Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore pdf24_merged

pdf24_merged

Published by ทวีศักดิ์ ใครบุตร, 2021-08-20 23:58:03

Description: pdf24_merged

Search

Read the Text Version

186 สมควร บิณฑบาตไม่เรียบร้อย แต่งตัวไม่เรียบร้อย ฉันท์ไม่เรียบร้อย ไม่เหมาะสมกับเป็นผู้มักน้อย สนั โดษ จงึ ได้ทรงบัญญตั ิใหม้ อี ปุ ัชฌาย์ (มหา. 6//134) ทาหนา้ ท่ีดูแลปกครองส่ังสอนด่ังบิดาแก่ผู้ที่อยู่ ใตป้ กครอง ซง่ึ เรียกวา่ ลทั ธวิ หิ ารกิ ไดก้ าหนดข้อท่ีควรปฏิบัตติ ่อกนั ไว้ ภายหลงั ผ้เู ป็นประธานการบวช ให้ผูใ้ ด ก็ถอื เป็นอปุ ัชฌายข์ องผนู้ นั้ ดว้ ย 2) อาจารย์ ในกาลต่อมาเกิดปัญหาอุปัชฌาย์บางองค์สึกบ้าง ไปเข้าลัทธิอ่ืนบ้าง มรณภาพบ้าง หรือหลีกเร้นไปอยู่ในท่ีสงัดบ้าง ภิกษุท้ังหลายไม่มีใครตักเตือน พร่าสอน ประพฤติ มารยาทไม่สมควร นุ่งห่มไม่เรียบร้อย เป็นต้น ถูกประชาชนติเตียน จึงทรงอนุญาตให้มีอาจารย์คอย ดูแลสงั่ สอนดง่ั บดิ า ผอู้ ยู่ใตป้ กครอง เรยี กว่า อันเตวาสิก และกาหนดวตั รปฏบิ ตั ติ ่อกนั อุปัชฌาย์ และอาจารย์นับเป็นหน่วยปกครองท่ีได้ทรงบัญญัติขึ้นเพื่อใช้ในการปกครองสงฆ์ที่ มลี กั ษณะควบคมุ ดูแล นอกจากนั้นก็มีแต่พระวินัยที่ใช้ควบคุมวัตรปฏิบัติของสงฆ์ ซึ่งผู้ดูแลพระวินัยก็ คือคณะสงฆ์ทอี่ ย่ดู ้วยกนั นั่นเอง ผู้ระงับอาบัติหรอื การทาผิดวินยั ก็เป็นอานาจของสงฆ์ แม้แต่การระงับ อธกิ รณก์ เ็ ป็นอานาจของสงฆเ์ ช่นกนั 4.3 วิธกี ารปกครองของชาววัชชี แคว้นวัชชีประกอบด้วยแคว้นเล็ก ๆ เจ้าผู้ครองนครแห่งแคว้นเล็ก ๆ นั้นจะเป็นคณะ ผู้ปกครอง ปกครองร่วมกัน ได้ทรงแสดงอปริหานิยธรรม 7 ประการให้ชาววัชชี ถือปฏิบัติในการ ปกครองรว่ มกัน ถือเป็นธรรม ๗ ประการทไ่ี มน่ าความเสื่อมมาให้ (มหา. 16/92/178) คือ 1. มปี ระชมุ กันเปน็ ประจา 2. เข้าประชมุ พร้อมกัน เลิกประชุมพร้อมกนั 3. ไม่สรา้ งขอ้ บัญญตั ิเพิม่ และไม่ยกเลกิ ข้อบัญญัตทิ ีเ่ คยบัญญตั ิไว้ 4. เคารพเช่อื ฟังผเู้ ฒ่าผ้อู าวโุ สของชาววัชชี 5. ไมฉ่ ดุ คร่าข่มเหงผู้หญิงและธิดาชาววัชชี 6. เคารพบูชาเจดียข์ องชาววชั ชีท่ีเคยเคารพบูชา 7. อารกั ขาค้มุ ครองพระอรหนั ต์ท้ังหลาย 5.คาศัพทท์ างศาสนาพทุ ธท่ีนามาใช้ทางการเมอื ง มกี ารนาศัพท์ทใ่ี ช้ในศาสนามาใช้ทางรัฐศาสตร์อยู่หลายคา จะเลือกเฉพาะคาที่ได้ยินได้ใช้กัน มาก ๆ 1) คว่าบาตร เป็นวิธีท่ีพระพุทธเจ้าให้ภิกษุกระทาเพื่อลงโทษกับฆราวาสที่ประพฤติตนไม่ เหมาะสมตอ่ ศาสนา เช่น พยายามทาให้ภิกษุเสียหาย ทาให้ภิกษุแตกกัน ด่าหรือบริภาษภิกษุ ติเตียน

