ติวสอบสภา วชิ าการพยาบาลสขุ ภาพจิตและจิตเวชศาสตร์ นงนชุ วศิ ษิ ฏธ์ รรมศรี
ทฤษฎีที่เกย่ี วขอ้ ง • Psychoanalysis model - unconscious - Id - preconscious - Ego - conscious - Superego
Cognitive therapy Core Beliefs Situation Intermediate Beliefs - Emotion - Behavior change Automatic Thought - Physiology Beck’s Model (Beck, 1995)
Psychosocial development theory 1. ทารก 0-1 ปี : ไว้วางใจ/ไมไ่ วว้ างใจ (Trust vs Mistrust) 2. หัดเดิน 1-3 ปี : อสิ ระ/ละอายสงสัย (Autonomy vs Shame and doubt) 3. กอ่ นเรยี น 3-6 ปี : คดิ ริเรม่ิ /รู้สึกผดิ (Initiative vs Guilt) 4. วัยเรียน 6-12 ปี : เอาการเอางาน/มีปมดอ้ ย (Industry vs Inferiority)
5. วัยรุ่น 12-20 ปี : เข้าใจ/ไม่เข้าใจตนเอง (Identity vs role confusion) 6. ผ้ใู หญ่ตอนตน้ 20-40 ปี : ใกล้ชดิ /อา้ งว้าง (Intimacy vs Isolation) 7. ผู้ใหญ่ 40-60 ปี : เกื้อกูล/คดิ ถงึ ตัวเอง (Generativity vs Self- absorption) 8. สงู อายุ 60+ปี : ม่ันคง/สน้ิ หวัง (Integrity vs Despair)
• Humanistic theory Roger : Self theory - Self image - Real self - Ideal self Maslow : Maslow’s Hierarchical of motivation
Biological Model • ระบบประสาท • สารสื่อประสาท : Acetylcholine, Dopamine, Serotonin, GABA • สมอง • พนั ธุกรรม
• Behavior model cs ucs cr ucr (สิง่ เรา้ มผี ลต่อพฤตกิ รรม) : Pavlov ผลกรรม (แรงเสรมิ ทางบวก/การลงโทษ มผี ลต่อพฤติกรรม) : Skinner พฤตกิ รรมเกดิ จากการเลยี นแบบ : Bandura
Cognitive behavioral theory • Cognitive – คน้ หาความคิดอตั โนมตั ิ เช่น คณุ ร้สู ึกอยา่ งไรเมอ่ื เกดิ เหตุการณน์ ้นั เปน็ ต้น – พิสูจนค์ วามคดิ อตั โนมตั ิ – ปรบั เปล่ยี นความคดิ อัตโนมัติ
• Behavioral – การลดความรูส้ กึ อยา่ งเป็นระบบ (Systematic desensitization) – การควบคุมด้วยสิง่ ที่ไม่พงึ พอใจ (Aversion therapy) – การให้เผชญิ อย่างเตม็ ที่ (Flooding) – การเสริมแรงทางบวก (Positive reinforcement) – การแสดงตวั แบบ (Modeling) – การฝกึ การกล้าแสดงออก (Assertive training)
Stress anxiety and coping • ทฤษฎีเชงิ การตอบสนอง : Hans Selye เมอื่ เกิดความเครยี ดมกี ารตอบสนอง 3 ระยะ - ระยะเตือน (alarm reaction) : สหู้ รือถอยทาให้ HR, BP, RR เพม่ิ ขน้ึ ม่านตาขยาย - ระยะตอ่ ตา้ น (stage of resistance)/ระยะปรับตัว (adaptation stage) : ปรับสมดลุ ของร่างกาย - ระยะหมดกาลัง (stage of exhaustion) : เม่ือไมส่ ามารถปรบั สมดุลของรา่ งกายได้ อาจเกดิ โรคได้
