41 โค่นล้มทรราช เปล่ียนรูปการปกครองไปสู่อภิชนาธิปไตย นานไปเข้าอภิชนาธิปไตยกลับกลายเป็น คณาธิปไตย เม่ือคณะผู้ปกครองหันไปแสวงหาผลประโยชน์ใส่ตน เหตุการณ์ดังนี้จะทาให้ประชาชน รวมพลังกันปฏิวัติ การปกครองจะกลายเป็นประชาธิปไตย จากประชาธิปไตย การปกครองจะเปล่ียน ไปสู่การปกครองโดยฝูงชนท่ีบ้าคลั่ง (Mob Rule) เพราะประชาชนจะถูกชักจูงโดยนักฉวยโอกาสทาง การเมอื งใชโ้ วหารปลกุ ระดมใหใ้ ชพ้ ลังเพ่ือประโยชนข์ องเขาแล้วสดุ ท้ายก็จกลับสู่ระบบราชาธิปไตยอีก เมื่อมีผู้ที่มีความสามารถใช้จิตวิทยาครองใจประชาชนได้ รูปการปกครองจะแปรเปลี่ยนหมุนเวียน เป็นวัฏจักรไม่มีที่สิ้นสุด เพราะรูปการปกครองเฉพาะแบบไม่สามารถที่จะคงความเป็นรูปของมันอยู่ ได้ตลอดด้วยเหตุผลดงั กลา่ วเทา่ น้ัน จงึ จะไดร้ บั การยอมรับและมีอิทธิพลเปน็ รากฐานตอ่ การต้ังสถาบัน การเมืองต่าง ๆ ใหป้ รากฏเปน็ จรงิ 2.นกั ปรชั ญาทางการเมืองสมัยกลาง 2.1 เอากสุ ตีน หรือ เอากุสตีนสุ (Aurelius Augustinus หรือ Saint Augustine) เอากุสตีน (Aurelius Augustinus หรือ Saint Augustine: ค.ศ. 354-430) เกิดท่ี เมืองธากัสท์ (Thagaste) ที่อยู่ทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา และมรณภาพที่เมืองฮิปโป (Hippo) บดิ าของท่านเปน็ ผู้ไม่นับถือศาสนาใดแน่นอนแต่มารดานับถือศาสนาคริสต์ เอากุสตีนเป็นเด็กท่ีฉลาด บิดามารดาจึงส่งท่านไปศึกษาท่ีโรงเรียนช้ันสูงท่ีเมืองมาโดราและท่ีเมืองคาเทธและที่เมืองคาเทธนี้ ท่านได้ศึกษาวชิ าทั่วไปและไดเ้ ริ่มสนใจวิชาปรัชญาและท่ีเมืองน่ีทานได้อ่านหนังสือของซิเซโรเล่มหนึ่ง ซ่ึงนับว่าเป็นหนังสือเล่มแรกที่ทาให้เขาเร่ิมสนใจวิชาปรัชญาและแสวงหาความฉลาดในระยะท่ีท่าน อา่ นหนังสือของซิเซโรน้นั ท่านมีอายุเพียง 19 ปีเท่าน้ัน เม่ือปี ค.ศ. 387 ตอนท่านมีอายุ 33 ปี ท่านได้ เดินทางไปมิลานประเทศอิตาลีและได้สาบานตนเป็นคริสตศาสนิกชนคาทอลิกแต่ว่าคาสอนของท่าน ไดร้ บั การยกย่องทง้ั ในนิกานคาทอลิกและโปรเตสแตนท์อย่างเทา่ เทยี มกัน เอากุสตนี มงี านเขียนมากมายแบ่งเป็นตารา 350 เรื่อง ในบรรดาหนังสือเหล่าน้ี De Civitate Dei หรือ The City of God เป็นหนังสือที่นิยมมากท่ีสุดและในหนังสือเล่มนี้ท่านได้แบ่งสังคมของ มนุษย์ออกเปน็ 4 ประเภท คอื 1) ครอบครวั 2) เมืองหรือนครรัฐ (ท่านยังแบ่งออกเป็นอีก 2 ประเภทคือ รัฐของพระเจ้า (The City of God) และรฐั ของมนษุ ย์ (Earthly City) 3) พน้ื โลกท้ังหมด และ
42 4) จักรวาล หมายความรวมถึง โลก ห้วงอวกาศ ดวงดาว พระเจ้า เทวดา วิญญาณและ รวมท้ังมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในโลกด้วย ซึ่งส่ิงเหล่านี้ท้ังหมดคริสตศาสนาถือว่าเกิดมาจากการสร้างของ พระเจา้ ทง้ั สน้ิ เอากุสตีนเชื่อว่า รัฐมีหน้าที่สาคัญคือรักษาสันติสุขของมวลชน เขาให้ความสาคัญแก่ คริสตศาสนามากโดยยืนยันว่าเฉพาะรัฐท่ีมีคริสตศาสนาเป็นประทีปประจารัฐเท่าน้ันจึงจะนาความ ยตุ ธิ รรมมาส่ปู วงชนในรฐั ได้ ดงั นั้นความยุติธรรมจึงหมายถึงคุณธรรมที่มอบให้แก่มนุษย์ทุกคนในส่ิงที่ เขาควรได้และจะมีความยุติธรรมได้ก็ต่อเม่ือเขาเคารพบูชาพระเจ้าที่แท้จริง พระเจ้าที่แท้จริงมีอยู่ เพียงพระองคเ์ ดียวคือพระเจา้ แห่งคริสตศาสนานครรัฐและอาณาจักรหลายแห่งมีมาก่อนคริสตศาสนา และไม่มีแห่งใดนาความยุติธรรมมาสู่พลเมืองจนกระท่ังคริสตศาสนาเกิดข้ึน นับแต่น้ันมานครรัฐหรือ อาณาจักรก็มีโอกาสที่จะนาความยุติธรรมมาสู่ชนที่อาศัยด้วยการสถาปนาคริสตศาสนาเป็นศาสนา ประจารัฐ การศรัทธาในคริสตศาสนาเป็นหนทางนาไปสู่ความสุขและอานาจทางการเมืองจะต้องมา จากความศรัทธาในศาสนา เอากุสตีนเชื่อว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคมคือ ต้องมีชีวิตอยู่ร่วมกันในรัฐจะแยกอยู่โดยโดดเด่ียว ไม่ได้ เอากุสตีนมีความเห็นว่า ความสุขเกิดขึ้นได้ก็โดยอาศัยความดีอันสูงสุด นับเป็นคุณธรรม ถ้า ปราศจากคณุ ธรรมดงั กลา่ วแลว้ รา่ งกาย และจติ ใจจะมดี ีไปไม่ได้ ชีวิตท่ีมีความสุขต้องสัมพันธ์กับผู้อื่น ในสังคม ฉะน้ันความดีอันสูงสุดย่อมต้องหาได้ในสังคมเท่านั้น มนุษย์ต้องการให้เพื่อมนุษย์ดีด้วย เพื่อ ความดีของเพ่ือนตนเอง และเพ่ือตัวความดีนั้นด้วย (สุลักษณ์ ศิวรักษ์, 2519 หน้า, 62) สภาพตาม ธรรมชาติตอนแรกคนทุกคนมีความเสมอภาคกัน มีกฎหมายธรรมชาติเป็นเครื่องยึดเหน่ียวและ กฎหมายธรรมชาติสร้างสันติภาพในการอยู่ร่วมกันของมวลมนุษย์ ต่อมาสภาพตามธรรมชาติของ มนุษย์ถูกทาลายลงด้วยบาป คนแต่ละคนหันไปแสวงหาผลประโยชน์ใส่ตน ความเสมอภาคระหว่าง เพ่อื นร่วมโลกหมดสิน้ ลง บาปจงึ เป็นจุดเร่มิ ตน้ ของความสับสนในสังคมมนุษย์ บาปเป็นอาชญากรรมที่ แท้จริงของคนชั่วโดยมีรากฐานมาจากความผิดพลาดและความรักในส่ิงที่ผิด (McDonald, 1968 P, 112) ความจาเป็นในส่ิงที่จะต้องมีผู้ปกครองมีกฎหมายเพ่ือจัดระเบียบและผดุงไว้ซึ่งสันติภาพจึง เกิดขน้ึ อาจกล่าวไดว้ ่ารัฐบาลหรือสถาบันการปกครองเกดิ ขึน้ เพราะผลแหง่ บาปท่มี นุษยส์ รา้ งขึน้ เอากสุ ตนี ถือวา่ สถาบนั การปกครองเหล่านเ้ี กดิ ข้ึนตามพระประสงค์ของพระเจ้าหาใช่สถาบัน อันช่ัวร้ายไม่แม่ว่าบางคร้ังคนอาจจะถูกปกครองด้วยสถาบันกษัตริย์ซึ่งขาดธรรมะ บรรดาผู้ปกครอง ทุกคนคือผู้แทนจากพระเจ้า เอากัสตีนเช่ือว่าพระเจ้าเองเป็นผู้ประทานสถาบันเหล่าน้ีแก่มนุษย์
43 เพื่อที่จะให้สามารถดารงอยู่ในโลกซ่ึงความเสมอภาคและสันติภาพไม่ใช่สิ่งท่ีหาง่ายอีกต่อไป ราษฎร ของรัฐไม่มสี ิทธิทีจ่ ะสถาปนาตัวเองเปน็ ตลุ าการควบคมุ ผู้ปกครอง เพราะผู้ปกครองได้รับอานาจหน้าท่ี ของเขามาจากพระเจ้าและไม่ว่าเขาจะใช้อานาจไปในสถานใดผู้ถูกปกครองไม่มีสิทธิที่จะ วิพากษ์วิจารณ์ พระเจ้าประทานราษฎรของพระองค์ในสิ่งท่ีเขาควรจะได้กษัตริย์ที่ช่ัวร้ายและหฤโหด ถูกสง่ มาปกครองเพอื่ เป็นการลงโทษคนในบาปของเขา ( Harmon, 1964. P, 101.) งานที่ได้รับความสนใจและมีอิทธิพลมากท่ีสุดคือทฤษฎีสองนคร เขาอธิบายว่านครทั้งสอง ไมใ่ ชส่ รวงสวรรค์กบั พ้ืนพิภพ ไม่ใช่วัดกับรัฐแต่เป็นพลังของความดีและพลังของความช่ัวซึ่งได้ต่อสู่กัน เพื่อที่จะแย่งกันเป็นเจ้าของดวงวิญญาณของคนมาช้านานแล้ว นครท้ังสองนี้ ใครก็ตามท่ีจิตถูก ครอบงาดว้ ยความรักและเคารพในพระเจา้ มุ่งประพฤตใิ นทางที่ชอบยดึ ถือจิตใจเป็นเรื่องสูงสุดเขาผู้นั้น เป็นพลเมืองของนครของพระเจ้า ส่วนผู้ใดที่จิตตกอยู่ภายใต้ความเห็นแก่ตัวมุ่งแสวงหาแต่ ผลประโยชน์ทางด้านวัตถุบางครั้งถึงกับกล้าหมิ่นพระเจ้าเขาผู้นั้นก็จะเป็นพลเมืองของนครซาตาน ดังนั้นในทฤษฎีสองนครไม่ได้เป็นเร่ืองเก่ียวกับโลกหน้าแต่เป็นการแนะนาแนวทางในการดาเนินชีวิต ของมนุษย์ในโลกน้ีว่าควรใช้ชีวิตไม่ใช่เพื่อกายหรือความรักในตัวเองแต่เป็นการดารงชีวิตเพื่อพระเจ้า และมีความรักในพระองค์ เพราะฉะนน้ั ความคิดในเร่อื งทฤษฏีสองนครของเอากุสตนี จึงไมไ่ ด้เป็นเร่ืองเก่ียวกับโลกหน้า แต่เป็นการแนะนาแนวทางแห่งการดารงชีวิตของมนุษย์ในโลกน้ีว่า ควรใช้ชีวิตของมนุษย์ในโลกน้ีว่า ควรใช้ชีวิตไม่ใช่เพ่ือกาย หรือความรู้ในตัวเอง แต่เป็นการดารงชีวิตเพ่ือพระเจ้า และมีความรักใน พระองค์ (วุฒิศกั ดิ์ ลาภเจริญทรัพย์, 2518 หน้า, 85-86) มนุษย์ทุกคนขณะใช้ชีวิตอยู่บนพื้นพิภพนี้ จะเก่ียวพันธ์อยู่กับนครท้ังสองน้ี หมายถึง ความดี ความช่ัวร้ายจะต่อสู้กันอยู่ในจิตใจของเขาตลอดเวลา เอากุสตีน เชื่อว่า บรรดาคนที่เช่ือถือใน อาณาจกั รพระเจ้านนั้ เป็นผูเ้ ชอ่ื ถอื ในความดี และจะได้รบั พรถาวรตลอดกาลจากพระผู้เป็นเจ้า ส่วนผู้ ที่เช่ือในความเลวน้ัน จะถูกทาโทษในกองไฟท่ีลุกอยู่ตลอดกาลร่วมกับบรรดาภูติผีปีศาจทั้งหมด (เดช ชาติ วงศ์โกมลเชษฐ์, 2524 หน้า, 79) 2.2 อาควีนสั (Thomas Aquinas) โทมัส อาควีนัส (Thomas Aquinas, 1225-1274 A.D.) เกิดที่เมืองรอคคาเซคคาใกล้กับเมือ งอควิโนในประเทศอิตาลี ตอนเด็กเข้าเรียนหนังสืออยู่ในสานักสงฆ์เบเนดิคและเข้าเรียนในระดับ
44 ปริญญาตรีสาขาศิลปศาสตรท์ ่มี หาวทิ ยาลัยเนเปิลส์ ตอ่ มาไดเ้ ข้าร่วมเป็นพระในสานักโดมินิกันทั้งท่ีถูก คัดค้านจากครอบครวั เขาเรียนปรชั ญาและเทววิทยาที่ปารีส และที่โคโลญกับอัลเบิร์ตครูผู้ย่ิงใหญ่ของ เขา ปี ค.ศ. 1254-1259 สอนหนังสอื อยทู่ ่ีปารีสได้ตาแหน่งศาสตราจารย์ในปี ค.ศ. 1256 งานเขียนท่ี สาคัญของอาควีนสั มอี ยหู่ ลายเลม่ แต่หนังสือเก่ียวกับความคิดทางการเมืองส่วนใหญ่ปรากฏในหนังสือ สองเล่มคือ De Regimine Principum (On the Government by Kings) เขียนขึ้นราว ๆ ปี ค.ศ. 1260-1267 และ Summa Theologica ในหนังสือ De Regimine Principum อาควีนัสเร่ิมต้นด้วยมนุษย์เป็นสัตว์การเมืองเพราะ มนุษย์ต้องการอยู่เป็นกลุ่มและมิใช่เพียงเพ่ือว่าจะได้อยู่รอด หากแต่เพื่อเรียนรู้ท่ีจะคิดด้วย พระเจ้า ประสงค์ที่จะให้มนุษย์พัฒนาความรู้โดยธรรมชาติซ่ึงได้แก่ความสามารถที่จะหาเหตุผลจากหลักการ สากลไปหาสิ่งซงึ่ เก่ยี วข้องกับความเปน็ อยู่อันดีของเขาโดยเฉพาะ แต่เหตุผลของปัจเจกชนน้ันไม่เพียง พอทีจ่ ะบรรลุถงึ สิ่งเหล่าน้ไี ดโ้ ดยปราศจากความชว่ ยเหลือจากชุมชนทางการเมือง กลุ่มทางการเมืองก็ เหมอื นกับอวยั วะอ่ืนท่ีจะต้องมีหลักการควบคุมซ่ึงทาให้กลุ่มทางการเมืองนี้สามารถและควรจะถูกชัก นาไปสู่วัตถุประสงค์ที่ถูกต้อง การชักจูงโดยกรณีน้ีควรกระทาโดยผู้ปกครองซ่ึงมีความสนใจใน คุณประโยชน์ร่วมกันแต่เพียงอย่างเดียวเป็นเหตุจูงใจ ถ้ารัฐบาลใดถูกบริหารไปเพ่ือผลประโยชน์ เฉพาะของผปู้ กครองและมิใช่เพ่ือคุณประโยชน์ร่วมกันแล้วก็เป็นการวิปริตของรัฐบาลและไม่ยุติธรรม อกี ต่อไปผปู้ กครองเชน่ ว่านัน้ ย่อมถูกเตือนโดยพระเจ้า อาควีนัส กล่าวว่า ชีวิตท่ีดีหมายถึงการดาเนินชีวิตท่ีสามารถทาให้การชาระล้างบาปดวง วิญญาณเป็นไปได้ ดังน้ันมนุษย์จะมีชีวิตที่ถูกต้องได้ต้องอาศัยอยู่ในสังคมท่ีมีสถาบันศาสนาซ่ึงช่วยใน การจักการธรรมกิจซ่ึงมีความสาคัญกว่ากิจกรรมทางโลก ศาสนาคริสต์เป็นสถาบันเดียวที่สามารถชี้ ทางไปสู่การชาระลา้ งวิญญาณและนาประชาชนเข้าสู่ประตูสวรรค์ได้ ดังน้ันรัฐที่ดีจะสามารถมอบชีวิต ท่ีดีให้กับพลเมืองได้ต้องเป็นคริสตรัฐหรือคริสตอาณาจักรเท่าน้ัน เก่ียวกับผู้ปกครองอาควีนัสเห็นว่า จะตอ้ งเป็นผทู้ มี่ ีเหตุผล มีความสามารถและเฉลียวฉลาด ส่วนเรื่องจุดมุ่งหมายของผู้ปกครองต้องเป็น การประกันสวัสดภิ าพของผู้ทีต่ นปกครองอยู่ สวัสดิภาพและความปลอดภัยของกลุ่มคนซ่ึงรวมกันเป็น สังคมนี้อยู่ที่การผดุงไว้ซ่ึงเอกภาพในสังคมซ่ึงเรียกว่าสันติภาพและการประกันความยุติธรรมทาง เศรษฐกิจอันไดแ้ ก่ การควบคุมเงนิ ตรา, การกาหนดราคาและการอนุเคราะห์คนจนเป็นต้น ส่วนเร่ือง รูปแบบการปกครอง การปกครองโดยคน ๆ เดียวมีประโยชน์มากกว่าการปกครองโดยคนหลายคน การปกครองแบบราชาธปิ ไตยจึงถอื วา่ ดีกว่าแบบอนื่ ดว้ ยเหตผุ ลวา่ เป็นระบอบการปกครองท่ีสอดคล้อง กับธรรมชาติ เพราะการปกครองโดยคน ๆ เดียวเป็นแบบแผนที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและมีมานาน
45 แล้วแต่การสืบราชบัลลังก์นั้นควรเป็นไปในแบบการเลือกต้ังมากกว่าการสืบสันตติวงศ์เพื่ อเปิดโอกาส ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองและเลือกคนทด่ี ีเปน็ ผู้ปกครอง ในเรื่องการใช้อานาจ อาควีนัสเห็นว่า หากผู้ปกครองใช้อานาจโดยปราศจากความเป็นธรรม ซึ่งเป็นลักษณะของทรราชควรจะถูกถอดถอนแต่การถอดถอนนั้นต้องเป็นไปโดยถูกต้องตาม กระบวนการแห่งกฎหมาย แต่ในบางคร้ังการท่ีจะถอดถอนผู้ปกครองบางคนอาจจะส่งผลกระทบต่อ การทาลายเอกภาพ ดังน้นั การที่ยอมทนทรราชบางคนเป็นสิ่งท่ีดีกวา่ การเส่ยี งท่ีจะสร้างความแตกแยก ในรัฐ หากว่าไม่สามารถถอดถอนหรือควบคุมทรราชได้โดยขบวนการทางกฎหมายประชาชนควรหัน ไปสู่การสวดมนต์ภาวนา เพราะการกระทาเช่นนี้เป็นการแจ้งเร่ืองต่อพระเจ้าพระองค์อาจจะบันดาล จิตใจของทรราชเปล่ียนไปในทางท่ีดีหรืออาจลงโทษทรราชผู้น้ันด้วยพระองค์เองหากว่าไม่มีอะไร บังเกิดขน้ึ กแ็ สดงว่าพระองคม์ พี ระประสงคจ์ ะใหส้ ภาวะเช่นนน้ั เกดิ ขน้ึ ส่วนเร่ืองความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันศาสนากับสถาบันการปกครอง เขาเห็นว่าควรให้ ความสาคัญกับสถาบันศาสนาเพราะอานาจและหน้าทขี่ องกษัตริยค์ รอบคลุมแต่ในส่วนทางโลกเท่าน้ัน กษัตริย์ไมม่ ีความสามารถทีจ่ ะนามนษุ ย์ไปสู่การชาระล้างดวงวิญญาณได้ มีแต่สถาบันศาสนาเท่าน้ันที่ สามารถทาได้ ดังนั้นสันตะปาปาจึงเป็นผู้ปกครองสูงสุดบนแผ่นดินถือดาบสองเล่มไว้ในมือและ ประทานดาบที่ทรงสิทธิในการปกครองทางโลกให้แก่กษัตริย์เป็นผู้ใช้อานาจภายใต้การควบคุมของ พระองค์ อานาจทางโลกต้องอยู่ภายใต้ทางธรรม เสมือนร่างกายอยู่ภายใต้จิตใจ เพราะฉะนั้นการท่ี ฝ่ายพระเขา้ ไปกา้ วก่ายกจิ กรรมทางโลกซ่ึงเป็นสาระที่อยู่ภายใต้อานาจทางธรรมจึงไม่เรียกว่าเป็นการ ช่วงชิงอานาจแต่อยา่ งใด สรปุ ความคิดทางการเมืองในยุคท่ีความรุ่งเรืองอานาจของอาณาจักรโรมันส้ินสุดลงแล้วน้ัน มี ลักษณะผิดแผกไปจากปรัชญาการเมืองในสมัยโบราณอยู่มาก โดยเฉพาะอย่างย่ิงความเชื่อถือว่านคร รัฐเป็นรูปแบบสมาคมการเมืองท่ีสมบูรณ์ท่ีสุดน้ัน ไม่ได้รับการยอมรับนับถือจากเมธีการเมืองสมัย กลางนี้อีกต่อไป เขาท้ังหลายมุ่งความสนใจไปสู่สมาคมการเมืองขนาดใหญ่อันได้แก่อาณาจักร ท้ังนี้ อาจเปน็ เพราะอิทธพิ ลจากลักษณะอาณาจักรโรมัน คริสตศ์ าสนาเข้ามามีบทบาทเกี่ยวข้องกับกิจกรรม ทางโลกมากมายยิ่งขึ้น นักทฤษฏีการเมืองหลายท่านในยุคนี้เป็นนักบวชแห่งคริสตศาสนา และ สนับสนุนการสถาปนาอาณาจักรคริสตสากลขึ้น โดยมีความเช่ือว่าสังคมที่มีคริสต์ศาสนาเป็นประทีป ประจาสังคมเท่าน้นั จึงสามารถสรา้ งสรรคช์ ีวิตที่ดใี หก้ ับพลเมอื งได้ เพราะชีวติ ท่ีดีหมายถึง การดาเนิน
46 ชีวิตที่ทาให้การชาระล้างดวงวิญญาณเป็นผู้สาเร็จ และได้เข้าสู่ประตูแห่งสวรรค์ภายหลังจากชีวิตใน โลกน้ีได้ส้ินสุดลง
47 คาถามท้ายบท 1. จงเปรยี บเทยี บแนวคดิ ทางการเมืองของสมัยโรมันกับสมัยกลางมาพอเข้าใจ ? 2. จงสรุปแนวคิดของซิเซโร ซนิ คี า มาร์คสั เออเรลิอุส และโพลีเบยี ส มาพอเข้าใจ ? 3. แนวคดิ ของเอากสุ ตนี หรือ เอากุสตีนุส และอาควีนัส มีลักษณะเป็นอย่างไร อธิบายมาพอ สังเขป ? 4. ซเิ ซโร และโพลเี บยี ส มีแนวคิดทางการปกครองที่คล้ายกัน ซ่ึงรูปการปกครองท่ีดีที่สุดของ ทงั้ สองท่านมีลกั ษณะเป็นอยา่ งไร ? 5. เอากุสตีนมีงานเขียนมากมายแบ่งเป็นตารา 350 เร่ือง ในบรรดาหนังสือเหล่าน้ี มีหนังสือ เล่มใดบา้ งทีส่ รา้ งชอื่ เสียงใหแ้ ก่เอากุสตีน พรอ้ มท้ังอธิบายมาพอเขา้ ใจ ?
48
บทท่ี 4 แนวคดิ คดิ ทฤษฏกี ารเมืองยคุ สมัยใหม่ วัตถปุ ระสงค์ประจาบท เม่อื ศึกษาเนื้อหาในบทนีแ้ ลว้ ผศู้ ึกษาสามารถ 1. อธบิ ายแนวคดิ ทางการเมอื งยคุ สมัยใหม่ได้ 2. อธบิ ายแนวคิดทางการเมอื งของโทมสั ฮอบส์ (Tomas Hobbes)ได้ 3. อธิบายผลกระทบของทฤษฎีของฮอบส์ ข้อบกพร่องของทฤษฎีของฮอบส์ และอิทธิพล ของทฤษฎีของฮอบส์ในยคุ ปจั จุบันได้ 4. อธบิ ายแนวคิดทางการเมืองจอนห์ ล็อค (John Locke)ได้ 5. อธบิ ายสิทธิทางธรรมชาตติ ามแนวคดิ ทางการเมอื งจอนห์ ลอ็ ค (John Locke)ได้ ขอบข่ายเนอื้ หา 1. แนวคิดทางการเมอื งยคุ สมยั ใหม่ 2. แนวคดิ ของโทมัส ฮอบส์ (Tomas Hobbes) 3. ผลกระทบของทฤษฎีของฮอบส์ ข้อบกพร่องของทฤษฎีของฮอบส์ และอิทธิพลของ ทฤษฎีของฮอบสใ์ นยคุ ปัจจุบัน 4. แนวคดิ ทางการเมืองจอนห์ ล็อค (John Locke) 5. สิทธทิ างธรรมชาติตามแนวคดิ ทางการเมืองจอนห์ ลอ็ ค (John Locke) ส่อื การเรยี นการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. การบรรยายในช้นั เรยี นด้วยโปรแกรม PowerPoint Presentation 3. เวบ็ ไซต์ท่ีเก่ียวข้อง 4. การสอนออนไลท์ Mircrosoft Teams การวัดและประเมินผล 1. การแสดงความคิดเหน็ ในชั้นเรียน 2. การถามตอบในช้ันเรียน 3. การทาแบบฝกึ หัดทา้ ยบท 4. การตอบคาถามรายบคุ คลในสือ่ ออนไลน์
49 บทนา จากบทเรียนทผ่ี ่านมา ในยคุ กลางน้ัน ศาสนามีอานาจมากท่ีสุดในขณะท่ีในยุคฟื้นฟูนั้นเราจะ มองเห็นว่ากษัตริย์มีอานาจมากขึ้น ส่วนความคิดทางการเมืองในยุคสมัยใหม่คือ การที่ประชาชน ธรรมดา ๆ ลุกข้ึนมาต่อต้านอานาจกษัตริย์ที่มาของการต่อต้านอานาจกษัตริย์นี้เกิดข้ึนอย่างรุนแรง ในช่วงศตวรรษที่ ๑๗ เกิดข้ึนคร้ังแรกในประเทศอังกฤษ ซ่ึงแนวความคิดน้ีได้ลุกลามจนกลายเป็น สงครามกลางเมืองในช่วงระหว่างปี ค.ศ.1642 -1689 เป็นเวลานานถึง 47 ปี โดยกษัตริย์ในสมัยนั้น คือ พระเจา้ Charles ที่ 1 มคี วามขดั แยง้ กบั สภาผู้แทน โดยทีป่ ัญญาชนท้ังหลายเข้าข้างสภาผู้แทนใน ขณะท่กี ลุ่มอานาจเกา่ คือ ขุนนาง พ่อค้าใหญ่ ๆ และเจ้าของที่ดินเข้าข้างกษัตริย์ในที่สุดสงครามกลาง เมืองก็เกิดขึ้น และเกิดอย่างต่อเนื่องถึง 47 ปี โดยสงครามได้ยุติลงไม่ใช่เพราะฝุายใดฝุายหนึ่งเป็นผู้ ชนะ แต่เป็นเพราะโอลิเวอร์ ครอมเวลล์ (Oliver Cromwell) ได้เข้ามาแทรกแซง และเข้าข้างฝุาย ประชาชน หรือฝุายผู้แทนกษัตรยิ ์จงึ พ่ายแพ้ พระเจา้ ชารล์ ท่ี 1 ถูกจับ และถูกประหารชีวิต ส่วนครอม เวลล์ถือโอกาสปกครองประเทศแบบเผด็จการอยู่ระยะหน่ึงจึงได้สถาปนาพระเจ้าชาร์ล ท่ี 2 ให้เป็น กษัตริย์ท่ีอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ(constitutional monarchy) ในบรรดานักคิดที่สนับสนุนอานาจ กษัตริยน์ ้ัน โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) เป็นนักคดิ ท่ีมีความสาคัญที่สุด 1. โทมสั ฮอบส์ (Tomas Hobbes) แผนภาพที่ 4.1 นักปรชั ญา โทมสั ฮอบส์ (Thomas Hobbes, ค.ศ. 1588-1677) (ทม่ี า : /Google/https://th.wikipedia.org)
50 1.1 ภูมหิ ลงั และสิง่ แวดลอ้ มของโธมสั ฮอบส์ โธมัส ฮอบส์ เป็นบุตรของนักบวช เกิดเม่ือวันที่ 5 เมษายน ค.ศ. 1588 โดยได้ถือกาเนิดก่อน กาหนด ณ เมืองมาลาซ์สเบอร่ี (Malasesbury) เขาถือกาเนิดพร้อมกับฝาแฝดคนหน่ึงช่ือ \"Fear\" (ความกลัว) ในประเทศอังกฤษ โดยเป็นบุตรคนที่ 2 ในจานวนพ่นี อ้ ง 3 คน ฮอบส์เริ่มเข้าเรียนเมื่ออายุ ได้ เพียง 4 ขวบ พออายุได้ 15 ปี คือในปี ค.ศ. 1603 ก็เข้ามาศึกษาต่อท่ี ม๊อกดาเล็น ฮอลส์ (Mogdalen hall) แหง่ มหาวิทยาลัยออ๊ กฟอรด์ (Oxford) ใชเ้ วลา 5 ปี ก็สาเร็จปริญญาตรี ฮอบส์เร่ิมอาชีพการเป็นครูสอนพิเศษ (Tutor) ให้แก่บุตรชายของลอร์ด แคเวนดิช (Lord Cavindish) ขุนนางผูห้ น่งึ ซึ่งมอี ิทธิพลมากในอังกฤษในยุคน้ัน (เดชชาติ วงศ์โกมลเชษฐ์,2524) โดยใช้ เวลาอยู่กับตระกูลแคเวนดิช ถึง 20 ปีและมีโอกาสได้เดินไปประเทศ ต่างๆบนภาคพื้นยุโรป ในช่วง เวลาน้ีเอง ฮอบส์ ได้สนใจวิธีการทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น รวมถึงวิธีการใช้เหตุผลหรือพิสูจน์ทฤษฎี ต่างๆทางเรขาคณิตด้วย ซึ่งทาให้เขามีความใฝุฝันที่จะเป็นนักปราชญ์ท่ีมีคนรู้จักไปท่ัวโลก ส่ิงที่ชักจูง ให้เขาสนใจปรัชญามากที่สุด คือเหตุการณ์ในประเทศอังกฤษในสมัยนั้น โดยในปี ค.ศ. 1640 ได้เกิด สงครามกลางเมืองข้ึนที่ประเทศอังกฤษ เนื่องจากมีการร้องเรียนเร่ืองเสรีภาพและการมีส่วนร่วม ทางการเมืองจากกลุ่มอานาจต่างๆท่านจึงได้หนีไปอยู่ประเทศฝรั่งเศส และในระหว่างปี ค.ศ. 1646- 1648 ได้สอนวิชาคณิตศาสตร์แก่เจ้าฟูาชายแห่งเวลส์ ( prince of the Wales ) ซึ่งต่อมาได้ข้ึน ครองราชยเ์ ป็นพระเจา้ ชารล์ ท่ี 2 แห่งอังกฤษ ในช่วงเวลาเดียวกันน้ี ในอังกฤษเกิดความสับสนวุ่นวาย เปน็ อยา่ งมาก โดยได้เกิดสงครามกลางเมืองข้ึน ในระยะน้ีเขาได้เขียนหนังสือที่สาคัญเก่ียวกับปรัชญา การเมืองช่ือ เด ซิเว่ (De cive) ซึ่งมีเน้ือหาเป็นการต่อต้านกับเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนในขณะน้ัน (สมบัติ ธารงธัญวงศ์, 2545 หน้า, 137) และโดยเฉพาะหนังสือซ่ึงถือเป็นผลงานช้ินสาคัญ คือ รัฐาธิปัตย์ (Laviathan) ซ่ึงเป็นงานเขียนที่มุ่งสนับสนุนระบบการปกครองแบบอานาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ซ่ึงเขา เชื่อว่าจะเป็นการปกครองระบบเดียวท่ีมีประสิทธิภาพจนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมากเป็นเหตุ ให้เขาต้องออกจากประเทศฝรั่งเศสไปยังอังกฤษใน ปี ค.ศ. 1661 และใช้เวลาเป็นส่วนใหญ่ในการ อภิปรายงานทางวิชาการ เขาเคยถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกนอกรีตทาให้ต้องเผางานเขียนทุกชิ้นท่ีอาจ เป็นท่ีสงสัย หลังจากพ้นผิดพระเจ้าชาร์ล ได้เตือนไม่ให้ตีพิมพ์งานเขียนท่ีจะสร้างปัญหาข้ึนมาอีก เหตุการณ์เหล่าน้ีทาให้เขาเกิดความรู้สึกท่ีต้องการแยกตัวออกจากศาสนาและการเมืองให้มา กท่ีสุด จนถูกประณามวา่ เปน็ “ บิดาของผ้นู อกรตี ” เขาไดถ้ งึ แก่กรรม เม่ืออายุ 91 ปีในวันที่ 4 ธันวาคม ค.ศ. 1679 โดยงานเขียนส่วนใหญข่ องเขาไดร้ บั การตพี ิมพ์หลังจากนัน้ 1.2 รัฐศาสตรข์ องโธมัส ฮอบส์กับรฐั ศาสตร์ยคุ ก่อน และยุคหลงั โธมัส ฮอบส์ เชื่อว่าศาสตร์ใหญ่ ๆ ในสมัยของเขามีอยู่ 3 ศาสตร์เท่าน้ันคือ ศาสตร์ของการ เคลื่อนไหวของวัตถุบนฟูาเรียกว่า ดาราศาสตร์ ซึ่งมีกาลิเลโอและโคเปอร์นิคัสเป็นผู้บุกเบิก ศาสตร์
51 ของการเคลื่อนไหวของวัตถุคือ กลศาสตร์ ซึ่งกาลิเลโอได้วิเคราะห์หลักของความเฉื่อย หลักของ ความเรง่ และการแตกแรง ศาสตร์สุดท้ายคือ ศาสตร์ของการเคลื่อนไหวของวัตถุพิเศษที่เคลื่อนไหวได้ เอง ซ่ึงฮอบส์เองเป็นผู้คนพบ ฮอบส์เรียกว่า ศาสตร์ของการเคล่ือนไหวของมนุษย์น้ีว่ารัฐศาสตร์ ฮอบส์คิดว่ารัฐศาสตร์ท่ีเพลโต อริสโตเติล และนักปรัชญาอื่นๆ ในอดีตเขียนไว้นั้นเป็นแต่เพียง ความเห็น (opinion) เท่านั้นเพราะข้อสรุปของนักปรัชญาเหล่านั้นเป็นข้อสรุปในเชิงของความน่าจะ เป็น (normative) และสามารถโต้แย้งได้ ในขณะที่ปรัชญาทางการเมืองของฮอบส์เป็นปรัชญาที่ พิสูจน์ได้ และความเป็นตรรกะซ่ึงถ้าใครก็ตามท่ียอมรับสมมุติฐานท่ีฮอบส์เสนอย่อมต้องยอมรับ ข้อสรุปของฮอบส์ด้วย และฮอบส์เช่ือว่าถ้าทุกคนใช้ดุลพินิจไตร่ตรองทฤษฎีของเขาได้ดีแล้ว ก็จะละ ท้งิ ความคดิ ทางการเมอื งของตัวเองไป และยอมรับทฤษฎีของเขา ซึง่ ฮอบส์คิดว่านี่คือลักษณะที่แท้จริง ของวทิ ยาศาสตร์ (science) กลา่ วคือ มคี วามเปน็ ปรนัยหรือวัตถุวิสัย (objective) ซึ่งทุกคนใช้เหตุผล ควรจะยอมรับ ฮอบสเ์ ช่ือวา่ รฐั ศาสตร์ทแี่ ทจ้ รงิ เรมิ่ ท่ตี วั เขาเองและส้นิ สุดลงทตี่ ัวเขาด้วย อย่างไรก็ตามทฤษฎีการเมืองไม่ได้ส้ินสุดลงที่ตัวฮอบส์ มีนักปรัชญาทางการเมืองท่ีมี ชื่อเสียงเกิดมาหลังฮอบส์มากมาย เช่น จอห์น ล็อค, ฌอง ฌาค รุสโซ, คาร์ล มาร์กซ์ ฯลฯ แต่ฮอบส์ ควรจะได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้กรุยทางหรือบุกเบิกแนวความคิดใหม่ๆ ในทางรัฐศาสตร์ หลายอย่าง เช่น ทฤษฎีสัญญาประชาคม ทฤษฎีเก่ียวกับมนุษย์ในสภาวะธรรมชาติ ว่าเป็นอิสระจากสภาวะของ มนุษย์ในรัฐ ปรัชญาทางด้านภาษา และทฤษฎีของความรู้ในเชิงนามนิยม การประยุกต์คณิตศาสตร์ และฟิสกิ ส์ให้เขา้ กับการเมืองตลอดจนหลักการทางกฎหมายแบบรัฐบัญญัติ ( คณะกรรมการกลุ่มผลิต ชดุ วชิ าปรัชญาการเมอื ง, 2527, หน้า 259) 1.3 สาระสาคญั ของปรชั ญาการเมือง โธมสั ฮอบส์ แนวคิดในระบบการเมอื งของ โธมัส ฮอบส์ เป็นทฤษฎที ่ีมีการนาเสนอแนวคิดอย่างเป็นระบบ และเป็นทีป่ รากฏชดั เมอื่ ทฤษฎีนถ้ี ูกเผยแพร่ออกมาใช้ปฏิบัติกันอย่างกว้างขวาง ซ่ึงเป็นท่ีรู้จักกันมาก ในชาว “รฐั าธปิ ัตย์” (Leviathan) และมผี ้วู จิ ารณว์ า่ งานเขียนของฮอบส์ต้องการส่งเสริมอิทธิพล และ บทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ ภายใต้ระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ การที่เขาเชื่อว่ามนุษย์ใน สังคม จะต้องยอมอยู่ภายใต้อานาจอย่างเด็ดขาด ของผู้ที่เป็นองค์อธิปัตย์แต่เพียงผู้เดียว โดย ปราศจากเง่ือนไขนั้นมีรากฐานมาจากความเชื่อของเขาท่ีเกี่ยวกับภาวะตามธรรมชาติ (State of nature) และธรรมชาติของมนุษย์ (Human nature)
52 1.3.1 มนุษย์ในสภาวะธรรมชาติ โธมัส ฮอบส์กล่าวว่า ธรรมชาติสร้างมนุษย์ให้มีความเท่าเทียมกันทั้งทางร่างกายและ จิตใจ (สมบัติ ธารงธัญวงศ์, 2545 หน้า, 138) โดยให้เหตุผลว่าในส่วนของร่างกายนั้น แม้ว่าบางคน จะแขง็ แรง บางคนจะอ่อนแอแตก่ ม็ ิไดห้ มายความว่า คนแข็งแรงจะได้เปรียบคนอ่อนแอเสมอไป คนท่ี อ่อนแอที่สุดก็มีกาลังเพียงพอที่จะกาจัดคนท่ีแข็งแรงท่ีสุดได้ โดยอาจใช้เล่ห์เหล่ียมหรืออาจสมคบคิด กับคนอื่น ร่วมมือทาร้ายคนท่ีเข้มแข็งกว่าด้วยอาวุธก็ได้ สาหรับด้านจิตใจเขากล่าวว่า มีความเท่า เทียมกันย่ิงกว่าทางกายเพราะความสุขุมรอบคอบคือประสบการณ์ มนุษย์มีความสามารถรอบคอบ ทัดเทยี มกนั ได้ ถา้ มีโอกาสสง่ั สมประสบการณ์ได้เท่าๆกนั เม่ือมนษุ ยม์ ีความเสมอภาคกันโดยธรรมชาติ เช่นน้ี มนุษย์จึงมีความเท่ากันในเร่ืองของความต้องการ เพราะฉะนั้นหากคน สองคนมีความต้องการ ในของสิ่งเดยี วกันก็จะเกิดความขัดแย้งและแย่งชิงกัน ให้ได้มาซึ่งของเหล่านั้น กลายเป็นศัตรูที่จ้องจะ ทาลายล้างกัน คนส่วนมากถือว่าตนฉลาดกว่าคนอ่ืน ท้ังที่เขาอาจยอมรับว่ามีไม่ก่ีคนท่ีฉลาดกว่า ตนเอง คนจึงไม่ยอมท่ีจะพ่ายแพ้และพยายามแข่งขันทุกวิถีทางโดยจะใช้ความรุนแรงเพ่ือทาลายหรือ ใหต้ นชนะ และได้ในสิ่งท่ีตนต้องการ หรือเกดิ ความจาเป็น ท่ีจะต้องปูองกันตนเองให้ปลอดภยั สังคมในสภาวะธรรมชาติปราศจากกฎระเบียบในการควบคุม ดังนั้นมนุษย์จึงใช้สิทธิและ เสรีภาพตามธรรมชาติเพื่อสนองความต้องการของตนเอง ไม่มีใครได้เปรียบใครและไม่มีใครม่ันใจใน ความปลอดภัยของตนเอง มนุษย์จึงต้องอยู่ภายใต้กฎแห่งความกลัวและความหวาดระแวง ความกลัว และความหวาดระแวดเป็นสาเหตุแห่งความทุกข์ยากนานัปการอาจจะนาไปสู่สภาวะสงครามเพราะ กลัวคนอื่นจะมาทาร้ายตนจึงต้องชิงทาร้ายผู้อ่ืนก่อนอาจนาไปสู่ความโดดเด่ียวเพราะคนอื่ นจะมาทา ร้ายและในท่ีสุดนาไปสู่ความอดอยากยากจนชีวิตมนุษย์จึงเต็มไปด้วยความลาเค็ญและโหดร้ายและ เป็นชีวิตท่ีส้ัน ในสภาวะธรรมชาติการกระทาของคนไม่มีดีไม่มีชั่ว เป็นการทาตามธรรมชาติ เมื่อมีรัฐ แล้ว ดชี ่วั จงึ เกิดขึ้นเพราะมกี ฎหมายเป็นเกณฑต์ ัดสนิ จากหนังสอื Leviathan ได้มีผสู้ รุปทฤษฎี หลกั เหตผุ ล และวิธกี ารของ ฮอบส์ ไวด้ ังน้ี ทฤษฎีที่ 1 การกระทาต่างๆของมนุษย์เกิดขึ้นเพราะภวตัณหา(Appetite) และ วภิ วตณั หา (Aversion) เท่านัน้ ทฤษฎที ี่ 2 การกระทาของมนุษย์ไดผ้ า่ นการคิดคานวณผลได้ผลเสียล่วงหน้าแล้ว ทฤษฎีที่ 3 การเคลื่อนไหว (Motion) ของมนุษย์ เป็นการตอบสนองการเคล่ือนไหว (ส่ิงเร้า) จากภายนอก ทฤษฎีท่ี 4 เปูาหมายท่แี ทจ้ รงิ ของมนุษยค์ อื ความสขุ ในอนาคต ทฤษฎีท่ี 5 อานาจเปน็ หนทางท่จี ะได้มาซึง่ ความสขุ ในอนาคต ทฤษฎีที่ 6 อานาจแบ่งออกเป็น ๒ ประเภทคอื 1. อานาจตามธรรมชาติหรืออานาจด้ังเดิม (Nature or Original Power) และ
53 2. อานาจท่ีเกิดข้ึนมาภายหลัง (Instrumental Power ) ทฤษฎีที่ 7 มนุษยท์ กุ คนล้วนแสวงหาอานาจทัง้ ส้ิน ทฤษฎีท่ี 8 อานาจของแต่ละบคุ คลคนจะตอ้ งขัดแย้งกบั อานาจของบคุ คลคนอ่นื ทฤษฎที ่ี 9 วธิ ที จ่ี ะทาการใหส้ าเร็จประโยชน์ก็คือต้องมีอานาจเหนือคนอ่ืนที่ขัดแย้งกับ ตนเอง ทฤษฎที ี่ 10 คุณค่าของมนษุ ย์กค็ อื ราคาของคน และราคาของก็ขึ้นอยู่กับการใช้อานาจ นั่นเอง ทฤษฎีท่ี 11 ความต้องการของมนุษย์ไม่มีขีดจากัด จะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อสิ้นลมหายใจ เท่าน้นั ทฤษฎีที่ 12 ความปรารถนาในอานาจโดยปราศจากขอบเขตน้ีเองเป็นอันตรายต่อ มนษุ ย์ ทฤษฎที ี่ 13 มนุษยท์ ีเ่ จรญิ แลว้ จะตอ้ งผละจากธรรมชาตดิ ังกลา่ ว ทฤษฎีท่ี 14 วิธีการท่ีจะผละหนีสภาพตามธรรมชาติก็คือการสละสิทธิบางอย่าง ยกเว้น สิทธใิ นการปกปักรักษาตนเองจากอันตรายต่างๆ ทฤษฎที ่ี 15สัญญาประชาคมมีอานุภาพเหนอื มนุษยท์ ุกรูปทุกนาม ทฤษฎีท่ี 16 รัฐาธิปัตย์ หรือผู้มีอานาจสูงสุดจะต้องคุ้มครองความปลอดภัยแก่มนุษย์ ในรฐั ทฤษฎตี า่ ง ๆ ของโทมัส ฮอบส์ ยงั อาจรวมได้อกี มาก แต่ทั้ง 16 ทฤษฎี มีเหตุผลในการพิสูจน์ ดงั น้ี 1. เกดิ สงครามกลางเมอื งในอังกฤษ ค.ศ. 1644-1651 เป็นส่งิ ท่ีกาหนดให้ 2. มนษุ ย์ทาสงครามโดยสมัครใจ เพราะมนุษย์ต่างจากสัตว์และการกระทาของมนุษย์ ได้ผ่านการคดิ คานวณผลได้ผลเสยี ล่วงหน้าแล้ว 3. มนษุ ย์กระทาส่งิ ตา่ งๆดว้ ยความต้องการบางอยา่ ง 4. โดยปรกติมนุษย์ย่อมต้องการสิ่งดีงามในชีวิตในอนาคตเพราะมนุษย์มีเปูาหมายคือ ความสุข 5. การได้มาซึ่งส่งิ ดีงามในอนาคตตอ้ งเอาชนะผอู้ น่ื ดว้ ยอานาจ 6. มนุษย์คนอน่ื ๆก็ไม่ยอมแพ้จึงเกิดสงครามขึ้นเพราะมนุษย์จะต้องปกปอู งตนเอง 7. ทางออกในการแก้ปัญหาคือสงคราม เพราะวิธีที่จะทาการให้สาเร็จประโยชน์ก็คือ ต้องมีอานาจเหนอื ผอู้ ่ืนที่มีความขดั แย้งกับตนเอง 8. แต่สงครามจะไม่ส้ินสุด แม้จะมีฝุายใดได้ชัยชนะก็ตาม เพราะโดยธรรมชาติแล้ว มนุษยจ์ ะไมม่ น่ั ใจว่าตนเองจะปลอดภยั จริงหรือไม่
54 9. มนษุ ย์มีความตอ้ งการไมส่ ิ้นสุด มนุษย์ ที่ไมม่ ีความต้องการคือมนษุ ย์ท่ีตายแลว้ 10. สงครามไมใ่ ช่จดุ จบของปญั หา เพราะจะเกดิ สงครามทีไ่ ม่มีพวกไม่มฝี ุาย 11. มนุษย์มีสิทธิท่ีจะปูองกันตนเองและรวมท้ังทาลายผู้อ่ืนด้วยเพราะเป็นสิทธิตาม ธรรมชาติ 12. อันตรายทั้งจะเกิดข้ึนกับสังคมอย่างน่ากลัว เพราะความปรารถนาในอานาจโดย ปราศจากขอบเขต 13. อันตรายนั้นจะทาให้มนุษย์โดดเด่ียว ยากไร้และอายุส้ัน เพราะสภาวะธรรมชาติ ของมนษุ ย์ 14. แตม่ นษุ ย์นัน้ มีเหตุผลเพราะมนษุ ย์ต่างจากสัตว์ 15. เหตุผลคือเราจะทาอะไรเป็นภัยต่อชีวิตตนเองหรือขัดกับธรรมชาติไม่ได้ เพราะนี่ เป็นกฎธรรมชาติ 16. มนุษย์ต้องหลกี ใหพ้ น้ ภาวะธรรมชาตดิ งั กล่าวเพราะเปาู หมายแท้จริงของมนุษย์คือ ความสขุ ในอนาคต 17. วิธีท่ีจะหลีกให้พ้นจากภาวะธรรมชาติก็คือการสละสิทธิตามธรรมชาติพร้อมๆกัน เพราะถา้ หากไม่ยอมสละสิทธพิ รอ้ มๆกนั กันคนทย่ี อมสละสทิ ธกิ ็จะเปน็ เหยือ่ ของคนอ่ืนเทา่ นน้ั 18. การสละสิทธิพร้อมๆกันก็คือการทาสัญญาประชาคม เพราะรัฐาธิปัตย์ต้องมี อานาจเหนือมวลมนษุ ย์ 19. สญั ญานั้นต้องมีข้นึ เพ่ือคุ้มครองสมาชิกในสังคม 20. ผู้ที่ได้รับอานาจคือรัฐาธิปัตย์ (Leviathan) (ชัยอนันท์ สมุทวาณิช, 2513 หน้า ,18) ฮอบส์ อธิบายว่า ในสภาวะธรรมชาติท่ีไม่มีกฎหมายน้ันจะมีได้ก็แต่กฎธรรมชาติเท่านั้นซ่ึง มนุษย์ท่ีมีเหตุผลเท่านั้นยึดถือว่าเป็นหลักหรือมาตรการในการปฏิบัติเพื่อให้มีชีวิตรอดอยู่ได้กฎ ธรรมชาตเิ หลา่ นี้ คือ (ทนิ พันธ์ นาคะตะ, 2541 หนา้ , 61) 1. ทกุ คนควรแสวงหาความสงบสขุ และปอู งกันอนั ตรายให้กบั ตนเอง 2. ต้องยอมเสียสละสิทธิตามธรรมชาติเพ่ือ ความสงบสุขและความปลอดภัยของ ตนเองโดยยึดหลกั ที่วา่ “จงปฏบิ ตั ติ ่อผ้อู นื่ ใหเ้ หมอื นกับทเ่ี ราตอ้ งการให้เขาปฏบิ ัติต่อเรา” 3. ต้องยึดถือปฏิบัติตามทีไ่ ดต้ กลงกันไว้ 4. ต้องมคี วามกตัญญูกตเวที 5. ต้องพยายามปรับตัวให้เข้ากับคนอ่ืน ด้วยการรู้จักการให้อภัยในความผิดพลาดซึ่ง กนั และกัน ไม่ยดึ ตดิ ในอดีต (เป็นสตั ว์ท่ีมีอานาจมากที่สุดในทะเล ท่ีของชาวยุโรปโบราณเช่ือกันว่ามีมี ความศักดสิ์ ทิ ธิ์ มีพลังอานาจภาษาไทยเรียกวา่ รัฐาธปิ ัตย)์