187 พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นต้น วิธีการคว่าบาตรคือ การไม่รับบาตร (ไม่หงายบาตร) ไม่ติดต่อ กับผนู้ ้นั ซ่ึงถอื เปน็ การลงโทษทางสงั คม และทางจติ ใจ ในทางการเมืองใช้ในการเมืองระหว่างประเทศ โดยใช้ภาษาอังกฤษว่า Sanction การ ประกาศคว่าบาตรนี้ทาได้ 2 ทาง คือ embargo ห้ามส่งสินค้าไปขาย และ boycott การไม่ซื้อสินค้า กับประเทศทีถ่ ูกควา่ บาตร 2) อธิปไตย จากอธิปไตรสตู ร (ที. มหา. 13/68/235-239) ได้อธบิ ายวา่ ด้วยอธิปไตย 3 คอื (2.1) อัตตาธิปไตย อธบิ ายวา่ ภกิ ษทุ ่อี อกบวชด้วยเห็นว่าตนตกอยู่ในกองทุกข์จะต้อง ละกามให้ได้ จะต้องตั้งสติมั่น ควบคุมกายให้สงบ ทาจิตให้เป็นสมาธิ ทาตนให้เป็นอธิปไตย ละอกุศล บาเพ็ญกุศล ละธรรมที่มีโทษ บาเพ็ญธรรมที่ไม่มีโทษ บริหารตนให้หมดจดอย่างน้ีเรียกว่า อตั ตาธิปไตย (2.2) โลกาธิปไตย อธิบายว่า ภิกษุที่ออกบวชแต่ยังรักในกาม พยาบาทวิหิงสา เป็น ต้น ผู้มีฤทธิ เช่น สมณะพราหมณ์ หรือเทวดาก็จะรู้ว่าภิกษุน้ันยังวุ่นอยู่ในธรรมอันเป็นบาป อกุศลก็ เม่ือภิกษุน้ันจะเอาสมณะพราหมณ์ เทวดาเป็นท่ีตั้ง ต้ังสติม่ัน กายไม่กระสับกระส่าย จิตเป็นสมธิ นน่ั เอง คือ “เธอทาโลก (ถือผูอ้ น่ื ) น้ันแล ให้เป็นอธปิ ไตย...” เราเรยี กว่า โลกาธปิ ไตย (2.3) ธรรมาธิปไตย อธิบายว่าภิกษุท่ีออกบวชเพ่ือละกองทุกข์ และเห็นว่าพระธรรม ของพระพุทธองค์น้ีดีแล้ว ไม่ควรเกียจคร้าน ทาความเพียร ตั้งสติม่ัน กายไม่กระสับกระส่าย จิตเป็น สมาธิ “เธอทาธรรมนนั่ แลใหเ้ ป็นอธิปไตย” ละอกุศล บาเพญ็ กุศล ละธรรมทม่ี ีโทษ บาเพ็ญธรรมท่ีไม่มี โทษ บริหารตนใหห้ มดจด...” เราเรยี กวา่ ธรรมาธิปไตย คาทงั้ สามนไี้ ดน้ าไปอธบิ ายเพื่อเทียบเคียงความหมายของศัพท์ทางรฐั ศาสตร์ของตะวนั ตก 5.1 สถานภาพของพุทธศาสนากบั สถาบนั การปกครอง ในประเด็นน้ีจะศึกษาฐานะของศาสนาพุทธกับสถาบันการปกครอง ซึ่งโดยหลักการแล้วก็ไม่ น่าจะมีความขัดแย้งกันแต่อย่างใด เพราะเป้าหมายของศาสนาพุทธคือ การหลีกพ้นออกจากทางโลก และความสาเร็จ หรือการได้บรรลุจุดหมายปลายทางน้ัน เป็นเร่ืองของปัจเจกชน เป็นเรื่องเฉพาะ บุคคล การเมอื งเป็นเรอ่ื งของอานาจ ลาภ ยศ สรรเสริญ เหลา่ นล้ี ว้ นเปน็ กเิ ลศ ตัณหา ท่ีทรงสั่งสอนให้ หลีกหนีท้ังส้ิน โดยประการฉะนี้ศาสนาพุทธจึงมิได้อยู่ในฐานะที่จะแข่งขันทางอานาจกับสถาบันการ ปกครองหรอื การเมือง 5.1.2 อินเดีย ความสัมพันธ์ของสถาบันการปกครองของอินเดียมักเป็นไปในรูปของการ อปุ ถัมภ์มากกว่า 1) พระเจา้ อชาตศิ ตั รูไดใ้ ห้การอปุ ถมั ภ์การทาปฐมสงั คายนาทก่ี รุงราชคฤห์แห่งแคว้น มคธ

188 2) เม่ือพระเจ้าอโศกได้มานับถือพระพุทธศาสนาก็ได้ทานุบารุงส่งเสริม พระพทุ ธศาสนาเปน็ อันมาก ทาใหม้ ีผู้ปลอมแปลงเป็นนกั บวชในศาสนาพุทธบ้าง เข้ามาเป็นนักบวชใน ศาสนาพุทธบ้าง แต่ยังคงมีวัตรปฏิบัติเหมือนเดิม มีความเช่ือเหมือนเดิม อันเป็นเหตุให้เกิดความ ขดั แย้งกันในวงการสงฆ์ ทาใหส้ งฆ์ที่แทไ้ มย่ อมรว่ มทาสงั ฆกรรมด้วย ไม่ร่วมอุโบสถดว้ ย พระเจ้าอโศกจงึ ให้มีการตรวจสอบภิกษุเหล่านน้ั ได้พบ พวกท่ีแอบแฝงอยูใ่ นร่มธงของพทุ ธศาสนา จงึ ส่งั ใหส้ กึ เสยี ตามพาหิรนิพพานวรรณาอา้ งวา่ มีพวก ปลอมเปน็ พระถูกจับสกึ ถึงหกหมื่นคน (อัง. ติก. 34/479/184-187) เม่ือชาระพวกปลอมแปลงเสร็จแล้วก็ทรงให้ทาสังคายนาพระไตรปิฎกอีก (ฝ่ายหินยาน นับเป็นคร้ังที่ 3 แต่ฝ่ายมหายานไม่ยอมรับ) แล้วได้ส่งพระธรรมทูตออกไปเผยแพร่พระศาสนายัง ต่างประเทศ เช่น โยนก ลังกา สุวรรณภูมิชนบท เป็นต้น นับเป็นการออกไปเผยแพร่พระศาสนานอก ประเทศครง้ั ย่งิ ใหญ่ บทบาทของพระเจา้ อโศกคร้งั นีน้ อกจากจะเปน็ บทบาทในการส่งเสรมิ พระศาสนาแล้ว ยังเห็น บทบาทในการปกครองดว้ ย คอื การสั่งสอบสวน และสกึ พวกปลอมแปลง หรอื อลชั ชีซง่ึ โดยปกติจะเป็น อานาจการจดั การของคณะสงฆ์ ส่วนในยุคของพระเจ้ากนษิ กะแหง่ แควน้ กษั มีระ กเ็ ปน็ การอุปถมั ภ์การสังคายนาพระไตรปิฎก เช่นกัน (ฝ่ายมหายานนับเป็นคร้ังที่ 3 แต่หินยานไม่นับ) ได้ทรงจารึกพระธรรมท่ีชาระแล้วเป็น ตวั อกั ษร 5.1.2 ธเิ บต เป็นประเทศเดียวที่ศาสนาพุทธได้เข้าไปเก่ียวพันกับการปกครอง และการเมือง ของประเทศมากที่สดุ ธิเบตมศี าสนาดั้งเดิมของตนคอื ศาสนาบอน (นับถือผ)ี ศาสนาพุทธท่ีเข้าไปสู่ธิเบตเป็นพุทธนิกายมหายานแต่พัฒนาไปต่างจากมหายานของจีน (แต่ เหมือนกันคือ นับถือพระโพธิสตั ว)์ เปน็ พทุ ธแบบธิเบตโดยเฉพาะ และยังได้แตกนิกายออกไปอีกหลาย นิกาย ประมาณ พ.ศ. 1100 พระเจ้าสรองสันคัมโปผู้มีความสามารถของธิเบตได้รวบรวมธิเบตเข้า เป็นปึกแผ่น และรบกันจีน จนได้รับพระราชทานพระราชธิดาจากพระเจ้าแผ่นดินจีน และเนปาลซึ่ง นับถอื ศาสนาพทุ ธดว้ ยกนั ท้งั คูท่ าให้พระองคห์ นั มานบั ถือศาสนาพุทธดว้ ย ประมาณ พ.ศ. 1290 คุรุปัทมสมภพ ภิกษุในนิกายตันตระโยคาจาร (มหายานสาขาหนึ่ง) ได้ เข้าไปเผยแพร่ศาสนาพุทธตามคาเชิญของกษัตริย์ของธิเบตองค์ถัดมา และได้เป็นผู้ให้กาเนิดลัทธิลา มะ (เสถียรโกเศศ และนาคะประทีป ,2503 หน้า,171) (ลามะแปลว่าเลิศ, สูงสุด) ซ่ึงได้รับความนิยม เพิม่ ข้นึ เปน็ ลาดับ จนกลายเป็นความขดั แย้งกับศาสนาบอนในเวลาต่อมา ฉะน้ันในบางยุคที่ผู้ปกครอง นับถือศาสนาบอน ศาสนาพุทธก็ถูกทาลายลงอย่างรุนแรงเช่นกัน จนกระทั่งประมาณ พ.ศ.๑๘๐๐ พระเจ้ากุบไลข่านแห่งมองโกล ซึ่งได้ขยายอานาจเข้ามาครอบครองจีน และธิเบต ได้ยกลามะนิกาย

189 สักยะข้ึนเป็นประมุขของพุทธนิกายธิเบตท้ังหลาย และยังได้ให้อานาจปกครองธิเบตในฐานะเจ้า ประเทศราชอีกด้วย (รายละเอยี ดดใู นตอนท่ี ๑) ทไลลามะองคท์ ่ี ๕ (เกิด พ.ศ.๒๑๖๐) เป็นทไลลามะที่ สร้างธิเบตให้เป็นเอกภาพ และคนธิเบตยอมรับฐานะการเป็นประมุขของรัฐ และศาสนาใน ขณะเดียวกนั (ฉัตร สมุ าลย์, กบิลสิงห์ ษฏั เสน, (แปล). , 2525 หน้า, 41) ซงึ่ ธเิ บตไดป้ กครองดว้ ยลักษณะดังกลา่ วนี้จนกระทั่งจนี เขา้ ยดึ ครองในปจั จุบนั กรณีของธิเบตเราจะเห็นว่าการมีอานาจทางการเมืองของศาสนาพุทธน้ัน เป็นเหตุผลมาจาก วัตถปุ ระสงคท์ างการเมอื งของมองโกลทจี่ ะใช้ศาสนาช่วยเหลอื การปกครองเมืองออกของตน 5.1.3 ลาว เขมร เวียดนาม พม่า ในบางระยะกลุ่มประเทศเหล่านี้ก็นับถือมหายาน แต่ ประมาณพุทธศตวรรษท่ี ๑๕ ก็เริ่มเป็นหินยาน โดยประวัติศาสตร์ของประเทศเหล่านี้ เราจะพบว่า ศาสนาพุทธมิได้มีบทบาททางการเมือง หรือไม่แสดงบทบาททางการเมืองอย่างเด่นชัด โดยมากจะ ดาเนนิ ไปอยา่ งสอดคล้องกับผูป้ กครองเสยี มากกว่า กรณีการเคล่ือนไหวของพระพม่าในการเรียกร้องเอกราชก็เป็นเร่ืองลัทธิชาตินิยมมากกว่า เรื่องศาสนา การต่อสู้ของพระกวาง ดั๊ก ในยุคโง ดินห์ เดียม ก็เป็นเร่ืองการประท้วงเพราะความ ลาเอียงทางศาสนา เพราะโง ดินห์ เดียม เป็นคาธอลิก และใช้ชาวคาธอลิกเป็นกาลังสนับสนุนทาง การเมืองในลาวและเขมร บทบาทการเคล่ือนไหวของพุทธศาสนิกชนทางการเมืองมักเป็นไปตาม กระแสการเคล่ือนไหวของอานาจรัฐ 5.1.4 ไทย ในพระไตรปิฎกได้บันทึกว่าพระเจ้าอโศกได้ส่งพระเถระไปเผยแพร่ พระพุทธศาสนายังต่างประเทศ รวมทั้ง “สุวรรณภูมิชนบท” ด้วย ซึ่งหากสุวรรณภูมิหมายถึงแหลม ทองแลว้ ศาสนาพุทธกม็ าถงึ ดินแดนนีต้ ัง้ แต่ พ.ศ. 200 กว่า ๆ (เป็นหินยาน) ประมาณพุทธศตวรรษที่ 12 อาณาจักรศรีวิชัยมีอานาจควบคุมถึงตอนใต้ของแหลมทอง ทา ใหน้ กิ ายมหายานเปน็ นิกายหลกั ทางตอนใต้ (เชน่ ไชยา นครศรธี รรมราช เปน็ ต้น) ขณะที่ทางลุ่มน้าเจ้าพระยาอยู่ในยุคของอาณาจักรทวาราวดี (พุทธศตวรรษท่ี 12-14) เป็น หินยาน และตอนปลายศตวรรษท่ี 14 ไดร้ ับอิทธพิ ลลัทธิฮนิ ดูและมหายานจากขอมมาใชด้ ้วย สมัยสโุ ขทัยนอกจากจะ “...มพี ิหารอันใหญ่ มีพิหารอันราม มีปู่ครูนิสสัยมุต มีเถร มีมหาเถร” แล้ว “พ่อขนุ รามคาแหงกระทาโอยทานแก่มหาเถรสังฆราชปราชญ์เรียนจบปิฎกไตร” มากไปกว่าน้ัน “...วันเดือนดับ เดือนโอกแปดวัน วันเดือนเต็ม เดือนข้างแปดวัน ฝูงปู่เถร มหาเถรข้ึนน่ังเหนือขดาน หิน สดู ธรรมแกอ่ บุ าสก ฝูงท่วยจาศลี ” พ.ศ. 1888 พญาลไิ ทยไดท้ รงนพิ นธ์ไตรภูมิระหวา่ ง พ.ศ. 1890 ได้ครองกรุงสุโขทัย ทรงพระ นามว่า “ศรสี ุรยิ พงศร์ าม มหาธรรมราชาธิราช” พ.ศ.1905 ได้ทรงผนวช พระมหากษัตริย์ของสุโขทัย ลาดับถัดมาก็มีพระนามว่ามหาธรรมราชาทุกพระองค์ (คณะกรรมการพิจารณา และจัดพิมพ์เอกสาร ทางประวัติศาสตร์ ประชุมศลิ าจารึก ภาคที่ 1, 2521. หนา้ , 13)

