Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วรรณกรรมพื้นบ้าน

Description: วรรณกรรมพื้นบ้าน

Search

Read the Text Version

ตำ�นาน กบกนิ เดอื น พบในกลมุ่ ไทยอสี านและไทยยวนล้านนา รวมทั้งกลุ่มคนลาวในประเทศลาว และไทดำ� ไทขาวในเวยี ดนามดว้ ย ทงั้ นเ้ี รอื่ ง กบกนิ เดอื นกบกนิ ตะวนั เปน็ เรอื่ งราวทสี่ รา้ งสรรคข์ นึ้ มาจากคตคิ วามเชอ่ื ทม่ี มี าแตเ่ ดมิ ของกลมุ่ คนไท ซง่ึ ยงั คงมกี ลนิ่ อายของการนบั ถอื ธรรมชาตแิ ละการนบั ถอื ผปี ะปนรวมอยดู่ ว้ ย ดงั จะเหน็ ไดจ้ ากรปู สตั ว์ สัญลักษณท์ ี่ท�ำ ให้เกิดเหตกุ ารณ์สุรยิ คราสและจนั ทรคราสคอื “กบ” ท่เี ป็นตัวละครทท่ี �ำ ใหเ้ กดิ ปรากฏการณ์น้ีขน้ึ มา ส่วนตำ�นาน ราหูอมจันทร์ เป็นเร่ืองราวท่ีได้รับอิทธิพลทางความเชื่อมาจากคติทางศาสนาที่มาจากประเทศ อินเดีย นั่นคือ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ดังจะเห็นได้จากคติท่ีเชื่อว่า “พระราหู” เป็นผู้ทำ�ให้เกิดสุริยคราสและ จันทรคราสขึ้น ดังมีปรากฏให้เห็นในเทวตำ�นานของอินเดียเร่ือง นารายณ์สิบปาง ท้ังหมดน้ีสะท้อนให้เห็นความ สมั พนั ธ์ระหวา่ งต�ำ นานกบั ศาสนาของกลุ่มคนไทย-ไทไดอ้ ยา่ งน่าสนใจ เนื้อหาของตำ�นานสุริยคราสและจันทรคราสของคนไทยในประเทศไทยและคนไทนอกประเทศไทยท่ีอธิบาย เหตอุ นั เปน็ ทม่ี าของปรากฏการณธ์ รรมชาตดิ งั กลา่ ว สามารถจ�ำ แนกไดเ้ ปน็ ๔ กลมุ่ คอื กลมุ่ เรอื่ งกบกนิ เดอื นกนิ ตะวนั พบในกลมุ่ ไทยอสี าน ไทยยวนลา้ นนา ลาว และไทด�ำ ไทขาวในเวยี ดนาม กลมุ่ เรอื่ งทอ่ี ธบิ ายวา่ พน่ี อ้ งทชี่ อ่ื สรุ ยิ ะ จนั ทร์ และราหทู ะเลาะกนั เพราะแยง่ กนั เอาขา้ วสวยไปใสบ่ าตรพระทมี่ าบณิ ฑบาต จงึ อาฆาตแคน้ และไป “บงั กนั ” อนั ท�ำ ให้ 40

เกิดปรากฏการณ์ “คราส” พบในกลมุ่ คนไทพา่ เก ไทใตค้ ง ไทใหญ่ ไทเขนิ ไทลอื้ และไทยยวนลา้ นนา กลมุ่ เรื่องท่ี อธบิ ายว่าพ่ีน้องไปเยยี่ มเยอื นกัน พบในกลมุ่ คนไทยอสี าน และลาว และสุดท้าย กลุม่ เรอ่ื งราหูอมจนั ทร์ พบมากใน กลมุ่ คนไทยภาคกลางและไทยภาคใตข้ องประเทศไทย กลมุ่ เรอ่ื งต�ำ นานสรุ ยิ คราสและจนั ทรคราสทง้ั ๔ แบบนส้ี ะทอ้ น คตคิ วามเชอื่ ทางศาสนาของชนชาตไิ ท กลา่ วคอื กลมุ่ เรอ่ื งกบกนิ เดอื นกนิ ตะวนั เปน็ ความเชอื่ ดงั้ เดมิ ทมี่ มี าแตเ่ ดมิ ของ คนไทกอ่ นการรบั นบั ถือพทุ ธศาสนา สว่ นกลุ่มเรื่องพ่ีน้องทะเลาะกันและกลุม่ เรื่องพีน่ อ้ งไปเย่ียมเยอื นกัน เปน็ เรอื่ งที่ ไดร้ ับอทิ ธิพลทางพุทธศาสนา กลุม่ เร่ืองสุดทา้ ยคือราหอู มจนั ทร์ เปน็ กลุ่มเร่อื งทไี่ ด้รับอทิ ธพิ ลทางความคิดความเชอื่ มาจากศาสนาพราหมณ-์ ฮนิ ดู อนึ่ง กลุ่มเรื่องแบบต่างๆ ข้างต้นของตำ�นานสุริยคราสและจันทรคราสยังสามารถบ่งบอกความสัมพันธ์ทาง วฒั นธรรมของกลมุ่ ชนชาตไิ ททง้ั ทอ่ี ยใู่ นประเทศไทยและนอกประเทศไทยได้ กลา่ วคอื คนไทดงั้ เดมิ ทก่ี ระจายกนั อยทู่ าง ตอนเหนอื ของภมู ภิ าคเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ รวมทง้ั คนไทยอสี านและคนไทยลา้ นนา ลว้ นมคี วามเชอื่ ดง้ั เดมิ เกยี่ วกบั การเกิดสุริยคราสและจันทรคราสว่าเกิดจาก “กบกินเดือน/กบกินตะวัน” แสดงให้เห็นว่ากลุ่มคนไทยอีสานและ กลมุ่ คนไทยลา้ นนา มคี วามสมั พนั ธใ์ กลช้ ดิ กบั คนไททอ่ี าศยั อยนู่ อกประเทศไทยมากกวา่ คนไทยภาคกลางและภาคใต้ ในแง่ความเช่ือและพิธีกรรมเกี่ยวกับสุริยคราสและจันทรคราสน้ัน พบว่าในบริบทของสังคมวัฒนธรรม ของคนไทย-ไทหลายกลมุ่ ยงั หลงเหลอื พฤตกิ รรมทแ่ี ฝงนยั ส�ำ คญั บางอยา่ งเกย่ี วกบั การเกดิ สรุ ยิ คราส และจนั ทรคราส ไมว่ า่ จะเปน็ การกระท�ำ พธิ กี รรม ศลิ ปกรรม ตวั อยา่ งเชน่ การตกี ลอง การตเี กราะเคาะไม้ พธิ สี ง่ ราหู หรอื งานศลิ ปะตาม ศาสนสถานต่างๆ ซึ่งยังคงมีสัญลักษณ์รูปกบและรูปราหูปะปนอยู่ด้วย อันสะท้อนให้เห็น การผสมผสานความคิด ความเช่อื ระหวา่ งความเช่อื ดั้งเดิมกับพทุ ธศาสนา ไดอ้ ยา่ งน่าสนใจ คตกิ ารเรยี กสรุ ยิ คราสและจนั ทรคราสวา่ “กบกนิ เดอื น/กบกนิ ตะวนั ” ซง่ึ ในต�ำ นานกลา่ ววา่ กบเปน็ ผมู้ ากลนื กนิ พระอาทติ ยแ์ ละพระจนั ทรไ์ ปจนท�ำ ใหเ้ กดิ อปุ ราคานนั้ นบั วา่ เปน็ ระบบความเชอื่ ดงั้ เดมิ ของคนไททม่ี รี ะบบคดิ เกย่ี วกบั อำ�นาจเหนือธรรมชาติผ่านสัญลักษณ์รูปกบศักดิ์สิทธ์ิเป็นหลักสำ�คัญ ดังจะเห็นได้จากการนับถือบูชารูปกบว่าเป็น ส่ิงศักดิ์สทิ ธ์บิ ้าง เปน็ บรรพบุรุษของมนษุ ย์บา้ ง เปน็ ตวั แทนของความอุดมสมบรู ณบ์ ้าง รวมทงั้ ยังเป็นสตั วท์ ่ีใชใ้ นเชิง พธิ กี รรมดว้ ย ดงั จะเหน็ ไดจ้ ากในประเพณบี ญุ บง้ั ไฟของชาวไทยอสี าน กจ็ ะมกี ารเทศนพ์ ญาคนั คากซง่ึ มสี ตั วส์ ญั ลกั ษณ์ ที่มีความคล้ายคลึงกับตัวกบที่โยงใยกับเร่ืองความอุดมสมบูรณ์แห่งน้ําฟ้าน้ําฝน หรือภาพเขียนสีโบราณตามผนังถ้ํา หลายแหง่ ในไทย กจ็ ะมรี ปู กลมุ่ คนยนื เตน้ ในพธิ กี รรม ท�ำ ทา่ ทางกางแขนกางขาคลา้ ยกบ รวมทงั้ หนา้ กลองมโหระทกึ ทม่ี ีรูปกบนน้ั ในบางถิ่นบางทีก่ ็จะเรยี กวา่ “กลองกบ” ดว้ ยเช่นกนั ตำ�นานกบกินเดือน ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ�ปีพุทธศักราช ๒๕๕๖ 41

ตำ�นานก่องขา้ วน้อยฆา่ แม่ เรยี บเรยี งโดย รองศาสตราจารยป์ ฐม หงษ์สวุ รรณ ตำ�นานเรื่อง ก่องขา้ วน้อย หรือบางทเี รียกวา่ ก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ เป็นนิทานอธิบายท่ีมาการสร้าง ศาสนสถาน คือ พระธาตุก่องข้าวน้อย ซ่ึงเป็นศิลปะ แบบขอม ตงั้ อยกู่ ลางทงุ่ นาบา้ นตาดทอง ต�ำ บลตาดทอง อำ�เภอเมือง จังหวัดยโสธร ท้ังน้ีคำ�ว่า “ก่องข้าว” หรอื กลอ่ งขา้ ว เปน็ เครอื่ งจกั สานทใ่ี ชเ้ ปน็ ภาชนะบรรจุ ข้าวเหนยี วน่งึ ของชาวอสี านและล้านนา ตำ�นานเรื่อง กอ่ งข้าวน้อยฆ่าแม่ มที ั้งประเภท มุขปาฐะและลายลักษณ์ (ใบลานและหนังสือ) เป็น นทิ านพน้ื บา้ นทร่ี บั รกู้ นั โดยทว่ั ไปในสงั คมไทย แมเ้ ชอ่ื วา่ จะมีที่มาจากนิทานพ้ืนบ้านของอีสาน แต่ในปัจจุบัน นิทานเร่ืองนี้ได้แพร่หลายและรับรู้กันอย่างกว้างขวาง ในสังคมไทย ทงั้ ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ นิทานเรื่อง ก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ มีเน้ือเรื่อง กล่าวว่าครั้งหน่ึง นานมาแล้ว มีแม่ลูกยากจนคู่หนึ่ง ต้ังบ้านเรือนอยู่ที่ชายทุ่ง มีอาชีพทำ�นา ลูกชาย เจริญวัยแล้วได้ช่วยแม่ทำ�นาและประกอบสัมมาชีพ 42

ต่างๆ เล้ียงดูมารดาซึ่งชราภาพมาก แล้ว ลูกชายเป็นคนขยันขันแข็งใน การงานพยายามที่จะกอบกู้ฐานะ ของครอบครัว ในฤดูทำ�นาลูกชายก็ ออกไปไถนาตงั้ แตเ่ ชา้ ตามปกตทิ กุ วนั ส่วนแม่เฒ่าก็เตรียมข้าวปลาอาหาร ไปส่งลูกที่ท้องนาทุกวัน อยู่มา วนั หนง่ึ ลกู ชายกอ็ อกไปไถนาตามปกติ สว่ นแมเ่ ฒา่ ตน่ื สายจงึ เตรยี มขา้ วปลา อาหารช้ากว่าทุกวัน ลูกชายไถนา อยู่ในนารู้สึกหิวข้าว แม่ก็ยังไม่มา ส่งข้าวเหมือนทุกวัน ลูกชายก็ได้ แต่คอยด้วยความหิว ก็ยังไม่เห็น แม่มาสักที คร้ันเมื่อแม่เฒ่ามาถึง พรอ้ มกบั กลอ่ งขา้ วทเี่ คยใสอ่ าหารมา ด้วยความหิวลูกชายจึงมองเห็น ก่องข้าวเล็ก นิดเดียว คงไม่พอกิน จึงเกิดโทสะที่คิดว่าแม่นาข้าวมา เพียงนิดเดียวจะทำ�ให้ตนไม่พอกิน แมช่ า่ งไมเ่ หน็ ใจทต่ี นพยายามท�ำ งาน เพ่ือกอบกู้ฐานะของครอบครัว ทั้ง ความหิวและความโกรธจนลืมตัว จึงได้หยิบไม้ท่อนหนึ่งมาตีแม่ แล้ว จงึ กนิ ขา้ ว จนอิม่ แตข่ ้าวก็ไม่หมดกลอ่ ง จงึ หวนคดิ ไดว้ า่ ตนหิวจนตาลาย ไดก้ ระท�ำ ร้ายแมไ่ ป จงึ รีบมาอุ้มแม่ขนึ้ แต่ ปรากฏวา่ แมไ่ ดส้ นิ้ ใจไปแลว้ เกดิ ความรสู้ กึ เสยี ใจทตี่ นไดท้ �ำ รา้ ยแมจ่ นถงึ ขนั้ มาตฆุ าต และไดม้ ามอบตวั สารภาพผดิ ตอ่ เจา้ เมอื ง และขอบวชเพอื่ ไถบ่ าป เจา้ เมอื งกอ็ นญุ าต เมอ่ื บวชกไ็ ดป้ ฏบิ ตั เิ ครง่ ครดั ในวนิ ยั จนชาวบา้ นตลอดจนเจา้ เมอื ง เลอื่ มใสมาก จงึ ถวายไมก้ วาดลานวดั ท�ำ ดว้ ยดา้ มทองค�ำ ภายหลงั จงึ เรยี กชอื่ หมบู่ า้ นนนั้ วา่ “บา้ นตาดทอง” พระภกิ ษุ รปู นไ้ี ด้เจริญภาวนาเป็นทเี่ ลอ่ื มใสของคนทว่ั ไป ทั้งประชาชนทอ่ี ยหู่ มู่บ้านอ่ืนๆ ท่านได้ตง้ั จิตท่ีจะสรา้ งพระธาตุเจดยี ์ เพือ่ ไถบ่ าปแกแ่ ม่ของตน ประชาชนทราบข่าวเรื่องนี้ ต่างก็มาช่วยกันสรา้ งพระธาตุเจดีย์ สงู ช่ัวลำ�ตาลจนสำ�เร็จ แล้ว เรยี กว่า “พระธาตุกอ่ งขา้ วน้อย” สืบมาจนทกุ วันนี้ 43

นอกเหนือจากสำ�นวนข้างต้นแล้ว ยังพบว่ามีเร่ืองเล่าประวัติความเป็นมาของการสร้างพระธาตุก่องข้าวน้อย อกี สำ�นวนหน่งึ ทีแ่ ตกตา่ งออกไป คอื มีเร่อื งเล่าวา่ มผี ู้คนในลุ่มแมน่ า้ํ มลู ส่วนหน่ึง ปจั จบุ นั อยู่ในเขตอ�ำ เภอรัตนบรุ ไี ด้ ทราบขา่ ววา่ มกี ารบรู ณะพระธาตพุ นมทจี่ งั หวดั นครพนม จงึ ไดพ้ รอ้ มกนั รวบรวมวตั ถมุ งคลสง่ิ ของมคี า่ เพอื่ หมายจะ น�ำ ไปบรรจุไวใ้ นองคพ์ ระธาตพุ นม ไดเ้ ดนิ ทางมาพกั อยู่ขา้ งๆ บ้านตาดทอง (บ้านตาดทอง อำ�เภอเมือง จงั หวดั ยโสธร ในปจั จบุ นั ) ในขณะนนั้ ชาวบา้ นสะเดาตาดทองทไ่ี ปชว่ ยบรู ณะพระธาตพุ นมไดเ้ ดนิ ทางกลบั มาถงึ บา้ นพอดี และไดแ้ จง้ ให้พวกท่ีมาพักทราบว่า การบูรณะพระธาตุพนมได้เสร็จส้ินลงแล้ว ผู้คนเหล่าน้ันจึงพร้อมใจกันสร้างพระธาตุเจดีย์ ครอบวัตถุอันมีค่าที่นำ�มานั้นไว้ ประกอบกับชาวบ้านสะเดาตาดทองก็ได้นำ�ถาดทองที่ใช้เป็นพานอัญเชิญวัตถุมงคล ไปบรรจุไว้ในองคพ์ ระธาตพุ นมมารองรบั วัตถุมงคลทญ่ี าติพี่น้องจากลุ่มแม่นํา้ มลู น�ำ มา แล้วช่วยกันกอ่ สรา้ งพระธาตุ เจดียบ์ รรจไุ ว้ ปจั จุบนั นิทานเรือ่ ง ก่องขา้ วนอ้ ยฆา่ แม่ เป็นท่รี ู้จกั กันอย่างแพรห่ ลาย ดงั ปรากฏในหลายรูปแบบ ไมว่ า่ จะเปน็ รปู แบบของหมอล�ำ เรอื่ งอสี าน ลเิ กของภาคกลาง ละครซอภาคเหนอื หนงั ตะลงุ เพลงลกู ทงุ่ เพลงแหล่ เทศนแ์ หลแ่ บบ อสี าน บทสวดสรภญั ญะ ล�ำ ซงิ่ ภาพยนตร์ ภาพจติ รกรรม วซี ดี กี ารแสดง และการต์ นู แอนนเิ มชน่ั ซง่ึ ลว้ นมกี ารน�ำ เอา โครงเรอ่ื งนิทานก่องข้าวนอ้ ยฆ่าแม่มาสรา้ งสรรค์ดัดแปลงเปน็ ขอ้ มูลทางวัฒนธรรมของไทยมาจนถงึ ทกุ วันน้ี ตำ�นานก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ ได้รับการข้ึนทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ�ปี พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๖ 44

ตำ�นานจามเทวี เรียบเรียงโดย รองศาสตราจารยร์ งั สรรค์ จนั ตะ๊ ต�ำ นานจามเทวี เปน็ ต�ำ นานประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถนิ่ ของอาณาจกั ร หรภิ ญุ ไชยและลา้ นนา ปรากฏอยทู่ ง้ั เรอ่ื งเลา่ แบบมขุ ปาฐะในส�ำ นวนของชาวบา้ น เขตเชยี งใหม่ ล�ำ พนู และล�ำ ปาง รวมถงึ วรรณกรรมลายลกั ษณเ์ รอ่ื ง จามเทววี งศ์ พงศาวดารเมืองหริภุญไชย เป็นหนงั สอื ที่รจนาขึน้ โดยพระโพธริ งั สี พระเถระ ชาวลา้ นนา ในชว่ งเวลาระหวา่ ง พ.ศ. ๒๐๓๙ – ๒๐๖๘ ในยคุ สมยั ของพระญา เมอื งแกว้ แหง่ ราชวงศม์ งั ราย ตน้ ฉบบั แตง่ เปน็ ภาษาบาลี แปลเปน็ ภาษาไทย โดย พระปรยิ ตั ธิ รรมธาดา (แพ ตาละลกั ษมณ)์ และพระญาณวิจิตร (สิทธ์ิ โลจนานนท์) เปรยี ญธรรม เน่ืองจากเนื้อหาของเรื่อง ตำ�นานจามเทวีวงศ์ มีเน้ือหาท่ีเกี่ยวกับประวัติการเข้ามาของพุทธศาสนาในเขต หริภญุ ไชย และเรื่องความเป็นมาของเมืองหริภุญไชย โดยเริม่ เรอ่ื งตามธรรมเนียมของตำ�นานศาสนาทัว่ ไปทเี่ ก่ียวกบั การเสด็จมาของพระพุทธเจ้าเพ่ือมาโปรดเวไนยสัตว์ในอาณาจักรหริภุญไชย ดังนั้นเนื้อหาจึงมีความเกี่ยวข้องกับ หนงั สอื ต�ำ นานศาสนาในเร่ืองอ่ืน ๆ อยดู่ ว้ ย เช่น ต�ำ นานพืน้ เมืองเชียงใหม่ ตำ�นานสงิ หนวตั กิ ุมาร ชนิ กาลมาลินี หรอื ชินกาลมาลปี กรณ์ ต�ำ นานมลู ศาสนา เหลา่ นเ้ี ป็นต้น 45

เน้ือเรื่องจากต้นฉบับภาษาบาลีและคำ�แปลของพระโพธิรังสี ฉบับ แปลโดยพระปริยตั ธิ รรมธาดา แบ่งเนอื้ หาออกเปน็ ๑๕ ปรเิ ฉท เน้ือความ โดยย่อจากเร่ืองทั้งหมด กล่าวถึงเรื่องท่ีพระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์สถานที่ ประดิษฐานพระเสรธี าตุ เรอื่ งการเกิดของพระฤาษี ๔ องค์ ฤาษวี าสเุ ทพกับ สุกกทันต์สร้างเมืองหริภุญชัยนคร พระฤาษีสุกกทันตฤาษี ขอนางจามเทวี ราชธิดาพระเจ้าละโว้ ไปครองหริภุญชัยนคร ต่อมามีพระยามิลักขุ ชื่อ ติลังกะ ยกทัพมาหวังจะยึดหริภุญไชยนคร พระเจ้ามหันตยศ เตรียมสู้รบ จนเป็นสงครามของสองกุมารกับพระเจ้ามิลักขราชจากนั้นเป็นเร่ืองของพิธี ราชาภเิ ษกพระเจา้ มหนั ตยศและอนนั ตยศตามดว้ ยการสรา้ งเมอื งเขลางคน์ คร การสร้างอาลัมพางคนคร จนถึงตอนท่ีพระนางจามเทวีส้ินพระชนม์แล้ว มลี �ำ ดบั กษตั รยิ อ์ กี ๒๘ พระองคท์ รงครองราชยส์ บื มา จากนนั้ วา่ ดว้ ยแผน่ ดนิ 46

พระเจ้าอาทิตยราชและสงครามพระเจ้าอาทิตยราชกับพระเจ้าละโว้และปริเฉทสุดท้ายว่าด้วยพระเจ้าอาทิตยราช พบพระบรมธาตุจนรุ่งเรอื งค่เู มืองหรภิ ญุ ชัยมาตราบทุกวันนี้ เรื่องราวทางประวัติศาสตร์เหล่าน้ี นอกจากจะมีการบันทึกในงานวรรณกรรมลายลักษณ์ทั้งในรูปของ ตำ�นานและประวัติศาสตร์โดยตรงแล้วยังปรากฏอยู่ในเรื่องเล่าและ ความทรงจำ�ของชาวบ้านในท้องถ่ิน เช่น ชาวบ้านหนองสลีก บ้าน หมูเป้ิง บ้านหนองดู่ ในเขตจังหวัดลำ�พูน เล่าว่า พระนางจามเทวี เป็นลูกสาวชาวบ้าน เกิดท่ีบ้านหนองดู่ อำ�เภอเมือง จังหวัดลำ�พูน นี้เอง ต่อมาได้ไปเรียนวิชาที่เมืองละโว้ และได้กลับมาครองเมือง หริภุญชยั ในภายหลัง นอกจากน้ยี ังมกี ารรจนาบทกวีนิพนธเ์ รอ่ื ง กาพย์เจ้ีย จามเทวีและวิรงั คะ นอกจากนย้ี งั ปรากฏจติ รกรรมฝาผนงั จากเรือ่ งตำ�นาน พระนางจามเทวที ว่ี ดั พระบาทหว้ ยตม้ อ�ำ เภอล้ี จงั หวดั ล�ำ พนู และจติ รกรรม ฝาผนังท่ีวัดจามเทวี อำ�เภอเมือง จังหวัดลำ�พูน และปัจจุบันมีการสร้าง อนุสาวรีย์พระนางจามเทวี ทท่ี างแยกเข้าเมืองลำ�พูน มกี ารสรา้ งรปู เคารพ และเครอ่ื งรางของขลังเกีย่ วกับพระนางจามเทวใี นรปู แบบต่างๆ ตำ�นานจามเทวี ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทาง วัฒนธรรมของชาตปิ ระจ�ำ ปีพทุ ธศกั ราช ๒๕๕๔ 47

ศาลเจา้ แมเ่ ขาสามมุก ตำ�นานเจ้าแมเ่ ขาสามมกุ เรียบเรียง ผู้ช่วยศาสตราจารย์อภลิ ักษณ์ เกษมผลกลู ต�ำ นานเจา้ แมเ่ ขาสามมกุ เปน็ ต�ำ นานประจ�ำ ถนิ่ เกยี่ วกบั พน้ื ทบ่ี รเิ วณเนนิ เขาขนาดเลก็ ทต่ี �ำ บลอา่ งศลิ ากบั พน้ื ที่ บรเิ วณหาดบางแสน ต�ำ บลแสนสขุ อ�ำ เภอเมอื ง จงั หวดั ชลบรุ ี นโี้ ดยทวั่ ไปในทอ้ งถนิ่ มกั เรยี กวา่ ต�ำ นานเจา้ แมเ่ ขาสมมกุ เจา้ แม่สาวมกุ เจา้ แมเ่ ขาสามมกุ หรือ ตำ�นานเจ้าพอ่ แสน เจา้ พอ่ บางแสน แตโ่ ดยท่ัวไปมกั เรียกวา่ ต�ำ นานเจ้าแม่เขา สามมุก เรื่องยอ่ ครั้งหนึ่งทบ่ี ้านอ่างหนิ (ต.อ่างศลิ า อ.เมอื ง จ.ชลบรุ ี) เปน็ ทอ่ี าศัยของครอบครัวยายกับหลานคู่หนง่ึ หลานสาวมีชอ่ื วา่ “มกุ ” หรือ “สาวมกุ ” มกุ เปน็ เดก็ กำ�พรา้ เดมิ อยูท่ ่บี ้านบางปลาสรอ้ ย (ตวั เมอื งจังหวัดชลบรุ ใี น ปัจจุบัน) เม่ือพ่อแม่ตาย ยายจึงนำ�มุกมาเล้ียงจนโตเป็นสาว มุกมักมานั่งเล่นท่ีเชิงเขาเตี้ยๆ ท่ีอ่างศิลาเป็นประจำ� วนั หนงึ่ พบวา่ วตวั หนง่ึ ขาดลอยมาตกอยู่ ภายหลงั เจา้ ของวา่ ว คอื นายแสน ลกู ชายของก�ำ นนั ประจ�ำ ต�ำ บลนี้ วงิ่ ตามวา่ ว มาจึงท�ำ ใหม้ าพบกับมุก ทง้ั สองจงึ ไดพ้ บกนั และแสนไดม้ อบว่าวตวั นนั้ ใหแ้ กม่ กุ เป็นสงิ่ แทนตัว ภายหลงั ทัง้ สองไดน้ ดั พบกันอีกหลายครง้ั จนเกดิ เปน็ ความรกั กระทง่ั ทั้งสองไดใ้ ห้สตั ยส์ าบานท่ีหนา้ เชงิ เขาน้วี า่ จะรกั กันช่ัวนริ นั ดร์ หากผดิ คำ�สาบานจะกระโดดหนา้ ผาแห่งน้ีตายตามกนั 48

ตอ่ มาเมอื่ พอ่ ของแสนทราบเรอ่ื งจงึ ไมพ่ อใจมาก กีดกันไม่ให้ทัง้ สองพบกนั และได้ตกลงใหแ้ สนแตง่ งาน กบั ลกู สาวคนทำ�โป๊ะทไ่ี ดส้ ู่ขอไว้ ภายหลงั เมือ่ มกุ ทราบ เร่ืองและเห็นว่าเป็นเร่ืองจริง จึงว่ิงไปท่ีหน้าผาเพื่อ กระโดดหน้าผาตายตามคำ�สัตย์สาบาน เมื่อแสนเห็น ดังน้ันจึงวิ่งตามไปและกระโดดหน้าผาตายตามคำ�สัตย์ สาบานเช่นกัน ส่วนกำ�นันภายหลังรู้สึกสำ�นึกผิดจึงนำ� เครอ่ื งถ้วยชามตา่ งๆ มาไว้ในถํ้าบริเวณเชิงเขา เพ่ือเป็น ทรี่ ะลกึ ถึงความรกั ตอ่ มาชาวบา้ นจงึ เรยี กภเู ขาทมี่ กุ กระโดดหนา้ ผา ตายวา่ “เขาสาวมกุ ” เพอื่ ระลกึ ถงึ มกุ ผมู้ น่ั คงตอ่ ความรกั ภายหลังจงึ เพยี้ นเป็น “สามมกุ ” ในท่สี ุด และบรเิ วณ ถาํ้ นนั้ เชอ่ื วา่ เปน็ ถา้ํ ลบั แลมเี ครอื่ งถว้ ยชามตา่ งๆ ทกี่ �ำ นนั บิดาของแสนนำ�มาไว้ เมื่อชาวบ้านมีงานบุญสามารถ หยิบยืมไปใช้ได้ ซ่ึงภายหลังถ้ํานี้ได้ปิดปากถํ้าไปแล้ว เมอ่ื คราวกอ่ สรา้ งถนนสมยั รฐั บาลจอมพลป.พบิ ลู สงคราม ส่วนหาดที่พบศพหญิงชายท้ังสองหลังจากกระโดด หน้าผาตายน้ัน ชาวบ้านเรียกกันว่า “หาดบางแสน” เพอ่ื ระลกึ ถงึ นายแสน ต�ำ นานเจา้ แมเ่ ขาสามมกุ เปน็ ต�ำ นานทแ่ี พรห่ ลายอยทู่ งั้ ในจงั หวดั ชลบรุ ี และบรเิ วณชมุ ชนชายฝง่ั ทะเลตะวนั ออก ของไทย เชื่อกันว่าเป็นส่ิงศักดิ์สิทธิ์สำ�คัญของชาวประมงและผู้เดินทางทางทะเลในภาคตะวันออกมานับแต่สมัยต้น กรุงรัตนโกสินทร์ ดังปรากฏหลกั ฐานในนริ าศเมืองแกลงที่แต่งเมือ่ ราว พ.ศ. ๒๓๔๙ ของสนุ ทรภู่ ทีก่ ลา่ วถึงเจา้ แม่ เขาสามมกุ ไวด้ ว้ ย และเมอื่ ถงึ เทศกาลส�ำ คญั ตา่ งๆ อาทิ ตรษุ จนี สารทจนี ชาวบา้ นทนี่ บั ถอื กจ็ ะน�ำ เครอื่ งเซน่ ไหวแ้ ละวา่ ว มาเป็นเคร่ืองบูชากราบไหว้ท่ีศาลเจ้าแม่เขาสามมุกด้วย นอกจากน้ีก่อนที่ชาวประมงจะออกเดินเรือชาวบ้านจะนำ� ประทัดมาจดุ บูชาเพอื่ ขอให้ช่วยในการท�ำ มาหากนิ และแคลว้ คลาดจากลมพายุ ปจั จบุ นั ต�ำ นานเจา้ แมเ่ ขาสามมกุ ด�ำ รงอยอู่ ยา่ งเขม้ แขง็ เนอ่ื งจาก มศี าลส�ำ หรบั เปน็ ทส่ี กั การะบชู า ศาลเจา้ แม่ เขาสามมุกน้นั ปัจจบุ นั แบง่ ออกเปน็ ๒ ศาลคอื ศาลเจ้าแมเ่ ขาสามมกุ (ไทย) และศาลเจ้าแมเ่ ขาสามมุก (จนี ) ทง้ั น้ี ศาลไทยเปน็ ศาลเกา่ แกท่ ใ่ี ชต้ �ำ นานประจ�ำ ถน่ิ ทเี่ ลา่ เรอ่ื งความรกั ของสาวมกุ กบั นายแสนในการเผยแพรป่ ระวตั เิ จา้ แม่ เขาสามมกุ สว่ นศาลจนี เปน็ ศาลเกา่ แกข่ องชมุ ชนคนจนี ทใ่ี ชเ้ รอ่ื ง “เจา้ แมท่ บั ทมิ ” ในการเผยแพรป่ ระวตั เิ จา้ แมเ่ ขาสามมกุ เนื่องจากชาวจีนที่อ่างศิลาได้อัญเชิญกระถางธูปไฮตังม่า ติดเรือมาจากเมืองจีน เม่ือมาตั้งรกรากใหม่ท่ีชลบุรี จึงไดต้ ัง้ ศาลไฮตงั ม่า ข้างศาลเจา้ แม่เขาสามมุกเดิม และใช้ชอ่ื ศาลวา่ ศาลเจ้าแม่เขาสามมุก(จีน) มาจนถงึ ทกุ วนั นี้ ต�ำ นานเจา้ แมเ่ ขาสามมกุ ไดร้ บั การขนึ้ ทะเบยี นเปน็ มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมของชาตปิ ระจ�ำ ปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๕๖ 49

ตำ�นานเจา้ แมล่ ม้ิ กอเหน่ยี ว เรียบเรยี งโดย รองศาสตราจารย์ประพนธ์ เรอื งณรงค์ ตำ�นานเจา้ แมล่ ิ้มกอเหนีย่ ว จงั หวัดปตั ตานี เปน็ เรือ่ งราวของสตรีชาวจนี สมยั ราชวงศเ์ หมง็ ซ่งึ เดนิ ทางตดิ ตาม พี่ชายจากเมืองจีนมาท่ีปัตตานี ประมาณสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชครองกรุงศรีอยุธยา หรือรายอฮีเยาครอง ปตั ตานี ดว้ ยความเปน็ สตรกี ลา้ หาญ ใจเดด็ วาจาสทิ ธิ์ และยอมพลชี พี ตามค�ำ มน่ั สญั ญาเมอ่ื ท�ำ หนา้ ทไี่ มส่ �ำ เรจ็ ดว้ ยเหตุ นชี้ าวไทย ชาวจนี และชาวมสุ ลมิ เช้อื สายจีนพากันยกย่อง ศรัทธา นับถือ เปน็ เจ้าแมล่ ม้ิ กอเหน่ยี วท่ีศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิ เรื่องย่อ : ลิ้มกอเหน่ียว หรือ กอเหนีย่ วแซล่ ม้ิ เดนิ ทางจากเมอื งจีน โดยคมุ เรอื ส�ำ เภามา ๙ ลา เพอื่ ตดิ ตาม พช่ี ายชอ่ื ลม้ิ เตาเคยี น (หรอื ลม้ิ โตะ๊ เคย่ี ม) ซึ่งเดินทางมาค้าขายท่ีปัตตานี และ หายไปจากบ้านมานานหลายปี บิดา มารดาและญาติพ่ีน้องพากันเป็นห่วง นอ้ งสาวจงึ อาสาตดิ ตามพชี่ าย และตง้ั 50

สจั จะวาจาไวว้ า่ หากท�ำ การไมส่ �ำ เรจ็ นางจะขอยอมตาย ในทส่ี ดุ ลมิ้ กอเหนยี่ วเดนิ ทางถงึ ปตั ตานี และพบพชี่ ายขณะนน้ั เป็นนายช่างกำ�ลังสร้างมสั ยดิ ทีบ่ รเิ วณบ้านกรือเซะ และก�ำ ลงั หลอ่ ปืนใหญ่เพอ่ื ถวายรายอฮีเยา สตรเี จา้ เมืองปัตตานี ลม้ิ กอเหนย่ี วพยายามออ้ นวอนพชี่ ายกลบั สเู่ มอื งจนี แตล่ ม้ิ เตาเคยี นปฏเิ สธบอกวา่ ตนเปน็ มสุ ลมิ และมคี รอบครวั แลว้ นอ้ งสาวจึงผดิ หวงั และเสียใจอยา่ งยิง่ จึงตดั สินใจผกู คอตายท่ตี ้นมะมว่ งหิมพานตใ์ กลม้ ัสยดิ นัน่ เอง สว่ นตน้ มะมว่ งหมิ พานตต์ น้ นน้ั มผี นู้ �ำ มาแกะสลกั เปน็ รปู เจา้ แม่ ปจั จบุ นั ประดษิ ฐานอยทู่ ศี่ าลเจา้ แมล่ ม้ิ กอเหนยี่ ว นอกจากนตี้ �ำ นานยงั เลา่ ถงึ ส�ำ เภา ๙ ล�ำ ทน่ี �ำ ลมิ้ กอเหนยี่ ว และบรวิ ารมาสปู่ ตั ตานี ปรากฏวา่ ตอ่ มาส�ำ เภา ๙ ล�ำ กลาย เปน็ สน ๙ ต้น เรียกตามภาษามลายวู า่ “รสู ะมิแล” (รู = ตน้ สน, สะมแิ ล = ๙) ด้วยความเป็นผู้มีใจเดด็ กล้าหาญ มี วาจาสัตย์ และวาจาสิทธ์ิ ทำ�ใหช้ าวปัตตานแี ละชาวจังหวัดใกล้ไกล ทั้งไทย-จนี และมุสลมิ เช้อื สายจนี พากนั ยกย่อง และศรัทธาล้ิมกอเหน่ียวเป็นเจ้าแม่ศักด์ิสิทธ์ิมาจนทุกวันนี้ วิถีชีวิตชาวไทยจีนและมุสลิมเช้ือสายจีน รวมทั้งชาวจีน ในมาเลเซียและสิงคโปร์ ยังนับถือและศรัทธาเจ้าแม่ล้ิมกอเหนี่ยวที่ศาลเจ้าแม่ในตลาดปัตตานี ทุกวันน้ีจึงมีผู้คนท้ัง ใกล้ไกลไปนมัสการ และบนบานขอความชว่ ยเหลือ เช่น ขอให้หายจากเจ็บไข้ไดป้ ว่ ย หรอื ขอใหข้ องหายได้กลับคืน ต�ำ นานเจา้ แมล่ ม้ิ กอเหนยี่ ว เปน็ เรอื่ งเลา่ ประเภทมขุ ปาฐะ ตอ่ มา มผี นู้ �ำ มาเขยี นและตพี มิ พเ์ ปน็ รปู เลม่ เผยแพร่ ท้งั ภาษาไทยและภาษาจนี มภี าพประกอบสวยงาม นอกจากนี้ มกี ารศกึ ษาเปรียบเทยี บต�ำ นานเจ้าแม่ล้ิมกอเหน่ียว กับประวัติศาสตร์ปัตตานี รวมทั้งการค้นคว้าทางศิลปะและโบราณคดียุคชาวจีนรุ่นแรกๆ ท่ีเดินทางมาถึงปัตตานี ปัจจุบันชาวปัตตานี จัดงานสมโภชทุกปีในวันเพ็ญเดือนสาม เพ่ือระลึกถึงความดีของเจ้าแม่ล้ิมกอเหนี่ยว ท่ีขาด เสยี มไิ ด้คอื ขบวนแห่รปู สลกั เจา้ แม่ ตามด้วยขบวนตา่ งๆ เชน่ ขบวนแหธ่ ง แห่ป้าย แหก่ ระเชา้ ดอกไม้ และเชดิ สงิ โต ประโคมด้วยกลองและม้าล่อ กลาง คืนมีมหรสพต่างๆ เช่น ง้ิวและโนรา ชาวบา้ นบอกวา่ เจา้ แมโ่ ปรดการแสดง ท้งั สองน้ี ตำ�นานเจ้าแม่ลิ้มกอเหน่ียว ไ ด้ รั บ ก า ร ข้ึ น ท ะ เ บี ย น เ ป็ น ม ร ด ก ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ ประจ�ำ ปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๕๖ 51

ต�ำ นานเจา้ แม่สองนาง เรียบเรียงโดย ผชู้ ่วยศาสตราจารยภ์ านุพงศ์ อดุ มศลิ ป์ ตำ�นานเจ้าแม่สองนาง เป็นเร่ืองเล่าเกี่ยวกับพระธิดาหรือลูกหลานของเจ้าเมืองหรือนักรบเวียงจันทน์ในสมัย โบราณ เปน็ บคุ คลส�ำ คญั ทช่ี าวบา้ นในอสี านหลายจงั หวดั เชอ่ื วา่ เปน็ บรรพบรุ ษุ ของตน มคี วามศกั ดสิ์ ทิ ธสิ์ ามารถปกปอ้ ง คุ้มครองใหต้ นและชุมชนรอดพน้ จากภยั อนั ตรายทั้งปวงได้ ตำ�นานเจ้าแม่สองนาง ส่วนใหญ่มีลักษณะโครงเรื่องท่ีคล้ายกัน คือ พระธิดาหรือลูกหลานของเจ้าเมืองหรือ นกั รบ ซง่ึ เปน็ พนี่ อ้ งกนั หรอื ฝาแฝดกนั ลอ่ งเรอื อพยพมาตามแมน่ าํ้ โขง แลว้ เรอื ลม่ เสยี ชวี ติ ในแมน่ าํ้ โขง ตอ่ มาวญิ ญาณ ไดป้ รากฏใหช้ าวบา้ นตามชมุ ชนตา่ งๆ หรอื เปน็ ผตู้ ดิ ตามนกั รบไปทางบก ตอ่ มาเสยี ชวี ติ บา้ ง ต�ำ นานเรอื่ งเจา้ แมส่ องนาง เป็นเร่ืองเล่าท่ีสัมพันธ์กับประวัติการอพยพย้ายถ่ินของผู้คนและชุมชนท่ีเคยเป็นหัวเมืองเก่าในสมัยอาณาจักร ลา้ นช้างมาก่อนเกือบทัง้ สิ้น เรอื่ งราวเกย่ี วกบั เจา้ แมส่ องนาง นอกจากจะเปน็ ความเชอ่ื รว่ มกนั ของผคู้ นทอี่ พยพมาจากนครเวยี งจนั ทนแ์ ลว้ ยงั สะทอ้ นถงึ ความสมั พนั ธข์ องกลมุ่ ชนในแตล่ ะกลมุ่ ชนวา่ มบี รรพบรุ ษุ รว่ มกนั หรอื ไดอ้ พยพหนภี ยั สงครามมาจากนคร เวยี งจันทนเ์ หมอื นกนั และอาจจะอยู่ในช่วงสมยั เดยี วกนั ต�ำ นานเจา้ แมส่ องนาง เปน็ เรอ่ื งเลา่ ทแ่ี พรห่ ลายในชมุ ชนชายฝง่ั แมน่ าํ้ โขงและภาคอสี านตอนกลางทมี่ ศี าลหรอื หอเจา้ แมส่ องนางตงั้ อยหู่ ลายพนื้ ที่ คอื ทอ่ี �ำ เภอเชยี งคาน จงั หวดั เลย อ�ำ เภอเมอื งหนองบวั ล�ำ ภู จงั หวดั หนองบวั ล�ำ ภู ศาลเจา้ แม่สองนางจังหวัดบึงกาฬ ศาลเจ้าแม่สองนางจังหวัดมกุ ดาหาร 52

อ�ำ เภอศรเี ชยี งใหม่ อ�ำ เภอทา่ บอ่ ต�ำ บลเวยี งคกุ ชุมชมวัดหายโศก อำ�เภอเมือง บ้านแพงใต้ ต�ำ บลบา้ นแพง อ�ำ เภอบา้ นแพง บา้ นนาเขทา่ ต�ำ บลนาเข อ�ำ เภอบา้ นแพง บา้ นนาํ้ กาํ่ อ�ำ เภอ ธาตุพนม จังหวัดนครพนม อำ�เภอเมือง มุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร อำ�เภอเมือง จังหวัดขอนแก่น บ้านสิงห์ท่า และ บา้ นสงิ ห์โคก อ�ำ เภอเมอื ง จังหวดั ยโสธร ชมุ ชนตา่ งๆ ทน่ี บั ถอื เจา้ แมส่ องนางจงึ ตอ้ งบวงสรวงและเซ่นไหว้เป็นประจำ�ทุกๆ ปี เพ่ือแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษของตน รวมทั้งการร้องขอความอุดมสมบูรณ์และ ความสนั ติสขุ ของชมุ ชน ในทกุ ชมุ ชนยังมคี วามเช่อื ในต�ำ นานเรอ่ื งเจา้ แม่สองนางอยา่ งแนบแนน่ และยงั ถือปฏบิ ัติการ บวงสรวงเซน่ ไหวใ้ นชว่ งเดอื น ๖ กนั เปน็ ประจำ�ทกุ ปี ต�ำ นานและความเชอื่ เรอื่ งเจา้ แมส่ องนางในเขตชมุ ชนเมอื งและจงั หวดั มกั จะไดค้ วามสนใจจากกลมุ่ นกั ทอ่ งเทยี่ ว อยา่ งมาก เพราะหนว่ ยงานการทอ่ งเทย่ี วในแตล่ ะจงั หวดั จะน�ำ ต�ำ นานเกย่ี วกบั เจา้ แมส่ องนางลงในเวบ็ ไซตข์ องจงั หวดั ในเชงิ ประชาสมั พนั ธส์ ถานทอี่ นั ศกั ดสิ์ ทิ ธทิ์ สี่ �ำ คญั ของจงั หวดั จงึ ท�ำ ใหต้ �ำ นานและความเชอื่ เรอื่ งเจา้ แมส่ องนาง ไดร้ บั การเผยแพรแ่ ละเปน็ ท่ีรูจ้ ักกนั อยา่ งกวา้ งขวางทัง้ ในเมอื งไทยและในประเทศเพือ่ นบา้ น ต�ำ นานเจา้ แมส่ องนาง ได้รบั การขึน้ ทะเบียนเป็นมรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมของชาตปิ ระจำ�ปพี ทุ ธศักราช ๒๕๕๕ 53

ตำ�นานเจ้าหลวงคำ�แดง เรยี บเรียงโดย นติ ยา วรรณกิตร์ ตำ�นานเจา้ หลวงคำ�แดง เปน็ ตำ�นานทม่ี ีเน้อื หาเก่ยี วกับบคุ คลทเ่ี ชอ่ื วา่ เปน็ ปฐมกษัตรยิ ข์ องล้านนา ผูม้ ีชีวติ อยู่ ในยคุ กอ่ นประวตั ศิ าสตรแ์ ละเปน็ ชว่ งทพ่ี ระพทุ ธศาสนายงั ไมแ่ พรห่ ลายในดนิ แดนน้ี ปจั จบุ นั ปรากฏการณท์ างความเชอื่ เกี่ยวกับเจ้าหลวงคำ�แดงแพร่หลายในหลายจังหวัดทางภาคเหนือตอนบน ดังปรากฏศาลเจ้าหลวงคำ�แดงกระจาย อย่ตู ามจังหวดั ตา่ งๆ อาทิ เชยี งใหม่ เชียงราย พะเยา ลำ�ปาง แม่ฮ่องสอนและน่าน ซึ่งศาลบางแห่งมกี ารประกอบ พธิ ีกรรมเล้ยี งผเี จา้ หลวงค�ำ แดงเป็นประจำ�ทกุ ปี เจา้ หลวงค�ำ แดงมชี อื่ เรยี กในต�ำ นานวา่ “เจา้ สวุ ณั ณค�ำ แดง” เรอ่ื งราวชวี ติ ปรากฏในตอนตน้ ของต�ำ นาน ๓ เรอื่ ง คอื ต�ำ นานโบราณนทิ านปถมเหตกุ ารณต์ งั้ เชยี งใหม่ ต�ำ นานเชยี งใหมป่ างเดมิ และ ต�ำ นานสวุ รรณค�ำ แดง หรอื ต�ำ นาน เสาอินทขีล กล่าวถึงประวัติของเจ้าหลวงคำ�แดง บุตรพระยาโจรณี เจ้าหลวงคำ�แดงได้รับมอบหมายให้ตามจับเนื้อ ทรายทองแปลงและไปพบนางอนิ เหลาทด่ี อยอา่ งสรง จากนน้ั ไดส้ รา้ งเมอื งขน้ึ ในบรเิ วณทร่ี าบลมุ่ แมน่ า้ํ ปงิ ตง้ั ชอ่ื เมอื ง ตามนา้ํ หนกั เตยี งหนิ วา่ “ลา้ นนา” นอกจากต�ำ นานเจา้ หลวงค�ำ แดงทง้ั ๓ เรอ่ื งแลว้ ยงั ปรากฏต�ำ นานเจา้ หลวงค�ำ แดง ของชาวไทยวนและไทลื้ออีกหลายสำ�นวน แพร่หลายอยู่ใน เขตภาคเหนือตอนบน ยกตัวอย่างเช่น ชาวไทยวน ในอ�ำ เภอเชยี งดาว จงั หวดั เชยี งใหมแ่ ละอ�ำ เภอแมใ่ จ จงั หวดั พะเยา ชาวไทลอื้ ในอ�ำ เภอเชยี งค�ำ อ�ำ เภอเชยี งมว่ น จงั หวดั พะเยาและอำ�เภอแมส่ าย จังหวัดเชยี งราย เป็นต้น นอกจากน้ยี งั มีการอา้ งถึงเจ้าหลวงค�ำ แดงในฐานะยักษ์เฝา้ สมบตั ิ ที่ถ้าํ เชยี งดาว ใน ต�ำ นานอ่างหลวงเชียงดาว และ ต�ำ นานถ้ําเชียงดาว อกี ดว้ ย 54

ชาวลา้ นนาเชอื่ วา่ เจา้ หลวงค�ำ แดงมฐี านะเปน็ อารกั ษเ์ มอื งของลา้ นนา มคี วามยงิ่ ใหญก่ วา่ อารกั ษอ์ น่ื ๆ นอกจากน้ี ในความเช่อื ของมา้ ขี่ (รา่ งทรง) ผเี จ้านายในเขตภาคเหนือตอนบน เจา้ หลวงค�ำ แดงคอื ตน้ ตระกูลของผี ในระบบการ จดั ลำ�ดับชนั้ ของผใี นเมืองล้านนาทั้งหมด และมีผบี รวิ ารซงึ่ เปน็ เครือข่ายความสัมพันธ์ทสี่ �ำ คัญมากมาย ปัจจุบัน ตำ�นานเจ้าหลวงคำ�แดง เป็นท่ีรับรู้อย่างแพร่หลายในอาณาบริเวณที่ความเชื่อเร่ืองเจ้าหลวงคำ�แดง ปรากฏอยู่ มีการถ่ายทอดต�ำ นานเจ้าหลวงคำ�แดงสู่สาธารณะในรปู แบบต่างๆ เชน่ การพมิ พ์เผยแพร่ การถ่ายทอด ในบริบทของพธิ ีกรรม การบนั ทกึ ตำ�นานไว้ในศาลเจา้ หลวงค�ำ แดงหลายแหง่ รวมท้งั การน�ำ ตำ�นานเจา้ หลวงค�ำ แดง ไปสรา้ งสรรค์เปน็ นวนยิ าย เป็นตน้ ต�ำ นานเจา้ หลวงค�ำ แดง ไดร้ บั การขน้ึ ทะเบยี นเปน็ มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมของชาตปิ ระจ�ำ ปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๕๕ 55

ต�ำ นานชาละวัน เรยี บเรยี งโดย ศาสตราจารย์สุกญั ญา สจุ ฉายา นิทานในภาคกลางท่ีมีเรอ่ื งราวเกยี่ วกบั จระเข้ชอื่ ชาละวนั มีทงั้ ที่เป็นนทิ านประจ�ำ ถนิ่ และนิทานชีวิต นิทาน ประจำ�ถนิ่ (legend) มี ๓ เร่อื ง ไดแ้ ก่ ตำ�นานชาละวนั จังหวัดพิจติ ร ตำ�นานไกรทอง ของจงั หวดั นนทบุรีและ ตำ�นาน ทา้ วพนั ตา-พญาพนั วงั จังหวดั นครนายก สว่ นนิทานชวี ิต (romantic tale) มี ๒ เรอ่ื ง ได้แก่ เร่ือง ท้าวแสนตา และ พญาพันวัง ตำ�นาน ชาละวนั เป็นนิทานท่ีรูจ้ กั กนั แพร่หลายมากในจงั หวัดพจิ ิตร ชาละวนั เป็นช่อื จระเข้ใหญ่เลื่องชือ่ ในแง่ ดุร้าย กดั กินคนเป็นจ�ำ นวนมาก เชื่อกันวา่ เคยอาศยั อยู่ในล�ำ นาํ้ น่านเกา่ เมอื งพิจติ ร เรอื่ งทเี่ ลา่ สบื ทอดกนั มามีดงั น้ี มตี ายายคหู่ นง่ึ อยกู่ นิ กนั มานานจนลว่ งเขา้ วยั ชราแตไ่ มม่ บี ตุ ร วนั หนง่ึ ตายายลอยเรอื หาปลาไปตามรมิ สระนาํ้ ใหญ่ ข ณ ะ ที่ ย า ย ว า ด คั ด ท้ า ย เ รื อ เ ข้ า ห า ฝ่ั ง แ ล เห็นไข่จระเข้ฟองหนึ่งอยู่บนกอพงขอบสระ จึงเก็บมา ต้ังใจว่าจะเอาไปฟักให้เป็นตัวเลี้ยง ไว้ท่ีบ้าน แม้ตาจะห้ามปรามไม่เห็นด้วย ยาย กไ็ มฟ่ งั พอไขฟ่ กั เปน็ ตวั ยายกเ็ ลยี้ งจระเขน้ อ้ ย นั้นไว้ในอ่างนํ้าให้กินเนื้อปลาสับเป็นชิ้นเล็กๆ ด้วยความเอาใจใส่และเล่นหัวอย่างคุ้นเคยท้ัง ยายและตา เมื่อลูกจระเข้ตัวยาวเต็มอ่าง ตายายก็นำ�ไปเล้ียงไว้ในสระน้ําใกล้บ้าน ยงิ่ นานวนั ตายายกต็ อ้ งมภี าระหาปลามาใหก้ นิ เพ่มิ ขึน้ เรอื่ ยๆ 56

วนั หนง่ึ ตาออกไปหาปลาเพยี งคนเดยี ว ปล่อยให้ยายนอนซมอยู่กับบ้านด้วยพิษไข้ ถึงเวลาเย็นตายังไม่กลับด้วยเกรงว่าจระเข้ จะหิว ยายจึงฉวยข้องท่ีมีปลาขังอยู่ เดิน ไปที่สระพร้อมกับส่งเสียงเรียกจระเข้ให้มา กินเหมือนเช่นเคย จระเข้ใหญ่กำ�ลังหิวจัด จึงใช้หางแว้งฟาดตัวยายตกลงไปในสระ รงุ่ เชา้ ตาไมเ่ หน็ ยาย เขา้ ใจวา่ ยายคงไปคา้ งทอ่ี น่ื ตกเยน็ ตากลบั บา้ นไมพ่ บยายอกี จงึ ตรงไปทส่ี ระ มองเห็นข้องปลาจมปริ่มน้ําอยู่ขอบสระ จึงแน่ใจว่ายายต้องถูกจระเข้กินเสียแล้ว ขณะเดียวกันจระเข้ก็โผล่ขึ้นมาลากเอาตาลง ไปกนิ อกี คน จากนน้ั มาจระเขก้ ไ็ มม่ อี าหารกนิ เพราะไม่มตี ายายคอยใหอ้ าหาร จระเขอ้ ดอยากอยู่หลายวนั เมอื่ ทน หิวไม่ไหวจึงคลานจากสระลงไปที่แม่นํ้าน่าน เกา่ ทอี่ ยหู่ า่ งสระออกไปประมาณ ๕๐๐ เมตร เท่ียวกัดกินคนที่อาบนํ้าในแม่นํ้าแถวน้ัน จนผู้คนหวาดกลัวพากันหลบหนีไปอยู่ใน ละแวกอ่ืนกันหมด เรือท่ีพายไปมาจะถูก หนุนให้ล่มอยู่เสมอ จนเป็นที่หวาดผวาของ ผู้คนแถบริมฝั่งตลอดมา ชาวบ้านจึงพากันเรียกช่ือตามพฤติกรรมท่ีมันทำ�ร้ายคนไม่เว้นแต่ละวันว่า “ไอ้ตาละวัน” ตามเสยี งเรยี กของคนถน่ิ นนั้ เรียกกนั ไปเรยี กกนั มาจึงเพีย้ นเป็น “ไอช้ าละวนั ” ชาละวนั อาละวาดอยใู่ นน่านนํ้าเมอื งพิจติ รเกา่ ยา่ นเหนือ ตง้ั แตว่ งั กระดท่ี อง ดงเศรษฐี ดงชาละวนั ดงชะพลู จนคนเขด็ ขยาดไมก่ ล้าลงนาํ้ ชาละวนั จึงลอ่ งลงไปหากนิ ทางตอนใต้ จนถึงเมืองพิจติ รเก่า ขณะนนั้ ธิดาสาวของเศรษฐี เมอื งพจิ ติ รก�ำ ลังอาบนํ้าอยู่บนแพทา่ นํา้ หนา้ บ้าน จงึ ถูกชาละวนั แวง้ คาบลงนํา้ จมหายไป เศรษฐีกับภรรยาเสียใจเป็นที่สุดจึงได้ประกาศต้ังรางวัลอย่างงามเป็นเงินหลายสิบช่ังกับธิดาสาวท่ียังเหลืออยู่ อีก ๑ คน ใหแ้ กผ่ ้ทู ี่สังหารจระเขร้ ้ายตวั นไี้ ด้ ผ้ขู นั อาสาต่างก็ถกู ชาละวันทำ�รา้ ยกัดตายเสียหลายคน จนภายหลังมี พ่อค้าเรือจากทางใต้นำ�นายไกร ศิษย์เอกของอาจารย์หมอจระเข้ท่ีเรืองวิชามารับอาสาฆ่าชาละวันตายด้วยหอกลง อาคม 57

บางต�ำ นานกว็ า่ ไกรทองเปน็ ผปู้ ราบชาละวนั ไดส้ �ำ เรจ็ บางต�ำ นานกไ็ มไ่ ดก้ ลา่ ววา่ มใี ครเปน็ ผปู้ ราบ ความสมั พนั ธ์ ของนิทานเรื่องน้ีกับท้องถ่ินปรากฏในรูปแบบของสถานท่ีต่างๆ ท่ีเป็นหลักฐานยืนยันถึงการเกิดเหตุการณ์ต่างๆ ในเรื่อง ชาวพจิ ิตรเคยเชื่อกนั ว่า ถํา้ ของชาละวนั อยกู่ ลางล�ำ น้ํานา่ นเก่า หา่ งจากวดั เก่าถํา้ ชาละวนั ไปทางใตป้ ระมาณ ๓๐๐ เมตร ที่วัดถา้ํ นม้ี ฐี านเจดยี เ์ ก่าขนาดใหญ่อยหู่ น้าวหิ ารหลวงพ่อทอง ทีห่ น้าเจดีย์มศี าลตายาย ผเู้ ลย้ี งชาละวนั เลา่ กนั วา่ หวั ชาละวันใหญม่ าก “ยาวเปน็ วา” นำ�ไปตั้งทีศ่ าลเพยี งตาหน้าเมืองพิจติ ร ชาละวนั เวลาลอยตัวข้ึนมาจะ ขวางลำ�น้ําหวั เกยอยฝู่ ัง่ หนง่ึ หางจะทอดอยอู่ กี ฝั่งหนงึ่ บริเวณน้ีจึงเรยี ก ยา่ นยาว และดงชาละวนั ตำ�นาน ไกรทอง เป็นนิทานประจำ�ถ่ินของจังหวัดนนทบุรี เปน็ นทิ านอกี เร่ืองหนึ่งที่มีความเกย่ี วข้องกับจระเข้ ชาละวัน ตำ�นานเรื่องนี้กล่าวถึงนายไกรทอง ชาวบางกรวยเป็นหมอจระเข้ผู้อาสาไปปราบจระเข้ใหญ่ชาละวันท่ี เมืองพิจิตรได้สำ�เร็จ สถานท่ีในจังหวัดนนทบุรีหลายแห่งได้นำ�ชื่อนายไกรทองมาตั้งเป็นที่ระลึก เช่น คลองบางไกร วดั บางไกรใน วัดบางไกรนอก และ ศาลนาย ไกรทอง ตำ�นานท้าวพันตา-พญาพันวัง เป็น นิทานประจำ�ถ่ินของคนลุ่มแม่น้ําเจ้าพระยา อีกเรื่องหน่ึงท่ีแพร่หลายมาก เล่ากันว่า สมยั กอ่ นทางหวั เมอื งเหนอื มจี ระเขข้ นาดใหญ่ ตัวยาวถึงหนึ่งเส้นเศษ ช่ือว่าท้าวโคจร ปกครองอยู่ ส่วนหัวเมืองทางใต้มีหัวหน้า จระเข้ท่ีดุร้ายมากสองตัว ชื่อว่าท้าวพันตา และพญาพันวงั คราวใดท่จี ระเข้ทางหวั เมือง เหนือลงไปหากินในถ่ินของจระเข้หัวเมืองใต้ ก็จะถูกจระเข้ทางหัวเมืองใต้รุมกัด จระเข้ หัวเมืองเหนือจึงนำ�เร่ืองไปรายงานท้าวโคจร ทำ�ให้ท้าวโคจรโกรธมาก แปลงกายเป็นคน จะลงไปกำ�ราบจระเข้ทางหัวเมืองใต้ เผอิญ มีสองตายายพายเรือผ่านมาท้าวโคจรจึง ขออาศัยไปด้วย โดยอาสาพายเรือให้ เมื่อ พายเรอื มาสบิ วนั กถ็ งึ เขตของจระเขห้ วั เมอื งใต้ ท้าวโคจรก็ลาตายายแล้วบอกว่าให้จอดเรือ อยขู่ า้ งตลง่ิ ถา้ เหน็ อะไรครกึ โครมกอ็ ยา่ ตกใจ และถา้ เหน็ จระเขเ้ ขา้ มากใ็ หเ้ อาขมน้ิ ผงโรยลง ในน้าํ จระเข้จะหนีไป 58

หลงั จากนัน้ ทา้ วโคจรกก็ ระโดดลงน้ํา คนื ร่างเป็นจระเขต้ วั ใหญฟ่ าดหวั ฟาดหางโครมคราม สถานท่ตี รงนั้นจงึ ไดช้ อ่ื วา่ “ดาวคะนอง” เนอื่ งมาจากความคกึ คะนองของทา้ วโคจร ทา้ วโคจรไดเ้ ขา้ ตอ่ สจู้ นจระเขห้ วั เมอื งใตล้ ม้ ตายไป มาก จระเขเ้ หลา่ นนั้ จงึ ไปรายงานทา้ วพนั ตา ท้าวพนั ตากเ็ ขา้ ต่อสูก้ บั ทา้ วโคจร จระเขท้ ั้งสองสูก้ นั อยู่ถึงเจด็ วันเจด็ คนื สุดท้ายท้าวพันตาเป็นฝ่ายเสียท่าถูกท้าวโคจรฆ่าตาย พวกจระเข้บริวารเม่ือเห็นหัวหน้าของตนตายก็ไปรายงาน พญาพันวัง พญาพันวงั จงึ ขน้ึ มาแกแ้ ค้น แตก่ ็เกอื บจะเสยี ทีทา้ วโคจร เนอื่ งจากท้าวพนั วงั มีก�ำ ลงั นอ้ ยกว่า กล่าวถึง เจ้าพ่อองครักษ์ ซึ่งเป็นเจ้านํ้าบริเวณนั้น สงสารพญาพันวังซึ่งเป็นจระเข้อยู่ในถิ่นของตนเจ้าพ่อจึง ลงประทบั ที่หัวของพญาพนั วงั ทำ�ให้พญาพันวงั มกี ำ�ลงั มากขึ้น และดว้ ยเหตุนค้ี นท่วั ไปจงึ เรียกตำ�แหนง่ นั้นวา่ “ทีน่ ง่ั องค์อมรนิ ทรพ์ ระอศิ วร” เมอ่ื ทา้ วโคจรเหน็ วา่ เจา้ พอ่ องครกั ษป์ ระทบั อยบู่ นหวั ของพญาพนั วงั กต็ ดั พอ้ วา่ เหตใุ ดจงึ มาชว่ ยจระเขพ้ าลอยา่ ง พญาพันวงั แตพ่ ญาพนั วงั กลับอวดดีบอกวา่ ตนเก่งเอง ไมไ่ ด้มีเทวดาท่ีไหนมาช่วย เจ้าพอ่ องครกั ษจ์ งึ ออกจากหวั ของ จระเข้ ท�ำ ให้พญาพนั วงั ถูกท้าวโคจรฆา่ ตายในที่สดุ หลังจากนั้นท้าวโคจรก็ได้คาบหัวของท้าวพันวังมาทำ�พิธีบวงสรวงถวายเทวดาอารักษ์ท่ีช่วยปราบจระเข้พาล ส�ำ เร็จ ทศี่ าลเจา้ พอ่ พระประแดง ด้วยเหตุนจ้ี ึงเกิดธรรมเนยี มน�ำ หัวจระเขไ้ ปไว้ทศ่ี าลเจ้าพอ่ ตามลำ�แม่นํา้ เมือ่ ปราบ จระเข้พาลแลว้ ท้าวโคจรกก็ ลับไปยงั ถ่ินในภาคเหนือ ต�ำ นานประจ�ำ ถน่ิ เรอ่ื งนเี้ ลา่ ตอ่ ๆ กนั มา ในภายหลงั ไดม้ ผี นู้ �ำ ไปผนวกเขา้ กบั เรอ่ื งของไกรทองหมอจระเขล้ อื ชอ่ื จึงมาปรากฏอยู่ในตอนต้นของ บทละครนอก เรื่อง ไกรทอง พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า นภาลัย เร่อื งเรมิ่ เมอื่ ท้าวโคจรทะเลาะวิวาทกับทา้ วพนั ตาและพญาพันวงั จนฆา่ กนั ตายทงั้ สามตวั แลว้ ชาละวนั ไดร้ ับ มอบอำ�นาจให้ปกครองบริวารท้ังปวง และเริ่มประพฤติผิดศีลโดยจับมนุษย์กินเป็นอาหารวันหนึ่งไปฉุดนางมนุษย์ ตะเภาทองมาเปน็ เมยี ไกรทองจงึ ออกมาปราบจนไดร้ บั ชอื่ เสยี งเงนิ ทอง และไดแ้ ตง่ งานกบั สองพน่ี อ้ งนางตะเภาทอง และนางตะเภาแก้ว จะเห็นได้ว่าบทละครนอกเร่ือง ไกรทอง ได้เชื่อมโยงนิทานประจำ�ถ่ินทั้ง ๓ เร่ืองเข้าด้วยกัน แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความสมั พนั ธข์ องคนในลมุ่ นาํ้ เจา้ พระยาตอนตน้ นา้ํ คอื พจิ ติ ร กลางนา้ํ คอื นนทบรุ ี และปลายนา้ํ กอ่ น ออกปากอ่าวไทยท่ี ธนบรุ ี นิทานไทยภาคกลางสะท้อนภาพของจระเข้ในสังคมไทยว่าได้รับการยกย่องให้เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เห็นได้จาก เรื่องราวของจระเข้เจ้าและจระเข้บริวารเจ้าพ่อเจ้าแม่ในตำ�นานประจำ�ถิ่นของภาคกลาง ทั้งยังมีหลักฐานยืนยันเป็น ศาลจระเข้เจา้ หรอื ศาลเจ้าพอ่ เจา้ แมท่ ่มี ีจระเขเ้ ป็นบรวิ ารต้ังอยู่ประจำ�ถิ่นต่างๆ อีกดว้ ย คนไทยมคี วามเชือ่ เรื่องจระเข้วา่ หากผใู้ ดไมย่ อมท�ำ บญุ สุนทาน จะต้องกลายเปน็ จระเขเ้ ฝ้าขมุ สมบตั อิ ย่อู ยา่ ง ทรมานจนตาย ซ่ึงสอดคล้องกับความเช่ือทางพุทธศาสนาท่ีได้บัญญัติไว้ว่า หากผู้ใดตระหน่ีในทานจะมีผิวพรรณไม่ สวยงาม และไมม่ เี ครอ่ื งอปุ โภคบรโิ ภค เนอ่ื งจากจระเขเ้ ปน็ สตั วท์ ม่ี ผี วิ พรรณขรขุ ระไมส่ วยงาม ทง้ั ยงั ตอ้ งใชเ้ วลาหลาย วันเพื่อหาเหยอ่ื อีกดว้ ย ต�ำ นานชาละวนั ไดร้ บั การขน้ึ ทะเบยี นเปน็ มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมของชาตปิ ระจ�ำ ปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๕๗ 59

ตำ�นานนางโภควดี เรยี บเรยี งโดย ศาสตราจารย์ชวน เพชรแกว้ นางโภควดี เปน็ วรรณกรรมทอ้ งถนิ่ ภาคใตเ้ กยี่ วกบั ต�ำ นานการสรา้ งโลกและจกั รวาล ทอี่ าศยั เคา้ มลู จากความเชอื่ ทางศาสนาพราหมณ์ผสมผสานกับคติความเชื่อทางพุทธศาสนา และความเชื่อท้องถิ่น เป็นวรรณกรรมที่แพร่หลาย ทงั้ ทเ่ี ปน็ ลายลกั ษณใ์ นหนงั สอื บดุ หรอื สมดุ ขอ่ ย และมขุ ปาฐะ ทเี่ ปน็ ลายลกั ษณช์ อ่ื เรอื่ งวา่ “นางโภควด”ี สว่ นมขุ ปาฐะ มกั สอดแทรกสาระของนางโภวดีในบทชา (บชู า) และบทเชื้อ (เชญิ ) ท้ังวรรณกรรมลายลกั ษณ์และมขุ ปาฐะ มสี าระ เหมือน ๆ กนั นางโภควดี ทเี่ ปน็ วรรณกรรมลายลกั ษณ์ พบตน้ ฉบบั ทแ่ี พรห่ ลายในภาคใตห้ ลายฉบบั ลว้ นคดั ลอกสบื ตอ่ กนั มา เช่น ฉบับตำ�บลนาท่อม อำ�เภอเมือง จังหวัดพัทลุง ฉบับที่เก็บรักษาไว้ที่สถาบันทักษิณคดีศึกษา มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒสงขลา ฉบับนายท้าม เจริญพงษ์ ชาวบ้านตำ�บลวัง อำ�เภอทุ่งส่ง จังหวัดนครศรีธรรมราช และ ฉบบั ทเ่ี กบ็ รกั ษาไวท้ ี่ ศนู ยศ์ ลิ ปะและวฒั นธรรม มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สรุ าษฎรธ์ านี เนอื้ หาทกุ ฉบบั สว่ นใหญเ่ หมอื นกนั แตกตา่ งกนั บา้ งในรายละเอียดท่นี ่าจะมีผแู้ ตง่ เตมิ เขา้ ไปภายหลงั วรรณกรรมเรอ่ื ง นางโภควดี กลา่ วถงึ พระอศิ วรวา่ พระองคม์ คี วามประสงคจ์ ะน�ำ เนอ้ื ของหญงิ สาวมาตง้ั แผน่ ดนิ โดยได้ชุบหญิงสาวขึ้นมาคนหนึ่งให้ชื่อว่า “นางโภควดี” นางมีความยินดีที่จะสละร่างกายให้เป็นทาน เพื่อสร้าง สรรพสงิ่ ตา่ ง ๆ บนพน้ื โลก พระอศิ วรใชพ้ ระขรรคต์ ดั เนอื้ ของนาง ทงิ้ ลงมากลายเปน็ แผน่ ดนิ อวยั วะสว่ นอน่ื ไดก้ ลายเปน็ ส่ิงต่าง ๆ ไดแ้ ก่ ดวงตาเปน็ พระจันทร์และพระอาทิตย์ หวั ใจเป็นดาว เลอื ดเปน็ แมน่ ํา้ หนงั เปน็ แผ่นฟา้ กระดกู เป็น ไมน้ านาพรรณ ฟันและเล็บเป็นภเู ขา เอ็นเป็นเถาวัลย์ ขนเป็นตน้ หญา้ ตา่ ง ๆ ตน้ หญ้าคาออกดอกกลายเป็นสัตว์ชนิด ตา่ ง ๆ ทงั้ จกั รวาล แล้วกล่าวสัง่ สอนมนษุ ย์ท่เี กดิ มาให้ปฏิบัตหิ ลักธรรมของพระพุทธเจ้าตาม พระอภธิ รรมเจด็ คมั ภรี ์ ทวตั ตงิ สาการ ขนั ธห์ า้ ฯลฯ ตอ่ จากนน้ั กลา่ วถงึ พระพทุ ธเจา้ ๕ พระองคท์ เ่ี ขา้ สนู่ พิ พานไปแลว้ กลา่ วถงึ ไฟประลยั กลั ป์ ที่เผาไหม้ทำ�ลายแผ่นดินท้ังหมด กล่าวถึงฝนตกหนักเป็นเวลา ๗ วัน ทำ�ให้ นํ้าท่วมถึงข้ันพรหม ต่อมากล่าวถึง ลมประลัยกลั ป์ ท่พี ดั จนนํา้ แห้ง แลว้ มีการสร้างโลกสวรรค์ มนุษย์และนรกขน้ึ มาใหม่ 60

ตำ�นานสรา้ งโลกและจักรวาลเร่อื ง นางโภควดี ซึง่ กลา่ วถึงการเสยี สละร่างกายของนางเพ่อื พลีบชู าให้เกดิ เป็น สิ่งธรรมชาติต่างๆ อันเป็นประโยชน์ต่อสัตว์โลกท้ังปวง เป็นพระคุณอันย่ิงใหญ่ที่ทำ�ให้นางโภควดี มีความสำ�คัญย่ิง ต่อมนุษย์ โดยเฉพาะชาวภาคใต้ เมื่อทำ�การมงคลใดๆ หรือจัดพิธีบวงสรวงพระภูมิ ผู้ประกอบพิธีต้องอัญเชิญและ บูชานางด้วยผู้หน่ึง บรรดาศิลปินพ้ืนบ้าน เช่น หนังตะลุง มโนราห์ ซึ่งต้องปลูกโรงแสดงข้ึนเป็นการเฉพาะ ก่อน การแสดงต้องเบิกโรงขอท่ีตั้งโรงจากพระภูมิและจากนางโภควดีเสียก่อน ทั้งนี้ด้วยความเชื่อว่าจะเกิดเป็นมงคล ปลอดจากภยนั ตรายทงั้ ปวง คตคิ วามเช่ือนปี้ ัจจุบนั ยังคงยดึ ถือกนั อยา่ งเหนยี วแนน่ ของชาวบา้ นอนั เปน็ ชาวไทยพทุ ธ ในภาคใต้ ตำ�นานนางโภควดี ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ�ปีพุทธศักราช ๒๕๕๕ 61

ตำ�นานนางเลือดขาว เรยี บเรยี งโดย ศาสตราจารย์ชวน เพชรแก้ว และรองศาสตราจารยป์ ระพนธ์ เรืองณรงค์ 62 ตำ�นาน นางเลือดขาว เป็น ตำ�นานพ้ืนบ้านภาคใต้ แพร่ หลายในท้องถิ่น ฝ่ังทะเล ตะวนั ออก คอื พทั ลงุ สงขลา นครศรีธรรมราช และฝั่ง ทะเลตะวันตกหรือ ฝั่งทะเล อนั ดามนั เช่น ตรงั และภูเก็ต รวมทง้ั ในเกาะลงั กาวี ไทรบรุ ี ประเทศมาเลเซีย เร่ืองราวของนางเลือดขาว มลี กั ษณะเด่น คือ เปน็ เรื่อง ข อ ง ผู้ ห ญิ ง ที่ เ ป็ น ค น ดี มคี ณุ ธรรม เปน็ หญิงบริสุทธ์ิ มีลักษณะพิเศษคือมีเลือด สีขาว ในเอกสารโบราณ ซ่ึงพบท่ีวัดเขียนบางแก้ว เมืองพัทลุง เล่าถึงยายเพชร ตาสามโม ต้ังบ้านเรือนที่ บ้านพระเกิด ทำ�หน้าท่ี ส่งส่วยช้างไปถวายเจ้าเมือง ส ทิ ง พ า ร า ณ สี ปี ล ะ เ ชื อ ก วันหนึ่งช้างนำ�ไมไ้ ผ่ ๒ หนอ่ มามอบใหต้ ายาย ปรากฏว่า หน่อไม้ไผ่แต่ละหน่อมีกุมาร

และกุมารี โดยเฉพาะกุมารโี ดนคมมดี มเี ลือดขาวไหลออกมา จงึ ได้ช่ือนางเลือดขาว มาตง้ั แตบ่ ดั นั้น ตอ่ มาครอบครัว ตายายมีความรํ่ารวย เพราะช้างได้นำ�พะเนียงบรรจุเพชรนิลจินดามามอบให้และนำ�ไปท่ีฝังทรัพย์สมบัติอีกด้วย นางเลอื ดขาวไดน้ �ำ ทรพั ยส์ นิ ดงั กลา่ วเปน็ ทนุ สรา้ งพระพทุ ธรปู และวดั วาอารามหลายแหง่ ในภาคใต้ เมอื่ โตเปน็ หนมุ่ สาว ตายายใหท้ ัง้ สองแต่งงานกันตามประเพณี หลงั จากนน้ั ตายาย ก็ถึงแกก่ รรม นางเลือดขาวและสามีปฏบิ ตั หิ นา้ ทแ่ี ทน ตายายสบื มา ต่อมากษัตริย์กรุงศรีอยุธยารับสั่งให้นางเลือดขาวเดินทางสู่เมืองหลวง เพ่ือแต่งต้ังนางเป็นพระสนม เมื่อเข้า เฝา้ แลว้ นางทลู วา่ ก�ำ ลงั มคี รรภก์ บั สามที จ่ี ากมา ในทสี่ ดุ นางไมไ่ ดร้ บั การแตง่ ตงั้ เปน็ ชายา เมอื่ ก�ำ เนดิ บตุ รแลว้ กษตั รยิ ์ กรุงศรอี ยธุ ยา กข็ อบตุ รนางเปน็ โอรสบญุ ธรรม จากนน้ั นางเลือดขาวเดนิ ทางกลับสูเ่ มืองพัทลงุ นางยดึ ม่นั ในภารกจิ บ�ำ รุงพระพุทธศาสนายิ่งขึ้น และยังเดนิ ทางไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ พรอ้ มด้วยพระพุทธสหิ งิ ค์มาจากลังกาที่ เมอื งตรงั ท่าเรอื รมิ ทะเล นางไดส้ รา้ งวดั พระศรสี รรเพชญ หรอื วดั พระพทุ ธสหิ งิ คไ์ วเ้ ปน็ อนสุ รณ์ นางเลอื ดขาวและพระยากมุ ารถงึ แกก่ รรม ประมาณอายุ ๗๐ ปเี ศษ บตุ รของนางจากอยธุ ยาเดนิ ทางกลับมาตุภมู ิและท�ำ หนา้ ทแ่ี ทนบดิ ามารดาสบื มา สมัยรัตนโกสินทร์ หลวงศรีวรวัตร์ (พิญ จันทโรจน์วงศ์) นำ�เรื่องนางเลือดขาวดังกล่าวไปเล่าไว้ในตำ�นาน เมืองพัทลุง และหมื่นจบเจริญการ (แมว มูสิกเจริญ) ได้นำ�ไปแต่งเป็นคำ�กาพย์ส่วนนางเลือดขาวสำ�นวนมุขปาฐะ นครศรีธรรมราชเล่าว่านางเป็นบุคคลธรรมดา ชาวบ้านเห็นนางมีเลือดสีขาวเพราะน้ิวโดนกระสวยทอผ้า ตอ่ มานางเลอื ดขาวไดเ้ ป็นมเหสพี ระเจ้าศรีธรรมโศกราชท่ี ๕ ชาวบา้ นจึงเรียกว่า “เจา้ แมอ่ ยูห่ วั ” ส่วนนางเลือดขาว ณ เกาะลังกาวี (ปัจจบุ นั อยู่ในเขตรัฐเคดาห์ มาเลเซยี ) นางเป็นชายาอุปราชลงั กาวี ขณะสามไี ปสงคราม อยู่ข้างหลัง นางถกู ใสร่ า้ ยในขอ้ หามชี ู้ กอ่ นถกู ประหารนางอธษิ ฐานวา่ ถา้ นางผดิ ขอใหเ้ ลอื ดเปน็ สแี ดง และถา้ ไมผ่ ดิ ขอใหเ้ ลอื ดเปน็ สีขาว และให้ลังกาวเี สอ่ื มตลอด ๗ ช่วั โคตร ปรากฏว่านางมเี ลือดเปน็ สีขาว ปัจจบุ ัน ตำ�นาน นางเลอื ดขาว ยังมีความสำ�คญั ต่อชุมชนภาคใต้ เอกสารโบราณได้ปรวิ รรตเปน็ อกั ษรปจั จบุ นั นำ�มาสร้างสรรค์เป็นสารคดี บันเทิงคดีและบทร้อยกรอง รวมทั้งหลักฐานสำ�คัญคือพระพุทธรูป วัดวาอาราม และ ชือ่ สถานท่ี เช่น ต�ำ บลเจ้าแม่อย่หู วั อำ�เภอเชียรใหญ่ จงั หวดั นครศรธี รรมราช ซึง่ ลว้ นมีความผกู ผันกบั นางเลอื ดขาว และยงั ผูกพันกบั ชาวใตใ้ นปัจจุบนั ตราบนานเท่านาน ตำ�นานนางเลือดขาว ได้รับการข้ึนทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ�ปีพุทธศักราช ๒๕๕๔ 63

ต�ำ นานปู่แสะย่าแสะ เรยี บเรยี งโดย รองศาสตราจารย์รังสรรค์ จนั ต๊ะ ตำ�นานเกี่ยวกับ ปู่แสะย่าแสะ หรือ ผีปู่แสะย่าแสะ มกี ลา่ วถึงใน ต�ำ นานเชยี งใหมป่ างเดมิ โดยเลา่ วา่ วนั หน่งึ คร้ังท่ีพระพุทธเจ้ายังไม่เข้าสู่นิพพานน้ัน มีฝนเงินฝนทองตกลงมาห่าใหญ่ท่ีดอยแห่งหน่ึง พระพุทธองค์จึงพยากรณ์ ว่าในอนาคตดอยที่นีจ่ ะมีชื่อวา่ “ดอยคำ�” และได้สอบถามชาวเมอื งทมิฬทอ่ี ยู่ในบริเวณน้นั วา่ ชาวเมืองหายไปไหน กันหมด ชาวทมิฬจึงทูลแก่พระองค์ว่า เน่ืองมาจากมียักษ์สองผัวเมียคู่หน่ึงอยู่ดอยเหนือและดอยใต้มาจับชาวเมือง กนิ หมด พระองคไ์ ดย้ นิ ดงั นนั้ จงึ ไปหายกั ษท์ ง้ั สองตน และไดส้ งั่ หา้ มยกั ษท์ ง้ั สองวา่ อยา่ ไดก้ นิ มนษุ ยอ์ กี ยกั ษท์ งั้ สองได้ ตอ่ รองกบั พระพทุ ธเจา้ ว่า ขอกินเดอื นละคน พระองคก์ ็ไมท่ รงอนญุ าต ขอกนิ ปลี ะคน ก็ยังไม่ทรงอนุญาต จึงขอกิน เพียงควายเขาคำ� หรือควายรุ่นท่ีมีเขาเพียงหูปีละสองตัวแล้วจะดูแลพระศาสนาให้ถึงห้าพันปี พระพุทธองค์จึงให้ ศีลห้าแลว้ กเ็ สด็จจากไป อกี สำ�นวนหนงึ่ จากต�ำ นานดอยค�ำ เลา่ ว่า สมัยท่ีพระพทุ ธเจา้ เสด็จมาโปรดสตั วถ์ ึงดอยคำ� ไดพ้ บยกั ษส์ ามตนพอ่ แม่ลกู ซง่ึ ยงั ชพี ดว้ ยเนื้อสตั วแ์ ละเน้อื มนษุ ย์ เม่ือยักษ์ทั้งสามเห็นพระพุทธเจ้าก็จะจับพระพุทธเจ้ากิน แต่พระพุทธองค์ทรงแผ่เมตตาจนยักษ์ท้ังสามเกรง ในพระบารมี จึงยอมแสดงความเคารพ พระพุทธเจ้าจึงทรงเทศนาและให้ยักษ์ท้ังสามรักษาศีลห้า แต่ปู่แสะย่าแสะ ไม่อาจรับศีลห้าได้ตลอด จึงขอกินเนื้อมนุษย์ปีละสองคน เมื่อพระพุทธองค์ไม่ทรงอนุญาตก็ขอต่อรองลงมาเร่ือยๆ จนขอกินเนื้อสัตว์แทน พระพุทธองค์ก็ทรงบอกให้ไปถามเจ้าเมืองเอาเอง แล้วพระพุทธองค์ก็เสด็จจากไปและให้ พระเกศาธาตไุ วซ้ ง่ึ ตอ่ มากลายเปน็ พระธาตดุ อยค�ำ สว่ นบตุ รนน้ั มคี วามประทบั ใจในค�ำ สอนของพระพทุ ธเจา้ จงึ ไดข้ อบวช แต่พระองคไ์ มอ่ นญุ าต แตใ่ หบ้ วชเป็นฤาษแี ทนเมอ่ื บวชแล้วจงึ ไดช้ ่ือวา่ สุเทวฤาษี หรือ วาสเุ ทวฤาษี อันเปน็ ท่ีมาของ ช่ือดอยสุเทพ 64

นอกจากนี้ ยงั มเี รอื่ งเลา่ อกี บางส�ำ นวนกลา่ ววา่ ปแู่ สะยา่ แสะเปน็ ผขี องลวั ะทก่ี ลายมาเปน็ ผปี ระจ�ำ เมอื งเชยี งใหม่ โดยท�ำ หน้าทีค่ ุม้ ครองดูแลในบรเิ วณภายนอกเมอื ง เพราะภายในมผี ีอืน่ ดแู ล แลว้ ในส่วนของพธิ กี รรมอนั สืบเนอ่ื งมา จากเรอื่ งราวในต�ำ นาน เมอ่ื ถงึ เดอื น ๙ ของทางภาคเหนอื ชาวบา้ นกจ็ ะเอาควายด�ำ ทยี่ งั ไมไ่ ดต้ อน และไมเ่ สยี ลกั ษณะ ของควายที่ดี ไปเล้ยี งผปี ู่แสะยา่ แสะท่ีอย่ดู อยเหนอื คอื ที่ตีนดอยสุเทพตัวหนึง่ และท่ีอยตู่ นี ดอยใต้ คอื ดอยคำ�รมิ นํ้า แม่เหียะตัวหนง่ึ โดยเม่อื จดั พลกี รรมบูชา ให้นิมนตร์ ูปพระพทุ ธเจ้าที่วาดบนผ้าทเี่ รยี กวา่ “พระบถ” สูง ๙ ศอก โดย ใหห้ อ้ ยพระบถกับตน้ ไม้ และให้นมิ นต์พระท่ีอปุ สมบทใหม่ ๘ รปู ไปสวดสมโภชพระบถน้ัน ส่วนซากควายนัน้ ให้คน และพระฉนั ให้หมดในท่นี ้ัน ถ้าเหลือใหเ้ อาฝงั ดินเสยี อยา่ ได้เอามากนิ กันจะเปน็ อปั มงคล อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ พระสงฆ์ที่นิมนต์มาสวดสมโภชพระบถนั้น ไม่ใช่พระที่บวชใหม่และเนื้อควาย ทเี่ หลอื จากการบูชาแก่ผี ชาวบ้านกน็ ำ�ไปแบง่ กนั กนิ ทบ่ี า้ นตอ่ ไป 65

คนในชมุ ชนแมเ่ หยี ะและบรเิ วณใกลเ้ คยี งเขตเมอื งเชยี งใหม่ ยงั คงผลติ ซาํ้ ต�ำ นานและพธิ กี รรมเลยี้ งผปี แู่ สะยา่ แสะ สืบทอดจากอดีตจนถึงปัจจุบัน โดยผสมผสานลัทธิการบูชาผีสางเทวดากับพิธีกรรมทางพุทธศาสนาและศาสนา พราหมณ์ อันเป็นการกล่าวถวายบูชาท้าวจตุโลกบาล หรือ “ท้าวท้ังสี่” ที่แท่นบูชาก่อน โดยการปักไม้สำ�หรับ วางกรวยสำ�รบั อาหารทีใ่ ช้บูชา แบง่ เป็น ๔ ท่ี เพื่อถวายแก่เทวดาทัง้ ส่ี นอกจากเนอ้ื หาเรอ่ื งราวในต�ำ นานผปี แู่ สะยา่ แสะแลว้ ยงั มคี �ำ กลา่ วโอกาสเวนทานแกท่ า้ วทง้ั สนี่ ดี้ ว้ ยซงึ่ ไดก้ ลาย เปน็ จุดส�ำ คัญหรือหัวใจของพธิ กี รรม โดยมผี ูป้ ระกอบพธิ กี รรมท่ีเรียกวา่ “ตั้งขา้ ว” ท�ำ หนา้ ที่เป็นสอื่ คล้ายกับ “ทูต” เพ่ือติดต่อส่ือสารระหว่างเทวดา ผี กับมนุษย์ โดยกล่าวอัญเชิญเทวดาท้าวทั้งสี่ และผีปู่แสะย่าแสะ เพ่ือลงมารับ เครอื่ งสงั เวยนนั้ ด้วย “ต้ังข้าว” จะท�ำ พธิ อี ัญเชิญเทวดาและผี โดยการสวดอา่ นจากบนั ทกึ คำ�โอกาสเวนทานนั้นนาน ประมาณครึ่งชัว่ โมงก่อน แล้วพิธอี ่นื ๆ จึงจะเรม่ิ ตามมาได้ ในอดตี ชาวบา้ นจะจดั ใหม้ พี ธิ เี ลยี้ งผปี แู่ สะยา่ แสะขนึ้ ทเี่ ชงิ ดอยค�ำ ต�ำ บลแมเ่ หยี ะ อ�ำ เภอเมอื ง จงั หวดั เชยี งใหม่ ในอาณาบริเวณเดียวกันของอุทยานแห่งชาติปุย-สุเทพ โดยมีกษัตริย์ และขุนนางชั้นสูงอ่ืนๆ เข้าร่วมด้วย โดย ชาวบ้านในตำ�บลสุเทพจะเป็นผู้จัดเลี้ยงในบริเวณหอผีกลางบ้านของหมู่บ้านดอยสุเทพ (ปัจจุบันคือบริเวณคณะ วิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) ขณะเดียวกันชาวบ้านตำ�บลแม่เหียะ ก็จะทำ�พิธีเลี้ยงผีเดียวกันน้ีขึ้นที่ “ดงย่าแสะ” บรเิ วณเชิงดอยคำ�ในวนั ขน้ึ ๑๔ ค่ํา เดอื น ๙ เหนอื ตอ่ มาราว พ.ศ. ๒๔๘๐ ทางการได้หา้ มจัดพธิ เี ลย้ี งผี ดังกลา่ ว มาจนถงึ หลงั สงครามโลกคร้งั ที่สอง ก็ได้มีการฟน้ื ฟขู นึ้ มาอีกครั้งหนงึ่ สบื ต่อมาจนถึงปจั จุบนั หากพจิ ารณาในแงอ่ ทิ ธพิ ลปจั จยั ทางสงั คมทม่ี ตี อ่ กระบวนการผลติ ซาํ้ ทางวฒั นธรรมของชมุ ชนทงั้ เรอ่ื งราวดา้ น เนื้อหาของตำ�นานและรูปแบบของพิธีกรรมแล้ว กระแสการท่องเท่ียวเชิงวัฒนธรรมท้องถ่ินและกระแสการต่อต้าน การเข้ามาของกระแสทุนโลกาภิวัตน์ท่ีเร่งความเจริญเติบโตทางด้านกายภาพของความเป็นสังคมแบบเมืองรวมถึง ปัญหาการบุกรุกพ้ืนที่ป่าของกลุ่มทุนบ้านจัดสรรต่างๆ ถือเป็นปัจจัยทางสังคมท่ีเป็นแรงผลักดันอันสำ�คัญที่จะช่วย ตอกยา้ํ ใหช้ มุ ชนพยายามผลติ ซา้ํ อดุ มการณข์ องผเี มอื งดงั กลา่ วใหเ้ ปน็ รปู ธรรมเพมิ่ มากขนึ้ โดยนยั ดงั กลา่ วต�ำ นานและ พธิ ีกรรมเล้ยี งผปี ู่แสะยา่ แสะ ดา้ นหน่งึ จึงเปน็ เร่อื งการชว่ งชงิ พน้ื ทีท่ างกายภาพและพ้นื ที่ทางสงั คมของชุมชนในนาม ของการปกปอ้ งรักษาทรพั ยากรธรรมชาติของชุมชน จงึ ท�ำ ให้พธิ ีกรรมยังคงมีบทบาทและเพม่ิ ความคึกคกั มีชวี ติ ชีวา มากขนึ้ และเปน็ ทร่ี บั รกู้ นั ในสงั คมวงกวา้ ง ท�ำ ใหม้ คี นทวั่ ไป รวมถงึ องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ หนว่ ยงานราชการและ องคก์ รส่อื สารมวลชนแขนงตา่ ง ๆ ไดเ้ ขา้ รว่ มในพิธกี รรมดังกลา่ วเปน็ จ�ำ นวนเพ่มิ มากขน้ึ ทกุ ปี ตำ�นานปู่แสะย่าแสะ ได้รับการข้ึนทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ�ปีพุทธศักราช ๒๕๕๗ 66

ต�ำ นานผาแดงนางไอ่ เรยี บเรียงโดย รองศาสตราจารย์ปฐม หงษ์สุวรรณ ตำ�นาน ผาแดงนางไอ่ เป็นตำ�นานประจำ�ถิ่นในวัฒนธรรมพ้ืนบ้านของไทยภาคตะวันออกเฉียงเหนือมาแต่ ครงั้ อดตี มที ง้ั ส�ำ นวนมขุ ปาฐะและส�ำ นวนลายลกั ษณซ์ งึ่ พบอยใู่ นหนงั สอื ผกู ใบลาน มบี นั ทกึ เปน็ ทงั้ ตวั อกั ษรไทยนอ้ ยและ ตวั ธรรมอสี านตามวดั ตา่ งๆ ท่วั ภมู ภิ าคอสี าน รวมทั้งในประเทศลาว ผคู้ นสว่ นใหญเ่ รียกวรรณกรรมเรื่องน้ีวา่ ตำ�นาน ท้าวผาแดงนางไอ่ บ้างกเ็ รียกว่า ผาแดงนางไอ่ค�ำ ต�ำ นาน ผาแดงนางไอ่ เปน็ เรอ่ื งราวชวี ติ ของธดิ าพระยาขอมคอื “นางไอค่ �ำ ” ผมู้ คี วามงดงามยงิ่ จนเปน็ ทหี่ มายปอง ของบรรดาเจา้ เมอื งตา่ งๆ เปน็ เหตใุ หต้ อ้ งประลองฝมี อื ดว้ ยการจดุ บง้ั ไฟแขง่ ขนั ความสามารถกนั ทา้ วภงั คซี ง่ึ เปน็ ลกู ชาย ของพญานาคผู้ดูแลรักษาลำ�แม่น้ําโขง ก็มีความหลงใหลรักใคร่ต่อนางไอ่คำ�ด้วย จึงได้แปลงกายเป็นกระรอกด่อน (กระรอกเผอื ก) ปนี ป่ายขน้ึ ไปแอบชมความงามของนางไอ่คำ� จนเป็นเหตใุ หถ้ กู ยิงด้วยธนถู งึ แกค่ วามตาย ชาวเมือง ได้นำ�เอาเนื้อกระรอกภังคีมาแบ่งปันกันกิน จนเป็นเหตุให้พระยานาคผู้เป็นบิดาท้าวภังคีโกรธมาก จึงบันดาลให้ เกิดเมอื งลม่ กลายเป็นหนองหลม่ หรือทีร่ จู้ กั กันดคี ือ “หนองหานหลวง” ทีจ่ ังหวดั สกลนคร และ “หนองหานน้อย” ทจ่ี งั หวดั อดุ รธานี เนอ้ื หาของผาแดงนางไอเ่ ปน็ เรอ่ื งเลา่ ทใ่ี ชใ้ นการอธบิ ายสภาพภมู ศิ าสตร์ ภมู นิ ามในชมุ ชนหมบู่ า้ นของ ชาวอีสานอีกหลายแห่ง อาทิเช่น เมืองเชียงเหียน (มหาสารคาม) เมืองสีแก้ว (ร้อยเอ็ด) เมืองฟ้าแดด (กาฬสินธ์ุ) เมืองหงส์ (อำ�เภอจตรุ พักตรพมิ าน) เปน็ ต้น ต�ำ นาน ผาแดงนางไอ่ จงึ มคี ณุ คา่ ในแงท่ เ่ี ปน็ ต�ำ นานประจ�ำ ถน่ิ ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ทส่ี มั พนั ธก์ บั ภมู ศิ าสตร์ ภมู ินาม และสถานทสี่ ำ�คัญในท้องถนิ่ ดังจะเห็นไดจ้ ากมีเน้อื หาทีก่ ลา่ วถงึ เหตกุ ารณก์ ารกินเนอ้ื พญานาคทแ่ี ปลงกาย มาเป็นกระรอกเผือก ซ่งึ เปน็ สาเหตใุ หพ้ ญานาคหลวงแหง่ ลำ�แมน่ ํา้ โขงโกรธ จงึ บนั ดาลใหบ้ ้านเมอื งต่างๆ ถล่มทลาย กลายเปน็ หนองนา้ํ มสี ภาพภมู ศิ าสตรท์ างธรรมชาติ ทง้ั ทเ่ี ปน็ เกาะดอน ล�ำ หว้ ยตา่ งๆ อาทเิ ชน่ “ดอนแมห่ มา้ ย” เชอ่ื วา่ เปน็ ชมุ ชนของแมห่ มา้ ยทไี่ มไ่ ดก้ นิ เนอื้ กระรอกเผอื ก ทบี่ รเิ วณนจี้ งึ ไมถ่ ลม่ ทลายเปน็ ดอนอยกู่ ลางหนองหานหลวง หรอื “หว้ ยโพนไฟ” เชอ่ื วา่ มที ม่ี ามาจากเหตกุ ารณต์ อนทพ่ี ญานาคพน่ ไฟใสท่ า้ วผาแดงกบั นางไอซ่ ง่ึ ขม่ี า้ หนี หรอื “หว้ ยกองส”ี เช่อื วา่ เป็นลำ�หว้ ยทีเ่ กดิ จากนางไอค่ ำ�ได้ทง้ิ “กลอง” ทต่ี นไดถ้ ือติดตวั มาด้วยเมอื่ ครงั้ ท่ไี ดข้ มี่ ้าหลบหนพี ญานาค ต�ำ นานประจำ�ถน่ิ เรอ่ื ง ผาแดงนางไอ่ มีบทบาทและการดำ�รงอยูใ่ นวถิ ชี วี ติ ในปจั จุบัน ดังจะเหน็ ได้จากในงาน ประเพณีการจดุ บงั้ ไฟของชาวไทยอีสานในหลายๆ ชุมชนยงั คงนยิ มสรา้ งสรรคข์ บวนแหบ่ ้งั ไฟ โดยจะมีการนำ�เสนอ ภาพตวั ละครหญงิ ชาย ซง่ึ แสดงบทบาทเปน็ ทา้ วผาแดงและนางไอ่ ทข่ี ม่ี า้ บกั สามปรากฏรว่ มอยขู่ บวนแหง่ านบง้ั ไฟนเ้ี สมอ ตำ�นานผาแดงนางไอ่ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ�ปีพุทธศักราช ๒๕๕๔ 67

ตำ�นานพญากงพญาพาน เรียบเรยี งโดย ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์อภิลักษณ์ เกษมผลกูล พญากง พญาพาน เปน็ ต�ำ นานประจำ�ถนิ่ ของจังหวัดนครปฐม เปน็ ช่ือท่รี บั รู้กนั แพร่หลายท่วั ไปมชี ่อื เรียกและ รปู เขยี นหลากหลายทง้ั พญากงพญาพาน พญากงพญาพาล (ใช้ “พาล” เพราะมองวา่ การกระท�ำ ปติ ฆุ าตเปน็ การกระท�ำ ของคนพาล) พระยากงพระยาพาน บ้างเรียกว่า ตำ�นานพระปฐมเจดีย์ ต้นเค้าของเรื่องได้รับอิทธิพลมาจากคัมภีร์ ปรุ าณะ คือเรื่องพญากงั สะ (กงฺส) ฆา่ พระราชบิดาเพ่ือชงิ ราชสมบตั ิ และตาม ฆา่ ลกู ชายของพระนางเทวกีภายหลังถูกพระกฤษณะสังหาร เร่ืองดังกลา่ วได้ แพรห่ ลายมากจนภายหลงั มกี ารสรา้ งสรรคข์ นึ้ ใหมเ่ ปน็ แบบฉบบั ของไทยเพอ่ื ใชผ้ กู เรอ่ื งส�ำ หรบั อธบิ ายโบราณสถานหรอื สถานทต่ี า่ งๆ อาทิ ต�ำ นานพญากง พญาพาน (ต�ำ นานพระปฐมเจดยี )์ นทิ านเรอื่ งอษุ า บารส (ต�ำ นานพระพทุ ธบาท บัวบก) อย่างไรก็ตามตำ�นาน พญากงพญาพาน ฉบับที่เก่าที่สุดปรากฏอยู่ใน พงศาวดารเหนือที่เป็นการเรียบเรียงเรื่องราวมาจากสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่ง ในพงศาวดารเหนือกล่าวถงึ ยคุ สมัยของเรอ่ื งพญากง พญาพาน วา่ อยู่ในชว่ ง ประมาณตน้ กรงุ ศรอี ยุธยา โครงเรอ่ื งของเรอ่ื งพญากงพญาพานกลา่ วถงึ ขณะนน้ั พญากงไดค้ รอง เมอื งกาญจนบรุ ี (บางส�ำ นวนวา่ เปน็ เมอื งนครชยั ศร)ี มพี ระมเหสรี ปู โฉมงดงาม รปู ปัน้ ยายหอม ภายในศาลคุณยายหอม เมื่อพระมเหสีทรงพระครรภ์โหรหลวงได้ทำ�นายว่าจะได้พระราชโอรสเป็น ท่ีวดั ดอนยายหอม จงั หวัดนครปฐม 68

ผมู้ ีบุญ และจะได้เปน็ ใหญภ่ ายหนา้ แตจ่ ะเปน็ ผูฆ้ ่าพระ ราชบิดาเม่ือครบกำ�หนดพระมเหสีก็ประสูติพระกุมาร ขณะที่ข้าราชบริพารได้เอาพานไปรองรับ บังเอิญหน้า ผากของพระกุมาร กระทบขอบพานเป็นแผล พญากง ไดส้ ง่ั ใหน้ �ำ พระกมุ ารไปทงิ้ ตามยถากรรม ยายหอมไปพบ เขา้ นำ�ไปเลยี้ งไว้ และตงั้ ช่อื วา่ “พาน” คร้ันเม่ือเด็กชายพานโตขึ้นยายหอมก็นำ�ไปฝาก ให้เล่าเรียนท่ีวัด พานเป็นเด็กฉลาด สมภารวัดผู้เป็น อาจารยจ์ งึ รกั ใครเ่ อน็ ดมู วี ชิ าอะไรกส็ อนใหห้ มดอาจารย์ ได้นำ�พานไปฝากให้เข้ารับราชการกับเจ้าเมืองราชบุรี พานเป็นคนปัญญาดี เรียบร้อยและขยัน จึงเป็นที่ โปรดปรานของเจ้าเมืองราชบุรีมาก จนถึงกับรับไว้เป็นโอรสบุญธรรม สมัยนั้นเมืองราชบุรีขึ้นกับเมืองกาญจนบุรี (บางส�ำ นวนวา่ เมอื งนครชยั ศร)ี พระยาราชบรุ ตี อ้ งสง่ เครอ่ื งบรรณาการทกุ ปี พญาพานเปน็ ผมู้ ฝี มี อื ในการรบจงึ ชกั ชวน ให้เจ้าเมืองราชบุรีแข็งเมืองยกกองทัพไปปราบพญาพานเป็นแม่ทัพออกไปรบกับพญากง ทั้งสองทำ�ยุทธหัตถีกัน ในท่สี ุดพญากงกถ็ ูกฟันด้วยของา้ วคอขาดตายในท่รี บ เม่ือพญาพานเข้ายึดเมืองกาญจนบุรี (บางสำ�นวนว่าเมืองนครชัยศรี) ได้แล้ว ย่อมได้ทั้งราชสมบัติตลอดจน พระมเหสขี องพญากงดว้ ย แตใ่ นขณะทจ่ี ะเขา้ ไปหาพระมเหสนี น้ั เทวดาไดแ้ ปลงกายเปน็ แมวแมล่ กู ออ่ นใหล้ กู กนิ นม ขวางประตไู ว้ แลว้ รอ้ งทกั เสียก่อน พญาพานจงึ ได้อธษิ ฐานวา่ ถา้ พระมเหสีเปน็ แม่ของตนจริงก็ขอให้มีนํ้านมไหลซึม ออกมา ก็เห็นนํ้านมไหลออกมาจริง จึงได้รู้ว่าทั้งสองเป็นแม่ลูกกัน พญาพานจึงสำ�นึกได้ว่าได้กระทำ�ปิตุฆาตฆ่า พระราชบิดา และโกรธท่ียายหอมปิดบังความจริง ด้วยโทสะจริตจึงสั่งให้นำ�ยายหอมไปฆ่าเสีย ต่อมาด้วยความ ส�ำ นกึ ผดิ ทไ่ี ดฆ้ า่ พระราชบดิ าและยายหอมผมู้ พี ระคณุ จงึ ไดส้ รา้ งพระเจดยี ข์ นาดใหญส่ งู ชว่ั นกเขาเหนิ ตามค�ำ แนะน�ำ ของพระอรหันต์ คอื พระปฐมเจดีย์ ทเ่ี มอื งนครชยั ศรี (ปจั จุบนั ตั้งอยู่ในจังหวดั นครปฐม) เพื่อเป็นการลา้ งบาปทีฆ่ ่า พระราชบดิ าใหบ้ รรเทาลงบา้ ง และสรา้ งพระประโทณเจดยี ์ (ปจั จบุ นั ตง้ั อยใู่ นจงั หวดั นครปฐม)เพอ่ื ลา้ งบาปทฆ่ี า่ ยายหอม นอกจากนย้ี ังมเี ค้าโครงเรอื่ งทีม่ รี ายละเอยี ดแตกตา่ งในตอนทา้ ยเร่อื งอีก ๒ แบบ คือโครงเรอ่ื งพญาพานเปน็ ลูกเลี้ยงเมืองสุโขทัย เมื่อชนะสงครามเข้าเมือง มารดาเห็นก็ร้องไห้จนทราบว่าเป็นแม่ลูกกัน และอีกโครงเรื่องหน่ึง คอื เมื่อพญาพานชนะกลับมาท่ีเมืองคดิ จะท�ำ มารดาเป็นภรรยา เทวดาปลอมตวั เพือ่ ทักหา้ มปรามโดยยามที่ ๑ เปน็ แมว และยามท่ี ๒ เปน็ ม้า ในยามท่ี ๓ เมอื่ พญาพานมาพบ มารดากร็ อ้ งไหจ้ นรูว้ ่าเปน็ แมล่ ูกกัน ต�ำ นานเรอ่ื ง พญากง พญาพาน แพรห่ ลายอยา่ งมากในภาคกลางโดยเฉพาะในจงั หวดั นครปฐมและพน้ื ทใี่ กลเ้ คยี ง อาทิ จังหวัดราชบุรี จังหวัดกาญจนบุรี เป็นตำ�นานประจำ�ถิ่นที่ใช้อธิบายประวัติความเป็นมาของพระปฐมเจดีย์ พระประโทณเจดีย์ ตลอดจนชื่อหมู่บ้าน ตำ�บล ตลอดจนแม่น้ําลำ�คลองต่างๆ ในจังหวัดนครปฐมและจังหวัดใกล้ เคยี ง อาทิ จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี พระนครศรอี ยธุ ยา เช่น บ้านถนนขาด (ถนนท่ีพญากงกับพญาพานใชส้ รู้ บกนั ) บ้านสามพราน (บริเวณทน่ี ายพรานสามคนช่วยกันหาช้างให้พญาพานไปรบกบั พญากง) บ้านดอนยายหอม (บริเวณ ท่ตี ั้งบา้ นเรอื นยายหอม) 69

นอกจากน้ียังมีการเล่าสืบต่อกันมาในรูปแบบต่างๆ ในมุขปาฐะ เช่น เพลงขอทานเร่ืองพญากง พญาพาน เพลงฉอ่ ยเรอ่ื งพญากง พญาพาน เพลงอแี ซวเร่อื งพญากง พญาพาน ลเิ กเรือ่ งพญากง พญาพาน เพลงร�ำ โทนเรือ่ ง พญากง พญาพาน แหล่นอกเรอ่ื งพญากง พญาพาน เพลงทรงเคร่อื งเร่ืองพญากง พญาพาน เป็นต้น ส่วนรูปแบบ ลายลักษณ์พบสมุดไทยท่ีหอสมุดแห่งชาติ ๙ ฉบับ รวมถึงมีการตีพิมพ์เผยแพร่ในรูปแบบของโรงพิมพ์ราษฎร์เจริญ (วัดเกาะ) และโรงพิมพอ์ ื่นๆ อกี จำ�นวนมาก และยงั คงมกี ารตีพิมพ์ต่อเนือ่ งมาจนถึงปัจจุบนั นอกจากนยี้ งั มรี ปู ปน้ั พญากง ตงั้ อยบู่ รเิ วณตลาดทรพั ยส์ นิ สว่ นพระมหากษตั รยิ ์ ใกลก้ บั พระปฐมเจดยี ์ และศาล ยายหอม ซ่งึ มี ๓ แหง่ ได้แก่ พระปฐมเจดีย์ วัดพระประโทณเจดีย์ และวัดดอนยายหอม ยงั ปรากฏสบื มาจนปัจจุบัน และเป็นที่เคารพนับถือของชาวจังหวัดนครปฐมอย่างยิ่ง เรื่องพญากง พญาพาน ปัจจุบันได้รับการยอมรับว่าเป็น ตำ�นานประจำ�ถิ่นจังหวัดนครปฐม และมักมีการนำ�มาสร้างเป็นการแสดงของจังหวัดนครปฐมในโอกาสต่างๆ อย่าง ตอ่ เนอื่ ง ตลอดจนมกี ารน�ำ มาใชใ้ นการสง่ เสรมิ การขายของผลติ ภณั ฑแ์ ละการทอ่ งเทย่ี วของจงั หวดั นครปฐม ในฐานะ ท่เี ปน็ เอกลกั ษณ์ประจ�ำ จงั หวดั นครปฐมอีกดว้ ย ต�ำ นานพญากงพญาพาน ไดร้ บั การขน้ึ ทะเบยี นเปน็ มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมของชาตปิ ระจ�ำ ปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๕๗ 70

ตำ�นานพญาคนั คาก เรียบเรยี งโดย รองศาสตราจารย์ปฐม หงษส์ ุวรรณ ตำ�นาน พญาคันคาก (พญาคางคก) เป็นวรรณกรรมพ้ืนบ้านท่ีปรากฏอยู่อย่างแพร่หลายในการรับรู้ของ ชาวอสี านและลา้ นนา มชี อื่ รจู้ กั กนั โดยทวั่ ไปวา่ ต�ำ นานพญาคนั คาก แตบ่ างถนิ่ กอ็ าจเรยี กชอื่ วา่ ต�ำ นานพญาคางคาก ธมั มพ์ ญาคางคากหรือ พญาคันคากชาดก ในทอ้ งถน่ิ ลา้ นนามชี อ่ื ว่า คันธฆาฎกะ และ สวุ ณั ณจกั กวัตติราช มีข้อสังเกตวา่ ต�ำ นาน พญาคันคาก เปน็ เร่ืองที่รับรกู้ ันอยา่ งกว้างขวาง ในภาคอสี านและประเทศสาธารณรฐั ประชาธปิ ไตยประชาชนลาว มเี อกสารใบลานในแทบทุกจังหวดั ตำ�นานพ้ืนบ้านเร่ืองน้ีได้รับการปรับเปล่ียนให้เป็นชาดกพ้ืนบ้าน และบางครั้งถูกจัดให้เป็นวรรณกรรม พทุ ธศาสนาในทอ้ งถน่ิ ดว้ ย เหตทุ ช่ี าวอสี านเชอื่ วา่ เปน็ นทิ านชาดก เนอ่ื งจากพญาคนั คากมสี ถานภาพเปน็ พระโพธสิ ตั ว์ เสวยพระชาติเป็นคางคก เป็นโอรสของกษัตริย์ เหตุท่ีพระองค์ได้ชื่อว่า “พญาคันคาก” เป็นเพราะเมื่อคร้ังประสูติ ออกมาเปน็ กมุ ารนนั้ มผี วิ เนอื้ และรปู รา่ งเหมอื นคางคก ซง่ึ ในภาษาถนิ่ อสี านเรยี กวา่ “คนั คาก” แมม้ รี ปู รา่ งอปั ลกั ษณ์ แตพ่ ญาคนั คากนกี้ ม็ บี ญุ ญาธกิ ารมาก มพี ระอนิ ทรค์ อยชว่ ยเหลอื จนเปน็ ทเ่ี คารพนบั ถอื ของชาวเมอื ง เปน็ เหตใุ หผ้ คู้ น ลืมเซ่นสรวงบูชาพญาแถน ทำ�ให้แถนโกรธไม่ย่อมปล่อยน้ําฝนให้ตกลงมายังโลกมนุษย์ พญาคันคากจึงอาสานำ�เอา ไพรพ่ ลบรรดาสัตว์ตา่ งๆ อาทิ ปลวก ผ้ึง ตอ่ แตน งู ช้าง มา้ ววั ควาย ขึ้นไปช่วยกันรบกบั พญาแถนบนเมืองฟา้ จน ไดร้ ับชัยชนะ พญาแถนจงึ ยอมปลอ่ ยนาํ้ ฝนให้ตกลงมายังโลกมนษุ ย์ตามเดิม 71

ต�ำ นานพญาคนั คาก นบั เปน็ เรอ่ื งทน่ี า่ สนใจ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ภาพของพระโพธสิ ตั วค์ นั คากสะทอ้ นใหเ้ หน็ พลงั ศรทั ธาความเชอื่ ทางพทุ ธศาสนาทผ่ี สมผสานกบั คตคิ วามเชอื่ ดง้ั เดมิ เรอื่ งผแี ถน ซงึ่ สะทอ้ นใหเ้ หน็ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง พทุ ธศาสนากบั พธิ กี รรมความเชอื่ เกยี่ วกบั ความอดุ มสมบรู ณใ์ นวถิ ชี วี ติ ของชาวนาในวฒั นธรรมขา้ วทต่ี อ้ งอาศยั นา้ํ ฟา้ นา้ํ ฝนในการผลติ ธญั ญาหาร ในแงน่ ี้ อาจกลา่ วไดว้ า่ ต�ำ นานพญาคนั คาก เปน็ ขอ้ มลู ทางวฒั นธรรมทสี่ ามารถใชบ้ ง่ บอก ให้เหน็ ชีวติ พน้ื บา้ นท่ดี �ำ รงอยู่ในวถิ แี ห่งวัฒนธรรมการเกษตรในสังคมท้องถนิ่ ไทยได้เป็นอยา่ งดี ในทอ้ งถนิ่ อสี าน พบวา่ ต�ำ นานพญาคนั คาก ยงั คงมบี ทบาทส�ำ คญั และด�ำ รงอยใู่ นวถิ ชี วี ติ อสี าน นบั ตง้ั แตอ่ ดตี มา มีความนิยมนำ�ตำ�นานพญาคันคากมาให้พระใช้เทศน์ในพิธีกรรมการขอฝน และใช้เทศน์ร่วมในพิธีจุดบั้งไฟขอฝน ด้วยเหตุน้ี ตำ�นานพญาคันคากในมุมมองของชาวอีสานจึงถือว่าเป็นวรรณกรรมศักดิ์สิทธ์ิ เป็นเรื่องเล่าที่ใช้อธิบาย ที่มาประเพณกี ารจุดบง้ั ไฟ ในเดือนหก ซง่ึ ถือเปน็ ประเพณีอันส�ำ คญั ใน “ฮีตสิบสอง” (จารีตประเพณี สิบสองเดอื น) ท่ียังคงปฏิบตั สิ ืบทอดกนั มาในจนทุกวนั นี้ ตำ�นานพญาคันคาก ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ�ปีพุทธศักราช ๒๕๕๓ ภาพ : ทวีศักด์ิ ใยเมือง จากหนังสือ พญาคันคาก หรอื คางคกยกรบ 72

ตำ�นานพระแกว้ มรกต เรียบเรียงโดย รองศาสตราจารยร์ งั สรรค์ จนั ต๊ะ ต�ำ นานพระแก้วมรกต เปน็ วรรณกรรมพุทธศาสนาของไทย มีชือ่ ที่รจู้ ักกนั อยา่ งกวา้ งขวางวา่ ต�ำ นานพระแกว้ ต�ำ นานพระแกว้ มรกต ต�ำ นานพระพทุ ธมหามณรี ตั นปฎมิ ากร ในทอ้ งถน่ิ ภาคเหนอื มชี อื่ ตา่ งๆ เชน่ ต�ำ นานพระแกว้ เจา้ ต�ำ นานพระแกว้ มรกต ต�ำ นานพระแกว้ อมรกต ต�ำ นานพระแกว้ อมั มรกตเจา้ ต�ำ นานพระแกว้ เปน็ ตน้ ส�ำ นวนทนี่ บั วา่ เกา่ กวา่ ฉบบั อน่ื ๆ ชอ่ื วา่ รตั นพมิ พวงศ์ แตง่ เปน็ ภาษาบาลโี ดยพระเถระพรหมราชปญั ญาใน ชว่ ง พ.ศ. ๑๙๗๙-๒๐๑๑ นอกจากนี้ ยงั ปรากฏใน ชินกาลมาลปี กรณ์ ซง่ึ พระรตั นปัญญาเถระเขยี นเปน็ ภาษาบาลี เมอ่ื ประมาณ พ.ศ. ๒๐๖๐ และยังปรากฏใน พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสนิ ทร์ รชั กาลท่ี ๑ ด้วย ตำ�นานพระแก้วมรกต พบมากท่ีเป็นสำ�นวนล้านนา กระจัดกระจายอยู่ตามวัดต่างๆ มีเน้ือหาสั้น ๆ เพียง ๗ – ๘ หนา้ ลาน มที ง้ั ทจ่ี ารไวเ้ ฉพาะเรอื่ ง ต�ำ นานพระแกว้ มรกตเรอื่ งเดยี ว และจารรว่ มกบั เรอื่ งอน่ื ๆ ส�ำ หรบั เรอ่ื งยอ่ ท่ี คดั มาน้ี สรปุ ความมาจากต�ำ นานพระจนั ทน์เจา้ พระสิงห์ พระแกว้ ตน้ ฉบบั ใบลานเปน็ ของ วัดทรายมูล อ.สันก�ำ แพง จ.เชยี งใหม่ เนือ้ หามีว่า เมอ่ื คร้ังทีม่ หาเถร ชื่อมหานาคเสน อย่ทู ่เี สนอาราม เมอื งปาฏลีบุตต์ คดิ จะสร้างพระพุทธรูป ขนึ้ องคห์ นงึ่ พระอนิ ทรบ์ นั ดาลใหว้ ษิ ณกุ รรมนาแกว้ มณโี ชตจิ ากดอยวบิ ลู บรรพตมาให้ แตย่ กั ษก์ มุ ภณั ฑใ์ หม้ รกตมาแทน พระอนิ ทรจ์ ึงให้สลักเปน็ รูปพระพุทธเจ้าสงู ๒ ศอก ๑ นวิ้ แลว้ บรรจุ ธาตพุ ระพุทธเจ้าไว้ ๗ แหง่ พระมหานาคเสน ได้ทำ�นายว่า ต่อไปพระแก้วมรกตนี้จะเจริญรุ่งเรืองในขอม พม่า และไทย ต่อมาพระยาอนุรุทธราช กษัตริย์พม่า 73

ไดน้ �ำ นกั ปราชญท์ งั้ หลายไปคดั ลอกพระไตรปฎิ กจากลงั กา และไดพ้ ระแกว้ มรกตกลบั มาดว้ ย ระหวา่ งทางเรอื ส�ำ เภาถกู นา้ํ ซดั ไปตดิ อยทู่ น่ี ครหลวง พระยาอนรุ ทุ ธราชไปขอคนื แตพ่ ระญานครหลวงคนื ใหเ้ ฉพาะพระไตรปฎิ ก ตอ่ มาพระยา อาทติ ย์รบชนะเมืองนครหลวง จงึ อญั เชิญพระแก้วมรกต ไปที่เมืองอโยธยา ภายหลงั พระรามแห่งเมืองก�ำ แพงเพชร ยา้ ยไปไวท้ กี่ รงุ เทพ ตอ่ มาพระยามหาพรหมราชไดอ้ ญั เชญิ ไปไวท้ เ่ี ชยี งรายและเมอื่ พระยาตโิ ลกราชแหง่ เชยี งใหมส่ รา้ ง กฎุ ีเสรจ็ จงึ อัญเชญิ ไปประดษิ ฐานท่เี มืองเชียงใหมแ่ ตน่ ัน้ มา ตำ�นานพระแก้วมรกต จึงเป็นหลักฐานแสดงถึงภูมิปัญญา ในการสร้างสรรค์วรรณกรรมของพระสงฆ์ล้านนา ในอดตี และเป็นบนั ทึกเหตกุ ารณท์ างประวตั ิศาสตร์ท่แี สดงให้เหน็ ถงึ ความคิดและพลังศรทั ธาของพทุ ธศาสนิกชนที่มี ตอ่ พระพทุ ธรูปส�ำ คัญและศักด์สิ ทิ ธิอ์ งคน์ ้ี ตำ�นานพระแก้วมรกต ไดร้ บั การข้นึ ทะเบียนเป็นมรดกภมู ปิ ัญญาทางวฒั นธรรมของชาติประจ�ำ ปพี ทุ ธศักราช ๒๕๕๓ ภาพจิตรกรรมฝาผนงั วดั หงส์รตั นารามราชวรวหิ าร ภาพ : กง่ิ ทอง มหาพรไพศาล 74

ต�ำ นานพระเจา้ เลยี บโลก เรยี บเรียงโดย รองศาสตราจารยร์ งั สรรค์ จันต๊ะ และ รองศาสตราจารย์ปฐม หงษส์ ุวรรณ ตำ�นานพระเจ้าเลียบโลก เป็นวรรณกรรมพุทธศาสนาที่มีปรากฏในวัฒนธรรมพื้นบ้านของไทยโดยเฉพาะใน ภาคเหนอื และภาคตะวันออกเฉียงเหนอื บางทอ้ งถิน่ เรยี กวา่ พทุ ธตำ�นาน หรือ พทุ ธตำ�นานพระเจ้าเลียบโลก เป็น เรอ่ื งบนั ทึกการเดินทางของพระพุทธเจ้ามายังดนิ แดนสบิ สองปนั นา ลา้ นนา ลา้ นชา้ ง และอสี านของไทย เนื้อหาของ ต�ำ นานเปน็ การอธิบายภูมิศาสตร์ ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรม ของชมุ ชนและชาตพิ ันธต์ุ ่างๆ ผ่านการอธบิ ายการเสด็จ เดินทางไปเทศนาสั่งสอนโปรดเวไนยสัตว์พร้อมกับการประทานพระเกศาธาตุและประทับพระบาทอันเป็นท่ีมาของ การสร้างพระธาตุและพระพุทธบาทในดนิ แดนต่างๆ ดงั กล่าว ตำ�นานพระเจา้ เลยี บโลก จงึ มีคุณคา่ ในแง่ท่เี ป็นประวตั ิศาสตรท์ อ้ งถิน่ และประวัตศิ าสตรก์ ารรบั พทุ ธศาสนา ของผคู้ นในดินแดนอุษาคเนย์ โดยเฉพาะในชว่ งพุทธศตวรรษท่ี ๒๑ โดยการเลา่ ผ่านการบนั ทกึ เรื่องราวตา่ งๆ จาก การเดนิ ทางของพระพุทธเจ้า ทำ�ให้ดนิ แดนแถบน้กี ลายเปน็ พน้ื ทศี่ ักดิ์สิทธิ์ 75

ภาพจิตรกรรมฝาผนงั วัดสทุ ัศน์เทพวรารามราชวรมหาวหิ าร ภาพ : กิ่งทอง มหาพรไพศาล เน้อื หาใน ตำ�นานพระเจ้าเลยี บโลก ยังเปน็ การอธิบายท่มี าของ ภูมนิ าม ช่ือบ้านนามเมอื ง และเร่ืองราวการ ด�ำ รงชวี ติ ของผคู้ น กลมุ่ ชาตพิ นั ธใุ์ นแตล่ ะทอ้ งถน่ิ ท�ำ ใหเ้ กดิ แรงยดึ โยงในระบบความสมั พนั ธข์ องผคู้ นในทอ้ งถน่ิ ตา่ งๆ ภายใตอ้ ดุ มการณ์ ความเชอื่ และความศรทั ธารว่ มกนั ในพทุ ธศาสนา โดยเฉพาะเรอื่ งการบชู าพระธาตแุ ละรอยพระบาท ของพระพุทธเจ้า ความสำ�คัญอีกประการหน่ึงของ ตำ�นานพระเจ้าเลียบโลก ยังเห็นได้จากอิทธิพลในการเป็นต้นแบบและ การสร้างขนบการรังสรรค์วรรณกรรมพทุ ธศาสนาประเภทต�ำ นานพระธาตุและตำ�นานพระบาทเรอื่ งอ่นื ๆ ในท้องถิ่น ตา่ งๆ ในภาคเหนือและภาคอสี านของไทยอกี ด้วย ต�ำ นานพระเจา้ เลยี บโลก ไดร้ บั การขน้ึ ทะเบยี นเปน็ มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมของชาตปิ ระจ�ำ ปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๕๓ 76

ตำ�นานพระเจ้าหา้ พระองค์ เรียบเรยี งโดย ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์อภลิ ักษณ์ เกษมผลกลู ต�ำ นานพระเจา้ หา้ พระองค์ เปน็ ต�ำ นานพนื้ บา้ นทแี่ พรห่ ลายอยู่ ในทกุ ภมู ภิ าคของไทย บา้ งกเ็ รยี กกนั วา่ ต�ำ นาน พญากาเผือก ในบางท้องถิ่นอาจมีช่ือเรื่องท่ีแตกต่างกันออกไป ในภาคเหนือบางถ่ินเรียกว่า อานิสงส์ผางประทีป แมก่ าเผอื ก พระเจ้าหา้ ตน ต�ำ นานเวียงกาหลง ตำ�นานดอยสงิ คุตตระ เปน็ ตน้ ภาคอีสานบางถนิ่ เรียกว่า กาเผือก ต�ำ นานพระธาตเุ ชงิ ชมุ ภาคกลางบางถนิ่ เรยี กวา่ กาขาว ตน้ เหตลุ อยกระทง ปญั จพทุ ธพยากรณ์ เปน็ ตน้ และในภาคใต้ บางถ่ิน เรยี กวา่ พระปรมัตถ์ พระเจ้าสามเณร เปน็ ต้น สาระสำ�คัญของ ตำ�นานพระเจ้าห้าพระองค์ คือการเล่าเรื่องประวัติของพระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์ใน ภทั รกปั ปห์ รอื กปั ปป์ จั จบุ นั แบง่ เปน็ พระอดตี พทุ ธเจา้ ๓ พระองค์ คอื พระกกุ กสุ นั ธพทุ ธเจา้ พระโกนาคมพทุ ธเจา้ และ พระกสั สปพุทธเจา้ พระปจั จบุ นั พุทธเจ้า ๑ พระองค์ คอื พระโคตมะพุทธเจ้า และพระอนาคตพุทธเจ้า ๑ พระองค์ คอื พระศรอี ารยิ เมตไตรย ต�ำ นานพระเจา้ หา้ พระองคพ์ รรณนาประวตั ขิ องพระพทุ ธเจา้ แตล่ ะพระองคต์ งั้ แตก่ อ่ นเปน็ พระพทุ ธเจา้ จนถงึ ตรสั รเู้ ปน็ พระพทุ ธเจา้ และปรนิ พิ พาน พระพทุ ธเจา้ ทง้ั ๕ พระองคน์ กี้ อ่ นทจ่ี ะตรสั รู้ เปน็ พระพทุ ธเจา้ เคยเกดิ มาเป็นพีน่ อ้ งกนั ในพระชาติหนึ่ง โดยมาเกดิ เป็นลูกแม่กาเผือก ตอ่ มาแม่กาเผือกฟักไข่ออกมา ๕ ฟอง ไวท้ ่ี ตน้ ไมใ้ หญ่ ภายหลงั เกดิ พายใุ หญพ่ ดั รงั กากระจดั กระจายไป ไขก่ าทงั้ ๕ ฟองตกลงมาจากตน้ ไมน้ นั้ และถกู พายพุ ดั ไหล ไปตามน้าํ แม่กาเผอื กเห็นดงั นนั้ เขา้ ใจวา่ ลกู ตาย จึงตรอมใจตายไปเกิดเปน็ ทา้ วพกาพรหม สว่ นไข่ทงั้ ๕ ฟองนัน้ กม็ ี แมส่ ตั ว์ตา่ งๆ เก็บได้และนำ�ไปเลย้ี งเปน็ บตุ ร 77

แม่สตั วเ์ หลา่ นน้ั ไดแ้ ก่ แมไ่ ก่ แม่นาค แม่เต่า แม่โค และแมส่ งิ ห์ เมือ่ ครบก�ำ หนดไข่ก็แตกออกมาเปน็ มนุษย์ เพศชาย ๕ คน ตอ่ มาเมอื่ ทารกทง้ั ๕ คนเจรญิ วยั ขน้ึ กอ็ อกบวชเปน็ ฤๅษอี ยใู่ นปา่ ครง้ั นน้ั รอ้ นไปถงึ พระอนิ ทร์ จงึ ทรงให้ พระวษิ ณุกรรมนิมติ อาศรมแกฤ่ าษที ้ัง ๕ ตนนน้ั วันหนึ่งพระฤๅษีทง้ั ๕ ตนเดนิ ทางมาพบกันโดยบังเอญิ จึงไดท้ ราบว่า เปน็ พ่ีนอ้ งกัน เม่อื ทราบเรื่องแลว้ ต่างก็พากันร�ำ ลึกถงึ พระคณุ แม่กาเผอื ก และประสงคจ์ ะพบแมก่ าเผือก ครั้งนน้ั ทา้ ว พกาพรหมจงึ ลงมาบอกวา่ ใหเ้ อาฝา้ ยไปท�ำ เปน็ ตนี กาแลว้ ใส่ในผางหยอดนํ้ามนั แลว้ จดุ ไฟบชู า กศุ ลน้นั จงึ จะไปถึงแม่ และเป็นการแทนพระคุณแม่กาเผอื กไดด้ ว้ ย ต�ำ นานพระเจา้ หา้ พระองค์ นบั เปน็ ต�ำ นานพทุ ธศาสนาของไทยทสี่ รา้ งสรรคข์ นึ้ ในวฒั นธรรมไทยเปน็ ภมู ปิ ญั ญา ในการเชอื่ มความสมั พันธ์ ในฐานะพี่น้องระหว่างพระพุทธเจา้ ท้ัง ๕ พระองค์ นอกจากนย้ี งั มบี ทบาทในทางการเมอื ง หรอื การน�ำ ไปใชใ้ นทางอา้ งองิ ในกฎหมายตราสามดวง ทงั้ ยงั มบี ทบาท เปน็ แรงบันดาลใจในการสรา้ งสรรคง์ านศลิ ปกรรมต่างๆ ทีเ่ กยี่ วขอ้ งกับพระศรอี ารยิ อ์ ีกดว้ ย ตำ�นานพระเจ้าห้าพระองค์ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ�ปี พุทธศกั ราช ๒๕๕๓ 78

ตำ�นานพระธาตุดอยตุง เรยี บเรยี งโดย รองศาสตราจารยร์ ังสรรค์ จันตะ๊ ตำ�นานพระธาตุดอยตุง เป็นเร่ืองราวที่กล่าวถึงที่มาของพระธาตุดอยตุง (หากปริวรรตตามต้นฉบับภาษาถ่ิน ลา้ นนาจะเขยี นดว้ ยตัว ท เป็น “ดอยทงุ ” ภาษาไทยกลางเขียนตามเสยี งอา่ นเปน็ “ดอยตงุ ”) ประดษิ ฐานบนดอยตงุ อ�ำ เภอแม่สาย จงั หวดั เชยี งราย บนความสูง ๑,๓๖๔ เมตร จากระดับนํ้าทะเล เนอ้ื เรอ่ื งกลา่ วถงึ พระพทุ ธเจา้ ทง้ั ๔ พระองค์ ทล่ี ว่ งมาแลว้ ในภทั รกปั ปน์ ้ี หลงั จากบณิ ฑบาตทเี่ มอื งราชคฤห์ และ เมอื งมถิ ลิ าแลว้ ทกุ พระองคก์ ไ็ ดเ้ สดจ็ มายงั ภเู ขานี้ และประทบั นง่ั บนยอดเขา ในอนาคตพระศรอี รยิ เมตไตรยกจ็ ะทรง มีพระจริยวตั รอย่างน้เี ช่นกัน พระธาตดุ อยตงุ เปน็ พระธาตปุ ระจ�ำ ปเี กดิ สาหรบั ผทู้ เี่ กดิ ปกี นุ เปน็ สถานทศ่ี กั ดสิ์ ทิ ธปิ์ ระจ�ำ ถน่ิ เปน็ พระธาตสุ �ำ คญั ประจำ�เมือง ชุมชนท้องถ่ินต้ังช่ือสถานที่ต่างๆ ในท้องถิ่นโดยอ้างอิงจากตำ�นานพระธาตุดอยตุง เน่ืองจากดอยตุง เปน็ แกนกลางของความศรทั ธาในพระบรมธาตุ เชอ่ื มตอ่ ดว้ ยภเู ขาขา้ ง ๆ อกี ๒ ลกู ทม่ี สี ณั ฐานคลา้ ยผหู้ ญงิ นอนหงาย จงึ ชอ่ื วา่ ดอยนางนอน และดอยจอ้ ง หรอื ดอยจกิ จอ้ ง ทางทศิ เหนอื ศรี ษะของนางนอน มี ดอยยา่ เฒา่ หรอื ดอยปเู่ ฒา่ อยตู่ รงกลางอกและเปน็ ทต่ี งั้ ของ ถา้ํ ปมุ่ ทป่ี รากฏอยู่ ในต�ำ นานดว้ ย สว่ นดอยตงุ นนั้ อยทู่ างใตค้ อื สว่ นทอ้ ง ทางตะวนั ออก ดา้ นหนา้ ของดอยปูเ่ ฒา่ และดอยตุงเป็นภเู ขาอีกลูกหนง่ึ เรยี กว่า ดอยถํ้าปลา และมีถํา้ อนื่ ๆ อกี หลายถํ้า เช่น ถาํ้ ตุป๊ ู่ ถํ้ากู่แก้ว ถ้ําปลา ถ้ําเปลวปล่องฟ้า บริเวณถัดไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ มีบ่อนํ้าศักดิ์สิทธ์ิที่ชาวบ้านเช่ือกันว่า พระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาหยุดพักและฉันน้ําท่ีบ่อน้ี ถัดข้ึนไปทางทิศะวันออกเฉียงเหนือ มีดอยอีกลูกหน่ึง สัณฐาน คลา้ ยชา้ งนอนหมอบ จงึ ชอ่ื ว่า ดอยช้างมบู มีพระธาตปุ ระจำ�คอื พระธาตุช้างมูบ 79

พระธาตดุ อยตงุ พระธาตุ ชา้ งมบู ดอยและถา้ อน่ื ๆดงั กลา่ ว จึงเป็นกลายหมุดหมายสำ�คัญ ทางประวัติศาสตร์ของท้องถิ่น ทีไ่ ด้สร้างใหภ้ ูเขาโดยรอบมเี รอ่ื ง ราวตำ�นานทางพุทธศาสนา รองรับ ทำ�ให้บริเวณดังกล่าว กลายเป็นพื้นที่ศักด์ิสิทธิ์ของ ท้องถิ่น จนกลายเป็นสถานที่ ทอ่ งเทยี่ วประจ�ำ จงั หวดั เชยี งราย ที่มีช่ือเสียง ปัจจุบันมีงาน นมัสการพระธาตุเป็นประจำ� ทกุ ปี ในเดอื น ๖ เหนอื ขนึ้ ๑๓ – ๑๕ ค่ํา ในแต่ละปีจะมีคนใน ท้องถ่ินและนักท่องเท่ียวไป นมสั การจำ�นวนมาก ตำ�นานพระธาตุดอยตุง ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดก ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของ ชาตปิ ระจ�ำ ปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๕๕ 80

ต�ำ นานพระธาตุประจ�ำ ปเี กิดลา้ นนา เรยี บเรียงโดย รองศาสตราจารยร์ งั สรรค์ จันต๊ะ การบชู าพระธาตุประจ�ำ ปีเกิดซึ่งมีชอ่ื เรียกในท้องถนิ่ ลา้ นนาวา่ ชุธาตุ หรอื พระธาตุตวั๋ เปง้ิ (ตวั พึง่ ) มที มี่ าจาก คติความเช่ือที่ถือเอาพระธาตุเจดีย์อันเป็นท่ีบรรจุพระบรมอัฐิจากสรีระของพระพุทธเจ้าที่ประดิษฐานในแต่ละ ท้องถ่ินมาเป็นที่พึ่งประจำ�ตัวเพ่ือสักการะบูชาของคนท่ีเกิดในปีนักษัตรนั้นๆ แนวคิดดังกล่าวเกิดจากคติการบูชา พระธาตุเจดีย์ตามอิทธิพลแบบลังกาคติผสมผสานกับความคิดความเชื่อบนรากฐานจักรวาลวิทยาด้านการพยากรณ์ โชคชะตาราศที ผี่ กู พนั อยกู่ บั สตั วส์ ญั ลกั ษณป์ ระจ�ำ ปเี กดิ นน้ั ๆ สว่ นองคพ์ ระธาตใุ นดนิ แดนลา้ นนากม็ กั มตี �ำ นานอธบิ าย ท่มี าอันสมั พันธก์ ับความเชื่อเกีย่ วกับการเสดจ็ มาของพระพทุ ธเจ้ายงั ดนิ แดนลา้ นนา โครงสร้างเนื้อหาหลักของตำ�นานพระธาตุประจำ�ปีเกิดแต่ละแห่งมักจะมีลักษณะคล้ายกัน โดยเร่ิมจากคร้ังที่ พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ มาในดนิ แดนทอ้ งถน่ิ ตา่ ง ๆ โดยเสดจ็ ไปประทบั ทใ่ี ตต้ น้ ไมห้ รอื สถานทแี่ หง่ ใดแหง่ หนง่ึ และมชี าวบา้ น ที่มักเป็นคนพ้ืนบ้านดั้งเดิม เช่น คนลัวะ ผู้มีศรัทธาเล่ือมใสในพระพุทธศาสนามากจะนำ�ผลไม้หรืออาหารมาถวาย หลังจากพระองคฉ์ ันเสร็จแลว้ พระองค์ไดป้ ระทานเส้นเกศาใหเ้ ส้นหนง่ึ แล้วมรี บั สงั่ ให้เอาเส้นเกศานไี้ ปไว้ในถ้ําทอี่ ยู่ ใกลบ้ รเิ วณนนั้ และรับส่งั ต่ออกี วา่ เม่อื พระองคป์ รินพิ พานไปแลว้ ให้เอาธาตุ (กระดกู ) สว่ นใดสว่ นหนึ่งของพระองค์ มาบรรจไุ วท้ ่สี ถานทีแ่ ห่งน้นั และตอ่ ไปภายหนา้ สถานท่ีแหง่ นนั้ จะเจริญรุ่งเรือง หรือมฉิ ะน้ันกอ็ าจมีพทุ ธพยากรณ์ไว้ ใหก้ บั กษตั รยิ ผ์ คู้ รองดนิ แดนแหง่ นน้ั วา่ สถานทแี่ หง่ นตี้ อ่ ไปภายหนา้ จะเปน็ ทป่ี ระดษิ ฐานของพระธาตสุ ว่ นใดสว่ นหนง่ึ กาลต่อมาภายหลังเมื่อพระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานแล้วโทณพราหมณ์ได้จัดแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ ให้แก่กษัตริย์ท้ัง ๘ นคร พระมหากัสสัปะเถระเจ้าผู้เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ จึงได้กราบทูลให้มัลลกษัตริย์ทราบถึง พุทธพยากรณ์ มัลลกษัตริย์ทราบดังน้ันจึงถวายพระบรมธาตุวางไว้บนฝ่ามือแล้วอธิษฐานอาราธนาพระบรมธาตุ เสด็จไปยังท้องถ่ินแห่งน้ัน ๆ โดยเจ้าผู้ครองนครแต่ละแห่งจะเป็นผู้อุปถัมภ์ในการก่อสร้างพระเจดีย์ธาตุให้เป็นท่ี กราบไหว้บชู าต่อไป จะขอยกตวั อยา่ งเนอื้ หาในต�ำ นานของพระธาตสุ �ำ คญั บาง แหง่ ในลา้ นนา เช่น ตำ�นานพระธาตจุ อมทอง จงั หวัดเชียงใหม่ อันเป็นพระธาตุประจำ�ปีชวด เล่าว่า พระพุทธเจ้าทรงมีพุทธ พยากรณไ์ วก้ บั พญาองั ครฏั ฐะ เจา้ เมอื งทอ่ี ยใู่ กลก้ บั ดอยจอมทอง วา่ สถานทแี่ หง่ นต้ี อ่ ไปภายหนา้ จะเปน็ ทป่ี ระดษิ ฐานพระทกั ษณิ โมลธี าตุ (พระเศยี รเบอ้ื งขวา) ของพระองค์ ตอ่ มามสี ามภี รรยาคู่ หนึง่ ชอื่ นายสอย นางเม็ง ซ่งึ เลอ่ื มใสในพระพทุ ธศาสนามาก ได้ พบพระธาตจุ อมทองทเี่ ปน็ พระทกั ษณิ โมลธี าตุ มขี นาดเทา่ เมลด็ ขา้ วโพดบรรจุอยใู่ นโกศทองเหลอื ง จึงได้ก่อเปน็ พระธาตุเจดียไ์ ว้ พระธาตุจอมทอง ทด่ี อยจอมทองแห่งน้นั ทม่ี า : www.thaiticketmajor.com 81

ตำ�นานพระธาตุลำ�ปางหลวง จังหวัด วัดพระธาตุล�ำ ปางหลวง ลำ�ปาง พระธาตุประจำ�ปีฉลู เล่าว่า ในสมัย ท่มี า : การทอ่ งเทยี่ วแหง่ ประเทศไทย พุทธกาลพระพุทธเจ้าเสด็จมาประทับนั่งอยู่ท่ีตีน ม่อนดอยของหมู่บ้านลำ�ปางหลวง มีชายผู้หน่ึง พระธาตุชอ่ แฮ ช่ือว่าอ้ายกอน เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาได้ ทม่ี า : การทอ่ งเท่ยี วแห่งประเทศไทย เอาน้ําผึ้งบรรจุกระบอกไม้ป้าง (ไม้ไผ่ประจำ�ถ่ิน ชนิดหนี่งใช้ทำ�ข้าวหลาม) รวมท้ังมะพร้าวและ มะตูม มาถวาย หลังจากที่พระองค์ได้ฉันแล้ว ทรงทิ้งกระบอกไม้ป้างไปทางทิศเหนือแล้ว พยากรณ์ว่าสถานท่ีน้ีต่อไปจักมีผู้มาสร้างเมือง ชื่อว่า “กลัมภกัปปนคร” ต่อมาเจ้าเมืองลำ�ปาง ได้สร้างเจดีย์บรรจุพระธาตุไว้ให้เป็นที่กราบไหว้ มาจนทกุ วันน้ี ตำ�นานพระธาตุช่อแฮ จังหวัดแพร่ พระ ธาตปุ ระจ�ำ ปขี าล เลา่ วา่ ขนุ ลวั ะคนหนง่ึ ชอ่ื กอ๊ มได้ มากราบไหว้ พระพุทธเจา้ ท่ีเสด็จมาถึงดอยโกสยิ ธ ชคั คะบรรพตทเ่ี มอื งแพร่ พระพทุ ธองคจ์ งึ ประทาน พระเกศาเส้นหนึ่งให้แล้ว รับสั่งให้นำ�ไปไว้ในถํ้า แหง่ หนง่ึ ทอ่ี ยใู่ กลๆ้ และรบั สง่ั วา่ เมอื่ พระองคเ์ สดจ็ ปรินิพพานแล้ว ให้เอาธาตุศอกข้างซ้ายมาบรรจุ ไว้ ณ สถานท่ีนี้ และต่อไปภายหน้าจะได้ชื่อว่า เมอื งแพร่ เมอื่ พระพทุ ธเจา้ ปรนิ พิ พานแลว้ พระเจา้ อโศกมหาราชไดอ้ ธษิ ฐานใหพ้ ระธาตเุ สดจ็ ออกจาก โกศโดยทางอากาศไปตั้งอยู่ท่ีเมืองแพร่โดยมีเจ้า ผคู้ รองนครและไพรฟ่ า้ ไดร้ ว่ มกนั กอ่ สรา้ งพระธาตุ ขน้ึ ไว้สักการะสบื มาจนปัจจบุ ัน ตำ�นานพระธาตุหริภุญชัย จังหวัดลำ�พูน พระธาตุ ประจ�ำ ปรี ะกา กลา่ วถงึ ต�ำ นานความเปน็ มาของพระธาตหุ รภิ ญุ ชยั วา่ วนั หนงึ่ พระพทุ ธองค์ ได้เสด็จเลียบฝั่งแม่น้ําระมิงค์ข้ึนไปทางทิศเหนือ จนถึงสถานที่แห่งหน่ึง มีชาวลัวะผู้หนึ่งนำ�หมาก 82

นะ หรอื ผลสมอไทยมาถวายพระองค์ เมอื่ พระองคเ์ สวยแลว้ ทรงทง้ิ เมลด็ พระธาตุหรภิ ุญชัยฯ หมากสมอลงบนพืน้ ดนิ เมล็ดหมากสมอไดท้ �ำ ประทักษณิ ๓ รอบ แล้ว ท่มี า : www.hariphunchaitemple.org พระองค์จึงทรงพยากรณ์ว่า สถานท่ีแห่งน้ีต่อไปในอนาคตจะเป็นที่ต้ัง ของ “นครหริภุญชัยบุรี” และสถานท่ีแห่งนี้จะเป็นที่ประดิษฐานของ “พระสุวรรณเจดยี ์” และหลงั จากท่ีพระองคน์ พิ พานแล้ว จะมพี ระบรม สารรี กิ ธาตทุ งั้ ธาตกุ ระหมอ่ ม ธาตกุ ระดกู อก ธาตกุ ระดกู นว้ิ มอื และธาตุ ยอ่ ยอกี เตม็ บาตรหนง่ึ มาประดษิ ฐานอยู่ ณ ทน่ี ดี้ ว้ ย จากนนั้ พระพทุ ธองค์ จึงประทาน “พระเกศาธาตุ” ให้กบั พระญาอโศก พระญาชมพนู าคราช และพระญากาเผือก เก็บไว้ในกระบอกไม้รวกบรรจุในโกศแก้วใหญ่ ๓ ก�ำ น�ำ ไปบรรจไุ วใ้ นถา้ํ ใตท้ ปี่ ระทบั นนั้ ความใน ต�ำ นานพระเจา้ เลยี บโลก กลา่ วถงึ ความในตอนนี้ว่า “...ดูราสารบี ตุ ร หลงั จากตถาคตนพิ พานไปแล้ว ศาสนาและธาตุตถาคต จกั มาประดษิ ฐานทน่ี ี้ ตลอด ๕,๐๐๐ วัสสา สถานท่ีน้ีจกั ปรากฏเป็นนคร อนั ใหญ่ จักมีพระราชาองค์หนึง่ พระนามวา่ อาทิตตราช เสวยพระนคร แห่งน้ี ธาตุตถาคตจักอุบัติข้ึนปรากฏแก่พระราชาองค์นั้น ท้าวเธอจัก ได้รังสฤษฎ์พระเจดียใหญ่ พระนวโลกุตรธรรมและพระปริยัติธรรมจัก ประดิษฐานม่ันคงในเมืองนี้และเมืองนี้จะปรากฏช่ือว่าหริภุญชัยนคร แล” ๑๕ ตำ�นานพระธาตุดอยตุง จงั หวดั เชยี งราย พระธาตุประจ�ำ ปกี นุ กลา่ วถึง หวั หน้าคนป่ากลุ่มหน่งึ ช่ือปเู่ จ้าลาว จกกบั เมยี ท�ำ ไรท่ �ำ นาอยบู่ นภเู ขา ในครง้ั นน้ั พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ จากภเู ขาคชิ ฌกฏู มาตามแมน่ า้ํ โขง ทรงทอดพระเนตรไป ยงั ทศิ ตะวนั ตกเหน็ ภเู ขา ๓ ลกู คอื ดอยตงุ พระองคเ์ หาะขน้ึ ไปประทบั บนหนิ กอ้ นหนง่ึ คลา้ ยผลมะนาวผา่ ครง่ึ พระองค์ ทรงทำ�นายว่าต่อไปท่ีน้ีจะเป็นเมืองสำ�คัญ และหลังจากท่ีพระองค์เสด็จปรินิพพานไปแล้ว กระดูกด้ามมีดเบ้ืองซ้าย (กระดูกไหปลาร้า) จะถกู นำ�มาประดิษฐานไวบ้ นดอยตุง กาลตอ่ มาหลังพระองค์ปรนิ พิ พานไปแล้ว พระมหากัสสปะ เถระไดน้ ำ�พระธาตขุ องพระองค์มาไวย้ งั ดอยตงุ พรอ้ มอธิษฐานตุง (ธง) ยาว ๗,๐๐๐ วา ประดิษฐานไว้ ณ ดอยแห่งนี้ ต่อมาจึงเรยี กดอยแห่งนี้ว่า “ดอยตุง” มาจนทุกวันนี้ สืบเนื่องจากคติการบูชาพระธาตุประจำ�ปีเกิดที่ปรากฏเฉพาะในวัฒนธรรมล้านนาหรือเขตภาคเหนือตอนบน แลว้ ไดก้ ลายเปน็ ประเพณกี ารเดนิ ทางไปไหวพ้ ระธาตปุ ระจ�ำ ปเี กดิ ของผทู้ เี่ กดิ ในประจ�ำ ปเี กดิ นน้ั ๆ ซง่ึ จะถอื โอกาส เดินทางไปไหวพ้ ระธาตปุ ระจำ�ปเี กิดของตวั เอง การเดินทางไปไหว้พระธาตหุ รภิ ญุ ชยั ของขบวนเจา้ นายฝ่ายเหนอื ดัง ปรากฏหลกั ฐานเปน็ วรรณคดลี า้ นนา เรอื่ ง โคลงนริ าศหรภิ ญุ ชยั กอ็ าจเกยี่ วขอ้ งและมที มี่ าจากคตคิ วามเชอื่ เกยี่ วกบั การไปไหวพ้ ระธาตุประจำ�ปีเกิดของเจ้านายฝา่ ยเหนือเช่นเดียวกัน ซ่งึ มกั นิยมกระทำ�กันในวันเพ็ญ ตงั้ แต่เดอื นย่ี ถงึ เดอื นสบิ เอ็ด (เหนอื ) สบื เนือ่ งมาจนถงึ ยคุ ปจั จบุ นั รวมถึงการมีประเพณี “ข้นึ ธาตุ” หรือสรงนํ้าพระธาตุประจ�ำ ปี 83

พระธาตดุ อยตงุ ท่ีมา : การทอ่ งเท่ยี วแห่งประเทศไทย คนล้านนามีความเชื่อและประเพณีปฏิบัติในการไปไหว้และสรงนํ้าพระธาตุประจำ�ปีเกิดตามเวลาการทำ�บุญ สรงนา้ํ พระธาตุ ดงั นี้ ปีชวด พระธาตจุ อมทอง จังหวดั เชียงใหม่ สรงนา้ํ ในวันขึน้ ๑๕ คํ่าเดือน ๙ เหนอื ปฉี ลู พระธาตลุ ำ�ปางหลวง จงั หวดั ลำ�ปาง ปีขาลสรงน้าํ ในวนั ข้ึน ๑๕ คา่ํ เดอื นยี่ เหนือ ปขี าล พระธาตชุ ่อแฮ จังหวัดแพร่ สรงนํ้าในวนั ขน้ึ ๑๕ ค่ําเดือน ๙ เหนอื ปีเถาะ พระธาตุแชแ่ หง้ จงั หวดั นา่ น สรงน้าํ ในวนั ขน้ึ ๑๕ ค่ําเดอื น ๖ เหนอื ปีมะโรง พระธาตุวดั พระสงิ ห์ จังหวัดเชียงใหม่ สรงนา้ํ ในวนั ขึน้ ๑๕ ค่ําเดือน ๙ เหนือ ปีมะเส็ง พระธาตเุ จดยี ์พทุ ธคยา ประเทศอินเดยี หรอื อนุโลมใหบ้ ูชาต้นศรีมหาโพธิ์ หรอื ไหว้ พระธาตุเจดีย์วัดเจ็ดยอดแทนกไ็ ด้ ปมี ะเมีย พระธาตุตะโกง้ (ชะเวดากอง) ประเทศพม่าหรือไหวพ้ ระธาตวุ ัดเกตกุ าราม อ�ำ เภอเมอื ง จงั หวัดเชียงใหม่ แทนก็ได้ ปีมะแม พระธาตุดอยสเุ ทพ จงั หวดั เชียงใหม่ สรงน้าํ ในวันข้นึ ๑๕ คํ่าเดือน ๙ เหนือ ปวี อก พระธาตุพนม จังหวัดนครพนม สรงนํา้ ในวนั ข้ึน ๑๕ คํา่ เดือน ๓ เหนือ ปีระกา พระธาตหุ ริภุญชัย จังหวัดลำ�พนู สรงน้าํ ในวนั ข้ึน ๑๕ คา่ํ เดือน ๘ เหนอื ปจี อ พระธาตุจฬุ ามณี บนสวรรค์ชนั้ ดาวดึงส์ หรือไหว้เจดีย์อินทรแ์ ขวน ในพมา่ แทนกไ็ ด้ หรือ อนโุ ลม ให้ไหวพ้ ระธาตุวดั เกตุการาม อำ�เภอเมอื ง จังหวดั เชียงใหม่ แทนกไ็ ด้ ปีกนุ พระธาตดุ อยตงุ จังหวัดเชยี งรายสรงน้ําในวันขน้ึ ๑๕ ค่ําเดอื น ๓ เหนอื คตคิ วามเชื่อเร่อื ง ชุธาตุ หรอื คตกิ ารบชู าพระธาตปุ ระจ�ำ ปเี กิดของคนล้านนาอาจวเิ คราะห์ได้วา่ เกดิ จากการ ผสมผสานของเหตุปจั จยั หลกั อย่างนอ้ ย ๓ ประการ ไดแ้ ก่ 84

ประการแรก หลงั จากการเสดจ็ ดับขันธ์ปรินพิ พานของพระพุทธเจา้ แล้ว พระธาตุเจดีย์ ถอื เป็นสัญลกั ษณแ์ ละ ความชอบธรรมในการเป็นตัวแทนขององคส์ มเดจ็ พระสมั มาสัมพทุ ธเจา้ และได้กลายมาเป็นคตกิ ารบูชา พระบรมธาตุเจดยี ท์ ่ีแพร่จากอนิ เดยี เขา้ มาสภู่ มู ิภาคในดินแดนแถบเอเซียตะวนั ออกเฉียงใต้ หรือทเ่ี รียกกันวา่ อษุ าคเนย์ และเผยแพรเ่ ขา้ มาในล้านนาในรชั สมยั ของพญากือนา (พ.ศ.๑๘๙๙ – ๑๙๒๘) โดยมีต�ำ นานต่าง ๆ เป็น เครือ่ งมอื รบั รองความชอบธรรมน้ันไว้ เชน่ ต�ำ นานมลู ศาสนา ชนิ กาลมาลปี กรณ์ และ ต�ำ นานพระเจ้าเลียบโลก ประการทส่ี อง คตคิ วามเชอื่ ในเรอ่ื งโหราศาสตรอ์ นั มสี ตั วส์ ญั ลกั ษณเ์ ปน็ ทพ่ี ง่ึ ประจ�ำ ปเี กดิ ของคนทค่ี วบคไู่ ปกบั การนบั ปนี กั ษตั รแบบลา้ นนาคอื จ�ำ นวน ๑๒ นกั ษตั ร และฐานคดิ ในระบบจกั รวาลวทิ ยาเรอ่ื งการเกดิ มาในโลกนว้ี า่ กอ่ น ทีจ่ ะมาเกดิ เป็นชวี ิตในโลกน้ี ช่วงก่อนการปฏสิ นธจิ ะกอ่ รปู เป็นภาวะของจิตท่นี ิ่งสถิตอยู่ ณ องคพ์ ระธาตุองค์ส�ำ คญั ทป่ี ระจ�ำ ในแต่ละรอบปี เมื่อครบวาระแล้ว ดวงจติ นัน้ ก็จะเปลย่ี นรปู เปน็ สญั ลักษณ์ของดาวประกายพฤกษ์ หรือดาว พระศุกร์ เขา้ สชู่ ่วงแหง่ การปฏิสนธกิ อ่ เกิดเป็นมนษุ ยต์ ่อไป (บุญคดิ วชั รศาสตร์, ๒๕๓๓ อ้างใน เธียรชาย อกั ษรดษิ ฐ์, อา้ งแลว้ , หน้า ๒๓๔) ประการท่ีสาม เป็นการบูรณาการทางสังคมและวัฒนธรรมของอำ�นาจฝ่ายเมืองท่ีจะให้เป็นศูนย์กลางของ ความสัมพันธ์ระหว่างกลมุ่ ชาติพันธุ์ตา่ ง ๆ ในดินแดนลา้ นนา รวมไปถึงลา้ นชา้ ง มอญและพมา่ ด้วย โดยการซ้อนทับ คติการนับปีนักษัตรลงไปบนพระธาตุองค์สำ�คัญที่ต้ังอยู่ ณ พ้ืนท่ีต่าง ๆ ทั้งทางภูมิศาสตร์กายภาพและภูมิศาสตร์ สงั คมใหก้ ลายเปน็ ศนู ยร์ วมของการจารกิ แสวงบญุ โดยการเดนิ ทางไปไหวพ้ ระธาตปุ ระจ�ำ ปเี กดิ ของตวั เองอนั รวมไปถงึ การทำ�บุญสะเดาะเคราะห์เสริมสร้างความเป็นสิริมงคลให้แก่ตัวเองเป็นประจำ�ทุกปี ส่ิงนี้จะทำ�ให้คนแต่ละเมือง ทอี่ ยใู่ นเขตแควน้ เดยี วกนั เกดิ ความสมั พนั ธก์ นั ดว้ ย (ศรศี กั ร วลั ลโิ ภดม, ๒๕๓๙ อา้ งใน เธยี รชาย อกั ษรดษิ ฐ,์ อา้ งแลว้ , หนา้ ๒๓๖) หากจะมองในเร่ืองคุณค่าและบทบาทของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของตำ�นานพระธาตุประจำ�ปีเกิดท่ี มตี อ่ วถิ ชี มุ ชน อาจมองไดว้ า่ “พระธาต”ุ ถอื เปน็ สมบตั ทิ างวฒั นธรรมของสงั คมพทุ ธศาสนาในลา้ นนา แตห่ ากจะมอง จากมมุ มองทางดา้ น “การเมอื งเรอื่ งพน้ื ท”่ี และการสรา้ งวาทกรรมทางสงั คมเพอื่ การตอ่ รองทางอ�ำ นาจการปกครอง แล้วก็จะเห็นได้ว่า พระธาตุประจำ�ปีเกิดได้เพิ่มบทบาทฐานะความสำ�คัญในเชิงพ้ืนที่ ให้กลายเป็นพื้นที่ศักด์ิสิทธ์ิ ทเ่ี ช่ือมโยงไปถึงปเี กดิ ของกษตั ริย์ในฐานะผู้น�ำ ของพ้นื ท่นี ้ันด้วย ขณะเดยี วกันก็มบี ทบาทหน้าทใ่ี นการสรา้ งเครอื ข่าย ความสมั พนั ธท์ างสงั คมใหก้ บั คนในพนื้ ทไ่ี ดไ้ ปมาหาสกู่ นั โดยมพี ระธาตปุ ระจ�ำ ปเี กดิ เปน็ แกนยดึ โยงความสมั พนั ธน์ นั้ ไว้ พระธาตุประจำ�ปเี กดิ จงึ กลายเปน็ สัญลักษณอ์ ันเปน็ ตัวแทนเชงิ อำ�นาจของกษตั รยิ ์ในพ้ืนที่นัน้ ไปด้วย การกำ�หนดให้ พระธาตทุ ปี่ ระดษิ ฐานในแตล่ ะพนื้ ทขี่ องชมุ ชนทอ้ งถนิ่ เปน็ พระธาตปุ ระจ�ำ วนั เกดิ และน�ำ ไปสปู่ ระเพณกี ารเดนิ ทางไป มาหาสกู่ นั โดยมเี ปา้ หมายเพอื่ การไป “ขนึ้ ธาต”ุ หรอื การบชู ากราบไหวพ้ ระธาตปุ ระจ�ำ ปเี กดิ ของคนนนั้ นบั ไดว้ า่ เปน็ กศุ โลบายอนั แยบยลในลกั ษณะการสรา้ งอ�ำ นาจตอ่ รองทางสงั คมและการเมอื งแบบประนปี ระนอม โดยการยกฐานะ บทบาทความส�ำ คญั ไปอยทู่ พ่ี ระธาตแุ ลว้ สวมทบั ลงไปบนพนื้ ทข่ี องหวั เมอื งส�ำ คญั ซง่ึ โดยนยั กค็ อื การสรา้ งความส�ำ คญั หรอื ความชอบธรรมข้นึ ในเชงิ พน้ื ท่ี ท้งั ทเ่ี ปน็ พ้ืนท่ที างภูมิศาสตร์กายภาพและพื้นทที่ างสังคมใหก้ บั ท้องถน่ิ นั่นเอง หากอธบิ ายจากมมุ มองเรอื่ งอ�ำ นาจทางการเมอื งการปกครองของฝา่ ยลา้ นนา อาจวเิ คราะหไ์ ดว้ า่ พระธาตปุ ระจ�ำ ปเี กดิ เปน็ เครอ่ื งมอื เชงิ สญั ลกั ษณข์ องการสรา้ งพนื้ ทท่ี างสงั คมและอ�ำ นาจของหวั เมอื งในลา้ นนาเพอื่ ตอบโตก้ บั อทิ ธพิ ล 85

และอำ�นาจทางการปกครองจากอำ�นาจรัฐสยาม ท้ังยังเป็นการสร้างจิตสำ�นึกร่วมทางเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ไท-ยวนและ เช่ือมโยงไปสู่การสรา้ งเครอื ข่ายทางวัฒนธรรมในภูมิภาคลา้ นนากบั ลา้ นชา้ งและพม่าอีกดว้ ย (เธียรชาย อักษรดิษฐ์, ๒๕๔๕) หากมองในแง่คุณค่าด้านจิตใจ ถือได้ว่าพระธาตุประจำ�ปีเกิดได้กลายมาเป็นพระธาตุประจำ�เมืองหรือประจำ� ท้องถิ่นไปด้วย เพราะเหตุท่ีมีตำ�นานท่ีกล่าวถึงการเสด็จมาของพระพุทธเจ้า การประทานพระเกศาธาตุและการ พยากรณ์ถึงความเจริญรุ่งเรืองในอนาคตของบ้านเมืองแห่งนั้น ตลอดจนถึงเร่ืองเล่าทางประวัติศาสตร์ของท้องถิ่น เพ่ือมารับรองความชอบธรรมและศักดิ์ศรีความมีตัวตนของคนในท้องถ่ินให้มีคุณค่าเพ่ิมมากข้ึน และยังมองได้ว่า “พระธาต”ุ ยังมีสถานะบทบาทในการเปน็ เสาหลักหรอื เสา “ใจบา้ นใจเมือง” อันศกั ดส์ิ ิทธิ์อีกสถานะหนึ่งดว้ ย โดย ได้รบั การอุปถมั ภ์ดูแลจากพระมหากษตั ริย์และชนชน้ั สงู “พระธาต”ุ กลายเปน็ สญั ลกั ษณ์ เป็นหมุดหมาย หรอื ศนู ย์ รวมทางด้านจิตใจของคนในชุมชนท้องถ่ินท่ีแสดงถึงความย่ิงใหญ่ความเป็นคนมีหลักแหล่งแห่งท่ี ทำ�ให้คนในชุมชน ท้องถน่ิ เกิดความภาคภมู ใิ จและความมน่ั ใจในตวั เองมากขนึ้ ไปด้วย   หากมองสถานภาพของ “พระธาตุ” ในปัจจุบัน เม่ือสังคมพัฒนาคลี่คลายจากสังคมกสิกรรมแบบโบราณ มาเป็นสังคมทุนนิยมอุตสาหกรรมในปัจจุบัน ทำ�ให้องค์พระธาตุประจำ�เมืองเหล่านั้นได้รับการอุปถัมภ์ดูแลจาก หนว่ ยงานราชการทรี่ บั ผดิ ชอบและจากแรงศรทั ธาของประชาชนทวั่ ไปทง้ั จากตา่ งจงั หวดั หรอื ตา่ งประเทศ มกี าร บรู ณะ ซอ่ มแซมดว้ ยวสั ดอุ นั มคี า่ มากขน้ึ ขณะเดยี วกนั กไ็ ดเ้ กดิ ธรรมเนยี มการสรา้ งพระธาตอุ งคเ์ ลก็ องคน์ อ้ ยขนึ้ ตามยอดเขา หรอื ตามวดั ตา่ งๆ ให้เป็นพระธาตปุ ระจำ�หมบู่ ้าน มีการสถาปนาและพิธีบรรจวุ ตั ถมุ งคลเขา้ ไปในหัวใจของ พระธาตุ และมีประเพณี “ข้ึนธาตุ” ในท้องถ่ินย่อยๆ ในแต่ละชุมชนเพ่ิมมากข้ึนตามไปด้วย จนถึงปัจจุบันวัดและ พระธาตุ ประจ�ำ ถน่ิ เหลา่ นน้ั ไดก้ ลายเปน็ สถานทท่ี อ่ งเทยี่ วทเ่ี กย่ี วพนั กบั คตกิ ารท�ำ บญุ การขอพรจากสงิ่ ศกั ดส์ิ ทิ ธ์ ไปจนถงึ การ ทำ�บุญสะเดาะเคราะห์เพ่อื ความเป็นสริ มิ งคลแก่ชีวติ ไปด้วย ในดา้ นปจั จยั คกุ คาม ทกุ วนั นม้ี ปี ญั หาความแออดั จากการขยายตวั ของชมุ ชนเมอื ง ท�ำ ใหท้ ศั นยี ภาพ และระบบ การจราจรเพื่อการเข้าถึงพ้ืนที่เหล่านั้นเริ่มมีปัญหามากขึ้น การมีนักท่องเที่ยวเพ่ิมขึ้นทำ�ให้เกิดปัญหาทางด้าน สิ่งแวดล้อม ปญั หาผลประโยชน์ดา้ นการบรหิ ารจดั การพนื้ ที่ รวมถึงการน�ำ ภาพและเรอื่ งราวทางประวัติศาสตร์ของ ท้องถิ่นเหล่านี้ มาทำ�เป็นบทสารคดีการท่องเที่ยวเพ่ือเป็นธุรกิจการค้าทางส่ือต่างๆ เหล่านี้นับเป็นภัยคุกคาม อนั ส�ำ คญั ของท้องถิน่ ทต่ี ้องมมี าตรการในการคุม้ ครองให้ชัดเจนตอ่ ไป ตำ�นานพระธาตุประจำ�ปเี กิดลา้ นนา ไดร้ บั การขน้ึ ทะเบียนเปน็ มรดกภมู ิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจ�ำ ปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๕๘ เอกสารอ้างองิ เธยี รชาย อักษรดษิ ฐ,์ ชธุ าตุ : บทบาทและความหมายของพระธาตใุ นอนุภูมภิ าคอษุ าคเนย์ กรณศี ึกษาความเช่อื เรอ่ื งพระธาตปุ เี กดิ ในลา้ นนา. วทิ ยานพิ นธศ์ ลิ ปศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าภมู ภิ าคศกึ ษา บณั ฑติ ศกึ ษา มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม.่ ๒๕๔๕, มูลนธิ สิ ารานุกรมวฒั นธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์, สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคเหนอื , ๒๕๔๒, 86

ภาพ : โกสินทร์ สุขมุ ตำ�นานพระบรมธาตนุ ครศรีธรรมราช เรยี บเรียงโดย รองศาสตราจารยว์ มิ ล ด�ำ ศรี ตำ�นานพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช เป็นวรรณกรรมพ้ืนบ้านท่ีสำ�คัญยิ่งของชาวนครศรีธรรมราชและของ ประชาชนทางภาคใต้ ต�ำ นานเร่ืองน้เี ปน็ ท่ีรับรู้ ในหลากหลายชอ่ื เช่น ต�ำ นานพระธาตเุ มอื งนครศรีธรรมราช ตำ�นาน พระบรมธาตุ เมืองนคร ตำ�นานพระบรมธาตุเมืองนครฉบับกลอนสวด พระนิพพานโสตร หรือ พระนิพพานสูตร เป็นตน้ โดยเฉพาะวรรณกรรมเรื่อง พระนิพพานโสตร หรือ พระนพิ พานสูตร มีความแพร่หลาย มีหลายสำ�นวน และ มปี รากฏอยแู่ ทบทกุ จังหวัด ในภาคใต้ นอกจากนั้นยังมีความสมั พันธ์กบั ต�ำ นานเมืองนครศรีธรรมราช ตำ�นานพระบรมธาตุนครศรธี รรมราช แตล่ ะสำ�นวนมีเนื้อหารายละเอียดและความสมบูรณแ์ ตกตา่ งกนั แตม่ ี เคา้ โครงเรอื่ งหลกั เหมอื นกนั คอื เปน็ บนั ทกึ ประวตั ศิ าสตรก์ ารเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาจากอนิ เดยี และลงั กามายงั ภาคใต้ ของประเทศไทย โดยมีศูนย์กลางอยู่ท่ีนครศรีธรรมราช และเป็นบันทึกพัฒนาการของเมืองนครศรีธรรมราช โดยมี พระบรมสารรี ิกธาตุ ซ่ึงฝงั อยทู่ ่หี าดทรายแกว้ เป็นศูนย์กลางแห่งความศรัทธา ต�ำ นานพระบรมธาตนุ ครศรีธรรมราช และกศุ โลบายการทำ�นุบำ�รุงพระบรมธาตุเจดยี น์ ครศรีธรรมราช มีพลัง สรา้ งสรรค์ความเจรญิ ให้แก่นครศรธี รรมราช ทั้งด้านอาณาจักรและศาสนจกั รตลอดเวลาอันยาวนานหลายศตวรรษ จวบจนถึงปัจจุบนั ต�ำ นานพระบรมธาตนุ ครศรธี รรมราช ไดร้ บั การขน้ึ ทะเบยี นเปน็ มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมของชาตปิ ระจ�ำ ปีพทุ ธศักราช ๒๕๕๓ 87

ต�ำ นานพระพทุ ธรูปลอยนํ้า เรียบเรยี งโดย สายปา่ น ปรุ วิ รรณชนะ ต�ำ นานเกย่ี วกบั พระพทุ ธรปู ลอยนาํ้ เปน็ ต�ำ นานประจ�ำ ถนิ่ ทพ่ี บแพรห่ ลายในชมุ ชนตา่ งๆ ทอี่ ยรู่ มิ แมน่ าํ้ และชายฝง่ั ทะเลภาคกลางของไทย เป็นตำ�นานประจำ�ถิ่นที่ใช้อธิบายท้ังประวัติความเป็นมาของพระพุทธรูปสำ�คัญในท้องถิ่น และประวตั ิของชุมชน สันนิษฐานว่าตำ�นานพระพุทธรูปลอยน้ําน่าจะดำ�รงอยู่ในสังคมไทยมาเป็นเวลายาวนาน จนกลายเป็น “คำ�อธิบาย” ทั้งอธิบายประวัติความเป็นมาของพระพุทธรูป และอธิบายภูมินามท่ีแพร่กระจายไปในหลายท้องถิ่น ตวั อยา่ งเชน่ ต�ำ นานหลวงพอ่ สามเสน ทเ่ี ปน็ ทรี่ บั รอู้ ยา่ งแพรห่ ลายอยา่ งนอ้ ยทสี่ ดุ กต็ งั้ แตต่ น้ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ กระทง่ั สนุ ทรภูไ่ ดก้ ลา่ วไวใ้ น นริ าศพระบาท วา่ “ถงึ สามเสนแจ้งนามตามส�ำ เหนยี ก แต่แรกเรียกสามแสนทัง้ กรงุ ศรี ประชุมฉดุ พทุ ธรปู ในวารี ไมเ่ คลอ่ื นท่ีชลธารบาดาลดนิ จงึ สาปนามสามแสนเปน็ ชอ่ื คงุ้ เออชาวกรงุ กลับเรียกสามเสนส้นิ ” หลวงพ่อสามเสน ในกรณีของหลวงพ่อสามเสน เป็นไปได้ว่าแต่แรกมีการใช้ตำ�นานพระพุทธรูปลอยน้ําเพ่ืออธิบายภูมินาม อยกู่ อ่ นแลว้ ตอ่ มาเมอ่ื มเี หตกุ ารณใ์ นลกั ษณะใกลเ้ คยี งกบั ต�ำ นาน หรอื เมอ่ื ไดพ้ ระพทุ ธรปู ส�ำ คญั มาประดษิ ฐาน ในทอ้ งถนิ่ จึงมีการนำ�ตำ�นานภูมินามมาใช้เพื่ออธิบายประวัติความเป็นมาของพระพุทธรูป โดยเล่าว่า เม่ือ พ.ศ. ๒๕๐๖ ชาวบ้านท่ีมารับจ้างขนอิฐทรายท่ีที่น้ําสามเสนพบพระพุทธรูปปางรำ�พึง แกะสลักจากแก่นโพธ์ิลอยมาติดท่ีท่านํ้า จึงไดแ้ จง้ แกเ่ จ้าของทา่ สว่ นในตอนที่อัญเชิญหลวงพอ่ สามเสนขึ้นจากนํ้านนั้ ทแี รกแมจ้ ะใชช้ าวบา้ นจำ�นวน ๓๐ คน ชว่ ยกนั ฉดุ ลากกไ็ มส่ ามารถน�ำ ขน้ึ มาได้ จนสดุ ทา้ ยตอ้ งตง้ั พธิ บี วงสรวง ใชส้ ายสญิ จนค์ ลอ้ งพระศอแลว้ อญั เชญิ จงึ ส�ำ เรจ็ 88

โครงเรอ่ื งหลกั ของต�ำ นานเกยี่ วกบั พระพทุ ธรปู ลอยนา้ํ มกั เลา่ วา่ ในอดตี พระพทุ ธรปู ส�ำ คญั ลอยนา้ํ มาจากสถาน ทอี่ นื่ จนกระทงั่ ถงึ บรเิ วณทอ้ งถน่ิ นนั้ ๆ ไดแ้ สดงปาฏหิ ารยิ บ์ างประการจงึ มผี อู้ ญั เชญิ ขนึ้ ประดษิ ฐานไวเ้ ปน็ ทเี่ คารพบชู า ในฐานะพระพุทธรูปประจำ�ทอ้ งถนิ่ จนถึงปัจจุบัน ตัวอย่างต�ำ นานในลักษณะน้ี เช่น ต�ำ นานหลวงพ่อพุทธรำ�พงึ วดั ถนน อำ�เภอปา่ โมก จังหวัดอา่ งทอง ต�ำ นาน เล่าว่า ก่อนนั้นมีแพไม้ซุงลำ�หนึ่งล่องตามแม่นํ้าเจ้าพระยามาจากเมืองเหนือแล้วหยุดพักค้างคืนอยู่ริมแม่นํ้าหน้าวัด ถนน แต่พอตอนเช้ากลับไม่สามารถเคลื่อนแพออกจากหน้าวัดได้ไม่ว่าใช้วิธีใดก็ตาม ทั้งท่ีแพอ่ืนๆ ที่ล่องมาคราว เดียวกันกลับล่องต่อไปได้จนหมด เม่ือคนคุมแพตรวจดูก็พบพระพุทธรูปปางรำ�พึงองค์หนึ่งลอยติดอยู่กับข้างแพ จงึ ใชด้ า้ ยสายสญิ จนผ์ กู แลว้ อญั เชญิ มาประดษิ ฐานไวท้ โ่ี คนตน้ ไม้ แพจงึ เคลอื่ นทอ่ี อกไปไดต้ อ่ มาพระพทุ ธรปู นไ้ี ดช้ อื่ วา่ “หลวงพอ่ พุทธร�ำ พงึ ” ดว้ ยลกั ษณะทางประติมานวทิ ยา และประดิษฐานไวท้ ว่ี ัดถนนเป็นการถาวร หลวงพอ่ พุทธร�ำ พึง 89