• ทฤษฎีเชิงส่งิ เรา้ : Holmes and Rahe เหตกุ ารณ์ในชวี ิตเปน็ ตวั กระตนุ้ ให้เกดิ ความเครียด และมีผลทาให้ เกดิ ความเจ็บปว่ ยได้
• ทฤษฎีเชงิ ปฏกิ ริ ิยา : Lazarus and Folkman การเกิดความเครยี ดเกดิ จากการประเมินคา่ จากการรบั รู้ของตนเอง - การประเมนิ คา่ ปฐมภมู ิ ประเมินวา่ ความเครยี ดมคี วามรุนแรง มากนอ้ ยเพยี งใด เกิดความสามารถหรอื ไม่ - การประเมินคา่ ทุตยิ ภูมิ การหาวิธจี ัดการความเครียด หรือหาแหล่งประโยชน์ - การประเมินค่าใหม่ เปน็ การเปล่ยี นแปลงการประเมนิ หลังจาก ไดร้ บั ข้อมูลใหม่ๆ
สาเหตุความเครยี ด • ชวี ภาพ • จิตใจ : Pressure, Frustration, Conflict โดย conflict แบง่ เปน็ - approach-approach conflict : พงึ พอใจท้ังคู่ - avoidance-avoidance conflict : ไมพ่ งึ พอใจท้งั คู่ - approach-avoidance conflict : ทง้ั พอใจและไมพ่ อใจ - double approach-avoidance conflict : ตอ้ งเลือก 2 อยา่ ง แตล่ ะอยา่ งมีท้ังพอใจและไม่พอใจ • สังคม
anxiety anxiety เป็น response to stress มรี ะดบั ของความวิตกกงั วล ดงั น้ี 1.Mild anxiety : กระตือรอื รน้ ต่ืนตัว การรับรู้ดี 2.Moderate anxiety : กลา้ มเนอ้ื ตึง ปากแหง้ เหงอ่ื ออก ปัสสาวะบ่อย ปวดศีรษะ 3.Severe anxiety : การรับรูแ้ คบลง สนใจเฉพาะหน้า มอี าการทางกาย เช่น ใจส่นั คลน่ื ไส้ ท้องเสยี เจ็บหน้าอก ยืนนง่ิ 4.Panic anxiety : ตื่นกลัว กังวลสดุ ขีด ร่างกายเคลอ่ื นไหวมาก หรือน่งิ เงียบ พลังงานเกดิ มากสดุ พดู ไม่รู้เรอื่ ง รับรู้ผิดหรือคิดไมส่ มเหตสุ มผล
Coping with stress and anxiety • วิธกี ารเผชิญความเครียดทั่วไป เช่น ร้องไห้ นอน กิน พูดระบาย หนี หาแหล่งชว่ ยเหลอื • กลไกการป้องกันตนเอง (defense mechanisms) – Repression (เก็บกดความรสู้ กึ จากจติ สานึกไปสูจ่ ติ ไรส้ านกึ ) – Suppression (การขม่ ความรู้สึกไวใ้ นจติ สานึก) – Denial (การปฏเิ สธความจรงิ ) – Projection (การโทษผอู้ ืน่ )
– Rationalization (หาเหตผุ ลเขา้ ข้างตนเอง) – Compensation (การชดเชย) – Displacement (การถา่ ยเทอารมณ์) – Reactionformation (แสดงออกตรงข้ามความรสู้ กึ แทจ้ รงิ ) – Identification (ถือตนตามแบบ) – Introjection (การโทษตนเอง)
– Sublimation (แสดงออกในทางทีส่ ังคมยอมรับ) – Regression (การถดถอย) – Symbolization (สัญลกั ษณ์ทดแทน) – Undoing (การไถ่โทษ) – Somatization (มีอาการทางกาย) – Dream (ความฝนั ) – Fantasy (ความเพ้อฝนั )
Stress management • Emotion-focused relaxation technique – Breath training การฝึกการหายใจ – Meditation สมาธิ – Progressive muscular relaxation การผอ่ นคลายกลา้ มเนอ้ื – Autogenic training การฝกึ จินตนาการ – Music therapy ดนตรีบาบดั – Massage therapy นวดบาบดั – Aroma therapy สคุ นธบาบัด
• Problem-focused coping technique – Cognitive restructuring เปล่ยี นรูปแบบความคดิ – Creative problem solving แกป้ ญั หาอยา่ งสรา้ งสรรค์ – Assertive training ฝกึ การกลา้ แสดงออก – Time management จดั การเวลาอยา่ งเหมาะสม
Role and functions of psychiatric nurses ความหมาย การจดั บรกิ ารพยาบาลทเี่ นน้ การดูแลสขุ ภาพจติ ทั้งรายบุคคล ครอบครวั ชุมชน ครอบคลมุ ทั้งการส่งเสรมิ ปอ้ งกนั บาบัด ฟ้ืนฟู และ ชว่ ยเหลอื แพทย์ในการรกั ษาโรคทางจิตเวช โดยใชห้ ลกั การทาง วทิ ยาศาสตรแ์ ละศิลปะการพยาบาล
ปรชั ญาและแนวทางปฏบิ ตั ิการพยาบาลจติ เวชและ สขุ ภาพจติ การพยาบาลจิตเวชและสุขภาพจติ ได้รับอทิ ธิพลมาจากแนวคดิ ทฤษฎีตา่ งๆ เรียกวา่ ปรชั ญามนษุ ยน์ ิยมผสมผสาน (humanistic international philosophy) ดงั นี้ 1.บคุ คลมีคุณค่าและศกั ดิ์ศรใี นตนเอง : เคารพผู้ป่วยในฐานะบุคคล ตระหนักรูค้ ณุ คา่ และความรู้สกึ ในความเป็นมนุษย์ 2.มนุษยผ์ สมผสานไปดว้ ยกาย จติ สังคม วิญญาณ : ช่วยเหลอื บุคคล แบบ holistic care
3. ทุกพฤติกรรมมีเปา้ หมายเพ่อื ตอบสนองความตอ้ งการบางอยา่ ง : ยอมรบั พฤติกรรมของผูป้ ว่ ย และไมต่ ัดสิน ควรหาข้อมูลและ แนวทางชว่ ยเหลอื 4. มนุษย์มศี ักยภาพในตนเอง แตแ่ ตกต่างกันตามพนั ธกุ รรม สง่ิ แวดล้อม ลกั ษณะ,ความรุนแรงของปญั หา แหลง่ ช่วยเหลอื ทางสงั คม : ยืดหย่นุ การแก้ไขปัญหาให้เหมาะกับผปู้ ว่ ยแตล่ ะราย
5. สมั พนั ธภาพระหวา่ งบคุ คลมีอทิ ธพิ ลตอ่ การเปลย่ี นแปลงสุขภาวะ และ บุคคลต้องการความรัก ความสมั พนั ธ์ : เนน้ การสรา้ งสมั พันธภาพพยาบาล กับผปู้ ว่ ยเพ่อื ฝกึ การสรา้ งสัมพนั ธภาพกับผ้อู นื่ 6. บุคคลมสี ทิ ธไิ ดร้ บั การดแู ลสขุ ภาพเทา่ กนั และมสี ิทธติ ัดสนิ ใจเกี่ยวกบั สขุ ภาพของตนเอง : เคารพสทิ ธิเสรภี าพของผปู้ ว่ ย ไมแ่ บ่งแยกชนชั้น
ขอบเขตของการพยาบาลจิตเวชและสุขภาพจติ 1. การส่งเสรมิ สขุ ภาพจิต คอื ชว่ ยเหลือให้บคุ คลร้สู กึ มนั่ คงในตวั เอง สามารถดาเนนิ ชวี ิตได้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ อยูใ่ นสังคมอย่างมี ความสขุ ไม่เกดิ การเจ็บปว่ ยทางจติ 2. การปอ้ งกนั ปญั หาสขุ ภาพจิตหรอื การเจ็บป่วยทางจติ เวช – การปอ้ งกันการเจ็บปว่ ยทางจติ ระดบั แรก : กลมุ่ คนสุขภาพจติ ปกติ และกลุม่ เส่ยี ง ขจัดปจั จัยเสี่ยง – การป้องกนั การเจบ็ ป่วยทางจติ ระดับทส่ี อง : ลดความ รุนแรงผู้มีปัญหาทางจิตระยะแรก แก้ไขระยะฉกุ เฉนิ
- การป้องกันการเจ็บป่วยทางจติ ในระดบั ท่ีสาม : ลดปัญหาระยะ ยาว และป้องกนั การเสอื่ มสภาพ ความพกิ าร ฟื้นฟสู มรรถภาพผปู้ ่วย ป้องกนั การป่วยซา้ 3. การดแู ลชว่ ยเหลือและบาบดั ผมู้ ปี ญั หาสุขภาพจิตและเจบ็ ป่วยทางจติ เวช 4. การฟ้ืนฟสู ภาพผ้ปู ว่ ยทางจติ เวช : ชว่ ยใหผ้ ู้ป่วยจติ เวชมสี ขุ ภาพจิตดี สามารถดารงชวี ติ ได้อยา่ งปกตสิ ุขหลังจากการเจบ็ ป่วย
ลกั ษณะงานการพยาบาลจติ เวชและสุขภาพจิต 1. การใช้ตนเองเพ่อื การบาบัด (Therapeutic use of self) 2. การบาบดั ดว้ ยการใชส้ มั พนั ธภาพ (Relationship therapy) 3. การใชก้ ารสื่อสารเพ่อื การบาบดั (Therapeutic communication) 4. การจดั สิง่ แวดล้อมเพอ่ื การบาบดั (Milieu therapy) 5. การดูแลการบาบัดด้วยยาทางจิตเวช (Psychotropic drugs)
6. การช่วยเหลือผู้ป่วยจิตเวชในภาวะฉกุ เฉนิ (Psychiatric emergency intervention) 7. การชว่ ยเหลอื บคุ คลในภาวะวิกฤต (Crisis intervention) 8. การใหส้ ุขภาพจิตศึกษา (Psycho-education)
บทบาทหนา้ ทข่ี องพยาบาลจติ เวชและสขุ ภาพจิต • พยาบาลจติ เวชระดับพน้ื ฐาน (Basic level) 1. ใหค้ าปรกึ ษา (Counseling) 2. การจดั ส่ิงแวดล้อมเพ่อื การบาบดั (Milieu therapy) 3. ส่งเสรมิ ใหด้ แู ลกจิ วัตรประจาวันของตนเอง (Promotion of care activities of daily living)
4. การดแู ลผูป้ ่วยทางจิตชีวภาพ (Psychobiological intervention) : ยา 5. สอนเก่ยี วกับสขุ ภาพ (Health teaching) 6. การดูแลผปู้ ว่ ยเป็นรายกรณี (Case management) 7. ผปู้ ระสานงานในกจิ กรรมทุกอย่างทเี่ กย่ี วกับผปู้ ว่ ย
• พยาบาลจติ เวชระดบั สงู (Advance level) 1. จติ บาบัด (Psychotherapy) 2. ใหค้ าแนะนาในคลินกิ และเปน็ ท่ีปรกึ ษาใหเ้ จ้าหน้าทส่ี ุขภาพจติ ระดบั พน้ื ฐาน (Clinical supervision and clinical consultation) 3. ให้คาปรกึ ษาเจ้าหน้าทีผ่ ดู้ ูแลผูป้ ่วยกายทมี่ ปี ญั หาสขุ ภาพจิต (Consultation liaison) 4. เปน็ ผ้นู าในการจัดทาการปฏบิ ตั ิการพยาบาลท่เี ป็นเลศิ (Best practice)
บุคลากรในทีมสขุ ภาพ • พยาบาลจติ เวช (Psychiatric mental health nurse) • จิตแพทย์ (Psychiatrist) • นกั จิตวทิ ยาคลนิ ิก (Clinical psychologist) • นกั สังคมสงเคราะหท์ างจติ เวช (Psychiatric social worker) • นักอาชีวะบาบดั (Occupational therapist) • นกั สันทนาการบาบดั (Recreational therapist) • นกั ศิลปะบาบดั (Creative arts therapist)
Therapeutic nurse-patient relationship and communication technique สัมพนั ธภาพเพอ่ื การบาบดั 1. สง่ เสรมิ การเปลีย่ นแปลงพฤติกรรม 2. สง่ เสรมิ ใหผ้ ปู้ ว่ ยตัดสินใจและวางแผนอนาคตของตน 3. สง่ เสรมิ การปรบั ปรุงสมั พันธภาพ 4. สง่ เสริมทกั ษะในการแกป้ ัญหาและอุปสรรคต่างๆ ในชวี ิต
ทฤษฎีสัมพันธภาพระหว่างบคุ คลของเพลบพลาว (Interpersonal nursing theory of Hildegard Peplau) ระยะสมั พนั ธภาพ 4 ระยะ - ระยะเริ่มต้น (Orientation phase) - ระยะระบุปัญหา (Identification phase) - ระยะแกไ้ ขปญั หา (Exploitation phase) - ระยะสรปุ ผล (Resolution phase)
บทบาทของพยาบาล - บทบาทคนแปลกหน้า (Role of stranger) : สร้างความรู้จกั ยอมรับในตัวผู้ป่วย - บทบาทผู้อปุ ถมั ภ์ (Role of Surrogate) : ดูแลความต้องการ พ้ืนฐาน - บทบาทผนู้ า (Role of leader) : สนับสนนุ ให้ผปู้ ว่ ยมีส่วนร่วม ในการรักษา
- บทบาทแหลง่ ขอ้ มลู (Role of resource person) : เป็น แหลง่ ขอ้ มลู ต่างๆ - บทบาทผสู้ อน (Role of teacher) : ใหค้ วามรูแ้ กผ่ ้ปู ่วยและ ญาติ - บทบาททปี่ รกึ ษา (Role of counselor) : ใชเ้ ทคนิคตา่ งๆ ช่วยเหลอื ใหผ้ ูป้ ว่ ยเกดิ การปรบั ตวั
ในการสร้างสมั พนั ธภาพเพอ่ื การบาบัด พยาบาลตอ้ งใช้ตัวเองในการ บาบดั รักษา (Therapeutic use of self) พยาบาลจึงต้องมีการตระหนักรู้ ในตนเอง (Self-awareness) โดยสามารถพฒั นาได้ดังนี้ หน้าต่างโจแฮรี่ (The Johari Window) known to self unknown to self known to others Open area (1) Blind area (2) unknown to others Hidden area (3) Unknown area (4)
คุณลกั ษณะพยาบาลทีส่ ง่ เสริมสมั พนั ธภาพ 1. Rapport : ความคนุ้ เคย 2. Trust : ความไว้วางใจ 3. Respect or Unconditional positive regard : การยอมรบั อย่างไมม่ ีเงือ่ นไข 4. Genuineness : การเป็นตวั ตนทแี่ ท้ 5. Empathy : การเขา้ ใจความรูส้ ึก 6. Consistency : ความสมา่ เสมอ
ระยะของสมั พันธภาพเพอ่ื การบาบดั • The preinteraction phase : ระยะกอ่ นสร้างสมั พันธภาพ • The orientation phase : ระยะเริม่ ต้นสรา้ งสมั พนั ธภาพ • The working phase : ระยะแกไ้ ขปัญหา • The termination phase : ระยะสน้ิ สุดสัมพนั ธภาพ
• The preinteraction phase : ระยะกอ่ นสร้างสมั พันธภาพ ปัญหา : กังวล กลวั ไมม่ ่นั ใจ การแก้ไข : เตรยี มตัว เตรียมใจ ทวบทวนความรู้ รวบรวมขอ้ มลู ผู้ปว่ ย
