้าคา และทำ� เป็นชายคาย่ืนออกมาจากตัวบ้านโคง้ ลงมาจนแทบ ถึงพื้นดินรวมทั้งจะย่ืนออกมาคลุมบริเวณซานบ้านส่วนหน่ึงด้วยท�ำให้ใช้ประโยชน์จากบริเวณรอบตัว เรอื นได้ ในปจั จบุ ันน้ีพบบ้านมุงหลังคาด้วยกระเบอื้ งหรอื สังกะสเี ปน็ ส่วนใหญ่ แตใ่ นหมูบ่ ้านทหี่ ่างไกล ออกไปยังคงพบบ้านท่ีมงุ ด้วยหญิงคาอยมู่ าก ห้องไฟเป็นเรือนเล็กอีกหลังหน่ึงติดกับเรือนใหญ่หรืออาจจะเป็นห้องแรกเมื่อขึ้นบันไดเรือน ของบ้านเรือนแถวยาวติดกับนอกชาน มุมด้านในมุมหน่ึงของห้องจะสร้างกระบะดิน โดยใช้ไม้ตีเป็นก รอบสเ่ี หลย่ี มและนำ� ดินมาอดั ลงไปใหแ้ นน่ บนกระบะดินน้ีจะวางกอ้ นเสา้ ๓ ก้อน หรอื วางเหล็ก ๓ ขา ไวส้ ำ� หรบั เปน็ เคาใชใ้ นการหงุ ตม้ ปจั จบุ นั นช้ี าวลวั ะมกั จะชอ่ื เตาองั้ โลข่ องชาวเมอื งมาใชเ้ ตาใชใ้ นการหงุ ตม้ ปจั จบุ นั นชี้ าวลวั ะมกั จะชอ้ื เตาอง้ั โลข่ องชาวเมอื งมาใชเ้ ตาองั้ โลน่ จ้ี ะวางไวใ้ นกระบะดนิ ขา้ ง ๆ กอ้ นเสา้ และในบางครั้งยังคงใช้ก้อนเส้าน้ีอยู่เช่นเดิม เหนือกระบะดินหรือ “เตาไฟ” น้ี จะสร้างชั้นวางของ ๓ ณฏั ฐวี ทศรฐ, สุริยา รัตนกุล สารานุกรมกลมุ่ ชาตพิ นั ธุล์ ะว้า (กรงุ เทพ : โรงพมิ พ์สหธรรมิกจำ�กดั , ๒๕๔๑) น. ๓๔
ลัวะ Lua (Htin, Kha T’in) 167 ลักษณะเหมือนหิ้งแขวนจากเพดานลงมา บนหิ้งน้ีจะวางของต่าง ๆ ที่ต้องการท�ำให้แห้ง เช่น ตอก, กระบุง ตะกว้า หรือเมล็ดพันธ์พืชท่ีต้องการเก็บไว้ปลูกต่อไป นอกจากนี้แล้วยังอาจจะพบเครื่องปรุง อาหารบางชนิด เช่น พริกแหง้ เกลือ อีกด้วย ทีข่ า้ งฝาของหอ้ งไฟนชี้ าวลวั ะจะแขวนหมอ้ และกะทะทใ่ี ชป้ รงุ อาหาร และจะเสยี บมดี ตา่ ง ๆ ลงกับฝาด้วย บริเวณข้าง ๆ เตาไฟนี้จะใช้เป็นท่ีรับประทานอาหารในหมู่สมาชิกของครอบครัวหรือ ญาติมติ รใกลช้ ดิ ในห้องไฟนี้มกั จะมีตกู้ บั ขา้ ว ๑ ใบ รวมทง้ั กระบงุ ใสข่ า้ วท่ยี งั ไม่ไดส้ แี ละข้าวที่สแี ลว้ โดยทั่วไป แล้วเรือนแตล่ ะหลงั จะมีครกกระเดื่องท่ีใช้ในการตำ� ข้าวอยู่บรเิ วณขา้ ง ๆ บ้าน ใต้ชายคาทีย่ ืน่ ยาวจาก หลังคาเรือนดังได้กล่าวมาแล้ว ครกกระเด่ืองน้ีในปัจจุบันชาวลัวะจะไม่ค่อยได้ใช้ในการต�ำข้าวเพื่อน�ำ มานึ่งรับประทานทุกวันเพราะในหลาย ๆ หมู่บ้านจะมีโรงสีข้าวอย่างน้อย ๑-๒ โรงอย่างไรก็ตามชาว ลัวะกย็ งั คงใชค้ รกน้ีส�ำหรับตำ� ข้าวเพื่อปรงุ อาหารบางชนดิ อยู่ บริเวณข้าง ๆ ห้องไฟมักจะมีนออกมาใช้เป็นท่ีเตรียมอาหาร ล้างจาน วางภาชนะเครื่องใช้ ตา่ ง ๆ รวมทงั้ จะมหี ง้ิ วางหมอ้ นำ�้ ดนิ เผาสำ� หรบั ดม่ื ดว้ ยชาวบา้ นจะตอ่ ทอ่ นำ้� มาจากแหลง่ นำ�้ บนยอดดอย และเดนิ ทอ่ ลงมาถงึ บา้ นของตนเอง บางบา้ นกจ็ ะทำ� ทเ่ี กบ็ นำ�้ โดยจะนำ� ทอ่ ซเี มนตข์ นาดใหญต่ อ่ ซอ้ นกนั ขนึ้ ไปแลว้ โบกปนู ใหต้ ่อกันเพอื่ ใชเ้ กบ็ นำ้� และจะต่อหัวกอ๊ กเพ่ือใชน้ ำ้� ทท่ี อ่ อนั ลา่ สุด บา้ นชาวลวั ะมกั จะ มนี ำ้� ใชต้ ลอดปี เพราะมกั จะตง้ั บา้ นใกลก้ บั หนองนำ้� สว่ นบา้ นทตี่ งั้ อยบู่ นภดู อยในบางปใี นฤดแู ลง้ ปรมิ าณ น้�ำนอ้ ย ชาวบา้ นกจ็ ะเดินลงไปตกั นำ�้ จากห้วยนำ้� ที่อยขู่ ้างล่างของหมบู่ า้ น บ้านชาวลัวะในปัจจุบันนี้ แม้จะอยู่บนดอยสูงแต่ก็มีไฟฟ้าใช้ทั้งจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคท่ี เดินสายไฟข้ึนในหมู่บ้าน หรือไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ที่ชาร์จโดยพลังงานแสงอาทิตย์จากแผงรับพลังงาน ทมี่ ตี ดิ ตงั้ อยใู่ นหมบู่ า้ นทไี่ ฟฟา้ ยงั เขา้ ไปไมถ่ งึ ดว้ ย ชาวลวั ะในปจั จบุ นั จงึ มโี อกาสรบั สอ่ื จากวทิ ยโุ ทรทศั น์ ได้เช่นเดียวกับชาวพน้ื ราบ ส่งิ ก่อสรา้ งในบรเิ วณบา้ นของชาวลัวะ นอกจากเรือนที่อยู่อาศยั แลว้ ยงั จะพบยุง้ ข้าว และเล้า ไก่อีกด้วย ชาวลัวะเลี้ยงหมู จะสร้างคอกหมูโดยใช้มาตีประกอบกันอย่างง่าย ๆ เช่นเดียวกับเล้าไก่ โดยทว่ั ไปแลว้ จะไม่ขงั ไกไ่ วใ้ นเลา้ ตลอดวนั แต่จะปล่อยใหเ้ ดนิ คุ้ยเขีย่ อาหารไปทั่วบริเวณบา้ น อยา่ งไร กต็ ามกจ็ ะนำ� ไมไ้ ผม่ าสานเปน็ ตะกรา้ ใหไ้ กอ่ ยู่ และจะมเี ลา้ ไกค่ ลา้ ยบา้ นหลงั เลก็ ทวี่ างตะกรา้ ใสไ่ กน่ ี้ ใน ยามเยน็ ไกจ่ ะเขา้ มาในเลา้ เอง ในบางหมบู่ า้ นมอี าชพี จบั นกขายกจ็ ะมกี รงเลก็ ๆ ทำ� จากไมไ้ ผเ่ หลาเปน็ ซ่ีเล็ก ๆ ไว้สำ� หรับใสน่ กแขวนไวน้ อกตวั บ้านอีกดว้ ย ยุ้งข้าวของชาวลัวะจะปลูกเป็นเรือนแยกขึ้นอีกหลังหนึ่ง เป็นเรือนหลังเล็ก ๆ หลังคามุงด้วย หญา้ คาหรอื สงั กะสหี รอื กระเบอ้ื งเชน่ เดยี วกบั เรอื นอยอู่ าศยั ฝากอ็ าจจะใชไ้ มฟ่ ากหรอื ไมแ่ บนตปี ดิ มดิ ชดิ
168 ชนต่างวัฒนธรรมในประเทศไทย เพอื่ กนั สตั วต์ า่ ง ๆ เชน่ หนู นก เขา้ ไปได้ พนื้ จะปดู ว้ ยไมฟ้ ากเชน่ เดยี วกบั ฝาและจะรองพน้ื ดว้ ยสาดจาก ไม้ไผ่ ก่อนทจ่ี ะเอาข้าวเปลอื กเทลงไป เพอ่ื ไมใ่ หเ้ มลด็ ข้าวร่วงหล่นลงมาได้ ยุ้งข้าวน้ีจะมีเฉลวหรือตะแหลวติดไว้หลังจากขนข้าวเข้ายุ้งเรียบร้อยแล้ว มักจะไม่ท�ำบันได แตจ่ ะใชไ้ มเ่ พียงท่อนเดียวพาดเมอื่ ต้องการเขา้ ไปตักข้าวในยุ้งขา้ ว ในยุ้งข้าวนี้บางแห่งยังใช้เก็บของแห้งที่ใช้เก็บของแห้งท่ีใช้บริโภค เช่น หอม กระเทียม พริกแห้ง เป็นต้น ในบางหมู่บ้าน เช่น ท่ี อ.ห้วยโกร๋น อ.บ่อเกลือ ในยุ้งข้าวก็อาจจะพบสินค้าจากป่า หรอื สินค้าที่เตรยี มไวจ้ ะน�ำไปขายต่อไป เช่น ก๋ง (ดอกหญา้ ใชท้ ำ� ไมก้ วาด ทเ่ี กบ็ มาแลว้ น�ำมามัดเตรียม ไปขาย) เปน็ ต้น วิถชี วี ติ ๑. ระบบครอบครัว๔ โดยทัว่ ไปครอบครัวของชาวลัวะจะมลี กั ษณะเปน็ ครอบครัวเดย่ี ว ประกอบไปดว้ ยพ่อ แม่ ลกู แตใ่ นบางครอบครวั กม็ ลี กั ษณะเปน็ ครอบครวั ขยาย คอื มี พอ่ แม่ ของฝา่ ยหญงิ อยดู่ ว้ ย เนอื่ งจากสงั คม ชาวลัวะน้ันเมื่อแต่งงานแลว้ ผูช้ ายจะมาอยบู่ ้านผหู้ ญงิ นบั ถอื ญาตพิ ีน่ ้องทางฝ่ายหญิง ในแต่ละหลังคา เรอื นจงึ มคี รอบครวั ของลกู สาวและลกู เขยอยดู่ ว้ ย จนกวา่ จะพรอ้ มทจี่ ะแยกตวั ไปตง้ั บา้ นเรอื นของตนเอง ครอบครวั ของลกู สาวกจ็ ะแยกออกไป ซง่ึ กม็ กั จะปลกู เรอื นอยใู่ นบรเิ วณใกล้ ๆ กบั เรอื นของพอ่ แมน่ น้ั เอง สำ� หรบั ลกู สาวคนสดุ ทา้ ยนน้ั มกั จะอยกู่ บั พอ่ แมต่ ลอดไปแมจ้ ะแตง่ งานแลว้ จะเปน็ ผไู้ ดร้ บั มรดกคอื เรอื น ท่อี ยู่ รวมทงั้ สว่ นแบง่ ในไร่นาดว้ ย ครอบครวั ของชาวลัวะจะมีความสมั พนั ธ์กนั อยา่ งใกลช้ ดิ เดก็ ๆ เม่อื ยงั ไมถ่ ึงวัยเขา้ โรงเรยี นก็ จะอยกู่ บั พอ่ แม่ ตง้ั แตเ่ กดิ มาพอ่ แมจ่ ะเปน็ ผเู้ ลย้ี งดอู ยา่ งใกลช้ ดิ พอ่ แมห่ รอื ญาตพิ น่ี อ้ งฝา่ ยแมจ่ ะเปน็ ฝา่ ย ตง้ั ชอ่ื ใหเ้ ดก็ โดยปจั จบุ นั พบวา่ เดก็ ๆ ชาวลวั ะจะมชี อื่ เหมอื นคนเมอื งทวั่ ไป เมอ่ื เดก็ ยงั เลก็ แมจ่ ะอยบู่ า้ น เลยี้ งดู และเมอื่ โตขน้ึ พอ่ แมม่ กั จะพาลกู ไปไรด่ ว้ ย แตถ่ า้ ทบี่ า้ นมญี าตผิ ใู้ หญส่ งู อายทุ ไี่ มไ่ ดอ้ อกไปไรแ่ ลว้ ก็จะอยู่บ้านเล้ียงหลานพร้อมท้ังอบรมส้ังสอนตลอดจนถ่ายทอดความรู้และการด�ำเนินชีวิตให้กับ ลูกหลานไปดว้ ย สมาชกิ ในครอบครวั จะปรึกษาหารือและฟงั ความคดิ ของผ้อู าวุโสในบา้ นเสมอ เด็ก ๆ ชาวลัวะเมื่อถึงวัยเข้าโรงเรียน พ่อแม่ก็จะส่งให้เรียนหนังสือในโรงเรียนของหมู่บ้าน ซึ่งแทบทุกหมู่บ้านจะมีโรงเรียนระดับประถม ส่วนระดับมัธยมน้ันอาจจะต้องไปเรียนในบางหมู่บ้านที่ ๔ กฤษณา เจรญิ วงศ์. เอกสารสมั มนาทางวชิ าการ เร่อื ง ลัวะในล้านนา (๗-๘ มีนาคม ๒๕๓๑) คณะมนษุ ยศาสตร์และ สังคมศาสตร์ วิทยาลัยครเู ชยี งใหม่ สหวทิ ยาลา้ นนา น. ๑๓
ลัวะ Lua (Htin, Kha T’in) 169 มีโรงเรียนระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษา เดก็ ในวยั ศึกษาเลา่ เรียนน้ี จะไปเรยี นหนงั สอื ในตอนกลางวัน เม่ือกลบั มาบา้ นตอนเยน็ กจ็ ะชว่ ยพอ่ แมท่ ำ� งานบา้ น หงุ อาหาร รว่ มทงั้ รว่ มในกจิ กรรมอาชพี เสรมิ ของครอบครวั เช่น มดั ใบเมี่ยง, มดั กง๋ เป็นตน้ ชาวลัวะจะมีประเพณีในกลุ่มของเขาท่ีส�ำคัญ คือ ไม่นิยมแต่งงานกับคนนอกกลุ่ม เพราะ ประเพณแี ละความเชอื่ ตา่ ง ๆ ไมเ่ หมอื นกนั หนมุ่ สาวชาลวั ะดเู หมอื นจะมอี สิ ระในการเลอื กคคุ่ รองเมอื่ หนมุ่ สาวคใู่ ดตกลงปลงใจจะใชช้ วี ติ รว่ มกนั เปน็ สามภี รรยา กจ็ ะตอ้ งบอกใหพ้ อ่ แมท่ ราบเพอ่ื จดั การตาม ประเพณตี อ่ ไป อยา่ งไรกต็ ามสงั คมชาวลวั ะกม็ ขี อ้ หา้ มเรอ่ื งการแตง่ งานเชน่ กนั จงึ ทำ� ใหก้ ารเลอื กคคู่ รอง ของหนุ่มสาวชาวลัวะที่เป็นไปอย่างอิสระน้ันจะต้องอยู่ภายใต้กรอบข้อปฏิบัติของกลุ่มด้วย คือ ห้าม การแต่งงานในหมู่ญาติสนิทและห้ามบุคคลท่ีนับถือผีในตระกูลเดียวกันแต่งงานกัน ถึงแม้ว่าจะไม่ สามารถล�ำดับความเป็นญาติสนิทกันได้ก็ตาม ข้อห้ามเรื่องผีตระกูลเดียวกันน้ี ห้ามรวมไปถึงคนใน หมบู่ า้ นอนื่ ทไ่ี มเ่ คยรจู้ กั กนั มาเลยครบั เพราะตามธรรมเนยี มปฏบิ ตั ขิ องลวั ะ ผทู้ นี่ บั ถอื ผตี ระกลู เดยี วกนั ถือวา่ มคี วามสัมพนั ธ์เกีย่ วขอ้ งเป็นญาติกนั หนมุ่ ลวั ะจากตา่ งถนิ่ ถา้ เข้าไปเท่ียวในหมู่บ้านลวั ะ จะได้รบั การบอกเล่าว่าหญิงสาวในหมู่บ้านนั้นนับถือผีตระกูลใด เป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการผิดผีขึ้นมาซ่ึงถ้า เกดิ กรณนี บ้ี ดิ ามารดาของฝา่ ยหญงิ จะตอ้ งปรบั ฝา่ ยชาย เพราะถอื วา่ ไมเ่ คารพตอ่ ผบี รรพบรุ ษุ นอกจาก น้ีต้องมีการเช่นไหว้ผีบรรพบุรุษด้วย มิฉะน้ันผีบรรพบุรุษจะไม่พอใจ และท�ำให้เกิดเจ็บป่วยขึ้นใน ครอบครวั ได้ ๒. ตระกลู ของชาวลวั ะ ชาวลัวะในจังหวัดน่านนี้พบว่าทั้งลัวะปรัยและลัวะมัล มีท้ังหมด ๑๘ ตระกูล คือ อะบง, อะแกล, อะคัด, อะเบ๊าะ อะเปิร อะซะบุง, อะซัง, อะคอก, อะซาล, อะซะพาก, หรือ อะซะปาล, อะปล,ี อะถนิ้ , อะเซก็ , อะนอง, อง่ั คา่ , อะกอ, อะปด๊ั , อะซะคา่ น ซง่ึ ตระกลู ทง้ั หมดนบี้ ดิ ามารดาจะบอก ให้บุตรหลานของตนทราบ และจะบอกต่อ ๆ กันไปในแต่ละรุ่ง แต่ละตระกูลก็จะมีผีประจ�ำตระกูลท่ี คนในตระกูลจะยึดถือและเซ่นไหว้ตามประเพณี ในแต่ละหมู่บ้านชาวลัวะนั้นจะพบว่ามีสมาชิกเพียง บางตระกูลเท่านั้น ไม่พบหมดทั้ง ๑๘ ตระกูลดังกล่าวในหมู่บ้านเดียวกันเลย นอกจากน้ีแล้วในบาง หมบู่ ้านชาวบา้ นก็ไม่สามารถบอกไส้วา่ อยู่ในตระกูงอะไร เชน่ ทีบ่ ้านสกาด อ.ปัว ชาวลวั ะท่ีน่จี ะบอกได้ ว่าตัวเองและครอบครัวถือผีอะไรเพราะแต่ละครัวเรือนจะนับถือผีประจ�ำของเขาแตกต่างกันจากการ สัมภาษณพ์ บวา่ มผี ีเจา้ ต้ี (หรอื ผีเจ้าท่ี) ผีบ้านญอ้ ผีป่โู นง และผปี ู่ฮวด เป็นตน้ ผขี องแตล่ ะตระกลู นน้ั จะ ไดร้ บั ความเคารพนบั ถอื สอื บทอดกนไปจากสมาชกิ ของตระกลู ในแตล่ ะกลมุ่ ในการประกอบพธิ เี ลย้ี งผี ก็มักจะมีเฒ่าจ�้ำหรอื หมอผีเฉพาะของแตล่ ะตระกลู เป้นผทู้ ำ� พธิ ี ในสงั คมชาวลวั ะเมอ่ื ฝา่ ยชายและหญงิ ตกลงจะอยรู่ ว่ มกนั ฝา่ ยหญงิ จะใหพ้ อ่ แมห่ รอื ญาตผิ ใู้ หญ่ ไปขอฝา่ ยชาย ทางบา้ นของฝา่ ยชายกจ็ ะจดั อาหารเลยี้ งคณะเถา้ แกข่ องฝา่ ยหญงิ พอตกลงกนั เรยี บรอ้ ย
170 ชนต่างวัฒนธรรมในประเทศไทย แลว้ กจ็ ะหาวนั ดี ๆ ทเี่ ปน็ มงคลโดยไปสอบถามจากคนแกผ่ รู้ ใู้ นหมบู่ า้ นระหวา่ งนนั้ ทง้ั สองฝา่ ยกจ็ ะบอก ญาติ ๆ ใหท้ ราบทั่งกันก่อนวนั แตง่ งาน ๑ วนั ที่บ้านของทั้งฝา่ ยจะทำ� กรวยดอกไมเ้ ตรียมไว้ส�ำหรับไหว้ ผีและผู้ใหญ่ การไหว้ผีนั้นจะต้องน�ำเคร่ืองเซ่นไปให้เฒ่าจ้�ำน�ำไปท�ำพิธีเล้ียงผีท่ีหอผีประจ�ำตระกูล หลังจากน้ันก็จะมีพิธีสู่ขวัญที่บ้านฝ่ายชายรวมทั้งเล้ียงผีด้วย ก่อนการกินเล้ียงจะต้องท�ำพิธีเชิญผี มากินด้วย เรียกว่า “ไควผี” แล้วจึงจะเล้ียงข้าวเล้ียงเหล้ากัน พอเสร็จพิธีท่ีบ้านฝ่ายชายแล้ว ก็จะไป ทำ� พธิ ที บี่ า้ นของฝา่ ยหญงิ ดว้ ย เมอ่ื เสรจ็ พธิ แี ลว้ ฝา่ ยหญงิ จะตอ้ งไปคา้ งทบ่ี า้ นผชู้ ายกอ่ น จะกวี่ นั แลว้ แต่ จะตกลงกนั คอื ๗ วนั ๑๐ วนั หรอื ๓๐ วนั หลงั จากนน้ั พอ่ แมข่ องฝา่ ยหญงิ กจ็ ะไปหาวนั ดที จ่ี ะรบั ลกู สาว และลูกเขยไปอยู่ท่ีบ้าน โดยพ่อแม่ฝ่ายชายจะมอบของใช้ต่าง ๆ ให้ มีผ้าห่ม หมอนใหม่ ๆ เป็นต้น รวมทั้งเงินทองด้วย เม่ือหนุ่มสาวคู่ใดตกลงจะใช้ชีวิตร่วมกันแล้ว ก็จะอยู่แบบผัวเดียวเมียเดียวกัน ตลอดไป โดยฝ่ายชายที่เข้ามานับถือผีตามฝ่ายหญิงไปด้วยและช่วยท�ำมาหากินท�ำไร่ในท่ีดินของ ครอบครัวฝา่ ยหญงิ ด้วย รวมทั้งเม่ือมีลกู ลกู ท่เี กดิ มาก็จะสบื เช้อื สายนับถือผีทางมารดา เพยี งแตจ่ ะใช้ นามสกลุ ของทางราชการไทย แตเ่ ดมิ นนั้ ชาวลวั ะไมม่ นี ามสกลุ ใช้ เมอื่ ทางราชการเขา้ มาในหมบู่ า้ นลวั ะ เพ่ือจัดท�ำทะเบียนจ�ำนวนราษฎร ก็ได้ต้ังนามสกุลให้กับชาวลัวะ โดยจะก�ำหนดเป็นหมู่บ้านไป เชน่ บ้านสกาด ใชว่ ่า “รกไพร” บ้านนำ�้ พิ ใช่วา่ “ตน้ กาบ” , บา้ นปา่ ไร ใช่ว่า “เปาป่า” เป็นตน้ ดงั นนั้ จึงมักจะพบว่าเด็ก ๆ หรือ ผู้ใหญ่ชาวลัวะในหมู่บ้านเดียวกัน แม้มิได้เป็นญาติพี่น้องกันหรือนับถือผี ตระกูลเดียวกนั กใ็ ช้นามสกุลเดียวกนั เหมือนกันหมดราวกบั เปน็ ญาติกันท้ังหมู่บ้าน จะมียกเว้นอยู่บา้ ง กค็ รอบครวั ของหญงิ กนั ทงั้ หมบู่ า้ น จะมยี กเวน้ อยบู่ า้ งกค็ รอบครวั ของหญงิ สาวชาวลวั ะทไี่ ปแตง่ งานกบั คนนอกหมบู่ า้ นก็จะใช้นามสกุลตามสามซี ึง่ จะแตกต่างกนั ออกไป ในบางคร้ังจะพบว่า ฝ่ายชายที่นับถือผีตระกูลของมารดา อาจจะไปแต่งงานกับหญิงสาวใน ตระกูลท่ีนับถือผีเดียวกันกับฝ่ายบิดาของฝ่ายชายก็ได้แต่หญิงสาวผู้น้ันจะต้องไม่ใช่ลูกพ่ีลูกน้องหรือ ญาติสนิทกับฝ่ายชาย และในกรณีเช่นน้ีเมื่อฝ่ายชายแต่งงานไปแล้วก็จะต้องเปลี่ยนไปนับถือผีตระกูล ของฝา่ ยหญงิ ซงึ่ ก็คือผตี ระกลู เกา่ ของบิดาฝา่ ยชายก่อนจะแตง่ งานนน่ั เอง การแบง่ สายตระกลู และการนบั ถอื ผปี ระจำ� ตระกลู น้ี ดงั ทไี่ ดก้ ลา่ วแลว้ วา่ มคี วามสมั พนั ธอ์ ยา่ ง ยิ่งกับกฎเกณฑ์ข้อบังคับต่าง ๆ ในการแต่งงานน้ันยังเก่ียวข้องไปถึงการตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนตลอดจน การทำ� มาหากนิ ของคสู่ มรสใหมด่ ว้ ย ในกรณที ห่ี ญงิ ลวั ะไปแตง่ งานกบั ชายเผา่ อนื่ นน้ั ถา้ เปน็ ชาวพน้ื ราบ ฝา่ ยหญงิ กย็ งั คงนบั ถอื ผขี องตนเชน่ เดมิ สว่ นฝา่ ยชายซง่ึ ไมน่ บั ถอื เรอื่ งผตี ระกลู กไ็ มจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งมานบั ถอื ผีของฝ่ายหญิง แต่ถ้าหญิงสาวชาวลัวะไปแต่งงานกับชายเผ่าอื่นที่มีการนับถือผีเช่นกัน เช่น เผ่าขมุ ซงึ่ ตามประเพณขี องชาวขมผุ หู้ ญงิ ตอ้ งเปลยี่ นไปนบั ถอื ผขี องสมมดี งั นน้ั หญงิ ลวั ะจงึ ตอ้ งเปลย่ี นไปนบั ถอื ผีตามสามีดังนั้นหญิงลัวะจึงต้องเปล่ียนไปนับถือผีตามสามีชาวขมุด้วย ซ่ึงในเรื่องน้ีสังคมชาวลัวะว่า
ลัวะ Lua (Htin, Kha T’in) 171 เป็นการผิดผี และฝ่ายหญิงจะไม่สามารถกลับไปเรือนของมารดาตนได้เพราะผีเรือนและผีบรรพบุรุษ ของตนจะไมพ่ อใจ ในกรณที สี่ ามีภรรยาชาวลวั ะหยา่ ร้างกัน ฝา่ ยชายก็สามารถกลับไปนับถอื ผตี ระกลู เดมิ ของตนได้ และถา้ ฝา่ ยชายแตง่ งานใหม่ กต็ อ้ งเปลย่ี นไปนบั ถอื ผขี องภรรยาใหม่ สว่ นบตุ รจากภรรยา เก่าน้ันจะนับถือผีตามตระกูลของมารดายกเว้นในบางกรณีท่ีพ่อแม่เลิกรากันหรือตายไป บุตรอาจจะ นบั ถอื ผตี ามผูด้ แู ลเลี้ยงดู ถ้าอยกู่ ับญาติฝ่ายมารดาก็นบั ถือผีตระกลู มารดา แต่ถา้ อาศยั อยกู่ บั ญาตฝิ ่าย มารดากน็ ับถอื ผตี ามผูด้ แู ลเลย้ี งดู ถ้าอยู่กบั ญาตฝิ ่ายมารดากน็ บั ถอื ผีตระกลู มารดา แตถ่ ้าอาศยั อยู่กบั ฝ่ายบิดา ผู้เป็นย่าของเด็กจะต้องท�ำพิธีเล้ียงผีเพื่อขอน�ำบุตรเข้ามานับถือผีตระกูลเสียก่อน ข้อปฏิบัติ เหลา่ นีล้ ้วนเปน็ ขอ้ ปลีกยอ่ ยท่สี มั พนั ธ์กบั การนบั ถือผตี ระกลู ท้ังสิ้น นอกจากนกี้ ารแบง่ สายตระกลู และนบั ถอื ผขี องแตล่ ะตระกลู ยงั สมั พนั ธไ์ ปถงึ วถิ กี ารดำ� เนนิ ชวี ติ ของชาวลวั ะอกี ด้วย คือ ในสังคมชาวลัวะจะมีการกำ� หนด “วนั กรรม” ซ่งึ เป็นวันทช่ี าวลัวะขะหยดุ พัก จากการท�ำงานหนักที่ท�ำเป็นกิจวัตรในแต่ละวัน วันกรรมนี้แต่ละตระกูลจะก�ำหนดวันถือแตกต่างกัน ออกไป แตว่ นั กรรมของบางตระกลู อาจจะตรงกนั กไ็ ด้ โดยชาวลวั ะจะแบง่ วนั ออกเปน็ ๑๐ วนั ใน ๑ รอบ คือวันไหว้ วันมึง วันดับ วนั ปลิก๊ วนั ก๊ดั วันคด วันรว่ ง วนั เตา วันกา วันคาบ วนั ดบั ซึ่งแตล่ ะตระกูลก็ จะก�ำหนดวันกรรมต่างกันไป เช่น ตระกูลอะเบ๊าะ วันกรรมใหญ่ คือ วันร่วง , ตระกูลอะคัด คือ วันกา , ตระกูลอะเปริ คือ วันคด เป็นต้น วันกรรมของตระกูลนี้ ทุกครอบครัวท่ีอยู่ในตระกูลจะหยุด พกั ผอ่ นจากการทำ� งานหนกั รวมทง้ั งานในครวั เรอื นบางอยา่ งดว้ ย เชน่ การตำ� ขา้ ว การเผาพรกิ เปน็ ตน้ ชาวลวั ะ แตล่ ะครอบครัวจะรักษาขอ้ หา้ มต่าง ๆ อยา่ งเครง่ ครัด รวมทง้ั ถา้ มคี นตา่ งถ่นิ เขา้ ไปก็จะบอก ใหท้ ราบดว้ ย เพอ่ื เปน็ การปอ้ งกนั ไมใ่ หเ้ กดิ การผดิ ผี ซงึ่ จะทำ� ความเดอื ดรอ้ นมาใหส้ มาชกิ ในครวั เรอื นได้ นอกจากวนั กรรมของแตล่ ะสายตระกลู แลว้ แตล่ ะหมบู่ า้ นยงั มกี ารกำ� หนดวนั กรรมของหมบู่ า้ น ดว้ ย ๑ วนั ในรอบ ๑๐ วนั สมาชกิ ทกุ คนของหมบู่ า้ นจะไมไ่ ปทำ� งานหนกั ๆ ในไรน่ า แตจ่ ะทำ� งานเบา ๆ อยู่ภายในหมู่บ้านวันกรรมหมู่บ้านของบ้านน้�ำพิ อ.ทุ่งช้าง คือ วันร่วง เป็นต้น แต่ในบางหมู่บ้าน ธรรมเนยี มปฏิบัตเิ รื่องวนั กรรมได้หมดไปแล้ว เช่น หลาย ๆ หมูบ่ า้ นในเขต อ�ำเภอปวั เปน็ ตน้ ลกั ษณะอาหาร ชาวลัวะก็เช่นเดียวกับชาวเมืองน่านกลุ่มอ่ืน ๆ ท่ีนิยมกินข้าวเหนียวที่น่ึงใส่แอบข้าวหรือกระ ต๊บิ ไว้กินทง้ั ๓ ม้อื เกลอื และพรกิ เปน็ เคร่อื งชรู สท่ีขาดไม่ได้ และจะไม่ใช้นำ้� ปลามากมายเหมือนอย่าง คนอ่ืน อาหารทีน่ ิยมรับประทานกัน คอื นำ้� ปู โดยนำ� ปูตัวเลก็ ๆ ทีจ่ บั มาไดจ้ ากบรเิ วณใกลห้ มบู่ า้ นมา โขลกต�ำในครกจนละเอียดแล้วตักออก ค้ันเอาน�้ำปูไปกรองแล้วเก็บใส่หม้อดินท้ิงเอาไว้วันรุ่งข้ึนจงเอา มาต้มใหง้ วด เก็บไวก้ นิ ต่อไป โดยนำ� มาใส่พรกิ เปน็ เครือ่ งจม้ิ สำ� หรบั ผกั และขา้ วเหนยี ว เนอื้ สตั ว์จะกนิ กันในโอกาสพิเศษหรอื ยามเซน่ ผีเท่านัน้ ผกั ตา่ ง ๆ กเ็ กบ็ เอาจากไรน่ าหรอื ในปา่ ตามแตฤ่ ดกู าล ในยาม
172 ชนต่างวฒั นธรรมในประเทศไทย งานโสลดหลวงหรือกินดอกแดง ก็จะท�ำอาหารและขนมพิเศษส�ำหรับงานน้ี เช่น แกงหน่อไม้ใส่ปู ทำ� ขา้ วตม้ ทำ� ขนมพวง (แปง้ ผสมกบั นำ�้ ตาลหนงึ่ ) เปน็ ตน้ เวลารบั ประทานอาหารในแตล่ ะมอ้ื นน้ั สมาชกิ ของครอบครวั มกั จะมานงั่ ลอ้ มวงรบั ประทานพรอ้ มกนั สว่ นมากแลว้ กจ็ ะลอ้ มวงรบั ประทานอาหารกนิ ในหอ้ งไฟนนั่ เอง ประเพณแี ละความเช่อื ชาวลัวะก็เช่นเดียวกับกลุ่มชาติพันธุ์อ่ืน ๆ ที่มีระบบความเช่ือที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะกลุ่ม ของตน ชาวลัวะจะนับถือผีที่เรียกว่า “ปร็อง” ในกลุ่มลัวะปรัย หรือ “ซอย” หรือ “ปย็อง” ในกลุ่ม ลวั ะมลั ผที ่ชี าวลวั ะนบั ถือนนมี้ ีทัง้ ผตี ระกลู ผบี รรพบุรษุ ผเี รือน ผีประจำ� หมู่บา้ น ผีเจา้ ที่ ผีไร่ เป็นตน้ แต่ละผีจะมขี อ้ ห้าม ขอ้ ปฏิบัติ ตลอดจนการเซน่ ไหวแ้ ตกตา่ งกนั ออกไป แลว้ แตก่ �ำหนดเวลาว่ายามใด จะตอ้ งบชู าผปี ระเภทไหน ในปจั จบุ นั ชาวลวั ะมกี ารตดิ ตอ่ กบั คนเมอื งหรอื ชาวพน้ื ราบมากขนึ้ ประกอบ กบั มชี าวเมอื งบางคนทไี่ ปแตง่ งานกบั หญงิ ชาวลวั ะ คนเมอื งเหลา่ นจี้ ะนบั ถอื ศาสนาพทุ ธทำ� ใหค้ รอบครวั มีลักษณะผสมผสานในเร่ืองของการนับถือศาสนา คือจะนับถือท้ังศาสนาพุทธและนับถือผีไปด้วย ตามความเชอื่ ทส่ี บื ทอดกนั มาในหมบู่ า้ นลวั ะบางแหง่ ทอี่ ยใู่ กลก้ บั ตวั เมอื ง จะมคี นเมอื งเขา้ มาตง้ั ถนิ่ ฐาน และประกอบอาชพี ตา่ ง ๆ รวมกบั ชาวลวั ะดว้ ย ทำ� ใหศ้ าสนาพทุ ธเรม่ิ แผข่ ยายมากขน้ึ จนในบางหมบู่ า้ น มกี ารสรา้ งวดั ทางพระพทุ ธศาสนาขนึ้ ดว้ ยนอกจากนตี้ ามนโยบายเผยแพรศ่ าสนาพทุ ธของทางราชการ กม็ กี ารสรา้ งวดั หรอื อาศรมพระธรรมจารกิ ในหลาย ๆหมบู่ า้ นดว้ ย ทำ� ใหม้ กี ารผสมผสานทางดา้ นศาสนา ความเชอื่ ของชาวลวั ะคอื มที งั้ การประกอบพธิ กี รรมตามความเชอื่ ดงั เดมิ และการประกอบพธิ ที างศาสนา พุทธดว้ ย๕ ผีที่ส�ำคัญ ๆ ตามความเชื่อของชาวลัวะ นอกจากผีประจ�ำแต่ละตระกูลและผีท่ีอยู่ตาม ธรรมชาติ เช่น ผนี ้�ำปัว ผนี �้ำขนุ เป็นตน้ แลว้ ชาวลัวะจะนบั ถือผีทสี่ ำ� คัญ ๔ ชนิด คอื ผีหมู่บ้าน ผีเรือน ผีไร่ และผีเจ้าที่ ผีท่ีมีความส�ำคัญอย่างยิ่งต่อการด�ำรงชีวิตของชาวลัวะ คือ ผีไร่ ในแต่ละปีชาวลัวะ จะมีพิธีเซ่นไหว้ผีไร่หลายคร้ัง ต้ังแต่เร่ิมท�ำการปลูกข้าวไปจนถึงการเก็บเก่ียว พิธีจ�ำกัดเฉพาะสมาชิก ของตระกลู หรือเฉพาะครอบครัวเทา่ นัน้ แต่บางพธิ กี ็เปน็ พธิ ีรวมของสมาชิกทงั้ หมู่บ้าน ส�ำหรับผีเจา้ ท่ี ซ่ึงเป็นผีที่ส�ำคัญท่ีสุดของแต่ละหมู่บ้านนั้นจะมี “หอผี” หรือ “ตูบเจ้าที่” ในบริเวณป่าที่ไม่ไกลจาก หมบู่ ้านมากนกั ไมว่ ่าสมาชกิ แตล่ ะครัวเรือนของหมบู่ ้านจะประกอบพธิ อี ะไรทัง้ เปน็ พิธีกรรมตามจารีต ของชาวลัวะเอง หรือพธิ ที างพทุ ธศาสนา จะต้องมาบอกกลา่ วเจ้าท่กี ่อนทุกคร้งั โดยเฒ่าจำ้� จะเป็นผู้มา ๕ สุรสั วดี อ๋องสกลุ “ลวั ะในตำ�นานลานนาไทยหายไปไหน” เอกสารการสัมมนาล้านนาศกึ ษา ประวัตศิ าสตรแ์ ละ โบราณคดี ณ วิทยาลยั ครูเชียงใหม่ (๒๘-๓๑ มกราคม ๒๕๒๘) น. ๑๑
ลวั ะ Lua (Htin, Kha T’in) 173 เซน่ ไหวบ้ อกกลา่ ว นอกจากนใ้ี นยามทบ่ี คุ คลภายนอกเขา้ มาในหมบู่ า้ น เฒา่ จำ�้ กจ็ ะตอ้ งไปบอกกลา่ วเจา้ ที่ดว้ ยเชน่ กัน เม่อื ถงึ ฤดูกาลเลย้ี งผเี จ้าที่ประจำ� ปใี นยามสงกรานต์ปีใหมห่ รือเมอ่ื ทำ� งานโสลด ชาวบ้าน ทุคนจะร่วมกันออกเงินเพ่ือใช้ในการเตรียมเคร่ืองเซ่นท่ีจะให้เฒ่าจ�้ำน�ำไปเลี้ยงผีท่ีหิผี เฒ่าจ้�ำจะไป ประกอบพธิ โี ดยมผี ชู้ ่วยอีก ๔-๕ คนไปชว่ ย ชาวบา้ นก็จะไปรว่ มดว้ ยนอกจากนแี้ ลว้ เฒา่ จำ้� ประจ�ำของ ผีตระกูลกจ็ ะตอ้ งไปเล้ียงผที ี่หอผแี ตล่ ะตระกูลด้วย เครื่องเซ่นในการเลี้ยงผโี ดยทั่วไปจะประกอบด้วยกรวยดอกไม้ ๔ คู่ หมาก ๔ ค�ำ เทียน ๔ คู่ ไก่ ๒ ตัว หรอื ๑ ตัว (ในบางพิธีอาจจะต้องฆ่าหมู ควาย หรือสุนขั ในการเซ่นผีดว้ ย) และเหลา้ ๑ ไห (เหล้านเ้ี ป็นเหลา้ ทช่ี าวลวั ะจะทำ� กนั เอง ต้มไว้ดนื่ กนิ และใชเ้ ลี้ยงผีในพธิ ีกรรมตา่ ง ๆ แต่ละตระกลู จะ มีวันดีในการท�ำเหล้าท่ีแตกต่างกันไป และจะไม่ท�ำเหล้าเลยในวันท่ีไม่ดี และวันกรรมของตระกูลและ ของหมู่บา้ น) ตามความเชื่อของชาวลัวะเช่ือว่าบริเวณต่าง ๆ ในธรรมชาติน้ีจะมภูมิผีวิญญาณประจ�ำอยู่ ซ่ึงจะต้องเคารพบูชาเซ่นไหว้ให้ถูกต้องด้วย มิเช่นนั้นก็อาจจะเกิดอันตรายต่อตนเองและครอบครัวได้ ชาวลัวะเล่าว่า “ผีขุนปัว” เป็นผีประจ�ำน้�ำปัว มีอ�ำนาจควบคุมดูแลตลอดบริเวณน้�ำปัว ถ้าไปลบหลุ่ดู หม่ินจะต้องท�ำพิธีไหว้ผีขอขมาเป็นเรื่องใหญ่เลยทีเดียว โดยการฆ่าควาย ๑ คู่ และหัวหมูอีก ๒ หัว ซึ่งจะต่างจากผีท่วั ๆ ไป ท่ีอาจจะใชเ้ พยี งหมูตัวเดียวหรือไก่กไ็ ด้ โดยทั่วไปแล้วผีจะปกป้องดูแลผู้ท่ีเคารพบูชาผีแต่ยังมีผีอีกประเภทหน่ึงในความเช่ือของชาว ลวั ะวา่ ผนี จ้ี ะคอยทำ� อนั ตรายมนษุ ย์ คอื “ผปี อบ” และถา้ ผปี อบเขา้ มาในหมบู่ า้ นจะมาเขา้ สงิ ผคู้ นทำ� ให้ ไม่สบาย จะต้องให้หมอผีประจ�ำหมู่บ้านมาท�ำพิธีขับไล่ โดยมาว่าคาถาและเอา “ปูเลย” หรือหัวไพล มาเก่ยี วไปทีต่ ัวคนเจ็บ หรอื กดไวท้ ่บี รเิ วณศีรษะ เพื่อขบั ไลใ่ ห้ผอี อกไป เป็นตน้ พธิ กี รรมต่าง ๆ ทีช่ าวลัวะยดึ ถอื ปฏิบัตอิ ยใู่ นปัจจุบนั น้ี พอจะแบง้ ออกได้เปน็ ๓ กลุม่ ใหญ่ ๆ คือ พิธีกรรมที่เก่ียวกับวงจรชีวิต พิธีกรรมที่เก่ียวกับการผลิต และพิธีกรรมเน่ืองในวันส�ำคัญต่าง ๆ ของสังคมลวั ะ ดงั จะไดก้ ล่าวสรปุ ดงั น้ี พธิ ีกรรมทเ่ี กยี่ วกับวงจรชวี ิตและการรักษาพยาบาล เปน็ พธิ ที เ่ี กยี่ วเนอื่ งกบั ชวี ติ ตง้ั แตเ่ กดิ คอื ตงั้ แตแ่ มเ่ รม่ิ ตงั้ ครรภก์ ต็ อ้ งทำ� พธิ เี ซน่ ผเี รอื น เพอ่ื บอก กล่าวและขอใหช้ ่วยค้มุ ครองให้ปลอดภัย ในเวลาคลอดลูกในบางหมู่บ้านหมอผกี จ็ ะทำ� หนา้ ท่เี ป็นหมอ ต�ำแยไปด้วยเมื่อเด็กคลอดออกมาแล้ว พ่อจะเอารกใส่กระบอกไม้ไผ่ไปแขวนบนต้นไม้ใหญ่ในป่า เพื่อให้เด็กเติบโตแข็งแรงดุจต้นไม้ใหญ่นั้น หลังจากคลอดได้ ๗ วัน จะมีพิธีกรรมท�ำขวัญเด็กเกิดใหม่ โดยเฒ่าจ้�ำจะมาท�ำพิธีให้ร่วมกับพิธีเซน่ ผเี รือน และพธิ ตี ั้งชอื่ ให้เด็กด้วย
174 ชนตา่ งวฒั นธรรมในประเทศไทย สว่ นพธิ เี กย่ี วกบั การตายนนั้ ชาวบา้ นจะรวบรวมเงนิ กนั ในการจดั งานศพ และชว่ ยกนั หาไมม้ า ท�ำโลงหมอผีที่มาประกอบพิธีจะท�ำน�้ำส้มป่อยไว้พรมให้กับทุกคนที่มาร่วมงานพิธี เพ่ือป้องกันไม่ให้ผี มาท�ำอันตรายได้ เมื่อท�ำพิธีท่ีบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้วจะห่อศพด้วยเส่ือขนาดใหญ่ มัดหัวท้ายให้แน่น แลว้ เอาไม้คานสอดชว่ ยกนั หามไปยังป่าช้า เมื่อนำ� ศพออกจากบ้านแลว้ หมอผตี ้องทำ� พิธีท่ีบ้านเพ่ือขบั ไลผ่ หี รอื สงิ่ ชว่ั รา้ ยออกไป ผทู้ ม่ี ารว่ มในพธิ ศี พนห้ี ลงั จากฝงั ศพเสรจ็ เรยี บรอ้ ยแลว้ เมอ่ื กลบั มาถงึ หมบู่ า้ น ต้องท�ำพิธีผูกแขนสู่ขวัญเพ่ือเรียกขวัญของคนร่วมพิธีกลับมา ญาติพ่ีน้องของผู้ตายจะต้องอยู่กรรม หมบู่ ้าน ๓ วันและกรรมตระกลู อีก ๗ วนั ด้วย ตามระบบความเชื่อของชาวลัวะ ไม่ว่าจะเจ็บป่วยด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม ชาวลัวะเชื่อว่าการ เจ็บป่วยน้ันเกิดจากการกระทำ� ของผีท่สี ิงสถิตอยูต่ ามทต่ี า่ ง ๆ เปน็ ผดู้ ลบนั ดาลให้เกิดความผิดปกติตอ่ ร่างกายของคนเราซึ่งจะต้องแก้ไขโดยการท�ำพิธรท่ีเรียกว่า “ท�ำผี” หรือ “แปงผี” หรือ “เซ่นผี” เพอ่ื ใหห้ ายจากอาการเจบ็ ไขไ้ ดป้ ว่ ยนนั้ หลงั จากทหี่ ายปว่ ยแลว้ กจ็ ะทำ� พธิ สี ขู่ วญั หรอื มดั ขวญั ผปู้ ว่ ยดว้ ย เพราะเชอ่ื กนั วา่ รา่ งกายของคนเรามขี วญั อยดู่ แู ล ยามทข่ี วญั หนหี ายไปจะทำ� ใหเ้ จบ็ ปว่ ยหรอื ถกู ผเี ขา้ มา ท�ำร้ายได้ จึงต้องจัดพิธีสู่ขวัญให้ขวัญกลับมาปกป้องรักษาตลอดไป ในบางคร้ังพบว่าสาเหตุของการ เจบ็ ปว่ ย (หรอื เกดิ ความแหง้ แลง้ ขน้ึ ในหมบู่ า้ น) เพราะคนในหมบู่ า้ นกระทำ� ผดิ ผี ทำ� ใหผ้ โี กรธและลงโทษ หรอื บางครง้ั ทำ� ผดิ จารดี ธรรมเนยี มของชาวลวั ะ ในกรณนี จ้ี ะใหห้ มอผที รี่ วู้ ธิ กี ารรกั ษาโดยการตดิ ตอ่ กบั ผไี ด้เป็นผมู้ าท�ำพิธี โดยในขั้นแรกจะตอ้ งเสยี่ งทายดวู ่าผู้ป่ายน้นั ปว่ ยดว้ ยสาเหตุใด เมื่อทราบแล้วก็ตอ้ ง ท�ำพิธีต่อไปว่าจะต้องแก้ไขอย่างไร อาจจะต้องฆ่าหมูหรือฆ่าไก่ ทั้งน้ีขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ ทเ่ี ปน็ หมอผจี ะตอ้ งจดั เครื่องบชู าผแี ลว้ หมอผจี ะเสกคาถา เป่าน�ำ้ มนต์ ผูกขอ้ มือให้กบั ผูป้ ว่ ย การบชู า ผนี อ้ี าจตอ้ งทำ� อกี หลายครง้ั ในกรณที ผี่ ปู้ ว่ ยยงั ไมห่ ายจากอาการนน้ั ๆ เมอ่ื รกั ษาผปู้ ว่ ยหายดแี ลว้ เจา้ ของ บ้านจะตอ้ งไปบอกหมอผีใหม้ าท�ำพธิ ปี ลดขนั กอ่ นจะทำ� พิธสี ูข่ วัญผูป้ ่วย การรักษาพยาบาลในสังคมชาวลัวะในปัจจุบันนี้ยังคงรักษาโดยวิธีการเซ่นผีดังกล่าวมาน้ีอยู่ แม้ว่าเกือบจะทุกหมู่บ้านจะมีสถานีอนามัยของหมู่บ้านแล้วก็ตามชาวบ้านก็ยังคงเลือกวิธีการรักษาท่ี พอใจทส่ี ดุ บางครง้ั และบอ่ ย ๆ ทพ่ี บวา่ ชาวลวั ะบางคนทไ่ี ปรบั การรกั ษาแบบการแพทยส์ มยั ใหมท่ สี่ ถานี อนามัย หรือท่ีโรงพยาบาลก็ตาม เม่ือกลับไปถึงในหมู่บ้านก็จะรักษาโดยวิธีการของหมอผีอยู่นั้นเอง แม้ว่าในแต่ละหมู่บ้านจะมีอาสาสมัครหมู่บ้านท่ีทางราชการได้จัดข้ึน เพื่อให้เผยแพร่ให้ความรู้ด้าน สาธารณะสุขแก่สมาชิกของหมู่บ้าน และมีหอกระจายข่าว ซ่ึงใช้ในการเผยแพร่ข่าวสารทั่วไป รวมท้ัง ความรดู้ า้ นการแพทยส์ มยั ใหมท่ เ่ี กยี่ วกบั โรคภยั ไขเ้ จบ็ หรอื ถา้ ชว่ งใดมโี รคระบาดกจ็ ะกระจายขา่ วในการ ดแู ลรักษาสขุ ภาพของตนเองดว้ ย อยา่ งไรกต็ ามจะพบว่าชาวลวั ะก็ยงั คงยึดถือวิธกี ารรกั ษาแบบดงั้ เดิม ตามระบบความเช่ือของพวกเขาอยู่นั้นเอง ในเร่ืองการคลอดลูกน้ันปัจจุบันนี้หมอต�ำแยแทบจะไม่มี
ลัวะ Lua (Htin, Kha T’in) 175 บทบาทในสังคมลัวะแล้วชาวลัวะมักจะไปคลอดลูกกันที่โรงพยาบาลเพราะสะดวกและปลอดภัย แตเ่ มอื่ กลบั เขา้ สู่หมูบ่ ้านกย็ ังคงประพฤตปิ ฏิบตั ติ ามขนบธรรมเนยี มลัวะอยูน่ น่ั เอง คอื ไหวผ้ เี รอื นบอก กลา่ วถึงสมาชิกใหม่ สู่ขวัญเดก็ รวมไปถึงการอยูไ่ ฟ ของแม่หลังการคลอดลูกดว้ ย สว่ นมากแลว้ ผเู้ ฒา่ ผแู้ กใ่ นหมบู่ า้ น มกั จะรจู้ กั สมนุ ไพรทสี่ ามารถเกบ็ มาตม้ กนิ เปน็ ยารกั ษาโรค บางโรคได้ หรอื นำ� มาใชท้ าหรอื พอกกนั แมลงสตั วก์ ดั ตอ่ ยเปน็ ตน้ ดงั นนั้ บางครง้ั ในหมบู่ า้ นกจ็ ะมาขอยา รักษาโรคต่าง ๆ จากผ้เู ฒา่ ผูแ้ กเ่ หล่าน้ีดว้ ยแทนท่ีจะไปสถานีอนามัยประจ�ำหมบู่ ้าน พธิ กี รรมท่เี กยี่ วเนอ่ื งกับการผลติ (การปลกู ข้าว) ดงั ไดก้ ลา่ วแลว้ วา่ ความเชอื่ ในผสี างและอำ� นาจเหนอื ธรรมชาตเิ กยี่ วขอ้ งกบั แบบแผน ประเพณี การด�ำเนินชีวิตในการประกอบอาชีพ ดังน้ันในการปลูกข้าวไร่ของชาวลัวะจึงเก่ียวข้องกับพิธีกรรม ตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ผที งั้ สนิ้ เรมิ่ ตง้ั แตเ่ รมิ่ เลอื กพนื้ ทท่ี จี่ ะปลกู ขา้ วในปนี นั้ ๆ จากปฏทิ นิ เกษตรจะเหน็ ว่าจะเริ่มสร้างตูบผี หรือศาลผีเพ่ือเชิญให้ผีเข้ามาสิงสถิตในตูบน้ี เพ่ือจะได้คอยคุ้มครองดูแลปกป้อง รกั ษาตน้ ขา้ วในไรใ่ หไ้ ดผ้ ลเตม็ เมด็ เตม็ หนว่ ย หลงั จากนน้ั จงึ เรมิ่ ถางหญา้ พนั ตอไมในบรเิ วณนนั้ เพอื่ เตรยี ม พืชทเ่ี พาะปลกู ตอ่ ไป จนถงึ การหยอดข้าว ดูแลต้นข้าวจนเก็บเกยี่ ว ซงึ่ ในแต่ละช่วงนน้ั กต็ ้องมีการเซ่น ผเี ปน็ ระยะไปดว้ ย ดังไดก้ ลา่ วไวใ้ นเร่ืองของการปลกู ข้าวแล้ว พธิ กี รรมทเ่ี กยี่ วเนอื่ งกนั การปลกู ขา้ วทสี่ ำ� คญั ของชาวลวั ะมลั คอื การทำ� โสลดหลวงซง่ึ จดั เปน็ งานใหญ่ประจ�ำปีเลยทีเดียว งานโสลดจะจัดข้ึนในช่วงท่ีต้นข้าวเร่ิมเติบโตออกใบอ่อนสวยงาม ซ่ึงมัก จะอยใู่ นชว่ งเดอื นกนั ยายนและตน้ ตลุ าคม โดยแตล่ ะหมบู่ า้ นจะเลอื กวนั ดขี องหมบู่ า้ นในชว่ งนนั้ ประกอบ พิธี ซ่ึงจะใช้เวลาหลายวันทีเดียว ชาวบ้านทุกคนต่างหยุดงานแล้วมาร่วมกันฉลองอย่างสนุกสนาน เปน็ งานทจี่ ดั ขนึ้ เพอ่ื บชู าขวญั ขา้ วและขอบคณุ ผบี รรพบรุ ษุ ผเี รอื น ผไี ร่ ผนี า ทช่ี ว่ ยปกปอ้ งรกั ษาคมุ้ ครอง ดูแลให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข รวมท้ังขอ ให้ข้าวที่ปลูกให้ได้ผลเต็มเม็ดเต็มหน่วย ให้ผู้ปลูกข้าวมีข้าวกิน ตลอดปี ไมใ่ หม้ ีโรคภยั ไข้เจ็บเกิดข้นึ ในบ้านและหม่บู ้านรวมทง้ั ให้ทุกคนรอดพน้ จากภัยอนั ตรายตา่ ง ๆ ถา้ ในหมบู่ า้ นมเี จา้ ผหี ลายคน เจา้ ผผี ใู้ หญ่ ผมู้ อี าวโุ สสงู สดุ จะเปน็ ผเู้ รมิ่ พธิ ตี า่ ง ๆ กอ่ น แลว้ จงึ เรยี งไปตาม ลำ� ดบั อาวุโสสมาชกิ ของแตล่ ะตระกลู จะไปรวมกันทำ� พธิ แี ละตีพทิ บ่ี ้านเจา้ ผตี ระกูลของตน การจัดงาน โสลดน้ีในปัจจุบันจะไม่จัดกันทุกปีแล้ว เพราะต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูง ดังน้ันชาวบ้านจึงตกลงกันและให้ เฒ่าจ�้ำเป็นผู้ขอต่อผี บางหมู่บ้านอาจจะจัดงานทุก ๆ ๓ ปี ต่อ ๑ คร้ัง บางหมู่บ้านอาจจะจัด ๓ ปี ติดต่อกัน และหยดุ ไป ๑ ปี เป็นตน้ สำ� หรบั ชาวลวั ะปรยั นนั้ พธิ กี รรมทส่ี ำ� คญั คอื “กนิ ดอกแดง” ซง่ึ กม็ วี ตั ถปุ ระสงคค์ ลา้ ยกนั งาน โสลดหลวงของชาวลวั ะมลั แตจ่ ะจัดข้ึนต่างระยะเวลากนั ลัวะปรยั ก็มงี านกนิ โสลดทำ� ขวัญข้าวเชน่ กัน
176 ชนต่างวฒั นธรรมในประเทศไทย แตเ่ ปน็ งานในไรน่ าของแตล่ ะครอบครวั เทา่ นนั้ พธิ กี นิ ดอกแดงจะจดั ขน้ึ เมอ่ื หมดกจิ กรรมทกุ อยา่ งในไร่ นาแลว้ เพอ่ื เลย้ี งผขี อบคณุ ทชี่ ว่ ยคมุ้ ครองดแู ลใหป้ ลกู ขา้ วไดผ้ ลดตี ลอดฤดกู าลทผี่ า่ นมา พธิ ี “กนิ ดอกแดง” เปน็ งานสนกุ สนานรนื่ เรงิ ของหมบู่ า้ น หลงั จาการตรากตรำ� ทำ� งานอยา่ งเหนด็ เหนอื่ ยมาตลอดทงั้ ปอี กี ดว้ ย ในการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ของชาวลัวะนั้นมักจะห้ามไม่ให้คนเผ่าอ่ืนเข้ามาในหมู่บ้าน หรือถ้าเป็นพิธีกรรมระดับครอบครัวระดับตระกูล ผู้ท่ีไม่ใช่สมาชิกของครอบครัวหรือตระกูลน้ันก็ไม่ สามารถจะเข้าไปร่วมงานได้ ดงั น้ันจึงตอ้ งมเี คร่อื งหมายหรือสญั ลกั ษณ์เพ่อื บอกใหท้ ราบ คือ เฉวงหรือ ตะแหลว ซง่ึ ถา้ เหน็ ตะแหลวนป้ี กั อยทู่ ใ่ี ด กจ็ ะเขา้ ใจตรงกนั วา่ มขี อ้ หา้ มตะแหลวนป้ี กั อยทู่ ใี่ ด กจ็ ะเขา้ ใจ ตรงกันว่ามีข้อห้ามบางอย่างบริเวณนั้น บางครั้งตะแหลวยังใช้เป็นเครื่องรางในการป้องกันผีด้วย แล้วแต่ว่าจะถูกท�ำข้ึนมาในโอกาสใดตะแหลว ของชาวลัวะมีด้วยกันหลายชนิดหลายแบบท้ังท่ีติด ในเรือน ในหมู่บ้าน ในไร่นา และจะมีช่ือเรียกแตกต่างกันออกไป เช่น ตะแหลวกุบ ตะแหลวด่าน ตะแหลวหลวง เปน็ ตน้ พธิ ีกรรมเน่อื งในวันส�ำคัญของชาวลวั ะ เป็นพิธีที่จัดข้ึนในโอกาสต่าง ๆ ตามประเพณีพ้ืนบ้านของเคนเมืองหรืออาจจะเป็นพิธีกรรม ทางพุทธศาสนาส�ำหรับบางหมู่บ้านที่มีวัดพุทธหรือส�ำนักสงฆ์ประจ�ำหมู่บ้าน เช่น งานทอดกฐิน ทอดผ้าปา่ เปน็ ต้น พธิ กี รรมท่จี ดั ข้ึนนี้ก็จะเป็นไปตามธรรมเนยี มประเพณที ้องถ่นิ อย่างงา่ ย ๆ โดยอาจ จะมีรายละเอยี ดบางส่วนทป่ี ระยกุ ต์เขา้ กบั ความเชอื่ ดงั้ เดิมของชาวลวั ะเองดว้ ย เช่น ไมว่ ่าจะประกอบ พธิ ีในโอกาสใด ๆ จะต้องทำ� พธิ ีเล้ียงผเี จา้ ท่ีของหมู่บ้านเสมอ พธิ กี รรมในโอกาสพเิ ศษทส่ี ำ� คญั ของชาวลวั ะคอื งานสงกรานตป์ ใี หม่ ทจี่ ดั ขน้ึ ในเดอื นเมษายน โดยทว่ั ไปจะมงี านฉลองกัน ๕-๑๐ วัน ชาวลัวะจะไมอ่ อกไปท�ำงานในไรน่ า จะเปน็ ชว่ งเวลาของการขับ ไล่ส่ิงไม่ดีท้ังหลาย รวมท้ังโรคภัยไข้เจ็บให้ออกไปจากหมู่บ้าน ให้มีแต่สิ่งดีงามอุดมสมบูรณ์ ช่วงฉลอง ปใี หมน่ บี้ างคนกถ็ อื โอกาสชอ่ มแซมบา้ นเรอื นในสว่ นทที่ รดุ โทรม เปลย่ี นหลงั คาบา้ นใหม่ เปน็ ตน้ ในวนั สุดท้ายของเทศกาลหมอผีและกลุ่มผู้เฒ่าจะไปเย่ียมเยียนทุกหลังคาเรือนเพื่ออวยชัยให้พรบ้านและ สมาชิกในบ้านหลังนี้จากบ้านต้องน�ำเหล้ามาต้อนรับคณะผู้มาเยือนนี้นอกจากน้ีหมอผีหรือเฒ่าจ�้ำจะ สานตะแหลวอันใหม่และลงคาถาอาคมท่ีตะแหลวน้ีมอบให้กับเจ้าบ้านทุกหลังาเรือน เพื่อจะได้น�ำไป ติดที่บ้านแทนอันเก่า และในตอนบ่ายแต่ละครัวเรือนจะท�ำสะตวงเซ่นผี เป็นกระทงสี่เหล่ียมมีเคร่ือง ประกอบต่าง ๆ เช่น หมาก ผลไม้ ข้าวสุก เทียน เกลือ พริก เป็นต้น และน�ำไปวางไว้ปากทางออก หมบู่ า้ นเพอ่ื เลย้ี งผที ไ่ี มม่ ที อ่ี ยปู่ ระจำ� ในระหวา่ งงานปใี หมน่ ้ี ชาวลวั ะทกุ หลงั คาเรอื นจะทำ� ความสะอาด บ้าน เตรียมอาหารและเหล้าไว้มากมาย เพ่ือเล้ียงต้อนรับเฒ่าจ้�ำและคณะ ตลอดจนญาติมิตรท่ีมา เย่ียมเยยี น
ลวั ะ Lua (Htin, Kha T’in) 177 ประเพณีพธิ กี รรมตา่ ง ๆ ตลอดจนเรอ่ื งราวของชาวลวั ะเทา่ ทกี ล่าวมาน้ี เปน็ เพยี งสว่ นหน่งึ ท่ี แสดงให้เห็นถึงความเป็นเอกลักษณ์ของเผ่าพันธุ์ลัวะเหมือนเช่นกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ในประเทศไทย วถิ ชี วี ติ ของชาวลวั ะในสงั คมปจั จบุ นั มกี ารเปลย่ี นแปลงตา่ ง ๆ เกดิ ขนึ้ มากมาย ทง้ั นเี้ นอื่ งจากการตดิ ตอ่ มคี วามสมั พนั ธก์ บั กลมุ่ สงั คมวฒั นธรรมอน่ื ๆ ขณะเดยี วกนั กต็ อ้ งปรบั พฤตกิ รรมใหเ้ ขา้ กบั สงั คมโลกอกี ด้วยแต่ไม่ว่าจะต้องปรับเปล่ียนวิถีชีวิตไปอย่างใด เอกลักษณ์ของเผ่าพันธุ์ที่แสดงให้เห็นถึงความเป็น “ลัวะ” จะยังคงอยู่ และจะสบื ทอดไปสรู่ ุ่นลูกหลานของลวั ะตลอดไป เคร่อื งดนตรี ชาวลัวะแห่งจังหวัดน่านมีเคร่ืองดนตรีประจ�ำเผ่าเป็นเครื่องตีที่ท�ำจากไม้ไผ่ กลุ่มปรัย เรียกเคร่ืองดนตรีของเขาว่า “เประห์” และกลุ่มมัล เรียกว่า “ปิอ์” หรือที่คนเมืองเรียกว่า “พิ” เครื่องดนตรีท้ังสองชนิดน้ีท�ำจากไม่ไผ่เหมือนกัน แต่มีรูปทรงลักษณะ วิธีการเล่น ตลอดจนโอกาสใน การเลน่ ทแ่ี ตกต่างกันออกไป “เประห”์ เปน็ เครอ่ื งตที ล่ี กั ษณะเปน็ ทรงกระบอกทำ� จากไมไ้ ผ่ โดยอาจจะมคี วามยาวตง้ั แต่ ๑ ปล้อง ไมไ้ ผ่ จนถงึ หลาย ๆ ปลอ้ ง แบง่ ออกเป็น ๒ ส่วน คือ ส่วนหัว และ สว่ นหาง สว่ นหวั มีความยาว ประมาณ ๓/๕ ของความยาวทั้งหมด ในส่วนหางจะบากด้านหนึ่งของกระบอกไม่ไผ่ลงไป มีลักษณะ คลา้ ยปากปลาฉลาม ในการเลน่ ประห์จะตอ้ งเล่นเปน็ ชุด ชดุ หนึง่ อย่างน้อยจะประกอบไปดว้ ยเปราะห์ ๔ ค่ผู ู้เล่น ๔ คน คือ ผเู้ ล่น ๑ คน ตอ่ เประห์ ๑ คู่ (โดยจะเอาเประห์ใสไ่ ว้ที่ง่ามน้วิ ) เประหท์ ง้ั ๔ คู่ เรยี ก วา่ ตวั แม่ ตวั กลาง ตวั นาง และตวั เลก็ เประหท์ ง้ั ๔ คนู่ จี้ ะมขี นาดลดหลน่ั ลงไปตามลำ� ดบั ซงึ่ จะใหเ้ สยี ง ท่ีแตกต่างกันออกไปด้วย โดยไม้ที่ตีนั้นจะใช้ไม้อะไรก็ได้ แต่ควรจะเป็นไม้เนื้ออ่อนและยังสดอยู่ เพือ่ จะใหไ้ ด้เสยี งที่นุ่มนวล และจะตีลงบนกระบอกบริเวณส่วนหวั ของเประห์ โดยทั่วไปแล้วชาวลัวะปรัยตีเประห์กันยามที่ต้องขนข้าวจากไร่กลับมาสู้ยุ้งฉางในหมู่บ้าน ไร่ข้าวของชาวลัวะนน้ั จะตอ้ งเดนิ ไปตามสันเขาซ่ึงเป็นทางแคบ ๆ ขนึ้ ๆ ลง ๆ ไปเป็นระยะทางไกล ๆ เวลาท่ีขนข้าวกลับมาน้ันเพื่อไม่ให้รู้สึกเหน่ือย เบื่อ จึงนิยมนัดกันตีเประห์ระหว่างเดินจากไร่ไปสู้บ้าน เพราะการขนขา้ วของชาวลวั ะจะเอาตะกรา้ (เปา๊ ะ) แบกขน้ึ หลงั โดยมสี ายโยงมารดั บนหนา้ ผากของผแู้ บก ดังน้ันผู้แบกก็สามารถใช้มือตีเประห์ไปได้ เสียงเประห์จะดังมากตลอดทางเดินและก้องกังวานไปทั่ว หุบเขา บางครั้งยังมีการน�ำเประห์มาเล่นกันในวงเหล้าหรือในงานเลี้ยงแขกต่างถิ่นท่ีมาเยี่ยมเยือนหมู่ บา้ นลวั ะดว้ ย “พ”ี หรอื ในภาษาลวั ะ เรยี กวา่ “ปอิ ”์ เปน็ เครอ่ื งตขี องชาวลวั ะมลั ทส่ี รา้ งขนึ้ เพอื่ ใชต้ ใี หจ้ งั หวะ เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลินในพิธีโสลดหลวง “พี” ท�ำขึ้นจากไม่ไผ่ชนิดหนึ่ง เรียกว่า “ไม่เฮียะ”
178 ชนต่างวัฒนธรรมในประเทศไทย พิจดั เปน็ เครอ่ื งดนตรพี เิ ศษของชาวลัวะ เพราะจะทำ� ขนึ้ เฉพาะมีการท�ำโสลดเทา่ น้นั หลงั จากเลิกงาน แลว้ จะตอ้ งทบุ ทงิ้ ทง้ั หมดจะเกบ็ ไวแ้ ตเ่ ฉพาะพทิ จี่ ะเปน็ แบบสำ� หรบั ครง้ั ตอ่ ไป ทเ่ี รยี กวา่ “เชอื้ หรอื พนั ธ”์ุ “พิ” ของชาวลวั ะมัลจะมีลักษณะเป็นทรงกระบอก ดา้ นหนึ่งกลวง เหนอื ดา้ นท่ีตนั จะเจาะรทู ี่ ตวั กระบอก ๒ ดา้ น แลว้ ใชไ้ มไ่ ผท่ ่ีเหลาใหย้ าวเรียวเสยี บลงไปทีร่ ูนใ้ี หผ้ ่านกระบอกไม้ไผอ่ ีกอนั หนงึ่ มาตี ที่ขาพิน้ี ก็จะได้เสียงพิท่ีดังกังวานออกจากกระบอกไม่ไผ่ ขาของพินี้ด้านหน่ึงใช้เป็นท่ีจับหรือถือ อีกด้านหนง่ึ จะยาวกวา่ ใช้เปน็ ด้านทีจ่ ะตี พชิ ุดหนึ่งจะมี ๓ ตวั ผตู้ ี ๑ คนกจ็ ะตีพิชดุ หน่ึงโดยจะจับขาพิ ดา้ นหนง่ึ ไวใ้ นมือ ถ้าพิบางชดุ ท่ีมขี นากใหญ่ไม่สามารถตกี ็ได้ ส่วนมากแล้วถ้าตใี นเรือนกจ็ ะน่ังตี แต่ถา้ ออกไปตีเลน่ ตามทางในหม่บู า้ นกจ็ ะยนื เรียงกัน ในการตีพิแต่ละครั้งน้ัน จะมีพิหลายชุด บางคร้ังมากกว่า ๓๐ ชุด ท้ังนี้ข้ึนอยู่กับสมาชิกของ หมบู่ า้ นทม่ี ารว่ มเลน่ พิ ในจำ� นวนพทิ งั้ หมดของการเลน่ แตล่ ะครงั้ นน้ั จะตอ้ งประกอบไปดว้ ยพิ ๔ ชดุ คอื ชุดใหญ่ เรียกว่า “แม่ฟ้าร้อง” และชุดเล็ก ๆ ท่ีมีขนาดลดหล่ันกันลงไปอีก ๓ ชุด เรียกว่า “รี” “รหี ลวง” และ “พะลด” ซง่ึ เปน็ ชดุ ทเ่ี ลก็ ทสี่ ดุ ผตู้ กี จ็ ะเลอื กตตี ามทช่ี อบ เพราะทำ� นองทใ่ี ชต้ กี จ็ ะเหมอื น กนั ยกเว้นผู้ทต่ี ีชดุ แม่ฟ้าร้อง ๑ คน ทจ่ี ะเปน็ คนคมุ จงั หวะ ท�ำนองพิท่ีตีเล่นกันอยู่ในยามงานโสลดน้ันพบว่ามีท้ังแบบที่เป็นจังหวะผสมและจังหวะเด่ียว ซงึ่ ฟงั ดเู หมอื นวา่ จะมหี ลายแบบ แตเ่ มอ่ื วเิ คราะหแ์ ลว้ พบวา่ จะเปน็ ทำ� นองแปรของทำ� นองหลกั ทง้ั หมด ดังได้แสดงลักษณะท�ำนองไว้ในโน้ตเพลงประกอบ เม่ือฟังเสียงพิที่ชาวลัวะเล่นกันอย่างสนุกสนาน ระหว่างงานโสลดน้ีจะพบว่า ไม่มีหลักเกณฑ์ท่ีชัดเจนว่า ท�ำนองแต่ละแบบน้ันจะเร่ิมเม่ือใด จะจบลง เมื่อใด และจะขึ้นด้วยเสียงไหนเพราะในการตีพิน้ันจะมีผู้ตีพิที่มีท�ำนองต่างจากคนอื่น ๆ มีลักษณะ เป็น “ทำ� นองขดั ” ซง่ึ จะท�ำให้เสยี งพทิ ้ังหมดทไี่ ดย้ ินไพเราะขน้ึ อยา่ งไรกต็ ามสว่ นใหญแ่ ลว้ ชาวลวั ะทมี่ ารว่ มตพี จิ ะตเี ปน็ ทำ� นองเดยี วพรอ้ มกนั อยา่ งสนกุ สนาน ยามงานโสลดจะได้ยินเสียงพิดังไปทั่วหมู่บ้านตั้งแต่เช้าจนค�่ำมืดดึกดื่น โดยเฉพาะยามกลางคืนที่หนุ่ม สาวจะมาร่วมตีพิกันอย่างสนุกสนาน เสียงพิ เสียงโห่ ร้องรับ บอกให้รู้ถึงความสุขความพอใจในชีวิต ของชาวลวั ะเปน็ อยา่ งดี ท้ังพิและเประห์น้ี ต่างก็เป็นเครื่องตีให้จังหวะเกิดความสนุกสนานของชาวลัวะ แต่จะเห็นได้ ว่ามีหน้าท่ีตอบสนองสังคมต่างกัน ข้ึนอยู่กับความต้องการของสังคมน้ัน สังคมลัวะปรัยใช้เประห์เป็น เครื่องดนตรีท่ีตีเล่นเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน ในขณะที่ชาวลัวะมัลใช้พิเป็นเคร่ืองดนตรีเฉพาะ ในงานโสลดหลวง ซงึ่ เปน็ พธิ กี รรมทีส่ �ำคัญพธิ หี นงึ่ ในวถิ ีชวี ติ ของพวกเขา
ลัวะ Lua (Htin, Kha T’in) 179 นอกจากเครอื่ งดนตรจี ากไมไ่ ผท่ ง้ั สองชนดิ นแี้ ลว้ ชาวลวั ะยงั มเี ครอื่ งเปา่ อกี ชนดิ หนง่ึ ทำ� จากเขา สตั ว์ ซงึ่ อาจจะเปน็ เขาควายหรอื เขาแพะกไ็ ด้ ชาวลวั ะจะนำ� เครอ่ื งเปา่ ชนดิ นม้ี าเปา่ เปน็ ทำ� นองทบี่ รรยาย ใหเ้ หน็ ถงึ ชวี ติ ของพวกเขายามเดนิ ทางเขา้ ปา่ ไปตา่ งถนิ่ หรอื ไปไรซ่ งึ่ ในปจั จบุ นั นค้ี อ่ ย ๆ หมดความนยิ ม ไปแลว้ ในขณะเดยี วกนั กม็ เี ครอื่ งดนตรขี องคนเมอื งทร่ี บั เขา้ มา ดงั นน้ั จะพบวา่ ในบางหมบู่ า้ นแถบนำ�้ สอด น�้ำพิ จะมีหมอแคนท่ีมีฝมี อื รวมทั้งมีผู้ทเ่ี ลน่ พิณและซอไดด้ ้วย ซงึ่ กเ็ ปน็ ผลเน่อื งจากตดิ ต่อสมั พันธก์ ับ คนตา่ งกลมุ่ วฒั นธรรมขณะเดยี วกนั เทคโนโลยสี มยั ใหม่ ทง้ั วทิ ยุ โทรทศั น์ กเ็ ปน็ สอื่ ทที ำ� ใหช้ าวลวั ะเรยี น รู้และรับวฒั นธรรมตา่ งถน่ิ เข้ามาในวถิ ชี วี ติ ของเขา การแตง่ กาย หมบู่ า้ นชาวลวั ะในปจั จบุ นั พบวา่ ไมม่ กี ารทอผา้ เสอื้ ผา้ เครอื่ งนงุ่ หม่ ทใี่ ชอ้ ยสู่ ว่ นใหญจ่ ะไปชอ้ื หา กันที่ตลาดในตวั อ�ำเภอ หรือไม่กช็ อื้ จากพ่อค้าเรจ่ ากพื้นราบทนี่ �ำมาขายถงึ ในหมูบ่ า้ น หรือบางคนครั้ง ก็นำ� มาแลกเปลี่ยนกบั สนิ คา้ บางอยา่ งจากชาวบ้าน ผู้หญิงลัวะไม่ว่าจะออกไปไร่หรืออยู่บ้านจะนุ่งผ้าชิ้นแบบชาวเมืองน่านทั้งไป สวมเส้ือ ๒ ตัว โดยตัวในจะเปน็ เส้อื คอกลมมีแขนหรอื ไมม่ แี ขน บางที่จะเป็นเสือ้ ผ้าลายต่าง ๆ ซึง่ เรียกว่า “เสอ้ื ดอก” และสวมเสื่อแขนยาวทับเป็นเส้ือช้ันนอก เส้ือแขนยาวน้ีอาจจะเป็นเส้ือฝ้ายหรือเส้ือส่ีน้�ำเงินเข้ม (สีมอ่ ฮอ่ ม) ทเี่ รียกวา่ “เสือ้ ด�ำ” และจะใช้ผา้ ขาวม้าพนั ศรี ษะ ผ้าน้ีชาวบ้านเรียกวา่ “ผ้าหวั ” ซ่งึ จะชว่ ย กันความร้อนและให้ความอบอุ่นในฤดูหนาวด้วยรวมท้ังเป็นผ้ารองสายกระบุงตะกร้ายามต้องขนของ โดยจะแบกถุงย่ามขนาดใหญ่หรือกระบุงตะกร้าไว้บนหลังและมีสายรัดมาพาดบนหน้าผาก ผ้าโพกหัว ก็จะชว่ ยรองสายรดั นไ้ี มใ่ หก้ ดลงไปบนเนื้อหน้าผาก ผชู้ ายลวั ะจะแตง่ กายเหมอื นชาวไทยโดยทวั่ ไปคอื สวมกางเกงขาวยาวหรอื ขาสนั้ ตามแบบสมยั นิยมและสวมเสอ้ื แขนสน้ั หรอื ยาว เสอ้ื ยดื หรอื เลือ้ ม่อฮ่อม โดยทว่ั ไปทง้ั หญงิ และชายชาวลวั ะนยิ มสวมรองเทา้ แตะฟองนำ�้ ซงึ่ จะชอื้ นำ้� หาไดใ้ นตลาด หรอื ในฤดฝู นมกั จะนยิ มสวมรองเทา้ ยางหรอื พลาสตกิ เพราะสะดวกในทางเดนิ ทางไปไร่ ทงั้ ผหู้ ญงิ และผชู้ า ยลวั ะในสมยั กอ่ นมกั จะเจาะหแู ละใชด่ อกไมเ้ สยี บรหู ู ซง่ึ ยงั คงพบไดใ้ นผสู้ งู อายแุ ละบางคนยงั ใชด้ อกไม้ เสียบบนมวยผมด้วย ในงานพิธีใหญ่ประจ�ำปีของชาวลัวะมัลและลัวะปรัย จะพบหญิงชาวลัวะท่ีแต่งกายแบบพื้น เมอื งโดยเลยี นแบบจากคนเมืองหรือชาวไทลอ้ื ส่วนผชู้ ายมกั จะแตง่ กายแบบคนเมอื งทว่ั ไป รวมทั้งจะ พบวยั รนุ่ ลัวะท่แี ตง่ กายด้วยเส้อื ยืด กางเกงยีนส์ และรองเทา้ ผ้าใบเชน่ วัยร่นุ ทวั่ ๆ ไปด้วย
180 ชนตา่ งวฒั นธรรมในประเทศไทย การประกอบอาชพี การปลกู ขา้ วไร่ การปลูกขา้ วไร่ของชาวลวั ะนน้ั จะตอ้ งมกี ารเตรยี มพ้นื ทกี่ ่อน ทัง้ การถางตอไม้ตา่ ง ๆ ท่ขี น้ึ ใน ไรห่ ลงั จากการเกบ็ เกยี่ วครง้ั กอ่ น รวมไปถงึ การเผาตอไมเ้ หลา่ นี้ เพอ่ื ใหเ้ ปน็ ปยุ๋ สำ� หรบั การปลกู ขา้ วครงั้ ตอ่ ไป เมอ่ื เตรยี มเดนิ เสรจ็ แลว้ กอ่ นจะหยอดขา้ ว มกั จะสรา้ งตบู หลงั เลก็ ๆ ไวเ้ ปน็ ทพี่ กั ยามออกมาทำ� ไร่ เรยี กวา่ “ตบู แซ” และจะสรา้ งตบู ผดี ว้ ย หลงั จากนนั้ จงึ ทำ� พธิ เี ชญิ ผเี ขา้ ไร่ เพอื่ ใหม้ าคมุ้ ครองไรน่ าตลอด ฤดกู าลปลกู ข้าวน้ี แต่เดิมชาวลัวะจะย้ายพื้นที่ท่ีจะท�ำไร่หมุนเวียนไปในขอบเขตที่ก�ำหนดไว้ส�ำหรับท�ำไร่ทุกปี โดยเชญิ หมอผมี าทำ� พธิ เี สาะหาพนื้ ทสี่ ำ� หรบั การปลกู ขา้ ว หมอผจี ะทำ� พธิ เี สย่ี งทายเพอ่ื จะบอกวา่ พน้ื ที่ ตรงไหนเหมาะสมท่ีจะปลูกขา้ วได้ เมือ่ เลือกพนื้ ทีไ่ ดแ้ ลว้ จึงคอ่ ยถางและเผาป่าเตรียมพน้ื ท่ีต่อไป แตใ่ น ปัจจุบันน้ีแต่ละครอบครัวจะมีที่ดินท�ำกินที่ก�ำหนดเนี้อท่ีอย่างชัดเจนท�ำให้การใช้พื้นที่ท�ำไร่แบบ หมุนเวยี นหมดไปด้วย การถางป่า เตรียมดินเพื่อปลูกข้าวนี้ เป็นงานของผู้ขาย แต่ในปัจจุบันบางครอบครัวที่ผู้ชาย ออกไปรบั จา้ งอยทู่ อี่ นื่ กจ็ ะจา้ งแรงงานในหมบู่ า้ นนนั้ เตรยี มพนื้ ทใ่ี หแ้ ตจ่ ะไมจ่ า้ งแรงงานในการปลกู ขา้ ว เพราะการปลกู ขา้ วนน้ั เปน็ กจิ กรรมรว่ มกนั ของสมาชกิ ในครอบครวั เครอื ญาตติ ลอดจนเพอ่ื นบา้ นจะมา ลงแรงช่วยกนั เป็นการ “เอามือ” กนั การปลูกขา้ วน้นั ผชู้ ายจะเป็นผขู้ ุดหลมุ โดยผชู้ ายทกุ คนที่มาชว่ ย กนั จะยนื เรยี งเปน็ แถว ใชไ้ มย้ าว ๆ ทป่ี ลายขา้ งหนง่ึ แหลม ๆ ซง่ึ ทำ� จากลำ� เคอื่ ง (ลกั ษณะคลา้ ยตน้ เตา่ รา้ ง) แทงลงไปในดิน ให้เป็นหลุมเล็ก ๆ ให้กลุ่มผู้หญิงซึ่งจะเดินเรียงแถวตามมา น�ำเมล็ดพันธุ์ที่เตรียมไว้ หยอดลงในหลุมท่ีขุดไว้ หลังจากน้ันก็เอามือหรือเท้าเหยียบดินกลบหลุมน้ัน จะท�ำอย่างนี้ไปจนทั่ว ทัง้ พน้ื ทที่ เี่ ตรียมไว้ เมอื่ ข้าวงอกข้ึนสงู ประมาณ ๑ ศอก กจ็ ะท�ำพิธรี ับขวัญขา้ ว เป็นการเซน่ ไหวผ้ คี ร้งั ใหญ่ ท่เี รยี ก วา่ “การท�ำโสลด” ชาวลวั ะปรยั จะท�ำพิธีน้ใี นไรข่ องแต่ละครอบครัวแต่ลวั ะมัลจะทำ� เป็นพิธสี �ำคญั ของ หมบู่ า้ นเลย พธิ รี บั ขวญั ขา้ วเปน็ การขอใหผ้ คี มุ้ ครองขา้ วในไรใ่ หพ้ น้ จากการถกู รบกวนจากภยั ธรรมชาติ เช่น ฝนแล้ง หรือจากแมลง และหนอนต่าง ๆ และเมอ่ื ข้าวเรม่ิ ออกรวงบางหมู่บา้ นก็จะมพี ิธีเซน่ ผีไร่อีก แตบ่ างแหง่ กไ็ มม่ ี คงตอ่ ไปถงึ พธิ กี นิ ขา้ วเมา่ เลยเมอ่ื ขา้ วเรมิ่ สกุ หลงั จากนนั้ กจ็ ะถงึ ฤดเู กบ็ เกย่ี วซงึ่ ในหาร เกยี่ วขา้ วนมี้ กั จะเชญิ หมอผปี ระจะหมบู่ า้ นไปเกย่ี วเปน็ คนแรก เพอ่ื ใหห้ มอผวี า่ คาถาใหเ้ กย่ี วขา้ วไดข้ า้ ว อุดมสมบูรณ์เต็มเม็ดเต็มหน่วย เม่ือเก่ียวข้าวแล้วก็จะน�ำมารวมกันอาจท�ำเป็นลอมฟางสูงข้ึนไปใกล้ ลานนวดข้าว หลังจากน้ันจะมีพิธีเปิดลอมฟาง นวดข้าว ชาวลัวะก็จะมาร่วมกันล้อมวงเพื่อช่วยกัน
ลัวะ Lua (Htin, Kha T’in) 181 นวดข้าว โดยการตีข้าวบนกระดานส�ำหรับตีข้าว ปัจจุบันในบางหมู่บ้านจะใช้เครื่องนวดข้าวแทนวิธีตี ข้าวแบบดงั้ เดิมนี้ เมื่อตีข้าวเสร็จแล้วจะน�ำข้าวมาเก็บในยุ้งฉางท่ีสร้างไว้ใกล้ตัวเรือนของแต่ละครอบครัว หรือ บางบ้านก็จะน�ำมาใส่ใน “แคงัวะอ์” ซ่ึงเป็นภาชนะสานขนาดใหญ่คล้ายตะกร้าตั้งอยู่ภายในเรือน หลังจากน้ันก็จะบูชาผีอีกทีโดยจะน�ำตะแหลงตลอดจนใบไม้บางชนิดมาติดที่ประตูหรือข้างฝาของยุ้ง ข้าวนี้ ชาวลัวะปรัยเมื่อขนข้าวใส่ยุ้งเรียบร้อยแล้ว จะมีพิธีเซ่นผีครั้งสุดท้ายในรอบปี เรียกว่า “ลวั ะดอกแดง” ซ่ึงเปน็ การเฉลิมฉลองการส้ินฤดูกาลผลติ ประจ�ำปี โดยมหี มอผีเป็นผูป้ ระกอบพิธใี นไร่ ซ่ึงจะรื้อถอนสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ในไร่ ไม่ว่าจะเป็นตูบ เถียงนา หอผี ตะแหลว เสาโสลด ฯลฯ และน�ำ ออกไปจากไร่ เพอื่ เชญิ ใหผ้ ไี รท่ ม่ี าชว่ ยคมุ้ ครองตลอดการทำ� ไรน่ ใ้ี หก้ ลบั ไปอยใู่ นปา่ ในดงดงั เดมิ หลงั จาก ทำ� พธิ ใี นไร่แล้วจะกลับไปทำ� พธิ ีในหมูบ่ า้ นอีกโดยจะน�ำดอกไมส้ ีแดงในไร่ เช่น ดอกหงอนไก่ กลับมาท่ี บา้ นเพอ่ื ใชท้ ำ� พธิ ตี อ่ ไป พธิ ลี วั ะดอกแดงของลวั ะปรยั นเ้ี ปน็ พธิ ใี หญพ่ อจะเทยี บไดก้ บั พธิ โี สลดหลวงของ ลัวะปรัยน้ีเป็นพิธีใหญ่พอจะเทียบได้กับพิธีโสลดหลวงของลัวะมัลเพราะเป็นกิจกรรมที่สมาชิกทุกคน ของหมู่บ้านจะร่วมกันเพียงแต่พิธีท้ังสองจะจัดข้ึนต่างระยะเวลากัน และมีรายละเอียดปลีกย่อยแตก ต่างกนั ออกไป ในปจั จบุ นั หมบู่ า้ นลวั ะบางหมบู่ า้ นกนั มานยิ มการปลกู ขา้ วแบบคนเมอื ง ทเี่ รยี กวา่ “แซเมอื ง” ท�ำให้จะมีพิธีกรรมต่าง ๆ ในการปลูกข้าวน้อยกว่าการท�ำ “แซฮีต” หรือการปลูกข้าวไร่จึงประหยัด ค่าใช้จ่ายท่ีจะต้องใช้ในการจัดพิธีเซ่นบูชาไปได้บ้าง อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่าชาวลัวะทุกหมู่บ้านจะปลูก ข้าวไร่ หมู่บ้านลัวะบางบ้านที่ต้ังขนานไปกับล�ำห้วยต่าง ๆ ก็จะมีบริเวณที่ราบท่ีใช้เป็นที่ท�ำนาซ่ึงมี ท้ังขนาดเล็ก – ใหญ่แตกต่างกันออกไปแล้วแต่พ้ืนท่ีชาวลัวะท่ีอาศัยอยู่ในพื้นท่ีเหล่านี้ก็จะท�ำนาเช่น เดียวกับชาวพ้ืนราบมาเป็นเวลานานแล้ว แต่โดยทั่วไปแล้วพ้ืนท่ีส�ำหรับปลูกข้าวไร่จะมีจ�ำนวนมากว่า จนมคี �ำกลา่ ววา่ ถา้ เป็นลัวะตอ้ ง “เฮ็ดไฮ้” (ท�ำไร)่ ในบางหมบู่ า้ นลวั ะทห่ี นั ไปทำ� นาแบบชาวเมอื งแลว้ นนั้ พบวา่ ชาวลวั ะไดป้ ระยกุ ตพ์ ธิ กี รรมของ คนเมืองเข้ากับพิธีกรรมดั้งเดิมของเผ่าพันธุ์ที่เก่ียวกับการปลูกข้าวขึ้นมาคือ “พิธีท�ำขวัญควาย” ก่อนการไถน่ า แทนที่พิธไี หวผ้ ีเชญิ ผีเข้าไร่ก่อนการปลกู ขา้ วท่ีเคยปฏิบัติสืบกันมา ชาวลวั ะสว่ นใหญ่มีอาชพี ท่สี ำ� คัญ คอื การเกษตร ซง่ึ เป็นการเกษตรเพอ่ื ยงั ชีพเปน็ หลักสำ� คญั ได้แก่ การท�ำไรข่ า้ ว รองลงมา คอื การหาของป่า ลา่ สตั ว์ การทำ� ไรน่ ั้น นอกจากจะปลูกขา้ วเหนยี วเป็น หลักแล้ว ยังท�ำไร่ข้าวโพดหรือพืชผักบางชนิดด้วย เช่น ถ่ัวแขก พริกแตง แตงกวา หรือฝ้าย เป็นต้น ผลผลิตที่ได้ส่วนใหญ่จะเก็บไว้บริโภคในครัวเรือน รวมทั้งน�ำมาใช้ในการเลี้ยงสัตว์ด้วย ถ้าผลผลิตมี
182 ชนต่างวฒั นธรรมในประเทศไทย จ�ำนวนมากก็อาจจะขายภายในหมู่บ้านหรือบางครั้งก็จะมีพ่อค้าแม่ค้าคนกลางในหมู่บ้านมารับชื้อ และน�ำไปขายที่ตลาดในตัวเมืองต่อไป ในบางหมู่บ้านจะมีการปลูกพืชผักไว้บริโภคเอง โดยการหยอด เมล็ดพันธ์รวมไปกับเมล็ดข้าวในตอนปลูกข้าวด้วย ซ่ึงผลผลิตที่ได้น้ีก็เก็บไว้บริโภคเท่าน้ัน ชาวลัวะใน หลาย ๆ หม่บู า้ นบอกว่า ปจั จุบนั ไมน่ ยิ มหยอดเมล็ดพันธุ์ผกั ตา่ ง ๆ ลงไปกับเมลด็ ข้าวแลว้ เพราะทำ� ให้ ข้าวไม่งาม อย่างไรก็ตามในหมู่บา้ นบางแห่งท่หี ่างไกล บนดอยสูง ๆ กย็ งั คงปลูกอยู่ เนอื่ งจากข้อจ�ำกดั ในเรื่องที่ท�ำกิน นอกจากนี้เป็นลัวะบางแห่งยังได้รับการสนับสนุนจากทางการในปลูกกาแฟด้วยโดย เฉพาะหม่บู า้ นแถบ อ. ทุ่งชา้ ง อาชีพทีสมัยก่อนจัดเป็นอาชีพหนึ่งที่ท�ำรายได้ให้แก่ชาวลัวะ คือ การหาของป่า และการล่า สัตว์ ซ่ึงปจั จบุ นั การล่าสัตว์ลดบทบาทลงแทบจะหมดไปแลว้ เท่าที่พบมีเพียง การจบั นก จบั ปลา จับปู ในห้วยน้�ำต่าง ๆ ของชาวบ้านที่ยังคงปฏิบัติกันมาจนทุกวันนี้ ส่วนการเก็บของป่าก็ยังมีอยู่ ได้แก่ การตดั ไม้ การเกบ็ ครง่ั ขสี้ ูด น�้ำผึ้ง ตน้ ออ่ นของพชื พนั ธ์ุ หรือสมุนไพรบางชนดิ ชาวลวั ะแถบทงุ่ ชา้ งหรอื บ่อเกลอื มีการเกบ็ ก๋ง(ดอกหญ้าที่น�ำมาทำ� ไมก้ วาด) และหวายเอาไป ขายท่ีตลาดในเมืองด้วย ในขณะท่ีชาวลัวะบ้านน้�ำสอดจะลอกเปลือกต้นสาที่เก็บมาจากป่าน�ำมาตาก แหง้ แลว้ นำ� ไปขายในเมอื งเช่นกัน ชาวลวั ะในเขต อ. ปวั ที่ดอยสกาดจะมอี าชพี ที่ทำ� รายได้เพิ่มใหก้ บั ครอบครวั คือ การเกบ็ ใบเมย่ี งหรอื ชาป่า แลว้ น�ำมามัดเป็นมดั ๆ ละประมาณ ๘-๑๐ ใบ แล้วนงึ่ ให้สุก กอ่ นนำ� ไปขาย ซง่ึ ผซู้ อื้ กจ็ ะนำ� ไปตองและขายตอ่ ไป โดยเฉพาะไปขายใหก้ บั ขา้ วเมอื งทม่ี ธี รรมเนยี มนยิ ม ในการอบเม่ียง พื้นท่ีท�ำกินของชาวลัวะแถบดอยสะกาดนี้ ส่วนหน่ึงจะเป็นไร่เม่ียง ท่ีต้องคอยดูแลตัด แตง่ อยเู่ สมอ เพอื่ ใหแ้ ตกใบออ่ น สามารถเกบ็ มาขายไดต้ ลอดปี และไรเ่ มย่ี งมกั จะตง้ั อยใู่ กล้ ๆ ตวั หมบู่ า้ น จะไมอ่ ยู่ไกล ๆ เหมือนกบั ไร่ขา้ ว จึงสะดวกในการเกบ็ และขนกลบั มามดั และนึ่งท่บี ้านก่อนสง่ ไปขาย นอกจากนี้แล้วชาวลัวะยังเลี้ยงสัตว์ด้วย โดยเฉพาะหมูและไก่ เพราะต้องใช้ในการประกอบ พธิ กี รรมหมแู ละไกน่ ไ้ี มไ่ ดเ้ ลยี้ งไวไ้ ปขายในตวั เมอื ง จะเลย้ี งไวบ้ รโิ ภคหรอื ขายกนั ในหมบู่ า้ นกนั ในหมบู่ า้ น และระหว่างหมู่บ้านเท่านั้นในบางแห่งมีการเล้ียงสุนัขด้วย ท้ังเอาไว้เฝ้าบ้านและใช้ในการประกอบ พิธีกรรม โดยเฉพาะในการบูชาผีเจ้าที่ของบางหมู่บ้านจะต้องฆ่าสุนัขด้วยนอกจากน้ีบางหมู่บ้านใน ดอยสงู ๆ จะมกี ารเลยี้ งม้า เพอ่ื ใช้ในการขนของหมบู่ า้ นที่มีการท�ำนา ชาวบา้ นกจ็ เล้ยี งควายด้วย นอกจากอาชีพต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว ผู้ชายชาวลัวะบางคนยังสานกระบุงตะกร้าหรือแอบใส่ ข้าวเหนียวเอาไว้ใช้ในครัวเรือน รวมทั้งท�ำขายในหมู่บ้านและน�ำไปขายในครัวเรือน รวมทั้งท�ำขายใน หมู่บ้านและน�ำไปขายในตัวเมืองด้วย แอบใส่ข้าวเหนียวนี้บางครอบครัวไม่ท�ำเป็นเคร่ืองสานแล้ว แตจ่ ะใชไ้ มท้ อ่ นสนั้ ๆ ขดุ ตรงกลางเปน็ หลมุ ลกึ ทำ� ฝาปดิ ไวใ้ ชใ้ สข่ า้ วเหนยี วนงึ่ แทนนอกจากนผ้ี ชู้ ายบาง คนยังเป็นสล่าหรอื ช่างรับสรา้ งบ้านอกี ด้วย
ลัวะ Lua (Htin, Kha T’in) 183 ดังได้กล่าวแล้วว่า อาชีพของชาวลัวะขึ้นอยู่กับสภาพธรรมชาติท้ังการเพาะปลูกและการเก็บ ของปา่ เม่ือหมดหน้างานในไรแ่ ล้ว ช่วงท่ีตอ้ งรอฤดฝู นเพอื่ ทำ� การเพาะปลูกคร้งั ใหม่ เดิมชาวลัวะจะใช้ ชว่ งเวลานใ้ี นการเขา้ ป่า เกบ็ ของป่า ล่าสตั ว์ แตป่ จั จบุ ันนดี้ ้วยสภาพป่าทีห่ มดไป ชาวลัวะผู้ชายจึงนยิ ม เดนิ ทางไปรบั จา้ งคา้ งแรงงานในตวั อำ� เภอในจงั หวดั ใกลเ้ คยี งรวมทงั้ กรงุ เทพ ฯ ดว้ ย มบี า้ งเชน่ กนั ทเี่ ดนิ ทางไปค้าแรงงานในต่างประเทศ ในหมู่บ้านลัวะหลังจากการเก็บเก่ียวแล้วจะพบแต่ผู้หญิง คนแก่ และเดก็ ๆ ทอี่ ยใู่ นหมบู่ า้ น เพราะผชู้ ายสว่ นใหญจ่ ะออกไปรบั จา้ งกนั หมดจดั วา่ เปน็ การยา้ ยถนิ่ แบบหนง่ึ แต่เป็นเพียงตามฤดูกาลเท่านั้น เพราะเมื่อถึงฤดูเพาะปลูกท่ีจะต้องเริ่มถางไร่หยอดข้าว ก็จะเดินทาง กลบั สู่หมบู่ า้ นกัน
บทที่ ๙ สถานการณช์ าวเขา : ปญั หาและการแก้ไข สถานการณ์ปญั หาทส่ี ัมพนั ธก์ ับชาวเขา ๑. ขาดสิทธิข้ันพ้ืนฐานในการได้รับการบริการจากรัฐ การบริการจากหน่วยงานภาครัฐและ เอกชนในปัจจุบันต้องการสถานภาพของประชาชนในการได้รับการสนับสนุนด้านต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่ ต้องมีสัญชาติไทย กลุ่มประชาชนชาวเขาที่ไม่ได้รับสัญชาติไทย มักจะขาดโอกาสในการได้รับ ประกาศนยี บตั รรบั รองเมอ่ื เรยี นจบการศกึ ษาชน้ั ประถมตน้ และเมอ่ื เรยี นจบชนั้ อดุ มศกึ ษา มกั ไมไ่ ดร้ บั การยอมรับในการเข้าท�ำงานเป็นพนักงานประจำ� ของหนว่ ยงาน เพราะขาดสถานภาพการยอมรับจาก หน่วยงานภาครัฐ ๒. ความไม่มั่นใจในการตั้งถ่ินฐานในประเทศไทย จากการที่ชาวเขาถูกมองว่าเป็นคนที่มา จากภายนอกประเทศไทย ประกอบกับการไม่ได้รับสถานะบุคคลท่ีได้รับการยอมรับโดยกฎหมายไทย จึงส่งผลให้ชาวเขากลุ่มน้ีไม่มีความม่ันใจในการต้ังถ่ินฐานอยู่บนผืนแผ่นดินไทย การจัดท�ำกิจกรรม ทางการเกษตรในรูปแบบต่าง ๆ จึงมักสะท้อนถึงการไม่รักษาสภาพทางนิเวศน์ อาทิเช่น การปลูกพืช ระยะส้ัน หรือพืชเศรษฐกจิ ชนดิ ต่าง ๆ กะหล�่ำปลี มะเขอื เทศ ในเขตพื้นทปี่ ่าซ่งึ มีกรมป่าไม้รับผิดชอบ โดยใชส้ ารเคมหี ลากหลายชนดิ เพื่อเร่งผลผลิต ความไมม่ นั่ ใจในการตง้ั ถนิ่ ฐานในประเทศไทย ปจั จุบนั อาจมีน้อยลงเนื่องจากทุกชุมชนหมู่บ้านได้รับการยอมรับจากกรมการปกครอง ประกาศในราชกิจจา นุเบกษาให้เป็นหมู่บ้านทางการ หรือเป็นหมู่บ้านเครือข่าย/บริวารของหมู่บ้านทางการ มีสิทธิในการ ดูแลรกั ษาปา่ ชุมชนรอบ ๆ หมู่บ้านของตนเอง ๓. การถกู ลอ่ ลวง และถกู เอารดั เอาเปรยี บจากคนภายนอก การทช่ี าวเขาไมไ่ ดร้ บั สญั ชาตไิ ทย หรอื สถานะบคุ คลทไ่ี ดร้ บั การยอมรบั จากทางการนนั้ สรา้ งใหเ้ กดิ ความนอ้ ยเนอื้ ตำ�่ ใจในหมชู่ าวเขา และ ถูกเอารดั เอาเปรียบจากกล่มุ ชาวเขาดว้ ยกนั เองทไี่ ด้รับสถานะบุคคลแล้ว การดำ� เนนิ งานเพ่ือการพัฒนาชาวเขา นโยบายตอ่ ชาวเขา ก่อนปี ๒๕๑๒ รฐั บาลมไิ ดก้ ำ� หนดนโยบายต่อชาวเขาไว้อยา่ งชัดเจนแตป่ ระการใด เพยี งแตไ่ ด้ ก�ำหนดนโยบายที่จะพัฒนาชาวเขาไว้เท่านั้น ต่อมาคณะกรรมการชาวเขาได้ก�ำหนดนโยบายและวิธี ดำ� เนินการกับชาวเขาขึน้ ใหม่ โดยคณะรัฐมนตรีมมี ตเิ หน็ ชอบ เมื่อวนั ที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๑๒ มี สาระ สำ� คญั ดงั น้ี
186 ชนตา่ งวัฒนธรรมในประเทศไทย ก. นโยบายระยะสนั้ ไดแ้ กก่ ารจดั ใหม้ เี จา้ หนา้ ทเี่ ขา้ ไปถงึ ชาวเขาทเ่ี ปน็ จดุ ลอ่ แหลม ใหท้ วั่ ถงึ โดยเรว็ ทีส่ ุด โดยใช้วิธพี ฒั นาแผนน�ำ (Civic Action) เพ่อื ผกู พันจติ ใจชาวเขาให้มคี วามนยิ มในรฐั บาล และความจงรกั ภกั ดีตอ่ ประเทศไทย ใหส้ ามารถใชช้ าวเขาชว่ ยเปน็ กำ� ลงั ในการปอ้ งกนั และตอ่ ตา้ นหาร แทรกซึมของคอมมวิ นิสต์ต่อชาวเขาไดท้ นั ท่วงที ข. นโยบายระยะยาว ไดแ้ กก่ ารพฒั นาและสงเคราะหช์ าวเขาใหอ้ ยอู่ าศยั และทำ� มาหากนิ บน ภเู ขาเปน็ หลักแหลง่ แนน่ อน เลกิ การปลูกฝ่นิ ใหป้ ลูกพืชผลอื่นแทน เลกิ การท�ำลายปา่ และเปน็ พลเมือง ท่ีดี ท�ำประโยชน์แก่ประเทศชาติ เช่นเดียวกับคนไทยโดยท่ัวไป โดยให้ด�ำเนินการตามโรงการ ๕ ปี (๒๕๑๐ – ๒๕๑๔) ซงึ่ สภาพฒั นาเศรษฐกิจแหง่ ชาติได้ก�ำหนดไวแ้ ลว้ โดยมวี ตั ถปุ ระสงค์ดังน้ี ๑. เพ่ือพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของชาวเขาโดยการส่งเสริมอาชีพการศึกษา การอนามัย และเสริมสร้างความเจริญในชมุ ชนทช่ี าวเขาอาศัยอยู่ ๒. เพ่ือป้องกันการท�ำลายป่าและต้นน้�ำล�ำธาร โดยการส่งเสริมให้ชาวเขาท�ำการเกษตร แบบถาวร ๓. เพือ่ ปอ้ งกนั การปลกู ฝน่ิ โดยการส่งเสรมิ ใหช้ าวเขาปลกู พชื อ่ืน หรอื ประกอบอาชีพอ่นื ทมี่ ี รายได้ดีกว่าแทนการปลกู ฝ่ิน ๔. เพ่ือรักษาความสงบปลอดภัยทางชายแดนทางภาคเหนือ โดยการส่งเสริมให้ชาวเขาเกิด ความเชอื่ ม่นั และเชื่อถอื รักใครใ่ นเจา้ หนา้ ทีบ่ า้ นเมือง มีความรักชาติไทย หวงแหนแผ่นดินไทย และมี ความจงรักภักดีต่อชาติไทย เพ่ือจะได้เป็นก�ำลังอันส�ำคัญในการต่อต้านการแทรกซึมบ่อนท�ำลายของ ฝ่ายตรงขา้ ม วิธีการด�ำเนนิ การกบั ชาวเขา ใหด้ �ำเนนิ การเปน็ ๔ วธิ ี คือ๑ ๑. ส�ำหรบั ชาวเขาท่อี ยกู่ ระจดั กระจายบนภูเขาไม่เปน็ รปู หม่บู ้าน ยากแก่การที่เจา้ หน้าทีจ่ ะ เข้าไปดูและทั่วถึง ให้แนะน�ำชักจูงให้เข้ามาอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อนในบริเวณอันเหมาะสมบนภูเขา ซง่ึ ทางราชการจดั ไวใ้ ห้ ๑ รายงานการสมั มนา “แนวคดิ ในการรณรงคป์ ้องกนั และแก้ไขปัญหายาเสพตดิ ” สำ�นักงานปอ้ งกันและปราบปราม ยาเสพตดิ ภาคเหนอื สำ�นักงานกรรมการป้องกนั และปราบปรามยาเสพตดิ สำ�นกั นายกรัฐมนตรี (ระหว่างวนั ท่ี ๕-๖ มิถุนายน ๒๕๔๓ ณ โรงแรมเชียงใหมฮ่ ิลล์ อำ�เภอเมือง จงั หวัดเชยี งใหม)่
สถานการณ์ชาวเขา : ปัญหาและการแกไ้ ข 187 ๒. สำ� หรบั ชาวเขาทอ่ี ยอู่ าศยั บนภเู ขา เปน็ รปู หมบู่ า้ นทเี่ หมาะสมอยแู่ ลว้ กส็ นบั สนนุ ใหอ้ ยทู่ ำ� กนิ ในทเ่ี ดมิ ตอ่ ไปไมต่ อ้ งเคลอ่ื นยา้ ย โดยจดั สง่ เจา้ หนา้ ทเ่ี ปน็ รปู หนว่ ยเคลอื่ นทเี่ ขา้ ปฏบิ ตั งิ านพฒั นาและ สงเคราะห์ชาวเขาในประการตา่ ง ๆ ใหท้ ว่ั ถึง ๓. สำ� หรบั ชาวเขาทไี่ มป่ ระสงคจ์ ะอยบู่ นภเู ขา หรอื ทต่ี อ้ งอพยพหลบภยั คอมมวิ นสิ ตล์ งมาอยู่ ในพน้ื ราบ แลว้ ไมป่ ระสงคจ์ ะกลบั ไปอยบู่ นภเู ขาอกี กใ็ หจ้ ดั ตง้ั ศนู ยอ์ พยพชาวเขาขนึ้ ในจงั หวดั ทม่ี ปี ญั หา เหล่านี้เกิดขึ้น เพ่ือให้อยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน แล้วให้การช่วยเหลือสงเคราะห์ตามความจ�ำเป็น ให้สามารถมีชวี ิตผสมผสานกบั คนไทยในพ้นื ราบต่อไปได้ ๔. เพื่อประโยชน์ดังกล่าวข้างต้น และเพ่ือความปลอดภัยของชาติบ้านเมืองให้เร่งความ สัมพันธ์ทางจิตใจกับชาวเขา ให้มีความรู้สึกเป็นพวกเดียวกับคนไทย และให้เกิดความจงรักภักดีต่อ รฐั บาล การดำ� เนนิ งานของกรมประชาสงเคราะหเ์ ก่ยี วกบั ชาวเขา๒ กรมประชาสงเคราะห์ทำ� หน้าท่ี ๒ อย่างคือ ๑. เป็นส�ำนักงานเลขาธิการของคณะกรรมการชาวเขา โดยมีอธิบดีเป็นหัวหน้าส�ำนักงาน ซึ่งเท่ากับทำ� หน้าที่เป็นแหลง่ กลางการประสานงานเกย่ี วกับชาวเขาในเขตปกติทวั่ ไป ๒. ด�ำเนินการตามโครงการท่ีคณะกรรมการชาวเขาได้ก�ำหนดไว้ โดยมีก�ำลังเจ้าหน้าท่ีและ งบประมาณเป็นประจำ� จงึ เท่ากับเปน็ หน่วยหลักในกรด�ำเนินงานกับชาวเขา การด�ำเนินงานตามหน้าที่ส่วนท่ี ๒ น้ัน กรมประชาสงเคราะห์ได้ท�ำมาเป็นเวลา ๑๐ ปีแล้ว เปน็ ลกั ษณะงานหลกั ๒ รปู คอื ก. ในทางวิชาการ ได้จัดต้ังศูนย์วิจัยชาวเขาขึ้นในบริเวณมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตามติคณะ รฐั มนตรีเมื่อวนั ท่ี ๒๑ เมษายน ๒๕๐๗ เพอื่ ท�ำการค้นคว้าวจิ ัยเก่ยี วกับชาวเขาเผ่าต่าง ๆ แล้วน�ำผลมา ใช้ในการวางนโยบายโครงการ และการด�ำเนินงานพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาให้ได้ผลดียิ่งขึ้นตาม นโยบายของรัฐบาล ขณะนีศ้ ูนยว์ จิ ัยชาวเขาไดด้ �ำเนินการวิจยั ชาวเขาเผ่าสำ� คญั ๆ แลว้ ๖ เผ่า คือ แมว้ เย้า ลีซอ กะเหรียง และอีก้อ ในท้องท่ีต่าง ๆ ทางจังหวัดภาคเหนือพร้อมทั้งได้จัดพิพิธภัณฑ์ชาวเขา รวมทัง้ พิพธิ ภัณฑ์หมู่บา้ นชาวเขาศนู ยข์ อ้ มลู เก่ยี วกับชาวเขา และห้องสมดุ ชาวเขา ๒ ชติ พงษ์ สยามเนตร, การบริหารงานพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาของกรมประชาสงเคราะห์ (วทิ ยานพิ นธ์) คณะรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ๒๕๐๘ น. ๒๖
188 ชนต่างวัฒนธรรมในประเทศไทย ข. ในภาคปฏบิ ัติ แบ่งการดำ� เนินการออกเปน็ ๒ ลักษณะ คอื ๑. ปฏบิ ัตงิ านตามโครงการของกรมประชาสงเคราะห์ เป็นลักษณะงาน ๒ แบบ คือ ๑.๑ หนว่ ยเคลอ่ื นท่ี ไดแ้ กก่ ารสง่ เจ้าหน้าทเ่ี ปน็ รูปหนว่ ยเคล่ือนท่ี ซ่ึงประกอบด้วยเจ้าหน้าท่ี ๓ นาย คือ พนักงานประชาสงเคราะห์ ซึง่ ทำ� หนา้ ท่ีทางดา้ นประชาสมั พันธ์และการสงั คมสงเคราะห์ ทว่ั ไป พนักงานเกษตร จะเปน็ ผ้ใู หค้ �ำแนะน�ำและช่วยเหลอื ชาวเขาทางด้านการเกษตร และ พนกั งาน อนามยั จะทำ� หนา้ ที่เปน็ ผ้ใู หก้ ารรักษาพยาบาลเบือ้ งต้น และเปน็ ครูสอนหนงั สอื ไทยใหก้ ับเด็กชาวเขา ๑.๒ การพัฒนาเป็นเขตพ้ืนท่ี จากประสบการณ์และสังเกตการณ์เก่ียวกับวิธีพัฒนาพ้ืนท่ีสูง กรมประชาสงเคราะหเ์ หน็ วา่ ควรมกี ารปรบั ปรงุ วธิ กี ารพฒั นาในวธิ กี าร “พฒั นาหมบู่ า้ น” มาเปน็ วธิ กี าร “พัฒนาพื้นท่ี” หรือ “พัฒนาเป็นเขต” โดยหลักการพ้ืนฐานของโครงการพัฒนานี้ถือว่า มาตรการใน การพัฒนาท่มี ่งุ ต่อการอนุรกั ษ์และการใชป้ ระโยชนท์ รัพยากรธรรมชาติในพน้ื ที่สูงอยา่ งละเอียดถถ่ี ้วน การด�ำเนนิ งานด้านการส่งเสรมิ อาชีพชาวเขา อธบิ ดกี รมประชาสงเคราะห์ เป็นประธานอนุกรรมการชาวเขาสาขาการอาชพี ซ่งึ รับผิดชอบ ในการวางแผนและสง่ เสรมิ อาชพี ชาวเขา คณะอนกุ รรมการชาวเขาสาขาการอาชพี ไดว้ างหลกั การเกย่ี ว กับการสง่ เสรมิ อาชพี ชาวเขาไว้ดงั นี้ คือ ๑. การสง่ เสรมิ อาชพี ทช่ี าวเขารจู้ กั มคี วามชำ� นาญอยบู่ า้ งแลว้ และอยใู่ นความตอ้ งการของตลาด ๒. ส่งเสริมปลูกไม้ยืนต้นที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจ เช่น กาแฟ แทนการปลูกฝิ่น กรมประชา- สงเคราะห์ไดด้ ำ� เนินการส่งเสรมิ อาชีพชาวเขา ดังนี้ ๑) อาชีพหลัก ไดแ้ กก่ ารส่งเสริมทางการเกษตร ก. การสง่ เสรมิ การปลกู พชื เงนิ สดหมนุ เวยี นตลอดปี เพอ่ื เพมิ่ รายไดร้ ะยะสนั้ ในบรเิ วณทชี่ าว เขาอาศัยทำ� กนิ อยู่ในปจั จุบัน และสามารถปรับปรงุ แหล่งน้ำ� มาใช้ในการเกษตรได้ตลอดปี ข. การสง่ เสริมการเล้ียงสตั ว์ ได้มกี ารส่งเสริมตามบรเิ วณทีไ่ มส่ ามาระใช้ในการเพาะปลูกได้ ค. การส่งเสริมการปลูกไมย้ นื ตน้ เพอื่ มรี ายไดแ้ น่นอนในระยะยาว ทัง้ ๓ ประการนี้ ได้ด�ำเนินการตามหมูบ่ ้านตา่ ง ๆ ทมี่ ีหน่วยเคลือ่ นท่ไี ปปฏิบัติงานรวม ๑๗๔ หมู่บ้านโดยเฉพาะเร่ือง ชา กาแฟ ได้จัดเพาะกล้า กาแฟ ข้ึนที่ศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา จงั หวดั เชยี งราย และตาก ซงึ่ สามารถจำ� หนา่ ยกลา้ ชา และกาแฟแกช่ าวเขาไดป้ ลี ะประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ ตน้ นอกจากนนั้ ไดช้ ว่ ยขายกาแฟที่ชาวเขาเริ่มสามารถผลิตได้ไปแลว้ ปีละประมาณ ๓,๐๐๐ กิโลกรัม
สถานการณช์ าวเขา : ปัญหาและการแกไ้ ข 189 ๒) อาชีพรอง ได้แก่การส่งเสริมอุตสาหกรรมในครัวเรือน โดยร่วมมือกับกรมส่งเสริม อุตสาหกรรม จดั การฝึกอบรมชาวเขาข้นึ เป็นประจำ� ทกุ ปี ฝึกอบรมตีเหลก็ ทำ� มีด และเคร่อื งมือการเกษตร ๕ รุน่ จ�ำนวนชาวเขา ๖๐ คน การฝึกอบรมนี้ได้จัดข้ึนที่ศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาจังหวัดต่าง ๆ คือ จังหวัด แมฮ่ ่องสอน เชยี งราย ตาก น่าน กำ� แพงเพชร และเพชรบรู ณ์ การดำ� เนนิ งานด้านการศกึ ษาและอนามัย อนกุ รรมการชาวเขาดา้ นการศกึ ษาและอนามยั ซงึ่ มปี ระธานอนกุ รรมการ คอื อธบิ ดกี รมสามญั ไดด้ ำ� เนนิ กจิ การต่าง ๆ ดังนี้ ๑. การจัดตัง้ โรงเรียนส�ำหรับชาวเขา เป็นสองแบบ คือ ๑.๑ แบบน�ำโรงเรียนไปหาเด็ก ได้แก่การไปสร้างโรงเรียนประถมศึกษาในหมู่บ้านชาวเขา งานนี้กาชาดและกรมประชาสงเคราะห์ได้มีส่วนช่วยเหลือเป็นอันมาก เมื่อโรงเรียนด�ำเนินการเป็นปึก แผ่นพอสมควรก็ได้โอนกิจการใหแ้ กอ่ งคก์ ารบริหารสว่ นจงั หวัดตอ่ ไป ๑.๒ แบบนำ� เด็กไปหาโรงเรยี น ไดแ้ ก่การสร้างโรงเรียนศกึ ษาสงเคราะหข์ น้ึ ในเขตต่าง ๆ เชน่ สรา้ งไวท้ ี่จงั หวัดตาก กาญจนบรุ ี เชียงราย และเพชรบูรณ์ เป็นตน้ โรงเรยี นศึกษาสงเคราะห์นี้เปดิ สอน เป็นโรงเรียนกินนอนให้เด็กนักเรียนตั้งแต่ ป. ๑ ถึง ป. ๗ เด็กทุกคนได้รับทุนการศึกษาเรียนจนจบ หลักสูตร ๒. การจดั หลักสตู รเป็นท่ยี อมรบั กันวา่ โรงเรียนชาวเขากด็ ี โรงเรยี นศึกษาสงเคราะหก์ ็ดีย่อม มปี ัญหาพเิ ศษ ฉะน้ัน โรงเรียนเหลา่ น้ีจงึ ควรมีหลกั สูตรขนึ้ ใช้โดยเฉพาะ แตห่ ลกั สูตรพิเศษน้ีจะตอ้ งยดึ หลกั สตู รมาตรฐานเปน็ หลกั คณะอนกุ รรมการจะไดร้ ว่ มมอื กบั หนว่ ยราชการทเี่ กยี่ วขอ้ งดำ� เนนิ การตอ่ ไป ๓. การจดั หาทนุ การศกึ ษา ทนุ สว่ นใหญไ่ ดร้ บั งบประมาณของกรมตา่ ง ๆ เชน่ กรมการฝกึ หดั ครูและกรมสามัญศึกษา เวลาน้ียังพอมีเพียงจะด�ำเนินการได้ แต่ก็จ�ำเป็นต้องเตรียมจัดหาทุนให้แก่ นกั เรยี นทจ่ี ะจบประถมศกึ ษาเปน็ จำ� นวนมากไว้ การจดั หาทนุ นจี้ ะพง่ึ งบประมาณแตท่ างเดยี วคงจะไมพ่ อ คณะอนุกรรมการจงึ ไดว้ างโครงการว่าจะหาทุนจากแหล่งอนื่ เปน็ การเพ่มิ เติมดว้ ย ๔. การอบรมชาวเขาให้กลับไปเป็นครูสอนเด็กชาวเขาในหมู่บ้าน ของตนเอง โดยกรม ประชาสงเคราะห์ได้ขอความร่วมมือกับองค์การยูนิเซฟ กรมสามัญศึกษา และคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด�ำเนินการคัดเลือกชาวเขาเผ่าต่าง ๆ จากหมู่บ้านต่าง ๆ และสามเณรชาว
190 ชนตา่ งวัฒนธรรมในประเทศไทย เขาจากวดั ศรโี สดา จงั หวดั เชยี งใหม่ เพอื่ ใหป้ ฏบิ ตั หิ นา้ ทเี่ ปน็ ผชู้ ว่ ยเจา้ หนา้ ทหี่ นว่ ยพฒั นาและสงเคราะห์ ชาวเขาในดา้ นการศกึ ษา การอบรมจะจดั ใหมป่ ลี ะ ๑ ครงั้ ๆ ละประมาณ ๕๐ คน โดยศนู ยจ์ งั หวดั แมฮ่ อ่ งสอนเปน็ สถาน ท่อี บรม ๕. การสขุ าภบิ าลและอนามยั ไดจ้ ดั ทำ� ในรปู ของการปอ้ งกนั มากกวา่ การบำ� บดั รกั ษา เนน้ หนกั ในเรอื่ งการวางแผนครอบครวั เพอื่ ลดอตั ราการเี พม่ิ ของประชากรชาวเขา ซง่ึ กรมการแพทยแ์ ละอนามยั ไดร้ ว่ มมือกบั กรมประชาสงเคราะห์ฝึกอบรมผดงุ ครรภแ์ ผนโบราณแก่ชาวเขาเผ่าตา่ ง ๆ ไปแลว้ ๓ รุน่ ๗๐ คน ปรากฏว่าได้ผลดีเป็นท่ีนา่ พอใจ ๖. การดำ� เนนิ การชว่ ยเหลอื สงเคราะหช์ าวเขาทเ่ี สพฝน่ิ ตดิ และมคี วามสมคั รใจมารบั การรกั ษา ตัวอดฝ่นิ ณ โรงพยาบาลธัญรักษ์ จังหวดั ปทุมธานี เปน็ ประจ�ำทุกปี ในการนก้ี รมประชาสงเคราะหไ์ ด้ ใหค้ วามชว่ ยเหลอื อำ� นวยความสะดวกในเรอ่ื งคา่ ใชจ้ า่ ยและอาหาร ตลอดจนการเดนิ ทางทงั้ ไปและกลบั การดำ� เนนิ งานดา้ นการปกครองและทะเบยี น คณะอนกุ รรมการชาวเขาสาขาการปกครองและทะเบยี น มอี ธบิ ดกี รมการปกครองเปน็ ประธาน มีหน้าท่ีรับผิดชอบในการปฏิบัติงานและวางแผนด�ำเนินงานเกี่ยวกับการปกครองและจัดท�ำทะเบียน ราษฎร์ชาวเขา ดงั นี้ ๑. การจัดการปกครองชาวเขา ๒. การจัดทำ� ทะเบยี นราษฎรแกช่ าวเขาโดย ๓. การด�ำเนินการในเรอื่ งสัญชาติ การด�ำเนนิ งานของ บช. ต.ช.ด. เกย่ี วกับชาวเขา ๑. ดา้ นเศรษฐกจิ สังคม ๒. ดา้ นความม่นั คงปลอดภัย การด�ำเนนิ งานของ กรป. กลาง ๑. สง่ เสรมิ การปลกู ชา ๒. การผลิตเมลด็ พนั ธุผ์ ักและไม้ผล ๓. การเลี้ยงโค ๔. การบริการช่วยเหลอื ดา้ นอืน่ ๆ
สถานการณ์ชาวเขา : ปัญหาและการแกไ้ ข 191 ๔.๑ การสง่ เสริมทางการศึกษา ๔.๒ การจัดต้ังสถานีวิทยุกระจายเสียง กรป. กลาง ได้จัดตั้งสถานีวิทยุ ๙๑๔ ก�ำลังส่ง ๒๕ กโิ ลวตั ถ์ ท่ี อ. แม่จัน จ. เชียงราย เพื่อเผยแพรค่ วามรแู้ ละใหข้ า่ วสารท่ีถูกต้องต่อชาวเขาในภาคนี้ การด�ำเนนิ งานของกรมป่าไม้ ๑. จา้ งแรงงานชาวเขาเผา่ มเู ซอเปน็ จำ� นวนมาก เพอื่ บรู ณะและสง่ เสรมิ สรา้ งปา่ ทจี่ งั หวดั ตาก ๒. ท่บี ้านปง ดอยเต่า จงั หวัดเชียงใหม่ จา้ งกะเหรี่ยงปลูกป่าสัก ๓. ที่บ่อหลวง อ�ำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ จ้างแรงงานชาวเขาปลูกสวนป่าสน เป็นเนื้อท่ี ๑๔,๐๐๐ ไร่เศษ โครงการพระบรมราชานุเคราะห์ชาวเขา และโครงการช่วยเหลือชาวเขาด้าน เกษตรกรรม ๑. เพอ่ื ช่วยเหลือเพื่อนมนุษยด์ ว้ ยกัน ๒. เพื่อป้องกนั และตอ่ ต้านผู้ก่อการรา้ ยโดยเลือ่ นระดบั การครองชีพของชาวเขาให้สูงขึน้ ๓. เพอ่ื รกั ษาไวซ้ งึ่ ทรพั ยากรและชอ่ื เสยี งของประเทศโดยปอ้ งกนั การ ทำ� ลายปา่ ไม้ และกำ� จดั ยาเสพตดิ อันทำ� ลายเช่ือเสยี งของประเทศ
บทท่ี ๑๐ โครงการหลวง : การแกป้ ญั หาและพัฒนาชาวเขาท่ยี ั่งยนื ความเปน็ มาของโครงการหลวง โครงการหลวงเป็นโครงการส่วนพระองค์ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ต้ังขน้ึ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๒ ดงั มพี ระราชกระแสเก่ียวกับโครงการหลวงในครง้ั กระนนั้ ไว้ว่า “เรอ่ื งทจี่ ะชว่ ยชาวเขาและโครงการชาวเขานนั้ มปี ระโยชนโ์ ดยตรงกบั ชาวเขาเพอื่ สง่ เสรมิ และ สนบั สนุนใหช้ าวเขามีความเปน็ อยดู่ ขี ึน้ สามารถเพาะปลูกส่งิ ท่ีเป็นประโยชนแ์ ละเปน็ รายได้กบั เขาเอง จดุ ประสงคอ์ ยา่ งหนง่ึ คอื มนษุ ยธรรม หมายถงึ ใหผ้ อู้ ยใู่ นถน่ิ ทรุ กนั ดารสามารถมคี วามรพู้ ยงุ ตวั ใหม้ คี วาม เจริญได้ อีกอย่างหน่ึงเป็นเรื่องช่วยในทางที่ทุกคนเห็นว่า ควรจะช่วยเพราะเป็นปัญหาใหญ่คือปัญหา เร่ืองยาเสพติด ถ้าช่วยชาวเขาปลูกพืชท่ีเป็นประโยชน์บ้างเขาจะเลิกปลูกยาเสพติด คือ ฝิ่น ท�ำให้ นโยบายการระงบั การปราบปรามการสบู ฝน่ิ และคา้ ฝน่ิ ไดผ้ ลดี อนั เปน็ ผลอยา่ งหนง่ึ อกี อยา่ งคอื ชาวเขา ตามที่รู้เป็นผู้ท�ำการเพาะปลูกโดยวิธีท่ีจะท�ำให้บ้านเมืองของเราสู่หายนะได้ ที่ถางป่าและปลูกโดยวิธี ไมถ่ กู ต้อง ถ้าพวกเราทุกคนไปชว่ ยเขาก็เทา่ กับช่วยบา้ นเมืองใหม้ คี วามดี อย่ดู ีกนิ ดีและปลอดภยั ได้อีก ทวั่ ประเทศ ถา้ สามารถทำ� โครงการนส้ี ำ� เรจ็ ใหช้ าวเขาอยเู่ ปน็ หลกั แหลง่ และสนบั สนนุ นโยบายจะรกั ษา ปา่ รักษาปา่ ใหเ้ ปน็ ประโยชนต์ ่อไปและยง่ั ยืนมาก”๑ พัฒนาการแหง่ โครงการ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๒ ในสมัยรัฐบาลของ จอม พล สฤษด์ิ ธนะรัชต์ ได้มีค�ำส่ังคณะปฏิวัติให้ มีการปราบยาเสพติด อย่างจริงจัง ฝิ่นเป็น พืช ท่ีให้ยาเสพติด ท่ีร้ายแรง การปลูกฝิ่น ซ่ึง เป็นต้นตอ การผลติ ยาฝน่ิ จึงถกู กำ� จัด ออกไป ด้วย ชาวเขาทท่ี ำ� การ ปลูกฝน่ิ เป็น ผู้ที่อยู่ใน ท้องที่ทรุ กันดาร ติดฝ่นิ กันเป็นส่วนมาก การ แก้ปัญหา ที่จะให้ชาวเขา เลิกการปลูกฝิ่น จึงเป็นปัญหาที่ ละเอียดอ่อน และประการสำ� คญั กค็ อื จะตอ้ งทำ� ใหช้ าวเขา มรี ายไดท้ ดแทน รายไดจ้ ากการ ปลกู ฝน่ิ และไมเ่ คลอ่ื นยา้ ย ท�ำลายป่าด้วยการ ท�ำไร่เลื่อนลอย การปลกู ไมผ้ ล จึงนบั วา่ จะช่วยแก้ปญั หา ดงั กลา่ วได้ แต่ในขณะนนั้ (ระหวา่ ง พ.ศ. ๒๕๐๒ ถึง พ.ศ. ๒๕๐๘) ทางราชการ ยังไม่มีวิธีการ ทจี่ ะปลูก พืชทดแทน การปลูกฝ่นิ ชาวเขาที่ปลูกฝน่ิ อยเู่ ป็นประจ�ำ ท�ำผิดกฎหมาย และมีการค้า ฝิน่ เถื่อนอีกดว้ ย ซง่ึ ต่อมาได้กลายเปน็ ๑ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ “การส่งเสริมสหกรณใ์ นโครงการหลวง” http://web.ku.ac.th/king๒๗/๒๕๒๖/ rproject.htm. เข้าถึงเม่อื วันท่ี ๑๖ กนั ยายน พ.ศ. ๒๕๔๘)
194 ชนต่างวัฒนธรรมในประเทศไทย ปญั หา ของฝน่ิ แปรรปู เชน่ เฮโรอนี เปน็ ปญั หาตอ่ สงั คมโลก ขณะทปี่ ระเทศไทย กำ� ลงั เผชญิ กบั ปญั หา ดังกล่าวนั้น และถึงแม้ว่า ทางราช การจะพยายาม อย่างเต็มที่ ท่ีจะหาทางแก้ ปัญหา แต่เนื่องจาก ความไม่พร้อม และความ ไม่คล่องตัว ของระบบราชการ จึงท�ำให้ โครงการต่าง ๆ ด�ำเนินไป อยา่ งเชอื่ งช้า๒ ในการเสดจ็ พระราชดำ� เนนิ แปร พระราชฐาน ไปประทบั แรม ณ พระตำ� หนกั ภพู งิ คร์ าชนเิ วศน์ จังหวัดเชียงใหม่ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๗ เป็นต้นมาน้ัน พระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวได้เสด็จ พระราชดำ� เนนิ ไปทรงเยยี่ ม ราษฎร ชาวเขา ในพ้ืนท่ตี ่าง ๆ ในเขต จงั หวดั ภาคเหนอื ได้ทอดพระเนตร เห็นการท�ำลายป่าตามยอดเขา เพื่อปลูกฝิ่น และ ท�ำไร่เลื่อนลอย ซึ่งนอกจาก จะเป็นการละเมิดกฏ หมายแล้ว ยงั เปน็ การทำ� ลายป่าต้นน้ำ� ลำ� ธาร อนั เปน็ บ่อเกดิ ของแมน่ ำ�้ สายส�ำคัญ โดยรู้เทา่ ไมถ่ ึงการณ์ อีกดว้ ย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเล็งเห็นถึงปัญหา ที่เกิดขึ้นและพยายาม จะแก้ไขปัญหา ดังกล่าวจึงทรงมีพระราชด�ำริว่า ถ้าจะให้ชาวเขา เลิกปลูกฝิ่นก็ต้อง หาพืชอ่ืน ท่ีขายได้ราคาดีกว่า และมคี วามเหมาะสมทจี่ ะปลกู ในทสี่ งู มาใหช้ าวเขาปลกู ทดแทน เปน็ รายไดเ้ สยี กอ่ น จงึ จะสามารถเลกิ ปลูกฝ่ินได้ ในเบื้องตน้ ทรงมอบใหห้ มอ่ มเจา้ ภีศเดช รชั นี เปน็ ผู้รบั สนอง พระราชประสงค์ หมอ่ มเจ้า ภศี เดช จงึ ไดช้ กั ชวนใหห้ มอ่ มราชวงศช์ วนศิ นดากร วรวรรณ อาจารยป์ ระจำ� มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ มาร่วมงานด้วย ตอ่ จากนนั้ ก็ไดม้ กี ารชกั ชวน ให้อาจารยท์ า่ นอน่ื ๆ มาร่วมงานมากขึ้น ขณะเดยี วกนั พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั โปรดเกลา้ ฯ ตงั้ โครงการ พระบรมราชานเุ คราะห์ ชาวเขา ขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๑๒ เพื่อหาทางแก้ไข ปัญหาดังกล่าว การดำ� เนนิ งานต่าง ๆ ของโครงการฯ จึงด�ำเนินไป ในแนวทางเดียวกัน เพื่อสนองแนวพระราชด�ำริ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทพี่ ระราชทาน ในโอกาสทที่ รง เยย่ี มคณะเกษตรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่ เมื่อวนั ที่ ๑๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๗ ซง่ึ สรปุ ไดด้ ังนว้ี า่ ๑. เพ่ือปอ้ งกัน การท�ำลายป่าตน้ น�ำ้ โดยราษฎรชาวเขา และสง่ เสริมการปลูกป่าทดแทนเพอ่ื จัดให้ ราษฎรชาวเขาเลิก โยกย้ายที่ท�ำกินและ การท�ำลายป่าเพ่ือปลูกฝิ่น ซ่ึงเป็นการผิด กฏหมาย และใหร้ ู้จกั อยู่เปน็ หลักแหล่ง โดยด�ำเนินการจดั หาพนั ธ์ุพชื ที่ทดลอง แล้ววา่ สามารถปลูกได้ ในสภาพ ภูมิประเทศและ สภาพภูมิอากาศท่ีเป็นถ่ินที่อยู่ของราษฎรชาวเขา อีกทั้งเป็นพืชท่ี สามารถท�ำรายได้ สงู เท่ากบั ฝิน่ หรือมากกวา่ ๒ โครงการหลวง http://www.doikham.com/general/history/decade๑/index-objective.htm เข้าถงึ เม่อื วนั ที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๘
โครงการหลวง : การแกป้ ัญหาและพฒั นาชาวเขาท่ีย่งั ยนื 195 ๒. เพ่ือด�ำเนินการ ฝึกอบรมราษฎรชาวเขา ให้เข้าใจหลักวิชาการเกษตรท่ีสูง รวมทั้งการ เลี้ยงสตั ว์ ๓. เพ่ือด�ำเนินการ ทดลองวิจัยพันธุ์พืช และพันธุ์สัตว์ท่ีจะ สามารถขยายพันธุ์ให้แก่ราษฎร เพ่อื น�ำไปปลกู และเลยี้ ง เพอื่ เพิ่มพูนรายได้ โดยท�ำการศึกษาใน ดา้ นการขนสง่ และ ภาวะตลาดดว้ ย ๔. เพื่อส่งเสริม ในด้านการศึกษา อนามัย และการวางแผนครอบครัวแก่ราษฎรชาวเขา และได้พระราชทาน เป้าหมายของโครงการฯ ไว้ดังน้ี คือ ช่วยชาวเขา เพื่อมนุษยธรรม ช่วยชาวไทย โดยลดการทำ� ลาย ทรัพยากรธรรมชาติ คอื ปา่ ไม้ และต้นน้�ำล�ำธาร การดำ� เนนิ งานทส่ี ำ� คญั ทส่ี ดุ ของโครงการฯ ในระยะเรมิ่ แรกนน้ั ก็ คอื งานวจิ ยั เพราะนกั วชิ าการ เกือบทงั้ หมด ของมหาวิทยาลัย คนุ้ เคยกบั พืชที่ ปลกู กนั ในพื้นทีข่ ้างล่าง ทัง้ สิ้น ไมเ่ คยศกึ ษา หรอื วจิ ยั วา่ พืชใด ทม่ี รี าคาและ เหมาะสมทีจ่ ะปลกู ในทสี่ งู ให้ผลผลติ ที่ จะปลกู ทดแทนฝนิ่ ได้ โครงการฯได้รับความร่วมมือจากคณะผู้ท�ำงานเป็นอาสาสมัคร ประกอบด้วยคณาจารย์ ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ จากหน่วยราชการต่าง ๆ เช่น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัย เชียงใหม่ สถาบันเทคโนโลยีการเกษตรแม่โจ้ กรมป่าไม้ กรมพัฒนาท่ีดิน กรมประชาสงเคราะห์ การพลังงานแห่งชาติ กรมวิชาการเกษตร กรมปศุสัตว์ กองทัพอากาศ กองทัพบก กรมชลประทาน กรมต�ำรวจ การไฟฟ้าฝ่ายผลิต การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่ง ประเทศไทย ส�ำนกั งานเกษตรภาคเหนอื สำ� นกั งานเกษตรจังหวดั ในพื้นทีป่ ฏิบัติงาน เปน็ ต้น งานท่ีท�ำในระยะแรกน้ัน พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั โปรดเกล้าฯ ใหโ้ ครงการฯ ปฏิบตั ิงาน ร่วมไปกับโครงการศึกษา ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เสมือนเป็นโครงการ เดียวกัน เพราะเจ้า หน้าที่ส่วนใหญ่เป็นอาสาสมัคร ท�ำงานด้วยจุดมุ่งหมายเดียวกัน แต่เนื่องจากไม่มีข้าราชการ หรือเจ้า หนา้ ทข่ี องหนว่ ยงาน วจิ ยั ประจำ� อยตู่ ามสถานที ดลอง จงึ ไดร้ ว่ มมอื กบั ตำ� รวจตระเวนชายแดน ทป่ี ระจำ� อยู่ตามดอยหลายแห่ง ต�ำรวจเหล่าน้ีล้วนท�ำหน้าท่ี เป็นครูสอนเด็กในโรงเรียน และก็ตั้งบ้านเรือนอยู่ บนดอย พูดภาษาชาวเขาได้ เปน็ ท่รี ู้จกั พึง่ พาอย่างดี ของชาวเขา ตำ� รวจตระเวนชายแดน ไดช้ ่วยเหลือ ในการสง่ เสรมิ การปลกู พชื แกช่ าวเขา และใหป้ ระโยชนต์ อ่ การ พฒั นางานวจิ ยั ของโครงการ อยา่ งมาก โดยท�ำหน้าท่ี เหมือนเป็นเจ้าหน้าท่ี ภาคสนามของโครงการ สมัยแรก ๆ แต่เน่ืองจากครูเหล่านี้ไม่มี ความรูด้ า้ นเกษตร ทางโครงการจึงให้การอบรม ต�ำรวจตระเวนชายแดนท่เี ปน็ ครชู าวเขาเอง ๑๖ คน เม่ือวันท่ี ๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พล.อ. หม่อมเจ้ากาฬวรรณดิศ ดิศกลุ สมหุ ราชองค์รักษ์ เสด็จแทนพระองค์ ไปทรงเปดิ การอบรมวชิ าการเกษตร ในโครงการพระบรม ราชานุเคราะห์ ชาวเขาท่ีคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซ่ึงเปน็ การอบรมครัง้ แรก โดยมคี รู และชาวเขาจาก หมูบ่ า้ น ๑๗ แหง่ ในจงั หวดั เชียงใหม่ เชยี งราย และนา่ น ผู้ที่มาชว่ ยสอนกเ็ ปน็ คณะ
196 ชนตา่ งวัฒนธรรมในประเทศไทย อาสาสมคั ร จากหนว่ ยงานตา่ ง ๆ หลงั จากเสรจ็ การอบรม พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ไดพ้ ระราชทาน เลย้ี งที่ พระตำ� หนกั ภพู งิ คราชนเิ วศน์ และพระราชทานมดี สำ� หรบั ตดิ ตา ตอ่ กง่ิ และชาวเขา กท็ ลู เกลา้ ฯ ถวายเงิน คนละหนึง่ บาท ตามธรรมเนยี มของไทย เมอื่ ไดร้ ับของมคี ม เมอ่ื เรมิ่ ทำ� งานจะตอ้ งมองหา และคดั เลอื กพน้ื ทสี่ ำ� หรบั ทำ� การวจิ ยั หรอื ทำ� การสง่ เสรมิ ซง่ึ ใน พื้นที่เหลา่ นี้ ในปี พ.ศ. ๒๕๑๒ หม่อมเจ้า ภศี เดช รชั นี และคณะทำ� งานได้ตัดสินใจเลอื ก บริเวณดอย อา่ งขาง เปน็ สถานวี จิ ยั แหง่ แรกของโครงการฯ และไดร้ บั พระราชทานชอื่ ในเวลาตอ่ มา วา่ สถานเี กษตร หลวงอา่ งขาง ตอ่ มากไ็ ดม้ กี ารขยายพน้ื ท่ี การปฏบิ ตั งิ านเพมิ่ ขนึ้ การตดิ ตอ่ เขา้ ไปในพนื้ ท่ี ตอ้ งอาศยั เดนิ เทา้ เปน็ หลกั ในบางพนื้ ทที่ เี่ ฮลคิ อปเตอร์ สามารถลงจอดได้ กจ็ ะไดร้ บั การสนบั สนนุ จาก กองทพั อากาศ ชว่ ยอำ� นวยความสะดวก ในการเดนิ ทางของอาสาสมคั ร นกั วจิ ยั เปน็ ประจำ� ทกุ ตน้ เดอื น สว่ นการขนสง่ ปุย๋ ยา เมล็ดพันธ์ุ และเสบียงตา่ ง ๆ จะไดร้ บั ความช่วยเหลอื จากกองพันสัตวต์ ่าง กองทพั บก การด�ำเนนิ งานในทศวรรษท่ี ๒ ในช่วงเวลานค้ี วามช่วยเหลอื จากกระทรวงเกษตร ประเทศสหรัฐอเมริกา ยงั คงมีอยอู่ ย่างต่อ เนอื่ งในปี พ.ศ. ๒๕๒๓ ไดม้ ี การเปลย่ี นชอื่ โครงการฯ อกี ครงั้ เพอ่ื ความเหมาะสมเปน็ “โครงการหลวง” โดยมี ม.จ. ภีศเดช รัชนี เป็นผู้สนอง พระบรมราชโองการ ด�ำรงต�ำแหน่งองค์อ�ำนวยการ เช่นเดิม โดยมวี ัตถุประสงคค์ อื ๑. เพ่ือสนบั สนนุ การดำ� เนินงานโครงการ ตามพระราชประสงค์ ๒. เพื่อด�ำเนินการ เพื่อสาธารณประโยชน์ หรือร่วมมือกับองค์การ การกุศลอื่น ๆ เพื่อ สาธารณประโยชน์ ๓. ด�ำเนนิ การใด ๆ อันเป็นประโยชน์ ตอ่ ประชาชน และประเทศชาติ ๔. ไมด่ �ำเนินการเกย่ี วกบั การเมือง กระบวนการด�ำเนนิ โครงการ ๑. กระบวนการ PAR การทำ� งานรว่ มกนั ของนักวิชาการ นักพัฒนาและชาวบ้าน ๒. กระบวนการ BAN การสร้างสมดุลย์ (B) การสร้างขีดความสามารถ (A) และการสร้าง เครือขา่ ย ชว่ ยเหลอื เกือ้ กูลกนั (N) ๓. กระบวนการฟื้นฟูวัฒนธรรมพื้นบ้าน โดยให้รู้และเข้าใจทั้งของเก่า และของใหม่ซ่ึงเป็น วิธปี ฏิบตั ทิ ี่ต่างกัน ของปัจจัยท้ังห้านนั่ เอง
โครงการหลวง : การแก้ปัญหาและพฒั นาชาวเขาทยี่ ่งั ยืน 197 เมอื่ ไดด้ ำ� เนนิ การตามวธิ กี ารตา่ ง ๆ ดงั กลา่ วแลว้ เราควร จะไดห้ มบู่ า้ นบนทสี่ งู ทม่ี กี ารใชพ้ นื้ ท่ี อย่างถูกตอ้ ง ตามศักยภาพ การใชพ้ นื้ ท่ีอย่างถกู ตอ้ งและ เหมาะสมในการผลติ เพื่อขาย ตอ้ งการความ ช่วยเหลือและแนะน�ำ จากโครงการหลวง และหรอื ผปู้ ฏิบัตกิ ารสบื ทอด ซ่ึงชว่ ยเหลือรับช่วงตอ่ ในการ พัฒนา และดูแลต่อจากโครงการหลวง สภาพของหมู่บ้านโครงการหลวง ก็จะเกิดมากขึ้นมากข้ึน กระบวนการท่ีเปน็ รูปแบบ ทถี่ กู ตอ้ งจะถูกขยายพื้นที่ ครอบคลมุ บริเวณกวา้ งขน้ึ การขยายผล จะเปน็ ไปได้และเป็นจริงได้เม่ือ หน่วยราชการต่าง ๆ ที่รองรับและช่วยเหลือด�ำเนินการ อย่างเต็มท่ีเพื่อให้ พระราชปณธิ าน เปน็ จรงิ เปน็ จงั เปน็ รปู แบบทส่ี มควรและเหมาะสม ทจ่ี ะขยายผลตอ่ ไป แมจ้ ะเปน็ นอก ประเทศก็ตาม งบประมาณด�ำเนนิ การ วันท่ี ๑๗ มีนาคมพ.ศ. ๒๕๓๕ คณะรัฐมนตรีได้มีมติ อนุมัติในหลักการ รวม ๓ เร่ือง คือ ใหจ้ ดั ตง้ั คณะกรรมการคณะหนง่ึ เรยี กวา่ คณะกรรมการอำ� นวยการ และประสานงานมลู นธิ โิ ครงการหลวง ประกอบด้วยนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นกรรมการและ เลขานุการ ส่วนองค์ประกอบอื่น ๆ และอ�ำนาจหน้าท่ีคณะกรรมการฯ ให้นายกรัฐมนตรีเป็น ผู้พิจารณา ให้ส�ำนักงานปลัดกระทรวงเกษตร และสหกรณ์ ท�ำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการและให้จัดตั้ง หน่วยงานระดับกองข้ึน เพ่ือท�ำหน้าท่ีประสานงานกับ มูลนิธิโครงการหลวงรวมทั้ง โอนงานบางส่วน จากมูลนธิ ิฯ มายงั รฐั บาลเพื่อดำ� เนนิ การตอ่ ไป ให้ส�ำนักงานงบประมาณ ต้ังงบประมาณ ประเภท เงินอุดหนุน ให้แก่มูลนิธิฯ เป็นรายปี โดยต้งั ไว้ทีส่ �ำนกั ราชเลขาธิการ เพื่อใช้ในการด�ำเนินงานของมูลนิธิฯ จากมติคณะรัฐมนตรี ดังกล่าวในส่วนของทางราชการได้มีการด�ำเนินการดังนี้ นายอานันท์ ปันยารชุน นายกรัฐมนตรี ในขณะน้ัน ได้มีค�ำส่ัง ส�ำนักนายกรัฐมนตรี แต่งต้ัง คณะกรรมการอ�ำนวย การและ ประสานงาน มลู นิธโิ ครงการหลวง ตามค�ำส่ังส�ำนกั นายกรฐั มนตรี ท่ี ๕๐/๒๕๓๕ ลงวันท่ี ๒ เมษายนพ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อมา นายบรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรี ได้ปรับปรุงค�ำส่ังส�ำนักนายก รฐั มนตรีเดิม ตามค�ำส่งั ส�ำนกั นายกรัฐมนตรี ที่ ๒๐/๒๕๓๙ ลงวนั ที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๓๙ เรื่องแต่งตง้ั คณะกรรมการ อ�ำนวยการและประสานงาน มูลนิธิโครงการหลวง โดยเพิ่มรัฐมนตรีว่าการกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ เป็นรองประธานคณะกรรมการ และเพิ่มปลัดกระทรวงแรงงาน และสวัสดิการ สังคม เปน็ กรรมการในคณะกรรมการ ชดุ นีด้ ว้ ย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ด�ำเนินการตั้งกองพัฒนาเกษตร ท่ีสูงข้ึนในส�ำนักงานปลัด กระทรวงเกษตร และสหกรณ์ เพ่อื ทำ� หนา้ ที่ตามมติ คณะรฐั มนตรี โดยดำ� เนนิ งาน ตง้ั แต่ปงี บประมาณ ๒๕๓๖ เป็นตน้ มา
198 ชนต่างวัฒนธรรมในประเทศไทย รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณ อดุ หนุนใหส้ ำ� นักราชเลขาธิการ เพ่ือการดำ� เนินงานของ มลู นิธิ โครงการหลวง ตามมติคณะรัฐมนตรี ดังกล่าวข้างต้น ตั้งแต่ปีงบประมาณ ๒๕๓๖ เป็นต้นมาเช่น เดียวกัน ๓ การดำ� เนนิ งานดา้ นการวจิ ัย ๑. สถานีเกษตรหลวงอา่ งขาง เกือบทุกครั้งท่ีเสด็จแปรพระราชฐาน ไปประทับที่พระต�ำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ จังหวัด เชยี งใหม่ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั และสมเดจ็ พระนางเจา้ ฯ พระบรมราชนิ นี าถ และพระบรมวงศา นวุ งศแ์ ทบทกุ พระองค์ จะเสดจ็ สถานเี กษตรหลวงอา่ งขางอยเู่ สมอ ๆ ซงึ่ นบั ไดว้ า่ สถานเี กษตรหลวงอา่ ง ขาง เป็นพนื้ ท่ีทรงงานทเี่ ปน็ สถานีวิจยั ทดลอง ทง้ั ไม้ผล พืช ผัก และดอกไมด้ อกเมอื งหนาว ทส่ี ำ� คัญ อย่างยิ่งสถานีหนง่ึ ในหลาย ๆ สถานขี องพ้ืนท่โี ครงการหลวงและเป็นสถานีแรก๔ อา่ งขาง เปน็ ชอื่ ตำ� บล ๆ หนง่ึ ตงั้ อยบู่ นเทอื กเขาตะนาวศรตี ดิ กบั เขตแดนพมา่ คอื หา่ งกนั เพยี ง ๕ กโิ ลเมตรเท่านัน้ สูงจากระดบั น้ำ� ทะเลประมาณ ๑,๔๐๐ เมตร อยู่ในเขตอำ� เภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ อ่างขาง ภาษาทางเหนือหมายถึง อ่างรูปสี่เหล่ียมลักษณะของดอยอ่างขางนั้น เป็นดอยท่ีมี รูปร่างของหุบเขายาว ๆ ล้อมรอบไปด้วยเขาสูงทุกด้าน ตรงกลางของอ่างขางเดิมเป็นเขาสูง ดังเช่นท่ี เห็นท่ัวไปในบรเิ วณใกล้เคยี ง แตเ่ นอ่ื งจากเป็นเขาหนิ ปูน เมอื่ ถกู นำ�้ ฝนชะกจ็ ะค่อย ๆ ละลายเป็นโพรง แล้วยุบตวั ลงกลายเปน็ หลมุ ในอดีตดอยอ่างขางเคยมีหมู่บ้านชาวเขาท้ังม้ง เย้า และมูเซอ อาศัยอยู่เป็นจ�ำนวนมาก และพ้นื ท่สี ามารถปลูกฝนิ่ ไดง้ าม เน่อื งจากดนิ มีโครงสรา้ งทีเ่ หมาะสม ลักษณะอากาศและภูมปิ ระเทศ ก็เอ้ืออ�ำนวย ดอยอ่างขางมีอากาศหนาวเย็นตลอดท้ังปี โดยเฉพาะตอนกลางคืนจะหนาวเย็นจัดที่สุด แห่งหนึ่งของประเทศ ประกอบกับมีการท�ำไร่เลื่อนลอยชาวไทยภูเขา ในท่ีสุดก่อให้เกิดผลกระทบขึ้น เม่อื ป่าไมบ้ นภเู ขาเหลอื นอ้ ย ฝนตกลงมา น�ำ้ ฝนกช็ ะหน้าดนิ ไหลลงสู่หุบเขา ดนิ ไมส่ ามารถอ้มุ น้ำ� เอาไว้ ได้ ทำ� ใหธ้ าตอุ าหารในดนิ ลดนอ้ ยลง เมอ่ื ความอดุ มสมบรู ณข์ องดนิ หมดไปชาวไทยภเู ขากห็ าพน้ื ทที่ ำ� ไร่ ใหม่ตอ่ ไป ซงึ่ ไดส้ ง่ ผลใหด้ อยอา่ งขางมีสภาพเปน็ ดอยหัวโลน้ มาเปน็ ระยะเวลาอันยาวนานจากอดีต ๓ การจัดสรรงบประมาณ http://www.doikham.com/general/history/decade๓/index-build.htm เข้าถึงเมื่อ วันท่ี ๑๖ กนั ยายน พ.ศ. ๒๕๔๘ ๔ สถานเี กษตรหลวงอา่ งขาง http://www.doikham.com/general/project-plan/index-rescarch-center-main.htm เขา้ ถึงเมือ่ วันท่ี ๑๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๘
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228