190 ในจกั กวัตติสตู ร (องั . ตกิ . 34/453/35-36) พระพทุ ธองค์ได้เรยี กพระเจา้ พรรดิ์ท่ีอาศัยธรรมสักการะเคารพนบนอบธรรม มีธรรมาธิปไตยในการให้ ความคุม้ ครองผูใ้ ต้ปกครองท้งั หลายวา่ เปน็ ธรรมราชา และทรงเรียกพระองค์เองว่าเป็นพระธรรมราชา เชน่ กัน สมัยอยุธยาคติพราหมณ์เข้มแข็งขึ้น โดยเฉพาะความเชื่อในเร่ืองของสมมติเทพ แต่คติพุทธก็ มิได้ถูกทอดท้ิง พระมหากษัตริย์องค์ต่าง ๆ ก็ได้ทานุบารุงพุทธศาสนามาด้วยดี มีการสร้างวัด ถวาย ทด่ี นิ วัด ถวายข้าพระเลกวดั เปน็ ตน้ บางครง้ั ศาสนาก็เขา้ มาเสริมกฤดาธิการของพระมหากษัตริย์ เช่น จะมีพระธาตุปรากฏออกมาเมื่อจะออกศึกษา หรือชนะศึก หรือเมื่อจะยึดอานาจ พระนามของ พระมหากษัตริย์ท่ีเคยต้ังตามคติพราหมณ์ เช่น พระนารายณ์ พระนเรศวร ก็มีคติพุทธเข้ามาแทรก เชน่ หนอ่ เนื้อพทุ ธางกรู ธรรมิกราช พระเจา้ ทรงธรรม เปน็ ตน้ อย่างไรก็ตาม การบริหารกิจการของสงฆ์ไม่ว่าในสมัยสุโขทัย หรืออยุธยาก็ตกอยู่ภายใต้ อานาจของรัฐมาตลอด พระมหากษัตริย์จะเป็นผู้ถวายสมณศักดิ์ และตาแหน่งในการปกครองคณะ สงฆ์ เชน่ ตาแหนง่ สมเด็จพระสงั ฆราช พระมหาเถระ เป็นต้น สมัยรัชกาลท่ี 1 นอกจากจะทาสังคายนาพระไตรปิฎกแล้วยังได้ออก “กฎพระสงฆ์” เพ่ือ ควบคุมความประพฤติของสงฆ์ถึง 10 กฎ (กรมศิลปากร, เร่ืองกฎหมายตราสามดวง, 2521. หน้า, 544-569) สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ได้ทรงปฏิรูประเบียบการบริหารราชการแผ่นดิน ท้ังหมด โดยรวมอานาจเข้าสู่ส่วนกลาง ทางพระศาสนาก็ได้ทรงตราพระราชบัญญัติลักษณะการ ปกครองคณะสงฆ์ รศ. 121 โดยรวมอานาจเข้าสู่ส่วนกลางเช่นกัน (สมบูรณ์ สุขสาราญ, 2527 หน้า, 61) คือ 1. พระมหากษตั รยิ ์ทรงแต่งต้ังถอดถอนสมณศักด์ิ และตาแหน่งบริหารตั้งแต่ระดับเจ้า คณะจังหวัดขน้ึ มา 2. มหาเถรสมาคมปกครองและบริหารคณะสงฆ์ในพระปรมาภิไธยของ พระมหากษตั รยิ ์ 3. กระทรวงธรรมการควบคุมทางระเบียบการบริหารทรัพย์สินของวัด กระทรวง มหาดไทยควบคมุ การตง้ั วดั ปัจจุบันคณะสงฆ์ไทยบริหารกิจการสงฆ์ภายใต้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 โดยมี สาระสาคญั คือ (ชาเลือง วุฒจิ ันทร์, 2526) 1. มสี มเดจ็ พระสงั ฆราชเปน็ ประมขุ และปกครองคณะสงฆ์ ได้รับการแต่งตั้งและถอดถอนโดย พระมหากษัตริย์

191 2. มมี หาเถรสมาคม ประกอบด้วย สมเด็จพระสังฆราช สมเด็จพระราชาคณะ และพระราชา คณะ (จานวนหน่ึงท่ีสมเด็จพระสังฆราชทรงเลือกมาเป็นกรรมการ) อธิบดีกรมศาสนาเป็นเลขาธิการ โดยตาแหน่ง มหาเถรสมาคมมีหน้าทตี่ รากฎ ขอ้ บงั คบั วางระเบยี บ ออกคาสงั่ เพ่อื ปกครองคณะสงฆ์ 3. สมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้ง และถอดถอนเจ้าคณะใหญ่ซึ่งมีหน้าท่ีปกครองดูแลสงฆ์ ตามภาคปกครอง (ของสงฆ์) และนิกายต่าง ๆ คือ มหานิกาย ธรรมยุตินิกาย จีนนิกาย อนัมนิกาย (กฎกระทรวง ฉบับที่ 3, 2520, กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 4, 2506) 4. การปกครองส่วนภูมิภาคแบ่งเป็นภาค จังหวัด อาเภอ ตาบล (กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 4, 2506) 5. สมเดจ็ พระสังฆราชทรงแต่งต้ังเจ้าคณะภาค และคณะจังหวัด โดยความเห็นชอบของมหา เถรสมาคม (กฎมหาเถรสมาคม ฉบับท่ี 5, 2506) 6. พระสงั ฆาธกิ าร (ผู้ทาหนา้ ทฝ่ี ่ายปกครอง) ตั้งแต่ชนั้ เจ้าคณะภาคข้ึนมา และเจ้าอาวาสพระ อารามหลวงจะต้องมีสมณศักดิ์ (ซ่ึงพระราชทานโดยพระมหากษัตริย์) (กฎมหาเถรสมาคม ฉบับท่ี 5, 2506) 7. คาส่ังมหาเถรสมาคม พ.ศ 2517 ห้ามภิกษุสามเณรเข้าไปในที่ชุมนุมทางการเมือง หา้ มช่วยเหลือการหาเสยี ง และห้ามชุมนุมเรียกรอ้ งสิทธิ และร่วมอภปิ รายทางการเมอื ง 8. ประกาศมหาเถรสมาคมวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2476 ห้ามสงฆ์เก่ียวข้องกับการ โยกยา้ ยเลอื่ นตาแหน่งของขา้ ราชการ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2534 มาตรา 110 (2) กาหนดว่าภิกษุ สามเณร นักพรต นักบวช ไม่มีสิทธิเลือกต้ัง ซ่ึงก็หมายถึงไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกต้ังด้วย ข้อกาหนดเช่นน้ีจะ ปรากฏอยใู่ นรัฐธรรมนูญของไทยเกือบทุกฉบบั ในพระราชบญั ญตั พิ รรคการเมือง พ.ศ. 2524 (ม.7) ก็ กาหนดหา้ มภิกษุ สามเณร นักพรต นกั บวช เปน็ สมาชิกพรรคการเมืองด้วยเชน่ กัน อนึง่ อุโบสถกรรมของสงฆ์ท่ถี อื ปฏบิ ตั ิกันทุกก่ึงเดือน (14 หรือ 15 ค่า) คือการสวดปาฏิโมกข์ ในอุโบสถขันธกะ (167) กาหนดให้สวดปาฏิโมกข์ต้องสวดเต็มบท จะสวดย่อได้ก็ต่อเมื่อประสบกัน อนั ตราย 10 ประการ ข้อหน่งึ ในอนั ตราย 10 ประการ คอื พระราชาเสดจ็ มา สมเดจ็ พระสังฆราชเจา้ กรมหลวงชินวรสริ วิ ฒั น์ (อย่ใู นตาแหนง่ ระหวา่ ง พ.ศ.2464-2477) ได้ ทรงประทานพระวินจิ ฉยั เรอ่ื งความสัมพนั ธข์ องฝ่ายรัฐกับศาสนาว่า “การส่วนตัว การคณะสงฆ์ หรือ การพระศาสนานนั้ ราชการเปน็ ใหญ่หรอื สาคัญกวา่ ” เม่ือได้รบั นิมนต์เทศน์หรือสวดไว้ แตร่ าชกิจ นิมนตม์ าภายหลงั ก็ใหร้ ับราชกิจนมิ นต์ไว้ กิจนิมนต์ท่ีรับไว้ก่อนให้คืนหรือหาให้ผู้ไปแทน หรือหากราช กิจนมิ นตต์ รงกบั วันทาอุโบสถ กใ็ ห้เลอ่ื นเวลาสวดปาฏิโมกข์ขน้ึ มา หรอื กลบั มาทาภายหลัง ทง้ั น้ีได้ทรง อ้างว่า “พระพทุ ธเจา้ ก็ทรงยอมใหร้ าชการเปน็ ใหญ่ เชน่ กาลงั สวดปาฏิโมกข์ พระราชาเสด็จมาก็ต้อง ตัดลัดจบรับเสดจ็ พระราชา” (สนติ์ แสวงบญุ , 2515 )