• The orientation phase : ระยะเรมิ่ ตน้ สร้างสมั พนั ธภาพ ปัญหา : ผปู้ ว่ ยไม่ไว้วางใจ ตอ่ ตา้ น ต่อรอง ไมร่ ว่ มมือ เล่ียง หนี ชู้สาว : พยาบาลถามเรอื่ งสว่ นตวั เรว็ เกนิ ไป พยายามแก้ปัญหาทุกเรอ่ื ง การแก้ไข : ทบทวนวัตถปุ ระสงค์ สมา่ เสมอ สร้างความไวว้ างใจ : ต้งั ใจฟงั เรอ่ื งราว ถามเรอ่ื งทัว่ ๆ ไปกอ่ น
• The working phase : ระยะแก้ไขปญั หา ปัญหา : Transference, Countertransference ไมร่ ปู้ ญั หาคืออะไร แกอ้ ยา่ งไร ไมก่ ลา้ เผชิญปัญหา การแกไ้ ข : เปิดโอกาสใหผ้ ู้ปว่ ยพูดความรูส้ กึ ตอ่ พยาบาล พยาบาล ทบทวนตนเอง ฟงั อย่างตั้งใจ หาความรเู้ พม่ิ เตมิ ปรึกษาทมี
• The termination phase : ระยะส้ินสุดสมั พันธภาพ ปญั หา : โกรธ ต่อต้าน ถดถอย พ่ึงพามากข้ึน ต่อรอง พยาบาลรู้สกึ ผดิ การแกไ้ ข : เตรยี มผูป้ ่วยลว่ งหน้า เปิดโอกาสระบายความรูส้ กึ ใหค้ วาม มั่นใจ แหลง่ ช่วยเหลอื พยาบาลทบทวนตนเอง ระบายความรสู้ กึ
Therapeutic communication techniques • Using silence : การเงียบ • Accepting : การยอมรบั • Giving recognition : แสดงความใส่ใจ • Offering self : การเสนอตวั เอง • Giving broad opening : ใชค้ าถามกวา้ งๆ
• Making observations : บอกส่งิ ที่สังเกตเหน็ • Restating : การทวนซ้า • Reflecting : การสะทอ้ นความรู้สกึ • Exploring : การสารวจ • Seeking clarification : การทาให้กระจ่าง • Validation : การตรวจสอบข้อมลู
• Present reality : การใหค้ วามจรงิ • Summarizing : การสรปุ ความ • Confronting : การเผชิญหน้า • Informing or Giving information : ใหข้ อ้ มลู • Questioning : ถาม • Offering general leads : การนา
• Focusing : จบั ประเด็น • Placing the event in time or sequence : การลาดบั เหตกุ ารณ์ • Formulating a plan of action : วางแผนแก้ไข
เทคนคิ ท่ีไม่สง่ เสรมิ สัมพันธภาพ • Giving reassurance or Reassuring : ให้ความมั่นใจ • Giving advice or Advising : ใหค้ าแนะนา • Defending : แก้ตัว • Requesting an explanation : ขอคาอธบิ ายว่า “ทาไม” • Belittling feeling expressed : การลดความรูส้ กึ
• Making stereotyped comments or Stereotypical response : พดู โดยอัตโนมัติ • Introducing an unrelated topic or Changing the subject : เปลีย่ นเร่อื งสนทนา • Agreeing : การเหน็ ดว้ ย • Disagreeing : การไม่เหน็ ดว้ ย
Milieu therapy เปา้ หมายของสิง่ แวดลอ้ มเพ่อื การบาบดั - ใหไ้ ดร้ บั การตอบสนองขั้นพื้นฐาน - ให้ได้รบั ความปลอดภัยทง้ั รา่ งกายและจติ ใจ - ได้เรยี นรู้วธิ ีการปรับตวั ทกั ษะทางสังคมต่างๆ - พัฒนา self esteem - ปอ้ งกนั พฤตกิ รรมถดถอย
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174