Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore pdf24_merged

pdf24_merged

Published by ทวีศักดิ์ ใครบุตร, 2021-08-20 23:58:03

Description: pdf24_merged

Search

Read the Text Version

90 ด้วยกัน ขาดความม่ันคงในชีวิตและทรัพย์สิน มนุษย์จึงไม่มีอะไรเป็นหลักประกัน ซึ่งเดิมทีมนุษย์ไม่มี ความรู้อะไรติดตัวมาแต่เกิด จิตมนุษย์ว่างเปล่า เหมือนกระดาษเปล่า ความรู้ท้ังปวงได้มาจาก ประสบการณ์ มนุษย์จึงไม่อาจมีความรู้ท่ีสมบูรณ์ และความรู้ของมนุษย์ก็เพ่ิมข้ึนได้ มนุษย์ทาให้ตน ฉลาดขนึ้ ไดด้ ว้ ยการศึกษาธรรมชาติ และเหตุผล โดยอาศัยวิธีการทางตรรกวิทยา ด้วยวิธีการดังกล่าว มนุษย์จะเข้าใจธรรมชาติเพมิ่ ข้นึ และสามารถนาความรูน้ ั้นมาปฏิบัตไิ ด้ สิทธิทางธรรมชาติ มนุษย์ทุกคนมีเสรีภาพอย่างสมบรู ณ์ สามารถกระทาตามทต่ี นเลือกภายใน ขอบเขตที่กฎธรรมชาติกาหนดไว้ ทุกคนมีความเสมอภาคมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน ไม่มีผู้ใดมีสิทธิและ อานาจมากกว่าผู้ใด ในสภาวะธรรมชาติคนเสมอภาคกันในแง่ของสิทธิ ไม่ใช่เสมอกันในความสามารถ (เขา้ ใจกฎธรรมชาติ) ความเสมอภาคและเสรีภาพในสภาวะธรรมชาติ ไม่นาไปสู่ภาวะสงคราม มนุษย์ ทุกคนมีเสรีภาพอย่างสมบูรณ์ มนุษย์จึงสามารถกระทาตามท่ีตนเลือกภายในขอบเขตท่ีกฎธรรมชาติ กาหนดไว้ มนุษย์ทุกคนมีความเสมอภาค มีสิทธิเท่าเทียมกันในแง่ของสิทธิ ไม่ใช่เสมอกันใน ความสามารถ ไม่มีผใู้ ดมสี ิทธแิ ละอานาจมากกวา่ ผูใ้ ด นีเ้ ปน็ สทิ ธิ์ตามธรรมชาติ (Natural right) สิทธิธรรมชาติ หมายถึง สิทธิในชีวิต, ในเสรีภาพ, และทรัพย์สิน เสรีภาพในธรรมชาติ หมายถงึ การพ้นจากการบบี บังคับหรือการทารา้ ยโดยผู้อืน่ ความเสมอภาคในธรรมชาติ หมายถึง เสมอกันในแง่ของสิทธิ ไม่ใช่ความสามารถ ในความ เสมอภาค และเสรีภาพของคนในสภาวธรรมชาติ จอหน์ ล็อคยังมองเห็นความบกพร่องอยู่ 3 ประการ ทจ่ี าเป็นต้องแกไ้ ข คอื 1. ในสภาวธรรมชาติท่ียังไม่มีกฎหมายอันเป็นที่ยอมรับเพ่ือเป็นเคร่ืองค้าประกัน เสรีภาพ 2. ในสภาวะธรรมชาติขาดตุลาการที่เท่ียงธรรมที่จะระงับข้อพิพาทอันเกิดขึ้นภายใต้ กฎธรรมชาติ ประการทส่ี าม 3. ในสภาวะธรรมชาติไม่มีอานาจบริหารท่ีจะบังคับให้คาตัดสินหรือข้อวินิจฉัยมีผล อย่างจริงจังในทางปฏิบตั ิ จากความบกพร่องของสภาวธรรมชาติดงั กล่าว มนุษย์จึงมกี ารรวมกันเป็นสังคมการเมืองส่วน หน่งึ ก็เพ่อื ช่วยแกข้ ้อบกพร่องเหลา่ น้ี เม่ือเป็นสังคมการเมือง จึงจาเป็นต้องแบ่งอานาจในการปกครอง ในสังคมออกเป็นสามฝุาย โดยมีองค์การ 3 องค์กรเปน็ ผใู้ ชอ้ านาจนั้น องค์กรเหล่านี้ได้แก่ “องค์กรนิติ ปัญญัติ” เป็นองค์กรจัดทากฎหมาย เพ่ือใช้แทนกฎหมายธรรมชาติ เป็นองค์กรที่มีอานาจสูงสุดในรัฐ “องค์กรตุลาการ” มีข้ึนเพ่ือแก้ปัญหาการขาดตุลาการท่ีเท่ียงธรรมในสภาวธรรมชาติ “องค์กร บริหาร” เป็นองค์กรที่มีอานาจอยู่ใต้อานาจของฝุายนิติบัญญัติ ล็อคย้าว่า อานาจนิติบัญญัติและ อานาจบริหารจะต้องไม่รวมอยู่ในมือเดียวกันเพราะจะทาให้มีอันตรายเกินไปถ้าอานาจถูกนาไปใช้ ในทางทผ่ี ดิ ล็อคจึงเสนอว่า ดว้ ยปรารถนาที่จะปกปักรักษาชีวิต เสรีภาพของตนไว้ มนุษย์จึงออกจาก

91 สภาพธรรมชาตสิ สู่ งั คมการเมอื ง แตใ่ นสังคมการเมือง เขากลับต้องเผชิญกับภัยอันตรายท่ีอาจร้ายแรง ย่ิงกว่าสภาพสงครามในสภาพธรรมชาติเสียอีก เพราะสงครามที่ระบอบทรราชนามาสู่ประชาชนนั้น เกอื บเปน็ สงิ่ ทีป่ อู งกนั ไม่ไดเ้ ลย ในภาวะปจั จบุ นั เพราะมันเปน็ สง่ิ ท่เี กือบมองไม่เห็น หรือบางคร้ังก็เป็น ส่ิงท่ีประชาชนหลงเช้ือเชิญมาเอง เช่น กรณีการยินยอมให้ฮิตเลอร์ขึ้นครองเยอรมัน โดยมีอานาจ เบ็ดเสรจ็ เดด็ ขาด ในการสร้างพันธสญั ญาน้ัน มนุษย์มไิ ดจ้ ากัดเสรีภาพทตี่ นมีอยใู่ นสภาวะธรรมชาติ แต่เป็นการ ยอมยกสิทธิในการลงโทษของแต่ละบุคคลเสีย โดยมอบให้ผู้ที่ได้รับอานาจจากรัฐเป็นผู้ปฏิบัติหน้าท่ี แทน แต่สิทธิต่าง ๆ ท่ีเคยมีเมื่ออยู่ในสภาวธรรมชาติยังคงอยู่ ในแง่นี้ คาสอนของล็อค เร่ืองที่มาอัน ถูกต้องของอานาจทางการเมืองที่ยุติธรรมและรัฐบาลที่ต้องมีอานาจจากัด จึงเป็นส่ิงท่ีเราสมควรต้อง กลับไปพิจารณาอย่างจริงจังอีกครั้งหนึ่ง ส่วนรูปแบบทางการปกครองน้ัน มีองค์การที่ถือเป็นสถาบัน สูงสุดในการปกครอง คือองค์กรบัญญัติกฎหมาย หรือสภานิติบัญญัติสมาชิกขององค์กรสาคัญแห่งนี้ จะมาจากการตัดสินใจของเสียงข้างมากของคนในสังคม คือการเลือกต้ัง แม้ล็อคจะยกย่องอานานิติ บัญญตั ไิ ว้สูงสดุ แตเ่ ขาก็ไดว้ างขอ้ จากดั ไว้ 4 ประการด้วยกนั คอื 1. จักต้องบัญญัติกฎหมาย เพื่อประโยชน์ของส่วนรวมและเคารพในทรัพย์สิน,ชีวิต, เสรภี าพและกรรมสิทธข์ิ องเอกชน 2. จักต้องบัญญัติกฎหมายให้ได้มาตรฐานยุติธรรม กฎหมายจักต้องประกาศแสดงให้ ปวงชนทราบโดยแจ้งชัด จะบัญญตั กิ ฎหมายโดยพลการมิได้ 3. จักใช้อานาจริบทรัพย์สินของเอกชน หรือข้ึนภาษีโดยปราศจากความยินยอมของ เจ้าของหรอื ปวงชนไมไ่ ด้ 4. จักโอน หรอื ส่งอานาจสงู สุดท่ีองคก์ รมีอยใู่ หแ้ ก่องคก์ รหนว่ ยอื่นใชโ้ ดยปราศจากการ รับรู้และยินยอมของปวงชนไม่ได้สาหรับรัฐบาล หรือองค์กรที่ใช้อานาจบริหารอยู่ในฐานะเป็นสาขา ของฝุายนิติบัญญัติมีขอบเขตอานาจการดาเนินงานในหน้าท่ีภายใต้การควบคุมขององค์กรนิติบัญญัติ รัฐบาล หรือเจ้าหน้าท่ีรัฐมิใช่องค์กรของผู้ใดผู้หน่ึงหรือชนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดแต่เป็นองค์กรกลางที่มีไว้ สาหรับบรรจอุ านาจอธปิ ไตยที่ปวงชนท้ังหมดมอบให้ และมอบให้กับผู้ที่สมควรจะได้รับเพ่ือใช้อานาจ นน้ั ในการปกครองต่อไป และรักษาความเป็นธรรมในสังคมในนามของปวงชนท้ังหมดจุดเน้นของล็อค ต่อสงั คมการเมืองทดี่ ี อย่ทู ี่จดุ นี้ คือ (ชุมพร สังขปรชี า, 2531 หนา้ , 159) 1. การมีกรรมการสังคม หรอื อนญุ าโตตุลาการ ผู้วนิ จิ ฉัยช้ขี าด 2. สมาชกิ สังคมทกุ คนมอี านาจหน้าท่เี ทา่ เทียมกนั ในการปกครองประเทศ 3. ทุกคนมีสายใยยึดเหนยี่ วร่วมกนั คือศีลธรรมและความมเี หตผุ ลรว่ มกนั ล็อคเห็นว่ากลไกหรือสถาบันสังคมท่ีสาคัญสาหรับการจัดการลงโทษคนที่ไม่มีเหตุผลภายใต้ หลักความยตุ ิธรรมโดยธรรมชาตินนั้ ได้แก่

92 1. กฎหมายท่กี าหนดข้นึ โดยสว่ นกลางรว่ มกนั 2. การมีผพู้ ิพากษาหรือศาลยุติธรรมท่เี ปน็ ทีย่ อมรับ และมีความเปน็ กลางโดยแท้จรงิ 3. อานาจในการจับกุม และลงโทษบุคคลท่ีเป็นภัยต่อสังคมหลักกฎหมายของล็อค จึง แตกต่างจากกฎหมายธรรมชาติของพระเจา้ และศาสนจกั รในอดีต. สรุป ในยุคกลางน้ัน ศาสนามีอานาจมากที่สุด ในขณะท่ีในยุคฟ้ืนฟูน้ันเราจะมองเห็นว่ากษัตริย์มี อานาจมากขึ้น ส่วนความคิดทางการเมืองในยุคสมัยใหม่คือ การที่ประชาชนธรรมดา ๆ ลุกขึ้นมา ตอ่ ตา้ นอานาจกษตั รยิ ์ ทีม่ าของการต่อต้านอานาจกษัตรยิ ์นี้เกิดขึ้นอย่างรุนแรงในช่วงศตวรรษที่ 17 เกิดข้ึนครั้งแรก ในประเทศอังกฤษ ซ่ึงแนวความคิดนี้ได้ลุกลามจนกลายเป็นสงครามกลางเมืองในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1642-1689 เป็นเวลานานถึง 47 ปี โดยกษัตริย์ในสมัยนั้นคือ พระเจ้า Charles ที่ 1 มีความขัดแย้ง กับสภาผแู้ ทน โดยที่ปญั ญาชนทั้งหลายเข้าข้างสภาผู้แทน ในขณะท่ีกลุ่มอานาจเก่าคือ ขุนนาง พ่อค้า ใหญ่ ๆ และเจ้าของท่ีดินเข้าข้างกษัตริย์ในท่ีสุดสงครามกลางเมืองก็เกิดข้ึนและเกิดอย่างต่อเน่ืองถึง 47 ปี โดยสงครามได้ยุติลงไม่ใช่เพราะฝุายใดฝุายหนึ่งเป็นผู้ชนะ แต่เป็นเพราะโอลิเวอร์ ครอมเวลล์ Oliver Cromwell ได้เข้ามาแทรกแซง และเข้าข้างฝุายประชาชนหรือฝุายผู้แทน กษัตริย์จึงพ่ายแพ้ พระเจ้าชาร์ลท่ี 1 ถูกจับ และถูกประหารชีวิต ส่วนครอมเวลล์ถือโอกาสปกครองประเทศแบบเผด็จ การอยู่ระยะหน่ึงจึงได้สถาปนาพระเจ้าชาร์ล ที่ 2 ให้เป็นกษัตริย์ที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ (constitutional monarchy) ในบรรดานักคิดที่สนับสนุนอานาจกษัตริย์นั้น โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) เป็นนักคิด ทม่ี ีความสาคัญที่สุด โดยเขาให้แนวความคิดท่ีสนับสนุนอานาจกษัตริย์ไว้ชัดเจนในตอนท่ีเกิดสงคราม กลางเมืองที่อังกฤษน้ันเขาได้หนีภัยการเมืองไปอยู่ที่ฝรั่งเศส และได้เขียนหนังสือขึ้นมา 2 เล่มคือ De Cive และ Leviathan ซง่ึ เปน็ แนวคดิ ทสี่ นบั สนุนอานาจกษตั ริย์และตอ่ ต้านศาสนาอย่างชดั เจน

93 คาถามทา้ ยบท 1. จงอธิบายแนวคิดทางการเมืองยุคสมัยใหม่มาให้เข้าใจ พร้อมท้ังยกตัวอย่างนักคิดในยุค นมี้ าพอสังเขป ? 2. จงอธบิ ายแนวคดิ ทางการเมอื งของโทมสั ฮอบส์ (Tomas Hobbes) พอสังเขป? 3. จงอธิบายผลกระทบของทฤษฎีของฮอบส์ ข้อบกพร่องของทฤษฎีของฮอบส์ และ อทิ ธพิ ลของทฤษฎีของฮอบสใ์ นยคุ ปัจจุบนั มาพอสงั เขป? 4. จงอธบิ ายแนวคิดทางการเมืองของจอนห์ ลอ็ ค (John Locke) มาพอสงั เขป ? 5. จงอธิบายสิทธิทางธรรมชาติตามแนวคิดทางการเมืองของจอนห์ ล็อค (John Locke) หมายถงึ อะไร ประกอบด้วยอะไรบ้าง?

94

บทที่ 5 ทฤษฎีเทวสทิ ธิ์ วัตถปุ ระสงค์ประจาบท เมอ่ื ศึกษาเน้ือหาในบทนแ้ี ล้ว ผศู้ กึ ษาสามารถ 1. อธิบายสาระสาคญั ของทฤษฎเี ทวสทิ ธ์ิได้ 2. อธิบายแนวคดิ เทวสทิ ธ์ใิ นอังกฤษได้ 3. อธิบายแนวคิดเทวสิทธใิ์ นฝรง่ั เศสได้ 4. อธบิ ายเทวสิทธิ์ของพระมหากษตั รยิ ์ (Divine Right of Kings)ได้ 5. อธิบายนกั คิดทฤษฎีเกย่ี วกบั เทวสทิ ธิได้ ขอบขา่ ยเนอ้ื หา 1. ทฤษฎเี ทวสิทธ์ิ 2. แนวคิดเทวสทิ ธ์ิในองั กฤษ 3. แนวคดิ เทวสทิ ธใ์ิ นฝรัง่ เศส 4.เทวสทิ ธ์ิของพระมหากษัตริย์ (Divine Right of Kings) 5.นกั คิดทฤษฎีเก่ยี วกบั เทวสทิ ธิ สื่อการเรยี นการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. การบรรยายในชนั้ เรยี นด้วยโปรแกรม PowerPoint Presentation 3. เว็บไซตท์ ี่เก่ยี วข้อง 4. การสอนออนไลท์ Mircrosoft Teams การวดั และประเมนิ ผล 1. การแสดงความคดิ เหน็ ในช้ันเรยี น 2. การถามตอบในช้ันเรียน 3. การทาแบบฝกึ หดั ทา้ ยบท 4. การตอบคาถามรายบคุ คลในส่อื ออนไลน์

95 บทนา ทฤษฎเี ทวสิทธ์ิเป็นทฤษฎีเก่ียวกับต้นกาเนิดของรัฐท่ีมีความเก่าแก่ที่สุด โดยเชื่อว่าพระเจ้า ได้ ดลบันดาลหรือสร้างรัฐข้ึนมาเอง แนวคิดน้ีมีต้นกาเนิดมาจากอาณาจักรโบราณแถบตะวันออก กลาง ท่ผี ูป้ กครองได้รับการยอมรับวา่ เป็นเชือ้ สายสืบทอดมาจากพระเจา้ ชาวฮิบรูโบราณเชื่อว่าพระ เจ้าไดส้ ร้างกฎของการปกครองแนวคิดน้ีเปน็ ที่นิยมท่สี ดุ ในชว่ งยุคกลาง ประวัตศิ าสตร์การเมอื งของประเทศในโลกตะวนั ออก และโลกตะวนั ตก หลายประเทศได้ผ่าน พฒั นาการการปกครองแบบรวมศนู ยอ์ านาจในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์โดยมีกษัตริย์อยู่ในฐานะ ผู้ปกครองสูงสุด เช่น ไทย จีน อังกฤษ ฝร่ังเศส รัสเซีย เน่ืองด้วยพื้นฐานแนวความคิดเก่ียวกับสังคม มนษุ ยท์ มี่ ีการแขง่ ขันแย่งชิง จึงนาไปสู่การปกครองที่ให้อานาจเด็ดขาดกับผู้ปกครองเพียงผู้เดียว เพ่ือ ควบคมุ คนในสงั คมและสรา้ งความมัน่ คงให้กบั บา้ นเมอื ง (ฉัตรทิพย์ นาถสุภา, 2551 หน้า,11- 12) อย่างไรก็ตามแม้ประเทศเหล่าน้ันจะเคยปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่หาก พิจารณาถึงแนวคิดท่ีมีส่วนในการกาหนดสถานะและการมีอานาจของกษัตริย์นั้น จะพบว่ามีความ แตกต่างกัน เนื่องจากพ้ืนฐานความเช่ือในแต่ละสังคมท่ีต่างกัน โดยเฉพาะอย่างย่ิงเร่ืองศาสนา ดังน้ัน ในบทความนจ้ี ึงพยายามชีใ้ หเ้ ห็นถึงแนวคิดพ้ืนฐานที่มีผลต่อสถานะและการมีอานาจของกษัตริย์ โดย เปรียบเทยี บระหวา่ งกษัตริย์ไทยสมัยอยุธยา-รัตนโกสินทร์กับกษัตริย์อังกฤษและฝร่ังเศสสมัยราชาธิป ไตยแบบใหม่ (New Monarchy) ซง่ึ เปน็ ยคุ สมยั ที่มีการสถาปนารัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์และกษัตริย์ อยใู่ นฐานะของผปู้ กครองสูงสดุ 1.ทฤษฎีเทวสิทธิ์ 1. รัฐเป็นการบนั ดาล และเจตนารมณข์ องพระเจ้า 2. มนุษย์ไม่ได้เป็นปัจจัยสาคัญในการสร้างรัฐ มนุษย์เป็นเพียงองค์ประกอบด้วยเหตุนี้การ ปกครองรัฐจึงเป็นอานาจจากพระเจา้ ซง่ึ หมายความว่า ผูป้ กครองรัฐจะต้องได้รบั อาณตั จิ ากพระเจ้า 3. ผูป้ กครองรฐั ทาหน้าทีเ่ สมือนเป็นตัวแทนของพระเจ้าการละเมิดอานาจของผู้ปกครองรัฐมี โทษและมบี าป 4. ประชาชนในรัฐจะตอ้ งเชือ่ ฟังและเคารพผูป้ กครองรัฐโดยดษุ ฎี 5. ความรับผิดชอบหรือภารกิจที่ผู้นาหรือประมุขกระทาน้ันขึ้นอยู่กับอานาจศักด์ิสิทธ์ินั้น เท่าน้ัน

96 สถานะ และการมีอานาจของกษัตริยอ์ งั กฤษ และฝร่ังเศส แนวคิดเทวสิทธิ์ เป็นแนวความคิดท่ีอธิบายสถานะและการมีอานาจของกษัตริย์ตามหลัก ศาสนาครสิ ต์ ซ่งึ มีส่วนส่งเสริมอานาจของกษัตรยิ ์ภายใตร้ ะบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ภายหลังจากที่ กษัตริย์อังกฤษและฝรั่งเศสสูญเสียอานาจไปในยุคศักดินาสวามิภักดิ์(Feudalism) เนื่องจากอานาจ กระจายไปอย่กู บั กลุ่มขุนนางท้องถ่ิน (John P. McKay, Bennett D. Hill and John Buckler,1987 pp, 248 – 249) ขุนนางเหล่าน้ีมีอานาจในการปกครองท่ีดินของตน อีกทั้งยังมีกองทหารและข้าทาสบริวาร ภายใตก้ ารอุปถัมภ์ ทาใหใ้ นยุคศกั ดินาสวามิภักดิ์นั้นกษัตริย์สูญเสียอานาจอย่างมาก ในขณะท่ีขุนนาง ท้องถน่ิ กลายเปน็ กลมุ่ ที่มีอานาจท้ังทีแ่ ตเ่ ดิมเคยเปน็ ผ้ชู ว่ ยกษัตริย์ในการปกครอง นอกจากนี้กษัตริย์ยัง ถูกแทรกแซงจากศาสนจักรท่ีต้องการแสวงหาอานาจทางโลกและควบคุมกษัตริย์ ทาให้อานาจของ กษตั รยิ ์ยง่ิ ลดลง ภาพที่ 5.1 ภาพชวี ิตความเปน็ อยูข่ องคนใน ภาพท่ี 5.2 ปราสาทขนาดใหญ่เปน็ ปราสาทของ ยุคศักดนิ าสวามภิ กั ดท์ิ ่ีอยภู่ ายใต้การปกครอง ขนุ นางทีม่ ีอานาจปกครองทีด่ ินของตน ของขุนนางท้องถน่ิ

97 ต่อมาประมาณในคริสต์ศตวรรษท่ี 13 ระบบศักดินาสวามิภักดิ์เริ่มเสื่อมลง ขุนนางเร่ิมหมด บทบาทและอทิ ธพิ ลทางการเมือง ทาให้กษัตริย์สามารถสถาปนาบทบาทในฐานะผู้ปกครองดินแดนได้ อีกครั้ง ท้ังอังกฤษและฝรั่งเศสเข้าสู่ยุคราชาธิปไตยแบบใหม่ (NewMonarchy) ซ่ึงหมายถึง ยุคแห่ง การปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยมีกษัตริย์อยู่ในฐานะผู้ปกครองสูงสุดและรวม อานาจเข้าสู่ส่วนกลางด้วยการสร้างระบบราชการเพื่อเป็นหน่วยวางนโยบายและนาไปปฏิบัติ การ จัดเก็บภาษีประชาชนเพ่ือนาเงินมาใช้ในการบริหารประเทศ และการจัดต้ังกองทัพซึ่งรบในนามของ กษัตริยแ์ ละประเทศชาติ จากแนวทางการสถาปนารัฐรวมศูนย์อานาจแทนที่รัฐในยุคศักดินาสวามิภักดิ์ดังกล่าว แม้ กลไกการปกครองต่าง ๆ จะมีส่วนเสริมสร้างอานาจของกษัตริย์ให้มากขึ้น ทรงควบคุมขุนนางได้มาก ข้ึน สามารถตัดสินพระทัยในเร่ืองต่างๆ ได้ตามพระราชประสงค์ แต่อีกปัจจัยหน่ึงท่ีมีส่วนเสริมสร้าง อานาจและสถานะใหก้ บั กษัตรยิ ์องั กฤษ และฝรัง่ เศสในยคุ ราชาธิปไตยแบบใหม่ คือ แนวคดิ เทวสิทธ์ิ แนวคิดเทวสิทธิ์ (Divine Right of King) คือ ความเช่ือท่ีว่าผู้ปกครอง (กษัตริย์) ทรงได้รับ อานาจการปกครองจากพระเจ้า ตามหลักของศาสนาคริสต์นั้น โลก คือ ส่ิงที่พระเจ้าสร้างข้ึน และ จาเป็นต้องมีผู้ปกครองซ่ึงผู้ปกครองน้ันจะได้รับอานาจตามพระประสงค์ของพระเจ้าให้ปกครองหมู่ มวลมนุษย์ (ฉัตรทพิ ย์ นาถสภุ า, 2551 หนา้ , 5-7) ดังนั้นเม่ือผู้ปกครอง(กษัตริย์) ได้รับอานาจจากพระเจ้าแล้ว กษัตริย์จึงสามารถใช้อานาจใน การปกครองอย่างเต็มท่ี การกระทาใดที่เป็นการต่อต้านหรือจากัดอานาจของกษัตริย์ย่อมเป็นสิ่งท่ีผิด เพราะขัดต่อความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้านักคิดชาวยุโรปหลายคนให้การสนับสนุนอานาจ ของ กษตั ริยต์ ามแนวคดิ เทวสิทธิ์ เช่น ฌอน โบแดง (Jean Bodin) นักคิดชาวฝร่ังเศสท่ีสนับสนุนทฤษฎีรัฐ รวมศูนยอ์ านาจ เขาเสนอว่า รัฐทตี่ อ้ งการความสงบต้องมีอานาจอธิปไตย (อานาจการปกครองสูงสุด) อยทู่ สี่ ถาบันกษัตรยิ ์ ซึ่งเป็นสถาบนั ทีม่ คี วามเหมาะสมท่สี ดุ (กลุ ดา เกษบญุ ชู ม้ีด, 2552 หนา้ , 208) กษัตริย์สามารถใช้อานาจได้อย่างสมบูรณ์ในฐานะที่ได้รับอานาจจากพระเจ้า ทรงมีอานาจ ตดั สินพระทัยทกุ เร่อื งเพอ่ื นาพาประเทศไปสคู่ วามมน่ั คงและมีเสถยี รภาพ

98 ภาพที่ 5.3 ฌอน โบแดง (Jean Bodin) (ทีม่ า : /Google/https://th.wikipedia.org) 2.เทวสทิ ธ์ใิ นอังกฤษ หลังจากยุคศักดินาสวามิภักดิ์ อังกฤษเข้าสู่ยุคการสร้างรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในรัชสมัย พระเจ้าเฮนรี่ที่ ๗ (Henry VII, 1485 - 1509) ปฐมกษตั รยิ ์แห่งราชวงศ์ทิวดอร์ (Tudor) พระเจ้าเฮนรี่ ที่ ๗ ทรงดาเนนิ นโยบายอย่างจรงิ จังในการสร้างรัฐรวมศูนย์กลางอานาจโดยการวางระบบการบริหาร ราชการแผ่นดินใหม่ (John P. McKay, Bennett D. Hill and John Buckler, 1987 p, 504)ต้ัง สภาที่ปรึกษาของกษัตริย์ซ่ึงประกอบด้วยสมาชิกที่เป็นขุนนางรุ่นใหม่ที่กษัตริย์แต่งต้ังเพื่อลดอานาจ ขุนนางรุน่ เก่า พร้อมกบั แสวงหาการสนบั สนนุ การบรหิ ารประเทศจากชนชัน้ กลางและสร้างความมั่งค่ัง ให้กับประเทศ ส่ิงสาคัญของการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของอังกฤษคือ แม้ว่า กษัตริย์จะทรงมีอานาจสูงสุดในทางทฤษฎี แต่ในการปกครองนั้น พระองค์จะทรงบริหารราชการ แผ่นดินรว่ มกับสภา (อนนั ต์ชัย เลาหะพันธุ์, 2533 หนา้ , 178-180) ซ่ึงตลอดสมัยราชวงศ์ทิวดอร์ กษัตริย์จะพยายามควบคุมสภาและประนีประนอมเพ่ือไม่ให้ เกิดความขัดแย้ง เพราะการดาเนินนโยบายในการบริหารของพระองค์จาเป็นต้องได้รับการสนับสนุน จากสภา ( John P. McKay, Bennett D. Hill and John Buckler, Ibid p, 508)

99 ภาพท่ี 5.4 พระเจา้ เฮนรี่ท่ี 7 (Henry VII ) แห่งราชวงศ์ทวิ ดอร์ (ที่มา : /Google/https://th.wikipedia.org) แมว้ า่ การสร้างรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของกษัตริย์อังกฤษในสมัยราชวงศ์ทิวดอร์จะช่วยทา ให้กษัตริย์มีอานาจมากข้ึนจนกษัตริย์สามารถควบคุมกลุ่มคนที่เคยมีอานาจแต่เดิมได้ แต่กษัตริย์ ราชวงศ์ทิวดอร์ยังคงอ้างถึงการมีอานาจตามแนวคิดเทวสิทธิ์ เช่น สมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 1 (Elizabeth, 1558 - 1602) พระองค์ทรงเชื่อในอานาจการปกครองท่ีได้รับจากพระเจ้า ซ่ึงจะทาให้ พระองค์มีอานาจอย่างสมบูรณ์ และในขณะเดียวกันทรงดาเนินนโยบายบริหารประเทศร่วมกับสภา ทรงควบคุมสภาด้วยวิธีการอันสุขุมรอบคอบ และประนีประนอม ส่งผลกษัตริย์สมัยราชวงศ์ทิวดอร์ สามารถสร้างรฐั แบบรวมศนู ย์กลางอานาจไดส้ าเรจ็ ภาพที่ 5.5 สมเด็จพระนางเจ้าอลซิ าเบธที่ 1 (Elizabeth I) แห่งราชวงศท์ ิวดอร์ (ทีม่ า : /Google/https://th.wikipedia.org)

100 การอ้างถึงแนวคิดเทวสิทธิ์เพ่ือเสริมสร้างอานาจให้กับกษัตริย์อังกฤษน้ัน เร่ิมเกิดปัญหา ภายหลังจากท่ีสมเด็จพระนางเจ้าอลิซาเบธสวรรคต พระองค์ทรงไม่มีรัชทายาท ทาให้ราชบัลลังก์สืบ ทอดไปสู่พระญาติ คือพระเจ้าเจมส์ท่ี 6 (James VI) แห่งสกอตแลนด์ซ่ึงขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้า เจมส์ท่ี 1 (James I, 1603 -1625) แห่งอังกฤษ ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์สจ๊วต (Stuart) ในสมัยของ พระเจ้าเจมส์ท่ี 1 น้ัน พระองค์ทรงให้ความสาคัญกับแนวคิดเทวสิทธิ์อย่างมาก ทรงอ้างถึงการมี อานาจท่ไี ดร้ บั จากพระเจา้ (John P. McKay, Bennett D. Hill and John Buckler, Ibid p, 508) แต่สิ่งท่ีเกิดข้ึนกลับตรงกันข้ามกับสมัยราชวงศ์ทิวดอร์ เน่ืองจากการอ้างถึงแนวคิดเทวสิทธ์ิ ของพระเจ้าเจมส์นั้น ส่งผลให้พระองค์ทรงใช้อานาจในการปกครองและการบริหารราชการแผ่นดิน อย่างไม่จากัดขอบเขตจนทาให้เกิดความขัดแย้งกับสภา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องการเก็บภาษี ประชาชน ซึง่ พระเจา้ เจมสต์ อ้ งการเก็บภาษเี พ่มิ แต่สภาไมย่ อมสนบั สนุนความต้องการของพระองค์ ภาพที่ 5.6 พระเจา้ เจมสท์ ี่ 1 (James I) แหง่ ราชวงศส์ จว๊ ต (ทม่ี า : /Google/https://th.wikipedia.org) ปญั หาความขดั แยง้ ระหวา่ งกษตั รยิ ์กับสภายังคงมีอย่างต่อเนื่องมาถึงในสมัยพระเจ้าชาร์ลส์ท่ี 1 (Charles I, 1625 - 1649) พระราชโอรสของพระเจ้าเจมส์ที่ 1 พระองค์ทรงขัดแย้งกับสภาในเร่ือง การเก็บภาษี และทรงพยายามใช้อานาจตามแนวความคิดแบบเทวสิทธิ์ จนถึงขั้นท่ีทรงใช้พระราช อานาจในการยุบสภาและบริหารประเทศด้วยพระองค์เอง ปัญหาท่ีเกิดขึ้นนาไปสู่การต่อสู้กันระหว่าง กษัตรยิ ์-สภา เปน็ สงครามกลางเมืองครง้ั สาคัญ (English Civil War1642 - 1649) ซึง่ ท้ายสุดแล้วพระ

101 เจ้าชาร์ลส์ทรงแพ้ และถูกประหาร ทาให้อังกฤษเข้าสู่ยุคสมัยการปกครองของโอลิเวอร์ ครอมเวล (Oliver Cromwell, 1649 - 1660) ซ่งึ เป็นยคุ ท่กี ษัตรยิ อ์ ังกฤษไมม่ ีอานาจในการปกครองประเทศ ( Robin W. Winks and Thomas E. Kaiser, 2004 p., 26.) ภาพท่ี 5.7 พระเจา้ ชารล์ ส์ที่ 1 (Charles I) แห่งราชวงศส์ จว๊ ต (ทม่ี า : /Google/https://th.wikipedia.org) ในกรณขี องกษัตริย์อังกฤษนั้นจะพบว่า การอ้างถึงแนวคิดเทวสิทธ์ิในระยะแรกของการสร้าง รัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์มีส่วนทาให้สถาบันกษัตริย์มีอานาจมากข้ึน ดังเช่นในสมัยสมเด็จพระนาง เจ้าอลิซาเบธที่ 1 แต่เมื่อถึงในสมัยราชวงศ์สจ๊วต กษัตริย์ทรงยึดแนวคิดเทวสิทธิ์เพ่ือสนับสนุนการมี อานาจพระองค์ จนนาไปสู่การใช้อานาจเกินขอบเขต ทาให้กษัตริย์เกิดปัญหาขัดแย้งกับสภา และ นาไปสู่กระบวนการการจากัดอานาจกษัตริย์ในที่สุดภ ายหลังการปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ (GloriousRevolution 1688) ซ่งึ ส่งผลให้กษัตริยอ์ งั กฤษถูกจากัดอานาจ แนวคิดเทวสิทธ์ิเร่ิมเส่ือมลง และสภาขน้ึ มามอี านาจในการบรหิ ารประเทศแทนท่ีกษัตรยิ ์

102 3.เทวสทิ ธ์ิในฝรงั่ เศส การสถาปนารัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของฝรั่งเศสเริ่มข้ึนในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 15 ภายหลังจากการทาสงครามร้อยปี (One Hundred Years’ War 1337 - 1453) ซ่ึงเป็นสงคราม ระหว่างองั กฤษ-ฝรัง่ เศส สงครามครั้งนี้เกิดขนึ้ เน่ืองจากกษัตริย์อังกฤษพยายามอ้างสิทธ์ิในราชบัลลังก์ ฝร่ังเศส (Jeremy Black , 2003 p., 71) แต่ไม่สาเร็จอังกฤษต้องแพ้ให้กับฝร่ังเศสพร้อมท้ังสูญเสีย ดินแดนท่ีอังกฤษเคยครอบครองไว้ได้บริเวณภาคพ้ืนทวีปยุโรปให้กับฝรั่งเศสไป (John P. McKay, Bennett D. Hill and John Buckler, Ibid p, 367) สาหรับฝรั่งเศสเองนน้ั สงครามคร้ังนแ้ี มจ้ ะทาให้เศรษฐกิจฝรั่งเศสตกตา่ แต่กลบั เปน็ โอกาสให้ กษตั รยิ ส์ ามารถสถาปนาอานาจขนึ้ ไดด้ ว้ ยการสนับสนนุ จากประชาชน (อนนั ต์ชัย เลาหะพันธ์ุ,อ้างแล้ว หน้า,184 ) ภายหลังจากที่สูญเสียอานาจให้กบั กล่มุ ขุนนางสมัยศกั ดินาสวามิภักด์ิ ภาพท่ี 5.8 การสรู้ บในสงครามรอ้ ยปี (ทม่ี า : /Google/https://th.wikipedia.org) ความเปน็ รฐั สมบรู ณาญาสทิ ธริ าชย์ของฝร่ังเศสเร่ิมชัดเจนมากขึ้นในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษ ท่ี 15 เมื่อเข้าสู่สมัยพระเจ้าเฮนร่ีท่ี 4 (Henry IV, 1589 - 1610) แห่งราชวงศ์บูร์บอง (Bourbon) ใน สมัยนมี้ กี ารปรับโครงสร้างการปกครองโดยใช้ระบบราชการท่ีกษัตริย์ทรงมีอานาจเหนือขุนนาง ทรงมี กองทัพของพระองค์เอง และเร่งฟื้นฟูประเทศภายหลังการทาสงครามมาอย่างยาวนานนโยบายการ

103 สร้างรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของพระเจ้าเฮนร่ีที่ 4 ยังคงปฏิบัติสืบมาในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 13(Louis XIII, 1610 - 1643) ซึ่งกษัตริย์มีอานาจอย่างเต็มท่ี เนื่องจากพระองค์ทรงปกครองประเทศ เองโดยท่ีไม่เรียกประชุมสภา ในขณะเดียวกันพยายามทาลายอานาจของกลุ่มขุนนางเดิม จนทาให้ กษตั รยิ ฝ์ รั่งเศสมอี านาจมากขนึ้ เปน็ ลาดบั ภาพที่ 5.9 พระเจ้าเฮนรี่ที่ 4 (Henry IV) ภาพท่ี 5.10 พระเจ้าหลยุ สท์ ี่ 13 (Louis XIII) แหง่ ราชวงศบ์ ูร์บอง แหง่ ราชวงศบ์ ูร์บอง (ทมี่ า : /Google/https://th.wikipedia.org) (ทม่ี า : /Google/https://th.wikipedia.org) แม้การสถาปนารัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของฝรั่งเศส และการสถาปนาอานาจของกษัตริย์จะ ประสบความสาเรจ็ ก็ตาม แตก่ ลับเกดิ การต่อตา้ นจากกลุ่มคนบางกลุ่มท่ีไม่พอใจการถูกลดอานาจและ บทบาททางการเมือง รวมทั้งผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ เช่น กลุ่มขุนนางชนชั้นกลาง ทาให้เกิดการ จลาจลครั้งใหญ่ในช่วงต้นรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ท่ี 14 (Louis XIV, 1643 - 1715) คือ La Fronde 1648 - 1652 แต่ไม่ประสบความสาเร็จ จากเหตุการณ์จลาจลทาให้พระเจ้าหลุยส์ท่ี 14 ทรงดาเนิน นโยบายจากัดอานาจขุนนางอย่างเข้มงวดพร้อมกับการอ้างถึงแนวคิดเทวสิทธ์ิของกษัตริย์เพื่อ เสริมสร้างอานาจให้กับพระองค์เอง ทรงยึดถือว่าพระองค์คือ ตัวแทนผู้รับอานาจจากพระเจ้า อยู่ใน ตาแหน่งผู้ปกครองฝร่ังเศสตามความประสงค์ของพระเจ้า (Robin W. Winks and Thomas E. Kaiser, Ibid p, 7)

104 ทรงมอี านาจเด็ดขาดในการบริหารประเทศ ดังนั้นในสมัยของพระองค์จะทรงแต่งตั้งขุนนาง รุ่นใหม่และชนชั้นกลางให้เป็นที่ปรึกษา ในขณะที่พระองค์ทรงเป็นผู้เดียวที่จะมีอานาจในการตัดสิน พระทัยดาเนินนโยบายของประเทศทงั้ หมด ภาพที่ 5.11 La Fronde (ทมี่ า : /Google/https://th.wikipedia.org) ภาพที่ 5.12 พระเจ้าหลยุ ส์ที่ 14 (Louis XIV) แหง่ ราชวงศ์บรู บ์ อง (ท่ีมา : /Google/https://th.wikipedia.org)

105 จะเหน็ ได้ว่า ปญั หาทางการเมืองทเ่ี กิดขึน้ ในช่วงต้นรชั สมัยพระเจา้ หลุยส์ท่ี 14 ทาให้พระองค์ ตอ้ งให้ความสาคัญกบั แนวคิดเทวสิทธิ์ ทรงยดึ หลกั การมีอานาจสูงสุดในการบริหารประเทศ ควบคู่กับ การเสริมสร้างสถานะความเป็นกษัตริย์ให้อยู่เหนือสามัญชนทั่วไป เช่น การประทับในพระราชวัง ใหญ่โต (พระราชวังแวร์ซายส์ - Versailles) ทรงมีชีวิตท่ีหรูหราและเต็มไปด้วยพิธีการ เพ่ือเป็นการ แสดงใหเ้ ห็นถงึ การมีอานาจสูงสดุ ทไ่ี มม่ ผี ใู้ ดท้าทายได้ ภาพท่ี 5.13 พระราชวังแวรซ์ ายส์ สัญลักษณ์แหง่ ความยงิ่ ใหญ่ของกษตั รยิ ฝ์ รง่ั เศส (ท่ีมา : /Google/https://th.wikipedia.org) 4.เทวสิทธ์ขิ องพระมหากษตั รยิ ์ (Divine Right of Kings) เทวสิทธ์ิของพระมหากษัตริย์ (Divine Right of Kings) เป็นหลักความเชื่อทางการเมืองและ การศาสนาของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชที่กล่าวว่า พระมหากษัตริย์ไม่อยู่ภายใต้อานาจใดในโลก เพราะทรงเป็นผู้ท่ีได้รับอานาจโดยตรงตามพระประสงค์จากพระเจ้า ฉะนั้นพระมหากษัตริย์จึงไม่อยู่ ภายใต้อานาจของประชาชน, ขุนนาง หรือสถาบันใดใดทั้งสิ้นในราชอาณาจักรท่ีรวมทั้งสถาบันศาสนา ดว้ ย หลกั ความเชอื่ อันน้เี ป็นนยั วา่ ความพยายามในการโค่นราชบลั ลงั ก์หรอื ความพยายามในการจากัด สิทธิของพระมหากษัตริย์เป็นการกระทาที่ไม่ถูกต้องและเป็นการขัดต่อพระประสงค์ของพระเจ้า โดยตรงและอาจจะถือวา่ เปน็ การกระทาท่เี ปน็ การนอกรีต (Heresy)

106 รากของหลักความเช่ือนี้มีมาต้ังแต่ยุคกลางที่กล่าวว่าพระเจ้าทรงมอบอานาจทางโลกให้แก่ พระมหากษัตริย์ เช่นเดียวกับท่ีทรงมอบอานาจทางธรรมให้แก่สถาบันศาสนาโดยมีประมุขเป็นพระ สันตะปาปา ผู้ประพันธ์ทฤษฎีนี้คือ ฌอง โบแดง (Jean Bodin) ผู้เขียนจากการตีความหมายของ กฎหมายโรมัน เม่ือการขยายตัวของรัฐอิสระต่างๆ และการปฏิรูปศาสนาของนิกายโปรเตสแตนต์มี อิทธิพลมากขึ้น ทฤษฎี “เทวสิทธ์ิ” ก็กลายมาเป็นเครื่องมือท่ีใช้ในการสนับสนุนในการให้เหตุผลใน เอกสิทธใ์ิ นการปกครองของพระมหากษตั ริย์ทั้งในดา้ นการเมืองและทางด้านศาสนา 4.1 เทวราชา สถานะ และการมอี านาจของกษตั รยิ ์ไทย ลักษณะการปกครองในระบอบสมบรู ณาญาสิทธิราชย์ของไทย อาจกลา่ วได้ว่าเร่ิมตน้ ขนึ้ ใน สมัยอยุธยา โดยได้รบั อิทธิพลจากคติการปกครองของอินเดียซึง่ เป็นการผสมผสานระหวา่ ง แนวความคดิ ของศาสนาพราหมณแ์ ละพุทธ พ้นื ฐานความคิดทางการเมืองของอินเดยี ท่ีไดร้ บั อทิ ธิพล จากความเชือ่ ทางศาสนานั้น ทาให้เกิดการให้อานาจเด็ดขาดกบั ผ้ปู กครองดินแดน เชน่ แนวคิด เกีย่ วกบั มนุษย์ ซึ่งทั้งศาสนาพราหมณแ์ ละพุทธเช่อื ว่ามนุษย์ทกุ คนมบี าป กิเสล ความโลภ และการ แกง่ แย่งชงิ ดี ดังนัน้ หากมนุษย์มาอยรู่ วมกนั แลว้ จาเป็นจะต้องมผี ปู้ กครองทม่ี ีอานาจเด็ดขาด สามารถ ใชก้ ฎหมายลงโทษผทู้ ่ที าผิดศีลธรรมได้ (สมบตั ิ จนั ทรวงศ์ และชยั อนันต์ สมุทวณชิ , 2523 หนา้ , 9) และในทางตรงข้ามหากสังคมมนุษย์ไม่มีกฎหมายหรือผู้ปกครองจะทาให้เกิดความเดือดร้อน วุ่นวายในสังคม หรือแนวคิดเก่ียวกับการปกครอง ซึ่งทั้งพราหมณ์และพุทธให้ความสาคัญกับการมี ผู้ปกครองและถือว่าเป็นสิ่งที่จาเป็น สภาพที่ขาดผู้ปกครองอาจทาให้เกิดความขัดแย้งจนนาไปสู่การ ล่มสลายของอาณาจักร ทั้งสองแนวคิดดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า “ผู้ปกครอง” มีความสาคัญและเป็น สิ่งจาเป็นท่ีทุกสังคมต้องมี ดังนั้นเพื่อให้ผู้ปกครองมีอานาจในการควบคุมสังคม จึงมีการนาแนวคิด แบบเทวราชามาใช้เพอื่ ให้ผู้ปกครองอยใู่ นสถานะที่เหนือกว่าบคุ คลอ่นื เทวราชา คือ แนวคิดท่ีเปรียบเทียบกษัตริย์เป็นเสมือนเทพหรือเป็นสมมติเทพ เป็นผู้สืบเชื้อ สายมาจากเทพ จุติลงมาปกครอง (สมบัติ จันทรวงศ์ และชัยอนันต์ สมุทวณิช, เร่ืองเดียวกัน หน้า ,12) ดงั น้นั กษัตริยต์ ามแนวคดิ แบบเทวราชาจึงไม่ใช่มนุษย์สามัญโดยท่ัวไป แต่มีสถานะของความเป็น เทพท่ีอยู่เหนือมนุษย์ทั้งปวง ทาให้กษัตริย์มีอานาจเหนือบุคคลอ่ืนในสังคมและสามารถใช้อานาจใน การปกครองได้อย่างเด็ดขาดแต่เพียงผู้เดียว โดยเฉพาะอย่างย่ิงในสมัยอยุธยาตอนต้น แนวคิดเทวรา ชาถูกนามาใช้อย่างกว้างขวางเพ่ือช่วยในการเสริมสร้างอานาจของกษัตริย์ในยุคเร่ิมแรกของการ สถาปนาอาณาจกั รที่จาเป็นตอ้ งมีการปกครองแบบรวมศูนย์เพ่ือให้เกิดความม่ันคงส่ิงที่แสดงให้เห็นถึง ความเปน็ เทพของกษัตริย์ เช่น การใช้คาราชาศัพท์ การประทับอยู่ในพระราชวังพระนามของกษัตริย์

107 ท่ีแสดงถงึ การสืบเช้ือสายจากเทพ เช่น รามาธบิ ดี รวมไปถงึ การมีพระราชประเพณี และพิธีกรรมต่างๆ ซึง่ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งท่ีปฏิบัติกับองค์พระมหากษัตริย์เท่านั้น อีกทั้งยังเป็นการสร้างความเคารพยาเกรง ในความศกั ดิส์ ทิ ธข์ิ องกษตั ริยใ์ ห้เกดิ ข้ึนในความร้สู ึกของสามัญชนทวั่ ไปด้วย จะเห็นได้ว่า แนวคิดเทวราชานามาซ่ึงสถานะความเป็นเทพของกษัตริย์ที่อยู่เหนือกว่าสามัญ ชน ทาให้กษัตริย์สามารถใช้อานาจปกครองได้แต่เพียงผู้เดียว แต่ยังคงถูกควบคุมด้วยแนวคิดแบบ ธรรมราชา เพ่ือให้ทรงใช้อานาจได้อย่างถูกต้องเหมาะสม เป็นธรรม มีเมตตาและไม่สร้างความ เดือดร้อนให้กับประชาชนแม้ในทางทฤษฎีเราจะเห็นว่ากษัตริย์ไทยทรงมีอานาจสูงสุดตามแนวคิด เทวราชาและการปกครองภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่ในทางปฏิบัติพระองค์ไม่ได้ทรงใช้ อานาจการปกครองและการบริหารราชการแผ่นดินแต่เพียงผู้เดียว ทรงมีกลุ่มขุนนางเป็นผู้ช่วยในการ บริหารราชการแผ่นดินตามพระบรมราชโองการ แต่ในระยะหลังกลุ่มขุนนางเหล่าน้ีกลับสร้างปัญหา ใหก้ ับกษัตรยิ ห์ ลายประการ โดยเฉพาะอย่างย่ิงการกอ่ กบฏโค่นล้มราชบัลลังก์โดยขุนนางฝุายกลาโหม ในสมัยอยุธยา เช่น ออกญาศรีวรวงศ์ (สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง) ออกพระเพทราชา (สมเด็จพระ เพทราชา)เน่ืองจากเป็นกลุ่มขุนนางที่มีอิทธิพลและอานาจมากอีกทั้งในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ขุน นางก็กลายเป็นกลุ่มที่มีบทบาทในการบริหารราชการแผ่นดิน เช่น ขุนนางตระกูลบุนนาคจากปัญหา การข้ึนมามีอานาจและบทบาทของขุนนาง จนส่งผลกระทบต่อสถาบันกษัตริย์ท่ีถูกลดอานาจลง สะทอ้ นให้เหน็ ว่าแนวคดิ เทวราชาน้นั ไม่สามารถส่งเสรมิ ใหก้ ษตั ริยม์ อี านาจในฐานะเทพได้อย่างแท้จริง ทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแนวคิดเก่ียวกับกษัตริย์ในสมัยรัชกาลท่ี 4 คือ พระองค์ทรงไม่ยอมรับ แนวความคิดสถานะความเปน็ เทพของกษัตริย์ แต่ทรงเห็นว่ากษัตริย์คือ มนุษย์ ซึ่งอยู่ในฐานะกษัตริย์ ได้ด้วยการสืบสายโลหิตจากกษัตริย์พระองค์ก่อนและการมีความรู้ความสามารถในการปกครองที่จะ นาพาอาณาจกั รให้รุ่งเรอื งสืบไป (อรรถจกั ร สตั ยานรุ ักษ์, 2541 หน้า, 37-38) ดงั นน้ั พระองค์จะทรงให้ความสาคัญกับการมีอานาจอยู่จริงในฐานะกษัตริย์ท่ีสืบสายโลหิตใน วงศ์ของกษัตริย์ ไม่ใช่การมีอานาจจากการสืบสายโลหิตจากเทพ ดังเช่นแนวคิดแบบเทวราชา พร้อม ทั้งพยายามเสรมิ สร้างอานาจ และบทบาทการปกครองของกษัตริย์ให้มากข้นึ แนวคิดเทวราชาของกษัตริย์ไทยนั้นมีความสาคัญ และมีส่วนช่วยในการสร้างรัฐ สมบรู ณาญาสิทธริ าชย์ในสมัยอยุธยา แต่ไม่สามารถส่งเสริมให้กษัตริย์ทรงมีอานาจอย่างแท้จริงได้ ทา ให้แนวคิดเทวราชาเร่ิมหมดความสาคัญลง กษัตริย์ไทยจึงหันมาให้ความสาคัญกับการมีอานาจอย่าง แท้จริงนับต้ังแต่สมัยรัชกาลท่ี 4 เป็นต้นมา และเริ่มดาเนินนโยบายสร้างรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ท่ี รวมอานาจเข้าสู่สว่ นกลาง และกษัตรยิ ์สามารถใชอ้ านาจบรหิ ารราชการแผ่นดินได้ด้วยพระองค์เองอีก ครัง้ ในสมยั รัชกาลที่ 5

108 4.2 ระบอบสมบรู ณาญาสิทธิราชยข์ องไทย ประเทศไทยเคยปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระมหากษัตริย์มีอานาจ สทิ ธ์ขิ าดในการปกครองแผน่ ดิน ดังคากล่าวท่ีว่า “พระบรมราชานุภาพของพระเจ้าแผ่นดิน กรุงสยาม นี้ไม่ได้ปรากฏในกฎหมายอันหนึ่งอันใด ด้วยเหตุที่ถือว่าเป็นท่ีล้นพ้น ไม่มีข้อส่ังอันใดจะเป็นผู้บังคับ ขัดขวางได้” เมื่อมีการ ปฏิวัติยึด อานาจจา กรัช กาล ที่ 7 และเปลี่ยนแปลงการปก ครอง จา ก สมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเปน็ ระบอบประชาธปิ ไตยใน พ.ศ. 2475 แล้ว ในทางนิตินยั พระราชอานาจ ที่เคยมีมาอย่างล้นพ้นได้ถูกจากัดลงให้อยู่ในกรอบของรัฐธรรมนูญ ในประเทศไทย การปกครองตาม แบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ รู้จักกันในช่ือระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมขุ 5.นักคิดทฤษฎเี กยี่ วกบั เทวสิทธิ 5.1 นโิ คโล มาเคยี วเวลลี่ (Niccolo Machiavelli) มาเคียวเวลลี่ กล่าวไว้ใน The prince ว่า ธรรมชาติของมนุษย์เป็นสัตว์ที่เห็นแก่ตัว กา้ วรา้ วและแสวงหาพยายามทจี่ ะหลีกเล่ียงอันตรายและมักมากในผลกาไร จึงทาให้ชีวิตตกอยู่ใน สภาวะของการดน้ิ รนและการแขง่ ขนั นอกจากนี้ คนเรายังเป็นผู้ที่โง่เขลาเบาปัญญา ปล่อยจิตใจ ให้ตกอยู่ภายใต้การครอบงา ของกิเลสตัณหา ทะเยอทะยานที่อยากจะได้อยู่ตลอดเวลา ไม่มีสิ่งใด ที่จะสามารถสร้างความพอดีให้กับคนได้ ธรรมชาติอันช่ัวร้ายของคนน่ีเองที่ทาให้สังคมทุกสังคมเต็มไป ด้วยการแข่งขนั ตอ่ สู้ ถ้าหากไม่มีอานาจใดมาบังคับให้คนเกรงกลวั ได้ สงั คมกจ็ ะย่งุ เหยงิ ไร้ระเบยี บ 5.2 ธอมสั ฮอบส์ (Thomas Hobbes) ฮอบส์ กล่าวว่า อานาจขององค์อธิปัตย์ไม่อาจเปลี่ยนมือไปสู่องค์กรอื่นได้ หาก องค์ อธิปัตย์ไม่ให้ความยินยอม อานาจขององค์อธิปัตย์ไม่อาจถูกถอดถอนได้และประชาชนท่ีถูกปกครองไม่ อาจจะกล่าวหาองค์อธิปัตย์ได้ องค์อธิปัตย์ไม่อาจที่จะถูกลงโทษโดยผู้ถูกปกครอง องค์อธิปัตย์เป็นผู้ บัญญัติกฎหมายได้ทุกเวลาไม่ว่ายามสงครามหรือในยามสงบ เป็นสิทธิขององค์อธิปัตย์ท่ีจะ เลือกเจา้ หน้าท่ีฝุายศาล ที่ปรึกษาผู้บัญชาการทหารและเจ้าหน้าท่ีอื่นๆ ทั้งหมด พร้อมกับมีอานาจท่ี จะตดั สินใจใหร้ างวลั และลงโทษ ดังน้ัน พื้นฐานแนวคิดแบบเทวสิทธิ์ทั้งยุโรป และเอเชียจึงเป็นแนวคิดท่ีได้รับอิทธิพลจาก ศาสนาคริสต์ ฮินดู และพุทธศาสนา ซึ่งถือว่าพระราชาผู้ปกครองเป็นตัวแทนจากสวรรค์ กฎหมาย ต่างๆ และพระบรมราชโองการจึงเป็นกฎหมายจากสวรรค์ท่ีประชาชนจะต้องเคารพ และเช่ือฟัง ผู้ปกครอง หรือ กษัตริย์มีอานาจเดด็ ขาดและอย่เู หนอื กฎหมาย ผู้ใดจะฟูองร้องไมไ่ ด้

109 สรุป หากเปรียบเทียบแนวคิดเทวสิทธิ์กับเทวราชาจะพบว่า แนวคิดทั้งสองมีส่วนส่งเสริมการมี อานาจสูงสุดในการปกครองของกษัตริย์ แต่มีความแตกต่างกันในเร่ืองสถานะและการมีอานาจของ กษัตริย์ เน่ืองจากตามแนวคิดเทวสิทธ์ิ ความเปน็ กษตั ริย์เกิดจากการรับอานาจจากพระเจ้ามาปกครอง ในขณะท่พี ระองค์ยงั คงมสี ถานะเป็นมนุษย์ แต่สาหรับแนวคิดเทวราชา ความเป็นกษัตริย์เกิดจากการ สบื สายโลหติ จากเทพ ทาให้กษัตริย์มีสถานะเป็นเทพซึ่งอยู่เหนือมนุษย์ พระองค์จึงทรงมีอานาจเหนือ ราษฎรสามญั ท่ัวไปและสามารถใช้อานาจการปกครองอาณาจักรได้ นอกจากน้ีหากเปรียบเทียบถึงมูล เหตุการอ้างถึงแนวคิดเทวสิทธ์ิและเทวราชาทั้งกษัตริย์ไทย อังกฤษ และฝร่ังเศสนั้น มักเกิดขึ้นใน ภาวะทกี่ ษตั รยิ ์ต้องการแสดงถึงการมีอานาจสูงสุดเด็ดขาดแต่ผู้เดียว เพ่ือแก้ปัญหาการสูญเสียหรือถูก ทา้ ทายอานาจ และเพอื่ สร้างความมั่นคงให้กับอาณาจักร แต่การอ้างถึงการมีอานาจไม่ว่าด้วยแนวคิด ใดก็ตาม ในบางครั้งกลับไม่สามารถสร้างอานาจท่ีแท้จริงให้เกิดขึ้นได้ กษัตริย์ยังคงสูญเสียอานาจ ให้กับกลุ่มผู้ร่วมบริหารราชการแผ่นดิน เช่น สภา ขุนนาง ดังน้ันอานาจแท้จริงของกษัตริย์ในระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์จึงเกิดจากการที่พระองค์สร้างกลไกการบริหารราชการแผ่นดินที่มี ประสทิ ธิภาพ และสามารถควบคุมกลไกทงั้ หมดนนั้ ไดด้ ว้ ยพระองคเ์ อง

110 คาถามท้ายบท 1. สาระสาคญั ของทฤษฎีเทวสทิ ธ์ิมีว่าอย่างไร? 2. พื้นฐานแนวคิดแบบเทวสิทธทิ งั้ ยุโรปและเอเชีย ได้รับอิทธพิ ลมาอย่างไร? 3. ราชาธิปไตย คืออะไร แบ่งเป็นก่ีประเภท อะไรบ้าง? 4. จงอธบิ ายแนวคดิ ของนโิ คโล มาเคยี วเวลลี่ (Niccolo Machiavelli) และ ธอมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) เกยี่ วกบั ทฤษฎีเกยี่ วกับเทวสิทธิ? 5. ท่านเห็นว่าทฤษฎเี ทวสทิ ธ์ิ มีข้อเดน่ ขอ้ ด้อยอยา่ งไรบ้าง?

111

บทที่ 6 ทฤษฎีอานาจนยิ ม (The Authoritarian Theory) วตั ถปุ ระสงค์ประจาบท เมื่อศึกษาเน้ือหาในบทนีแ้ ล๎ว ผ๎ศู กึ ษาสามารถ 1. อธิบายระบอบเผด็จการได๎ 2. อธิบายความหมายของเผดจ็ การได๎ 3. อธิบายลกั ษณะสาคญั ของลัทธเิ ผด็จการได๎ 4. อธิบายประเภทของลัทธิเผดจ็ การได๎ 5. อธิบายเผด็จการอานาจนยิ มกบั เผด็จการเบ็ดเสร็จในเชงิ เปรยี บเทยี บได๎ ขอบข่ายเน้อื หา 1. ระบอบเผดจ็ การ 2. ความหมายของเผดจ็ การ 3. ลักษณะสาคัญของลัทธเิ ผด็จการ 4. ประเภทของลัทธเิ ผดจ็ การ 5. เผด็จการอานาจนยิ มกบั เผดจ็ การเบด็ เสร็จในเชิงเปรียบเทยี บ สอื่ การเรยี นการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. การบรรยายในชัน้ เรียนดว๎ ยโปรแกรม PowerPoint Presentation 3. เว็บไซต์ทเี่ ก่ยี วข๎อง 4. การสอนออนไลน์ Mircrosoft Teams การวัดและประเมนิ ผล 1. การแสดงความคิดเหน็ ในช้ันเรยี น 2. การถามตอบในชัน้ เรียน 3. การทาแบบฝกึ หัดท๎ายบท 4. การตอบคาถามรายบุคคลในสือ่ ออนไลน์

112 บทนา รูปแบบการปกครองที่แบํงโดยใช๎เกณฑ์จา ก ลักษณะการใช๎อานาจของรัฐ บ า ล ห รือ ผู๎ปกครองซ่ึงเปน็ องคก์ รทใี่ ชอ๎ านาจการปกครอง แมจ๎ ะเป็นรฐั บาลระบบเดยี วกนั เชํน รูปแบบราชาธิป ไตยเหมือนกนั หรอื รูปแบบอภิชนาธิปไตยเหมือนกันก็อาจใช๎อานาจแตกตํางกันได๎ ซ่ึงลักษณะการใช๎ อา น า จ นี้เพํงเล็งในแงํความสัมพันธ์ระหวํางรัฐบาลกับประชาชนหรือผู๎อยํูภายใต๎การปกคร องวํา ผ๎ูปกครองบงั คบั มากหรือน๎อยเพราะการปกครอง หมายถึง การวางกาหนดกฎเกณฑ์หรือควบคุมให๎คนใน สงั คมประพฤติหรือปฏบิ ตั ิ คาวํา อานาจนิยม ใช๎เพื่ออธิบายองค์กรหรือรัฐที่ใช๎มาตรการท่ีเข๎มงวด หรือบางทีอาจจะเป็น มาตรการในเชิงกดขกี่ ับประชาชน ซ่ึงโดยทั่วไปแล๎วมักไมํผํานการเห็นชอบของประชาชน ในรัฐ อานาจนิยมการกระทาการตําง ๆ เก่ียวกับชีวิตของพลเมือง อยูํภายใต๎การควบคุมของผ๎ูมีอานาจ หนา๎ ท่ี ตามทฤษฎีอานาจนิยม (The Authoritarian Theory) เป็นการทาตามคาส่ังจากเบื้องบนสูํ เบ้ืองลําง (from top to down) โดยผู๎ที่อยํูในตาแหนํงผู๎นาจะเป็นผู๎ส่ังการ ผู๎ปกครองประเทศ จะใช๎ส่ือมวลชนในการแจ๎งให๎ประชาชนทราบถึงความคิดและนโยบายของผ๎ูปกครอง และสื่อมวลชนไมํ สามารถวิพากษ์วิจารณ์กลไกทางการเมืองได๎ เฉพาะกรณีที่ได๎รับอนุญาตจากผู๎ปกครองเทํานั้น ที่ ทางเอกชนจะสามารถเปน็ เจา๎ ของส่ือมวลชนได๎ และการอนญุ าตนี้จะถูกยกเลิกเมื่อใดก็ได๎เม่ือผ๎ูปกครองเห็น วําเอกชนไมสํ นับสนุนนโยบายของผ๎ปู กครอง ทั้งนี้รวมถึงในเร่ืองท่ีปรัชญาการเมืองแนวอื่น ๆ มองวําเป็นทางเลือกสํวนบุคคล อยํางไรก็ ตาม ความเป็นอานาจนิยมนั้นมีได๎หลาย ระดับ แม๎กระทั่งประเทศที่เป็นประชาธิปไตย ใน หลาย ๆ ดา๎ นก็ยังมีความโน๎มเอียงไปทางอานาจนยิ มเชนํ กัน ปรัชญาการเมือง คือ การศึกษาหลักการและพื้นฐานของรัฐ รัฐบาล การเมือง เสรีภาพ ความ ยุติธรรม ทรพั ย์สนิ สํวนบคุ คล สิทธิ กฎหมาย การบังคับใช๎กฎหมายโดยรัฐ สิ่งเหลําน้ีคือแกํนสารหรือส่ิงไมํ จาเป็นกันแนํ อะไรคือความชอบธรรมของรัฐและผู๎ใช๎อานาจและเจ๎าหน๎าที่ สิทธิและเสรีภาพใดบ๎างที่ควร บงั คบั และไมํบังคับ อะไรคอื กฎหมาย หน๎าท่ีของพลเมืองคืออะไรและมีอะไรบ๎าง และเมื่อไหรํที่รัฐจะ หมดความชอบธรรมในการปกครอง ลัทธอิ านาจนิยม อานาจนิยม (authoritarianism) เป็นรูปแบบการจัดระเบียบทางสังคมซึ่งมีลักษณะของการ อํอนน๎อมตํออานาจหน๎าท่ี ตามปกติมักตรงข๎ามกับปัจเจกนิยม และอิสระนิยม ในทางการเมือง รัฐบาลอานาจเป็นรัฐบาลซึ่งอานาจหน๎าที่ทางการเมืองกระจุกตัวอยูํกับนักการเมืองกลุํมเล็ก อานาจ

113 นิยม เป็นระบอบการเมืองที่มีฐานอยํูบนอุดมการณ์ทางการเมืองแบบเผด็จการชนิดท่ีผู๎ปกครอง สามารถใช๎อานาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเหนือรัฐ หรือกลํุมคนใดๆ ในการดารงไว๎ซ่ึงเปูาหมายสูงสุด คือ การรักษาอานาจของตน (Kurian , 2011. p., 103) โดยมักจะไมํคานึงถึงสิทธิ เสรีภาพของประชาชน ปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นท่ีเป็นปฏิปักษ์ กบั ผ๎นู า ควบคมุ สอ่ื มวลชน ผูกขาดการใช๎อานาจและจากดั การตรวจสอบ กลําวได๎วํา ระบอบอานาจนิยมเป็นระบอบการเมืองที่ใช๎แพรํหลายมากท่ีสุดเป็นระยะเวลา ยาวนานท่ีสุด ในประวัติศาสตร์การปกครองของมนุษยชาติ ทุกวันน้ี “อานาจนิยม” เป็นคาท่ีถูกใช๎ถึง บํอยคร้ังที่สุด เม่ือกลําวถึงระบอบการปกครองที่ไมํเป็นประชาธิปไตย ลักษณะสาคัญของระบอบ อานาจนิยม คือ การกระทา และการตัดสินใจของผู๎ปกครองไมํถูกจากัดโดยสิทธิ เสรีภาพ และความ เสมอภาคของประชาชน ในขณะที่สิทธิ เสรีภาพของประชาชนมีอยูํอยํางจากัด กลําวอีกนัยหน่ึง สิทธิ ทางการเมืองของประชาชน หากมีอยํูบ๎าง ก็จากัดเต็มที ด๎วยเหตุที่ผ๎ูปกครองอานาจนิยมจะสร๎าง กฎระเบียบ มาตรการที่เข๎มงวด เพื่อจากัดกิจกรรมของบุคคลและกลุํมบุคคลที่ต๎องการมีสํวนรํวมใน การจัดสรรส่ิงท่ีมีคุณคําในสังคม ในระบอบอานาจนิยม ประชาชนสํวนใหญํในสังคมมักไมํได๎รับ อนุญาตให๎แสดงออกทางการเมืองใด ๆ ยกเว๎น กิจกรรมที่ได๎รับการสนับสนุนจากอานาจรัฐ ฉะนั้น การตํอสทู๎ างการเมอื งในรูปแบบการชุมนุมประท๎วง และเดินขบวนตามจังหวะ และโอกาส จึงแทบจะ เป็นรูปแบบการมีสํวนรํวมชนิดเดียวท่ีทาได๎ ในขณะท่ีเสรีภาพของส่ือมวลชน และประชาชนที่จะ วิพากษ์วิจารณ์ และต้ังคาถามตํอระบบการเมืองจะถูกตรวจสอบ หากฝุาฝืนจะมีมาตรการลงโทษ อานาจนิยมมีลักษณะของอานาจที่เข๎มข๎น และรวมเข๎าสูํศูนย์กลางอยํางมาก ซ่ึงรักษาไว๎โดยการ ปราบปรามทางการเมือง และการกีดกันคํูแขํงท่ีเป็นไปได๎ รัฐบาลอานาจนิยมใช๎พรรคการเมืองและ องคก์ ารมวลชนเพื่อระดมคนมารอเปาู หมายของรฐั บาล อยํางไรก็ตาม ในระบอบอานาจนิยม ประชาชนสามารถดาเนินชีวิตประจาวันในสํวนท่ีไมํ เกยี่ วขอ๎ งกับมติ ทิ างการเมืองไดอ๎ ยํางปกติ สามารถเลอื กประกอบอาชีพ นับถือศาสนา และสังสรรค์หา ความสุขได๎โดยไมํอยํูภายใต๎การควบคุมโดยตรงจากรัฐบาล แตํกระน้ัน ในบางประเทศสิทธิ และ เสรีภาพในการดาเนินชีวิตอาจถกู ควบคมุ โดยธรรมเนียมปฏิบัติ บรรทัดฐาน หรือความเช่ือทางศาสนา ท่ีเข๎มงวด ซึ่งอาจเป็นสํวนหน่ึงหรือคนละสํวนกับอานาจรัฐในระบบการเมืองก็ได๎ ประเทศท่ีจัดได๎วํา เปน็ ระบอบอานาจนิยม เชํน อิหราํ น สหภาพเมียนมาร์ (พมํา--Union of Myanmar) ซาอุดิอาระเบีย และอนิ โดนีเซยี ภายใตน๎ ายพลซูฮาร์โต เปน็ ต๎น ขอ๎ มูลทน่ี าํ สนใจ คอื ประสบการณ์ทางการเมอื งของประเทศในลาตินอเมริกา นามาสํูคาเรียก ขาน “ระบอบราชการอานาจนิยม” (bureaucratic authoritarianism) ท่ีใช๎อธิบายประเทศจานวน หนึ่งท่เี คยเป็นประชาธปิ ไตย แตเํ กิดหกั เหจนในท่สี ุดระบอบประชาธิปไตยต๎องลํมสลาย และถูกแทนท่ี ด๎วยแนวรํวมระหวํางคณะทหารกับพลเรือนท่ีทาการรัฐประหารยึดกุมสถาบันการเมืองท่ีมาจากการ

114 เลือกตั้ง ชนช้ันนาท่ีประกอบด๎วย ทหาร ข๎าราชการพลเรือน นักเทคนิคระดับสูง (technocrats) ตลอดจนนักธุรกิจช้ันนาดาเนินนโยบายท่ีเน๎นการพัฒนาอุตสาหกรรม แตํปิดก้ันการมีสํวนรํวมของ ประชาชนในการกาหนดนโยบาย และการเข๎ามาแขํงขันในตลาดการเมือง โดยคณะทหารและระบบ ราชการดังกลําว แสดงบทบาททางการเมืองในฐานะท่ีเป็นสถาบัน ไมํใชํตัวบุคคล นักวิชาการลาติน อเมริกาวิเคราะห์วํา ระบอบราชการอานาจนิยม เป็นผลจากการพัฒนาอุตสาหกรรมทุนนิยมแบบ พึ่งพา ประเทศทจ่ี ัดวาํ ใชร๎ ะบอบราชการอานาจนยิ ม เชํน บราซิล อารเ์ จนตนิ า และ ชิลี ในยุคปัจจุบันท่ีปรากฏมากที่สุดคือ “อานาจนิยมท่ีมาจากการเลือกตั้ง” (electoral authoritarianisms) หรือระบอบอานาจนิยมที่มีเปลือกนอกฉาบด๎วยผู๎นาที่มาจากการเลือกต้ัง ซึ่ง ปรากฏให๎เห็นในหลายประเทศแถบตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ (Linz , 2000. p., 34) ใน ระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน กระบวนการอันสาคัญ และจาเป็นกระบวนการหน่ึงท่ีมิอาจขาด หายไปได๎เลยก็คือ การเลือกต้ัง (election) (Badie and Leonardo, 2011. p.,107) เพราะเป็นกระบวนการที่จะทาให๎ประชาชนเจ๎าของอานาจได๎แสดงออกซ่ึงเจตจานงเสรีของ แตํละบุคคล ทวําการเลือกตั้งก็อาจมิใชํตัวบํงช้ีถึงความเป็นประชาธิปไตยเสมอไป เพราะระบอบ อานาจนยิ มในหลายประเทศได๎อาศยั กระบวนการเลือกตงั้ มาเปน็ เคร่ืองมอื ในการสร๎างความชอบธรรม ในการปกครอง และการใช๎อานาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเพ่ือประโยชน์สํวนตนเป็นท่ีต้ัง ด๎วยการอ๎าง เสียงสนับสนุนข๎างมาก ทาให๎เกิดอานาจนิยมแบบใหมํที่เรียกวํา อานาจนิยมที่มาจากการเลือกตั้ง (electoral authoritarianism) ทาให๎เกิดข๎อถกเถียงวํา การเลือกตั้งมิได๎เทํากับการมีประชาธิปไตย เสมอไป หรือกลาํ วอีกนยั หน่งึ กค็ ือ การเลอื กตั้งเป็นปจั จัยท่ี “จาเป็น” แตํอาจไมํ “เพียงพอ” ที่จะแบํง ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ออกจากระบอบการปกครองที่ไมํเปน็ ประชาธปิ ไตย เส๎นแบํงใหมํท่ีเกิดขึ้นระหวํางการเลือกตั้งของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย และ ระบอบอานาจนิยมที่แฝงเร๎นอยํูในคราบประชาธิปไตยตัวแทนจอมปลอม (authoritarianism disguised in the form of representative democracy) จึงอยํูที่มิติด๎านคุณภาพของการเลือกต้ัง และประสิทธิภาพของกลไกตรวจสอบด๎วย กลําวคือ การเลือกตั้งจะต๎องเป็นการเลือกต้ังท่ีเสรี เที่ยง ธรรม และโปรํงใส (free, fair, and transparent election) ท่ีปราศจากการแทรกแซงจากปัจจัย ภายนอกอื่นๆ อาทิ การซ้ือสิทธิ์ขายเสียง การแทรกแซงของคณะทหาร ไมํมีการครอบงา หรือจากัด คํูแขํงทางการเมืองในกระบวนการเลือกต้ัง จึงจะนับได๎วําเป็นการเลือกต้ังที่เพียงพอและจาเป็นท่ีจะ นาไปสํรู ะบอบเสรีประชาธิปไตยไดอ๎ ยํางแท๎จรงิ (Badie and Leonardo, Ibid. p.,112-114) และเมื่อ ได๎ชยั ชนะ และมีเสียงข๎างมากแลว๎ หากใช๎กลไกเสียงข๎างมากบอํ นทาลายกลไกตรวจสอบ ก็อาจนาไปสูํ อานาจนิยมซึ่งเกิดข้ึนภายใต๎เสื้อคลุมประชาธิปไตย นอกจากนั้น ความแตกตํางระหวํางอานาจนิยม และประชาธิปไตยที่สาคัญไมํแพ๎การเลือกตั้ง คือ การมีหลักนิติธรรมท่ีไมํเอนเอียง มีรัฐบาลท่ี ตรวจสอบได๎ และมีกระบวนการยตุ ธิ รรมท่เี ป็นอสิ ระปราศจากการแทรกแซงหรืออคติ

115 แนวคดิ เรอื่ งระบอบอานาจนิยม แนวคิดเร่ืองระบอบอานาจนิยมเป็นผลจากบริบททางการเมืองหลังทศวรรษ ๑๙๖๐ เป็นต๎น มา ที่โลกได๎แบํงระบอบการปกครองตําง ๆ ออกเป็น คํายใหญํตามอุดมการณ์ทางการเมือง คือ ระบอบประชาธิปไตย และระบอบที่ไมํเป็นประชาธิปไตย โดยระบอบอานาจนิยมถูกมองวําเป็น รูปแบบหนึ่งของระบอบที่ไมํเป็นประชาธิปไตย ทฤษฎีเก่ียวกับอานาจนิยมได๎มีการศึกษาอยํางเป็น ระบบครั้งแรกโดยฮวน เจ. ลินท์ (Juan J. Linz) ในปี ค.ศ. 1964 ลินท์ ระบุวําระบอบการปกครอง แบบอานาจนิยมนน้ั จะต๎องประกอบดว๎ ยคุณสมบตั พิ ้ืนฐาน 3 ประการอนั ไดแ๎ กํ 1) พหนุ ิยมแบบจากดั 2) การมงุํ ไปทจ่ี ิตใจมากกวาํ อดุ มการณ์ 3) ปราศจากการระดมสรรพกาลงั ทางการเมือง (political mobilization) เพื่อการสนับสนุน ในระยะยาว (Linz , 2000. p., 108) ความเป็นพหุนิยมแบบจากัดน้ันเป็นลักษณะประการหน่ึงที่ทาให๎อานาจนิยมอยํูกึ่งกลาง ระหวาํ งเผด็จการเบด็ เสรจ็ กับประชาธปิ ไตย เพราะในขณะท่ีระบอบประชาธิปไตยเปิดโอกาสให๎มีพหุ นิยมแบบเต็มรูปแบบ และเผด็จการเบ็ดเสร็จท่ีไมํเปิดโอกาสให๎มีพหุนิยมข้ึนในสังคมเลยน้ัน ระบอบ อานาจนิยมกลับเปิดโอกาสให๎ความแตกตํางหลากหลายบางประการดารงอยํูได๎ ไมํวําจะเป็นการยอม ให๎มีคูํแขํง หรือฝุายตรงข๎ามทางการเมือง คือ พรรคการเมืองอื่นๆ หรือภาคประชาสังคมบ๎าง แตํ กระน้ันสิ่งเหลําน้ีก็มักจะต๎องถูกจากัด และดาเนินกิจกรรมอยูํได๎ก็โดยความยินยอมของผู๎นาอานาจ นิยม ภายในขอบเขตท่ีถูกกาหนดไว๎ เพราะโดยสํวนใหญํแล๎วการยอมให๎มีความแตกตํางในสังคมอยํู บ๎างน้ี ก็มักจะเป็นเพียงการสร๎างความชอบธรรมให๎แกํการปกครองโดยคณะทหาร (military junta) หรอื ผ๎ูนาท่ีกุมอานาจอยเูํ บ้อื งหลังน่นั เอง ซง่ึ ความก้ากึ่งเหลํานี้น่ีเองท่ีทาให๎ระบอบอานาจนิยมไมํมีการ จัดระบบโครงสร๎าง และอุดมการณท์ อ่ี ยํูเบอื้ งหลังอยํางเป็นระบบและชัดเจน อันเป็นท่ีมาของลักษณะ สาคญั ประการที่สองก็คือ การมงุํ ควบคุมจิตใจมากกวําอุดมการณ์ ซ่ึงสํงผลให๎ระบอบการปกครองน้ีไมํ สามารถระดมสรรพกาลังทางการเมือง เพ่ือให๎ได๎รับการสนับสนุนอยํางตํอเน่ืองจากวัยรุํนหนํุมสาว นกั วิชาการ และนักศกึ ษาปญั ญาชนในสังคมไดน๎ ่ันเอง (Linz , 2000 Ibid p., 159-261) ทฤษฎที ่เี กย่ี วขอ้ งกับอานาจนยิ มในประเทศไทย ชํวงเวลาทีป่ ระเทศไทยปกครองดว๎ ยระบอบอานาจนยิ มที่ชดั เจนท่ีสุดเห็นจะไดแ๎ กํ ชํวงปี พ.ศ. 2500-2506 หรือ ในชํวงระบอบสฤษดิ์ และระบอบถนอม-ประภาส นั่นเอง โดยในชํวง พ.ศ. 2502- 2506 ที่ได๎มีการประกาศธรรมนูญการปกครอง พ.ศ. 2502 ทาให๎นายกรัฐมนตรี คือจอมพลสฤษด์ิ สามารถใช๎อานาจตามมาตรา 17 ซ่ึงบัญญัติข๎อความให๎อานาจแกํนายกรัฐมนตรีในกรณีพิเศษไว๎อยําง

116 กว๎างขวาง แม๎กระท่งั สามารถส่ังประหารประชาชนโดยไมํต๎องผํานกระบวนการยุติธรรม ไมํมีเสรีภาพ ของสื่อมวลชนในการนาเสนอข๎อมูลขําวสารตําง ๆ และที่สาคัญก็คือ ไมํมีพรรคการเมือง และการ เลือกตัง้ อานาจการเมืองทั้งหมดจงึ อยใํู นมือของจอมพลสฤษดิ์แตํเพียงผ๎ูเดียว ท่ีแตํงต้ังตนเองเป็นทั้งผู๎ บัญชาการทหารสูงสุด ผู๎บัญชาการทหารบก และอธิบดีกรมตารวจ การจัดวางความสัมพันธ์ของสํวน ตําง ๆ ในสังคมในสายตาของจอมพลสฤษด์ิตั้งอยูํบนความเชื่อที่วํา รัฐบาลต๎องมีอานาจสูงสุดในการ บริหารประเทศ โดยมีเปาู หมายหลักอยทํู ีเ่ สถยี รภาพทางการเมือง และความเปน็ ปกึ แผํนของชาติ สํวน ระบบราชการมีหน๎าท่ีปฏิบัติตามคาส่ังของรัฐบาลโดยเฉพาะจากตัวผู๎นาคือ จอมพลสฤษดิ์ ภายใต๎ ตรรกะนี้ ข๎าราชการจึงมหี น๎าทห่ี ลักเปน็ ผ๎ูรับใชร๎ ฐั บาล ไมํใชํรับใช๎ประชาชน แนวคิดของจอมพลสฤษด์ิ เป็นการประยุกต์ประเพณีการจัดระเบียบการเมืองการปกครองของไทยแบบพํอปกครองลูกที่มี พ้นื ฐานอยูบํ นประวัติศาสตร์ และจารีตดั้งเดมิ ในสมัยสโุ ขทัย แนวคิดดังกลําวถูกเรียกขานวํา “ระบอบ พํอขนุ อุปถัมภ์” (ทักษ์ เฉลิมเตยี รณ , 2552 หน๎า,226-227) ซงึ่ ไดก๎ ลายเปน็ ท่ีมาของวาทกรรม “ประชาธปิ ไตยแบบไทยๆ” ที่ใช๎สร๎างความชอบธรรมทาง การเมืองทาํ มกลางความล๎มเหลวในการวางรากฐานประชาธปิ ไตยของสังคมไทยมาหลายทศวรรษ แม๎วําในปี พ.ศ. 2511 หลังจากการถึงแกํอนิจกรรมของจอมพลสฤษดิ์ไปกวํา 5 ปี ประเทศ ไทยได๎มีการประกาศใช๎รัฐธรรมนูญฉบับใหมํ คือ รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2511 และตามติดมาด๎วย การเลือกตงั้ ในปีเดยี วกนั อันเป็นผลลัพธ์มาจากความพยายามของสหรัฐอเมริกาในการผลักดันให๎ไทย เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น โดยกลไกของการเลือกต้ัง เพ่ือรับมือกับภัยคอมมิวนิสต์ (Kesboonchoo- Mead, 2012. p.,215-240) ทวําการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นนั้น แท๎จริงเป็นเพียงฉากหน๎าในการสร๎างความชอบธรรมให๎แกํ ระบอบถนอม-ประภาสผสู๎ ืบทอดอานาจจากจอมพลสฤษดิ์ เพราะพรรคการเมืองท่ีได๎รับการเลือกต้ังก็ ได๎แกํพรรคสหประชาไทย ของจอมพลถนอม กิตติขจร อีกทั้งในสภายังมีวุฒิสมาชิกที่มาจากการ แตํงต้ังของจอมพลถนอมอีกกวําครึ่งสภา (จานวน 91 คน จาก 140 คน) ดังน้ัน จอมพลถนอมจึงมี อานาจล๎นเหลอื ท่ีมาจากการผกู ขาดเสยี งสนับสนุนในรฐั สภา รัฐบาลของจอมพลถนอมในปี พ.ศ. 2511 จึงเป็นเพียงแคํรัฐบาลตัวแทนของระบอบอานาจ นิยมจากการเลอื กตง้ั ทีแ่ ม๎จะเปิดโอกาสใหม๎ ีพรรคการเมือง และการเลือกต้ัง แตํก็แฝงเร๎นไว๎ด๎วยความ พยายามในการรกั ษาฐานอานาจทางการเมอื ง ควบคํูไปกบั การแสร๎งทาให๎ดูเหมือนวําเป็นการปกครอง ในระบอบประชาธปิ ไตย แตดํ ๎วยกลไกที่ผดิ ฝาผดิ ตวั และบิดเบือนจึงทาให๎รัฐบาลของจอมพลถนอมไมํ อาจรับมือกับแรงเสียดทานที่ตามมาจากกลไกของระบบรัฐสภา คือ การตรวจสอบ และการอภิปราย ซักถามโดยฝุายค๎าน และสมาชิกรัฐสภาไปได๎ ด๎วยเหตุน้ีหลังจากท่ีรัฐบาลไมํสามารถผํานรําง พระราชบัญญัติงบประมาณรายจํายประจาปีตํอรัฐสภาได๎ จอมพลถนอมจึงตัดสินใจสลัดคราบ ประชาธิปไตย และเปิดเผยตัวตนของระบอบเผด็จการด๎วยการยึดอานาจตัวเองในปี พ.ศ. ๒๕๑๔ ซึ่ง

117 การรัฐประหารคร้งั นี้ได๎นาไปสูคํ วามขัดแยง๎ ทางการเมอื งทรี่ ุนแรงมากขึ้น และนาไปสูํการลํมสลายของ ระบอบอานาจนิยม ถนอม-ประภาส ภายหลังจากการเกิดวิกฤติการณ์เดือนตุลาคมในอีก 2 ปีถัดมา ซึ่งเป็นทีร่ ๎จู กั กนั ดใี นนาม “เหตุการณ์ 14 ตุลา พ.ศ. 2516” ภายใต๎ระบอบอานาจนิยม สฤษดิ์ – ถนอม – ประภาส กํอให๎เกิดการสืบทอดคํานิยม และ ทัศนคติแบบเจ๎าคนนายคน การท่ีคณะรัฐมนตรีในชํวงเวลาดังกลําวมีที่มาจากข๎าราชการประจา และ ข๎าราชการบานาญจานวนมาก ทาให๎มีการใช๎เส๎นสายในแวดวงข๎าราชการเป็นบนั ไดไตํเตา๎ ไปสํูตาแหนํง ทางการเมือง เปิดโอกาสให๎คณะทหาร กลํุมธุรกิจและข๎าราชการผูกขาดอานาจและกอบโกย ผลประโยชน์เขา๎ กระเปา๋ ตัวเองเป็นจานวนมหาศาล จนกระท่ัง รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ได๎มีการระบุวําเป็น ลัทธิอานาจนิยมท่ีแฝงมากับระบอบ ประชาธิปไตย หรือ “อานาจนิยมที่มาจากการเลือกตั้ง” (electoral authoritarianisms) โดย นกั วชิ าการชอ่ื เกษยี ร เตชะพรี ะ (2547) กลําววํา \"วัฒนธรรมการเมืองอานาจนิยมแบบปฏิปักษ์ปฏิรูป ภายใตร๎ ะบอบทักษิณ มี 7 ประการ ได๎แกํ 1) การสรา๎ ง “เสยี งขา๎ งมาก” และ “ผลประโยชน์สวํ นรวม” เสมือนจริง 2) ผลประโยชน์ทบั ซ๎อน และมาตรฐานสองหน๎า 3) เสียงท่ีเห็นตาํ ง และผลประโยชน์ของผูเ๎ หน็ ตํางถกู เบยี ดผลกั ให๎กลายเป็น “เสียงสํวนน๎อย” และ “ผลประโยชน์ของคนข๎างน๎อย” 4) สิทธิเสียงข๎างน๎อยและของบุคคลถูกบิดพล้ิว ปัดปฏิเสธ กระทั่งบดขยี้ ด๎วยกาลังของรัฐได๎ อยาํ งชอบธรรม 5) วาทกรรม และวิธีการของชาตินิยมเผด็จการฝุายขวาตํอต๎านคอมมิวนิสต์ในอดีต ถูกหยิบ ยืมมาเวียนใช๎ สืบทอดและพฒั นา 6) การกํอการร๎ายโดยรัฐใช๎ไดเ๎ หมอื นในยคุ สงครามเย็น 7) การเมืองภาคประชาชนกลายเป็นการเมืองประเด็นเดียว (เกษียร เตชะพีระ, 2547 หน๎า, 3-19) 1.ระบอบเผด็จการ ระบอบเผด็จการเป็นระบอบการปกครองที่ตรงข๎ามกับระบอบประชาธิปไตย กลําวคือจะให๎ ความสาคัญกับเผด็จการอานาจนิยม ผู๎ใช๎อานาจหรือผ๎ูนาซ่ึงเป็นคนกลุํมน๎อยและไมํคานึงถึงเสรีภาพ ของประชาชน ระบอบเผด็จการน้ีมีมาแตํยุคโบราณ และได๎พัฒนารูปแบบออกไปในแตํละยุคแตํละ สถานการณ์ของการปกครอง แตํสาระแกํนสารยังคงไมํเปล่ียนแปลง ในสถานการณ์ทางการเมืองการปกครองที่ ปรากฏอยํูในประเทศตําง ๆ ท่ัวโลกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 น้ัน การปกครองในระบอบเผด็จการอานาจ

118 นิยมมักจะเป็นผลมาจากสภาพแวดล๎อมทางการเมอื งภายในประเทศมากกวาํ ภัยจากศตั รภู ายนอกประเทศกาลัง พัฒนารวมทั้งประเทศท่ีเพ่ิงได๎รับเอกราชมักจะประสบกับปัญหามากมาย เชํน ความแตกแยกในระหวํางกลํุมผู๎นา ภาวะเศรษฐกิจตกต่า รัฐขาดสถาบันทางการเมืองท่ีมีประสิทธิภาพ ระบบราชการเต็มไปด๎วยพวกพ๎อง เป็น ระบบอภิสิทธิ์ ไมํรับผิดชอบตํอความทุกข์สุขของประชาชน ความป่ันปุวนวุํนวายจะเกิดข้ึนเมื่อ ประชาชนรวมกลุํมกันทวงสิทธิ์ที่พวกตนควรจะได๎รับผลท่ีสุดเผด็จการในการทารัฐประหารยึดครอง ซึ่ง สวํ นใหญํจะอยํใู นรปู ของเผดจ็ การทหาร สาเหตุที่บรรดาเผด็จการทหารมักจะอ๎างในการทารัฐประหารยึดอานาจ รัฐ ก็คือเพื่อที่จะแก๎ไขปัญหาตําง ๆ และรักษาความสงบเรียบร๎อยของบ๎านเมือง แตํเมื่อสถานการณ์ตําง ๆ คล่คี ลายไปแล๎วแทนท่ีผ๎ูนาทหารเหลาํ นน้ั จะคืนอานาจให๎ประชาชน เพอื่ ให๎ประชาชนได๎ใช๎ดุลพินิจใน การปกครองตนเองตามระบอบประชาธิปไตย แตํกลับยังคงรักษาอานาจดารงตนในฐานะผ๎ูปกครอง ตํอไปเรื่อย ๆ โดยจะอ๎างสาเหตุหลายประการ เชํน สถานการณ์ยังไมํอาจเช่ือใจได๎ หรือประชาชนยังไมํ พร๎อมที่จะปกครองตนเองเปน็ ตน๎ 2.ความหมายของเผด็จการ แนวความคิดในเร่ืองเผด็จการทางการเมืองน้ัน สํวนใหญํเรามักจะมองกันวํา เร่ิมจาก ขอ๎ เขียนและแนวปฏิบัติของเบนโิ ตมุสโสลนิ ี ผ๎นู าของอิตาลี และอดอล์ฟฮิตเลอร์ ผู๎นาของเยอรมนีในชํวงสงราม โลกคร้ังท่ี 2 แตํความจริงแล๎วเผด็จการมีมาแตํโบราณกาลแล๎ว เพื่อให๎เข๎าใจ ความหมายของเผด็จการได๎อยําง กระจํางชดั ยงิ่ ขึน้ ในท่ีน้ีเราอาจแบงํ ความหมายของเผด็จการไดเ๎ ป็น 3 ฐานะ ดงั ตอํ ไปนี้ 2.1 เผด็จการในฐานะทีเ่ ปน็ แนวความคดิ ทางการเมือง แนวความคิดน้ีเชื่อวํารัฐเป็นเสมือนพระเจ๎าที่ เพียบพร๎อมไปด๎วยคุณธ ร ร ม ความดี ความถูกต๎อง และความยุติธรรม รัฐจะเป็นผู๎ถํายทอดเอาความดีงามเหลํานี้ให๎กับประชาชน ดังน้ันประชาชนจึงมี หน๎าท่ีท่ีจะต๎องเชื่อฟังปฏิบัติตามคาส่ังของรัฐยอมตนให๎กับรัฐโดยปราศจากเงื่อนไข ประชาชนจึง อยํูในฐานะเคร่ืองมือทส่ี ร๎างความยง่ิ ใหญใํ หก๎ บั รฐั สาหรับผ๎ูท่ีเป็นตัวแทนของรัฐในการอกคาสั่งให๎ ประชาชนปฏบิ ตั ติ าม กค็ ือผ๎นู าซึง่ อาจมผี ู๎นาที่มีอานาจสูงสุดเด็ดขาดอยูํเพียงผู๎เดียว หรืออาจจะ อยูํในรูปของกลุํมผ๎ูนากไ็ ด๎ อดุ มการณ์เผดจ็ การนนั้ อา๎ งวําผ๎ูนาเปน็ ผท๎ู ่ีมีลกั ษณะพิเศษ กลําวคือ สามารถ ลํวงรู๎เจตนารมณ์ของประชาชนได๎อยํางถูกต๎อง การกระทาใด ๆ ของผ๎ูนาจึงเป็นการกระทาไปตาม เจตนารมณข์ องประชาชน ผนู๎ าจงึ อยูํในฐานะทีท่ าอะไรก็ไมํผิด ฉะนั้นการที่ผ๎ูขัดขวางหรือไมํเห็นด๎วยกับผู๎นาจะ ถูกกตราหนา๎ วาํ เปน็ ผ๎ูท่หี วังจะทาลายชาตแิ ละประชาชน

119 2.2 เผด็จการในฐานที่เป็นรปู แบบการปกครอง การปกครองแบบเผด็จการน้ัน โดยท่ัวไป หมายถึง ระบอบรวมอานาจของผ๎ูปกครองท่ี ตอ๎ งการอานาจและสามารถยึดอานาจรฐั ไวไ๎ ด๎ สวํ นใหญํมกั จะใชว๎ ิธีการรนุ แรง เชนํ การทารัฐประหาร ผู๎นา เผด็จการเหลํานี้จะพยายามใช๎วิธีการทุกอยํางเพ่ือที่จะรักษาไว๎ซ่ึงอานาจ และขยายอานาจให๎เพ่ิมมาก ข้ึน อาจมกี ารจัดสรรตาแหนํงทางการเมืองที่สาคัญ ๆ ในระหวํางผ๎ูใกล๎ชิดหรือญาติมิตร คุมกองกาลังทั้ง ทหารและตารวจ และใช๎กองกาลงั เหลําน้ีขมํ ขํู สรา๎ งความสะพรงึ กลัวให๎เกิดกับผ๎ูที่คิดจะตํอต๎าน มีการ ออกกฎหมายจากัดสิทธิและเสรีภาพทางการเมืองของประชาชน โดยเฉพาะในประเด็นเร่ืองการเข๎ามี สํวนรวํ มทางการเมือง 2.3 เผด็จการในฐานทีเ่ ป็นวถิ ีชวี ติ เผด็จการในฐานท่ีเป็นวิถีชีวิต หมายถึง แนวความคิด ความเชื่อ คํานิยม ตลอดจน แนวปฏิบัติของคนในสังคมใด ๆ ซ่ึงอาจเป็นสังคมประชาธิปไตยก็ได๎ พวกนี้เชื่อวําคนเรา เกิดมาแตลํ ะคนจะมคี วามแตกตํางกันในทุกด๎าน ผ๎ูที่ด๎อยกวําจาเป็นต๎องเชื่อฟังและปฏิบัติตาม ผ๎ูท่ีเหนือกวํา ทั้งนี้เพ่ือท่ีจะให๎สังคมสามารถอยูํรอดปลอดภัย และก๎าวหน๎าไปอยํางเป็นเอกภาพ พวกนี้จะพยายามไมํให๎มีความขัดแย๎งขึ้นในสังคม และจะนิยมใช๎อานาจในการกาจัดข๎อขัดแย๎งซึ่งถือ เสมือนตัวบํอนทาลายเสถยี รภาพของสงั คมมากกวาํ ทีจ่ ะใช๎วิธีการประนปี ระนอมกนั ดังนั้น ระบอบเผด็จการ (Dictatorship) จึงหมายถึง รูปแบบการปกครองแบบ อตั ตาธิปไตย ซ่งึ รัฐบาลอยูํภายใต๎การบริหารของบุคคลเพียงคนเดียว หรือผ๎ูเผด็จการ โดยไมํมีการสืบ ทอดตาแหนงํ ตามสายเลอื ด 3. ลักษณะสาคัญของลทั ธเิ ผด็จการ เน่ืองจากแนวความคิดตลอดจนความหมายของเผด็จการยังมีข๎อโต๎แย๎งกันมาก แตํอยํางไรก็ ตามเผด็จการไมวํ ําในลักษณะใด ๆ จะมสี ิง่ ท่รี ํวมกนั อยํู ซึ่งพอจะสรปุ ได๎ดงั ตอํ ไปน้ี ประการท่ีหนึง่ ลัทธิเผด็จการไมํเห็นความสาคัญของความเสมอภาคหรือไมํเชื่อวํา บุคคลมคี วามเทําเทียมกัน ไมํวําในด๎านชาติกาเนิด การศึกษาและฐานะทางสังคม ด๎วยเหตุน้ีลัทธิเผด็จการ จึงแบํงคนในสังคมออกเป็น ๒ กลํุมใหญํ คือ กลุํมผู๎นา ซ่ึงหมายถึงบุคคลที่มีชาติกาเนิน การศึกษา และ ฐานะทางสังคมสูง พวกนี้เป็นพวกท่ีมีความสามารถในการที่จะค๎นพบความจริง ความถูกต๎อง และ สร๎างสรรค์คุณธรรมความดีให๎กับสังคมได๎ สํวนอีกกลํุมหนึ่ง คือ ประชาชนโดยทั่วไป ซ่ึงไร๎ความสามารถ และไมํอาจท่ีจะปกครองตนเองได๎มักจะดาเนินการใด ๆ ไปโดยใช๎อารมณ์เป็นเกณฑ์ ด๎วยเหตุนี้ลัทธิเผด็จ การจึงเช่อื วําประชาชนสวํ นใหญํจงึ ต๎องเชอ่ื ฟงั ผน๎ู า

120 ประการท่ีสอง ลัทธิเผด็จการเป็นลัทธิการเมืองท่ีไมํยอมรับวําประชาชนท่ัว ๆ ไปเป็นผู๎มี เหตุผล ลัทธินเี้ ชอ่ื วําเหตุผลของประชาชนท่วั ๆ ไป ไมสํ ามารถทีจ่ ะนามาแก๎ปัญหาของสงั คมได๎ เพราะ แตํละคนตํางก็ยึดตนเองเป็นหลัก การใช๎เหตุผลเพื่อยุติปัญหาจะนามาซึ่งความโกลาหล ขาดความเป็น อันหนึ่งอันเดียวกันของสังคม ดังนั้นลัทธินี้จึงสรุปวําประชาชนท่ัว ๆ ไปเป็นผ๎ูที่ไร๎เหตุผล ผู๎ปกครองจึงไมํ จาเปน็ ต๎องไปใหเ๎ หตผุ ลใด ๆและประชาชนโดยทัว่ ไปตอ๎ งมีผป๎ู กครองเป็นผ๎ูนาให๎ความค๎ุมครองแกํพวกเขา ซึ่ง ผ๎ูนานเี้ องที่จะทาใหป๎ ระชาชนมีความกา๎ วหนา๎ ปลอดภยั และยิ่งใหญํได๎ สํวนประชาชนนั้นมีหน๎าที่อยํูอยําง เดียว คอื เช่ือฟงั และปฏิบตั ติ ามผ๎นู าโดยถือวําเปน็ หน๎าที่ท่ีจะต๎องกระทา ประการท่ีสาม ลทั ธิเผดจ็ การให๎ความสาคญั กบั เสรีภาพสวํ นบคุ คลน๎อยกวําอานาจรฐั ประเดน็ นี้ เราอาจจะเข๎าใจได๎แจํมชัดขึ้น ถ๎าเราพิจารณาคากลําวของมุสโสลินี ผ๎ูนาของเผด็จการฟาสซิสต์ตอนหนึ่ง ท่วี ํา“รฐั เปน็ นายและเปน็ จุดมํงุ หมายปลายทางของชีวติ และสังคม” นั่นคือ ลัทธิเผด็จการจะยึดม่ันวํารัฐเป็น สงิ่ สงู สุดท่ีประชาชนจะต๎องสกั การบูชา และอุทิศตนเองเพ่ือความย่ิงใหญํและความเจริญก๎าวหน๎าของรัฐ ประชาชนจะต๎องมภี าระทจี่ ะรบั ใชร๎ ฐั ฉะน้ันสง่ิ ใดทรี่ ฐั กาหนดข้นึ ทกุ คนที่อยูํในรัฐก็จะต๎องปฏิบัติตามโดยไมํอาจ หลีกเหล่ยี งได๎นั่นคอื ระบอบเผดจ็ การจะเนน๎ ทอี่ านาจของรัฐมากกวําเสรภี าพของประชาชน ประการที่ส่ี ลัทธิเผด็จการไมํอดทนตํอความคิดท่ีแตกตํางกัน อันจะได๎มาซ่ึงความเห็นพ๎อง หรือการเหน่ียวนาให๎ตรงแนวความคิดท่ีพวกเขายึดถือ คือ เรื่องอานาจสูงสุดของรัฐและอานาจ เด็ดขาดของผ๎ูนาท่ีเป็นตัวแทนของรัฐ ดังนั้นกลุํมตําง ๆ ไมํวําจะเป็นพรรคการเมือง สมาคมอาชีพ สหพันธ์กรรมกรจะต๎องเป็นกลุํมท่ีให๎การสนับสนุนผ๎ูนาจึงจะตั้งอยูํได๎ พวกผ๎ูนาลัทธิเผด็จการจะไมํ ยอมให๎มีฝุายอื่นใดเข๎ามามีสวํ นในการใชอ๎ านาจและดว๎ ยความกลัววําจะมีกลํุมทางการเมืองอื่นมาแยํงชิง อานาจ บรรดาผ๎ูนาเหลํานี้จะพยายามค๎นหาและทาลายกลํุมเหลําน้ันเสีย กํอนท่ีจะเติบโตขึ้นมาและ ทาลายพวกตนได๎ 4. ประเภทของลัทธิเผด็จการ ลัทธิเผด็จการมีอยํูคูํกับสังคมโลกมาช๎านาน นับตั้งแตํมนุษย์รวมตัวกันเป็นสังคมยุค แรก ๆ สังคมเผําสํวนใหญํจะมีหัวหน๎าเผําท่ีเป็นเผด็จการ ปัจจุบันสังคมได๎วิวัฒนาการไปมาก รูปแบบหรือประเภทของลัทธิเผด็จการก็เริ่มหลากหลายยิ่งขึ้น ทั้งนี้เนื่องมากจากผู๎นาของประเทศ นั้น ๆ ได๎พยายามที่จะนาเอาลัทธิน้ีมาเสริมแตํงเพ่ือท่ีจะให๎สอดคล๎องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองของตน ท้ังน้ีผู๎นาเหลํานี้มีจุดประสงค์หลักประการหนึ่งรํวมกัน น่ันก็คือ เพ่ือให๎ตนอยูํ ในอานาจได๎นานท่สี ดุ อยาํ งไรก็ตาม เราอาจจะแบํงประเภทของลัทธิเผด็จการได๎เป็น ๒ ประการ โดย อาศัยหลักการในเร่ืองขอบเขตของการใชอ๎ านาจเปน็ เกณฑ์ 2.4.1 เผดจ็ การอานาจนยิ ม (Authoritarianism)

121 เผด็จการอานาจนิยม (Authoritarianism) หมายถึง ลักษณะสาคัญของเผด็จการ ประเภทน้ี คือรัฐบาลจะเข๎าควบคุมสิทธิและเสรีภาพทางการเมืองของประชาชน มักจะไมํยอมให๎ประชาชนเข๎ามี สํวนรํวมทางการเมอื ง มีการตรวจสอบหรอื ใช๎อานาจรฐั สัง่ ปิดหนังสือพมิ พ์มักจะอา๎ งลทั ธิชาตนิ ยิ ม มาสรา๎ งความชอบ ธรรมให๎กับการใช๎อานาจของผู๎ปกครอง แตํรัฐจะยังคงให๎เสรีภาพในทางเศรษฐกิจและสังคม กลําวคือประชาชน สามารถท่จี ะเลอื กนบั ถือศาสนาดาเนินชวี ิตสํวนตัวและธรุ กิจได๎อยํางเป็นอสิ ระพอสมควร รัฐเผดจ็ การอานาจนิยมจะ มกี ารลงโทษผ๎กู ระทาผิดตอํ กฎเกณฑ์ของบา๎ นเมอื งอยาํ งรํุนแรง ท้งั นเี้ พือ่ ให๎ประชาชนเคารพเช่ือฟัง และปฏิบัติ ตามอยาํ งเครงํ ครัดผู๎นาอานาจนิยมนั้นจะพยายามแสวงหาอานาจ และเมื่อได๎อานาจแล๎วจะใช๎อานาจบีบบังคับและ กาจัดฝุายตรงข๎ามหรือศัตรูทางการเมืองหรือแม๎แตํกลํุมการเมืองอ่ืน ๆ ที่ผ๎ูนาเห็นวํามีแนวโน๎มท่ีจะเป็น อันตรายตํอสถานภาพของผู๎นาเอง อยํางไรก็ตามกลุํมทางเศรษฐกิจ สังคมอ่ืน ๆ เชํน สมาคม สมาพันธ์หรือ สหกรณ์ใด ๆ ที่ดาเนินกิจกรรมที่ไมํเกี่ยวข๎องกับการเมืองนั้นจะไมํได๎รับผลกระทบหรืออาจได๎รับผลกระทบ แตเํ พียงเลก็ นอ๎ ยเทําน้ัน 2.4.2 เผดจ็ การเบด็ เสร็จ (Totalitarianism) เผด็จการเบ็ดเสร็จ (Totalitarianism) หมายถึง การปกครองโ ดยมีผู๎นาที่มี อานาจสูงสุดและใช๎อานาจเด็ดขาดนเดียว พยายามที่จะสร๎างอุดมการณ์ขึ้นมาสร๎างความชอบ ธรรมให๎กับการใช๎อานาจมีการจัดตั้งพรรคการเมือง หรืออาจอยํูในรูปขององค์กรผู๎นาพรรคเดียวเข๎า ควบคุมอานาจท้ังทางการเมืองเศรษฐกิจและสังคมนั้นคือ บุคคลรวมท้ังกิจกรรมของบุคคลในสังคม ทกุ คน ไมํวําจะเกยี่ วข๎องกับการเมืองหรือเศรษฐกิจ หรือสังคม จะตกอยูํภายใต๎การสอดสํองดูแล และควบคุมกากับโดยอานาจรัฐ มีการลงโทษผู๎กระทาผิดอยํางรุนแรง พยายามสร๎าง ความสานึกให๎ ประชาชนเคารพ เชื่อฟัง และปฏิบัติตามอานาจรัฐหรือคาส่ังของผ๎ูนาโดยเครํงครัดโดยถือเป็น หนา๎ ที่ เผดจ็ การประเภทน้ีจะไมํยอมให๎มีฝุายตรงข๎าม สังคมท่ีปกครองโดยลัทธิเผด็จการเบ็ดเสร็จ จึงมีสภาพเป็นอาณาจักร แหํงความกลัว ประชาชนไมํแนํใจในสถานภาพของตนเอง พวกเขานอกจากจะถูกกีดกันออกจากการเมืองแล๎ว ยัง ถูกสกัดกั้นความคิดและการกระทาทางเศรษฐกิจ สังคมอีกด๎วย รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จจะควบคุม เคร่ืองมือสื่อสารทุกชนิด และจะใช๎ส่ิงเหลําน้ีเป็นเคร่ืองมือในการโฆษณาชวนเช่ือปลูกฝังความเชื่อ ความ ศรทั ธาให๎เยาวชน หรือคนรุํนใหมํยึดมั่นในอุดมการณ์ของผู๎นา ผ๎ูนาของลัทธิเผด็จการเบ็ดเสร็จมักจะอ๎างวํา ตนเองเป็นผู๎ลํวงร๎ูหรือเข๎าถึงเจตนารมณ์หรือความต๎องการของคนท้ังหมด เจตนารมณ์ของผ๎ูนาจึงเป็น ตวั แทนของเจตนารมณข์ องประชาชน ผูน๎ าของลัทธนิ จ้ี ึงอ๎างวําเปน็ ผท๎ู ่ีถูกต๎องเสมอ ดังนั้นประชาชน จงึ ไมํมีสทิ ธิที่จะวพิ ากษว์ จิ ารณ์หรือคดั ค๎าน ผ๎ูทีก่ ลา๎ หาญวิพากษว์ ิจารณ์หรือคัดค๎านคาสั่งของผ๎ูนานั้นจะ ถือวําเป็นอาชญากรที่ตํอต๎านรัฐ และจะต๎องถูกกาจัดไปด๎วย ระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จ (Totalitarianism) นนั้ อาจแบํงออกเป็น 2 ประเภท ดังตอํ ไปนี้

122 1) เผดจ็ การฟาสซิสต์ ลัทธิฟาสซิสต์ เป็นหน่ึงในลักษณะการปกครองของรัฐบาล ในลัทธิฟาสซิสต์ซึ่งปรากฏ ในชํวงสงครามโลกคร้ังที่ 2, ประเทศเป็นสิ่งที่สาคัญกวําตนหรือบุคคล ลัทธิฟาสซิสต์จะมีบุคคลคนหนึ่ง ปกครองประเทศเรยี กวํา ผู๎นาเผดจ็ การ, ผ๎ูมีสทิ ธใิ นการควบคุมรฐั บาล และประชาชน ถึงแม๎วําลัทธิฟาสซิสต์ จะระบุวําประเทศเป็นส่ิงสาคัญท่ีสุด แตํในความเป็นจริงแล๎วผู๎นาแบบเผด็จการตํางหากท่ีเป็นส่ิงสาคัญท่ีสุด แมแ๎ ตํกบั ประชาชนเองกต็ าม ลัทธิฟาสซิสต์ น้ันแตกตํางจากลัทธิคอมมิวนิสต์ ลัทธิฟาสซิสต์ ไมํต๎องการจะเป็นเจ๎าของ ที่ดินหรือโรงงานผลิตสินค๎า แตํลัทธิฟาสซิสต์จะทางานอยํางใกล๎ชิดกับส่ิงเหลํานั้นและใช๎เป็น ทรัพยากรในการผลิตกองทัพท่ีแข็งแกรํง หรือสํวนอ่ืนของลัทธิฟาสซิสต์ มันสาคัญมากท่ีโรงเรียนทุก โรงในประเทศจะสอนเด็กวําผู๎นาเผด็จการเป็นบุคคลท่ีสาคัญที่สุดในโลก เมื่อโตขึ้นแบบอยํางที่ควร ทาคือเข๎ารวมกลุํมกับลัทธิฟาสซิสต์ โดยบุคคลท่ีไมํเห็นด๎วยกับลัทธิจักต๎องถูกสังหารหมูํทั้งหมด ผ๎ูนาลัทธิ ฟาสซิสต์มักจะเป็นบุคคลที่มียศสูงในกองทัพ ถึงแม๎พวกเขาจะไมํมียศมากํอนก็ตาม และมักปรากฏตัวใน ชดุ กองทพั บกหรือกองทัพเรือตอํ หน๎าสาธารณะชน ลัทธิฟาสซิสต์ ถูกใช๎ข้ึนคร้ังแรกโดย เบนิโต มุสโสลินี ผ๎ูนาเผด็จการชาวอิตาลี จากปี พ.ศ. 2465 ถึงปี พ.ศ. 2486 รัฐบาลของ เอ็นกิลเบริต ดอลฟิว ในออสเตรีย และ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ใน เยอรมนีคาขวัญของลทั ธฟิ าสซิสต์ คือ \"สามคั คคี ือพลัง\" ลัทธิฟาสซิสต์ ในอิตาลี เรียกการปกครองแบบนี้วํา ฟาซิโอ เป็นภาษาละติน แปลวํา สหภาพ หรอื สมาชิก ทั้งยังแปลได๎อีกวําเป็นแขนงไม๎ที่พันรอบขวาน ลัทธิฟาสซิสต์เป็นชื่อ ของอาณาจักรโรมันสมัยกํอน มัน คือ ไม๎เม่ือไม๎มีอยูํแทํงเดียวก็จะหักได๎งําย แตํเมื่อนาไม๎มา รวมกันนน้ั จะหักได๎ยากมากเหมือนกับเม่ือชาติมีประชาชนมารวมกันก็จะทาให๎ชาติแข็งแกรํงไร๎เทียม ทาน แตํกลายเป็นวําลัทธิฟาสซิสต์ ไมํแข็งแกรํงเทําที่ควรเพราะประชาชนเบื่อกับการทางาน และการปฏิวัติ ของลัทธิฟาสซิสต์ซึ่งทาให๎ลัทธิฟาสซิสต์สิ้นสุดในปี พ.ศ. 2486 แนวความคิดและอุดมการณ์ท้ังของ ฟาสซิสต์และนาซมี คี วามคล๎ายคลึงกันมาก พอจะสรปุ ได๎ดงั ตอํ ไปน้ี (1) เช่ือในความไมํเสมอภาคของมนุษย์ เช่ือวําชายมีคุณสมบัติเหนือหญิง ทหารมีคุณสมบัติ เหนอื ประชาชน ผู๎นามีคุณสมบัติเหนือประชาชน ฉะน้ันประชาชนต๎องเชื่อผ๎ูนา และปฏิบัติตามคาสั่ง ของผ๎นู าโดยเครงํ ครัด (2) เน๎นความสาคัญของรัฐ โดยมองวํารัฐเป็นที่มาของชีวิตของประชาชนทุกคน นอกจากน้ีเผด็จการฟาสซิสต์ยังเชื่อวํารัฐเป็นเสมือนส่ิงที่มีชีวิตเชํนเดียวกับคน กลําวคือ ต๎องการชื่อเสียง มี การเจริญเติบโต และมีการออกกาลังกายเพ่ือพลานามัยท่ีสมบูรณ์ รัฐจะเจริญเติบโตได๎ก็โดยการทา สงครามจกั รวรรดนิ ยิ มหรอื การรบพุงํ กบั ประเทศเพอื่ นบ๎าน หรอื ประเทศอนื่ ๆเพ่อื ผนวกอาณาจกั รให๎กว๎างไกล ใหญํโตการเขา๎ สสูํ งครามนน้ั พวกนถี้ ือวาํ เปน็ การออกกาลังกายท่ีดีอยํางหน่ึงดว๎ ย

123 (3) ยึดม่ันในหลักผู๎นา ในขณะท่ีรัฐทาหน๎าท่ีเสมือนกลไกท่ีสาคัญในการบังคับใช๎ ความ เช่ือของฟาสซิสต์รัฐจะดาเนินไปได๎ก็โดยอาศัยหลักผ๎ูนา เผด็จการฟาสซิสต์นั้นอ๎างวําประชาชนทุกคน จะต๎องอยํูภายใต๎การนาของผู๎นาที่มีอานาจเด็ดขาดสูงสุดแตํเพียงผู๎เดียว ทั้งนี้เพราะผู๎นาสูงสุดนี้จะ เป็นผู๎เดียวท่ีสามารถแปลงเจตนารมณ์ของประชาชนได๎อยํางถูกต๎อง (4) เน๎นในความรักชาติหรือชาตินิยมอยํางรุนแรง เผด็จการฟาสซิสต์นั้นถือวําชาติเป็นกุญแจ สาคญั ที่จะนาราษฎรไปสคํู วามม่ันคงปลอดภยั ฉะน้ันสมาชิกของสังคมฟาสซิสต์จะต๎องจงรักภักดีและอุทิศทุกส่ิง ทกุ อยาํ งเพื่อรัฐหรอื ชาติ (5) ไมเํ ชอ่ื วําประชาชนเปน็ ผ๎ทู ม่ี ีเหตผุ ล แตํเชอ่ื วําการทจี่ ะจงู ใจใหป๎ ระชาชนรํวมทากิจกรรมใด ๆนน้ั ต๎องใชก๎ ารส่งั สอน จงู ใจ สร๎างสภาวะทางอารมณใ์ ห๎เกิดขน้ึ (6) เชื่อในหลักเชื้อชาตินิยม เผด็จการนาซีจะให๎ความสาคัญกับหลักการนี้มากกวํา ฟาสซสิ ต์ พวกนีเ้ ชอ่ื วํามนษุ ย์แตํละชาตพิ นั ธุม์ คี วามสามารถแตกตํางกัน โดยเชื่อวําชาวอารยันเป็นชาติพันธ์ุ ที่ดีท่ีสุด พวกน้ีมีความรู๎ความสามารถและมีอานาจพิเศษ มีความเข๎มแข็ง จึงสมควรที่จะเป็นผ๎ูนา และ ปกครองประเทศตาํ งๆท่วั โลก (7) เชื่อในการใช๎กาลังรุนแรง เผด็จการฟาสซิสต์นั้นจะแบํงคนในสังคมออกเป็น 2 พวก คือ มิตรกับศตั รู และศัตรูน้ันจะต๎องถูกทาลายไปโดยสิ้นเชิง ด๎วยเหตุน้ีเผด็จการฟาสซิสต์จึงสร๎างสถาบัน ตําง ๆ ขึ้นมากมาย เชํน มีคํายกักกัน มีการล๎างสมองในรูปแบบตําง ๆ มีระบบทรมาน สร๎างความสยอง ขวัญมากมาย มตี ารวจลับทค่ี อยสอดสํงจัดการกบั ศตั รตู ลอดเวลา ระบอบการเมอื งท่อี าจเปลย่ี นแปลงเป็นเผดจ็ การฟาสซิสต์ จะเห็นได๎วําระบอบการเมือง หรือ ขบวนการทางการเมืองทอ่ี าจวิวัฒนาการกลายเป็นเผดจ็ การฟาสซิสต์ได๎ มดี งั ตอํ ไปน้ี (1) ประเทศทีไ่ ด๎พัฒนาอุตสาหกรรมก๎าวหน๎าไปพอสมควรกลําวคือ มีชนชั้นนายทุน กับ ชนช้ัน กรรมาชีพเกดิ ขึน้ และมีการจดั ต้ังองคก์ รขนาดใหญํโดยเฉพาะในสํวนกรรมาชีพ และพวกน้ีเรียกร๎องท่ีจะทา การปฏวิ ตั สิ ังคมเสยี ใหมํ (2) ประเทศที่เกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจสังคมอยํางรุนแรง สร๎างความหวาดกลัว ความไมํม่ันคงให๎เกิดขึ้นโดยทัว่ ไป โดยที่รฐั บาลไมํสามารถแก๎ไขเยียวยาได๎ (3) ประเทศสังคมนิยมที่มีพรรคการเมืองฟาสซิสต์เกิดขึ้น โดยมีมวลชนที่จงเกลียดจงชัง คอมมิวนิสต์ไมํพอใจตํอความวํุนวายจากการเรียกร๎องของกรรมาชีพสนับสนุน ท้ังน้ีจะมีผู๎นาของชนชั้นนายทุน สนบั สนนุ ทางการเงนิ อยเํู บือ้ งหลงั (4) ขบวนการฟาสซิสต์พยายามจูงใจให๎มวลชนเช่ือวําตนเป็นเหมือนอัศวินม๎าขาวที่จะมาชํวยแก๎ไข ปญั หาของบ๎านเมอื ง

124 (5) ขบวนการฟาสซิสต์ใช๎วิธีการรุนแรงดาเนินการกับศัตรู โดยเฉพาะขบวนการ กรรมกร รวมท้ังศัตรูทางการเมืองอ่ืน ๆ สร๎างความนิยมให๎กับกลุํมคนหัวก๎าวหน๎าท่ีต๎องการความ รุนแรง (6) ขบวนการฟาสซิสต์พยายามสร๎างอุดมการณ์ เพ่ือสร๎างความชอบธรรมให๎กับ ก า ร ใ ช๎ อา น า จ ของผู๎นาให๎ประชาชนยึดม่ันอยํูกับความภาคภูมิใจห รือศักดิ์ศรีของชาติหรือเชื้อชาติ เหยียดหยามชนชาติอื่นโดยการสร๎างแพะรับบาป เชํน ชาวยิว และนิโกร ทาให๎คนสํวนใหญํเกิดความ พอใจ (7) ระบอบฟาสซิสต์ดาเนินนโยบายตํางประเทศแบ บ ก๎าวร๎าว มํุงทาส งค ร า ม จักรวรรดนิ ยิ ม รุกรานเพื่อนบา๎ นเรือนเคียงสามารถขยายอาณาจักรออกไปได๎ เป็นชอํ งทางใหข๎ บวนการฟาสซิสต์ใช๎ เป็นหลักในการโฆษณาชวนเชื่อ ขบวนการฟาสซิสต์จึงมิใช๎เป็นเพียงเรื่องราวของพรรคฟาสซิสต์ในอิตาลี และพรรคนาซีในเยอรมนีชํวงสงครามโลกคร้ังท่ี 2 เทําน้ัน ขบวนการนี้คงมีอยูํในสังคมโลกตลอด มา แม๎กระทั่งปัจจุบัน เพียงแตํวําเมื่อสภาพการณ์ตําง ๆ แปรเปลี่ยนไปขบวนการฟาสซิสต์อาจปรากฏ ให๎เห็นรปู แบบทแี่ ตกตํางไปในแตลํ ะประเทศ 2) เผด็จการคอมมิวนิสต์ ในทางรัฐศาสตร์และสังคมศาสตร์ ลัทธิคอมมิวนิสต์ (communism) คือ อุดมการณ์ และขบวนการทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ ซ่ึงมีจุดมุํงหมาย สูงสุดคือการสถาปนาสังคมคอมมิวนิสต์ อันเป็นระเบียบทางสังคมบนพื้นฐานของความเป็นเจ๎าของ รวํ มกัน (Common ownership) ของปจั จยั การผลติ (Means of production) และปราศจากชนชั้น ทางสังคม เงินตรา และรัฐ แนวคิดเร่ืองคอมมิวนิสต์น้ีเป็นหลักการที่นาเสนอโดย คาร์ลมาร์กซ์ และตํอมานิโคไล เลนิน ได๎นาเอาแนวคิดนี้ไปใช๎ปฏิวัติรัสเซีย และเมาเซตุงได๎นาไปปรับใช๎ในการ ปฏิวัติจีนพวกน้ีเชื่อวําสังคมทุนนิยม ซ่ึงมีนายทุนเป็นเจ๎าของปัจจัยการผลิตทุกอยํางจะพยายาม กดขี่รีดนาทาเร๎นให๎กรรมกรผลิตให๎มากที่สุด และจะให๎คําแรงงานต่าสุด คือ ให๎เพียงแคํให๎กรรมกรรักษาชีวิต อยํรู อดไปแตํละวนั เทาํ นนั้ ทง้ั ๆ ทีก่ รรมกรตอ๎ งทางานวันละหลายช่ัวโมงในโรงงานท่ีมีสภาพอับช้ืน อบอ๎าวและ เป็นพิษเป็นภัยตํอสุขภาพอยํางย่ิง พวกคอมมิวนิสต์จึงมองวํานายทุนเป็นกลํุมคนจานวนน๎อยที่เห็นแกํ ประโยชน์สํวนตัว ไมไํ ด๎ลงมือลงแรงทาอะไรเลย แตํกลับได๎ประโยชน์มหาศาล และประโยชน์เหลําน้ีตํางเป็น ผลจากหยาดเหงื่อแรงงานของกรรมกรท้งั สิ้น คาร์ล มาร์กซ์ เช่ือวําเงื่อนไขท่ีอาจจะนาไปสูํการปฏิวัติล๎มล๎างสังคมนายทุนมีอยํู ๓ ประการ ดังตอํ ไปน้ี (1) สังคมนั้นมีการพัฒนาอุตสาหกรรมในระดับสูง สมาชิกสํวนใหญํของสังคม เป็นกรรมกรในโรงงานอุตสาหกรรมหนัก พวกนไ้ี ด๎รับความลาบากจากสภาพการทางาน และการกด ขแ่ี รงงานเหมือนๆกนั โอกาสท่จี ะแลกเปลยี่ นความคดิ เหน็ มกี ารจัดกลุํม จดั องคก์ รยอํ มทาไดง๎ าํ ย

125 (2) เกิดภ าวะเศรษฐกิจตกต่าระยะยาว นั่นคือขณะที่กรรมกรได๎คําจ๎าง เพียงน๎อยนิด เมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่า มีปัญหาเรื่องข๎าวยากหมากแพงขึ้น ปัญหาการอดม้ือกิน มอื ก็จะเกดิ ขน้ึ กบั กรรมกร ซง่ึ จะเปน็ การเพิม่ ความเลวรา๎ ยให๎มากข้ึนไปอีก (3) กรรมกรเกิดความร๎ูสึกสานึกรํวมกัน ในความเลวร๎ายที่พวกเขาได๎รับวํา เป็นผลมาจากการกดข่ี ขดู รดี ของนายทนุ จึงมีการรวมตวั กนั กาจัดตน๎ ตอหรือทม่ี าของความเลยรา๎ ยเสีย หลังจากการปฏวิ ัติลม๎ ล๎างสังคมทุนนิยมแล๎ว รัฐบาลใหมํซ่ึงเป็นรฐั บาลหัวเล้ียวหัวตํอท่ีจะก๎าว ไปสูํสังคมคอมมิวนิสต์ รัฐบาลนจ้ี ัดตั้งโดยชนชั้นกรรมาชพี พวกคอมมิวนิสต์อ๎างวํา เป็นรัฐบาลของคน สํวนใหญํ ซึง่ รฐั บาลจะใชว๎ ิธีการเผด็จการรุนแรงในการกาจัดศัตรูหรือนายทนุ ในประวัติการเมืองของสังคมโลกนั้น ไมํปรากฏวํามีสังคมอุตสาหกรรมที่ก๎าวหน๎าสังคม ใดเลยที่มีการปฏิวัติเกิดขึ้นตามความเช่ือของคาร์ล มาร์กซ์ สํวนกาปฏิวัติในรัสเซีย โดยการนาของนิ โคไล เลนิน ในปี พ.ศ. 2460 และการปฏิวัติในจีนโดยการนาของเมาเซตุง ในปี พ.ศ. 2490 น้ัน เกิดขึ้น ในขณะท่ีท้ังรัสเซียและจีนขณะน้ันยังไมํมีการพัฒนาอุตสาหกรรมมากนัก ประชาชนสํวนใหญํของ ประเทศยังคงเป็นชนชั้นชาวนา เพื่อให๎การปฏิวัติเป็นไปได๎ นิโคไล เลนิน จึงได๎จังต้ังองค์การพรรค คอมมวิ นิสต์ขนึ้ มา เพื่อทาหน๎าท่ีปลุกระดมประชาชนและเป็นแกนนาในการลุกฮือปฏิวัติล๎มล๎าง นายทุน สถาปนารัฐบาลเผด็จการโดยพรรคคอมมิวนิสต์ข้ึนมาทาหน๎าท่ีปกครองประเทศตํอไป พรรค คอมมิวนิสต์เป็นพรรคการเมืองเดียวท่ีอนุญาตให๎มีได๎การปฏิวัติในจีนโดยการนาของเมาเซตุง ก็เป็นการ ปฏิวัติในนามของประชาชนเชํนเดียวกันกับกรณีของการปฏิวัติในรัสเซีย และเสร็จสิ้นในลักษณะ เดียวกนั คือ มกี ารสถาปนารฐั สังคมนิยมข้ึนโดยการช้ีนาของเผด็จการพรรคคอมมิวนิสต์ ลัทธิคอมมิวนิสต์ปรากฏอยํูในปรัชญาหรือแนวคิดหลากหลายทฤษฎีท่ีโดยรวม ๆ แล๎วจะ รวมถึงลัทธิมากซ์-อนาธิปไตย (ลัทธิอนาธิปไตย-คอมมิวนิสต์) และอุดมการณ์ทางการเมืองอื่น ๆ ซ่ึง เชอ่ื มโยงกบั สองแนวคิดนี้ โดยท่ที ้ังหมดนี้มบี ทวิเคราะหส์ รปุ รวํ มกันวาํ ระเบียบทางสังคมในปัจจุบันอัน ถือกาเนิดถึงจากระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ประกอบไปด๎วยชนช้ันทางสังคมสองชนช้ันหลักคือ \"ชน ช้ันแรงงาน\" ผ๎ทู ตี่ อ๎ งทางานเพ่ืออยํูรอดและถือเป็นกลํุมคนสํวนมากในสังคม และ \"ชนชั้นนายทุน\" อัน เป็นชนกลํุมน๎อยในสังคม ผ๎ูถือเอากาไรจากการจ๎างวานชนช้ันแรงงานผํานการครอบครองปัจจัยการ ผลิตไว๎เฉพาะสํวนตน ที่ซ่ึงความขัดแย๎งระหวํางสองชนชั้นนี้เองที่จะกํอให๎เกิดการปฏิวัติ อันเป็น องค์ประกอบตงั้ ตน๎ ทจี่ ะชํวยใหเ๎ กดิ การเปลี่ยนผํานไปสํูการเป็นเจา๎ ของปัจจัยการผลิตรํวมกันของคนใน สังคม (Social ownership) ด๎วยความที่ลัทธิคอมมิวนิสต์มีอุดมคติที่ตรงกันข๎ามกับลัทธิเสรีนิยมทาง เศรษฐกิจ (Economic Liberalism) จึงทาให๎เกิดความหวาดกลัวและการตํอต๎านลัทธิคอมมิวนิสต์ อยาํ งกว๎างขวางในชํวงสงครามเย็น ดังจะเห็นได๎จากกระแส \"ความหวาดกลัวแดง\" (Red Scare) หรือ ลทั ธิแม็คคาร์ธี ในอเมรกิ าชวํ งตน๎ สงครามเย็น

126 ประวัติศาสตร์คอมมิวนิสต์ชํวงต๎น จุดกาเนิดของลัทธิคอมมิวนิสต์ยังคงเป็นท่ีถกเถียง มีกลุํม บุคคลและนักทฤษฎีในประวัติศาสตร์หลากหลายกลุํมท่ีถูกจัดวําเป็นคอมมิวนิสต์ แตํสาหรับนัก ปรชั ญาชาวเยอรมนั คารล์ มากซ์ ถือวําจดุ เรมิ่ ต๎นของลทั ธคิ อมมิวนิสต์คือสังคมมนุษย์ในสมัยโบราณท่ี สํวนมากจะเป็นนักลํา-เก็บของปุาเรียกวํา \"สังคมคอมมิวนิสต์โบราณ\" (primitive communism) จนกระทั่งตํอมาเมื่อมนุษย์ได๎เรียนรู๎ที่จะสร๎างสํวนเกินทางเศรษฐกิจ (Economic surplus) ขึ้นมา จึง เกิดระบบความเป็นเจ๎าของในสินทรัพย์สํวนบุคคลข้ึน และไมํแบํงปันทรัพย์สินหรือส่ิงของใด ๆ กับ ผู๎อน่ื ให๎ใชเ๎ ปน็ สํวนรวมอกี ตํอไป ภาพที่ 6.1 แสดงอนุสาวรยี ์ท่ีอุทิศแดํคาร์ล มากซ์ (ซ๎าย) และฟรดี รชิ เองเงลิ ส์ (ขวา) ในนครเซย่ี งไฮ๎ ประเทศจนี ตามคากลําวของริชาร์ด ไปป์ แนวคิดเกี่ยวกับสังคมท่ีเทําเทียมเสมอภาค และปราศจากชน ชั้นถือกาเนิดขึ้นคร้ังแรกในกรีซโบราณ นอกจากนี้ยังมีขบวนการมัสดาก (Mazdak) ในเปอร์เซียใน คริสตศ์ ตวรรษที่ 5 ทีถ่ อื วํา \"มีลักษณะเป็นคอมมิวนิสต์\" (communistic) เน่ืองจากท๎าทายตํออภิสิทธ์ิ ท่ีมีอยํูอยํางมากมายของชนช้ันนาและนักบวช วิพากษ์วิจารณ์การถือครองทรัพย์สินสํวนบุคคล และ มุํงมนั่ ที่จะสร๎างสังคมท่เี สมอภาคขน้ึ มาบางชวํ งในประวตั ศิ าสตร์ยังปรากฏวาํ มีสังคมคอมมิวนิสต์ขนาด เล็กอยอํู ยํางหลากหลาย ซง่ึ โดยท่วั ไปมีแรงบนั ดาลใจมากจากคัมภีร์ทางศาสนา เชํน คริสตจักรในสมัย กลางที่ปรากฏวํามีอารามวาสีและกลํุมก๎อนทางศาสนาบางแหํงรํวมแบํงปันที่ดินและทรัพย์สินในหมํู สมาชกิ ด๎วยกนั เอง แนวคิดคอมมิวนิสต์ยังสามารถสืบย๎อนไปถึงชิ้นงานในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ของนักประพันธ์ ชาวองั กฤษ ทอมสั มอร์ ซึ่งตาราของเขานามวํา ยโู ทเปีย (ค.ศ. 1516) ได๎ฉายภาพสังคมที่มีพื้นฐานอยูํ

127 บนความเป็นเจ๎าของรํวมกันในทรัพย์สิน และมีผ๎ูปกครองบริหารงานด๎วยการใช๎เหตุผล นอกจากน้ี ในชํวงคริสตศ์ ตวรรษท่ี 17 ไดม๎ แี นวคดิ คอมมิวนสิ ตป์ รากฏข้ึนมาอกี คร้ังในอังกฤษโดยกลุํมพิวริตันทาง ศาสนานามวํา \"ดิกเกอรส์ \" (Diggers) ทสี่ นบั สนุนให๎ยกเลิกสิทธิครอบครองที่ดินสํวนบุคคลไป ด๎านนัก ทฤษฎีสงั คมนยิ ม-ประชาธปิ ไตยชาวเยอรมนั เอดอู าร์ด แบรน์ สไตน์ กลําวในผลงานปี ค.ศ. 1895 ครอมเวลลก์ บั ลทั ธิคอมมวิ นิสต์ (Cromwell and Communism) ของเขาวําในชํวงสงคราม กลางเมืองอังกฤษมกี ลมํุ หลายกลํุมโดยเฉพาะพวกดิกเกอร์สทีส่ นับสนุนอุดมการณ์คอมมิวนิสต์เก่ียวกับ ท่ีดินอยํางชัดเจน แตํทัศนคติของโอลิเวอร์ ครอมเวลล์ที่มีตํอกลุํมคนเหลําน้ีกลับถือวําตํอต๎านและไป ในทศิ ทางตรงกนั ข๎ามอยํางมากท่สี ดุ ทง้ั นี้การวิพากษ์วจิ ารณส์ ิทธิครอบครองทรัพย์สินสํวนบุคคลยังคง ดาเนินเรื่อยไปจนถึงยุคเรืองปัญญาในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ผํานนักคิดอยําง ฌ็อง-ฌัก รูโซในฝร่ังเศส และตํอมาในชํวงที่วํุนวายท่ีสุดของการปฏิวัติฝร่ังเศส ลัทธิคอมมิวนิสต์ก็ถือกาเนิดขึ้นในรูปแบบของ ลัทธทิ างการเมือง ในชํวงต๎นคริสต์ศตวรรษท่ี 19 นักปฏิรูปสังคมหลายคนได๎รํวมกันกํอตั้งชุมชนที่มีพ้ืนฐานอยูํ บนความเป็นเจ๎าของรํวมกัน แตํไมํเหมือนกับสังคมคอมมิวนิสต์ยุคกํอน ๆ ตรงท่ีพวกเขาแทนที่การ มํงุ เนน๎ ไปในทางศาสนาดว๎ ยรากฐานการใชต๎ รรกะเหตุผลและการกุศลเป็นหลัก โดยหนึ่งในผู๎มีช่ือเสียง ในกลุํมนี้คือ โรเบิร์ต โอเวน ผู๎กํอต้ังชมรมสหกรณ์ นิวฮาร์โมนี ในรัฐอินดีแอนา ในปี ค.ศ. 1825 และ ชาลส์ โฟเรียร์ ท่ีผู๎ติดตามของเขาก็ได๎จัดตั้งชุมชนในบริเวณอื่น ๆ ของสหรัฐอเมริกา เชํน ฟาร์มบรุก (Brook Farm; ค.ศ. 1841-1847) ด๎วยเชํนกัน ซึ่งตํอมาในภายหลัง คาร์ล มากซ์ อธิบายนักปฏิรูป สังคมเหลําน้ีวําเป็นพวก \"นักสังคมนิยมแบบอุดมคติ\" (utopian socialists) เพื่อให๎ตรงกันข๎ามกับ \"ลทั ธสิ งั คมนิยมแบบวิทยาศาสตร\"์ (scientific socialism) ของเขา (ซึ่งเป็นช่ือท่ีฟรีดริช เองเงิลส์ เห็น พ๎องด๎วย) นอกจากน้ีมากซ์ยังเรียก อ็องรี เดอ แซ็ง-ซีมง วําเป็น \"นักสังคมนิยมแบบอุดมคติ\" ด๎วย เชํนกัน ลัทธิคอมมิวนิสต์ในรูปแบบปัจจุบันเติบโตมาจากขบวนการสังคม นิยมในยุโรปชํวง คริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยในชํวงของการปฏิวัติอุตสาหกรรม นักวิจารณ์ฝุายสังคมนิยมหลายคน กลําวโทษระบบทนุ นยิ มวาํ เป็นต๎นเหตุความทกุ ขย์ ากของชนช้ันกรรมาชพี ซึง่ เป็นชนช้นั ใหมํที่ประกอบ ไปด๎วยแรงงานในโรงงานอุตสาหกรรมเขตเมืองผต๎ู ๎องทางานภายใต๎สภาพแวดลอ๎ มที่มักจะเป็นอันตราย อยํูบํอยคร้ัง โดยบุคคลสาคัญที่สุดในหมํูนักวิจารณ์น้ีก็คือคาร์ล มากซ์ และภาคีของเขาอยําง ฟรีดริช เองเงลิ ส์ ตํอมาในปี ค.ศ. 1848 มากซ์ และเองเงิลส์ได๎เสนอนิยามใหมํของลัทธิคอมมิวนิสต์ และทาให๎ นิยามดังกลําวเป็นท่ีนิยมแพรํหลายด๎วยจุลสารอันโดํงดังของพวกเขานามวํา แถลงการณ์พรรค คอมมวิ นสิ ต์

128 เผด็จการทหาร และสมบูรณาญาสิทธิราชย์ 1. เผด็จการทหาร ระบอบเผด็จการทหาร (military dictatorship) คือ ระบอบการปกครองท่ีอานาจทางการ เมืองขึ้นอยูํกับกองทัพ ถือได๎วําเป็นการปกครองแบบคณาธิปไตยลัทธิอานาจนิยมอยํางหน่ึง เผด็จ การทหารตํางจากเผด็จการพลเรือนด๎วยหลายสาเหตุ คอื แรงจูงใจของการยึดอานาจ สถาบันซึ่งใช๎จัด ระเบียบการปกครอง และหนทางสละอานาจ เผด็จการทหารมักมองวําตนกาลังชํวยให๎ประเทศชาติ พ๎นจากนักการเมืองพลเรือนท่ีฉ๎อฉลหรือวิสัยทัศน์คับแคบ และอ๎างฐานะของตนเป็นผ๎ูช้ีขาด \"คน กลาง\" บนฐานสมาชิกภาพในกองทัพ ผู๎นาทหารมักปกครองเป็นคณะผู๎ยึดอานาจการปกครอง โดย เลือกหน่ึงในพวกตนเป็นหัวหน๎า (Cheibub, José Antonio. \"Democracy and dictatorship revisited\". Public Choice. , สืบค๎นเม่ือ 2019-09-24) รัฐบาลเผด็จการทหารสํวนมากจัดต้ังหลังรัฐประหารล๎มล๎างอานาจรัฐบาลชุดกํอนหน๎า ตัวอยํางที่ตํางออกไป เชํน สมัยซัดดัม ฮุสเซน ในประเทศอิรัก ซึ่งเร่ิมจากรัฐท่ีปกครองโดยรัฐบาล พรรคเดียว คือ พรรคบะอัธ แตํเมื่อเวลาผํานไปรัฐบาลดังกลําวเปล่ียนไปเป็นเผด็จการทหาร (ตามท่ี ผน๎ู าสวมเครือ่ งแบบทหาร และกองทัพกม็ ีสํวนเกย่ี วข๎องอยํางใกล๎ชิดในรัฐบาล) เผด็จการทหารมักอ๎าง ความชอบธรรมให๎แกํตนเองวําเป็นการสร๎างความสมานฉันท์แกํชาติ และชํวยชาติให๎พ๎นจากภัย คุกคามของ \"อุดมการณ์ที่อันตราย\" อันเป็นการสร๎างการขํมขวัญ ในละตินอเมริกา ยกภัยคุกคามจาก คอมมวิ นสิ ต์และทนุ นิยมเป็นข๎ออ๎างของรัฐประหาร คณะทหารมกั วําพวกเขาไมฝํ ักใฝุพรรคการเมืองใด เป็นคณะที่เป็นกลาง สามารถจัดการกับความวุํนวายท่ีเกิดข้ึนในระยะเวลาสั้น ๆ ได๎ และกลําววํา นักการเมอื งทม่ี าจากประชาชนคดโกงและไรป๎ ระสิทธิภาพ ลักษณะรํวมประการหนึ่งของรัฐบาลทหาร คือการประกาศใช๎กฎอัยการศึกหรือสถานการณ์ฉุกเฉิน รัฐบาลทหารมักไมํเคารพสิทธิมนุษยชน และ มักใช๎วิธีการปิดปากศัตรูทางการเมือง รัฐบาลทหารมักไมํคืนอานาจจนกวําจะมีการปฏิวัติโดย ประชาชน ลาตินอเมริกา ทวีปแอฟริกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต๎ และตะวันออกกลางเป็นพื้นท่ีที่เป็น เผด็จการทหารบํอยครั้ง เหตุผลหนึ่งคือทหารประสานงานรํวมกัน และมีโครงสร๎างของสถาบันที่ เขม๎ แขง็ กวาํ สถาบันทางสังคมของประชาชน ตัง้ แตํคริสต์ทศวรรษ 1990 เป็นต๎นมา ระบอบเผด็จการทหารเริ่มมีจานวนลดลง เหตุผลหนึ่ง มาจากข๎อเท็จจริงที่วํา เผด็จการทหารไมํได๎รับการยอมรับจากนานาชาติ และรัฐบาลทหารมักไมํ ประสบความสาเร็จในการควบคุมประเทศไมํให๎เกิดการตํอต๎านได๎ นอกจากน้ี การลํมสลายของ สหภาพโซเวยี ตทาใหก๎ องทัพไมสํ ามารถยกคอมมวิ นิสต์มาอ๎างความชอบธรรมของตนเองได๎อีก

129 2 สมบูรณาญาสิทธริ าชย์ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ (absolute monarchy) คือ ระบอบการปกครองท่ีมีกษัตริย์ เป็นผู๎ปกครองและมีสิทธิ์ขาดในการบริหารประเทศ ในระบอบการปกครองนี้ กษัตริย์ก็คือกฎหมาย กลําวคือ ท่ีมาของกฎหมายทั้งปวงอยํูที่กษัตริย์ คาส่ัง ความต๎องการตําง ๆ ล๎วนมีผลเป็นกฎหมาย กษัตริย์มีอานาจในการปกครองแผํนดินและพลเมืองโดยอิสระ โดยไมํมีกฎหมายหรือองค์กรตาม กฎหมายใด ๆ จะหา๎ มปรามได๎ แมอ๎ งค์กรทางศาสนาอาจทัดทานกษัตริย์จากการกระทาบางอยํางและ องค์รัฏฐาธิปัตย์ (กษัตริย์) นั้นจะถูกคาดหวังวําจะปฏิบัติตามธรรมเนียม แตํในระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้น ไมํมีรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายใด ๆ ที่จะอยํูเหนือกวําคาช้ีขาดของรัฏฐาธิ ปัตย์ ตามทฤษฎีพลเมืองน้ัน ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มอบความไว๎วางใจทั้งหมดให๎กับพระเจ๎า แผนํ ดนิ ทดี่ พี รอ๎ มทางสายเลอื ดและได๎รบั การเลีย้ งดฝู ึกฝนมาอยํางดตี งั้ แตเํ กิด ในทางทฤษฎี กษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จะมีอานาจท้ังหมดเหนือประชาชน และแผํนดิน รวมท้ังเหนืออภิชน และบางคร้ังก็เหนือคณะสงฆ์ด๎วย สํวนในทางปฏิบัติ กษัตริย์ใน ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มักจะถูกจากัดอานาจ โดยทั่วไปโดยกลุํมท่ีกลําวมา หรือกลุํมอ่ืน กษัตริย์บางพระองค์ (เชํนจักรวรรดิเยอรมนี ค.ศ. 1871-1918) มีรัฐสภาท่ีไมํมีอานาจ หรือเป็นเพียง สัญลักษณ์ และมีองค์กรบริหารอื่น ๆ ที่กษัตริย์สามารถเปล่ียนแปลง หรือยุบเลิกได๎ตามต๎องการ แม๎ จะมีผลเทํากับระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แตํโดยทางเทคนิคท่ีเป็นไปได๎แล๎ว นี่คือราชาธิปไตย ภายใต๎รัฐธรรมนูญ (constitutional monarchy) เน่ืองจากการมีอยํูของรัฐธรรมนูญและกฎหมาย พื้นฐานของประเทศ ซ่ึงประเทศท่ีใช๎ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในปัจจุบันคือ ซาอุดีอาระเบีย บรไู น โอมาน เอสวาตินี กาตาร์ สหรัฐอาหรบั เอมิเรตส์ รวมทั้ง นครรฐั วาตกิ นั ด๎วย ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของไทย ประเทศไทยเคยปกครองด๎วยระบอบ สมบรู ณาญาสิทธิราชย์ พระมหากษัตริย์มีอานาจสิทธิ์เด็ดขาดในการปกครองแผํนดิน ดังคากลําวท่ีวํา \"พระบรมราชานภุ าพของพระเจ๎าแผนํ ดินกรงุ สยามนี้ ไมํได๎ปรากฏในกฎหมายอันหนึ่งอันใด ด๎วยเหตุท่ี ถือวําเป็นที่ล๎นพ๎น ไมํมีข๎อส่ังอันใดจะเป็นผ๎ูบังคับขัดขวางได๎\" (อมร รักษาสัตย์, พระราชอานาจตาม กฎหมาย, 2548 หน๎า, 1) ในทัศนะของ นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เห็นวําระบอบสมบูรณาสิทธิราชย์ของไทยนั้น ไมํได๎เป็นระบอบที่มีมาแตํสมัยโบราณ แตํเพิ่งมีมาใน สมัยรัชกาลท่ี 5 เนื่องจากในรัชกาลนี้ พระองค์ทรงรวบอานาจจากเหลําขุนนาง ข๎าราชการ ที่เคยมี

130 อานาจ และบทบาทมากํอนหน๎านั้น มาไว๎ที่ศูนย์กลางการปกครองคือ ตัวพระองค์ และพระประยูร ญาติ ทาให๎พระมหากษัตริย์ทรงดารงสถานะเป็นท้ังประมุขของรัฐ และประมุขของฝุายบริหารอยําง แท๎จรงิ เทํากับวาํ ระบอบสมบูรณาสิทธิราชย์ของไทยมีเพียง 3 รัชกาลเทํานั้น คือ รัชกาลที่ 5, รัชกาล ท่ี 6 และรชั กาลท่ี 7 (ธนาพล ลมิ่ อภชิ าต, 2560 หนา๎ , 1-59) 5.เผด็จการอานาจนิยม และเผด็จการเบด็ เสร็จในเชิงเปรียบเทียบ เผด็จการอานาจนยิ มกบั เผดจ็ การเบด็ เสรจ็ ซงึ่ เผด็จการทัง้ สองรูปแบบตํางก็มีความคล๎ายคลึง กัน ดังตํอไปนี้ 1) ผู๎นาตํางมอี านาจเดด็ ขาด 2) ผ๎ูนาตํางใช๎อานาจเพ่ือรักษาสถานภาพของตนเอง โดยการกาจัดศัตรูทางการเมือง หรอื กลมํุ การเมอื งฝุายตรงข๎าม ทั้งยังไมยํ ินยอมใหม๎ กี ลํุมคิดทางการเมืองทแี่ ตกตาํ งออกไปเกดิ ข้ึน 3) มีการจากดั เสรีภาพของประชาชน 4) มองประชาชนในฐานะท่ีเปน็ เครอ่ื งมอื ท่ีจะสร๎างความย่ิงใหญใํ ห๎กับตนเอง 5) มกี ารควบคมุ สือ่ สารมวลชนในระดบั หนงึ่ ในสวํ นทแ่ี ตกตํางกันระหวํางเผดจ็ การอานาจนิยมกับเผด็จการเบ็ดเสร็จอาจสรปุ ได๎ดงั ตํอไปนี้ 1) เผด็จการอานาจนิยมนิยมมีจุดมํุงหมายที่สาคัญ คือ การควบคุมกิจกรรมทางการเมืองของ ประชาชนเทํานัน้ ขณะทีเ่ ผด็จการเบ็ดเสร็จต๎องการท่ีจะเข๎าควบคุมทั้งกิจกรรมทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม 2) รัฐเผด็จการอานาจนิยมไมํเข๎าไปควบคุมสถาบันครอบครัว ศาสนา โรงเรียน สมาคม หรือ กลํมุ ทางเศรษฐกจิ สงั คมใด ๆ แตเํ ผด็จการเบ็ดเสรจ็ นัน้ ถือวาํ องคก์ รทุกองค์กร สถาบันทุกสถาบันจะต๎องอยํู ภายใต๎การควบคุมของรฐั โดยรฐั จะเปน็ ผ๎ูกาหนดแนวปฏิบตั ิตําง ๆ ให๎ 3) รัฐเผด็จการอานาจนิยมนั้น แม๎จะเน๎นที่วิธีการลงโฆษณาอยํางรุนแรงโดยเฉพาะ กิจกรรมที่ผู๎นาพิจารณาแล๎ววําจะสํงผลกระทบตํอความม่ันคงทางการเมืองของตน แตํกระบวนการ ทางกฎหมายท่ีจะใช๎เป็นหลักในการให๎ความยุติธรรมแกํประชาชนโดยท่ัวไปก็ยังคงมีอยํู แตํในระบอบ เผด็จการเบด็ เสรจ็ นน้ั อานาจรัฐมีอยํางไมํจากัด สิทธิและเสรีภาพของประชาชนในทุกเรื่องอาจถูก ละเมิดเม่ือไรก็ได๎ ท้ังนี้รัฐจะถือเอาความมั่นคง ความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียว เป็นข๎ออ๎างใน ก า ร ส ร๎ า ง ค ว า ม ช อ บ ธ ร ร ม ให๎กับการใช๎อานาจเด็ดขาด 4) ประชาชนในรฐั เผด็จการอานาจนิยมมีหน๎าท่ีและความรับผิดชอบท่ีสาคัญ คือ จะต๎องไมํ ดาเนนิ การทางการเมืองใด ๆ ที่ขัดขวางหรือตํอต๎านนโยบายทางการเมืองของผ๎ูนา แตํประชานในรัฐเผด็จ การเบ็ดเสร็จน้ันนอกจากจะต๎องเชื่อฟังปฏิบัติตามคาสั่งของผ๎ูนาอยํางเครํงครัดแล๎ว ยังจะต๎องแสดง

131 ความจงรักภักดี มีความสานึกในความเป็นหน้ีบุญคุณที่มีตํอรัฐ ต๎องยอมรับใช๎รัฐในทุกโอกาสอีก ดว๎ ย ตารางท่ี 6.1 แสดงความแตกตํางระหวาํ งเผด็จการอานาจนิยม และเผดจ็ การเบ็ดเสรจ็ เผดจ็ การอานาจนิยม เผดจ็ การเบ็ดเสร็จ 1. เผด็จการอานาจนิยมนิยมมีจุดมุํงหมายท่ีสาคัญ 1.เผด็จการเบ็ดเสร็จต๎องการที่จะเข๎าควบคุมทั้งกิจกรรม คือการควบคุมกิจกรรมทางการเมืองของประชาชน ทางการเมอื ง เศรษฐกิจและสงั คม เทาํ นัน้ 2.รัฐเผด็จการอานาจนิยมไมํเข๎าไปควบคุมสถาบัน 2.เผด็จการเบ็ดเสร็จถือวําองค์กรทุกองค์กร สถาบันทุก ครอบครัว ศาสนา โรงเรียน สมาคมหรือกลุํมทาง สถาบนั จะต๎องอยํูภายใตก๎ ารควบคมุ ของรัฐ โดยรัฐจะเป็นผ๎ู เศรษฐกิจ สังคมใด ๆ กาหนดแนวปฏิบตั ติ าํ ง ๆ ให๎ 3.รัฐเผด็จการอานาจนิยมแม๎จะเน๎นที่วิธีการลง 3.เผดจ็ การเบด็ เสรจ็ นั้น อานาจรฐั มอี ยาํ งไมจํ ากัด สิทธิและ โฆษณาอยํางรุนแรงโดยเฉพาะกิจกรรมที่ผู๎นา เสรีภาพของประชาชนในทุกเร่ืองอาจถูกละเมิดเมื่อไรก็ได๎ พิจารณาแล๎ววําจะสํงผลกระทบตํอความมั่นคง ท้ังน้ีรัฐจะถือเอาความมั่นคง ความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอัน ทางการเมอื งของตน แตกํ ระบวนการทางกฎหมายท่ี เดียว เป็นข๎ออ๎างในการสร๎างความชอบธรรมให๎กับการใช๎ จะใช๎เป็นหลักในการให๎ความยุติธรรมแกํประชาชน อานาจเด็ดขาด โดยท่ัวไปกย็ งั คงมีอยูํ 4. ประชาชนในรัฐเผด็จการอานาจนิยมมีหน๎าท่ีและ 4.ประชานในรัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จน้ันนอกจากจะต๎องเชื่อ ความรับผิดชอบท่ีสาคัญ คือ จะต๎องไมํดาเนินการ ฟังปฏิบัติตามคาส่ังของผู๎นาอยํางเครํงครัดแล๎ว ยังจะต๎อง ทางการเมืองใด ๆ ที่ขัดขวางหรือตํอต๎านนโยบาย แสดงความจงรักภกั ดี มคี วามสานึกในความเป็นหนี้บุญคุณ ทางการเมอื งของผ๎ูนา ท่ีมตี ํอรัฐตอ๎ งยอมรบั ใชร๎ ัฐในทกุ โอกาสอีกดว๎ ย ที่มา : ปรับปรุงจาก วัชระ คลายนาทร และคณะ: สังคมศึกษาสมบูรณ์แบบ, สุขุม นวลสกุลและคณะ: สังคมศกึ ษา สรปุ ระบบการปกครองแบบเผด็จการ มีลักษณะเดํนอยูํท่ีการรวมอานาจทางการเมืองการ ปกครองไว๎ท่ีบุคคลเพียงคนเดียว หรือพรรคเดียว โดยบุคคล หรือคณะบุคคลดังกลําวสามารถใช๎ อานาจน้ันควบคุม บังคับประชาชนได๎โดยเด็ดขาด หากประชาชนคนใดคัดค๎านผู๎นา หรือคณะผู๎นาก็ จะถูกลงโทษ รูปแบบของระบบเผด็จการ มี ๓ แบบ คือ 1. ระบอบเผด็จการทหาร หมายถึง ระบอบเผด็จการที่คณะผู๎นาฝุายทหารเป็นผ๎ูใช๎ อานาจเผด็จการในการปกครองโดยตรง หรือโดยอ๎อม และมักจะใช๎กฎอัยการศึก หรือรัฐธรรมนูญที่ คณะของตนสร๎างข้ึนเป็นเครื่องมือในการปกครอง ลักษณะสาคัญของระบอบเผด็จการทหารจะ

132 ควบคุมเฉพาะกิจการทางการเมืองของประเทศเทํานั้น สํวนทางด๎านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม รฐั บาลไมํเขา๎ ควบคมุ แตอํ ยาํ งใดปลอํ ยให๎มีการดาเนินการตามปกติ 2. ระบอบเผด็จการฟาสซิสต์ หมายถึง ระบอบเผด็จการผ๎ูที่นาคนหนึ่งใช๎อานาจเผด็จ การปกครองประเทศ ผ๎ูนาในระบอบการปกครองเผด็จการฟาสซิสต์มักจะมีลัทธิการเมืองที่เรียกวํา “ลัทธิฟาสซิสต์” มํุงท่ีจะใช๎อานาจเผด็จการปกครองประเทศเป็นการถาวร มีผ๎ูนาเผด็จการเพียงคน เดียวภายใต๎การสนับสนุนของกองทัพ มีการใช๎อานาจอยํางเด็ดขาดควบคุมกิจกรรมทุกด๎านของ ประชาชน 3. ระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์ หมายถึง ระบอบเผด็จการที่พรรคคอมมิวนิสต์เพียง พรรคเดียวได๎รับการยอมรับหรือสนับสนุนจากกลุํมบุคคลตําง ๆ จะทาให๎ชนช้ันกรรมาชีพเป็นอิสระ จากการถูกกดขี่โดยชนชั้นนายทุนจะใช๎อานาจควบคุมกิจกรรม และการดาเนินชีวิตของประชาชนใน ทกุ ด๎าน ไมํวําจะเป็นด๎านการเมือง การปกครอง ดา๎ นเศรษฐกจิ และดา๎ นสังคม ด๎วยเหตุน้ีนักรัฐศาสตร์ จึงเรียกระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์อีกอยํางหนึ่งวํา “ระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จ” เชํน ประเทศจีน ประเทศเกาหลีเหนือ เปน็ ตน๎ หลักการของระบอบเผด็จการ ประกอบด๎วย 1. ผ๎ูนาคนเดียว หรือคณะผู๎นาของกองทัพ หรือของพรรคการเมืองเพียงกลํุมเดียว มี อานาจสูงสดุ ในการปกครอง และสามารถใช๎อานาจน้นั ไดอ๎ ยํางเต็มที่โดยไมํต๎องฟังเสียงคนสํวนใหญํใน ประเทศ ไมํต๎องการให๎ประชาชนมีสํวนรํวมในการปกครองประเทศ ถือเอาเจตนารมณ์ หรือความ ตอ๎ งการของผ๎ปู กครองเป็นหลกั 2. การรักษาความม่ันคงของผ๎ูนา หรือคณะผู๎นามีความสาคัญมากกวําการคุ๎มครอง สทิ ธิเสรภี าพของประชาชน ประชาชนไมสํ ามารถทจี่ ะวิพากษ์วิจารณ์การกระทาของผ๎ูนาอยํางเปิดเผย ได๎ เป็นการกาจัดสิทธิเสรีภาพตําง ๆ ของประชาชนไมํยอมรับความเสมอภาคของประชาชน ประชาชนตอ๎ งปฏิบตั ติ ามผนู๎ าอยาํ งเครํงครัดยกยอํ งอานาจรัฐเหนอื เสรภี าพประชาชน 3. ผน๎ู า หรอื คณะผนู๎ าสามารถอยูใํ นอานาจได๎ตลอดชีวิต หรือนานเทําท่ีกลุํมผู๎รํวมงาน หรอื กองทัพยงั ใหก๎ ารสนบั สนุน ประชาชนทั่วไมํไมมํ สี ิทธิทจี่ ะเปล่ยี นผ๎นู าได๎โดยวิธีทางรัฐธรรมนูญ 4. รัฐธรรมนูญ และการเลือกตงั้ สมาชกิ สภาผ๎แู ทนราษฎรทจ่ี ดั ข้ึนตามรฐั ธรรมนูญ และ รัฐสภาไมํมีความสาคัญตํอกระบวนการทางการปกครองเหมือนในระบอบประชาธิปไตย กลําวคือ รัฐธรรมนูญเป็นแคํเพียงรากฐานรองรับอานาจผ๎ูนาเทํานั้น สํวนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู๎แทนฯ ที่จัด ขนึ้ กเ็ พื่อให๎ประชาชนออกเสียงเลือกต้ังผส๎ู มคั รที่ผ๎นู าใชห๎ ลักการรวมอานาจไว๎ท่ีสํวนกลางของประเทศ หรอื กลุํมผ๎ูนายดึ ถอื หลกั ความม่ันคงชองชาติสาคัญท่ีสุด

133 คาถามทา้ ยบท 1. จงอธิบายความหมายของเผดจ็ การทง้ั 3 ฐานะ มาพอสังเขป? 2. จงอธิบายสาระสาคญั ของเผด็จการอานาจนยิ ม (Authoritarianism) พอสังเขป? 3. จงอธบิ ายสาระสาคญั ของเผดจ็ การเบ็ดเสร็จ (Totalitarianism) พอสังเขป? 4. จงอธบิ ายประวตั ขิ องเผดจ็ การฟาสซสิ ต์และเผด็จการคอมมวิ นิสต์ โดยสงั เขป? 5. จงเปรยี บเทยี บความเหมือนและแตกตาํ งของเผด็จการอานาจนิยมกบั เผดจ็ การเบด็ เสร็จ พอสงั เขป์

134

บทที่ 7 แนวคดิ และทฤษฎีการเมืองตะวนั ออก วัตถปุ ระสงคป์ ระจาบท เมอื่ ศึกษาเน้ือหาในบทนีแ้ ลว้ ผ้ศู กึ ษาสามารถ 1. อธบิ ายแนวคดิ ทฤษฎีทางการเมอื งของจีนได้ 2. อธบิ ายแนวคิดทฤษฎีการเมอื งของลัทธขิ งจ้ือได้ 3. อธิบายแนวคิดทฤษฎีการเมอื งของลทั ธิเตา๋ ได้ 4. อธบิ ายแนวคิดทฤษฎีการเมอื งของอินเดียได้ 5. อธบิ ายแนวคิดทฤษฎีการเมอื งมหาตะมะ คานธไี ด้ ขอบข่ายเน้ือหา 1. แนวคิด ทฤษฎที างการเมืองของจนี 2. แนวคดิ ทฤษฎีการเมอื งของลทั ธขิ งจื้อ 3. แนวคดิ ทฤษฎีการเมืองของลทั ธิเตา๋ 4. แนวคิดทฤษฎีการเมอื งของอินเดีย 5. แนวคิดทฤษฎีการเมืองมหาตะมะ คานธี สือ่ การเรยี นการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. การบรรยายในช้นั เรยี นด้วยโปรแกรม PowerPoint Presentation 3. เวบ็ ไซต์ทเ่ี กยี่ วข้อง 4 การสอนออนไลน์ Mircrosoft Teams การวดั และประเมนิ ผล 1. การแสดงความคดิ เห็นในชั้นเรยี น 2. การถามตอบในชนั้ เรยี น 3. การทาํ แบบฝกึ หดั ทา้ ยบท 4. การตอบคําถามรายบุคคลในสื่อออนไลน์

135 บทนา ในการศึกษาปรัชญา แนวคิด และทฤษฎีทางตะวันออกน้ัน จะกล่าวถึงปรัชญาของจีนซ่ึงมี แนวคิดเน้นท่ีการปฏิบัติ มีลักษณะเป็น Ethical Philosophy ท่ีเน้นด้านความคิด (Wisdom) การมี มโนธรรม และการปฏิบัติ เพราะฉะนั้นปรัชญาจีนจะเป็นปรัชญาของการปฏิบัติจริง ๆ ในสังคม และ ในชวี ิตประจาํ วนั โดยไมไ่ ดก้ ล่าวถึงชีวติ หลังความตาย ซึ่งแตกต่างจากปรัชญาของอินเดียท่ีไม่แยกขาด จากศาสนา ปรชั ญาอนิ เดียทกุ ระบบจะรวมอยูก่ ับศาสนา เพราะฉะนนั้ นอกจากจะเน้นที่ปรัชญา เน้นท่ี มโนธรรมแล้ว ยังมีเร่ืองศรัทธา (Faith) กับความเชื่อ (Believe) ด้วย ซึ่งทําให้มีข้อผูกมัด (Commitment) กับหลักศีลธรรมหรือหลักจริยธรรม จึงออกมาเป็นการปฏิบัติได้ พุทธศาสนาเป็น ปรัชญาอินเดีย เพราะฉะนั้นจริยธรรมในพุทธศาสนาจึงมีลักษณะของปรัชญาอินเดีย มีศรัทธา ความ เช่อื และการปฏบิ ตั ิ เข้ามาเกี่ยวข้อง ท้ังนี้ แนวคิดพ้ืนฐานทางด้านปรัชญาตะวันนออกว่าด้วยแนวคิด และทฤษฎีทางการเมืองที่ สาํ คญั ได้แก่ ปรัชญาเต๋า ปรชั ญาขงจ้ือ ปรัชญาเลา่ จ้อื เป็นตน้ 1. แนวคดิ ทฤษฎีการเมอื งของจีน ประเทศจีนเปน็ หน่ึงในอารยธรรมโบราณท่ีเก่าแก่ท่ีสุดของโลก และเป็นประเทศเดียวที่มีการ ถา่ ยทอดวัฒนธรรมตงั้ แต่สมัยโบราณจนถึงป๎จจบุ ันจากรุน่ สู่รุ่นตอ่ เนื่องกนั มาอย่างไม่ขาดสาย ในฐานะ ท่ีเป็นวัฒนธรรมด้ังเดิมของประเทศจีนสํานักปรัชญาขงจ้ือ กล่าวว่า การเปล่ียนแปลงของโลก และ สถานะทางประวัติศาสตร์ของประเทศจีนมีความสอดคล้องกัน ดังน้ันขงจ้ือจึงกลายเป็นบุคคลท่ีมี ชื่อเสียงโดดเด่นทางด้านวัฒนธรรมของโลก ปรัชญาของขงจ้ือจึงกลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันลํ้า คา่ ของมวลมนุษยชาติ ขงจื้อมีความคิดกว้างขวาง ท้ังเช่ียวชาญ และลึกซ้ึง ทฤษฎีปรัชญาของขงจื้อ คือ “ความ เมตตากรุณา” “ความกตัญํู” “ขนบจารีตและประเพณี” “ความยุติธรรม”และ“ความซ่ือสัตย์” การเมืองในอุดมคติของของจ้ือ คือ “การปกครองประเทศให้มีความสงบสุข ทุกคนเปรียบเสมือน บุคคลในครอบครัว ” ความคิดทางด้านการศึกษาคือ “ไม่ว่าใครก็สามารถรับการศึกษาได้” “การศึกษาตามความถนัดและความสามารถของแต่ละคน” และยังให้ความสําคัญกับสติป๎ญญา และ คุณธรรมเปน็ ต้น ปรัชญาของขงจอ้ื จึงเป็นสิง่ ทีม่ ีความสาํ คญั และลกึ ซึง้ จนถึงป๎จจบุ นั 1.1 แนวคิดทางการเมอื งของลัทธิขงจอ้ื (Political Philosophy of kung Tzu) ขงจ้อื (Kung Tzu) เปน็ ทั้งศาสดา และนักปรัชญาผยู้ ่งิ ใหญ่คนหนง่ึ ของจีน เกียรติคณุ ของ ขงจอื้ ระบอื ไกลทว่ั โลก ขงจ้ือ (Kung Tzu) หรอื ภาษาจนี กลางเรยี กวา่ กงุ ฟูจื้อ (Kung-Fu-Tzu) แต่

136 ชาวตะวันตกเรยี กตามภาษาจีนวา่ คอนฟูซิอุส (Confucius) ขงจ้ือเกิดทแี่ คว้นลู้ ป๎จจบุ นั ได้แก่มณฑล ชานตุง เม่ือ พ.ศ. 8 (ฟ้นื ดอกบัว , 2542 หน้า, 69-70) เดิมบรรพบุรุษของขงจ้ือเป็นชาวรัฐซ้อง เป็นตระกูลมีอันจะกินตระกูลหนึ่ง ต่อมาในสมัย 4 ช่ัวบรรพบุรุษเหนือขงจื้อข้ึนไป รัฐซ้องเกิดความไม่สงบทางการเมืองข้ึน สกุลนี้จึงได้ย้ายหลบภัยมา อาศยั อยูใ่ นรฐั ลู้ และเน่ืองจากต้องละท้ิงไร่นาเคหสถานเดิมมา จึงทําให้สกุลนี้ยากจนลง บิดาของท่าน ชื่อหงึกเล้ืยงสก มารดาชื่อง่วนสี ขงจื้อมีช่ือจริงว่า คิว แปลว่า ภูเขา ท้ังน้ีเพราะหงึกเลี้ยงสกกับง่วนสี ภรรยาคนใหม่ยังไม่มีบุตรชายสืบตระกูล จึงได้ไปบวงสรวงขอบุตรกับเจ้าพ่อขุนเขา ส่วนคําว่า ขงจ้ือ นั้น เป็นเกียรติคุณนามของท่าน คือ ขง เป็นชื่อสกุล ส่วนคําว่า จ้ือ แปลว่า ครู อาจารย์ นักปราชญ์ เป็นต้น เพราะฉะนน้ั ขงจื้อ จึงแปลว่า ท่านอาจารยข์ ง หรือนักปราชญ์ขง นัน่ เอง 1.2 ความเชือ่ เกีย่ วกับเร่อื งมนษุ ยแ์ ละสวรรคใ์ นลทั ธขิ งจื้อ แนวคดิ พนื้ ฐานของขงจอื้ เร่มิ จากการปฏเิ สธอํานาจเดด็ ขาดของสวรรค์ และการไม่ยอมรับว่า ภูตผี วญิ ญาณตา่ งๆ มอี ํานาจอนั ทรงพลงั สทิ ธขิ์ าดในการควบคมุ ชะตากรรมของมนษุ ย์ การกล่าวเช่นนี้ มิได้หมายความว่า ขงจ้ือปฏิเสธอํานาจสวรรค์โดยเด็ดขาด ที่จริงท่านเพียงปฏิเสธอํานาจโดยเด็ดขาด แหง่ สวรรค์เท่าน้ัน ก่อนหน้าสมัยขงจื้อในยุคราชวงศ์ชางน้ัน เชื่อกันว่าผู้มีอํานาจโดยเด็ดขาดคือ ต้ี Ti The Lord หรอื ชางต้ี Shang ti the Lord on High ซึง่ เป็นท่ีเช่ือกันว่าเป็นพระเจ้า ผู้มีลักษณะแบบ มนุษยอ์ ยดู่ ว้ ย สว่ นขงจ้อื ในยคุ ราชวงศโ์ จว ไมเ่ คยกลา่ วถึงตี้เลย แต่กลับกล่าวถึงเตียน Tien Heaven และเทียนหมิง Tienming The Mandate of Heaven คือ สวรรค์และโองการแห่งสวรรค์ สวรรค์ สําหรับขงจื้ออยู่เหนือสรรพสิ่งท้ังปวงและมีจุดหมาย บ่อบคร้ังที่ขงจื้อกล่าวถึง โองการสวรรค์ หรือ ระเบยี บแหง่ สวรรค์ อย่างไรก็ตาม สวรรค์ ในทัศนะของขงจ้ือ มิใช่จิตวิญญาณอันสูงส่งเสมอไป ดังที่เคยในสมัย ราชวงศ์ซาง สวรรค์ มิใช่ผู้ปกครองสรรพส่ิงราวกับพระเจ้าผู้มีจํานงแบบมนุษย์ แต่ สวรรค์ ไม่มี ความหมายในภาวะสูงสุด ซ่ึงดํารงอยู่โดยปล่อยให้กฎศีลธรรม ดําเนินไปโดยตัวของมันเอง ถึงแม้ บางคร้ังขงจื้อจะกล่าวถึงสวรรค์ ในฐานะท่ีเป็นส่ิงกําหนดภารกิจของขงจ้ือในสังคมมนุษย์ แต่ขงจ้ือ ตามท่ีมีบันทกึ ไวใ้ นหนังสือ แสดงวา่ สวรรคเ์ ป็นพระเจ้า ผูท้ รงอาํ นาจยิ่งใหญ่ เป็นผู้กําหนดการกระทํา หรือชะตากรรมของมนุษย์ โดยเด็ดขาด หรือกล่าว่า มนุษย์นั้น ไม่สามารถพัฒนาตนเอง เพื่อบรรลุ อุดมการณ์ แห่งความเป็นมนุษย์ คํากล่าวหลายตอนแสดงให้เห็นว่า ขงจื้อ เสนอให้มนุษย์พัฒนา ตนเองตามกรอบจริยธรรม ซ่ึงขงจ้ือพยายามกําหนดบทบาทให้อย่างชัดเจนสําหรับมนุษย์ในแต่ละ หน้าท่ี โดยมคี วามเช่อื วา่ มนุษยจ์ ะสามารถบรรลุเปูาหมายสูงสุดโดยตนเองได้ ขงจื้อกล่าวได้อย่างแจ่ม ชัดว่า “มนุษย์สามารถทาํ ให้มรรควธิ ี น้นั ยง่ิ ใหญ่ แตม่ รรควธิ ไี ม่สามารถทาํ ใหม้ นุษย์ย่งิ ใหญ่”


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook