นอกจากนน้ั ในทอ้ งถนิ่ ใกลเ้ คยี งยงั มตี �ำ นานพระพทุ ธไสยาสนว์ ดั ปา่ โมก จงั หวดั อา่ งทอง ซง่ึ เมอื่ ดู จากต�ำ นาน จะพบวา่ เปน็ ไปไดท้ จี่ ะมคี วามเกย่ี วขอ้ งกบั ต�ำ นานหลวงพอ่ พทุ ธร�ำ พงึ และ ต�ำ นานหลวงพอ่ สามเสน จนรายละเอยี ด บางประการของต�ำ นานเหลา่ นค้ี ลา้ ยคลงึ กนั แมอ้ งคพ์ ระพทุ ธรปู จะเปน็ พระพทุ ธรปู ปางไสยาสน์ ขนาดใหญ่ วดั ความ ยาวจากพระเมาลีจรดปลายพระบาทได้ถงึ ๒๒.๕๘ เมตร แตต่ ำ�นานกเ็ ล่าว่า พระพุทธรปู องค์น้ี ได้ลอยนาํ้ มาจมอยู่ บรเิ วณหนา้ วดั ปา่ โมก ทวา่ กลบั ไมส่ ามารถน�ำ องคท์ า่ นขนึ้ ฝงั่ ไดแ้ มจ้ ะใชแ้ รงคนนบั พนั ๆ คน ตอ่ มาพระพทุ ธไสยาสนไ์ ด้ ไปเขา้ ฝนั เจา้ อาวาสวดั ใต้ บอกวา่ องคท์ า่ นลอยนาํ้ มาคราวเดยี วกบั หลวงพอ่ สามเสน แตท่ า่ นตอ้ งการจะประดษิ ฐาน ที่ป่าโมกเพราะเป็นป่าไม้โมกร่มรื่น พร้อมกับบอกวิธีการอัญเชิญองค์ท่านว่า ให้จัดพิธีบวงสรวง แล้วนำ�สายสิญจน์ คล้องรอบพระศอเสียก่อนสดุ ท้ายเม่อื ชาวบา้ นท�ำ ตามวิธีดงั กลา่ วก็ส�ำ เร็จ พระพุทธไสยาสนว์ ัดปา่ โมก นอกจากตำ�นานพระพุทธรูปลอยน้ําจะสะท้อนปาฏิหาริย์เพ่ือสร้างความศักด์ิสิทธ์ิให้พระพุทธรูปสำ�คัญใน ทอ้ งถน่ิ แลว้ ต�ำ นานพระพทุ ธรปู ลอยนาํ้ ยงั สะทอ้ นสภาพภมู ศิ าสตรแ์ ละการตง้ั ถน่ิ ฐานของชมุ ชนรมิ แมน่ าํ้ ในภาคกลาง อกี ดว้ ย ดังเห็นได้จากการหยิบยืม การแพรก่ ระจายหรอื การเล่าต�ำ นานท่ีมีโครงเรอ่ื งคลา้ ยๆ กัน ในชุมชนตา่ งๆ ทอ่ี ยู่ ริมแมน่ ํา้ แม้วา่ ต�ำ นานพระพุทธรูปลอยน้ําจะมโี ครงเรื่องหลกั ตามทไ่ี ดก้ ล่าวมาแลว้ แตเ่ นอ้ื หาของต�ำ นานบางเรื่องอาจ แตกต่างไปจากโครงเร่ืองหลักบ้าง ทว่ายังแสดงแก่นสำ�คัญของตำ�นาน เช่น อาจมีการอธิบายว่าพระพุทธรูปสำ�คัญ ของชมุ ชน “ไดม้ าจากนาํ้ ” ในลกั ษณะตา่ งๆ กนั เชน่ พระพทุ ธรปู จมอยใู่ นนาํ้ พระพทุ ธรปู มาตดิ เบด็ หรอื พระพทุ ธรปู ตกนํ้าหายไปแต่ภายหลังกลบั ลอยไปตดิ ฝง่ั เอง เปน็ ตน้ 90
ตัวอย่าง ตำ�นานพระพุทธรูปท่ีจมอยู่ในน้ํา เช่น ตำ�นานพระมหาธรรมราชา พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของ จงั หวัดเพชรบรู ณ์ซงึ่ ประดษิ ฐานอยู่ท่วี ดั ไตรภมู ิ อำ�เภอเมือง ตำ�นานเลา่ ว่า เมอ่ื ประมาณ ๔๐๐ ปีมาแลว้ คนหาปลา ผู้หนึ่งพบพระพุทธรูปมหาธรรมราชาจมอยู่ในแม่นํ้าป่าสัก จึงได้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้ที่วัดไตรภูมิ ทว่าพอถึง วันสารทไทยปรากฏวา่ พระมหาธรรมราชากลบั ลงไปลอยอยใู่ นแม่นํา้ ปา่ สักดว้ ยอาการด�ำ ผดุ ดำ�ว่าย เหตกุ ารณ์เปน็ เชน่ น้ีถึง ๓ ครงั้ จนในทีส่ ดุ ทางวดั ต้องน�ำ ผมู้ วี ิชาอาคมมาตอกตะปสู ะกดไว้ พระมหาธรรมราชา พระศรีอาริยว์ ัดไลย์ ส่วน ตำ�นานพระพุทธรูปมาติดเบ็ด และพระพุทธรูปตกน้ําหายไป แต่ภายหลังกลับลอยไปติดฝั่งเองได้น้ัน ขอยกตวั อยา่ งจาก ต�ำ นานพระศรอี ารยิ ว์ ดั ไลย์ รมิ ฝง่ั แมน่ า้ํ บางขาม จงั หวดั ลพบรุ ี ทงั้ จากต�ำ นานประวตั คิ วามเปน็ มา ซึ่งเล่าว่า พระศรีอาริย์ลอยน้ํามาติดเบ็ดของชาวบ้าน เป็นเหตุให้มีรอยคล้ายเบ็ดเก่ียวบริเวณริมพระโอษฐ์บน และ ตำ�นานการแสดงปาฏิหาริย์ ท่ีเล่าว่าเคยชาวจังหวัดนนทบุรีมาขออัญเชิญพระศรีอาริย์ไปสมโภชท่ีวัดทางอำ�เภอ ปากเกร็ด หลงั การสมโภชขณะกำ�ลงั อัญเชิญองคท์ า่ นลงเรือกลบั วดั ปรากฏว่าเกดิ อุบตั เิ หตเุ รือเอียงจนพระศรีอารยิ ์ ตกนา้ํ งมหาเทา่ ไรกไ็ มเ่ จอ ทวา่ ตอ่ มาประมาณเดอื นเศษกม็ ผี พู้ บองคพ์ ระศรอี ารยิ ล์ อยไปตดิ อยทู่ ท่ี า่ นา้ํ หนา้ วดั เกาะเรยี น จังหวดั พระนครศรอี ยธุ ยา อนงึ่ ต�ำ นานพระพทุ ธรูปลอยนา้ํ หลายตำ�นานยงั กล่าวถึงพระพทุ ธรูปมากกว่า ๑ องค์ ซง่ึ ลอยนาํ้ มาพร้อมกัน ในคราวหน่งึ ๆ หรอื ทชี่ าวบา้ นมกั เรียกวา่ “พระพุทธรปู พ่นี อ้ ง” โครงเรือ่ งของตำ�นานประเภท “พระพทุ ธรูปพีน่ อ้ ง” คือพระพุทธรูปเหล่านั้นลอยนํ้ามาจากแหล่งเดียวกัน ทว่าในระหว่างทางต่างก็ได้มีผู้อัญเชิญพระพุทธรูปแต่ละองค์ ข้ึนประดิษฐานในแตล่ ะทอ้ งถนิ่ 91
ตวั อยา่ ง ต�ำ นานพระพทุ ธรปู พน่ี อ้ ง ทเ่ี ปน็ ทร่ี จู้ กั แพรห่ ลาย ไดแ้ ก่ ต�ำ นานหลวงพอ่ โสธร จงั หวดั ฉะเชงิ เทรา เลา่ สบื มาวา่ ทา่ นลอยนาํ้ มากบั หลวงพอ่ พน่ี อ้ งอกี ๒ องค์ คอื หลวงพอ่ วดั ไรข่ งิ จงั หวดั นครปฐมและ หลวงพอ่ บา้ นแหลม จังหวัดสมุทรสงคราม (บางส�ำ นวนกว็ ่ามี ๕ องค์ โดยรวมเอา หลวงพ่อโตวัดบางพลีใหญ่ ในจังหวดั สมุทรปราการ และ หลวงพอ่ วดั เขาตะเครา จงั หวดั เพชรบรุ ี เขา้ ไวด้ ว้ ย) ในระหวา่ งทางไดส้ �ำ แดงปาฏหิ ารยิ อ์ นั เปน็ ทม่ี าของชอื่ สถาน ทตี่ า่ งๆ อาทิ ชอื่ คลองชกั พระ จากทต่ี �ำ นานเลา่ วา่ ชาวบา้ นในทอ้ งถนิ่ ดงั กลา่ วพยายามชกั พระพทุ ธรปู ทง้ั ๓ องคข์ น้ึ จากนํา้ แต่ไมส่ �ำ เรจ็ ชือ่ ตำ�บล สมั ประทวน อันเพยี้ นมาจาก สามพระทวน และชือ่ แหลมหัววน ของบรเิ วณริมแม่นํา้ บางปะกงจุดที่เชื่อวา่ พระพทุ ธรูปท้ังสามองคล์ อยทวนนาํ้ และลอยวนอยตู่ ามลำ�ดบั เปน็ ต้น เมอ่ื พจิ ารณาอนภุ าคส�ำ คญั ของต�ำ นาน คอื อนภุ าคพระพทุ ธรปู ลอยนา้ํ พบวา่ คลา้ ยคลงึ กบั อนภุ าคสากลทพ่ี บ ในดชั นีอนภุ าคนทิ านพืน้ บ้าน ของสตธิ ทอมป์สนั คือ อนภุ าค F 804 floating rock (ก้อนหนิ ลอยน้ํา) ช้ีใหเ้ ห็นวา่ ทง้ั คนไทยและคนในกลมุ่ วฒั นธรรมอนื่ ๆ มวี ธิ คี ดิ ไมแ่ ตกตา่ งกนั วา่ สง่ิ ทปี่ กตมิ มี วลมากกวา่ นา้ํ อาจลอยนา้ํ ไดด้ ว้ ยพลงั อ�ำ นาจเหนือธรรมชาติ หลวงพ่อโสธร หลวงพ่อวัดไร่ขงิ หลวงพ่อบ้านแหลม หลวงพ่อโตวดั บางพลใี หญ่ หลวงพ่อวัดเขาตะเครา 92
ในประเดน็ เรอ่ื งความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งต�ำ นานทเี่ กย่ี วกบั พระพทุ ธรปู ลอยนา้ํ กบั วถิ ชี วี ติ และวฒั นธรรม ประการท่ี ๑ ตำ�นานพระพุทธรูปลอยนํ้าสอดคล้องกับวิถีชีวิตของกลุ่มชนเจ้าของตำ�นาน กล่าวคือ ในแง่หน่ึงเป็น ท่ีน่าสังเกต วา่ บรเิ วณท่ีมักพบต�ำ นานพระพุทธรูปลอยน้าํ คอื พนื้ ท่รี มิ แม่นาํ้ เจ้าพระยา แมน่ า้ํ ทา่ จีน แมน่ า้ํ แม่กลอง และแมน่ ้าํ บางปะกง ท�ำ ใหส้ นั นษิ ฐานวา่ การเกดิ ขน้ึ การด�ำ รงอยู่ และการแพร่กระจายของต�ำ นานพระพทุ ธรูปลอยนํ้าสัมพันธ์ กบั เสน้ ทางการคมนาคมทางนา้ํ ในสมยั โบราณซง่ึ ตอ้ งอาศยั แมน่ า้ํ ตา่ งๆ เหลา่ นเ้ี ปน็ ส�ำ คญั และการทตี่ �ำ นานลกั ษณะน้ี พบมากในกลมุ่ ชนทส่ี บื เชอ้ื สายมาตง้ั แตค่ รง้ั กรงุ ศรอี ยธุ ยาอาจเปน็ “ภาษาสญั ลกั ษณ”์ ของการทพ่ี ระพทุ ธรปู ได้รบั การ เคลือ่ นย้ายจากกรงุ ศรอี ยุธยามายงั กรุงรตั นโกสินทร์ดว้ ยเส้นทางนาํ้ เชน่ ตำ�นานหลวงพ่อโสธร บางส�ำ นวนกล่าวถงึ การนำ� “พระพุทธรูปหนีพมา่ ” เมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยธุ ยาคร้งั ที่ ๒ ประการที่ ๒ ต�ำ นานพระพทุ ธรปู ลอยนาํ้ ท�ำ หนา้ ทเ่ี ปน็ ทง้ั “ต�ำ นานสง่ิ ศกั ดสิ์ ทิ ธป์ิ ระจ�ำ ถนิ่ ” และ “ต�ำ นานอธบิ าย ภูมนิ าม” ซ่ึงผกู โยงเอาพระพุทธรูปสำ�คัญ กลมุ่ ชน และทอ้ งถนิ่ เขา้ ไว้ด้วยกัน ส�ำ หรับการอธบิ ายภูมินามของสถานที่ ในต�ำ นานเปน็ ไปทัง้ เพือ่ สรา้ งความน่าเชอื่ ถอื ให้ตำ�นานในฐานะ “เรอ่ื งจริง” เพราะเกดิ ขน้ึ ใน “สถานทจ่ี ริง และเพ่อื บอกเปน็ นยั วา่ ต�ำ นานไมไ่ ดเ้ ปน็ เฉพาะประวตั คิ วามเปน็ มาของพระพทุ ธรปู เทา่ นน้ั เทา่ นน้ั ทวา่ เปน็ ประวตั ขิ องสถานที่ ต่างๆ ภายในทอ้ งถนิ่ ดว้ ย ดงั นี้แล้วความสัมพนั ธ์ระหว่าง “พระพทุ ธรูป” กบั “ท้องถนิ่ ” และ “กลมุ่ ชน” จงึ ผกู โยง กันอย่างเหนียวแน่นและย่งิ พจิ ารณาร่วมกบั อิทธิปาฏิหารยิ ์ “ลอยทวนนํ้า” และ “ลอยวนอยกู่ บั ท่”ี ก็ย่ิงยนื ยนั ความ ผกู พนั ระหวา่ งพระพทุ ธรปู กบั ทอ้ งถน่ิ ผา่ นเนอ้ื หาของต�ำ นานท่ี “สอื่ สาร” วา่ พระพทุ ธรปู ประสงคท์ จี่ ะมาประดษิ ฐาน อย่ใู นท้องถ่ิน จงึ ไดแ้ สดงปาฏิหารยิ ล์ อยทวนนา้ํ เพือ่ กลบั มาประดษิ ฐาน หรอื ลอยวนเพ่ือยืนยนั วา่ จะประดิษฐานอยู่ ณ ทแี่ หง่ นนั้ ประการที่ ๓ ตำ�นานพระพุทธรปู ลอยน้ําท่กี ล่าวถงึ พระพทุ ธรปู พ่ีนอ้ งสอื่ ถึงร่องรอยความเป็นเครอื ญาติ หรอื เปน็ กลมุ่ ชนต่างท้องที่ท่ีมีปฏสิ มั พนั ธ์ระหวา่ งกนั เช่นกรณีของ ตำ�นานหลวงพ่อบา้ นแหลม-หลวงพอ่ เขาตะเครา ท่ี เมอื่ สืบค้นแลว้ กพ็ บวา่ นอกจากทง้ั ในจงั หวดั สมุทรสงครามและจงั หวัดเพชรบุรีตา่ งก็มีสถานท่ีท่ีชอ่ื ว่า “บ้านแหลม” เหมือนกนั แลว้ ทัง้ สองชมุ ชนยังมีการติดตอ่ ค้าขาย แลกเปลย่ี นทรพั ยากรกนั มาเป็นเวลายาวนานอีกดว้ ย ในทางกลับกนั บางต�ำ นานกแ็ สดงรอ่ งรอยปฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งกลุ่มชนตา่ งศาสนา ตา่ งวฒั นธรรมทอ่ี าศยั อยใู่ น ทอ้ งถ่ินเดียวกัน ตัวอยา่ งเชน่ ตำ�นานหลวงพ่อเกษสมทุ ร วัดปา่ งิ้ว จงั หวดั ปทมุ ธานี เลา่ ว่ามชี ายสองคน คนหน่ึงช่อื นายโทนเป็นชาวพทุ ธเชือ้ สายลาว สว่ นอีกคนเปน็ อสิ ลามช่ือว่านายฮบั ทง้ั สองลงเรือลำ�เดยี วกันไปวางเบ็ดราวแม่นํา้ เจา้ พระยาบรเิ วณหนา้ วดั เจดยี ท์ องซง่ึ อยดู่ า้ นใตข้ องวดั ปา่ งว้ิ นายโทนเปน็ คนถอื ทา้ ยเรอื สว่ นนายฮบั เปน็ คนสาวราวเบด็ ปรากฏวา่ มพี ระพทุ ธรปู ตดิ เบด็ มา นายฮบั เปน็ อสิ ลามไมไ่ ดส้ นใจ นายโทนจงึ เปน็ ผนู้ �ำ พระพทุ ธรปู ขน้ึ มาถวายใหพ้ ระครู ถาวรกจิ โกศล เจา้ อาวาสวดั ปา่ งว้ิ ในขณะนนั้ จากต�ำ นานเลา่ ประวตั คิ วามเปน็ มาของพระพทุ ธรปู องคน์ ที้ �ำ ใหม้ องเหน็ ภาพความหลากหลายทางชาติพนั ธุ์ของผคู้ นทอ่ี าศัยอยูใ่ นพื้นทส่ี ามโคก จงั หวัดปทุมธานกี ลา่ วคอื แม้จะเป็นต�ำ นาน พระพุทธรูปใน “วดั มอญ” ทว่ากลบั กลา่ วว่า ผ้ทู ค่ี ้นพบพระพุทธรูปหลวงพอ่ เกษสมุทรเปน็ “ชาวพทุ ธเชอื้ สายลาว” และ “ชาวอิสลาม” ตลอดจนส่ือภาพการทำ�มาหากนิ อยา่ งถ้อยทถี ้อยอาศัยซึ่งกันและกัน 93
ประการที่ ๔ ตำ�นานพระพทุ ธรปู ลอยนํ้าสะท้อนวธิ คี ดิ เร่ืองการอธิบายประวัติความเป็นมาของส่ิงศักด์ิสิทธิท์ ่ี กล่มุ ของตนเคารพนับถอื เข้ากบั ส่ิงศักด์ิสิทธ์ทิ เี่ ป็นทร่ี ูจ้ กั ทวั่ ไป อาทิ ต�ำ นานหลวงพ่อธรรมจักร วดั ธรรมามูล จังหวัด ชยั นาท และ ต�ำ นานหลวงพ่อลอย วดั ดอนด�ำ รงธรรม จงั หวดั ชลบรุ ี ต่างกเ็ ล่าวา่ พระพุทธรูปแต่ละองค์ ลอยนํา้ มา ในสมัยเดียวกับหลวงพ่อพุทธโสธร จังหวัดฉะเชิงเทรา เม่ือลอยมาถึงบริเวณหน้าวัดพระภิกษุและชาวบ้านเห็นเป็น อัศจรรยจ์ ึงอญั เชญิ ขนึ้ ประดษิ ฐานไวท้ ่ีวดั ประการสุดท้าย หากวิเคราะห์ตำ�นานพระพุทธรูปลอยน้ํากับตำ�นานสิ่งศักด์ิสิทธิ์ของกลุ่มชนต่างศาสนา ต่างวฒั นธรรม เช่น ต�ำ นานกระดานสลักลายอัลกุรอา่ นของกล่มุ ชาวมสุ ลมิ มัสยดิ ต้นสน ฝงั่ ธนบุรี กรงุ เทพมหานคร หรือ ตำ�นานรูปพระตายลอยนํ้าของกลุ่มชาวคริสต์เช้ือสายโปรตุเกสในชุมชนกาลหว่าร์ (วัดแม่พระลูกประคำ�) ย่านตลาดน้อย กรุงเทพมหานคร เป็นต้น นำ�ไปสู่ข้อสันนิษฐานว่า กลุ่มชนเจ้าของตำ�นานน่าจะมีความคุ้นเคย กบั ต�ำ นานไทยทม่ี เี นอื้ เรอ่ื งเกยี่ วกบั “พระพทุ ธรปู ลอยนา้ํ ” และไดน้ �ำ ต�ำ นานเหลา่ นนั้ มาปรบั ใชก้ บั สง่ิ ศกั ดสิ์ ทิ ธขิ์ องตน อันหมายถึงว่าแบบเรื่องและอนุภาคสำ�คัญของตำ�นานดังกล่าวไม่เพียงแต่ส่งผลต่อการสร้างเร่ืองเล่าในวัฒนธรรม ชาวไทยพทุ ธเท่านัน้ ทว่ายังกลายเป็นต้นแบบของต�ำ นานในวฒั นธรรมอื่นๆ ท่มี ปี ฏสิ ัมพนั ธก์ บั กลมุ่ ชาวไทยพุทธ ในประเด็นเร่ืองการดำ�รงอยู่ในปัจจุบันของตำ�นานพระพุทธรูปลอยน้ํา นอกจากตำ�นานพระพุทธรูปลอยน้ํา จะด�ำ รงอยเู่ พอื่ “อธบิ ายทม่ี า” ของพระพทุ ธรปู ส�ำ คญั ในทอ้ งถน่ิ นบั แตอ่ ดตี จนปจั จบุ นั แลว้ ยงั น�ำ ไปสปู่ ระเพณพี ธิ กี รรม ของท้องถิ่นที่สอดคล้องกับตำ�นานด้วย ตัวอย่างเช่น ตำ�นานพระมหาธรรมราชา จังหวัดเพชรบูรณ์ ให้คำ�อธิบาย ที่มาถึงสาเหตุ ลักษณะและช่วงเวลาการประกอบพิธีกรรมอุ้มพระดำ�นํ้า ว่า อากัปกิริยาของหลวงพ่อที่ปรากฏใน ต�ำ นาน รวมถงึ ชว่ งเวลาทร่ี ะบไุ ว้ เปน็ เหตใุ หผ้ วู้ า่ ราชการจงั หวดั เพชรบรู ณต์ อ้ งอมุ้ พระพทุ ธรปู พระมหาธรรมราชาด�ำ ลง ในแมน่ าํ้ นี้ป่าสกั ในเทศกาลสารทไทย โดยเช่ือว่าจะทำ�ใหฝ้ นฟา้ ตกตอ้ งตามฤดูกาล อีกตัวอยา่ งหน่งึ เช่น งานนมสั การหลวงพอ่ โสธร หลวงพ่อวดั ไร่ขงิ และหลวงพ่อบ้านแหลม จะจดั ขน้ึ ในชว่ ง เวลาใกล้เคียงกนั กล่าวคอื งานนมัสการหลวงพอ่ โสธรจัดขึ้นในวันขน้ึ ๑๔ คํ่า ๑๕ คา่ํ และแรม ๑ คํ่า เดือนหา้ โดย ถอื วา่ วนั ทอ่ี ญั เชญิ องคห์ ลวงพอ่ ขนึ้ จากนา้ํ มาประดษิ ฐานในพระอโุ บสถเปน็ วนั เกดิ หลวงพอ่ โสธร คอื งานนมสั การหลวง พอ่ วัดไร่ขงิ จดั ขนึ้ ในกลางเดือนห้า ซึง่ เชือ่ กนั วา่ เปน็ วันท่ีอญั เชญิ องค์หลวงพอ่ ข้นึ ประดิษฐานในพระอุโบสถ ส่วนงาน นมสั การหลวงพอ่ บา้ นแหลมจัดขึ้นในเทศกาลสงกรานต์ ซง่ึ กค็ อื ในเดือน ๕ เช่นเดยี วกนั จากทก่ี ล่าวมาทัง้ หมดน้ี แสดงใหเ้ หน็ ถึงความส�ำ คญั ของ ตำ�นานพระพุทธรูปลอยนํา้ ในฐานะมรดกภูมปิ ัญญา ทางวัฒนธรรมในฐานะวรรณกรรมพ้ืนบ้านของของท้องถิ่น และของสังคมไทย ทั้งในแง่วิธีคิดและวิธีบันทึก ประวัตศิ าสตรส์ งั คมในมติ ิตา่ งๆ ตำ�นานพระพุทธรูปลอยน้ํา ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ�ปี พุทธศกั ราช ๒๕๕๘ เอกสารอ้างอิง สายปา่ น ปรุ วิ รรณชนะ. ต�ำ นานประจ�ำ ถนิ่ รมิ แมน่ า้ํ และชายทะเลภาคกลาง: ความสมานฉนั ทใ์ นความหลากหลาย. ศนู ยค์ ตชิ นวทิ ยา และ โครงการเผยแพรผ่ ลงานทางวชิ าการ คณะอกั ษรศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , ๒๕๕๒. 94
ต�ำ นานพระพทุ ธสิหิงค์ เรยี บเรียงโดย รองศาสตราจารยส์ ืบพงศ์ ธรรมชาติ ต�ำ นานพระพทุ ธสหิ งิ ค์ หรอื สหิ งิ คนทิ าน เปน็ ต�ำ นานทอ่ี ธบิ ายประวตั ิ การสรา้ งและการประดษิ ฐานพระพทุ ธสหิ งิ ค์ ซงึ่ เปน็ พระพทุ ธรปู คบู่ า้ นคเู่ มอื งส�ำ คญั องคห์ นง่ึ ของประเทศไทย พระโพธริ งั ษี ปราชญเ์ ชยี งใหม่ ไดเ้ ขยี นต�ำ นานเกย่ี วกบั พระพุทธสิหิงค์เป็นภาษาบาลีประมาณ พ.ศ. ๑๙๖๐ และบรรยายเร่ืองราวมาจนถึง พ.ศ. ๑๙๕๔ สมเด็จพระเจ้า บรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำ�รงราชานุภาพ ไดท้ รงพระนิพนธต์ ่อจากพระโพธิรังษี ฉบบั ปจั จุบนั หลวงบรบิ าลบุรีภัณฑ์ ไดเ้ รยี บเรยี งขึ้นใหม่ เป็นต�ำ นานย่อและมขี อ้ วจิ ารณท์ างโบราณคดีเพิ่มเตมิ ตามต�ำ นานเลา่ วา่ พระพทุ ธสหิ งิ คส์ รา้ งขนึ้ ในลงั กาเมอื่ ราว พ.ศ. ๗๐๐ และน�ำ เขา้ มาสสู่ ยามประเทศ ประมาณ พ.ศ. ๑๘๕๐ ประดษิ ฐานอยทู่ กี่ รงุ สโุ ขทยั ตอ่ มามผี นู้ �ำ ไปประดษิ ฐานทพี่ ษิ ณโุ ลก กรงุ ศรอี ยธุ ยา ก�ำ แพงเพชร เชยี งราย แลว้ น�ำ กลบั มาประดษิ ฐานทก่ี รงุ ศรอี ยธุ ยา เชยี งใหม่ ปจั จบุ นั ประดษิ ฐานทก่ี รงุ เทพฯ คนไทยเชอ่ื วา่ เมอื่ พระพทุ ธสหิ งิ ค์ ประทบั อยู่ ณ ท่ใี ด จะทำ�ใหพ้ ระพุทธศาสนาที่นน้ั รุง่ เรอื ง ปัจจุบันพระพุทธรูปท่ีมีนามว่าพระพุทธสิหิงค์มีอยู่ถึง ๓ องค์ คือ องค์ที่อยู่ในพระท่ีน่ังพุทไธสวรรค์ พพิ ิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร องค์ทอี่ ยูใ่ นหอพระสหิ งิ ค์ จังหวดั นครศรีธรรมราช และทใ่ี นวดั พระสิงห์ จังหวัดเชียงใหม่ คนไทยถือว่าพระพุทธสิหิงค์เป็นพระพุทธรูปสำ�คัญประจำ�เทศกาลสงกรานต์ ดังน้ันเมื่อถึง วนั สงกรานต์ กจ็ ะอญั เชญิ พระพทุ ธสหิ งิ ค์ พระพทุ ธรปู คบู่ า้ นคเู่ มอื งทงั้ ๓ องคใ์ น ๓ พนื้ ทอี่ อกมาใหป้ ระชาชนไดส้ รงนา้ํ สักการบชู าและขอพรเพอื่ ความเปน็ สิริมงคล ตำ�นานพระพุทธสิหิงค์ ได้รับ การขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญา ทางวัฒนธรรมของชาติประจำ�ปี พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๓ ภาพ : ฐิตพิ งศ์ สุขไพบลู ย์วฒั น์ 95
ตำ�นานพระรว่ ง เรียบเรียงโดย ศาสตราจารยส์ ุกัญญา สุจฉายา พระร่วงเป็นนามสามัญท่ีใช้เรียกกษัตริย์ผู้ครองแคว้นสุโขทัยและยังเป็นช่ือวีรบุรุษในตำ�นานประจำ�ถิ่นของ ชาวบ้านแถบจังหวดั สุโขทยั ก�ำ แพงเพชร พิษณุโลก อุตรดติ ถแ์ ละตาก ตำ�นานเกี่ยวกับพระร่วงมีทั้งที่เป็นมุขปาฐะและลายลักษณ์ เร่ืองเล่าแบบลายลักษณ์บันทึกไว้ในพงศาวดาร ฉบับตา่ งๆ ไดแ้ ก่ พงศาวดารเหนือ จุลยทุ ธการวงศฉ์ บับความเรียงภาษาไทย ประชมุ พงศาวดารภาคท่ี ๖๖ ประชมุ พงศาวดารภาคที่ ๑ หนังสอื คำ�ให้การชาวกรุงเกา่ ราชพงศาวดารกัมพชู า พงศาวดารเมอื งเชียงใหมฉ่ บบั ใบลาน ยาวเลขที่ ๑/ ณ พงศาวดารโยนกและชินกาลมาลีปกรณ์ เรอื่ งพระรว่ งที่เป็นมขุ ปาฐะ เปน็ ตำ�นานประจ�ำ ถ่ิน แบง่ เปน็ ๒ แบบ แบบท่ี ๑ คอื เรอ่ื ง พระร่วงลูกนาค เนน้ ทก่ี ำ�เนิดพระรว่ งและการขนึ้ ครองเมอื ง มีล�ำ ดับโครงเร่ืองดงั นี้ เจ้าเมืองได้เสพสังวาสกับนางนาค---นางนาคละทิ้งลูกไว้---มีชาวบ้าน ไปพบเด็กและเก็บมาเล้ียง---พระร่วง เติบโตขน้ึ มีโอกาสได้แสดงอทิ ธฤิ ทธ์ิ เปน็ เหตใุ ห้ไดพ้ บพอ่ ซงึ่ เปน็ เจ้าเมอื ง---พระร่วงไดเ้ ปน็ เจ้าเมอื ง แบบที่ ๒ ไม่ได้เน้นชาติกำ�เนิดแต่เน้นให้เห็นอิทธิฤทธิ์ของพระร่วงว่าเป็นท่ีมาของสัตว์ ส่ิงของ และภูมินาม สถานท่ีตา่ งๆ เชน่ ปลาพระร่วง ถนนพระรว่ ง ไมเ้ ชด็ ก้นพระรว่ ง ข้าวตอกพระร่วง เป็นตน้ เรอ่ื งพระร่วงตามทป่ี รากฏในพงศาวดารแตกเปน็ หลายสำ�นวน แต่ส่วนใหญม่ ีโครงเรอื่ งและอนุภาคเหตกุ ารณ์ บางอยา่ งคล้ายกนั แบง่ เปน็ ๓ แบบ ตามกำ�เนดิ ของพระร่วง ดังนี้ 96
๑. พระร่วงเป็นกษัตริย์ ครองเมืองสุโขทัย มีแม่เป็นคน พ้ืนเมืองเดิม มีพ่อเป็นกษัตริย์ หรือคนต่างถิ่น (โครงเร่ืองเหมือน มุขปาฐะแบบท่ี ๑) ๒. พระร่วงเป็นเช้ือสาย กษัตริย์ขอม ต่อมาได้เป็นใหญ่ใน หมู่ไทยเมืองใต้ (โครงเรื่องเหมือน มขุ ปาฐะแบบท่ี ๑) ๓. พระร่วงเป็นชาวละโว้ ท่ีแข็งข้อกับขอมซึ่งเป็นชนช้ัน ปกครอง ภายหลังได้เป็นกษัตริย์ เมอื งสุโขทยั มีโครงเร่ือง ดงั น้ี พระร่วงเป็นคนส่งส่วยนํ้า ให้ขอม---พระร่วงใช้วาจาสิทธ์ิ แก้ปัญหาการส่งส่วยน้ํา---กษัตริย์ ข อ ม ต้ อ ง ก า ร ฆ่ า พ ร ะ ร่ ว ง ผู้ มี อิทธิฤทธิ์---พระร่วงจึงหนีไปบวช ---พระร่วงใช้วาจาสิทธกิ์ าจดั ทหาร ขอม---พระรว่ งไดเ้ ป็นเจา้ เมือง ต�ำ นานชาวบา้ นเรอ่ื ง พระรว่ ง จำ�ลองลักษณะของวีรบุรุษแบบ ชาวบา้ นไทยทม่ี ที งั้ ความเปน็ มนษุ ย์ ปถุ ชุ นและทง้ั ความเปน็ ผมู้ อี ภนิ หิ าร ส่วนพระร่วงในพงศาวดารแสดงร่องรอยท่ีมาและความสัมพันธ์ของกลุ่มชนชั้นปกครองในดินแดนแถบนี้ ในยุคก่อน สมยั อาณาจกั รสุโขทัย พระร่วงมฐี านอ�ำ นาจอย่ทู างเมอื งใตเ้ ป็นเครอื ญาตกิ ับขอม เมอื งนครศรีธรรมราชและอยุธยา ซ่ึงเป็นคนละกลุ่มกับไทยล้านนา นอกจากนี้นิทานท่ีเล่าว่าพระร่วงเป็นชาวละโว้ ปลดแอกจากขอมยังเป็นที่มาของ “บทละครเรอื่ งพระรว่ ง” พระราชนิพนธใ์ นพระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยู่หัว และละครร้องเรอื่ ง “อานุภาพ พ่อขุนรามคำ�แหง” ของหลวงวิจติ รวาทการ ต�ำ นานพระรว่ ง ไดร้ บั การขนึ้ ทะเบยี นเปน็ มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมของชาตปิ ระจ�ำ ปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๕๕ 97
ต�ำ นานพนั ท้ายนรสงิ ห์ เรยี บเรยี งโดย วฒั นะ บญุ จบั ตำ�นานเก่ียวกับพันท้ายนรสิงห์ปรากฏในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับต่างๆ ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ ใน พ.ศ. ๒๒๔๖ - ๒๒๕๒ ว่าพระเจา้ เสอื หรือสมเดจ็ พระสรรเพชญ์ท่ี ๘ ประพาสปากน้าํ สาครบรุ ี (ปัจจบุ ัน คอื จงั หวัด สมทุ รสาคร) ดว้ ยเรอื พระทนี่ ง่ั เอกไชยเพอ่ื ทรงเบด็ มพี นั ทา้ ยนรสงิ ห์ ชาวบา้ นนรสงิ ห์ แขวงเมอื งอา่ งทองเปน็ นายทา้ ย การเสด็จประพาสปากน้ําสาครบุรีในครั้งน้ี เมื่อเรือพระท่ีน่ังไปถึงตำ�บลโคกขามคลองบริเวณดังกล่าว มีความ คดเคี้ยวมาก แม้พันท้ายนรสิงห์พยายามคัดท้ายเรือพระท่ีน่ังอย่างระมัดระวังแต่ก็ไม่อาจหลบเลี่ยงอุบัติเหตุ ทำ�ให้ หัวเรอื พระทีน่ ง่ั ชนก่งิ ไม้ใหญ่หักตกลงไปในน้ําได้ พันท้ายนรสิงห์รู้โทษดีว่าความผิดคร้ังนี้ถึงประหารชีวิตตามโบราณราชประเพณี จึงกราบทูลพระกรุณาน้อม รบั โทษ สมเดจ็ พระสรรเพชญท์ ่ี ๘ ทรงพจิ ารณาเหน็ วา่ อบุ ตั เิ หตคุ รง้ั นเี้ ปน็ การสดุ วสิ ยั มใิ ชค่ วามประมาทจงึ พระราชทาน อภัยโทษให้ แต่พันท้ายนรสิงห์กราบบังคมยืนยันขอให้ตัดศีรษะตนเพื่อรักษาพระราชกำ�หนดกฎหมายและเพื่อมิให้ เปน็ เยย่ี งอยา่ งสบื ไป แมส้ มเดจ็ พระสรรเพชญ์ท่ี ๘ จะทรงโปรดให้ฝพี ายทงั้ ปวงปน้ั มูลดนิ เปน็ รูปพนั ท้ายนรสิงห์ แล้ว ใหต้ ัดศรี ษะรปู ดินน้นั เพอ่ื เปน็ การทดแทนกัน แตพ่ นั ทา้ ยนรสงิ หย์ งั คงกราบทูลยนื ยนั ขอให้ประหารตน 98
สมเดจ็ พระสรรเพชญ์ ที่ ๘ แมจ้ ะทรงอาลยั รักน้าํ ใจ พันท้ายนรสิงห์เพียงใดก็ทรงจำ�พระทัยปฎิบัติตามพระราช กำ�หนดในกฎมณเทียรบาล ดำ�รัสสั่งให้เพชฌฆาตประหาร พนั ทา้ ยนรสงิ หแ์ ลว้ โปรดใหต้ งั้ ศาลเพยี งตา น�ำ ศรี ษะพนั ทา้ ย นรสิงห์กับหัวเรือพระที่น่ังเอกไชยซ่ึงหักนั้นขึ้นพลีกรรมไว้ ด้วยกัน ภายหลังพระเจ้าเสือได้ทรงให้พระยาราชสงคราม คุมไพร่พลจำ�นวน ๓,๐๐๐ คน ทำ�การขุดคลองลัด คลองโคกขามท่ีคดเคี้ยว ไปออกท่ีบริเวณแม่นํ้าท่าจีนกว้าง ๕ วา ลึก ๖ ศอก สร้างเสรจ็ ในสมัยพระเจ้าอยหู่ วั ทา้ ยสระ พ.ศ. ๒๒๕๒ ได้พระราชทานนามคลองนวี้ ่าคลองสนามไชย ตอ่ มาเรยี กเปน็ คลองมหาชยั ซง่ึ เปน็ ทมี่ าของชอ่ื เมอื งมหาชยั แตช่ าวบา้ นทางสมทุ รสาครเรยี กวา่ คลองถา่ น เพราะสองขา้ ง คลองแถบนม้ี กี ารเผาถา่ นอยมู่ าก แตต่ น้ คลองฝง่ั ธนบรุ มี กี าร ตง้ั ด่านอยู่ คนฝ่งั ธนบุรีจงึ เรียกชือ่ วา่ คลองด่าน 99
มีเรื่องพันท้ายนรสิงห์เป็นเกร็ดประวัติศาสตร์เล่าว่า มีนามเดิมว่า สิงห์ แต่ก่อนท่านก็เป็นนักมวยที่เก่งมาก และก็เคยข้ึนชกกับพระเจ้าเสือมาแล้ว แต่ว่าเสมอกัน พระเจ้าเสือรู้สึกประทับใจจึงให้เข้ารับราชการเป็นมหาดเล็ก แลว้ เล่อื นข้นึ มาเปน็ ราชองครักษ์ ส่วนเหตกุ ารณ์ทีท่ �ำ ให้พันท้ายนรสงิ หต์ ้องโทษประหารน้นั เพราะท่านทราบว่าจะ มีพวกกบฏมาดกั ทำ�รา้ ยพระเจ้าเสือ จงึ จ�ำ เปน็ ต้องถว่ งเวลาขบวนเสด็จด้วยการท�ำ ให้หวั เรือหักและยอมใหต้ นเองถกู ประหารตามกฎมณเฑียรบาลเพื่อมิให้ไปถึงจุดที่กบฏวางแผนเอาไว้ เมื่อพระเจ้าเสือทรงทราบ จึงได้ให้บันทึกไว้ใน พงศาวดาร และใหต้ ้ังศาลขึน้ ณ ท่ีแห่งนัน้ ในปจั จุบนั มีการน�ำ เรื่องราวของพนั ทา้ ยนรสงิ หม์ าสร้างสรรค์เปน็ นวนยิ าย ละครเวที และภาพยนตรส์ �ำ หรบั ภาพยนตร์ พระเจ้าวรวงศเ์ ธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุ คุ ล ทรงนำ�เร่อื งพันทา้ ยนรสงิ ห์ มาเขียนเปน็ นวนยิ ายเมื่อได้รับ ความนิยมมาก ในยุคท่ลี ะครเวทีเฟอื่ งฟู พระเจา้ วรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จ้าภาณุพนั ธย์ ุคล ไดข้ ายกจิ การไทยฟลิ ์มใหก้ อง ภาพยนตร์ทหารอากาศ แล้วต้ังคณะละครช่ือ อัศวนิ การละคร และได้ทรงทำ�เรือ่ งพนั ท้ายนรสิงหเ์ ป็นละครเวทเี ม่อื ละครเวทหี มดความนยิ ม พระเจา้ วรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ ภาณพุ นั ธย์ุ คุ ล กห็ นั กลบั มาสรา้ งภาพยนตรอ์ กี ครง้ั หนง่ึ ในนาม อัศวินภาพยนตร์ จงึ ไดน้ ำ�เรอ่ื งพนั ทา้ ยนรสิงห์มาสร้างเป็นภาพยนตร์เรอ่ื งแรก เนื้อเรื่องตามละครและภาพยนตร์ พระเจ้าเสือไม่ยอมประหาร แต่ให้ปั้นรูปปั้นแล้วทำ�การตัดหัวรูปปั้นแทน แต่พันท้ายนรสิงห์ไม่ยอมเพราะจะเป็นการขัดกฎมณเฑียรบาล จึงขอให้ประหาร เพื่อมิให้ผู้อ่ืนเอาเป็นเย่ียงอย่าง แต่ก่อนที่จะประหารพันท้ายนรสิงห์ได้ขอกลับบ้านไปรํ่าลาแม่สีนวลผู้ภรรยา จากน้ันพันท้ายนรสิงห์จึงกลับมารับ โทษประหารในวนั เดียวกนั ภาพยนตรเ์ รอ่ื งนเ้ี ปน็ ภาพยนตรเ์ รอ่ื งแรกของอศั วนิ ภาพยนตร์ ถา่ ยท�ำ ในปี พ.ศ. ๒๔๙๑ ในระบบฟลิ ม์ ๑๖ มม. ก�ำ กบั การแสดงโดย มารตุ ถา่ ยภาพโดย รตั น์ เปสตนั ยี อ�ำ นวยการสรา้ งโดย พระเจา้ วรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ ภาณพุ นั ธย์ คุ ล (เสดจ็ พระองคช์ ายใหญ่) กลบั มาฉายใหมอ่ ีก ๒ ครง้ั ในปี พ.ศ. ๒๕๐๑ และ พ.ศ. ๒๕๐๙ ภาพยนตร์เร่อื งนี้ถูกนำ�มาสรา้ งใหม่อกี ครง้ั เป็นภาพยนตร์ ๓๕ มม. ในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ โดยมีการปรับเปลยี่ นชอ่ื เรอื่ งใหม่เป็น พระเจา้ เสือ พันทา้ ยนรสิงห์ กำ�กบั การแสดงโดย เนรมิต นอกจากนน้ั ยังมกี ารนำ�เร่ืองราวของพนั ท้าย นรสิงห์มาผลิตเป็นภาพยนตร์โทรทัศน์ (ละครโทรทัศน์ท่ีใช้วิธีการถ่ายทำ�แบบภาพยนตร์) ท่ีมีกำ�หนดออกอากาศ ทางสถานีวทิ ยุโทรทศั นไ์ ทยทวี สี ีช่อง ๓ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ผลงานก�ำ กบั และเขียนบทของ หมอ่ มเจ้าชาตรเี ฉลมิ ยุคล เรือ่ งราวของพนั ท้ายนรสิงห์ ผจู้ งรักภักดีและซอื่ สัตย์ ที่จงั หวัดสมทุ รสาครมีศาลพนั ทา้ ยนรสิงห์ ต้งั อยู่ท่ีบ้านพนั ทา้ ย นรสงิ ห์ ต�ำ บลพนั ทา้ ยนรสงิ ห์ อ�ำ เภอเมอื งสมทุ รสาคร เปน็ อนสุ รณส์ ถานทสี่ รา้ งขนึ้ เพอื่ ใหค้ นรนุ่ หลงั ไดร้ �ำ ลกึ ถงึ ความ ซอ่ื สตั ย์ และเปน็ ผรู้ กั ษากฎระเบยี บยง่ิ กวา่ ชวี ติ ของพนั ทา้ ยนรสงิ ห์ ปจั จบุ นั ไดร้ บั การประกาศขน้ึ ทะเบยี นเปน็ โบราณ สถานของชาติ ในราชกจิ จานเุ บกษา เล่ม ๗๒ ตอนที่ ๒ เมอื่ วนั ท่ี ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๘ กรมศลิ ปากรไดด้ ำ�เนินการจดั สร้าง ศาลพนั ท้ายนรสงิ ห์ขึน้ อยู่ถดั จากศาลเก่าที่พังลงมาไม่มากนัก โดยกันอาณาบริเวณรอบๆ ศาลไว้ประมาณ ๑๐๐ ไร่ เพอ่ื จดั ตง้ั เปน็ “อทุ ยานพนั ทา้ ยนรสงิ ห”์ ภายในศาลมรี ปู ปน้ั ของพนั ทา้ ยนรสงิ หข์ นาดเทา่ คนจรงิ ในทา่ ถอื ทา้ ยคดั เรอื นอกจากนั้น ชือ่ ของ พันทา้ ยนรสิงห์ ยงั ถูกใชเ้ ป็นเคร่ืองหมายการคา้ สำ�หรับสินคา้ พ้นื เมืองหลายประเภท เช่น นํ้าพริกเผา น้ําจิ้มสุกี้ นาํ้ จม้ิ ไก่ ซอสปรุงรส นา้ํ พริก กะปิ ฯลฯ ตำ�นานพนั ท้ายนรสงิ ห์ ไดร้ บั การขน้ึ ทะเบยี นเปน็ มรดกภูมปิ ัญญาทางวฒั นธรรมของชาติประจำ�ปีพทุ ธศักราช ๒๕๕๗ 100
ตำ�นานแมน่ ากพระโขนง เรยี บเรียงโดย สุมามาลย์ พงษไ์ พบลู ย์ ต�ำ นาน แมน่ ากพระโขนง เปน็ นทิ านทอ้ งถนิ่ ของภาคกลางทม่ี สี ถานทอ่ี า้ งองิ อยใู่ นเขตพระโขนง กรงุ เทพมหานคร ได้แก่อาณาบริเวณท่ีเชื่อว่าเป็น ละแวกบ้านชุมชนพระโขนง มีลำ�คลองพระโขนงผ่านศาลาท่าน้ําของวัดมหาบุศย์ ซง่ึ ต้ังอยรู่ ิมคลอง ปจั จุบันคอื คลองประเวศน์ ภายในวัดมหาบศุ ยเ์ ป็นท่ตี ั้งของ ศาลแมน่ ากพระโขนง ซึง่ มีประชาชน จากทุกภมู ิภาคมาสกั การะบชู าเนอื งแน่นตลอดทุกวัน เพ่อื สกั การะ เพอ่ื อธษิ ฐานขอสิ่งท่ตี อ้ งการ และเพอ่ื มาแกบ้ น ตามท่เี คยขอไว้ 101
เนอ้ื เรอ่ื งของต�ำ นาน แมน่ ากพระโขนง เปน็ เรอื่ ง รักโศกสะเทือนใจ โดยท่ีตัวเอกคือ หญิงสาวช่ือนาก ได้แต่งงานกับนายมาก ระหว่างอยู่กินได้ตั้งครรภ์ บังเอิญช่วงน้ันนายมากถูกเกณฑ์ทหาร จึงต้องไปรับ ราชการทหาร นางนากคลอดลูกและเสียชีวิต เรียก ว่าตายทั้งกลม ด้วยความรักจึงทำ�ให้วิญญาณผูกพัน กับชีวิตเดิม ได้ปรากฏตัวให้คนเห็นในรูปแบบต่างๆ เช่น เป็นแม่นากคนเดิม ทำ�กิจวัตรประจำ�วันเช่นเดิม เพื่อรอสามีกลับมา เมื่อความปรากฏขึ้นจึงทำ�ให้มี การปราบผีแม่นากด้วยวิธีการต่างๆ โดยใช้พระมาทำ� พิธีสวดส่งวิญญาณ ใช้หมอผีมาปราบหลายครั้ง ก็ยังปรากฏตัวอยู่ สุดท้ายเร่ืองเล่านี้ว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรงั ส)ี ไดม้ าสวดมนตแ์ ผส่ ว่ นกศุ ลให้ และไดท้ �ำ พธิ เี ผาศพแมน่ าก โดยเกบ็ กระดกู สว่ นหนา้ ผากไว้ แตป่ จั จบุ นั สญู หายไปแลว้ อาจกล่าวได้วา่ ต�ำ นาน แมน่ ากพระโขนง เปน็ นิทานเรอื่ งผีทีไ่ ดร้ ับความนยิ มอย่างแพรห่ ลายในระดบั ประเทศ ถกู น�ำ มาเลา่ สกู่ นั ฟงั น�ำ มารอ้ งเปน็ เพลงแทรกในบทแสดงตา่ งๆ จนเปน็ ลเิ ก ละคร ภาพยนตร์ ภาพการต์ นู บทละครรอ้ ง บทละครเพลง ฯลฯ จนถึงปัจจุบันได้ถูกนำ�มาสรา้ งเป็นภาพยนตร์หลายครงั้ สาเหตทุ เ่ี รอ่ื งราวของแมน่ ากพระโขนงยงั ไดร้ บั ความนยิ มจนทกุ วนั น้ี เพราะเปน็ เรอ่ื งเลา่ ทมี่ เี คา้ เรอื่ งจรงิ ปรากฏ สถานทจ่ี รงิ และมรี ปู ปน้ั ปรากฏอยู่ มชี อ่ื บคุ คลจรงิ ทเี่ ขา้ มาเกยี่ วขอ้ งหลายทา่ น ลว้ นเปน็ บคุ ลากรส�ำ คญั ของบา้ นเมอื ง ในยคุ นน้ั นอกจากนเี้ นอื้ หายงั ซาบซงึ้ เพราะเปน็ เรอ่ื งรกั โศก สะเทอื นใจ แสดงอานภุ าพของความรกั ทก่ี อ่ ใหเ้ กดิ ความสขุ และความทุกข์โศกเมือ่ จากพราก แม้ส้ินชวี ิตไปแล้ว ความรักยังคงอยู่ จึงสร้างปรากฏการณ์ต่างๆ น่ันคือ กิเลสกรรม ทงั้ ยงั แสดงใหเ้ หน็ กฎแหง่ กรรม ในการเวยี นวา่ ยตายเกดิ แก่ เจบ็ ตาย และกฎของไตรลกั ษณค์ อื อนจิ จงั ทกุ ขงั อนตั ตา วา่ ในความเปน็ จรงิ กฎของไตรลกั ษณใ์ นพทุ ธศาสนานน้ั ไมม่ ใี ครเลยี่ งพน้ เพราะทกุ อยา่ งเปน็ สงิ่ ทไ่ี มเ่ ทยี่ งแท้ ทกุ อยา่ ง ที่เกดิ ข้นึ ล้วนทำ�ใหเ้ ปน็ ทกุ ข์ ทุกอยา่ งเป็นส่งิ ทไ่ี ม่มตี วั ตน ไม่ควรยดึ ม่ันถือมนั่ สอนใจคนไมใ่ ห้มองข้ามไตรลกั ษณน์ ไ้ี ป เพอ่ื ใชช้ วี ติ ในโลกนีอ้ ย่างเป็นสุขตามสภาพการณท์ จ่ี ะผ่านเขา้ มา ต�ำ นานแมน่ ากพระโขนง ไดร้ บั การขน้ึ ทะเบยี นเปน็ มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมของชาตปิ ระจ�ำ ปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๕๔ 102
ต�ำ นานสงกรานต์ เรียบเรยี งโดย ผู้ช่วยศาสตราจารยอ์ ภลิ กั ษณ์ เกษมผลกลู คนไทยทุกภาคในประเทศไทยล้วนมปี ระเพณสี งกรานตท์ ส่ี บื ทอดกนั มา บ้างถอื วา่ เปน็ ปใี หม่ บา้ งถอื เพียงเป็น ประเพณีสาดนาํ้ พระยาอนุมานราชธน กลา่ วถึงความหมายของสงกรานตไ์ ว้ใน เทศกาลสงกรานต์ วา่ สงกรานตเ์ ปน็ ค�ำ ภาษาสนั สกฤต แปลวา่ ผา่ น หรอื เคลอื่ นยา้ ยเขา้ ไป ซง่ึ ในทน่ี หี้ มายถงึ พระอาทติ ย์ ผ่านหรือเคลื่อนย้ายเข้าไปในจักรราศีใดราศีหนึ่งก็เรียกว่าสงกรานต์ จักรราศีคือวงกลมเป็นรูปไข่ใน ทอ้ งฟ้าซึ่งสมมตเิ ปน็ ทางท่ี พระอาทิตย์ พระจนั ทร์ ดาวพระเคราะห์โคจรผ่านเข้าไป โคจรแปลว่าทางไป ของโค แตใ่ นทนี่ ไี้ มไ่ ดห้ มายความวา่ งวั แตห่ มายถงึ พระอาทติ ย์ และใชไ้ ดต้ ลอดถงึ พระจนั ทรแ์ ละดาวพระ เคราะห์ด้วย จกั รราศีน้นั แบง่ ตามขวางออกเป็น ๑๒ ส่วนเทา่ กนั หรอื ๑๒ ราศี ซ่ึงแต่ละราศีก็มีกลมุ่ ดาว อยูใ่ นน้ัน เป็นเฉพาะของราศีหนึ่งๆ (เดี๋ยวนี้เคล่อื นท่ไี ปแล้ว) เหตุนร้ี าศจี ะแปลวา่ กล่มุ ดาวกไ็ ด้ ... กลุ่ม ดาวทอี่ ยใู่ นราศหี นง่ึ ๆ มดี วงดาวในกลมุ่ หลายดวงเรยี งรายกนั เปน็ รปู ตา่ งๆ ไมเ่ หมอื นกนั และเขาสมมตริ ปู ของกล่มุ ดาวเหลา่ น้ี เชน่ เป็นกลมุ่ ดาวแพะ กล่มุ ดาวงัว และอืน่ ๆ เป็นตน้ จนครบ ๑๒ ราศี พระอาทติ ย์ เมอ่ื โคจรเข้าไปในราศใี ด และกวา่ จะผา่ นพ้นราศนี ้ันไปสู่อกี ราศีหนงึ่ ก็เปน็ เวลาเดือนหน่ึง เมอ่ื ผา่ นไป ครบ ๑๒ ราศี กเ็ ปน็ เวลาได้ ปหี นง่ึ โดยประมาณ* ในหมู่ชนชาติไทนอกประเทศไทยท่ีนับถือพระพุทธศาสนา ก็ล้วนมีประเพณีสงกรานต์แทบทั้งส้ิน ทั้งนี้ อาจมชี อ่ื เรยี กแตกตา่ งกนั ไป เชน่ คนไทใหญใ่ นรฐั ฉานเรยี ก ปอยสางแจน่ หรอื ปอยสางแกน่ คนไทใตค้ ง และคนไทลอ้ื ในสบิ สองปันนา มณฑลยนู นาน เรยี ก ปอยซอ้ นน้าํ หรอื ปอยสาดนํา้ เป็นตน้ ส่วนตำ�นานเกี่ยวกับสงกรานต์ก็มีชื่อเรียกต่างๆ กันไป เช่น ตำ�นานสงกรานต์ ตำ�นานมหาสงกรานต์ พระมหาสงกรานต์ชาดก อานิสงส์มหาสงกรานต์ (ภาคกลาง, ภาคใต,้ ภาคอสี าน) ต�ำ นานปใี หม่เมอื ง (ภาคเหนือ) นับเปน็ ตำ�นานเก่าแก่เรือ่ งหนึ่งของไทย *เสฐยี รโกเศศ (นามแฝง). เทศกาลสงกรานต.์ พมิ พ์ครั้งท่ี ๒. กรุงเทพฯ: องค์การค้าของครุ ุสภา, ๒๕๒๙ 103
หลกั ฐานลายลกั ษณท์ เี่ กา่ ทสี่ ดุ ทบี่ นั ทกึ ต�ำ นานสงกรานต์ คอื จารกึ วดั พระเชตพุ นวมิ ลมงั คลาราม จ�ำ นวน ๗ แผน่ ตดิ อยบู่ นผนงั ในศาลาเฉลยี งดา้ นทศิ เหนอื เปน็ ๑ ใน ๔ ศาลาเฉลยี งรอบทศิ ใหญท่ ง้ั สท่ี ศิ ของ พระมณฑป (หอไตรจตรุ มขุ ) ที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๓ ใกล้กับจารึกรามัญหุงข้าวทิพย์ จารึกเหล่านี้นำ�มาติดในศาลาเฉลียงเมื่อคราวปฏิสังขรณ์ วัดพระเชตุพน เม่ือ พ.ศ. ๒๓๗๔ ในรัชกาลพระบาทสมเดจ็ พระนั่งเกลา้ เจา้ อยูห่ วั อย่างไรกต็ ามปัจจบุ นั พบว่าจารึก ดงั กลา่ วมไิ ดม้ ตี ดิ อยใู่ นต�ำ แหนง่ เดมิ สนั นษิ ฐานวา่ คงสญู หายไปในคราวบรู ณะ พระอารามวดั พระเชตพุ นฯ เมอื่ หลาย สิบปกี อ่ น อยา่ งไรกต็ าม ต�ำ นานสงกรานตน์ า่ จะแพรห่ ลายมาแตค่ รง้ั อยธุ ยา โดยไดร้ บั อทิ ธพิ ลมาจากเรอื่ งการทายปญั หา ระหวา่ งพรหม ๒ องค์ และอีกฝา่ ยรู้คำ�ตอบได้จากนกมาจากนิทานของพราหมณท์ เ่ี ลา่ ต่อๆ กันมาโดยสมยั อยุธยามี บันทึกเรื่องเล่าเช่นนี้ คือรูปแบบการถามปัญหาเร่ืองสิริที่มีเดิมพันถึงชีวิตท่ีเรียกว่า “ปกรณัม” ซึ่งมีท่ีมาจากนิทาน อนิ เดยี และนทิ านเปอรเ์ ซีย ปกรณัมท่เี กยี่ วข้องกบั ตำ�นานนี้คอื ปักษีปกรณัม ท้ังนป้ี ัญหาท่วี ่าดว้ ยเรอ่ื งสิรมิ งคลของ มนษุ ยน์ ัน้ เป็นเรอื่ งที่แพรห่ ลายรกู้ นั ทว่ั ไปในสมัยอยธุ ยาแล้ว และคนไทยสมยั รตั นโกสินทรต์ อนต้นรบั รู้กันค่อนข้าง แพรห่ ลาย ดงั จะเหน็ ได้จากงานประพันธข์ องสนุ ทรภู่ใน “สวัสดิรกั ษาค�ำ กลอน” ตำ�นานสงกรานต์น้ีใช้อธิบายความเป็นมาของประเพณีสงกรานต์ของไทย มีหลากหลายสำ�นวนตามบริบท ของแต่ละทอ้ งถิ่น แต่มิได้เปน็ ต�ำ นานทอี่ ธิบายท่มี าของประเพณเี ถลงิ ศกหรือขนึ้ ปีใหม่ของไทยในสมยั โบราณ เพราะ เนื่องจากเดิมคนไทย-ไท ถือเอาเดือนอา้ ยเป็นเดอื นขึน้ ปีใหม่ และมพี ธิ เี ดอื นห้า เปน็ เดอื นของบญุ สงกรานต์ คร้นั ใน สมัยรัชกาลท่ี ๕ พ.ศ. ๒๔๓๒ ได้ก�ำ หนดใหว้ นั ที่ ๑ เมษายนของทกุ ปี เป็นวันขน้ึ ปีใหม่ และจึงได้รวมเอา ปีใหมแ่ ละ สงกรานตม์ าผนวกกนั นบั แตน่ น้ั จงึ เกดิ ความคลาดเคลอื่ นวา่ ต�ำ นานสงกรานตเ์ ปน็ ต�ำ นานทอ่ี ธบิ าย การขนึ้ ปใี หมด่ ว้ ย เนื้อความของตำ�นานสงกรานต์ตามจารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ซ่ึงกล่าวตามพระบาลีฝ่ายรามัญว่า ครง้ั หนงึ่ นานมาแลว้ มเี ศรษฐคี นหนงึ่ รวยทรพั ยแ์ ตไ่ มม่ บี ตุ ร ตง้ั บา้ นอยใู่ กลก้ บั นกั เลงสรุ าทม่ี บี ตุ รสองคน วนั หนง่ึ นกั เลง สรุ าตอ่ วา่ เศรษฐจี นกระทง่ั เศรษฐนี อ้ ยใจ จงึ ไดบ้ วงสรวงพระอาทติ ย์ พระจนั ทรต์ งั้ จติ อธษิ ฐานอยกู่ วา่ สามปยี งั ไรว้ แี่ วว ทจ่ี ะมบี ตุ ร อยมู่ าวนั หนง่ึ พอถงึ เวลาทพี่ ระอาทติ ยย์ กขน้ึ สรู่ าศเี มษ เศรษฐไี ดพ้ าบรวิ ารไปยงั ตน้ ไทรรมิ นา้ํ พอถงึ กไ็ ดเ้ อา ขา้ วสารลงลา้ งในนา้ํ เจด็ ครง้ั แลว้ หงุ บชู าอธษิ ฐานขอบตุ รกบั รกุ ขเทวดาในตน้ ไทรนนั้ รกุ ขเทวดาเหน็ ใจเศรษฐี จงึ เหาะ ไปเฝ้าพระอนิ ทร์ พระอนิ ทร์ประทานเทพบตุ รองค์หนง่ึ นาม “ธรรมบาล” ลงไปปฏิสนธใิ นครรภ์ภรรยาเศรษฐี ไม่ช้า กค็ ลอดออกมา เศรษฐตี ้ังชือ่ ใหก้ ุมารน้อยนวี้ ่า ธรรมบาลกุมาร และไดป้ ลูกปราสาทไวใ้ ตต้ ้นไทรให้กมุ ารนอ้ี ยู่อาศยั ตอ่ มาเมอื่ ธรรมบาลกมุ ารโตขน้ึ ไดเ้ รยี นรซู้ งึ่ ภาษานก และเรยี นไตรเภทจบเมอ่ื อายไุ ดเ้ จด็ ขวบ เขาไดเ้ ปน็ อาจารย์ บอกมงคลตา่ งๆ แกค่ นทง้ั หลาย อยมู่ าวนั หนง่ึ ทา้ วกบลิ พรหมไดล้ งมาถามปญั หากบั ธรรมบาลกมุ าร ๓ ขอ้ ถา้ ธรรมบาล กมุ ารตอบไดก้ จ็ ะตดั เศยี รบชู า แตถ่ า้ ตอบไมไ่ ดจ้ ะตดั ศรี ษะธรรมบาลกมุ ารเสยี ทา้ วกบลิ พรหมถามธรรมบาลกมุ ารวา่ ตอนเช้าศรีอยู่ท่ีไหน ตอนเท่ียงศรีอยู่ที่ไหน และตอนค่ําศรีอยู่ท่ีไหน ทันใดนั้นธรรมบาลกุมารจึงขอผัดผ่อนกับ ทา้ วกบลิ พรหมเปน็ เวลา ๗ วนั ธรรมบาลกมุ ารพยายามคดิ คน้ หาค�ำ ตอบ ลว่ งเขา้ วนั ที่ ๖ ธรรมบาลกมุ ารกล็ งจากปราสาท มานอนอยู่ใต้ต้นตาล คิดว่าจะขอตายในท่ีลับยังดีกว่าไปตายด้วยอาญาท้าวกบิลพรหม บังเอิญบนต้นไม้มีนกอินทรี ๒ ตวั ผวั เมยี เกาะท�ำ รงั อยู่ นางนกอนิ ทรถี ามสามวี า่ พรงุ่ นเ้ี ราจะไปหาอาหารแหง่ ใด สามตี อบนางนกวา่ เราจะไปกนิ ศพ 104
ธรรมบาลกมุ าร ซึ่งทา้ วกบิลพรหมจะฆา่ เสีย ด้วยแกป้ ัญหาไม่ได้ นางนกจึงถามวา่ คำ�ถามท่ที ้าวกบิลพรหมถามคอื อะไร สามกี เ็ ลา่ ให้ฟงั ซึ่งนางนกก็ไม่สามารถตอบได้ สามีจงึ เฉลยวา่ ตอนเช้า ศรีจะอยูท่ ่ีหน้า คนจึงตอ้ งล้างหนา้ ทุก ๆ เชา้ ตอนเทีย่ ง ศรจี ะอยู่ทอ่ี ก คนจึงเอาเครอื่ งหอมประพรมท่อี ก สว่ นตอนเย็น ศรจี ะอยูท่ ีเ่ ท้า คนจงึ ตอ้ งล้างเท้า กอ่ น เข้านอน ธรรมบาลกุมารกไ็ ด้ทราบเรอ่ื งที่นกอนิ ทรีคยุ กนั ตลอด จึงจดจำ�ไว้ คร้ันรุ่งขึ้น ท้าวกบิลพรหมก็มาตามสัญญาที่ให้ไว้ทุกประการ ธรรมบาลกุมารจึงนำ�คำ�ตอบที่ได้ยินจากนกไป ตอบกับท้าวกบิลพรหม ท้าวกบิลพรหมจึงตรัสเรียกธิดาท้ังเจ็ดอันเป็นบาทบาจาริกาพระอินทร์มาประชุมพร้อมกัน แล้วบอกว่า เราจะตัดเศียรบูชาธรรมบาลกุมาร ถ้าจะตั้งไว้ยังแผ่นดิน ไฟก็จะไหม้โลก ถ้าจะโยนขึ้นไปบนอากาศ ฝนก็จะแล้ง ถา้ จะทิ้งในมหาสมุทร นํ้าก็จะแหง้ จงึ ใหธ้ ิดาท้งั เจ็ดนำ�พานมารองรับ แลว้ กต็ ดั เศยี รใหน้ างทุงษะ หรือ ทงุ ษเทวี ผเู้ ปน็ ธดิ าองคโ์ ต จากนนั้ นางทงุ ษะกอ็ ญั เชญิ พระเศยี รทา้ วกบลิ พรหมเวยี นขวารอบเขาพระสเุ มรุ ๖๐ นาที แลว้ เกบ็ รกั ษาไวใ้ นถา้ํ คนั ธลุ ี ในเขาไกรลาศจากนัน้ มาทุกๆ ปี ธิดาของทา้ วกบิลพรหมทั้ง ๗ จะผลดั เปลี่ยนหมนุ เวยี นมา ทำ�หน้าทอี่ ญั เชิญพระเศียรทา้ วกบิลพรหมแหไ่ ปรอบเขาพระสเุ มรุ แล้วประดิษฐานตามเดิม ในแต่ละปนี างสงกรานต์ แตล่ ะนางจะท�ำ หน้าทผ่ี ลัดเปลย่ี นกันตามวนั มหาสงกรานต์ ดงั นี้ ๑. นางสงกรานต์ทุงษเทวี ทุงษเทวีเป็น นางสงกรานตป์ ระจ�ำ วนั อาทติ ย์ ทดั ดอกทบั ทมิ มปี ทั มราค (แก้วทับทิม) เป็นเคร่ืองประดับ ภักษาหาร คือ อุทุมพร (มะเดื่อ) อาวุธคู่กาย พระหตั ถ์ ขวาถือจักร พระหัตถ์ซา้ ย ถือสังข์ เสดจ็ ไสยาสน์เหนอื ครุฑ ๒. นางสงกรานต์โคราคเทวี โคราคเทวีเป็น นางสงกรานตป์ ระจ�ำ วนั จนั ทร์ ทดั ดอกปบี มมี กุ ดาหาร (ไขม่ กุ ) เปน็ เครอื่ งประดบั ภกั ษาหาร คอื เตละ (นา้ํ มนั ) อาวธุ คกู่ าย พระหัตถ์ขวาถือพระขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายถือไม้เท้า เสดจ็ ประทับเหนือพยคั ฆ์ (เสอื ) 105
๓. นางสงกรานต์รากษสเทวี รากษสเทวีเป็นนางสงกรานต์ ประจำ�วันอังคาร ทัดดอกบัวหลวง มีโมรา (หิน) เป็นเครื่องประดับ ภักษาหาร คอื โลหติ (เลอื ด) อาวธุ คกู่ าย พระหตั ถข์ วาถือตรีศลู พระหตั ถ์ ซ้ายถอื ธนู เสด็จประทับเหนอื วราหะ (หมู) ๔. นางสงกรานต์มัณฑาเทวีมัณฑาเทวี เป็นนางสงกรานต์ ประจำ�วันพุธ ทัดดอกจำ�ปา มีไพฑูรย์ (พลอยสีเหลืองแกมเขียว) เป็นเคร่ืองประดับ ภักษาหาร คือ นมและเนย อาวุธคู่กาย พระหัตถ์ ขวาถอื เหลก็ แหลม พระหตั ถซ์ า้ ยถอื ไมเ้ ทา้ เสดจ็ ไสยาสนเ์ หนอื คสั พะ (ลา) ๕. นางสงกรานต์กิริณีเทวี กิริณีเทวีเป็น นางสงกรานต์ประจำ� วนั พฤหสั บดี ทดั ดอกมณฑา (ย่หี ุบ) มีมรกตเปน็ เคร่อื งประดบั ภักษาหาร คอื ถว่ั และงา อาวธุ คกู่ าย พระหตั ถข์ วาถอื พระขรรค์ พระหตั ถซ์ า้ ยถอื ปนื เสดจ็ ไสยาสน์เหนือคชสาร (ช้าง) 106
๖. นางสงกรานต์กิมิทาเทวี กิมิทาเทวีเป็น นางสงกรานต์ประจำ�วันศุกร์ ทัดดอกจงกลนี มีบุษราคัม เปน็ เครอื่ งประดบั ภกั ษาหาร คอื กลว้ ยและนา้ํ อาวธุ คกู่ าย พระหัตถ์ขวาถือพระขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายถือพิณ เสด็จ ประทับยนื เหนือมหงิ สา (ควาย) ๗. นางสงกรานต์มโหทรเทวี มโหทรเทวีเป็น นางสงกรานตป์ ระจ�ำ วนั เสาร์ ทดั ดอกสามหาว (ผกั ตบชวา) มนี ลิ รตั นเ์ ปน็ เครอ่ื งประดบั ภกั ษาหาร คอื เนอื้ ทราย อาวธุ คู่กาย พระหัตถ์ขวาถือจักร พระหัตถ์ซ้ายถือตรีศูล เสด็จ ประทบั เหนอื มยรุ าปกั ษา (นกยงู ) ดว้ ยความแพรห่ ลายของต�ำ นานสงกรานต์ และความเปน็ พทุ ธศาสนกิ ชนของคนไทยที่นยิ มทำ�บญุ ในเทศกาล ตา่ งๆ เพอ่ื ความเปน็ สริ มิ งคล จงึ เกดิ การน�ำ ต�ำ นานสงกรานตไ์ ปสรา้ งสรรคเ์ ปน็ นทิ านชาดก เรยี กวา่ พระมหาสงกรานต์ ชาดก สำ�หรบั ใหพ้ ระภิกษใุ ช้เทศน์ในวนั มหาสงกรานต์ ในเทศกาลสงกรานต์ โดยก�ำ หนดใหน้ กอนิ ทรีผู้เป็นสามเี ป็น พระโพธสิ ตั ว์ นอกจากนี้ ยงั พบวา่ ในบางทอ้ งถนิ่ ใชเ้ รยี กวา่ เทศนาอานสิ งสพ์ ระมหาสงกรานต์ แตอ่ ยา่ งไรกต็ าม อานสิ งส์ พระมหาสงกรานต์ ในบางสำ�นวนก็มิได้กล่าวถึงเร่ืองธรรมบาลกุมารและกบิลพรหม หากแต่กล่าวถึงพระพุทธพจน์ เปน็ เหตกุ ารณท์ ีพ่ ระเจา้ ปเสนทิโกศลทลู ถามพระสมั มาสัมพทุ ธเจ้าเก่ียวกบั ความรอ้ น ของพระอาทิตย์ทช่ี ่วงเทศกาล สงกรานต์ท่ีเป็นภัยแก่มนุษย์ และวิธีการที่มนุษย์จะพ้นจากภัยอันเกิดจากความร้อน ของดวงอาทิตย์ ตลอดจนทูล ถามถงึ อานสิ งสข์ องการรดนาํ้ บดิ ามารดา ครบู าอาจารย์ พระสงฆ์ พระพทุ ธรูป พระเจดยี ์และตน้ โพธ์ิ นอกจากนย้ี งั มีการเล่าต�ำ นานการปลอ่ ยนกปลอ่ ยปลา แทรกไวใ้ นเร่อื งด้วยนอกจากนตี้ �ำ นานสงกรานต์ ยังมีส่วนเกีย่ วขอ้ งกบั การ ท�ำ ปฏิทินสงกรานต์ประจ�ำ ปีทงั้ ในของภาคกลาง และปฏิทนิ ล้านนา โดยอ้างอิงถึงนางสงกรานตป์ ระจำ�ปนี ั้นๆ ดว้ ย และผูกโยงกับคำ�พยากรณด์ วงชะตาของบา้ นเมืองในแตล่ ะปี 107
ปจั จบุ นั มกี ารน�ำ ต�ำ นานสงกรานตไ์ ปใชใ้ นการสง่ เสรมิ การทอ่ งเทย่ี วในเทศกาลสงกรานตอ์ ยา่ งแพรห่ ลาย ทงั้ การ แสดงประกอบแสงสเี สียง การใช้เป็นแนวคิดในการออกแบบและตกแตง่ ขบวนรถบุปผชาติในงานเทศกาลสงกรานต์ ตลอดจนการจัดการประกวดนางสงกรานต์ แสดงให้เหน็ ถงึ ความรบั ร้แู ละความแพร่หลายของ ตำ�นานสงกรานต์ท่ีมี มาอย่างต่อเน่ืองตราบจนปจั จุบนั ต�ำ นานสงกรานต์ ไดร้ บั การขน้ึ ทะเบยี นเปน็ มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมของชาตปิ ระจ�ำ ปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๕๘ เอกสารอ้างอิง คมั ภีรนิเทศ (คำ�), พระคร.ู เทศนาเรื่อง มหาสงกรานต์ ปุจฉาวสิ ัชนา ๒ ธรรมมาสน.์ ขอนแกน่ : บรษิ ัท คลงั นานา ธรรมจ�ำ กัด. ๒๔๙๑. จ.เปรียญ (นามแฝง). อานิสงส์ ๑๐๘ กัณฑ์ ฉบบั เพ่ิมเติมใหม.่ กรุงเทพฯ: อำ�นวยสาส์น. ทรงศักดิ์ ปรางคว์ ฒั นานุกุล, บรรณาธกิ าร. สงกรานต์ใน ๕ ประเทศ : การเปรียบเทียบทางวัฒนธรรม. การประชุม ทางวชิ าการระดบั นานาชาติ วนั พธุ ท่ี ๑๐ เมษายน ๒๕๓๙ ณ หอ้ งบา้ นแสนตอ โรงแรมโลตสั ปางสวนแกว้ จังหวัดเชยี งใหม่. เชยี งใหม่ : ส�ำ นักสง่ เสรมิ ศลิ ปวฒั นธรรม มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ รว่ มกบั กรมสารนเิ ทศ กระทรวงการต่างประเทศ. ๒๕๓๙. ธรรมพืน้ เมือง: ต�ำ นาน-อานิสงส์ปใี หม่พ้ืนเมอื ง (ปีใ๋ หมเ่ ดือนเมษายน). (มปป.). ลำ�พนู : ร้านภิญโญ. นิยะดา เหลา่ สนุ ทร. นิทานเรือ่ งต�ำ นานสงกรานตท์ ี่ไม่ได้มาจากมอญ. ศลิ ปวฒั นธรรม. ประคอง นิมมานเหมินท.์ ประเพณีสงกรานต.์ กรุงเทพฯ: กรมส่งเสรมิ วฒั นธรรม. ๒๕๕๔ ประชมุ จารกึ วดั พระเชตพุ น. จดั พมิ พเ์ ปน็ ทร่ี ฤกฉลองจารกึ วดั โพธิ์ มรดกความทรงจ�ำ แหง่ โลก (๒๕๕๕). กรงุ เทพฯ: คณะสงฆว์ ัดพระเชตุพนวิมลมงั คลาราม. ส.พลายน้อย. ตรุษสงกรานต์ : ประวัตคิ วามเปน็ มาของปใี หม่ไทยสมยั ต่างๆ. กรงุ เทพฯ : นาํ้ ฝน. ๒๕๔๓. สจุ ติ ต์ วงษเ์ ทศ. บรรณาธกิ าร. สงกรานต:์ ขนึ้ ฤดกู าล (ปใี หม)่ ของพราหมณส์ วุ รรณภมู .ิ กรงุ เทพฯ: ส�ำ นกั วฒั นธรรม กีฬา และการท่องเทีย่ ว กรงุ เทพมหานคร. ๒๕๕๐. อนุมานราชธน, พระยา. เทศกาลสงกรานต.์ กรุงเทพฯ : กองวัฒนธรรม กรมการศาสนา. ๒๕๒๒. อภลิ กั ษณ์ เกษมผลกลู . ปฏบิ ตั กิ ารรอ้ งเพลงขอทาน : ธรรมเนยี มสงกรานตท์ ่ีเมอื งตราด. ศลิ ปวัฒนธรรม. ปที ี่ ๓๒ ฉบับที่ ๖ หนา้ ๑๒๒- ๑๓๑. ๒๕๕๔ อภลิ กั ษณ์ เกษมผลกลู (มปป.). บทปรวิ รรตเรอ่ื ง พระมหาสงกรานตช์ าดก. ฉบบั วดั ใหญพ่ ลว้ิ ต.พลวิ้ อ.แหลมสงิ ห์ จ.จนั ทบุรี. หอสมุดรชั มังคลาภเิ ษกจนั ทบุรี (เอกสารตัวเขยี น) 108
ตำ�นานสร้างโลกภาคใต้ เรียบเรยี งโดย ศาสตราจารย์ชวน เพชรแกว้ ตำ�นานสร้างโลกฉบับป่าลาม เรียกช่ือตามแหล่งที่พบ ต้นฉบับเป็นหนังสือบุดขาว เป็นสมบัติของหมอดำ� แห่งบ้านปา่ ลาม ต�ำ บลช้างไห้ตก อำ�เภอโคกโพธิ์ จงั หวดั ปตั ตานี ปัจจบุ ันตน้ ฉบับเก็บรกั ษาไวท้ ีบ่ ้านเลขท่ี ๒๒/๕๐ ถนนหนองจกิ ต�ำ บลสะบารงั อ�ำ เภอเมอื ง จงั หวดั ปตั ตานี ฉบบั อน่ื ซง่ึ มเี นอ้ื หาเดยี วกนั ทพี่ บแลว้ ไดแ้ ก่ ฉบบั บา้ นทงุ่ ลงั อำ�เภอคลองหอยขม จังหวดั สงขลา ตำ�นานสร้างโลกฉบับบ้านป่าลาม มีตัวเอก คือ พระอิศวร และพระอุมาที่เหล่าเทวดาอันมีพระอินทร์เป็น องคป์ ระธาน ได้ชุบสรรคข์ น้ึ มาเป็นองศป์ ฐมของบรรดาเหล่าสรรพสตั ว์และพชื พนั ธุ์ธญั ญาหารทัง้ หลายทีม่ ีข้ึนในโลก โดยเฉพาะตน้ ก�ำ เนดิ และวธิ กี ารประกอบพธิ กี รรมตา่ งๆ ต�ำ นานคอ่ นไปทางฮนิ ดลู ทั ธไิ ศวนกิ าย ลทั ธศิ กั ติ และความเปน็ พุทธมหายาน ลทั ธิตันตระ-วัชรยาน เน้ือเรื่อง เริ่มจากเหล่าเทพยดาเนรมิตเทวบุตร คือ “พระบอริเมนสูน” ต่อจากนั้นเหล่าเทวดาได้ใช้ให้ พระบอริเมนสูนสรา้ งโลกขน้ึ มา โดยสร้างแผ่นดินข้นึ มาก่อนเท่าใบหว้า ลำ�ดับต่อมาจงึ สร้างมหาสมทุ ร พระอาทติ ย์ พระจันทร์ ภูเขา แม่น้ํา ลำ�คลอง ตลอดจนสร้างพระอิศวรและพระอุมาขึ้น โดยให้พระอิศวรเป็นเจ้าแห่งแผ่นดิน 109
และพระอุมาเป็นเจ้าแห่งน้ํา ทั้งสองเป็นมนุษย์ชายหญิงคู่แรกของโลก ได้ครองคู่กันนานถึง ๑๒ ปีเศษ โดยไม่มีความรู้สึกทางเพศ จนเม่ือ พระอินทร์เสกผลหว้าให้กินท้ังคู่จึงมีความกำ�หนัดและมีลูกต่อเน่ืองกัน ถึง ๑๒ คน ทั้งหมดได้จับคู่แต่งงานกันเอง ลูกคนแรกคือ “สุวันนะไพจิต” แต่งงานกับ “นางสีดอกไม้” เมื่อทั้งสองสมสู่กันได้ส้ินใจตายไปเกิดเป็น “แมโ่ พสพ” หรอื ต้นขา้ วเพอื่ เล้ยี งดมู นษุ ยโ์ ลก ลูกทัง้ ๑๒ คน ตา่ งพดู จากัน คนละภาษาจึงเป็นท่มี าของ ๑๒ ชาติ ๑๒ ภาษา และเป็นตน้ เหตุ แหง่ ๑๒ นกั ษตั ร 110
ตอ่ จากนน้ั เหลา่ เทวดาทงั้ หลายไดเ้ นรมติ ใหเ้ กดิ วนั เดอื น ปี และทศิ ตา่ งๆ ขนึ้ ๘ ทศิ มที วปี เกดิ ขน้ึ คอื “ชมพทู วปี ” คอื โลกมนษุ ยข์ องเรา มปี ระชากรหนา้ เหมอื นผาลไถนา “ทวปี บรู พดิ ” มปี ระชากรหนา้ เหมอื นเดอื นเพง็ “ทวปี มอรอ โคธานี” มีประชากรหน้าเหมือนงัว และ “ทวีปอดุ อนประกาโหร” ประชากรหนา้ เหมอื นไก่ ครอบครัวพระอิศวรและ พระอมุ าต่างกใ็ ห้ก�ำ เนดิ บตุ รหลานสบื ต่อกนั มาจนเป็นพลโลกในปัจจุบนั ลกู หลานบางคนเปน็ เจ้าแห่งคาถา บางคน เป็นเจ้าแหง่ หยูกยารกั ษาโรค และครอบครัวของพระอิศวรไดก้ อ่ ให้เกดิ พธิ ีกรรมทง้ั หลาย อันเป็นปฐมแหง่ ความเชื่อ และพธิ ีกรรมในเรือ่ งการเกิด การแตง่ งาน รวมท้งั งานมงคลตา่ งๆ การตาย การท�ำ ศพ การทำ�ไร่ทำ�นา ต�ำ นานเรอ่ื งนแ้ี มเ้ นอื้ หาจะหนกั ไปทางต�ำ นานฮนิ ดู แตก่ ม็ คี ตคิ วามเชอื่ ทางพทุ ธศาสนา และคตคิ วามเชอ่ื ดงั้ เดมิ ของชาวมลายใู นทอ้ งถน่ิ ผสมผสาน ในปจั จบุ นั ยงั คงมอี ทิ ธพิ ลตอ่ ชาวบา้ นภาคใตต้ อนลา่ ง อยา่ งกวา้ งขวาง โดยเฉพาะ เป็นตำ�นานอา้ งองิ ในการประกอบประเพณตี ่างๆ ในวถิ ีชีวติ คนภาคใต้ ต�ำ นานสรา้ งโลกภาคใต้ ไดร้ บั การขน้ึ ทะเบยี นเปน็ มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมของชาตปิ ระจ�ำ ปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๕๕ 111
ตำ�นานหลวงปูท่ วด เรยี บเรียงโดย สายปา่ น ปรุ วิ รรณชนะ ตำ�นานหลวงปู่ทวด เป็นเร่ืองราวเกี่ยวกับพระเกจิอาจารย์สำ�คัญองค์หน่ึงของไทย เร่ืองราวของหลวงปู่ทวด ปรากฏท้ังในเอกสารประวัติศาสตร์และในตำ�นาน มุขปาฐะซ่ึงมีเร่ืองราวเก่ียวกับความศักดิ์สิทธ์ิของท่านปรากฏอยู่ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล่าว่ามีงูจงอางนาลูกแก้ววิเศษมาใส่ไว้ใน เปลของท่านเม่ือแรกเกิด เรื่องท่านแสดงอิทธิปาฏิหาริย์เหยียบน้ํา ทะเลใหก้ ลายเปน็ นาํ้ จดื เรอื่ งทา่ นตอบปรศิ นาธรรมชนะทตู ตา่ งเมอื ง เรื่องท่านเป็นพระโพธิสัตว์พระศรีอาริยเมตไตรย์ เรื่องการมรณภาพ ดว้ ยวธิ ี “โละ” หายไป เปน็ ต้น โดยเฉพาะเร่อื งการเหยียบนํ้าทะเล จดื นน้ั ถือไดว้ า่ เปน็ การสำ�แดงอิทธปิ าฏิหาริย์ครง้ั สำ�คัญ ท�ำ ให้ทา่ นมี สมญานามวา่ “หลวงปทู่ วดเหยยี บนํา้ ทะเลจดื ” ตำ�นานเกี่ยวกับหลวงปู่ทวดดำ�รงอยู่ในสังคมไทย ทั้งที่เป็น ต�ำ นานมขุ ปาฐะและวรรณกรรมบนั ทกึ ชวี ประวตั พิ ระภกิ ษรุ ปู ส�ำ คญั เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ในเว็บไซต์ต่างๆ รวมถึงในรูปแบบการ์ตูน เอนิเมช่ัน อันแสดงให้เห็นถึงความสำ�คัญและความแพร่หลาย ของตำ�นานเรื่องนี้ ย่ิงไปกว่าน้ัน ความศักดิ์สิทธ์ิของหลวงปู่ทวด ทเี่ ลา่ ขานสบื ตอ่ กนั มายงั น�ำ ไปสกู่ ารสรา้ งวตั ถมุ งคลอนั เกยี่ วเนอ่ื งกบั หลวงปทู่ วด ในรปู แบบตา่ งๆ อาทิ พระเครอื่ ง เหรยี ญ ผา้ ยนั ต์ เปน็ ตน้ อกี ทงั้ ยงั กอ่ ใหเ้ กดิ การสรา้ งสรรคเ์ รอ่ื งเลา่ เกย่ี วกบั อทิ ธปิ าฏหิ ารยิ ข์ อง วตั ถมุ งคลเหล่าน้ีอย่างมากมาย ไมจ่ บสิน้ 112
113
ยิ่งไปกว่าน้ัน ตำ�นานหลวงปู่ทวดเหยียบ น้ําทะเลจืด ยังสัมพันธ์กับตำ�นานอ่ืนๆ ใน สังคมไทย ได้แก่ ตำ�นานพระเจ้าปทุมสุริวงศ์ ในหนงั สอื ค�ำ ใหก้ ารชาวกรงุ เกา่ ต�ำ นานโตะ๊ วาลี ของชาวมุสลิมในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ระยองและตราด ตำ�นานพระศรีอาริย์วัดไลย์ จังหวัดลพบุรี ตลอดจนนิทานเร่ือง ศรีธนญชัย ตอนศรีธนญชัยโต้ปัญหาธรรมกับพระสงฆ์ ชาวลังกา ส่ิงที่ปรากฏอยู่นี้แสดงให้เห็นความ สำ�คัญและการแพร่กระจายของ ตำ�นานหลวง ปทู่ วดเหยยี บนา้ํ ทะเลจดื ในสงั คมไทย อนั ควรคา่ แก่การได้รบั การบนั ทกึ เปน็ มรดกทางภมู ปิ ญั ญา ของไทยเป็นอยา่ งยงิ่ ต�ำ นานหลวงปทู่ วด ไดร้ บั การขน้ึ ทะเบยี น เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ ประจ�ำ ปีพทุ ธศกั ราช ๒๕๕๕ 114
ต�ำ นานอุรังคธาตุ เรยี บเรียงโดย พจนีย์ เพง็ เปลี่ยน คำ�ว่า อรุ ังคธาตุ นักวชิ าการ ผรู้ ู้และพระสงฆ์ ทราบวา่ หมายถงึ พระบรมสารีรกิ ธาตุ ส่วนพระอรุ ะหรอื หน้าอก ของสมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทมี่ าบรรจไุ วท้ พี่ ระธาตพุ นม แตช่ าวบา้ นสว่ นใหญใ่ นสมยั อดตี แถบบรเิ วณภาคอสี าน รวมถึงประชาชนทางฝ่ังซ้ายของแม่น้ําโขงเลื่อมใสศรัทธาต่อองค์พระธาตุพนมอย่างสูงสุด แต่ปัจจุบันน้ีคนท่ัวไป ทง้ั ในประเทศและตา่ งประเทศรจู้ กั ดวี า่ หมายถงึ พระธาตพุ นม ทบี่ รรจพุ ระอรุ งั คธาตขุ องพระพทุ ธเจา้ วา่ เปน็ พระธาตุ ศักดส์ิ ิทธิ์ท่คี นภาคอีสานภาคภูมิใจ พุทธศาสนิกชนตา่ งกม็ าเคารพสกั การบชู าอยา่ งตอ่ เนื่องตลอดทัง้ ปี โครงเรอื่ งหลกั กลา่ วถงึ การสรา้ งพระธาตพุ นม โดยแสดงใหเ้ หน็ ถงึ แนวคดิ การสรา้ งโดยใชอ้ ทิ ธฤิ ทธป์ิ าฏหิ ารยิ ใ์ น การเลา่ เพ่ือแสดงใหเ้ ห็นวา่ พระธาตพุ นมเป็นศาสนสถานอนั ศักดิ์สิทธิ์ของชาวพุทธนบั เนื่องแต่อดีตจนปัจจุบนั อยา่ ง ไม่เส่ือมคลาย นอกจากน้ีเน้ือเรื่องยังกล่าวถึงพระอินทร์ร่วมกับเทพท้ังหลายได้ร่วมกับพระอรหันต์และเจ้าเมืองได้ ร่วมกันบริจาคทรัพย์ สิ่งของ มีค่า อกี ทั้งยังไดม้ าร่วมกอ่ สรา้ งพระธาตุพนมจนแล้วเสรจ็ วธิ กี ารแตง่ ตำ�นานอรุ ังคธาตุ เป็นการบันทึกบอกเลา่ เรอื่ งราว เชงิ ประวัติศาสตรด์ ้านพุทธศาสนาในสมัยอดตี โดยได้แทรกปาฏิหาริย์เพ่ือเน้นถึง ความขลังเคารพศรัทธา ตัวละครท่ีเป็นมนุษย์และเจ้าเมืองจุติแล้วเกิดหลายภพ หลายชาติ แตก่ ม็ คี วามเกย่ี วขอ้ งกบั เนอ้ื เรอ่ื งไดเ้ ปน็ อยา่ งดี และตวั ละครทเ่ี ปน็ อมนษุ ย์ เชน่ พระยานาค มชี อ่ื ปรากฏหลายชอื่ สามารถแปลงกายได้ มีอภินิหารย์ดำ�เนินเรื่องให้สมจริงย่ิงข้ึนตลอดท้ังเร่ือง และยังเก่ียวข้องกับสถานที่ท่ีมีอยู่จริง ในปัจจุบัน เช่น พระพุทธบาทเวนปลา พระธาตุภูเพ็ก พระธาตุนารายณ์จงเวง แม่น้ําสำ�คัญต่างๆ ฯลฯ ความเช่ือ ปาฏิหารยิ ์ทป่ี รากฏในเนอื้ เร่ืองจึงเพ่ิมความขลัง ความเคารพ ศรทั ธา ตอ่ องคพ์ ระธาตุพนมอย่างสงู สุด 115
116
ในปจั จบุ นั มกี ารจดั ทวั รไ์ หวพ้ ระ ๙ วดั หรอื การจดั การทอ่ งเทยี่ วตามโบราณสถานทสี่ �ำ คญั ๆ ๙ แหง่ และรวม ถงึ การเดนิ ทางทำ�บญุ เสรมิ ดวงชะตาตามราศีเกิดท้งั ๑๒ ราศี (ตามธาตุเจดยี ส์ �ำ คัญในประเทศ) พระธาตพุ นมกเ็ ปน็ ธาตเุ จดยี ์ทีค่ นเกิดวันอาทิตย์ ประจำ�ปวี อก ต้องไปเสรมิ บญุ บารมีท่อี งค์พระธาตพุ นม ดว้ ยกุศโลบายขา้ งต้นผคู้ นจึง หลง่ั ไหลไปไหว้พระทำ�บุญกนั อยา่ งเนอื งแนน่ ต�ำ นานอรุ งั คธาตุ ไดร้ บั การขนึ้ ทะเบยี นเปน็ มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมของชาตปิ ระจ�ำ ปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๕๕ 117
บทรอ้ งพ้นื บา้ น 118
กาพย์เซงิ้ บัง้ ไฟ เรยี บเรยี งโดย ศาสตราจารย์สกุ ัญญา สุจฉายา กาพยเ์ ซง้ิ บง้ั ไฟเปน็ รอ้ ยกรองทอ้ งถนิ่ อสี านหรอื เปน็ เพลงพนื้ บา้ นประเภทเพลงประกอบพธิ ขี องชาวบา้ นอสี าน ท่รี ้องในขบวนแห่บ้ังไฟในงานประเพณบี ญุ บงั้ ไฟ เดือน ๖ เปน็ ค�ำ ประพนั ธท์ ่ีมลี กั ษณะงา่ ยๆ คอื มีผู้น�ำ คนหนึง่ เปน็ คนขบั เนอ้ื ความ แลว้ คนอน่ื ๆในขบวนจะรอ้ งรบั ไปเรอ่ื ยๆ เรยี กวา่ การเซง้ิ ประกอบการฟอ้ นตามจงั หวะของกลองตมุ้ และเคร่ืองดนตรอี น่ื ๆที่ใช้ประกอบ เช่น พงั ฮาด โทน กาพย์เซง้ิ บ้ังไฟ แต่งด้วยค�ำ ประพนั ธท์ ี่เรียกว่า กาพย์ ๗ คำ� วรรคหนงึ่ มี ๗ ค�ำ ขา้ งหน้า ๓ ค�ำ ขา้ งหลงั ๔ คำ� คำ�สุดท้ายของวรรคท่ี ๑ จะส่งเสียงสัมผัสไปที่คำ�ใดก็ได้ในวรรคต่อไป (คำ�สัมผัสในภาษาอีสานเรียกว่า คำ�ก่าย) นิยมสมั ผสั กับค�ำ ที่ ๓ โดยใช้ระดับเสยี งของค�ำ ที่สมั ผสั เป็นเสยี งวรรณยุกตเ์ ดยี วกัน บทหน่ึงจะมีกว่ี รรคกไ็ ด้ แลว้ แต่ เน้ือความ กาพย์ ๗ ค�ำ นยิ มใชก้ บั การเซง้ิ แบบต่างๆ เชน่ เซ้งิ นางด้ง เซ้ิงนางแมว ค�ำ สอน บทกลอ่ มเดก็ ตวั อย่างเช่น “โอเฮา้ โอ เฮาโอเ่ ฮา้ โอ ข้อยสิโอ่ งานบุญบ้งั ไฟ เปน็ จังใด ไดฟ้ ังลองเบ่งิ สิเลิกเซงิ้ มากน้อยปานใด อันบั้งไฟ มีมาแต่เก่า โบราณเฮา ขอฟ้าขอฝน ปลี ะหน เฮ็ดบ้งั ไฟใหญ่ เอาใจใส่ งานประเพณี นทิ านมี ผาแดงนางไอ่ หนองหารไง่ เป็นเถา้ ธุลี...” 119
การเซ้ิงบั้งไฟแต่แรกเร่ิมเป็นการละเล่นประกอบ พิธีกรรมแห่บ้ังไฟเพื่อขอฝนของชาวนา เป็นการบวงสรวง พญาแถนหรือเทวดา ในความเช่ือดั้งเดิมของชาวไทลาว เพื่อขอให้ฝนฟ้าตกตามฤดูกาล จึงจัดขึ้นในเดือน ๖ เพื่อ เป็นสัญญาณเตรียมทำ�ไร่ทำ�นา และเป็นการเสี่ยงทายดิน ฟา้ อากาศ หากจดุ บง้ั ไฟไมข่ นึ้ หรอื บง้ั ไฟแตก ท�ำ นายวา่ ฝนจะ แลง้ หากจดุ บง้ั ไฟไดส้ งู แสดงวา่ ฝนฟา้ จะตกตอ้ งตามฤดกู าล การเซง้ิ บง้ั ไฟจงึ เปน็ พธิ กี รรมเพอื่ ความอดุ มสมบรู ณท์ ตี่ อ้ งมี เร่ืองเพศเข้ามาเกี่ยวข้องตามคติความเช่ือของคนในสังคม เกษตรกรรม ทำ�ให้ในขบวนเซ้ิงซ่ึงแต่เดิมมีเฉพาะผู้ชาย และผชู้ ายแต่งกายเปน็ หญิง น�ำ หุ่นชายหญงิ แสดงทา่ ทางการรว่ มเพศชกั ไปตลอดทาง และในค�ำ เซง้ิ มเี นอ้ื หาเก่ยี วกับ เรอ่ื งเพศและเรื่องตลกหยาบโลนเพือ่ ออ้ นวอนใหเ้ ทวดาสง่ ฝนลงมาตามคำ�ขอ ในสมยั ตอ่ มาเมอื่ การเซง้ิ บง้ั ไฟกลายเปน็ งานประเพณขี องชมุ ชน มกี ารประกวดแขง่ ขนั กนั ระหวา่ งหมบู่ า้ นอ�ำ เภอ จังหวดั รปู แบบและเนื้อหาของกาพยเ์ ซง้ิ บง้ั ไฟก็เปล่ยี นแปลงตามไปดว้ ย คณะเซง้ิ มีทง้ั ผชู้ ายและผหู้ ญงิ การฟอ้ นช้าๆ ตามจงั หวะชา้ ๆ ของกลองตมุ้ กเ็ ปลย่ี นเปน็ การประดษิ ฐท์ า่ ร�ำ ใหอ้ อ่ นชอ้ นสวยงาม จงั หวะและทว่ งท�ำ นองเปลยี่ นเปน็ สนุกสนานตามลีลาของกลองยาวและแคน เนื้อหาของกาพย์เซิ้งในขบวนแห่มีหลากหลายมากขึ้น มีทั้งการร้องเล่า ต�ำ นาน เชน่ เรอื่ งผาแดงนางไอ่ เลา่ ค�ำ สอน เชน่ เรอ่ื งกาพยพ์ ระมนุ ี เลา่ เกย่ี วกบั สงั คมและเหตกุ ารณป์ จั จบุ นั เพมิ่ เขา้ ไปดว้ ย และนิยมใชเ้ พลงลูกทงุ่ แทนกาพยเ์ ซิ้งแบบเดิม รปู แบบทีน่ ยิ มในการขบั กาพย์เซิง้ บง้ั ไฟในปจั จุบนั มลี ำ�ดับดงั นี้ ๑. การข้ึนต้น แต่เดมิ นิยมขึ้นตน้ ด้วย “โอเฮ้าโอเฮาโอ่เฮา้ โอ” หรือ “โอ่เฮาโอ่ พวกเซิง้ เฮาโอ” ถา้ เปน็ พิธีการ จงึ จะขึ้นต้นดว้ ยค�ำ ไหว้ครู “โอม พุทโธ นโมเปน็ เจา้ ” “โอมพุทโธ นโมเป็นเคา้ ” “สาธุสา ยกมอื ใสเ่ กล้า” ๒. การขบั เน้ือเรื่อง มีหลากหลาย ไดแ้ ก่ กาพย์เซิ้งเล่าต�ำ นาน กาพยเ์ ซ้ิงขอบริจาคเงินทองขา้ วของเหล้ากาพย์ เซิ้งอวยพร กาพย์ตลกหยาบโลน กาพย์เซงิ้ เบ็ดเตล็ดอ่นื ๆ ตัวอย่างกาพยเ์ ซง้ิ เล่านิทานตำ�นานผาแดงนางไอ่ ขา้ สิเวา้ เรื่องเกา่ มมี า หลานสิจา สาวงามนางไอ่ เมอื งน้อยใหญ่ มาเบง่ิ ความงาม พ่อบ่ทราม ประกาศดงั ก้อง อยากไดน้ อ้ ง นางไอไ่ ปครอง เจา้ จงลองเฮด็ ไฟ บ้งั ใหญ่ ขึ้นไวไว เกดิ เพน่ิ ทังหลาย ดงั่ สมหมาย ไดไ้ อไ่ ปซอ้ น ข้าขอยอ้ น บ้ังไฟผาแดง ขนึ้ เหมดิ แฮง เกนิ เพน่ิ ทั้งหลาย. (กวี ครองยทุ ธ)์ 120
การประกวดเซงิ้ บ๊ังไฟ จังหวดั ยโสธร ตัวอยา่ งกาพยเ์ ซิ้งขอ ขอเหล้าโท นำ�เจ้าจักถ้วย ขอเหลา้ เดด็ น�ำ เจ้าจกั โอ ตกั มายาย หลานชายใหค้ ู่ หวานจ้วยจ้วย ต้วยปากหลายชาย ตายเปน็ ผีซิ น�ำ มาหลอก ยายบค่ ตู่ ขู ้อย บ่หนี กำ�ดินทราย หวา่ นนำ�ฮอยเจา้ ... ออกนอกบา้ นซิหว่านดินนำ� ตัวอย่างกาพย์เซ้ิงตลก สาวบ้านใด๋ กระโปรงใหมใ่ หม่ ท้ายใหญ่ใหญ่เจา้ อยบู่ า้ นใด๋ มากับไผจักคนพวกหมู่ เจา้ มคี นู่ อนซ้อนหรือยัง เจา้ อย่าบงั บอกมาเดออนุ่ แกม้ จนุ้ พุ่นบอกพ่ีโดยดี เจา้ อยา่ มีความต๋ัวความหลอก ใหเ้ จ้าบอกตง้ั แต่ความจริง เจ้าเปน็ หญงิ วาจาให้เทยี่ ง อยา่ ไดเ้ ลี่ยงไปหน้ามาหลัง เจ้ามีหวงั กับไผหรอื บ่ พอ่ กับแม่พน่ี อ้ งทั้งหลาย ยังซ�ำ บายสู่คนตี้หล่า ใหเ้ จา้ เว้าบอกพีโ่ ดย บทบาทของกาพย์เซ้ิงบ้ังไฟจากบทอ้อนวอนขอฝนของชุมชนจึงเปล่ียนเป็นบทบาทการให้การศึกษาและ ความสนกุ สนานเปน็ หลกั กาพยเ์ ซงิ้ บง้ั ไฟ ไดร้ บั การขน้ึ ทะเบยี นเปน็ มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมของชาตปิ ระจ�ำ ปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๕๗ 121
เพลงแห่นางแมว เรยี บเรยี งโดย สมุ ามาลย์ พงษไ์ พบลู ย์ ในสังคมเกษตรกรรม ซ่ึงนํ้าฝนมีความสำ�คัญอย่างมากต่อการเริ่มเพาะปลูกพืชพันธ์ุ ถ้าปีใดฝนมาช้า พื้นดิน แห้งแลง้ ไมส่ ามารถเพาะปลูกได้ กจ็ ะเกดิ ความเดือนรอ้ นไปท่ัว เกิดความอดอยากยากจน ไมม่ ขี า้ ว พชื ไรไ่ ว้เล้ียงชพี ไว้ขายสำ�หรบั เอาเงินมาใช้จา่ ยในเรอ่ื งอื่นๆ ในสังคมดังกล่าวจึงมีพิธี อันเน่ืองมาจากความเช่ือท่ีจะทำ�ลายอำ�นาจท่ีทำ�ให้ฝนแล้ง บันดาลให้ฝนตกลงใน เทศกาลดังกล่าวเพ่ือท่ีจะเริ่มชีวิตเกษตรกรรม ในสังคมไทยมีพิธีกรรมเกี่ยวกับความเจริญงอกงามที่ประพฤติเป็น ประเพณีสบื ต่อกันมา คือ เรอื่ งแห่นางแมว เร่ืองปน้ั เมฆของภาคกลาง และประเพณีการจดุ บ้งั ไฟ ของภาคอสี าน การที่ทำ�พิธีแห่นางแมว เพราะมีความเช่ือว่าแมวเป็นสัตว์ที่กลัวนํ้า จึงเป็นตัวท่ีทำ�ให้เกิดความแห้งแล้งฝน ไม่ตกจึงต้องจับแมวมาตระเวนแห่ และให้ผคู้ นตกั นํ้ารดราดแมวจนแมวเปยี กหนาวสนั่ เพือ่ ทำ�ลายความเปน็ ตวั แลง้ ให้หมดไป การแหน่ างแมวของชาวบา้ นจะท�ำ ในปที ฝี่ นมาลา่ พธิ เี รม่ิ ตน้ ตงั้ แตบ่ า่ ยโมงจนมดื คา่ํ ชาวบา้ นจะเอาแมวตวั เมยี ใส่ชะลอมเข่งหรือตะกร้า เอาฝาปิดให้แน่น เอาไม้คานสอดเข้าแล้วหาบไป มีคนแห่แวดล้อมนางแมวคนหน่ึงถือ พานนำ�หนา้ รอ้ งเชิญใหท้ ุกคนมารว่ มพธิ ีขอฝน นอกน้นั ก็มเี ครอื่ งดนตรีประกอบเพลง เช่น กลอง กรบั ฉิ่งเมื่อเคล่อื น ขบวนออกเดิน ต่างก็ร้องบทแห่นางแมว ซ่ึงมีข้อความคล้ายกันหรือเพี้ยนแตกต่างกันบ้าง แห่ไปตามละแวกบ้าน จนทั่วแล้วก็กลับ เม่ือแห่ไปถึงบ้านใคร เจ้าบ้านจะเอาภาชนะตักนํ้าสาดลงไปในชะลอมเข่งหรือตะกร้าท่ีขังแมว เจา้ ของบา้ นจะใหร้ างวลั แกพ่ วกแหน่ างแมว เปน็ เหลา้ ขา้ วไขก่ บั ขนมหรอื เปน็ เงนิ ใสพ่ าน ท�ำ เชน่ นเ้ี รอ่ื ยไป บางคนนกึ สนกุ กม็ ารว่ มรอ้ งร�ำ ตามขบวนไป จนกวา่ จะเยน็ คาํ่ และเลกิ ขบวนไปในทสี่ ดุ เนอ่ื งจากท�ำ พธิ ชี ว่ งอากาศรอ้ นสดุ ฝนจงึ ตกลงมา ในวันนนั้ ท�ำ ใหพ้ ธิ ีดูขลงั มากขึน้ 122
พธิ แี หน่ างแมวขอฝน ดจู ะเปน็ ความเชอ่ื ทไ่ี รเ้ หตผุ ล เพราะสภาพความแหง้ แลง้ นน้ั เปน็ เพราะสภาพของธรรมชาติ ทม่ี ีฤดูรอ้ น ฤดฝู น ฤดหู นาวเปลี่ยนหมุนเวียนกไ็ ปทุก ๔ เดือน แตก่ ารท�ำ พธิ แี หน่ างแมวทำ�ขึ้นเพื่อความสนุกในสังคม ท่ามกลางธรรมชาติที่แหง้ แล้ง การทอ่ี อกมาร่วมขบวนร้องเพลง เลน่ ดนตรีพื้นบา้ น ก็ทำ�ใหเ้ กิดความบันเทงิ พอทีจ่ ะ ลมื สภาพเดอื ดร้อน ถา้ ฝนไม่ตก นาไร่จะแหง้ แล้งผ้คู นจะอดอยาก อาจจะยากจนถึงกบั ตอ้ งขายลกู หลานสัตวเ์ ลย้ี งไป แตถ่ า้ ฝนตกสามารถท�ำ นาได้ ชวี ติ กจ็ ะมคี วามสุข สดชน่ื ไม่ว่าจะเปน็ มนุษยห์ รือสตั ว์พืช มกี ารฉลองยกใหญ่ ปัจจุบันพิธีแห่นางแมวขอฝนมีปรากฏจริงในบางพื้นที่ เพราะปัจจุบันมีการกักเก็บนํ้า ไว้ใช้ในการทำ�นาโดย ไม่ต้องพ่ึงธรรมชาติ มีการสร้างฝนเทียมข้ึนมาเพื่อไม่ให้เกิดความแห้งแล้ง ในสังคมอุตสาหกรรมและสังคม เกษตรกรรม ในปจั จบุ นั พธิ แี หน่ างแมวขอฝนอาจจะเลอื นหายไปจากชวี ติ จรงิ เหลอื ขบวนแหน่ างแมวขอฝนไวใ้ นขบวน ที่เป็นการสาธิต ในขบวนแห่ทางด้านวัฒนธรรมของแต่ละท้องถ่ิน สังคมเกษตรกรรมแบบดั้งเดิมเลือนหายไป พิธีแห่นางแมวขอฝนกจ็ ะเลอื นหายตามไปดว้ ย 123
เนอ้ื เพลงแหน่ างแมวขอฝน มที ง้ั ความสนกุ สนานบนั เทงิ ความเศรา้ ใจทตี่ อ้ งอดอยาก ความดใี จเมอื่ จะมฝี น มชี วี ติ ทเ่ี จรญิ งอกงาม และการสอดแทรกบทรอ้ งทเ่ี ปน็ เรอ่ื งเพศเขา้ มาบา้ ง นน้ั คอื สญั ลกั ษณข์ องการเรมิ่ ตน้ ชวี ติ ทอ่ี ดุ มตอ่ ไป ด้วยเหตุท่ีมีฝนตกลงมาน้ันเอง ดังตัวอย่างบทร้องเพลงแห่นางแมวขอฝนท่ีเก็บข้อมูลจากอำ�เภอพนมทวน จงั หวดั กาญจนบรุ ี เม่ือวนั ที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๑๖ นางแมวเอย มาร้องแปว้ แป้ว ทฟ่ี ากข้างโนน้ ขอฟ้าขอฝน รดแมวข้ามง่ั คา่ จ้างแมวมา ไดเ้ บีย้ ยส่ี ิบ มาซ้ือหมากดบิ มาลอ่ นางไม้ นางไมภ้ มู ิใจ นุ่งผา้ ตะเข็บทอง ไอห้ ุนตกี ลอง ไอฮ้ ักปกั กะตู ไอ้งูพันกัน หัวลา้ นชนกนั ฝนกเ็ ทลงมา ฝนก็เทลงมา เตม็ ทุง่ เตม็ ทา่ เต็มนาสองห้อง นมิ นตพ์ ระมา สวดคาถาปลาช่อน ปัน้ เมฆเสยี กอ่ น มีละครสามวัน หัวล้านชนกนั ฝนก็เทลงมา ฝนก็เทลงมา แมห่ มา้ ยเอย อย่าเพ่งิ ขายลูก ข้าวจะถูก ลูกไมจ้ ะแพง ทำ�ตาแดงแดง รอบไร่รอบนา นมิ นต์ขรัวตา สวดคาถาปลาชอ่ น ป้นั เมฆเสียกอ่ น มลี ะครสามวนั หัวล้านชนกนั ฝนกเ็ ทลงมา ฝนก็เทลงมา ฝนตกเจ็ดหา่ ฟา้ ผา่ ยายชี ท�ำ ได้ท�ำ ดี ปีละรอ้ ยเกวยี น ปลี ะรอ้ ยเกวียน เนอ้ื เพลงแหน่ างแมว มตี า่ งส�ำ นวนกนั ไปแตล่ ะทอ้ งถนิ่ แตก่ ค็ ลา้ ยคลงึ กนั คอื มหี ารอ้ งซา้ํ ไปซา้ํ มาในภาคเหนอื และ ภาคอสี าน พบเพลงขอฝนในบทเซง้ิ ขอฝน และมรี อ้ งเพลงแหน่ างแมว ในบางทอ้ งถน่ิ ดงั ตวั อยา่ งบทเซง้ิ นางแมวขอฝน เซงิ้ อนั นเ้ี ผ่ินว่า เซ้ิงนางแมว ย่างเป็นแถวกะนางแมวออกกอ่ น ไปตามบ่อนกะตามซอกตามซอย ไปบถ่ อยกะขอฝนขอฟา้ เฮาคอยถ้าใหฝ้ นเทลงมา ตามประสาแมวโพงแมวเปา้ แมวด�ำ กนิ ปลายา่ ง แมวด่างกินปลาแหง้ ฝนฟ้าแล้ง กะขอฟา้ ขอฝน ขอนาํ้ มนตก์ ะรดหวั แมวบ้าง (ชาวบา้ นก็สาดนา้ํ ลงใส)่ เทลงมากะฝนเทลงมา ท่วมไฮ่ทว่ มนา ทว่ มฮูปลาไหล ทว่ มไมโ้ สงเสง หัวล้านชนกันฝนเทลงมา 124
บทร้องเพลงแห่นางแมวที่ยกตัวอย่างมาน้ี เป็นบทร้องง่ายๆ ดังบทร้องพื้นบ้านทั่วไป ท่ีใช้คำ�น้อยมีวรรคละ ๓ – ๔ ค�ำ และคล้องจองต่อเน่อื งกันไป วิธีการร้องจะร้องซา้ํ ไปซํ้ามา อาศยั การลงเสียง เมอื่ จบหารอ้ งและกระแทก เสยี ง ใหม้ ลี ลี าเขา้ กบั ทา่ ร�ำ ในลกั ษณะของร�ำ โทน ประกอบการแหน่ างแมว เนอื้ หาของบทรอ้ งเพลงแหน่ างแมว แสดง ถึงคณุ ค่าขอฝน ที่เม่ือตกลงมานํา้ ท่าจะบริบูรณ์ เรม่ิ ตน้ การเพาะปลกู ได้จะเรม่ิ ต้นขอฝนกับเทวดานางฟ้า หรือนางไม้ โดยมวี ธิ กี ารเซน่ ไหวบ้ ูชาดว้ ยของท่ีชอบใจ และมีการแสดงท่ีเทวดานางฟ้า นางไม้ชอบใจ เปน็ การของเคลด็ และเปน็ สญั ลกั ษณข์ องการรว่ มเพศ อนั เปน็ ตน้ เหตขุ องการเกดิ ชว้ี ดั มกี ารนมิ นตพ์ ระมาสวดคาถาปลาคอ่ (อสี าน) ซงึ่ บชู าเทวดา ฟ้าดิน ให้มีนาํ้ ทา่ ปลาอดุ ม มกี ารป้นั เมฆ ปัน้ ดินเหนยี ว เปน็ เทวดา นางฟ้า ดั่งมชี วี ิต มีละครฉลองสามวนั ถ้าฝนฟ้า ตกลงมา ก็จะเรม่ิ ตน้ ชีวติ ใหม่ ไมย่ ากจนเหมอื นเดมิ ขอรอ้ งให้แมม่ า่ ยในสงั คม ซง่ึ เปน็ บุคคลยากไร้ ไมม่ ีสามเี ล้ยี งดู อย่าเพ่ิงด่วนทำ�การใดใด เชน่ ขายลกู หรอื ลงทนุ อื่นใด ถ้ามีนาแหง้ แลง้ นกั ขอให้รอกอ่ น รอฝนตก ทำ�ไร่ ทำ�นาไดผ้ ล กจ็ ะพาใหห้ ายล�ำ บากยากจน มคี อื อทิ ธพิ ลของฝนในสงั คมเกษตรกรรม ตามทป่ี รากฏในเนอ้ื หาของหาเพลงแหน่ างแมว เพลงแหน่ างแมว ไดร้ บั การขนึ้ ทะเบยี นเปน็ มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมของชาตปิ ระจ�ำ ปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๕๗ 125
บทสวดหรอื บทกลา่ วในพิธกี รรม 126
บทท�ำ ขวัญขา้ ว เรยี บเรยี งโดย นํ้ามนต์ อยอู่ ินทร์ บททำ�ขวัญขา้ ว เปน็ มรดกทางภมู ิปญั ญาทสี่ �ำ คญั สำ�หรับชาวนา ชาวนาจะประกอบพิธที �ำ ขวัญขา้ วหลายครัง้ ในแตล่ ะปซี ง่ึ แสดงใหเ้ หน็ วธิ คี ดิ ของคนไทยทม่ี คี วามนบนอบตอ่ แมโ่ พสพซง่ึ เชอื่ วา่ เปน็ ขวญั ของตน้ ขา้ ว และเชอ่ื วา่ เมอ่ื แม่โพสพพอใจก็จะดลบันดาลให้ข้าวในนาเจริญงอกงาม หรือข้าวท่ีมีอยู่ในยุ้งฉางมีปริมาณมากตักไปกินใช้เท่าไร ก็ไมห่ มด ชาวนาในแต่ละภาคประกอบพธิ ีทำ�ขวญั ขา้ วไมพ่ ร้อมกัน แต่ทีพ่ บวา่ มีลักษณะคลา้ ยกนั คอื การทำ�ขวญั ข้าว ตอนข้าวตั้งท้อง และการทำ�ขวัญข้าวตอนขนข้าวข้ึนยุ้งแล้ว ในการทำ�ขวัญจะต้องมีบทประกอบพิธีซ่ึงเรียกว่า “บทท�ำ ขวญั ขา้ ว” ในแตล่ ะทอ้ งถนิ่ เรยี กแตกตา่ งกนั ไป เชน่ ภาคเหนอื เรยี กวา่ ค�ำ ฮอ้ งขวญั ขา้ ว หรอื ค�ำ เรยี กขวญั ขา้ ว ภาคอีสาน เรยี กว่า คำ�สู่ขวัญขา้ ว ภาคกลางและภาคใตเ้ รียกวา่ บททำ�ขวัญขา้ ว เปน็ ต้น บททำ�ขวัญข้าว มีท้ังลักษณะท่ีคล้ายกันและแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น ส่วนที่คล้ายคลึงกันก็คือ ส่วนที่ กลา่ วเชญิ ขวญั หรอื เรยี กขวญั สว่ นนจี้ ะเปน็ สว่ นทเี่ รยี กขวญั แมโ่ พสพ และอกี สว่ นหนง่ึ คอื สว่ นทเ่ี ปน็ การขอพรหรอื การ ขอรอ้ งแมโ่ พสพ สว่ นนเ้ี ปน็ สว่ นทแ่ี สดงถงึ ความปรารถนาของชาวนา ทตี่ อ้ งการใหข้ วญั ขา้ วหรอื แมโ่ พสพดลบนั ดาลใน ส่งิ ท่ีเขาต้องการ ส่วนเน้อื หาทแี่ ตกต่างกนั ไปบ้างในแต่ละทอ้ งถิ่นน่าจะเป็นสิ่งท่มี ีเฉพาะในทอ้ งถ่ินนน้ั ๆ เช่น ชอ่ื พนั ธุ์ ขา้ วพ้นื เมืองที่มีประจำ�ถ่นิ หรือตำ�นานเกย่ี วกบั ข้าวหรือแม่โพสพท่เี ปน็ เรือ่ งเล่าท่รี ับร้กู นั ในทอ้ งถ่นิ น้นั ๆ เป็นต้น 127
บททำ�ขวัญขา้ ว มีความสัมพนั ธ์กบั วิถชี ีวิตของคนไทยทม่ี อี าชพี เกษตรกรรมมาอย่างยาวนาน แสดงให้เหน็ ถงึ ความออ่ นนอ้ ม ความเคารพนบนอ้ มข้าวในฐานะทเี่ ป็นผู้มีพระคุณและมีบทบาทสำ�คญั ในการเป็นบันทกึ ความรูห้ รอื ภูมิปัญญาชาวบา้ นที่สะทอ้ นผา่ นบททำ�ขวัญอกี ๔ ประการ คือ เปน็ บันทึกเกี่ยวกบั ความรเู้ ร่อื งขา้ วคอื พันธ์ุขา้ ว เปน็ บันทึกความรู้ด้านการประกอบพิธีกรรม เป็นบันทึกที่ เก่ียวกับความเช่ือ เป็นบันทึกวิถีชีวิตและข้ันตอนต่างๆ ของ การท�ำ นา นอกจากน้ี บททำ�ขวญั ขา้ วยงั เป็นส่วนหน่งึ ของพิธีทำ�ขวญั ขา้ วทเ่ี ป็นกลไกอยา่ งหนึง่ ของสงั คม ในการช่วย ลดหรือบรรเทาความเครียดให้กับชาวนา เน่ืองมาจากการทำ�นา ในแต่ละครั้งต้องลงทุนลงแรงจำ�นวนมาก ชาวนา จงึ เกดิ ความไมม่ ่นั ใจและร้สู ึก ไมม่ นั่ คงทางจติ ใจว่าการทำ�นาในครง้ั น้นั ๆ จะประสบความสำ�เร็จหรอื ไม่ พวกเขา จึง ตอ้ งอาศัยการทำ�ขวญั ข้าวเพ่อื สรา้ งขวญั และกำ�ลังใจให้กบั ตนเอง ดงั น้นั บททำ�ขวญั ข้าวหลายๆ บทจึงแสดงให้เหน็ ความคดิ และความคาดหวงั ของชาวนา ดงั ทป่ี รากฏในสว่ นเนอ้ื หาทเ่ี ปน็ การขอรอ้ งหรอื ขอพรจากแมโ่ พสพ ทล่ี ว้ นแต่ มีเน้อื หาทีต่ ้องการให้ได้ผลผลิตจ�ำ นวนมากในการทำ�นาแตล่ ะครัง้ ในปัจจบุ นั การท�ำ ขวญั ขา้ วคอ่ ยๆ เลือนหายไปสงั คมชาวนาไทย ชาวนา ในภูมิภาคต่างๆ ประกอบพิธที �ำ ขวัญ ขา้ วนอ้ ยลงเพราะชาวนาตอ้ งเรง่ รบี ท�ำ นาใหไ้ ด้ ๓ ครง้ั ตอ่ ปี จงึ ไมม่ เี วลาประกอบพธิ ที �ำ ขวญั ขา้ ว เมอ่ื ไมม่ กี ารประกอบ พิธีกรรมย่อมหมายถึง การเลอื นหายไปของบททำ�ขวัญขา้ วด้วย เพราะไม่มีผสู้ นใจเรยี นรูแ้ ละสบื ทอดบทท�ำ ขวัญข้าว ปัจจุบัน ได้มีหนว่ ยงานตา่ งๆ ทัง้ ในระดบั ชาติ และระดบั ท้องถิ่นเล็งเห็นความสำ�คญั ของพธิ ีทำ�ขวญั ขา้ ว จึงได้มีการ ฟ้ืนฟู อนุรักษ์ สาธิต รวมทั้งจัดพิธีทำ�ขวัญข้าวข้ึนในโอกาสต่างๆ เพ่ือร้ือฟ้ืนให้บททำ�ขวัญข้าวได้กลับมามีชีวิตชีวา อีกคร้งั หนงึ่ แม้ว่า ชาวนาไทยจะประกอบพิธที �ำ ขวญั ข้าวน้อยลง บทท�ำ ขวญั ขา้ ว ไดร้ บั การขนึ้ ทะเบยี นเปน็ มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมของชาตปิ ระจ�ำ ปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๕๓ 128
บททำ�ขวญั ควาย เรยี บเรียงโดย วัฒนะ บุญจบั บทท�ำ ขวญั ควาย เป็นตวั บทประกอบพธิ กี รรมท�ำ ขวญั ควาย ซง่ึ เปน็ การระลกึ ถึงบุญคณุ ของควายท่ชี ว่ ยมนษุ ย์ ทำ�นา รวมไปถึงการขอขมาทไี่ ด้ ด่าว่า เฆ่ยี นตี ในระหว่างการใชง้ าน ทางภาคเหนอื เรยี กว่า ฮอ้ งขวัญควาย เรียกขวญั ควาย หรือ เอาขวัญควาย ภาคอสี านเรียก ส่ขู วญั ควาย สุรนิ ทร์ เรียก ฮาวปลงึ กระไบ สงั คมไทยเปน็ สงั คมเกษตรกรรม การทำ�นาถอื ได้ว่าเป็นอาชีพหลกั ทสี่ �ำ คัญย่ิง โดยอาศัยแรงงานจากสตั ว์เลยี้ ง มาช่วยด้านการไถ การคราด สัตว์เลี้ยงท่ีว่านั้นคือ ควาย หรือวัว เม่ือได้ปลูกข้าวดำ�นาเรียบร้อยแล้ว ด้วยความ สำ�นึกในบุญคุณ เจ้าของจะทำ�พิธีบายศรีสู่ขวัญควาย ให้ควายกินหญ้าอ่อน และเอาควายไปอาบน้ําขัดสีฉวีวรรณ เอาอกเอาใจ เอาดอกไม้ ธูปเทยี นไปขอขมา โครงสร้างและเนอื้ หาของ บทสูข่ วญั ควาย ได้สะทอ้ นทัศนคติและลักษณะนิสยั ของคนไทย ดังน้ี ประการท่ี ๑ ความกตัญญูรู้คุณ คนไทยถือว่าควายเป็นสัตว์ใหญ่ และมีบุญคุณแก่ตน เพราะช่วยในการไถ การท�ำ ไรน่ า ประการท่ี ๒ ความเมตตากรณุ า บทท�ำ ขวัญควายสะท้อนความร้สู กึ เมตตากรุณาตอ่ ควาย ในค�ำ สู่ขวญั ควาย กลา่ วถงึ การเอาหญ้าออ่ นหวานอรอ่ ยมาใหค้ วายเคีย้ วกิน เปน็ การใหร้ างวัลแกค่ วาย ประการที่ ๓ ความสำ�นึกผดิ ทเ่ี คยรุนแรงตอ่ ควาย ในบทท�ำ ขวญั ควายไดก้ ลา่ วถึงวา่ ขณะทมี่ ีการไถนาอย่นู ั้น บางคร้ังควายเดินช้ามัวกินหญ้า ตามข้างทาง คนอาจจะตี ฟาดด้วยเชือก กระแทกด้วยปฏัก ควายได้รับความเจ็บ ปวดทรมาน แสนสาหสั กอ็ ดทนกลาํ้ กลืนไว้ เพราะพูดไม่ได้ ชาวนาร้สู ึกสำ�นึกผิด จงึ ท�ำ พธิ ีบายศรสี ูข่ วัญ เอาดอกไม้ ธปู เทยี นมาขอขมาวัวควายด้วย นับเปน็ คณุ ธรรมอนั ประเสริฐในหวั ใจของชาวนา ในแง่นพี้ ิธสี ขู่ วัญควายจึงเป็นพิธีที่ มนษุ ยข์ อขมาโทษ และปลอบขวัญควายซง่ึ เป็นสตั วเ์ ดรจั ฉาน พธิ สี ขู่ วญั ควายจงึ เปน็ พธิ ที ส่ี ะทอ้ นความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งมนษุ ยก์ บั ควายทเี่ ปน็ ไปดว้ ยความออ่ นโยน เออื้ อาทร และรสู้ กึ ในบญุ คณุ ควาย ประเพณสี ขู่ วญั ควายเปน็ ประเพณที ส่ี มควรจะอนรุ กั ษเ์ พอ่ื ใหอ้ นชุ นรนุ่ หลงั ไดเ้ หน็ ภมู ปิ ญั ญา และจิตวิญญาณของบรรพชนไทย ในปัจจุบันวิถีการทำ�นาได้เปล่ียนแปลงไป ควายมีบทบาทน้อยลงอย่างมาก มเี ทคโนโลยอี ยา่ งอน่ื เขา้ มาแทนทคี่ วาย พธิ ที �ำ ขวญั ควายรวมถงึ บทสขู่ วญั ควายจงึ เสยี่ งตอ่ การสญู หายและการสบื ทอด ในอนาคต บทท�ำ ขวญั ควาย ไดร้ บั การขน้ึ ทะเบยี นเปน็ มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมของชาตปิ ระจ�ำ ปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๕๓ 129
บทท�ำ ขวญั ชา้ ง เรยี บเรยี งโดย วัฒนะ บญุ จบั ขวญั เปน็ สงิ่ ทไี่ มม่ ตี วั ตนแตม่ ผี ลตอ่ จติ ใจ โบราณเชอื่ วา่ ขวญั สงิ อยใู่ นตวั ตนและเปน็ สงิ่ ทที่ �ำ ใหเ้ จา้ ของขวญั ทกุ ข์ หรือสุขได้ หากมีเหตุที่ทำ�ให้ขวัญไม่อยู่กับตัวหรือออกไปเที่ยวเล่นจะมีเหตุร้ายเจ็บป่วยหรือมีเคราะห์กรรมและถ้า ตอ้ งการใหข้ วญั กลบั เขา้ สรู่ า่ งกายตอ้ งมพี ธิ ที �ำ ขวญั อนั หมายถงึ การท�ำ พธิ กี รรมเพอื่ เรยี กขวญั ใหก้ ลบั มาสเู่ จา้ ของขวญั ความเช่ือเร่ืองขวัญและพิธีทำ�ขวัญเป็นกระบวนการท่ีแสดงความผูกพันและความสัมพันธ์ในระบบเครือญาติ ระหว่างบุคคลกับครอบครัวและบุคคลกับชุมชน พิธีทำ�ขวัญปรากฏในทุกภาคของประเทศ โดยการทำ�ขวัญแบ่งได้ เปน็ ๓ ประเภท คือ ท�ำ ขวญั คน ทำ�ขวญั พืชและสัตวท์ ่ีสมั พนั ธก์ บั คน และท�ำ ขวญั ส่ิงของ การท�ำ ขวญั ชา้ ง จดั เปน็ การท�ำ ขวญั พชื และสตั วท์ มี่ คี วามสมั พนั ธใ์ นฐานะทเี่ ปน็ สตั วช์ นดิ นนั้ มคี ณุ ประโยชนต์ อ่ คนและต่อส่วนรวม โดยมีจดุ ประสงคเ์ พอื่ เสริมความเชือ่ มนั่ ร�ำ ลึกถงึ บุญคุณและเปน็ สิริมงคล ตัวอย่าง : บททำ�ขวัญชา้ ง ศรีศรีสวัสดี วันนี้เป็นวันดีเป็นวันสง่า ข้าจะเรียกเอาขวัญช้างแกล้วกล้าเลิศตัวดีงาม เจ้าอย่าเอาใจเป็นช้าง อทุ ามตวั บ่มีปลอก ขวญั เจ้าอยา่ เอาใจออกจากเถอื่ น อันฝงู เพื่อนเลน่ หมู่เคยกนิ ขวัญเจ้าอยา่ ใบวินหลายเถ่ือนอันฝงู เพ่ือนเล่นหมู่เคยกิน ขวัญเจ้าอย่าไปวินหลายเถื่อน ขวัญเจ้าอย่าไปเป็นเพื่อนหมู่วอกค่างกวางทรายคำ�ขวัญเจ้าจง มาสขุ สบายจิม เจ้าจงมากนิ กล้วยและข้าว อนั แตง่ ไวเ้ ตม็ ขนั เตม็ วา ช้างสทนั ต์กย็ งั บ่เท่า เขากระท�ำ อันใดบถ่ กู บ่แมน่ ก็ยังรลู้ นแลน่ กระทำ�อนั ใดบ่แมน่ กย็ งั รู้แสนสเคยี น เหมือนดังนกเขียนรอ้ งนั้นดาย บดั น้ีเจา้ อยา่ เอาใจเป็นชา้ งบด่ ีกดั ปลอก เจ้าอย่าไปออกองู อางแกวง่ ไกวตวั เจา้ อย่าไดไ้ กวหวั กวดั แกว่งแล่นไปมา เจ้าอย่าเยยี ะพาลาใจเกลียดให้เจ้ารู้ 130
เหมยี ดเชอื กอนั จกั ขอ้ งหลกั และตอ แมว้ า่ เชอื กเทา่ เชอื กไก่ เจา้ กอ็ ยา่ ไดค้ าบเคยี้ วใหย้ อ้ ยตกดนิ เจา้ อยา่ วนิ หลายเถอื่ น เดนิ ไป ใหเ้ จา้ คดิ ใจถงึ ทางบา้ น เจา้ ยา่ ขยี้ า่ นรตู้ นื่ เตน้ เรรน ถา้ วา่ เหน็ คนอยา่ เรรนราํ่ รอ้ ง ถา้ วา่ ไดย้ นิ เสยี งกลองและเสยี ง ฆ้อง ท้งั เสียงพิณพาทยแ์ ละมโหรรี มย์ ทง้ั ฟ้ารวนร้อง และลมฝน อย่าร้หู นตื่นเตน้ ตกใจ ท้ังบอกไฟและสินาดกอ้ งท้ัง ฟ้าร้องและลมตี ให้เจ้าตั้งใจให้ดีและมั่นเที่ยง อย่ารู้คว่ำ�อัยไปมา ข้าก็ตกแต่งภาชนดาเครื่องพร้อม มาต้อนรับรอง เอาขวญั เจา้ มากนิ มีทัง้ เส่อื ด�ำ นิลผนื งามลาํ้ เลศิ ผา้ ผนื ประเสรฐิ อันเกดิ จากเมอื งสวรรค์ ผา้ แดงผนื ยาววา ผ้าขาวหนา พอขนาด มีท้งั เงนิ ห้าบาท พร้อมหมากพลเู ทยี น ขา้ กต็ กแต่งเบยี นภาชนะโตกต้งั ไว้แล้ว ขา้ ขออญั เชิญขวัญชา้ งมงคล แกล้วกลา้ พอมากนิ กอ่ นเทอญฯ โอมสทิ ธฺ กิ จิ จฺ ํ สทิ ธฺ กิ มมฺ ํ สทิ ธฺ ลิ าภํ ชยมงคฺ ลํ อมสมมฺ าธมิ า กกุ กฺ มุ ามาฯอชชฺ ในวนั นกี้ เ็ ปน็ วนั ดี มฤี กษก์ ง็ ามมยี าม กป็ ลอด วนั นเ้ี ปน็ วนั ยอดพระยาวนั ขา้ จะเรยี กเอาขวญั ชา้ งหมากเตา้ งาแหลม กม็ ใี นวนั นี้ ขา้ จกั เรยี กเอาขวญั ชา้ งแขม งามงั กใ็ หม้ าในวนั นี้ จกั เรยี กเอาขวญั ชา้ งทน่ี ง่ั มงคล กใ็ หม้ าวนั น้ี ขวญั ชา้ งเทยี นตวั หลงหนไี ปเปน็ เปน็ เพอ่ื นชา้ งเอราวณั กใ็ หม้ าวนั นี้ ขวญั ชา้ งสทนั ตเ์ ปน็ เพอ่ื นอยใู่ นเถอื่ นกวา้ งพมหพานต์ กใ็ หม้ าในวนั น้ี ขวญั เจา้ อยา่ ไปเปน็ เพอื่ นชา้ งสารอยู่ กลางดงไพรป่ากว้าง ก็ใหม้ าวนั นี้ พอ่ หมอสเบียงมอบหมอเถ้า อนั ทา่ นคลอ้ งเจา้ มาหัวที เขาไปไล่เลยเจ้ามาวนั นี้ แม้ ขวญั เจา้ ไดต้ กใจ ปางเมอ่ื หมอพษิ ณเุ อาหนงั ประก�ำ ขน้ึ หอ้ ย ปางเมอื่ เจา้ ยงั นอ้ ยแอว่ เถอ่ื นทวยแมไ่ ปมา บดั นเี้ จา้ กไ็ ดค้ า จากเถ่ือน ได้มาเปน็ เพือ่ นเป็นฝูง ขอขวญั เจา้ มาอยูก่ ับตน แม้ว่างวั กระทงิ ทนอย่าได้พาลา แรดร้ายอยา่ พาหนี เสือหมี อยา่ ไดพ้ าเอา ขวัญเจา้ ลา แมว้ ่าสัตวร์ า้ ยอนั อย่ใู นปา่ เจา้ กอ็ ย่าไดจ้ ากพอ่ แม้วา่ เขาสับเขาฟันด้วยพร้าและขอ ขวัญเจา้ กอ็ ย่าอ่อนลืม ขา้ ก็เรยี กเอาขวัญเจ้าหนหน่ึง แลว้ ก็ลืมแถมถวน ถวนขวัญเจา้ อย่าไปตกใจหมองตํ่าค้อย ปางเม่อื เจา้ ได้ เป็นชา้ งนอ้ ยแอ่วลาเล่นกลางดงไพร บัดนไี้ ด้มาเป็นชา้ งในเมอื งมนษุ ย์โลก บดั น้ขี า้ ก็ยกเอาภาชนะโคก เข้ารบั รองเอา ขวญั เจ้ามาเสวยกอ่ นเทอญฯ อชชฺ ในวนั นก้ี เ็ ปน็ วนั ดศี รวี นั ขน้ึ เปน็ วนั ถงึ พน้ื อกั นษิ ฐา บดั นขี้ า้ กต็ กแตง่ ดาพราํ่ พรอ้ ม เพอ่ื วา่ จกั มาท�ำ ขวญั เจา้ มีท้ังหม่อมเถ้าพรํ่าพร้อมหมู่นารี ทั้งข้าวของเงินคำ�ดีตั้งใบเบียนภาชนะโตก ราชโชคสวาทัตถสีลคุณค้องมีท้ังเงินคำ� เต็มถงุ สพาด มที งั้ กลว้ ยออ้ ยอาดเตม็ พา มีทง้ั เหล้ายาหลายเหลือยิง่ บัดน้ีหมอฤทธ์ใิ หญผ่ นู้ ่ังคอกจ็ ักเสียไพกว็ า่ มีดีใน วนั น้ี หมอเถ้าผู้เพอ่ื นคอ้ ง เจ้านั่งอยู่ท่าเสียไพ กว็ ่าดีในวันน้ี หมอไถ้เขาอยูค่ อยสอนช้าง ก็จงิ ทักช้างร้ายหมจู่ งั ไร มที ง้ั ฟางไฟจับหนา้ ผาก ก็ให้หายเสยี ในวนั น้ี ทั้งตวั หางขออยปู่ ากอ้าอมโลบอมฝอย กใ็ ห้หายเสยี ในวันนี้ มที ้ังตวั หากา่ น ปากอมถา่ นลน้ิ กา่ นปลอ้ งหมขู่ ยุ ตมุ มที ง้ั ขมุ ผจี บั หนา้ ผาก หหู วากหวดิ หวขี นึ้ บงั่ คอ กใ็ หห้ ายเสยี วนั นี้ มที งั้ หวั หางขอนอ ใตท้ อ้ งลน้ิ กา่ น ปลอ้ งหมอเถา้ กว็ า่ จงั ไร มที ง้ั ถวนไฟจบั สขี า้ ง มา่ นกง้ั หมสู่ ามหาว ชา้ งตาขาวขย้ี า่ น กใ็ หห้ ายเสยี ในวนั น้ี ช้างขาห้วนช้างขาเหง็ ทัง้ ชา้ งหเู ง็งพิวเพลา มนั ช้างตำ�เขา้ แกวง่ ไกวตนี ก็ใหห้ ายเสียในวันน้ี แรกแต่นไ้ี ปหนา้ ให้ขวญั เจา้ กลา้ ผาบแพแ้ กศ่ ตั รู บัดนผี้ ้ขู ้ากต็ กแต่งเครื่องพรอ้ ม มาตอ้ นมารบั รองเอาขวญั เจ้าแล้ว จงมาอยกู่ ับเน้อื กับตัวเจ้า ทกุ คํ่าเช้าวันยาม กอ่ นเทอญฯ ปจั จบุ นั ยงั คงมกี ารท�ำ ขวัญช้างในพนื้ ที่ท่ยี ังคงใชช้ ้างทำ�งาน เชน่ เชยี งใหม่ ลำ�ปาง สุรินทร์ ตรัง ทั้งยังเปน็ ทุน ทางวัฒนธรรมเพอ่ื สง่ เสรมิ การท่องเทย่ี วด้วย บทท�ำ ขวญั ชา้ ง ไดร้ บั การขน้ึ ทะเบยี นเปน็ มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมของชาตปิ ระจ�ำ ปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๕๗ 131
บททำ�ขวญั นาค เรียบเรียงโดย วัฒนะ บุญจับ ตามประเพณีไทย เมือ่ ชายอายุครบ ๒๐ ปี ถอื ว่าถึงเกณฑจ์ ะบวชพระ ผใู้ หญ่กจ็ ะจัดการใหบ้ ุตรหลานของตน บวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ช่วงเวลาที่นิยมบวชกันคือ ก่อนเข้าพรรษา ใช้เวลาบวชประมาณ ๓ เดือน กอ่ นหนา้ นน้ั ฝา่ ยผบู้ วชจะไปหาเจา้ อาวาสหรอื พระผเู้ ปน็ อปุ ชั ฌายเ์ พอ่ื ขอใหส้ อนทอ่ งบทสวดขานนาค เมอื่ ถงึ วนั งาน เจา้ ภาพจะจดั งานสมโภช หรอื ที่เรียกว่า “ท�ำ ขวัญนาค” ก่อนบวช ๑ วัน ในการท�ำ ขวญั นาค“เจา้ นาค”ซงึ่ โกนหวั โกนควิ้ โกนหนวดโกนเคราตดั เลบ็ เรยี บรอ้ ยแลว้ นงุ่ หม่ ดว้ ยเครอื่ งแตง่ กาย ทงี่ ดงาม นงุ่ จีบ ดว้ ยผา้ ยกทอง ใสเ่ สือ้ ครยุ ปกั ทอง สไบเฉยี งทางไหลซ่ า้ ย คาดเขม็ ขดั ฯลฯ จากนัน้ ไปนง่ั หนา้ บายศรี หมอทำ�ขวัญนาคจะอ่าน คำ�ท�ำ ขวญั นาค ตามทำ�นอง ตง้ั แตบ่ ทไหว้ บทชมุ นุมเทวดา บทนะโม บทไหว้ครู และ บท คณุ มารดา และบทเชญิ ขวญั นาค ครน้ั ไดฤ้ กษด์ กี จ็ ะน�ำ นาคเขา้ ขบวนแห่ ไปทว่ี ดั ถา้ เจา้ ภาพมฐี านะดกี จ็ ะจดั ขบวนแห่ อย่างใหญโ่ ต มีเถิดเทิง กลองยาวและการละเลน่ เลก็ ๆ นอ้ ยๆ ร่วมขบวนแห่ ส่วนนาคจะเดินไป หรอื จะข่คี อคนหรอื นง่ั บนสัตว์พาหนะ เช่น ชา้ ง ม้า บททำ�ขวัญนาค โดยทั่วไป แบ่งออกเป็น บทไหว้ครู บทกำ�เนิดนาค บทคุณมารดา บทขนานนามนาค บทสอนนาค บทชมบายศรี และ บทอัญเชญิ ขวญั 132
ลักษณะเด่นของบททำ�ขวญั นาคอยูท่ ี่ช่วงสรรเสริญบญุ คุณมารดา ซ่งึ พรรณนาดงั ตัวอยา่ งว่าดังนี้ “พอมีลมกัมมัชวาตมาพัดพาเป็นยามปลอด ....... พ่อร้อยชั่งพ่อก็คลอดเคลื่อนออกมา เป็นเพศชาย รา่ งโสภางาม ยงิ่ นัก ........ แม่นีใ้ หแ้ สนนึกรักดงั ดวงใจ เอาลงอ่างอาบนํ้าใส แลว้ ขัดสี ...... ขม้นิ ดนิ สอพองขยชี้ โลมถู แลว้ ก็นาพอ่ ลงใสอ่ ู่ เปลที่นอน ........ ยามเมอ่ื เจ้ารอ้ งไหอ้ อ้ นทาโยเย แม่กแ็ กว่งไกว เปลแล้วเห่กล่อม ... หากเมื่อยาม พ่องามละม่อมเจ้าผวา แมก่ ็ กอดเจ้าเขา้ ไว้แนบอุราอกสัมผสั ........ ในเมอ่ื เจา้ นเ้ี ปน็ หวดั ไดร้ ัดรุม แมก่ จ็ ะหายาเอาสุม ให้ผอ่ นคลาย ........จนพอ่ เติบโตเจรญิ วยั ถึงเพียงน้.ี ..” อาจกล่าวได้วา่ ประเพณที �ำ ขวญั นาคกค็ ือพิธีให้ความสำ�คญั กับผ้เู ปน็ แม่ ดงั ปรากฏเด่นชดั ใน บททำ�ขวัญนาค แม้ในปัจจุบันนี้ยังมีการสืบทอดประเพณี การทำ�ขวัญนาค แต่การทำ�ขวัญนาคท่ีมีเนื้อหาสาระดีๆ น้ัน กลับใช้เวลา ในการประกอบพิธีส้ันลง หมอขวัญท่ีจะร้องคำ�ขวัญนาคได้ไพเราะกินใจก็มีน้อยลงทุกวัน และเพลงประกอบพิธี ท�ำ ขวญั นาคก็ถูกแทนท่ีด้วยเพลงลกู ทุ่งเพ่ือสรา้ ง ความสนุกสนานแก่ผูร้ ่วมประกอบพธิ แี ทบจะทุกทอ้ งถ่นิ บทท�ำ ขวญั นาค ไดร้ บั การขน้ึ ทะเบยี นเปน็ มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมของชาตปิ ระจ�ำ ปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๕๓ 133
บทเวนทาน เรียบเรยี งโดย รองศาสตราจารย์ทรงศกั ดิ์ ปรางคว์ ฒั นากลุ บทเวนทาน เปน็ ค�ำ กลา่ วรายงานในการถวายทานสงิ่ ของหรอื ศาสนสถานใหแ้ กพ่ ระพทุ ธศาสนาอยา่ งละเอยี ด ให้ผู้มาร่วมงานได้ทราบ ใช้ประกอบในพิธีกรรมถวายทานของล้านนาที่สำ�คัญๆ บทเวนทาน จึงเป็นวรรณกรรมท่ีมี ลกั ษณะเฉพาะของลา้ นนา เนอื่ งจาก บทเวนทาน เปน็ วรรณกรรมทมี่ หี ลายส�ำ นวน บางครงั้ ในพน้ื ทตี่ �ำ บลเดยี วกนั อาจมสี �ำ นวนทแี่ ตกตา่ ง กนั มากกว่าสบิ ส�ำ นวน ดงั นนั้ หากมองในภาพรวมของล้านนาทัง้ หมด อาจมไี มต่ ํ่ากว่ารอ้ ยส�ำ นวน หรือหากสำ�รวจกัน อยา่ งจริงจงั แล้วอาจมมี ากกว่าพนั ส�ำ นวนกเ็ ปน็ ไปได้ ดังนน้ั ผู้แต่งบทเวนทานจงึ มหี ลากหลายมาก แต่ละส�ำ นวนก็จะ มีผู้แต่งแตกต่างกันไป ส่วนใหญ่จะเป็น “ปู่จารย์” (คือ อาจารย์ผู้ประกอบพิธี) และต้องมีประสบการณ์ ตลอดจน มีความชำ�นาญด้านการกล่าวคำ�เวนทานมากพอสมควร จึงจะแต่งบทเวนทานได้ นอกจากปู่จารย์แล้วพระสงฆ์หรือ ฆราวาสที่มีความรคู้ วามสามารถด้านการกลา่ วคำ�เวนทานกส็ ามารถแตง่ บทเวนทานได้ การบนั ทึกหรือคัดลอก บทเวนทาน พบอยู่ ๓ รูปแบบ คือ บนสมุดกระดาษสา (เรียกวา่ “พับสา”) สมุดบนั ทึก และในรูปของสิ่งพิมพ์ ลักษณะการแต่งจะเริ่มต้นด้วยร้อยแก้วภาษาบาลี กล่าวนมัสการพระรัตนตรัย ตามด้วย ค�ำ ประพนั ธ์ภาษาท้องถน่ิ ลา้ นนาประเภทร่าย แล้วปดิ ท้ายดว้ ยการกล่าวถวายทานเป็นรอ้ ยแก้วภาษาบาลี 134
เน้ือหาของ บทเวนทาน จะเริ่มด้วยการกล่าวนมัสการพระรัตนตรัย หรือท่ีคนล้านนาเรียกว่า “ยอคุณ พระรัตนตรัย” จากน้ันกล่าวถึง โอกาสในการถวายทาน รายละเอียดเก่ียวกับสิ่งของถวายทาน “เจ้าศรัทธา” คือผู้ถวายทาน ระบุถึงความต้ังใจว่าต้องการถวายทานให้แก่พระรัตนตรัย พร้อมทั้งอาราธนาให้พระรัตนตรัยมารับ เอาสงิ่ ของถวายทาน อทุ ศิ สว่ นบญุ สว่ นกศุ ล ค�ำ ปรารถนา และจบลงดว้ ยค�ำ กลา่ วถวายเปน็ ภาษาบาลี เนอื้ หาในแตล่ ะ ส่วนอาจมกี ารสลบั ตำ�แหนง่ กอ่ นหลงั กนั บ้าง หรอื บางสำ�นวนอาจขาดเน้อื หาบางส่วนไปกไ็ ด้ ดงั ตัวอยา่ งบทเวนทาน ในงานบวช ตอ่ ไปนี้ ตัวอยา่ งบทเวนทาน ยอคุณพระรัตนตรัย) กต ปญุ ฺญ อปุ สมฺปทากมฺม อปุ ถมฺภทาน อนุโมทน สาธุ โอกาส ขา้ แดพ่ ระแก้วสามประการ บดั นี้องค์ทา่ นได้ปรนิ ิพพานไปแล้ว ยังเหลอื แต่สารูปแกว้ และค�ำ สอน (เจา้ ศรัทธา) บัดนี้ศรัทธาผู้ขา้ ทังหลาย อันมาสันนิบาตในอาวาสมณฑล หมายมี…………….เปน็ ปฐมมลู ศรทั ธาเคล้า พรอ้ มด้วยลูกเต้าเผา่ พนั ธวุ์ งศา ญาติกาพีน่ ้อง (โอกาสในการถวายทาน) ไดม้ ีพรอ้ มผา้ หน้าบุญ แผ่ผายไปรอด พิมพบ์ ตั รสอดซองงาม จัดท�ำ ตามรอยรีต ตามเสน้ ขดี ประเพณีเดิม เพ่ือส่งเสริมการเปก๊ บวช สร้างผนวชเป็นชี ฤกษย์ ามดีผอ่ งแผ้ว ไดล้ ูกแกว้ เลศิ เชยี งคราญ (สิ่งของถวายทาน) ก็หากสมดั่งคำ�ปรารถนาแห่งผขู้ ้า จึงพากันนอ้ มหน้าถวายเคร่ืองทาน สัพพะบริวารอันลา้ เลศิ อันเกดิ ดว้ ยศรัทธา (ระบุถงึ ความต้งั ใจวา่ ตอ้ งการถวายทานให้แกพ่ ระรัตนตรยั ) ขอถวายแกพ่ ระรัตนาสามองคบ์ ่เศรา้ พระแกว้ เจ้าสามองค์ พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ ทังพระภิกขอุ งค์เป๊กใหม่ (คำ�ปรารถนา) ขอหอื้ ผขู้ า้ ทงั หลายไดเ้ สพสรา้ งเสวยผล ยงั อานสิ งสเ์ หมอื นดงั่ อรยิ สปั ปรุ สิ เจา้ ทงั หลาย อนั เกดิ แลว้ เป็นมา อย่าไดค้ ลาไดค้ ลาด นัน้ จงุ่ จักมีเท่ียงแท้ดหี ลี ………………….. (อุทศิ สว่ นบุญสว่ นกุศล) 135
……………………….. บญุ ญราศศี รัทธาผขู้ า้ ทังหลายกระทำ�ไดแ้ ลว้ ขอแผผ่ ายนาบุญไปรอด พระอนิ ทรพ์ ระพรหม พระยายมราช ครุฑนาคนา้ ไอศวร ท้าวจตุโลกทงั ส่ี (กลา่ วถวายทานเปน็ ภาษาบาล)ี ทนี ผี้ ขู้ า้ ขอเวนวางตามมคธภาษาบาลีแทนในนามแหง่ พอ่ แมพ่ น่ี อ้ งศรทั ธาทงั หลายวา่ อมิ านิมยภนเฺ ต ……………..…….. อมฺหาก ฑีฆรตตฺ หิตาย สุขาย ยาว นพิ พฺ านาย สงฺวตตฺ นตฺ ุ โน บทเวนทาน เป็นวรรณกรรมที่คนล้านนาในยคุ ปจั จุบนั ยงั ใช้อยู่และใช้กนั อย่างแพร่หลายในทุกพน้ื ที่ ลักษณะ ภาษาเข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน ไม่มีสำ�นวนท่ีเป็นแบบฉบับตายตัว แต่ละสำ�นวนจึงมีความหลากหลายและมีเสน่ห์ แตกตา่ งกนั ไป เชน่ บางส�ำ นวนมกี ารสอดแทรกเรอื่ งราวในทอ้ งถนิ่ ลงไป บางส�ำ นวนแตง่ ดว้ ยภาษาทฟี่ งั แลว้ ไพเราะรน่ื หู บางสำ�นวนมีเนื้อหาสะเทือนใจ บางสำ�นวนแต่งเพื่อเอื้อประโยชน์ ให้ผู้กล่าวได้แสดงความสามารถในการใช้เสียง อย่างเตม็ ท่ี เปน็ ตน้ คณุ คา่ และความส�ำ คญั ของ บทเวนทาน ทม่ี ตี อ่ คนและสงั คมลา้ นนา เปน็ การกลา่ วรายงานเกยี่ วกบั รายละเอยี ด ในการถวายทานคร้ังนั้นๆ ให้ผู้มาร่วมงาน ได้ทราบ แสดงให้เห็นว่าการทำ�บุญถวายทานเสร็จส้ินสมบูรณ์แบบแล้ว กล่าวคือ คนลา้ นนาจะเชอื่ ว่าในการทำ�บุญถวายทานครั้งใด หากยงั ไมไ่ ด้มีการกล่าวค�ำ เวนทาน ถือว่ายังไม่เสร็จสิน้ ข้นั ตอน (ภาษาท้องถิ่นเรียกว่า “ไมแ่ ล้วใจ” หมายถงึ ยงั เกิดความร้สู ึกคา้ งคาใจอยู่) อีกทงั้ ยงั แสดงถึงความศักดิส์ ทิ ธ์ิ ของพิธีกรรม เพราะคนล้านนาเช่ือว่าเม่ือมีการกล่าวบทเวนทานก็จะทำ�ให้พิธีกรรมน้ันดูศักดิ์สิทธ์ิมากกว่าการยก เครื่องไทยทานไปประเคนแตเ่ พยี งอย่างเดียว นอกจากนนั้ ยงั เชือ่ ว่าการกล่าวเวนทานเปรียบเสมอื นสอื่ ที่จะเช่ือมโยง ให้อานิสงส์อันเกิดจากการถวายทานในคร้ังนั้นส่งต่อไปถึงผู้ท่ีอยู่อีกภพภูมิหน่ึงซึ่งอาจจะเป็นเทพ เทวดา หรือ ดวงวญิ ญาณ ผูท้ ลี่ ่วงลบั ไปแลว้ ใหไ้ ดร้ ับอานสิ งส์เหลา่ น้นั ดว้ ย และยงั เปน็ ช่องทางในการสอดแทรกความรใู้ หแ้ ก่ผู้ฟัง โดยเรอ่ื งทจ่ี ะน�ำ มาสอดแทรกลงไปนนั้ ขน้ึ อยกู่ บั ผแู้ ตง่ แตล่ ะส�ำ นวนจะเหน็ วา่ มคี วามเหมาะสม ซงึ่ อาจมที งั้ การอธบิ าย ถึงมลู เหตุในการประกอบพธิ กี รรม การใหค้ วามร้แู ละเสรมิ สร้างปัญญาแกผ่ ้ฟู ัง การปลกู ฝงั ทศั นคตแิ ละแบบแผนใน การปฏิบัติตนเน่ืองในพิธีกรรมตา่ งๆ เปน็ ตน้ บทเวนทาน ได้รบั การขึน้ ทะเบียนเป็นมรดกภมู ิปญั ญาทางวฒั นธรรมของชาติประจ�ำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๖ 136
สำ�นวน ภาษติ 137
ผญาอสี าน เรยี บเรยี งโดย รองศาสตราจารยช์ ลธชิ า บำ�รุงรักษ์ “ผญา” เป็นภมู ิปญั ญาประเภทหน่ึงทป่ี รากฏในท้องถ่นิ ภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ หรือภาคอสี าน หมายถงึ ค�ำ คม คำ�พดู หรือถ้อยค�ำ ของนักปราชญอ์ สี าน กล่าวกันว่า “ผญา” มาจากค�ำ ว่า “ปัญญา” หรือ “ปรัชญา” ค�ำ ผญา เป็นค�ำ พดู ทคี่ นอีสานนิยมใชพ้ ดู จาหรอื บอกกลา่ วกนั มกั มีความหมาย โดยนยั หรือเชิงเปรยี บเทียบทีแ่ สดงให้เหน็ ถึง ปญั ญา ปรชั ญา วธิ คี ดิ ความชาญฉลาดของคนอสี าน ผญาอสี าน เกดิ จากสาเหตหุ ลายประการ คอื จากขนบธรรมเนยี ม ประเพณี จากหลักธรรมค�ำ สอนทางพุทธศาสนา จากคำ�สอนของปู่ยา่ ตายาย ทีส่ บื ทอดกนั มา จากการเกี้ยวพาราสี ของหนุ่มสาว จากการละเล่นของเด็กในท้องถ่นิ จากนทิ านพ้ืนบา้ น และจากสภาพแวดล้อมต่างๆ 138
รูปแบบโครงสร้างของ ผญาอีสาน มีท้ังแบบมีสัมผัสและไม่มีสัมผัส คนอีสานในอดีตใช้ผญาในโอกาสต่าง ๆ ทว่ั ไป ทง้ั ในงานประเพณี หรอื ในกจิ กรรม ทางสงั คมตา่ ง ๆ เชน่ ในพธิ ที �ำ บญุ งานแตง่ งาน ในการละเลน่ พน้ื บา้ น หรอื แมใ้ นชวี ติ ประจ�ำ วนั การแสดงพน้ื บา้ น เชน่ หมอล�ำ จะมผี ญาสอดแทรกอยมู่ าก ผญาอสี านแบง่ ไดห้ ลายประเภทตาม ความหมายและการตคี วามเนอ้ื หาของผญา เชน่ ผญาเกย้ี ว เปน็ ค�ำ พดู ทหี่ นมุ่ สาวใชพ้ ดู จาเกยี้ วพาราสหี รอื หยอกลอ้ กนั อาจเป็นคำ�เปรียบเปรย หรือมีความหมายได้หลายทาง ผญาคำ�สอน เป็นผญาที่ส่ังสอน หรือชี้แนะแนวทางในการ ประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ ผญาปรชั ญา หรอื ปรศิ นา เปน็ ค�ำ พดู ทต่ี อ้ งมกี ารตคี วามใหเ้ ปน็ รปู ธรรมอกี ตอ่ หนงึ่ และ ผญาสภุ าษติ หรอื ผญาภาษติ เปน็ ค�ำ พดู ทเี่ ป็นข้อเตอื นใจและช้แี นะใหค้ นในสังคมประพฤติปฏิบัตติ นให้เหมาะสม ในปจั จบุ นั ผญาอสี าน มผี ใู้ ช้ นอ้ ยลงทกุ ขณะ และมบี ทบาทลดลง ทกุ ที ครหู มอล�ำ จำ�นวนมากก็ไม่ได้ ใช้คำ�ผญาในการแสดงเหมือนเช่น แตก่ อ่ น ผู้กล่าวผญามกั เป็นผสู้ งู วยั ผญาจึงอยู่ในภาวะเส่ียงสูงต่อการ สญู หาย ทปี่ รากฏใชก้ อ็ ยใู่ นลกั ษณะ ก ร ะ จั ด ก ร ะ จ า ย ท่ั ว ไ ป ใ น ภ า ค ตะวันออกเฉียงเหนือ นอกจากน้ี การเกบ็ รวบรวมค�ำ ผญา การแสดง ความหมายของค�ำ ทปี่ รากฏในผญา การตคี วามค�ำ ผญาทง้ั บท และ การ จัดเก็บค�ำ ผญาให้เป็นหมวดหมู่เทา่ ที่มีอยู่ยังมีความหลากหลาย และ ยงั ไมส่ มบรู ณ์ ชุมชนท่ีพบว่ามีการรวมตัว กันสบื ทอด ผญาอสี าน เช่น จงั หวดั ขอนแก่น จงั หวดั กาฬสนิ ธุ์ จังหวัด มกุ ดาหาร และจงั หวดั อบุ ลราชธานี แต่อย่ใู นลักษณะ ต่างคนตา่ งท�ำ ยัง ไม่มีการร่วมมือกันในระดับกว้าง เท่าใดนัก ผญาอีสาน ได้รับการ ข้ึนทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญา ทางวัฒนธรรมของชาติประจำ�ปี พุทธศักราช ๒๕๕๖ 139
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178