55 6. ไมค่ วรแสดงออกซึ่งความไม่พอใจ ในเชงิ ดูหม่ินผอู้ นื่ 7. ตอ้ งไมถ่ อื ดีโดยตอ้ งใหเ้ กยี รตแิ ละยอมรับความเสมอกัน 8. สิ่งใดมีน้อยไม่สามารถจะแบ่งกันได้ ก็ควรใช้ร่วมกันหรือให้สิทธิแก่คนครอบครอง คนแรก 9. ไมพ่ ่ึงปฏบิ ัตติ นต่อผู้อน่ื ในสง่ิ ที่เราจะไมป่ ฏิบตั ิตอ่ ตนเอง ฮอบส์ กลา่ วว่า กฎธรรมชาตเิ หล่าน้ีเช่นความกตัญญู ความสุภาพ จะทาให้คนเราอยู่ร่วมกัน ได้อย่างมีความสุข ผู้ปกครองจึงควรยึดถือกฎธรรมชาติเป็นหลักในการบัญญัติกฎหมายให้สอดคล้อง กัน หรือให้กฎธรรมชาติเป็นส่วนหน่ึงของกฎหมาย โดยฮอบส์กล่าวว่าองค์อธิปัตย์เท่าน้ันจึงจะมีสิทธิ ในการตรากฎหมายและอยเู่ หนือกฎหมายดังกล่าว สภาวะธรรมชาติของมนุษย์จึงเป็นสภาวะท่ีทุกคนเป็นศัตรูกับทุกคน สภาวะของสงครามนี้ รวมครอบคลุมไปถึงสภาวะทางจิตวิทยาที่คุกรุ่นอยู่ก่อนและหลัง การปะทะกันด้วย ตราบเท่าท่ี อันตรายจากการปะทะกันยงั แฝงอยู่ และไม่มหี ลกั ประกนั คา้ จนุ สันตภิ าพ สภาวะสงครามก่อนที่มนุษย์ จะรวมตัวกันเป็นประชาคมนี้ ฮอบส์เชื่อว่ามีอยู่จริง และดารงอยู่กับมนุษย์ตลอดไปแม้กระทั้งใน ปัจจุบันมนุษย์อาจจะหวนกลับไปสู่สภาวะด้ังเดิมน้ีเม่ือไหร่ก็ได้ ถ้าเง่ือนไขต่างๆ ในการทาให้มนุษย์ รวมตัวกนั โดยสันติ แตกสลายลงดังจะเห็นได้จาก 1. มาตรการต่างๆ ท่มี นุษยไ์ ดว้ างไวส้ าหรับปูองกันการลักขโมยและถูกประทษุ ร้าย 2. สภาวะสงครามหรือหวาดระแวง ที่รัฐต่าง ๆ ที่เปน็ เอกราชกระทาตอ่ กัน 3. วิถชี วี ติ ของคนปุาหรอื คนพเนจรทไ่ี มม่ รี ัฐดารงอยู่ เชน่ พวกอนิ เดยี นแดงในอเมรกิ า จากสภาวะท่ีมีการประทุษร้ายต่อกนั อย่างเนืองๆ นีเ้ อง มนษุ ย์ดึกดาบรรพ์จึงอยู่อย่างปุาเถ่ือน ปราศจากอารยธรรม เนื่องจากไม่มีหลักประกันในทรัพย์สิน อุตสาหกรรมและการมีกรรมสิทธ์ิไม่ อาจจะกระทาได้ ศิลปะและวัฒนธรรมไม่อาจพัฒนาได้ เพราะคนอยู่ในอันตรายตลาดเวลา กลัวภัย อันตรายต่อชีวิตของตน และมนุษย์ดารงชีวิตท่ีโดนเด่ียว ยากจน ขันแค้น ปุาเถื่อน และและมีอายุขัย สั้น ในสภาวะธรรมชาติน้ีไม่มีคาว่า “ผิด” หรือ “ถูก” “ยุติธรรม” หรือ “ไม่ยุติธรรม” ผิดหรืออ ยุติธรรมจะเกิดข้ึนได้ก็ต่อเม่ือมีการละเมิดกฎซึ่งได้ตกลงไว้แล้ว ดังนั้น เม่ือได้มีอานาจส่วนกลางหรือ อธิปัตยส์ ร้างกฎเกณฑ์ข้นึ มา และบังคับให้คนยอมทาตามแล้ว ทุกคนย่อมสิทธิที่จะได้ทุกส่ิงทุกอย่างท่ี เขาสามารถจะได้ โดยวิถีทางใดก็ได้ กรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลจึงไม่อาจจะมีได้ในสภาวะธรรมชาตินี้ เน่อื งจากกาลัง (might) กาหนดความถกู ตอ้ ง จงึ ไมม่ ใี ครจะอ้างกรรมสทิ ธต์ิ อ่ สงิ่ ใดโดยถาวรตลอดไปได้ 1.3.2 กฎธรรมชาติ และสญั ญาประชาคม สิทธิตามธรรมชาติ ของมนุษย์ในสภาวะที่ปราศจากรัฐเป็นหลักการง่าย ๆ ที่สนับสนุนให้ มนุษย์ทาอะไรก็ได้ในขอบเขตของอานาจ หรือความสามารถของเขา เพ่ือบรรลุถึงวัตถุประสงค์ของ การปูองกันตัวเอง เม่ือเป็นเช่นนี้ ฮอบส์จึงให้นิยามคาว่า“เสรีภาพ”ว่าหมายถึง สภาวะที่การ
56 เคลื่อนไหวของมนุษย์ปราศจากสิ่งกีดขวาง ซึ่งหมายถึง ขอบเขตที่ปัจเจกบุคคลสามารถที่จะทาอะไร ไดต้ ามใจชอบในขดี จากดั ของร่างกายของเขา และในขีดจากัดของสง่ิ กดี ขวางจากภายนอก สว่ นกฎธรรมชาติ นนั้ ฮอบส์เหน็ วา่ มีบ่อเกิดจากเหตุผลภายในตัวมนุษย์ซ่ึงติดตัวมนุษย์มาแต่ กาเนิด เหตุผลภายในตัวของมนุษย์จะออกคาส่ัง หรือค้นพบโดยประสบการณ์ถึงกฎสากลบางอย่างท่ี จะตอ้ งปฏิบตั ติ าม ถา้ ปัจเจกชนบุคคลอยากจะเอาชีวิตรอด กฎสากลน้ีคือ ข้อห้ามในการท่ีจะทาอะไร ทจี่ ะมผี ลกระทบในการทาลายชีวิตของตัวเอง ข้อแตกต่างระหว่างสิทธิตามธรรมชาติ กับกฎธรรมชาติ ก็คือ สิทธิตามธรรมชาติมีลักษณะอนุญาตให้บุคคลกระทาการอะไรก็ได้ ในขณะท่ีกฎธรรมชาติมี ลักษณะยับย้ังหรือห้ามปรามให้ปัจเจกบุคคลหลีกเลี่ยงการกระทาบางอย่างท่ีอยากจะกระทา ใน สภาวะธรรมชาติ มนุษย์ทุกคนมีสิทธิทุกอย่างที่เขาอยากจะได้ รวมทั้งร่างกาย ทรัพย์สินของบุคคล อื่นๆ ด้วย ดงั นัน้ ในสภาวะธรรมชาตจิ ึงไมม่ คี วามมัน่ คงสาหรับมนุษย์เลย มนษุ ย์ได้คน้ พบกฎธรรมชาติ โดยเหตผุ ลในตัวเอง และฮอบสเ์ ชื่อว่า กฎเหลา่ นี้ประกอบดว้ ย กฎอนั แรก คอื “แสวงหาและยึดม่นั กนั สนั ติภาพ” ทั้งนเี้ พราะมนุษย์ทุกคนย่อมอยากจะหลีกเลี่ยงจาก สภาวะอันช่ัวร้ายของสงครามตลอดเวลาในสภาวะธรรมชาติ กฎอันที่สอง ที่ตามมา และต่อเน่ืองกับกฎอันแรกคือ การที่ทุกคน (ที่เติบใหญ่แล้ว) จะยอม โอนสิทธิตามธรรมชาติท่ีไม่มีขีดจากัดโดยข้อตกลงร่วมกัน สัญญาประชาคมหรือข้อตกลงร่วมกันคือ การงดเวน้ ร่วมกันหรือการโอนสทิ ธิ เมอ่ื บุคคลหนึง่ บคุ คลใด ได้สละสิทธิหรือโอนสิทธิของตนให้บุคคล อ่ืนไปแลว้ เขาจะต้องไม่ข้องแวะกับกรรมสิทธ์ิของบุคคลอื่น ๆ อีกเพราะถ้าทาเช่นนั้นก็จะเป็นการขัด กับสัญญาที่เขาได้ตกลงใจทาขึ้นด้วยตัวของเขาเอง และถือได้ว่าเป็นการกระทาท่ีอยุติธรรม สัญญา ประชาคมเป็นสญั ญาทเ่ี กดิ จากความยินยอมพร้อมใจของบุคคลต่าง ๆ ที่มีมูลเหตุจูงใจในการแสวงหา ผลประโยชน์ให้แก่ตัวเอง (เน่ืองจากธรรมชาติของมนุษย์เห็นแก่ตัวเป็นส่วนใหญ่) ดังนั้น สัญญา ประชาคมท่ีเกิดขึ้นจะไม่เรียกร้องการโอนสิทธิตามธรรมชาติไปเสียหมด จะยังคงเหลือสิทธิของการ ปูองกนั ตัวเองต่อการถกู ทาร้าย การยึดมั่นต่อสัญญาประชาคมนั้น ฮอบส์คิดว่า ต้องพ่ึงพา “ความกลัว” (fear) เป็นหลัก ความกลัวนอ้ี าจจะเป็นความกลัวตอ่ ภตู ผปี ีศาจ บาป หรือ พระเจ้า หรืออานาจของบ้านเมืองก็แล้วแต่ ในสภาวะธรรมชาติ มนุษย์กไ็ ด้มคี วามกลัวตอ่ ภูตผีปศี าจอยแู่ ล้ว ดังนั้นสัญญาในสภาวะเช่นนี้จึงต้องพ่ึง คาสาปแช่ง พึ่งการให้สัตย์ปฏิญาณตน ซึ่งแต่ละฝุายจะอ้างการลงโทษของภูผีปีศาจมาค้าประกัน คู่สัญญาใหป้ ฏบิ ตั ิตาม ความกลวั ต่อสงิ่ เหลา่ นีจ้ ะทาใหผ้ ้ใู หค้ ามั่นสัญญา ยึดม่ันในขอ้ ตกลง กฎธรรมชาติกฎท่ีสาม คือ “มนุษย์จักยึดม่ันในสัญญาท่ีได้ทาไว้แล้ว” เพราะถ้าทุกคนไม่ยึด ม่นั สญั ญาประชาคมจะหมดความหมาย และจะผลกั ดนั ให้พวกเขากลับคืนไปสู่สภาวะสงครามอีก กฎ นี้ฮอบส์คดิ วา่ เป็นจดุ เร่ิมตน้ ของ “ความยตุ ิธรรม” ซง่ึ ก็คอื การยึดมัน่ ในคามั่นสัญญาเท่านั้นเอง อาจจะ มีบางคนกล่าวว่า ความยุติธรรมนั้นไม่มีและปัจเจกบุคคลควรจะได้ในส่ิงที่เขาไขว่คว้ามาได้ และควร
57 จะละเมดิ ขอ้ ตกลงทที่ าไวถ้ า้ ขดั กบั ผลประโยชน์ของเขา ฮอบส์คิดว่าคากล่าวเช่นน้ีไม่ถูกต้อง เพราะถ้า ทาเช่นน้ันปัจเจกบุคคลจะต้องเผชิญหน้ากับองค์อธิปัตย์ และพระราชบัญญัติที่ตราข้ึน ในเง่ือนไข เช่นนี้มักจะสอดคล้องกับผลประโยชน์ของปัจเจกบุคคลมากว่าในการยึดมั่นกับสัญญาประชาคม เพราะเขาจะไมถ่ กู ลงโทษเพราะหลีกเลี่ยงสัญญาในระดบั การเมอื งระหว่างประเทศก็เช่นกัน ถ้ารัฐกลุ่ม หนึ่งรวมตัวกันเป็นพันธมิตรเพื่อความม่ันคงร่วมกัน การทรยศโดยรัฐหนึ่งย่อมลงเอยด้วยการถูกไล่ ออก และปล่อยให้ชว่ ยตวั เองในบางกรณีมันก็เป็นได้ท่ีบุคคลบางคนอาจจะหลีกเล่ียงโทษทัณฑ์ได้ด้วย กลโกง แต่มันเป็นการไม่สุขุมในการท่ีจะพ่ึงพาความโง่เง่า หรือเพิกเฉยละเลยของบุคคลอ่ืนในการ รักษาตัวเอง กฎธรรมชาติท้ังหมดอาจจะสรุปรวมได้ว่า “จงไม่ทาต่อบุคคลอ่ืน ในสิ่งที่เราจะไม่ทาต่อ ตัวเอง” กฎธรรมชาติไม่ต้องการให้คนต้องยึดม่ันกับมันในทุกกาลเทศะ ต้องการแค่เป็นท่ีปรารถนา ของทุกคนที่จะให้มันมีอยู่และได้รับการเคารพยึดม่ันเท่านั้น ท้ังน้ีเพราะถ้ากฎธรรมชาติไม่เป็นท่ีพึง ปรารถนาต่อทุกคนแล้ว มันก็จะเป็นการอัตวินิบาตกรรม ถ้าคน ๆ เดียวเคารพยึดมั่นต่อกฎ กฎ ธรรมชาตเิ ป็นกฎทางสงั คมโดยแท้ จะมคี ณุ ค่าและจาเปน็ ตอ้ งยึดม่ันก็ต่อเมื่อสังคมท้ังหมดยึดม่ันคล้อย ตาม และเป็นเง่ือนไขสาคัญขั้นพื้นฐานของสังคมของมนุษย์ และชุมชนทางการเมือง กฎท้ังสามนี้ คงทนเปลี่ยนแปรไม่ได้ไม่ใช่เพราะนักปราชญ์สั่งสอนไว้ แต่เป็นเพราะมันเป็นสิ่งท่ีขาดไม่ได้ต่อการ รกั ษาสนั ติภาพ และการดารงชวี ิตของมนุษย์ ฮอบส์คดิ วา่ ไมม่ ีกฎทางจรยิ ธรรมกฎไหนอยู่สูงไปกว่ากฎ ของธรรมชาตทิ ั้ง ๓ กฎน้ี (คณะกรรมการกลุ่มผลิต ชุดวิชาปรัชญาการเมอื ง, 2527 หนา้ , 265) 1.3.3 ระบบความความคิดท่ีมอี ิทธพิ ลตอ่ สังคม ในสภาวะธรรมชาติทุกคนมีสิทธิและมีอิสระที่จะกระทาการใดๆ ในการคุ้มครองและ ส่งเสริมความปลอดภัยของตนเอง แม้แต่การทาร้ายร่างกายของผู้อ่ืน สิทธิตามธรรมชาติจึงหมายถึง การทีท่ ุกคนมเี สรีภาพอยา่ งเต็มท่ี ในการทีจ่ ะปกปูองคมุ้ ครองหรอื รกั ษาชีวติ ของตนเอง โดยจะเลือกใช้ วิธีใดๆก็ได้แต่เม่ือเราอยู่ในสังคมการเมือง เราก็มีเสรีภาพในการกระทาต่างๆเท่าที่กฎหมายไม่ได้ห้าม ไว้ ภาวะธรรมชาติที่ปราศจากรัฐบาล จึงเป็นภาวะแห่งสงคราม ซ่ึงความกลัวมีอยู่เร่ือยไป และ ภยนั ตรายก็อาจเกิดขึ้นไดท้ กุ ขณะ 1.3.4 กาเนิดจักรภพ และองค์อธปิ ตั ย์ โธมัส ฮอบส์ ตั้งคาถามว่า ทาอย่างไรจึงจะหลีกเล่ียงภาวะแห่งสงครามน้ีได้อะไรคือ ธรรมชาติของภาวะธรรมชาติอีกทีหน่ึง ซึ่งฮอบส์ก็ให้คาตอบว่า การมีรัฐบาลปกครองนามาซ่ึงความ สงบสุขได้ ฉะนั้นถ้าต้องการความปลอดภัยให้ชีวิตและทรัพย์สินก็จะต้องยอมรับว่ารัฐบาลเป็น สงิ่ จาเปน็ ทีส่ งั คมต้องมีไวเ้ พอื่ ค้มุ กนั ภยั ของแต่ละบคุ คล การท่ีเราจะปกปูองคุ้มครอง หรือรักษาชีวิตของตนเองได้นั้นจะยึดถือกฎธรรมชาติแต่ เพียงอย่างเดยี วย่อมเปน็ ไปไม่ได้เพราะไม่มีใครสามารถควบคุมบังคับคนอ่ืน ๆ ที่ฝุาฝืนให้ถูกลงโทษได้
58 จึงจาเปน็ ที่จะต้องทาสัญญารว่ มกนั โดยการยอมมอบสทิ ธิ และเสรภี าพรวมทัง้ อานาจการตัดสินใจท่ีแต่ ละบุคคลมีอยู่ตามธรรมชาติ ให้แก่บุคคล หรือกลุ่มบุคคลเพื่อให้ทาหน้าที่ดูแลเร่ืองความปลอดภัยใน ชีวิต และทรัพยส์ นิ ของแต่ละบคุ คลในสงั คม โดยฮอบส์เห็นว่า การมีผู้ทรงอานาจสูงสุดแต่เพียงผู้เดียว จะทาใหก้ ารบรหิ ารบ้านเมอื งมปี ระสทิ ธภิ าพ และความมนั่ คงกว่าคณะบุคคลเพราะเป็นการปกครองท่ี อาศยั องค์อธปิ ตั ยแ์ ตผ่ เู้ ดียว ไม่ตอ้ งกงั วลเรื่องความแตกแยกและแก่งแย่งชิงดีกัน การปกครองรูปแบบ นี้จะให้จักรภพมีความเข้มแข็งในการธารงรักษาสันติภาพ และเสริมสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้คงอยู่ ตลอดไปเพ่อื จะหลดุ พน้ 1.3.5 สิทธขิ ององคอ์ ธิปตั ย์ นอกจากองค์อธิปัตย์จะมีอานาจสูงสุดในสังคมน้ัน องค์อธิปัตย์มีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎ แห่งธรรมชาติ และรับรู้ถึงสิทธิตามกฎหมายแห่งประชาชน องค์อธิปัตย์มีอานาจอย่างไม่มีขอบเขต จากดั คือทง้ั ในทางนติ บิ ัญญัติ บริหาร และตุลาการตลอดจนการควบคุมทหาร และการเก็บภาษีอากร นอกจากน้ียังมอี านาจใหโ้ ทษ และให้รางวัลตอบแทน และควบคุมความคิดเห็นของประชาชน (สมบัติ ธารงธัญวงศ์, 2545 หน้า, 142) การใช้อานาจขององค์อธิปัตย์เป็นการใช้อานาจท่ีสมบูรณ์ผู้ใต้ ปกครองนอกจากจะสูญเสียอานาจเดิมท่ีมีอยู่ตามภาวะธรรมชาติไปแล้วยังไม่ มีสิทธิที่จะคัดค้าน หรอื ไมป่ ฏิบัติตามคาสั่ง หรอื กฎหมายขอองคแ์ ห่งอธิปตั ย์อกี ด้วย ฮอบส์เห็นว่ากฎหมายกับสิทธิ (Low and Right) ต่างกันอย่างตรงกันข้ามใน คริสต์ศตวรรษที่ ๑๗ ท่ีผู้คนส่วนใหญ่ในโลกตะวันตกเชื่อว่า อานาจของผู้ปกครองเป็นโองการจาก สวรรค์ช้ันฟูา โธมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) นักปรัชญาชาวอังกฤษ กล้ายืนยันในทางตรงข้ามว่า อานาจน้ันมาจากการตกลงมอบให้โดยประชาชนผู้ถูกปกครอง แม้ว่าสิทธิธรรมของประชาชน ในการ ขัดขืนอานาจรัฐ จะมิได้อยู่ในความคิดของฮอบส์ (เช่ือกันว่าเจตนาของเขาคือ มุ่งใช้แนวคิดวัตถุนิยม สนับสนุนอาญาสทิ ธิ์ของกษัตรยิ ์) แต่ฮอบส์ก็เป็นคนแรกที่สาธิตอย่างเป็นระบบว่า รัฐเป็นเพียงองค์กร เทียม (artificial organization) ที่มนุษยร์ วมตวั กันสถาปนาข้ึน เพ่ือให้ทาหน้าท่ีไกล่เกล่ียข้อพิพาทใน หมู่ตน เปูาหมายของการปกครอง จึงเป็นอื่นไปมิได้ นอกจากเพื่อจรรโลงสวัสดิภาพของปวงชน นี่คือ จดุ เริ่มต้นของกระแสความคดิ ทางการเมืองสมัยใหม่ ท่ีสบื ทอดไปสนู่ ักคิดหวั ก้าวหนา้ รุ่นหลัง ในหนังสือ Leviathan นั้น ฮอบส์มุ่งมาที่รัฐที่กาเนิดโดยสถาบัน ในรัฐแบบนี้อธิปัตย์ถือ กาเนิดขึ้นมาจากสัญญาประชาคม โดยมีสิทธิและอภิสิทธิ์บางอย่างเป็นขององค์อธิปัตย์และไม่อาจจะ เพิกถอนสิทธิเหล่านไี้ ปจากตวั บุคคลหรือสถาบนั ขององคอ์ ธปิ ตั ย์ได้ สิทธเิ หลา่ นไี้ ดแ้ ก่ 1. องค์อธิปัตย์ไม่อาจสูญเสียอธิปไตยไปได้ และข้าของเขาไม่อาจจะเลือกองค์อธิปัตย์ใหม่ได้ โดยปราศจากการยินยอมขององค์อธิปัตย์ ทั้งนี้เพราะองค์อธิปัตย์ได้รับมอบสิทธิในการแสดงออกถึง เจตนารมณ์ของข้าของเขาท้ังหมด ใครก็ตามที่แข็งข้อต่อองค์อธิปัตย์สมควรท่ีจะถูกประหารชีวิตโดย
59 ชอบธรรม ท้ังน้ีเพราะบุคคลผู้นั้นได้กระทาผิดโดยยกเลิกสัญญาที่ได้ทาไว้และได้กลัวคืนสู่สภาวะของ ธรรมชาติ 2. องค์อธิปัตย์ไม่อาจจะถูกกล่าวหาว่าได้ละเมิดสัญญาประชาคม เนื่องจากองค์อธิปัตย์ไม่ได้ ทาสัญญาอะไรทั้งสิ้น และได้ถือกาเนิดมาจากผลลัพธ์ของสัญญาน้ัน ไม่ใช่เป็นผู้ร่วมทาสัญญา ถ้าองค์ อธิปัตย์ในสมัยที่ยังมีฐานะเป็นบุคคลธรรมดา ก่อนได้รับการเลือกตั้ง ได้ให้คาม่ันสัญญาบางอย่างแก่ พลเมืองบางคนหรือทุกคน สัญญาเหล่านี้ จะกลายเป็นโมฆะทันทีบุคคลน้ันๆ กลายสภาพมาเป็นองค์ อธิปัตย์ ท้ังน้ีเพราะทุกสิ่งทุกอย่างท่ีเขากระทาในฐานะองค์อธิปัตย์ต้องถือว่าเป็นการกระทาของ พลเมืองทั้งหมด ทั้งปวงด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ถ้ากาหนดเง่ือนไขว่าอธิปัตย์ต้องอยู่ในขีดจากัดของสัญญา ประชาคมดว้ ยแล้ว กจ็ ะมปี ญั หาว่าไมม่ ใี ครมสี ทิ ธิและอานาจเหนือองค์อธิปัตย์ เพ่ือท่ีจะมาพิจารณาว่า เขาไดล้ ะเมิดสัญญาหรือไม่ และถ้าองค์อธิปัตย์ยอมอยู่ในขีดจากัดของสัญญาประชาคมแล้ว ก็จะมีข้อ กล่าวหาต่อองค์อธิปัตย์อยู่ร่าไป เพราะองค์อธิปัตย์ต้องทางานท่ีมีผลกระทบต่อบุคคลอ่ืนๆ จานวน มากอยู่ตลอดเวลาการฟูองร้องกล่าวหาองค์อธิปัตย์อยู่เร่ือยๆ จะทาให้เกิดความระส่าระสายใน บ้านเมืองและท้ายที่สุดฮอบส์เห็นว่าก็จะผลักดันบ้านเมืองให้อยู่ในสภาวะสงครามอีก ดังน้ันองค์ อธปิ ัตย์ทม่ี ีอานาจจากดั จึงไม่มีประโยชน์ เพราะไม่สามารถทาให้บ้านเมืองสงบสันติ และอานวยความ เปน็ สวสั ดิภาพแก่ปจั เจกบุคคลได้ 3. เมื่อชนกลุ่มใหญ่คัดเลือกองค์อธิปัตย์ขึ้นมาแล้ว ชนกลุ่มน้อยมีภาระที่จะยอมรับ และเช่ือ ฟังองค์อธิปัตย์น้ัน ๆ ด้วย ถ้าไม่เช่นน้ันก็ต้องรับผลลัพธ์ท่ีตามมาคือ การถอยกลับไปสู่สภาวะ ธรรมชาติ และสภาวะสงครามที่อาจจะถกู ฆา่ โดยใครกไ็ ด้ 4. องค์อธิปัตย์ไม่อาจจะถูกกล่าวโดยข้าของเขาว่าได้รับความอยุติธรรม หรือความเสียหาย ท้ังน้ีเพราะโดยสัญญาประชาคมพลเมืองทุกคนเป็นส่วนหน่ึงขององค์อธิปัตย์ซึ่งเป็นอภิ-บุคคล ดังนั้น จงึ ตอ้ งรว่ มรบั ผิดชอบในการกระทาทกุ อย่างขององคอ์ ธิปตั ยด์ ว้ ย 5. องค์อธิปัตย์ไม่อาจจะถูกตัดสินประหารชีวิตโดยชอบธรรมหรือถูกลงโทษอื่นๆ ตาม กฎหมาย โดยพลเมืองของเขาได้ ทง้ั นี้เพราะถา้ กระทาดังน้ัน ข้าของเขาก็จะลงโทษเขาในสิ่งที่พลเมือง ทกุ คนตอ้ งรว่ มรบั ผดิ ชอบด้วย 6. องคอ์ ธปิ ัตย์มีสิทธแิ ละสมควรท่ีจะควบคมุ และยับยั้งแนวความคิด และทัศนคติต่าง ๆ ในท่ี สาธารณชน เพอ่ื จะยับยั้งและปราบปรามลัทธติ า่ ง ๆ ท่บี อ่ นทาลายบ้านเมอื ง 7. องค์อธิปัตย์ต้องตราพระราชบัญญัติซึ่งจะจัดสรร และควบคุมทรัพย์สิน และวิถีชีวิตของ พลเมืองให้เปน็ ระเบียบแบบแผน 8. องค์อธิปัตยต์ ้องกระทา หรอื ควบคมุ กระบวนการยุตธิ รรมซึ่งจาเป็นอย่างย่ิงตอ่ สันตสิ ุข
60 9. องคอ์ ธปิ ัตย์มีอานาจในการทาสงคราม และตกลงเงอื่ นไขของสันติภาพต่อชาติอื่น ๆ และมี อานาจในการควบคุมเคร่ืองเมือที่จาเป็นสาหรับการน้ีด้วย ซ่ึงได้แก่อานาจในการเรียกเก็บภาษี และ ตาแหนง่ จอมทพั 10. องคอ์ ธปิ ัตยเ์ ปน็ ผ้แู ต่งต้งั ทั้งโดยทางตรง และทางออ้ ม ข้าราชการทั้งหมดของรัฐ และถอด ถอนบคุ คลเหลา่ น้ีไดด้ ว้ ยเมือ่ จาเป็น 11. องค์อธิปัตย์มีอานาจในการลงโทษบุคคลท่ีละเมิดกฎหมาย หรือผู้ท่ีกระทาการต่อต้าน สาธารณประโยชน์ หรอื ประเทศชาติ 12. องคอ์ ธปิ ตั ยม์ ีสทิ ธใิ นการใหร้ างวลั ด้วยทรัพยส์ นิ หรือเกียรติยศต่อผู้ที่ได้ทาประโยชน์ได้แก่ ประเทศชาติ มีสิทธิในการให้ต่อบุคคลแต่ละบุคคลในแง่ของยศศักดิ์ และฐานันดรท่ีเหมาะสมสมควร และมสี ทิ ธิสงั่ การวา่ พลเมอื งควรรใหค้ วามเคารพนบั ถือตอ่ บุคคลใดมากน้อยแค่ไหน ลักษณะสิบสองประการน้ีเป็นแก่นสารของการเป็นอธิปัตย์ ซึ่งไม่อาจจะถูกยกเลิกหรืองดเว้น ไปในลักษณะหนึ่ง ลักษณะใด โดยไม่กระทบกระเทือนต่อการเป็นอธิปไตย ถ้าในรัฐ ๆ หน่ึงมีบุคคล หรือกลุ่มบคุ คลใดใชอ้ านาจ 12 ประการนี้แลว้ บุคคลหรอื กลุ่มบคุ คลนั้นๆ ย่อมเป็นองค์อธิปัตย์ของรัฐ นั้น ลกั ษณะทัง้ สบิ สองประการนีแ้ บ่งแยกจากกันไม่ได้ การโอนข้อหน่ึงข้อใดไปจะหมายถึงการสูญเสีย อธปิ ไตย ตัวอย่างเชน่ ถ้าโอนอานาจทางทหารไปองค์อธิปัตย์จะเสียอานาจในการบังคับคดีในศาล ถ้า โอนสทิ ธขิ องการเกบ็ ภาษไี ป องค์อธิปัตย์ก็ไม่อาจจะเลี้ยงดุกองทัพได้ และไม่อาจจะพ่ึงพาทหารได้ ถ้า โอนสทิ ธิในการควบคมุ และยับยงั้ ความคิดและสิง่ ตีพมิ พ์ต่างๆ ไป องคอ์ ธิปัตย์ก็ไม่อาจปูองกันการกบฏ หรือการก่อการรา้ ยได้ ดงั นน้ั ถา้ ปรากฏว่าองค์อธิปัตย์ได้ให้สิทธิบางอย่างน้ีไปต่อผู้ใด การโอนน้ันเป็น โมฆะ ทั้งน้ีเพราะตราบใดที่องค์อธิปัตย์ยังเป็นอธิปัตย์อยู่ เขาไม่อาจจะสูญเสียสิทธิหนึ่งสิทธิใดใน 12 ประการท่แี บง่ แยกไม่ได้นี้ ทั้งอานาจ และเกียรติยศขององค์อธิปัตย์มีเหนือกว่าอานาจ และเกียรติยศของพลเมือง ทั้งหมด พลเมืองแต่ละคน เม่ือแยกออกมาเป็นแต่ละปัจเจกบุคคลแล้วย่อมอ่อนแอกว่า และมี เกียรติภูมิน้อยกว่า แต่เม่ือรวมตัวกัน และกลายเป็นอภิ-บุคคล (Leviathan) แล้ว เกียรติยศและ อานาจของแต่ละบุคคลรวมตัวกันก็จะกลายเป็นเกียรติยศ และอานาจขององค์อธิปัตย์ ต่อหน้าของ องค์อธิปัตย์แล้ว พลเมืองทุกคนย่อมเป็นข้าของพระองค์เหมือนกันหมด และมีระดับของเกียรติภูมิ ระดบั เดียวกนั เน่อื งจากพระองค์เปน็ แหลง่ กาเนดิ ของเกยี รตทิ งั้ มวล การมีอานาจโดยสมบูรณ์ขององค์ อธิปัตย์ อาจจะกใ็ ห้เกิดความไม่สะดวก หรือความยากลาบากแก่พลเมือง แต่ฮอบส์มองเห็นว่า การให้ บุคคลหน่ึงบุคคลใดมีอานาจย่อมก่อให้เกิดความไม่สะดวกแก่บุคคลอ่ืน และความไม่สะดวกและทุกข์ เขญ็ ของการแตกกระจายของอานาจหรือสภาวะของอนาธิปไตยนั้น ย่ิงก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานแก่ ประชาชนอกี มากมายทวีคณู เหลือคณานบั ได้
61 ฮอบส์เหน็ วา่ ลักษณะทเ่ี ด่นชัดท่สี ดุ ของชมุ ชนทางการเมือง หรือ “รัฐ” นั้นคือ สถาบันของอค์ อธิปัตย์ ฮอบส์จึงจาแนกลักษณะของรัฐตามจานวนของผู้ใช้อานาจอธิปไตย ซ่ึงฮอบส์คิดว่ามีเพียง 3 แบบเทา่ น้ัน คือ เอกาธิปไตย คณาธปิ ไตย และประชาธปิ ไตย ตามแตท่ ่ีอาศัยของอานาจอธิปไตยว่าอยู่ ในบุคคลคนเดียว กลุ่มบุคคล หรือทั้งหมด ฮอบส์ไม่เห็นด้วยกับนักปรัชญาการเมืองรุ่นก่อน ๆ เช่น เพลโต และอริสโตเติล ที่จาแนกแยกแยะระบบการเมืองให้ละเอียดต่อไปอีกเป็นระบบทรราชย์หรือ คณาธิปไตยท่ีมุ่งทรัพย์สิน ฮอบส์เห็นว่า คาเหล่าน้ีเป็นแต่เพียงคาที่บัญญัติข้ึนมาสาหรับแสดงออกถึง การไม่เห็นด้วยหรือไม่ชอบระบบการเมืองน้ัน ๆ เท่าน้ันเอง ดังนั้น ผู้ที่รู้สึกไม่ชอบหรือถูกกดขี่ภายใต้ ระบบเอกาธิปไตยหนึ่ง ๆ ก็เรียกระบบน้ันว่า ทรราชย์ และผู้ท่ีไม่สนับสนุนรัฐบาลคณาธิปไตย บาง รัฐบาล ก็เรียกว่า คณาธิปไตย ที่โกงกิน ตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความไร้สาระของคุณศัพท์เหล่านี้ ปรากฏชัด เมื่อผตู้ อ่ ตา้ นระบบประชาธิปไตยใช้คาว่า “อนาธิปไตย” ในการบรรยายถึงรฐั นน้ั ๆ ซ่ึงคาว่า อนาธิปไตยทแี่ ปลว่า “ไมม่ ีรฐั บาล” น้ัน ถกู จัดให้เป็นรูปแบบหนึ่งของรัฐไปเสยี ได้ ในระบบเอกาธิปไตยนั้น พลเมืองทุกคนโอนอานาจของเขาใหแ้ กบ่ คุ คลผู้เดียว ดังน้ัน ในระบบ น้ีพลเมืองไม่อาจจะมีการแทนตัวได้อีก โดยการเลือกผู้แทนราษฎร ยกเว้นแต่ว่าเป็นการแทนตัวใน ขีดจากัดท่ีองค์อธิปัตย์ได้กาหนดไว้แล้ว ซึ่งในสภาวะเช่นน้ี กษัตริย์อาจจะปรารถนาที่จะรับรู้ความ ตอ้ งการและความคิดเห็นของประชาชน และอยากจะปรึกษากับผู้แทนราษฎร แต่ตัวผู้แทนราษฎรไม่ มีอานาจและความชอบธรรมในตัวเอง ฮอบส์มองเห็นว่า ระบบกษัตริย์หรือระบบเอกาธิปไตยนี้มีข้อดี เหนือกวา่ อกี 2 ระบบ คือ 1. ผลประโยชน์ของกษัตริย์และของขาติใกล้เคียงและคล้ายคลึงกัน เพราะกษัตริย์มี ผลประโยชน์ส่วนตัวนอ้ ย มีมติ รสหายและญาติท่ีตอ้ งสนบั สนุนในจานวนจากัด 2. กษัตริย์อาจจะรับคาแนะนาและข้อเสนอจากทุกชนช้ัน สามารถพิจารณาไตร่ตรอง อยา่ งลบั ๆ และไม่อยใู่ ต้อิทธพิ ลของวาทศลิ ปแ์ ละการโฆษณาชวนเชื่อมากนัก 3. กษัตริย์สามารถดาเนินนโยบายท่ีละเอียด สุขุม และต่อเนื่อง ในขณะท่ีมุขมนตรี หรือสภาโดยการเปลี่ยนสมาชิกหรอื อุบตั ิเหตุ เปลีย่ นนโยบายอยเู่ รอื่ ยจากวันตอวัน 4. กษัตริย์เป็นหน่วยๆ เดียว และไม่อาจจะคัดค้านตัวเอง ในขณะท่ีรัฐสภาอาจจะ แตกแยกกนั ในประเด็นใหญๆ่ และนาไปสกู่ ารตอ่ ส้ขู องกลุ่มใหญๆ่ 2 กลุ่มในรัฐ 5. รัฐสภามักจะถูกโน้มน้าวโดยศิลปะของโวหารถูกชักจูง โดยการติดสินบน และ ผลประโยชน์สว่ นตัว และมักสนับสนนุ การโจมตี ประณาม ฝาุ ยตรงกันข้าม ฮอบส์จึงมองเห็นว่าระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบบที่เหมาะที่สุด สาหรับรัฐแบบใหม่ ในยุโรปทเี่ ขาเรียกวา่ อภิ-บคุ คล หรือ Leviathan
62 1.3.6 เสรีภาพของประชาชน เกี่ยวกบั เร่ืองเสรีภาพของประชาชนนนั้ ฮอบสถ์ อื ว่าประชาชนมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกันโดย ธรรมชาติ แต่เพื่อสันติภาพ และความสุขแห่งชีวิตมนุษย์ จึงยอมสละสิทธิและเสรีภาพส่วนท่ีเป็นการ ละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อ่ืน ต่างคนต่างรักษาสิทธิเสรีภาพของตนโดยมีองค์อธิปัตย์ทาหน้าที่เป็นผู้ ควบคุมกติกาไม่ให้มีการล่วงละเมิดเกิดข้ึน ด้วยเหตุน้ี ประชาชนจึงยังดารงสิทธิ และเสรีภาพอย่าง กว้างขวาง ทัง้ สทิ ธิในการเลอื กถิน่ ทีอ่ ยูอ่ าศัย อาชพี การแต่งงาน การมีบุตร ตามท่ีตนเห็นว่าเหมาะสม และไม่ละเมิดผู้อ่ืน ตามกฎหมายแห่งรัฐ ฮอบส์เน้นว่าประชาชนทุกคนจะต้องมีความเท่าเทียมกัน ไม่ วา่ จะอยู่ในฐานะใดกต็ าม แม้องค์อธิปัตย์จะไม่ใช่คู่สัญญากับประชาชน และภายใต้เง่ือนไขท่ีว่า องค์อธิปัตย์ยังคง สามารถรักษาความปลอดภัยให้กับประชาชนได้อย่างม่ันคง ประชาชนไม่มีสิทธ์ิที่จะโค่นล้มองค์ อธิปัตย์ แต่เมื่อใดก็ตามที่องค์อธิปัตย์กระทาการใด ๆ อันก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชน หรือทาให้ ประชาชนตกอยู่ในภาวะอันตราย ประชาชน มีสิทธิที่จะต่อต้านและล้มล้างองค์อธิปัตย์ได้ แต่ฮอบส์ เสนอว่า การกระทาดังกล่าวควรกระทาอย่างรอบคอบ มิฉะน้ันแล้วอาจทาให้ประชาชนกลับไปสู่ สภาวะธรรมชาติที่เลวร้ายอีกครัง้ หนึ่ง ฮอบส์ มีความเห็นว่า เสรีภาพท่ีแท้จริงของราษฎร หรือขีดจากัดท่ีราษฎรจะเชื่อฟังองค์ อธปิ ตั ย์นัน้ แฝงอยแู่ ล้วในสญั ญาประชาคม เสรภี าพเหลา่ นี้ไดแ้ ก่ 1. สิทธิและเสรีภาพท่ีไม่อาจจะโอนไปได้ เช่น สิทธิในการปูองกันตัวเองต่อการถูก โจมตี ประทุษร้าย และสิทธิในการปฏิเสธการให้การในศาลที่จะผูกมัดตัวเองในระหว่างการพิจารณา คดี 2. สิทธิในการงดเว้นจากการเสียสละชีวิตตัวเอง หรือสังหารบุคคลอ่ืน ซ่ึงนาไปสู่สิทธิ ในการปฏิเสธปฏบิ ัติการทต่ี ัวเองต้องตายไปด้วยในการทหาร หรือการอื่น ๆ รวมทั้งการปฏิเสธที่จะทา สงคราม สิทธิบางอย่างนั้น อาจจะมีเพ่ิมให้ เช่น สิทธิในการฟูองร้ององค์อธิปัตย์ หรือรัฐบาลในทาง แพง่ ในเรอ่ื งบางเรอื่ ง เช่น หนี้สิน ภาษี ฯลฯ แล้วแตก่ ฎหมายจะกาหนดให้ ส่วนใหญ่แล้วปัญหาที่องค์ อธิปัตย์ยินยอมให้ราษฎรฟูองร้องได้ มักจะเกิดมาจากการเปลี่ยนแปลงแก้ไขตัวบทกฎหมาย องค์ อธิปัตย์ยินยอมให้ราษฎรฟูองร้องได้เพื่อปิดช่องว่างระหว่างกฎหมายเก่าและกฎหมายใหม่และเพื่อ ผลประโยชน์ขององคอ์ ธิปตั ยเ์ อง ในกรณีทเ่ี กดิ สภาวะอนาธิปไตย และองค์อธิปัตย์ได้สูญเสียอานาจการคุ้มครองราษฎรไปแล้ว ภารกิจและหน้าท่ีของราษฎรต่อองค์อธิปัตย์ก็ส้ินสุดลง สถานการณ์เช่นนี้อาจเกิดจากการรุกรานจาก ต่างประเทศ หรือสงครามกลางเมือง ซ่ึงผลักดันบ้านเมืองให้กลับคืนสู่สภาวะธรรมชาติ ในกรณี ดังกล่าวราษฎรย่อมมีสิทธิโดยชอบธรรมในการโอนความจงรักภักดีของเขา ต่อผู้ยกตนข้ึนมาเป็นองค์
63 อธิปัตย์องค์ใหม่ ซ่ึงได้พิสูจน์ให้เห็นว่ามีอานาจพอที่จะให้การคุ้มครองแก่ราษฎรได้ (คณะกรรมการ กลุ่มผลติ ชดุ วิชาปรัชญาการเมือง, 2527 หน้า, 273) 1.3.7 ขดี จากดั ท่ีประชาชนจะเชอ่ื ฟังองค์อธิปัตย์ ฮอบส์ได้ให้นิยามคาว่า“เสรีภาพ”ไว้ว่า คือสภาวะท่ีปราศจากส่ิงกีดขวาง ไม่มีอุปสรรค ภายนอกมาขัดขวางการเคล่ือนไหว คานิยามนี้อาจจะใช้ได้กับวัตถุท่ัวไปท่ีไม่มีชีวิต หรือกับสัตว์ และ มนุษย์ก็ได้ ดังน้ัน น้าท่ีถูกกักอยู่ในแม่น้า จึงไม่มีเสรีภาพในการไหลไปรอบด้าน ยกเว้น ด้านเดียวคือ ตามร่องแม่น้า เสรีภาพของมนุษย์ก็คือการปราศจากส่ิงกีดขวางในกิจกรรมท่ีเขากาลังทาอยู่หรือ อยากจะกระทา ฮอบส์เห็นว่า “ความกลัว” ไม่ได้ขัดแย้งกับเสรีภาพ เพราะบุคคลท่ีเลือกกระทาอย่าง หน่ึงอย่างใดเพราะความกลัว ยังตัดสินใจได้ที่จะเลือกกระทาส่ิงท่ีตรงกันข้าม ถ้าเขาคิดว่าเขาอาจจะ ทนการลงโทษ หรอื ผลลพั ธ์ท่ีเกิดขน้ึ ได้ อานาจในการตดั สนิ ใจยังอยู่ทเี่ ขา เขาจงึ ยังเป็นเสรีชนอยู่ ในรัฐ ก็เช่นกัน มนุษย์ได้ประดิษฐ์สิ่งท่ีเรียกว่า กฎหมาย ขึ้นมา สาหรับการลงโทษในกลุ่มของตนเองต่อผู้ที่ ได้ละเมิดสัญญาประชาคม บทลงโทษเหล่าน้ีไม่มีมาตรฐานสากลท่ีแฝงอยู่กับธรรมชาติ เป็นแต่เพียง เคร่อื งมือที่ประดษิ ฐข์ น้ึ มาสาหรบั ทาใหก้ ฎเกณฑ์ศักดส์ิ ิทธเิ์ ท่านน้ั ดังน้ัน ในสังคมท่ีมีอารยธรรม จึงเป็นการเพ้อฝันท่ีจะเรียกร้องเสรีภาพโดยไม่มีขีดจากัดของ กฎหมาย เพราะสภาวะเช่นนั้นเป็นสภาวะธรรมชาติและสงคราม ซ่ึงจะทาให้ผลประโยชน์ของการก่อ ตัวกันเป็นบ้านเมืองหมดไป ดังนั้น ภายในสังคมของมนุษย์ พลเมืองจะมีเสรีภาพได้ก็ในขีดจากัด เฉพาะอย่างท่ีองค์อธิปัตย์ได้ตราไว้ เช่น เสรีภาพในการค้าขาย เสรีภาพในการเล้ียงดูบุตรเสรีภาพใน การเลือกท่ีอยู่อาศัย ฯลฯ องค์อธิปัตย์ต้องมีอานาจเหนือชีวิตของพลเมืองท้ังปวง และถ้าองค์อธิปัตย์ เกิดไปสังหารราษฎรที่บริสุทธิ์เข้า เขาก็ได้กระทาการท่ีไม่เป็นธรรม (เพราะขัดแย้งกับกฎธรรมชาติ หรือ natural law) แต่ไม่ผิดกฎหมาย ท้ังนี้ เพราะไม่มีสัญญาครอบคลุมระหว่างองค์อธิปัตย์กับข้า ของเขา ฮอบส์ มีความหมายเห็นว่านักปราชญ์ชาวกรีกและโรมันอย่างอริสโตเติล หรือซิเซโรได้ทิ้ง อิทธิพลท่ีไม่ดีเอาไว้ในปรัชญาการเมือง โดยการยกย่องคาว่า“เสรีภาพ”จนเลิศลอยและมักผูกพัน “เสรภี าพ”ให้ไปกับระบอบประชาธปิ ไตย (democracy) อิทธพิ ลน้มี กั นาไปสู่ความพยายามที่จะจากัด หรือควบคุมปฏิบัติการของกษตั ริย์ ซ่งึ นาไปสกู่ ารระสา่ ระสายของบ้านเมอื ง ฮอบส์ มีความเห็นว่า เสรีภาพท่ีแท้จริงของราษฎร หรือขีดจากัดที่ราษฎรจะเชื่อฟังองค์ อธปิ ัตยน์ น้ั แฝงอยู่แล้วในสญั ญาประชาคม เสรภี าพเหล่าน้ี ได้แก่ 1. สิทธิและเสรีภาพที่ไม่อาจจะโอนไปได้ เช่น สิทธิในการปูองกันตัวเองต่อการถูก โจมตี ประทุษร้าย และสิทธิในการปฏิเสธการให้การในศาลท่ีจะผูกมัดตัวเองในระหว่างการพิจารณา คดี
64 2. สิทธิในการงดเว้นจากการเสียสละชีวิตตัวเอง หรือสังหารบุคคลอื่น ซ่ึงนาไปสู่สิทธิ ในการปฏเิ สธปฏิบตั ิการที่ตัวเองต้องตายไปด้วยในการทหาร หรือการอื่นๆ รวมทั้งการปฏิเสธท่ีจะทา สงคราม สิทธิบางอย่างน้ัน อาจจะมีเพ่ิมให้ เช่น สิทธิในการฟูองร้ององค์อธิปัตย์ หรือรัฐบาลในทาง แพง่ ในเรอ่ื งบางเรื่อง เช่น หนีส้ ิน ภาษี ฯลฯ แลว้ แต่กฎหมายจะกาหนดให้ ส่วนใหญ่แล้วปัญหาที่องค์ อธิปัตย์ยินยอมให้ราษฎรฟูองร้องได้ มักจะเกิดมาจากการเปลี่ยนแปลงแก้ไขตัวบทกฎหมาย องค์ อธิปัตย์นินยอมได้ราษฎรฟูองร้องได้เพ่ือปิดช่องว่างระหว่างกฎหมายเก่า และกฎหมายใหม่และเพ่ือ พิทักษผ์ ลประโยชน์ขององคอ์ ธิปัตย์เอง ในกรณีท่ีเกิดสภาวะอนาธิปไตย และองค์อธิปัตย์ได้สูญเสียอานาจในการคุ้มครองราษฎรไป แลว้ ภารกิจ และหนา้ ท่ขี องราษฎรตอ่ องคอ์ ธิปัตย์กส็ ิน้ สดุ ลง สถานการณเ์ ช่นนี้อาจเกิดจากการรุกราน จากต่างประเทศ หรือสงครามกลางเมือง ซึ่งผลักดันบ้านเมืองให้กลับคืนสู่สภาวะธรรมชาติ ในกรณี ดังกล่าวราษฎรย่อมมีสิทธิโดยชอบธรรมในการโอนความจงรักภักดิ์ของเขา ต่อผู้ยกตนข้ึนมาเป็นองค์ อธิปตั ยอ์ งคใ์ หม่ ซ่ึงได้พิสูจนไ์ ด้เห็นวา่ มีอานาจพอท่จี ะให้การคมุ้ ครองแก่ราษฎรได้ 1.4. ผลงานดา้ นการนพิ นธ์ ของโธมัส ฮอบส์ (ราชบณั ฑติ ยสภา, 2543 หน้า, 157) 1. A Dialogue between a philosopher and student of the common lows of the England 2. Behemoth 6 (ผลงานวิเคราะห์ประวัติศาสตร์รัฐสภาอันยาวนาน และสงคราม กลางเมอื ง ค.ศ. 1682) 3. De cive มีเน้ือหาต่อต้านเหตุการณ์ความรุนแรงของสงครามกลางเมืองในขณะน้ัน ,ตีเขียนใน ค.ศ. 1641, พิมพ์ในปี ค.ศ. 1647) 4. Elementorum philosophiae sectio prima: De corpore (comceming body, ใน ค.ศ. 1655) 5. Elementorum philosophiae sectio secunda: De homine (conceming man , ในปี ค.ศ. 1658) (คณะกรรมการกลุ่มผลิต ชดุ วิชาปรัชญาการเมือง, 2527 หน้า, 275) ๖. Leviathan (ผลงานชิ้นสาคัญเขียนนาเสนอความคิดทางการเมืองอย่างเป็นระบบ, ตพี มิ พ์ในปี ค.ศ. 1651) 7. The element of lows ,Nature and politigue (ค.ศ. 1638) ลีวายอะทัน (Leviathan) ของฮอบส์น้ีตีพิมพ์ออกมาในปี ค.ศ. 1651 ซึ่งต้องนับว่าผิด กาละเทศะเป็นอย่างยิ่ง เพราะการเมืองอังกฤษขณะน้ัน อยู่ในช่วงวิกฤตสุดขีด น่ันคือ การสาเร็จโทษ พระเจ้าชาร์ลส์ท่ี 1 แห่งราชวงศ์สจ็วตเพ่ิงจะผ่านพ้นไป และฝุายรัฐสภาที่ได้รับชัยชนะ ในสงคราม
65 กลางเมืองอังกฤษ ก็ได้ยึดอานาจปกครองประเทศ ฝุายรัฐสภาจึงไม่สนใจมองเจตนา ต่อต้านทฤษฎี เทวสิทธริ าชย์ ที่อยใู่ นหนงั สือ หากสนใจแต่เพียงสว่ นท่ีสนบั สนนุ อานาจกษัตริย์ ส่วนฝุายของกษัตริย์ก็ ไม่นิยมชมชอบฮอบส์ เพราะถือวา่ นกั ปราชญผ์ นู้ ี้ มาบ่อนเซาะอานาจศักดส์ิ ิทธข์ิ องฝาุ ยตน 1.5 ผลกระทบของทฤษฎขี องฮอบส์ ทฤษฎีของฮอบส์เขยี นข้นึ มาจากประสบการณ์ทางการเมืองของอังกฤษในสงครามกลางเมือง ซ่ึงฮอบส์เหน็ ว่าเริ่มจากการยินยอมของกษัตริย์ คือ พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 ที่ได้ออกกฎหมายห้ามมิให้ยุบ สภาผู้แทนราษฎรโดยปราศจากการเห็นชอบของสภาฯ ในปี ค.ศ. 2641 ฮอบส์เชื่อว่ากษัตริย์ได้ ดาเนินการทางการเมืองท่ีผิดพลาดอย่างมหันต์ ในการปล่อยให้ศูนย์อานาจท่ีเป็นผู้แข่งขันของ พระองคเ์ องยนื ยงอยู่ โดยยบุ หรอื โยกย้ายไม่ไดเ้ พราะตั้งแต่นั้นมาอธิปไตยได้ถูกแบ่งแยกและไม่อาจจะ มีสนั ติภาพในบ้านเมอื ง การลงนามของกษัตริย์ในกฎหมายฉบับดังกล่าวข้างต้นน้ีได้ลงนามหรือได้ออกกฎหมายฉบับ นั้นไปภายใต้แรงกาดันที่หนักหน่วง ซ่ึงฮอบส์คิดว่า แรงกดดันนี้ถูกกระตุ้นโดยพลังของอุดมการณ์ซ่ึง ยึดม่ันในหลักการที่ว่า เอกชนเป็นผู้ตัดสินความดีและเลว ความเชื่อที่ว่าจะเป็นบาปอย่างมหันต์ถ้า กระทาการท่ีขัดกับมโนธรรมของตนเองรวมไปถึงความเช่ือที่ว่ามโนธรรมเกิดจากการดลบันดาลของ พระเจา้ ในแง่ของสถาบันทางการเมืองนั้น อุดมการณ์ของการมีอานาจอธิปไตยท่ีจากัด หรือแบ่งแยก มักจะเป็นเนื้อหาที่นักเทศน์ใช้ปลุกระดมมวลชน ฮอบส์มองเห็นว่าความคิดเหล่าน้ีก่อตัวข้ึนมาจาก มหาวทิ ยาลยั แล้วคอ่ ย ๆ ระบาดไปสูป่ ระชาชนโดยมีนกั เทศนเ์ ป็นแกนกลาง สงครามกลางเมืองจึงเกิด จากอานาจอธปิ ไตยทข่ี ดั แย้งกันเอง จากสาเหตุในเรื่องของอุดมการณ์นั่นคือ ข้อสรุปของฮอบส์เก่ียวกับการปฏิวัติของอังกฤษใน ทศวรรษท่ี 1640 เม่อื เปน็ เชน่ นี้ เขาจงึ เห็นว่าปรัชญาการเมืองของอังกฤษมจี ุดบกพร่องที่จะต้องแก้ไข อยู่ ๓ ประการดงั น้ี 1. ฮอบส์ต้องการแสดงให้เห็นว่าอธิปัตย์ทางการเมืองน้ันจาเป็นท่ีจะต้องมี และต้อง เป็นอธิปัตย์ที่ไม่แตกแยก และไม่ถูกจากัดสิทธิ ซึ่งราษฎรทุกคนจาต้องเชื่อฟังคาสั่ง และการเช่ือฟังนี้ ต้องถือวา่ เป็นหนา้ ทส่ี าคัญ ก่อนหนา้ ที่อ่ืน 2. เพื่อที่จะย้าประเด็นของหนักท่ีในการเชื่อฟังอธิปัตย์น้ัน ฮอบส์พยายามชี้ให้เห็นว่า หน้าท่ีคือ สิ่งท่ีองค์อธิปัตย์ออกคาสั่ง และเพ่ือโต้แย้งพวกพิวริตัน ฮอบส์เสนอว่ากฎหมายทุกอย่างนั้น เปน็ ธรรม และเป็นไปไม่ได้ท่ีจะอ้างวา่ บุคคลใดมีหนา้ ทใ่ี นการขดั ขืนคาสัง่ ขององค์อธิปตั ยข์ องเขา 3. ฮอบส์ยืนกรานว่าทฤษฎีของเขาพิสูจน์และสาธิตได้ ซึ่งจะทาให้ผู้ศึกษาได้เข้าใจ ความหมายที่ถูกต้องเก่ียวกับรัฐ องค์อธิปัตย์ และหน้าที่ของตัวเขาเอง และเม่ือความรู้นี้ได้แพร่หลาย
66 ออกไป โดยการสอนในมหาวิทยาลัยและโรงเรียนก็จะทาให้เกิดสันติสุขและความมั่นคงไปสู่ชีวิตท่ี ปลอดโปรง่ และสบาย ปรชั ญาทางการเมืองของฮอบสไ์ ด้กระทาหนา้ ท่ี 2 ประการ แรกไปแลว้ คือ สรุปว่า มนุษย์ต้อง มีอานาจอธิปไตยที่สมบูรณ์อยู่เหนือพวกเขา และเมื่อองค์อธิปัตย์ออกคาสั่งให้พลเมืองกระทาส่ิงใด ประชาชนสมควรท่จี ะตระหนักวา่ สง่ิ น้ันเป็นหนา้ ท่ีอนั สาคัญของพวกเขาที่จะต้องกระทา แต่ประเด็นท่ี สาคัญท่ีสุดคือ ประเด็นสุดท้ายท่ีฮอบส์ยืนกรานว่าทฤษฎีของเขาเป็นจริงพิสูจน์ และสาธิตได้น้ัน ต้อง พิจารณากนั ต่อไป 1.6 ข้อบกพรอ่ งของทฤษฎขี องฮอบส์ ต้ังแต่ฮอบส์ได้เผยแพร่ทฤษฎีทางการเมืองของเขาเป็นต้นมาได้มีผู้คัดค้านมากมายเริ่มต้นแต่ ประเดน็ ของธรรมของมนุษย์ซ่ึงฮอบส์เชื่อว่า มีความกลัวตายเป็นพลังยับยั้งท่ีเข้มแข็งที่สุด โดยเฉพาะ อย่างย่ิงการตายโหง และฮอบส์เช่ือว่าความกลัวนี้ปรากฏอยู่ในมนุษย์ทุกรูปทุกนามเป็นสากล และ มนุษย์ท่ีกระหายอานาจยอมละท้ิงการแสวงหาอานาจถ้ามีอันตรายของการตายโหงแฝงอยู่ในหนทาง น้ัน แต่นักมานุษยวิทยาเช่น เซอร์ เจมส์ เฟรเซอร์ (Sir James Frazer) ได้เขียนไว้ในหนังสือ The Dying God (1930) เกี่ยวกับระบบกษัตริย์ในเผ่าต่าง ๆ ในแอฟริกา ท่ีมีความเชื่อว่า ความสาเร็จทาง ทหาร และความมั่นค่ังทางเศรษฐกิจของเผ่าน้ันขึ้นอยู่กับสมรรถภาพ และความกระชุ่มกระชวยของ กษัตริย์ ความเชื่อนี้นาไปสู่ข้อสรุปที่ว่าถ้าพลนุภาพของกษัตริย์เส่ือมถอยลง จะทาให้ฝนไม่ตก วัว ควาย เจ็บปุวย หรือจะพ่ายแพ้แก่ข้าศึก ศัตรู ดังน้ันกษัตริย์ท่ีครองราชย์อยู่ จะต้องถูกประหารในพิธี ของเผา่ และยกตาแหน่งให้บุรษุ หน่มุ ก่อนที่ความหายนะของเผ่าจะคืบคลานเข้ามา จะเห็นได้ว่าการได้ เป็นกษตั ริย์ในเผา่ เหล่านย้ี อ่ มหมายถงึ การตายโหงในทา้ ยทส่ี ุด แต่ก็บุรุษหนุ่มนับไม่ถ้วน ยินยอมพร้อม ใจที่จะรับตาแหน่งเพ่ือที่จะกระทาหน้าท่ีแก่เผ่า และเสพย์อภิสิทธ์ิต่างๆ ก่อนที่การตายโหงจะคืบ คลานเข้ามา เซอร์ เฟรเซอร์จึงได้สรุปว่า ความกลัวตายหวงแหนชีวิตนั้น มีอยู่จริงในชนชั้นกลางชาว อังกฤษ ซึ่งรวมถึงฮอบส์ด้วย แต่ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์ทุกรูปทุกนามในสภาวะท่ีแตกต่างกัน และ ในระบบวัฒนธรรม ความเชื่อท่ีแตกต่างกัน จะต้องถูกครองงาโดยความรักตัวกลัวตายอย่างฝังแน่นนี้ เชน่ น้ีดว้ ยกห็ าไม่ จากตัวอย่างดังกล่าวข้างต้นนี้จะเห็นได้ว่าสมมุติฐานของฮอบส์ในข้อน้ีสามารถที่จะหักล้างได้ จากข้อสังเกตการณ์ทางมานุษยวิทยา นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างต่างๆ อีกมากมายท่ีสามารถจะแสดงให้ เห็นว่าความกลัวตายไม่มีพลังท่ีรุนแรงพอที่จะยับย้ังไม่ให้มนุษย์คิดเสี่ยงภัยทางการเมืองได้ ดังน้ัน เครื่องมือที่ฮอบส์เห็นว่าเหมาะสมในการแก้ปัญหาของภัยอันตรายจากสงครามกลางเมือง โดยสร้าง อธปิ ตั ยท์ ่ีมีอานาจสมบรู ณ์ขนึ้ มาพทิ ักษสื นั ติ จงึ ไม่อาจจะสมั ฤทธิผลในทางปฏบิ ัติได้เสมอไป
