Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารอ่านเพิ่มเต็มวิชาจิตวิทยาทั่วไป

เอกสารอ่านเพิ่มเต็มวิชาจิตวิทยาทั่วไป

Published by chawanon, 2020-11-10 18:51:09

Description: เอกสารอ่านเพิ่มเต็มวิชาจิตวิทยาทั่วไป

Search

Read the Text Version

151 ใหม่ ๆ ชอบเล่นก่อสร้างอะไรข้ึนมาตามความคิดของตน และในข้นั น้ีเดก็ จะยา่ งข้ึนสู่ความรู้สึกไว ในบริเวณอวยั วะสืบพนั ธุ์ ฉะน้นั เด็กจะติดอยทู่ ี่ปมออดิปุส ถา้ เด็กไดร้ ับความรักความเขา้ ใจและ ไดร้ ับการสนบั สนุนในการทากิจกรรมตา่ ง ๆ จากท้งั พอ่ และแม่ เด็กยอ่ มมีความมน่ั ใจในตนเอง กลา้ ซกั ถาม มีความคิดริเริ่ม แสดงความแยบคายในการแกป้ ัญหาและพร้อมที่จะเผชิญกบั ส่ิงต่าง ๆ ตรงกนั ขา้ ม ถา้ พอ่ แม่เขม้ งวดควบคุมความประพฤติตลอดเวลา เด็กจะเกิดความรู้สึกวา่ ตนเองทาผดิ เม่ือพยายามทาอะไรดว้ ยตวั ของตวั เอง ข้นั ท่ี 4 ระยะเข้าโรงเรียน (School period) อายุ 6-12 ปี : ข้นั เอาการเอางานกบั ความมปี ม ด้อย (Industry vs Inferiority) ระยะน้ีเด็กเรียนรู้ที่จะสร้างสรรค์ มีความคิดและพยายามทา กิจกรรมดว้ ยตวั เอง หากไดร้ ับการสนบั สนุนกย็ อ่ มทาใหเ้ ดก็ มีการพฒั นาบุคลิกภาพและมีความ มานะเพยี รพยายามที่จะแสวงหาสิ่งท่ีทา้ ทายความสามารถ สติปัญญา แต่หากเหตุการณ์เป็นไป ในทางตรงกนั ขา้ ม จะทาใหเ้ ดก็ มีความรู้สึกต่าตอ้ ยดอ้ ยค่า อาจตอ้ งถอยกลบั ไปสู่วยั ทารกอีกเพ่ือ หลีกเลี่ยงภาระอนั ตอ้ งรับผดิ ชอบ ข้นั ที่ 5 ระยะวยั รุ่น (Adolescent period) อายุ 12-20 ปี : ข้นั การเข้าใจอตั ลกั ษณะของ ตนเองกบั ไม่เข้าใจตนเอง (Identity vs role confusion) เป็นระยะที่เร่ิมสนใจเรื่องเพศ เขา้ ไป ผกู พนั กบั สังคมและตอ้ งการตาแหน่งทางสังคม ความรู้สึกเป็นอิสระและเป็ นตวั ของตวั เอง เขา้ ใจอตั ลกั ษณะของตวั เอง รู้วา่ ตวั เองตอ้ งการอะไร มีความเชื่ออยา่ งไร และตนเองเป็ นใคร หากไมส่ ามารถ รวบรวมประสบการณ์ในอดีตได้ ก็จะไมส่ ามารถเขา้ ใจตวั เอง เกิดความสับสน และความขดั แยง้ ข้ันท่ี 6 ระยะต้นของวัยผู้ใหญ่ (Early adult period) อายุ 20-40 ปี : ข้ันความใกล้ชิดสนิท สนมกับความรู้สึกเปล่าเปลี่ยว (Intimacy vs Isolation) ระยะน้ีเร่ิมมีการนัดหมาย การแต่งงาน และชีวิตครอบครัว หรือทางานกบั ผูอ้ ื่นได้ หากสามารถบรรลุอตั ลกั ษณ์ของตนเอง ก็จะสามารถ สร้างและแลกเปล่ียนความสมั พนั ธ์อยา่ งสนิทสนมกบั บุคคลอ่ืน หากไมส่ ามารถประสบความสาเร็จ ในการแสวงหาแนวทางแห่งตนก็จะไม่สามารถสร้างความสัมพนั ธ์อยา่ งแน่นแฟ้ นกบั บุคคลอ่ืน ๆ ได้ มกั จะรู้สึกเหงา เปล่าเปล่ียว ไมร่ ู้จะพ่งึ พาใคร ข้นั ท่ี 7 ระยะผ้ใู หญ่ (Adult period) อายุ 40-60 ปี : ข้ันการอนุเคราะห์เกอื้ กลู กบั การพะว้า พะวงแต่ตวั เอง (Generativity vs Self-Absorption) เป็นระยะท่ีบุคคลหนั มาสนใจกบั โลก ภายนอก ริเริ่มสร้างสรรคง์ านต่าง ๆ เพือ่ สังคม คิดถึงผอู้ ่ืน ไม่โลภหรือเห็นแก่ไดฝ้ ่ ายเดียว บุคคลท่ี ไม่สามารถทาเช่นน้ีไดจ้ ะมีความรู้สึกคิดถึง หมกมุ่นอยกู่ บั ตนเอง เป็นคนที่เอาตนเองเป็นศูนยก์ ลาง มีชีวติ อยา่ งไร้ความสุข ข้นั ท่ี 8 ระยะวยั สูงอายุ (Aging period) อายปุ ระมาณ 60 ปี ขนึ้ ไป : ข้นั ความมัน่ คงทาง จิตใจกบั ความสิ้นหวงั (Integrity vs Despair) วยั น้ีเป็นวยั สุขมุ รอบคอบ ฉลาด บุคคลจะยอมรับ

152 ความเป็นจริงของชีวติ ระลึกถึงความทรงจาในอดีต หากประสบความสาเร็จในอดีตก็จะรู้สึก ไวว้ างใจผอู้ ่ืนและตนเอง มีความมน่ั คงทางจิตใจ ภมู ิใจต่อการบอกเล่าเก่ียวกบั ประสบการณ์ในชีวติ ใหบ้ ุตรหลานฟัง ตรงกนั ขา้ มหากบุคคลตอ้ งประสบกบั ความลม้ เหลวและความผดิ หวงั ในอดีต จะ เกิดความรู้สึกทอ้ แทส้ ิ้นหวงั ในชีวติ รู้สึกคบั ขอ้ งใจ และไมส่ ามารถดาเนินชีวติ ไดอ้ ยา่ งมีความสุข 3. ทฤษฎพี ฒั นาการทางความคดิ (Cognitive Theories) ของเพยี เจท์ จีน เพียเจท์ (Jean Piaget) เป็นนกั ชีววทิ ยาชาวสวสิ เซอร์แลนด์ แตม่ ีความสนใจศึกษา ทางดา้ นจิตวทิ ยา โดยเฉพาะในดา้ นกระบวนการพฒั นาทางสติปัญญาของเด็กต้งั แตว่ ยั แรกเกิดจนถึง วยั รุ่น เป็นบุคคลแรกที่ไดร้ ับการยอมรับวา่ เป็นผศู้ ึกษาพฒั นาการดา้ นความคิดมนุษยอ์ ยา่ งเป็นระบบ ระเบียบ เพยี เจทเ์ ช่ือวา่ โดยธรรมชาติแลว้ มนุษยท์ ุกคนมีความพร้อมท่ีจะมีปฏิสมั พนั ธ์และปรับตวั ใหเ้ ขา้ กบั ส่ิงแวดลอ้ มต้งั แต่เกิด เพราะมนุษยท์ ุกคนหลีกเลี่ยงไม่ไดท้ ่ีจะตอ้ งมีปฏิสัมพนั ธ์กบั สิ่งแวดลอ้ มซ่ึงตอ้ งมีการปรับตวั อยตู่ ลอดเวลา ผลจากกระบวนการดงั กล่าวจะทาใหม้ นุษยเ์ กิด พฒั นาการของเชาวนป์ ัญญา จากความเชื่อดงั กล่าว เพียเจทจ์ ึงไดศ้ ึกษาพฒั นาการดา้ นสติปัญญาของ เดก็ อยา่ งละเอียดดว้ ยการสร้างสถานการณ์เพ่ือสังเกตพฤติกรรมของบุตรสาว 3 คนของเขาเป็ นระยะ เวลานาน และไดท้ าบนั ทึกไวอ้ ยา่ งต่อเน่ือง ทาใหไ้ ดข้ อ้ สรุปวา่ ธรรมชาติของมนุษยม์ ีพ้ืนฐานติดตวั ต้งั แตก่ าเนิด 2 ชนิด คือ 1. การจดั และรวบรวม (organization) เป็นการจดั และรวบรวมกระบวนการต่าง ๆ ภายใน ให้ เป็นระบบระเบียบอยา่ งต่อเนื่อง พร้อมกบั มีการปรับปรุงเปล่ียนแปลงตลอดเวลาเพ่ือให้เกิดภาวะ สมดุลยจ์ ากการมีปฏิสัมพนั ธ์กบั สิ่งแวดลอ้ ม 2. การปรับตวั (adaptation) เป็นการปรับตวั เพ่ือใหอ้ ยใู่ นภาวะสมดุลยก์ บั สิ่งแวดลอ้ ม ซ่ึง ประกอบดว้ ยกระบวนการ 2 อยา่ งคือ 2.1 การซึมซาบหรือดูดซึมประสบการณ์ (assimilation) หมายถึง การที่มนุษยม์ ีการซึม ซาบหรือดูดซึมประสบการณ์ใหม่เขา้ สู่โครงสร้างของสติปัญญา (cognitive structure) หลงั จากมี ปฏิสัมพนั ธ์กบั ส่ิงแวดลอ้ ม 2.2 การปรับโครงสร้างทางเชาวนป์ ัญญา (accomodation) หมายถึง การปรับเปล่ียน โครงสร้างของเชาวนป์ ัญญาท่ีมีอยแู่ ลว้ ให้เขา้ กบั สิ่งแวดลอ้ มใหม่ท่ีไดเ้ รียนรู้เพิ่มข้ึน เพยี เจทก์ ล่าววา่ การพฒั นาสติปัญญาและความคิดของมนุษยจ์ ะตอ้ งอาศยั ท้งั การจดั รวบรวม และการปรับตวั ดงั กล่าว ซ่ึงลกั ษณะพฒั นาการท่ีเกิดข้ึนจะดาเนินอยา่ งค่อยเป็ นค่อยไป ซ่ึงจะแตกต่าง

153 กนั ในแต่ละบุคคล โดยมีองคป์ ระกอบสาคญั ที่เสริมพฒั นาการทางสติปัญญา 4 องคป์ ระกอบคือ (สุ รางค์ โคว้ ตระกลู , 2541, น. 50) 1. วุฒิภาวะ (maturation) คือการเจริญเติบโตทางดา้ นสรีรวิทยามีส่วนสาคญั อย่างย่ิงต่อการ พฒั นาสติปัญญาและความคิด โดยเฉพาะเส้นประสาทและต่อมไร้ท่อ 2. ประสบการณ์ (experience) ประสบการณ์เป็ นปัจจยั ท่ีสาคญั ต่อการพฒั นาดา้ นสติปัญญา เพราะเป็ นส่ิงที่เกิดข้ึนทุกคร้ังที่บุคคลมีปฏิสัมพนั ธ์กบั สิ่งแวดลอ้ ม ท้งั ประสบการณ์ที่เกิดจากการมี ปฏิ สั มพ ันธ์ กับสิ่ งแวดล้อมตามธรรมชาติ และประสบการณ์ เก่ี ยวกับการคิ ดหาเหตุ ผลและทาง คณิตศาสตร์ ซ่ึงสามารถนามาใชแ้ กป้ ัญหาในชีวิตประจาวนั 3. การถ่ายทอดความรู้ทางสังคม (social transmission) คือการที่บุคคลได้รับการถ่ายทอด ความรู้ดา้ นต่าง ๆ จากบุคคลรอบขา้ ง เช่น พอ่ แม่ ผปู้ กครอง ครู เป็นตน้ 4. กระบวนการพฒั นาสมดุลย์ (equilibration) คือการควบคุมพฤติกรรมของตนเองซ่ึงอยใู่ นตวั ของแต่ละบุคคลเพ่ือปรับสมดุลยข์ องพฒั นาการทางสติปัญญาและความคิดไปสู่ข้นั ท่ีสูงกวา่ ข้นั พฒั นาการเชาว์ปัญญา เพยี เจทไ์ ดแ้ บง่ ข้นั พฒั นาการของเชาวนป์ ัญญาออกเป็น 4 ข้นั คือ 1. ข้นั ใช้ประสาทสัมผสั และกล้ามเนือ้ (sensorimotor period) อายุ 0- 2 ปี เป็นข้นั พฒั นาการทางความคิดและสติปัญญาก่อนระยะเวลาที่เด็กจะพดู เป็นภาษาได้ การแสดงถึงความคิด และสติปัญญาของเดก็ วยั น้ีจะเป็นในลกั ษณะของการกระทาหรือการแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ ซ่ึงส่วน ใหญ่จะข้ึนอยกู่ บั การเคล่ือนไหว เป็ นลกั ษณะของปฏิกิริยาสะทอ้ น เช่น การดูด การมอง การไขวค่ วา้ มีพฤติกรรมนอ้ ยมากท่ีแสดงออกถึงความเขา้ ใจ เพราะเดก็ ยงั ไมส่ ามารถแยกตนเองออกจาก ส่ิงแวดลอ้ มได้ ตวั ตนของเดก็ ยงั ไม่ไดพ้ ฒั นาจนกวา่ เดก็ จะไดร้ ับประสบการณ์ ทาใหไ้ ดพ้ ฒั นาตวั ตน ข้ึนมาแลว้ เดก็ จึงสามารถแยกแยะสิ่งต่าง ๆ ไดจ้ นกระทงั่ เด็กอายปุ ระมาณ 18 เดือน จึงจะเร่ิม แกป้ ัญหาดว้ ยตนเองไดบ้ า้ ง และรับรู้เทา่ ที่สายตามองเห็น 2. ข้นั เร่ิมมีความคิดความเข้าใจ (pre-operational period) อายุ 2-7 ปี เด็กวยั น้ีเป็ นวยั ก่อน เขา้ โรงเรียนและวยั อนุบาล ยงั ไม่สามารถใชส้ ติปัญญากระทาสิ่งตา่ ง ๆ ไดอ้ ยา่ งเตม็ ท่ี ความคิด ของเดก็ วยั น้ีข้ึนอยกู่ บั การรับรู้เป็นส่วนใหญ่ ไมส่ ามารถใชเ้ หตุผล อยา่ งลึกซ้ึงได้ วยั น้ีเริ่มเรียนรู้การ ใชภ้ าษา และสามารถใชส้ ญั ลกั ษณ์ตา่ ง ๆ ได้ พฒั นาการวยั น้ีแบ่งไดเ้ ป็น 2 ข้นั คือ 2.1 ข้นั กาหนดความคดิ ไว้ล่วงหน้า (preconceptual thought) อายุ 2-4 ปี ระยะน้ีเด็ก จะมีพฒั นาดา้ นการใชภ้ าษา รู้จกั ใชค้ าสมั พนั ธ์กบั สิ่งของ มีความคิดรวบยอดเก่ียวกบั ส่ิงต่าง ๆ ได้ แต่ยงั ไม่สมบรู ณ์ ไม่มีเหตุผล คิดเอาแตใ่ จตวั เอง อยใู่ นโลกแห่งจินตนาการ ชอบเล่นบทบาทสมมติ ตามจินตนาการของตนเอง

154 2.2 ข้นั คดิ เอาเอง (intuitive thought) อายุ 4-7 ปี ระยะน้ีเดก็ สามารถคิดอยา่ งมีเหตุผล ข้ึน แต่การคิดยงั เป็นลกั ษณะการรับรู้มากกวา่ ความเขา้ ใจ จะมีพฒั นาการรับรู้อยา่ งรวดเร็ว สามารถเขา้ ใจส่ิงต่าง ๆ ไดเ้ ป็ นหมวดหมู่ ท้งั ท่ีมีลกั ษณะคลา้ ยคลึงและแตกต่างกนั ลกั ษณะพเิ ศษ ของวยั น้ีคือ เช่ือตวั เองโดยไม่ยอมเปลี่ยนความคิด หรือเชื่อในเรื่องการทรงภาวะเดิมของวตั ถุ (conservation) ซ่ึงเพยี เจทเ์ รียกวา่ principle of invaiance 3. ข้ันใช้ความคดิ อย่างมีเหตุผลเชิงรูปธรรม (concrete operational period ) อายุ 7-11 ปี ระยะน้ีเดก็ จะมีพฒั นาการทางความคิดและสติปัญญาอยา่ งรวดเร็ว สามารถคิดอยา่ งมีเหตุผล แบง่ แยกส่ิงแวดลอ้ มออกเป็ นหมวดหมู่ ลาดบั ข้นั จดั เรียงขนาดส่ิงของ และเริ่มเขา้ ใจเร่ืองการคง สภาพเดิม สามารถนาความรู้หรือประสบการณ์ในอดีตมาแกป้ ัญหาเหตุการณ์ใหม่ ๆ ได้ มีการถ่าย โยงการเรียนรู้ (transfer of learning) แต่ปัญหาหรือเหตุการณ์น้นั จะตอ้ งเก่ียวขอ้ งกบั วตั ถุหรือส่ิงท่ี เป็นรูปธรรม ส่วนปัญหาที่เป็ นนามธรรมน้นั เด็กยงั ไม่สามารถแกไ้ ด้ 4. ข้นั ใช้ความคิดอย่างมเี หตุผลเชิงนามธรรม (formal operational period) อายุ 11-15 ปี ข้นั น้ีเป็นข้นั สูงสุดของพฒั นาการทางสติปัญญาและความคิด ความคิดแบบเด็ก ๆ จะสิ้นสุดลง จะ เร่ิมคิดแบบผใู้ หญ่ สามารถคิดแกป้ ัญหาท่ีเป็ นนามธรรมดว้ ยวธิ ีการหลากหลาย รู้จกั คิดอยา่ งเป็น วทิ ยาศาสตร์ สามารถต้งั สมมติฐาน ทดลอง ใชเ้ หตุผล และทางานที่ตอ้ งใชส้ ติปัญญาอยา่ ง สลบั ซบั ซอ้ นได้ เพียเจทก์ ล่าววา่ เด็กวยั น้ีเป็นวยั ท่ีคิดเหนือไปกวา่ ส่ิงปัจจุบนั สนใจท่ีจะสร้างทฤษฎี เกี่ยวกบั ทุกส่ิงทุกอยา่ ง และมีความพอใจท่ีจะคิดพิจารณาเก่ียวกบั สิ่งที่ไมม่ ีตวั ตนหรือสิ่งที่เป็ น นามธรรม นกั จิตวทิ ยาเช่ือวา่ การพฒั นาความเขา้ ใจจะพฒั นาไปเร่ือย ๆ จนกระทง่ั เขา้ สู่วยั ชรา เพียเจท์เชื่อว่าพัฒนาการของเชาวน์ปัญญามนุษย์จะดาเนินไปเป็นลาดับขนั้ เปล่ียนแปลงหรือข้าม ขน้ั ไม่ได้ 4. ทฤษฎพี ฒั นาการทางจริยธรรมของโคลเบอร์ก โคลเบอร์ก ได้ศึกษาจริยธรรมตามแนวทฤษฎีของเพียเจท์ และพบความจริงว่า มนุษยม์ ี พฒั นาการทางจริยธรรมหลายข้นั ตอน ทฤษฎีของโคลเบอร์กเป็ นทฤษฎีที่มีประโยชน์ในการเขา้ ใจ พฒั นาการทางจริยธรรมไดล้ ึกซ้ึงที่สุดในปัจจุบนั โคลเบอร์กไดแ้ บง่ จริยธรรมของบุคคลออกเป็น 3 ระดบั แตล่ ะระดบั แบ่งออกเป็น 2 ข้นั ตอนดงั น้ี คือ 1. ระดับก่อนกฎเกณฑ์ (Preconventional Level) ระดบั น้ี เด็กจะสนองตอบตามเกณฑ์ ภายนอก ซ่ึงมกั เก่ียวขอ้ งกบั ร่างกาย เช่น การลงโทษ การใหร้ างวลั หรือเปล่ียนแปลงความพึงพอใจ เด็กจะดูผลที่ไดร้ ับเป็นเกณฑใ์ นการประเมินจริยธรรม ซ่ึงอาจสรุปไดว้ า่ ถา้ ตนเองถูกลงโทษแสดงวา่

155 การกระทาของตนเองไม่ดี และตนเองไดร้ ับรางวลั แสดงวา่ ตนเองทาดี ซ่ึงผมู้ ีอานาจเหนือกวา่ เป็ นผู้ กาหนดวา่ ส่ิงใดเลวสิ่งใดดี ส่วนมากเดก็ มีอายุ 4-10 ปี แบ่งออกเป็น 2 ข้นั ดงั น้ี ข้นั ที่ 1 มุง่ ไมใ่ หต้ นเองถูกลงโทษทางกาย เพราะกลวั ความเจบ็ ปวดท่ีจะไดร้ ับและยอมทา ตามคาส่ังของผใู้ หญ่ที่มีอานาจเหนือตน โดยไมเ่ อาใจใส่ความหมายหรือคุณค่าใด ๆ ข้ันที่ 2 ยินยอมทาเพื่อให้ไดร้ างวลั หรือให้ไดร้ ับสิ่งที่พอใจ ตลอดจนแลกเปลี่ยน ผลประโยชน์กนั แต่เด็กระดบั น้ีจะตีความเกี่ยวขอ้ งทางร่างกายเท่าน้นั มิใช่ค่านิยม ความกตญั ญูหรือ ความยตุ ิธรรม 2. ระดับตามกฎเกณฑ์ (Conventional Level) ระดบั น้ี คนเราจะยอมรับความมุ่งหวงั กฎเกณฑ์ทางครอบครัว กลุ่ม และประเทศชาติว่าเป็ นสิ่งท่ีมีคุณค่า มีความถูกตอ้ งและจะพยายาม ปฏิบตั ิให้เหมาะสมกบั บทบาทของตนเองในกลุ่ม ในการกระทาความดีละเวน้ ความชว่ั บุคคลจะถูก ควบคุมโดยกลุ่มสังคมจริยธรรมระดบั น้ี จะเกิดกบั บุคคลอายุ 11-16 ปี แบ่งเป็ นข้นั ต่อเนื่อง 2 ข้นั กบั ระดบั ก่อนดงั น้ี คือ ข้ันที่ 3 เกณฑ์เด็กดี บุคคลยงั ไม่เป็ นตวั ของตวั เอง คลอ้ ยตามการชกั จูงของผอู้ ่ืน เช่น การ ทาให้ผูอ้ ่ืนพอใจ การช่วยเหลือผูอ้ ่ืน และทาให้ผูอ้ ื่นพอใจ ซ่ึงก็จะตรงกบั ความคิดเห็นส่วนใหญ่ หรือยนิ ยอมทาตามเพ่ือหลีกเลี่ยงการไม่เห็นดว้ ยหรือความไม่เห็นชอบจากบุคคลอื่น ข้ันท่ี 4 บุคคลรู้ถึงหน้าที่การใช้ระเบียบ การกระทาตามระเบียบของสังคมพฤติกรรมที่ ถูกตอ้ งจะประกอบดว้ ยการปฏิบตั ิตามหนา้ ที่ การแสดงความเคารพต่ออานาจหนา้ ที่ทาตาม กฎเกณฑ์ตา่ ง ๆ ทางสังคมกาหนด คลอ้ ยตามเพือ่ หลีกเลี่ยงการถูกประณามจากสังคม ยนิ ยอมทาตาม เพื่อหลีกเล่ียงการตาหนิจากผทู้ ี่มีอานาจตามกฎหมาย 3. ระดับเหนือกฎเกณฑ์ (Postconventional Level) เป็ นระดบั ท่ีการตดั สินขดั แยง้ ด้าน จริยธรรม ข้ึนอยู่กับตนเองมากท่ีสุด การตัดสินจริยธรรมจะใช้หลักแห่งเหตุผลกระทาตนให้ สอดคลอ้ งกบั มาตรฐานสากล ไม่ขดั กบั สิทธิอนั พึงไดข้ องผอู้ ่ืน มีความเชื่อมน่ั ในตนเองแยกตวั ออก จากอิทธิพลของกลุ่มเม่ือมีเหตุผล โดยไม่คลอ้ ยตามถา้ ผอู้ ื่นไม่มีเหตุผลพอระดบั น้ีเป็ นจริยธรรมข้นั สูงสุดจะปรากฏในบุคคลที่เป็ นผใู้ หญ่ อายปุ ระมาณ 16 ปี ข้ึนไป แบ่งระดบั น้ีไดเ้ ป็ น 2 ข้นั ต่อเนื่อง กบั ข้นั ก่อน ๆ เช่นกนั คือ ข้นั ที่ 5 บุคคลจะทาตามคามนั่ สญั ญาและการกระทาท่ีถูกตอ้ งโดยทว่ั ไปที่เห็นกบั คนหมู่ มาก ควบคุมตนเองได้ คานึงถึงคุณค่าทางความคิดเห็นที่สมั พนั ธ์กบั ส่วนบุคคลและส่วนรวม เช่น เกี่ยวกบั รัฐธรรมนูญ ประชาธิปไตย จะหาขอ้ ยตุ ิธรรมโดยคานึงถึงผลทางคุณค่าและความคิดเห็น ทางสติปัญญา ท่ีจะออกมาเป็ นกฎหมายที่เป็นประโยชนข์ องสงั คม

156 ข้นั ท่ี 6 ยนิ ยอมทาตามเพือ่ หลีกเล่ียงการติเตียนตนเอง เป็นข้นั การตดั สินตามเหตุผลของการ รับผดิ ชอบ สร้างคุณธรรมประจาท่ีนอกเหนือกฎเกณฑท์ างสังคม จริยธรรมเป็นนามธรรม ไมใ่ ช่ กฎเกณฑท์ างศาสนา แต่เป็นอุดมคติสากลของสังคมส่วนรวม ยอมรับสิทธิเท่าเทียมกนั ของมนุษยท์ ี่ มีศกั ด์ิและสิทธิเท่าเทียมกนั ทุกคน ควรนบั ถือซ่ึงกนั และกนั (D.P. Asubel, E.V. Sullivan. 1970 : 142-144) ตาราง 1 เหตุผลเชิงจริยธรรม 6 ข้นั แบ่งออกเป็ น 3 ระดับ ตามทฤษฎพี ฒั นาการทางจริยธรรมของ โคลเบอร์ก ระดบั จริยธรรม ข้นั การใช้เหตุผลเชิงจริยธรรม 1. ระดบั ก่อนมีจริยธรรมอยา่ งแน่นอนของตน 1. ระดบั จริยธรรมของผอู้ ่ืน (Pre conventional Level) (Heteronomous Morality) (2-7 ปี ) 2. ระดบั มีจริยธรรมตามกฎเกณฑ์ 2. ผลประโยชน์ของตนเป็นส่วนใหญ่ (Conventional Level) (Individualism and Instrumental Purpose and Exchange) (7-10 ปี ) 3. ระดบั มีจริยธรรมอยา่ งมีวิจารณญาณ (Post Conventional Level) 3. การยอมรับของกลุ่ม (Mutujal Interpersonal Expectations Relationships and Interpersonal Conformity) (10-13 ปี ) 4. ระเบียบของสังคม (Social System and Conscience) (13-16 ปี ) 5. สญั ญาสงั คม (Social Contract) (16 ปี ข้ึนไป) 6. คุณธรรมสากล (Universal Ethical Principle) (ผใู้ หญ่) พฒั นาการในวยั ต่างๆ นกั จิตวทิ ยาพฒั นาการนิยมแบ่งชีวติ ตลอดชีวติ เป็นช่วงเวลาหลายช่วง เรียกวา่ วยั แต่ละ ช่วงวยั อาศยั อายตุ ามปฏิทินเป็นเกณฑใ์ นการแบง่ พฒั นาการที่สาคญั ในวยั ต่างๆ มีดงั น้ี 1. วยั ก่อนเกดิ (Prenatal Period) เป็นวยั นบั ต้งั แต่ปฏิสนธิจนถึงคลอด ซ่ึงมีระยะ

157 เวลาต้งั แตป่ ระมาณ 250 – 280 วนั หรือประมาณ 9 เดือน ชีวติ ใหมไ่ ดก้ าเนิดข้ึนมาเม่ือไข่ (Ovum)ของแม่ไดร้ ับการผสมกบั อสุจิ(Sperm Cell) ของพ่อ ซ่ึงชีวติ ใหม่น้ีมีโครโมโซม 23 คู่ ไดม้ า จากพอ่ และแมค่ นละคร่ึง สาหรับลกั ษณะเพศน้นั ถูกกาหนดโดยการผสมโครโมโซม X หรือ Y จากพอ่ กบั โครโมโซม X ของแม่ ถา้ ลูกได้ XX จะเป็ นเพศหญิง ส่วน XY จะเป็นเพศชาย สาหรับรูปร่างหนา้ ตาน้นั มียนี ส์(Genes) เป็นตวั กาหนด ท้งั น้ีข้ึนอยกู่ บั ลกั ษณะเด่น ดอ้ ยของยนี ส์พอ่ และแม่ ถา้ ลกั ษณะยนี ส์แม่เด่นก็จะข่มลกั ษณะยนี ส์พอ่ ใหด้ อ้ ย ลูกท่ีเกิดมาจะ เหมือนแม่มากกวา่ พอ่ ในทานองเดียวกนั ถา้ ยนี ส์พอ่ เด่นลูกก็จะเหมือนพอ่ ที่วา่ น้ีเป็ นไปตามกฎ ของเมนเดล(Mendel) ภายหลงั จากการปฏิสนธิบริเวณท่อนาไข่ (Fallopian tube) ประมาณ 24 ชว่ั โมงแลว้ ไข่ก็ จะแบง่ เซลล์ โดยท่ีแต่ละเซลลจ์ ะแบ่งตวั มนั เองออกเป็ น 2 ส่วน ซ่ึงมีลกั ษณะเหมือนเดิมทุก ประการไปเรื่อยๆ กระบวนการน้ีจะเกิดข้ึนซ้ากนั จนกระทง่ั เกิดเซลลข์ ้ึนมากมาย ในขณะที่มีการ แบง่ เซลลก์ ลุ่มของเซลลก์ จ็ ะค่อยๆเคลื่อนมาตามท่อนาไข่ไปยงั มดลูก ปกติการเดินทางของไขถ่ ึง มดลูกจะกินเวลาประมาณ 7 วนั กลุ่มของเซลลจ์ ะมีเส้นผา่ ศนู ยก์ ลางเพียง 2/100 นิ้วเท่าน้นั เซลลน์ ้ี จะยดึ ติดกบั ผนงั มดลูก ไข่ที่ไดร้ ับการผสมอาจแบง่ ไดเ้ ป็ น 3 ระยะดงั น้ี (Bernstein. 1988 : 38-39) ระยะท่ี1 คือ Germinal stage คือระยะต้งั แตแ่ รกเกิด ถึง 2 สัปดาห์แรกท่ีไขไ่ ดร้ ับการผสม และเซลลต์ ่างๆ ท่ีเกิดข้ึนจะมีลกั ษณะเหมือนตวั มนั เอง ระยะท่ี 2 คือ Embryonic stage คือระยะต้งั แตส่ ปั ดาห์ท่ี 2 ถึง สัปดาห์ที่ 6 สัปดาห์รวม 4 สัปดาห์จากระยะที่หน่ึง เริ่มตน้ ของระยะน้ีเซลลจ์ ะแบ่งออกเป็น 3 ช้นั ดว้ ยกนั คือ เน้ือเยอื่ ช้นั ใน (endoderm) ซ่ึงตอ่ มาจะพฒั นาเป็ นระบบท่ออาหารเน้ือเยอื่ ช้นั กลาง (mesoderm) เป็นแหล่งที่จะพฒั นาเป็นกลา้ มเน้ือ หลอดเลือด เย่อื บุตา่ งๆในร่างกาย อวยั วะสืบพนั ธุ์ อวยั วะ ขบั ถ่าย กระดูก เน้ือเยื่อช้นั นอก (ectoderm) จะพฒั นาเป็ นผวิ หนงั อวยั วะรับความรู้สึก ระบบ ประสาท สมอง เมื่อสิ้นสุดระยะท่ี 2 หรือ สองเดือนหลงั ปฏิสนธิเซลลแ์ ละอวยั วะจะมีลกั ษณะของ มนุษยอ์ ยา่ งคร่าวๆ ระยะที่ 3 คือ Fetal stage เป็ นระยะท่ีจะมีผลตอ่ การเจริญเติบโตของตวั อ่อนต่อมาตลอด 7 เดือน เมื่อทารกคลอดออกมาแลว้ ก็จะเป็นเด็กทารก ลกั ษณะเด่นเฉพาะของวยั น้ีคือ ความเจริญเติบโตทางร่างกายและระบบประสาทท่ีมีการ เจริญเติบโตอยา่ งรวดเร็ว สุขภาพทางกายและจิตของมารดาส่งผลถึงความเจริญของลูกออ่ นใน ครรภ์ มารดาท่ีดื่มแอลกอฮอร์มากๆ อาจจะส่งผลใหท้ ารกในครรภม์ ีลกั ษณะที่เรียกวา่ alcohol syndrome มารดาที่มีความวติ กกงั วลมากๆ (anxiety) จะส่งผลต่อบุคลิกภาพบางอยา่ งของเดก็ เมื่อ เติบโตข้ึน 1 (Nairne. 2000 : 112)

158 รูปท่ี 10-1 พฒั นาการของทารกในวยั ก่อนคลอด ท่ีมา : Bernstein. 1999 :332 2. วยั ทารก (Infancy Period) วยั ทารกเป็นวยั ที่สาคญั อยา่ งยงิ่ สาหรับการวางรากฐานของชีวติ วยั น้ีเริ่มต้งั แต่ คลอดออกจากครรภม์ ารดาจนถึงประมาณ 2 ปี แรกของชีวติ หลงั จากท่ีคลอดออกมาจากครรภ์ มารดาแลว้ ทารกจะตอ้ งปรับตวั ใหเ้ ขา้ กบั สภาพแวดลอ้ มใหมห่ ลายประการ เช่น การเปล่ียนแปลง อุณหภมู ิ การหายใจ การดูดกลืนอาหาร การยอ่ ยอาหาร การขบั ถ่าย (ซ่ึงก่อนหนา้ น้ีทารกตอ้ ง พ่ึงพงิ มารดา) จึงนบั วา่ เป็ นการเปล่ียนแปลงที่ยงิ่ ใหญ่ท่ีทารกจะตอ้ งปรับตวั ใหเ้ ขา้ กบั สภาพแวดลอ้ มใหม่ใหไ้ ดเ้ พอ่ื จะไดด้ ารงชีวติ อยตู่ ่อไปใหไ้ ด้ นอกจากการปรับตวั กบั สภาพแวดลอ้ ม ใหม่แลว้ สิ่งท่ีสาคญั อีกประการหน่ึงในวยั ทารกคือ บุคคลรอบขา้ งของเด็ก บุคคลรอบขา้ งที่เป็น สภาพแวดลอ้ มที่สาคญั ของเด็กไดแ้ ก่มารดาหรือผเู้ ล้ียงดู ซ่ึงดูแลใหอ้ าหาร ใหค้ วามรักความอบอุ่น สมั ผสั อุม้ ชูดว้ ยความรัก และทาความสะอาดร่างกายให้ ทารกจะไดเ้ รียนรู้การสร้างความสัมพนั ธ์ กบั บุคคลอ่ืนเป็นคร้ังแรกในวยั น้ี ซ่ึงทกั ษะการสร้างความสมั พนั ธ์กบั บุคคลอ่ืนน้ี จะเป็นทกั ษะที่ สาคญั ในการสร้างความสัมพนั ธ์ท่ีดีกบั บุคคลอ่ืนในสงั คมต่อไปในอนาคต พฒั นาการในวยั น้ีพอจะ แยกเป็น 5 ดา้ นไดค้ ือ พฒั นาการทางกาย พฒั นาการทางสติปัญญา พฒั นาการทางอารมณ์ พฒั นาการทางสงั คม และพฒั นาการทางภาษา 2.1 พฒั นาการทางกาย (Physical Development) มีการเปล่ียนแปลงทางดา้ นโครงสร้างของร่างกายและการรู้จกั ใชอ้ วยั วะต่างๆ อยา่ ง รวดเร็ว ศรีษะที่โตคอ่ ยๆ ดูเล็กลง ลาตวั และขาดูยาวใหญข่ ้ึน โครงกระดูกเจริญเติบโตรวดเร็ว แขนและขาจึงแขง็ แรงข้ึน ทาใหม้ ีการพฒั นาการอยา่ งมากมายทางการเคลื่อนไหว การใชก้ ลา้ มเน้ือ และประสาทสัมผสั ทารกที่อยใู่ นช่วงน้ีจึงไมค่ ่อยจะอยนู่ ่ิง ชอบสารวจส่ิงแวดลอ้ ม(รูปแสดง พฒั นาการสัดส่วนของร่างกาย หนา้ 65 ศรีเรือน) ผเู้ ล้ียงดูจึงควรระมดั ระวงั ไม่ใหเ้ ด็กเล่นสิ่งของ อนั จะนาอนั ตรายมาสู่ตวั เอง เช่น ปลกั๊ ไฟ เหรียญสตางค์ เป็นตน้ ผเู้ ล้ียงดูควรจดั สภาพแวดลอ้ ม

159 ใหเ้ ด็กไดร้ ับความปลอดภยั มากท่ีสุดเท่าที่จะทาได้ รูปที่ 10-2 ภาพแสดงพฒั นาการของร่างกาย ท่ีมา : ศรีเรือน แกว้ กงั วาล. 2527 : 65 2.2 พฒั นาการทางสติปัญญา (Intellectual Development) พฒั นาการทางสติปัญญาไม่วา่ ในวยั ใด ข้ึนอยกู่ บั ปัจจยั ที่สาคญั 3 ประการคือ 1. พ้ืนฐานทางสติปัญญาที่ไดร้ ับการถ่ายทอดจากบรรพบุรุษ 2. โอกาสที่เด็กจะไดเ้ รียนรู้ 3. สิ่งแวดลอ้ มท่ีอยรู่ อบตวั เด็ก นอกเหนือจากปัจจยั ท่ีกล่าวมาแลว้ สิ่งที่มีอิทธิพลต่อการพฒั นา สติปัญญายงั ไดแ้ ก่ 1. โอกาสท่ีเดก็ จะไดเ้ ล่น เพราะการเล่นช่วงส่งเสริมความเขา้ ใจส่ิงแวดลอ้ ม ดงั คากล่าวท่ีวา่ การเล่นคือการเรียน (Playing is Learning) 2 (ศรีเรือน แกว้ กงั วาล. 2527 : 71 ) 2. ความสามารถท่ีจะเขา้ ใจภาษาและใชภ้ าษาที่ทาใหผ้ อู้ ื่นเขา้ ใจ 3. พฒั นาการของกลา้ มเน้ือและ ประสาทสัมผสั (Sensory motor) เพราะระยะน้ีเดก็ เรียนรู้สิ่งต่างๆ โดยอาศยั กลา้ มเน้ือและ ประสาทสัมผสั เป็นส่ือเป็นส่วนใหญ่ การที่เด็กไดม้ ีโอกาสแตะตอ้ ง เห็น ไดย้ นิ วตั ถุที่ใหก้ าร เรียนรู้ จะช่วยพฒั นาสติปัญญาอยา่ งมาก การส่งเสริมพฒั นาการทางดา้ นน้ีจาตอ้ งอาศยั การเรียนรู้ จึงควรจดั สภาพแวดลอ้ มให้ เกิดการเรียนรู้ใหม้ ากท่ีสุดเท่าท่ีจะมากได้ เพ่ือตอบสนองการเรียนรู้ในดา้ นต่างๆ ซ่ึงสิ่งเหล่าน้ีจะ ช่วยส่งเสริมพฒั นาการทางสมอง ผเู้ ล้ียงดูควรจดั หาของเล่นใหเ้ ดก็ ใหเ้ หมาะสมกบั วยั และ ความสามารถของเดก็ ของเล่นนอกจากจะใหค้ วามเพลิดเพลินแลว้ เดก็ ยงั สามารถเรียนรู้หลายๆ อยา่ งจากของเล่นน้นั ๆ เช่น เรียนรู้เก่ียวกบั รูปฟอร์มตา่ งๆ เช่น รูปสามเหลี่ยม รูปสี่เหล่ียม รูป วงกลม เป็นตน้ ซ่ึงความรู้เหล่าน้ีกค็ ือความรู้ข้นั พ้นื ฐานของวชิ าคณิตศาสตร์นนั่ เอง นอกจาก ความรู้เกี่ยวกบั รูปฟอร์มต่างๆ แลว้ เด็กยงั ไดเ้ รียนรู้เก่ียวกบั ขนาด เช่น ใหญ่-เลก็ จานวนและสี

160 ของสิ่งเหล่าน้นั วา่ มีจานวนมากนอ้ ยเท่าใดและมีสีสันอะไรบา้ ง ฉะน้นั ในการหาซ้ือของเล่นใหเ้ ดก็ บิดามารดาจึงควรหาซ้ือของเล่นชนิดของเล่นเพื่อการศึกษา (Educational Toys) เพ่ือสนองความ ตอ้ งการอยากรู้อยากเห็นและยงั ช่วยส่งเสริมพฒั นาการทางสติปัญญา 2.3 พฒั นาการทางอารมณ์ (Emotion Development) อารมณ์ของเด็กในวยั น้ี เปลี่ยนแปลงง่ายรวดเร็วข้ึนอยกู่ บั สิ่งเร้า อารมณ์โกรธมี มากกวา่ อารมณ์อ่ืนๆ เพราะเป็นระยะท่ีเดก็ พฒั นาความเป็ นตวั ของตวั เอง พยายามฝึกฝนตนเอง เพ่ือใหส้ ามารถช่วยตนเองทางสมรรถภาพของร่างกาย แต่เด็กไม่สามารถทาไดต้ ามใจตนเอง ส่ิง เหล่าน้ีลว้ นแต่ยว่ั ยใุ หเ้ ดก็ โกรธไดง้ ่ายๆ ผลที่ตามมากค็ ือ ความหงุดหงิด ฉุนเฉียว โยเย เดก็ อาจแสดงอารมณ์โกรธออกมาหลายวธิ ีเช่น ร้องไห้ ทุบตี ไมส่ บาย เป็นตน้ อารมณ์กลวั เกิดมากเป็นอนั ดบั สองรองจากอารมณ์โกรธ อารมณ์กลวั เกิดจากสาเหตุ ต่างๆ เช่น ความไม่เขา้ ใจสิ่งแวดลอ้ ม การหลอกหรือข่ขู องผใู้ หญ่ หรืออาจจะเกิดจาก ประสบการณ์ที่เดก็ ไดร้ ับโดยตรงกไ็ ด้ เช่น ความมืด การถูกทิ้งใหอ้ ยคู่ นเดียวตามลาพงั เด็กแสดง อารมณ์กลวั ออกมาโดยวธิ ี ร้องไหจ้ า้ หนี ใหผ้ ใู้ หญอ่ ุม้ ไม่รับประทานอาหาร เป็นตน้ อารมณ์อยากรู้อยากเห็นเป็นอีกอารมณ์หน่ึงท่ีมีค่อยขา้ งมากเกิดจากความตอ้ งการรู้จกั สิ่งแวดลอ้ ม อารมณ์ประเภทน้ีมีประโยชน์ต่อการพฒั นาสติปัญญา ถา้ บิดามารดาส่งเสริมใหถ้ ูกวธิ ี จะช่วยส่งเสริมการพฒั นาทางดา้ นสติปัญญาได้ การส่งเสริมพฒั นาการทางอารมณ์ ผเู้ ล้ียงดูไมค่ วรปล่อยใหเ้ ดก็ อยใู่ นอารมณ์โกรธนานๆ เพราะจะทาใหเ้ ด็กที่เติบโตข้ึนเป็นคนที่เจา้ อารมณ์ ฉุนเฉียวโกรธง่าย ควรสนองความตอ้ งการของ เด็กตามความเหมาะสม และไมค่ วรหลอกเดก็ ใหก้ ลวั โดยไม่มีเหตุผล หรือข่กู รรโชกเดก็ ใหก้ ลวั เพราะจะทาใหเ้ ดก็ เติบโตข้ึนมาเป็นคนท่ีกลวั ง่าย ตกใจง่าย หวาดระแวงเป็นผลกระทบตอ่ บุคลิกภาพของเดก็ ในอนาคต เม่ือเด็กสงสัยซกั ถามผใู้ หญห่ รือบิดามารดาเพราะความอยากรู้อยาก เห็น ไมค่ วรดุวา่ เด็กจะทาใหเ้ ด็กไมก่ ลา้ ซกั ถามอะไรอีกตอ่ ไป ซ่ึงไมช่ ่วยใหเ้ ด็กไดศ้ ึกษาส่ิงแปลกๆ ใหม่ๆ ท้งั ยงั ไมไ่ ดต้ อบสนองความตอ้ งการในดา้ นความอยากรู้อยากเห็นของเด็กดว้ ย นอกจากน้นั ยงั ควรส่งเสริมอารมณ์รื่นเริงยนิ ดีใหก้ บั เดก็ เพราะอารมณ์น้ีจะช่วยส่งเสริมใหเ้ ด็กเติบโตข้ึนเป็น ผใู้ หญ่ที่มีสุขภาพจิตท่ีดี การส่งเสริมทาไดโ้ ดยการสมั ผสั อุม้ ชู หยอกลอ้ เล่นกบั เดก็ หรือส่งเสริม ใหเ้ ดก็ ไดท้ ากิจกรรมท่ีเดก็ ชอบ

161 2.4 พฒั นาการทางสังคม (Social Development) พฒั นาการทางสังคม หมายถึง พฤติกรรมท่ีเด็กสร้างความสัมพนั ธ์กบั บุคคลต่างๆ ต้งั แต่ บิดามารดาหรือผเู้ ล้ียงดู ขยายออกไปยงั สมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัว บุคคลอื่นๆ ในชุมชน ใน โรงเรียนและในสังคมท่ีตนเองเป็นสมาชิก แบบพฤติกรรมสงั คมมีหลายอยา่ ง เช่น กา้ วร้าว นุ่มนวล เยอื กเยน็ รุ่มร้อน เกบ็ ตวั ชอบสงั คม คบคนง่าย คบคนยาก ชอบโทษผอู้ ื่น ชอบโทษ ตนเอง ชอบวางอานาจใส่ผอู้ ื่น ชอบเป็ นผนู้ า ชอบเป็นผตู้ าม เปลี่ยนแปลงง่าย เปลี่ยนแปลงยาก ไม่ยอมใครง่ายๆ ยอมใหผ้ อู้ ื่นง่ายๆ ชอบเอาเปรียบ ชอบนินทา ชอบต่อสู้ ฯลฯ พฤติกรรมทางสังคมของแตล่ ะบุคคลจะแสดงออกมาอยา่ งไร ข้ึนอยกู่ บั อิทธิพลต่างๆ หลายประการ ท่ีบุคคลเรียนรู้และไดร้ ับในวยั ทารก เช่น 1. ความรู้สึกท่ีเกิดข้ึนขณะที่เดก็ ไดร้ ับ อาหาร การไดร้ ับอาหารเป็ นเร่ืองที่สาคญั มากสาหรับเดก็ ในวยั น้ี ฟรอยดเ์ ช่ือวา่ ความสุขของคน ในระยะน้ีอยทู่ ี่การไดก้ ินอาหาร ดงั น้นั ถา้ เดก็ ไม่มีความสุขอยา่ งเพียงพอเก่ียวกบั การกินอาหาร จะ กระทบกระเทือนไปถึงการพฒั นาการทางสงั คมและพฒั นาการทางอารมณ์ดว้ ย 2. ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งบุคคลตา่ งๆ ภายในบา้ น ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งบุคคลในบา้ นท้งั ในแง่ดี และไมด่ ีจะเป็นรอยประทบั ไวใ้ นจิตใจของเด็ก โดยที่เด็กไม่รู้สึกตวั และไม่สามารถใชส้ ติปัญญา เลือกเฟ้ น เดก็ จะเรียนและเลียนแบบความสมั พนั ธ์เหล่าน้ีไปปฏิบตั ิในชีวติ อนาคต 3. การฝึกหดั ให้ เด็กรู้สึกเคารพระเบียบกฎเกณฑต์ า่ งๆ เป็นรากฐานท่ีสาคญั ของพฤติกรรมทางสงั คมในการอยู่ ร่วมกบั บุคคลอ่ืน 4. การฝึกใหเ้ ดก็ ไดเ้ รียนรู้ รับรู้ และเขา้ ใจเร่ืองมารยาทสังคม ค่านิยม (Value) และจรรยา (Moral) เป็นเรื่องสาคญั ที่ทาใหบ้ ุคคลมีชีวติ ทางสงั คมอยา่ งมีความสุข การส่งเสริมพฒั นาการทางสังคม ความสมั พนั ธ์ภายในครอบครัวเป็นปัจจยั ท่ีสาคญั ที่สุดใน การส่งเสริมพฒั นาการทางสังคม เด็กท่ีไดร้ ับความรักความอบอุ่นจากบิดามารดาอยา่ งเพยี งพอจะ เรียนรู้ในการที่จะรักบุคคลอื่นดว้ ย บิดามารดาควรจดั สภาพแวดลอ้ มใหเ้ ดก็ ไดม้ ีประสบการณ์ทาง สงั คมมากข้ึน ไดม้ ีโอกาสสมาคมกบั ผอู้ ื่น ไดม้ ีโอกาสร่วมแสดงความเห็นกบั ผอู้ ื่น จะทาใหเ้ กิดผล ดีตอ่ การพฒั นาการทางสงั คม นอกจากน้ีบิดามารดาควรทาตวั เป็นแบบอยา่ งท่ีดีแก่เดก็ ในการแสดง มารยาททางสงั คม เช่น การทกั ทาย การตอ้ นรับแขก รวมท้งั มารยาทที่พึงปรารถนาในสังคมทุก ประเภท 2.5 พฒั นาการทางภาษา (Speech Development) ทารกแรกเกิดใชก้ ารร้องไห้ การทาเสียงท่ียงั ไมเ่ ป็นภาษาเป็นเครื่องสื่อความ หมาย การพดู ภาษาของเดก็ ข้ึนอยกู่ บั ความพร้อมและวฒุ ิภาวะของอวยั วะตา่ งๆ ท่ีใชใ้ นการพดู การ ฝึกในการพดู ภาษาของเดก็ อาศยั การเรียนรู้และการเลียนแบบ เดก็ จึงเร่ิมเขา้ ใจภาษาของบุคคลที่พดู

162 ใหต้ นฟังรู้เร่ืองก่อน เมื่อเขา้ ใจแลว้ หดั เรียนและเลียนพดู ตามจนกระทงั่ พดู ได้ กวา่ จะพดู เป็นภาษา ไดอ้ ยา่ งผใู้ หญ่น้นั กินเวลาถึงประมาณ 6 ขวบ การส่งเสริมพฒั นาการทางภาษา บิดามารดาหรือผปู้ กครอบควรจะสอนใหเ้ ด็กเริ่มตน้ พดู ดว้ ยคาง่ายๆ ก่อน โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ บิดามารดาหรือผเู้ ล้ียงดูจะตอ้ งพดู ใหช้ ดั เจนเพ่ือเป็นตวั แบบที่ถูกตอ้ งใหก้ บั เด็ก นอกจากการสอนให้รู้จกั คาตา่ งๆ แลว้ บิดามารดาควรจะพดู กบั เดก็ บ่อยๆ ควรตอบคาถามที่เดก็ ถามง่ายๆ ส้นั ๆ ใชค้ าศพั ทใ์ หเ้ หมาะสมกบั วยั เด็ก นอกจากน้ีแลว้ การส่งเสริม พฒั นาการทางภาษายงั ส่งเสริมไดห้ ลายๆ ทางดว้ ยกนั เช่น เล่านิทานสนุกๆ ใหเ้ ดก็ ฟัง เห่กล่อม ก่อนเขา้ นอน อา่ นหนงั สือเด็กใหฟ้ ัง สอนใหร้ ้องเพลงเด็กและทาทา่ ประกอบง่ายๆ เป็นตน้ (อายเุ ป็นเดือน) รูปที่ 10-3 ภาพแสดงพฒั นาการในการเคลื่อนไหวทางกาย ที่มา : Bernstein. 1999 : 330

163 3. วยั เดก็ ตอนต้นหรือวยั เด็กก่อนเข้าโรงเรียน (Early Childhood or Pre School Age) วยั เด็กตอนตน้ หรือระยะวยั เด็กก่อนเขา้ โรงเรียน เริ่มตน้ ต้งั แตอ่ ายปุ ระมาณ 2 ขวบ จนถึง 6 ขวบ ลกั ษณะเด่นของเดก็ วยั น้ีคือ อยากเป็ นอิสระ อยากเป็นตวั ของตวั เอง ด้ือดึงตอ่ พ่อแม่ เดก็ วยั น้ีเป็นวยั ที่กาลงั น่ารักและน่าชงั ไมส่ ู่จะตามใจใครง่ายๆ วยั น้ีจึงไดร้ ับสมญาวา่ วยั ช่างปฏิเสธ (Negativistic Period) ที่เป็นเช่นน้ีเพราะ เพ่งิ พน้ จากวยั ทารกประกอบมีความสามารถทางกายเพม่ิ มากข้ึนจึงตอ้ งการแสดงความสามารถ และมีการติดต่อกบั บุคคลตา่ งๆ มากข้ึน การติดตอ่ สังสรรค์ กบั ผอู้ ่ืนเป็ นการเพมิ่ และเร้าใหม้ ีความตอ้ งการเป็ นตวั ของตวั เองมากข้ึนพฒั นาการที่สาคญั ในเดก็ วยั น้ีมีดงั น้ี 3.1 พฒั นาการทางกาย (Physical Development) พฒั นาการทางกายในวยั เดก็ ตอนตน้ ยงั เป็นไปแบบเจริญเติบโตเพือ่ ใหท้ างานเตม็ ที่ แตอ่ ตั ราแปรเปลี่ยนค่อนขา้ งชา้ เม่ือเทียบกบั ระยะวยั ทารก น้าหนกั และส่วนสูงยงั คงเพมิ่ ข้ึนแตไ่ ม่ เพ่ิมมากนกั สัดส่วนของร่างกายจะค่อยๆ เปล่ียนไป แขนขายาวข้ึน ลาตวั ยาวและกวา้ งข้ึนเป็นสอง เทา่ ของทารกเกิดใหม่ กระดูกเพ่มิ ความแขง็ แรงกวา่ เดิม กลา้ มเน้ือและประสาทสัมผสั ทาหนา้ ที่ได้ ดีข้ึน ฉะน้นั จึงเป็นระยะท่ีเหมาะท่ีสุดที่จะฝึกไดเ้ ล่นกีฬาประเภทเคล่ือนไหวต่างๆ ท่ีเหมาะกบั กาลงั ของเดก็ ซ่ึงจะช่วยการเรียนรู้และพฒั นาพฤติกรรมดา้ นอารมณ์ สังคม และสติปัญญา ความเจริญเติมโตทางร่างกายเป็นสิ่งจาเป็น เพราะเป็นการเตรียมตวั ใหเ้ ดก็ ช่วยเหลือ ตวั เองได้ บิดามารดาจึงควรสนบั สนุนใหเ้ ดก็ ช่วยเหลือตวั เองทางดา้ นร่างกายต่างๆ เช่น ฝึกใหเ้ ด็ก รับประทานอาหารเอง ใส่เส้ือผา้ เอง ถอดเส้ือผา้ เอง ฯลฯ ถา้ ไม่ฝึกใหช้ ่วยเหลือตวั เองเด็กจะ ปรับตวั ให้เขา้ กบั โลกภายนอกและบุคคลอื่นๆ นอกครอบครัวไดค้ ่อนขา้ งลาบาก การสร้างอุปนิสยั ในการรับประทานอาหาร ควรทาอยา่ งจริงจงั และเป็นขอ้ ที่ผปู้ กครอง ตอ้ งถือปฏิบตั ิในการอบรมเด็กของตนเอง เพื่อใหเ้ ด็กรู้จกั เลือกรับประทานอาหารไดอ้ ยา่ งถูก สุขลกั ษณะ ถูกเวลา และมีมารยาทในการรับประทานอาหาร ถา้ ปล่อยปละละเลยจะทาใหห้ ดั ได้ ยากเมื่อพน้ วยั น้ี ส่วนการสร้างสุขนิสัยในการขบั ถ่าย ควรฝึกเดก็ อยา่ งจริงจงั เนื่องจากสภาพทางร่าง กายของเดก็ พร้อมแลว้ เด็กสามารถควบคุมการขบั ถ่ายอุจาระไดก้ ่อนปัสสาวะ และควบคุมการถ่าย ปัสสาวะตอนกลางวนั ไดด้ ีกวา่ ตอนกลางคืน การสร้างสุขนิสยั ทางกายเป็นเร่ืองท่ีสาคญั มาก เพราะมีผลต่อพฤติกรรมทางดา้ นสังคม ดว้ ย ไดแ้ ก่ การคบเพื่อน การเขา้ โรงเรียน การผกู มิตร การมีวนิ ยั ฯลฯ ในปัจจุบนั น้ีเดก็ ๆ มกั เร่ิม ออกจากบา้ นต้งั แต่ในวยั น้ี ดงั น้นั การสร้างสุขนิสยั ทางกายต่างๆ นอกจากจะเร่ิมจากทางบา้ นแลว้ จะตอ้ งไดร้ ับความร่วมมือจากทางโรงเรียนดว้ ยเพราะเดก็ วยั น้ีใชเ้ วลาวนั ละประมาณ 5 – 6 ชวั่ โมง

164 นอกจากน้ีสุขนิสยั ทางกายยงั มีผลต่อพฒั นาการทางดา้ นอื่นๆ อีก เช่น พฒั นาการทางอารมณ์และ ความคิด การเล่นสาหรับเด็กในวยั น้ีในทุกรูปแบบ เป็ นเร่ืองจาเป็ นสาหรับการพฒั นาการทางกาย ทางสังคม และทางอารมณ์ของเด็ก ความสาคญั ของการเล่นจะมีผลไปถึงวยั เดก็ ตอนปลาย เพราะ การเล่นของเด็กคือ การเรียนรู้ (Playing is Learning) แตก่ ารเล่นจะใหค้ ุณหรือให้โทษน้นั อยทู่ ่ี ลกั ษณะของการเล่นและของเล่น ท่ีเหมาะกบั วยั สุขภาพ และเพศของเด็ก 3.2 พฒั นาการทางอารมณ์ เดก็ ในวยั น้ี จะมีอารมณ์หงุดหงิดง่ายกวา่ เด็กในวยั ทารก ด้ือร้ันเอาแต่ใจตวั เอง เจา้ อารมณ์ ท้งั น้ีเพราะอยใู่ นวยั ช่างปฏิเสธ (Negativistic Phase) อารมณ์โกรธเป็ นอารมณ์ธรรมดาที่สุดของเดก็ ในวยั น้ี เพราะในระยะน้ีเดก็ โกรธง่าย เนื่องจากอยากเป็ นตวั ของตวั เอง การแสดงอารมณ์โกรธอาจ แสดงออกมาไดห้ ลายวธิ ี เช่น กระทืบเทา้ ร้องไหก้ ร๊ีดๆ นอนดิ้นกบั ฟ้ื น ฯลฯ ส่วนอารมณ์อวด ด้ือถือดี (Negativistic) เป็นอารมณ์ที่เกิดข้ึนมากพอๆ กบั อารมณ์โกรธ ความด้ือร้ันสืบเน่ืองมาจาก ความตอ้ งการทาอะไรๆ ดว้ ยตวั ของตวั เอง นอกจากน้ี ยงั มีอารมณ์อยากรู้อยากเห็นแสดงใหเ้ ห็น จากการท่ีเด็กชอบต้งั คาถาม โน่นอะไร ทาไมจึงเป็นเช่นน้นั ทาไมไมเ่ ป็นอยา่ งน้นั อารมณ์ กา้ วร้าวแสดงออกใหเ้ ห็นท้งั ทางกายเช่น รังแกเพื่อน และทางวาจาโดยเฉพาะในช่วงอายุ 4 – 5 ขวบ จะแสดงความกา้ วร้าวออกมาโดยใชค้ าพดู มากกวา่ ใชก้ าลงั ต่อสู้กนั อารมณ์อิจฉาริษยา เกิดข้ึนเนื่องจากตนรู้สึกวา่ กาลงั จะสูญเสียส่ิงที่ตนรักและเป็นสมบตั ิพเิ ศษของตนไปใหแ้ ก่บุคคล อื่น อารมณ์หวาดกลวั แสดงออกในลกั ษณะของการหลบซ่อน หลีกเล่ียง สถานการณ์ท่ีทาให้ ตกใจกลวั หรือวง่ิ หนีเขา้ หาผใู้ หญ่ อารมณ์หรรษาจะเกิดเม่ือเดก็ ประสบความสาเร็จในการเป็นตวั ของตวั เองไดส้ มใจ 3.3 พฒั นาการทางภาษา ในระยะน้ีเดก็ ใชภ้ าษาพดู ไดแ้ ลว้ แตย่ งั ไมถ่ ูกตอ้ งสมบูรณ์ดีเทา่ ผใู้ หญ่ เดก็ จะพฒั นา ความสามารถในการใชภ้ าษาจนใชง้ านไดด้ ีในช่วงระยะวยั เดก็ ตอนตน้ เมื่อสิ้นสุดระยะน้ีไมว่ า่ เด็ก ชาติไหนสามารถพดู ภาษาแม่ของตนไดด้ ีเทา่ ผใู้ หญ่ วยั 6 ขวบเป็นระยะสุดทา้ ยของพฒั นาการภาษา พดู (Speech) นอกจากภาษาพดู แลว้ เดก็ บางคนเร่ิมพฒั นาภาษาเขียนและเร่ิมอ่านหนงั สือ เพราะ กลา้ มเน้ือของเด็กและสายตาเริ่มพฒั นาพอใชง้ านไดแ้ ลว้ 3.4 พฒั นาการทางสังคม พฒั นาการทางสงั คมไดเ้ ริ่มแลว้ ต้งั แต่วยั ทารก แตใ่ นระยะวยั เด็กตอนตน้ มีลกั ษณะ ผดิ แผกจากวยั ทารก เช่น

165 3.4.1 เด็กเร่ิมรู้จกั เขา้ หาผอู้ ื่น ไม่คอยแต่เป็ นฝ่ ายรับการเขา้ หาจากผอู้ ื่น เหมือนตอนท่ีเป็ นวยั ทารก 3.4.2 เด็กเริ่มเบื่อหน่ายที่จะคบผใู้ หญเ่ ป็นเพื่อน เร่ิมแสวงหาเพ่ือนร่วมวยั เดียวกนั 3.4.3 เด็กคบกบั เพ่อื นร่วมวยั ยงั ไมร่ าบร่ืนนกั เพราะยงั ตอ้ งการใหผ้ อู้ ื่นสนใจ ตนมากกวา่ ตนสนใจผอู้ ่ืน (Self – center) 3.4.4 เพอื่ นของเด็กยงั มีจานวนจากดั นอกจากเพอ่ื นท่ีเป็นบุคคลจริงๆ แลว้ เดก็ ยงั มีเพือ่ นอีกประเภทหน่ึงคือ เพ่ือนสมมุติ (Imaginative Friend) เพือ่ ช่วยลดความตึงเครียดใน ดา้ นประสบการณ์สมาคม ระยะที่เดก็ สร้างเพอื่ นสมมุติมากที่สุดอยรู่ ะหวา่ ง 2 ขวบคร่ึง ถึง 4 ขวบ คร่ึง 3.4.5 พร้อมๆ กบั มีเพอ่ื นสมมุติ เด็กจะสร้างโลกสมมุติหรือเรื่องสมมุติข้ึน (Imaginative Word or Imaginative Play) การสร้างโลกสมมุติเป็นการเล่นชนิดหน่ึงของเด็กในวยั น้ี การเล่นสมมุติเป็ นการเล่นเลียนแบบชีวติ จริง เช่น เล่นขายของ เล่นเป็นแม่ เล่นเลียนบทละครที่ดู จากโทรทศั น์ เด็กมกั จะมีของเล่น และอุปกรณ์การเล่นประเภทต่างๆ ประกอบการเล่นสมมุติ เช่น ดินน้ามนั ลูกปัด ตุก๊ ตา กรรไกร ดินสอสี ฯลฯ การเล่นสมมุติบางอยา่ งอาจเลียนชีวติ จริงบางส่วน เท่าน้นั เช่น เร่ืองเก่ียวกบั เทวดา นางฟ้ า ยกั ษ์ หุ่นยนตต์ ่างๆ บุคคลเหล่าน้ีเป็นเพื่อนสมมุติของ เดก็ ซ่ึงเดก็ บางคนรู้สึกใกลช้ ิดสนิทสนมมากกวา่ เพื่อนในชีวติ จริงๆ ของเขาเสียอีก 3.4.6 พฤติกรรมทางสงั คมอีกอยา่ งหน่ึง ซ่ึงเกิดข้ึนในระยะวยั เด็กตอนตน้ ซ่ึงน่ารู้น่าสนใจและไมค่ วรมองขา้ ม ไดแ้ ก่ การที่เดก็ หญิงและเด็กชาย เร่ิมมองเห็นความแตกตา่ ง ระหวา่ งเพศ (Sex Difference) เริ่มตระหนกั วา่ ตนเป็นเพศหญิงหรือชาย และควรจะประพฤติตน อยา่ งไรจึงจะสมเป็ นผหู้ ญิงสมเป็นผชู้ าย (Sexual Typing) การเรียนรู้เหล่าน้ี นอกจากเดก็ จะเรียน ดว้ ยอาศยั การสงั เกตและการเลียนแบบแลว้ ยงั ถูกอบรมแนะนาจากผใู้ หญ่ดว้ ย การเรียนรู้เหล่าน้ี เป็นรากฐานของการประพฤติตนอยา่ งชายหนุ่มหญิงสาว หรือบทบาทอยา่ งอ่ืนสาหรับเฉพาะชาย หรือหญิงในภายภาคหนา้ เช่น บิดา สามี มารดา ภรรยา ฯลฯ สาเหตุที่ทาใหผ้ ใู้ หญ่บางคน ประพฤติตนผิดไปจากลกั ษณะบทบาททางเพศของตนที่สังคมไม่ยอมรับ เช่น กะเทย รักร่วมเพศ น้นั มีสาเหตุหน่ึงก็คือ ประสบการณ์และการเรียนรู้ของเขาในวยั น้ีผดิ ไปจากบทบาทที่ควรจะเป็ น ตามเพศท่ีเหมาะสมของตน ..

166 ฟรอยด์ (Freud) อธิบายเก่ียวกบั เร่ืองน้ีวา่ ระยะวยั เดก็ ตอนตน้ เป็นระยะพฒั นาการซ่ึงเขา ใชช้ ่ือวา่ Oedipal Stage เดก็ หญิงและเดก็ ชายจะตระหนกั ถึงความเป็นเพศชายหรือเพศหญิงของตน และเรียนรู้ท่ีจะทาตามเพศของตน โดยเลียนแบบจากผใู้ หญ่ที่เป็นเพศเดียวกบั ตน (Model or Idedtification Figures) การเลียนแบบบทบาททางเพศเกิดข้ึนเมื่อ 1. มีบุคคลท่ีเป็นเพศเดียวกบั ตน 2. บุคคลน้นั เป็นผทู้ ี่เดก็ มีความสัมพนั ธ์ที่ดี 3. บุคคลน้นั ประพฤติตนตามบทบาททางเพศ สองขอ้ ขา้ งตน้ มีความสาคญั ที่จะบนั ดาลใหม้ ีการเลียนแบบบทบาททางเพศเกิดข้ึน ส่วนขอ้ สุดทา้ ยน้นั เป็นตวั กาหนดวา่ ลกั ษณะการเลียนแบบน้นั จะเป็นไปในรูปใด เช่น สมตามเพศหรือไม่ สมตามเพศแตพ่ อประมาณ หรือไมส่ ู้จะสมตามลกั ษณะบทบาททางเพศ พร้อมๆ กบั การเลียนแบบ บทบาททางเพศ เดก็ จะเริ่มสร้างความสัมพนั ธ์กบั บุคคลเพศตรงขา้ มกบั ตนซ่ึงในระยะน้ีคือ ผใู้ หญ่ ท่ีใกลช้ ิดกบั เดก็ เน่ืองจากในหลายๆ ครอบครับ บิดามารดามกั ใกลช้ ิดกบั เดก็ มากท่ีสุด ฟรอยดจ์ ึง อธิบายวา่ ระยะน้ีเด็กหญิงรักพอ่ เลียนบทบาททางเพศจากแม่ เดก็ ชายรักแม่เลียนบทบาททางเพศ จากพอ่ ถา้ เดก็ หญิงและเด็กชาย ไมไ่ ดร้ ับการสนองความตอ้ งการเลียนแบบบทบาททางเพศของตน จากผใู้ หญ่ท่ีเป็ นพศเดียวกบั ตน และสร้างสัมพนั ธภาพกบั ผใู้ หญ่ต่างเพศกบั ตน เมื่อเด็กยงั อยใู่ น ระยะวยั เด็กตอนตน้ เด็กจะเกิดปมของอารมณ์ความตอ้ งการน้ีติดตวั ไปในภายภาคหนา้ เป็นลกั ษณะ Fixation (ไม่เปลี่ยนไปตามกาล) ฟรอยดใ์ หช้ ่ือปมน้ีวา่ Oedipus Complex ปมน้ีเร้าใหม้ นุษยม์ ี พฤติกรรมทางเพศหลายอยา่ ง ซ่ึงอาจผดิ แผกไปจากที่สงั คมส่วนมากยอมรับ เช่น รักร่วมเพศ ไม่ สามารถสร้างสัมพนั ธภาพกบั เพอ่ื นได้ ฯลฯ จะเป็ นแบบใดหรือรุนแรงอยา่ งไรน้นั ข้ึนอยกู่ บั ความ เขม้ ขน้ และลกั ษณะของปม Oedipus Complex ซ่ึงมีตน้ เหตุมาจากประสบการณ์ของชีวติ เกี่ยวกบั เรื่องน้ีในระยะวยั เด็กตอนตน้ 3.5 พฒั นาการทางศีลธรรมจรรยาและค่านิยม (Moral and Value Development) ความนึกคิดเกี่ยวกบั อะไรถูก ผดิ ชวั่ น้นั เดก็ ยงั คิดเห็นเป็นเหตุผลดว้ ยตนเองไมไ่ ด้ ยงั ตอ้ งอาศยั ผอู้ บรมเล้ียงดูใหค้ าแนะนา แตท่ ี่สาคญั ยง่ิ กวา่ คาแนะนาก็คือ การทาเป็นแบบอยา่ งเพ่อื ให้ เด็กเลียนแบบ การปลูกฝังมโนธรรมให้แก่เด็กอาจทาไดอ้ ีกคือ แสดงออกมาในรูปนิทานและการ เล่นสาหรับเดก็ เพราะเด็กวยั น้ีนิยมเรื่องสมมุติและการเล่น ท้งั 2 วธิ ีจะสร้างแบบเพื่อใหเ้ ดก็ ได้ เลียนแบบและเรียนรู้โดยไม่รู้สึกตวั และไม่ตอ้ งมีการบงั คบั ฝืนใจ

167 3.6 พฒั นาการทางความคิด (Cognitive Development) ในช่วงอายุ 2 – 6 ขวบ พฒั นาการทางความคิดของเด็กแบ่งออกไดเ้ ป็ น 2 ระยะ คือ ระยะ ที่ 1 อายรุ ะหวา่ ง 2 – 4 ขวบ ยงั ยดึ ตวั เองเป็นหลกั ไม่รู้จกั คิดแบบใจเขาใจเรา ไม่สามารถคิดไดว้ า่ คนอ่ืนมีความคิดแตกต่างไปจากตนอยา่ งไร คิดเห็นแตด่ า้ นท่ีเหมือนกนั ยงั ไม่เห็นส่วนที่ต่างกนั ใน วตั ถุหรือเหตุการณ์ เช่น เด็กชนบท ไดย้ นิ ผใู้ หญบ่ อกวา่ นน่ั แน่ะ นายอาเภอ ต่อมาเด็กเห็นคนใส่ เส้ือกางเกงสีกากี ก็คิดวา่ เป็ นนายอาเภอทุกคน ระยะที่ 2 อายรุ ะหวา่ ง 4 – 7 ขวบ เดก็ รู้จกั สงั เกตเห็นความแตกต่าง ทาใหค้ วามคิดพฒั นาถึงข้นั รู้คิดเปรียบเทียบ คิดแยกวตั ถุออกเป็น หมวดหมู่ข้นั ตอนได้ (Classification or Categorization) รู้จกั คิดเชื่อมโยงความสัมพนั ธ์ (Associative thinking) ระหวา่ งส่ิงต่างๆ ได้ 4. วยั เด็กตอนปลาย หรือ วัยเข้าโรงเรียน (Late Childhood or School Age) ระยะวยั เด็กตอนปลายประมาณอายตุ ้งั แต่ 6 ขวบ จนถึง 12 – 13 ขวบ วยั น้ีถือวา่ เป็ นวยั เปล่ียนชีวติ ทางสงั คม จากสังคมในบา้ นไปสู่สังคมนอกบา้ น 4.1 พฒั นาการทางสังคม วยั เด็กตอนปลายมีลกั ษณะ มีลกั ษณะพฒั นาการทางสังคมท่ีเด่นชดั คือ เดก็ เริ่มออกจาก บา้ น ไปสู่หน่วยสงั คมอื่น จุดศูนยก์ ลางสังคมของเด็กคือ โรงเรียน เดก็ จะเรียนรู้บทบาทใหม่คือ การเป็นสมาชิกของกลุ่มเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกนั เดก็ มีโลกใหมอ่ ีกโลกหน่ึงคือ โลกเพอ่ื นร่วมวยั (The World of Peer) สมั พนั ธภาพกบั เพอื่ นในกลุ่มจะสอนชีวิตกลุ่ม การอยรู่ ่วมกบั ผอู้ ื่น เด็กจะ ไดร้ ับการเรียนรู้ระเบียบกฎเกณฑ์ ความประพฤติท่ีตอ้ งปฏิบตั ิในสงั คม บทบาทตา่ งๆ ท่ีมนุษยต์ อ้ ง กระทาในการอยรู่ ่วมกบั เป็นหมู่คณะ เช่น ทาตวั อยา่ งไรจึงจะเขา้ กบั เพือ่ นได้ เม่ือเด็กเริ่มออกจากบา้ นมาสู่โรงเรียน เด็กรู้สึกวา้ เหว่ ขาดท่ีพ่ึงทางความคิดและ อารมณ์ ตอนแรกจะยงั คงสร้างสมั พนั ธภาพกบั ครูและผใู้ หญน่ อกบา้ นท่ีจะตอ้ งมีความสัมพนั ธ์กบั เขา แตต่ ่อมาเด็กเริ่มตีตวั จากเพราะพบวา่ การรวมกลุ่มกบั เพอื่ นร่วมวยั หลายๆ คน ใหค้ วามรู้สึก อบอุ่นใจ สนุกสนาน มีความเขา้ อกเขา้ ใจ และความเป็นเจา้ ของซ่ึงกนั และกนั ไดย้ ง่ั ยนื กวา่ แน่นแฟ้ นกวา่ ถา้ เด็กสามารถแสวงหากลุ่มเช่นน้ีได้ เด็กจะเห็นความสาคญั ของสงั คมในบา้ นและ ผใู้ หญน่ อกบา้ นนอ้ ยลง กลุ่มเริ่มมีอิทธิพลตอ่ เด็กในดา้ นอารมณ์ ความนึกคิด ทศั นคติ ความ มุ่งหวงั ความปรารถนา การประพฤติตนตามบทบาททางเพศ ค่านิยม อะไรเหมาะ ดี ควร ไม่ ควร ฯลฯ ถา้ บรรดาส่ิงที่มีอิทธิพลต่อเดก็ มีลกั ษณะใกลเ้ คียงกนั กบั ลกั ษณะท่ีเด็กไดร้ ับการอบรม จากทางบา้ น ความขดั แยง้ ระหวา่ งเด็กกบั บิดามารดาจะมีไมม่ ากนกั ถา้ ไม่มีลกั ษณะใกลเ้ คียงกนั กบั ผปู้ กครอบเด็กจะรู้สึกวา่ มีความขดั แยง้ ระหวา่ งตนกบั ผู้

168 ปกครองสูง การรวมกลุ่มของเดก็ ก่อให้เกิดการสร้างลกั ษณะนิสยั แขง่ ขนั (Competition) และนิสัย ร่วมมือ (Cooperative) ซ่ึงจะติดตวั สืบไปภายภาคหนา้ เด็กชายมีนิสยั ชอบแข่งขนั มากกวา่ เดก็ หญิง ส่วนเด็กหญิงใหค้ วามร่วมมือและออมชอมกนั มากกวา่ เด็กชาย นอกจากน้ีการร่วมกลุ่มยงั ทาใหเ้ ด็ก ไดร้ ับการตอบสนองความตอ้ งการทางสงั คมข้นั พ้นื ฐาน (Basic Social Needs) เช่น การไดร้ ับการ ยอยอ่ ง การไดเ้ ป็นบุคคลสาคญั การไดร้ ับฐานะและตาแหน่ง ความรู้สึกเป็ นส่วนหน่ึงของหมู่คณะ กลุ่มมีความสาคญั ตอ่ พฒั นาการดา้ นตา่ งๆ ของเดก็ ในวยั น้ี ดงั ไดก้ ล่าวมา ดงั น้นั การ สนบั สนุนใหเ้ ด็กไดเ้ ขา้ กลุ่มที่เหมาะสมกบั สภาพของตวั จึงเป็นส่ิงท่ีพึงกระทา มิฉะน้นั แลว้ เดก็ อาจไม่มีพฒั นาการสมวยั อาจสูญเสียประสบการณ์หลายๆ อยา่ งในชีวติ ที่เดก็ พงึ ควรไดร้ ับไปอยา่ ง น่าเสียดาย ผปู้ กครองนอกจากจะตอ้ งสนบั สนุนเขาแลว้ ยงั ควรแนะนาช่วยเหลือใหโ้ อกาสสร้าง กลุ่มท่ีเป็นช่องทางใหเ้ ดก็ ไดเ้ รียนรู้สงั คมภายนอกครอบครัวดว้ ย 4.2 พฒั นาการทางอารมณ์ ในระยะน้ี เด็กรู้จกั กลวั สิ่งท่ีสมเหตุสมผลมากกวา่ วยั ก่อน เพราะความสามารถในการใช้ เหตุผลของเดก็ พฒั นาข้ึน มีความรู้สึกสงสารและเห็นอกเห็นใจ เขา้ ใจอารมณ์ความรู้สึกของบุคคล อ่ืน รวมท้งั สตั วเ์ ล้ียงดว้ ย ส่ิงท่ีตอ้ งพฒั นาในดา้ นอารมณ์ของเดก็ ในระยะน้ีคือ การเขา้ ใจอามรณ์ ของตนเอง อารมณ์ของบุคคลอื่น การรู้จกั ควบคุมอามรณ์ และการรู้จกั แสดงอารมณ์ออกมาอยา่ ง เหมาะสม พฒั นาการเหล่าน้ีจาเป็นสาหรับสุขภาพจิตที่ดีของเดก็ ผทู้ ี่มีหนา้ ที่ดูแลเดก็ จะตอ้ ง ช่วยเหลือเด็กดงั น้ี 1. เปิ ดโอกาสใหเ้ ด็กเขา้ กลุ่ม กลุ่มจะบีบบงั คบั ใหเ้ ดก็ เรียนรู้และปรับปรุงการควบคุม อารมณ์และการแสดงออกของอารมณ์ในลกั ษณะท่ีสงั คมยอมรับ 2. ใหไ้ ดเ้ ล่นออกกาลงั กาย 3. ใหม้ ีกิจกรรมสร้างสรรคต์ า่ งๆ เช่น ป้ันรูป วาดรูป เขียนเรื่อง ฯลฯ 4.3 พฒั นาการทางกาย พฒั นาการของเดก็ วยั 6 ถึง 12 ขวบ เป็ นแบบค่อยเป็นค่อยไป ชา้ ๆ แตส่ ม่าเสมอ พฒั นาการ ทางการไม่มีลกั ษณะเด่นพเิ ศษเหมือนระยะวยั ทารกตอนปลาย แต่ในระหวา่ งน้ีเป็นระยะท่ีเด็กหญิง โตเร็วกวา่ เด็กชายวยั เดียวกนั ในดา้ นความสูงและน้าหนกั ลกั ษณะเช่นน้ียงั คงดารงต่อไปจนกระทงั่ ยา่ งเขา้ สู่ระยะวยั รุ่นตอนปลาย เดก็ ชายจะโตทนั เดก็ หญิงและล้าหนา้ เด็กหญิง เด็กในวยั น้ีไม่ชองอยู่ นิ่งชอบเล่นและทากิจกรรมต่างๆ ท่ีใชค้ วามรวดเร็ว เน่ืองจากการทางานร่วมกนั ของกลา้ มเน้ือใหญ่

169 นอ้ ยและประสาทสมั ผสั ดีข้ึนมาก เด็กจึงอาจเล่นเกมส์ท่ีซบั ซอ้ นและกิจกรรมการเล่นชนิด สร้างสรรค์ เช่น การอา่ น การเขียน การวาดภาพ การป้ันรูป การทาการฝีมือ การแกะสลกั ฯลฯ 4.4 พฒั นาการทางความคิดและสตปิ ัญญา เขา้ ใจวา่ วตั ถุแมเ้ ปล่ียนแปลงรูปลกั ษณะภายนอก ก็ยงั คงสภาพเดิม (Conservation) ในบา้ ง ลกั ษณะเช่น ปริมาณ น้าหนกั และปริมาตร เด็กในวยั เดก็ ตอนตน้ (ประมาณ 5-6 ขวบ) อาจพอ เขา้ ใจได้ 2 ลกั ษณะคือ ปริมาณและน้าหนกั ส่วนความเขา้ ใจการทรงสภาพเดิมของปริมาตร คอ่ นขา้ งยากและเป็นลกั ษณะนามธรรมมากเกินไป โดยเฉลี่ยเด็กตอ้ งอายถุ ึง 7 ขวบ จึงจะสามารถ เขา้ ใจเร่ืองน้ี วธิ ีทดสอบวา่ เด็กเขา้ ใจเร่ืองน้ีหรือยงั น้นั เขาใชด้ ินน้ามนั กอ้ นกลมเท่ากนั 2 กอ้ น กบั ถว้ ยแกว้ เทา่ กนั 2 ใบ ใส่น้าปริมาณเท่ากนั เอาดินน้ามนั ใส่ในแกว้ น้า ถามเดก็ วา่ ปริมาณน้าในถว้ ย ท้งั สองมีระดบั เทา่ กนั หรือไม่ เมื่อเด็กตอบวา่ เท่ากนั แลว้ เอาดินน้ามนั ออกจากถว้ ยแกว้ ใบหน่ึง เด็กช่างสงั เกตยอ่ มมองเห็นวา่ ระดบั น้าเปลี่ยนแปลงไป นา ดินน้ามนั ท่ีเอาออกจากถว้ ยแกว้ มาป้ันเป็นแท่งยาว แลว้ ใส่กลบั ลงไปในถว้ ยแกว้ เดิม ถา้ เด็กวา่ ระดบั น้าในถว้ ยแกว้ ท่ีใส่ดินน้ามนั รูปแท่งยาว จะเทา่ กบั ระดบั น้าในถว้ ยแกว้ ใส่ดินน้ามนั กอ้ นกลม หรือไม่ ถา้ เด็กคนใดสามารถตอบไดว้ า่ เทา่ กนั แสดงวา่ เดก็ คนน้นั ไดพ้ ฒั นาความคิด ความเขา้ ใจ เรื่องการทรงสภาพเดิมของปริมาตรแลว้ (ในท่ีน้ีคือปริมาตรของดินน้ามนั ) 5. วยั แรกรุ่น (Puberty) บุคคลอายอุ ยใู่ นช่วง 12 – 25 ปี ถือวา่ อยใู่ นช่วงวยั รุ่น ช่วงเวลาดงั กล่าวมีเวลายาวนานหลาย ปี และในระยะเวลาน้นั มีการเปล่ียนแปลงอยา่ งแตกต่างกนั มากท้งั ทางกายและพฤติกรรม จึงมีการ แบ่งช่วงเวลาใหส้ ้ันเขา้ คือ ช่วงอายปุ ระมาณ 12 ถึง 15 ปี เป็นช่วงวยั แรกรุ่น มีพฤติกรรมค่อนขา้ ง เป็นลกั ษณะทางเด็ก ช่วงอายปุ ระมาณ 16 ถึง 18 ปี เป็นระยะวยั รุ่นตอนกลาง มีพฤติกรรมก้าก่ึง ระหวา่ งความเป็ นเด็กกบั ความเป็นผใู้ หญ่ ช่วงอายปุ ระมาณ 19 ถึง 25 ปี เป็นระยะวยั รุ่นตอนปลาย มีพฤติกรรมค่อนขา้ งเป็ นผใู้ หญ่ ช่วงเวลาในระยะวยั แรกรุ่น เป็นช่วงเวลาที่เด็กเร่ิมเติบโตเป็นหนุ่มเป็ นสาวอยา่ งแทจ้ ริง ร่างการเติบโตเกือบเตม็ ที่ทุกส่วน ลกั ษณะทุติยภมู ิทางเพศซ่ึงยงั ไม่เติบโตเตม็ ท่ีในวยั ท่ีผา่ นมา ก็ เจริญสมบรู ณ์และทาหนา้ ท่ีของมนั ไดต้ ้งั แต่น้ีเป็นตน้ ไป ลกั ษณะพฒั นาการที่สาคญั ในระยะน้ีมี ดงั น้ีคือ

170 5.1 พฒั นาการทางกาย พฒั นาการทางกายเป็นไปในแง่ของความงอกงาม เจริญเติบโตถึงขีดสมบูรณ์(Maturation) เพื่อทาหนา้ ท่ีอยา่ งเตม็ ท่ี ความเจริญเติบโตมีท้งั ส่วนนอกที่มองเห็นไดง้ ่าย เช่น น้าหนกั ส่วนสูง การเปลี่ยนแปลงรูปหนา้ สัดส่วนของร่างกาย และความเจริญส่วนภายใน เช่น การทางานของต่อม บางชนิด โครงกระดูกแข็งแรงข้ึน การผลิตเซลลส์ ืบพนั ธ์ในเด็กชาย การมีประจาเดือนของ เดก็ หญิง ตอนตน้ ๆ ของเดก็ วยั น้ี ร่างกายของเด็กไม่ไดส้ ัดส่วน เด็กรู้สึกอึดอดั เกง้ กา้ ง รู้สึกวติ ก กงั วลเกี่ยวกบั ส่วนตา่ งๆ ของร่างกาย สุขภาพโดยทวั่ ไปของเดก็ ในวยั น้ีดีกวา่ วยั ท่ีผา่ นมา 5.2 พฒั นาการทางสังคม เด็กใหค้ วามสาคญั กบั เพื่อนร่วมวยั มากกวา่ ในระยะเดก็ ตอนปลาย เด็กจบั กลุ่มกนั ไดน้ าน แน่นแฟ้ น และผกู พนั กบั เพ่ือนในกลุ่มมากข้ึน กลุ่มของเด็กไมม่ ีเฉพาะเพอื่ นเพศเดียวกนั เทา่ น้นั แต่ เริ่มมีเพื่อนต่างเพศเขา้ มาสมทบดว้ ย เด็กท่ีสามารถเขา้ กลุ่มไดแ้ ละมีกลุ่มในระยะวยั เดก็ ตอนปลาย จะเขา้ กบั กลุ่มและมีชีวติ ทางสงั คมที่สนุกสนานไดด้ ีกวา่ เดก็ ที่ไมม่ ีความสามารถดงั กล่าว ในช่วงวยั ที่ผา่ นมาเดก็ เร่ิมลดความเอาใจใส่กบั บุคคลต่างวยั ไม่วา่ จะเป็นผใู้ หญห่ รือเด็กท่ีอายนุ อ้ ยกวา่ ระยะน้ี จึงเริ่มตน้ ชีวติ กลุ่มที่แทจ้ ริง (Gang Age) การรวมกลุ่มของเด็กเป็ นไปโดยธรรมชาติ เด็กเลือกเป็น สมาชิกของกลุ่มใดกลุ่มหน่ึงตามหลกั เกณฑต์ า่ งๆ เช่นเป็ นกลุ่มท่ีเขา้ ไดก้ บั แนวนิยม แบบบุคลิกภาพ ฐานะทางเศรษฐกิจสงั คมของครอบครัว ตลอดจนความสนใจ ค่านิยม สติปัญญา ความมุง่ หวงั ใน ชีวติ และอ่ืนๆ การรวมกลุ่มช่วยใหเ้ กิดการแลกเปล่ียนปัญหาและความรู้สึกท่ีคบั อกคบั ใจ ช่วย สนองความตอ้ งการทางสงั คม เช่น การเป็นบุคคลสาคญั การต่อตา้ นผมู้ ีอานาจ การหนีสภาพน่า เบื่อของบา้ น ส่วนสัมพนั ธภาพระหวา่ งเดก็ ชายเดก็ หญิง เปล่ียนไปจากวยั เดก็ ตอ้ นปลาย เด็กชายและ เด็กหญิงเริ่มสนใจซ่ึงกนั และกนั และมีความพอใจในการพบปะสงั สรรคก์ นั ร่วมเล่น เรียน ทางาน พดู คุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เมื่อเด็กชายและเดก็ หญิงเริ่มสนใจกนั และกนั แลว้ ท้งั 2 ฝ่ าย เริ่มให้ ความสาคญั ต่อการประพฤติปฏิบตั ิตามบทบาททางเพศของตน (Sex Role) ซ่ึงการกระทาเช่นน้ีไม่ เป็นการลาบากมากนกั สาหรับเด็กหญิงและเดก็ ชายที่มีพฒั นาการทางดา้ นน้ีปกติในวยั ที่ผา่ นมา คือ มีบุคคลใหเ้ ดก็ ไดเ้ ลียนแบบบทบาททางเพศ การเลียนและเรียนบทบาททางเพศของเด็กในระยะน้ี ไมจ่ ากดั วา่ เลือกเลียนเฉพาะบุคคลท่ีเดก็ รักและพบเห็นในบา้ นที่เป็นเพศเดียวกบั ตน แตข่ ยายวงมา เป็นเพื่อนร่วมวยั บุคคลสาคญั ในประวตั ิศาสตร์ ในวงการบนั เทิง ธุรกิจ ในหนงั สืออ่านเล่น และ บุคคลอ่ืนๆ ที่เด็กไดร้ ู้จกั และพบเห็น เดก็ เลือกใครมาเลียนแบบน้นั ข้ึนอยกู่ บั รากฐานบุคลิกภาพ ด้งั เดิมของเดก็ และเป็นเช่นน้ีไปจนสิ้นสุดวยั รุ่น ละทิ้งการเลียนแบบบทบาททางเพศจากบิดา

171 มารดาหรือบุคคลในครอบครัว เป็นระยะท่ีเรียกวา่ พอกนั ที่สาหรับการเลียนบทบาททางเพศจากพอ่ แม่ และติดพอ่ แม่ (Goodbye to Oedipus) กลุ่มมีความสาคญั ตอ่ อนาคตและชีวติ จิตใจของเด็กเป็นอยา่ งมาก ครอบครัวเร่ิมมีอิทธิพล นอ้ ยลง ฉะน้นั ลกั ษณะชว่ั ดีของกลุ่มจึงเป็นเครื่องช้ีชะตาชีวติ ของเด็กในระยะวยั รุ่นและระยะผใู้ หญ่ ประดุจเดียวกบั ครอบครัวมีความสาคญั ต่อกระบวนการของชีวติ แตล่ ะคน ในระยะวยั ทารกและวยั เดก็ การเล่น การเล่นยงั คงมีความสาคญั สาหรับเด็กวยั แรกรุ่น เพราะเป็นเครื่องมือสนองความ ตอ้ งการทางสังคม อารมณ์และสติปัญญา เด็กชอบเล่นท้งั เพื่อนเพศเดียวกนั และตา่ งเพศโดยเฉพาะ การเล่นกบั เพื่อนตา่ งเพศทาใหก้ ารเล่นสนุกสนานเขม้ ขน้ ยิง่ ข้ึนเดก็ ชายมกั จะชอบเล่นกีฬาที่หกั โหม รุนแรงมากกวา่ เดก็ หญิง 5.3 พฒั นาการทางอารมณ์ การเปลี่ยนแปลงความเจริญเติบโตทางร่างกาย ท้งั ภายในและภายนอกกระทบกระเทือนต่อ แบบแผนอามรณ์ของเดก็ วยั รุ่น เดก็ มีอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย สบั สน อ่อนไหว มีความเขม้ ของ อารมณ์สูง อามรณ์ของเด็กวยั รุ่นมีทุกประเภทเช่น เบื่อหน่าย เหงา อิจฉา กงั วล โกรธ อาฆาต ด้ือดึง ต่อตา้ นอานาจ ฯลฯ เด็กแต่ละคนเริ่มแสดงบุคลิกอารมณ์ประจาตวั ออกมาใหผ้ อู้ ่ืนทราบได้ บา้ งแลว้ เช่น อามรณ์ร้อน อารมณ์ข้ีวติ กกงั วล อารมณ์ออ่ นไหวง่าย เจา้ อารมณ์ ข้ีอิจฉา ฯลฯ เดก็ สามารถรับรู้ลกั ษณะเด่นดอ้ ยเกี่ยวกบั ตนเองและจะยง่ิ ทวขี ้ึนในระยะวยั รุ่น 5.4 พฒั นาการทางความคดิ พฒั นาการทางความคิดของเด็กอายปุ ระมาณ 11 ขวบข้ึนไป มีช่ือเรียกรวมวา่ รู้คิดถูก ระบบ (Formal operation) เด็กพยายามคิดใหเ้ หมือนผใู้ หญ่ แตว่ า่ ดอ้ ยกวา่ ผใู้ หญ่ในเชิง ประสบการณ์และความชานิชานาญในการรู้คิด ตวั อยา่ งความคิดบางแบบท่ีไดพ้ บมากไดแ้ ก่ รู้จกั คิดเป็นเหตุเป็นผลไมเ่ ช่ืออะไรง่ายๆ ตอ้ งการคิดนึกดว้ ยตวั เอง ระยะน้ีเด็กจึงรู้สึกชิงชงั คาสัง่ บงั คบั คาสั่งใหเ้ ช่ือและตอ้ งคลอ้ ยตาม รู้คิดดว้ ยภาพความคิดในใจ (Mental images) ทาใหส้ ามารถคิดเรื่อง นามธรรมยากๆ ได้ เด็กวยั แรกรุ่นชอบวพิ ากวจิ ารณ์ ชอบทายปัญหา เด็กที่มีสมองดีสามารถมี สมาธิในการทางานมากข้ึนและดีข้ึนกวา่ เดิม เด็กสมองไม่คอ่ ยดีช่วงความสนใจงานเฉพาะหนา้ มกั ส้ันและทางานยากๆ ไมค่ ่อยได้ แววฉลาดของเด็กเร่ิมปรากฏใหเ้ ห็นชดั แลว้

172 การค้นหาตวั เอง (Search for Identity) การคน้ หาตวั เองก่อใหเ้ กิดความเขา้ ใจวา่ ตนเองเป็นบุคคลคนหน่ึง (Self awareness) การ คน้ หาตนเองมีแง่มุมต่างๆ เช่น ความสนใจ รสนิยม ความถนดั ความสามารถท่ีแทจ้ ริง ความชอบ ความไม่ชอบแมว้ า่ เดก็ จะคน้ หาตวั เองแต่ก็ยงั ไมส่ ามารถเขา้ ใจตวั เองเพราะมีการเปลี่ยนแปลง เกิดข้ึนมากมายจึงมีผใู้ หค้ าอธิบายลกั ษณะเช่นน้ีของเดก็ วา่ เป็นแบบ “ไมห่ ยง่ั รู้” (The great Unknow) 6. วยั รุ่น (Adolescence) Adolescence หมายถึงความเจริญงอกงามพน้ จากความเป็ นเดก็ ในจิตวทิ ยาหมายถึงภาวะ ของบุคคลอายปุ ระมาณ 16-25 ปี 6.1 ลกั ษณะอารมณ์ ลกั ษณะของอารมณ์สืบเน่ืองมาจากอารมณ์ของเด็กวยั แรกรุ่น จึงคลา้ ยคลึงกนั อยมู่ าก ใน บางรายความเขม้ ขน้ ของอารมณ์อาจรุ่นแรงข้ึนกวา่ วยั แรกรุ่น อารมณ์ดงั กล่าวบางท่ีเรียกวา่ เป็นแบบ พายบุ ุแคม(Storm and Stress) อารมณ์ รัก ชอบ โกรธ เกลียด อิจฉา ริษยาฯลฯ จะเป็นไปอยา่ งรุนแรง บุคคลตา่ งวยั จึงตอ้ งใชค้ วามอดทนมากเพ่ือจะเขา้ ใจและสร้างความสัมพนั ธ์กบั พวกเขา สาเหตุของความสับสนทางอารมณ์ 1. เป็นช่วงเปล่ียนวยั ร่างกายเปล่ียนแปลงไมท่ ราบวา่ ที่ถูกที่ควรในการปฏิบตั ิต่อบุคคลอ่ืน น้นั ควรปฏิบตั ิอยา่ งไร 2. เดก็ จะตอ้ งเลือกอาชีพ การเลือกอาชีพเป็นเรื่องที่สาคญั ต่อชีวติ จิตใจ อารมณ์ ความตอ้ งการของเดก็ และบุคคลท่ีเกี่ยวขอ้ ง ความสบั สนใจเกิดข้ึนง่ายเพราะเด็กอยภู่ ายใตค้ วาม กดดนั และ ขอ้ จากดั ของระบบการศึกษา สติปัญญา ฐานทางเศรษฐกิจ และยงั ไม่แน่ใจในความ ถนดั ความสนใจ ความตอ้ งการ และบุคลิกภาพของตนเอง 3. การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสงั คมทาใหเ้ ดก็ ปรับตวั ไมท่ นั 6.2 พฤตกิ รรมสังคม สงั คมวยั รุ่นเป็นกลุ่มของเพ่ือนร่วมวยั ประกอบดว้ ยเพ่ือนท้งั 2 เพศ เด็กรู้สึกปลอดโปร่ง สบายใจ ในการทากิจกรรมตา่ งๆ กบั เพือ่ นร่วมวยั มากกวา่ กบั เพื่อนตา่ งวยั สมั พนั ธภาพกบั เพื่อน ร่วมวยั ถึงความเขม้ ขน้ สูงสุดประมาณระยะตอนกลางของวยั รุ่น การคบเพอ่ื นร่วมวยั เป็นพฤติกรมสงั คมที่มีความสาคญั ต่อจิตใจของวยั รุ่น แตก่ ารคบเพอ่ื น กย็ อ่ มมีท้งั คุณและโทษ เพ่อื นอาจเป็นผปู้ ระคบั ประคองจิตใจของวยั รุ่นในยามทุกขร์ ้อนแตใ่ นมุม กลบั กนั เพอ่ื นกอ็ าจชกั นาวยั รุ่นไปในทางเส่ือมถอย ผเู้ ป็นอาชญากรวยั รุ่นมากมายในแทบทุก

173 ประเทศ เมื่อคน้ หาสาเหตุก็มกั จะพบวา่ ถูกเพอ่ื นชกั จูง ประวตั ิเดก็ วยั รุ่นตามสถานศึกษาท่ีเสียคน เสียเด็กไปโดยประการตา่ งๆ เช่น เกเร ติดยาเสพติด ลว้ นมีสาเหตุสาคญั จากการถูกเพ่อื นชกั จงู เพราะการมีกลุ่มทาใหร้ ู้สึกวา่ ตวั เองมีคุณค่า กลุ่มจึงมีอิทธิพลตอ่ วยั รุ่นถา้ คบเพ่ือนไม่ดีกอ็ าจนาไปสู่ พฤติกรรมที่เป็ นปัญหาได้ การเขา้ กลุ่มนอกจากเป็นช่องทางใหเ้ ดก็ ไดร้ ับการตอบสนองความตอ้ งการข้นั พ้นื ฐานทาง สงั คมในแง่ต่างๆ เช่น ฐานะ ตาแหน่ง คายกยอง มีเพอ่ื นผเู้ ขา้ ใจและร่วมทุกขร์ ่วมสุขแลว้ ยงั เปิ ด โอกาสใหช้ ายหญิงไดร้ ู้จกั กนั และอาจนาไปสู่ความรัก (Puppy love) ตามปกติเด็กหญิงมกั นิยมเพือ่ น ชายที่มีอายมุ ากกวา่ ตน เพราะหญิงมีกระบวนการพฒั นาการเร็วกวา่ ชายวยั เดียวกนั ประมาณ 2 ปี กลุ่มในระยะน้ีมีลกั ษณะมน่ั คงมากกวา่ ในวยั เด็ก เพราะเดก็ วยั รุ่นใชเ้ หตุผลและความนึกคิดในการ เขา้ กลุ่มมากกวา่ ความสมั พนั ธ์ในกลุ่มคอ่ นขา้ งยงั่ ยนื อาจยง่ั ยนื ไปจนเป็นผใู้ หญ่ 6.3 การเลอื กอาชีพ เดก็ โตพอท่ีจะรู้ถึงความสาคญั ของอาชีพเช่น อาชีพนามาซ่ึงสถานทางเศรษฐกิจสงั คม เป็น ตวั บ่งช้ีถึงการเจริญเติบโตเป็ นผใู้ หญแ่ ตเ่ ดก็ ยงั สับสนวนุ่ วายใจเนื่องจากยงั ไม่รู้จกั ตวั เองดีพอในดา้ น บุคลิกภาพ ความถนดั ความสนใจ 6.4 ความต้องการทางจิตใจ ความตอ้ งการที่เด่นๆ และมีความเขม้ สูงไดแ้ ก่ 1. ความตอ้ งการอิสระเป็นตวั ของตวั เอง เดก็ วยั รุ่นเชื่อวา่ ลกั ษณะความเป็นอิสระเป็น เครื่องหมายความเป็ นผใู้ หญ่ 2. ตอ้ งการมีตาแหน่งหนา้ ท่ี ตอ้ งการคายกยอ่ งท้งั ต่อหนา้ และลบั หลงั โดยเฉพาะจาก เพ่ือนในกลุ่ม 3. ตอ้ งการมีประสบการณ์แปลกๆ ใหม่ๆ ฝ่ าฝืนกฎระเบียบ ความตอ้ งการเช่นน้ีเป็ น สาเหตุหน่ึงที่ทาใหเ้ ด็กเสพยาเสพติด ประพฤติผดิ ทางเพศ และต่อตา้ นกฎเกณฑข์ องสงั คม 4. ความตอ้ งการรวมพวกพอ้ ง มีกลุ่มกอ้ น เป็นความตอ้ งการคอ่ นขา้ งสูงซ่ึงมีผลต่อ ความอบอุ่นและความมน่ั คงทางจิตใจ 5. ความตอ้ งการความรู้สึกมนั่ คง ปลอดภยั เพราะเด็กมีอารมณ์ออ่ นไหวง่าย เดก็ จึง ความตอ้ งการเช่นน้ีค่อนขา้ งสูง 6. ตอ้ งการความถูกตอ้ งและยตุ ิธรรม 7.ตอ้ งการความงดงามทางร่างกายเพราะทาใหเ้ ขา้ กลุ่มง่ายและดึงดูดเพศตรงขา้ ม วยั

174 รุ่นจึงพิถีพถิ นั ในเร่ืองอาหาร เส้ือผา้ ทรงผม เคร่ืองประดบั สุขภาพอนามยั เด็กวยั รุ่นที่มี ความสุขคือ ผทู้ ี่ไดร้ ับส่ิงสนองสมความตอ้ งการของเขา การต้งั เป้ าระดบั ของความตอ้ งการ ลกั ษณะของความตอ้ งการ จึงเป็นเร่ืองที่เด็กตอ้ งคานึงใหอ้ ยใู่ นของเขตที่จะทาไดส้ าเร็จ เพื่อ ประกนั ความไมส่ มปรารถนา เพราะถา้ ไม่สมปรารถนาในเร่ืองใดเรื่องหน่ึงรุนแรงแลว้ ยอ่ มมี ความรู้สึกผดิ หวงั ลึกซ่ึงและยาวนาน 6.5 ความสนใจ ความสนใจมีขอบข่ายกวา้ งขวาง สนใจหลายอยา่ งแตไ่ ม่ลึกซ้ึงมาก เพราะเดก็ ยงั ไมเ่ ขา้ ใจเร่ืองตวั เอง ยงั เป็ นระยะลองผดิ ลองถูก ความสนใจของเดก็ วยั รุ่นส่วนใหญไ่ ดแ้ ก่ 1. สนใจการศึกษา สภาพเศรษฐกิจและสงั คมปัจจุบนั กระตุน้ ใหเ้ ด็กเขา้ ใจและเห็น ความสาคญั ของการศึกษา 2. สนใจช่วยเหลือบุคคลอ่ืนท่ีเห็นวา่ เขาไดร้ ับความลาบากและไมไ่ ดร้ ับความยตุ ิธรรม 3. สนใจกิจกรรมสร้างสรรค์ กิจกรรมที่เห็นวา่ เป็นของใหม่และมีประโยชนไ์ ดพ้ บปะกบั เพื่อนต่างเพศและระบายความเคร่งเครียดของอารมณ์ 4. สนใจวฒั นธรรมประเพณี ศาสนาปรัชญา อุดมคติ สนใจมีเพ่ือนสนิทตา่ งเพศ 6.6 การนับถือวรี บุรุษ (Heroic Worship) ความตอ้ งการเลียนแบบผทู้ ี่ตนนิยมชมชอบมีมาก่อนแลว้ ต้งั แตว่ ยั เด็กก่อนวยั รุ่น แตค่ วาม ตอ้ งการประเภทน้ีแรงข้ึนในระยะวยั รุ่นเพราะ 1. ความตอ้ งการรู้จกั ตนเอง การยกบุคคลมาเป็นแบบให้นบั ถือและเลียนแบบช่วยลดความ ไม่รู้จกั หรือความไม่เขา้ ใจตนเอง 2. แสวงหาแบบอยา่ งเพ่ือดาเนินรอยตามแนวทางที่ถูกท่ีควร เพื่อดาเนินชีวิตอยา่ งผใู้ หญ่ ผทู้ ่ีเด็กนบั ถือวา่ เป็นวีรบุรุษ ( Heroes) หรือเป็ นแบบ (Models) น้นั มีไดม้ ากกวา่ หน่ึง คน อาจเป็นเพศเดียวกบั เด็กหรือตา่ งเพศ วยั เดียวกนั หรือต่างวยั ร่วมสมยั หรือต่างสมยั อาจเป็ น บุคคลสาคญั ในประวตั ิศาสตร์ ดาราภาพยนต์ นกั กีฬาท่ีมีชื่อเสียง ฯลฯ การเลือกบุคคลที่น่านิยม มาเลียนแบบน้นั ในระยะวยั รุ่นผดิ จากในระยะวยั เด็ก ท่ีตอ้ งอาศยั ความใกลช้ ิดสนิทสนมเป็น แรงจูงใจ สาหรับเด็กวยั รุ่นใชเ้ หตุผลและข้ึนกบั อิทธิพลของกลุ่มเพอื่ น ดงั น้นั ผทู้ ี่เด็กเลือกมาเป็น แบบ จึงอาจเป็นบุคคลที่เด็กไมเ่ คยพบเห็นมาก่อนเลยก็ได้ การเลือกตวั อยา่ งใหเ้ ด็กเลียนแบบโดย การชกั จูง การแสดงแบบอยา่ ง การอ่านหนงั สือประวตั ิบุคคลสาคญั จากวงการตา่ งๆ จึงเป็นเรื่องท่ี ตอ้ งเอาใจใส่เป็นพิเศษ เพราะวรี บุรุษมีอิทธิพลต่อ บุคลิกภาพ ความมุ่งหวงั ในชีวิต การเลือกอุดม คติ ปรัชญา คา่ นิยมตา่ งๆ เป็ นกระบวนการสืบเนื่องกนั กบั การนบั ถือวรี บุรุษ

175 6.7 การค้นหาตวั เอง การเข้าใจตนเอง เดก็ วยั รุ่นประสบการเปลี่ยนแปลงอยา่ งมากและรวดเร็วในทางร่างกาย และในทาง พฤติกรรม ท่ีตอ้ งทาตนตามบทบาทแห่งเพศหญิงหรือชาย ความสานึกวา่ ตอ้ งทาตนใหพ้ น้ ความ เป็นเด็ก ความจาเป็ นตอ้ งเลือกอาชีพ ปัจจยั เหล่าน้ีและอื่นๆ ทาใหเ้ ดก็ วยั รุ่นอยากรู้นกั วา่ ตนเอง จะตอ้ งประพฤติปฏิบตั ิตนตามรูปแบบอยา่ งไร ซ่ึงเป็นพฒั นาการทางความคิดที่สาคญั ท่ีสุดประจา วยั เรียกพฒั นาการน้ีวา่ “การคน้ หาตนเอง” กวา่ เดก็ วยั รุ่นจะพบตนเอง คือเขา้ ใจตนเองแจม่ แจง้ อาจตอ้ งประสบภาวะสับสนทางอารมณ์ไม่นอ้ ย บางคนหลงตวั เองในลกั ษณะตีราคาตวั เองสูงเกิน จริง บางคนดูถูกตนเองในลกั ษณะตีราคาตนเองต่าเกินจริง การคน้ หาตนเองเริ่มตน้ มาแลว้ ต้งั แต่วยั ทารกตอนปลาย แต่จะตอ้ งมีโครงร่างของตนสมบูรณ์ในระยะวยั รุ่น จึงจะเป็นบุคคลท่ีมีความ มน่ั คงในชีวติ และจิตใจสืบต่อไปในอนาคต มิฉะน้นั แลว้ จะกลายเป็นบุคคลท่ีไมเ่ ขา้ ใจตนเองหา ความมนั่ คงในชีวติ และจิตใจไม่ได้ คนท่ีคน้ พบตวั เองจะมีความเชื่อมนั่ ในตนเอง มีความภาคภูมิใจ ในตนเองมีหลกั การและแนวทางในการดาเนินชีวิตของตนเองเม่ือเป็นผใู้ หญ่ ส่วนเด็กท่ียงั ไมค่ น้ พบ ตวั เองจะสบั สนและอาจก่อใหเ้ กิดปัญหาแก่สงั คมได้ เราสามารถช่วยลดปัญหาดงั กล่าวไดโ้ ดย 1. ในการอบรมเล้ียงดูพอ่ แม่ตอ้ งปฏิบตั ิตอ่ ลูกใหส้ อดคลอ้ งกนั 2. หาตวั แบบที่เหมาะสมใหเ้ ดก็ เลียนแบบ 3. สื่อมวลชนควรเสนอขา่ วสารขอ้ มลู ที่เหมาะสมกบั วยั รุ่นไม่ควรเสนอแต่เร่ือง รุนแรงหรือกระตุน้ ความรู้สึกทางเพศ 6.8 ความขดั แย้งระหว่างวยั รุ่นกบั ผ้ปู กครอง ลกั ษณะความขดั แยง้ เกิดจากเด็กวยั รุ่นสาคญั ตวั วา่ พน้ จากความเป็นเดก็ เกิดความตอ้ งการ ประพฤติตนตามพฤติกรรมที่นึกนิยม แตผ่ ปู้ กครองถือวา่ ตนเป็นผรู้ ับผดิ ชอบควบคุมดูแลความ ประพฤติของเดก็ ประสงคใ์ หเ้ ขาประพฤติตามพฤติกรรมอยา่ งอ่ืน เม่ือวยั รุ่นไม่ปฏิบตั ิตามกเ็ กิด ความขดั แยง้ ข้ึน ตวั อยา่ งความขดั แยง้ เช่น 1. ความขดั แยง้ ทางการแต่งกาย 2. ความขดั แยง้ ในการคบเพื่อนต่างเพศ 3. ความขดั แยง้ ในการตอ้ งการความเป็ นอิสระในการไปไหนมาไหน การบรรเทาความขดั แยง้ ผปู้ กครองควรใหค้ วามเห็นอกเห็นใจใหค้ วามรักความอบอุ่น และเขา้ ใจการเปล่ียนแปลงที่เกิดในช่วงวยั รุ่น ใหว้ ยั รุ่นไดม้ ีอิสระและความรับผดิ ชอบตอ่ ตวั เอง บา้ งตามสมควรเพ่ือช่วยลดความเคร่งเครียดและความกดดนั ทางอารมณ์ ในส่วนของวยั รุ่น วยั รุ่นควรเปิ ดใจกวา้ งรับฟังทศั นะผอู้ ื่น คิดอยา่ งมีเหตุผล มีความรับ

176 ผดิ ชอบต่อตนเอง ต่อหนา้ ท่ีท่ีไดร้ ับมอบหมาย รู้จกั แต่งกายใหเ้ หมาะสมกบั วยั และวฒั นธรรม ตลอดจนควรใหค้ วามสาคญั กบั การศึกษาหาความรู้ในเร่ืองตา่ งๆ 7. วยั ผ้ใู หญ่ตอนต้น (Early Adulthood) วยั ผใู้ หญ่ เป็นเวลายาวนานโดยเฉล่ียราวๆ 50 ถึง 65 ปี นกั จิตวทิ ยาพฒั นาการบางท่านจึง แบ่งช่วงวยั ผใู้ หญ่ออกเป็น 3 ช่วงคือ วยั ผใู้ หญ่ตอนตน้ วยั ผใู้ หญต่ อนกลาง และวยั ชรา วยั ผใู้ หญ่ ตอนตน้ ประมาณอายตุ ้งั แต่ 25 ถึง 40 ปี แบบแผนพฒั นาการที่น่าสนใจในระยะวยั ผใู้ หญต่ อนตน้ ที่ น่าสนใจไดแ้ ก่เรื่อง การประกอบอาชีพ การเลือกคู่ครอง การปรับตวั ในชีวติ สมรส การปรับตวั เพอ่ื ทาหนา้ ท่ีบิดามารดา และการปรับตวั ในชีวติ โสด วยั ผใู้ หญต่ อนตน้ เป็ นระยะท่ีความเจริญเติบโตทางการพฒั นาเตม็ ที่สมบรู ณ์ อวยั วะทุกส่วน ทางานอยา่ งมีประสิทธิภาพ โดยทวั่ ไปบุคคลมกั มีกายแขง็ แรง ในดา้ นอารมณ์น้นั ผทู้ ี่จะเขา้ ถึงภาวะ อารมณ์แบบผใู้ หญ่ มีความคบั ขอ้ งใจนอ้ ย ควบคุมอามรณ์ไดด้ ีข้ึน มีความแน่ใจ และมีความมน่ั คง ทางจิตใจดีกวา่ ในระยะวยั รุ่น ส่วนดา้ นความสัมพนั ธ์กบั ผอู้ ื่นหรือลกั ษณะพฒั นาการทางสังคมน้นั ระยะน้ีการใหค้ วามสมั พนั ธ์กบั กลุ่ม (Peer Group) เริ่มลดนอ้ ยลง เปล่ียนมาสู่การมีสมั พนั ธภาพและ ผพู้ นั กบั เพ่อื นตา่ งเพศแบบคู่ชีวติ จุดศูนยก์ ลางของสมั พนั ธภาพคือครอบครัว ส่วนผใู้ หญท่ ี่ยงั ไมม่ ี คู่ครองและครอบครัว ยงั คงใหค้ วามสาคญั ต่อกลุ่มเพื่อนร่วมวยั แต่ความเขม้ ของความผกู พนั และ ภกั ดีเริ่มลดนอ้ ยลง จานวนสมาชิกของกลุ่มมกั จะนอ้ ยลงดว้ ย 7.1 การประกอบอาชีพ การประกอบอาชีพ เป็นพฤติกรรมที่จาเป็ นและสาคญั ประจาวยั เพราะเป็นเคร่ืองช้ีความ เป็นผใู้ หญ่ นอกจากทาใหม้ ีความรู้สึกวา่ มีฐานะทางการเงินแลว้ ยงั ทาใหเ้ กิดความรู้สึกมีอิสระเสรี ความมีหนา้ มีตา ความมน่ั คงทางจิตใจ การต้งั ตวั ไดเ้ ป็นหลกั ฐาน การยอมรับในสังคมและ ความสาเร็จในชีวติ ดา้ นต่างๆ ใครเลือกอาชีพอะไร และมีความกา้ วหนา้ ในดา้ นอาชีพมากนอ้ ยเพียงไรน้นั ข้ึนอยกู่ บั ปัจจยั แวดลอ้ มหลายประการ เช่น เพศ การเตรียมตวั การศึกษาอบรมในวชิ าน้นั ๆ ความตอ้ งการ ทางสังคม สภาพเศรษฐกิจ สถานภาพทางครอบครัว โอกาส เพื่อนร่วมอาชีพ เป็ นตน้ ชายกบั หญิง มีความแตกต่างดนั ในเชิงจิตวทิ ยาบางประการดงั น้ี 1. ชายมีความมกั ใหญ่ใฝ่ สูง มุง่ ความสาเร็จของชีวติ จากผลการทางานมากกวา่ หญิง ไม่ชอบทางานจาเจ ตอ้ งการเป็นหวั หนา้ งาน ชองงานทา้ ทายสมรรถภาพมากกวา่ หญิง 2. หญิงชอบทางานคลอ้ ยตามวสิ ยั แห่งเพศ เช่นงานเกี่ยวกบั เด็กเล็ก คนป่ วย คน

177 ชรา งานท่ีตอ้ งระมดั ระวงั ถี่ถว้ นในรายละเอียด งานซ้าๆ ไมต่ อ้ งใชก้ ารตดั สินใจมากๆ ไม่ชอบงาน รับผดิ ชอบสูงๆ และทางานเป็นหมู่คณะไดไ้ ม่ดีเท่าชาย 3. หญิงแต่งงานแลว้ ท่ีประกอบอาชีพดว้ ย เอาจริงเอาจงั ในการทางานนอ้ ยกวา่ หญิง โสด อาจเป็นเพราะวา่ ตอ้ งใหค้ วามสนใจและเวลากบั ครอบครัว ความสาเร็จมากนอ้ ยในการประกอบอาชีพมีอิทธิพลต่อความสุข ความทุกข์ ความ เจริญกา้ วหนา้ ของชีวติ ฐานะทางสังคมแบะเศรษฐกิจส่วนบุคคล ท้งั ยงั มีผลต่อความสงบราบรื่นใน ครอบครัวและพฒั นาการของบุคคลวยั ตา่ งๆ ในบา้ นดว้ ย ความไมผ่ าสุขในการประกอบอาชีพ ทางานอาจเกิดจากหลายสาเหตุผสมผสานกนั เช่น สถานที่ทางานอยหู่ ่างไกลถ่ินท่ีอยู่ ลกั ษณะงาน ไมต่ รงตามบุคลิกภาพ นิสยั ความสามารถของตน ขาดการเตรียมตวั ในการประกอบอาชีพน้นั ๆ หรือเขา้ กบั เพื่อนร่วมงานและนายจา้ งไมไ่ ด้ 7.2 การเลอื กคู่ครอง (Selecting a Mate) การแสวงหาคูค่ รองเป็นพฤติกรรมปกติของคนในวยั น้ี อาจมีการกระทามาต้งั แต่ ยงั อยู่ ในช่วงวยั รุ่น แตส่ าหรับบางรายก็จะเริ่มต้งั แตย่ า่ งเขา้ สู่วยั ผใู้ หญ่ตอนตน้ ชนิดของการเลือกคูค่ รอง เป็นแบบเอาจริงเอาจงั และเลือกเฟ้ นมากกวา่ เดิม หลกั เกณฑส์ าหรับการเลือกคูค่ รองท่ีจะนาไปสู่ชีวติ สมรสที่ผา่ สุข ไดม้ ีผเู้ สนอแนะไว้ หลายประการดว้ ยกนั ดงั น้ี 1. มีความคลา้ ยคลึงกนั ใน รสนิยม คา่ นิยม ระดบั การศึกษา ความสนใจ การใช้ เวลาวา่ ง ศาสนา ความเช่ือ รากฐานทางวฒั นธรรม สภาพเศรษฐกิจ ลกั ษณะครอบครัว เช้ือชาติ 2. มีบุคลิกภาพท่ีไปดว้ ยกนั ได้ ท้งั ในแง่ที่คลา้ ยกบั และไมเ่ หมือนกนั หรือท่ีเป็นไปใน แบบตรงขา้ ม เช่น คนอารมณ์ร้อนกบั คนอารมณ์เยน็ ท้งั น้ีเพื่อความสมดุลของชีวติ 3. ชายและหญิงมีอายใุ กลเ้ คียงกนั ควรมีอายหุ ่างกนั ไม่เกิน 10 ปี และตามปกติชาย ควรมีอายมุ ากกวา่ หญิง 4. มีอาชีพเล้ียงตวั พอที่จะสร้างครอบครัวใหม้ ีความสุขได้ 5. มีความรักใคร่ผกู พนั มีความนบั ถือและนิยมชมชอบซ่ึงกนั และกนั มีรสนิยมทาง เพศที่ไปดว้ ยกนั ได้ และมีความพยายามเขา้ อกเขา้ ใจซ่ึงกนั และกนั 6. โดยกวา้ งๆ ผหู้ ญิงมกั มองผชู้ ายในแง่ของความสามารถ ความเป็นคนเด่นดา้ นใด ดา้ นหน่ึง เช่น กีฬา ดนตรี ความเป็นผนู้ า ความสามารถทางดา้ นวชิ าการ ความเขา้ อกเขา้ ใจ การ ใหค้ วามคุม้ ครอง การมีลกั ษณะสมชาย รูปร่างหนา้ ตาของชายมีความสาคญั นอ้ ย แตฝ่ ่ ายชายมกั มองฝ่ ายหญิงในดา้ นรูปร่างหนา้ ตา ลกั ษณะสมหญิง ความเป็นแม่บา้ นแม่เรือน ความสามารถใน การเขา้ สังคม

178 7.3 การปรับตัวในชีวติ สมรส เม่ือหญิงและชายแตง่ งานและมาอยรู่ ่วมกนั แลว้ จะตอ้ งปรับตวั ใหไ้ ปดว้ ยกนั ได้ แมว้ า่ การ แต่งงานน้นั ไดม้ ีการไตร่ตรองอยา่ งรอบครอบ ตามปกติหญิงปรับตวั ใหเ้ ขา้ กบั ชาย ง่ายกวา่ ชาย ปรับตวั ให้เขา้ กบั หญิง อยา่ งไรกต็ ามตอ้ งมีการปรับตวั ท้งั 2 ฝ่ าย หญิงและชายจะตอ้ งปรับตวั ใน บทบาทใหมค่ ือ บทบาทสามีและภรรยา ความยากลาบากในการปรับตวั อาจเกิดข้ึนได้ ถา้ หญิงและ ชายยงั ไมม่ ีวฒุ ิภาวะทางจิตใจ ไม่มีการเตรียมตวั ทางเศรษฐกิจทางสงั คมเพือ่ ใชช้ ีวิตคู่ ไม่รู้จกั กนั ดี พอ หรือวยั ของคูส่ มรสต่างกนั มาก 7.4 การปรับตัวเพอื่ ทาหน้าท่บี ดิ ามารดา ควบคูไ่ ปกบั การปรับตวั เม่ือมีบทบาทของสามีภรรยาก็คือ การปรับตวั เพ่ือทาหนา้ ท่ีบิดา มารดา ถา้ คู่สมรสประสงคม์ ีชีวติ ครอบครัวท่ีผาสุขและประสบความสาเร็จควรสนใจหาความรู้และ ปฏิบตั ิตามวธิ ี การวางแผนครอบครัว การเล้ียงดูเด็กต้งั แต่เล็กจนเป็ นหนุ่มสาวที่มีความมน่ั คงทางจิตใจ และเล้ียงตวั เองไดน้ ้นั บิดามารดาจะตอ้ งเขา้ ใจพฒั นาการตามวยั ของเดก็ วา่ มีความตอ้ งการทางร่างกายและจิตใจอยา่ งไร การเตรียมตวั ทางเศรษฐกิจเพื่อลูกและการใหล้ ูกเขา้ โรงเรียนเป็นส่ิงสาคญั ไม่นอ้ ยสาหรับการเป็น บิดามารดา แตก่ ารใหค้ วามรักความอบอุน่ ความสนใจและเขา้ ใจเด็ก มีความสาคญั มาก เดก็ ท่ีเป็น อาชญากร มกั มีพ้นื ฐานมาจากครอบครัวท่ีไม่ผาสุข 7.5 การอยู่เป็ นโสด เม่ือยา่ งเขา้ สู่วยั ผใู้ หญ่ คนส่วนมากแตง่ งานมีครอบครัวมีบุตรธิดา แตม่ ีคนบางกลุ่มไมเ่ ขา้ อยใู่ นภาวะเช่นน้ี ซ่ึงอาจเนื่องมาจากสาเหตุหลายประการ เช่น อุทิศชีวติ เพอ่ื งาน เพื่ออุดมการณ์ มีความรับผดิ ชอบกบั ครอบครัวเดิมของตนจนไมม่ ีเวลาเอาใจใส่ในเรื่องการมีครอบครัวอยา่ งจริงจงั โรคภยั ไขเ้ จบ็ สิ่งแวดลอ้ มไมอ่ านวย มีประสบการณ์ไม่ดีเก่ียวกบั ชีวติ ครอบครัว ญาติพนี่ อ้ งไม่ สนบั สนุน หรือเป็ นความประสงคข์ องผนู้ ้นั เองเพราะชอบชีวติ โสด ปัญหาของคนโสดก็คือ ความรู้สึกดอ้ ยและวา้ เหว่ ผทู้ ี่จะดาเนินชีวติ คนโสดไดอ้ ยา่ งผาสุข คือ ผพู้ ยายามแกไ้ ขอารมณ์ดงั กล่าวน้ีโดยวธิ ีต่างๆ เช่น ใชเ้ วลาศึกษาเล่าเรียน ทางานอดิเรก อุทิศ ตนเพ่ือกิจกรรมสังคม ใชช้ ีวิตใหห้ มดไปกบั งาน

179 8. วยั กลางคน (Middle Age) วยั กลางคนอายปุ ระมาณต้งั แต่ 40 ถึง 65 ปี เป็นช่วงหวั เล้ียวหวั ตอ่ ระหวา่ งความเป็นหนุ่ม สาว และการเขา้ สู่วยั ชรา สมรรถภาพทางกายเป็นไปในทางเส่ือมถอย การเปลี่ยนแปลงทางกาย เช่นน้ี มีผลสมั พนั ธ์กบั อารมณ์จิตใจ และสัมพนั ธภาพกบั บุคคลอ่ืน ท้งั หญิงและชายวยั กลางคน ตอ้ งปรับตวั ตอ่ สภาพเหล่าน้ี เพอ่ื เป็นคนวยั กลางคนท่ีผาสุข การปรับตวั ท่ีสาคญั เช่น การปรับตวั ทางอาชีพ การปรับตวั ในบทบาทของสามีภรรยา การปรับตวั ตอ่ การตายของคู่สมรสและความเป็น หมา้ ย การปรับตวั ในชีวติ ทางเพศและการเปล่ียนวยั ของชาย การปรับตวั ตอ่ ภาวะวกิ ฤติวยั กลางคน ของหญิง ในดา้ นความสัมพนั ธ์ของคนกลางคนต่อบุตรธิดาน้นั ก็ตอ้ งเปล่ียนไป ระยะน้ีคนวยั กลางคนมีความสัมพนั ธ์กบั บุตรธิดาวยั รุ่น วยั ผใู้ หญ่ เขย สะใภ้ วธิ ีสัมพนั ธ์น้นั ตอ้ งมีลกั ษณะ แตกต่างไปจากเมื่อลูกยงั เป็นเด็กเล็ก แต่วธิ ีใดจะเหมาะสมน้นั แตกตา่ งกนั ไปในแต่ละบุคคลและ ครอบครัว คนวยั กลางคนตอ้ งใหค้ วามโอบอุม้ ดูแลพอ่ แม่ของตนซ่ึงเขา้ สู่วยั ชรา อารมณ์ประจาวยั มี หลายประการท่ีสาคญั เช่น อารมณ์อยากกลบั เป็นหนุ่มสาว อารมณ์เศร้า และลกั ษณะอารมณ์ของ หญิงกลางคนเมื่อหมดระดู ช่วงวยั กลางคน เป็นช่วงท่ีคนมองตนดา้ นในมากยง่ิ ข้ึน เปล่ียนแปลงภาพพจน์เก่ียวกบั ตนเอง คนวยั กลางคนตอ้ งสามารถพฒั นาตนเองใหเ้ ขา้ ถึงวฒุ ิภาวะทางจิตใจใหม้ ากที่สุดเทา่ ท่ีจะ เป็นไปได้ เพ่ือเป็นฐานสาหรับการเผชิญกบั ปัญหาประจาวยั และการปรับตวั ที่เหมาะสม ความ สนใจของคนวยั กลางคนเป็ นไปในแนวลึกมากกวา่ แนวกวา้ ง คนวยั กลางคนควรมีกิจกรรมที่เป็น งานอดิเรก เพือ่ ผอ่ นคลายความตึงเครียดและเตรียมตวั เตรียมใจ เพ่ือเขา้ สู่วยั ชราดว้ ยความสุขสงบ ในดา้ นตา่ งๆ เช่น การดูแลรักษาสุขภาพ ท่ีอยอู่ าศยั เงินทอง เป็นตน้ 9. วยั ชรา (Old Age) วยั ชราเป็นระยะสุดทา้ ยของชีวติ บุคคลบางคนอาจมีชีวติ ไดถ้ ึงระยะวยั ชรา ลกั ษณะ พฒั นาการในวยั ชราตรงกนั ขา้ มกบั ระยะวยั เด็ก คือ เป็นความเส่ือมโทรม (Deterioration) และ ซ่อมแซมส่วนท่ีสึกหรอ มิใช่การเจริญงอกงาม วยั ชราเร่ิมต้งั แต่ประมาณอายุ 65 ปี เป็นตน้ ไป 9.1 หน้าทข่ี องครอบครัวและสังคมต่อคนชรา แมว้ า่ วยั ชราเป็ นช่วงเวลาท่ีคนทางานไมไ่ ดแ้ ลว้ แต่ครอบครัวและสงั คมไมค่ วรลืมนึกถึงแง่ ดีของคนชราในแง่ท่ีวา่ เขาเป็นบุคคลที่ไดผ้ า่ นโลกผา่ นชีวติ มามาก ประสบการณ์ของเขาจึงมีค่า มากสาหรับเด็กหนุ่มเด็กสาว การหาประโยชน์จากคนชราในแง่น้ีจึงเป็นสิ่งพงึ ประสงค์ ในเวลา เดียวกนั คนชราโดยทว่ั ไปก็มีความยนิ ดีและเตม็ ใจให้คาปรึกษาและขอ้ คิดเห็นต่างๆ ท่ีเป็นประโยชน์ แก่ผทู้ ี่อ่อนวยั กวา่ นอกจากน้ีแลว้ คนชรายงั เป็นบุคคลที่ไดม้ ีอุปการคุณต่อสมาชิกในครอบครัวและ

180 สังคมมาก่อน ฉะน้นั ครอบครัวและสังคมจึงควรช่วยเหลือเก้ือกลู คนชรา ใหม้ ีชีวติ ที่มีความสุขตาม สมควรและไดร้ ับประโยชนจ์ ากการดาเนินชีวติ ของคนชราในเวลาเดียวกนั ดว้ ย ดงั น้นั หนา้ ท่ีที่ ครอบครัวและสังคมควรปฏิบตั ิต่อคนชราคือ 1. สงั คมเห็นค่าของคนชรา พยายามใหเ้ ขามีความรู้สึกวา่ ตนน้นั ยงั มีประโยชน์และเป็น ท่ีตอ้ งการของครอบครัวและสังคม 2. บุตรหลานใหค้ วามนบั ถือ ไม่เหยยี ดหยามดูหมิ่นดูแคลน อยา่ งไรก็ตามคนชราก็ ตอ้ งพยายามทาตนใหล้ ูกหลานยกยอ่ งดว้ ย 3. สังคมใหค้ วามมน่ั คงทางการเงิน เช่น มีเงินบานาญให้ 4. ใหค้ นชราทางานท่ีจะทาใหม้ ีความสุขและเพลิดเพลิน คนชราท่ีไมม่ ีงานทาน้นั มี ปัญหาทางอารมณ์ไดง้ ่าย วยั ชรา เป็นระยะสุดทา้ ยของพฒั นาการของคน วยั ชรามีความเสื่อมทางร่างกายอยา่ ง เห็นไดช้ ดั ความเส่ือมดงั กล่าวส่งผลกระทบต่องานอาชีพ ลกั ษณะอารมณ์ ลกั ษณะสัมพนั ธภาพ กบั บุคคลในครอบครัวในสังคม แมเ้ ป็นระยะแห่งความเส่ือม แต่บุคคลกอ็ าจใชช้ ีวติ วยั ชราไดอ้ ยา่ ง มีความสุขคือ ตอ้ งมีการเตรียมตวั เตรียมใจท่ีจะเผชิญกบั ความชรา รู้จกั ปรับตวั ทางดา้ นร่างกาย อาชีพ และสมั พนั ธภาพกบั ผอู้ ื่น สงั คมและครอบครัวจะมีส่วนช่วยใหค้ วามสุขแก่คนชรา แมว้ า่ คนชราจะไร้ความสามารถดา้ นพละกาลงั แต่คนชรายงั มีค่าตอ่ คนหนุ่มสาว เพราะมากไปดว้ ย ประสบการณ์และบทเรียนชีวติ มนุษยแ์ ตล่ ะคนควรต้งั ความหวงั ความปรารถนา และเตรียมตวั เพอื่ จะใชช้ ีวติ ยามบ้นั ปลายระยะวยั ชราอยา่ งมีความสุข

181 บรรณานุกรม จริยา เลิศอรรฆยมณี.(2543).งานวจิ ัยทางคลนิ ิค. กรุงเทพฯ : ไพศาลศิป์ การพิมพ.์ ชูศรี วงศร์ ัตนะ.(2544). เทคนิคการใช้สถติ เิ พอ่ื การวจิ ัย. พมิ พค์ ร้ังที่ 8 , กรุงเทพฯ : เทพเนรมิตรการพิมพ์ . บุญใจ ศรีสถิตยน์ รากรู .(2545).ระเบียบวธิ ีการวจิ ัยทางพยาบาลศาสตร์.พมิ พค์ ร้ังท่ี2, กรุงเทพฯ: โรงพมิ พแ์ ห่งจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . ประภาภรณ์ สมนะ.(2544).ผลของการบริหารกล้ามเนือ้ พนื้ เชิงกรานต่อภาวะปัสสาวะเลด็ จาก แรงดันในช่ องท้องสูง ในสตรีวัยหมดระดู. วิทยานิพนธ์พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่. พพิ ฒั น์ ลกั ษมีจรัลกุล.(2542). กระบวนการวจิ ัยทางวทิ ยาศาสตร์สุขภาพ. กรุงเทพฯ : เจริญดี การพมิ พ.์ รัตนะ บวั สนธ์.(2540). การประเมินโครงการ การวจิ ัยเชิงประเมิน. กรุงเทพฯ : บริษทั ตน้ ออ้ แกรมมี่ จากดั . เรณา พงษเ์ รืองพนั ธ์และประสิทธ์ิ พงษเ์ รืองพนั ธ์.(2545).การวจิ ัยทางการพยาบาล.พมิ พค์ ร้ังที่2, มหาวทิ ยาลยั บูรพา : เอกสารประกอบการสอน. วจิ ิตร ศรีสุพรรณ.(2547).การวจิ ัยทางการพยาบาล : หลกั การและแนวปฏิบตั ิ. พิมพค์ ร้ังท่ี 3, เชียงใหม่ : โครงการตารา คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่. วษิ ณุ ธรรมลิขตกุล.(2540).กระบวนการวจิ ัยด้านวทิ ยาศาสตร์การแพทย์. กรุงเทพฯ : เรือนแกว้ การพมิ พ.์ สรชยั พศิ าลบุตร.(2546). วธิ ีวจิ ัยเชิงปฏบิ ตั ิ. พมิ พค์ ร้ังท่ี 2,กรุงเทพฯ : บริษทั จูนพบั ลิชชิ่ง จากดั . สุชาติ ประสิทธ์ิรัฐสินธุ์.(2547).วธิ ีวทิ ยาการวจิ ัยคุณภาพ : การวจิ ัยปัญหาปัจจุบนั และการวจิ ัย อนาคตกาล. กรุงเทพฯ : เฟื่ องฟ้ า พริ้นติ้ง จากดั . สุวมิ ล วอ่ งวานิช.(2546).การวจิ ัยปฏิบัติการในช้ันเรียน.พิมพค์ ร้ังท่ี 5,กรุงเทพฯ : บริษทั ด่านสุทธาการพิมพ.์ สุวมิ ล ติรกานนั ท์.(2546).ระเบียบวธิ ีการวจิ ัยทางสังคมศาสตร์ แนวทางสู่การปฏิบัติ. พิมพค์ ร้ังที่ 4, กรุงเทพฯ : โรงพิมพแ์ ห่งจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . สิทธิณฐั ประพุทธนิติสาร.(2545).การวจิ ัยเชิงปฏิบตั ิการแบบมสี ่วนร่วม : แนวคดิ และแนว ปฏบิ ตั ิ. เชียงใหม่ : วนิดาเพรส.

182 องอาจ นยั พฒั น์.(2548).วธิ ีวทิ ยาการวจิ ัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพทางพฤตกิ รรมศาสตร์ และสังคมศาสตร์. กรุงเทพฯ :หา้ งหุน้ ส่วนจากดั สามลดา Babie,E. (2002).The basics of social research (2nd ed.).Belmont, CA : Wadsworth. Bogdan,R.C., & Biklen, S.K. (2003). Qualitative research for education : An introduction to theory and method (4th ed.).Needham Heights,MA : Allyn and Bacon. Burns, N., & Grove, S.K.(2001).The practice of nursing research : Conduct,critique, & utilization (4th ed). Phiadelphia : W.B. Saunders. Daniel. Wayne, W. (1991). Biostatistics : A Foundation for Analysis in the Health Sciences. 5th Ed. Canada : John Wiley and Sons, Inc. Dempsey, P.A., & Dempsey, A.D. (2000). Using nursing research : Conduct, critical evaluation, and ultilization (5th ed). Phiadelphia :Lippincott. Kirk, R.E. (1982). Experimental Design : Procedure foe the Behavioral Sciences. California : Brooks/Cole. Nunnally, J.C. and Bernstien, I.H. (1994). Psychometric Theory. 3 rd U.S.A : McGraw- Hill,Inc. Roman, E.H. Tests of Significance. London : Sage Publications. Polit,D.F. & Hungler, B.P. (1991).Nursing Research : Princples and Methods. 4th ed. Philadelphia : J.b. Lippincott.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook