มง้ (แมว้ ) Hmong (Meo) 49 และตัวบุคคล หรือเป็นการปัดเป่า กวาดโรคภัยไข้เจ็บออกจากตัวบุคคล หรือออกจากบ้านให้หมด เพ่ือที่จะรับปีใหม่ท่ีเข้ามา และต้อนรับสิ่งดี ๆ ที่ก�ำลังจะมาในปีถัดไป พิธีกรรมน้ีม้งจะท�ำทุกปี และคนในครอบครัวต้องอยู่ให้ครบทุกคน ไม่ให้ขาดคนใดคนหนึ่ง (แต่หากว่าคนในครอบครัวน้ัน เกดิ ไปทำ� งานตา่ งจงั หวดั และไมส่ ามารถที่ จะกลบั มารว่ มพธิ กี รรมนไ้ี ด้ ผปู้ กครองของครอบครวั ตอ้ งนำ� เส้ือผ้าของคน ท่ไี ม่อย่มู าร่วมพิธกี รรมใหไ้ ด้ หากไม่ไดเ้ ข้ารว่ มพธิ ีกรรมนี้ มง้ เชือ่ วา่ ส่งิ ทไ่ี ม่ดจี ะติดตัวไป ยังปีถดั ๆ ไป และท�ำอะไรกไ็ มเ่ จริญ) ๖) หมปู ระตผู ี (อวั ะบวั๊ จอ๋ ง ) เปน็ พธิ กี รรมทมี่ ง้ กระทำ� เพอ่ื รกั ษาคนทง้ั หมดในบา้ นหลงั นนั้ ให้ ปราศจากโรคภัยโดยมีวิธีการรักษา ดังนี้ ซึ่งการประกอบพิธีกรรมหมูประตูนั้นจะท�ำในตอนกลางคืน เท่าน้ัน อันดับแรกคือจะมีการกล่าวปิด และกล่าวเปิดประตู จากน้ันจะมีการฆ่าหมูแล้วต้มให้สุก จากน้ันก็กล่าวปิดประตู แล้วน�ำหมูที่ต้มสุกน้ันมาห่ันให้เป็นช้ินเล็ก ๆ จัดไว้ตามจานที่วางไว้ ๙ จาน ซง่ึ แต่ละจานจะใสช่ น้ิ เน้ือไมเ่ หมือนกัน โดย จานที่ ๑ ใส่มอื ซา้ ยหมแู ละหัวข้างซา้ ย จานท่ี ๒ จะใสข่ าขวาหมกู ับหวั ข้างขวา จานที่ ๓ จะใส่ขาซา้ ยหมูกบั คางซา้ ยหมู จานท่ี ๔ ใสม่ อื ขวาหมูกบั คางขวาหมู จานท่ี ๕ ใสม่ ือซ้ายหมู จานท่ี ๖ ใสข่ าขวาหมู จานท่ี ๗ ใส่ขาขวาหมูกบั ใบหู ๕ ชนิ้ จานที่ ๘ ใส่มือขวาหมู จานที่ ๙ ใส่จมูกและหางหมู งานปีใหม่ งานปใี หม่เป็นเทศกาลอยา่ งหนง่ึ ของชนเผา่ ม้งที่จัดข้นึ ในทุก ๆ รอบปี ซึ่งจะจดั ขึ้นในระหวา่ ง ข้ึน ๑ ค�่ำเดือนหนึ่งของทุกปี ซ่ึงตรงกับเดือนธันวาคมของทุกปีม้งทุกหลังคาเรือนจะต้องมีการฆ่าหมู เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองงานปีใหม่ร่วมกัน การฆ่าหมูนั้นเป็นการสังสรรค์ร่วมกัน และเป็นการเซ่นไหว้ บรรพบุรษุ ด้วย ดงั นัน้ แขกที่มาเยยี่ มบ้านม้งนัน้ ม้งจะมกี ารตอ้ นรบั เปน็ อย่างดแี ละม้งจะมกี ารต้อนรบั โดยเอาเหล้ามารับแขก ซึ่งแก้วท่ีน�ำมาใส่เหล้าน้ันจะเรียกว่า แก้วแม่วัว กับแก้วลูกวัว ดังน้ันหากว่า เจ้าของบ้านเอาแก้วแม้วัวให้กับแขกดังน้ันแขกจะต้องด่ืมก่อนและต้องดื่มให้หมด ถ้าไม่หมดม้งถือว่า เป็นการรังเกียจกัน ดงั นัน้ ถ้าแขก ด่ืมไมห่ มดมง้ ถือว่าแขกคนนน้ั ไม่อยากมีความสมั พนั ธ์กบั ตน หรอื ไม่ ให้เกียรติกับเจ้าของบ้านดังน้ันจึงถือว่าความสัมพันธ์ระหว่างแขกกับเจ้าของบ้านขาดจากกัน แต่ถ้า
50 ชนตา่ งวฒั นธรรมในประเทศไทย เจา้ ของบา้ นเอาแกว้ ลกู ววั ใหแ้ ขก แขกไดร้ บั แกว้ ลกู ววั แลว้ จะตอ้ งดม่ื แกว้ เหลา้ ใหห้ มด แตถ่ า้ ไม่ สามารถ ท่ีจะดม่ื หมดก็สามารถทีจ่ ะใหค้ นอนื่ มาชว่ ยดมื่ แกว้ เหล้าลกู ววั น้ีแทนตัวเองได้แลความสมั พนั ธร์ ะหว่าง แขกกับเจ้าของบ้านยังคงเหมือนเดิม หรือแน่นแฟ้นย่ิงขึ้นมารยาท ระหว่างผู้น้อยกับผู้ใหญ่ มารยาท เปน็ เครอ่ื งมอื อกี อยา่ งหนง่ึ ทจี่ ะชว่ ยสรา้ งการยอมรบั ซงึ่ กนั และกนั ระหวา่ งผนู้ อ้ ยกบั ผใู้ หญ่ มง้ มรี ปู แบบ หรือพื้นฐานของมารยาทที่ส�ำคัญคือ ผู้น้อยจะต้องยอมรับฟังความคิดเห็น ค�ำช้ีแนะและแสดงความ เคารพตอ่ ผใู้ หญ่ ผนู้ อ้ ยหรอื สมาชกิ ในหมบู่ า้ นจะไดร้ บั การดแู ล หรอื อปุ ถมั ภ์ จากผอู้ าวโุ สหรอื ผใู้ หญ่ ให้ สิทธิ์ในการตัดสินเด็ดขาดแก่ผู้ใหญ่เท่าน้ันชาวเขาเผ่าม้งมีความยึดม่ันในข้อปฏิบัติเฉพาะประจ�ำกลุ่ม ประจ�ำแซ่สกุลของตนเอง ม้งแต่ละสกุลหรือแต่ละแซ่มาอยู่ร่วมกัน เป็นชุมชนหมู่บ้านม้ง ทุกคนต่างก็ จะตระหนักถึงขอ้ ปฏบิ ัติใหอ้ ย่ใู นกรอบซ่งึ ข้อกำ� หนดหรือขอ้ ปฏิบตั ิมีดงั น้ี ข้อห้าม ๑) สมาชกิ มง้ ทม่ี นี ามสกลุ เดยี วกนั จะแตง่ งานดว้ ยกนั ไมไ่ ด้ ถา้ จำ� เปน็ ตอ้ งแตง่ งงานกนั จรงิ ๆ จะตอ้ งให้หญิงและชายคูก่ รณี ทำ� พิธีตัดญาติกอ่ น แลว้ จงึ จะแตง่ งานกนั ได้ ๒) พฤติกรรมคบชู้สู่ชาย เป็นข้อห้ามอย่างเคร่งครัด ถ้าสาวม้งที่ยังไม่แต่งงงานน้ัน มีสิทธิ์ท่ี จะเลอื กคบชายใดกไ็ ดส้ ทิ ธค์ิ บชายนนั้ ขนึ้ อยกู่ บั ฝา่ ยสาวมง้ แตถ่ า้ สาวมง้ แตง่ งานกบั ชายมง้ เมอ่ื ไหรแ่ ลว้ สาวมง้ ไมม่ สี ทิ ธใิ์ นการพดู คยุ หรอื ไปไหนมาไหนกบั ชายใด ถอื วา่ เปน็ การทำ� ผดิ วฒั นธรรมของมง้ ฉะนนั้ สาวม้งที่แต่งงาน จะต้องปฏิบัติหน้าที่แทนแม่สามีทันที และจะต้องตื่นก่อนทุกคนในครอบครัว เตรยี มหาอาหารใหก้ บั ทกุ คนในครอบครวั และสตั วเ์ ลยี้ งดว้ ย จะเหน็ วา่ สาวมง้ จะทำ� งานหนกั มาก ฉะนน้ั ชายมง้ สามารถทจ่ี ะหาภรรยาเพมิ่ กไ็ ด้ ขนึ้ อยกู่ บั ความยนิ ยอมของฝา่ ยภรรยา และชายมง้ จะแอบมเี พศ สัมพนั ธก์ บั หญงิ ทแี่ ตง่ งานแลว้ เชน่ หญิงทีเ่ ปน็ หมา้ ยทม่ี ีความยนิ ยอมเทา่ น้ัน ๓) ชายหญิงม้งจะต้องไม่แสดงพฤติกรรมท่ีแสดงถึงความรู้สึกชอบพอกันต่อหน้าพ่อ-แม่ ของฝ่ายหญงิ เด็ดขาด หรอื ในทีส่ าธารณะ ๔) หา้ มไมใ่ ห้ชายอ่นื ท่ีไมใ่ ชม่ ้งอยู่กับสาวม้งตามล�ำพงั สองตอ่ สองในที่ลบั ตา ๕) หา้ มใหพ้ ี่ชายม้งแตง่ งานกับน้องสะใภ้ ๖) หา้ มแขกมีเพศสมั พนั ธใ์ นบา้ นม้งทเ่ี ขา้ ไปอาศัยอยู่ ๗) หา้ มตกี ลองโดยพลการเดด็ ขาด เพราะการตกี ลองนนั้ ถอื วา่ เปน็ เสยี งสญั ญาณของงานศพ ทมี่ คี นตาย ในหมบู่ า้ น ซง่ึ กลองเปน็ เครอ่ื งดนตรชี นดิ หนง่ึ ทใี่ ชใ้ นงานศพของมง้ และจะใชป้ ระกอบกบั แคน ๘) หา้ มยงิ ปนื โดยเดด็ ขาด เพราะการยงิ ปนื นนั้ มง้ ถอื เปน็ สญั ลกั ษณ์ การยงิ ปนื เพอ่ื ใหค้ นรอบ ข้างทราบวา่ ในบา้ นหลงั นนั้ มีการตายเกิดข้นึ ดังน้นั ม้งจงึ ห้ามไม่ให้มกี ารยิงปืนในหมู่บ้านเดด็ ขาด
ม้ง (แม้ว) Hmong (Meo) 51 ๙) ห้ามใชเ้ งินในวนั ข้ึนปีใหม่ ๑ วนั ซงึ่ จะมกี ารประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ในวันนีจ้ งึ ไมใ่ ห้ ใช้เงนิ เพราะม้ง มีความเช่ือวา่ จะทำ� ใหก้ ารทำ� มาหากนิ ในปถี ดั ไป ไมไ่ ด้ผลเท่าท่คี วร หรอื อาจจะจนกไ็ ด้ ๑๐) ห้ามบริโภคอาหารท่ีเป็นข้อห้าม เช่น - ม้งลี จะไม่รับประทานม้ามของสัตว์ทุกชนิด - ม้งย่าง จะไมร่ บั ประทานหวั ใจของสตั ว์ทุกชนิด - มง้ แซว่ า่ ง จะต้องไมน่ �ำผลไม้ที่มีรสเปร้ียวจากป่าหรือ ธรรมชาติมาบริโภคในบ้านเด็ดขาด - ห้ามไม่ให้เด็กชาย - เด็กหญิงม้งกินตีนไก่ กระเพาะไก่ ไส้ไก่ เด็ดขาด เพราะมง้ มคี วามเชื่อว่า เมื่อบรโิ ภคตนี ไกแ่ ลว้ จะทำ� ใหเ้ ด็กหญงิ - ชาย มนี สิ ัยก้าวกา่ ยเร่ืองของ ผู้อื่นและจะท�ำให้ไม่ประสบความส�ำเร็จ กระเพาะไก่ ไส้ไก่ เมื่อกินแล้วจะท�ำให้เด็กไม่ฉลาด เพราะกระเพาะไก่ กับ ไสไ้ ก่จะไปหอ่ สมอง จนคิดไม่ได้ การแตง่ กาย ๑. ลักษณะการแตง่ กายมง้ ขาว หรอื มง้ ด๊าว๓ ชาย ตัวเส้อื จะเป็นผา้ กำ� มะหยี่ เส้ือแขนยาวจรดข้อมอื ชายเส้อื จะยาวคลุมเอว ดา้ นหนา้ มสี าบเสอื้ สองขา้ งลงมาตลอดแนวเส้อื จนถงึ ชายเส้ือด้านหลัง มกั จะปักลวดลายสวยงามดว้ ย ปัจจบุ นั นยิ มใสซ่ ปิ ลงขอบสาบเสอ้ื เพอ่ื สะดวกในการใส่ สว่ นกางเกงจะสวมใสก่ างเกงขากว๊ ย หรอื กางเกงจนี เปา้ ตน้ื ขาบาน มีลวดลายน้อย และใส่ผ้าพันเอวสีแดง คาดทับกางเกง และอาจมีเข็มขัดเงินคาดทับอีกชั้นหนึ่งด้วย เหมือนกัน หญงิ ตัวเสอ้ื จะเปน็ ผา้ ก�ำมะหย่ี เสอ้ื อาจจะเป็นสีน้ำ� เงินเขม้ หรอื ดำ� แตป่ ัจจุบนั กม็ ีการเปลี่ยนแปลง ใหม้ ีหลากสีมากข้นึ เปน็ เส้ือแขนยาว ซ่งึ ทีป่ ลายแขนน้ี มีการปักลวดลายใส่ดา้ นหน้ามีสาบเสื้อสองขา้ ง ลงมา และมีการปักลวดลายใส่ด้วย การแต่งกายของหญิงม้งขาว (ม้งเด๊อะ) เดิมจะสวมกระโปรงจีบ รอบตวั สขี าวลว้ นไมม่ กี ารปกั ลวดลายใด ๆ เมอ่ื สวมใสจ่ ะปลอ่ ยรอยผา่ ไวด้ า้ นหนา้ พรอ้ มกบั มผี า้ สเี่ หลย่ี ม ยาวปักลวดลายปิดทับรอยผ่า มีผ้าแถบสีแดงคาดเอวไว้ชั้นหนึ่ง โดยผูกปล่อยชายเป็นหางไว้ด้านหลัง ปัจจุบันนิยมใส่กระโปรงสีขาวเฉพาะงานส�ำคัญเท่านั้น เพราะกระโปรงขาวเปรอะเปื้อนได้ง่าย จึงหัน มานยิ มสวมกางเกงทรงจนี กบั เสอื้ แทนกระโปรง และมีผา้ สเี่ หลยี่ มผนื ยาวหอ้ ยลงทัง้ ด้านหนา้ และหลงั ผ้าน้ีมักจะปักลวดลาย สวยงามมีผ้าแถบสีแดงคาดเอว ส�ำหรับเคร่ืองโพกผมของหญิงม้งขาวน้ัน นิยม ๓ ลกั ษณะการแตง่ กายมง้ ขาว หรอื มง้ ดา๊ ว, http://www/hilltribe.org/thai/hmong/hmong-embroidery.html, เขา้ ถงึ วนั ท่ี ๑๑ มถิ นุ ายน พ.ศ.๒๕๔๘
52 ชนตา่ งวัฒนธรรมในประเทศไทย พันมวยผมคล้อยมาด้านหน้า และใช้ผ้าสีด�ำโพกผมเป็นวงรอบศีรษะ โดยมีการปักลวดลายไว้ด้วย นอกจากนี้ยังมีเคร่ืองประดับอื่นประกอบเพิ่มเติม ซึ่งมักจะสวมใส่กันในงานส�ำคัญจ�ำพวกเครื่องเงิน กำ� ไลคอ กำ� ไลขอ้ มอื ตมุ้ หู แหวน รวมทงั้ เหรยี ญเงนิ ขนาดตา่ ง ๆ ทง้ั รปู วงกลม และสามเหลยี่ ม ทปี่ ระดบั ตามเสอ้ื ผา้ แพรพรรณ รวมทง้ั สายสะพายปกั ลวดลายสวยงาม เวลาใชจ้ ะสะพายไหลเ่ ฉยี งสลบั กนั สองขา้ ง ๒. ลักษณะการแต่งกายของมง้ ดำ� ชาย เส้ือแขนยาวจรดข้อมือ แต่ชายเสื้อระดับเอว ปกสาบเสื้อด้านขวา จะป้ายเลยมาทับซีกซ้าย ของตวั เสอ้ื ตลอดจนแนวสาบเสอ้ื จะใชด้ า้ ยสี และผา้ สปี กั ลวดลายตา่ ง ๆ สะดดุ ตา กางเกงสเี ดยี วกบั เสอื้ มลี ักษณะขากวา้ งมากแต่ปลายขาแคบลง สว่ นท่ีเห็นได้เดน่ ชัดคือ เป้ากางเกงจะหย่อนลงมาจนต�่ำกว่า ระดบั เขา่ รอบเอวจะมี ผา้ สีแดงพันทับกางเกงไวซ้ ง่ึ ชายผ้าทั้งสองขา้ งปกั ลวดลายสวยงาม อยู่ดา้ นหน้า และนิยมคาดเขม็ ขดั ทบั ผ้าแดงไว้ หญิง ปจั จบุ นั เสอ้ื มง้ เขยี วหรอื มง้ ดำ� จะทำ� ใหม้ หี ลากหลายสมี ากขนึ้ เหมอื นกนั ชายเสอื้ ยาวจะถกู ปดิ ดว้ ยกระโปรงเวลาสวมใส่ สาบเสอื้ ทง้ั สองขา้ งจะปกั ลวดลาย หรอื ขลบิ ดว้ ยผา้ สี ตวั กระโปรงจบี เปน็ รอบ ท�ำเป็นลวดลายต่าง ๆ ท้ังการปัก และย้อมรอยผ่าของกระโปรงอยู่ด้านหน้า มีผ้าเหลี่ยมผืนยาว ปกั ลวดลายปดิ รอยผา่ และมผี า้ สแี ดงคาดเอวทบั อกี ทหี นงึ่ โดยผกู ปลอ่ ยชาย เปน็ หางไวด้ า้ นหลงั สำ� หรบั กระโปรงน้ีจะใส่ในทุกโอกาส และในอดีตนิยมพันแข้งด้วยผ้าสีด�ำอย่างประณีตซ้อนเหล่ือมเป็นช้ัน ๆ ปัจจุบันกไ็ ม่ค่อย นยิ มใส่กันแล้ว ผูห้ ญงิ มง้ ดำ� นยิ มพนั ผมเปน็ มวยไว้กลางกระหมอ่ ม และมชี อ้ ง ผมมวย ซึ่งท�ำมาจากหางม้าพันเสริมให้มวยผมใหญ่ขึ้นใช้ผ้าแถบเป็นตาข่าย สีด�ำพันมวยผมแล้วประดับด้วย ลูกปดั สีสวย ๆ สว่ นเครอ่ื งประดบั เพ่มิ เตมิ นั้น มลี กั ษณะเหมือนกับมง้ ขาว ๓. ลกั ษณะการแต่งกายของมง้ กั๊วมะบา ชาย เส้ือแขนยาวจรดข้อมือ แต่ชายเส้ือระดับเอว ปกสาบเสื้อด้านขวา จะป้ายเลยมาทับซีกซ้าย ของตัวเสื้อตลอดจนแนวสาบเสอ้ื จะใช้ดา้ ยสีและผ้าสปี กั ลวดลายต่าง ๆ สะดดุ ตา กางเกงเดียวกบั เสอื้ มลี กั ษณะขากวา้ งมาก แตป่ ลายขาแคบลง สว่ นทเ่ี หน็ ไดเ้ ดน่ ชดั คอื เปา้ กางเกงจะหยอ่ นลงมาจนตำ�่ กวา่ ระดบั เขา่ รอบเอวจะมผี า้ สีแดงพัน ทับกางเกงไว้ซงึ่ ชายผ้าท้ังสองขา้ งปกั ลวดลายสวยงามอยดู่ า้ นหน้า และนิยมคาดเขม็ ขัดทบั ผา้ แดง หรือผูกเชือกทับผา้ แดง
ม้ง (แม้ว) Hmong (Meo) 53 หญงิ ปจั จบุ นั เสอื้ มง้ ลายจะมกี ารทำ� ใหม้ หี ลากหลายสมี ากขน้ึ เหมอื นกนั ชายเสอื้ ยาว จะถกู ปดิ ดว้ ย กระโปรงเวลาสวมใส่ สาบเส้ือท้ังสองข้างจะปักลวดลาย หรือขลิบ ด้วยผ้าสี ตัวกระโปรงจีบเป็นรอบ ท�ำเป็นลวดลายต่าง ๆ ทั้งการปัก และย้อม รอย ผ่าของกระโปรงอยู่ด้านหน้า มีผ้าเหล่ียมผืนยาว ปักลวดลายปิดรอยผ่า และมีสีแดงคาดเอวทับอีกทีหนึ่ง โดยผูกปล่อยชายเป็นหางไว้ด้านหลังส�ำหรับ กระโปรงนี้จะใส่ในทุกโอกาส และในอดีตนิยมพันแข้งด้วยผ้าสีด�ำอย่างประณีตซ้อนเหลื่อมเป็นชั้น ๆ ปจั จบุ นั กไ็ มค่ อ่ ยนยิ มใสก่ นั แลว้ ผหู้ ญงิ มง้ ลาย นยิ มพนั ผมเปน็ มวยไวก้ ลางกระหมอ่ ม และมชี อ้ งผมมวย ซ่ึงท�ำมาจากหางม้า พันเสริมให้มวยผมใหญ่ข้ึน ใช้ผ้าแถบเป็นตาข่ายสีด�ำพันมวยผมแล้วประดับด้วย ลกู ปดั สสี วย ๆ สว่ นเคร่อื งประดบั เพ่มิ เติมนั้น มลี กั ษณะเหมอื นกบั มง้ ขาว การประกอบอาชพี อดีตนั้นม้งอาศัยอยู่บนภูเขา หรือยอดเขาเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นระบบเศรษฐกิจของม้งไม่ดี เพราะม้งไม่รู้จักในการท�ำการเกษตรเพ่ือเศรษฐกิจ จะท�ำการเกษตรเพื่อยังชีพมากกว่า ม้งมีอาชีพ อย่างเดียวคือ การเกษตร โดยจะปลูกไว้เพ่ือรับประทานในครัวเรือนเท่าน้ัน เช่น ข้าว และพืชผัก จะไมม่ กี ารซอ้ื ขายดว้ ยเงนิ ตรา จะมแี คก่ ารแลกเปลย่ี นกนั ดว้ ยสงิ่ ของเทา่ นน้ั มง้ มวี ถิ ชี วี ติ ทย่ี ากลำ� บากมาก เพราะมง้ มีความคิดวา่ ต้องมลี ูกเยอะ ๆ เพอื่ ตัวเองจะได้สบายในบน้ั ปลายของชีวิต จงึ เป็นเหตใุ ห้มง้ มี ชวี ิตท่ลี ำ� บากมาก ๆ ต้องตรากตร�ำทำ� งานหนักในไร่เพ่ือมาเลีย้ งปากเล้ียงทอ้ ง แตใ่ นปจั จบุ ันน้ี ม้งได้ถกู อพยพมาต้ังถิ่นฐานในพ้ืนที่ราบลุ่ม ท�ำให้วิถีชีวิตของม้งเริ่มเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพการเป็นอยู่บน ภเู ขา การเปน็ อยมู่ คี วามดนิ้ รนมากขนึ้ การประกอบอาชพี ทางเกษตรจงึ มกี ารปรบั เปลยี่ นหลายรปู แบบ มากขน้ึ เชน่ มีการท�ำนา ทำ� ไร่ และอื่น ๆ เป็นต้น การเกษตรกรรมของมง้ บางสว่ นจะมกี ารปลกู ขา้ วในนาดว้ ย เพราะเนอื่ งจากมง้ ไดอ้ พยพมาตงั้ รกราก ในพน้ื ทร่ี าบล่มุ และสามารถท่ีจะทำ� นาได้ ซึง่ การท�ำนาข้าวของมง้ น้นั โดยสว่ นใหญ่ แล้วม้งจะ ดำ� นาไมเ่ ปน็ ซงึ่ สว่ นใหญแ่ ลว้ มง้ จะจา้ งใหค้ นทมี่ คี วามชำ� นาญในการดำ� นาเปน็ คนทำ� ให้ แตม่ ง้ กม็ คี วาม สามารถในการไถว่ า่ นเปน็ อยา่ งดี แตก่ อ่ นนนั้ มง้ ไมม่ เี ครอื่ งจกั รในการไถว่ า่ นขา้ ว เนอื่ งจากมง้ ยงั ไมม่ เี งนิ ในการจดั ซอื้ เครอ่ื งจกั ร แตป่ จั จบุ ันนีม้ ้งทงั้ ท่ีอยู่ในประเทศลาว และประเทศไทยมีเครอ่ื งจักรในการไถ หว่านแล้ว ดังนั้น การเกษตรกรรมของม้ง บางกลุ่มก็ไม่ค่อยล�ำบากเท่าท่ีผ่านมา แต่ม้งบางกลุ่มที่อยู่ ห่างไกลความเจรญิ ก็จะค่อยขา้ งล�ำบากมาก เมอ่ื กลา่ วโดยท่วั ไปแล้ว ชาวม้งท�ำการเกษตรเป็นสว่ นใหญ่ เชน่ ปลกู ข้าวไร่ ขา้ วโพด มนั ฝร่งั ยาสบู ผกั ชาวแมว้ นยิ มการปลกู ฝน่ิ หมนุ เวยี นกบั การปลกู ขา้ วโพด ขา้ วโพดจะปลกู ราวเดอื นพฤษภาคม-
54 ชนต่างวัฒนธรรมในประเทศไทย กรกฎาคม โดยที่ฝิ่นจะปลูกในเดือนกันยายน - พฤศจิกายน ฝิ่นท่ีผลิตได้ส่วนใหญ่จะถูกจ�ำหน่าย ไปและเก็บไว้บริโภคบางส่วน เงินสดที่ได้มาจะน�ำไปซื้อข้าว สิ่งของจ�ำเป็น เสื้อผ้า เกลือ น้�ำมันก๊าด ไม้ขีดไฟ ถ่ายไฟฉาย หรือสินค้าฟุ่มเฟือย ฝิ่นบางส่วนจะใช้ในการแลกเปล่ียนสินค้าจากพ่อค้าเร่ เวลาว่างจากการเพาะปลกู มง้ จะเลยี้ งสัตว์ไดแ้ ก่ ไก่ หมู ม้า สนุ ัขขนปยุ (หมายุย) หรอื ออกไปลา่ สัตว์ ดักสัตว์ เก็บของป่า เช่น หนังสัตว์ กล้วยไม้ น�้ำผึ้ง หวาย เป็นต้น๔ ส�ำหรับผู้หญิงม้งเมื่อมีเวลาว่าง จะนยิ มทอผา้ จาก “ปาง” หรอื ต้นปา่ นป่า ดา้ นความเปน็ อยใู่ นบา้ น เวลาพวกมง้ รบั ประทานอาหาร จะนงั่ บนตงั่ เตย้ี ๆ มถี าดไมส้ านตอ่ ขา สูงจากพืน้ ดินประมาณ ๑ ศอก ใช้วางถ้วยอาหาร ใช้ตะเกียบพุ้ยขา้ วและหยบิ อาหารอย่างชาวจนี เครื่องดนตรี หลกั เกณฑใ์ นการเปา่ จา่ งกจ็ ะตอ้ งมคี ำ� ขนึ้ ตน้ มคี ำ� ทใ่ี ชแ้ ทนนามสกลุ ทต่ี า่ งกนั ไป สำ� หรบั เนอื้ หา ของจ่างน้ันมีหลากหลายเรื่องราว แล้วแต่ว่าจะเป่าพูดถึงเรื่องอะไร อาจจะเป็นเน้ือหาท่ีคิดเองท�ำเอง กไ็ ด้ แตต่ อ้ งเปน็ ไปตามหลกั การเนอื้ หาทเี่ ปา่ จะเปน็ เรอื่ งราวทพ่ี รรณนาใหเ้ หน็ ภาพความสวยงามของสาว เม่ือเทียบกับดอกไม้ใบหญ้า ๑. เคร่ืองดนตรปี ระเภทเป่า แคน (Qeej) เป็นภาษาม้ง อ่านว่า เฆ่ง หรือ qeng ซึ่งแปลว่า แคน หรือ mouth organ เฆง่ หรอื แคนเปน็ เครอ่ื งดนตรที ที่ ำ� จากลำ� ไมไ้ ผ่ และไมเ้ นอื้ แขง็ มปี รากฏในเอเชยี มากวา่ ๓,๐๐๐ ปแี ลว้ และถือได้ว่าเป็นเครื่องดนตรีท่ีเก่าแก่ที่สุดชนิดหน่ึง ม้งมีเร่ืองเล่าเกี่ยวกับความเป็นมาของเฆ่งว่า ในอดีตกาลมีคนม้งอยู่ครอบครัวหนึ่ง มีพ่ีน้อง ๗ คน วันหนึ่งผู้เป็นบิดาสิ้นชีวิตลง และบรรดาพ่ีน้อง ท้ัง ๗ คน ต้องการจัดพิธีงานศพเพื่อเป็นเกียรติให้กับผู้เป็นบิดา แต่ไม่รู้ว่าจะท�ำอย่างไรดี จึงได้ขอ คำ� ปรกึ ษาจากเทพเจา้ “ซยี ” ซงึ่ คนมง้ มคี วามเชอื่ วา่ เปน็ เทพเจา้ ทพ่ี ระเจา้ สง่ มาเพอ่ื ชว่ ยเหลอื มวลมนษุ ย์ ในโลก และเป็นผู้มีบทบาทส�ำคัญในการก�ำหนดพิธีกรรมที่ส�ำคัญทางศาสนาของคนม้ง เทพเจ้าซียีได้ แนะนำ� ใหค้ นหนงึ่ ไปหาหนงั สตั วม์ าทำ� กลองไวต้ ี และอกี หกคนไปหาลำ� ไมไ้ ผท่ ม่ี ขี นาด และความยาวไม่ เท่ากันมาคนละอัน เรียงล�ำดับตามขนาด และอายุของแต่ละคน เมื่อเตรียมพร้อมแล้ว ให้คนหนึ่ง ตีกลอง และอกี ๖ คนทเ่ี หลือ เป่าลำ� ไมไ้ ผ่ของตนบรรเลงเป็นเพลงเดยี วกนั และเดินวนไปรอบ ๆ คนท่ี ตกี ลองพร้อมกับมอบบทเพลงตา่ ง ๆ ให้ ๔ ขจดั ภยั บรุ ษุ พฒั น,์ พง่ึ อา้ ง, น. ๔๒-๔๕
ม้ง (แม้ว) Hmong (Meo) 55 ๒. เครื่องดนตรีประเภทตี กลอง หรอื จ๊วั เป็นเคร่ืองดนตรีของม้งที่มีลักษณะเป็นกลองสองหน้า หรือหนึ่งหน้าก็ได้ รูปร่างกลมแบน โดยใช้แผ่นผนังสัตว์สองแผ่นมาประกอบ เข้ากับโครงกลองหลอมตัวกลอง ท้ังสองด้านริมขอบของ แผ่นผนงั ท้งั สองแผน่ จะเจาะรูเปน็ คู่ ๆ ส�ำหรับเสยี บสลกั ไม้เล็ก ๆ เพ่ือใชเ้ ชอื กร้อยสลกั ไม้ของแผ่นผนงั ทง้ั สองดา้ นดงึ เขา้ หากนั ซง่ึ จะทำ� ใหแ้ ผน่ ผนงั กลองตงึ ตวั เตม็ ท่ี เมอื่ ตจี ะมเี สยี งดงั กงั วาน และมไี มต้ กี ลอง หนึ่งคู่ หรือสองอันทำ� จากไมด้ า้ นหนงึ่ จะเอาผ้าพนั ไวส้ ำ� หรับตกี ลอง ส่วนดา้ นที่ไมม่ ผี ้าห่อใชส้ ำ� หรบั จบั กลองมง้ น้จี ะใชเ้ มื่อประกอบพิธีงานศพ การปลอ่ ยผีหรือปลดปล่อยวญิ ญาณ เทา่ นนั้
บทท่ี ๔ เม่ยี น เมี่ยน (เย้า) Mien (Yao) ตระกูลภาษาม้ง-เม่ียน (Hmong-Mien Language Family) Synonyms : Man, Mien, Yu Mien เยา้ อาศยั อยู่ใน ๙ จงั หวัดภาคเหนือ๑ ประวัตคิ วามเปน็ มา เมย่ี น [เยา้ ] ไดร้ บั การจดั ใหอ้ ยใู่ นเชอ้ื ชาตมิ องโกลอยด์ คอื อยใู่ นตระกลู จนี ธเิ บต ไดป้ รากฏครงั้ แรกในเอกสารบนั ทกึ ของจนี สมยั ราชวงศถ์ งั โดยปรากฏในชอื่ มอ่ เยา้ มคี วามหมายวา่ ไมอ่ ยใู่ ตอ้ ำ� นาจ ของผู้ใด เล่ากันว่า เมื่อประมาณ ๒๐๐๐ กว่าปีมาแล้วบรรพชนได้ตั้งถ่ินฐานอยู่ที่ราบรอบทะเลสาป ตงถงิ แถบแมน่ ำ�้ แยงซี ไมย่ อมออ่ นนอ้ มใหช้ นชาตผิ ปู้ กครองรฐั และไมย่ นิ ยอมอยภู่ ายใตก้ ารบงั คบั กดขี่ ของรัฐ จึงได้ท�ำการอพยพเข้าไปในป่าลึกบนภูเขาสูง ได้ตั้งถ่ินฐานสร้างบ้านด้วยมือของเขาเอง เพื่อปกป้องเสรีภาพจึงถูกขนานนามว่า ม่อ เย้า ซ่ึง เหยา ซี เหลียน ได้บันทึกไว้ในเหลียงซูต่อมาใน สมัยราชวงศ์ซ่ง คำ� เรยี กนี้ถูกยกเลิกไปเหลอื แตค่ �ำวา่ “เยา้ ” เท่าน้ัน ต่อมาค�ำว่าเย้าเคยปรากฏในเอกสารจีน เมื่อประมาณศตวรรษท่ี ๕ ก่อนคริสตศักราช ซึ่งมี ความหมายว่าป่าเถ่ือน หรือคนป่ากล่าวกันว่าในประเทศจีนชนชาติเย้ามีค�ำเรียกขานชื่อของตนเอง แตกต่างกันถงึ ๒๘ ชอื่ แต่คนเยา้ ในประเทศไทย เรียกตวั เองวา่ เม่ยี น หรือ อ้วิ เมย่ี น ซง่ึ มคี วามหมาย ว่า มนุษย์ หรอื คนเหยา ซ่นุ อนั กลา่ วว่าชาวเยา้ ในประเทศจนี แยกออกเปน็ ๔ กลมุ่ ใหญ่ คือ เผา่ เปยี้ น เผ่าปูนู เผ่าฉาซัน และเผ่าผิงต้ี ชาวเย้าเผ่าเปี้ยนมีประชากรมากท่ีสุดและเป็นกลุ่มท่ีย้ายถ่ินฐาน ตลอดเวลาเปน็ ระยะทางทไี่ กลทสี่ ดุ และกระจายกนั อยใู่ นอาณาบรเิ วณทกี่ วา้ งขวางทส่ี ดุ ดว้ ย ภาษาเยา้ ในปจั จุบนั ผา่ นการพัฒนากลายเป็นภาษาถน่ิ ย่อย ๓ ภาษา คือ ภาษาเมย่ี น ภาษาปนู ู และภาษาลักจา การตั้งถน่ิ ฐาน เม่ียนมีถ่ินฐานเดิมอยู่ในประเทศจีน โดยกระจายอยู่ในมณฑลกวางสี หูหนานและกุ้ยโจว ส่วนใหญ่อยู่ตามแถบภูเขา หนังสือโซว้โต้วหรือหนังสือบันทึกท่ีฝั่งศพบรรพชนเม่ียนกล่าวพ้องกันว่า บรรพบรุ ษุ ของตนอยใู่ นมณฑลกวางสแี ละกระจายออกไปอยใู่ นทตี่ า่ ง ๆ ทง้ั ในมณฑลยนู นาน เวยี ดนาม ลาว และไทยบางสว่ นอพยพไปอยูใ่ นประเทศสหรัฐอเมริกา คานาดา และฝรัง่ เศส ๑ กองสงเคราะหช์ าวเขา, กรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงแรงงานและสวสั ดกิ ารสงั คม ทำ�เนยี บชมุ ชนบนพน้ื ทส่ี งู ๒๐ จงั หวดั ในประเทศไทย ปี พ.ศ. ๒๕๔๐. (นนทบรุ ี : สหพรน้ิ ตง้ิ การพมิ พ,์ ๒๕๔๑). น. ๓๗
58 ชนตา่ งวฒั นธรรมในประเทศไทย การยา้ ยถ่นิ ปัจจยั ท่ตี ้องท�ำใหช้ าวเผา่ เมยี่ นตอ้ งยา้ ยถ่ิน จะมอี ยู่ ๒ ประเดน็ ๒ ๑) ทท่ี �ำกนิ การยา้ ยถิ่นเข้าส่ปู ระเทศไทยครั้งแรกของเม่ยี นกล่มุ ตา่ ง ๆ นัน้ จะเลอื กตัง้ ถิน่ ฐานท�ำมาหากนิ ตามไหล่เขา การปลูกพืชตามไหล่เขาน้ีท�ำให้เกิดการไหลชะของหน้าดินได้ง่าย ซึ่งท�ำให้ดินหมดความ อุดมสมบูรณ์ได้เร็ว ไร่ข้าวแปลงหน่ึงใช้ปลูกได้ผลไม่เกินระยะ ๒-๓ ปี โดยผลผลิตมิได้ลดลง หลังจาก ๒-๓ ปีแล้ว ข้าวก็จะได้ผลผลิตน้อยลง เมี่ยนจึงย้ายท่ีปลูกข้าว แต่อาจจะไม่ย้ายบ้านเรือนไปด้วยก็มี ดงั นน้ั เมยี่ นบางพน้ื ทจ่ี ะยา้ ยเฉพาะพนื้ ทป่ี ลกู ขา้ วเทา่ นน้ั หากทปี่ ลกู ขา้ วไมไ่ กลจากหมบู่ า้ นนกั กย็ งั คงตงั้ หม่บู ้านอยู่ที่เดมิ และนิยมสร้างบ้านชัว่ คราวไว้ในบริเวณใกลเ้ คยี งกลับทีป่ ลูกขา้ ว เมื่อดินในบริเวณหมู่บ้านหมดความอุดมสมบูรณ์ลงแล้ว เม่ียนก็มักจะย้ายไปอยู่ท่ีแห่งใหม่ ซง่ึ การยา้ ยอาจทำ� ไมพ่ รอ้ มกนั ทง้ั หมบู่ า้ น อาจยา้ ยเฉพาะผทู้ ไ่ี มม่ ที ที่ ำ� มาหากนิ ครง้ั ละ ๒-๓ หลงั คาเรอื น หรือย้ายกันไปเป็นกลุ่มเครือญาติพี่น้อง บางคร้ังอาจย้ายไปสมทบกับหมู่บ้านอ่ืน หรืออาจย้ายไปต้ัง หมู่บ้านแห่งใหม่ แบบยกกันไปทั้งหมู่บ้าน การย้ายถิ่นเนื่องจากปัจจัยด้านการท�ำมาหากิน ก็ยังมีอยู่ ประชากรเมยี่ นทยี่ า้ ยถนิ่ มสี าเหตเุ นอื่ งจาก ตอ้ งการหาทที่ ำ� มาหากนิ ทแ่ี หง่ ใหม่ ปญั หาทที่ ำ� กนิ เปน็ ปจั จยั ทส่ี �ำคัญ ท�ำให้เมี่ยนตอ้ งย้ายถน่ิ จากไป ๒) หนภี ยั การสรู้ บ การยา้ ยถน่ิ ของเมย่ี นครง้ั สำ� คญั เกดิ ขนึ้ หลงั พ.ศ.๒๕๑๐ เมอื่ มกี ารกอ่ การรา้ ย และการปราบปราม กลุ่มก่อการร้ายในพื้นที่ต่าง ๆ ตามชายแดนไทย-ลาว ซึ่งท�ำให้เม่ียนบริเวณที่มีการสู้รบต้องย้ายถิ่น เพ่ือหนีภัยก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ จึงเป็นส่วนส�ำคัญของการอพยพของเม่ียนนั้นเอง แต่ในปัจจุบันนี้ การย้ายถิน่ ฐานของเมยี่ นนัน้ ไมม่ แี ลว้ เนอ่ื งจากวา่ การยา้ ยถิ่นทท่ี ำ� กนิ น้นั เมยี่ นไมจ่ ำ� เปน็ ต้องยา้ ยแลว้ เปน็ เพราะวา่ เมย่ี นในสมยั นม้ี กี ารพฒั นาการทำ� มาหากนิ แบบยงั่ ยนื ไดแ้ ลว้ เมย่ี น จงึ ไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งไปหา ที่ท�ำกินแห่งใหม่แล้ว และเน่ืองด้วยวิวัฒนาการของเทคโนโลยีพร้อมด้วยสังคมที่พัฒนาไปเรื่อย ๆ สว่ นเรอื่ งการหนีรบของสงครามนนั้ เองด้วยสงครามเด๋ียวน้ีน้นั ไม่มีกบั เมีย่ นแลว้ อย่แู หง่ ไหนหนใดกไ็ ม่ จำ� เปน็ ต้องหนรี บอีกตอ่ ไป เม่ียนจงึ อยู่กันเป็นกลุ่มใหญ่ เราสามารถมองเห็นได้ง่าย ๆ นีเ่ อง การหนรี บ จึงเป็นแค่ช่วงทมี่ สี งครามเทา่ นนั้ ๒ เหยา ซนุ่ อนั . “เสน้ ทางอพยพของชาตเิ ยา้ .” ขา่ วสารศนู ยว์ จิ ยั ชาวเขา. ๙ (ฉบบั ท่ี ๔. ๒๕๒๘) : น. ๓๒
เมี่ยน (เยา้ ) Mien (Yao) 59 ลักษณะทีอ่ ยอู่ าศัย ชาวเม่ยี นนิยมสรา้ งบ้านในท่สี งู กวา่ ระดบั น�้ำทะเลประมาณ ๑,๐๐๐ -๑,๕๐๐ เมตร ปจั จุบนั ชาวเม่ียนบางกลุ่มอาศัยอยู่บริเวณพื้นราบ ท้ังน้ีข้ึนอยู่กับความสะดวกในการประกอบอาชีพและการ ปกครองของทางราชการ บ้านของเม่ียนมักหันหลังสู่เนินเขา หากอยู่พ้ืนราบมักหันหน้าออกสู่ถนน ผังบ้านเป็นรูปสี่เหล่ียมผืนผ้า ปลูกคร่อมดินมีห้องนอนแบ่งแยกย่อยเป็นหลายห้องภายในบ้าน พ่อแม่ แยกหอ้ งให้ลูกสาวเมอื่ เห็นว่าลกู เริม่ เป็นสาวแล้ว ทง้ั น้ีเพ่อื ความสะดวงในการเลือกคู่ของหญิงสาวตาม ประเพณีการเท่ียวสาว มีห้องครัวแยกออกไปอีกห้องหน่ึง และมีบริเวณห้องใหญ่เป็นที่โล่งมีแคร่หรือ เตียงไว้น่ังเล่น หรือส�ำหรับรับแขกท่ีมุมใดมุมหน่ึงของห้อง ในบ้านไม่มีหน้าต่างแต่มีประตูเข้าออก หลายทาง ประตูส�ำคัญท่ีสุดคือประตูผีหรือประตูใหญ่ เป็นประตูท่ีใช้ติดต่อกับวิญญาณหรือแสดง การเพม่ิ หรอื ลดสมาชกิ ทถี่ อื ผขี องตระกลู เมอื่ มพี ธิ ศี พและแตง่ งานกจ็ ะตอ้ งใชป้ ระตนู เ้ี ปน็ ทางออกประตู นี้เป็นทางออกและทางเข้าในเวลาปกติทุกคนสามารถเดินเข้าออกประตูนี้ได้ ประตูผีจะอยู่ตรงกันข้าม กับห้งิ ผีหรอื เม่ยี นเตีย้ ๓ กอ่ นจะสรา้ งบา้ นตอ้ งเอาดวงเกดิ ของหวั หนา้ ครอบครวั ไปดวู า่ ประตนู จ้ี ะตอ้ งหนั ไปทางทศิ ใด กจ็ ะตัง้ บา้ นตามทิศทางทีส่ อดคลอ้ งกับดวงของผูน้ �ำครอบครวั นั้น นอกจากนย้ี งั มีคอกหมู เรอื นเลีย้ งไก่ ยกพื้น โรงเกบ็ ขา้ วเปลือก ขา้ วโพด ซึง่ ยกพน้ื สูง ทสี่ �ำหรับเก็บฟืนและในบรเิ วณบา้ นจะปลูกพืชผกั สวน ครัวเล็ก ๆ บางบา้ นมคี อกมา้ วิถชี ีวิต การเกิด การต้ังครรภ์ เมย่ี นมคี วามเชอ่ื วา่ ระหวา่ งทท่ี ารกอยใู่ นครรภ์ ขวญั หรอื วญิ ญาณของเดก็ จะมไิ ดอ้ ยใู่ นทอ้ งแม่ แต่จะสิงสถิตอยู่ตามทีต่ า่ ง ๆ ในบ้าน และจะยา้ ยเปลย่ี นทไ่ี ปเรื่อย ๆ ในแตล่ ะเดอื น คือ เดอื นหน่ึงและ เดอื นเจด็ จะอยทู่ ป่ี ระตบู า้ น เดอื นสองกบั เดอื นแปดอยใู่ นเตาไฟ เดอื นสามและเดอื นเกา้ อยใู่ นครกตำ� ขา้ ว เดือนส่ีและเดือนสิบอยู่ในพื้นบ้านใกล้ศาลพระภูม (ห้ิงผี) เดือนห้าและเดือนสิบเอ็ดขวัญเด็กจะอยู่ท่ี เตยี งนอน เดือนหกและเดอื นสิบสองอยใู่ นร่างหรอื ทอ้ งแม่ เพื่อไม่ให้เกิดการแท้ง หรอื เกิดเภทภัยทีจ่ ะ ๓ ณฏั ฐวี ทศรฐ วีระพงศ์ มสี ถาน. สารานกุ รมกลุม่ ชาติพันธุ์เมี่ยน (เย้า). (กรุงเทพ : โรงพิมพ์ สหธรรมมกิ จำ�กดั , ๒๕๔๐). น. ๓๔.
60 ชนต่างวฒั นธรรมในประเทศไทย ท�ำให้เด็กพิการ จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษท่ีจะไม่ท�ำสิ่งใด ๆ มากระทบกระเทือนขวัญของเด็ก เชน่ ไมเ่ อามดี ไปสับครกตำ� ข้าว หรือไมร่ าดน�ำ้ ที่ประตู และไม่บกุ รุกเข้าไปในห้องนอนของหญิงมีครรภ์ เพราะสิ่งเหล่าน้ีจะทำ� ให้ขวัญของทารกหนหี ายไป๔ การคลอด หมอตำ� แยจะรอให้เดก็ ออกมาท้ังตวั แล้วจะดงึ รกมาวดั ใหย้ าวจากสะดือลงมาถึงหัวเข่าทารก แล้วเอาด้ายมามัดท่ีรกใกล้ ๆ กับสะดือ แล้วใช้ผิวไม้ไผ่ตัดรก ส่วนที่ตัดยังไม่หมด เมื่อรกของเด็กแห้ง แลว้ หลดุ ออกมา ใหน้ ำ� มาใสก่ ลอ่ ง หรอื กระบอกไมไ้ ผน่ ำ� มาเกบ็ ไวบ้ นทน่ี อน และอจุ จาระแรกของทารก จะตอ้ งเอามาหอ่ เกบ็ ไว้ หากมารดาเปน็ หญงิ ทยี่ งั ไมไ่ ดเ้ ขา้ พธิ แี ตง่ งาน เธอจะไมค่ ลอดลกู ในบา้ น จะตอ้ ง ไปคลอดในเพงิ คลอด ซง่ึ ทำ� เตรยี มไวท้ บ่ี รเิ วณหนา้ บา้ นหรอื ขา้ งบา้ น เมอื่ คลอดบตุ รเดก็ ทเี่ กดิ มาจะถอื วา่ ผใี หม้ า ซึ่งทกุ คนในครอบครัว ยินดีกบั สมาชิกใหม่นี้แตส่ �ำหรบั หญงิ ท่แี ตง่ งานแล้ว จะคลอดลกู ในหอ้ ง นอนของตน และถือว่าเป็นลูกคนโดยมีแม่ตัวเองหรือแม่สามีคอยดูแลช่วยเหลือ จากนั้นมารดาจึงอุ้ม เด็กออกกลางแจ้งเพื่อให้เด็กเห็นเดือนเห็นตะวันเป็นสัญญาณ ว่าทั้งมารดาและทารกปลอดจากสิ่งที่ คอยรังควาญทัง้ หลายแลว้ พอถึงวนั ดกี ็จะทำ� พิธีแจ้งวิญญาณบรรพบุรุษวา่ มีคนมาเกดิ เปน็ สมาชิกใหม่ ในครอบครัวแล้ว หลังจากการคลอดจะต้องฆ่าหมูเพ่ือมาเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ถ้ายังไม่มีพิธีเซ่นไหว้จะ ห้ามคนอื่นเข้าบ้านเด็ดขาด โดยจะแขวนเคร่ืองหมายห้ามเข้าทำ� ด้วยไม้ไผ่ท่ีประตูหน้าบ้านเพ่ือกันคน แปลกหนา้ ทอ่ี าจมาเหยยี บขวญั เดก็ และอาจทำ� ใหเ้ ดก็ กระจองอแงได้ หลงั คลอดมารดาจะตอ้ งอยไู่ ฟสกั ระยะหนงึ่ กอ่ น ระหว่างน้ีจะต้องกินแตอ่ าหารทส่ี ุกและร้อนควรเป็นไก่ตม้ สมุนไพรและข้าวแช่เท่าน้นั แมแ้ ตผ่ กั สดกไ็ ม่ควรทาน ในระยะ ๑๐ วนั แรก และในเดอื นแรกจะต้องไม่ท�ำงานหนกั หรือไป เข้าบ้านคนอ่ืนเขา เขาจะเจาะฝาห้องนอนเพื่อจะได้ไม่ต้องเดินเข้าออกประตูในบ้าน จนกว่าจะท�ำพิธี ปัดสิ่งคอยรังควาญเรียบร้อยแล้ว หลังจากน้ันอาจารย์ประกอบพิธีกรรมจะเลือกเอาวันดีท�ำพิธีตั้งช่ือ (ทิม เมยี่ น ค้)ู จะตอ้ งตัง้ ภายใน ๑๐ วัน หลงั คลอดเด็กแรกเกิดจนถึง ๑๒ ปี จะถือวา่ เปน็ วยั เดก็ ขวัญ ของเด็กเป็นแค่ เปี้ยง ถือเป็นขวัญที่ไม่ได้ผูกพันกับวิญญาณมากนัก เม่ือเด็กชายพ้นอายุ ๑๒ ปี และเดก็ หญิงอายุ ๑๔ ปี จึงถอื ว่าพ้นวัยเดก็ จะต้องทำ� พิธี ชวด เป้ยี ง เล่ยี ม เมือ่ ผา่ นพธิ นี ้แี ลว้ จึงถอื ว่า เปน็ วัยหนุม่ สาว และขวญั ของเดก็ (เปย้ี ง) จะถูกยกให้วิญญาณบรรพบุรุษของตระกูลรกั ษา และมีขวญั ของผูใ้ หญ่เรียกว่า เว่ิน แทน พธิ คี มุ้ ครองลูกและแม่ขณะตง้ั ครรภ์ ๑) ทำ� พิธีแจเ้ ซด (ป้องกันการเจ็บป่วย) ๔ มงคล จันทร์บำ�รงุ . เร่อื งของชาวเขา (เผ่าเย้า). เอกสารทางวิชาการประกอบการแตง่ ต้งั ให้ดำ�รงตำ�แหนง่ ผชู้ ำ�นาญการ พเิ ศษ, สถาบันวจิ ยั ชาวเขา จงั หวดั เชียงใหม,่ ๒๕๓๕.
เม่ยี น (เย้า) Mien (Yao) 61 ๒) ท�ำพิธบี นบานเพอ่ื ขอให้วิญญาณบรรพบุรษุ ชว่ ยคมุ้ ครองแมแ่ ละลกู ใหป้ ลอดภัย ๓) พิธีออนเปี่ยง (เพือ่ ปอ้ งกนั การแท้งลูก) การดูแลแมแ่ ละลกู หลังคลอด ๑) ท�ำพธิ สี าอุ๋ย (ท�ำท้ังตวั แม่และเดก็ ) ๒) ทำ� พธิ ที ิมเมยี่ นคู้ กรณคี ลอดในโรงพยาบาล เมอ่ื ถงึ บา้ นหา้ มนำ� เดก็ เขา้ ทางประตตู อ้ งเขา้ ทางหนา้ ตา่ ง หลงั คลอด ลูกตอ้ งนัง่ อยู่ทีข่ ้างเตาไฟ ๓ วนั ๓ คืน และตอ้ งตม้ ยาสมุนไพรอาบ เพ่ือเปน็ การขับสงิ่ สกปรกออกจาก ร่างกายและเป็นการสมานแผลไปด้วย ช่วงอยู่เดือนห้ามอาบน้�ำเย็นและอาหารท่ีสามารถรับประทาน ได้ตอ้ งต้มอย่างเดยี ว การตัง้ ชื่อ การต้งั ชือ่ ของเม่ียนเปน็ เรื่องส�ำคัญมาก เพราะช่ือของแตล่ ะคนนนั้ จะบอกถึงสถานภาพของ คนในครอบครัว หรือลักษณะเมื่อแรกเกิดและบ่งชี้ชัดว่าในชื่อหน่ึง ๆ จะบอกให้ทราบว่าเป็นหญิง หรอื ชาย เปน็ บตุ รคนทเ่ี ทา่ ไหร่ และเปน็ บตุ รของใคร รายละเอยี ดบางอยา่ งของเจา้ ของชอื่ ไปจนถงึ การ ตง้ั ชอื่ เพื่อเปลย่ี นสถานภาพในวงจรชวี ิต ตง้ั แตเ่ กดิ แตง่ งาน จนถึงตาย การต้งั ชอื่ จะแบ่งออกเป็นชาย และหญิง เช่น ผชู้ ายเมยี่ นมชี อ่ื ๓ ชื่อ คอื ๑) ช่ือเล็ก (ตั้งตอนเกิด) มีค�ำน�ำหน้าท่ีตั้งตามล�ำดับการเกิดก่อนหลัง หรือต้ังตามลักษณะ การเกิดและใช้พยางค์ท้ายของพ่อ มาเป็นพยางค์ท้ายของช่ือลูก เช่น เก๊า เป็นค�ำน�ำหน้าของลูกชาย คนโต และพอ่ ชอ่ื ชนุ เอ่ ลกู คนแรกกจะชอื่ วา่ เกา๊ เอ่ เปน็ ตน้ และลกู คนทสี่ องกช็ อื่ ไหน และซานรองลงมา ๒) ช่ือใหญ่ของชายเม่ียนตั้งโดย หมอผีหรือผู้รู้ขนบธรรมเนียม ชื่อนี้แสดงล�ำดับเครือญาติ ๔ ชวั่ คน เชน่ คนแซล่ คี นรนุ่ ท่ี ๑-๔ มชี อื่ เรม่ิ ตน้ วา่ เจยี ม ฝู หวา่ น และยนุ่ ตามลำ� ดบั และเมอ่ื คนรนุ่ ท่ี ๕ จะมีช่ือเร่มิ ตน้ เปน็ เจียม อกี ๓) ช่ือผีนั้นต้ังเม่ืออายุ ๑๒ ปี โดยหมอผี จะถามเทวดาสูงสุด (เมี้ยนฮูง) ว่าใครจะมีช่ือผีว่า อยา่ งไร ซึ่งเม่อื ตายไปจะต้องใช้ชอ่ื ผีน้ีเพยี งชือ่ เดียว และหากมีการเลยี้ งผี ผีจะมีหน้าที่ติดต่อกับผีบรรพบุรุษก็ต้องเรียกชื่อผีน้ี แต่ตอนที่มีชีวิตอยู่จะไม่ใช้ช่ือนี้เด็ดขาด ผหู้ ญงิ เมยี่ นมี ๒ ชอ่ื คอื ชอ่ื ตอนเกดิ และชอ่ื ผี ชอื่ ตอนเกดิ เชน่ เหมยหรอื หมวงเปน็ คำ� นำ� หนา้ ของลกู สาว คนโตและไหน ฟาม เฝยเปน็ ชอ่ื เรยี งลำ� ดบั รองลงมาสว่ นคำ� หลงั กจ็ ะใชพ้ ยางคห์ ลงั ของพอ่ มาเปน็ พยางค์ หลังของลูกชื่อผีนี้จะใช้ตามสามีคือ บอกว่าเป็นภรรยาของใคร (บอกช่ือผีของสามี) เพราะเมื่อผู้หญิง
62 ชนต่างวัฒนธรรมในประเทศไทย แต่งงานก็ต้องเปล่ียนมานับถือผีและใช้แซ่ของสามี เช่น ผู้หญิง ช่ือว่านางลายเจียวและช่ือผีของสามี ชอ่ื ฝา่ เย่า นางลายเจียวจะถูกเรียกชอ่ื ผีในพธิ ีกรรมวา่ ภรรยาของฝ่าเยา่ เด็กเม่ียนอาจจะมีชื่อเล่นหรือสมญานามที่ตั้ง เพ่ือแสดงเหตุการณ์ตอนเกิด หรือแสดง ความเอ็นดูและชื่อนี้อาจเปล่ียนไป หากเด็กป่วยกระเสาะกระแสะอาจเป็นเพราะพ่อแม่ต้ังช่ือนั้น ๆ เป็นกาฬกิณี และการต้ังชื่อเอาเคล็ดหรือตามสถานการณ์ เช่น คลอดในกระท่อมอาจชื่อว่า หลิ่วเซ็ง (หลวิ่ =กระทอ่ ม) จา้ ยเซง็ (จา้ ย=สดุ ทอ้ ง) ดจา่ น คำ� นำ� หนา้ ชอื่ สำ� หรบั เดก็ ปสั สวะราดขณะคลอดทง้ั หญงิ และชาย เลอ่ ว ค�ำนำ� หน้าสำ� หรับเด็กท่ีคลอดกลางทางระหว่างกลบั จากไร่ หรอื ไปโรงพยาบาลท้ังหญิง และชาย เฉง ค�ำน�ำหน้าชื่อเด็กที่เกิดมามีสายสะดือพันคอ ท้ังหญิงและชาย ก้อยหรือเหยี่ยน ในกรณี ที่มีลูกสาวจนพอแล้วอยากได้ลูกชาย เม่ียนมักจะใช้ชื่อก้อยหรือเย่ียนมาต้ัง ซึ่งก้อยหรือเยี่ยนหมายถึง เปลยี่ นหรือแลก การแต่งงาน การเลือกคคู่ รอง (หล่อเอา๊ โกว)่ เมอ่ื เรมิ่ เปน็ หนมุ่ เปน็ สาว อายปุ ระมาณ ๑๕ ปขี นึ้ ไป กเ็ รม่ิ จะหาคคู่ รอง ในการเลอื กคคู่ รองนน้ั เผา่ เมยี่ น ฝา่ ยชายจะเปน็ ฝา่ ยเขา้ หาฝา่ ยหญงิ หนมุ่ สาวเมยี่ นมอี สิ ระในการเลอื กคคู่ รอง หนมุ่ อาจจะเขา้ ถงึ ห้องนอนเพยี งคืนเดยี ว หรอื ไปมาหาสู่อยเู่ รื่อย ๆ ถ้าทางฝ่ายสาวไม่ขดั ขอ้ งก็ยอ่ มไดเ้ สรี ในการเลือก คู่ของเม่ียนมีขอบเขตอยู่เพียง ๒ กรณีเท่านั้น คือ ควรแต่งกับคนต่างแซ่ หรือบางทีคนแซ่เดียวกัน ถ้าชอบพอกันก็สามารถอนุโลมได้ไม่เข้มงวดมากนัก แต่ที่เข้มงวด คือ ดวงของหนุ่มสาวท้ังสองต้อง สมพงษก์ ัน โดยท่วั ไปแลว้ พี่ควรจะแตง่ กอ่ นนอ้ ง หากน้องจะท�ำการแต่งก่อนพี่ ก็ต้องจา่ ยคา่ ท�ำขวัญให้ กบั พที่ ย่ี งั ไมไ่ ดแ้ ตง่ งาน เมอ่ื ทงั้ สองฝา่ ยมคี วามรกั ตอ่ กนั ฝา่ ยชายจะเปน็ ฝา่ ยไปบอกพอ่ แมห่ รอื เครอื ญาติ มาติดตอ่ สู่ขอตามประเพณตี ่อไป๕ การสขู่ อ (โท้น่ินแซง) เมอื่ หนมุ่ ตกลงปลงใจจะแตง่ งานกบั สาวใดแลว้ ฝา่ ยชาย จะตอ้ งหาใครไปสบื ถามเพอื่ ขอทราบ วนั เดือน ปีเกดิ ของฝ่ายหญิง ถ้าพอ่ แม่ฝา่ ยหญงิ ยินยอมบอกกแ็ สดงวา่ พวกเขายอมยกให้ หลงั จากนัน้ กจ็ ะน�ำเอาวนั เดอื น ปี เกดิ ของหนุม่ สาวคนู่ ั้น ไปให้ผชู้ �ำนาญเรอื่ งการผูกดวงผชู้ �ำนาญผกู ดวง จะดวู า่ ทงั้ คมู่ ดี วงสมพงศก์ นั หรอื ไม่ ถา้ ดวงไมส่ มพงศก์ นั ฝา่ ยชายจะไมม่ าสขู่ อ พรอ้ มแจง้ หมายเหตใุ หฝ้ า่ ยหญงิ ๕ มงคล จันทร์บำ�รงุ . ประเพณีการแต่งงานของชาวเขาเผ่าเย้า. (เชียงใหม่ : สถาบันวิจยั ชาวเขา, ๒๕๒๘). น. ๓๔-๔๗. (โรเนียว)
เมีย่ น (เย้า) Mien (Yao) 63 ทราบ เม่ือดูแล้วถ้าเกิดดวงสมพงศ์กัน พ่อแม่จึงจัดการให้ลูกได้สมปรารถนา เริ่มด้วยการส่งส่ือไปนัด พอ่ แม่ฝา่ ยสาวว่า ค�่ำพรุ่งน้ีจะส่งเถา้ แก่มาสู่ขอลูกสาว แล้วพอ่ แมฝ่ ่ายหญิงจะต้องจดั ข้าวปลาอาหารไว้ รบั รอง ระหวา่ งทด่ี มื่ กนิ กนั นนั้ เถา้ แกก่ จ็ ะนำ� กำ� ไลเงนิ หนง่ึ คู่ มาวางไวบ้ นสำ� รบั เมอื่ เวลาดม่ื กนิ กนั เสรจ็ สาวเจา้ เขา้ มาเกบ็ ถว้ ยชาม หากสาวเจ้าตกลงปลงใจกับหนมุ่ กจ็ ะเกบ็ กำ� ไลไว้ หากไม่ชอบก็จะคนื กำ� ไล ใหเ้ ถ้าแก่ ภายใน ๒ วัน เถา้ แกจ่ ะรออยดู่ ูให้แน่ใจแลว้ วา่ สาวเจ้าไม่คนื กำ� ไลแลว้ เถา้ แก่จงึ นดั วนั เจรจา เมือ่ ถงึ เวลาซ่ึงวนั เดินทางไปนี้สำ� คัญมาก เพราะมขี ้อห้าม และความเช่ือในการเดินทางหลายอยา่ ง เช่น ขณะเดินทาง ระหวา่ งทางหากพบคนกำ� ลงั ปลดฟืนลงพน้ื สตั วว์ ่ิงตัดหน้า ไม้กำ� ลงั ลม้ คนลม้ ฯลฯ สิ่งเหล่าน้ี คือ สง่ิ ที่สอ่ ไปในทางทไ่ี ม่ดจี ะไม่มีโชคตามความเช่อื แต่ถา้ ไม่พบสิ่งเหล่านีร้ ะหว่าง ทางก็สามารถเดินทางไปบ้านฝ่ายหญิงได้ และถ้าไปถึงบ้านฝ่ายหญิง แล้วพบสาวเจ้าก�ำลังกวาดบ้าน หรอื พบคนก�ำลงั เจาะรางไม้ หรือเตรียมตวั อาบน้ำ� อยู่ พ่อแม่ของฝ่ายชายก็จะเลิกความคิดทจี่ ะไปสูข่ อ เหมอื นกนั เพราะเชอ่ื วา่ เปน็ สง่ิ ไมด่ จี ะทำ� ใหค้ บู่ า่ วสาวตอ้ งลำ� บาก เมอื่ พอ่ แมฝ่ า่ ยชายเดนิ ทางไปถงึ บา้ น ฝ่ายหญิงโดยไม่ได้พบอุปสรรคใด ๆ แล้วครอบครัวของฝ่ายชายจะต้องน�ำไก่ ๓ ตัว ไก่ตัวผู้ ๒ ตัว และไก่ตัวเมีย ๑ ตัว แล้วน�ำไก่ตัวผู้ ๑ ตัวมาปรุงอาหาร เพื่อเป็นการสู่ขอ แล้วร่วมกันรับประทาน พ่อแมฝ่ า่ ยหญงิ จะเชญิ ญาตอิ ยา่ งนอ้ ย ๒-๓ คน มารว่ มเปน็ พยาน ระหวา่ งทรี่ บั ประทานอาหารกนั อยนู่ น้ั ก็เร่ิมเจรจาค่าสินสอดตามประเพณี ซ่ึงส่วนใหญ่ ค่าสินสอดจะก�ำหนดเป็นเงินแท่งมากกว่า หรือบาง คร้ังอาจจะใช้เงินก็ได้ตามฐานะ ส�ำหรับไก่อีก ๒ ตัว หลังจากฆ่าแล้วจะน�ำมาเซ่นไหว้บรรพบุรุษของ ตระกลู ทง้ั สองฝา่ ย เพื่อเป็นการแจ้งให้บรรพบุรุษทั้งสองฝ่ายให้รับรู้ในการหมั้น พร้อมท้ังฝ่ายชายจะมอบด้าย และผา้ ทอหรอื อปุ กรณใ์ นการปกั ชดุ แตง่ งานไวใ้ ชส้ ำ� หรบั งานพธิ แี ตง่ ใหก้ บั ฝา่ ยหญงิ เพอื่ ใชป้ กั ชดุ แตง่ งาน เจ้าสาวจะต้องปักชุดแต่งงานให้เสร็จจากอุปกรณ์ที่ฝ่ายชายเตรียมไว้ในตอนหม้ันและเจ้าสาวจะ ไม่ท�ำงานไร่ จะอยู่บ้านท�ำงานบ้านและปักผ้าประมาณ ๑ ปี ส่วนเจ้าบ่าวต้องเตรียมอาหารที่จะใช้ เล้ียงแขกและท�ำพิธีกรรมเช่น หมู ไก่ และจัดเตรียมเคร่ืองดนตรี จัดบุคคลที่จะเข้าท�ำพิธีกรรม ทางศาสนา และอปุ กรณก์ ารจดั งานทว่ั ไป หลงั จากหมนั้ แลว้ บา่ วสาวจะอยดู่ ว้ ยกนั ทบ่ี า้ นฝา่ ยใดกไ็ ดแ้ ลว้ แตจ่ ะตกลงกนั พธิ ีแตง่ งานใหญ่ (ตม่ ช่ิง จา) พิธีน้ีเป็นพิธีใหญ่ซึ่งจะต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูง คนท่ีจัดพิธีใหญ่นี้ส่วนมากจะเป็นผู้ที่มีฐานะดี จะใชเ้ วลาในการทำ� พธิ ี ๓ คนื ๓ วัน ซ่ึงจะตอ้ งใช้เวลาเตรียมงานกนั เปน็ ปี คือ ตอ้ งเล้ยี งหมู เลี้ยงไกไ่ ว้ ให้พอกับการเลย้ี งแขก
64 ชนตา่ งวฒั นธรรมในประเทศไทย ๑) วนั แรก ฝา่ ยเจ้าบ่าวจะจัดคนไปรับเจา้ สาวต้งั แต่กอ่ นเชา้ โดยจะมีคนเตรียมบรรเลงเพลงประกอบไป ดว้ ย ฝา่ ยเจา้ บา่ วจะจดั เตรยี มสถานทโี่ ดยการจดั มา้ นง่ั เปน็ วงกลมไว้ และขบวนของเจา้ สาวนน้ั จะมี ๑ คน ถอื ปลายผา้ เชด็ หนา้ เพอ่ื จงู มอื เจา้ สาวซงึ่ อาจเปน็ นอ้ งของเจา้ สาว สว่ นนอ้ งชายของเจา้ สาวอกี คนหนงึ่ จะท�ำหน้าท่ีแบกสัมภาระของเจ้าสาวที่จะต้องน�ำมาใช้ในบ้านเจ้าบ่าว อีกคนจะมีหน้าท่ีกางร่มให้ เจ้าสาว เพื่อนเจ้าสาวแต่ละคนจะแต่งตัวด้วยชุดชนเผ่าเต็มยศเช่นกัน เม่ือขบวนของเจ้าสาวมาถึง จะยงั ไมไ่ ดน้ งั่ จะใหย้ นื อยกู่ ลางวงกอ่ น โดยจะมเี พอื่ นเจา้ สาวสองคนคอยยนื ลอ้ มรอบเจา้ สาว วงดรุ ยิ างค์ จะเลน่ ดนตรวี นทง้ั ๓ คน แลว้ จะแห่สอดแทรกเข้าไปรอบ ๆ เจา้ สาว และท�ำความเคารพ โดยคำ� นับ ๓ ครง้ั ฝ่ายเจา้ สาวจะโค้งค�ำนับตอบ ๓ ครัง้ เชน่ เดยี วกัน จะค�ำนบั ทง้ั หมด ๔ รอบ จงึ จะหยดุ ระหวา่ งนน้ั ฝ่ายต้อนรับจะนำ� เอาน้�ำชา เหล้า บหุ รม่ี าเพอ่ื เปน็ การตอ้ นรับ และขอบคณุ แขก ท่ีมาร่วมงาน จากน้ันก็น�ำน้�ำร้อนท่ีได้เตรียมไว้เพื่อให้แขกล้างหน้า พอแขกล้างหน้าเสร็จ จะเอา ผ้าเช็ดหน้าท่ีตัวเองล้างเอากลับไปบ้าน พร้อมกับวางเงินไว้ในถาดจะเท่าไหร่ก็ได้เพ่ือเป็นธรรมเนียม เสร็จแล้วก็ร่วมรับประทานอาหารท่ีได้จัดไว้ ระหว่างนั้นเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวจะยกน�้ำชาเหล้าไปให้แขก รอบงาน พอมอบให้แขกแล้วเมื่อแขกด่ืมเสร็จจะวางเงินไว้ในถาด เท่าไหร่ก็ได้เพื่อเป็นธรรมเนียม จากน้ันจะแยกกันไปผักผ่อนตามท่ีพักท่ีทางฝ่ายเจ้าบ่าวได้จัดไว้ ส่วนเจ้าสาวจะยังไม่ได้เข้าไปในบ้าน ของเจา้ บ่าว โดยฝ่ายเจ้าบ่าวจะทำ� เพงิ พักใหก้ บั เจา้ สาว ท่ีพกั ของเจา้ สาวนน้ั จะนยิ มสรา้ งหา่ งจากบา้ น เจา้ บา่ วประมาณ ๒๐ เมตร จนกว่าจะถงึ ฤกษท์ ่ีได้กำ� หนดเอาไว้ คอื วนั พรงุ่ น้ี ๒) วันทส่ี อง เจา้ สาวจะตอ้ งตน่ื นอนแตเ่ ชา้ มดื เพอื่ เตรยี มตวั ทำ� พธิ ตี ามขน้ั ตอน แลว้ เขา้ บา้ นเจา้ บา่ ว การเขา้ มาในบ้านนน้ั จะต้องเขา้ ทางประตใู หญ่ พอเสรจ็ พิธกี รรมอะไรแลว้ ก็มกี ารด่มื กินกันทั่วไป ๓) วนั ทีส่ าม จะเป็นการกินเลี้ยงส่วนใหญ่จะฉลองอย่างเดียวจะไม่ค่อยมีพิธีกรรมอะไรมาก นอกจากการ บรรเลงตนตรี เปา่ ปี่ ตีกลองให้งานสนกุ สนานรน่ื เรงิ กลางคืนเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะออกมายกน�้ำชาให้กับ แขกทีม่ ารว่ มงานกเ็ ป็นอันวา่ เสร็จพธิ ี พธิ แี ตง่ งานเลก็ (ชิ่งจาตอน) พิธีต่าง ๆ จะเป็นการกินเล้ียงฉลองอย่างเดียวไม่มีพิธีกรรมอะไรมาก จะใช้เวลาท�ำพิธีเพียง วนั เดยี ว เจา้ สาวไมต่ อ้ งสวมท่คี มุ ทม่ี ีนำ้� หนกั มาก และพิธเี ลก็ นไ้ี มต่ ้องสิ้นเปลอื งคา่ ใชจ้ ่ายมาก จุดสำ� คญั ของการแต่งงานของเมี่ยน คือ ตามท่ีเจ้าบ่าวตกลงสัญญาจ่ายค่าตัวเจ้าสาวกับพ่อแม่ของเจ้าสาวไว้
เม่ียน (เยา้ ) Mien (Yao) 65 เพื่อเป็นการทดแทนท่ีได้เล้ียงดูเจ้าสาวมา และฝ่ายเจ้าบ่าวจะต้องบอกวิญญาณบรรพบุรุษของตนเอง ยอมรับ และช่วยคุ้มครองเจ้าสาวด้วย ประการสุดท้ายเจ้าบ่าวและเจ้าสาวจะต้องดื่มเหล้าที่ท�ำพิธี แล้วร่วมแก้วเดียวกัน การแต่งงานของเม่ียนน้ันจะต้องท�ำตามประเพณีทุกข้ันตอนอย่างพิถีพิถัน และเปน็ ไปในลกั ษณะท่ีใหเ้ กยี รติซึง่ กันและกนั ทั้งสองฝา่ ย การตาย ก่อนที่ผู้ชราเมี่ยนจะส้ินลมบรรดาลูกชายจะต้องชุมนุมกันพร้อมหน้า และผลัดกันยกศีรษะ บดิ าคนละสามครงั้ พรอ้ มกบั กลา่ ววา่ ไปดเี ถอะพอ่ เพอื่ ใหบ้ ดิ าไดต้ ายอยา่ งสขุ สงบ ทนั ทที สี่ นิ้ ลมลกู ชาย คนโตจะปดิ ตาผตู้ ายใหส้ นทิ และใสเ่ หรยี ญเงนิ หรอื กอ้ นเงนิ ไวใ้ นปากศพ ตามความเชอ่ื วา่ การทำ� เชน่ จะ ทำ� นใี้ หผ้ มี ปี ากทม่ี คี า่ และจะพดู แตว่ าจาทไี่ พเราะซอื่ ตรง จากนนั้ จงึ จดั การอาบนำ�้ ศพและแตง่ ตวั ศพให้ เรียบรอ้ ย และนำ� ไปไว้บนฟากตง่ั หนา้ ศาลบรรพชนซ่ึงใหเ้ ท้าชีไ้ ปทางประตใู หญ๖่ สงิ่ แรกทคี่ วรทำ� คอื ยงิ ปนื ๓ นดั กอ่ นทจ่ี ะสนิ้ ลม เพอ่ื เปน็ การสง่ วญิ ญาณของผตู้ ายและเปน็ การ แจ้งให้ผู้อื่นทราบ ชาวบ้านจะหยุดท�ำไร่นา และจะส่งผู้ช่วยมาช่วยจัดงานบ้านละ ๑ คน แล้วบรรดา ญาตมิ ติ รกป็ ระชมุ กนั เพอ่ื จดั งานศพเตรยี มเงนิ กงเตก็ (เงนิ ผหี รอื กระดาษ) ลม้ หมู และเตรยี มขา้ วเตรยี ม เหลา้ ไว้ ใหพ้ อเลยี้ งแขกทมี่ าชว่ ยงาน คนในบา้ นจะสง่ ผใู้ หญ่ ๑ คน เพอ่ื หาอาจารยม์ าประกอบพธิ กี รรม เมอื่ หาอาจารยป์ ระกอบพธิ ไี ดแ้ ลว้ อาจารยผ์ ปู้ ระกอบพธิ กี รรมจะเลอื กบรุ ษุ ๖ คนเพอื่ มอบหมายใหท้ ำ� โลงศพ กอ่ นออกจากบา้ นชา่ งทำ� โลงศพเหลา่ นจ้ี ะบอกคนตายใหท้ ราบวา่ จะไปทำ� อะไร และขอใหผ้ ชี ว่ ย ในการเลอื กไมม้ าท�ำโลงด้วย เมื่อน�ำโลงที่ท�ำเสร็จแล้วกลับเข้ามาในหมู่บ้าน ก็จะต้องตะโกนเข้าไปในบ้านผู้ตายว่า มีใคร ต้องการบา้ นไหม คนในบ้านก็จะต้องรีบตอบกลบั ไปว่ามคี นตอ้ งการบา้ นจริง ๆ จะขายเทา่ ไหร่ แม้วา่ จะไม่มีการจ่ายเงินซื้อ ขายโลงกันจริง ๆ แต่ก็จะต้องแสร้งท�ำเป็นต่อตามราคากันให้ครบขบวนการ แลว้ จงึ นำ� โลงเขา้ ประตใู หญ่ ผปู้ ระกอบพธิ จี ะใชม้ ดี เคาะโลงหลายครงั้ พรอ้ มกบั พรมนำ�้ มนต์ ขณะกลา่ ว ไล่ผีร้ายซ่ึงแอบซ่อนอยู่ในเน้ือไม้ แล้วจึงจะบรรจุศพและปิดฝาโลง ผู้ประกอบพิธีจะพากย์การกระท�ำ ทุกขัน้ ตอนให้ผู้ตายไดร้ ับรู้ว่าเขากำ� ลังท�ำอะไรกัน กอ่ นเรมิ่ บทสำ� คญั ของพธิ กี รรม บรรดาผปู้ ระกอบพธิ แี ละบรรดาญาติ ๆ จะตอ้ งไวท้ กุ ขศ์ พดว้ ย การสวมผ้าคลุมศีรษะสีขาว พิธีงานศพมี ๓ วัน ๓ คืนจะเริ่มเตรียมการเมื่อวันรุ่งข้ึนของวันท่ีตาย การประกอบพิธีจะด�ำเนินตามขบวนการเร่ือย ๆ มีตอนหน่ึงท่ีผู้ประกอบพิธีต้องวิ่งออกนอกบ้าน ๖ ชนเม่ยี น/เย้า http:www.lisulodge.com/html/Mien.html เข้าถึงวนั ท่ี ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๘
66 ชนตา่ งวัฒนธรรมในประเทศไทย และกระโดดขาเดียวกลับเข้ามาในบ้าน โดยมีหุ่นกระดาษหลายตัวผูกติดเท้าข้างท่ียกด้วยเชือกฟาง หุ่นกระดาษเหล่านี้ถือว่าคือขวัญทั้งหลายท่ีเคยสถิตอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ในร่างผู้ตาย เม่ือยังมีชีวิตอยู่ ผปู้ ระกอบพธิ จี ะโยนไมท้ รง ๓ ครงั้ ตอ่ หนุ่ แตล่ ะตวั เพอ่ื พสิ จู นว์ า่ ตวั ไหนบา้ งทชี่ ว่ั รา้ ย แลว้ ผปู้ ระกอบพธิ ี จะแทงหนุ่ ตัวร้ายดว้ ยดาบไม้ แลว้ ส่งต่อใหผ้ ้ชู ว่ ยผู้ประกอบพธิ เี ฆย่ี นตามธรรมเนียม แลว้ จากนน้ั จึงน�ำ ไปใส่เรือซึ่งท�ำด้วยใบตองวางรออยู่ท่ีระหว่างหิ้งผีกับประตูใหญ่นอก เพื่อให้ผู้ตายรู้ว่าได้แตกแยกจาก โลกมนุษย์สู่ปรโลกแล้ว หลังจากนั้นก็ลากเรือออกทางประตูใหญ่ไปปล่อยลงทะเล ซึ่งค�ำว่าทะเลใน ความหมาย คือ ป่านอกเขตหมู่บ้านแล้วเผาเสีย (ท่ีใช้เรือเช่ือกันว่า วิญญาณร้ายสามารถเดินทางบก กลบั มาได้ แตไ่ มส่ ามารถขา้ มนำ�้ มาได)้ บทสวดศพทผ่ี ปู้ ระกอบพธิ รี า่ ยนนั้ เตม็ ไปดว้ ยขอ้ ความรอ้ งขอให้ วิญญาณของผู้ตายได้เข้าร่วมภพกับบรรพชนท้ังหลาย ในตอนท้ายของพิธีกรรมจึงได้ปลดแถบยาว ซ่ึงแขวนอยู่เหนือเทวภาพท้ังหลายออก ใช้เป็นสะพานโดยวางพาดกับบันไดปลายข้างหน่ึง ติดกับโลง ศพอีกข้างหนึ่ง ติดกับผ้าสีฟ้าซึ่งดึงทะลุหลังคาไป ผูกกับปลายไม้ไผ่ล�ำยาวสูงลิ่ว ผู้ประกอบพิธีจะปีน บันไดขึน้ ไปส่งวญิ ญาณถึงหลงั คาส่ังเสยี อำ� ลา และแนะนำ� ขัน้ ตอนการเข้าอยู่ ในภพใหมอ่ ยา่ งแจม่ แจง้ ในวนั ที่ ๓ คอื วนั เผาศพ เมอื่ เสรจ็ พธิ ใี นบา้ นแลว้ กไ็ ดเ้ วลาทผ่ี ปู้ ระกอบ พิธจี ะตอ้ งทดสอบด้วยไมท้ รง ให้แนใ่ จแล้วว่าผตู้ ายจะเข้าร่วมภพบรรพชนไดห้ รอื ยัง หากได้ก็จะใหย้ ก โลงศพออกจากบ้านทางประตใู หญ่ในขณะทยี่ ิงปืนขนึ้ หลาย ๆ นดั ผู้ประกอบพธิ ี และวงดรุ ิยางค์จะนำ� ขบวนศพไปสปู่ า่ ชา้ ทเี่ ผาประจำ� หมบู่ า้ น ญาตผิ ชู้ ายจะชว่ ยกนั หามโลงศพตามหลงั ดรุ ยิ างค์ แลว้ ญาติ ๆ ทเ่ี ดนิ ตามหลงั ขบวนจะจดุ ประทดั พรอ้ มโยนกระดาษตามทางปา่ ชา้ จะอยทู่ า้ ยหมบู่ า้ น เวลาขบวนศพผา่ น หนา้ บ้านจะครึกครื้นมาก ผู้ใหญ่จะคอยบอกเด็กทอี่ ยบู่ า้ น หรือรมิ ถนนต้องคอยเรยี กขวัญตวั เองให้อยู่ กบั ตวั พรอ้ มกับนำ� เส้นฟางข้าวมัดติดตวั เพราะเชือ่ ว่าผีจะได้ร้วู ่าคนละภพกัน และทเ่ี รยี กขวัญเพราะ กลวั วา่ ขวัญเด็กจะตามไปดว้ ย เน่ืองจากขวญั เด็กเปน็ ขวัญที่ออ่ น เมอื่ ไปถงึ แล้วตง้ั ศพเพ่ือทีจ่ ะเผาแล้ว ญาตผิ ู้หญงิ ทสี่ นทิ ซึ่งน�ำพอ่ ไก่มาดว้ ยในขบวนกจ็ ะอุม้ ไก่ เวียนรอบโลงศพ ๓ รอบ เช่ือว่าได้ถ่ายทอดขวัญของผู้ตายไว้แล้ว จากน้ันเขาจะน�ำไก่กลับหมู่บ้าน เพื่อท�ำพิธี และจะปล่อยภายใน ๓ วันหลังวันเผา ผู้ประกอบพิธีจะท่องคาถาส่งท้าย พร้อมยืนบนโลง ศพขณะท่ผี ูช้ ว่ ยผู้ประกอบพธิ คี นอน่ื ๆ รา่ ยรำ� รอบ ๆ โลงศพ แลว้ พอท่องคาถาจบผู้ประกอบพธิ ีจึงลง จากโลงศพ แลว้ หนั หลงั ใหศ้ พพรอ้ มจดุ ไฟทมี่ มุ ทง้ั สข่ี องโลงศพพอเพลงิ ลกุ ดแี ลว้ ทกุ คนจงึ เดนิ กลบั โดย ห้ามหันหลังกลับไปทางท่ีเผาศพ เพราะเช่ือว่าเดี๋ยววิญญาณคิดว่ายังไม่หมดเยื่อใยแล้วจะคอยตามมา รังควาญ และมีผู้ประกอบพิธีจะเดินร้ังท้าย พร้อมอธิษฐานให้ประตูหมู่บ้านปิดก้ันภูตผีมิให้เข้าไปรัง ควาญ ชาวบ้านในยามราตรี หากวิญญาณของคนตายมาเข้าฝันญาติพ่ีน้อง เชื่อกันว่าเป็นเพราะมีสิ่ง บกพร่อง ในการท�ำพิธีศพ หรือวิญญาณน้ันหิวก็ต้องรีบจัดการเซ่นไหว้โดยเร็ว หลังจากเผาไว้วันน้ัน
เม่ยี น (เยา้ ) Mien (Yao) 67 พอวันรุ่งขึ้นแต่เช้าตรู่ ผู้ประกอบพิธีและญาติผู้ชายจะกลับไปเก็บกระดูก โดยใช้ตะเกียบไม้ไผ่เก็บอัฐิ ใสโ่ อง่ เลก็ ๆ ทเ่ี ตรยี มไวแ้ ลว้ นำ� ไปฝงั ทท่ี ส่ี งบ หรอื ทที่ ว่ี ญิ ญาณคนตายอยากอยู่ โดยเมอ่ื ไปถงึ ทที่ สี่ งบแลว้ จะตอ้ งน�ำไก่ ๑ ตัว และไข่ดิบ ๑ ฟอง เม่ือผ้ปู ระกอบพธิ ที ่องคาถาเพือ่ จะถามวญิ ญาณ ขณะน้นั ก็โยน ไข่ไปดว้ ย เมือ่ ไข่แตกท่ีไหนก็แปลวา่ ให้นำ� กระดกู ไปฝงั ท่นี ้ัน จากน้นั กฆ็ ่าไกท่ �ำพิธีแล้วรับประทานท่ีนัน้ เป็นอันว่าเสร็จพิธี แตถ่ ้าเกดิ ว่าไข่ท่ีโยนไมย่ อมแตกกแ็ ปลวา่ ตอ้ งเปล่ียนทใ่ี หม่ เพราะวา่ วญิ ญาณคนตายไมอ่ ยาก อยู่ที่นั่น จึงต้องโยนไปเรื่อย ๆ จนกว่าไข่จะแตก ต้องไหว้กระดูก ๓ ครั้ง แต่ละครั้งจะห่างกัน ๑ ปี วญิ ญาณของผตู้ ายถา้ บรสิ ทุ ธิ์สามารถอัญเชญิ ไปสงิ่ สถิตทหี่ ิ้งบชู าผีในบา้ นได้ แต่สำ� หรบั เด็กท่ีเสยี ตอน อายุต้ังแต่ ๑๒ ปีลงไป คือ เด็กที่ยังไม่ชวด เปี่ยงเล่ียม (เปี่ยงเล่ียม คือ เด็กเล็กที่เหมือนดอกไม้แต่ยัง ไม่บาน) หลังอาบน�้ำศพแล้วพ่อแมจ่ ะมีการหมายปานไว้ เพื่อเกิดมาจะมีปานแดงหรือด�ำตามที่หมายไว้ สามารถลงผีดูไว้ว่าชาติก่อนเป็นลูกของเรา หรือไม่ การประกอบพธิ ีจะใช้อาจารยผ์ ปู้ ระกอบพธิ ีเลก็ ก็ได้ ในการท�ำพิธจี ะมกี าร (เส่ียงจา่ ฟนิ ) ชว่ ยสง่ วิญญาณให้อยู่ในดอกไม้ ดแู ลดอกไม้จนดอกไม้บานวิญญาณก็จะไดไ้ ปเกดิ ใหม่ วิญญาณจะยังไม่เปน็ ผี จะอยู่สวนดอกไม้เพ่ือรอเกิด เช่ือว่าสามารถเกิดกับพ่อแม่เดิมได้ ส�ำหรับศพของเด็กผู้ชายท่ีไม่ได้ผ่าน การบวชหรือศพของ ผู้ตายเกิดจากสาเหตุผิดปกติ ไม่จ�ำเป็นต้องพิถีพิถันในการเลือกที่ฝังมากนัก เพราะสว่ นใหญจ่ ะฝงั มากกว่าเผา ประเพณแี ละความเช่อื ๑. เมี่ยนฝัง (ภาพวาด) ภาพวาดในพิธีกรรมศักดิ์สิทธ์ิ ภาพวาดในพิธีกรรม “เมี้ยนฝัง” ของเมี่ยนเป็นภาพบนม้วน กระดาษตามแบบศาสนาพุทธ ลัทธิเต๋า ภาพน้ีใช้ในพิธีกรรมต่าง ๆ หลายอย่าง โดยเมี่ยนจะน�ำมาติด กับฝาบ้านในบริเวณท่ีท�ำพิธี หรืออาจจะแขวนไว้นอกบ้านเฉพาะในบางพิธีกรรมก็ได้ ภาพเหล่านี้เป็น ภาพวาดในลัทธิเต๋าแบบจีน ตามส�ำนักเต๋าที่เมี่ยนรับมานับถือ ภาพวาดเหล่านี้ส่วนหนึ่งถูกวาดให้มี ลักษณะเป็นแบบเม่ียน เพื่อให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมความเป็นเม่ียน ภาพวาดของผีบรรพบุรุษ (เจี๋ยฟิน) และห้ิงผีใหญ่ (ต้มหอยฟาน) จะมีคนเมี่ยนอยู่หลายจุด อีกภาพหน่ึงของเม่ียนที่มีขนาดเล็ก กวา่ แสดงให้เหน็ พ่านฮุง่ ซ่งึ เปน็ บรรพบรุ ุษของเมี่ยนเอง ภาพวาดในพธิ ีกรรมทางศาสนาของเมีย่ นจะทำ� ความเข้าใจได้ง่าย ถึงแมว้ า่ ภาพวาดของเม่ยี น จะแสดงลักษณะของเทพยดาเหมือนกับลัทธิเต๋า แต่ภาพวาดของเม่ียนเป็นไปตามกฎท่ีเข้มงวดซ่ึงจะ
68 ชนต่างวฒั นธรรมในประเทศไทย ท�ำให้เข้าใจง่ายข้ึน ภาพวาด “เม่ียนฝัง” ของเม่ียน ครบชุดจะต้องประกอบด้วยภาพวาดหลักจ�ำนวน ๑๗ ภาพ ภาพวาดหลกั เหล่าน้ี จะเปน็ ไปตามลำ� ดบั ของเทพยดาท่กี �ำหนดไว้อย่างชดั เจน และยังมภี าพ “ซานหยวน” หรือ “ซานควร” อกี ๒ ภาพ ภาพวาดที่สมบูรณ์จะประกอบดว้ ยภาพเลก็ อีก ๔๗ แบบ แบบแรก จะวาดบนกระดาษยาวจ�ำลอง เป็นสะพานเพ่ือให้วิญญาณข้ามสะพานนี้ เรียกว่า สะพานมงั กร แบบท่ี ๒ เป็นหน้ากาก กระดาษรปู สเี่ หล่ยี มจัตุรัส ๔-๕ แผน่ (ใช้ติดกบั หนา้ ผาก) แบบที่ ๓ เป็นมงกุฎกระ เป็นตัวแทนองค์ผู้บริสุทธ์ิท้ังสาม เกียมกุย และมีภาพขนาดเล็ก อกี ๒ ภาพรวมอย่ดู ้วย คือ แห้งเฝย จจุ ้ง และเกยี มเก็ง ภาพเหลา่ นจ้ี ะถกู หอ่ เกบ็ ไวใ้ นหอ่ ผา้ สแี ดงหรอื สขี าว เกบ็ ไวใ้ นตะกรา้ หวายกลม ทที่ ำ� ขน้ึ มาเปน็ พเิ ศษนัน้ แลว้ ก็แขวนไว้ข้างหง้ิ ผี ๒. พิธีสง่ ผปี า่ (ฝูงเยี่ยนฟิวเมี่ยน) ฝูงเยี่ยนฟิวเมยี้ น หมายถึง การสง่ ผปี ่า พธิ กี รรมน้เี ป็นพิธกี รรมของเมีย่ นทมี่ มี าแต่ดงั้ เดิมแล้ว และได้สืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้ เม่ียนเช่ือว่าพิธีกรรมนี้เป็นอีกพิธีกรรมหน่ึงที่ช่วยในการท่ีคน ๆ หน่ึง ไปท�ำผิดต่อผีป่าหรือลบหลู่โดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วเมื่อผีป่าเกิดความโกรธจึงท�ำให้เกิดการเจ็บป่วยข้ึนมา และจะไม่สามารถรกั ษาได้ โดยทว่ั ไปจงึ ตอ้ งท�ำพิธีเพอ่ื ขอขมา การท�ำพิธีนี้จะเริ่มมาต้ังแต่การท�ำพิธีกรรมย่อย โดยเมื่อมีคนท่ีเกิดอาการเจ็บป่วยขึ้นมา ไมส่ ามารถรกั ษาใหห้ ายไดโ้ ดยการกนิ ยา คนในครอบครวั นนั้ กต็ อ้ งไปทำ� พธิ ถี ามหมอผี โดยการไปทำ� พธิ ี (โบ้วจุ๋ยซากว๋า) ก่อน คือ ท�ำพิธีถามวิญญาณบรรพบุรุษว่าที่เกิดอาการป่วยนี้ เกิดจากสาเหตุใด เม่ือท�ำการถามเสร็จแล้ว หมอผีก็จะบอกคนป่วยว่าคนป่วยน้ันได้ท�ำผิดต่อผีป่า คนป่วยก็จะได้รู้ว่าตน นน้ั ได้ทำ� ผดิ อยา่ งไรตอ่ ผปี ่า และท�ำผิดตอ่ ส่งิ ไหน จากนนั้ หมอผกี ็จะบอกให้กบั คนปว่ ย และครอบครวั ให้ไปท�ำพิธีส่งผีป่า โดยหมอผีจะบอกว่าจะต้องน�ำอะไรในการเซ่นไหว้เพื่อขอขมา หลังจากนั้นคนใน ครอบครวั กจ็ ะหาวนั เพือ่ ทจี่ ะไปท�ำพิธสี ง่ ผปี ่าต่อไป๗ การสง่ ผปี า่ นจ้ี ะตอ้ งเตรยี มอปุ กรณต์ ง้ั แตอ่ ยบู่ า้ น อปุ กรณก์ จ็ ะมสี ตั วท์ ใี่ ชเ้ ซน่ ไหว้ กระดาษเงนิ กระดาษทอง (เจย่ กอ๋ ง) เอาไปเพอื่ เปน็ เงนิ ทองทจี่ ะเอาไปเผาสง่ ใหก้ บั ผปี า่ และยงั มี (จา๋ ว) เปน็ อปุ กรณ์ ทใ่ี ชถ้ ามความตอ้ งการ เวลาสง่ เงนิ ทองใหก้ บั ผปี า่ วา่ เพยี งพอหรอื วา่ ยงั ไมเ่ พยี งพอ จา๋ วเปน็ อปุ กรณท์ ท่ี ำ� มาจากไม้ไผ่ ถ้าไม้ไผ่หงายท้ัง ๒ อัน ก็แสดงว่าผีป่าพอใจกับเงินทองท่ีคนป่วยส่งไปให้แล้ว ถ้าไม้ไผ่ ๗ ชอบ คชาอนนั ต์. “เยา้ ความเชื่อเรือ่ งผ”ี . ข่าวสารศูนย์วิจยั ชาวเขา. ๑ (ฉบบั ที่ ๓ มกราคม-เมษายน ๒๕๒๒) น. ๓๗
เม่ยี น (เย้า) Mien (Yao) 69 ไม่หงายอย่างที่ตอ้ งการทัง้ ๒ อนั ละกต็ อ้ งท�ำการถามต่อไปเร่อื ย ๆ จนกว่าผปี ่าพอใจ การส่งวิญญาณ ผีป่านี้ จะเรม่ิ ทำ� ตัง้ แตอ่ ยบู่ ้านเลย ก่อนท่จี ะออกไปในปา่ เพ่อื ทีจ่ ะท�ำพิธีสง่ ผีปา่ น้ัน หมอผกี ็จะสวดยันต์ ป้องกนั ผีรา้ ยไวใ้ ห้คนละอัน คนทจ่ี ะไปนนั้ จะตอ้ งไดร้ บั ยนั ตป์ อ้ งกนั ผปี ่าจากหมอผีคนละอนั โดยหมอผี จะท�ำการสวดคาถาก่อน เพื่อจะให้คุ้มครองคนท่ีจะไปด้วยในขณะเดินทาง ต้องเอาติดไว้กับเส้ือที่เรา ใส่อยู่ เพ่ือเป็นการปอ้ งกันส่ิงชัว่ รา้ ยต่าง ๆ เมื่อไปถึงในป่าที่ที่จะท�ำพิธีแล้ว ผู้ช่วยหมอผีก็จะท�ำการเตรียมพ้ืนที่แล้วก็จัดเคร่ืองเซ่นไหว้ แล้วก็ฆ่าไก่เพื่อที่จะท�ำพิธีต่อไป ไก่นั้นจะมีท้ังหมด ๓ ตัว ตัวหนึ่งจะเป็นไก่ท่ีฆ่าเพื่อเซ่นไหว้ให้กับ (ไส เตี๋ย) ซึ่งเป็นวิญญาณบรรพบุรุษของคนป่วย เพื่อให้วิญญาณบรรพบุรุษช่วยคุ้มครองคนป่วยและ ครอบครวั ของคนปว่ ย อกี ๒ ตวั เปน็ ไกท่ ฆี่ า่ เพอื่ เซน่ ไหวใ้ หก้ บั ผปี า่ เพอ่ื ขอขมากบั ผปี า่ ทท่ี ำ� ใหโ้ กรธและ ไปลบหลู่ถูกผีป่าโดยไม่รู้ตัวน้ันเอง จึงเป็นเหตุท�ำให้ไม่สบายและป่วยเกิดข้ึน จึงต้องท�ำการขอขมาให้ ผีป่าไม่มาทำ� ร้ายอีก ขอจงปลอ่ ยใหค้ นป่วยกลบั มาเป็นอสิ ระเหมือนเดมิ อยา่ ได้ทำ� รา้ ยกนั อีกตอ่ ไป ในขณะทที่ ำ� อยนู่ น้ั กจ็ ะมดี า้ ยเสน้ หนงึ่ ทใ่ี ชผ้ กู ไวก้ บั (สเิ จยี น) และผปี า่ ทเี่ ราทำ� เปน็ รปู จำ� ลองขน้ึ มา แล้วท�ำการสวดขอขมาผีป่าเพ่ือปล่อยให้คนป่วยน้ันให้เป็นอิสระ เม่ือทำ� การสวดเสร็จก็จะตัดด้ายเส้น น้ันให้ขาด เพื่อไม่ให้ผีป่ามารบกวนคนป่วยอีก เม่ือตัดเสร็จแล้วก็จะท�ำการเผากระดาษเงิน กระดาษ ทองใหก้ บั ผีป่าทต่ี ้องการจนหมด แลว้ กน็ �ำรา่ งจำ� ลองของผปี ่าไปท้ิงให้ไปอยู่ในป่าเหมือนเดมิ หลงั จาก น้ันก็จะเสร็จพิธีในการท�ำ ผู้ช่วยหมอผีก็จะน�ำไก่มาต้มย�ำท�ำแกง แล้วก็ร่วมรับประทานกันกับทุกคน ท่ีมาด้วยการสง่ ผีปา่ น้ีจะใชเ้ วลา ๒ ชวั่ โมงกว่า ๆ จึงเป็นอันเสร็จพธิ ี พอทานเสรจ็ ตอนกลบั บ้านจะหา้ ม นำ� อาหารทเี่ หลอื กลบั บา้ น และจะไม่แวะเข้าบา้ นของชาวบา้ น เพราะถือวา่ ไม่เป่น็ มงคล และเมื่อกลบั ถงึ บ้านกต็ อ้ งลา้ งมอื ก่อนเข้าบ้าน คนทีไ่ ปนัน้ ต้องท�ำตามพิธีอย่างพถิ พี ิถนั ๓. พธิ ีเรียกขวัญ เมยี่ นเปน็ ชนเผา่ ทมี่ คี วามเชอื่ เรอ่ื งประเพณี พธิ กี รรมมาก การเรยี กขวญั กเ็ ปน็ อกี หนงึ่ พธิ กี รรม ที่เมี่ยนให้ความเคารพนับถือมาโดยตลอด ในระยะ ๑ ปีของเม่ียนนั้นแต่ละคนต้องท�ำการเรียกขวัญ อยา่ งนอ้ ย ๑ ครงั้ บางคนนน้ั อาจจะเรยี กขวญั ปลี ะ ๒-๓ ครงั้ กม็ ี เนอ่ื งจากคนคนนนั้ เกดิ อาการปว่ ยเกดิ ขน้ึ หรอื ทำ� เม่อื ตกใจเหน็ อะไรที่ไม่ดี จะตอ้ งเดนิ ทางไกล จากบ้านไปนาน ชนเผ่าเมี่ยนจึงทำ� การเรยี กขวัญ เพ่ือที่ให้ขวัญกับมาอยู่กับตัว เม่ียนเชื่อว่าการเรียกขวัญนั้นจะช่วยขจัดความทุกข์ทรมานได้ และเมื่อ ท�ำแล้ว วิญญาณบรรพบุรุษก็จะมาคุ้มครอง และดูแลผู้เรียกขวัญ เมื่อเรียกขวัญเสร็จก็จะท�ำให้คนท่ีสู่ ขวัญนั้นสบายใจข้ึน การเรยี กขวญั ของเมย่ี นนนั้ จะอยชู่ ว่ งระหวา่ งเทศกาลปใี หมข่ องเมยี่ น เพราะชว่ งนน้ั พนี่ อ้ งใน ทุก ๆ บ้านก็จะกลับบ้านมาพร้อมหน้าพร้อมตากัน พี่น้องที่อยู่ไกลเม่ือกลับมาถึงบ้าน พ่อแม่ก็จะหา
70 ชนต่างวัฒนธรรมในประเทศไทย หมอผมี าช่วยเรยี กขวัญ เนือ่ งจากว่าคนท่ีอยู่หา่ งไกลจากบา้ นน้ันจะไม่คอ่ ยกลบั บ้าน จึงไม่ค่อยไดเ้ รยี ก ขวญั เทา่ ไหรน่ กั กว่าจะได้เรียกขวญั ทีหนง่ึ กต็ ้องนานเปน็ ปี ช่วงเทศกาลปใี หมน่ ้ีจึงเปน็ ชว่ งที่เหมาะกับ การเรียกขวญั ใหก้ บั คนในครอบครวั มากท่ีสุด การเรยี กขวญั นจี้ ะใชเ้ วลาไมม่ ากนกั และไมต่ อ้ งใชเ้ ครอื่ งเซน่ ไหวม้ ากมาย ถา้ เรยี กขวญั เดก็ อายุ ๑ - ๑๒ ขวบ จะใช้ไก่ตวั และไข่ไก่ฟอง กระดาษเงินและเหลา้ เป็นเครอื่ งเซน่ ไหว้ โดยจัดไว้บนโต๊ะหน้า ห้งิ บูชา (ซิบเมยี้ นเมี่ยน) จะทำ� พธิ ีทอ่ งคาถา และเผากระดาษเงินให้วิญญาณบรรพบุรุษ เพ่ือขอใหช้ ่วย ดูแลรกั ษา เมือ่ ยามทไี่ ม่สบายเกิดขึน้ หรือเวลาท่อี อกไกลบา้ นไป และคมุ้ ครองขวญั ให้อยู่กบั ตวั ตลอด การเรียกขวัญของผู้ใหญ่น้ันก็จะท�ำคล้ายกันกับของเด็ก เพียงแต่แค่เปลี่ยนเคร่ืองเซ่นไหว้ใช้ หมแู ทนไกก่ บั ไข่ นอกนัน้ กจ็ ะเหมือนกบั เด็กทกุ ขั้นตอน การเรียกขวญั จะใช้เวลาไม่มากนกั ประมาณ ๒ ช่ัวโมงเท่านั้นเอง เม่ือท�ำพิธีเสร็จก็จะท�ำอาหารร่วมรับประทานกับอาจารย์ผู้ประกอบพิธี อาจารย์ผู้ ประกอบพิธีก็จะบอกว่าขวัญเรากลับมาหรือยัง เพ่ือที่จะได้รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง ดีหรือว่าไม่ดีตาม ประเพณี อาจารย์ผู้ประกอบพิธีก็จะบอกเรา ถ้าหากว่าไม่ดีเราก็ต้องท�ำพิธีตามขั้นต่อไปที่อาจารย์ผู้ ประกอบพิธบี อกคนในครอบครวั กจ็ ะหาหมอผีมาช่วยเรยี กขวญั ใหก้ บั คนคนน้นั ๔. ประเพณีปใี หม่ (เจย๋ี เซียง เหฮยี ง) พิธีฉลองปีใหม่ของเมี่ยนจะจัดเป็นประจ�ำทุก ๆ ปี หลังจากปีเก่าได้ผ่านพ้นไปแล้ว เช่นเดียว กบั ชนเผ่ากลุม่ อื่น ๆ ทัว่ ไป แต่เนอื่ งจากเผา่ เม่ียนใชว้ ิธนี บั วนั เดอื น ปี แบบจนี ดังน้นั วันฉลองปีใหมจ่ ึง เริ่มพรอ้ มกันกบั ชาวจีน คอื วันตรษุ จีน ตรงกบั วนั ท่ี ๑๔ – ๑๕ เดอื น ๗ ของจนี วันเชยี ดหาเจียบเฝย ของเม่ียนจะมี ๒ วัน คือ วันที่ ๑๔ หรือเรียกว่า “เจียบเฝย” และวันท่ี ๑๕ เรียกว่า “เจียบหือ” กอ่ นถงึ เชยี ดหาเจียบเฝย ๑ วัน คือวนั ที่ ๑๓ หรือทีเ่ รียกกันวา่ “เจยี บฟาม” ชาวบา้ นจะเตรยี มของใช้ สำ� หรบั ทำ� พธิ ี เชน่ กระดาษเงนิ กระดาษทอง และหาฟนื มามาเกบ็ ไวม้ าก ๆ เพราะวา่ ในวนั ทำ� พธิ นี ห้ี า้ ม ไปทำ� ไร่ และเกบ็ ฟนื สว่ นคนทไี่ ปนอนคา้ งคนื ไนไรก่ จ็ ะทยอยกนั เดนิ ทางกลบั บา้ นในวนั น้ี นอกจากนย้ี งั ท�ำขนมทีเ่ รียกกันวา่ “เจยี บเฝยยว้ั ” วนั ที่ ๑๔ หรอื เจยี บเฝยน้ี เชอื่ กนั วา่ เปน็ วนั ของคน ชาวบา้ นจะไมไ่ ปไรเ่ ขา้ ปา่ ลา่ สตั ว์ ไมท่ ำ� งาน ใด ๆ วันนี้จะมีการเซ่นไหว้บรรพบุรุษตามความเช่ือที่มีมาแต่โบราณ เพราะเป็นที่เทพเจ้า เทพธิดา วิญญาณบรรพบุรุษเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่ มีการท�ำบุญกันทุกบ้านเรือน มีการขออภัยโทษแก่ ดวงวญิ ญาณต่าง ๆ ใหเ้ ป็นอิสระ ลูกหลานจะตอ้ งมกี ารท�ำพิธบี วงสรวง เผากระดาษเงนิ กระดาษทอง สง่ ไปใหว้ ญิ ญาณบรรพบรุ ษุ ได้ใชจ้ า่ ย วันที่ ๑๕ วิญญาณบรรพบุรุษจะได้คุ้มครองดูแลลกู หลาน วนั ท่ี ๑๕ หรือ “เชยี ดหาเจยี บหือ” หรือเรียกอกี อยา่ งวา่ “เมี่ยน ปา้ ย เหย” เชอ่ื กันวา่ เปน็ วนั ของผีจะมีการปลดปล่อยผีทุกตัวตน เพื่อให้มารับประทานอาหารที่ผู้คนทำ� พิธีให้ วันนี้ชาวบ้านจะอยู่
เมย่ี น (เยา้ ) Mien (Yao) 71 กับบ้านไม่ให้ออกไปไหน ห้ามคนเขา้ ออกหมู่บ้าน หา้ มเดด็ ใบไมใ้ บตองทงั้ สิน้ เพราะเช่อื วา่ วิญญาณจะ ใชใ้ บไมใ้ บตองเหลา่ นห้ี อ่ ของกลบั ไปเมอื งวญิ ญาณ จะมกี ารพดู วา่ ใบไม้ ๑ ใบ เปน็ ทอ่ี ยอู่ าศยั ของวญิ ญาณ ๑ ตวั เมยี่ นจงึ ไมเ่ กบ็ ใบไมต้ า่ ง ๆ ในวนั นี้ ในวนั นกี้ เ็ ปน็ อกี วนั ทช่ี าวเมยี่ นไมไ่ ปทำ� ไรน่ า เพราะดวงวญิ ญาณ ต่าง ๆ ออกเดินทางกลับบ้านเมืองของตน เมี่ยนเชื่อว่าถ้าออกไปไหนมาไหนละก็อาจจะชนถูก และเหยยี บถกู โดยที่เราไม่รู้ และอาจท�ำใหเ้ ราปว่ ยเม่ือเราไปทำ� ถกู ดวงวญิ ญาณเหล่าน้ัน วนั ท่ี ๑๖ กจ็ ะเรม่ิ ปฏบิ ตั งิ านตามปกติ เพราะเชอื่ วา่ วญิ ญาณทถี่ กู ปลอ่ ยมานนั้ ถกู เรยี กกลบั ไป หมดแล้ว ดวงวิญญาณไม่สามารถมารบกวนเราได้แล้ว ดวงวิญญาณจะถูกเรียกกลับแล้ว ก็ต้องไปอยู่ ตามท่ตี ่าง ๆ ทต่ี นอยู่ เมย่ี นจะท�ำพธิ เี จี๋ยเจยี บเฝยอยา่ งน้ีเป็นประจำ� ทกุ ปี เพ่ือใหด้ วงวิญญาณไดม้ ารบั อาหารไปกินใช้ในแต่ละปี และให้ดวงวิญญาณมาช่วยคุ้มครองครอบครัว ตลอดกระทั้งหมู่บ้านของ ชาวเมี่ยน วนั ตรษุ จนี ภาษาเมย่ี นเรยี กวา่ เจ๋ยี งฮย๋งั กอ่ นท่จี ะถงึ พธิ ี เจยี๋ งฮย๋งั น้ี ชาวบา้ นแตล่ ะครวั เรือน จะต้องเตรียมส่ิงของเครื่องใช้ที่จ�ำเป็นท้ังของใช้ส่วนตัว และของใช้ในครัวเรือนให้เรียบร้อยก่อน เพราะเมื่อถึงวนั ขึน้ ปีใหม่แล้ว จะมกี ฏขอ้ หา้ มหลายอยา่ งท่ีเผ่าเมี่ยน ยึดถอื และปฏิบัตกิ ันตอ่ ๆ กนั มา สิ่งที่ตอ้ งเตรียมก่อนวนั ปใี หม่ ๑) อาหารสตั ว์ เช่น หยวกกล้วย หญา้ สำ� หรับเล้ียงหมเู ล้ยี งววั และอื่น ๆ เพราะเม่ยี นเชือ่ ว่า ถา้ ไปหาอาหารสตั วใ์ นวนั ขนึ้ ปใี หมน่ ี้ เมอื่ ถงึ เวลาทำ� ไร่ จะมวี ชั พชื ขนึ้ มาก ทำ� ใหผ้ ลผลติ ไมด่ หี รอื ไมพ่ อกนิ ๒) ฟนื สำ� หรบั หงุ ตม้ เมย่ี นเชอื่ วา่ ถา้ ไปตดั ฟนื ในวนั ขนึ้ ปใี หม่ จะทำ� ใหใ้ นตวั บา้ นมแี มลงบงุ้ มาก ๓) ขนม (ฌั้ว) ใช้ส�ำหรับไหว้พรรพบุรุษ และใช้กินในวันขึ้นปีใหม่ ขนมที่ท�ำมี ข้าวปุก (ฌั้ว จซง) ข้าวต้มมัดดำ� (ฌว้ั เจย๊ี ะ, ฌั้วจฉวิ ) ๔) เน้ือสัตว์ ส่วนมากจะฆ่ากันวันที่ ๓๐ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของปีเก่า มีทั้งหมู และไก่ เพราะเมอื่ ถงึ วนั ขน้ึ ปใี หม่ เมย่ี นจะไมฆ่ า่ สตั ว์ มคี วามเชอ่ื วา่ ถา้ ฆา่ สตั วใ์ นวนั ขน้ึ ปใี หมน่ แ้ี ลว้ จะทำ� ใหก้ าร เลย้ี งสตั วไ์ มด่ ี และทำ� ใหเ้ กดิ โรคตา่ ง ๆ แกส่ ตั วไ์ ด้ เตรยี มไข่ เพอ่ื จะมายอ้ มเปน็ สแี ดง สำ� หรบั ยอ้ มใหเ้ ดก็ และญาติพีน่ ้องทมี่ าเทีย่ วในวนั ข้นึ ปีใหม่ ซ่ึงถือวา่ เป็นสริ ิมงคล และเปน็ สิง่ ที่ดีงาม ๕) ของใช้ส่วนตัว เช่น เสื้อผ้าเครื่องประดับ และอื่น ๆ จะต้องเตรียมให้พร้อมก่อนวันขึ้นปี ใหม เพราะในวันขนึ้ ปีใหม่ เมย่ี นหา้ มใช้เงิน ถา้ ใช้เงินในวันนีเ้ ชื่อวา่ เวลามีเงินแลว้ จะไมส่ ามารถเกบ็ ได้ ต้องจับจ่ายออกไปจะยากจน และไม่สามารถหาเงินทองได้ ประทัด ใช้จุดเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง และครอบครัว เป็นการแสดงความยินดที ปี่ ีเกา่ ได้ผ่านไปด้วยดี และตอ้ นรบั ปีใหม่ท่กี �ำลงั จะถงึ
72 ชนตา่ งวฒั นธรรมในประเทศไทย วนั ข้ึนปีใหม่ นีญ้ าติพนี่ อ้ งของแตล่ ะครอบครวั ซึ่งแตง่ งานแยกครอบครวั ออกไปอยู่ท่อี ่ืน กจ็ ะ พากันกลับมาเย่ียมพ่อแม่ และญาติพี่น้องของตนเอง ซึ่งเป็นการพบปะสังสรรค์ และท�ำพิธีบวงสรวง บรรพบุรุษร่วมกัน (เสียงเม้ียน) พิธีนี้จะเร่ิมวันที่ ๓๐ ซึ่งถือว่าเป็นวันส่งท้ายปีเก่า และต้อนรับปีใหม่ และเป็นการแสดงความขอบคุณแก่วิญญาณ บรรพบุรุษที่ได้คุ้มครองดูแลเรา ในรอบปีท่ีผ่านมาด้วยดี หรอื บางครอบครวั ทม่ี กี ารบนบานเอาไว้กจ็ ะมา ท�ำพธิ แี ก้บน และเซ่นไหวก้ ันในวันนี้ วนั ที่ ๑ (แซง่ เอีย๊ ด ดอม) เปน็ วนั ข้ึนปีใหม่ แตล่ ะครอบครัวจะตน่ื แตเ่ ช้ามืด แลว้ เดินไปหลงั บ้านไปเกบ็ กอ้ นหินเขา้ บา้ น เสมือนเรียกขวัญเงินขวัญทองเข้าบ้านด้วย เชื่อว่า เงินจะไหลมาเทมาให้กับครอบครัว ให้ครอบครัวมี ความสุข พอเก็บก้อนหินเข้ามาในบ้านแล้ว ผู้ใหญ่จะต้มไข่เพ่ือย้อมไข่แดง ส่วนเด็ก ๆ ตื่นข้ึนมาก็จุด ประทัด หรือยิงปืนเพ่ือเป็นสิริมงคล และเฉลิมฉลองปีใหม่ และท�ำพิธี “ป๋าย ฮหยัง” เป็นพิธีไหว้ บรรพบุรุษ หรอื ศาลเจ้า เปน็ ความหมายวา่ ปเี ก่าไดผ้ า่ นพ้นไปแลว้ สิ่งไมด่ ตี ่าง ๆ ก็ขอใหห้ มด หรอื ผ่าน ไปเสีย เริ่มปีใหม่แล้วขอให้มีแต่ส่ิงดี ๆ การด�ำรงชีวิตสะดวก ราบรื่น ไม่มีปัญหาอุปสรรค และอื่น ๆ พิธนี แี้ ตล่ ะครอบครวั แล้วแตว่ ่าจะท�ำหรือไม่ บางทีก็ทำ� หมดท้งั หมบู่ ้าน ซึ่งจะมีการเวยี นไหวก้ ันไปจน ครบทกุ บา้ น หรอื บางคร้ังอาจมกี ารไหวเ้ ป็นสายตระกูลหรอื เครือญาตเิ ทา่ นั้น โดยจะไปไหว้หรือท�ำพิธีท่ีบ้านเดียว ท่ีบ้านของเครือญาติอาวุโส ท่ีเป็นเครือญาติเดียวกัน และเป็นหลักในด้านพธิ กี รรม หรือเป็นผูน้ ำ� ดา้ นพธิ ีกรรมของแตล่ ะตระกลู ซ่ึงจะมหี ิง้ ผีบูชาบรรพบุรุษ แตกตา่ งออกไปจากคนอนื่ คอื หงิ้ บชู าจะมลี กั ษณะเปน็ ศาลเจา้ ภาษาเมย่ี นเรยี กวา่ เมยี้ น เตย้ี หลง สว่ น คนอ่ืนท่ัว ๆ ไปจะมีหิ้งบูชาธรรมดาท่ีเรียกกันว่า เม้ียน ป้าย เม่ือท�ำพิธีไหว้บรรพบุรุษ “ป๋าย ฮหยัง” เสรจ็ แลว้ พอ่ แมก่ จ็ ะนำ� ไขแ่ ดงมาแจกใหก้ บั เดก็ ๆ และญาตพิ น่ี อ้ งทม่ี ารว่ มงาน แลว้ ผกู เชอื กใหส้ วยงาม ตอ่ จากนน้ั กจ็ ะทำ� อาหารรบั ประทาน มกี ารสงั สรรคก์ นั ตามประสาญาตพิ น่ี อ้ ง และเพอื่ นรว่ มงาน ในวนั ขนึ้ ปใี หมน่ ี้ ผใู้ หญเ่ มยี่ นมกั จะบอกกบั เดก็ ๆ วา่ ถา้ เปน็ ผหู้ ญงิ ใหว้ นั นต้ี งั้ ใจปกั ผา้ แลว้ จะเกง่ ในฝไี มล้ ายมอื ส่วนผู้ชายจะให้ไปเรียนหนังสือจะได้เก่ง และฉลาดในการเล่าเรียน งานปีใหม่เมี่ยนจะจัดกัน ๓ วัน แต่วันทส่ี �ำคัญที่สุด คอื วนั แรก วันไหว้วิญญาณบรรพบุรษุ วันที่ ๒ และ ๓ เปน็ การสงั สรรคก์ บั เหลา่ มติ ร และอยอู่ ยา่ งสงบตามวถิ ชี วี ติ ของชาวเมย่ี นผรู้ กั ความสงบ ในวนั น้จี ะมีข้อห้ามหลายอย่างท่ีเผา่ เมี่ยนยดึ ถอื และปฏบิ ตั กิ ัน คือ ไมใ่ ชเ้ งนิ เพราะเชอ่ื วา่ ถา้ ใชเ้ งินจะไม่สามารถเกบ็ เงินอยไู่ ด้ ไม่ฆา่ สัตว์ เชื่อว่า จะเลย้ี งสตั วไ์ มเ่ จริญ ไม่ท�ำไร่ เชอื่ ว่า จะปลกู พืชไมง่ อกงาม
เมยี่ น (เยา้ ) Mien (Yao) 73 ไมเ่ กบ็ ฟนื และหาอาหารสตั ว์ มคี วามเชอื่ วา่ วนั พกั ผอ่ นกค็ วรจะพกั ผอ่ น เพราะเมอื่ ทำ� อะไรแลว้ จะท�ำนั้นไมเ่ จรญิ งอกงาม เม่อื เลือกใช้ฟนื จะเลือกทีม่ ีลกั ษณะสวยงาม เชอ่ื วา่ ลูกหลานจะได้สวยงาม ไมก่ นิ อาหารประเภทผกั มคี วามเชอ่ื วา่ ถ้าท�ำไร่ หญ้าจะข้นึ รก ๕. พิธบี วช (กว๋าตงั ) ค�ำว่า “กว๋า ตัง” ในภาษาเม่ียนมีความหมายว่าแขวนตะเกียง ซึ่งเป็นการท�ำบุญเพ่ือให้เกิด ความสว่างขนึ้ และเมี่ยนเองกจ็ ะถอื วา่ ผ้ทู ีผ่ ่านพธิ ีนแี้ ล้ว จะมตี ะเกยี ง ๓ ดวง พธิ ีนไ้ี ดร้ บั อิทธพิ ลมาจาก ลัทธิเต๋า เป็นพิธีที่ท�ำเฉพาะผู้ชายเท่าน้ัน ถือเป็นการสร้างบุญบารมีให้กับตนเอง ท�ำบุญอุทิศให้ บรรพบุรุษ และเป็นผู้สืบสกุล ไม่มีหลักฐานปรากฏแน่ชัดว่า พิธีกรรมนี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไร มีเพียงแต่ค�ำบอกเล่าจากการสันนิษฐานของผู้อาวุโสว่า พิธีกว๋าตัง นี้มีมานานมากแล้ว คงจะเป็น “ฟ่ามชิงฮู่ง” เป็นผู้บัญญัติให้ชาวเมี่ยนท�ำพิธีน้ี เมื่อประมาณ ๒๓๖๑ ปีมาแล้ว เพราะ ฟ่ามชิงฮู่ง เป็นผู้สร้างโลกวิญญาณและโลกของคน ฟ่ามชงิ ฮูง่ จึงบอกให้ทำ� พิธีกวา่ ตงั เพ่ือชว่ ยเหลือคนดีท่ีตายไป ใหไ้ ด้ขึน้ สวรรค์ หรือไปอยกู่ บั บรรพบุรุษของตนเอง จะไดไ้ มต่ กลงไปในนรกทยี่ ากลำ� บาก พิธนี ้ีเปน็ พิธี บวชพธิ แี รกซ่งึ จะท�ำให้กับผ้ชู าย เม่ยี น โดยไม่จ�ำกดั อายุ ในประเพณขี องเมยี่ น โดยเฉพาะผูช้ ายถา้ จะ เปน็ คนทส่ี มบูรณ์จะตอ้ งผ่านพธิ ีบวชกอ่ น พธิ กี วา๋ ตงั หมายถงึ พธิ แี ขวนตะเกยี ง ๓ ดวง เปน็ พธิ ที ส่ี ำ� คญั มาก เพราะถอื วา่ เปน็ การสบื ทอด ตระกูล และเปน็ การท�ำบญุ ใหบ้ รรพบุรุษดว้ ย ในการประกอบพธิ กี ว๋าตังนี้ จะตอ้ งน�ำภาพเทพพระเจ้า ทง้ั หมดมาแขวน เพอ่ื เปน็ สกั ขพี ยานวา่ บคุ คลเหลา่ นวี้ า่ ไดท้ ำ� บญุ แลว้ และจะไดข้ นึ้ สวรรคเ์ มอ่ื เสยี ชวี ติ ไป จุดส�ำคัญของพิธีนี้คือ การถ่ายทอดอ�ำนาจบุญบารมีของอาจารย์ผู้ประกอบพิธีกรรม ซ่ึงในขณะท�ำพิธี นจี้ ะมฐี านะเปน็ อาจารย์ (ไซเตยี๋ ) ของผเู้ ขา้ รว่ มพธิ อี กี ฐานะหนง่ึ และผผู้ า่ นพธิ นี จ้ี ะตอ้ งเรยี กผทู้ ถี่ า่ ยทอด บุญบารมีน้ีว่า อาจารย์ตลอดไป ผู้เป็นอาจารย์ไม่จ�ำเป็นต้องเป็นผู้ประกอบพิธีกรรมเสมอไป แต่ต้อง ผ่านการท�ำพิธีกว๋าตัง หรอื พิธบี วชขั้นสงู สุด “โตว่ ไซ” ก่อน เม่อื ผา่ นพธิ นี ี้แล้ว จะท�ำให้เขาเป็นผชู้ ายท่ีสมบรู ณ์ เขาจะได้รบั ชื่อใหม่ ชอ่ื น้จี ะปรากฏรวมอยู่ รวมกับท�ำเนียบวิญญาณของบรรพบุรุษของเขา ซึ่งเป็นการสืบต่อตระกุลมิให้หมดไป เม่ือเขาเสียชีวิต เขาสามารถไปอยู่กับบรรพบุรษุ ท่ี (ยา่ ง เจียว ต่ง) และอาจจะหลงไปอยู่ในทต่ี ำ�่ ซ่งึ เป็นที่ที่ไมด่ ีหรือนรก ก็ได้ พอเวลาลกู หลานท�ำบญุ ส่งไปใหก้ ็จะไม่ไดร้ ับ เพราะไมม่ ีช่อื นอกจากนผี้ ู้ผา่ นพิธี (กว๋า ตัง) ยงั จะ ได้รับต�ำแหน่งศักดินาช้ันต�่ำสุดของโลกวิญญาณ จะได้รับบริวารทหารองครักษ์ ๓๖ องค์ และท�ำให้ ภรรยามีเพม่ิ เปน็ ๒๔ องค์ ดังนั้น ผู้ชายเมี่ยนทกุ คนต้องทำ� พธิ ี (กวา๋ ตัง) จะใช้เวลาในการทำ� พิธี ๓ วนั เปน็ พธิ ถี วายตวั แกเ่ ทพเจา้ เตา๋ เพอ่ื วญิ ญาณจะไปอยรู่ ว่ มกบั บรรพชนและมเี ทพ (ฮงู่ อนิ ) มาดแู ลปกปกั รกั ษาเมอื่ สน้ิ ชวี ติ ลง และจะทำ� ใหเ้ ขาเปน็ ผู้ใหญเ่ ตม็ ตัว
74 ชนต่างวัฒนธรรมในประเทศไทย มศี กั ดแ์ิ ละสทิ ธทิ จี่ ะเขา้ รว่ มพธิ ตี า่ ง ๆ ของเผา่ ไดท้ กุ พธิ ี ชว่ งทที่ ำ� พธิ นี ผี้ เู้ ขา้ รว่ มจะตอ้ งกนิ เจและ ถือพรหมจรรย์ ตามประเพณีแลว้ ผ้ชู ายเมยี่ นทกุ คนจะตอ้ งเข้าพิธี (กว๋า ตงั ) ซ่งึ จะไม่จำ� กัดอายุ จะน้อย หรอื มากกไ็ ด้ และจะมชี วี ติ หรอื ไมม่ กี ไ็ ด้ การผา่ นพธิ ี (กวา๋ ตงั ) ยงั สามารถทำ� ใหป้ ระกอบพธิ กี รรมหลาย อย่างไดด้ ้วยตนเอง รวมทั้งการทำ� กจิ กรรมงานอื่น ๆ กจ็ ะได้รับการเชือ่ ถือ ส�ำหรับชายท่ีแต่งงานแล้วเวลาท�ำพิธีบวช ภรรยาจะเข้าร่วมพิธีด้วย โดยจะอยู่ด้านหลังของ สามี และการทำ� พธิ สี ามารถทำ� ไดพ้ รอ้ ม ๆ กนั หลาย ๆ คนกไ็ ด้ แตค่ นทที่ ำ� นนั้ จะตอ้ งเปน็ ญาตพิ น่ี อ้ งกนั หรือนับถือบรรพบุรุษเดียวกัน เมี่ยนเรียกว่า (จ่วง เม้ียน) หลังจากผ่านพิธีน้ีแล้ว ผู้ท�ำพิธีจะได้รับช่ือ ผูใ้ หญ่ และชือ่ ทใี่ ชเ้ วลาท�ำพิธดี ว้ ยเรียกว่า (ฝะ บ๋ัว) การบวชแบ่งออก ๓ ระดบั คือ ๑) กว๋าฟามทอยตัง เป็นการบวชซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่�ำที่สุด ใช้เวลาในการประกอบพิธี ๓ วัน ๓ คืนเทา่ นั้น ๒) กว๋าเชยี ดฟิงตงั เปน็ การบวชทถี่ ือวา่ อยใู่ นระดบั กลาง มพี ิธี ๗ วัน ๗ คนื ๓) โต่วไซ หรอื กว๋าตา้ ล่อตงั ถือว่าเปน็ การบวชทใ่ี หญท่ ่สี ุด ใช้เวลาในการประกอบพธิ ี ๗ วัน ๗ คืน การบวชท้ัง ๓ ระดบั น้ี มีท้งั การบวชแบบเดีย่ วและแบบควบกนั ๑) การบวช กว๋าฟามทอยตัง เพียงอย่างเดยี ว ๒) การบวช กว๋าเชียดฟงิ ตัง หรือ กว๋าเชียดโต่ว ที่รวมกบั การบวช กวา๋ ฟามทอยตงั ๓) การบวช กวา๋ ตา้ ล่อตัง ทรี่ วมกบั การบวชกวา๋ ฟามทอยตัง ในการเข้าพิธีบวชน้ีในหมู่บ้านเครือญาติ จะมีการตรวจสอบหลักฐานของแต่ละคนจาก “นน่ิ แซงเปน้ ” คอื บนั ทกึ วนั เดอื นปเี กดิ หรอื สตู บิ ตั ร (เอโ้ ตว้ ) คอื การปฏบิ ตั ติ อ่ กนั มา และ “จาฟนิ ตาน” คอื บันทกึ รายชอื่ ของบรรพบรุ ุษทแี่ ต่ละคนถอื ครองอยู่ การเตรียมงาน ๑) เครื่องแต่งกาย ประจำ� เผา่ ของผู้หญิง ซงึ่ จะต้องเปน็ เคร่ืองที่ตดั เยบ็ ขน้ึ ใหม่ ๒) ผ้า ดบิ สขี าว (เจ๋ีย ซนิ เดยี ) ลกั ษณะเปน็ รปู สเี่ หลย่ี มประจำ� ผเู้ ขา้ พิธี ๑ ผนื ๓) เก้าอ้ี (กว๋าตัง ตน) ใช้ส�ำหรับผู้เข้าพิธีนั่งตอนท�ำพิธีกว๋าตัง ซ่ึงจะใช้ไม้ตัดมาใหม่ ท�ำเป็น รปู อกั ษรพิมพใ์ หญต่ วั หนงึ่ แลว้ แตง่ ดว้ ยกระดาษสตี ่าง ๆ ที่ตดั เปน็ ลวยลายอย่างสวยงาม
เมย่ี น (เย้า) Mien (Yao) 75 ๔) เสา ทวี่ างตะเกียง (เจยี บ จ่าง เดย้ี ว) ท�ำจากต้นกลว้ ย โดยตัดลำ� ของต้นกล้วยสูงประมาณ ๑๔๐ เซนติเมตร แล้วหาลำ� กลว้ ยอกี ตน้ มาตัดยาวประมาณ ๑๕ เซนติเมตร ๒ ท่อน ใชไ้ ม้เสยี บใหต้ ดิ กับด้านข้างของต้นสูงท้ังสองขา้ งใหเ้ ป็นแขนออกมา มลี กั ษณะดา้ นบนท่ีวางตะเกียงตอ้ งใชม้ ดี คว้านให้ มีขนาดวางตะเกยี งไดพ้ อดี ๕) กระดาษ ส�ำหรับประกอบพิธีกรรม จะมี ๒ แบบ คือ เจ่ยก๋อง และ เจ่ยหมา เจ่ยก๋อง ท�ำจากกระดาษสา เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดประมาณ ๔ คูณ ๙ นิ้ว แล้วใช้เหล็กท่ีเป็นแม่พิมพ์รูป เงนิ ตอกลงบนกระดาษจนเปน็ รอย เรยี งเปน็ แถว ๕-๖ แถว เจย่ หมา จะใชแ้ มพ่ มิ พไ์ มข้ นาด ๒ คณู ๘ นวิ้ เรยี กวา่ หมากเพย ทาด้วยหมึกด�ำ ซง่ึ เผามาจากฟางข้าวแล้วผสมนำ้� แลว้ กดลงบนกระดาษสาทต่ี ดั มา ๖) ห่อเกลือ ส�ำหรับเชิญอาจารย์ผู้ประกอบพิธีกรรมและพ่อครู ท�ำโดยตัดใบตองขนาดพอ เหมาะเช็ดให้สะอาดใส่เกลือประมาณ ๒ ช้อน ห่อเป็นรูปสี่เหลี่ยม คาดด้วยกระดาษสีขาวแล้วมัดซ้�ำ ด้วยดา้ ยสดี ำ� ๗) ถุงข้าว (ซิ เจียน) ส�ำหรับบูชาครู โดยใช้ผ้าดิบสีขาวตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมใส่ข้าวประมาณ ๔๐๐ กรมั และใส่เหรียญเงนิ แทแ้ ลว้ ผูกดว้ ยเชือก ๘) เรือ และหุ่นวิญญาณร้าย (ซู่ง เม้ียน) เรือท�ำมาจากใบไม้ทีมีลักษณะรียาว ท�ำมาจากใบ ข้าวหรอื ขา้ วโพดกไ็ ด้ นำ� มาสานเป็นรปู เรอื สว่ นหุ่นวญิ ญาณรา้ ย ใชฟ้ างข้าวมามัดเป็นรูปคน ๙) ตะเกยี ง แตเ่ ดิมจะใช้ถ้วยชามแบบใหญ่ ใสข่ ้าวสานลงไปประมาณ ๓/๔ ของถ้วย ใส่ด้วย ควั่นเป็นเกลียว ปักลงไปในข้าวสาร แลว้ เทน้�ำมนั งาลงไป ในปจั จุบนั ใชเ้ ทียนขาวปกั ลงในข้าวสารแทน ๑๐) อาหาร ใชส้ ำ� หรบั เซน่ ไหว้ และสำ� หรบั เลยี้ งแขก ไดแ้ ก่ หมู ไก่ ขา้ วสวย เหลา้ ชา ขนมเมย่ี น (ยั้วเจย๊ ะ) เปน็ ขนมทที่ �ำจากข้าวเหนียวผสมงาด�ำ ห่อด้วยใบตองแลว้ นำ� ไปนง่ึ อปุ กรณ์ (ซิบ เมีย้ น เม่ียน) สำ� หรบั อปุ กรณซ์ บิ เมยี้ นเมย่ี นสว่ นใหญเ่ ปน็ ของทมี่ อี ยแู่ ลว้ เพยี งแตร่ วบรวมเตรยี มพรอ้ มใชไ้ ดเ้ ลย ดงั น้ี ๑. ภาพสามดาว (ต้ม ต๋อง เมี้ยน) ถือเสมือนเป็นเส้ือของเทพ เวลาอัญเชิญมาในพิธีก็จะมา สถติ ในภาพน้ีเลย ๒. จ๋าว มีลักษณะเป็นไม้ ๒ อัน ประกอบกัน ใช้ส�ำหรับเสี่ยงทาย เพื่อท่ีจะทราบว่าเทพ หรือเม้ียน ยอมรับหรือพอใจในเครอื่ งเซน่ ไหว้หรือไม่
76 ชนต่างวัฒนธรรมในประเทศไทย ๓. มีดหมอผี (กิ๋ม) มีลักษณะเป็นมีดสั้น ที่ปลายด้ามมีดจะมีเหรียญร้อยเป็นพวงติดอยู่ ใช้สำ� หรบั ขับไล่ส่ิงช่ัวรา้ ย และนำ� มาแต่สิง่ ทีด่ ี ๔. ไม้เทา้ ศกั ด์สิ ทิ ธ์ิ (ชิ่ง ก๋วย) ทำ� มาจากไม้ ลกั ษณะเรียวยาว ปลายแหลมมโี ลหะติดอยู่ ๕. เขาควาย (จอง) ใช้สำ� หรบั เปา๋ เชญิ เทพแห่งดวงอาทิตย์ (หยุน่ ต๋าย ฮ่งู ) ๖. หนงั สอื ทำ� พธิ ี ซงึ่ ตอ้ งใชห้ ลายเลม่ เชน่ คอยตาลโซ หนงั สอื ทบ่ี นั ทกึ คำ� สวดสำ� หรบั เซน่ ไหว้ และ จ่าฟนิ ตาน หนังสอื บนั ทกึ ชอื่ บรรพบุรษุ ที่จะเชญิ มาร่วมพธิ ี ๗. ตราประทบั ทำ� จากไม้แกะสลกั ตัวอักษรจนี และกระดาษ, หมึกดำ� , พูก่ นั จนี ใชเ้ ขียนสาร แจง้ เทพแหง่ ดวงอาทิตย์ ๘. กระถางธูป ทำ� มาจากกระบอกไม้ไผ่ ๙. หงะเก๊น เป็นไมไ้ ผ่ทผ่ี า่ เปน็ แผน่ บางขนาด เป็นไมไ้ ผท่ ผี่ า่ เป็นแผน่ ๑๐. เส่ือและเชอื กปอ ๑๑. กระด่งิ เปน็ เครื่องตนตรที ี่ใชป้ ระกอบ ๑๒. เคร่ืองดนตรี ที่ใช้ในงานมีเพียง ๓ ชนิดเท่านั้น คือ กลอง (โหญ) ฆ้อง (ล่อ) และฉาบ (ฉาว เจย้ ) ๑๓. ชุด ส�ำหรับทำ� พธิ ขี องอาจารยป์ ระกอบพิธีกรรม ประกอบดว้ ย หมวก ซ่งึ เปน็ หมวกสีดำ� ทรงกลมตง้ั ขน้ึ ดา้ นบนเยบ็ ตดิ กนั ประดบั ดว้ ยพรมไหมสแี ดงดา้ นบนจะแคบกวา่ ดา้ นลา่ ง เสอ้ื (ลยุ่ กวา๋ ) เปน็ เสอ้ื ไมม่ แี ขน ผา่ อก ไมม่ ปี กคอเสอื้ ตวั เสอ้ื ยาวตำ่� กวา่ สะโพก ใชส้ วมทบั ชน้ั ใน มลี วดลายสสี นั ฉดู ฉาด (ตุ้ง จุ่น) มีลักษณะเป็นรูปสี่เหล่ียมคางหมู คลายกับกระโปรงสตรีท่ีไม่เย็บติดกันยาวจากเอวถึข้อเท้า ใชส้ วมทบั กางเกง (ผา ฮงุ้ ) เปน็ ผา้ สแี ดง ใชค้ าดเอวทบั เสอื้ (ผา จนุ่ ) เปน็ ผา้ สามเหลยี่ มหนา้ จวั่ ดา้ นหนา้ ผา้ ใชผ้ า้ ทอดว้ ยมอื สดี ำ� ปกั ลาย และตรงปลายของสว่ นทมี่ พี ไู่ หมพรมสแี ดงประดบั พองาม (เสน้ ตอ้ ตา๋ ย) ใชม้ ดั หมวกซบิ เมยี้ นเมย่ี น อาจารยป์ ระกอบพธิ กี รรมจะแตง่ ตวั อยา่ งไร ขน้ึ อยกู่ บั พธิ กี รรมแตล่ ะขนั้ ตอน การอยูก่ รรม การอยู่กรรม ซง่ึ แปลเปน็ ภาษาเมีย่ นว่า ก่งิ คอื วันที่ถูกกำ� หนดขึน้ มาตามความเชอ่ื ของคนร่นุ กอ่ นหรอื บรรพบุรุษ ซงึ่ มกี ารยดึ ถอื และปฏบิ ัตติ อ่ ๆ กนั มา อยกู่ รรมจะเร่มิ ตง้ั แต่วนั ขน้ึ ปีใหม่เป็นตน้ ไป การนบั วนั เดอื น ปี เมยี่ นนจี้ ะเหมอื นกบั ปฏทิ นิ จนี อาจจะแตกตา่ งจากการนบั แบบของไทย หรอื สากล ทั่วไป เดือนแรกของเม่ียนน้ันจะเร่ิมในวันขึ้นปีใหม่ ซ่ึงจะตรงกับวันตรุษจีน (ราวเดือนมกราคม
เม่ียน (เย้า) Mien (Yao) 77 หรือเดือนกุมภาพันธ์ของไทย) เป็นวันท่ีชาวเมี่ยนทุกคนต้องหยุดท�ำงานในไร่ และอยู่ที่บ้านอย่างสงบ ไมส่ ง่ เสยี งดงั สว่ นใหญไ่ มน่ ยิ มฆา่ สตั วใ์ นวนั นน้ั และไมต่ ากผา้ ในทส่ี งู ถา้ ใครในหมบู่ า้ นฝา่ ฝนื จะมผี ลรา้ ย ต่อหมูบ่ ้าน และตวั ของเขาเอง อยู่กรรมนจี้ ะตรงกันทกุ หมูบ่ ้าน เพราะยึดปฏทิ ินแบบจนี เป็นสำ� คญั วันกรรมเสือนอน (กิง่ ดะ มา่ ว ปว๋ ย) เป็นวนั กรรมที่เสอื นอนหลับ คนไม่ควรเสยี งดังรบกวน เพราะเช่ือวา่ ถ้า ฝา่ ฝืนจะมีผลเสียตอ่ สัตว์เล้ียง และทรัพยส์ นิ จะมกี ารขอใหว้ ิญญาณทง้ั มวล ตลอดจนวิญญาณบรรพบรุ ษุ ช่วย ดแู ลเสอื ไม่ ให้มารบกวนชีวติ และทรพั ย์สนิ ของชาวบ้าน วนั กรรมเสอื เดิน (ก่งิ ดะ ม่าว ย่าง เจา้ ) เป็นวนั ถัดมาจากวนั กรรมเสือนอน เพือ่ ขอให้เทพส่งิ ศกั ดิ์สทิ ธิบ์ ันดาลให้ เสือเดนิ ทางไปหากินท่อี น่ื วันกรรมมีด (กง่ิ หยุ) เป็นวนั กรรมทจี่ ะหยุดงานในไรน่ า เพือ่ ให้มีความปลอดภยั จากมีดและขวาน วันกรรมพายุ (กิ่ง จย๋าว) เป็นวันกรรมที่ต้องอยู่กรรม เพื่อให้ลมพายุไม่พัดท�ำลายชีวิตและ ทรัพยส์ ิน วันกรรมนก (กิ่ง เหนาะ) เป็นวันกรรมที่ต้องอยู่กรรม เพ่ือไม่ให้นกมาท�ำลายพืชผลต่าง ๆ ท่ีปลูกไว้ วนั กรรมหนู (กง่ิ หนาว) เปน็ วนั กรรมทต่ี อ้ งอยกู่ รรม เพอื่ ไมใ่ หห้ นมู าทำ� ลายขา้ วและพชื ทปี่ ลกู ไว้ วนั กรรมงู (กง่ิ นาง) เป็นวันกรรมทต่ี อ้ งอย่กู รรม เพอื่ ไมใ่ หง้ ตู า่ ง ๆ เขา้ บา้ น และไมใ่ ห้งกู ดั เวลา เดินทางในปา่ วนั กรรมแมลงบงุ้ (กิ่ง แกง้ ปะเย) เปน็ วนั ทต่ี อ้ งอย่กู รรม เพื่อไมใ่ ห้ตวั บ้งุ หรอื ตวั หนอนต่าง ๆ เขา้ บ้าน หรือมารบกวน วนั กรรมฟา้ (กง่ิ บะ อง) ถอื วา่ เปน็ วนั เกดิ ของเทพฟ้าผา่ เมีย่ นจะไม่ไปไร่ หรือตำ� ขา้ ว วนั กรรมนำ้� หลาก (กิง่ โหล่) เปน็ วนั กรรมที่ตอ้ งอยกู่ รรม เพ่ือไมใ่ หน้ ้�ำไหลเขา้ มาท�ำความเสยี หายแกช่ ีวติ ทรัพย์สนิ และพืชไร่ วนั กรรมเซ็งเมง้ (กงิ่ เฉง็ เมง่ ) เป็นวนั เซ่นไหวบ้ รรพบรุ ษุ วนั กรรมชนุ่ ปนุ (กง่ิ ชนุ่ ปนุ ) เปน็ วนั กรรมเพอ่ื รบั ฤดใู หมท่ ก่ี ำ� ลงั จะมาถงึ เพอื่ ใหฝ้ นตกตอ้ งตาม ฤดกู าล ซึง่ จะทำ� ใหก้ ารเพาะปลกู ไดผ้ ลดี
78 ชนต่างวฒั นธรรมในประเทศไทย วันกรรมเล่ียวห่า (กิ่ง เลี่ยว ห่า) เป็นวันผลัดเปล่ียนฤดูกาลตามแบบจีน บางหมู่บ้านเช่ือว่า ระหว่างอยกู่ รรม ห้ามผ้ชู ายนอนหลับในตอนกลางวัน เพราะถา้ หลบั ขวญั ของเขาจะหายไป และจะไป อยปู่ ระเทศทีม่ ีแตผ่ หู้ ญงิ ท่ี เมี่ยนเรียกว่า เย่ยี ว เยย่ี น ก้วั วันกรรมปั้วชุน (ก่ิง ปั้ว ชุน) เป็นวันท่ีมีการเซ่นไหว้วิญญาณบรรพบุรุษ และวิญญาณอ่ืน ๆ ใหช้ ่วยดแู ลรักษา และช่วยไลส่ ัตว์ปา่ ไมใ่ หม้ ารบกวนผลิตผลทางการเกษตร วันกรรมเลียบเชียว (กิ่ง เหลียบ เชียว) เป็นวันกรรมที่เซ่นไหว้ป่าเขา โดยท�ำเคร่ืองเซ่นท่ีมี รูปร่างคล้ายธง และท�ำใหเ้ ป็นรปู คล้ายเหรยี ญเงนิ เหรยี ญทอง เพอื่ ให้เจา้ ปา่ ช่วยดแู ลพืชผลตา่ ง ๆ ในไร่ วันกรรมข้าวตั้งท้อง (ก่ิง กู๋ โด๋ง จยด) เป็นวันท่ีต้องอยู่กรรม เพ่ือให้ข้าวต้ังท้องออกรวงตาม ปกตไิ ม่ลบี ฝอ่ วนั กรรมเจียบ หอื ม (ก่ิง เจียบ หอื ม) เป็นวันท่ีตอ้ งอยู่กรรม เพือ่ ไมใ่ ห้บรรดาวญิ ญาณทงั้ ปวง รวมท้ังวิญญาณทีถ่ กู ขงั โดยเวทยม์ นตไ์ ด้ออกมาทอ่ งเทีย่ วอย่างอสิ ระ เปน็ วญิ ญาณทีเ่ ป็นใหญ่ในรอบปี วนั กรรมเม้ียนปุ๋ยบวั ะ (กิ่ง เมี้ยน ปุ๋ย บวั ะ) เป็นวันกรรมท่มี วี ัตถปุ ระสงค์ เพือ่ น�ำรูปเทพสวม ดาว ซ่ึงถูกเก็บไว้อย่างมิดชดิ ออกมาผงึ่ แดด ซึ่งเม่ียนกล่าวว่า เป็นการเปดิ หเู ปดิ ตาเทพสามดาว พิธีเจี๋ย ชุ่น ย่าง เป็นวันกรรมส�ำหรับการเปลี่ยนฤดูกาลมาสู่ฤดูหนาว บางหมู่บ้านกล่าวว่า พิธีนีม้ ขี ึ้นเพ่ือไม่ใหฝ้ นตกลงมา ทำ� ความเสยี หายแก่ต้นพืชระหวา่ งที่เก็บเกย่ี วเสยี หาย ในบางวันกรรมนั้น ชาวเม่ียนจะจุดธูปปักไว้ที่ประตูเข้าบ้านและ ในวันน้ันจะใส่ชุดเมี่ยน หรอื ถา้ ไมใ่ สก่ ค็ วรทจี่ ะแขวนไวห้ นา้ บา้ น เพราะชาวเมยี่ นมคี วามเชอื่ วา่ เพอ่ื จะใหว้ ญิ ญาณบรรพบรุ ษุ ได้ ปกปักคุ้มครองลกู หลาน การแตง่ กาย ๑. เสอ้ื ผ้า เสอื้ ผา้ จากตำ� นานทบ่ี นั ทกึ ไวใ้ นหนงั สอื เดนิ ทางขา้ มเขตภเู ขา [เกยี เซน็ ปอ๊ ง] ทเี่ มยี่ นไดค้ ดั ลอก กนั ตอ่ ๆ มาจนถงึ ทุกวนั น้ี ระบุใหล้ ูกหลานเมี่ยน ปกปิดรา่ งกายของผนั หู ผใู้ ห้ก�ำเนิดเม่ยี น โดยใช้เสอื้ ลายหา้ สคี ลมุ ร่าง เขม็ ขัดรดั เอว ผ้าเชด็ หน้าลายดอกไม้ผกู ท่หี นา้ ผาก กางเกงลายปดิ ก้น ผา้ ลายสองผนื ปดิ ทข่ี า เชอ่ื กนั วา่ จากตำ� นานนเ้ี องทำ� ใหเ้ มย่ี นใชเ้ สอื้ ผา้ คาดเอวผา้ โพกศรี ษะ และกางเกงทปี่ กั ดว้ ยหา้ สี สมัยก่อนเมี่ยนการคมนาคมการค้าขายยังไปไม่ถึงบนดอย ส่วนใหญ่เมี่ยนนิยมใช้สีปักลาย เพยี ง ๕ สเี ท่าน้ัน คอื สีแดง สเี หลือง สีน�้ำเงนิ สีเขียวและสีขาวในชว่ งสองทศวรรษท่ผี ่านมานี้เมย่ี นนยิ ม
เมยี่ น (เยา้ ) Mien (Yao) 79 ปกั ลายผา้ เพ่ิมมากขึน้ และใช้สตี ่าง ๆ เพม่ิ ข้นึ มากอกี ดว้ ย การปักลายและการใชส้ สี นั ในการปักลายจะ แตกต่างกนั บา้ งตามความนยิ มของแตล่ ะทอ้ งถิน่ การปักลายเส้อื ผา้ ทกุ วันนห้ี ญิงเมี่ยน กย็ งั คงแตง่ กาย ตามแบบฉบับที่ระบุไว้ในต�ำนานได้อย่างเคร่งครัด ผ้าที่เมี่ยนน�ำมาปักลายเป็นผ้าทอมือ กล่าวกันว่า เมยี่ นเคยทอผา้ ใชเ้ อง แตเ่ มอื่ อพยพเขา้ มาอยใู่ นประเทศไทยแลว้ คน้ พบวา่ ผา้ ทอมอื ของ ไทลอ้ื ทม่ี ถี นิ่ ฐาน อยู่ในประเทศพม่า และประเทศไทยเหมาะแก่การปักลายจึงได้ซื้อผ้าทอมือ ของไทลื้อมาย้อมและปัก ลายจนกลายเป็นความนิยมของเมยี่ นไป เมี่ยนมีลักษณะการแต่งกาย การใช้สีสัน จะแตกต่างกันบ้างเพียงเล็กน้อย เม่ือแต่งกายตาม จารีตประเพณีก็พอจะทราบได้ว่ามีถิ่นฐานอยู่ในท้องท่ีใด หรืออยู่ในกลุ่มใด แต่มีบ้างที่กลุ่มที่อาศัยอยู่ ใกล้เคียงกันจะมีการลอกเลียนแบบซ่ึงกันและกันบ้าง การปักลายเม่ียนจะจับผ้า และจับเข็มแตกต่าง กบั เผา่ อนื่ ๆ เมย่ี นจะปกั ผา้ จากดา้ นหลงั ผา้ ขน้ึ มายงั ดา้ นหนา้ ของผา้ เมย่ี นจงึ ตอ้ งจบั ผา้ ใหด้ า้ นหนา้ ควำ�่ ลง เมอ่ื ปกั เสรจ็ แตล่ ะแถวแลว้ กจ็ ะมว้ น และใชผ้ า้ หอ่ ไวอ้ กี ชน้ั หนง่ึ เพอื่ ปอ้ งกนั สง่ิ สกปรกตา่ ง ๆ การปกั ลาย เส้ือผ้าเพื่อใช้ท�ำเป็นเครื่องแต่งกาย และของใช้ตามจารีตประเพณี เมี่ยนมีวิธีการปักลายสี่แบบคือ การปกั ลายเสน้ [กว่ิ กวิ่ ] การปกั ลายขดั [โฉง่ เกยี ม] การปกั ลายแบบกากบาท [โฉง่ ทวิ ] และการปกั ไขว้ [โฉง่ ดบั ยับ] การเรยี กชอื่ ลายปกั ในการปกั ลายสตรเี มย่ี นจะตอ้ งจดจำ� ชอื่ และวธิ กี ารปกั ลายไปพรอ้ ม ๆ กนั สำ� หรบั การปกั ลายขดั [โฉง่ เกยี ม] และลายกากบาท [โฉง่ ทวิ ] สว่ นใหญจ่ ะเปน็ ลายเกา่ ทชี่ อ่ื เรยี กเหมอื น กัน แต่ส�ำหรับลายไขว้ [โฉ่ง ดับ ยับ] น้ัน เม่ียนอาจน�ำลักษณะเด่นของแต่ละลายปักเดิมมาปรับปรุง หรือปักเพ่ิมเติมให้ลายปักใหม่อีกลายหน่ึง และให้สีสันสวยงามตามใจตนเองชอบ โดยอาจตั้งชื่อใหม่ ก็ได้ นอกจากนี้สตรีเมี่ยนบางคนท่ีมีความเฉลียวฉลาดอาจประดิษฐ์ลายปักใหม่ ๆ ข้ึนมาโดยการน�ำ ส่วนประกอบของลายต่าง ๆ มาประกอบเขา้ ดว้ ยกัน หรือดัดแปลงเปน็ ลายปักใหม่แลว้ ตงั้ ชือ่ เรียกใหม่ แต่โดยท่ัวไปแล้วจะเรียกชื่อท่ีคงลักษณะเด่นของลายเดิม เช่น ลายปักหมวกขององค์ผู้บริสุทธ์ิท้ังสาม [ฟามกุน] เป็นลายที่ปรบั ปรงุ มาจากลายฟามซิง บางคร้งั ลายปกั แบบปกั ไขวแ้ ต่ละลายนี้มีลายละเอียด แตกตา่ งกนั ไป บางหมบู่ า้ นทมี่ ขี นาดใหญ่ แตล่ ะกลมุ่ อาจเรยี กชอื่ ทแี่ ตกตา่ งกนั ดว้ ย และบอ่ ยครง้ั พบวา่ เม่ียนเรียกชื่ออย่างเดียวกัน แต่เป็นลายปักแตกต่างกันก็มี แต่อย่างไรก็ตามช่ือลายปักที่เมี่ยนเรียกกัน จะมคี วามหมายทสี่ มั พนั ธ์ หรอื เกยี่ วขอ้ งกบั สงิ่ ตา่ ง ๆ คอื ความเชอื่ วธิ กี ารปกั ลาย พชื ผลทางการเกษตร ถึงแม้เม่ียนจะปักลายตามความเชื่อนี้ แต่เมี่ยนไม่ได้ถือว่าลายปักน้ัน เป็นเคร่ืองรางของขลัง หรอื เปน็ ของศกั ดิ์สทิ ธ์ิ การปักลายจงึ เนน้ ท่ีความสวยงามมากกวา่ ทจี่ ะเปน็ เครอ่ื งรางของขลัง นอกจาก นเี้ มยี่ นยงั เชอื่ วา่ กางเกงของผหู้ ญงิ เปน็ ของตำ่� ไมส่ มควรทจ่ี ะเปน็ สง่ิ ศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิ แตอ่ าจเปน็ ไปไดท้ ว่ี า่ เมย่ี น ตอ้ งการแสดงให้เห็นวา่ เมี่ยนเป็นกลุ่มทม่ี ีความเชอื่ ในเรอ่ื งเทพยดา
80 ชนต่างวัฒนธรรมในประเทศไทย การแต่งกายในชวี ติ ประจ�ำวนั ผู้ชายสวมเสื้อผ้าแบบชาวไทยทั่วไป ส่วนผู้หญิงนั้นหากเป็นหญิงสาวนิยมแต่งกายอย่างหญิง สาวไทยหญงิ วยั กลางคนถงึ สงู อายแุ ตง่ กายดว้ ยชดุ ประจำ� เผา่ หรอื นงุ่ ผา้ ถงุ ใสเ่ สอ้ื ยดื หรอื เสอ้ื เชติ้ แตย่ งั โพกศีรษะอยู่ มีท้ังรูปแบบเดิมและใช้ผ้าขาวม้า การพันศีรษะน้ีหากเคยพันมาอย่างไรก็ต้องปฏิบัติ ตลอดไป ยกเวน้ ทศี่ รี ษะจะใสห่ มวกเพอ่ื ไมใ่ หเ้ ปน็ ไขห้ วดั ไดง้ า่ ย หมวกนมี้ รี ปู แบบเฉพาะทงั้ ของเดก็ หญงิ และเด็กชาย ส่วนเด็กเล็ก ๆ นอกจากจะต้องสวมหมวกแล้วพวกผู้ใหญ่หรือพ่ี ๆ จะสะพายเอาไว้ ดา้ นหลงั และนำ� ไปในทตี่ า่ ง ๆ โดยมซี ว่ งปยุ หรอื ผา้ สะพายเดก็ ผกู เดก็ เอาไวผ้ า้ นปี้ กั ลวดลายและประดบั ตกแต่งอยา่ งสวยงาม การแตง่ กายในงานประเพณี เม่ียนจะสวมใส่ชุดประจ�ำเผ่าของตนอย่างพร้อมเพรียงโดยเฉพาะผู้หญิง หญิงชาวเมี่ยนสวม เสื้อสีด�ำยาวคลุมเข่า แขนยาว ผ่าด้านข้างล�ำตัวต้ังแต่สะโพกจนถึงปลายผ้ากุ๊นริมด้วยผ้าสีส่วนมากใช้ สฟี า้ หรอื สนี ำ้� เงนิ เขม้ คอเสอ้ื ประดบั ดว้ ยพมุ่ ไหมพรมสแี ดงผา่ หนา้ ตลอดจนถงึ เอว มกี ระดมุ เปน็ แผน่ เงนิ ขนาด ๓ x ๕ ซ.ม. รูปสเี หลยี่ มผนื ผา้ ตดิ เป็นแนวนอนคลา้ ยเข็มกลดั ติดถงึ บริเวณเหนือเอว พนั ศีรษะ ด้วยผ้าพื้นเป็นชิ้นแรก ส่วนช้ันนอกจะใช้ผ้าพันลายปักซ่ึงมีลักษณะการพัน ๒ แบบ คือ แบบหัวโต และแบบหัวแหลม ผ้าพันนมี้ ีลายปักที่เชิงหรอื ปักแบบห่างบนผนื ผ้า และผ้านีจ้ ะพันไวต้ ลอดแม้ในเวลา นอน หญงิ เมย่ี งน่งุ กางเกงขากว๊ ยสีด�ำ ดา้ นหนา้ กางเกงเปน็ ลายปักทลี่ ะเอยี ดและงดงามมาก นิยมอวด และประชนั ความงามของการปกั ผา้ ลวดลายนใ้ี ชเ้ วลาปกั ๑ - ๕ ปี ขน้ึ อยกู่ บั ความละเอยี ดของลวดลาย และเวลาว่างของผู้ปักเป็นส�ำคัญ ด้วยเหตุนี้หญิงเมี่ยนจึงอวดลายปักของตน ด้วยการรวบปลายเส้ือที่ ผ่าด้านข้างท้ังสองมามัดไว้ด้านหลังและใช้ผ้าอีกผืนหนึ่งท�ำหน้าที่เป็นเข็มขัดทับเสื้อและกางเกงนั้นอีก รอบหน่ึง โดยท้ิงชายผ้าซึ่งปกั ลวดลายไว้ข้างหลงั สำ� หรบั ผ้ชู ายสวมเสอ้ื พน้ื สดี �ำปักลวลลายดอกบนผนื ผ้าน้นั คอเส้ือผา่ ป้ายไปข้างล�ำตวั สวมกางเกงขาก๊วยสดี ำ� เมื่ออยู่ในงานประเพณี เชน่ เป็นเจา้ บา่ วหรอื เพื่อนเจ้าบ่าว ก็จะนิยมพันศีรษะแบบเดียวกับผู้หญิงและประดับด้วยเครื่องเงินเช่นกัน ชาวเม่ียนมีชื่อ เสียงในเร่ืองการตีเครื่องเงิน ท้ังน้ีเพราะเม่ียนนิยมใช้เครื่องประดับที่เป็นเงินเช่นเดียวกับชาวเขากลุ่ม อน่ื และรปู แบบเครอื่ งประดบั เมย่ี นนนั้ งดงาม และมหี ลายรปู แบบเครอ่ื งประดบั แตล่ ะชน้ิ เปน็ งานผมี อื ทป่ี ระณีต เมอื่ มงี านประเพณี ผู้หญิงเม่ียนจะประดบั เคร่อื งเงินกนั อยา่ งเต็มที่ดังน้ี ๑. ต่างหู เป็นรูปวงกลมร้อยเข้ารูหู เป็นแกนขนาดเล็กถึงใหญ่ ส�ำหรับขนาดใหญ่ผู้ใส่ต้อง ขยายรูหูให้มีขนาดประมาณปลายนิ้วก้อย ต่างหูนี้มีหัวลูกศรช้ีอยู่กลางวง คนวัยกลางคนถึงผู้สูงอายุ นยิ มใสต่ า่ งหแู บบน้ี สำ� หรบั สาวเมยี่ นปจั บุ นั นยิ มตา่ งหขู นาดเลก็ มลี กั ษณะคลา้ ยดอกไมท้ ม่ี พี วงเงนิ แผน่ เล็กห้อยระยา้ ลงมา
เมีย่ น (เย้า) Mien (Yao) 81 ๒. กำ� ไลเงนิ มีทงั้ แบบแบนแกะลายและแบบกลม ๓. สร้อยเงนิ พนั ขอ้ มอื ๔. พวงสรอ้ ยตดิ แผ่นหลงั เสอ้ื มีเขม็ กลดั ในตัวอย่ทู พี่ วกสร้อยน้ี ๕. พวกสร้อยติดแผน่ หลังเสือ้ มีเข็มกลัดในตวั ตดิ อย่ทู พ่ี วกสร้อยน้ี ๖. สรอ้ ยเงนิ พนั ผ้าโพกศรี ษะ ๗. ห่วงคอมีทง้ั แบบห่วงเดยี วไปจนถงึ หา้ หว่ ง ๘. แหวนเงนิ การประกอบอาชพี ในอดตี ชาวเม่ยี นมอี าชีพหลกั คอื การประกอบอาชีพแบบไรเ่ ลื่อนลอยเปน็ สว่ นใหญ่ ปจั จุบัน นั้นอาจมีอาชีพหลากหลายเข้ามา เช่น การท�ำเครื่องเงิน เพราะชาวเมี่ยนนิยมเคร่ืองประดับท่ีท�ำ ดว้ ยเงนิ ในหมชู่ นชาวเมยี่ นมชี า่ งทำ� เครอ่ื งประดบั ตามวฒั นธรรม และคา่ นยิ มของชาวเมยี่ นเอง ซง่ึ สภาพ แวดลอ้ มทางสงั คมอาจทำ� ใหช้ าวเมย่ี นเกดิ อาชพี อนื่ ๆ ขนึ้ มา แตอ่ าชพี หลกั ของชาวเมย่ี น คอื การทำ� การ เกษตร ชาวเม่ียนนิยมปลูกพืชต่าง ๆ แค่พออยู่พอกินเท่าน้ัน ซึ่งถ้าเหลือค่อยน�ำไปเป็นการค้าต่อไป เม่ือได้ผลผลิตออกมาแล้ว ก็จะท�ำการเก็บรักษาเอาไว้เพื่อเก็บไว้กินในช่วงฤดูแล้ง การเพาะปลูกใน ระยะ ๑ ปีแรกชาวเมยี่ นจะไม่นยิ มเอาพืชไรอ่ อกไปขาย การทำ� ไร่ การท�ำไรน่ น้ั แทบจะนบั ไดว้ า่ เปน็ อาชีพหลักของเมย่ี น ในเวลา ๑ ปีน้นั เม่ียนจะทำ� ไร่มากท่ีสดุ เนื่องจากว่า เมี่ยนสามารถผลิตมาเก็บไว้ได้นาน เมี่ยนจะหมุนเวียนการทำ� ไร่ไปในแต่ละปี เม่ือท�ำการ ปลูกพืชอย่างใดอย่างหนึ่งในพ้ืนท่ีท่ีเตรียมมาแล้วน้ัน ปีต่อไปจะไม่เอาพืชท่ีเคยปลูกมาแล้วมาปลูก ซ้�ำอีก โดยจะเอาพื้นท่ีนั้นไปปลูกพืชอย่างอ่ืนแทนไปก่อน เมี่ยนเชื่อว่าถ้าเอาพืชมาปลูกพ้ืนที่เดียว หลาย ๆ ครั้ง จะท�ำให้ดินน้ันไม่อุดมสมบูรณ์ เมี่ยนจะท�ำการหมุนเวียนอย่างนี้อยู่ประมาณ ๒-๓ ปี เม่ือดินเริ่มเส่ือมสภาพแล้ว เมี่ยนก็จะย้ายไปหาท่ีท�ำกินแห่งใหม่ ในช่วงเวลาท่ีเมี่ยนปลูกพืชหลัก อยา่ งเชน่ ขา้ วหรอื ขา้ วโพดอยนู่ น้ั เมย่ี นกจ็ ะทำ� การปลกู พชื บางอยา่ งเลก็ นอ้ ยทเ่ี ปน็ อาหารหลกั ประจำ� วนั เช่น ผักกาด หอม ผักชี ฟักต่าง ๆ ฯลฯ ซึ่งการปลูกผักนั้นจะนิยมปลูกบริเวณรอยต่อระหว่างภูเขา เพราะเป็นที่ล่มุ และใกล้รอ่ งน�ำ้ ไหล ดนิ จะชมุ่ ช้นื และมคี วามอุดมสมบูรณม์ าก
82 ชนต่างวัฒนธรรมในประเทศไทย วิธกี ารทำ� ไร่ เมย่ี นจะทำ� ไรใ่ นแตล่ ะพน้ื ทไี่ มน่ านนกั เมอ่ื ทำ� ไรผ่ า่ นมาประมาณ ๒-๓ ปสี ภาพดนิ เรม่ิ เสอ่ื มลงแลว้ เมยี่ นกจ็ ะยา้ ยไปหาทเี่ พาะปลกู แหง่ ใหม่ การหาทท่ี ำ� การเพาะปลกู ของเมย่ี นนน้ั เมยี่ นจะใชท้ ำ� เลในการ เพาะปลกู โดยท่ีไม่เปน็ ภเู ขามากเกนิ ไปและไมร่ าบเกนิ ไป หลงั จากที่หาทำ� เลเสร็จแล้ว กจ็ ะท�ำการถาง ให้ราบ แล้วรอจนไม้แห้งแล้วจึงจะท�ำการเผา เม่ือเริ่มเข้าฤดูฝนเมี่ยนก็จะเริ่มท�ำการเพาะปลูกพืช ตา่ ง ๆ ทีเ่ ตรียมไว้ เม่ือปลกู พชื ไปไดร้ ะยะหน่ึงแล้วกจ็ ะเรม่ิ มาถางหญา้ เวลาผา่ นไปนานพืชเติมโตพอที่ จะเก็บเก่ียวแล้ว เม่ียนก็จะเริ่มเก็บเก่ียวแล้วก็น�ำเก็บไว้ในกระท่อมเล็กท่ีเม่ียนท�ำข้ึนมา และค่อยขน กลบั บ้านทลี ะเล็กน้อย โดยอาจจะใช้ม้าหรือสตั ว์ในแต่ละครัวเรือนท่ีเลยี้ งอยชู่ ่วยขนกลบั อุปสรรคการทำ� ไร่ เนอื่ งจากในอดตี นน้ั การขนสง่ ทางคมนาคมไมส่ ะดวก จงึ ทำ� ใหเ้ ปน็ ปญั หาหลกั ของเมย่ี น เมย่ี น จึงน�ำสัตว์มาเป็นเคร่ืองมือในการขนส่งแทน แต่การใช้สัตว์ในการขนส่งนั้นยังเป็นปัญหาอยู่ดี สัตว์ไม่ สามารถทจ่ี ะขนทลี ะมาก ๆ ได้ การปลกู พชื ทห่ี า่ งจากบา้ นนน้ั ยงั ทำ� ใหเ้ ปน็ ปญั หาอกี อยา่ ง เพราะพชื จะ เสียหายเป็นอย่างมากด้วย เพราะวา่ ยงั มสี ัตว์ป่าท่ียงั มาก่อความวุน่ วาย และสรา้ งความเสียหายใหก้ บั ผลผลิตตลอดเวลา แต่เม่ียนก็แก้ปัญหาโดยการสร้างกระท่อมเล็ก ๆ ไว้ในที่ปลูกพืชไร่ แต่น่ันก็ช่วยได้ ไมม่ ากเทา่ ไร่ผลผลิตกย็ ังเสยี หายบา้ งอยดู่ ี การเลย้ี งสตั ว์ ในระหว่างท่ีท�ำการเพาะปลูกอยู่นนั้ เมยี่ นยงั ทำ� การเล้ียงสัตวไ์ ปดว้ ย และอาจจะมีหลายชนิด ขนึ้ อยกู่ บั ความสะดวกของแตล่ ะครวั เรอื น เมย่ี นมกั จะเลยี้ งสตั วจ์ ำ� พวก หมู ไก่ มา้ สนุ ขั ฯลฯ ชาวเมย่ี น นิยมเล้ียงหมกู ับไกม่ ากกวา่ สตั ว์ชนดิ อ่นื เพราะนอกจากจะนำ� มาประกอบอาหารแลว้ ยงั น�ำหมูกับไก่นี้ มาเปน็ เครอ่ื งเซน่ ไหวใ้ นพธิ กี รรมตา่ ง ๆ ดว้ ย สว่ นการเลย้ี งดนู นั้ แตเ่ ดมิ แลว้ มกี ารเลยี้ งแบบปลอ่ ยใหห้ า กินเองตามธรรมชาติ ให้อาหารเพียงช่วงเช้ากับช่วงเย็น แต่ปัจจุบันได้มีการเลี้ยงเป็นระเบียบมากข้ึน คอื ทำ� คอกหมหู รอื เลา้ ไก่ เพอ่ื ลดปญั หาสตั วเ์ ลยี้ งทค่ี ยุ้ เขย่ี พชื ผกั เสยี หาย สว่ นมา้ นนั้ จะเลย้ี งไวใ้ ชแ้ รงงาน เพราะสมัยก่อนนั้น เมี่ยนนิยมใช้แรงงานม้าเป็นแรงงานในการขนส่ง ส�ำหรับสุนัขนั้นเลี้ยงไว้เพ่ือช่วย เฝา้ บา้ น และเอาเข้าป่าในยามท่ีออกลา่ สตั ว์ เม่ียนเป็นชื่อท่ีชาวเขาเผ่าเย้าเรียกตนเอง ซึ่งเป็นค�ำที่ชาวเขาเผ่าเมี่ยนพอใจในการใช้ค�ำน้ี มากกวา่ ค�ำว่าเย้า เมย่ี นเป็นกลมุ่ ชาตพิ นั ธุท์ ี่อพยพเข้ามาในประเทศไทยทหี ลงั เดมิ ทเี ดยี วอาศยั อยู่ทาง ตอนใต้ของประเทศจนี เป็นชนชาตใิ นตระกลุ จนี ทเิ บต
เม่ียน (เย้า) Mien (Yao) 83 ถนิ่ อาศยั อยบู่ รเิ วณพนื้ ทสี่ งู หรอื บนภเู ขาทางภาคเหนอื ในเขต ๙ จงั หวดั โดยมากจะอยใู่ นระดบั ความสงู ที่ ๑,๐๐๐ – ๑,๕๐๐ เมตร ลกั ษณะบา้ นด้ังเดิมมีลักษณะเป็นรปู สีเ่ หลย่ี มผนื ผา้ ปลกู คล่อมดิ นมหี อ้ งนอนแบง่ แยกเปน็ หลายหอ้ งภายในบา้ น เมอื่ ลกู สาวโตเปน็ สาวแลว้ ใหแ้ ยกหอ้ งนอนตา่ งหากจาก พอ่ แม่ หอ้ งครวั แยกตา่ งหากและมบี รเิ วณหนา้ หอ้ งนอนเปน็ โถงใหญไ่ วว้ างแครห่ รอื เตยี งสำ� หรบั นง่ั เลน่ ในบ้านไมน่ ิยมทำ� หนา้ ตา่ งแตม่ ปี ระตอู อกหลายทาง มีความเชื่อเชื่อผีบรรพบุรุษ และมีการไหว้และเลี้ยงผีในการประกอบพิธีต่าง ๆ มีการไหว้ บรรพบุรุษในช่วงปีใหม่ซึง่ ตรงกับวนั ตรุษจนี พิธีแต่งงานจะมขี นั้ ตอนและใช้เวลามาก การเขยี นหนังสือ ทีเ่ ปน็ คัมภรี ์โบราณเช่นค�ำสวด หรอื อักษรในงานมงคลต่าง ๆ นิยมใช้อกั ษรจีน หากคนในหมบู่ า้ นเขยี น ไมไ่ ดก้ ็จะใหค้ นจนี ทอ่ี าศัยในเมอื งเป็นผู้เขียนให้
บทที่ ๕ อาขา่ อาขา่ (ก้อ อกี อ้ อะกา้ ข่าก้อ) Akha (Kaw) ตระกลู ภาษายอ่ ยทิเบต-พมา่ (Tibeto-Burman) สาขาพมา่ -โลโล (Burmese-Loloish Branch)๑ ประวัติความเปน็ มา อาข่า เป็นค�ำพูดที่เรียกตนเอง เป็นค�ำที่ใช้เหมือนกันท้ังในเขตสิบสองปันนาในมณฑลยูนาน ของประเทศจนี ลงมาในประเทศพมา่ ลาว และประเทศไทย แตก่ ่อนคนไทยรูจ้ กั ในนาม “อกี อ้ ” เดมิ ที ชนเผ่าอาข่าเป็นกลุ่มชน อาศัยอยู่ใกล้เขตธิเบต และเขตตอนใต้ของประเทศจีน อาข่าส่วนหน่ึงต้อง อพยพเข้าเข้าสู่ประเทศพม่า เพ่ือแสวงหาท่ีท�ำกิน และเมื่อประเทศจีนได้มีการเปลี่ยนแปลงทาง การเมือง โดยเฉพาะการปฏิวัติวัฒนธรรม ท�ำให้อาข่าส่วนใหญ่ได้อพยพออกจากประเทศจีนเข้าสู่ ประเทศพมา่ ทางแควน้ เชยี งตงุ ประเทศลาว แขวงหลวงนำ้� ทา และทศิ เหนอื ของประเทศเวยี ดนามเพมิ่ มากขนึ้ เพือ่ หนีภยั จากปัญหาตา่ ง ๆ อาทิเชน่ ปัญหาความไม่สงบทางการเมอื ง การเปลีย่ นแปลงทาง วัฒนธรรม ปัญหาการขาดแคลนท่ที ำ� กิน และปญั หาโรคภยั ไข้เจ็บต่าง ๆ เพอื่ แสวงหาความสงบ๒ การตง้ั ถิน่ ฐาน อาข่าได้อพยพโยกย้ายเข้าสู่ประเทศไทย โดยมี เส้นทาง ๒ เส้นทางคือ เส้นทางแรก อพยพ จากประเทศพม่าแคว้นเชียงตุง เข้าสู่ประเทศไทยเน่ืองจากเกิดปัญหาทางการเมือง ด้านฝั่งเขตอ�ำเภอ แมจ่ นั ทางหมบู่ า้ นพญาไพร (ปจั จบุ นั เปน็ อำ� เภอแมฟ่ า้ หลวง) และอกี เสน้ ทางหนง่ึ ไดอ้ พยพมาตง้ั หมบู่ า้ น อาขา่ ทางฝั่งอำ� เภอแม่สาย เขตบรเิ วณบ้านผาหม ีและหมู่บ้านอาข่าเขตอ�ำเภอเชียงแสน หรอื บ้านดอย สะโง้ อีกสว่ นหนึง่ หน่งึ ได้มาต้งั หมู่บ้านแสนใจ ในเขตอำ� เภอแแมจ่ นั (ปจั จุบันเป็นอำ� เภอแม่ฟ้าหลวง) เส้นทางที่สอง อาข่า ได้อพยพโดยตรงจากประเทศจีนโดยเดินทางผ่านบริเวณตะเข็บ ชายแดนพม่า และแมน่ ้�ำโขงประเทศลาว และเขา้ สู่ประเทศไทยโดยตรงท่อี ำ� เภอแม่สาย ปัจจุบันชุมชน อาขา่ ไดก้ ระจดั กระจาย ตงั้ ชมุ ชนอยใู่ นพน้ื ทจี่ งั หวดั ทางภาคเหนอื ตอนบนของประเทศไทย คอื เชยี งราย เชียงใหม่ ล�ำปาง แพร่ ตาก น่าน และ เพชรบูรณ์ ๑ ขอ้ มลู กลมุ่ ชาตพิ นั ธ.์ุ http.www.sac.or.th/database/ethnic/akha.html. เขา้ ถงึ เมอ่ื วนั ท่ี ๑๘ กนั ยายน พ.ศ.๒๕๔๘ ๒ โรงเรยี นสงครามจิตวิทยา กรมยทุ ธศาสตรท์ หาร กองบญั ชาการทหารสูงสุด. ชาวเขาเผ่าอีกอ้ , (กรุงเทพ : สำ�นกั งาน คณะกรรมการปฏิบตั ิการจิตวทิ ยาแหง่ ชาติ, ๒๕๑๘.) น. ๑๖
86 ชนต่างวฒั นธรรมในประเทศไทย ลักษณะบา้ นและท่ีอยอู่ าศยั บ้าน หรือ ยุ้ม ของอาข่าเป็นบ้านท่ีสร้างด้วยไม้ และมุงหลังคาด้วยหญ้าคา ก่อนท่ีจะมีการ สร้างบ้าน ชาวอาข่าจะมีพิธีส�ำหรับเลือกท่ีท่ีจะสร้างบ้าน โดยจะเอาไม้มาปักไว้แล้วพูดว่า “ถ้าอยาก ให้เราสร้างบ้านส�ำหรับพักพิงท่ีนี่ คืนน้ีตอนท่ีเรานอนอย่าให้เราฝันร้ายเลย ขอให้เราได้ฝันเห็นแต่สิ่งที่ ดี ๆ” และถ้าเรานอนแล้วฝันดีเราก็สามารถสร้างบ้านที่นั่นได้ แต่ถ้าเกิดเราฝันร้ายหรือมีเหตุเกิดข้ึน อย่างไม่คาดคิด เราไม่ควรสร้างบ้านที่นั่น เพราะถือว่าเจ้าที่เจ้าทางไม่อนุญาต หลังจากท่ีเลือกที่จะ ปลูกบา้ น ก็จะมีการสร้างบา้ นโดยชาวบา้ นทุกคนจะมาช่วยกัน ลกั ษณะบา้ นของอาขา่ ๑) บา้ นทส่ี รา้ งใหม้ พี นื้ ทอ่ี าศยั ตดิ กบั ดนิ เรยี กวา่ “ยมุ้ เอาะ” โดยภายในบา้ น บรเิ วณสว่ นใหญ่ ท่ีใช้ประโยชน์จะเป็นพ้ืนดิน และท่ีนอน จะเป็นชานนอนท่ีปูด้วยไม้ไผ่ การสร้างบ้านในลักษณะนี้เรา สามารถสรา้ งใหส้ งู ขน้ึ กไ็ ด้ ซงึ่ ตา่ งกบั การสรา้ งบา้ นแบบยกพน้ื ถา้ สรา้ งแบบยกพนื้ แลว้ ไมส่ ามารถสรา้ ง ให้ติดดินได้ จนกวา่ จะเปลี่ยนชมุ ชน ๒) บา้ นแบบยกพนื้ ทงั้ หลงั เรยี กวา่ “ยมุ้ โก”้ ซงึ่ บา้ นทง้ั สองลกั ษณะนี้ มปี ระตเู ขา้ ออกของบา้ น มกี ารสร้างระเบยี ง เพอื่ ใชง้ านเอนกประสงคต์ า่ ง ๆ เชน่ ท่เี ก็บอาหารสตั ว์ นง่ั เลน่ หรอื เป็นท่ีนั่งคุยกนั ของหนุ่มสาว บ้านของชาวอาข่าแต่ละหลังจะกั้นห้องเป็นสองด้าน คือ ห้องของผู้ชาย (บอเลาะ) และหอ้ งของผู้หญงิ (ยุ้มมา) มเี ตาไฟเพ่อื ใช้ประโยชนใ์ นการหงุ ข้าว หรอื ทำ� อาหารไวภ้ ายในบ้าน ๒ เตา ซึ่งข้ึนอยู่กับขนาดของบ้านแต่ละหลัง การสร้างบ้านของอาข่าจะอยู่ได้ ๔-๕ ปี แต่จะมีการซ่อมแซม ทุกปีซึ่งจะท�ำการซ่อมแซมช่วงเดือนมีนาคม ถึงเมษายน เพราะจะตรงกับช่วงที่ชาวบ้านว่างจากการ ทำ� ไรท่ �ำสวน วิถีชีวติ การเกิด ตามความเชอ่ื ของอาขา่ เดก็ ชายจะสบื ทอดตระกลู ของพอ่ สมยั กอ่ นการคลอดลกู ของคนอาขา่ หากมารดาเปน็ สะใภข้ องบา้ น จะไมม่ กี ารคลอดในในบา้ นของปยู่ า่ จะตอ้ งหาบา้ นใหอ้ กี หลงั หนง่ึ สำ� หรบั การคลอดลูก ซ่ึงอาจเป็นการสร้างช่ัวคราวก็ได้ ส�ำหรับหมอต�ำแยก็คือคนเฒ่าคนแก่ท่ีมีความรู้ในด้าน การท�ำคลอด เรียกว่า “หย่าฉี่อ่ามา” เวลาหมอต�ำแยจะไปท�ำคลอดจะต้องเตรียมไม้เฮี่ยะ (ไม้ไผ่ชนิด หนึ่งมีเปลอื กบาง เม่อื ผา่ แลว้ จะมคี วามคมมาก) เอาไปตัดสายสะดือ และดา้ ยส�ำหรับผกู สายสะดอื เดก็ เวลาเด็กคลอดออกมา พอเด็กคลอดออกมาเสร็จหมอต�ำแยจะอุ้มเด็กไปให้แม่ และเอาที่รองรกไป
อาขา่ (กอ้ อกี ้อ อะกา้ ข่าก้อ) Akha (Kaw) 87 ใส่รกเพ่ือน�ำไปฝังไว้ที่ใต้ถุนบ้านตรงบริเวณเสาเอกของบ้าน และจะต้องเอาไม้มาหนีบปากรกเอาไว้ เวลาฝังจะต้องให้ปากหงายขึ้งข้างบน และน�ำไม้มาปิดไว้ที่ปากหลุม พอรุ่งเช้าก่อนไก่ขันของอีกวันจึง คอ่ ยเอาขเี้ ถา้ มาถม หลงั จากทหี่ มอตำ� แยอมุ้ เดก็ มาใหแ้ ม่ แมก่ จ็ ะตอ้ งนำ� เดก็ มานง่ั บนเกา้ อกี ทต่ี งั้ ไวต้ รง เสาเอกของบ้าน และหมอต�ำแยก็จะแกะไข่ต้มให้แม่เด็กกินฟองหนึ่ง ใช้ผ้ารัดหน้าท้องของมาดา ช่วยแก้อาการหน้ามืดหรือเป็นลมของแม่เวลาคลอดลูกใหม่ ๆ ส่วนแม่ก็จะเอาหมวกของอาข่ามาใส่ ให้เด็ก หลังจากน้ันก็จะน�ำเด็กมาท�ำพิธีตั้งชื่อและรับขวัญเด็ก หลังคลอด ๑๐ วัน แม่และลูกจะไม่ให้ ออกจากบา้ น ซง่ึ คนอาข่าเขาจะเรียกว่าอยู่ กรรม (หย่าสึลองเออ) การตัง้ ช่อื ให้เด็ก เม่ือเด็กเกิดมาวันแรกเขาก็จะน�ำเด็กไปท�ำพิธีต้ังช่ือ พร้อมกับการท�ำพิธีรับขวัญเด็ก โดยมี หมอตำ� แยเปน็ คนทำ� พธิ แี ละตง้ั ชอื่ ใหห้ ลกั การตง้ั ชอ่ื ของคนอาขา่ การตงั้ ชอ่ื ของเดก็ จะตอ้ งเอาคำ� ลงทา้ ย ของชื่อพ่อมาตั้งเป็นชื่อตัวแรกของลูกเสมอ และเมื่อท�ำพิธีตั้งช่ือลูกเสร็จ เขาก็จะไม่ให้พ่อแม่บอกกับ ใครวา่ เดก็ ช่ืออะไรเปน็ เวลา ๑๐ วนั เพราะเขาเชอ่ื วา่ ถา้ หากบอกไปลูกก็จะตกใจและร้องไห้ดว้ ย การแต่งงาน อาข่าเป็นชนเผ่าท่ีมีความละเอียดในการด�ำรงชีวิต และการถือฤกษ์ยามดีเพ่ือการประกอบ พิธีกรรมต่าง ๆ หากวันไหน หรือเดือนไหนฤกษ์ยามไม่ดี ก็จะไม่มีการปฏิบัติเพ่ือการเลือกคู่ครอง แมผ้ ้ชู ายอาข่าจะสามารถแตง่ งานกบั หญิงทต่ี นรัก ถึงแมเ้ กดิ การพบเห็นเพียงครง้ั เดียวกส็ ามารถ ที่จะ แต่งงานกันได้ แต่อาข่ามีหลักการในการเลือกคู่ครอง ซึ่งเป็นเรื่องที่จ�ำเป็น และส�ำคัญอย่างมาก คือ การสอบถามถึงเช้ือสาย วงศ์ตระกูล ของแต่ละฝ่าย หากอยู่ในตระกูลเดียวกันก็จะไม่แต่ง ยกเว้นถ้ามี ช่วงห่างของระดับชื่อบรรพบุรุษ ๗ ช่วง ก็อนุโลมให้แต่งงานกันได้ ไม่เพียงแค่การสอบถาม เช้ือสาย วงศต์ ระกูลยงั จะต้องสอบถามถงึ วันเดอื นปเี กิดอีกดว้ ย ถา้ ผหู้ ญงิ และผชู้ ายตกลงจะแต่งงานกัน ผใู้ หญ่ฝา่ ยชายจะต้องไปสู่ขอ กบั พ่อแม่ของฝ่ายหญิง เมื่อตกลงกัน ได้แล้ว ฝ่ายชายก็จะพาผู้หญิงมายังหมู่บ้านของตัวเอง โดยให้อยู่บ้านญาติพ่ีน้องก่อน หน่ึงคืน พิธีแต่งงาน ของคนอาข่าจะมีด้วยกันทั้งหมด ๓ วัน ในวันแต่งงานนั้นจะมี “แยะหม่อ” (คนแก่ที่รู้เร่ืองพิธีกรรม) เป็นคนท�ำพิธีให้ก่อนที่เจ้าสาวจะเข้ามาอยู่ในหมู่บ้าน จะต้องมีการช�ำระล้าง ร่างกายให้กับเจ้าสาว และผู้เฒ่าผู้แก่จะเอาไม้ตีลงตรงบนหลังคาบ้านทางเข้าบ้านของเจ้าบ่าว เพราะเช่ือว่า จะท�ำให้วิญญาณของเจ้าสาวเข้าบ้าน เม่ือเขาพา คู่บ่าวสาวเข้าไปในบ้านแล้วเขาก็จะให้ ค่บู า่ วสาวส่งไขไ่ ก่สลบั วนกันระหวา่ งคูบ่ า่ วสาว จ�ำนวน ๓ รอบ โดยจะต้อง ระวงั ไม่ใหไ้ ข่ตก เพราะเชอ่ื กนั ว่าถา้ ไขต่ กจะทำ� ให้ไม่มีลูกและจะไมไ่ ดบ้ ญุ ซงึ่ พิธีนเี้ ป็นพธิ ที ส่ี ำ� คัญท่ีสุด
88 ชนต่างวัฒนธรรมในประเทศไทย หลงั จากน้นั จะมีการฆ่าไก่หนึ่งตวั และตดั ส่วนขา นอ่ ง หัว หัวใจ ไสห้ วาน ตดู ไก่ และเน้อื อีก หน่ึงชิน้ น�ำไปตม้ เพอ่ื ให้คบู่ า่ วสาวกิน โดยจะถอื เป็นการกนิ ข้าวคร้งั แรกของคูบ่ า่ วสาว และจะตอ้ งกนิ ให้หมดด้วยเพราะเชือ่ ว่า คู่น้ีจะมลี ูก หรือไม่ และลูกจะแข็งแรงสมบูรณ์แคไ่ หนขึน้ อยกู่ บั พธิ ีกรรมน ้ี นอกจากน้ันจะมกี ารฆ่าหมู และผ่าทอ้ งหมูดหู วั ใจ และตับเพ่ือเป็นการท�ำนายวา่ ลกู ท่เี กิดมา จะเปน็ ผหู้ ญงิ หรอื ผูช้ าย วนั ที่ ๒ ผ้หู ญงิ จะตื่นแต่เช้าเพ่อื ทำ� งานบ้านทุกอยา่ ง ท้ังตักน้�ำ และหงุ ข้าว ปลาอาหารแลว้ ก็ จะเรยี กผเู้ ฒา่ ผแู้ กม่ ากนิ ขา้ วรว่ มกนั ทบ่ี า้ นของเจา้ บา่ ว และผเู้ ฒา่ ผแู้ กก่ จ็ ะรอ้ งเพลง เพอื่ เปน็ การใหพ้ ร แก่คู่บ่าวสาว ในตอนเย็นก็จะมีการด่ืมเหล้า โดยผู้บ่าวสาวจะต้องถือแก้วเหล้า ไปให้คนเฒ่าคนแก่ริน ให้ดื่ม ซง่ึ ถอื เป็นการขอบุญจากผูเ้ ฒ่าผูแ้ ก่ วันที่ ๓ เจ้าสาวจะต้องออกไปตัดต้นกล้วยแดง (งาเนะ) ในป่า ซ่ึงจะต้องเอาหยวกกล้วยมา เผาให้แขกกินในวันน้ี จะมกี ารฆ่าไก่ให้ผูเ้ ฒา่ ผูแ้ ก่กนิ และจะมกี ารอวยพร ใหค้ ูบ่ ่าวสาวดว้ ย นอกจากน้ี ยังมีการทาเขม่า (หมิ่น) กันและกัน โดยแขกที่มาร่วมงานจะทาน�้ำมันพืชที่มือจากก็ลูบเขม่า (หมิ่น) จากก้นหม้อ แล้วไล่ทากัน และจะทาคู่บ่าวสาวด้วย เพื่อเป็นการทดสอบความอดทน ก่อนที่จะด�ำรง ชวี ิตอยูร่ ่วมกนั การตาย อาขา่ เชอื่ วา่ การตาย คอื การเปลย่ี นภพจากโลกมนษุ ยไ์ ปสปู่ รโลกอนั เปน็ ทสี่ งิ สถติ ของวญิ ญาณ บรรพชน หากได้ท�ำพิธีการต่าง ๆ อย่างถูกต้อง วิญญาณผู้ตายจะไม่เป็นอันตราย แต่จะช่วยคุ้มครอง ลูกหลานให้สืบเผ่าพันธุ์ให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป ทันทีท่ีมีคนตาย สมาชิกครอบครัวจะจัดการอาบน�้ำศพ และแต่งตัวให้ด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ ซึ่งได้จัดเตรียมไว้แล้ว ใส่เหรียญเงินในปากพร้อมกับแจ้งให้ผู้ตายน�ำ ไปซื้อสิ่งของท่ีต้องการ และจึงมัดศพด้วยผ้าด�ำ คลุมด้วยผ้าแดงอีกชั้นหนึ่ง ตั้งศพเรียบร้อยแล้วจึงมี การร่ายช่ือบรรพบุรุษจนครบสายเป็นครั้งแรกที่ช่ือผู้ตายได้อยู่ในสายน้ีด้วย การร่ายนี้ควรท�ำโดยบุตร ชายซงึ่ หากท�ำไม่ได้ก็เชญิ “พิมา” หมอสวดของอาขา่ มาช่วย มกี ารสวดศพทกุ คนื จนกว่าจะนำ� ไปฝงั ตามประเพณที ถ่ี อื ปฏิบัตสิ ืบมา พิธกี ่อนจะน�ำศพไปฝงั จะตอ้ งเชญิ หมอสวดท�ำพธิ ใี นบา้ นที่ตัง้ ศพหมอจะต้องสวดมนต์ของอาข่าถึง ๓ วัน ๒ คืน เช่ือกันว่า มนต์นี้มีบทบอกวิธีไปสู่สัมปรายภพแก่ วญิ ญาณของผตู้ ายอยา่ งละเอยี ด หากเปน็ ศพญาตผิ ใู้ หญท่ ส่ี ำ� คญั จะตอ้ งฆา่ ควายอยา่ งนอ้ ย ๑ ตวั บชู ายญั หมอผชี น้ั อาจารย์ (พมิ า) เท่านน้ั จงึ สามารถปา่ วเรยี กหมภู่ ูตตลอดจนวญิ ญาณผูต้ ายมาชว่ ยในการแทง ควายให้ถกู วธิ ี ขณะท่แี ทงจะต้องใชช้ ายฉกรรจห์ ลายคนช่วยกันจับปากควายอ้า และกรอกนำ้� เพ่อื มิให้ ควายส่งเสยี งรอ้ ง แล้วจงึ กลบหัวควายด้วยแกลบเมอื่ ฆ่าเสรจ็
อาขา่ (กอ้ อีกอ้ อะกา้ ขา่ ก้อ) Akha (Kaw) 89 พธิ ฝี ัง ชายฉกรรจ์ ชว่ ยกันหามโลงศพ ซึ่งผกู แนบไว้ดว้ ยคานไม้ยาวสองคานออกจากบา้ นไปสู่สุสาน ยังจุดท่ีได้ขุดหลุมเตรียมไว้แล้ว ให้ยาวตามทิศตะวันออกไปทางทิศตะวันตก ขณะท่ีหามโลงออกจาก บา้ นกำ� ลงั จะพน้ ชายคาเขาจะดงึ หญา้ มงุ หลงั คาหนงึ่ กำ� มอื มาเหนบ็ ไวก้ บั เชอื ก ทม่ี ดั ปดิ โลงเปน็ สญั ลกั ษณ์ วา่ คนเปน็ จะแบง่ บา้ นใหค้ นตายอยู่ และตอ่ มามกี ารแบง่ นาบรเิ วณเลก็ ๆ ไวใ้ หค้ นตายไดป้ ลกู ขา้ วกนิ ดว้ ย เวลาฝังมกี ารท�ำพธิ ที ี่สสุ าน เมอื่ กลบหลมุ เรยี บรอ้ ยแลว้ กจ็ ดั วางเครอ่ื งใชส้ ว่ นตวั ของผตู้ าย เชน่ กลอ้ งสบู ยา ถว้ ยชา นำ�้ เตา้ และเคร่ืองมือหากินไว้บนหลุม ที่หัวหลุมวางไม้ง่ามเพ่ือแทนย่ามบรรจุห่ออาหารไว้ให้ผู้ตายด้วย เมอ่ื เสร็จพธิ กี ลับถงึ บา้ น ครอบครัวผู้ตายกนิ อาหาร ม้อื สง่ วิญญาณ เพือ่ ย้�ำให้ผ้ตู ายตระหนักวา่ บัดน้มี ี เขตทลี่ ะเมิดไม่ได้ระหวา่ งภพคนเป็นกบั คนตาย เขาจะไมม่ ารบกวนคนทมี่ ชี ีวติ อยู่ อกี หน่งึ ปตี อ่ มา จงึ มี พธิ เี ชิญวญิ ญาณกลับมาคุ้มครองลูกหลาน เช่นเดียวกบั บรรพชนคนอนื่ ๆ กรณีการตายไมด่ ี ตายแบบท่ีอาข่าถือว่าไม่ดีมี ๒ ประเภทใหญ่ ๆ คือ ตายโหงกับตายโดยไม่มีทายาทสืบสกุล การตายโหงต้องท�ำพิธีล้างบาปหรือขอขมาลาโทษเทพหรือผีเสียก่อนจึงจะน�ำศพไปฝังในสุสานของ หมู่บ้านได้ แต่ก็มีการตาย ๓ ชนิดท่ีห้ามฝังแม้ในสุสาน จะต้องจัดการฝังในท่ีที่ถึงแก่ความตายน่ันเอง คอื ตายเพราะถกู เสือกดั จมน�ำ้ ตาย หรืออ่ืน ๆ หลมุ จะตอ้ งขุดลกึ เป็นพเิ ศษเพราะจะต้องฝังสุนัขไวบ้ น ศพเพ่ือกันไม่ให้ผีออกมาอาละวาดร้องโหยหวนส่วนการตายโดย ไม่มีทายาทสืบสกุลนั้นก็ประกอบพิธี ในบ้านคล้ายตายธรรมดาผิดกันแต่ว่าจะต้องเจาะข้าง ๆ ฝาน�ำศพออกจากบ้าน ออกทางประตูไม่ได้ และเน่อื งจากไมม่ ีผ้ใู ดจะคอยบชู าบรรพบชู าอีกต่อไปแลว้ ก็ตอ้ งร้อื ศาลออกไปโยนท้ิงเสยี ในปา่ ขณะท่ี ฝงั ศพ ผนู้ ำ� ไปทงิ้ ตอ้ งรอ้ งบอกบรรพชนวา่ ในเมอื่ ทา่ นไมป่ กปอ้ งรกั ษาลกู หลานทนี่ กี่ ไ็ มใ่ ครเซน่ ไหวท้ า่ นแลว้ ซ่ึงแสดงให้เห็นว่าอาข่าถือธรรมเนียมหน้าท่ีในครอบครัวรุนแรงเพียงใด อาข่าจะไม่พูดถึงความตายใน เวลาปกติ หรือท�ำสิ่งที่เขาเชื่อว่าอาจเรียกวิญญาณคนตายกลับมาเข้าร่างอีกได้ เช่น เคาะโลงใกล้ ๆ ศพ ผิวปากในห้อง เป็นตน้ ถือว่าเมอ่ื มชี ีพอยู่กไ็ ม่พงึ พะวงกบั ความตาย และเม่ือจากโลกนไี้ ปแลว้ ก็ไม่ พึงกลบั มาวนุ่ วายอีก
90 ชนต่างวัฒนธรรมในประเทศไทย ประเพณแี ละความเชอ่ื ๓ ๑. “แช้ จี้ ชี เออ” พธิ พี ธิ เี กบ็ เมลด็ พนั ธข์ุ า้ ว ปลายเดอื นกมุ ภาพนั ธ์ - ปลายเดอื นมนี าคม เปน็ พิธีกรรมภายในครอบครัวเก่ียวกับการเก็บ เมล็ดพันธุ์ข้าวครั้งสุดท้ายท่ีได้จากไร่ เอาเข้าไป เก็บไว้ใน บ้าน เพือ่ ลูกหลานจะได้มีพนั ธข์ุ า้ วไวป้ ลกู ต่อไป. ๒. “หม่ี จา่ เขอ่ หม่ี ลอง” อยกู่ รรมไมจ่ ดุ ไฟเผาไร่ ชว่ งปลายเดอื นมนี าคม - ตน้ เดอื นเมษายน แสดงให้เห็นว่าหมดฤดูกาลเผาไฟในการเตรียม พื้นท่ีเพาะปลูกแล้ว และเป็นการอุทิศส่วนบุญกุศล ใหส้ ตั วท์ ีต่ ายไปจากการท่เี ผาไร่ ซ่ึงเป็นการอโหสกิ รรม โดยหยดุ การท�ำงานเป็นเวลา ๑ วนั ๓. “ขมึ่ สึ ข่ึม ม้ี อาเผว่ ” พิธีต้อนรับฤดูกาลใหม่ เดอื นเมษายน เปน็ พธิ กี ารต้อนรับฤดูกาล ใหม่เนื่องจากเป็นการ เปลี่ยนแปลงฤดูร้อนไปสู่ฤดูฝนและเริ่มเพาะปลูก ได้และยังถือได้ว่าเป็นวันเด็ก อาขา่ มกี ารเล่นชน ไข่โดยการยอ้ มเปลอื กไข่เป็นสีแดงและใส่ ตระกร้าห้อยไปมา เรียกอกี อยา่ งหน่ึงได้ ว่า “ประเพณีชนไข่” โดยในช่วงงานนีจ้ ะหยดุ การท�ำงาน ทั้งหมบู่ ้าน ๔. “ลอ้ ขอ่ ง ดู่ เออ” พธิ ปี ลกู ประตหู มบู่ า้ น (ประตผู )ี เดอื นเมษายน อาขา่ มคี วามเชอื่ ตอ่ การ ท�ำประตูหมู่บ้านว่า เพ่ือไม่ให้ภูตผีปีศาจ, โรคภัยไข้เจ็บ ทุกชนิดไม่ให้เข้ามาในชุมชน เป็นการปกป้อง คุ้มครองคนในชุมชน ซ่ึงประตูหมูบ้าน นี้ห้ามบุคคลทุกเพศทุกวัยแตะต้องโดยเด็ดขาด และสามารถ บอกอายกุ ารตง้ั หมบู่ า้ น ไดอ้ กี ดว้ ย เพราะจะมกี ารปลกู ประตผู ที กุ ปี โดยใชเ้ วลาประกอบพธิ เี พยี ง ๑ วนั เท่านัน้ ๕. “ค๊า ด่า ฉี่ เออ” พิธีถวายทานให้ผีเปรต ช่วงที่มีโรคระบาดในชุมชน พิธีเชิญวิญญาณ, สงิ่ ชวั่ รา้ ยออกจากหมบู่ า้ น กระทำ� ในชว่ งใด ๆ ของปกี ไ็ ดโ้ ดยดวู า่ ถา้ คนในชมุ ชนมโี รครบกวนกจ็ ะมกี าร ประกอบ พิธีน้ีข้ึนเป็นการท�ำเพื่อเช้ือเชิญวิญญาณ เจ้าเมือง, ทาส, ผีเปรต ต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ใน ชุมชน ให้ออกจากชุมชนไปทัง้ หมด อย่ามา รงั ควานกนั ถอื เปน็ การถวายสังฆทานให้ เจ้าเขาต่าง ๆ. ๖. “ม้ี ซอ้ ง ลอ้ เออ” พธิ บี ชู าเจา้ ท,ี่ เจา้ ปา่ , เจ้าเขา เดอื นเมษายน เพ่ือใหเ้ จา้ ทดี่ แู ลปกปกั รักษาชมุ ชนอยา่ งทั่วถึง โดยมีความเช่ือวา่ พระภูมเิ จ้าท่นี ้ัน เป็นผชู้ ว่ ยคุ้มครองดูแลชวี ติ และชุมชน ใหม้ ี ความอยเู่ ยน็ ประกอบอาชพี มรี ายได้ ตลอดปีโดยใชเ้ วลาประกอบพธิ เี พียง ๑ วันเทา่ น้ัน. ๓ เวชชวฒุ ิ บญุ ชวู ทิ ย.์ เงอ่ื นไขทางวฒั นธรรมทม่ี อี ทิ ธพิ ลตอ่ การยอมรบั สง่ิ ใหมข่ องชาวเขาเผา่ อกี อ้ : ศกึ ษาเฉพาะกรณี หมบู่ า้ นแสนเจรญิ ใหม่ อำ�เภอสรวย จงั หวดั เชยี งราย. วทิ ยานพิ นธส์ าขามานษุ ยวทิ ยา ภาควชิ ามานษุ ยวทิ ยา บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร, ๒๕๓๒. น. ๔๗.
อาขา่ (กอ้ อกี ้อ อะก้า ขา่ ก้อ) Akha (Kaw) 91 ๗. “แช้ คา อา่ เผว่ ” พธิ ปี ลกู ขา้ วเรม่ิ แรก กลางเดอื นพฤษภาคม เปน็ การเนน้ ยำ�้ วา่ ถงึ ฤดปู ลกู ข้าวแล้วและยังเป็นการ ก�ำหนดการนับรอบระยะเวลาและอายุ พืชพันธุ์ ตลอดจนการก�ำหนดวัน ประกอบ พธิ กี รรม,ประเพณี ต่าง ๆ ในรอบปนี ั้น ๆ อีกด้วย ๘. “บุ่เด้ แจ๊ะ ลอง เออ” อยู่กรรม ต้นเดือนมิถุนายน (หลังจากพิธีปลูกข้าวผ่านพ้นไปได้ ๓ สัปดาห์) เป็น การอยู่กรรมเพื่อไว้อาลัยแก่สัตว์, แมลง ที่ถูกแทงตายหรือล�ำตัวขาด ได้มีการต่อตัว โดยใช้เวลาอยูก่ รรมเพยี ง ๑ วัน ๙. “เบว่ โอะ ลอง เออ” พิธีก�ำจัดศตั รตู น้ ข้าว “ด้วงดนิ ” มิถุนายน – กรกฎาคม เปน็ กรรมวธิ ี การก�ำจดั ศัตรูขา้ วในไร่ เนื่องจาก ด้วงดนิ ชอบกดั กนิ รากข้าวอ่อน ซึง่ จะทำ� ให้ขา้ ว นั้นตายโดยไม่มีการ เติบโต จงึ ต้องจัดพิธกี รรมน้ขี น้ึ มา. ๑๐. “ข่มึ ผ่ี ลอ้ เออ” พิธีทำ� บุญในไร่ข้าว เดอื นกรกฎาคม เป็นพธิ ีทใี่ ห้ขวัญและกำ� ลงั ใจข้าว ทีก่ ำ� ลังเจริญงอกงาม รวมทง้ั เจา้ ทท่ี ่ีเฝา้ ดูแลรักษาไร่ เป็นพธิ ีกรรม ระดบั ครอบครวั . ๑๑. “แย้ ขู่ อาเผว่ ” พธิ ีโลช้ ิงชา้ ปลายเดอื นสิงหาคม – ต้นเดือนกนั ยายน เปน็ พธิ โี ล้ชิงชา้ ของชาวอาข่าและฉลองผลิตผล ทางการเกษตรและถือได้วา่ เปน็ สัญลกั ษณ์ ประเพณีของผู้หญงิ ๑๒. “ยอ ลา อาเผว่ ” พธิ ีไหวบ้ รรพบุรษุ เดอื นกนั ยายน เปน็ พธิ ที จ่ี ดั ขน้ึ เพอื่ เชดิ ชอู ดตี ผนู้ ำ� ทางวฒั นธรรม ซ่งึ เคยดำ� รงต�ำแหนง่ มาก่อน ๑๓. “แซย้ ์ ลอง-เออ” อยกู่ รรม ปลายเดอื นกันยายน ชาวอาข่าเชื่อว่าถา้ ไดม้ องเหน็ โลกของ วิญญาณสัตว์ (แซย้ ์) ประเภทนี้ จะท�ำใหป้ ่วยไขแ้ ละอาจตายได้จงึ ตอ้ งมกี ารอย่กู รรมในวนั แซย้ ์ เพื่อจะ ไม่ให้มอง เห็นสตั ว์ประเภทน้ีจนถึงปัจจุบนั ๑๔. “ยา จิ๊ อาเผ่ว” พธิ ีไหว้ตอ้ นรบั วญิ ญาณ บรรพบรุ ุษ ๗ ชั่วโคตร เดือนตุลาคม เปน็ การ จัดพิธีกรรมต้อนรบั เหลา่ บรรพบรุ ษุ ท่ีลงมา จากสวรรคเ์ พ่อื เยีย่ มเยียนลูกหลาน. ๑๕. “หยะ ลอง-เออ” อยู่กรรมวันหมู เดือนตุลาคม เป็นการอยู่กรรม เป็นเวลา ๑ วัน โดยไมม่ ีการท�ำ พธิ ีกรรมใด ๆ เพือ่ เป็นการซ่อนตวั จากโลกทส่ี มั ผัส ไม่ได้ (ผ)ี กับโลกมนุษย์ โดยไมใ่ ห้ แตล่ ะฝ่ายมองเห็น กันถอื เป็นการแบ่งเขตของแตล่ ะฝา่ ย ๑๖. “แจ บอ๊ ง ลอง เออ” พธิ ีอย่กู รรมก�ำจดั ศัตรขู ้าว “ต๊ักแตน” เดอื นตลุ าคม เมอ่ื ขา้ วเรม่ิ ออกรวงเปน็ พิธกี รรมก�ำจัดศัตรขู า้ ว คือตัก๊ แตนโดยไมใ่ ชส้ ารเคมี โดยชาวบ้านทุกคน จะอย่บู ้านโดยไม่ ทำ� งานเพอื่ เปน็ การ อยู่กรรมให้ต๊ักแตน
92 ชนตา่ งวัฒนธรรมในประเทศไทย ๑๗. “ยอ พู นอง หมื่อ เช้ เออ” พิธกี ินขา้ วใหม่ เดือนพฤศจิกายน พิธกี ารกำ� หนดวันฤกษด์ ี ในการเก็บเก่ียวขา้ ว ของชมุ ชนและเปน็ การเรม่ิ ต้นเกบ็ เกี่ยว ผลผลิต (ขา้ ว) ได้หลงั ประกอบพิธนี ี.้ ๑๘. “แซ้ สึ จ้ี บ่า ฉ่ีล้อ เออ” พิธีท�ำกระบอกเหล้า จากข้าวใหม่ กลางเดือนพฤศจิกายน เป็นการเตรียมเหล้ากระบอกพิธีโดยใช้ข้าวใหม่ เพื่อใช้ในพิธีกรรมต่าง ๆ ของปีน้ัน และยังได้ใช้ถวาย ให้บรรพบรุ ุษและเทพเจ้าตา่ ง ๆ อกี ด้วย ๑๙. “บอ่ ง เยว แปยะ เออ” พิธเี กย่ี วข้าวครั้งสุดท้าย กลางเดอื นตลุ าคม เปน็ การเก็บเก่ยี ว ข้าวจากในไร่เป็นคร้งั สดุ ทา้ ย และยังเป็นการเรยี กเจ้าที่ทด่ี ูแลไร่ข้าวกลับ บา้ นอกี ดว้ ย. ๒๐. “ค๊า ท้อง อาเผว่ ” พิธีปีใหมล่ ูกข่าง เดือนธันวาคม ปีใหม่ลกู ข่างน้ถี ือเป็นประเพณีของ ผ้ชู าย จะมกี ารท�ำลูกข่างมาแขง่ ตกี ัน เพ่อื ฉลอง การเปลย่ี นแปลงวัยทีม่ ีอายุมากข้นึ ศาลเจา้ ศาลพระภูมิเจ้าที่เป็นศาสนสถานที่ส�ำคัญของชุมชนอาข่า เป็นท่ีกราบไหว้ บูชาของชุมชน อาข่า ศาลพระภูมิเจ้าท่ีจะมีการสร้าง ประมาณเดือนเมษายนของทุกปี หลังจากปลูกสร้างประตู หมูบ่ า้ นแลว้ และจะมกี ารบูชาทกุ ปี ปีละคร้งั หรือถ้าปไี หนมีโรคระบาดเยอะ หรอื มเี หตกุ ารณท์ ี่ไม่คาด ฝนั มาเยอื น ชมุ ชนบอ่ ย ๆ ก็อาจประกอบพธิ ี ๒ ครง้ั ใน ๑ ปี ศาลพระภมู ิเจา้ ท่จี ะสรา้ งไว้ทางทศิ เหนือ ของชมุ ชน หา่ งจากชมุ ชนประมาณ ๕๐๐ เมตร ทำ� เลในการ จะสรา้ งศาลพระภมู เิ จา้ ทจี่ ะตอ้ งอยสู่ งู กวา่ ระดับการตั้งของชุมชน สามารถมองเห็นชุมชนได้อยา่ งทว่ั ถงึ ทั้งนต้ี ามความเช่ือของอาขา่ เพ่อื ใหเ้ จา้ ที่ สามารถดูแลและปกปักรักษา คนในชุมชนได้อย่างท่ัวถึง ศาลพระภูมิเจ้าท่ี ตามความคิดของอาข่าให้ ความหมายถงึ เจา้ ท่ี เจา้ ทาง เจา้ ปา่ เจา้ เขา รวมทงั้ เจา้ เมอื งของทกุ เผา่ พนั ธ์ุ ทเ่ี คยดำ� รงตำ� แหนง่ เปน็ ใหญ่ ตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน อาข่าถือว่าเป็นผู้มีคุณให้ชีวิต อยู่รอดปลอดภัยดังน้ันศาลพระภูมิเจ้าท่ีตาม ความเชื่อของอาข่าน้ัน เป็นแหล่งสิงสถิต ของดวงวิญญาณของเจ้าท่ี ซ่ึงมนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้ เป็นผู้ช่วยคุ้มครองดูแลคนในชุมชน ให้มีความอยู่เย็นเป็นสุข มีความสมบูรณ์ ในการประกอบอาชีพ ส่วนประวัติความเปน็ มาของการบชู าในศาลพระภูมิเจ้าทีข่ องชาวอาข่า ไมร่ ะบวุ ่าเกดิ ขนึ้ เมอื่ ใด แตเ่ ชอ่ื ว่ามีมานานแล้วมีมาพร้อมกับการก่อต้ังชุมชนอาข่า เพราะเป็นศาสนสถานที่อยู่ควบคู่กับชุมชนอาข่า ตัง้ แต่อดตี จนถงึ ปจั จบุ ัน ในการประกอบพิธกี รรมที่ศาลพระภมู เิ จา้ ทจี่ ะใชเ้ วลาเพียง ๑ วนั โดยก่อนทจ่ี ะมกี ารท�ำพิธี หวั หนา้ ครวั เรอื น ทกุ ครวั เรอื นจะตอ้ งไปรวมตวั กนั ทบี่ า้ น ของผนู้ ำ� ศาสนามกี ารเตรยี มเครอ่ื งหรอื อปุ กรณ์ ในการเซ่นไหว้ตา่ ง ๆ ใหพ้ รอ้ ม จากนั้นก็จะเดนิ ทางไปบรเิ วณท่กี อ่ ตั้งศาลพระภมู เิ จา้ ทใี่ นการประกอบ พธิ ีกรรมในศาลพระภมู ิเจ้าท่ี ผ้หู ญิงหรือ แม่บา้ นจะไมเ่ ขา้ ร่วม เพราะว่าตามประเพณีของอาข่าผู้หญิง
อาข่า (ก้อ อีกอ้ อะก้า ข่ากอ้ ) Akha (Kaw) 93 จะไม่ขึ้นในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา นอกจากผู้หญิงที่ได้ผ่านการยกต�ำแหน่งเทียบเท่าผู้ชาย แล้วเท่านั้น จึงสามารถท่ีจะประกอบพิธีได้ แต่เด็กตัวเล็ก ๆ สามารถไปร่วมรับประทานอาหารได้ เม่ือไปถึงบริเวณศาล ทุกคนก็จะช่วยกัน ท�ำความสะอาดบริเวณศาล แล้วเลือกต้นไม้ต้นหนึ่งที่ไม่โต หรือไม่เล็กเกนิ ไป เพื่อจะท�ำเป็นที่บูชา เมื่อเลือกต้นไม้ได้แล้ว ก็จะมีการแบง่ งานกัน มกี ลุ่มท่ีตอ้ งไปตัด ไมไ้ ผ่ เพอ่ื จะนำ� มาตบแตง่ บริเวณศาล โดยท�ำเปน็ เครือ่ งประดบั อาข่าเรียกวา่ “หนา่ ชหิ นา่ จะ” และมี ตาแหลว “ดา๊ แล้” ทุกคนก็จะชว่ ยกนั สร้างศาลขน้ึ มา เมือ่ สรา้ งศาลเสร็จ ก็จะมกี ารบูชาเซ่นไหว้ ขอพร เจา้ ทเ่ี จา้ ปา่ ใหด้ แู ลพน้ื ทท่ี ำ� กนิ ใหไ้ ดผ้ ลผลติ ทง่ี อกงาม ปลอดแมลงตา่ ง ๆ ทจี่ ะมารบกวนในพน้ื ทท่ี ำ� กนิ หลงั จากท�ำพธิ ีและขอพรเสรจ็ ทุกคนกจ็ ะร่วมรบั ประทานอาหาร ในบริเวณศาล หลังจากรบั ประทาน อาหารแล้วก็จะช่วยกันท�ำความสะอาด แลว้ ทุกคนกแ็ ยกย้ายกันกลบั บา้ น ถอื วา่ เสร็จส้นิ พธิ กี รรม ประตูผี ประตหู มบู่ า้ น เปน็ ศาสนสถานทสี่ รา้ งไวก้ อ่ นเขา้ สชู่ มุ ชนของชาวอาขา่ ทางทศิ เหนอื และทศิ ใต้ ของชุมชน ประตูหมู่บ้านนี้อาข่าเรียกว่า “ล้อข่อง” แปลความหมายได้คือ เขต หรือเขตคุ้มครอง ซง่ึ บางคนกน็ ยิ มเรียกประตูหมบู่ า้ นนว้ี ่า ประตูผี พธิ ีปลูกสรา้ งประตูหมบู่ ้านของอาขา่ จะนยิ มท�ำกันใน เดือน เมษายน ของทุกปี ตรงกับเดือนอาข่าคือ “ขึ่มสึบาลา” โดยชุมชนจะก�ำหนดวันฤกษ์ดีข้ึน แล้วท�ำการปลูกสร้าง อาข่ามีความเช่ือต่อการปลูกสร้าง ประตูหมู่บ้านว่า ท�ำเพ่ือป้องกันส่ิงไม่ดี หรือส่งิ เลวรา้ ยทอ่ี าจมาเยอื นในชมุ ชน รวมไปถึงภูตผปี ีศาจ และโรคภัยไข้เจ็บตา่ ง ๆ ถือเปน็ รวั้ ในการ ป้องกัน และคุ้มครองคนในชุมชน ตลอดจนการปลูกสร้างประตูหมู่บ้าน ยังเป็นตัวที่บอกถึงอายุการ ก่อตั้งของหมบู่ า้ นอาข่าอกี ดว้ ย สว่ นในการประกอบพิธีกรรม ก็จะใชเ้ วลาเพียง ๑ วัน สำ� หรบั ประตหู มบู่ า้ นของอาขา่ ถอื เปน็ ศาสนสถานทศี่ กั ดส์ิ ทิ ธขิ์ องหมบู่ า้ น หา้ มบคุ คลทกุ เพศ ทุกวัยท�ำการล่วงละเมิด หรือแตะต้องประตูหมู่บ้านน้ี หากบุคคลใดท�ำการล่วงละเมิด หรือแตะต้อง ประตูหมบู่ า้ นจะต้องท�ำพิธเี ล้ียงผีตรง ประตู หมู่บ้าน ถือวา่ เป็นการแก้ และกล่าวขอโทษทีล่ ว่ งละเมิด โดยมไิ ดต้ ง้ั ใจ หรอื ไมล่ ว่ งรมู้ ากอ่ นสว่ นขน้ั ตอนในการปลกู สรา้ งประตหู มบู่ า้ นกม็ ดี งั นค้ี อื ถา้ ผนู้ ำ� ศาสนา ของชมุ ชน “เจว่ มา” ไดก้ ำ� หนดวนั ฤกษด์ ี และประกาศวา่ วนั พรงุ่ ขนึ้ ทางชมุ ชนจะมกี ารปลกู สรา้ งประตู หมบู่ ้าน ใหท้ ุกคนรบั รไู้ วด้ ว้ ย และประมาณ ๒๐.๐๐ น. ผนู้ ำ� ศาสนากจ็ ะประกาศขา่ วอกี อาขา่ เรียกว่า “ล้องกู้กู้เออ” โดยให้คนในชุมชนงดเว้นการท�ำไร่ ท�ำสวน หยุดการจับปลา เก็บเห็ด หรือทุกอย่าง ทีอ่ ย่ใู นปา่ ในวันทจี่ ะปลูกสร้างประตหู ม่บู า้ น ส่วนช่วงเช้าอีกวันหน่ึง หัวหน้าครัวเรือนทุกครัวเรือนก็จะน�ำอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ต้องใช้ในการ ปลกู สรา้ งประตหู มบู่ า้ น แลว้ มารวมตวั กนั ทบ่ี า้ นของผนู้ ำ� ศาสนา พอรวมตวั กนั ครบแลว้ กอ็ อกไปดำ� เนนิ การปลกู สรา้ งประตหู มบู่ า้ น ในการปลกู สรา้ งประตหู มบู่ า้ นตอ้ งสรา้ งทง้ั ๒ ดา้ นของชมุ ชน หรอื ตวั ผตู้ วั เมยี
94 ชนตา่ งวฒั นธรรมในประเทศไทย ในวันเดียวกัน และต้องสร้างให้เสร็จก่อนอาหารเที่ยง คือถ้าสร้างไม่เสร็จก็ยังไม่รับประทาน อาหารเท่ียง จึงมีการแบ่ง และมอบหมายงานอย่างดี จะมีท้ัง คนท่ีต้องไปตัดไม้ส�ำหรับมาท�ำเป็นเสา และคาน ส่วนทีเ่ หลือกจ็ ะจดั การเรอ่ื งสถานทีร่ อบ ๆ ประตหู ม่บู ้านกม็ ีการดายหญ้า เพราะการจัดการ สถานทีห่ รือ การท�ำประการใด ๆ บริเวณประตหู มู่บา้ น จะทำ� ได้แค่วนั นวี้ นั เดยี วเอง ข้าง ๆ ประตหู มู่บ้านจะมีตกุ๊ ตาคน เพศชาย และเพศหญิง จดั วางอยู่ ซ่ึงเปน็ การแสดงถึงตน้ กำ� เนดิ ของชาวอาขา่ ในการสรา้ งประตหู มบู่ า้ นจะมกี ารแกะสลกั รปู รา่ งตา่ ง ๆ แลว้ ตดิ ไวบ้ นคานไมข้ า้ งบน อาจเปน็ ลกู ขา่ ง ปนื ดาบ นก เปน็ ตน้ การแกะสลกั รปู ต่าง ๆ นบี้ อกถงึ วถิ ีชิวิตและพิธกี รรมของอาขา่ โดยรวม เช่น ลูกข่างบ่งบอกถึงพิธีกรรมประเพณีของอาข่า ปืนและดาบก็เป็นของใช้ในชีวิตประจ�ำวัน ของอาข่า สว่ นนกน้นั อาข่าเชอ่ื ว่าเปน็ นกที่คอยมาบอกถงึ ภยั ตา่ ง ๆ ทีจ่ ะเกิดขึ้นในชุมชน น่ีเป็นความ เช่ือของอาขา่ ในการแกะสลักรูปเหลา่ นม้ี าตดิ ไว้บนคานประตหู ม่บู า้ น แตห่ ลัง ๆ เรม่ิ มีการนำ� รูปเครือ่ ง บินมาประดับด้วย เชื่อว่าเป็นผลมาจากการพัฒนาทางเทคโนโลยีของสังคมเมือง จึงท�ำให้อาข่าเอง ตนื่ ตัว และเริ่มปฏิบัตเิ พ่ือให้สอดคลอ้ งกบั สภาพปจั จุบนั หลังจากปลกู สร้าง ประตหู มบู่ า้ นเสรจ็ กจ็ ะมี การสานไม้ไผ่ แล้วน�ำมาประดบั รอบ ๆ ประตูหมู่บา้ น และจะติด ตาแหลว ไว้ตามต้นไมท้ ข่ี น้ึ อยู่รอบ ๆ ประตหู มู่บ้าน เพ่อื ห้ามไมใ่ ห้ใครมาตดั หรอื ท�ำลายเด็ดขาด จากท่นี ีเ่ ราจะเหน็ ว่า เครอื งหมาย ตาแหลว ตาแหลว คือเคร่อื งหมายที่อาขา่ ทำ� ขึน้ มาจากไม้ไผ่ โดยนำ� ไม้ไผ่มาผา่ บาง ๆ แลว้ สานถี่ ๆ ติดกันหลาย รอบแล้วน�ำไปติดตามต้นไม้ เป็นสัญลักษณ์ว่า “ห้าม” ฉะน้ัน เวลาเราเดินทางไปหมู่บ้านอาข่า หากเห็นตาแหลวผกู ตดิ อยู่บรเิ วณใดก็ตามหา้ มไปจับตอ้ ง หรือท�ำการใด ๆ ทง้ั ส้นิ เพราะเป็นความเชือ่ ทช่ี าวอาขา่ สบื ทอดกนั มานาน หลงั จากทสี่ รา้ งประตหู มบู่ า้ นดา้ นหนา้ เสรจ็ กจ็ ะไปสรา้ งตอ่ อกี ประตหู นงึ่ ทางดา้ นหลงั ของหมูบ่ า้ น หลงั จากสรา้ งเสร็จทั้งสองประตู กถ็ อื วา่ พธิ ีการปลูกสรา้ งประตูหมบู่ า้ น กไ็ ด้ เสร็จสิ้นลง ชาวบ้านตา่ งก็แยกยา้ ยกนั ไปทานขา้ วเที่ยงท่ีบา้ นของตน วนั น้ถี อื เปน็ วนั ส�ำคัญ อีกวันหนง่ึ อาขา่ จะไมอ่ อกไปไหน หรอื ประกอบการใด ๆ ทัง้ สิน้ ปใี หม่ ปีใหม่หรือประเพณี ค๊าท้องอ่าเผ่ว เป็นประเพณีเปลี่ยนฤดูกาลท�ำมาเล้ียงชีพ ประเพณีน้ีจะ จดั ขน้ึ ประมาณ เดอื นธนั วาคมของทกุ ปี ตรงกบั เดอื น อาขา่ คอื “ทอ้ งลา” คนทว่ั ไปนยิ มเรยี กประเพณี น้ีว่า ปใี หม่ลกู ขา่ ง ประเพณีนสี้ ามารถแปลความหมายไดด้ ังน้ี “ค๊า” ให้ความหมายถึงการเพาะปลูก “ท้อง” ให้ความหมายถึงปี หรือฤดูกาล “พ้าเออ” ใหค้ วามหมายวา่ เปลย่ี นแปลง แลกเปลย่ี น เปลยี่ น ดงั นน้ั ถา้ รวมคำ� ทงั้ หมดกจ็ ะแปลวา่ ประเพณเี ปลยี่ น ฤดกู าลเพาะปลกู มจี ำ� นวนในการทำ� พธิ อี ยู่ ๔ วนั ประเพณนี ม้ี ปี ระวตั เิ ลา่ กนั มาวา่ เปน็ ประเพณี ทแี่ สดง ให้เห็นถึง การเปลยี่ นแปลงฤดกู าลทำ� มาหากนิ ซึง่ ภายหลงั จากทีม่ กี ารเก็บเกย่ี วพชื พันธจุ์ ากทอ้ งไร่นา เสรจ็ แลว้ กจ็ ะเขา้ สฤู่ ดแู หง่ การพกั ผอ่ น ประเพณี “คา๊ ทอ้ งพา้ เออ” ถอื เปน็ ประเพณขี องผชู้ าย โดยผชู้ าย
อาข่า (ก้อ อกี อ้ อะก้า ขา่ กอ้ ) Akha (Kaw) 95 ท้ังเด็ก และผู้ใหญ่ จะมีการท�ำ ลูกข่าง “ฉ่อง” แล้วมีการละเล่นแข่งตีกัน เพ่ือฉลองการเปลี่ยนแปลง วยั ทม่ี อี ายมุ ากขน้ึ พรอ้ มทงั้ ชมุ ชน แตล่ ะครวั เรอื น กจ็ ะมกี ารแลกเปลยี่ นดม่ื เหลา้ กนั ในชมุ ชน ดงั สภุ าษติ ทวี า่ “คา๊ ทอ้ งจฉ้ี ”่ี แปลวา่ ประเพณยี กเหลา้ ฉะนน้ั หากประเพณนี ถี้ า้ มคี นเมาเหลา้ กถ็ อื วา่ เปน็ เรอ่ื งปกติ และเป็นการเริม่ ต้นกนิ ขา้ วทีเ่ กบ็ ไว้ในฉางข้าว สว่ นผหู้ ญิง ก็จะมกี ารเล่นสะบ้าในลานชุมชน การประกอบพธิ กี รรมมดี งั นี้ ๑) วนั แรก “จ่าแบ” วันประกอบพธิ บี ชู าเซน่ ไหว้ ๒) วนั ทีส่ อง วนั ทำ� ลูกข่าง “ฉ่อง” หลังจากท�ำเสร็จกม็ ีการละเลน่ ๓) วันท่ีสาม วันล้อดาอ่าเผ่ว ในวันนี้จะมีการฉลองกันตามบ้านต่าง ๆ เชิญแขกมาร่วมรับ ประทานอาหาร และจะมีการอวยพรให้กับเจ้าบา้ นประสบความส�ำเร็จ ในทุก ๆ ด้าน ๔) วนั ทส่ี ่ี วนั สดุ ทา้ ย “จา่ สา่ ” วนั นเ้ี ปน็ วนั สดุ ทา้ ยของประเพณี “คา๊ ทอ้ งพา้ เออ” จงึ ไมม่ กี าร ท�ำพิธีใด ๆ ท้ังสิ้น นอกจาก การเล่นลูกข่าง พอใกล้ค่�ำก็จะท�ำพิธีเก็บอุปกรณ์เครื่องเซ่นไหว้ต่าง ๆ ไว้ทีเดิม “อา่ เผว่ ลอ้ ก่องอ”ู๊ หลังจากเก็บ เครือ่ งเซน่ ไหว้แล้ว ถอื ว่าเสร็จพธิ ี ท�ำบุญในไรข่ ้าว พธิ ที ำ� บญุ ในไรข่ า้ ว หรอื อมึ่ ผล่ี อ้ เออ พธิ นี จ้ี ะทำ� หลงั จากทำ� พธิ ปี ลกู ขา้ วเรมิ่ แรกประมาณ ๑ เดอื น หรือ ประมาณ ๓ อาทิตย์ของอาข่า (สุ่มนองจ๊อง) พิธีน้ีท�ำข้ึนเพ่ือให้ผลผลิตในไร่ข้าวเจริญงอกงาม ปราศจากส่ิงรบกวน เช่น ตั๊กแตน ปลวก ฯลฯ ในการท�ำพิธีน้ีต้อง นับวันฤกษ์วันดีของครอบครัว (เปน็ วันเกดิ ของคนในครอบครวั แต่ไม่ตรงกบั วนั ตายโหงของคนในครอบครัว) การนับวันเกดิ ของอาข่า จะนับตามช่อื สัตว์ ๑๒ ตัว กม็ วี ันแกะ “ยอ้ ” วนั ลิง “โหมยะ” วนั ไก่ “ยา” เปน็ ตน้ แลว้ กำ� หนดวนั ทจี่ ะทำ� พธิ ขี น้ึ มา การประกอบพธิ ี ทำ� บญุ ในไรข่ า้ ว “อมึ่ ผลี่ อ้ เออ” สามารถ แบ่งออกได้ ๒ ลักษณะคือ การประกอบพิธีแบบธรรมดาโดยใช้ไก่ และการประกอบพิธีขนาดใหญ่ โดยใช้หมู ส่วนการประกอบพิธีโดยใช้ไก่มีวิธีการท�ำดังน้ีล�ำดับแรกจะมีการเตรียมตัว ในเร่ืองส่ิงของที่ ตอ้ งใช้ในการทำ� พิธี ไดแ้ ก่ ๑. ไข่ ๒ ฟอง ต้มใหส้ ุกพร้อมข้าวตม้ ๒. ไก่ ๑ ตวั ไก่ตอ้ งไม่เป็นไกท่ ีข่ าดว้ นหรือขาดอวยั วะสว่ นใดสว่ นหนงึ่ ๓. แกลบทีไ่ ด้จากการตม้ เหลา้ (จี๊บ่าจี๊ช)ู ๔. ชา (ลอ้ ป่อ) ๕. ขิง (ฉอ่ จึ)
96 ชนต่างวัฒนธรรมในประเทศไทย โดยแต่ละอย่างจะแบ่งออกเป็น ๒ ชุดด้วย เม่ือทุกอย่างพร้อมคนท่ีจะท�ำพิธีก็ออกจากบ้าน เพ่ือจะไปท�ำพิธี โดยจะสานตะกร้า ส�ำหรับใส่ ไก่ (กาโล้) ระหว่างท่ีเจ้าของบ้านไปท�ำพิธีท่ีไร่ แม่บ้าน ต้องน�ำใบไม้มาปักไว้หน้าประตูท้ัง ๒ ข้างของบ้าน เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์หรือสิ่งท่ีไม่ดีเข้ามาในบ้าน ระหว่างท่ีท�ำพิธีในไร่ เป็นความเช่ือของอาข่าที่สืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ และในระหว่างเดิน ทางถ้าเจองูในวันนั้นก็ไม่สามารถท่ีจะท�ำพิธีได้ต้องกลับมายังบ้าน และรอวันดีของครอบครัวต่อไป อาขา่ จงึ จะไมน่ ยิ มนำ� สนุ ขั ตดิ ไปดว้ ยในการทำ� พธิ ี เพราะเกรงวา่ สนุ ขั จะไลส่ ตั ว์ หรอื งอู อกมา เมอื่ ไปถงึ ที่ ไร่ก็จะไปตัดไม้ แล้วปักไว้เหนือศาลที่อาข่าท�ำไว้ท่ีไร่ (อ่ึมผ่ี) จากนั้นก็น�ำไก่มาและเอาน�้ำที่ยังไม่ได้ใช้ ราดเรม่ิ ทขี่ า ปกี หวั ทลี่ ะ ๓ ครงั้ แลว้ ฆา่ พอฆา่ ไกเ่ สรจ็ แลว้ กจ็ ะเอาเลอื ดไปตดิ ตรงตะกรา้ เพอ่ื ใหเ้ จา้ ปา่ เจ้าเขา รู้ถึงการมาท�ำพิธีในวันน้ี และอาข่าเชื่อว่าเป็นการขอขมากรณีท่ีมีการฆ่างู หนู หรือสัตว์อื่น ๆ จนเป็นเหตุให้ตาย ซึ่งการใช้ไก่ตัวน้ีถือเป็นการช�ำระล้างให้เกิดความบริสุทธ์ิ จากน้ันก็ถอนขนจากปีก ของไกอ่ อก ๙ เส้นจาก ๒ ขา้ ง แลว้ นำ� มาเสยี บรอบ ๆ ไม้ทีป่ ักไวเ้ หนอื ศาล แล้วทำ� พธิ ีเซ่นไหว้ (ลาคา) โดยถอนขนไก่ลงบริเวณเสาที่ปักไว้ ๓ คร้ัง แกะไข่ แล้วเอาเปลือกไข่ลง ๓ คร้ัง รวมท้ัง ชา, ขิง และ ข้าวแกลบทไ่ี ด้จากการต้มเหล้า (จี๊บ่าจช๊ี ู) ก็เอาลง ๓ คร้งั เสรจ็ จากนนั้ กไ็ ปทต่ี รงเปน็ จอมปลวก (จะปุ)๊ หรอื ใชก้ ้อนดิน ถา้ หาจอมปลวกไม่ได้ แลว้ กแ็ กะ ไข่อกี ๑ ฟอง พรอ้ มชา ขิง และขา้ วแกลบท่ไี ด้จากการตม้ เหล้า แลว้ ท�ำพธิ เี ซน่ ไหว้ (ลาคา) เหมือนที่ท�ำ หนา้ ศาลอย่างละ ๓ ครั้ง จากนน้ั ก็ห่อไขท่ ้งั ๒ ฟอง (ลอ้ อู) ใหแ้ ยกจากกนั เพือ่ จะนำ� กลับไปยงั บา้ นของ ตน เมื่อห่อไข่เสร็จก็น�ำตะกร้าที่ใส่ไก่เสียบไว้กับไม้หน้าศาล โดยให้หันไปทางทิศตะวันออก จากน้ันก็ เดินทางกลบั บ้าน เม่ือมาถงึ ทบ่ี า้ นก็จะนำ� ถงุ ไปแขวนไว้ตรงกลางของบา้ น (ลอข่า) จากนั้นก็เอาไข่ออก จากถุง น�ำกระบอกไม้ (จี๊บ่าจ๊ีสี่) ที่อาข่าใช้ในการท�ำพิธีต่าง ๆ มาต้ังไว้ แล้วน�ำไก่ตัวน้ันมาประกอบ อาหาร ใหผ้ เู้ ฒา่ ผแู้ กก่ นิ (จา่ ปยุ๊ าอบู จี า่ เออ) หลงั จากทานขา้ วเสรจ็ กท็ ำ� พธิ ี (จบ๊ี า่ เตอเออ) หลงั จากเสรจ็ น้ี พิธที ำ� บญุ ในไร่ข้าว (อึม่ ผ่ลี อ้ เออ) ก็ถือว่าเสร็จสน้ิ การท�ำพธิ ีโดยใชไ้ ก่ สำ� หรับการประกอบพิธแี บบใหญ่ โดยใช้หมู จะท�ำกนั สำ� หรับครอบครัวท่เี ปน็ “ยาแย้อ่ามา” คือผ้หู ญงิ ทีไ่ ด้ประกอบพิธยี กต�ำแหนง่ เทยี บ เทา่ ผชู้ าย ครอบครวั เหล่านี้จะใชห้ มูในการประกอบพธิ ี การท�ำบญุ ในไรข่ า้ ว “อ่มึ ผี่ลอ้ เออ” ซ่ึงจะใช้คู่ กบั ไก่ ถ้าไกต่ ัวผูก้ จ็ ะใชห้ มตู วั เมีย ถา้ ไกต่ วั เมยี ก็จะใช้หมตู ัวผ้สู ลับกัน พธิ ปี ลูกข้าวเริม่ แรก พิธีปลูกข้าวเริ่มแรก หรือ แช้คาอ่าเผ่ว เป็นพิธีกรรมที่ประกอบการมาต้ังแต่สมัยบรรพบุรุษ พิธีนี้จะท�ำการประมาณเดือนพฤษภาคมก่อนปลูกข้าวไร่ ของทุกปี โดยให้ความหมายได้ว่า “แช้” แปลวา่ ขา้ วเปลอื ก “คา” แปลวา่ ปลกู “อา่ เผว่ ” แปลวา่ พธิ กี รรม หรอื ประเพณี ใหค้ วามหมายโดยรวมวา่ พิธีปลูกข้าวเร่ิมแรก มีนานเล่าถึงความเป็นมาของพิธีกรรมนี้ว่า “สมัยก่อนคนอาข่าไม่ได้มีข้าวกิน
อาขา่ (กอ้ อกี อ้ อะกา้ ขา่ กอ้ ) Akha (Kaw) 97 และไมม่ กี ารปลกู ขา้ วเหมอื นปจั จบุ นั เนอ่ื งจากขาดพนั ธ์ุ ขา้ วสำ� หรบั การเพาะปลกู แตค่ นอาขา่ กม็ คี วาม ฉลาดถา้ เทยี บกบั สตั วอ์ นื่ จงึ มกี ารวางอบุ ายหลอกใหน้ กกระจอก อาขา่ เรยี กนกชนดิ นวี้ า่ “อาจจ๊ี เี๊ จอ๊ ะ” ไปขโมยพนั ธข์ุ ้าวของเทพเจ้า “อ่าเผว่ หมแี่ ย๊” เพ่ือจะน�ำพันธุ์ข้าวมาท�ำการเพาะปลูกในไร่ พันธุ์ข้าวท่ีคนอาข่าให้นกไปขโมยมาน้ัน ช่ือว่า “โกะมา” ซง่ึ เปน็ พนั ธข์ุ า้ วของเทพเจา้ นน่ั เอง เมอ่ื นกกระจอกไดร้ บั คำ� สง่ั จากอาขา่ กไ็ ดไ้ ปยงั ทอ่ี ยอู่ าศยั ของเทพเจา้ แต่นก ดังกลา่ วก็ไม่สามารถขโมยพนั ธ์ุข้าวมาได้ อยา่ งไรกต็ ามคนอาขา่ กย็ ังไม่ย่อทอ้ สงั่ ให้ นกท่มี ีช่อื ว่า “จา๊ โอ”่ ไปขโมยอีกแต่นกดงั กล่าวกย็ ังไม่สามารถขโมยมาได้ อย่างไรก็ตาม คนอาขา่ กย็ งั สง่ นกเขาเป็นผูไ้ ปขโมย พนั ธ์ุขา้ วจากเทพเจา้ คราวนี้นกเขาขโมยพันธขุ์ า้ วมาได้ จงึ มารายงานให้กบั คน อาข่า เขาสามารถขโมยพันธุ์ข้าว โกะมา มาได้แล้ว ด้วยเหตุนี้คนอาข่าจึงได้ต้ังช่ือให้กับนกเขาว่า “หา่ เหว่ ” ซง่ึ แปลความหมายไดว้ า่ นกขโมย และเมอื่ อาขา่ ขอพนั ธข์ุ า้ วทนี่ กเขาขโมยมานน้ั นกเขากลบั บอกวา่ ได้กนิ ลงไปในทอ้ งหมดแล้ว และไมย่ อมเอาเมล็ดพนั ธ์ุขา้ วให้กบั อาข่า จากนั้นนกเขาก็ได้บินหนีไป แล้วไปเกาะท่ีก่ิงไผ่ซาง ร่วมกับนกเขาตัวอื่นที่เกาะอยู่ก่อนแล้ว ๒ ตวั จึงไดม้ นี กเขาทเี่ หมือนกนั บนก่งิ ไผ่ ๓ ตัว เมื่อเป็น เชน่ นก้ี ส็ รา้ งความล�ำบากใจให้กบั อาข่า อาข่า จึงมารวมตัวกันแล้วปรึกษาร่วมกัน โดยมีหน้าไม้อยู่ ๓ ด้าม ให้เลือกด้ามที่อยู่ตรงกลาง มีลูกดอกอยู่ ๓ ดอก ให้เลือกดอกที่อยู่ตรงกลาง และเมื่อมีนกอยู่ ๓ ตัวก็ให้เลือกยิงนกตัวที่เกาะอยู่ตรงกลาง และเมอ่ื หน้าไม้ถกู ยิงออกไป กไ็ ปถกู ตัวทเ่ี กาะอยู่ตรงกลาง ตามเปา้ ทไ่ี ด้วางไว้ เม่อื นกถกู ยงิ กต็ กลงมา แตบ่ งั เอิญว่านกได้ตกลงไปในนำ�้ วน “อ๊ีจอุ ยี๊ อง” และถูกปลาเหลือง อาข่าเรยี กปลาชนิดนว้ี า่ “หง่าส่า หงา่ ซอ้ื ” จงึ ทำ� ใหอ้ าขา่ คดิ หนกั เพราะตอ้ งเอาพนั ธข์ุ า้ วไปปลกู แตป่ ลามากนิ ซะกอ่ น อาขา่ จงึ ไปเอา แห อาข่าเรียกว่า “ยา” มาเพ่ือจะมาเหว่ียงเอาปลาเหลืองท่ีกินนกเขาเข้าไป พอเหว่ียงแห ลงไปแล้วก็ได้ ปลาเหลอื งมา แตอ่ าขา่ กย็ งั คดิ อยวู่ า่ ทำ� อยา่ งไร ถงึ จะเอานำ� นกออกมาจากทอ้ งของปลาเหลอื งไดอ้ าขา่ จึงได้ไปเอามีดมาผ่าท้องปลา หลังจากผ่าท้องปลาแล้วปรากฏว่ามีนกเขาอยู่ในท้องปลาจริง จากน้ันได้ท�ำการผ่าท้องนกเขาอีก แล้วก็เจอพันธุ์ข้าวท่ีนกเขาไปขโมยมาจากเทพเจ้าอยู่ในกระเพาะ นกเขา อาข่าเลยไปบอกให้ผูน้ �ำศาสนา “เจ่วมา” แลว้ ใหผ้ นู้ ำ� ศาสนา เอาพนั ธ์ขุ ้าวดงั กลา่ วไปชำ� ระลา้ ง ในบ่อน้�ำศกั ดส์ิ ิทธ์ิ กอ่ นที่จะทำ� พธิ ปี ลกู ข้าวเรม่ิ แรกในไร่ จนเปน็ เหตุทำ� ให้เกดิ พธิ ปี ลกู ขา้ วเริ่มแรกหรือ “แช้คาอ่าเผว่ ” ขึ้นจนถึงปจั จบุ ัน พธิ ีปลูกข้าวเรม่ิ แรกจะมีการประกอบพธิ ีอยู่ ๒ วนั ด้วยกนั คือวันแรก ผู้ชายก็จะไปท�ำความสะอาดที่บ่อน�้ำศักดิ์สิทธิ์ ศาสนสถาน ทีส�ำคัญอีกท่ีหน่ึงของอาข่า เป็นสถานท่ี อาขา่ ตักน�้ำเพอื่ มาใชใ้ นการประกอบพธิ กี รรมทางศาสนา นำ้� ทตี่ ักมาจากบ่อน้�ำศักดส์ิ ิทธิอ์ าข่า เรียกว่า “อจ๊ี อุ ซี๊ อ้ ” แปลไดว้ า่ นำ�้ ทสี่ ะอาด บรสิ ทุ ธิ์ ในวนั นท้ี กุ ครวั เรอื นกจ็ ะมกี ารประกอบพธิ เี ซน่ ไหวบ้ รรพบรุ ษุ พอตกค่�ำผู้น�ำศาสนาก็จะประกาศข่าว ให้ชาวบ้านทุกคนได้รับรู้ อาข่าเรียกการประกาศข่าวนี้ว่า “ล้องกกู้ ูเ้ ออ” เป็นการประกาศใหอ้ ยกู่ รรมในวันพรงุ่ น้ี ห้ามคนในชมุ ชนออกไปท�ำงานทไ่ี หน
98 ชนตา่ งวฒั นธรรมในประเทศไทย ประเพณีโล้ชิงช้า ประเพณีโลช้ งิ ช้า หรอื อาขา่ เรียกว่า “แยข้ ูอ่ ่าเผ่ว” ซ่ึงจะมีการจดั ข้นึ ทกุ ๆ ปี ประมาณปลาย เดอื นสงิ หาคม ถงึ ตน้ เดอื นกนั ยายนซง่ึ จะตรงกับ ชว่ งท่ผี ลผลติ ก�ำลังงอกงาม และพร้อมทจี่ ะเก็บเก่ียว ในอกี ไมก่ ว่ี นั ในระหวา่ งนอ้ี าขา่ จะดายหญา้ ในไรข่ า้ วเปน็ ครง้ั สดุ ทา้ ย หลงั จากดายหญา้ แลว้ กร็ อสำ� หรบั การเกบ็ เกย่ี ว ตรงกบั เดอื นของอาขา่ คอื “ฉอ่ ลาบาลา” ประเพณโี ลช้ งิ ชา้ ของชาวอาขา่ ถอื เปน็ พธิ กี รรม ทม่ี ีคณุ ค่ามากด้วยภมู ปิ ญั ญาท่ใี ช้ในการส่งเสริมความรแู้ ล้ว ยงั เกีย่ วพันกับการด�ำรงชวี ติ ประจ�ำวนั ของ อาขา่ อีก ประเพณโี ลช้ ิงช้ามีตน้ ก�ำเนิดในดินแดนทีม่ ีชอ่ื ว่า “จาแดลอ้ ง” คอื พ้ืนทีป่ ระเทศจนี ในปจั จบุ นั โดยดนิ แดนแหง่ นม้ี ผี นู้ ำ� อาขา่ ทช่ี อื่ “ขะ๊ บา อา่ เผว่ หมอ่ โละ๊ โละ๊ ซอื่ ” และ “คอ๊ บาอา่ เผว่ เอวคอ๊ คอ๊ คอง” เป็นผู้น�ำท่ีชาวอาข่าให้การเคารพนับถือ โดยกล่าวว่า ดินแดนจาแด จะท�ำการจัดประเพณีโล้ชิงช้า ๓๓ วนั เมอื่ เปน็ เชน่ นสี้ มาชกิ คนในดนิ แดนแหง่ น้ี ซงึ่ ประกอบไปดว้ ยทง้ั คนจน และคนรวย ทกุ คนตอ้ งเต รียมเสบียงอาหารไว้เยอะ ๆ เพื่อเอาไว้ฉลองกันในวันเทศกาล นี่คือการบอกเล่าถึงท่ีมาของ ประเพณี โล้ชิงช้า ประเพณีโล้งช้าถือเป็นประเพณีทีให้ความส�ำคัญกับผู้หญิง ฉะน้ันผู้หญิงอาข่ามีการแต่งกาย ดว้ ยเครอ่ื งทรงตา่ ง ๆ อยา่ งสวยงามทไ่ี ดเ้ ตรยี มไวต้ ลอดทงั้ ปมี าสวมใสเ่ ปน็ กรณพี เิ ศษในเทศกาลน้ี สำ� หรบั หญงิ สาวอาขา่ จะแตง่ กายเพอื่ ยกระดบั ชน้ั วยั สาวตามขนั้ ตอน แสดงใหค้ นในชมุ ชนไดเ้ หน็ พรอ้ มทง้ั ขนึ้ โลช้ งิ ชา้ และรอ้ งเพลงทง้ั ลกั ษณะเดยี่ ว และคปู่ ระเพณโี ลช้ งิ ชา้ จดั ขน้ึ เพอ่ื เปน็ การฉลองพชื พนั ธท์ุ จ่ี ะได้ เกบ็ เกยี่ วไวบ้ รโิ ภค เนอ่ื งจากพชื ไร่ พชื สวนตา่ ง ๆ ทป่ี ลกู ลงไป พรอ้ มทจ่ี ะไดผ้ ลผลติ โดยมสี ภุ าษติ กลา่ ว ไวว้ า่ “ขู่จ่า หมา่ โบะ หมา่ โบะ” หมายถึง ประเพณโี ลช้ งิ ช้า มอี าหาร หลากหลาย และสมบรู ณ์มากมาย หากประเพณีนไ้ี ม่มี ประเพณอี ่นื หรือพิธีอื่นก็จะไม่มี และหลงั จากที่จดั งานประเพณีโล้ชงิ ชา้ เสร็จแล้ว ชุมชนอาข่าก็จะไม่มีการตัดไม้ดบิ เขา้ มาในชุมชนอีก ไม้ดบิ ในท่นี ีค้ อื ไมย้ ืนต้น หรอื ไม้ทกุ ชนิดที่ยังไม่ได้ ถกู ตัด ยกเว้นกรณที ่ีมคี นตายแลว้ เท่านน้ั จึงถือว่าเป็นวนั เขา้ พรรษาของชาวอาขา่ อีกเช่นกัน ในการจดั ประเพณีโล้ชิงช้าแตล่ ะปขี องอาขา่ จะต้องมฝี นตกลงมา ถ้าปไี หนเกิดฝนไมต่ ก อาข่าถอื วา่ ไม่ดี ผลผลติ ที่ออกมาจะไม่งอกงาม ประเพณีโล้ชิงช้า มีระยะเวลาในการจัดรวม ๔ วันด้วยกัน โดยแต่ละวันมี ก�ำหนดการดังนี้ วันที่ ๑ วันเริ่มแรกของพิธีกรรม “จ่าแบ” ผู้หญิงอาข่าอาจเป็นแม่บ้านของครัวเรือน หรือถ้าแม่บ้าน ไมอ่ ยอู่ าจเปน็ ลกู สาวไปแทนกไ็ ด้ กจ็ ะแตง่ ตวั ดว้ ยชดุ ประจำ� เผา่ เตม็ ยศแลว้ ออกไปตดั นำ้� ทบี่ อ่ นำ�้ ศกั ดส์ิ ทิ ธิ์ เพอื่ จะนำ� มาใชใ้ นการประกอบพธิ กี รรมทางศาสนานำ�้ ทตี่ กั มาจากบอ่ นำ�้ ศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิ อาขา่ เรยี กวา่ “อจ๊ี อุ ซ๊ี อ้ ” การเซน่ ไหวบ้ รรพบรุ ษุ ทลี่ ว่ งลบั ไปแลว้ ของแตล่ ะครอบครวั แตอ่ าขา่ ไมน่ ยิ มใหผ้ ชู้ ายไปตกั นำ้� เพราะถอื วา่ เปน็ งานของผหู้ ญิง และในวนั นกี้ ็มกี ารต�ำขา้ วปกุ๊ “ห่อถ่อง” ข้าวปุก๊ หรอื หอ่ ถอ่ ง คอื ข้าวทไี่ ด้จากการ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228