67 สมมุติฐานอีกประการหนึ่งของฮอบส์ได้แก่การมองว่าชีวิตทางการเมืองของมนุษย์เป็นอิสระ จากชีวิตทางด้านอ่ืน เช่น ชีวิตทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ฮอบส์ต้องการจะสร้างรัฐท่ีเป็น ปฏิเสธนิยม (negative state) โดยมีองค์อธิปัตย์ปกครองแบบอานาจนิยม และรับผิดชอบต่อ ประชาชนแต่เพียงในด้านความมั่นคงเท่านั้น ในด้านอ่ืนๆ นั้น ประชาชนมีเสรีภาพเต็มที่ในการเลือก แบบแผนและวถิ ีชีวิตของตนเอง ซ่ึงสมมุติฐานน้ีก็ไม่แน่ว่าจะสามารถมาประยุกต์ในทางปฏิบัติได้เสมอ ไป เพราะชีวิตของมนุษย์ผูกพันเก่ียวข้องกันไปหมดไม่อาจจะแยกแยะออกมาได้เสมอไปว่าลักษณะ ไหนเป็นชีวิตทางการเมือง ลักษณะไหนเป็นสังคมและเศรษฐกิจ ย่ิงไปกว่าน้ัน อานาจในวงการหน่ึง อาจมีผลกระทบต่ออีกวงการหนึ่งก็ได้ เช่น ราชาเศรษฐกิจ อาจจะถือว่าเป็นภัยคุกคามต่ออานาจทาง การเมืองขององค์พระมหากษัตริย์ก็เป็นได้หรือขุนนางและแม่ทัพท่ีมีช่ือเสียงโด่งดังอาจจะคิดรวบ อานาจและบ่อนทาลายอานาจของกษัตริย์ก็ได้ ดังน้ัน เพื่อที่จะผูกขาดอานาจทางการเมืองไว้ในกามือ อย่างม่นั คง องค์อธิปัตย์จาต้องเข้ามาก้าวก่ายในวงการอ่ืนๆ ของมนุษย์ด้วย เช่น ชีวิตเศรษฐกิจสังคม วัฒนธรรม ฯลฯ ซ่ึงทาให้วัตถุประสงค์เดิมของฮอบส์ที่จะสร้างรัฐปฏิเสธนิยมต้องคลาดเคลื่อนไป จึง อาจจะกล่าวได้ว่าระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ไม่ใช่หนทางที่ดีที่สุดท่ีจะนาไปสู่ส่ิงท่ีฮอบส์ต้องการ คือให้เสรีภาพในทางลบแก่ปัจเจกบุคคลมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ (คณะกรรมการกลุ่มผลิต ชุดวิชา ปรชั ญาการเมือง , 2527 หนา้ , 277) 1.7 อทิ ธิพลของทฤษฎขี องฮอบสใ์ นยุคปัจจบุ ัน ทฤษฎขี องฮอบส์ท่ีสร้างข้นึ มาในคริสต์ศวรรษท่ี 17 และได้ถูกโจมตีตลอดมาเกี่ยวกับข้อเสนอ ของฮอบสใ์ นแง่ของการมีอานาจอธปิ ไตยที่สมบูรณ์และเด็ดขาด การมองธรรมชาติของมนุษย์ในแง่ลบ ว่าหมกมุ่นแต่ผลประโยชน์ของตัวเองและคิดแต่จะเอาตัวรอด รวมท้ังการยึดถือตัวบุคคลในการ ปกครองวา่ สาคัญกว่าหลักเกณฑ์ของกฎหมาย และรัฐธรรมนูญ นักทฤษฎีการเมืองรุ่นถัดจากฮอบส์ที่ มีชอ่ื เสยี งคือ จอห์น ล็อค ซ่ึงยืนหยัดอยู่ฝุายประชาธิปไตยกับการเชื่อในอธิปไตยในขีดจากัดในทฤษฎี ของการแบ่งแยกอานาจ และในตัวบทกฎหมายรัฐธรรมนูญได้รับการยกย่องและประสบความสาเร็จ มากกว่า โดยเฉพาะอย่างย่ิงในประเทศสหรัฐอเมริกาซ่ึงร่างรัฐธรรมนูญ และวางรูปแบบสถาบัน การเมืองตามคตินิยมของ ล็อค โดยยกกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นอธิปัตย์ ไม่มีใครอยู่เหนือใคร และ มนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกันหมดภายใต้กฎหมาย ซ่ึงหลักการเหล่านี้ก็เป็นหลักการที่ทางฝุายรัฐบาล สหรฐั อเมรกิ าและนกั เขียนชาวอเมรกิ ันฝุายอนรุ กั ษนิยมเชอื่ วา่ รฐั ของเขาเป็นเช่นนั้น อย่างไรก็ตามในปัจจุบันน้ี ได้มีนักรัฐศาสตร์หลายท่านท่ีทาการวิจัยเชิงประจักษ์เกี่ยวกับชีวิต การเมืองในสหรัฐอเมริกา ได้พบข้อเท็จจริงท่ีตรงกันข้ามกับภาพพจ น์ที่ฝุายอนุรักษนิยมใน สหรัฐอเมริกาที่เช่ือว่ารัฐของเขาเป็นอย่างที่ล็อคกล่าว นักรัฐศาสตร์ในเชิงประจักษ์เหล่านี้ สรุปว่า ปรัชญาของฮอบส์จะบรรยายวิถีชีวิต และพฤติกรรมทางการเมืองในสหรัฐอเมริกาได้ดีกว่าปรัชญา
68 การเมอื งของล็อค โดยฮอบสไ์ ด้บรรยายถึงสภาวะธรรมชาติ (state of nature) ของมนุษย์ที่ทุกคนไป ตามทางของตวั เอง นาไปสชู่ วี ิตท่ีโดดเดี่ยว แร้นแคน้ อันตรายและสน้ั ท่เี ปน็ เช่นนั้นเพราะมนุษย์แต่ละ คนไม่ยอมโอนอานาจภายในตัวเองให้แก่แหล่งอานาจภายนอกคือ องค์อธิปัตย์ทุกคนยืนกรานท่ีจะ กาหนด และวิพากษ์วิจารณ์ส่ิงต่างๆ ตามมาตรฐานของตนเองเก่ียวกับความดี และความเลว นัก รัฐศาสตร์เชิงประจักษ์เหล่าน้ีพบว่าพลเมืองในสหรัฐอเมริกาก็ยังอยู่ในสภาวะถึงธรรมชาติ เช่นนี้ นั่นเอง (semi-state) โดยทุกคนยืนกรานว่าทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่มีใครยอมใคร ทุกคนแสวงหาวิถี ชวี ติ ทีต่ วั เองเห็นว่า เหมาะสม (To be an individual) และท้ายท่ีสุดทาให้ชีวิตของคนอเมริกัน แม้ว่า จะไม่แร้นแคน้ แต่ก็โดดเดย่ี วและอนั ตรายจากสถติ ิอาชญากรรมทีส่ งู ขน้ึ เร่ือยๆ ในปัจจุบันน้ี จึงมีนักกฎหมายรัฐธรรมนูญหลายกลุ่มในสหรัฐอเมริกา หันกลับไปหาข้อเสนอ ของฮอบส์ท่ีว่า การมีอธิปัตย์ที่มีอานาจมากขึ้นอาจจะแก้ปัญหาต่าง ๆ ของสหรัฐฯ ได้ดีขึ้นมีข้อเสนอ เช่นการเพ่ิมวาระสมัยของประธานาธิบดีเป็นวาระละ 7 ปี และให้ประธานาธิบดีแต่ละคนดารง ตาแหน่งได้สมัยเดียว เพื่อให้ประธานาธบิ ดไี ด้อุทิศตวั เองให้กบั งานสว่ นรวมได้เต็มที่ยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องมี พะวักพะวนกับการหาเสียงเพื่อการเลือกต้ังต่อในวาระที่ 2 ซึ่งก็เป็นข้อเสนอท่ีใกล้เคียงแม้ว่าจะไม่ รุนแรงและเด็ดขาดเท่ากับวิธีการท่ีฮอบส์เสนอในการแก้ปัญหาข้อพิพาทระหว่างมนุษย์ และในการ สรา้ งประชาคมทางการเมอื งทมี่ ่ันคงสนั ติให้ความสุขและเสรีภาพส่วนบุคคล แก่ประชาชนตามควรแก่ อตั ภาพ ปรัชญาทางการเมืองของโธมัส ฮอบส์จึงคู่ควรแก่การศึกษาในยุคปัจจุบันอยู่ต่อไป แม้ว่าจะมี คนคัดค้านและถกเถียงในประเด็นต่างๆ ท่ีเขาเสนออีกต่อไป แต่นั่นเองก็อาจจะถือได้ว่าเป็น ความสาเร็จของโธมัส ฮอบส์ประการหนึ่งที่สาเหตุทาให้ผู้อ่านหันกลับมาคิดทบทวนความคิด และ ความเชื่อของตนเองเก่ียวกับประเด็นต่าง ๆ ต้ังแต่ธรรมชาติของมนุษย์ของรัฐของความมั่นคง และ สันติภาพเสียใหม่ ว่าสมเหตุ สมผล และสอดคล้องกับสภาวการณ์ของบ้านเมืองในยุคปัจจุบันหรือไม่ (คณะกรรมการกลุ่มผลติ ชดุ วิชาปรัชญาการเมอื ง, เรื่องเดียวกัน หน้า, 282) 1.8 สรุปแนวคดิ ทางการเมอื งของโธมัส ฮอบส์ ปรัชญาการเมืองของโธมัส ฮอบส์ เป็นปรัชญาการเมืองท่ีเผด็จการคือผู้ปกครองมีอานาจ สูงสุดเบ็ดเสร็จ เพราะฮอบส์เช่ือว่า มนุษย์มีคุณค่าทุกอย่างในแง่ของผลรวมของพลัง 2 อย่างนี้ สิ่งท่ี มนุษย์“ชอบ”เรียกว่า“ดี” และสิ่งท่ีไม่ชอบเรียกว่า“เลว” และเนื่องจากมนุษย์น้ันเคลื่อนไหวอยู่ ตลอดเวลา มนษุ ย์จึงแสวงหาสิ่งท่ีตัวเองชอบอยู่ตลอดเวลาในขณะท่ีพยายามกาจัดหรือหลีกเล่ียงส่ิงท่ี ตวั เองเกลยี ด ดงั น้ันมนุษย์โดยธรรมชาติจึงต้องแสวงหาอานาจอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน เพราะอานาจคือ ส่ิงท่ีจะทาให้มนุษย์ได้มาในสิ่งตัวเองชอบ อานาจเป็นเครื่องมือที่จะทาให้มนุษย์บรรลุถึงสิ่งท่ีเขา ปรารถนาและคมุ้ กันสงิ่ ที่เขามีอยู่ไมใ่ ห้คนอนื่ แย่งไป
69 เมื่อธรรมชาติของมนุษย์เรามีความเห็นแก่ตัว และมีเสรีภาพเป็นของตัวเอง เพ่ือท่ีจะทาให้ สังคมสงบสขุ แล้ว ฮอบสเ์ หน็ วา่ เราต้องยอมโอนสิทธิตามธรรมชาติที่ไม่มีขีดจากัดโดยข้อตกลงรวมกัน เรียกวา่ สัญญาประชาคม หรือขอ้ ตกลงร่วมกนั นค้ี ือ การงดเว้นรวมกันหรอื การโอนสทิ ธิ เมื่อบุคคลหน่ึง บุคคลใด ได้สละสิทธิหรือโอนสิทธิของตนให้บุคคลอ่ืนไปแล้ว เขาจะต้องไม่ข้องแวะกับกรรมสิทธ์ิของ บุคคลอ่ืนๆ อีกเพราะถ้าทาเช่นนั้นก็จะเป็นการขัดกับสัญญาท่ีเขาได้ตกลงทาขึ้นด้วยตัวของเขาเอง และถือได้ว่าเป็นการกระทาที่ยุติธรรม การที่มนุษย์ยอมทาสัญญาประชาคมน้ัน เพราะความต้องการ ความม่ันคง องค์อธิปัตย์ที่ถือกาเนิดข้ึนมาย่อมมีสิทธิเด็ดขาด และสมบูรณ์ มิฉะน้ันแล้วถ้ามีข้อกล่าว อ้างท่ีขัดแย้งกัน มนุษย์ก็จะตกอยู่ในอันตรายของสภาวะอนาธิปไตย ซึ่งสัญญาประชาคมมุ่งมั่นท่ีจะ พิทกั ษ์เขาให้รอดพน้ อีกอย่างหนึ่งก็คือ ทฤษฎีของฮอบส์เขียนขึ้นมาจากประสบการณ์ทางการเมืองของอังกฤษใน สงครามกลางเมือง ซึ่งฮอบส์เห็นว่าเร่ิมจากการยินยอมของกษัตริย์คือ พระเจ้าชาร์ลส์ท่ี 1 ที่ได้ออก กฎหมายห้ามมิให้ยุบสภาผู้แทนราษฎรโดยปราศจากการเห็นชอบของสภาฯ ในปี ค.ศ. 1641 ฮอบส์ เชื่อว่ากษัตริย์ได้ดาเนินการทางการเมืองที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ ในการปล่อยให้ศูนย์อานาจท่ีเป็นผู้ แข่งขันของพระองค์เองยืนยงอยู่ โดยยุบหรือโยกย้ายไม่ได้เพราะตั้งแต่นั้นมาอธิปไตยได้ถูกแบ่งแยก และไม่อาจจะมสี ันตภิ าพในบา้ นเมือง ฮอบส์ได้สรุปปรัชญาการเมืองว่า อธิปัตย์ทางการเมืองน้ันจาเป็นที่จะต้องมี และต้องเป็น อธปิ ัตยท์ ไ่ี ม่แตกแยก และไม่ถกู จากัดสิทธิ ซึ่งราษฎรทุกคนจาต้องเช่ืองฟังคาสั่ง และการเช่ือฟังน้ีต้อง ถอื วา่ เปน็ หนา้ ท่ีสาคัญ ก่อนหน้าทีอ่ น่ื หนา้ ท่ี คอื สิ่งที่องค์อธิปัตย์ออกคาสั่ง กฎหมายทุกอย่างนั้นเป็น ธรรม และเป็นไปไมไ่ ดท้ ี่จะอา้ งว่า บุคคลใดมหี นา้ ท่ใี นการขดั ขืนคาสั่งขององค์อธปิ ตั ย์ กล่าวโดยสรุป ความคิดของโธมัส ฮอบส์ ในรัฐาธิปัตย์ แม้จะขาดรายละเอียดในการอธิบาย หลายประการ จนทาให้เห็นจุดอ่อนค่อนข้างชัดเจน แต่“รัฐาธิปัตย์”คือ การวิเคราะห์สังคมการเมือง อย่างเป็นระบบ โดยใช้ตรรกวิทยาเชิงวิทยาศาสตร์อย่างน่าสนใจ เป็นการบุกเบิกการศึกษาสังคม การเมอื งแบบใหมท่ ่ีแตกต่างไปจากยุคคลาสสิค ฮอบส์ จึงเป็นปรัชญาการเมืองท่ีมีคุณค่ายิ่ง ในวงการ รัฐศาสตร์
70 2. จอนห์ ลอ็ ค (John Locke) แผนภาพที่ 4.2 นกั ปรชั ญา จอห์น ล็อค (John Locke ค.ศ. 1632-1704) (ท่มี า : /Google/https://th.wikipedia.org) ในศตวรรษท่ี 17 นักปรชั ญาการเมืองตะวันตกสมยั ใหม่ มีแนวโน้มทมี่ องเห็นความจาเป็นของ รฐั ถงึ แม้วา่ รัฐจะไมใ่ ชส่ ถาบนั ธรรมชาติของมนษุ ย์ แตร่ ฐั น้ันมอี านาจจากัดลง เพราะกาเนิดของรัฐเกิด จากข้อตกลงของราษฎร์ หรือปัจเจกบุคคลซ่ึงเป็นอิสระตามสภาพธรรมชาติ หรือมีสิทธิบางอย่างโดย ธรรมชาตเิ มื่อตกลงกนั โอนอานาจตามธรรมชาติของตนให้คนเพียงคนเดียวหรือคนกลุ่มหนึ่ง เม่ือนั้นรัฐ หรือสังคมจึงเกิดขึ้น แต่การตกลงของราษฎร์เกิดข้ึน เพราะราษฎร์เห็นประโยชน์จากการมีรัฐท่ี สามารถรักษาสิทธิ์ที่ตนมีโดยธรรมชาติดีกว่าไม่มีรัฐ นั่นคือ นักปรัชญาการเมืองสมัยใหม่ยึดถือทฤษฎี สัญญาประชาคม (Social Contract) ดังนั้นถ้ารัฐหรือกลุ่มบุคคลที่ได้รับมอบอานาจไม่สนองตาม ความต้องการของราษฎร์หรือประชาชน ประชาชนมีสิทธ์ิเรียกอานาจคืนและโอนให้บุคคลอ่ืน ๆ ได้ ตวั อย่างของนกั ปรัชญาการเมอื งตะวนั ตกสมยั ใหม่ คือ โธมัส ฮอบส์, จอหน์ ลอ๊ ค และรสุ โซ ในยุคนี้ยุโรปมีการปฏิรูปทางศาสนาเป็นคร้ังย่ิงใหญ่ โดยได้ทาลายความเป็นอันหนึ่ง อัน เดียวกันของศาสนาคริสต์ท่ีมีมาช้านานแล้วยุโรปได้ก้าวเข้าสู่วัฒนธรรม และความเจริญทาง วิทยาศาสตร์เป็นผู้ตอบคาอธิบายแนวใหม่แก่ปรากฏการณ์ธรรมชาติคือเป็นแนวทางที่ต้องผสมผสาน การสังเกต ทดลอง บวกกับวิธีการทางคณิตศาสตร์เข้าด้วยกันส่วนฟิสิกส์ของอริสโตเติ้ลไม่เหมาะกับ
71 โลกสมัยน้นั และไม่อาจให้คาอธิบายท่ีน่าพอใจได้ ฉะนั้น ปรัชญาแนวใหม่ท่ีจะเข้ากับเจตนารมณ์แห่ง ยุคสมยั จงึ จาเป็นตอ้ งเกิดขึ้น (สมฤดี วิศทเวทย์ , ม.ป.ป. หนา้ ,166-167) ในสมัยใหม่น้ีส่ิงที่สาคัญซึ่งมนุษย์คิดถกเถียงโต้แย้งกันนั้นไม่ใช่สถานภาพของสิ่งสากล (Universal) อยา่ งในสมยั กลางเขาเขา้ ใจกันอีกแล้ว แต่เป็นสถานภาพวตั ถทุ างกายภาพ ธรรมชาติและ กระบวนการอันเป็นเหตุและผลของปัจจัยน้ัน ๆ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ความสัมพันธ์ระหว่างจิตที่รู้กับสิ่งที่ ถูกรู้ สถานภาพของความรู้เป็นสิ่งหน่ึงท่ีนักวิทยาศาสตร์ในสมัยใหม่นี้จะต้องศึกษาให้ความสนใจเป็น อันมากอันไม่ไดแ้ ยกออกจากพวกนักปรัชญาผคู้ ิดหาคาอธบิ ายปรากฏการณต์ ่าง ๆ นนั้ เอง ภายใต้ยุคสมัยนี้เองซ่ึงเราเหน็ ว่ายโุ รปกเ็ ตม็ ไปด้วยสภาพปัญหาต่าง ๆ นานาในท่ีเกิดข้ึนอย่าง ไม่มีความปราณีตอ่ ชีวิตและสรรพสิ่งใด ๆ เช่น เร่ืองสงครามการเอารัดเอาเปรียบกัน การลิดรอนสิทธิ เสรภี าพส่วนบคุ คลและสงั คมของมนุษยชาตเิ มอ่ื เป็นเหตกุ ารณ์สภาพเป็นเชน่ นี้ จึงเกิดมีการต่อสู้กันข้ึน ระหวา่ งกลมุ่ คนหนงึ่ กบั กลมุ่ คนหนง่ึ ในโลกตะวันตกในหลาย ๆ ประเทศ ที่น้ีจะเจาะลึกเฉพาะตัวอย่าง ประเทศหนึ่งคือ อังกฤษ เป็นบ้านเกิดของนักคิดผู้คงแก่เรียนมีช่ือคือ จอห์น ล็อค (John Locke) ผู้ เปน็ นกั ปรัชญาหัวใหม่ได้ประดษิ ฐ์หลักทฤษฎีทางการเมอื งท้ิงถมไว้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษากันที่เรากาลัง ศึกษากันน้ี ซึ่งได้ทาให้โลกน้ีไม่มีวันลืมสาหรับเขาเพราะผลงานที่สร้างสรรค์ข้ึนมานั้นเป็นทฤษฎีที่ มนษุ ย์สามารถปฏิบัตไิ ด้ และเขา้ กับยคุ สมยั ของเจตนารมณ์เป็นอย่างดี ดังเราจะเห็นในปัจจุบันในบาง ประเทศได้ปฏิบัติตามกรอบแนวคิดอันน้ีอยู่ จอห์น ล็อก (John Locke) เป็นนักปรัชญา ชาวอังกฤษ ในยุคคริสต์ศตวรรษท่ี 17 ความสนใจหลักของเขาคือสังคมและทฤษฎีของความรู้แนวคิดของล็อกท่ี เกี่ยวกับ \"ผู้ปกครองท่ีได้รับการยอมรับจากผู้ใต้ปกครอง\" และสิทธิธรรมชาติของมนุษย์ ท่ีเขาอธิบาย ว่าประกอบไปด้วย ชีวิต, เสรีภาพ, และทรัพย์สิน นั้นมีอิทธิพลอย่างมากต่อพัฒนาการทางปรัชญา การเมือง แนวคิดของเขาเป็นพ้ืนฐานของกฎหมายและรัฐบาลอเมริกัน ซึ่งผู้บุกเบิกได้ใช้มันเป็น เหตุผลของการปฏิวัติ แนวคิดด้านญาณวิทยาของล็อกน้ันมีอิทธิพลสาคัญไปจนถึงช่วงของยุคแสง สวา่ ง. เขามีทศั นะเกย่ี วกบั ทฤษฎีความรู้ว่า ความรู้จะต้องเกิดหลังประสบการณ์ และความรู้จะเกิดข้ึน โดยอาศัยการสัมผัส เม่ือมนุษย์ได้สัมผัสก็จะมีความรู้สึก และความรู้สึกจะทาให้มนุษย์นั้นคิด และ ความคิดนี้คือแหล่งกาเนิดแห่งความรู้ หากปราศจากการสัมผัสมนุษย์ก็จะไม่คิด เพราะจิตโดย ธรรมชาติจะมีสภาพอยู่เฉย เขาถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มเดียวกับนักประสบการณ์นิยมชาวบริติช ซึ่ง ประกอบไปด้วยเดวดิ ฮมู และจอรจ์ บาร์กลีย์. ล็อกมักถูกนาไปเปรยี บเทยี บกบั โทมสั ฮอบส์ 1.ชวี ประวัตโิ ดยยอ่ ของจอหน์ ลอ็ ค (John Locke) จอห์น ล็อค เกิดเม่ือวันท่ี 29 สิงหาคม ค.ศ 1632 (พ.ศ 2135) ท่ี ริงตัน (wring ton)จังหวัด ซอมเมอร์เซ็ท (Somerset) ประเทศอังกฤษ เป็นคนมีฐานะดี บิดาชื่อจอห์น ล็อค มารดาชื่อแอ็กเน สคีน บิดาเปน็ ทนายความมชี ่ือเสียงของประเทศ และต่อมาได้เป็นเสมียนประจาศาล บิดาของเขาเคย
72 เป็นทหารอยู่ในกองทัพของรัฐสภา ต่อสู้กับประเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 ด้วยเลือดของนักสู้ฝุายเสรีนิยม และ เป็นเจ้าของกจิ การอุตสาหกรรมทอผ้า เขาเป็นบุตรคนโต มีน้องชายอีก 1 คน เม่ือปี ค.ศ.1647 จอห์น ล็อคมีอายุได้ 15 ปี เขาเริ่มเข้าเรียนในโรงเรียนมีชื่อของอังกฤษ คือ โรงเรียนเวสต์มินสเตอร์ (Westminster) ซึ่งมีธรรมเนียมแบบกษัตริย์ นับเป็นโรงเรียนแรกท่ีช่วยให้ล็อคมีแนวความคิดทาง การเมือง ตอ่ มาในปี ค.ศ. 1652 เขาได้เขา้ เรียนท่ีมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด (Oxford) เขาสนใจในวิชา วิทยาศาสตร์ เน้นด้านการแพทย์ จบแล้วได้เป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยนี้น่ีเอง เขาได้เริ่มเขียน ปรัชญาที่นี่ โดยศึกษาจากงานเขียนของ เดร์การ์ตส์ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1656 และ 1657 เขาได้รับ ปริญญาตรี-โทท่ีมหาวิทยาลัยแห่งน้ีตามลาดับ เขารับสอนภาษากรีกและเรียนภาษาฮิบบรูกับภาษา อาหรบั ไปดว้ ย อย่างไรกต็ ามล็อครกั ความคิดในระบบเสรนี ิยมอย่างมาก เม่ือจบการศึกษาระดับมัธยมแล้วได้ เข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาและเรียนจบแพทย์ศาสตร์บัณฑิตที่มหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด แต่น้ัน มาเขาก็ยึดอาชีพแพทย์ โดยเป็นหมอประจาตัวของนักการเมืองที่มีชื่อเสียงหลายท่านทาให้ล็อคเร่ิม เข้าใจวิถชี ีวิตทางการเมืองในเวลาตอ่ มา (สมฤดี วิศทเวทย์, ม.ป.ป. หน้า, 8) ต่อมาในปี ค.ศ. 1665 เขาได้เป็นเลขานุการของเซอร์วอลเตอร์เวน เขาได้พบกับแอนโธนี คู เปอร์ ซึ่งต่อมาได้เป็นเอิร์ลแห่งแซฟติ์เมอรี่ เขาเป็นนักการเมืองท่ีมีความสามารถโด่งดังและร่ารวย มี อานาจทางการเมืองสูง แต่ไม่อยู่กับร่องกับรอย บางครั้งอยู่กับฝุายกษัตริย์ บางคราวอยู่ฝุายรัฐสภา และมีโรคประจาตัว ก็ได้จอห์น ล็อคน่ีเองเป็นหมอประจาตัว จึงมีความสาพันธ์กันอย่างแน่นแฟูน มี ปัญหาอะไรก็ปรึกษาหารือกันเสมอ ในขณะน้ันระบบการเมืองการปกครองของอังกฤษกาลังตกอยู่ใน สภาพป่ันปุวน จอห์นล็อคจึงได้ติดตามแอนโธนีคูเปอร์ไปอาศัยอยู่ที่เมืองกรุงอัมสเตอร์ดัม (Amsterdam) ประเทศฮอลแลนด์จนกระท่งั สภาพการเมืองการปกครองภายในอังกฤษตกอยู่ในฐานะ คับขันข้าราชการและประชาชนท่ัวไปได้ร่วมมือทาการปฏิวัติคร้ังใหญ่เพื่อเปล่ียนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ กษัตริย์ได้เอารัดเอาเปรียบประชาชน กระทั้งบังคับให้นับถือ ศาสนา ในช่วงนี้ล็อคได้กลับมาประเทศอังกฤษและร่วมมีบทบาทอย่างมากกับขบวนการปฏิวัติ ภายหลงั การปฏิวัติยตุ ลิ งชยั ชนะเปน็ ของประชาชน จากการที่ล็อคได้ศึกษาสนทนากับแซฟต์เมอร์รี่ทา ให้เขาเปลี่ยนทรรศนะคติทางการเมืองท่ีเคยยึดถือตอนวัยหนุ่มกลับมาเน้นสิทธิเสรีภาพตามธรรมชาติ ของมนุษย์ โดยเห็นวา่ อานาจท่ชี อบธรรมจะตอ้ งมีพ้ืนฐานมาจากการยินยอมของประชาชน ล็อคได้รับ แต่งต้ังให้เป็นข้าหลวงใหญ่เก่ียวกับการร้องทุกข์เร่ืองภาษีสรรพสามิตและเป็นข้าหลวงใหญ่สภาการ พานิชตามลาดบั ตอ่ มา ลอ็ คไดล้ าออกจากตาแหน่งไปใชช้ วี ิตแบบชนบทอยา่ งเงียบ ๆ ในปี 1700 ไม่ยุ่ง เก่ียวกบั การเมอื งอีก เขียนหนังสือเพียงอย่างเดยี ว ( กวี อิศรวิ รรณ , ม.ป.ป, หน้า, 61) ในบ่ายวันท่ี 28 ตุลาคม ปี ค.ศ 1704 ณ เมืองโอทส์ (OATES) เขาได้ถึงแก่กรรมด้วยการอัน สงบขณะฟังเพ่อื หญิงทีช่ อ่ื เลดี้ เมแซม อ่านพระคมั ภรี ์ให้ฟัง
73 2. ผลงานทส่ี าคญั ของจอห์น ล็อค (John Locke) ล็อคได้ผลิตผลงานชิน้ สาคญั ไวห้ ลายเรือ่ ง อาทเิ ชน่ บทเรียงความเกี่ยวกับธรรมชาติ,จุดหมาย เก่ียวกับขันติ,หนังสือสองเล่มเกี่ยวกับการปกครอง ( The Essay concerning Human Understand, A Paraphrase and notes on the Epistles of ST.Paul, Some thoughts concerning Education (พระอมรมนุ ี (สวุ รรณ วรฎฐาน)ี , 2515 หนา้ , 31) ได้แสดงทรรศนะเก่ียวกับกาเนิดอานาจและจุดประสงค์ของการมีรัฐบาลในรูปรัฐธรรมนูญ ชีวิตการงานท่ีล็อคทาคือมีหลายอย่าง เช่น แพทย์ นักการทูต ข้าราชการ นักเศรษฐศาสตร์ และ นกั เขยี นบทความ (มอรชิ แครนสตัน เขยี น, ส.ศิวรกั ษ,์ แปล 2515 หนา้ ,25) ผลงานท่ีแสดงให้เห็นความคิดความอ่านอันเป็นปรัชญาทางการเมืองของ จอห์น ล็อค ก็คือ หนังสือท่ีชื่อว่า Two treatises of Government, Letter Concerning Toleration, และอีกหลาย เล่มด้วยกัน โดยเฉพาะ 2 เล่มแรกได้รับความนิยมสูงสุด ในเน้ือหาบางช่วงสะท้อนให้เห็นถึงความ เช่ือถือในศาสนาคริสต์อย่างชัดเจนของล็อค หนังสือเล่มดังกล่าวนี้ ล็อคได้แต่งข้ึนเมื่อปี 1667 ใน เน้ือหาบ่งถงึ ความพยายามทจี่ ะชีใ้ ห้เหน็ ถึงความแตกตา่ งระหว่างศาสนากับการเมืองอันแสดงถึงทัศนะ เสรนี ยิ มทางศาสนาอย่างชัดเจน โดยทา่ นได้ใหเ้ หตุผลวา่ ในทางการเมอื งมนุษย์รวมตัวกันต้ังเป็นสังคม ขึ้นมาก็เพ่ือแสวงหา เพื่อรักษาไว้ และเพื่อความก้าวหน้าของส่ิงท่ีมีประโยชน์ สาหรับบ้านเมือง อัน ไดแ้ ก่ ชวี ติ เสรภี าพ ทรัพย์ และสุขภาพ ส่วนทางศาสนานั้น คริสต์จักรเป็นสังคมท่ีมนุษย์ยินยอมพร้อมใจเข้ามาร่วมกันเพื่อบูชาพระ เจ้า และเพ่ือความรอดพ้นทางวิญญาณ ดังนั้นรัฐบาลจึงมีเพียงเพ่ือให้ประชาชนได้ครอบครองสิทธิท่ี เขาควรจะได้รับอันจะเป็นประโยชน์แกบ่ า้ นเมอื ง รฐั บาลไม่มีสิทธ์ิที่จะไปบังคับให้ใครเช่ือถืออะไร เว้น ไว้แต่ความเชื่อในศาสนาน้ันจะเป็นภัยต่อความม่ันคงของมหาชน ล็อคจึงมองศาสนาเป็นเรื่องส่วนตัว มองการเมืองเป็นเร่ืองส่วนรวมงานเขียนได้เขียนทางการเมืองเกี่ยวกับอานาจของผู้ปกครองและกฏ ธรรมชาติ สนับสนุนการที่องค์อธิปัตย์มีอานาจและเด็ดขาด แต่ไม่ใช่ใช้อานาจตามอาเภอใจ ต้องมี อานาจท่ีเป็นไปตามกฎหมาย น่ีเป็นงานเขียนสมัยหนุ่ม ต่อมาหันมาเขียนเน้นสิทธิ เสรีภาพตาม ธรรมชาติของมนุษย์ 3. แนวคิดทางการเมอื งของจอหน์ ลอ็ ค (John Locke) จอห็น ล็อค เร่ิมต้นจากการโจมตี หักล้างทฤษฎีสิทธิอันศักด์ิสิทธ์ิ (Divine rights) ของ ผูป้ กครองท่ีใชอ้ านาจตามอาเภอใจ โดยอ้างเหตุผลว่าเป็นการกระทาในนามของพระเป็นเจ้าผู้บัญญัติ กฎอนั ศกั ดิส์ ทิ ธ์ิ เขาต้ังคาถามที่ว่า สิทธิเยี่ยงเทวราชนั้น ทาให้สังคมการเมืองดีหรือไม่ สังคมการเมือง เกิดขน้ึ ได้อยา่ งไร และมีข้นึ เพือ่ รบั ใช้วัตถปุ ระสงค์อะไร เขาเห็นว่าสังคมการเมืองท่ีดีควรมีรูปแบบทาง สถาบนั ทด่ี ีท่ีสุด และสอดคล้องใกล้เคียงท่ีสุดกับกฎแห่งธรรมชาติ อันเป็นส่ือกลางในการนาเจตจานง
74 ของพระเจ้า มาสู่มนุษย์ท่ีเป็นปัจเจกบุคคลที่มีเหตุผล ทุกคนมีความสัมพันธ์กันทางศีลธรรมระหว่าง กัน เป็นความสัมพันธ์อันเกิดจากสถานะทางธรรมชาติมากกว่าในฐานะประชากร โลกของประชาชน อยู่นอกเหนือชีวิตการเมือง ประชาชนเป็นสันตะปาปาแห่งตน ไม่ใช่ได้รับการนาทางโดยศาสนจักร ผ่านทางกษตั ริยท์ ีปกครองแบบสมบรู ณาญาสทิ ธิราชย์ จอห์น ล็อค ได้ให้แนวความคิดทางการเมืองออกมาในหนังสือ Two Treatises of Governmentหรือหนังสือสองเล่มท่ีกล่าวถึงการเมืองการปกครองส่วนเล่มแรกได้พูดถึงการ วพิ ากษว์ จิ ารณ์หลกั การและพนื้ ฐานทางความคิดด้านการเมืองของเซอร์โรเบิร์ท ฟิลเมอร์ (Sir Robert Filmier) ที่เขานิยมชมชอบ ยกย่องสรรเสริญระบบกษัตริย์ที่ให้ผู้มีอานาจแก่กษัตริย์จนเป็นล้นพ้นท่ี เขาเขยี นไว้ในหนังสอื PATRIACHAจึงทาให้ล็อคตอ้ งออกโรงต่อตา้ นแนวคิดน้แี ละพร้อมพวกหัวคิดแบบ ยึดตดิ กบั จารตี ประเพณีเดิม ๆ แต่วา่ ความคดิ ทางการเมืองของล็อคน้ีได้ปรากฏชัดเด่นในหนังสือเล่มท่ี สอง เพราะนัยเนอ้ื นัน้ ทลี่ อ็ คไดก้ ล่าวถงึ สภาวะธรรมชาติ สภาวะสงคราม ทรพั ยส์ นิ สังคมการเมืองการ ก่อตั้งและการสนิ้ สดุ ของรฐั บาล รฐั บาลที่มีอานาจจากัดสิทธิปฎิวัติ สภาผู้แทนราษฎร ตุลาการท่ีเที่ยง ธรรมและองค์การทางศาสนา ซึ่งทรรศนะความคิดทางการเมืองของล็อคสาคัญอยู่ที่ทฤษฎีสัญญา ประชาคมเพราะเป็นข้อคิดรากฐานบอกถึงกาเนิดอานาจอธิปไตยและลักษณะที่เราจ ะนาเอาอธิปไตย มาสู่การปกครองของประชาชน 4. แนวความคดิ แบบเสรีนยิ มของจอหน์ ล็อค (John Locke) จอห์น ลอ็ ค มีทรรศนะว่าเสรีภาพเป็นสิง่ ทต่ี ิดกับมนุษย์มาแตก่ าเนิดมนุษย์มีเสรีภาพตามท่ีกฎ ธรรมชาติบัญญัติเอาไว้การเข้าอยู่ในสังคมการเมืองก็เพ่ือท่ีจะมีหลักประกันในการที่จ ะแสวงหา ความสขุ จากเสรีภาพทม่ี อี ยู่ เพราะฉะน้ัน กฎหมายแห่งรัฐจึงมิใช่สิ่งลิดรอนสิทธิเสรีภาพของมนุษย์แต่ ทาใหเ้ สรีภาพสมบูรณย์ ่ิงข้ึนในการเข้าสู่สงั คมการเมืองคนยนิ ยอมยกสิทธใิ นการปูองกันตนเองให้กับรัฐ เพราะรัฐบาลในฐานะคู่สัญญาจะทาหน้าท่ีพิทักษ์คุ้มครองปูองกันภัย ให้กับทุกคนท่ีอยู่ในสังคม การเมอื ง (ชมุ พร สังขปรชี า , 2531 หน้า, 155) เสรีนิยม เป็นทฤษฎีที่ยึดหลักการว่ารัฐบาลไม่มีหน้าที่ท่ีจะนามนุษย์ไปสู่ความหลุดพ้นอย่าง เดยี ว คือกรรมการตัดสินกรณีพิพาทระหว่างมนุษย์ ปูองกันไม่ให้มนุษย์แต่ละคนคุกคามชีวิตทรัพย์สิน และเสรีภาพของผู้อ่ืน คอยปูองกันประเทศจากศัตรูภายอนก ประชาชนแต่ละคนอยากจะดาเนินชีวิต อย่างไร จะหาความสุขหรือความหลุดพ้นด้วยวิธีใด เป็นเรื่องของปัจเจกชน ตราบใดท่ีการทาเช่นน้ัน ไมเ่ ป็นผลเสียกับส่วนรวม รฐั บาลไม่ควรไปยงุ่ เกีย่ ว ความเชอ่ื ทแี่ ฝงอยูเ่ บ้อื งหลังก็คือ ถ้ารัฐบาลยุ่งเกี่ยว เช่นน้ี จะเกิดผลร้ายกับปจั เจกชนและสังคมส่วนรวมมากกว่า ประเทศไทยและประเทศอ่ืน ๆทั่วโลกก็ เช่นเดยี วกนั ตา่ งมีเสรีในการเคารพนบั ถือตามความเชอ่ื ของตน
75 5. ธรรมชาติของมนุษย์ตามแนวคิดของจอห์น ลอ็ ค (John Locke) ในสภาวะธรรมชาติถึงแม้จะมีข้อบกพร่อง แต่มนุษย์ก็อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขได้ พอสมควร ล็อคเช่ือว่า มนุษย์เป็นผู้มีเหตุผลและมีศีลธรรมโดยธรรมชาติ มนุษย์จังสามารถเรียนรู้ เขา้ ใจและปฏบิ ตั ติ ามกฎธรรมชาติได้ รวมท้ังสามารถนากฎธรรมชาติมาเปน็ แนวทางในการทาเนินชีวิต ได้ด้วย แต่มนุษย์ทุกคนไม่ใช่มีเหตุผลโดยสมบูรณ์ หรือมีศีลธรรมอยู่ในระดับเดียวกัน เป็นต้นว่า บาง คนเห็นแกต่ ัวมาก บางคนเหน็ แก่ตัวนอ้ ย มนษุ ยจ์ งึ ตคี วามกฎธรรมชาติแตกต่างกับผู้อื่น เพราะมนุษย์มี พลังอานาจตามธรรมชาติทุกคน จึงเป็นการไม่สมควรที่จะให้มนุษย์ใช้พลังอานาจไปตามความคิดเห็น ส่วนตัวของตน เม่ือพิจารณาธรรมชาติของมนุษย์อย่างรอบด้านแล้ว จอห์น ล็อคมีความคิดเห็นว่า มนษุ ยน์ ่าจะมคี วามบกพ่อี งตามธรรมชาติ 3 ประการคอื 1. มนษุ ย์อาจตกอยภู่ ายใตอ้ ทิ ธพิ ลทาความเขา้ ใจในกฎธรรมชาติได้อยา่ งถ่องแท้ 2. มนุษย์อาจเป็นส่วนดีของฝุายตนมากเกินไป และใส่ใจกับความยุติธรรมของผู้อื่น นอ้ ยเกินไป 3. มนุษย์มีความสามารถที่แตกต่างกันในการปฏิบัติตามกฎหมาย ธรรมชาติมนุษย์ เชน่ น้ยี อ่ มมีผลกระทบต่อการสมาคมของมนษุ ย์ จอหน์ ลอ็ ค มีความเช่อื วา่ มนุษย์เป็นผูม้ เี หตผุ ลโดยธรรมชาติ กล่าวคือมนุษย์ทุกคนเกิดมามี ความบริสุทธิ์ไม่มีความรู้ความเข้าใจอะไรท้ังสิ้น ต่อมามนุษย์ค่อย ๆเติบโตขึ้นพร้อมกับค่อย ๆเรียนรู้ สภาพแวดล้อมจากการสังเกตการณ์ ความรู้ความเข้าใจที่มนุษย์มีต่อโลกภายนอกจึงเพ่ิมพูนข้ึนด้วย การศึกษา โดยการใช้หลักเกตุผล มนุษย์จึงเข้าใจธรรมชาตินี้ได้ในขณะเดียวกันกฎธรรมชาติก็คอบ ควบคุมมนุษย์ทุกคนในลักษณะของการสอนให้มนุษย์ใฝุหาความเสมอภาคแห่งสิทธิและอิสรภาพ ท้ัง คอยตักเตือนมิให้มนุษย์ทาอันตรายต่อผู้อื่นในด้านชีวิต ร่างกาย อิสรภาพและทรัพย์สินลักษณะของ กฎธรรมชาติของล็อค มีความกว้างขวางครอบคลุมหลักการความประพฤติผิดชอบด้วยศีลธรรม ใน ฐานะที่หลักศีลธรรมเป็นกฎบัญญัติของพระเจ้า หรือเป็นจริยธรรมของคริสต์ศาสนา ซ่ึงบังคับใช้ด้วย คาสงั่ ของพระเจา้ การทาความเข้าใจกบั กฎธรรมชาติท้ังหมด มนุษย์จึงมิใช่ใช้แต่เหตุผลล้วน ๆ มนุษย์ ยังต้องใช้มโนธรรมส่วนบุคคลด้วย และมโนธรรมส่วนบุคคลน้ีจะกาหนดหลักความประพฤติทาง ศีลธรรมอันจาเป็นต่อชีวิตทางสังคม ที่มีคุณค่าต่อมนุษย์ชาติ เม่ือมนุษย์จาต้องใช้มโนธรรมส่วนตัวใน การวนิ ิจฉยั กฎธรรมชาติ ในการวินิจฉัยจึงแตต่ า่ งกนั ตามมโนธรรมของแต่ละคน บางคนอาจจะถูกต้อง บางคนอาจผิดพลาด ประชาคมทางการเมืองจึงไม่อาจจะไว้วางใจต่อการวินิจฉัยเช่นน้ันได้ ประชาคม ทางการเมืองจึงได้กาหนดให้การวินิจฉัยกฎธรรมชาติเป็นการวินิจฉัยร่วมกันของคนส่วนใหญ่ หรือให้ อานาจแก่สภานิติบัญญัติเป็นผู้วินิจฉัย แต่กฎหมายที่บัญญัติขึ้นน้ัน จะต้องไม่ขัดกับกฎธรรมชาติ ซึ่ง มนษุ ย์ทกุ คนสามารถใชว้ ิจารณญาณคดิ คานงึ ถึงได้
76 6. สทิ ธธิ รรมชาติของมนุษย์ตามแนวคิดของจอห์น ลอ็ ค (John Locke) เม่ือมนุษย์อยู่ภายใต้กฎธรรมชาติกันทุกคน ล็อคจึงคิดว่า มนุษย์จึงน่าจะมีสิทธิธรรมชาติเท่า เทยี มกัน และสิทธิธรรมชาติของมนุษย์มีสมบูรณ์ก่อนที่จะมีรัฐ เมื่อมนุษย์ก่อต้ังรัฐข้ันมาร รัฐก็ต้องให้ ความคุ้มครองแก่สิทธิธรรมชาติของมนุษย์ และรัฐจะต้องทาให้สิทธิธรรมชาติกลายเป็นสิทธิทาง กฎหมายท่ีรัฐจะต้องยอมรับและนาไปบังคับใช้ท่ัวไป สิทธิทางธรรมชาติของมนุษย์ตามทรรศนะของ ลอ็ คมี 3 ประการ คือ 1.สิทธใิ นชีวิต 2.สิทธิในอสิ รภาพ 3.สทิ ธใิ นทรพั ยส์ ิน สิทธิธรรมชาติเหล่าน้ีรวมกันเรียกว่า ทรัพย์สินของมนุษย์ โดยล็อค ได้อธิบายถึงท่ีมาของ ทรัพย์สินดั้งเดิมของมนุษย์ว่า ชีวิตนั้นอุบัติข้ึนโดยสภาวธรรมชาติ มนุษย์จึงมีสิทธิธรรมชาติในการ ปกครองชีวติ ของตนเอง เม่ือชีวิตแรกเร่ิมตอ้ งการมาอยใู่ นสภาพสภาพธรรมชาติ สิ่งต่าง ๆในธรรมชาติ จึงเป็นสมบัติธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนร่วมกัน ไม่มีใครจะสามารถมีสิทธิถือเป็นเจ้าของได้ ต่อมา มนษุ ย์ได้อสิ รภาพในร่างกายของตนคอื แรงงานของร่างกายท่ีเกดิ ขึน้ โดยธรรมชาติ นาสิ่งที่อยู่ในสภาพ ธรรมชาติมาประดิษฐ์เป็นส่ิงของเคร่ืองใช้ต่าง ๆ ส่ิงของเหล่าน้ันชอบที่จะตกเป็นของผู้ใช้แรงกายน้ัน ซึ่งถือเป็นทรัพย์สินส่วนตัวอย่างหน่ึง แสดงว่ามนุษย์มีสิทธิธรรมชาติในชีวิตอิสรภาพและทรัพย์อย่าง สมบูรณ์ แต่ล็อค ก็ยับได้พิจารณาว่า สิทธิธรรมชาติของมนุษย์นั้นจะต้องมีขอบเขตจากัด มนุษย์จะมี สิทธิครอบครองทรัพย์ได้เฉพาะส่วนท่ีเป็นประโยชน์ต่อตนเองและครอบครัว ส่วนที่เหลือจากนี้ต้อง เป็นของธรรมชาติ เพราะถ้าทรัพย์นั้นยังอยู่กับตนนานไปทรัพย์น้ันจะเส่ือมค่าไร้ประโยชน์ในท่ีสุดจะ ก่อใหเ้ กิดผลเสียต่อประชาคมทางการเมอื งในแงข่ องความส้ินเปลือง และภายใต้กฎธรรมชาติมนุษย์ไม่ อาจจะสะสมทรัพยจ์ นเป็นผลเสียหายตอ่ ผู้อ่ืน ในหนังสือ Essay Concerning Human Understanding จอห์น ล็อค ได้อธิบายธรรมชาติ ของมนุษย์ไว้ว่า “มนุษย์ไม่มีความรู้อะไรติดตัวมาแต่เกิด จิตมนุษย์ว่างเปล่า ความรู้ท้ังปวงได้มาจาก การสังเกตและการวเิ คราะห์ส่ิงทไี่ ดจ้ ากการสังเกต การสงั เกตและการวเิ คราะห์ในลักษณะนี้ล็อค เรียก รวม ๆ วา่ ประสบการณ์ มนุษย์จึงไม่อาจมีความรู้ที่สมบูรณ์ และความรู้ของมนุษย์ก็เพ่ิมขึ้นได้ มนุษย์ ทาให้ตนฉลาดข้ึนได้ด้วยการศึกษาธรรมชาติและเหตุผล โดยอาศัยวิธีการทางตรรกวิทยา ด้วยวิธีการ ดงั กล่าวมนุษย์จะเขา้ ใจธรรมชาติเพมิ่ ขนึ้ และสามารถนาความร้นู น้ั มาปฏิบตั ิได้ จอห์น ล็อค อธิบายว่า ในภาวะธรรมชาติ มนุษย์ทุกคนเกิดมาบริสุทธ์ิยังไม่รู้อะไรเลยมนุษย์ สามารถรู้และเข้าใจอะไรในเรื่องโลกภายนอกรอบตัวได้ก็โดยการเรียนรู้จากการสังเกตและ ประสบการณ์ ความรู้ที่คนมอี ยสู่ ามารถเพ่มิ พูนความเข้าใจ ต่อโลกภายนอกมากข้ึนก็ด้วยการศึกษาได้ จากการสังเกตหรือจากการได้เห็นแน่ชัดแล้วคนเราเกิดมามีความเท่าเทียมกันในอิสรภาพและมีสิทธิ
77 แตก่ าเนดิ อนั ไดแ้ กเ่ สรีภาพอันสมบูรณ์อยู่ภายใต้กฎธรรมชาติ ล็อค มีความคิดว่าสภาวะธรรมชาติมี 2 ลักษณะคอื 1. เป็นภาวะแห่งเสรีภาพอันสมบูรณ์ซึ่งทาให้มนุษย์สามารถกระทางานในสิ่งท่ีตนปรารถนา ภายใต้ขอบเขตจากัดแหง่ กฎธรรมชาติ 2. เป็นภาวะแห่งการเท่าเทียมกันของทุกชีวิตท่ีอาศัยอยู่ไม่มีใครมีสิทธิ อานาจ หรือเขตของ อานาจมากกว่ากัน มนุษยจ์ งึ กาเนิดมาเท่าเทยี มกันด้วยเหตดุ ังกลา่ ว มใิ ช่เท่าเทียมกันในด้านความสามารถแต่เท่า เทียมกัน ในด้านของสิทธ์ิ มนุษย์ทุกคนย่อมมีอิสระจากกัน ในทรรศนะนี้ล็อคอธิบายตามแง่ศาสนา คริสต์ว่าเราทุกคนเป็นผลงานของพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกันเพราะพระองค์สร้างเราข้ึนมา และส่งมา ในโลกเราเป็นแมก้ ระท้งั สมบตั ิของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงได้สร้างมนุษย์ให้มีคุณสมบัติอย่างนี้ และ อย่างเดียวกันมีศักดิ์ศรีเย่ียงมนุษย์เหมือนกันหมดแต่แล้วทุกคนไม่เป็นอิสระจากพระเจ้าเท่านั้นใน สภาวะธรรมชาติท่ีทุกคนมีเสรีภาพ และเท่าเทียมกันไม่ข้ึนแก่กัน ถึงว่าไม่มีรัฐบาลล็อค ก็เชื่อว่ามัน เป็นสภาพทไ่ี มม่ ีการล่วงละเมิดของผู้อน่ื หรือทาอนั ตรายแก่ผอู้ นื่ เพราะสภาวะธรรมชาติซึ่งใช้บังคับกับ คนทกุ คนควบคมุ มันไว้ และเหตผุ ล ซ่ึงเป็นกฎมอี ยแู่ ล้วเพราะทุกคนไม่ควรทาอันตรายแก่ผู้ในทางชีวิต ร่างกาย และทรพั ยส์ ินเพราะทุกส่งิ ทุกอย่างท่ีมนุษย์มีปรารถนาน้ันก็คือ อยู่ภายใต้ขอบเขตโดยเหตุผล ของตัวเขาเองเราทุกคนเกิดมามีเสรีภาพเท่า ๆ กันกับที่เราเกิดมาเป็นผู้มีเหตุผลเหตุผลคือเสียงของ พระเจา้ อยใู่ นตวั ของมนุษย์เพราะพระเจ้าให้สิ่งนี้มากับมนุษย์ทุกคนเพ่ือใช้กฎระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ด้วยกันเหตุผลจึงเป็นสิ่งที่บอกให้เรารู้ถึงสิทธ์ิพื้นฐานตามธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนเป็นผลงานของ พระเจ้า และเราก็ไมไ่ ด้ถูกสรา้ งข้นึ มาเพ่ือแสวงหาประโยชน์จากผู้อ่ืน คือเรารู้จักหน้าท่ีของเราเองโดย ไม่ต้องมีมาตรการใดมาบังคับ และตราบใดเราจะกระทาสิ่งที่คล้อยตามกฎธรรมชาติเพราะกฎ ธรรมชาติคอื กฎของเหตุผล เสรีภาพของมนุษย์ทุกคนในสภาวะธรรมชาติต้องอยู่ภายในกฎธรรมชาติ เพราะฉะนั้น สภาวะธรรมชาติจึงมีสภาวะทมี่ นษุ ย์อยรู่ ่วมกันด้วยสันติไม่ใช่มนุษย์สภาวะสงครามอย่าง ที่บางคนไม่รู้เมื่อมีสภาวะสงครามมนุษย์ย่อมใช้กาลังเข้าทาลายล้างเข็ญฆ่ากันเอง ซ่ึงให้ความเห็นว่า สภาวะธรรมชาติคือ สภาวะอันมีสันติภาพความปรารถนาดีให้อภัยเอ้ืออาทรต่อกัน และพากันธารง รักษ์ไว้ชีวิตและทรัพย์สิน กฎธรรมชาติที่เรารู้ได้ด้วยเหตุผลบอกว่าอะไรถูกอะไรผิดถ้ามีการฝุาฝืนกฎ ในสภาวะธรรมชาติจะถูกลงโทษแก่ผู้ที่ละเมิดนั้นเพราะเขาไม่ยอมรับกฎของเหตุผลคือ มาตรการอัน พระเจ้าได้กาหนดขึ้นเพ่อื หวงั ความปลอดภัยต่อมนุษย์แต่แลว้ อานาจการลงโทษอยู่ในมือของทุกคนทุก คนมีสิทธิลงโทษผู้กระทาผิดกฎธรรมชาติเท่าที่จะทาให้เขาเกิดความหลาบจาไม่ทาการละเมิด ซ่ึงกฎ ธรรมชาตนิ ้ี มคี วามจาเปน็ ต่อมนุษย์ด้วยเพราะทาให้มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างสันติ แม้การปกครอง และ การบังคับโดยกฎหมายจะมีหรือไม่แต่สิ่งนี้ก็มีอยู่แล้ว ดังนั้น สิ่งน้ันคืออะไรกันในข้อเท็จจริง ล็อค ไม่
78 อธบิ ายให้ชดั เจนแทนทมี่ ันเป็นแนวคิดทางการเมืองของเขา ซ่ึงความเป็นจริงแนวคิดน้ีมีมาช้านานแล้ว คือแต่สมยั อรสิ โตเตลิ และพวกสโตอิกแต่แล้วทฤษฎีนี้ไม่ไดร้ บั การนยิ มสักเท่าไรนกั 7. การก่อต้งั สงั คมการเมอื ง หรือรฐั บาล ในขณะท่ีฮอบส์ มีแนวความคดิ วา่ “สภาวธรรมชาติเปน็ สภาวะท่ีโหดร้าย ล็อคกลับมีความคิด เพียงว่าสภาวธรรมชาติเป็นสภาวะท่ีไม่มีความสะดวกไม่ใช่สภาวะท่ีมนุษย์จะทนอยู่ไม่ได้ เมื่อ เปรยี บเทียบกันระหว่างสภาวธรรมชาติกับสภาวะทรราชย์ จอห์น ล็อค กลับเห็นว่า สภาวะธรรมชาติ เป็นสภาวะที่ไม่มีความสะดวกสบายเท่าน้ัน ส่วนสภาวะทรราชย์เป็นสภาวะท่ีชีวิตตกอยู่ในความ เลวร้าย เมื่อประสงค์มนุษย์ก็ต้องแก้ไขข้อบกพร่องตามสภาวธรรมชาติของตนโดยการจัดระเบียบ ประชาคมทางการเมืองข้นึ มาใหม่ และสรา้ งกลไกทางการเมืองข้ึนมารับรองระเบียบใหม่นี้ สงั คมการเมืองซ่ึงเกดิ ขน้ึ จากกการทาสัญญาประชาคมตอ่ กนั หมายถึงการมีองค์กรรับผิดชอบ ใช้อานาจบังคบั ให้คนประพฤติชอบและมีศีลธรรมอนั ดี ซ่ึงเป็นส่ิงที่มีอยู่แล้วในภาวะธรรมชาติ แต่ขาด ผทู้ ี่จะคอยบงั คบั ให้เปน็ ไปตามนนั้ สงั คมการเมอื งจะใชก้ ฎหมายเป็นเครื่องมือพิทักษ์สันติสุขให้ปวงชน กฎมายท่ีดี ไม่ใช่ส่ิงท่ีจากัดหรือริดรอนเสรีภาพ แต่เป็นส่ิงท่ีปกปูองเสรีภาพ ล็อค กล่าวว่า “ท่ีใด ปราศจากกฎหมายที่น้ันไม่มีอิสรเสรี เพราะเสรีภาพน้ัน ก็คือความมีอิสระจากการถูกยับย้ังหรือทา อันตรายโดยผู้อ่ืน อันนี้ ไม่สามารถจะพบเห็นในท่ี ๆ ปราศจากกฎหมาย กฎหมายไม่อยู่ภายใต้การ บงั คับตามอาเภอใจของบคุ คลหนง่ึ ใด” 8. พันธสญั ญา ตามทรรศนะของล็อค พันธสัญญาเกิดขึ้นจากความยินยอมของทุกคน เพ่ือเป็นหลักประกัน สาหรับการดารงชีพด้วยความสะดวก,ปลอดภัย และสันติสุขระหว่างกันรวมท้ังความม่ันคงในทรัพย์ พันธสัญญาทางสังคมของล็อค เป็นสัญญาที่ทาขึ้นระหว่างประชาชนท่ีอยู่ร่วมกัน และรัฐบาล หรือ ผูป้ กครองประชาชนไดต้ กลงมอบอานาจให้ให้ทาหน้าที่พิทักษ์ประชาชนลงโทษผู้กระทาผิดหน้าท่ีของ รฐั บาลในทรรศนะของล็อค มี ๒ ประการคือ (เอ็ม เจเฮาร์บอน เขียน, เสน่ห์ จาริก แปล, 2542 หน้า ,124) ทาหน้าท่ีตุลาการและคุ้มครองสมาชิกไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือทรัพย์สินรัฐ หรือสังคม การเมืองต้องผูกพันอยู่ด้วยสัญญาสังคมซึ่งคนทุกคนที่อยู่ในรัฐถือว่า ให้ความยินยอมต่อสัญญานี้ อาจจะเป็นการยินยอมอย่างชัดแจ้ง หรือปริยายก็ได้อย่างไรก็ตามพันธะแห่งสัญญานี้มีผลเฉพาะต่อผู้ บรรลุนิติภาวะหรือพ้นสภาพความเป็นทารกแล้วเท่าน้ัน ล็อค ถือว่า เด็กทุกคนที่เกิดมาในรัฐยังไม่ได้ ให้ความยินยอมต่อสัญญาเพราะยังอยู่ในความดูแลของบิดามารดาต่อเม่ือจาเริญวัยขึ้น และยังคง อาศัยอยู่ในสังคมการเมืองนั้นถือประโยชน์จากการคุ้มครอง และบริการที่สังคมน้ันมี ก็เรียกได้ว่าให้
79 ความยินยอมต่อสัญญานั้นโดยปริยายแม้จะไม่แสดงออกอย่างชัดแจ้งก็ตามที ล็อค ยืนยันว่า การเข้า ร่วมพันธะสัญญาสังคมของแต่ละบุคคลเป็นสิทธิส่วนตัวผู้ที่ให้ความยินยอมแบบปริยายมีสิทธิเลิก สัญญา เมื่อใดก็ตามท่ีเขารู้สึกว่าการอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของสังคมการเมืองเป็นภาระหรืออุปสรรคต่อ เสรีภาพหรือมีความไม่พึงพอใจในสภาพสังคม ที่เขาอาศัยอยู่เขามีเสรี ท่ีจะออกจากสังคมนั้นไป แสวงหาสังคมการเมืองอ่ืนท่ีทาให้เขามีความสุขหรือแม้กระท่ังย้อนกลับไปอยู่ในสภาวะธรรมชาติ สาหรับผู้ท่ีเข้าร่วม ในสังคมการเมืองโดยความยินยอมท่ีประกาศอย่างแจ้งชัดจาเป็นต้องผูกมัดอยู่กับ สัญญาสังคมนั้น ไม่อาจถอนตัวออกได้เว้นแต่รัฐบาลถูกยุบ ซ่ึงยังผลต้องสร้างสัญญากันใหม่ หรือ ตนเองถกู เนรเทศออกจากสงั คมการเมอื งนน้ั เท่าน้นั . 9. ความหมายของพนั ธสัญญา ล็อค กล่าวว่าผู้ปกครองหรือรัฐบาลอยู่ในฐานะเป็นคู่สัญญาด้วยโดยมีพันธะภายใต้ขอผูกพัน ของสัญญาเชน่ เดียวกบั ประชาชนทงั้ มวล ถ้ารัฐบาลละเมดิ สญั ญาประชาชนมสี ิทธถิ อดถอนรัฐบาลหรือ ยกเลิกสญั ญานนั้ “การทาสัญญาของมนุษย์นนั้ มนษุ ย์หาไดม้ อบอานาจให้บุคคลท่ีสามไม่ (รัฐบาล) ไป อยา่ งเด็ดขาดไมม่ นษุ ย์ยังธารงรกั ษาไว้ ซ่งึ สิทธิเสรภี าพต่าง ๆ ของตนซ่ึงท่ีสาคัญก็คือสิทธิในชีวิตความ เป็นเสรีและกรรมสิทธิ์ รัฐบาลได้รับมอบหมายให้มีอานาจเพียงบางส่วนโดยมติของคนหมู่มาก และ อานาจนั้นผู้อยู่ใต้การปกครองจะเอากลับคืนมาเสียเม่ือใดก็ได้” ความจริงแล้ว ซึ่งฐานะของรัฐบาล ตามทรรศนะของล็อค ไม่มีสิทธิเสมอเท่าเทียมกับประชาชนหากมีพันธะต่อประชาชนในฐานะเป็น เพียงตวั แทนปฏบิ ัติหนา้ ทต่ี ามทปี่ ระชาชนได้มอบหมายให้เทา่ น้ัน พันธสัญญาของลอ็ ค มี 2 ลกั ษณะ คือ 1. เป็นสัญญาระหว่างปจั เจกชนที่มารวมกันเป็นสังคม สัญญาน้ีไม่มีการบังคับเป็นการ ยินยอมพร้อมใจของบุคคลยอมสละสิทธิ และเสรีภาพในสภาวธรรมชาติบางประการ เพ่ือให้เกิด ประชาคม โดยหวงั วา่ จะทาใหก้ ารดารงชวี ติ สะดวกสบาย ปลอดภยั และสงบสขุ ย่ิงขึน้ 2. เป็นสัญญาจัดตั้งรัฐบาล เพ่ือปกครองสังคมการเมืองขึ้น สัญญาจัดตั้งรัฐบาลน้ีเป็น การมอบอานาจให้แก่รัฐบาล โดยที่รัฐบาลไม่อยู่ในฐานะเป็นคู่สัญญา เป็นเพียงผู้รับมอบอานาจ เพื่อ ไปดาเนินงานใหร้ ฐั เปน็ ไปตามเจตนานงของประชาคม รัฐบาลหรอื ผู้ปกครองอาจจะถูกถอดถอนได้ ถ้า ประชาชนเห็นว่าตนถูกบีบบังคับ และถูกทาลายสิทธิ การถอดถอนน้ีล็อค หมายถึง การปฏิวัติน่ันเอง ล็อค เห็นว่าการปฏิวัติล้มล้างรัฐบาลเป็นสิทธิที่จะกระทาได้ของประชาชน ถ้าเห็นว่ารัฐบาลทาลาย เจตจานงของประชาชน นี่ประเด็นหน่งึ ท่ลี อ็ ค ต่างกบั ฮอบส์ เม่ือมีประชาคมทางการเมืองเกิดข้ึน การปกครองย่อมต่างคานึงถึงผู้ท่ีเข้าร่วมทาสัญญา ประชาคมทั้งหมด แตจ่ ะถือมติของคนท้ังหมดไม่ได้ เพราะเป็นส่ิงท่ีเกิดขึ้นได้ยาก ล็อค จึงเสนอให้การ ปกครองในประชาคมทางการเมืองถือมติของเสียงข้างมากเป็นสาคัญ ด้วยเหตุที่ว่าความยินยอมของ
80 ฝุายข้างมากเพียงพอต่อการปฏิบัติตามมติ และการถือเสียงข้ามากยังเป็นการลดทอนทางเลือกของ มนุษย์ให้เลือกเพียงอย่างเดียว เพื่อแสดงให้ทุกคนเห็นได้โดยชอบธรรมว่ารัฐมีเอกภาพในการ ปฏิบัติการทางการเมืองอย่างเด่นชัดและแน่นอน หลักการปกครองท่ีใช้เสียงข้างมากนี้ ล็อค ได้เสนอ ให้ใช้กับสถาบันทางการเมืองที่มนุษย์สร้างขึ้น เพื่อแก้ปัญหาที่มนุษย์ประสบอยู่ในสภาวธรรมชาติ สถาบันทางการเมืองที่สร้างข้ึนน้ีมีจุดประสงค์เพ่ือให้มนุษย์ได้รับความสะดวกในการตีความการ วนิ ิจฉัยและการบังคับใช้กฎหมาย 10. รูปแบบ และขอบเขตอานาจรัฐ เม่ือเกิดมีประชาคมทางการเมืองข้ึนแล้ว การปกครองย่อมต้องคานึงถึงผู้ที่เข้าร่วมทาสัญญา ประชาคมทั้งหมดแต่จะถือมติของคนท้ังหมดไม่ได้ เพราะเป็นส่ิงที่จะต้องเกิดขึ้นได้ยาก ล็อค จึงมี ข้อเสนอในการปกครองน้ันให้ประชาคมทางการเมืองถือเอามติด้านเสียงข้างมากเป็นสาคัญด้วย เหตุ ที่ว่า ความยินยอมของฝุายข้างมากเพียงพอต่อการปฏิบัติตามมติน้ันและการถือเสียงข้างมากยังเป็น การลดทอนทางเลอื กของมนษุ ยใ์ หเ้ ลอื กเพียงอย่างเดียวเพื่อแสดงให้ทุกคนเห็นความชอบธรรมของรัฐ ว่ารัฐมีเอกภาพดีในการปฏิบัติการทางการเมืองอย่างเด่นชัด และเท่ียงตรง ล็อคได้นาเสนอหลักการ ปกครองที่ใชเ้ สียงขา้ งมากน้ีวา่ “ให้ใชก้ บั สถาบันทางการเมืองที่มนุษย์สร้างมันข้ึนมาเพื่อแก้ไขปัญหาท่ี มนุษย์ประสบอยู่ในสภาวะธรรมชาติสถาบันทางการเมืองท่ีสร้างมาขึ้นนี้ คือมีจุดประสงค์หวังจะ ใหบ้ ริการมนษุ ยไ์ ดร้ บั ความสะดวกสบายในการตีความ การวินิจฉยั และการบงั คับใช้กฎหมาย เป็นตน้ 10.1 ฝา่ ยรัฐบาล ในแนวทางน้ี ลอ็ ค ได้นาเสนอใหม้ ีการจดั ตั้งรัฐบาลในรูปแบบเรียกว่า“ทรัสต์” (Trust) ในเมื่อรฐั บาลไดเ้ ปน็ ทรัสต์ แลว้ คณะรฐั มนตรจี ึงทาหนา้ ท่เี ป็นผู้แทนของประชาชน และต้องรับผิดชอบ ตอ่ ประชาชนท่กี อ่ ตัง้ ทรัสต์ ขึ้นมา ลักษณะของรัฐบาลแบบน้ีไม่มีสิทธิเสมอเท่ากับประชาชนด้วยเหตุ ทม่ี ฐี านะแห่งการกอ่ ตั้งข้ึนเป็นเพยี งผูแ้ ทนของประชาชนเท่านั้น รัฐบาลจึงไม่ใช่คู่สัญญาของประชาชน แต่เปน็ ผู้รับใช้ของประชาชน 10.2 องค์กรนติ ิบญั ญตั ิ (สมฤดี วิศทเวทย์, 2526หนา้ , 231) ลอ็ ค ได้เสนอให้สภานติ บิ ญั ญตั ิเปน็ องค์กร ที่มีอานาจสูงสุดในจักรภพเนื่องจากอานาจ นิติบัญญัติได้ตกอยู่กับกลุ่มบุคคลใดกลุ่มหน่ึง แต่ตกอยู่กับบุคคลที่เป็นตัวแทนของประชาชนที่มีจาก เขตปกครองต่าง ๆ เมื่อผู้แทนของประชาชนเหล่านั้นรวมตัวเข้าด้วยกันเป็นสถาบันทางการเมืองหน่ึง สถาบันทางการเมืองนั้นจึงมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะมีอานาจจัดการร่างกฎหมายโดยยึดหลักการใช้ เสียงข้างมากแม้ว่าสภานิติบัญญัติจะมีอานาจมากท่ีสุด แต่ก็ต้องมีขอบเขตของการใช้อานาจ ซ่ึงล็อค มีความเห็นว่า อานาจของสภานิติบัญญัติไม่อาจใช้อย่างขาดความระมัดระวังเม่ือมีการใช้อานาจนิติ บัญญัติเม่ือใดน้ัน จะต้องมุ่งเพ่ือให้เกิดประโยชน์แก่สังคมเป็นส่วนใหญ่สภานิติบัญญัติไม่สามารถใช้
81 อานาจริดรอนทรัพย์สินของบุคคลใดโดยปราศจากความยินยอมได้นอกจากน้ันสภานิติบัญญัติยังไม่ อาจจะสละอานาจในการบัญญัติกฎหมายให้แก่องค์กร หรือบุคคลอ่ืนได้เนื่องจากว่าประชาชนเท่านั้น เปน็ ผมู้ ีสิทธเิ ช่นนนั้ ซ่ึงสภานิตบิ ัญญัตเิ ป็นตัวแทนของประชาชน ฉะน้ัน สภานิติบัญญัติจึงต้องเป็นผู้ทา ตามความประสงค์ของประชาชนโดยไม่มีสิทธิท่ีจะกระทาการใด ๆ อันนอกเหนือจากความประสงค์ นั้น 10.3 องค์กรตลุ าการ เป็นสถาบันทางการเมืองซ่ึงล็อค กล่าวว่าไม่ควรท่ีจะกาหนดให้มีอานาจเป็นอิสระ เพราะการบังคับคดีจาเป็นต้องอาศัยกลไกของรัฐบาลที่ล็อค ได้กล่าวเสนอให้ตุลาการนั้นยัง ความสัมพนั ธก์ ับฝาุ ยบรหิ ารแต่ให้แยกองค์กรตุลาการออกจากองค์กรบริหาร และการแต่งตั้งตุลาการ จะต้องเป็นยอมรู้กันโดยท่วั ไปแม้วา่ ฝาุ ยบริหารจะยังความเป็นอยู่ในฐานะเป็นผู้แต่งตั้งตุลาการแต่งตั้ง องค์กรตลุ าการกเ็ ป็นองคก์ รทีอ่ สิ ระตอ่ ฝุายบริหารไม่สามารถเข้าไปกา้ วกลายแสดงอิทธพิ ลใด ๆ 10.4 องค์กรสหพนั ธ์ มีอานาจหน้าที่ทาให้สมาชิกในสังคมรวมตัวกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเพื่อปูองกัน ตัวเองจากศัตรูภายนอกหรือชุมชนอ่ืนภายนอกเป็นอานาจท่ีมีจุดหมายอยู่ภายนอกชุมชนเพื่อดาเนิน นโยบายภายในรัฐและควบคุมความสัมพันธ์ต่างประเทศ อานาจน้ี ไม่มีองค์กรเฉพาะคอยดูแล โดยท่ัวไปแล้วมันอยู่กับองค์กรบริหารเพราะในการดาเนินการต่างประเทศนั้นบางคร้ังต้องอาศัยการ ตัดสินใจฉับพลัน ดังนั้น กษัตริย์จึงเป็นประมุขในองค์กรบริหารจึงมีอานาจมากในรัฐรวมอานาจ 2 ประการเอาไว้ในมือคนเดียวแต่อย่างเดียวในสภาพซึ่งล็อค เห็นดีด้วยกับความคิดในเรื่องการถ่วงดุล อานาจของรัฐเขาค่อนข้างไม่ไว้ใจอานาจบริหาร ซึ่งเป็นไปได้ว่าเกิดจากประสบการณ์ในการปกครอง อย่างเด็ดขาดของกษตั รยิ ์ราชวงศ์สจ๊วต และค่อนข้างไว้ใจองค์กรนิติบัญญัติมากกว่าเขาเห็นว่าอานาจ นิติบัญญัติ และอานาจบริหารควรแยกจากกันไม่รวมอยู่ในมือเดียวกันเพราะจะเป็นอันตรายมาก เกินไปถ้าคนที่มีอานาจในการออกกฎหมายจะมีอานาจใช้กฎหมายด้วยเขาอาจใช้ และไม่มีใครเป็นผู้ พิพากษาเขา เพราะเขาเป็นผู้ตัดสินคดีเองน่ีเป็นลักษณะอานาจของกษัตริย์ท่ีปกครองด้วยระบอบสม บูรณาญาสิทธิราชท่ี ล็อค ไม่เห็นด้วยเลยปัญหาต่อไปท่ีต้องพิจารณาก็คือ อานาจใดเป็นอานาจสูงสุด ใครมีอานาจสูงสุดในรัฐ ล็อคบอกว่าอานาจนิติบัญญัติเป็นอานาจสูงสุดในรัฐเหนืออานาจบริหารแม้ กระน้ันเขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้ถือว่ามันเป็นอานาจเด็ดขาด หรือสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับอานาจอื่น ตามจุดมุ่งหมายของรัฐ คือปูองกันชีวิตเสรีภาพ และทรัพย์สินของประชาชนข้อจากัดอานาจใน บทบญั ญัติทรี่ ะบไุ ว้ในรูปแบบ 4 ประการ คือ 1. กฎหมายต้องใชก้ ับคนทุกคนเท่าเทยี มกนั ไมว่ ่าคนมหี รือคนจน 2. กฎหมายต้องไม่ใช้ตามอาเภอใจและกดขี่ ต้องใช้เพื่อประโยชน์ของ ประชาชน
82 3. องค์กรนติ บิ ญั ญตั ิต้องไมข่ ึ้นภาษโี ดยปราศจาการยินยอมของประชาชน 4. องค์กรนติ ิบัญญัติไม่อาจมอบอานาจในการจดั ทากฎหมายให้แกผ่ ใู้ ดโดยตรง (สมฤดี วิศท เวทย,์ 2526 หนา้ ,231 ) ฉะนน้ั คาตอบท่ีแท้จรงิ คือประชาชนมีอานาจสูงสุดเพราะประชาชนมีอานาจเหนือองค์กรนิติ บัญญัติซึ่งถูกกาจัดด้วยจุดหมายของรัฐ หรือจุดหมายของคนที่มารวมกันก่อต้ังรัฐ และอานาจนิติ บัญญัติสามารถยกเลิกได้โดยประชาชนแต่เราควรสังเกตว่าทฤษฎีการเมืองของล็อค ไม่ได้ให้การ วเิ คราะหท์ ี่ชัดเจนเกีย่ วกับอานาจสูงสุดเขาหมายถึงใครเม่ือใช้คาว่า “ประชาชน”ฝุายนิติบัญญัติได้รับ การเลือกจากประชาชน และเข้ามามีอานาจสูงสุดนี่เป็นประเด็นทีล็อค เน้นแต่พระมหากษัตริย์ ซึ่ง เป็นประมุขฝุายบริหารก็มีอานาจท่ีจะยุบสภา และยังทรงไว้ ซึ่งพระราชอานาจพิเศษบางประการซ่ึง ทาใหพ้ ระองค์เปน็ ผมู้ ีอานาจสูงสุดในความจริงอย่างน้อยก็มีบางโอกาส เช่น ในระหว่างเวลานอกสมัย ประชุมของสภานิติบัญญัติอาจมีปัญหาในหรือนอกประเทศที่มิได้คาดหมายเอาไว้ และไม่มีกฎหมาย ครอบคลุมไว้หรือกฎหมายที่บัญญัติไว้อาจไม่เหมาะในกรณีฉุกเฉินน้ัน ล็อค คิดว่าในกรณีเช่นน้ัน จาเป็นที่จะต้องปล่อยให้อยู่ในดุลพินิจขององค์กรบริหารท่ีจะใช้พระราชอานาจพิเศษ “ปฏิบัติให้ เป็นไปตามดลุ พินิจเพอื่ ประโยชน์ของส่วนรวมโดยปราศจากข้อบัญญัติของกฎหมายและแม้ว่าบางคร้ัง อาจขัดกับกฎหมาย” พระราชอานาจพิเศษของกษัตริย์จาเป็นสาหรับการปกครองในรูปแบบท่ีมี รัฐบาลแต่พระองค์ละเลยหน้าท่ีในการบริหารของพระองค์จนทาให้ประเทศเกิดความระส่าระส่า เหมือนไม่มีกฎหมายควบคุมแล้วประชาชนมีสิทธิขับไล่พระองค์เมื่อใดที่อานาจของรัฐถูกล้ม เม่ือน้ัน อานาจจะตกอยู่ในมอื ของคนที่ให้มันมาแต่เดิม ดังน้ัน ชุมชนยังคงมีอานาจสูงสุดอยู่ตลอดกาลแต่ทั้งนี้ ต้องไม่ได้อยู่ภายใต้การปกครองในรูปแบบใดข้ึนเท่านั้น ด้วยเหตุน้ีอานาจของประชาชนท่ีมีอยู่เหนือ รัฐบาลจึงยังไม่สมบูรณพ์ ร้อมในทฤษฎีของล็อคดว้ ย 11. การปฏเิ สธเทวสทิ ธ์ิ ลัทธเิ ทวสทิ ธเ์ิ ปน็ ความคดิ ทางการเมืองทีม่ ีมาตงั้ แต่โบราณ แกน่ แท้ของความคดิ น้ีก็คือ กษตั รยิ ม์ ีอานาจเด็ดขาดและสูงสุด อยเู่ หนอื กฎหมายของบา้ นเมอื ง อานาจนเ้ี ป็นอานาจทีช่ อบธรรม เพราะสทิ ธิใ์ นการใช้อานาจพระเจา้ มอบให้ มีผู้นิยมทฤษฎนี ี้คนหน่ึงชอื่ เซอรโ์ รเบริ ด์ ฟิลเมอร์ เขยี น สนับสนนุ ระบอบสมบูรณรญาสทิ ธิราชย์ หนังสอื ช่ือปิตาธิปไตย พระเจา้ สรา้ งอาดัมขึน้ มา อาดัมกค็ วร เป็นบดิ าปกครองลูก และเช่อื สายของอาดมั ก็ควรปกครองลูก ๆ ต่อ ๆ มา สิทธเิ ดด็ ขาดจึงอยู่ท่กี ษตั ริย์ มนษุ ยจ์ งึ ไม่มเี สรภี าพต่างอยู่ภายใตอ้ านาจของกษัตริย์ (บญุ มี แทน่ แก้ว, 2545 หน้า,92 )
83 12. แนวคดิ เรื่องทรสั ต์ (Trust) แนวคดิ เรือ่ งทรัสต์ โดยท่ัวไปจะประกอบด้วยบคุ คล 3 ฝาุ ย คือ 1. ผสู้ รา้ งทรัสต์ หรอื ผมู้ อบความไว้วางใจ (The trustor) 2. ผูไ้ ดร้ ับความไว้วางใจใหจ้ ดั การบรหิ ารทรสั ต์ หรอื ทรัสตี (The trustee) 3. ผู้ได้รบั ประโยชน์จากทรัสต์ (The beneficiary) ซงึ่ ทรัสต์นกี้ ่อตงั้ ขึ้นเพื่อผลประโยชนข์ องฝาุ ยหลงั นี้ ตามทรรศนะของล็อค รัฐบาลหรือทรัสต์มี เพยี ง 2 คอื ฝุายประชาชนซงึ่ เป็นทั้งผู้มอบความไว้วางใจ และผู้ได้รับผลประโยชน์ฝุายหนึ่งกับรัฐบาล ซึง่ เปน็ ทรัสตีอีกฝุายหน่ึง ลักษณะที่สาคัญของทรัสต์ คือ ทรัสตีซึ่งเป็นผู้บริหารทรัสต์ มีพันธะมากกว่าสิทธิ โดย หลักการ วัตถุประสงค์ของการจัดต้ังทรัสต์ถูกกาหนดโดยผลประโยชน์คือ ประชาชน ไม่ใช่โดยความ ประสงค์ของทรัสตี ทรัสตีจึงมีหน้าท่ีเป็น “ผู้รับใช้ของผู้มอบความไว้วางใจและผู้ได้รับประโยชน์ และ เขาอาจถูกถอดถอนได้โดยผูม้ อบความไว้วางใจในกรณีทเ่ี ขาละเลยหน้าที” น่ีหมายความว่า ประชาชน มอี านาจเหนอื รัฐบาล เพราะประชาชนอาจถอดถอนหรือโยกย้ายเปลี่ยนแปลงทรัสตีซ่ึงคือรัฐบาลหรือ บางที ล็อค ก็กล่าวว่า ฝุายนิติบัญญัติ เมื่อฝุายหลังน้ีออกกฎหมาย หรือกระทาในส่ิงท่ีขัดกับความ ไว้วางใจทป่ี ระชาชนมอบให้ รฐั บาลในรูปของรฐั จึงมีแต่ประชาชนเท่าน้ันท่ีมีสิทธิ (Right) รับบาลเองมี เพียงหน้าที (dusties) คือ หน้าที่ท่ีจะต้องบรรลุจุดหมายของรัฐอันได้แก่ผลประโยชน์ของประชาชน รัฐบาลและประชาชนไม่ได้อยู่ในฐานะท่ีเสมอกัน ไม่เหมือนกับรัฐที่เกิดข้ึนจากการทาสัญญา ซึ่งท้ัง ประชาชน และรัฐบาลมีสิทธิเสมอกัน ฉะน้ันในทฤษฎีการเมืองของล็อค ประชาชนยังคงรักษาอานาจ สูงสุดไว้ เพราะประชาชนเทา่ นั้นทีม่ สี ิทธิ การจดั ตัง้ ประชาคมทางการเมืองล็อค ได้ใช้วิธีการให้มนุษย์ที่มีอิสระ และความเสมอภาคกัน ยอมสละเสรีภาพตามธรรมชาติที่จะตีความ วินิจฉัยและบังคับใช้กฎธรรมชาติ เพ่ือให้ทุกคนรวมเข้า เป็นประชาคมทางการเมืองเดียวกัน มนุษย์จะได้ดารงชีวิตที่มีความสะดวกสบาย และปลอดภัยมาก ขึ้น ความสงบสุขจึงจะเกิดกับประชาคมทางการเมืองได้ ผู้ท่ีมีชีวิตอยู่ในประชาคมจะได้ใช้ทรัพย์สิน ของตนได้อยา่ งปลอดภยั อย่างไรกด็ ี สัญญาประชาคมนนั้ ควรทาข้ึนด้วยความยินยอมเป็นเอกฉันท์ ถ้า มีผู้ประสงค์จะไม่เข้าร่วมทาสัญญาประชาคม ผู้นั้นก็เพียงอยู่ในสภาวะธรรมชาติที่ไม่ค่อยมีความ สะดวก และปลอดภยั เทา่ น้ัน 13. การบริหารแบบทรสั ต์ ความคิดแบบทรัสต์ก็จะแตกต่างจากรปู แบบการปกครองด้วยการทาสัญญาประชาคมแต่การ ปกครองแบบทรัสต์ไม่ได้เกิดจากการทาสัญญาประชาคมอันความคิดแบบทรัสต์มีองค์ประกอบด้วย บุคคล ๓ ฝุายอันแก่ หนึ่งผู้สร้างทรัสต์ หรือผู้มอบความไว้วางใจ สองผู้ได้รับมอบความไว้วางใจให้
84 จัดการบริหารทรัสต์หรือทรัสตี สามผู้ได้รับประโยชน์จากทรัสต์ ในการปกครองแบบทรัสต์นี้มีแต่ ประชาชนเท่านั้น ผู้มีสิทธิอภิสิทธิ์เหนือกว่าแต่ว่าผู้บริหารทรัสต์มีเพียงหน้าที่จาต้องปฏิบัติตามเพื่อ ความบรรลจุ ดุ หมายและผลประโยชน์แกป่ ระชาชน (สมฤดี วิศทเวทย์, ม.ป.ป.. หนา้ 176-177) ทฤษฎีเทวสทิ ธิ์กล่าวไวว้ า่ 1. กฎที่กาหนดว่าสิทธิในการปกครองบ้านเมืองตกอยู่กับทายาทของอาดัม เป็นกฎธรรมชาติ ทพ่ี ระเจ้าสร้างไว้ 2. กษัตริยอ์ ังกฤษครองราชยต์ ามในสทิ ธิขอ้ 1 น่นั คอื เป็นไปตามธรรมชาติท่ีพระเจ้ากาหนดไว้ ดงั นนั้ จึงครองราชยโ์ ดยชอบธรรม ลอ็ คได้แย้งว่า 3. กฎธรรมชาติเป็นกฎท่ีมีเหตุผลเพราะพระเจ้าเป็นผู้กาหนด กฎท่ีไร้เหตุผลไม่ใช่กฎ ธรรมชาติ 4. กฎทม่ี เี หตุผลต้องนาไปใช้ปฏบิ ตั ิได้ กฎใดนาไปใชป้ ฏิบตั ไิ ม่ไดถ้ อื วา่ ไร้เหตผุ ล 5. กฎในข้อ ๑1นาไปปฏบิ ตั ิไม่ได้ จาก 4 และ 5 สรุปไดว้ ่า กฎในขอ้ 1ไรเ้ หตผุ ล 6. จาก 3 และ 6 สรุปได้ว่า กฎในขอ้ 1 ไมใ่ ช่กฎธรรมชาติ 7. จาก 6 สรุปได้ว่า 1 ไม่เป็นความจริง และเนื่องจาก 2 อาศัย 1 เป็นเหตุผล 2 จึงอยู่บน เหตุผลท่ผี ิดพลาด ดังนัน้ 2 ขาดความเชื่อถือ 14. ทฤษฎสี ิทธิปฎิวัติ ล็อค กล่าวว่ารัฐบาลเป็นตัวแทนของประชาชน ฉะนั้นรัฐบาลจึงมีหน้าท่ีให้ความคุมครอง และรับผิดชอบต่อทรัพย์สินอยู่ในความปลอดภัยทุกอย่าง ถ้ารัฐบาลเป็นผู้ละเมิดต่อหน้าที่และละเลย ต่อเจตนารมณ์ของประชาชนหรือใช้อานาจโดยมิชอบธรรมเพื่อหวังผลประโยชน์ต่อตนเอง(รัฐบาล) ฉะนนั้ รฐั บาลถอื วา่ เป็นศัตรตู อ่ ประชาชนดังนั้นประชาชนสามารถมีสิทธิโค่นล้มรัฐบาลได้ทั้งนั้น ถ้ามี ความจาเป็น แต่ว่ารัฐบาลเป็นผู้ปฏิบัติการตามมติของเจตนารมณ์ของประชาชนซ่ึงประชาชนจะล้ม ลา้ งรัฐบาลไม่ไดด้ ว้ ยถ้าผ้ปู กครองต่อต้านคาตัดสินของประชาชน หรือใช้กาลังช่วงชิงอานาจสูงสุดของ รัฐโดยปราศจากความยินยอมก็เท่ากับเขาผู้นั้นทาตนอยู่ในสภาวะสงครามกับประชาชนเขาได้นา สภาวะสงคราม ซง่ึ เป็นสภาวะของการใชก้ าลงั โดยไม่มีสิทธิมาสู่สังคม เขาเป็นผู้ทาให้เกิดการจรจลขึ้น ในสงั คมสรา้ งความระสา่ ระสายเหมอื นไมม่ กี ฎหมายควบคุม ซ่ึงเป็นศัตรูและเชื้อโรคท่ีเป็นอันตรายต่อ มนุษยชาติ เพราะทาให้ชีวิตเสรีภาพและทรัพย์สินของมนุษย์ตกอยู่ในอันตราย ดังนั้นเขาจะต้องถูก กาจัดให้พ้นไปอานาจน้ัน ซ่ึงล็อค เห็นว่า“การใช้กาลังอานาจโดยมิชอบมิยุติธรรมถือได้ว่าไม่ถูกต้อง ตามกฎหมายดว้ ย” ในการแก้ไขน้นั ประชาชนจะตอ้ งใชส้ ิทธิโดยทางกาลัง เพื่อต่อต้านผู้ปกครองที่เป็น พวกเผด็จการบา้ อานาจทางการเมือง และสรา้ งความลาบากทุกขย์ าก ใหเ้ กิดข้นึ กับประชาชนฉะนั้นส่ิง
85 ทีตามมาคือ การปฏวิ ัตลิ ม้ ลา้ งรฐั บาลจากมหาชนทง้ั ปวง เพือ่ กาจัดอานาจรัฐลงน้นั หลังจากการปฏิวัติ โคน้ ล้มอานาจสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยสาเร็จผลในอังกฤษปี ค.ศ. 1688 ซึ่งเร่ืองนี้ล็อคให้ทรรศนะ ไว้คือการอ้างสิทธิทางศีลธรรมท่ีทุกคนได้รับมาแต่เดิมในธรรมชาติเป็นเหตุผลให้ความชอบธรรมแก่ การปฏิวัติ กฎธรรมชาติให้สิทธิแก่ประชาชนพระเจ้าให้สิทธิแก่มนุษย์ที่จะทาลายบุคคลท่ีจะทาให้ มนุษย์ตกอยู่ในสภาวะสงคราม และสูญเสียสิทธิธรรมชาติสูญเสียเสรีภาพท่ีทุกคนมีตกไปอยู่ภายใต้ เจตจานงของเขาแต่ผู้เดียวเขาผู้ ซึ่งเป็นคนท่ีละท้ิงเหตุผลของพระเจ้าให้มาเป็นกฎระหว่างมนุษย์ ด้วยกนั ดังนั้นมันจงึ เป็นคาพิพากษาทีย่ ุตธิ รรมทง้ั จากพระเจ้าและมนุษย์ (สมบัติ จันทรวงศ์ ,2548 ) ตามเหตุผลนี้ ล็อค ตระหนกั ดี ถงึ ความโหดร้ายของสงครามแต่เขาไมอ่ าจปฏเิ สธการต่อสู้ การ ใช้กาลังแต่กรณีที่จาเป็น ซึ่งเขาบอกว่าโดยท่ัวไปประชาชนเกลียดชังการปฏิวัติมากเน่ืองจากจะมีผล ทาให้เสถียรภาพของรัฐบาลไม่มั่นคงเพราะไม่เกิดผลดีอะไรเลยถ้าว่ารัฐบาลได้ทาหน้าท่ีผิดพลาดบ้าง เล็กนอ้ ยกเ็ ปน็ เร่ืองธรรมดาในการอา้ งสทิ ธปิ ฏวิ ัติของประชาชนกม็ ีเหตุผลทว่ี า่ การล้มลา้ งรัฐบาลน้ัน ซึ่ง ไมไ่ ดท้ าให้ประชาคมทางการเมอื งสน้ิ สุดลงแต่ว่าจะมีรัฐบาลใหม่เกิดข้ึนมารับแทนเพื่อให้ประชาชนใช้ สทิ ธอิ านาจอธิปไตยจดั การเลอื กต้งั ขึ้นมาใหม่ตามระบอบเสรีประชาธิปไตย จากบทความสิทธิในการปราบรัฐบาลท่ีเป็นขบถ (จานงค์ ทองประเสริฐ,2514 หน้า,583) หลักคาสอนทางการเมืองของจอห์น ล็อค ที่ให้แก่ผู้มีศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย มีอยู่ส้ันๆ ว่า “รัฐบาลทชี่ อบธรรมท้ังปวง มีอานาจท่จี ากัด และดารงอยูไ่ ดด้ ว้ ยความยินยอม (Consent) ของผู้อยู่ใต้ ปกครอง” รากฐานของคาสอนนี้คือ หลักการท่ีว่ามนุษย์เกิดมามีเสรี ซึ่งก็อยู่บนหลักการสากลที่ว่า มนุษย์ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกันอีกทีหนึ่ง หลักการของ ล็อค ที่ว่าด้วยความเป็นอิสระ และเสมอภาค กันของมนุษย์น้ี ถูกทาให้แพร่หลายไปทั่วโลกโดย โธมาส เจฟเฟอร์สัน ผู้ร่างคาประกาศอิสรภาพของ อเมริกา เม่ือสิบสามอาณานิคมเดิมของอังกฤษ ประกาศตัวเป็นเอกราชจากอังกฤษ เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1776 เจฟเฟอร์สัน กล่าวว่า ความจริงทว่ี า่ มนษุ ย์ถูกสรา้ งข้นึ มาอยา่ งเท่าเทยี มกันน้ี เป็นความจริงที่ ประจักษ์แจ้งในตัวเอง (self-evident truth) ซ่ึงหมายถึงว่ามันเป็นจริงโดยตัวเอง และโดยไม่จาเป็น ว่าจะต้องมีใครยอมรับว่าเป็นความจริงหรือไม่ ความเสมอภาคนี้ หมายความต่อไปด้วยว่า ระหว่าง มนุษย์ด้วยกันแล้ว ไม่มีข้อแตกต่างใดๆ โดยธรรมชาติอย่างที่อาจเห็นได้ระหว่างมนุษย์กับสัตว์ (เช่น ระหว่างคนกับสุนัข) ที่จะทาให้ใครสักคนหนึ่งอ้างตัวเองว่าเหนือกว่าคนอ่ืน ๆ ได้เลย ความเป็นเสรี และความเสมอภาคของมนุษย์น้ี หมายความว่าแท้จริงแล้ว มนุษย์ไม่ได้อยู่ในสังคมที่มีรัฐบาล ที่มีการ ปกครอง (สงั คมการเมอื ง) โดยธรรมชาติ สภาพธรรมชาติ (state of nature) เป็นสิ่งที่มีมาก่อนสังคม การเมือง ในสภาพธรรมชาติ ไมม่ กี ฎหมาย ไม่มีการปกครอง ไม่มีรัฐบาล มีแต่กฎแห่งธรรมชาติมนุษย์ ทกุ คนมีความเปน็ อสิ ระและไมข่ น้ึ แก่ใครทงั้ ส้นิ
86 มนษุ ย์มีสทิ ธิ มอี านาจโดยธรรมชาติ ที่จะกระทาการใด ๆ ก็ตาม ที่ตนเห็นว่าเหมาะสมในการ ปกปักรักษาตนเอง และผู้อ่ืน และมีสิทธิ มีอานาจที่จะลงโทษการกระทาผิดใด ๆ ตามกฎแห่ง ธรรมชาติ การแปรเปลยี่ นจากสภาพธรรมชาติ ท่ีมนุษย์ทุกคนมีความเป็นอิสรเสรี และความเท่าเทียม กัน แต่มีความไม่แน่นอนสูง ไปสู่สังคมการเมืองที่มนุษย์จะถูกปกครองโดยผู้อื่น จึงเกิดข้ึนได้ก็เฉพาะ แตโ่ ดยความยินยอมของมนุษย์เท่าน้ัน สัญญาประชาคม (social contract) คือข้อตกลงที่จะถ่ายโอน อานาจต่าง ๆ ที่มนุษย์แต่ละคนมีในสภาพธรรมชาติ ให้ไปอยู่ในมือของสังคมการเมืองแทน ด้วย ประสงค์ให้เป็นการแก้ไขความไม่แน่นอนและอันตรายของสภาพธรรมชาติแต่โดยเหตุที่มนุษย์มีความ เปน็ อสิ รเสรี และเสมอภาคกนั โดยธรรมชาติ ความจริงน้ีจึงเป็นตัวกาหนดว่าสังคมการเมือง ดารงอยู่เพื่อวัตถุประสงค์อะไร และโดย หลกั การเดยี วกัน ความจริงนก้ี ็เปน็ ตวั กาหนดวา่ สิทธิหรืออานาจอะไรบ้าง ท่ีมนุษย์อาจถ่ายโอนให้กับ สังคมการเมอื งไป และสิทธหิ รืออานาจอะไรบ้างท่มี นษุ ยไ์ ม่อาจยินยอมถ่ายโอนออกไปจากตัวได้ (หรือ ที่เจฟเฟอร์สันเรียกว่าสิทธิอันมิอาจเพิกถอนได้ (unalienable rights) เช่น สิทธิในชีวิต เสรีภาพและ การแสวงหาความสุข กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ อานาจที่ยุติธรรมในการปกครอง จะต้องมาจากความ ยนิ ยอมทร่ี แู้ จ้งเห็นจริง (enlightened consent) จากผู้ที่เข้าใจในความเสมอภาคโดยธรรมชาติอย่าง ถ่องแท้ การยินยอมให้ผู้ปกครองอย่างฮิตเลอร์มีอานาจโดยไม่จากัด ไม่อาจเป็นท่ียอมรับได้ว่าเป็น ความยินยอมในความหมายนี้ เพราะฉะนั้น หลักการเร่ืองความเสมอภาคกันของมนุษย์ จึงเป็นทั้ง ตัวกาหนดท่ีมาของอานาจอันยุติธรรมของรัฐบาล ว่าต้องมาจากความยินยอม และเป็นทั้งตัวกาหนด วา่ รฐั บาลทช่ี อบธรรมจะต้องเปน็ รัฐบาลที่มีอานาจจากัด ในทางทฤษฎี การตกลงกันในหมู่มนุษย์ ให้เกิดสังคมการเมือง (เมื่อมนุษย์ออกจากสภาพ ธรรมชาติ) ย่อมเกิดขึ้นพร้อม ๆ กับการจัดต้ังรัฐบาลที่ชอบธรรม โดยความยินยอมของพลเมือง แต่ ในขณะที่การก่อเกิดสังคมการเมืองโดยสัญญาประชาคม ต้องเป็นไปโดยเอกฉันท์ การก่อตั้งรัฐบาล การดาเนินงานต่าง ๆ ของรัฐบาล ยอ่ มไมอ่ าจอาศัยความเป็นเอกฉันท์ได้ เสียงข้างมากในสังคมจึงเป็น ผู้ปกครองท่ีชอบธรรม ล็อค แยกแยะอย่างชัดเจนระหว่างอานาจทางการเมืองที่ต้องถือว่ามีอานาจ สงู สดุ คอื ฝุายนติ ิบญั ญัติ กบั รฐั บาล หรือฝาุ ยบรหิ ารทเี่ ป็นเพยี งเจา้ หน้าทซ่ี ่ึงต้องปฏิบัติงานตามที่ได้รับ มอบหมาย (trust) มาเทา่ น้นั ล็อค ยอมรับวา่ บางคร้ัง ในฐานะท่ีเป็นฝาุ ยบรหิ าร รัฐบาลอาจต้องดาเนินการเหนือกฎหมาย หรอื นอกกฎหมาย เพือ่ ให้ไดป้ ระสิทธิภาพสูงสุดในการบริหาร ในสภาวะเช่นว่า ลักษณะภายนอกของ ทรราชและเจ้าผู้ปกครองที่ดี อาจไม่แตกต่างกัน แต่ในขณะที่ทรราชปกครองเพื่อผลประโยชน์ของ ตนเอง เจ้าผู้ปกครองท่ีดีจะกระทาการเพ่ือผลประโยชน์ของประชาชน ประเด็นสาคัญอยู่ที่ว่า ประชาชนจะบอกได้อย่างไรว่า เมื่อใดท่ีผู้ปกครองของพวกเขา ปกครองเพ่ือตนเอง หรือเพื่อผู้อยู่ใต้ ปกครอง คาตอบของล็อคก็คือ ประชาชนจะวินิจฉัยได้เอง มิใช่ด้วยการให้เหตุผลใด ๆ แต่ด้วย
87 ความรู้สึก ประชาชนจะรู้สึกได้เองว่าเมื่อใดท่ีผู้มีอานาจทางการเมืองใช้อานาจดังกล่าวไปในทางที่ ตรงกนั ขา้ มกบั การมอบหมายของประชาชน นห่ี มายความว่า แม้แตร่ ฐั บาลที่มีที่มาอย่างชอบธรรม คือ ไดอ้ านาจอันยุตธิ รรมมาตามความยินยอมของประชาชน ก็อาจดาเนินการอย่างไม่ยุติธรรม หรืออย่าง ท่ีไม่ได้รับการยอมรับโดยประชาชนในภายหลังก็เป็นได้ (อย่างท่ีเจฟเฟอร์สันทาให้ปรากฏชัดในคา ประณามการกระทาต่าง ๆ ของรัฐบาลอังกฤษในคาประกาศอิสรภาพอเมริกัน) ถึงแม้ว่าท้ังล็อค และ เจฟเฟอร์สันจะเห็นตรงกันว่า ปกติแล้วประชาชนจะมีความอดทนสูง ต่อการใช้อานาจไปในทางท่ีผิด ดังกล่าว แต่เม่ือผู้มีอานาจแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนโดยท่ีผู้รับภาระคือประชาชน เม่ือน้ัน เขาทา ให้ผลประโยชน์ของเขาแปลกแยกออกไปจากผลประโยชนข์ องประชาชน ผู้ปกครองเช่นว่า แยกตัวเอง ออกจากสังคมการเมืองน้ัน เขาเอาตัวเองกลับไปสู่สภาพธรรมชาติ และเมื่อเขาใช้กาลังต่อประชาชน โดยไม่มีสิทธิ เม่ือน้ันเขาย่อมอยู่ในสภาพสงครามกับประชาชน ในการทาสงครามกับประชาชนของ ตนเอง ผู้ปกครองซ่ึงกลายเป็นทรราชทาลายล้างรัฐบาลของประชาชนเสียเอง เขาไม่ใช่ผู้ปกครองอีก ต่อไปแล้ว ในกรณีเช่นนั้น ประชาชนมีสิทธิโดยธรรมชาติท่ีจะปูองกันตนเอง ย่ิงกว่าน้ัน การขัดขืนต่อ การใช้อานาจของรัฐบาลดังกล่าว ยังเป็นการปกปักรักษาสังคมการเมืองของพวกเขาไว้ด้วย รัฐบาลท่ี หันมาทาลายสิทธิต่างๆ ที่สังคมการเมืองถูกสร้างขึ้นเพื่อปกปักรักษา คือผู้ท่ีก่อการขบถ ไม่ใช่ ประชาชน ข้อสาคัญได้แก่การท่ีล็อคกล่าวว่าสิทธิที่จะปราบรัฐบาลซ่ึงเป็นขบถนั้น ไม่ใช่สิทธิทางการ เมือง แต่เป็นสิทธิโดยธรรมชาติที่มาก่อนการเมือง เม่ือวิเคราะห์กันให้ถึงที่สุดแล้ว สิทธิโดยธรรมชาติ ของประชาชนที่จะแข็งขืนและปราบปรามรัฐบาลท่ีมุ่งประโยชน์ส่วนตน ยิ่งกว่าประโยชน์ของผู้อยู่ใต้ ปกครอง รัฐบาลท่ีกลายเป็นพิษเป็นภัยแก่เสรีภาพของประชาชน คือเคร่ืองมืออย่างเดียวท่ีทรง ประสิทธิภาพสูงสุด ในการจากัดอานาจอันไม่ชอบธรรมของรัฐบาล ไม่ใช่ตัวบทกฎหมาย หรือกรอบ ทางรฐั ธรรมนูญใดๆ ท้งั ส้ิน (เจฟเฟอร์สันเองถงึ กับกล่าวว่า การต่อต้านการใช้อานาจท่ีผิดอย่างรุนแรง จนถึงขนาดเสียเลือดเนื้อเป็นครั้งคราวนั้นเป็นผลดีต่อการปลุกสานึกในเรื่องเสรีภาพไว้ไม่ให้เฉ่ือยชา ไป) 15. ทรรศนะทางศาสนาของล็อค (กวี อิศรวิ รรณ , ม.ป.ป.. หน้า,65-66) ในด้านน้ี ล็อค เห็นว่ารัฐบาลไม่ควรเข้าไปก้าวก่ายบังคับให้ประชาชนนับถือในศาสนา และ ลัทธิใด ๆ ท้ังสิ้น รัฐจาเป็นต้องให้อิสรเสรีในการเคารพเชื่อถือของประชาชนเอง เพราะองค์กรทาง ศาสนาควรเป็นองค์กร ท่ีก่อตั้งขึ้นโดยความสมัครใจของสมาชิกในสังคมน้ัน และเพื่อมุ่งหวังการปลด เปลื้องบาปแห่งจิตใจ องค์กรทางศาสนาไม่มีสิทธิท่ีจะได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ เพ่ือแสวงหา สมาชิกหรือรับอานาจจากรัฐบาลในการลงโทษสมาชิกท่ีละเมิดฝุาฝืนกฎข้อบังคับทางศาสนา หรือ ไดร้ บั สทิ ธิในการใชก้ าลังเพ่ือให้สมาชกิ คลอ้ ยตามความเชอ่ื ของศาสนาน้ัน เพราะการกระทาเช่นน้ันอัน ถือว่าเป็นการขัดกับหลักคาสอนในศาสนาคริสต์ และเป็นการทาลายเอกภาพของรัฐด้วย ฉะนั้น
88 เกีย่ วกบั ศาสนาเปน็ เรอื่ งเฉพาะบคุ คลสาหรับรัฐเป็นเรอ่ื งสว่ นรวมเพราะรัฐเปน็ ผู้มีอานาจจะลงโทษใคร ก็ได้ท่ีทาผิด แต่องค์กรศาสนาจะลงโทษไม่ได้นอกจากใช้คาตักเตือนแนะนาหรือลงโทษด้วยการขับ ออกจากหมู่คณะเท่านั้น และเป็นการลงโทษโดยไม่ก่อให้เกิดผลทางการเมืองใด ๆ เนื่องจากองค์ทาง ศาสนาเปน็ องค์กรส่วนยอ่ ยจานวนหน่ึง เม่อื เราเปรียบกับประชาชนแล้วจึงไม่สามารถทาการใดได้โดย เด็ดขาดต่อสมาชิกในสังคมของรัฐ องค์การทางศาสนาไม่เอาศาสนาเป็นเครื่องมือกระทาการต่าง ๆ แก่รัฐได้เช่น ถ้าองค์การทางศาสนาหน่ึง หรือกลุ่มคนหน่ึงได้ปฏิบัติขัดกับกฎศีลธรรมของประชาคม หรือองค์การทางสาสนาใด และกลุ่มคนพวกใดอาศัยศาสนายกตนปฏิปักษ์แก่ประชาชน ซึ่งรัฐจะต้อง เข้าไปห้ามปรามและขจัดออกจากประชาคม ล็อคกล่าวอีกว่า เสรีภาพในการเลือกนับถือ หรือ ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาโดยไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของสังคมเป็นเสรีภาพตามกฎธรรมชาติ ในทรรศนะล็อคเขายอมรับอยู่เสมอว่า การท่ีคนนับถือศาสนาแตกต่างกันมิได้หมายถึง การทาลาย ความกลมกลืนและคงอยู่ของสังคม เพราะศาสนาทุกศาสนาต่างก็มีจุดประสงค์ที่จะปลูกฝัง แนวความคิดให้คนในสังคมดาเนินชีวิต มุ่งไปในทางประกอบคุณงามความดีองค์กรปกครองจะเข้า แทรกแซงเสรีภาพทางศาสนาไม่ได้จะเกี่ยวข้องก็ต่อเมื่อผู้นับถือศาสนามีความประพฤติด้วยละเมิด สิทธิเสรีภาพของผอู้ ่นื หรือฝาุ ฝืนตัวบทกฎหมายของสงั คมทฤษฎีนี้ 16. แนวความคดิ ทมี่ ีอทิ ธิพลตอ่ นานาประเทศในโลก แนวคิดของล็อค มีอิทธิพลเป็นอย่างมากต่อการเมืองการปกครองในประเทศเสรีนิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐ จะเห็นได้ชัดว่ารัฐธรรมนูญของสหรัฐมีหลักการหรือโครงร่างที่แสดงให้เห็น ถึงอิทธพิ ลทีไ่ ดร้ ับจากลอ็ คโดยตรง เช่น ในเรื่องเกีย่ วกับสิทธิเสรีภาพแห่งบุคคล การปกครองโดยเสียง ข้างมากอานาจสงู สุดของฝาุ ยนติ ิบัญญัติ ความเสมอภาคทางการเมืองและทรรศนะที่ยึดว่ารัฐบาลเป็น ตวั แทนและเคร่อื งมือของประชาชน การให้มีอานาจส่วนกลางตัดสินความเป็นธรรมท่ีมีมาจากที่มนุษย์แต่ละคนยินยอมมอบ อานาจท่ีตนมีให้แก่ชุมชน การตกลังยินยมน้ีเรียกกันแรก ๆ ว่า ปฐมสัญญา ต่อมาจึงเรียกว่า สัญญา ประชาคม ความหมายก็คือ ใช้เสียงส่วนใหญ่ในการเลือกต้ังรูปแบบของรัฐบาล ออกกฎหมาย หรือ อ่ืนๆ ก็ต้องใช้เสียงส่วนใหญ่โดยมีท่ีมา อันเป็นเหตุผลว่า มนุษย์แต่ละคนมุ่งแสวงหาประโยชน์ใส่ตน ในเมื่อผลประโยชน์ขัดแย้งกับผู้อ่ืนก็ต่อสู้แย่งชิง กลายเป็นสงครามย่อม ๆ ลุกลามไปจนใหญ่ ๆ แต่ มนุษย์เป็นสัตว์มีเหตุผล จึงมอบอานาจให้กับองค์อธิปัตย์เป็นผู้รักษาดูและระเบียบ ความสงบ และ ตัดสนิ ในเป็นความยตุ ธิ รรม ยุติข้อโต้แย้ง เพราะว่า เพราะว่ามนุษย์อยู่ตามลาพังธรรมชาติแล้วจะมีภัย มาก เช่น ภัยจากการถูกเบียดเบียนจากมนุษย์ด้วยกัน และสัตว์ร้าย จึงมาอยู่รวมกันเป็นสังคมจะมี ความสุขกว่า เม่ือเป็นเช่นน้ีก็หมายความว่า มนุษย์ยอมให้คนหรือกลุ่มคนที่ตนมองอานาจให้ บงการ การกระทาของตนได้ การที่มนุษย์ ยอมทาเช่นนี้ คือ ยอมสละสิ่งเหล่านี้ ก็เพื่อท่ีจะปกครอง เสรีภาพ
89 และทรัพย์สินของตนให้ดียิ่งขึ้น ในประเทศไทยและประเทศอ่ืน ๆก็เช่นกันที่ปกครองแบบ ประชาธิปไตย ก็ได้รับแนวคิดของจอห์น ล็อคไปใช้อย่างมาก โดยจัดระบบให้กามปกครองแบบมี ส่วนกลางส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น เลือกต้ังผู้แทน เข้าไปบริหารประเทศ และมีการเก็บภาษีรายได้ บารุงบ้านเมืองและมอบบางสว่ นให้กับรัฐบาลเปน็ คา่ รักษากฎบ้านเมือง อีกอย่างฝุายรัฐบาลก็ต้องเป็น ผู้ตั้งอยูใ่ นธรรมไม่ผดิ กฎธรรมชาติด้วย กฎธรรมชาติมี 2 อยา่ ง คือ 1. มนุษย์ต้องไม่ทาลายชีวิตของตนเองและของผู้อื่นเทียบได้กับศีล 5 ข้อ 1 ในพุทธปรัชญา ลอ็ คอธิบายวา่ ในมนุษยท์ ุกคนเป็นสงิ่ ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา เป็นสมบัติหรือเป็นผลผลิตของพระเจ้า เรา ย่อมไมม่ ีสทิ ธิท่ีจะทาลายชีวิต อีกประการหน่ึง พระเจ้าสร้างมนุษย์มาให้เท่าเทียมกันไม่มีใครมีอานาจ เหนือผู้อ่ืนได้ พระเจ้าไม่ได้สร้างมนุษย์แต่ละคนข้ึนมาเป็นเครื่องบารุงบาเรอความพอใจของผู้อื่น หรอื ไมเ่ ป็นเครือ่ งมอื ของผู้อ่นื 2. มนุษย์ทุกคนมีสิทธิที่ จะลงโทษผู้ละเมิดกฎธรรมชาติข้อแรกซ่ึงห้ามทาลายชีวิต เห็นได้ชัด ว่า กฎน้ีเป็นกฎธรรมชาติเช่นเดียวกับกฎหมายบ้านเมืองน่ันคือ ต้องมีผู้ที่มีอานาจในการบังคับใช้ กฎหมาย มิฉะนั้นกฎหมายก็จะไร้ประโยชน์ เพราะว่าผู้ทาลายชีวิตผู้อ่ืนนี้ ผู้น้ันย่อมเป็นอันตรายต่อ มวลมนุษย์ หมดความเป็นส่วนแห่งเผ่าพันธ์ุมนุษย์ เปรียบเหมือนสัตว์ร้ายที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ สมควรท่ีจะถูกทาลาย ถ้าผิดกฎจากกฎน้ีประชาชนก็มีสิทธิปฏิวัติยึดอานาจคือ การขัดขืนอานาจรัฐ คอื การปฏิวตั ิ โดยการรวมตัวกันเป็นกลมุ่ ใหญ่ของปวงชน แล้วทาการขับไล่ประท้วง ยึดอานาจคืน ถ้า หากรัฐผู้ใช้อานาจ ใช้อานาจไปในทางท่ีผิดใช้อานาจไปตามอาเภอใจไม่อยู่ในกรอบขอบเขต นาความ เดือดรอ้ นมาสปู่ วงชน แต่วา่ อานาจ การควบคุมพฤตกิ รรมของรฐั บาล มาอยู่ที่ปวงชน ทัศนะเช่นน้ีเป็น แก่นความคิดแบบระบอบประชาธิปไตย และเป็นความคิดที่มีอิทธิพลอย่างย่ิงต่อวิวัฒนาการของ ประชาธิปไตยในประเทศไทย ในโลกตะวันตก และประเทศท่ีปกครองแบบประชาธิปไตยในโลก ใน ประเทศไทยเราก็มีการยึดอานาจปฏิวัติขับไล่รัฐบาลอยู่บ่อยครั้งเช่นกัน ได้รัฐบาลบริหารประเทศไป ในทางท่ีผิดจนเกินไปเป็นการยืนยันว่ามีอิทธิพลล้นพ้นตามความเชื่อของศาสนาใดศาสนาหนึ่งหรือ ลัทธิใดลทั ธิหนึ่ง รฐั บาลมีหนา้ ท่ีหลักอย่ใู นสงั คมไทยสงู มากเรียกแนวคิดน้ีวา่ ทฤษฎปี ระชาธปิ ไตย 17. บทสรปุ ตามแนวคดิ ของจอหน์ ล็อค (John Locke) ความสนใจหลักของของจอห์น ล็อค คือ ด้านสังคมและทฤษฎีของความรู้ ด้านปรัชญา การเมือง ลักษณะผู้ปกครองท่ีได้รับการยอมรับจากผู้ใต้ปกครอง เร่ืองสิทธิธรรมชาติ ประกอบด้วย ชีวิต เสรีภาพ และทรัพย์สิน อันกลายเป็นพื้นฐานของกฎหมายและรัฐบาลอเมริกัน ซ่ึงผู้บุกเบิกได้ใช้ มันเปน็ เหตผุ ลของการปฏิวัติ ในสภาวะอนาธิปไตยตามธรรมชาติ เป็นสภาวะที่มนุษย์ทนไม่ได้ ชีวิตหาความสงบไม่ได้ คาดการณ์อะไรล่วงหน้าก็ไม่ได้ ผู้อ่อนแอไม่มีทางต่อสู้ผู้แข็งแรง และผู้แข็งแรงเองก็กลัวคู่แข่งที่แข็ง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214