192 โดยสรุป จึงอาจกล่าวได้ว่าศาสนาพุทธในประเทศไทยอยู่ภายใต้การจัดการของรัฐ รัฐดูแล และปกครองกิจการของศาสนา ในบางโอกาสก็ก้าวไปสู่การปกครองสงฆ์ (พ.ร.บ.สงฆ์ 2505 กาหนดใหก้ ารปกครองสงฆต์ ามพระวินัยเปน็ อานาจของคณะสงฆ์ เชน่ เม่อื ต้องคาพิพากษาของศาลให้ จาคุก กักขงั ล้มละลาย หรือเป็นผู้ตอ้ งหาวา่ กระทาความผิดอาญา และต้องถกู คมุ ขงั ) สรปุ โดยทางปฏิบัติ และปรัชญาของศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่ต้องการหลีกพ้นจากกิจกรรมทาง โลก ไมป่ ระพฤตติ นเหมือนชาวโลก คาสอนของศาสดาก็ดี อรรถกถาจารย์ก็ดี ก็อยู่ในขอบเขตของการ อธิบายสัจจธรรม และทางบรรลุธรรมนั้น การเผยแพร่คาสอนก็เป็นไปโดยสันติวิธี เทศน์บ้าง ปุจฉา วิสัชนาบ้าง ในประวัติศาสตร์ไม่ปรากฏว่าผู้เผยแพร่พระธรรมไม่ว่าจะเป็นนักบวช หรือฆราวาสได้ใช้ วธิ กี ารรนุ แรง กรณีตัวอย่างเชน่ พระเจ้าอโศกซ่งึ เป็นนกั เผยแพร่ทย่ี ิง่ ใหญ่ก็ใช้สันติวธิ ี วรรณกรรมของพุทธศาสนาท่ีเขียนขึ้นในภายหลังส่วนใหญ่อธิบายธรรมะบ้าง ประวัติ พระพุทธเจ้า จะมีต่างกันออกไปก็เป็นวรรณกรรมสนับสนุนความคิดท่ีมีผลต่อการแตกนิกายมากกว่า เช่น พระอัศวโฆษ (สมัยพระเจ้ากนิษกะ) แต่งเรื่องพุทธจริยา พระนาคารชุน แต่งมัธยามิกศาสตร์ (รากฐานของมหายาน) พระวสุพันธ์ุแต่งอภิธรรมโกศ ท่านชินเรนเขียนบทความตันนิโช ในประเทศ ไทยก็มตี านานมูลศาสนาวา่ ด้วยประวัติพทุ ธศาสนา และการสถาปนาพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิชินกาล มาลปี กรณว์ า่ ด้วยกาเนดิ และการเผยแพรศ่ าสนา โดยเฉพาะในประเทศไทย เปน็ ต้น ได้เคยกล่าวไว้แล้วว่าศาสนาฮินดูถือว่าพระพุทธเจ้าเป็นอวตารปางหนึ่งของพระนารายณ์ (สมภพ ภิรมย์ , 2534 หน้า, 20) แต่จากพระไตรปิฎกโดยเฉพาะในพระสูตรก็มีเทพของฮินดูปรากฏ อยู่มากเหมือนกนั เชน่ พระพรหมขอใหพ้ ระพุทธเจา้ แสดงธรรมโปรดสัตว์เม่ือได้ตรัสรู้ และกล่าวคาถา ระลึกถึงสัจธรรมแห่งความเป็นอนิจจัง เมื่อพระพุทธองค์ได้เสด็จปรินิพพาน ในมหาสมัยสูตรได้พูด เรอื่ งเทวสนั นิบาต (ที. มหา. 14/236-246/73-85) คอื การชุมนุมกนั ของเทพทัง้ หลาย เช่น จตุโลกบาล พระพรหม และพระอินทร์เพ่ือฟังธรรมของพระพุทธองค์ และได้บรรลุธรรมเป็นจานวนมาก ท้าว สักกะ (พระอินทร์) สนทนาธรรมด้วยบ่อยครั้ง และประกาศว่าเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า(ที. มหา. 14/262/149) ส่วนพรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขานั้น ถือเป็นวัตรสาหรับผู้ท่ี ต้องการมคี วามสุขในชนั้ พรหม ถา้ ม่ันอยูใ่ นพรหมวิหาร ๔ ก็จะได้เข้าอยู่ในท่ีอยู่ของพรหม หรือตายไป ก็จะได้เข้าสู่พรหมโลก แต่พระพุทธองค์ทรงเห็นว่าวัตรที่ดีที่สุดคือ มรรค ๘ เพราะเป็นวัตรที่ปฏิบัติ เพื่อความเบื่อหน่าย เพ่ือคลายกาหนัด เพ่ือดับสนิท เพ่ือสงบระงับ เพ่ือความรู้ย่ิง เพื่อตรัสรู้ เพ่ือ นิพพาน (มชั . มชั . 21/462-463/75-76)

193 คาถามทา้ ยบท 1. จงอธิบายเป้าหมายการศึกษาของพระสมณโคดม และขอบเขตการศึกษาของพระสมณโค ดมตามแนวทางพระพุทธศาสนา มาพอสงั เขป ? 2. กาเนิดสงั คม รัฐบาล และวรรณะ ตลอดจนถึงการปกครองตามแนวทางพระพุทธศาสนามี ลักษณะอย่างไร มาพอสังเขป ? 3. ข้อปฏบิ ัตขิ องพลเมืองตามแนวทางพระพุทธศาสนา ประกอบดว้ ยอะไรบา้ ง มาพอสังเปข? 4. การมองเร่ืองความเสมอภาคในพุทธศาสนาแตกต่างไปจากการมองเรื่องความเสมอภาค ของศาสนาครสิ ต์ หรอื ความคดิ ของกลุม่ สัญญาประชาคมอย่างไรบ้าง ? 5. จงอธิบายคาศัพท์ทางศาสนาพุทธที่นามาใช้ทางการเมือง และสถานภาพของพุทธศาสนา กบั สถาบนั การปกครองตามแนวทางพระพุทธศาสนามาพอสงั เขป ?

บรรณานุกรม พระไตรปิฎกที่ใช้อ้างอิงเป็นฉบับแปลเป็นภาษาไทยของมหามกุฎราชวิทยาลัย โดยโรงพิมพ์มหากุฎราช วิทยาลัย พ.ศ. 2533 การทาอ้างอิงเทียบเคียงกับการอ้างอิงพระไตรปิฎกจากภาษาบาลี คือเรียงลาดับจากช่ือ หนังสือ เล่มที่ (ในท่ีนี้เป็นเลขเล่มภาษาไทย) ข้อท่ี และเลขหน้าในเล่ม เช่น ที. สีล. 11/90/64-66 ก็คือ พระไตรปฎิ ก (ภาษาไทย) เล่มที่ 11 ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค ข้อที่ 90 หน้า 64-66 ในบางตอนจะไม่มีเลขข้อก็ จะใช้ 1/24 คือเล่มท่ี 1 หน้าที่ 24 สงั .นิ. 26/422/ 506-507 สงั .น.ิ 25/423/508-509 สงั .นิ. 26/426/510 สงั .ii. 26/431-432/511-516 ทฆี .มหา. 14/294/23 มชั .มชั . 20/152/304 มัช.มชั . 20/150/301-302 ที.สลี . 12/293/164 องั .ทสก 38/74/234 มหา. 6/109/258 มชั .มูล. 18/321/419-420 มัช.มูล. 18/323/421-422 มัช.มชั . 21/666/377 มัช.มชั . 21/664/374 ท.ี ปา. 15/67/163 ที.ปา. 15/68/163 ท.ี ปา. 15/64/162) มหา. ปฐม. 1/314) ที.ปา. 15/71/164) ท.ี ปา. 15/70/164) ที.ปา. 15/51-72/144-165 ที.ศีล. 12/206/48-49

195 ขุท. ชา. 59/1059/333 ท.ี ปา. 15/35/102-103 ขุท. ชา. 60/1580-1583-1585-1586/85-86 ขทุ . ชา.59 ๕๙/1148-1154/495-497 มัช. มลู . 19/490/272-273 ที.ปฏิ 16/174-204/78-91 ที. มหา. 13/141/320 มหา. 6//134 มหา. 16/92/178 ที. มหา. 13/68/235-239 อัง. ตกิ . 34/479/184-187 อัง. ติก. 34/453/35-36 ท.ี มหา. 14/262/149 ท.ี มหา. 14/236-246/73-85 มัช. มชั . 21/462-463/75-76 กรมศลิ ปากร.(2521). เรอื่ งกฎหมายตราสามดวง, (กรุงเทพฯ: หา้ งหุ้นส่วนจากดั อดุ มศึกษา เกษยี ร เตชะพีระ.(2547).“วฒั นธรรรมการเมอื งอานาจนิยมแบบเป็นปฏิปักษก์ ับการปฏิรูปภายใตร้ ะบอบ ทกั ษณิ ” ใน สมชาย หอมลออ (บ.ก.), อุ้มทนายสมชาย นีละไพจิตร: บทสะท้อนวัฒนธรรมอานาจ นิยมในสงั คมไทย, (กรงุ เทพฯ : คณะทางานปกปอ้ งนักต่อสเู้ พ่ือสิทธิมนษุ ยชน) กวี อศิ รวิ รรณ .(ม.ป.ป). 20 ความคดิ ทางการเมอื ง, (กรงุ เทพมหานคร: บริษทั สยามบรรณ) กุลดา เกษบญุ ชู ม้ีด .(2552).ววิ ัฒนาการรฐั อังกฤษ ฝร่ังเศส ในกระแสเศรษฐกิจโลก จากระบบฟิวดลั ถงึ การ ปฏวิ ตั ิ, พมิ พ์คร้ังที่ 2 (กรงุ เทพฯ : ฟ้าเดยี วกัน) คณะกรรมการกลุม่ ผลติ ชดุ วิชาปรชั ญาการเมอื ง.(2527).เอกสารการสอนชดุ วชิ า ปรชั ญาการเมือง, สานกั พมิ พ์ มหาวทิ ยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธริ าช คณะกรรมการพจิ ารณา และจดั พมิ พเ์ อกสารทางประวัตศิ าสตร์ สานกั นายกรัฐมนตรี เลขาธิการคณะรัฐมนตรี. (2521). ประชุมศลิ าจารึก ภาคท่ี 1 กรุงเทพฯ: โรงพมิ พส์ านกั เลขาธกิ ารคณะรัฐมนตรี

196 จรูญ สุภาพ.(2528) ลัทธิการเมืองและเศรษฐกิจเปรียบเทียบ. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพมหานคร: ไทยวัฒนา พานชิ . จรญู สภุ าพ.(2514) หลกั รฐั ศาสตร.์ กรงุ เทพมหานคร: ไทยวฒั นาพานิช. จานงค์ ทองประเสรฐิ .(2514). ปรัชญาตะวนั ตกสมัยใหม.่ กรุงเทพมหานคร: แพรว่ ทิ ยา จานงค์ ทองประเสริฐ, ผแู้ ปล.(2537). บ่อเกิดลทั ธิประเพณีจีน ภาค 1-3 พมิ พ์คร้งั ท่ี 2 กรงุ เทพมหานคร : ราชบณั ฑติ ยสถาน ฉตั รทพิ ย์ นาถสภุ า.(2551).ลทั ธเิ ศรษฐกิจการเมอื ง, พมิ พค์ ร้ังท่ี 8 กรุงเทพฯ : จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั ฉตั ร สุมาลย,์ กบลิ สงิ ห์ ษัฏเสน, (แปล).(2525) สทั ธรรมปณุ ฑรีกสตู ร. กรุงเทพฯ: มหาจฬุ าลงกรณ์ราช วทิ ยาลยั ชาเลือง วฒุ ิจนั ทร์.(2526).พระราชบัญญัตคิ ณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ กฎกระทรวง กฎมหาเถรสมาคม ฯลฯ, พมิ พค์ รั้งที่ 2 กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์การศาสนา ซิวไช, ปรัชญาจนี แปลโดย สกล นิลวรรณ.(2523). จาก The Story of Chinese Philosophy พระนคร: โอเดียนสโตร์ ชยั อนันท์ สมุทวาณชิ .(2513).โลกทัศน์ของออบส์, ในวารสารศาสตร์ (คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลยั ) ปที ่ี 7 ฉบบั ท่ี 3 กรกฎาคม ชุมพร สงั ขปรีชา.(2531). ปรัชญาและทฤษฎกี ารเมอื งว่าดว้ ย ธรรมชาติของมนุษย์. กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดอบ บวั ขาว และพภิ พ ตงั คณะสิงห์.(2513). ชีวประวตั ิ และคาสอนของขงจ้ือ พระนคร: เกษมบรรณกิจ เดชชาติ วงศ์โกมลเชษฐ์.(2524).ทฤษฎกี ารเมืองและสังคม กรุงเทพมหานคร: สานกั พมิ พ์ดวงแด ทินพนั ธ์ นาคะตะ, (2541) นักคิดผู้ยง่ิ ใหญ่ของโลก ปรชั ญาและทฤษฎกี ารเมือง, ทักษ์ เฉลิมเตยี รณ.(2552). การเมืองระบบพ่อขนุ อปุ ถมั ภ์แบบเผดจ็ การ กรุงเทพฯ : มูลนธิ ิโครงการตารา สงั คมศาสตร์และมนษุ ยศาสตร์ ธนาพล ล่มิ อภชิ าต. (2560).“สมบูรณาญาสิทธริ าชย์” คอื อะไร: การตอ่ สู้ทางความคิด ความรู้ และอุดมการณใ์ นสังคมไทย. รฐั ศาสตร์สาร. 38 (3) บญุ มี แท่นแก้ว. (2545).ปรัชญาตะวันตก (สมัยใหม่). พมิ พ์ครง้ั ที 1 (กรุงเทพมหานคร: พิมพ์ท่ี โอ เอส พร้นิ ต้งิ เฮ้าส์ บางกอก ปกรณ์ ลิมปนสุ รณ์.(2540).คัมภีร์เต๋าของเหลาจื่อ. กรงุ เทพ: สานกั พมิ พ์เคล็ดไทย ปกรณ์ ลมิ ปนุสรณ์.(2547). คัมภีร์เต๋าของเหลาจอ่ื . กรงุ เทพ: สานักพิมพส์ ร้างสรรค์ พระอมรมนุ ี (สวุ รรณ วรฎฐานี.(2515) แนวปรัชญาตะวันตก กรงุ เทพมหานค ร: เจริญวัฒนาการ

197 พระมหาบุญเรือง ปญฺญาวชิโร.(2541). “การศกึ ษาแนวความคดิ เร่ืองมนุษยนยิ มในปรัชญาขงจือ้ ”, วทิ ยานิพนธพ์ ุทธศาสตรมหาบัณฑติ , บัณฑิตวทิ ยาลัย: มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ฟนื้ ดอกบัว.(2542).ปวงปรัชญาจีน.พมิ พ์คร้ังท่ี 2 กรงุ เทพมหานคร: สานักพิมพ์ศยาม มอริช แครนสตัน เขยี น, ส.ศิวรักษ์, แปล.(2514). ปรชั ญาการเมือง กรุงเทพมหานคร: ไทยวัฒนาพานิช ราชบัณฑิตยสภา.(2543). พจนานุกรมศพั ทป์ รชั ญาอังกฤษ – ไทย, พิมพ์คร้งั ที่ 3 กรุงเทพมหานคร :บรษิ ัท เท็กซ์ แอนด์ เจอร์นลั พับลเิ คชนั่ จากัด วุฒศิ ักดิ์ ลาภเจรญิ ทรัพย.์ (2518) รฐั ศาสตร์การเมือง กรุงเทพฯ: โรงพิมพพ์ ฆิ เนศ ศรีสรุ างค์ พูลทรัพย์ .(2545).ประวัตศิ าสตร์ภมู ปิ ัญญาอนิ เดยี . (กรุงเทพฯ: สานกั พิมพ์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร)์ สมบตั ิ จันทรวงศ.์ (2527).ความนาวา่ ด้วยอตุ มรฐั ของเพลโต. กรงุ เทพมหานคร: สานกั พิมพ์จฬุ าลงกรณ์ มหาวทิ ยาลัย. สมบตั ิ ธารงธญั วงศ์.(2545).การเมอื ง : แนวคิดและการพฒั นา กรงุ เทพมหานคร: สานักพมิ พ์เสมาธรร สมบตั ิ จนั ทรวงศ์.(2548) หนังสอื พมิ พผ์ ู้จดั การ, วันท่ี 26 ธนั วาคม สมพงศ์ เกษมสิน.(2519). ลัทธกิ ารเมอื ง. กรงุ เทพมหานคร: สานักพมิ พ์ไทยวัฒนาพานชิ . สุลกั ษณ์ ศวิ รักษ.์ (2519).นกั ปรัชญาการเมอื งฝร่งั เศส กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์พฆิ เนศ สมฤดี วศิ ทเวทย์.(ม.ป.ป) ปรชั ญาของจอห์น ล็อค, (กรงุ เทพมหานคร: หา้ งหุ้นส่วน จากัด สวุ รรณา สถาอานันท.์ (2539). กระแสธารปรัชญาจนี : ขอ้ โต้แยง้ เรือ่ ง ธรรมชาติ อานาจ และจารตี . กรุงเทพ: สานกั พิมพ์จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย สมฤดี วศิ ทเวทย์.(2526). ปรัชญาการเมืองของจอห์น ลอ็ ค, (กรุ งเทพมหานคร: สานักพิมพ์จฬุ าลงกรณ์ มหาวิทยาลัย สมบตั ิ จันทรวงศ์และชัยอนนั ต์ สมทุ วณชิ .(2523). ความคดิ ทางการเมอื งไทย กรงุ เทพฯ : บรรณกจิ เสถียร โพธินันทะ.(2544) เมธีตะวันออก. พมิ พ์ครงั้ ท่ี 7. กรุงเทพมหานคร:สานักพมิ พส์ รา้ งสรรคบ์ ุคส์ เสถยี รโกเศศ และนาคะประทีป. (2503).ลทั ธิของเพื่อน. พระนคร: โรงพมิ พพ์ ระจนั ทร์ สมบรู ณ์ สขุ สาราญ.(2527). พุทธศาสนากับการเปลีย่ นแปลงทางการเมอื งและสังคม, สานักพิมพจ์ ุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลัย สนต์ิ แสวงบญุ .(2515).ทาเนยี บพดั ยศ สมณศักดิ์, นครหลวง: ฮว่ั ฮะฮวด สมภพ ภิรมย์ ร.น.(2534).นารายณ์สิบปาง สานกั พมิ พเ์ มืองโบราณ โรงพิมพอ์ ักษรสมั พันธ์ อนันตช์ ัย เลาหะพันธุ์ .(2533)เรือ่ งนา่ ร้ใู นยโุ รปสมยั กลาง, พิมพ์คร้ังที่ 3 (กรุงเทพฯ : ศกั ดิโสภาการพิมพ์,

198 อรรถจักร สตั ยานุรักษ์ .(2541). การเปล่ียนแปลงโลกทศั นข์ องชนชน้ั ผู้นาไทย ต้งั แต่รัชกาลท่ี ๔ ถงึ พทุ ธศกั ราช 2475 พมิ พ์ครั้งที่ 2 กรุงเทพฯ : จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั อมร รกั ษาสัตรย์ .(2548).พระราชอานาจตามกฎหมาย อณั ณพ ชบู ารงุ .(2527). ทฤษฎอี าชญาวิทยา, O.S.Printing House Co.,Ltd.), กรงุ เทพฯ เอ็ม เจเฮารบ์ อน เขียน, เสนห่ ์ จาริก แปล.(2542). ความคดิ ทางการเมอื งจากเพลโตถึงปจั จุบัน, พมิ พค์ รง้ั ที่ 4, กรงุ เทพมหานคร: สานักพมิ พ์มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ Badie and Leonardo.(2011).International encyclopedia of political science. Thousand Oaks, Calif.: SAGE Publications Cheibub, José Antonio.(2010). \"Democracy and dictatorship revisited\". Public Choice. 143 (1–2): 67–101. doi:10.1007/s11127-009-9491-2. ISSN 0048-5829. 2010-04-01. สืบคน้ เมื่อ 2019- 09-24 Curtis, Michael, ed. (1991).The Great Political Theories : From Plato and Aristotle to Locke and Monte,rquieu. (New York : Avon Book Division) Hacker, Andrew.(1963).The Study of Polirics: The Western Tradition and American Origins-New York : McGraw-Hill Book Company, Inc., Hall, David and Roger T.(1998).Daoist Philosophy. In Edward Craig (ed.). Routledge Encyclopedia of Philosophy. CD-Rom Version 1.0. Heywood A, Politics..(2007). (NewYork: Palgrave Macmillan) Hanisch, C. .(2019).The Personal Is Political. Retrieved February 21, Harmon, M. Judd. .(1964).Political Thought : From Plaro to the Presenf. New York : McGraw- Ha Inc., Joseph K, .(2013).Comparative Politics: An Introduction, (USA: McGraw-Hill Education) John P. McKay, Bennett D. Hill and John Buckler,.1987).( A History of Western Society Volume I: From Antiquity to the Enlightenment, 3th ed., (U.S.A.: Houghton Miffl in, ) Jeremy Black,.(2003). A History of the British Isles, 2th ed. NewYork : Macmillan Kateb, George. .(1968).Polilical Theory : IIS Nature and Uses. New York : St. Martin’s Press, Kurian, .(2011).The encyclopedia of political science, (Washington: CQ Press),

199 Kesboonchoo-Mead, (2012).“The cold war and Thai democratization”. In Southea and the cold war. New York: Routledge, Linz, .(2000).Totalitarian and authoritarian, (Boulder: Lynne Rienne) Loon, Hendrik Willem Van. (1961).The Story oJMankind. (New York : Washington Square Press, Inc.) Lin Yu–tang, (1939).MY Country and my People, ( Paris) McDonald, Lee Cameron. (1968).Wesiern Political Theory : From Iis Origins IO fhe Present, New York: Harcourt, Brace and World, Inc., Murphy. .(1970).The Style and SIudy of Political Science. Greenview, Illinois : Scott, Foresman and Company Pollard; Rosenberg; Tignor, Elizabeth; Clifford; Robert (2011). Worlds Together Worlds Apart. New York, New York: Norton. p. 164. ISBN 9780393918472. Robin W. Winks and Thomas E. Kaiser,.(2004). Europe 1648 - 1815 From the Old Regime to the Age of Revolution (New York : Oxford University, Shively, W. P., .(2008).Power & Choice: An Introduction to Political Science. (UK: McGraw- Hill Education) Smith, Edward C., and Zurcher, Arnold J..(1968). Dictionary of American Politics. New York : Barnes and Nobies, Inc., Sabine. .(1965).A Hisiory of Political Theory. (New York : Holt, Rinehart, and Row) The Ancient Chinese Super State of Primary Societies: Taoist Philosophy for the 21st Century, You-Sheng Li, June 2010 Wanlass, Lawrence C. .(1953). Gettell’s History of Political Thought. New York : Appieton- Century-Crofts, Inc. เวป็ ไซค์ https://th.wikipedia.org/wiki/ลัทธิเตา๋ , (สืบคน้ เม่ือ 20 สงิ หาคม 2562) http://en.wikipedia.org/wiki/Theory ( สืบค้นเมือ่ 1 เมษายน 2562)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook