Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือครู วิทยาศาสตร์ กายภาพ 1 (เคมี) ม.5

คู่มือครู วิทยาศาสตร์ กายภาพ 1 (เคมี) ม.5

Description: คู่มือครู วิทยาศาสตร์ กายภาพ 1 (เคมี) ม.5

Search

Read the Text Version

นาํ สอน สรุป ประเมิน ขนั้ สรปุ กรดคารบ อกซิลกิ มสี มบตั เิ ปนกรด เนื่องจากเมอื่ ละลายนาํ้ แลว จะใหโปรตอน (H+) แกน้ํา และสารละลายมีไฮโดรเนียมไอออน (H3O+) เกิดขึ้น ดังสมการ ตรวจสอบผล O O ครแู ละนกั เรยี นรว มกนั สรปุ เรอื่ ง สารประกอบ R C OH + H2O R C O- + H3O+ ไฮโดรคารบอนใหไดขอ สรปุ ดงั นี้ สารประกอบ ไฮโดรคารบ อน คอื สารประกอบอนิ ทรยี ท มี่ เี ฉพาะ กรดคารบอกซิลิก ธาตุคารบอนและไฮโดรเจนเปนองคประกอบ ซึ่งสารประกอบไฮโดรคารบอนสามารถแบงออก สว นเอมนี และเอไมดม สี มบตั เิ ปน เบส เนอ่ื งจากเมอื่ ละลายนาํ้ แลว จะรบั โปรตอน (H+) จากนาํ้ ไดเปน 4 ชนิด คอื แอลเคน แอลคีน แอลไคน และสารละลายมีไฮดรอกไซดไอออน (OH-) เกิดขึน้ ดงั สมการ และอะโรมาตกิ ไฮโดรคารบอน R NH2 + H2O R NH3+ + OH- ขน้ั ประเมนิ เอมนี ตรวจสอบผล O O 1. ครูสังเกตพฤติกรรมการเรียนรูและการรวม R C NH2 + H2O R C NH3+ + OH- กจิ กรรมของนกั เรยี น เอไมด 2. ครูสงั เกตการตอบคําถามของนกั เรียน 3. ครตู รวจสอบผลจากใบงานเรือ่ ง สารประกอบ ? TQoupiecstion ไฮโดรคารบ อน คาํ ชี้แจง : ใหน ักเรียนตอบคําถามตอ ไปน้ี 4. ครวู ดั และประเมนิ ผลจากการทํา 1. สารประกอบไฮโดรคารบอนประกอบดวยธาตุอะไรบาง 2. ถาตองการใชสารประกอบไฮโดรคารบอนเปนเช้ือเพลิง ควรเลือกสารประกอบประเภทใด Topic Question เพราะเหตใุ ด 3. จงเขยี นสตู รโมเลกลุ ของแอลเคน แอลคนี และแอลไคนท มี่ จี าํ นวนอะตอมของคารบ อน ดงั นี้ จาํ นวนอะตอมของคารบ อน แอลเคน แอลคนี แอลไคน 11 13 18 22 82 แนวทางการวัดและประเมินผล แนวตอบ Topic Question ครูสามารถวัดและประเมินความเขาใจในเนื้อหา เร่ือง สารประกอบ 1. สารประกอบไฮโดรคารบอนประกอบดวยธาตุคารบอน (C) และ ไฮโดรคารบอน ไดจากการสังเกตพฤติกรรมการทําใบงาน โดยศึกษาเกณฑ ไฮโดรเจน (H) เปน องคประกอบหลัก การวัดและประเมินผลจากแบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคลท่ีอยู 2. ควรเลือกใชสารประกอบไฮโดรคารบอนประเภทแอลเคน เน่ืองจาก ในแผนการจัดการเรยี นรูห นว ยท่ี 3 สารเคมแี ละผลิตภณั ฑในชวี ิตประจาํ วัน เปนสารประกอบไฮโดรคารบอนอ่ิมตัว เกิดการเผาไหมสมบูรณ ไมมี เขมาเกิดข้นึ 3. จํานวนอะตอม แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรายบคุ คล ของคารบอน คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤตกิ รรมของนกั เรยี นในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรยี น แล้วขดี ✓ลงในช่องท่ี แอลเคน แอลคนี แอลไคน ตรงกับระดบั คะแนน ลาดบั ที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 1 32 1 การแสดงความคิดเหน็   2 การยอมรับฟังความคดิ เหน็ ของผอู้ ่นื   11 C11H24 C11H22 C11H20 3 การทางานตามหน้าท่ีทีไ่ ด้รบั มอบหมาย   4 ความมีน้าใจ   5 การตรงต่อเวลา   รวม 13 C13H28 C13H26 C13H24 เกณฑ์การใหค้ ะแนน ลงช่อื ................................................... ผปู้ ระเมิน 18 C18H38 C18H36 C18H34 ปฏบิ ตั ิหรอื แสดงพฤตกิ รรมอย่างสม่าเสมอ ............/.................../................ ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยคร้ัง ให้ 3 คะแนน ปฏบิ ตั หิ รือแสดงพฤตกิ รรมบางครงั้ ให้ 2 คะแนน ให้ 1 คะแนน เกณฑก์ ารตดั สนิ คุณภาพ 22 C22H46 C22H44 C22H42 ช่วงคะแนน ระดับคณุ ภาพ 14–15 ดีมาก 11–13 ดี 8–10 พอใช้ ต่ากวา่ 8 ปรบั ปรงุ T92 6

นาํ นาํ สอน สรปุ ประเมนิ 3. ¾ÍÅÔàÁÍÏ Prior Knowledge ขน้ั นาํ สารประกอบคารบอนบางชนิดสามารถเช่ือมตอกัน ÊÒûÃСͺ กระตนุ้ ความสนใจ ดวยพันธะเคมีเกิดเปนพอลิเมอรซ่ึงเปนสารท่ีมีโมเลกุลขนาด ¾ÍÅàÔ ÁÍÏ ใหญ โดยพอลิเมอรท่ีเกิดข้ึนสามารถนําไปใชประโยชนไดอยาง àªÍ×è ÁµÍ‹ ¡¹Ñ ´ÇŒ  1. ครนู าํ ภาพประกอบหรอื อปุ กรณเ ครอ่ื งใชต า งๆ หลากหลาย ¾¹Ñ ¸Ðª¹´Ô ã´ หลายประเภทมาใหนกั เรียนดู เชน กลองโฟม ขวดน้ําพลาสติก แกวพลาสติก เสื้อผา แลว พอลเิ มอร (polymer) คอื สารประกอบทม่ี โี มเลกลุ ขนาดใหญ มมี วลโมเลกลุ มาก ประกอบดว ย นักเรียนท้ังหมดรวมกันพิจารณา แลวตอบ มอนอเมอรหลาย ๆ หนวยมาเชื่อมตอ กนั ดวยพันธะโคเวเลนต คาํ ถามวา • นักเรียนคิดวา ผลิตภัณฑทุกชนิดในภาพ 3.1 »ÃÐàÀ·¢Í§¾ÍÅàÔ ÁÍÏ มีสมบัติเหมือนกันหรือไม และผลิตมาจาก วัสดชุ นดิ เดียวกันหรือไม การจาํ แนกประเภทของพอลเิ มอรส ามารถทาํ ไดห ลายวธิ ี ขน้ึ อยกู บั วา ใชล กั ษณะใดเปน เกณฑ • นกั เรยี นคดิ วา เพราะเหตใุ ดสมบตั ขิ องพลาสตกิ ในการพิจารณา ซง่ึ สามารถจาํ แนกประเภทของพอลิเมอรไดโดยอาศัยลักษณะตา ง ๆ ดังนี้ หรอื เสน ใยแตล ะชนิดจงึ แตกตา งกัน 1. พิจารณาตามการเกิด สามารถจาํ แนกพอลเิ มอรอ อกไดเปน 2 ประเภท ดงั น้ี 2. ครูยกตวั อยางพอลิเมอรชนิดตา งๆ เชน แปง พลาสตกิ ยางพารา ไนลอน แลว ถามนกั เรยี นวา พอลิเมอรธ รรมชาติ natural polymer นักเรียนคิดวาพอลิเมอรท่ีครูนํามายกตัวอยาง สามารถแยกประเภทไดห รือไม อยางไร แลว • เปนพอลเิ มอรท ่เี กดิ ขึ้นเองตามธรรมชาติ ภาพท่ี 3.13 ฝาย รวมกันอภิปราย เพ่ือเปนนําไปสูการศึกษา • พบไดในสิ่งมชี วี ิตทุกชนดิ ท่ีมา : คลังภาพ อจท. เรอ่ื ง พอลเิ มอร • สงิ่ มชี วี ติ ผลติ ขน้ึ โดยอาศยั กระบวนการทางเคมที เี่ กดิ ขนึ้ ภายในเซลล และมกี ารเก็บสะสมไวใชป ระโยชนต ามสว นตา ง ๆ ของรา งกาย 3. ครถู ามคําถาม Prior Knowledge • มีความแตกตา งกันไปตามชนดิ ของสิ่งมีชีวติ และตาํ แหนงที่พบ จากหนงั สือเรยี นวทิ ยาศาสตรกายภาพ 1 ในสง่ิ มีชีวิต (เคม)ี ม.5 เพอ่ื เปน การกระตนุ ใหน ักเรยี น • ตวั อยางเชน โปรตนี แปง เซลลโู ลส ไกลโคเจน กรดนิวคลอี ิก รวมกันคิด ยางธรรมชาติ พอลเิ มอรส งั เคราะห synthetic polymer ภาพที่ 3.14 เม็ดพลาสตกิ ทีม่ า : คลงั ภาพ อจท. • เปน พอลิเมอรท่ีเกิดจากการสงั เคราะหขึน้ • ผลิตโดยนําสารมอนอเมอรจาํ นวนมากมาทําปฏกิ ริ ิยาเคมี ภายใตสภาวะทีเ่ หมาะสม ทําใหเกิดพันธะโคเวเลนต เช่ือมตอ มอนอเมอรเหลานัน้ จนกลายเปน พอลิเมอร • มอนอเมอรท่ใี ชเปนสารต้งั ตน เปนสารไฮโดรคารบอนทเี่ ปน ผลพลอยไดจ ากการกลัน่ น้ํามันดิบและการแยกแกส ธรรมชาติ • ตัวอยางเชน พลาสตกิ ไนลอน ดาครอน ลูไซต ÊÒÃà¤ÁÕáÅмÅÔµÀѳ± 㹪ÕÇÔµ»ÃШíÒÇѹ 83 แนวตอบ Prior Knowledge พันธะโคเวเลนต ขอสอบเนน การคดิ แนว O-NET เกร็ดแนะครู ขอใดจับคูมอนอเมอรก ับพอลิเมอรไ ดถกู ตอง การเรยี นการสอน เร่ือง พอลิเมอร นกั เรยี นจะไดเรียนรูเ กี่ยวกบั พอลิเมอร ขอ มอนอเมอร พอลเิ มอร หลากหลายชนิดท่ีมีสมบัติแตกตางกันออกไป ดังน้ัน ครูควรเนนใหนักเรียน ไดทราบถึงชนิดและโครงสรางของมอนอเมอรท่ีนํามาใชในการผลิตพอลิเมอร 1. ไอโซพรนี ยางพารา แตละชนิด โดยอาจทําการตอแบบจําลองของมอนอเมอรแตละชนิด และนํา แบบจาํ ลองของมอนอเมอรม าตอ เรยี งกนั เปน พอลเิ มอรแ ตล ะชนดิ ใหน กั เรยี นไดด ู 2. เอมีน พอลิเอไมด เพอ่ื ใหน กั เรยี นเหน็ ถงึ ความแตกตา งของชนดิ มอนอเมอรท เี่ ปน องคป ระกอบของ พอลเิ มอรช นดิ ตา งๆ และความแตกตา งในการจดั เรยี งตวั ของพอลเิ มอรแ ตล ะชนดิ 3. กรดอะมิโน ดีเอ็นเอ ซ่ึงมีผลทาํ ใหพอลเิ มอรมสี มบตั ิแตกตา งกนั 4. แลกโทส กาแลกโทส T93 5. ฟอสจนี พอลิคารบ อเนต (วเิ คราะหคาํ ตอบ มอนอเมอรของยางพารา คือ ไอโซพรีน มอนอเมอรของพอลิเอไมด คือ เอไมด มอนอเมอรของดีเอ็นเอ คือ นิวคลีโอไทด มอนอเมอรของแลกโทส คือ กาแลกโทส และกลูโคส มอนอเมอรของพอลิคารบอเนต คือ ฟอสจีนและ บสิ ฟนอลเอ ดังน้ัน ตอบขอ 1.)

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขน้ั สอน 2. พิจารณาตามมอนอเมอรท่ีเปนองคประกอบ สามารถจําแนกพอลิเมอรออกไดเปน 2 ประเภท ดังนี้ สาํ รวจคน้ หา ฮอมอพอลเิ มอรห รือพอลเิ มอรเ อกพนั ธุ Homopolymer 1. ครูนําเขาสูบทเรียนเก่ียวกับความหมาย และ • เปน พอลิเมอรท่ีประกอบดว ยมอนอเมอรช นดิ เดยี วกันทั้งหมด ประเภทของพอลเิ มอร โดยครถู ามคาํ ถาม ดงั น้ี • พอลิเมอรและมอนอเมอรคืออะไร มีความ ภาพท่ี 3.15 โครงสรางของฮอมอพอลิเมอร สมั พนั ธก ันอยางไร ทม่ี า : คลังภาพ อจท. (แนวตอบ พอลิเมอร หมายถึง สารประกอบ ท่ีโมเลกุลมีขนาดใหญมาก เกิดจาก • ตัวอยา งเชน แปง เซลลูโลส ไกลโคเจน พอลิเอทิลนี พอลิสไตรนี พอลิโพรพิลีน โมเลกุลเด่ียวมาเช่ือมตอกันดวยพันธะเคมี CH2OHO CH2OHO CH2OHO แตละโมเลกุลเดี่ยวหรือหนวยยอย เรียกวา H OHCHH2OHHO H OH O OH O OH มอนอเมอร) HO OH OH OH OH OH n OH 2. ครูใหนกั เรียนแบง กลมุ กลมุ ละ 3 คน ศกึ ษา H OH เกี่ยวกบั ประเภทของพอลิเมอร และโครงสราง ภาพท่ี 3.17 โครงสรา งอะไมโลสในแปง ของพอลิเมอร จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ภาพท่ี 3.16 โครงสรา งของกลโู คส ที่มา : คลงั ภาพ อจท. กายภาพ 1 (เคมี) ม.5 หนา 83-85 แลวให ทีม่ า : คลังภาพ อจท. นักเรียนแตละกลุมสรุปความรูท่ีไดศึกษา ออกมาเปน แผนผงั ความคิด พอลเิ มอรรวม Copolymer • เปนพอลเิ มอรที่ประกอบดว ยมอนอเมอรต า งชนดิ กัน ภาพท่ี 3.18 โครงสรา งของพอลเิ มอรรวม ที่มา : คลงั ภาพ อจท. • ตวั อยา งเชน โปรตนี พอลิเอสเทอร พอลเิ อไมดO ยHางเอสบอี าร ยางเอบเี อส CCH2OCH CCH3C CHC3HCH3 H H H CCH2C H HO H CCH2COO- H+3N HO N C C N HO N N H H O ภาพที่ 3.19 โครงสรางของโปรตนี ท่ีมา : คลงั ภาพ อจท. CH2 CH CH2 CH CH CH2 ภาพท่ี 3.20 โครงสรางของยางเอสบอี าร ท่มี า : คลงั ภาพ อจท. 84 เกร็ดแนะครู ขอ สอบเนน การคิดแนว O-NET ครูอาจหาภาพแสดงโครงสรางของฮอมอพอลิเมอรและพอลิเมอรรวม สารอนิ ทรยี ช นดิ ใดจดั เปน พอลเิ มอรท เี่ กดิ จากมอนอเมอรห ลายชนดิ หลายๆ ชนดิ มาแสดงใหน กั เรยี นดู เพอ่ื ใหน กั เรยี นไดเ หน็ ความแตกตา งระหวา ง 1. เซลลูโลส ฮอมอพอลเิ มอรแ ละพอลเิ มอรรวมอยา งชดั เจน ตวั อยางเชน 2. ยางพารา 3. ไกลโคเจน HHHHHHHH 4. พอลสิ ไตรีน CCCCCCCC 5. กรดนวิ คลอี ิก HHHHHHHH (วิเคราะหค าํ ตอบ มอนอเมอรของยางพารา คือ ไอโซพรีน พอลิเอทิลีน (ฮอมอพอลิเมอร) มอนอเมอรของเซลลูโลสและไกลโคเจน คือ นํ้าตาลกลูโคส มอนอเมอรของกรดนิวคลีอิก คือ นิวคลีโอไทด 4 ชนิด และ HNO H (พNHอONHลOิเHNมOอรรวOมONH) NOHNH NHO มอนอเมอรข องพอลสิ ไตรีน คือ สไตรนี ดงั น้นั ตอบขอ 5.) NO ON NO T94 H OHNH H NHO ON HNO พอลเิ อไมด

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ 3.2 â¤Ã§ÊÌҧ¢Í§¾ÍÅÔàÁÍÏ ภาพที่ 3.21 พอลเิ มอรแ บบโซต รง ขนั้ สอน ท่มี า : คลังภาพ อจท. แบงออกเปน 3 ลักษณะ ดังนี้ อธบิ ายความรู้ พอลิเมอรแ บบโซต รง Linear polymer 1. ครูสุมตวั แทน 1 กลุม ออกมาอธบิ ายเกีย่ วกับ ประเภทของพอลิเมอรใหเพ่ือนกลุมอื่นฟง • เกดิ จากมอนอเมอรส รา งพันธะตอ กันเปนสายยาว โซพ อลเิ มอรเรียงชดิ แลว ครสู รปุ ความรเู กยี่ วกบั ประเภทของพอลเิ มอร กันมากกวา โครงสรา งแบบอื่น ๆ ใหน กั เรยี นฟง อกี ครงั้ หนง่ึ จากนน้ั ครตู ง้ั คาํ ถาม • มีความหนาแนนและจุดหลอมเหลวสูง มีลักษณะแข็งและเหนียวกวา เพือ่ ทดสอบความเขา ใจของนกั เรียน เชน โครงสรางอ่ืน ๆ เชน พอลิไวนิลคลอไรด พอลิโพรพิลีน พอลิสไตรีน • เมอื่ พจิ ารณาจากแหลง กาํ เนดิ ของพอลเิ มอร พอลเิ อทลิ นี ชนิดความหนาแนน สูง และพอลิเอทิลีนเทเรฟทาเลต นั้น จะสามารถจําแนกพอลิเมอรไดเปน กป่ี ระเภท อะไรบาง พอลเิ มอรแบบโซกิ่ง Branched polymer ภาพท่ี 3.22 พอลิเมอรแบบโซก ่ิง (แนวตอบ สามารถจําแนกพอลิเมอรไดเปน ที่มา : คลังภาพ อจท. 2 ประเภท คือ พอลิเมอรธรรมชาติ เปน • เกิดจากมอนอเมอรที่ยึดกันแตกกิ่งกานสาขา มีทั้งโซส้ันและโซยาว พ อ ลิ เ ม อ ร  ท่ี เ กิ ด ขึ้ น เ อ ง ต า ม ธ ร ร ม ช า ติ ก่งิ ท่แี ตกออกทําใหไมสามารถจัดเรียงชิดกันไดม ากนกั สามารถพบไดในส่ิงมีชีวิตทุกชนิด เชน • มีความหนาแนนและจุดหลอมเหลวต่ํา ยืดหยุนได แตความเหนียวต่ํา เสน ใยพชื เซลลโู ลส และพอลเิ มอรส งั เคราะห โครงสรางเปลีย่ นรูปไดงา ย เมอื่ อุณหภมู เิ พิ่มขนึ้ เชน พอลิเอทิลีนชนดิ เกดิ จากการสงั เคราะหข น้ึ ดว ยวธิ กี ารนาํ สาร ความหนาแนนตาํ่ มอนอเมอรจํานวนมากมาทําปฏิกิริยาเคมี ภายใตสภาวะท่เี หมาะสม ทําใหมอนอเมอร พอลเิ มอรแ บบรางแห Network polymer ภาพท่ี3.23 พอลเิ มอรแ บบรา งแห เหลา นนั้ เกดิ พนั ธะโคเวเลนตต อ กนั กลายเปน ทมี่ า : คลังภาพ อจท. โมเลกุลพอลิเมอร) • เกิดจากมอนอเมอรตอเชื่อมกันเปนรางแห ถามีพันธะท่ีเชื่อมระหวาง 2. ครูสุมตัวแทน 3 กลมุ ออกมาอธิบายเกย่ี วกบั • มสาคี ยวโาซมอแยขูนง็ อแยตเ กปจ็ระายะหดื กัหงยา นุยไเดชมน าเกมลแาตมหนี1ากเบมกมี าาไลกตก2จ็(พะแอขลง็ยิ เู ไรมยี ฟยืดอหรแ ยมุนล- โครงสรา งของพอลเิ มอรท แ่ี บง ออกเปน 3 โครงสรา ง ใหเ พ่ือนกลมุ อน่ื ฟง ดังน้ี ดีไฮด) • กลมุ ที่ 1 โครงสรา งแบบโซต รง • กลมุ ที่ 2 โครงสรา งแบบโซก ง่ิ Science Focus ມÒäŵ • กลมุ ที่ 3 โครงสรางแบบรา งแห เบกาไลตเปนหน่ึงในพลาสติกสังเคราะหชนิดแรก ๆ ของโลก ถูกคิดคนโดย เลโอ บาเกอลันด (Leo Baekeland) ในป ค.ศ. 1907 โดยเขาพบวา หากนําฟนอล (phenol) และฟอรแมลดีไฮด (formaldehyde) มาทําปฏิกิริยากันท่ีอุณหภูมิและแรงดันท่ีเหมาะสม จะเกิดพลาสติกชนิดใหมขึ้นมา ซ่ึงมีคุณสมบัติเปนฉนวนกันไฟฟา ทนความรอน และดัดแปลงเปนรูปรางตาง ๆ ไดโดยเขาตั้งชื่อ ใหวา เบกาไลต (bakelite) ซ่ึงในปจจุบันสามารถนํามาใชประโยชนไดหลายดาน เชน มือจับสําหรับ อปุ กรณเ ครอ่ื งครวั อปุ กรณไ ฟฟา ฝาครอบจานจา ยรถยนต ถาดบรรจสุ ารเคมี ตโู ทรทศั น ทร่ี องนงั่ โถสว ม นอกจากนี้ ยงั มีการนาํ เอาไปทาํ เปนเครอื่ งประดบั และสวนประกอบอาวุธปน ÊÒÃà¤ÁÕáÅмÅÔµÀѳ± 㹪ÕÇÔµ»ÃШíÒÇѹ 85 ขอ สอบเนน การคิดแนว O-NET นักเรียนควรรู พลาสติกชนิดหน่ึงนํามาใชทําสวิตชไฟฟา เปนพลาสติกที่มี 1 เมลามีน เปนพลาสติกท่ีมีสารฟอรแมลดีไฮดเปนสวนประกอบสารฟอร- ความแขง็ มาก แตเ มอื่ ถกู ความรอ นสงู มากๆ จะเปราะและแตกหกั ได แมลดีไฮดน้ี เม่อื สดู ดมเขาไปจะทาํ ใหเ กดิ การระคายเคือง ทาํ ใหต าและผิวหนัง พลาสตกิ ชนิดน้ีควรมีโครงสรางแบบใด อักเสบ เม่ือรับประทานเขาไปจะทําใหเกิดน่ิวในทอปสสาวะและไต และเกิด มะเร็งทท่ี อ ปสสาวะได 1. โครงสรางแบบโซกง่ิ 2 เบกาไลต หรอื ฟน อลฟอรแ มลดไี ฮด เปน พอลเิ มอรท ม่ี คี วามแขง็ แตไ มเ หนยี ว 2. โครงสรางแบบโซตรง ทนอุณหภูมิไดถึง 130 องศาเซลเซียส เปนตัวนําความรอนที่ไมดีติดไฟได 3. โครงสรางแบบรา งแห แตชาและดับเอง จึงนิยมนํามาใชเปนฉนวนไฟฟาในอุตสาหกรรมตางๆ เชน 4. โครงสรา งแบบโซต รงผสมแบบโซก่งิ หมอแปลงไฟฟา ตคู อนโทรลไฟฟา 5. โครงสรา งแบบโซก่ิงหรอื แบบรา งแห (วิเคราะหค าํ ตอบ พอลิเมอรท่มี โี ครงสรางแบบรา งแหจะมีสมบตั ิ T95 คือ มีความแข็งแกรง แตเปราะหักงาย ซึ่งพลาสติกดังกลาวมี ความแขง็ มาก แตเ มอื่ ถกู ความรอ นสงู มากๆ จะเปราะและแตกหกั ดงั นั้น ตอบขอ 3.)

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขนั้ สอน 3.3 ¡ÒÃÊѧà¤ÃÒÐ˾ ÍÅÔàÁÍÏ ขยายความเขา้ ใจ การสงั เคราะหพ อลเิ มอร เกดิ ขึ้นโดยการนําสารไฮโดรคารบ อนไปทําปฏิกิรยิ าเคมใี นสภาวะ ท่ีเหมาะสม ทําใหเกิดปฏิกิริยาเคมีในตําแหนงท่ีเปนพันธะคูจนเกิดการเช่ือมตอไปเปนโมเลกุล 1. ครูใหนักเรียนศึกษาคนควาเพ่ิมเติมจากแหลง พอลิเมอรข นาดใหญ และเรยี กปฏิกริ ยิ าทสี่ ารเร่ิมตน ท่ีเปนมอนอเมอรรวมตัวกนั เปน พอลเิ มอรว า เรียนรูตางๆ แลวรวบรวมช่ือพอลิเมอรตางๆ ปฏิกิริยาการเกิดพอลิเมอร (polymerization) โดยปฏิกิริยาการเกิดพอลิเมอรสามารถเกิดข้ึนได จดลงในสมดุ บันทึกของนกั เรยี น โดยแยกเปน 2 รปู แบบ ดงั นี้ หวั ขอ ดังนี้ • พอลเิ มอรธ รรมชาตแิ ละพอลเิ มอรส งั เคราะห 1. ปฏิกิริยาการเกิดพอลิเมอรแบบเติม (addition polymerization reaction) เกิดจาก • ฮอมอพอลิเมอรและพอลเิ มอรร ว ม โมเลกุลของมอนอเมอรทม่ี ีพันธะคูร ะหวางคารบอนอะตอม เชน เอทลิ นี โพรพิลนี ไวนิลคลอไรด • พอลิเมอรท ่มี โี ครงสรางแบบโซต รง สไตรีน เปนตน มาทําปฏิกิริยาตอกันตรงบริเวณพันธะคู ไดผลิตภัณฑเปนพอลิเมอรเทานั้น แบบโซก ง่ิ และแบบรางแห โดยไมม สี ารโมเลกุลเล็กเกิดขึ้น 2. ครมู อบหมายใหนกั เรยี นไปศึกษาความรู เร่อื ง HH HH HHHH การสังเคราะหพอลิเมอร ซง่ึ จะเรยี นในช่วั โมง CC + CC + CCCC ตอ ไปมาลวงหนา HH HH H พHอลิเอทHิลนี 1 H เอทลิ ีน เอทลิ ีน ภาพที่ 3.24 ปฏิกิริยาการเกิดพอลิเมอรแบบเตมิ ของเอทิลนี เกิดเปนพอลิเอทลิ นี ที่มา : คลงั ภาพ อจท. ตารางท่ี 3.8 : ตัวอยา งพอลิเมอรสังเคราะหท่เี ตรยี มไดจากปฏกิ ิรยิ าการเกดิ พอลิเมอรแบบเติม มอนอเมอร พอลิเมอร สมบัติ การนาํ ไปใชป ระโยชน เอทิลีน พอลเิ อทิลีน • มลี กั ษณะใส เหนียว • ภาชนะบรรจุอาหาร (ethylene) (polyethylene: PE) ยดื หยุนเล็กนอ ย • ถุงพลาสติกชนดิ HH • อากาศผานไดบา ง ใสของเยน็ CC HH • ขวดใสน้ําด่มื HH CC ของเดก็ เลน H Hn โพรพลิ นี พอลโิ พรพิลีน • คลายพอลิเอทิลนี • ภาชนะบรรจุสารเคมี (propylene) (polypropylene: PP) แตแข็งแรงกวา • กระเปาเดินทาง • น้ําหนกั เบา • เครื่องมอื แพทย H C CH3 HH • ภาชนะใสเครือ่ งสาํ อาง C CC • พรม เชอื ก HH H CH3 n 86 นักเรียนควรรู ขอ สอบเนน การคดิ แนว O-NET กําหนดปฏกิ ริ ิยา ดังตอ ไปนี้ 1 พอลเิ อทิลีน สามารถแบง ออกไดเ ปน 3 ประเภท ตามคาความหนาแนน ก. สไตรนี + สไตรนี + สไตรีน + ... พอลิสไตรีน ดงั น้ี ข. กลโู คส + กลูโคส + กลูโคส + ... เซลลูโลส + นํา้ ค. กรดอะมโิ น + กรดอะมโิ น + กรดอะมโิ น + ... โปรตนี + นาํ้ 1. พอลเิ อทลิ นี ความหนาแนน ตา่ํ หรอื low density polyethylene (LDPE) ง. ไวนลิ คลอไรด + ไวนิลคลอไรด + ... พอลไิ วนิลคลอไรด มีความหนาแนน 0.91 ถึง 0.93 กรัมตอลูกบาศกเซนติเมตร มีการนํามาใช ขอใดเปน ปฏกิ ริ ยิ าการเกิดพอลิเมอรแ บบเตมิ อยางกวางขวาง เพราะวาราคาไมแพง ยืดหยุนได และทนตอสารเคมี นําไป 1. ขอ ก. และ ข. 2. ขอ ก. และ ค. ขนึ้ รปู เปน ขวด ทาํ หอ บรรจอุ าหาร และของเลน 3. ขอ ก. และ ง. 4. ขอ ข. และ ค. 5. ขอ ค. และ ง. 2. พอลเิ อทลิ นี ความหนาแนน กลาง หรอื medium density polyethylene (MDPE) มคี วามหนาแนน 0.93 ถงึ 0.95 กรมั ตอ ลกู บาศกเ ซนตเิ มตร ใชท าํ ทอ แกส (วิเคราะหคําตอบ ปฏิกิริยาการเกิดพอลิเมอรแบบเติมเกิดจาก การรวมตัวของมอนอเมอรที่มีพันธะคูระหวางอะตอมคารบอน 3. พอลเิ อทลิ นี ความหนาแนน สงู หรอื high density polyethylene (HDPE) โดยในการเกิดปฏิกิริยาจะไมมีการกําจัดสวนใดของมอนอเมอร มีความหนาแนน 0.95 ถึง 0.97 กรัมตอลูกบาศกเซนติเมตร มีความแข็งแรง ออกไป ทําใหไดผลิตภัณฑเปนพอลิเมอรเพียงชนิดเดียว ดังนั้น มากกวา พอลิเอทิลีนความหนาแนน ตา่ํ ใชทาํ ถุง ถังน้าํ มนั รถ และทอนา้ํ ปฏิกิริยาในขอ ก. และ ง. จึงเปนปฏิกิริยาการเกิดพอลิเมอร แบบเตมิ ดงั น้นั ตอบขอ 3.) T96

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ตารางท่ี 3.8 : ตัวอยางพอลิเมอรสังเคราะหท ีเ่ ตรยี มไดจากปฏกิ ิรยิ าการเกดิ พอลเิ มอรแบบเตมิ (ตอ) ขนั้ สอน มอนอเมอร พอลิเมอร สมบตั ิ การนาํ ไปใชประโยชน สาํ รวจคน้ หา ไวนลิ คลอไรด พอลไิ วนลิ คลอไรด • มีลักษณะแขง็ คงรูป • ทอ นํ้า เส้ือกนั ฝน 1. ครูนําเขาสูบทเรียนเก่ียวกับการสังเคราะห (vinylchloride) (polyvinylchloride: และเหนียว กระเบอื้ งยางปพู ้ืน พอลิเมอรและปฏิกิริยาการเกิดพอลิเมอร H Cl • ทนตอ ความชนื้ สารเคมี หนงั เทยี ม โดยครูถามคาํ ถามเพือ่ กระตุน ความคิดวา PVC) และการขดั ถู • นกั เรยี นรูจกั พอลเิ มอรอ ะไรบา ง CC HH • บัตรเครดิต (แนวตอบ เชน อลิ าสโตเมอร พลาสตกิ เสน ใย HH CC • ไมท นตอ แสงและ วสั ดเุ คลอื บผวิ ) H Cl n ความรอน • แผนเสยี ง • มอนอเมอรท ใ่ี ชเ ปนสารต้งั ตนในการ • ฉนวนหมุ สายไฟฟา สังเคราะหพอลเิ มอรม ีอะไรบาง (แนวตอบ เชน สารไฮโดรคารบอนไมอิ่มตัว เตตระฟลูออโรเอทิลนี พอลเิ ตตระฟลอู อโรเอทลิ นี 1 • เหนยี ว ผิวลน่ื • เคลอื บผวิ ภาชนะหุงตม เชน เอทลิ นี โพรพลิ นี และโมเลกลุ ขนาดเลก็ (tetrafluoroethylene) (polytetrafluo- • ทาํ ฉนวนไฟฟา ทม่ี ีหมทู ี่ไวตอ การเกิดปฏกิ ริ ิยา 2 หมู เชน roethylene: PTFE, • ทนสารเคมดี ีทุกชว ง • ปะเก็น วงแหวนลกู สูบ 1, 6-เฮกซะเมทิลีนไดเอมนี ) FF อณุ หภูมิทนความรอน และลกู ปน ในเครอื่ งยนต CC teflon) ไดดี • เคลอื บสายเคเบลิ 2. ครใู หน กั เรยี นแบง กลมุ กลมุ ละ 3-4 คน ศกึ ษา FF F F • เปนฉนวนไฟฟา สายไฟฟา เรอ่ื ง การสงั เคราะหพ อลเิ มอรแ ละปฏกิ ริ ยิ าการ CC เกิดพอลิเมอร จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร กายภาพ 1 (เคม)ี ม.5 หนา 86-91 F Fn สไตรีน พอลิสไตรนี • แขง็ มาก แตเปราะ • ช้นิ สวนของตเู ย็น (styrene) (polystyrene: PS) • ผวิ เรียบ นาํ้ หนกั เบา • เครอ่ื งเรอื น ตลบั เทป HH เน้อื ใส โปรงแสง • กลอ งใส โฟมบรรจุ CC CH2 CH • ไมทนกรดและเบส อาหาร H • ไมนําไฟฟา • ฉนวนสาํ หรับกระติกนํ้า n • วสั ดุลอยน้าํ อะครโิ ลไนไตรล พอลิอะครโิ ลไนไตรล • แขง็ เหนียว • ผา โอรอน (acrylonitrile) (polyacrylonitrile) • ทนตอ ความชืน้ • ดา ยสาํ หรับถกั พรม สารเคมี และเชื้อรา ถงุ เทา เส้อื ผาเดก็ H CH2 CH • ทนตอสภาพดิน ฟา เสื้อกันหนาว HC C Nn อากาศ • ทนตอการขดี ขว น CC HN ÊÒÃà¤ÁÕáÅмÅÔµÀѳ± 㹪ÕÇÔµ»ÃШíÒÇѹ 87 ขอสอบเนน การคดิ เกร็ดแนะครู พอลเิ มอรค ใู ดเกดิ จากปฏกิ ริ ยิ าการเกดิ พอลเิ มอรท แี่ ตกตา งกนั ครนู าํ รปู สงิ่ ของตา งๆ มาแสดงหนา ชน้ั เรยี น เพอ่ื ใหน กั เรยี นรว มกนั อภปิ ราย 1. พอลิโพรพลิ ีนกบั พอลไิ วนิลคลอไรด วาสิ่งของแตละชนิดมีพอลิเมอรชนิดใดเปนองคประกอบ เพ่ือใหนักเรียน 2. พอลโิ พรพิลีนกบั พอลิเอทิลีนเทเรฟทาเลต เห็นความแตกตางของสมบัติของพอลิเมอรสังเคราะหแตละชนิด และสามารถ 3. พอลเิ ตตระฟลอู อโรเอทลิ นี กับพอลิโพรพิลีน นําไปใชไดอยางถูกตอง 4. พอลิไวนิลคลอไรดกับพอลเิ ตตระฟลอู อโรเอทลิ นี 5. พอลิยูเรียฟอรแ มลดีไฮดก ับพอลิเอทิลีนเทเรฟทาเลต นักเรียนควรรู (วิเคราะหค าํ ตอบ พอลิโพรพิลีน พอลิเตตระฟลูออโรเอทิลีน 1 พอลเิ ตตระฟลอู อโรเอทลิ นี (Polytetraffl luoroethylene: PTFE) เปน พลาสตกิ พอลิไวนิลคลอไรด เปนพอลิเมอรท่ีเกิดจากปฏิกิริยาการเกิด เรียกกันโดยทั่วไปวา “เทฟลอน” มีสีขาวขุน ผิวลื่น มีคุณสมบัติทนทานตอ พอลเิ มอรแ บบเตมิ พอลเิ อทลิ นี เทเรฟทาเลต พอลยิ เู รยี ฟอรแ มลดไี ฮด การกัดกรอนของสารเคมี และทนความรอนสูง จึงทําใหกระบวนการข้ึนรูป เปนพอลิเมอรท่ีเกิดจากปฏิกิริยาการเกิดพอลิเมอรแบบควบแนน เปนผลติ ภณั ฑนน้ั ตอ งใชค วามรอ นสงู และมคี วามยุง ยากกวา พลาสตกิ ชนดิ อ่ืน ดงั น้นั ตอบขอ 2.) T97

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขนั้ สอน 2. ปฏิกริ ิยาการเกิดพอลเิ มอรแบบควบแนน (condensation polymerization reaction) คือ ปฏกิ ริ ยิ าการเกดิ พอลเิ มอรท เี่ กดิ จากมอนอเมอรท มี่ หี มทู าํ หนา ทมี่ ากกวา 1 หมู มาทาํ ปฏกิ ริ ยิ ากนั สาํ รวจคน้ หา เกดิ เปน พอลิเมอร และไดสารโมเลกลุ เลก็ เปน ผลพลอยไดม าดว ย เชน น้าํ แกสไฮโดรเจนคลอไรด แอมโมเนีย เอทานอล 3. ครูอาจจะเขียนสูตรโครงสรางของมอนอเมอร ชนดิ ตา งๆ ทเี่ กดิ จากปฏกิ ริ ยิ าการเกดิ พอลเิ มอร OO ใหน กั เรยี นดู เพอ่ื ใหน กั เรยี นเหน็ ความแตกตา ง ของมอนอเมอรท จี่ ะเกดิ ในแตล ะแบบ ซงึ่ จะทาํ ให nHO C (CH2)4 C OH + nH2N (CH2)6 NH2 นกั เรยี นเกดิ ความเขา ใจในเรอ่ื ง การสงั เคราะห กรดอะดิปก เฮกซะเมทลิ ีนไดเอมีน พอลิเมอรและปฏิกิริยาการเกิดพอลิเมอรมาก ยิ่งข้นึ OO C (CH2)4 C NH(CH2)6 NH + 2nH2O ไนลอน 6, 6 n น้ํา ภาพท่ี 3.25 ปฏิกิรยิ าการเกดิ พอลิเมอรแ บบควบแนนของกรดอะดปิ กกบั เฮกซะเมทลิ นี ไดเอมนี เกดิ เปน ไนลอน 6, 6 ท่ีมา : คลังภาพ อจท. จํากดั ตารางท่ี 3.9 : ตวั อยา งพอลเิ มอรสังเคราะหที่เตรยี มไดจากปฏกิ ริ ยิ าการเกดิ พอลเิ มอรแ บบควบแนน มอนอเมอร/พอลเิ มอร สมบตั ิ การนําไปใชประโยชน มอนอเมอร • แข็งและเหนยี ว • เสนใย เอ็น แห อวน OO • งา ยตอการยอมสี เชือก ดา ย HOC COH • ทนตอ ความช้นื • ขวดนา้ํ ดมื่ ชนิดแข็ง และการขดั ถู และใส กรดเทเรฟทาริก • สารเคลือบรูปภาพ • หนิ ออนเทยี ม HO CH2 CH2 OH แกว เทียม เอทิลนี ไกลคอล พอลิเมอร OO CH2CH2 O C C พอลเิ อทิลีนเทเรฟทาเลต (PET) n 88 เกร็ดแนะครู กิจกรรม สรางเสริม ครอู ธบิ ายเพมิ่ เตมิ วา ปฏกิ ริ ยิ าการเกดิ พอลเิ มอรแ บบควบแนน จะไดพ อลเิ มอร ใหนกั เรียนแบงกลุม กลุม ละ 4 คน ศึกษาเก่ียวกบั ปฏิกริ ิยา ท่ีมีโครงสรางแบบรางแห จึงทําใหพอลิเมอรที่เกิดข้ึนดวยปฏิกิริยานี้มีความ การเกิดพอลิเมอรแบบควบแนน จากแหลงเรียนรูตางๆ เชน แข็งมาก โคงงอไดเ ล็กนอ ย เปราะและหกั งา ย ตวั อยางของพอลิเมอรท เี่ กิดขน้ึ หองสมุด อินเทอรเน็ต แลวใหนักเรียนตอบคําถามที่ครูเตรียมไว โดยวิธนี ้ี เชน ไนลอน พอลเิ อสเทอร ในเวลาที่กําหนด กลุมไหนตอบคําถามเสร็จกอน ครูอาจจะให คะแนนพิเศษ T98 กิจกรรม ทา ทาย ใหนักเรียนแบงกลุม กลมุ ละ 4 คน แตละกลมุ ศกึ ษาคน ควา เกยี่ วกบั พอลเิ มอรท ไี่ ดจ ากปฏกิ ริ ยิ าการเกดิ พอลเิ มอรแ บบควบแนน โดยศึกษาตามหัวขอ ตอ ไปน้ี • มอนอเมอรที่ใชก ารเกดิ พอลิเมอร • สมบตั ขิ องพอลิเมอร • การนําไปใชประโยชน แลว สรปุ สาระสําคญั โดยจัดทาํ ออกมาในรูปแบบของ อินโฟกราฟก

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ตารางท่ี 3.9 : ตวั อยา งพอลเิ มอรส งั เคราะหท เ่ี ตรยี มไดจ ากปฏกิ ริ ยิ าการเกดิ พอลเิ มอรแ บบควบแนน (ตอ ) ขนั้ สอน มอนอเมอร/ พอลเิ มอร สมบัติ การนาํ ไปใชป ระโยชน อธบิ ายความรู้ มอนอเมอร • เหนยี ว ผิวเรียบ • เชอื ก เสนดา ย 1. ครูต้ังคําถามใหนักเรียนทุกคนรวมกันตอบ H2N (CH2)6 NH2 คําถาม เพ่ือทดสอบความเขาใจของนักเรียน • ทําความสะอาดงาย • ถุงนอ ง ชดุ ชัน้ ใน เก่ียวกบั การสงั เคราะหพ อลเิ มอรและปฏิกิรยิ า เฮกซะเมทิลนี ไดเอมีน การเกิดพอลเิ มอร เชน แหงเร็ว • ชน้ิ สว นเครอ่ื งจกั รกล • กระบวนการสังเคราะหพอลิเมอรเรียกวา OO อะไร มีก่ปี ระเภท อะไรบาง และแตกตาง HO C (CH2)4 C OH • ยืดหดได เชน เกยี ร เฟอ ง กนั อยา งไร (แนวตอบ กระบวนการสังเคราะหพอลิเมอร กรดอะดิปก • ทนตอการขดั ถู ปลอกหุมสายไฟฟา เรยี กวา ปฏกิ ริ ยิ าการเกดิ พอลเิ มอร แบง เปน 2 ประเภท คอื ปฏกิ ิรยิ าการเกิดพอลเิ มอร • ไมทนตอ การใช แบบเติม ซึ่งมอนอเมอรจะเกิดพันธะ นอกอาคาร โดยไมมีการสูญเสียอะตอมใดๆ โดยการ แตกพันธะคูและนํามาเช่ือมตอกันเปน พอลเิ มอร พนั ธะเดย่ี ว และปฏกิ ริ ยิ าการเกิดพอลเิ มอร แบบควบแนน ซงึ่ มอนอเมอรจ ะเกดิ การสรา ง OO พนั ธะกันและมีสารทีเ่ ปนโมเลกลุ เลก็ ๆ เชน น้าํ ออกมาเปน ผลิตภัณฑด วย) C (CH2)4 C NH(CH2)6 NH 2. ครูเปดโอกาสใหน กั เรยี นซักถามขอสงสัย พอลเิ อไมด (PA) (ไนลอน 6, 6) n เกีย่ วกบั เนอื้ หา เรอื่ ง การสังเคราะหพ อลิเมอร และปฏิกิริยาการเกิดพอลิเมอร วามีสวนไหน มอนอเมอร • เหนยี ว ใส • แผน หลงั คาพลาสตกิ ทไ่ี มเ ขา ใจและใหความรเู พิม่ เตมิ ในสว นน้ัน • ทนความรอ น • เครอ่ื งโทรศัพท HO CCH3 OH • ทนแรงกระแทก • ขวดบรรจุน้ําดม่ื CH3 • ไมช ้นื งา ย ขนาดใหญ • ตดิ ไฟแลวดบั เอง • ภาชนะใสท่ีใช บสิ ฟน อลเอ ทดแทนเคร่อื งแกว O Cฟl อCสจนี C1l พอลิเมอร O CCH3 O OC CH3 n พอลคิ ารบอเนต (PC) ÊÒÃà¤ÁÕáÅмÅÔµÀѳ± 㹪ÕÇÔµ»ÃШíÒÇѹ 89 ขอ สอบเนน การคิด นักเรียนควรรู พอลเิ มอรช นดิ หนงึ่ มสี มบตั ิ ดงั น้ี 1 ฟอสจีน (phosgene) หรือคารบอนิลคลอไรด (carbonyl chloride) ก. ประกอบดวยมอนอเมอร 2 ชนดิ เปนแกสพิษชนิดหน่ึง เปนผลผลิตจากการเผาไหมสารเคมีท่ีมีคลอรีนเปน ข. เกิดปฏิกริ ยิ าการเกิดพอลเิ มอรแ บบควบแนน องคประกอบ ถูกสังเคราะหขึ้นเพื่อใชเปนอาวุธเคมีในสงคราม และใชใน ค. ใชทําถงุ นอง เชอื ก เสนดาย อตุ สาหกรรมผลติ สี เรซนิ ยาปราบศตั รพู ชื แกส ชนดิ นมี้ คี ณุ สมบตั ทิ าํ ใหป อดบวมนาํ้ ง. ทนตอการขดั ถู ทาํ ลายระบบหายใจ หากสดู ดมเขา ไปปริมาณมากจะทาํ ใหเสียชวี ติ ได ฟอสจนี พอลเิ มอรชนดิ น้คี วรเปนพอลเิ มอรในขอใด ละลายนํ้าไดนอย จึงทําใหออกฤทธิ์ชา แตอาจสงผลตอระบบทางเดินหายใจ 1. อะครลิ ิก 2. เบกาไลต ข้นึ มาอยา งรุนแรงในภายหลงั ได 3. ไนลอน 6, 6 4. พอลยิ รู ีเทน 5. พอลิคารบอเนต T99 (วเิ คราะหคําตอบ ไนลอน 6, 6 เปนพอลิเมอรที่ไดจากการ เกิดปฏิกิริยาการเกิดพอลิเมอรแบบควบแนน มีมอนอเมอร คือ เฮกซะเมทิลีนไดเอมีน และกรดอะดิปก ใชทําเชือก เสนดาย ถุงนอง ชดุ ช้นั ใน มีคุณสมบตั ิเหนียว ผิวเรยี บ ทําความสะอาดงาย แหงเร็ว ยดื หดได ทนตอ การขัดถู ดงั นน้ั ตอบขอ 3.)

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขน้ั สอน ตารางท่ี 3.9 : ตวั อยา งพอลเิ มอรส งั เคราะหท เ่ี ตรยี มไดจ ากปฏกิ ริ ยิ าการเกดิ พอลเิ มอรแ บบควบแนน (ตอ ) ขยายความเขา้ ใจ มอนอเมอร/พอลเิ มอร สมบตั ิ การนาํ ไปใชประโยชน มอนอเมอร 1. ใหน กั เรยี นแบง กลมุ กลมุ ละ 3-4 คน นาํ โมเดล • ยดื หยนุ • เสน ใยทําชดุ วายน้ํา อะตอมของธาตมุ าตอ เปน พอลเิ มอรช นดิ ตา งๆ HO (CH2)4 OH ดังนี้ • ทนการขีดขวนไดด ี • ลอรถเข็น • พอลเิ อทลิ นี 1,4-บิวเทนไดออล • พอลโิ พรพลิ นี • ทนตอ ตวั ทาํ ละลาย • น้ํายาเคลือบผิว • พอลิไวนิลคลอไรด O C N(CH2)6N C O • พอลิสไตรีน • ทนแรงกระแทก • โฟมบเุ กาอี้ • พอลิเอสเทอร เฮกซะเมทลิ ีนไดไอโซไซยาเนต 2. ครูใหนักเรียนชวยกันตอโมเดล เม่ือนักเรียน พอลเิ มอร ทุกกลุมตอโมเดลอะตอมเปนพอลิเมอรแตละ ชนิดเสรจ็ ใหครูเดินตรวจผลงานของนักเรยี น OO แตละกลุม หากกลุมใดตอผิดใหครูอธิบาย โครงสรา งที่ถกู ตอ ง C NH (CH2)6 NH C O (CH2)4 O พอลิยรู เี ทน (PU) n มอนอเมอร • แขง็ แตเ ปราะ • กาว OH • ทนความรอ น • แผงวงจรไฟฟา ฟนอล ท่ีอณุ หภูมสิ ูง • ทนสารเคมี • เปน ฉนวนไฟฟา CH2O ฟอรแมลดีไฮด พอลิเมอร O O C n พอลฟิ น อลฟอรแมลดีไฮด (PF) (เบกาไลต) 90 สื่อ Digital กจิ กรรม สรางเสรมิ ศึกษาเพิ่มเติมไดจาก Youtube เรื่อง Condensation Polymerisation ใหนักเรียนระบุความแตกตางของพอลิเมอรแบบเติมและ (https://www.youtube.com/watch?v=-d14DmSBuAQ) พอลิเมอรแบบควบแนน พรอมท้ังรวบรวมรายช่ือพอลิเมอร แบบเติมและพอลิเมอรแบบควบแนน มาอยางละ 10 ชนิด โดย คน ควา เพ่ิมเติมจากแหลงเรยี นรูตางๆ เชน หองสมุด อนิ เทอรเนต็ กจิ กรรม ทาทาย ใหน ักเรียนแบงกลมุ กลมุ ละ 4 คน ออกแบบและสรางแบบ จําลองแสดงโครงสรางของพอลิเมอรแบบเติมและแบบควบแนน พรอมนาํ เสนอหนา ชนั้ เรียน T100

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ตารางท่ี 3.9 : ตวั อยา งพอลเิ มอรส งั เคราะหท เ่ี ตรยี มไดจ ากปฏกิ ริ ยิ าการเกดิ พอลเิ มอรแ บบควบแนน (ตอ ) ขน้ั สอน มอนอเมอร/ พอลิเมอร สมบตั ิ การนําไปใชป ระโยชน ขยายความเขา้ ใจ • แข็ง แตเปราะ • แผงวงจร มอนอเมอร • ทนความรอน 3. ครูใหนักเรียนรวมกันอภิปรายและแสดงความ อิเลก็ ทรอนกิ ส คิดเหน็ โดยครูถามคําถาม ดงั น้ี (NH2)2CO ทอ่ี ุณหภูมิสงู • กาว • นกั เรยี นคดิ วา จะสามารถประยกุ ตใ ชค วามรู • ทนสารเคมี • โฟม เก่ียวกับการเกิดพอลิเมอรไปใชประโยชน ยูเรยี อยา งไรไดบาง • ใหนักเรียนเปรียบเทียบความเหมือนและ ฟอCรแHมล2Oดีไฮด1 ความแตกตางของประเภทของมอนอเมอร ทใ่ี ชเ ปน สารตงั้ ตน ในการสงั เคราะหพ อลเิ มอร พอลเิ มอร และปฏิกิริยาการเกดิ พอลิเมอร ครูใหนักเรียนไดตอบคําถามกันอยางอิสระ O เพื่อเปดโอกาสใหนักเรียนไดมีมุมมองใหมๆ ทีแ่ ตกตา งกันออกไป CH2 NH C NH n พอลยิ เู รียฟอรแมลดีไฮด (UF) มอนอเมอร • ทนสารเคมี • แผงวงจร NH2 • กนั นา้ํ ไดดี • เสนใยผาเพ่อื กนั นา้ํ • ถว ย จาน หูหมอ NN H2N N NH2 หกู ระทะ ดา มภาชนะ เครื่องครวั เมลามีน ฟอCรแ Hมล2Oดไี ฮด พอลิเมอร NH NN NH N NH n พอลิเมลามีนฟอรแมลดีไฮด (MF) ÊÒÃà¤ÁÕáÅмÅÔµÀѳ± 㹪ÕÇÔµ»ÃШíÒÇѹ 91 จากปฏกิ ริ ยิ าตอไปน้ี ขอ สอบเนน การคดิ นักเรียนควรรู … + HO A OH + HO A OH + HO A OH + … 1 ฟอรแ มลดไี ฮด (formaldehyde) หรอื อาจคนุ เคยในชอ่ื ฟอรม าลนิ (Formalin) … O A O A O A O A … + H2O และมีอีกช่ือ คือ เมทานาล เปนสารประกอบอินทรียท่ีระเหยไดมีกล่ินฉุน ก. ไดพ อลเิ มอรแ บบรางแห เปนสารตง้ั ตน ในการสังเคราะหส ารเคมีชนิดอน่ื ๆ เชน พอลิยูเรียฟอรแมลดไี ฮด ข. เปนกระบวนการเกดิ พอลิเมอรแ บบเตมิ และใชเปนสารยับยั้งการเจริญเติบโตของเช้ือโรค มีคุณสมบัติในการฆาเช้ือ ค. เกดิ จากมอนอเมอรท่ีมีหมูท าํ หนา ท่ีมากกวา 1 หมู แบคทีเรียและเชื้อรารวมถึงฆาสปอร (Spore) ของเชื้อเหลานี้การสูดดมไอ ขอใดถกู ตอง ของฟอรแมลดีไฮดจะทําใหรูสึกระคายเคืองตอระบบทางเดินหายใจ อีกท้ังจะ 1. ก. เทา นนั้ 2. ข. เทานั้น รสู ึกแสบตา ปวดศรี ษะ ทําใหแ สบลําคอ หายใจลําบาก และสามารถกระตุน ให 3. ค. เทาน้ัน 4. ก. และ ข. มีอาการหอบได 5. ก. และ ค. (วิเคราะหคาํ ตอบ จากปฏกิ ริ ยิ าทกี่ าํ หนดให พบวา ไดผ ลติ ภณั ฑ T101 เปนพอลิเมอรและนํ้า จึงเปนปฏิกิริยาการเกิดพอลิเมอร แบบควบแนน ซึ่งเกิดจากมอนอเมอรท่ีมีหมูทําหนาที่มากกวา 1 หมู มาทําปฏิกริ ยิ ากัน เกดิ เปน พอลิเมอรแบบรา งแหและไดส าร โมเลกุลเล็ก ดงั นน้ั ตอบขอ 5.)

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขน้ั สอน 3.4 ¼ÅÔµÀ³Ñ ±¨ Ò¡¾ÍÅÔàÁÍÏ สาํ รวจคน้ หา 1. พลาสติก (plastic) มาจากภาษากรีกวา Plastikos แปลวา สามารถนาํ ไปหลอมได ดงั นนั้ พลาสตกิ จงึ หมายถึง สารที่สามารถทาํ ใหเ ปนรูปตา ง ๆ ไดดวยความรอน พลาสตกิ เปน พอลิเมอร 1. ครูนํานักเรียนสนทนาเกี่ยวกับผลิตภัณฑของ สงั เคราะหท่ีมีโมเลกลุ ขนาดใหญ และมมี วลโมเลกลุ มาก พอลเิ มอรว า ในปจ จุบนั เรานาํ พอลิเมอรมาใช ประโยชนอยางมากมาย โดยพอลิเมอรที่เปน 1) สมบตั ิของพลาสติก พลาสตกิ มีสมบตั ทิ ่วั ไป ดงั นี้ ท่ีรูจักกันดี คือ พลาสติก แตรอบๆ ตัวของ • มีความเสถียรมากในธรรมชาติ สลายตวั ยาก มนี า้ํ หนักเบา เรายังมีพอลิเมอรชนิดอื่นๆ อยูอีกมากมายที่ • สว นมากไมท ําปฏิกิริยากบั อากาศ กรด เบส และสารเคมี มีประโยชนและจําเปนตอชีวิตประจําวัน เชน • เปน ฉนวนความรอนและฉนวนไฟฟา ยาง เสน ใย ซงึ่ นกั เรยี นจะไดเ รยี นตอ ไป จากนนั้ • สวนมากออนตวั และหลอมเหลวเมือ่ ไดร บั ความรอ น จงึ เปลย่ี นเปน รูปตาง ๆ ได ตง้ั คําถามใหน ักเรียนตอบวา • สิ่งของเครื่องใชในบานของนักเรียนชนิดใด 2) ประเภทของพลาสติก พลาสติกแตละชนิดจะมีสมบัติแตกตางกันไปตามโครงสราง บา งทที่ าํ มาจากพลาสติก การเชอื่ มตอของมอนอเมอร และลกั ษณะของมอนอเมอรทเ่ี ปนองคประกอบ ซ่ึงสามารถแบง ออก (แนวตอบ ข้นึ อยูกับคาํ ตอบของนักเรยี น) ไดเ ปน 2 ประเภท ดังน้ี • นกั เรยี นคิดวา พลาสตกิ มขี อ ดีกวาวัสดุจาก ธรรมชาตอิ ยางไรบา ง เทอรมอพลาสตกิ thermoplastics พลาสติกเทอรม อเซต thermoset plastic (แนวตอบ มคี วามทนทาน แขง็ แรง นาํ้ หนกั เบา) เปนพลาสติกท่ีเมื่อไดรับความรอนจะออนตัว เปนพลาสติกท่ีคงรูปหลังการผานความรอน และเมื่อเย็นลงจะแข็งตัว ถาใหความรอนอีก หรอื แรงดนั เพยี งครง้ั เดยี ว เมอื่ เยน็ ลงจะแขง็ มาก ก็จะออนตัวอีก โดยสมบัติของพลาสติกยัง ทนความรอนและความดันไมออนตัว และ เหมือนเดิมพลาสติกประเภทนี้มีโครงสราง เปลี่ยนรูปรางไมได แตถาอุณหภูมิสูงก็จะแตก โมเลกุลเปนโซตรงยาว มีการเช่ือมตอระหวาง และไหมเปนขี้เถาสีดํา พลาสติกประเภทนี้ โซพ อลเิ มอรน อ ยมากจงึ สามารถนาํ ไปหลอมเหลว โมเลกุลจะเชื่อมโยงกันเปนรางแหจับกันแนน เพื่อนํากลับมาใชใหมอีกครั้งได หรือเม่ือผาน แรงยึดเหนี่ยวระหวางโมเลกุลแข็งแรงมาก การอัดแรงมากจะไมทําลายโครงสรางเดิม จงึ ไมส ามารถนาํ มาหลอมเหลวได เชน เมลามนี เชน เทฟลอน ไนลอน พีวซี ี พอลคิ ารบอเนต อีพอกซี ซลิ ิโคน พอลยิ รู เี ทน เบกาไลต พอลเิ อทลิ นี พอลโิ พรพิลีน พอลิสไตรีน เทอรม อพลาสตกิ พลาสติกเทอรมอเซต = มอนอเมอร = มอนอเมอร ภาพที่ 3.26 โครงสรางของเทอรมอพลาสตกิ และพลาสตกิ เทอรมอเซต ที่มา : คลังภาพ อจท. 92 ผลติ ภณั ฑจ ากพอลเิ มอร เกร็ดแนะครู ขอ สอบเนน การคดิ แนว O-NET เกณฑใดใชในการแยกพลาสติกออกเปนเทอรมอพลาสติก ครูอธิบายเพ่ิมเติมวา วัสดุที่เปนพลาสติกชนิดแรก คือ เซลลูลอยด และพลาสติกเทอรม อเซต (celluloid) ผูท่ีคิดคน คือ จอหน เวสเลย ไฮแอตต (John Wesley Hyatt) ในชว งหลงั ของศตวรรษท่ี 19 โดยการนาํ เซลลูโลสไนเตรต (cellulose nitrate) 1. ความหนาแนน มาผสมกบั การบรู และนํามาใชแ ทนงาชา งในการทาํ ลูกบิลเลยี ด 2. ความคงทนตอ กรด-เบส 3. การละลายในตวั ทําละลายอินทรีย ส่ือ Digital 4. การเปล่ียนแปลงเมอื่ ไดร บั ความรอน 5. ชนดิ ของมอนอเมอรแ ละการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าการเกดิ พอลเิ มอร ศกึ ษาเพม่ิ เตมิ ไดจ าก QR Code เรอื่ ง ผลติ ภณั ฑจ ากพอลเิ มอร (วิเคราะหค าํ ตอบ เทอรมอพลาสติกเปนพลาสติกท่ีเม่ือไดรับ ความรอนแลวจะหลอมเหลว และจะกลับมาแข็งตัวใหมอีกคร้ัง T102 เมื่อเย็นลง สวนพลาสติกเทอรมอเซตเปนพลาสติกท่ีเมื่อไดรับ ความรอนที่สูงมากเกินไปจะแตกและหัก ไมสามารถคืนรูปได ดังน้ัน จึงใชการเปล่ียนแปลงเมื่อไดรับความรอนเปนเกณฑ ในการแยกพลาสตกิ ทง้ั 2 ประเภทนอี้ อกจากกนั ดงั นน้ั ตอบขอ 4.)

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ตารางที่ 3.10 : สมบตั บิ างประการของพลาสตกิ บางชนิด ขน้ั สอน ชนดิ ของ ประเภทของ สมบัติบางประการ ตัวอยางการนํา สาํ รวจคน้ หา พลาสติก พลาสตกิ สภาพการไหมไ ฟ ขอ สงั เกตอ่นื ไปใชประโยชน 2. ครใู หน กั เรยี นศกึ ษา เรอ่ื ง พลาสตกิ จากหนงั สอื เรยี น หนา 92-94 แลว ใหเ ขยี นตารางเปรยี บเทยี บ พอลิเอทิลนี เทอรม อพลาสตกิ เปลวไฟสนี า้ํ เงนิ ขอบเหลือง เล็บขดี เปนรอย ถงุ ภาชนะ ความแตกตางของเทอรมอพลาสติกและ กลิ่นเหมือนพาราฟน ไมล ะลายใน ฟลมถายภาพ พลาสติกเทอรมอเซต ลงในสมุดบันทึกของ เปลวไฟไมดบั เอง สารละลายท่ัวไป ของเลน เด็ก นักเรยี น ลอยนํ้า ดอกไมพลาสตกิ 3. ครูสุมตัวแทนนักเรียน 2-3 คน ออกมาอธบิ าย พอลิโพรพลิ ีน เทอรม อพลาสตกิ เปลวไฟสีน้ําเงินขอบเหลือง ขีดดว ยเลบ็ โตะ เกา อี้ สมบตั ขิ องเทอรม อพลาสตกิ และพลาสตกิ เทอร ควนั ขาว กลน่ิ เหมอื นพาราฟน ไมเปน รอย เชือก พรม มอเซต แลว ใหน กั เรยี นทกุ คนรว มกนั วเิ คราะห ไมแ ตก บรรจุภัณฑ และแสดงความคดิ เหน็ วา ผลติ ภณั ฑท ที่ าํ มาจาก อาหาร ช้ินสวน เทอรมอพลาสติกและพลาสติกเทอรมอเซต รถยนต จะมคี ณุ สมบตั อิ ยา งไร พอลสิ ไตรีน เทอรม อพลาสตกิ เปลวไฟสีเหลือง เขมา มาก เปราะ ลอยนาํ้ โฟม1เลนส กลน่ิ เหมือนแกส จุดตะเกียง ละลายได ในคารบ อน อปุ กรณไฟฟา เตตระคลอไรด ของเลน เดก็ และโทลูอนี อปุ กรณกฬี า เคร่อื งมือสอื่ สาร พอลไิ วนลิ คลอไรด เทอรม อพลาสตกิ ตดิ ไฟยาก เปลวไฟสีเหลือง ออนตัวได กระดาษตดิ ผนัง ขอบเขยี ว ควนั ขาว กลนิ่ คลา ย คลายยาง รองเทา ทอพีวีซี กรดเกลือ ลอยนาํ้ กระเบ้อื งปพู ื้น ฉนวนหุม สายไฟ ภาชนะบรรจสุ าร เคมี ไนลอน เทอรม อพลาสตกิ เปลวไฟสีน้ําเงนิ ขอบเหลอื ง เหนียว ยดื หยนุ เครอ่ื งนงุ หม กล่นิ คลา ยเขาสัตวต ดิ ไฟ ไมแ ตก จมน้าํ ถุงนองสตรี พรม อวน แห ÊÒÃà¤ÁÕáÅмÅÔµÀѳ± 㹪ÕÇÔµ»ÃШíÒÇѹ 93 ขอ สอบเนน การคดิ แนว O-NET นักเรียนควรรู พลาสตกิ ทนี่ าํ มาทาํ ถงุ และทอ นาํ้ จะมสี มบตั คิ ลา ยกบั พอลเิ มอร ชนิดใด 1 โฟม คอื พลาสตกิ ทน่ี าํ มาผา นกระบวนการขนึ้ รปู โดยใชส ารชว ยการขยายตวั ก. พอลเิ มอร A มีโครงสรา งแบบโซก ิง่ มลี ักษณะออนตัว (blowing agent) เพ่ือใหพลาสติกมลี กั ษณะฟแู ละเบา โฟมที่มีการนํามาใชงาน เม่อื ไดรับความรอ น และแข็งตัวเมอ่ื เย็นลง กนั มาก มกั จะทาํ มาจากพลาสติกชนดิ พอลิสไตรีน โฟมทีเ่ ริม่ ผลิตในระยะแรก ข. พอลเิ มอร B มโี ครงสรางแบบรา งแห มลี ักษณะแข็ง จะใชสารฟรอี อน (freons) ซ่งึ มีสารคลอโรฟลอู อโรคารบ อน (CFCs) เปนสว น แตเปราะ และไมสามารถนาํ มารีไซเคลิ ได ประกอบ เปนตัวทําใหฟูพอง โดยโฟมชนิดนี้จะทําใหเกิดมลพิษตอส่ิงแวดลอม ค. พอลเิ มอร C มโี ครงสรา งแบบโซต รง มีลกั ษณะเหนียว จึงมีการพัฒนามาใชแกสบิวเทนหรือเพนเทนเปนตัวทําใหโฟมฟูพองแทน และยืดหยุน ไดด ี สามารถนาํ มารีไซเคลิ ได จงึ ทาํ ใหเ กดิ ผลเสยี ตอ สงิ่ แวดลอ มนอ ยลง แตโ ฟมเปน วสั ดสุ งั เคราะหท ไี่ มส ามารถ 1. ขอ ก. เทานนั้ 2. ขอ ข. เทา น้นั ยอ ยสลายเองไดต ามธรรมชาติ และการทาํ ลายโฟมทาํ ใหเ กดิ มลพษิ ในหลายๆ ดา น 3. ขอ ก. และ ข. 4. ขอ ก. และ ค. ปจ จบุ นั จงึ ไดม คี วามพยายามนาํ โฟมกลบั มายอ ยเปน พอลเิ มอรอ กี ครง้ั ในรปู ของกาว 5. ขอ ข. และ ค. (วิเคราะหคาํ ตอบ พลาสตกิ ทนี่ าํ มาทาํ ถงุ และทอ นา้ํ เปน เทอรม อ- T103 พลาสติก ซง่ึ เปนพลาสตกิ ทีม่ โี ครงสรา งแบบโซตรงหรอื แบบโซกิ่ง มีลักษณะเหนียว ยืดหยุน เมื่อไดรับความรอนจะออนตัว และหลอมเหลว และเมื่ออุณหภูมิลดลงจะแข็งตัวกลับขึ้นมาใหม และสามารถนาํ กลบั มารไี ซเคิลได ซงึ่ ตรงกบั พอลิเมอร A และ C ดงั นัน้ ตอบขอ 4.)

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขน้ั สอน ตารางที่ 3.10 : สมบัตบิ างประการของพลาสติกบางชนิด (ตอ ) อธบิ ายความรู้ ชนดิ ของ ประเภทของ สมบัติบางประการ ตวั อยา งการนาํ พลาสติก พลาสตกิ ไปใชประโยชน 1. ใหนักเรียนรวมกันอภิปรายและสรุปเก่ียวกับ พอลยิ ูเรยี พลาสติก สภาพการไหมไ ฟ ขอ สงั เกตอืน่ เตาเสียบไฟฟา สมบัติและการใชงานของพลาสติกท่ีทําดวย ฟอรแ มลดไี ฮด เทอรม อเซต วสั ดเุ ชงิ วศิ วกรรม พอลเิ มอรชนดิ ตา งๆ ใหไดป ระเด็นตาม ติดไฟยาก เปลวสีเหลืองออน แตกราว จมน้าํ จุดประสงคการเรยี นรู ขอบฟา แกมเขียว กลน่ิ คลายแอมโมเนยี 2. ครเู ปด โอกาสใหนักเรยี นซักถามขอสงสยั เกี่ยวกับเน้ือหา เรอ่ื ง เทอรมอพลาสติกและ อีพอกซี พลาสติก ตดิ ไฟงา ย เปลวสีเหลอื ง ไมล ะลายใน กาว สี พลาสติกเทอรมอเซต วา มีสว นไหนทีไ่ มเขา ใจ เทอรมอเซต ควนั ดํา กล่ินคลา ยขา วคัว่ สารประกอบ สารเคลอื บผวิ หนา และใหค วามรูเ พิม่ เติมในสว นนัน้ ไฮโดรคารบอน วตั ถุ และน้าํ พอลิเอสเทอร เทอรม อพลาสตกิ ติดไฟยาก เปลวไฟสเี หลอื ง ออนตวั ยดื หยนุ เสนใยผา ควนั ดาํ กลนิ่ ฉนุ พลาสตกิ ติดไฟยาก เปลวไฟสีเหลือง เปราะ แขง็ หรือ ตัวถงั รถยนต เทอรม อเซต ควนั ดาํ กลนิ่ ฉนุ เหนยี ว ตัวถงั เรอื ใชบภุ ายใน เครอ่ื งบนิ พอลิอะครโิ ล- เทอรม อพลาสตกิ ติดไฟยาก ควนั ดํา กลนิ� ฉุน แข็ง เหน�ยว ผาโอรอน ดา ย ไนไตรล ทนตอ ความช้นื สาํ หรบั ถกั พรม สารเคมแี ละ ถงุ เทา เสอ้ื ผา เดก็ เชือ้ รา เส้ือกันหนาว พอลฟิ นอล พลาสติก ตดิ ไฟยาก เปลวไฟสีเหลอื ง แขง็ เปราะ กาว แผงวงจร ฟอรแ มลดไี ฮด เทอรม อเซต ออน ขอบฟาแกมเขยี ว ทนความรอ น ไฟฟา กลิ�นฉนุ ทีอ่ ณุ หภมู ิสงู และ ทนตอ สารเคมี พอลิเมลามีน พลาสติก ตดิ ไฟยาก เปลวไฟสเี หลอื งออ น ทนตอการขีดขวน เครื่องใชในครัว ฟอรแมลดีไฮด เทอรมอเซต ขอบฟาแกมเขียว กลิน� ฉุน และทนตอ สารเคมี ชอน สอ ม ตะเกยี บ จานชาม 2. ยาง (rubber) เปน พอลเิ มอรช นดิ หนงึ่ ประกอบดว ยมอนอเมอรป ระมาณ 1,500-15,000 โมเลกลุ ยางเปน สารทมี่ สี มบตั พิ เิ ศษ คอื ยดื หยนุ ได ทาํ ใหเ ปน รปู รา งตา งๆ ไดง า ย มคี วามทนทานมาก เชน เคร่ืองมือเคร่ืองใชตาง ๆ ไดหลายชนิด เชน ของเลน ยางรถ ลูกบอล รองเทา ยางลบ ยางแบงออกไดเ ปน 2 ชนดิ ดังนี้ 94 สื่อ Digital ขอสอบเนน การคดิ แนว O-NET พอลิยูเรียฟอรแมลดีไฮดที่เลิกใชงานแลว ควรดําเนินการ ศกึ ษาเพม่ิ เตมิ ไดจ ากภาพยนตรส ารคดสี นั้ Twig เรอื่ ง การรไี ซเคลิ พลาสตกิ อยางไรจึงจะเหมาะสมกบั สงิ่ แวดลอ มทีส่ ดุ https://www.twig-aksorn.com/ffi ilm/recycling-plastics-8180/ 1. นาํ ไปใชซ ้าํ T104 2. นาํ ไปเผาทง้ิ 3. นาํ ไปรีไซเคิล 4. นาํ ไปทําเปน เชอื้ เพลงิ แขง็ 5. นําไปหลอมเพ่ือขน้ึ รปู ใหม (วเิ คราะหค าํ ตอบ พอลยิ เู รยี ฟอรแ มลดไี ฮดเ ปน พลาสตกิ เทอรม อเซต เมอ่ื ไดร บั ความรอ นทสี่ งู มากเกนิ ไปจะทาํ ใหแ ตกหกั และไมส ามารถ คืนรูปไดอีก จึงไมสามารถนําไปรีไซเคิลโดยการหลอมเพ่ือ ขน้ึ รูปใหมไ ด และการเผาทําลายพลาสติกจะทาํ ใหเกิดแกส ทเ่ี ปน พิษตอส่ิงแวดลอม ดังนั้น การนําไปใชซํ้าจึงเปนวิธีการที่ดีท่ีสุด ดังนั้น ตอบขอ 1.)

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ 1) ยางธรรมชาติ (natural rubber) เปน พอลเิ มอรข องไฮโดรคารบ อนทเ่ี รยี กวา พอลไิ อโซพรนี ขน้ั สอน (polyisoprene) มมี อนอเมอรเ ปน ไอโซพรีน (isoprene) ซ่งึ มีโครงสรา ง ดังนี้ สาํ รวจคน้ หา HH CHC2 CCH2 H CC H3C H n 1. ครูนําอุปกรณเครื่องใชตางๆ ท่ีทําจากยาง ธรรมชาติ ยางสังเคราะห เสนใยธรรมชาติ CC H และเสนใยสังเคราะห มาใหนักเรียนดู H CH3 แลวนักเรียนทั้งหมดรวมกันอภิปรายถึง สวนประกอบ สมบัติ และกระบวนการ ภาพท่ี 3.27 ไอโซพรนี และพอลไิ อโซพรนี ผลิตของสารเหลานี้ รวมท้ังผลกระทบตอ ท่ีมา : คลังภาพ อจท. สิง่ แวดลอ ม ตัวอยางยางธรรมชาติ เชน ยางพารา มีสูตรโครงสรางดงั ภาพที่ 3.28 ซ่งึ ยางทไ่ี ดจ ากตน 2. ครูใหนักเรียนศึกษาเกี่ยวกับยางธรรมชาติ ยางพารา มสี มบตั ติ า นทานตอ แรงดงึ ไดส งู ทนตอ การขดั ถู ยดื หยนุ ดี และไมล ะลายนาํ้ แตม ขี อ เสยี คอื ยางสังเคราะห เสนใยธรรมชาติ และเสนใย มคี วามแขง็ และเปราะ ไมท นตอ ตวั ทาํ ละลายอนิ ทรยี แ ละนาํ้ มนั เบนซนิ ดงั นนั้ จงึ ตอ งนาํ ยางธรรมชาติ สังเคราะห จากหนังสือเรียน แลวใหเขียน ไปผา นกระบวนการปรับปรงุ คุณภาพของยางใหดขี น้ึ กอ นนําไปใชประโยชน เปรียบเทียบความแตกตางของยางธรรมชาติ กับยางสังเคราะห และเสนใยธรรมชาติกับ CH2C H CH3C C CH2 CH2C H เสน ใยสงั เคราะห ลงในสมดุ บนั ทกึ ของนกั เรยี น C C CH3 CH2 CH2 H CH3 CH2 ภาพท่ี 3.28 โครงสรา งของยางพารา ท่ีมา : คลงั ภาพ อจท. Science Focus ¡Ãкǹ¡ÒÃÇÑŤÐä¹Ê กระบวนการวัลคะไนส (valcanization) คือ กระบวนการที่ใชในการเพิ่มคุณภาพของยาง ธรรมชาติโดยการเติมกํามะถันลงไปในยาง ณ อุณหภูมิที่สูงกวาจุดหลอมเหลวของกํามะถัน โดยมี ซิงคออกไซดเปนตัวเรงปฏิกิริยา ทําใหเกิดพันธะโคเวเลนตเช่ือมตอระหวางโซพอลิไอโซพรีนใน บางตําแหนง ยางท่ไี ดจ ะมีความยืดหยนุ ขึ้น มีความคงตัวสงู ไมสึกกรอนงา ย ไมละลายในตวั ทาํ ละลาย อนิ ทรีย ทนความรอ นและแสงไดด ีขึน้ H2C C CH CH2 H2C C CH CH CH3 CH3 SX n S8 n H2C C CH CH2 H2C C CH CH CH3 CH3 n n ภาพท่ี 3.29 กระบวนการวลั คะไนส ท่ีมา : คลงั ภาพ อจท. ÊÒÃà¤ÁÕáÅмÅÔµÀѳ± 㹪ÕÇÔµ»ÃШíÒÇѹ 95 ขอ สอบเนน การคดิ แนว O-NET เกร็ดแนะครู ขอ ใดกลาวถกู ตอ งเก่ยี วกบั ยางวลั คะไนส ครูอธิบายเพ่ิมเติมวา นอกจากยางพาราแลวยังมียางธรรมชาติชนิดอื่นๆ 1. ทนตอ ความรอ นสงู และความเยน็ จัดไดดี ท่ีใหน้ํายางได เชน ยางกัตตาเปอรชา ยางบาลาตา และยางชิคเคิล ซ่ึงยาง 2. สึกกรอ นไดง าย เม่อื ถกู สัมผสั จากตัวทําละลายอนิ ทรยี  ท้ัง 3 ชนิดน้ี ตางก็เปนพอลิเมอรของไอโซพรีน เรียกวา พอลิไอโซพรีน 3. ยางสงั เคราะหช นดิ หนง่ึ เกดิ จากมอนอเมอร คอื บวิ ทาไดอนี เชน เดยี วกบั ยางพารา แตม โี ครงสรา งของพอลิไอโซพรีนตางกนั 4. ยางธรรมชาตทิ ผี่ สมซลิ คิ อนลงไปเพอื่ ใหย างมปี ระสทิ ธภิ าพ ดีข้ึน ยางกตั ตาเปอรช า และบาลาตา (Gutta-percha and Balata) มโี ครงสรา ง 5. ยางที่มีความคงตัวสูง ยดื หยนุ ไดด ี และไมล ะลายในตัว ทางเคมีเปน tran-1,4 polyisoprene มีลักษณะคลายยางจากตนยางพารา ทาํ ละลายอินทรีย แตมีคุณสมบัติที่ตางกัน คือ มีปริมาณเรซินสูง ไมมีความยืดหยุน ไมมีการ (วเิ คราะหค ําตอบ ยางวัลคะไนสเปนยางที่เกิดจากการนํายาง ทําใหค งรปู มกี ารเปล่ียนแปลงในชวงอณุ หภูมริ ะหวาง 70-100 องศาเซลเซยี ส จากการแข็งตัวไปเปนลักษณะคลายพลาสติก ยางกัตตาเปอรชา นํามาผลิต ธรรมชาติมาเผากับกํามะถัน ทําใหยางมีความคงตัวมากข้ึน เปนฉนวนสายเคเบิล ยางบาลาตานํามาผลิตสายพานสงกําลัง แตปจจุบัน ยืดหยุนไดดีข้ึน และไมละลายในตัวทําละลายอินทรีย แตยาง ยางกัตตาเปอรชาเปนวัตถุดิบท่ีไมมีความสําคัญ เนื่องจากมีพลาสติกเขามา ยงั คงไมท นตอ แสงแดด และไมท นตอ ความรอ นสงู และความเยน็ จดั แทนท่ี ดงั นั้น ตอบขอ 5.) T105

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขน้ั สอน 2) ยางสังเคราะห (synthetic rubber) เปนพอลเิ มอร สังเคราะหขึ้นจากสารผลิตภัณฑของโฮโดรคารบอนชนิดตาง ๆ สาํ รวจคน้ หา มอี ยูห ลายชนิด เชน • พอลบิ วิ ทาไดอนี (polybutadiene) หรอื ยางบอี าร 3. ครถู ามวา ยางธรรมชาติ ยางสงั เคราะห เสน ใย มีมอนอเมอร คือ บิวทาไดอีน (butadiene) เปนยางที่ยืดหยุน ธรรมชาติ และเสนใยสังเคราะห มีบทบาท มากกวา ยางธรรมชาติ ไมท นตอ แรงดงึ ทนตอ การขดั ถู ทนตอ นา้ํ มนั สําคัญตอการดําเนินชีวิตหรือไม อยางไร • พอลคิ ลอโรพรนี (polychloroprene)หรอื ยางนโี อพรนี ภาพที่ 3.30 ยางเอสบอี าร ทนทาน และมสี มบตั ิอยางไร ตอการเสียดสี จึงนิยมนํามาทํา (neoprene rubber) มีมอนอเมอร คอื คลอโรพรีน (chloroprene) ยางรถยนต 4. ครูใหนักเรียนแตละกลุมสืบคนกระบวนการ มคี ณุ สมบตั สิ ลายตวั ไดย าก ทนตอ ความรอ น ทนตอ นาํ้ มนั เบนซนิ ที่มา : คลังภาพ อจท. กรีดยาง การทํายางแผนรมควัน การทํายาง สังเคราะห เสนใยธรรมชาติ และเสนใย และตัวทําละลายอนิ ทรียอ ่ืน ๆ นํามาใชทํายางซลี ยางสายพานลําเลียงในเหมอื งแร สังเคราะห และบทบาทของส่ิงเหลาน้ีตอ • พอลสิ ไตรีนบวิ ทาไดอนี (polystyrene butadiene) หรอื ยางเอสบีอาร (SBR) เปน ชีวิตประจําวนั พอลิเมอรรว มท่ีประกอบดว ยมอนอเมอร 2 ชนิด คือ สไตรีนและบิวทาไดอนี เปน ยางทที่ นทาน ตอ การเสยี ดสี นาํ มาใชทําพนื้ รองเทา สายพาน ยางรถยนต 5. ครูใหนักเรียนแตละกลุมอภิปรายรวมกันถึง • อะครโิ ลไนไตรลบ วิ ทาไดอนี สไตรนี (acrylonitrile กระบวนการกรีดยาง การทํายางแผนรมควัน butadiene styrene) หรือยางเอบเี อส (ABS) เปน ยางสงั เคราะห การทํายางสังเคราะห เสนใยธรรมชาติ และ เสนใยสังเคราะห และบทบาทของสิ่งเหลาน้ี ตอชวี ิตประจําวนั ที่เปนพอลิเมอรรวม ซ่ึงประกอบดวยมอนอเมอร 3 ชนิด คือ อะคริโลไนตริล สไตรีน และบิวตาไดอีน เปน สารที่มสี มบัตคิ ลาย พลาสตกิ คือ ไมยดื หยนุ และสามารถทาํ เปน รปู ทรงตา ง ๆ ตาม ภาพที่3.31 ยางเอบเี อส สมบตั คิ ลา ย แมแ บบได นาํ มาใชท าํ ผลติ ภณั ฑส าํ เรจ็ รปู ตา ง ๆ เชน สว นประกอบ พลาสติก สามารถนํามาทําใหเปน ในหองโดยสารรถยนต อปุ กรณเ คร่ืองใชใ นบาน เปนตน รูปทรงตางๆ ได ท่มี า : คลงั ภาพ อจท. Science Focus «ÔÅÔ⤹ ซลิ โิ คน (Silicone) เปน ยางสงั เคราะหท ไี่ มไ ดป ระกอบดว ย O SCiH3O SCiH3O ไฮโดรคารบอนเหมือนยางชนิดอ่ืน ๆ แตจะประกอบดวยอะตอม CH3 CH3 n ของซลิ คิ อน (Si) และออกซิเจน (O) เปน ยางท่ีมแี รงดงึ ดูดระหวาง โมเลกลุ ตาํ่ สว นใหญจ งึ ไมอ ยใู นรปู ของแขง็ แตจ ะอยใู นรปู ของเหลว ภาพท่ี 3.32 โครงสรา งของซลิ ิโคน ทมี่ คี วามหนดื สงู มาก และคา ความหนดื จะขนึ้ อยกู บั การเปลย่ี นแปลง ท่มี า : คลังภาพ อจท. อุณหภูมิเพียงเล็กนอย และซิลิโคนมีความยืดหยุนดี จําเปนตอง ทาํ ใหค งรปู โดยกระบวนการวลั คะไนสดวยเปอรอ อกไซด 96 เกร็ดแนะครู ขอ สอบเนน การคดิ แนว O-NET ครูอธบิ ายเพมิ่ เตมิ วา การปรับปรงุ คุณภาพของยางธรรมชาติ นอกจากจะ ขอใดกลาวถูกตองเกยี่ วกบั ยางสงั เคราะห ทาํ ไดโ ดยกระบวนการวลั คะไนสแ ลว ยงั สามารถทาํ ไดโ ดยการเตมิ ซลิ กิ า ซลิ เิ กต 1. ยางเอสบีอารเปนพอลิเมอรรวมท่ีเกิดจากปฏิกิริยาการเกิด และผงถานลงไปในยางไดอีกดวย โดยจะชวยเพิ่มความแข็งแกรงใหยาง พอลเิ มอรแบบเติม โดยเฉพาะผงถา นจะชว ยปองกนั การสกึ กรอนและการถกู ทําลายดว ยแสงไดดี 2. นีโอพรีนเปนฮอมอพอลิเมอรท่ีเกิดจากปฏิกิริยาการเกิด พอลิเมอรแ บบควบแนน T106 3. พอลิบิวทาไดอีนเปนพอลิเมอรรวมที่เกิดจากปฏิกิริยาการ เกิดพอลเิ มอรแ บบเติม 4. พอลิไอโซพรีนเปนฮอมอพอลิเมอรท่ีเกิดจากปฏิกิริยาการ เกิดพอลิเมอรแ บบเติม 5. ยางเอบีเอสเปนฮอมอพอลิเมอรท่ีเกิดจากปฏิกิริยาการเกิด พอลเิ มอรแบบควบแนน (วเิ คราะหคาํ ตอบ ยางเอสบีอารมีมอนอเมอร คือ สไตรีนและ บวิ ทาไดอนี เปน พอลเิ มอรร ว มทเี่ กดิ จากปฏกิ ริ ยิ าพอลเิ มอรแ บบเตมิ ดงั นั้น ตอบขอ 1.)

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ 3. เสนใย (fiber) เปน พอลเิ มอรชนดิ หนงึ่ ซง่ึ โครงสราง ขน้ั สอน โมเลกลุ มขี นาดยาวมาก จงึ เหมาะสาํ หรบั การนาํ มาปน เปน เสน ดา ย อธบิ ายความรู แบงออกได 2 ประเภท ดงั นี้ ครูใหนกั เรยี นแบง กลมุ กลมุ ละ 5 กลุม ศึกษา เพิ่มเติมจากแหลงเรียนรูตางๆ เกี่ยวกับ 1) เสนใยธรรมชาติ (nature fiber) เปนเสนใยท่ีเกิด ยางสังเคราะหและเสนใยสังเคราะห โดยศึกษา เก่ียวกับสูตรโครงสราง คุณสมบัติ และนําไป ข้ึนเองตามธรรมชาติ มักพบอยูในสวนตาง ๆ ของพืช ไดแก ใชประโยชนแลวนําขอมูลท่ีรวบรวมไดมาจัด ปายนิเทศ พรอมหารูปประกอบและตกแตง เสน ใยท่ีหุมเมลด็ เชน ฝา ย นุน มะพรา ว เสน ใยจากเปลอื กไม ปานศรนารายณ ใหสวยงาม เพ่ือนํามาเสนอหนาช้ันเรียน โดย แบง เร่อื งที่แตล ะกลมุ จะไดศ กึ ษา ดงั นี้ เชน ลนิ ิน ปอ เสนใยจากใบไม เชน สับปะรด ปานศรนารายณ • กลมุ ที่ 1 ศกึ ษาเกี่ยวกับยางเอสบีอาร โดยเสน ใยจากพชื จะเปน เสน ใยเซลลโู ลส ซงึ่ เปน ฮอมอพอลเิ มอร • กลมุ ที่ 2 ศกึ ษาเกย่ี วกบั ยางเอบเี อส • กลุมที่ 3 ศึกษาเก่ยี วกบั ไนลอน ทเ่ี กดิ จากมอนอเมอร คอื กลโู คสจาํ นวนมากมาสรา งพนั ธะตอ กนั • กลมุ ที่ 4 ศกึ ษาเก่ียวกบั โอรอน • กลุมท่ี 5 ศึกษาเกี่ยวกับดาครอน มโี ครงสรา งเปน แบบโซก ง่ิ เสน ใยเซลลโู ลสทใี่ ชม ากทสี่ ดุ คอื ฝา ย โดยคิดเปน รอ ยละ 50 ของปรมิ าณเสน ใยทงั้ หมด สําหรบั เสน ใยธรรมชาตอิ กี ชนดิ หนง่ึ คือ เสนใยโปรตนี ใยไหมจากรงั ของตัวไหม เปน เสนใยที่ไดจากขนสัตว เชน ขนแกะ ขนแพะ รงั ไหม เสนผม เล็บ หรอื เขาสัตว เสน ใยโปรตนี มสี มบัตทิ ่ัว ๆ ไปคลา ยกบั โปรตนี อื่น ๆ คือเม่ือเปยกนํ้าจะทําใหความเหนียวและความแข็งแรง ของเสนใยลดลง 2) เสนใยสังเคราะห (synthetic fiber) เปนเสนใยที่ ขนจากแกะ สรา งขนึ้ มาเพอื่ ใชแ ทนเสน ใยธรรมชาติ เนอื่ งจากเสน ใยธรรมชาติ ภาพท่ี 3.33 แหลงทีม่ าของเสน ใย บางชนดิ เชน เสน ใยจากฝา ย เมอ่ื นาํ มาทอเปน ผา และนาํ ไปใชง าน ธรรมชาติ อาจเกิดเชื้อราไดงาย เสนใยจากผาไหมจะหดตัวเม่ือไดรับ ทีม่ า : คลังภาพ อจท. ความรอ นและความชน้ื เสน ใยบางชนดิ เชน ลนิ นิ ปา น ตอ งผลติ ดว ยมอื ถา ใชเ ครอื่ งจกั รจะไดเ สน ใยทคี่ ณุ ภาพไมด ี และสญู เสยี มาก เสนใยสังเคราะหผลิตจากพอลิเมอรสังเคราะห โดยท่ีพอลิเมอรสังเคราะหที่จะนํามาปน เปนเสนใยจะตองเปนโมเลกุลท่ีมีขนาดยาว มีการจัดเรียงตัวคอนขางเปนระเบียบ และสวนใหญ ตอ งเรยี งตวั ตามแนวแกนของเสน ใย เสน ใยสงั เคราะหบ างชนดิ มสี มบตั ดิ กี วา เสน ใยธรรมชาติ เชน มคี วามตา นทานตอ จลุ นิ ทรยี  เชอ้ื รา และแบคทเี รยี ไดด กี วา ไมย บั งา ย ไมด ดู นา้ํ ทนทานตอ กรด-เบส และสารเคมีอื่น ๆ เชน เสนใยอะคริลิก (acrylic) นํามาใชทําเสื้อผา ผานวม ผาขนแกะเทียม รม ชายหาด หลังคากนั แดด ผามา น พรม ÊÒÃà¤ÁÕáÅмÅÔµÀѳ± 㹪ÕÇÔµ»ÃШíÒÇѹ 97 ขอ ใดไมถ ูกตอง ขอ สอบเนน การคดิ แนว O-NET 1. ยางวลั คะไนสท ี่ใชท ํายางรถยนตจ ัดเปนเทอรม อพลาสติก 2. พันธะทเ่ี ชอื่ มระหวา งมอนอเมอรในไนลอนเปนพนั ธะเอไมด 3. ไนลอน-6, 6 เปนพอลิเมอรท ี่ประกอบดว ยมอนอเมอร 66 หนวย 4. ขวดพลาสติกทท่ี ําจากพอลิเอทลิ ีน มีสูตรโครงสรา งเปน 5. เสนใยสังเคราะหผลิตจากพอลเิ มอรสังเคราะหทม่ี โี มเลกลุ ที่ยาว HHHH และจดั เรียงตวั เปน ระเบยี บ CCCC HHHH (วเิ คราะหค าํ ตอบ ขอ 1. ถูกตอ ง ยางวัลคะไนสมคี วามยดื หยนุ สามารถหลอมแลว นOาํ มาขนึ้ รปู ใหมได จงึ จดั เปน เทอรมอพลาสตกิ ขอ 2. ถกู ตอง พนั ธะท่เี ช่อื มระหวา งมอนอเมอรใ นไนลอน คอื C โNดHย2ตวัซเง่ึลเขรยีทกอี่ วยา หู ลพงั ันคธาํ ะวเาอไไมนดลอน ขอ 3. ไมถูกตอง ไนลอนมมี อนอเมอรเ ปน เอมนี และกรดคารบ อกซลิ กิ ใชแ สดงจาํ นวนคารบ อนอะตอมในเอมนี และกรดคารบ อกซลิ ิกท่มี าทาํ ปฏกิ ริ ิยากัน ตามลําดบั ดงั นัน้ ไนลอน-6, 6 คือ ไนลอนทีเ่ กิดจากเอมีนท่ีมีคารบอน 6 อะตอม มาทาํ ปฏกิ ริ ยิ ากับกรดคารบ อกซิลิกที่มคี ารบอน 6 อะตอม HH ขอ 4. ถกู ตอ ง พอลเิ อทิลีนมสี ตู รโครงสรางเปน CC H Hn ขอ 5 ถูกตอง เสน ใยสงั เคราะหผลติ จากพอลเิ มอรส งั เคราะหที่มีโมเลกุลทย่ี าวและจัดเรียงตัวเปน ระเบยี บ สว นใหญจ ะเรยี งตัวเปน แกน Tของเสนใย ดงั นน้ั ตอบขอ 3.) 107

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขนั้ สอน 3.5 »˜ÞËÒ¨Ò¡¡ÒÃ㪌¼ÅÔµÀѳ±¨Ò¡¾ÍÅÔàÁÍÏ ขยายความเขา้ ใจ ในปจจุบันพอลิเมอรเขามามีบทบาทในชีวิตประจําวันอยางมาก โดยเฉพาะพอลิเมอร สังเคราะหในกลุมพลาสติก เน่ืองจากมีน้ําหนักเบา มีความแข็งแกรงสูง ทนทานตอสารเคมี 1. ใหนักเรียนรวมกันอภิปรายและสรุปเก่ียวกับ สามารถนํากลับมาใชใหมได แตผลิตภัณฑท่ีเกิดจากพอลิเมอรสังเคราะหเหลาน้ีก็มีขอเสีย คือ ยางธรรมชาติ ยางสงั เคราะห เสน ใยธรรมชาติ สลายตัวไดย าก เมอ่ื ถูกทิง้ ใหเปนขยะจะตกคา งอยูในสงิ่ แวดลอ มนาน ยากตอ การกําจดั เน่อื งจาก และเสน ใยสังเคราะห ใหไดประเด็นตาม หากนํามาเผาจะกอใหเกิดควันที่เปนพิษออกสูบรรยากาศ หากนําไปฝงจะทําใหดินในบริเวณน้ัน จุดประสงคก ารเรยี นรู เสอ่ื มสภาพ ไมส ามารถทาํ การเพาะปลกู ได ซง่ึ จากปญ หาตา ง ๆ เหลา น้ี ในปจ จบุ นั จงึ มกี ารรณรงค เกยี่ วกับแนวทางการใชพอลเิ มอรส งั เคราะหใ หไดผ ลอยา งคุมคา และสง ผลกระทบตอส่งิ แวดลอ ม 2. ครใู หน กั เรยี นแตล ะคนสบื คน ขอ มลู ปญ หาจาก นอยทีส่ ุด โดยมี 3 แนวทาง ดงั นี้ การใชผลิตภัณฑจากพอลิเมอร และครูสุม นักเรียนออกมา 2-3 คน นําเสนอผลจากการ 1. การลดการใช (reduce) เปนการลดหรือใชผลิตภัณฑพอลิเมอรสังเคราะห สืบคน ใหนอยลงซ่ึงอาจทําโดยการใชวัสดุหรือบรรจุภัณฑจากธรรมชาติแทน หรือใชบรรจุภัณฑท่ีสามารถนํากลับมาใชใหมได เปนตน Reuse Reduce 2. กาRรใeชcซy้ําcl(ereuse) เปนการนําผลิตภัณฑพอลิเมอรสังเคราะหท่ีเคยผาน การใชงานแลว แตยังมีคุณภาพดีอยูกลับมาใชงานอีกครั้งหน่ึง Reuse Reduce Reuse 3. การนํากลับมาใชใหมหรือการแปรรูปใหม (recycle) เปนการนําผลิตภัณฑ Recycle พอRลิเeมdอuรสcังeเคราะหที่เคยRผeาcนyกcารleใชงานแลว มาผานการแปรรูปเปน ผลิตภัณฑใหม เพื่อนํากลับมาใชงานอีกครั้งหน่ึงโดยเฉพาะพลาสติก ซงึ่ เปน ผลติ ภณั ฑท ม่ี กี ารใชก นั อยา งแพรห ลาย ดงั นน้ั สมาคมอตุ สาหกรรม พลาสติกจึงไดมีการกําหนดสัญลักษณเพ่ือแสดงประเภทของพลาสติก ที่สามารถนํากลับมาแปรรูปใหมได Science Focus ¡Å‹Í§â¿Á กลอ งโฟม ทาํ มาจากพลาสตกิ ชนดิ พอลสิ ไตรนี (PS) ประเภท ภาพที่ 3.34 กลอ งโฟมบรรจอุ าหาร Polystyrene Paper Foam (PSP) โดยทวั่ ไปทนความรอ นไดไ มส งู มาก ทีม่ า : คลังภาพ อจท. เมอ่ื นํามาบรรจอุ าหารท่ีรอ นจะทาํ ใหส ารสไตรนี (styrene) ปนเปอ น ในอาหาร โดยอาหารที่มีนํ้ามันเปนสวนประกอบก็จะย่ิงทําใหอาหาร สามารถปนเปอ นสารสไตรนี ไดม ากกวาปกติ ซง่ึ สารสไตรนี น้ีมผี ลเสยี ตอ รา งกายโดยทาํ ใหเ กดิ อาการมนึ งง สมองเสอ่ื ม และเปน สารกอ ใหเ กดิ โรคมะเร็งตาง ๆ เชน มะเร็งตอมลูกหมาก มะเร็งเตานม อีกทั้ง ยังมีความเส่ียงสูงตอการเกิดมะเร็งตับ ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงการ นาํ กลอ งโฟมมาบรรจุอาหาร 98 เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET ครอู ธบิ ายเพมิ่ เตมิ วา ในปจ จบุ นั ไดม กี ารผลติ และนาํ พลาสตกิ ยอ ยสลายได ขอ ใดเปน การลดภาวะโลกรอ นโดยกระบวนการรไี ซเคลิ (recycle) มาใชป ระโยชน ซง่ึ พลาสตกิ ยอ ยสลายไดเ ปน พลาสตกิ ทถ่ี กู ออกแบบมาใหส ามารถ 1. ยมิ้ ใชถุงผา แทนถุงพลาสตกิ เกิดการเปล่ียนแปลงโครงสรางทางเคมีไดภายใตสภาวะแวดลอมท่ีเหมาะสม 2. ยอดนาํ ถุงพลาสติกทใี่ ชแ ลวมาใชซ ้ํา จึงทาํ ใหสมบัติตางๆ ของพลาสติก เชน ความแข็งแรง ความเหนยี ว นํ้าหนกั 3. เยน็ นําถุงพลาสติกมาประดิษฐเปน ผาปูโตะ โมเลกุล หรือมวลลดลง และสลายตัวไปในท่ีสุด จึงเปนพลาสติกท่ีไมสงผล 4. เย่ยี มไปตลาดโดยนําตะกราไปใสของแทนถุงพลาสติก กระทบตอส่ิงมีชีวิตและส่ิงแวดลอม ในปจจุบันขยะที่เกิดจากพลาสติกกําลัง 5. ยินดีนําเศษกระดาษที่ใชแ ลว ไปอัดข้นึ รปู เปนกระถางตนไม เปนปญหาของโลก แตล ะประเทศจงึ ไดม ีการออกนโยบายและกฎหมายเพอ่ื ลด (วิเคราะหคาํ ตอบ ขอ 1. และ ขอ 4. เปนการลดภาวะโลกรอ น การใชพ ลาสตกิ ใหนอยลง เชน โดยการลดการใช ขอ 2. และ ขอ 3. เปนการนํามาใชซ้ํา สหราชอาณาจักร มีการเก็บภาษีถุงพลาสติก จากลูกคาในซูเปอรมารเก็ต สวนขอ 5. เปนการรไี ซเคลิ ดงั น้ัน ตอบขอ 5.) โดยหามรา นคาจา ยภาษีแทนใหลกู คา ญป่ี นุ ออกพระราชบญั ญตั กิ ฎหมายสง เสรมิ การใชส นิ คา และบรกิ ารทเ่ี ปน มติ ร ตอ ส่งิ แวดลอ ม และยังมกี ารกําหนดวันงดใชถ งุ พลาสตกิ T108

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ¾ÅÒʵԡËÁÒÂàÅ¢ 1 ขนั้ สอน ¾ÍÅàÔ Í·ÅÔ ¹Õ à·àÿ·Òàŵ PET: PETE: polyethylene terephthalate ขยายความเขา้ ใจ • เปนพลาสติกใส แข็ง ทนแรงกระแทกไดดี ไมเปราะ ไมแตกงาย 3. ครแู ละนกั เรยี นรว มกนั สรปุ เกยี่ วกบั ปญ หาจาก และกนั แกสซมึ ผา นไดด ี การใชผลิตภัณฑจากพอลิเมอร และแนวทาง ในการใชพ อลเิ มอรส งั เคราะหใ หไ ดผ ลอยา งคมุ คา • ใชท ําขวดบรรจุน้ําดื่ม ขวดนํ้ามันพชื และสง ผลกระทบตอสงิ่ แวดลอ มนอยท่สี ุด • สามารถนํามารีไซเคิลเปนเสนใยสําหรับทําเส้ือกันหนาว พรม และ 4. ครใู หน กั เรยี นรว มกนั ทาํ ใบงาน เรอ่ื ง พอลเิ มอร ใยสังเคราะหสาํ หรบั ยัดหมอน 5. ครใู หนักเรียนรว มกนั ตอบคาํ ถาม จาก Topic ¾ÅÒʵ¡Ô ËÁÒÂàÅ¢ 2 Question ¾ÍÅÔàÍ·ÅÔ Õ¹¤ÇÒÁ˹Òṋ¹Ê§Ù HDPE: high density polyethylene • เปน พลาสติกทเ่ี หนยี ว และแตกยาก คอ นขา งแข็ง แตยดื ไดมาก ทนทานตอ สารเคมแี ละสามารถขนึ้ รปู ทรงตาง ๆ ไดง าย • ใชทําขวดนม ขวดนํ้า และบรรจุภัณฑสําหรับน้ํายาทําความสะอาด ยาสระผม • สามารถนาํ มารไี ซเคลิ เปน ขวดนา้ํ มนั เครอื่ ง ทอ ลงั พลาสตกิ ไมเ ทยี ม ¾ÅÒʵԡËÁÒÂàÅ¢ 3 ¾ÍÅäÔ Ç¹ÅÔ ¤ÅÍäô V: PVC: polyvinyl chloride • ใชทาํ ทอ น้ําประปา สายยางใส แผนฟลมสาํ หรับหออาหาร แผน พลาสติกสําหรับทาํ ประตู หนา ตาง และหนังเทยี ม • สามารถนํามารีไซเคลิ เปน ทอ นํ้าประปาหรอื รางน้าํ สําหรบั การเกษตร กรวยจราจร เฟอรน เิ จอร มา นง่ั พลาสตกิ ตลบั เทป เคเบลิ แผน ไมเ ทยี ม ¾ÅÒʵ¡Ô ËÁÒÂàÅ¢ 4 ¾ÍÅÔàÍ·ÔÅÕ¹¤ÇÒÁ˹Òá¹¹‹ µÒèí LDPE: low density polyethylene • เปน พลาสตกิ ทมี่ คี วามนมิ่ เหนยี ว ยดื ตวั ไดม าก ใส ทนทาน แตไ มค อ ย ทนตอความรอน • ใชทําฟลมหออาหารและหอของ ถุงเย็นสําหรับบรรจุอาหาร ถุงใส ขนมปง • สามารถนํามารีไซเคิลเปนถุงดําสําหรับใสขยะ ถุงหูหิ้ว ถังขยะ กระเบื้องปพู ้ืน เฟอรน เิ จอร แทงไมเ ทยี ม ÊÒÃà¤ÁÕáÅмÅÔµÀѳ± 㹪ÕÇÔµ»ÃШíÒÇѹ 99 ขอ สอบเนน การคิดแนว O-NET เกร็ดแนะครู สัญลักษณตอ ไปน้ีมคี วามหมายวาอยางไร ครอู าจอธบิ ายเพม่ิ เตมิ เกย่ี วกบั ประเภทของถงั ขยะ เพอื่ ใหน กั เรยี นสามารถ ทิ้งขยะแตล ะประเภทไดอ ยา งถูกตอง โดยสามารถแยกประเภทได ดังนี้ 1. สามารถรีไซเคิลไดอีก 4 ครงั้ 1. ถงั ขยะสีเขียว สําหรบั ขยะท่ยี อยสลายได สามารถนาํ มาทําปุยได เชน 2. ประกอบดวยพลาสติก 4 ชนดิ ใบไม เศษอาหาร ผกั ผลไม 3. ผา นการรีไซเคิลมาได 4 ครง้ั แลว 4. สามารถรไี ซเคลิ ไดทง้ั หมด 4 ครง้ั 2. ถงั ขยะสเี หลอื ง สาํ หรบั ขยะทนี่ าํ มารไี ซเคลิ ได เชน แกว กระดาษ โลหะ 5. เปนพลาสติกรีไซเคลิ ประเภทที่ 4 พลาสตกิ เศษผา (วิเคราะหคาํ ตอบ สัญลักษณทางสิ่งแวดลอมเปนสัญลักษณที่ สมาคมอุตสาหกรรมพลาสติกกําหนดขึ้น เพื่อแสดงประเภท 3. ถังขยะสีน้ําเงิน สําหรับขยะทั่วไปท่ีไมสามารถนํากลับมาใชใหมหรือ พลาสตกิ ทน่ี าํ กลบั มารไี ซเคลิ ได โดยสญั ลกั ษณจ ากโจทย หมายถงึ ไมคมุ คากับการนําไปรไี ซเคิล เชน เศษกระดาษ ซองพลาสติก พลาสตกิ รไี ซเคลิ ประเภทที่ 4 ดังน้นั ตอบขอ 5.) 4. ถังขยะสีแดง สําหรับขยะอันตราย หรือขยะมีพิษตอสิ่งมีชีวิตและ สง่ิ แวดลอ ม เชน หลอดไฟฟา ถา นไฟฉาย กระปอ งสเปรย กระปอ งยาฆา แมลง สีแดง สเี ขยี ว สนี ้ําเงนิ สเี หลือง ขยะอันตราย ขยะทย่ี อ ยสลายได ขยะทวั่ ไป ขยะรีไซเคิล T109

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขนั้ สอน ¾ÅÒʵԡËÁÒÂàÅ¢ 5 ขยายความเขา้ ใจ ¾ÍÅâÔ ¾Ã¾ÔÅ¹Õ PP: polypropylene 6. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนคิดและตอบคําถาม • เปนพลาสตกิ ทม่ี คี วามใส ทนทานตอความรอน คงรูป เหนียว และ อยา งอสิ ระ และสอบถามเนอื้ หาเรอื่ ง พอลเิ มอร ทนแรงกระแทกไดด ี นอกจากนี้ ยงั ทนตอ สารเคมีและนา้ํ มัน วา มสี ว นไหนทยี่ งั ไมเ ขา ใจและใหค วามรเู พม่ิ เตมิ ในสวนน้ัน โดยที่ครูอาจจะใช PowerPoint • ใชท ําภาชนะบรรจอุ าหาร เชน กลอง ชาม จาน ถงั ตะกรา ขวดซอส เรอ่ื ง พอลเิ มอรชวยในการอธบิ าย กระบอกใสน า้ํ แชเยน็ แกว โยเกริ ต ขวดบรรจุยา • สามารถนํามารีไซเคลิ เปน กลองแบตเตอรใ่ี นรถยนต ชิน้ สว นรถยนต เชน กันชนและกรวยสําหรบั น้ํามนั ไฟทาย ไมกวาดพลาสติก แปรง ¾ÅÒʵԡËÁÒÂàÅ¢ 6 ¾ÍÅÔÊäµÃÕ¹ PS: polystyrene • เปน พลาสตกิ ทีม่ ีความใส แตเปราะและแตกงา ย • ใชทําภาชนะบรรจุของใชต า ง ๆ หรอื โฟมใสอ าหาร • สามารถนาํ มารไี ซเคลิ เปน ไมแ ขวนเสอ้ื กลอ งวดิ โี อ ไมบ รรทดั กระเปาะ เทอรม อมเิ ตอร แผงสวติ ชไ ฟ ฉนวนความรอนถาดใสไ ข เคร่ืองมือ เคร่ืองใชต า ง ๆ ¾ÅÒʵԡËÁÒÂàÅ¢ 7 ไมไ ดมกี ารระบชุ ื่อจําเพาะ แตไมใชพลาสตกิ ชนิดใดชนิดหนึง่ ใน 6 ชนดิ OTHER ที่ไดก ลา วไปในขางตน แตเปนพลาสตกิ ท่นี ํามาหลอมใหมไ ด ภาพที่ 3.35 สัญลักษณป ระเภทของพลาสตกิ ทม่ี า : คลงั ภาพ อจท. แตอยา งไรก็ตาม การใชพ ลาสติกก็ยังคงสงผลกระทบทางดา นส่ิงแวดลอ มมากขน้ึ ปจจบุ ัน จงึ ไดม กี ารคดิ คน ผลติ พลาสตกิ แตกสลายทางชวี ภาพ (biodegradable plastic) มาใชท ดแทนตอ ไป ? TQoupiecstion คําชแี้ จง : ใหน ักเรยี นตอบคาํ ถามตอ ไปนี้ 1. มอนอเมอรและพอลิเมอรมคี วามสมั พันธก นั อยางไร 2. ปฏิกิรยิ าการเกดิ พอลเิ มอรเกดิ ขน้ึ อยางไร 3. พอลิเมอรทม่ี คี วามหนาแนนมากท่สี ดุ ควรมีโครงสรางแบบใด 4. พลาสติกทน่ี ําใชผลิตถงุ ใสของ เชือก และขวดนาํ้ จัดเปน พลาสตกิ ประเภทใด 5. นักเรยี นมวี ิธชี วยลดขยะพอลิเมอรไ ดอยา งไร 100 ส่ือ Digital แนวตอบ Topic Question ศกึ ษาเพม่ิ เตมิ ไดจ ากภาพยนตรส ารคดสี นั้ Twig เรอื่ ง พลาสตกิ และพอลเิ มอร 1. พอลิเมอร คอื สารประกอบทมี่ ีโมเลกุลขนาดใหญ มมี วลโมเลกลุ มาก https://www.twig-aksorn.com/ffi ilm/plastics-and-polymers-8178/ ประกอบดว ยมอนอเมอรห ลายๆ หนว ยมาเชอ่ื มตอ กนั ดว ยพนั ธะโคเวเลนต T110 2. ปฏกิ ริ ิยาการเกิดพอลิเมอร เกดิ ข้นึ โดยการนําสารไฮโดรคารบอนไปทาํ ปฏกิ ริ ยิ าเคมใี นสภาวะทเ่ี หมาะสม ทาํ ใหเ กดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมใี นตาํ แหนง ท่ี เปนพันธะคูจนเกดิ การเชอ่ื มตอไปเปนโมเลกุลพอลเิ มอรข นาดใหญ 3. พอลเิ มอรทีม่ คี วามหนาแนนมากทีส่ ดุ คือ พอลิเมอรแบบโซต รง 4. พลาสติกที่นํามาใชผลิตถุงใสของ เชือก และขวดนํ้า เปนพลาสติก ประเภทเทอรมอพลาสติก 5. ตวั อยา งเชน 1) ลดการใช เชน ใชว สั ดหุ รอื บรรจภุ ณั ฑจ ากธรรมชาตแิ ทนบรรจภุ ณั ฑ จากพอลเิ มอรสงั เคราะห ใชบ รรจุภณั ฑท ม่ี คี วามคงทนสามารถนํา กลบั มาใชใหมไ ด แทนการใชบรรจภุ ัณฑท ีไ่ มคงทนท่ีใชแ ลว ทง้ิ 2) นํากลับมาใชใหม เชน นําถงุ พลาสติกทยี่ ังมีสภาพดี มาใชอ ีกครัง้ 3) รีไซเคิล เชน นําขวดพลาสติกท่ีใชแลวไปหลอมและขึ้นรูปใหม เพอื่ นาํ กลับมาใชงานอกี

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ Summary ขน้ั สอน ÊÒÃà¤ÁÕáÅмÅÔµÀѳ± 㹪ÕÇÔµ»ÃШíÒÇѹ ขยายความเขา้ ใจ ¡Ã´ àºÊ áÅÐà¡Å×Í 7. ครใู หนกั เรียนแบง กลุม กลุมละ 5 คน โดยให สมบัตขิ องกรด เบส และเกลือ แตละกลุมจับบัตรคําข้ึนมา แลวอธิบาย ความหมายของคําที่จับไดใหถูกตอง และ สมบตั ิ กรด เบส เกลือ ภายในระยะเวลาที่ครกู าํ หนด นาํ ไฟฟาได การนาํ ไฟฟา นาํ ไฟฟา ได นาํ ไฟฟา ได 8. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียนหนวย (แตกตัวเมอื่ ละลายนา้ํ ) (แตกตวั เมอ่ื ละลายนาํ้ ) - การเรยี นรูที่ 3 เรอื่ ง สารเคมีและผลิตภัณฑใ น การเปลีย่ นสกี ระดาษลิตมัส นา้ํ เงนิ แดง แดง น้ําเงนิ เมื่อละลายน้าํ อาจแสดงสมบัติ ชวี ิตประจาํ วัน ทาํ ปฏิกริ ิยากับโลหะ ทําปฏกิ ิรยิ ากับกรด การทําปฏกิ ริ ยิ า เปนกรด เบส หรือกลาง ไดแ กส H2 ไดเกลือและน้ํา - คา pH ตํ่ากวา 7 สงู กวา 7 รส รสเปรีย้ ว รสเค็ม รสฝาด รสขม CH3COOH H2SO4 รสฝาด KMnO4 NaCl ตวั อยา ง NaOH KOH NH4Cl สารละลายอเิ ลก็ โทรไลตแ ละนอนอเิ ล็กโทรไลต สารอเิ ลก็ โทรไลต คอื สารทเ่ี มอ่ื ละลายในนา้ํ จะนาํ ไฟฟา ได เพราะมไี อออนบวกหรอื ไอออนลบเคลอื่ นทอ่ี ยใู นสารละลาย ซ่ึงอาจเปนสารละลายกรด เบส หรือเกลือก็ได เชน สารละลายกรดเกลือ (HCl) สวนสารนอนอิเล็กโทรไลต คือ สารทไ่ี มส ามารถนาํ ไฟฟา ไดเ มอื่ ละลายนา้ํ เพราะไมส ามารถแตกตวั เปน ไอออนได เชน นา้ํ บรสิ ทุ ธิ์ นา้ํ ตาล แอลกอฮอล ÊÒûÃСͺäÎâ´Ã¤ÒϺ͹ สารประกอบอินทรยี ท่ีมีเฉพาะธาตคุ ารบอนและไฮโดรเจนเปน องคประกอบ สามารถแบงออกไดเ ปน 4 ชนิด แอลเคน แอลคนี แอลไคน อะโรมาตกิ ไฮโดรคารบ อน • มพี นั ธะทเี่ กดิ จาก C กบั C • มพี นั ธะทเี่ กดิ จาก C กบั C • มพี นั ธะทเี่ กดิ จาก C กบั C เปน สารประกอบไฮโดรคารบ อน เปน พันธะเด่ียว (C C) เปนพันธะคู (C C) เปนพันธะสาม (C C) ไมอ ม่ิ ตัวท่ีมีเบนซนี เปน • เปน สารประกอบ • เปน สารประกอบ • เปนสารประกอบ องคป ระกอบ หรือเปน อนุพนั ธ ไฮโดรคารบ อนอิม่ ตวั ไฮโดรคารบอนไมอม่ิ ตวั ไฮโดรคารบอนไมอมิ่ ตวั ของเบนซีน • มีสตู รทั่วไปเปน CnH2n+2 • มีสตู รทัว่ ไปเปน CnH2n • มสี ตู รทว่ั ไปเปน CnH2n-2 ¾ÍÅÔàÁÍÏ • สารประกอบที่มีโมเลกุลขนาดใหญ มีมวลโมเลกุลมาก ประกอบดวยมอนอเมอรหลาย ๆ หนวยมาเช่ือมตอกัน ดวยพันธะโคเวเลนต • ประเภทของพอลเิ มอร แบงตามการเกดิ แบงตามชนดิ ของมอนอเมอรท เ่ี ปนองคป ระกอบ - พอลเิ มอรธรรมชาติ เชน โปรตีน แปง - ฮอมอพอลิเมอร เชน แปง พอลิเอทิลนี PVC - พอลเิ มอรส ังเคราะห เชน พลาสติก ไนลอน - พอลเิ มอรร วม เชน โปรตนี พอลิเอสเทอร ÊÒÃà¤ÁÕáÅмÅÔµÀѳ± 㹪ÕÇÔµ»ÃШíÒÇѹ 101 ขอสอบเนน การคดิ แนว O-NET สอ่ื Digital ขอใดเปน พอลเิ มอรธรรมชาติทงั้ หมด ศกึ ษาเพมิ่ เตมิ ไดจ ากภาพยนตรส ารคดสี นั้ Twig เรอ่ื ง ไฮโดรคารบ อน 1. ไกลโคเจน ไขมัน และซลิ ิโคน https://www.twig-aksorn.com/ffi ilm/factpack-hydrocarbons-8184/ 2. แปง เซลลูโลส และพอลิสไตรนี 3. ยางพารา พอลิเอทลิ นี และเทฟลอน 4. โปรตนี พอลิไอโซพรนี และกรดนิวคลอี กิ 5. พอลิเอทลิ ีน พอลไิ วนิลคลอไรด และกรดอะดิปก (วิเคราะหคาํ ตอบ ไกลโคเจน ไขมนั แปง เซลลโู ลส ยางพารา โปรตีน พอลิไอโซพรีน และกรดนิวคลีอิก จัดเปนพอลิเมอร ธรรมชาติ สวนซิลิโคน พอลิสไตรีน พอลิเอทิลีน เทฟลอน พอลิไวนิลคลอไรด และกรดอะดปิ ก จัดเปนพอลเิ มอรสังเคราะห ดงั น้นั ตอบขอ 4.) T111

นาํ สอน สรุป ประเมิน ขนั้ สรปุ โครงสรา งของพอลิเมอร ตรวจสอบผล พอลิเมอรแ บบโซตรง พอลิเมอรแ บบโซก ิ่ง พอลิเมอรแ บบรา งแห ครแู ละนกั เรียนรว มกนั สรุปเกย่ี วกับพอลิเมอร เกิดจากมอนอเมอรสรางพันธะตอกัน เกดิ จากมอนอเมอรท ยี่ ดึ กนั แตกกงิ่ กา น เกิดจากมอนอเมอรตอเช่ือมกันเปน ใหไดข อ สรุป ดงั น้ี เปน สายยาว โซพอลิเมอรเรยี งชิดกนั สาขา มีท้งั โซสนั้ และโซย าว รา งแห • พอลเิ มอร เปน สารประกอบทมี่ โี มเลกลุ ขนาด การสังเคราะหพ อลิเมอร ใหญ มมี วลโมเลกลุ มากประกอบดวยมอนอเมอร หลายๆ หนว ยมาเชอื่ มตอ กนั ดว ยพนั ธะโคเวเลนต เปนกระบวนการรวมโมเลกุลมอนอเมอรขนาดเล็ก ๆ ที่เปนหนวยยอยเขาดวยกันเปนโมเลกุลพอลิเมอรขนาดใหญ เรยี กกระบวนการรวมกนั เปน พอลเิ มอรว า ปฏกิ ริ ยิ าการเกดิ พอลเิ มอร แบง เปน 2 รปู แบบ คอื ปฏกิ ริ ยิ าการเกดิ พอลเิ มอร • พอลเิ มอร แบงตามการเกิดได 2 ชนิด คือ แบบเตมิ และปฏกิ ริ ยิ าการเกดิ พอลเิ มอรแ บบควบแนน พอลิเมอรธ รรมชาติ และพอลิเมอรสังเคราะห แบง ตามชนิดของมอนอเมอรได 2 ชนดิ คอื ผลิตภัณฑจากพอลิเมอร ฮอมอพอลเิ มอร และพอลเิ มอรร วม พอลิเมอรทีม่ กี ารใชงานในชวี ติ ประจําวัน แบงออกเปน รูปแบบตาง ๆ ดังนี้ • กระบวนการรวมโมเลกลุ มอนอเมอรข นาด • พลาสตกิ เปน พอลเิ มอรส งั เคราะหข นาดใหญ มวลโมเลกลุ มาก แบง เปน เทอรม อพลาสตกิ และพลาสตกิ เทอรม อเซต เลก็ ๆ ที่เปนหนวยยอยเขา ดว ยกันเปนโมเลกุล • ยาง แบงออกเปนยางธรรมชาติเปนพอลิเมอรของไฮโดรคารบอนที่เรียกวา พอลิไอโซพรีน มีมอนอเมอรเปน พอลเิ มอรขนาดใหญ เรยี กกระบวนการนวี้ า ปฏกิ ิรยิ าการเกิดพอลเิ มอร แบงเปน 2 รูปแบบ ไอโซพรนี และยางสงั เคราะห เปน พอลเิ มอรท สี่ งั เคราะหข น้ึ จากสารผลติ ภณั ฑไ ฮโดรคารบ อน คือ ปฏิกริ ยิ าการเกดิ พอลเิ มอรแบบเติม และ • เสน ใย แบง เปน เสน ใยธรรมชาตเิ ปน เสน ใยทเี่ กดิ ขนึ้ เองตามธรรมชาติ เชน ฝา ย ลนิ นิ ปอ ขนแกะ และเสน ใยสงั เคราะห ปฏกิ ิริยาพอลิเมอรแ บบควบแนน เปน เสน ใยทส่ี งั เคราะหข น้ึ เพอ่ื ใชแ ทนเสน ใยธรรมชาติ ลดการเกดิ เชอ้ื ราเมอ่ื ไดร บั ความชนื้ และความคงทนมากยง่ิ ขน้ึ ขนั้ ประเมนิ Self Check ตรวจสอบผล ใหนักเรียนตรวจสอบความเขา ใจ โดยพจิ ารณาขอ ความวาถูกหรือผิด แลว บันทกึ ลงในสมดุ 1. ครูตรวจสอบผลการทําแบบทดสอบหลังเรยี น หากพิจารณาขอความไมถ ูกตอ ง ใหก ลบั ไปทบทวนเนือ้ หาตามหวั ขอ ทกี่ ําหนดให 2. ครูประเมินการเรียนรูของนักเรียนจากการ ถูก/ผิด ทบทวนท่ีหวั ขอ ตอบคําถามในชนั้ เรยี น การรวมกิจกรรมกลุม 1. สารละลายนอนอเิ ลก็ โทรไลตไ มนําไฟฟา เนือ่ งจากไมแตกตัวเปน ไอออน 1. การปฏิบัติกิจกรรมและประเมินการเขียน เรยี งความสรปุ ความเขาใจ 2. แอลเคน คือ สารประกอบไฮโดรคารบ อนไมอิ่มตัวเชนเดียวกบั แอลไคน 2. 3. ครตู รวจใบงาน เรอ่ื ง พอลเิ มอร 4. ครปู ระเมินผลงานจากผังมโนทัศน 3. เมื่อนําแอลเคนมาเผาไหมจะมีเขมานอยกวาแอลคีนที่มีจํานวนคารบอน บัน ึทกลงในส ุมด 2.4 (Concept Mapping) เทา กนั 3.1 5. ครปู ระเมินการตอบคาํ ถาม Unit Question 4. พอลเิ มอรร วม มีมอนอเมอรเ หมือนกนั มารวมกนั อยางตอ เนื่อง แนวตอบ Self Check 5. เทอรม อพลาสตกิ เปน พลาสตกิ ทส่ี ามารถนาํ ไปหลอมเหลว เพอ่ื นาํ กลบั มา 3.4 1. ถูก 2. ผดิ 3. ถูก 4. ผดิ 5. ถูก ใชใ หมไดอีกครั้ง 102 แนวทางการวัดและประเมินผล กิจกรรม สรา งเสริม ครูสามารถวัดและประเมินความเขาใจในเนื้อหา เร่ือง พอลิเมอร ไดจาก ใหน กั เรยี นจดั ทาํ แผนผงั ความคดิ สรปุ เนอื้ หาของหนว ยการเรยี นรู การสงั เกตพฤตกิ รรมการทาํ ผงั มโนทศั น โดยศกึ ษาเกณฑก ารวดั และประเมนิ ผล ที่ 3 เรอ่ื ง สารเคมแี ละผลติ ภณั ฑใ นชวี ติ ประจาํ วนั ลงในกระดาษ A4 จากแบบประเมินผลงานผังมโนทัศนที่อยูในแผนการจัดการเรียนรูหนวยท่ี 2 แลว สง ครูผสู อน สารเคมีและผลติ ภัณฑในชีวิตประจาํ วัน แบบประเมนิ ชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด) แผนฯ เกณฑ์ประเมนิ ผงั มโนทศั น์ แบบประเมินผลงานผงั มโนทศั น์ ประเด็นทีป่ ระเมิน 4 ระดับคะแนน 1 32 คาชแี้ จง : ใหผ้ ู้สอนประเมนิ ผลงาน/ชน้ิ งานของนักเรยี นตามรายการท่ีกาหนด แล้วขีด ✓ลงในช่องท่ตี รงกบั ระดบั 1. ผลงานตรงกบั ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผล งาน ไม่ ส อด ค ล้ อง คะแนน จุดประสงค์ที่กาหนด จุดประสงค์ทุกประเดน็ จุดประสงคเ์ ป็นสว่ นใหญ่ จดุ ประสงค์บางประเด็น กับจดุ ประสงค์ ลาดบั ที่ รายการประเมิน ระดับคณุ ภาพ 2. ผลงานมคี วาม เน้ือหาสาระของผลงาน เน้ือหาสาระของผลงาน เน้ือหาสาระของผลงาน เน้ือหาสาระของผลงาน กิจกรรม ทาทาย 4 3 21 ถกู ตอ้ งสมบรู ณ์ ถูกตอ้ งครบถ้วน ถูกต้องเปน็ สว่ นใหญ่ ถกู ต้องเป็นบางประเดน็ ไม่ถกู ต้องเป็นสว่ นใหญ่ ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4 คน แลวรวมกันคิดอยาง สรางสรรค เพ่ือหาวิธีการจัดการกับปญหาการใชผลิตภัณฑจาก 1 ความสอดคลอ้ งกบั จุดประสงค์ 3. ผลงานมีความคดิ ผล งาน แ สด งออกถึง ผลงานมีแนวคิดแปลก ผลงานมีความน่าสนใจ ผลงานไม่แสดงแนวคิด พอลเิ มอร แลวนําเสนอในรปู แบบของปา ยนเิ ทศ สร้างสรรค์ 2 ความถูกต้องของเนอ้ื หา ค วาม คิ ด ส ร้างส รรค์ ใหม่แต่ยังไม่เป็นระบบ แต่ยังไม่มีแนวคิดแปลก ใหม่ 3 ความคดิ สร้างสรรค์ แ ป ล ก ให ม่ แ ล ะ เป็ น ใหม่ 4 ความตรงต่อเวลา ระบบ รวม 4. ผลงานมคี วามเป็น ผ ล ง า น มี ค ว า ม เป็ น ผลงานส่วนใหญ่มีความ ผ ล ง า น มี ค ว า ม เป็ น ผลงานส่วนใหญ่ไม่เป็น ระเบยี บ ระเบียบแสดงออกถึง เป็ น ระเบี ย บ แ ต่ ยั งมี ระเบยี บแตม่ ีข้อบกพรอ่ ง ร ะ เ บี ย บ แ ล ะ มี ข้ อ ความประณีต ขอ้ บกพรอ่ งเลก็ น้อย บางสว่ น บกพร่องมาก ลงช่อื ................................................... ผู้ประเมนิ ............../................./................ เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ชว่ งคะแนน ระดบั คณุ ภาพ 14–16 ดีมาก 11–13 ดี 8–10 พอใช้ ต่ากว่า 8 ปรับปรงุ T112 1 2

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ Unit Question แนวตอบ Unit Question คําช้แี จง : ใหน กั เรยี นตอบคําถามตอไปนี้ 1. ตวั อยา งเชน • สารทําความสะอาดเครื่องสุขภัณฑ ซึ่งมักมี 1. อธบิ ายและยกตัวอยา งปฏิกริ ยิ าของกรดและเบสท่สี ามารถนาํ ไปใชใ นชีวิตประจาํ วัน สวนประกอบของกรดไฮโดรคลอริก (HCl) 2. สาร 3 ชนดิ มีสูตร AB CD และ XY เม่อื ละลายนา้ํ แลว เกดิ การเปล่ยี นแปลง ดงั ภาพ มีสมบัติในการทําปฏิกิริยากับแผนกระเบ้ือง พน้ื หอ งนา้ํ ทาํ ใหเ กดิ การสกึ กรอ น สงิ่ สกปรก ก. ข. และ ค. ตามลาํ ดับ จึงหลุดออกจากพืน้ และสขุ ภัณฑต า งๆ ได • สารในภาคเกษตรกรรม ใชปรับสภาพดิน ก. ข. ค. เพ่ือใหเหมาะแกการเพาะปลูก เชน ดินที่มี สภาพเปนกรดเน่ืองจากการใชปุย ตองใช จากภาพ สารใดเปน สารละลายอเิ ลก็ โทรไลตอ อ น สารละลายอเิ ลก็ โทรไลตแ ก หรอื สารละลาย ปนู ขาว (CaO) หรอื ดนิ มารล เพอ่ื ปรบั สภาพ นอนอิเล็กโทรไลต เพราะเหตุใด ของดนิ 3. เม่ือนําสารละลาย A B C D และ E ท่ีมีความเขมขนเทากันไปทดสอบการเปลี่ยนสี • ยาลดกรดในกระเพาะอาหารจะมสี ว นประกอบ ของกระดาษลิตมัส และความสามารถในการนาํ ไฟฟา ไดข อมลู ดังตอไปน้ี ที่มีสมบัตเิ ปนเบสออน เชน โซเดยี มไฮโดรเจนคารบ อเนต (NaHCO3) สารละลาย ทดสอบการเปลยี่ นสีของกระดาษลิตมสั การนําไฟฟา แคลเซยี มคารบอเนต (CaCO3) A แมกนเี ซียมไฮดรอกไซด (Mg(OH)2) B ไมเปลีย่ นสี นําไฟฟา ไดด ี โดยสารละลายนจ้ี ะไปทําปฏกิ ิรยิ ากับกรด C แดง นํ้าเงนิ นาํ ไฟฟาไดเ ล็กนอย ซึง่ จะปรบั สภาพความเปนกรดใน D นํา้ เงนิ แดง กระเพาะอาหารใหล ดลงได E นาํ ไฟฟา ไดดี ไมเปลยี่ น ไมนําไฟฟา 2. สาร ก. เปน สารอิเลก็ โทรไลตแก เนอื่ งจาก น้ําเงนิ แดง นําไฟฟา ไดเลก็ นอ ย เมอ่ื ละลายนา้ํ แลว แตกตวั เปน ไอออนไดท งั้ หมด สาร ข. เปน สารนอนอเิ ล็กโทรไลต เนือ่ งจาก ก. สารละลายใดจัดเปนอเิ ล็กโทรไลตแก อเิ ล็กโทรไลตออ น หรือนอนอเิ ลก็ โทรไลต เมอ่ื ละลายน้าํ แลวไมแตกตัวใหไอออน ข. สารละลายใดจดั เปน อิเลก็ โทรไลตแกท ีม่ ีสมบัตเิ ปนกรด สาร ค. เปน สารอเิ ลก็ โทรไลตอ อ น เน่ืองจาก 4. เพราะเหตุใดสารประกอบไฮโดรคารบอนจึงไมละลายนํา้ เมอื่ ละลายนาํ้ แลว แตกตวั ใหไ อออนไดบ างสว น 5. สารประกอบท่ีกําหนดใหต อ ไปน้ี สารใดเปนสารประกอบไฮโดรคารบอนอิ่มตวั หรอื ไมอิ่มตัว C2H4 C3H8 C4H6 C5H10 3. ก. สารละลายอเิ ลก็ โทรไลตแ ก ไดแ ก A และ C สารละลายอเิ ล็กโทรไลตออ น ไดแ ก B และ E 6. ฮอมอพอลิเมอรแ ละพอลเิ มอรรว มแตกตางกันอยา งไร สารละลายนอนอเิ ล็กโทรไลต ไดแ ก D 7. ปฏิกริ ยิ าการเกดิ พอลเิ มอรแบบเตมิ และแบบควบแนน มีลกั ษณะอยางไร ข. สารละลาย C 8. พลาสตกิ สามารถแบง ตามเกณฑก ารเปลยี่ นแปลงความรอ นออกไดเ ปน กป่ี ระเภท อะไรบา ง 4. สารประกอบไฮโดรคารบ อนเปน โมเลกลุ ไมม ขี ว้ั และแตกตางกันอยา งไร นํา้ เปนโมเลกลุ มีขั้ว ดังนนั้ สารประกอบ 9. ใหน กั เรยี นยกตวั อยา งพอลเิ มอรท เ่ี กดิ จากมอนอเมอรท เี่ ปน สารไฮโดรคารบ อนมาอยา งนอ ย ไฮโดรคารบ อนจงึ ไมล ะลายนา้ํ 5 ชนดิ 10. ใหน ักเรียนบอกประโยชนของพอลเิ มอรท่กี ําหนดใหน้ี มาพอสงั เขป ก. พีวีซี ข. พอลิเอทิลนี ค. เบกาไลต ง. นีโอพรนี ÊÒÃà¤ÁÕáÅмÅÔµÀѳ± 㹪ÕÇÔµ»ÃШíÒÇѹ 103 5. สารประกอบไฮโดรคารบอนอ่มิ ตัว ไดแก C3H8 สารประกอบไฮโดรคารบ อนไมอิ่มตัว ไดแ ก C2H4 C4H6 C5H10 6. ฮอมอพอลเิ มอร คอื พอลเิ มอรทีเ่ กิดจากมอนอเมอรชนิดเดยี วกนั ทงั้ หมด สวนพอลเิ มอรร ว ม คือ พอลิเมอรท ่ีเกิดจากมอนอเมอรม ากกวา 1 ชนิดขึน้ ไป มาเชื่อมตอ กัน 7. ปฏิกิริยาการเกิดพอลิเมอรแบบเติม คือ ปฏิกิริยาการเกิดพอลิเมอรที่เกิดจากมอนอเมอรของสารอินทรียชนิดเดียวกันที่รวมตัวกันเกิดสารพอลิเมอร เพียงชนดิ เดียวเทา นั้น สว นปฏกิ ิริยาการเกิดพอลิเมอรแบบควบแนน คือ ปฏิกิริยาการเกดิ พอลิเมอรท ่ีเกดิ จากมอนอเมอรท ่ีมีหมูท าํ หนาทมี่ ากกวา 1 หมู มารวมตัวกนั ไดพ อลเิ มอรและสารโมเลกุลเล็ก เชน นํ้า แกส แอมโมเนีย 8. พลาสติกสามารถแบงตามเกณฑการเปล่ียนแปลงความรอนไดเปน 2 ประเภท คือ เทอรมอพลาสติก เปนพลาสติกที่จะออนตัวและหลอมเหลวเมื่อ ไดร ับความรอ น และแข็งตวั เม่ือทาํ ใหเยน็ ลง สามารถนาํ มาหลอมและขึน้ รูปใหมไ ด และพลาสติกเทอรม อเซต เปนพลาสตกิ ที่มโี ครงสรา งเปน รางแห เชอ่ื มโยงกันระหวางโมเลกุล เมอื่ ไดร บั ความรอ นมกั จะเสอ่ื มสภาพ โดยไมส ามารถออ นตวั หรอื หลอมไดใหม 9. เชน พอลิเอทลิ ีน พอลิโพรพิลีน พอลสิ ไตรนี พอลคิ ารบอเนต พอลิอะครโิ ลไนไตรล 10. ก. พีวซี ี นาํ ไปใชทําทอ นาํ้ เสอ้ื กันฝน กระเบื้องยางปพู ื้น หนงั เทยี ม บัตรเครดิต แผน เสยี ง ฉนวนหมุ สายไฟฟา T113 ข. พอลิเอทลิ นี นําไปใชท าํ ภาชนะบรรจอุ าหาร ถงุ พลาสตกิ ชนิดใสข องเยน็ ขวดใสนาํ้ ดืม่ ของเดก็ เลน ค. เบกาไลต นาํ ไปใชท ํามือจับสําหรับอุปกรณสําหรบั เครอ่ื งครวั อุปกรณไฟฟา ฝาครอบจานจายรถยนต ถาดบรรจสุ ารเคมี ง. นโี อพรีน นําไปใชทํายางซลี ยางสายพานลําเลยี งในเหมอื งแร

Chapter Overview แผนการจัด ส่ือท่ีใช้ จดุ ประสงค์ วิธสี อน ประเมิน ทักษะท่ีได้ คณุ ลักษณะ การเรยี นรู้ อันพึงประสงค์ แผนฯ ท่ี 1 - แบบทดสอบกอ่ นเรยี น 1. บอกความหมายของ แบบสบื เสาะ - ตรวจแบบทดสอบ - ทักษะการวเิ คราะห ์ - มวี ินัย การเกิดปฏิกิรยิ า - หนงั สอื เรยี นรายวิชา อัตราการเกิดปฏกิ ริ ยิ า หาความร้ ู กอ่ นเรียน - ทักษะการส่อื สาร - ใฝเ่ รยี นรู้ เคมี พื้นฐานวิทยาศาสตร์ - มุ่งม่นั ใน กายภาพ 1 (เคมี) ม.5 เคมี และคา� นวณหา (5Es - ตรวจใบงาน เร่ือง - ทกั ษะการท�างาน การทา� งาน - แบบฝึกหดั รายวิชา อัตราการเกิดปฏิกิริยา Instructional ปฏิกริ ิยาเคมี รว่ มกัน - มคี วามซอื่ สัตย์ 12 พื้นฐานวทิ ยาศาสตร์ เคมีได้ (K) Model) - ประเมินการน�าเสนอ - ทกั ษะการน�าความรู้ 2. ทดลองและอธบิ ายอตั รา ผลงาน ไปใช้ ช่วั โมง กายภาพ 1 (เคม)ี ม.5 - ใบงาน การเกดิ ปฏิกิรยิ าเคม ี - สงั เกตพฤติกรรม ปจั จยั ทม่ี ผี ลต่ออตั รา การทา� งานกล่มุ - PowerPoint การเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมี - สงั เกตพฤตกิ รรม - QR Code - ภาพยนตรส์ ารคดสี ั้น และน�าความร้ไู ปใช้ การทา� งานรายบคุ คล ประโยชน ์ (P) - สงั เกตความมีวินยั Twig 3. แสดงความเป็นคน ใฝเ่ รยี นรู้ และม่งุ มน่ั ชา่ งสังเกต ช่างคิด ในการทา� งาน ช่างสงสยั ใฝ่เรยี นรู้ และมงุ่ มนั่ ในการเสาะ แสวงหาความรู้ (A) แผนฯ ท่ี 2 - หนังสอื เรียนรายวชิ า 1. อ ธบิ ายความหมาย แบบสบื เสาะ - ต รวจใบงาน เรื่อง - ทักษะการวิเคราะห์ - มวี นิ ยั ปฏิกริ ิยารีดอกซ์ พ้ืนฐานวิทยาศาสตร์ ของปฏกิ ิริยารีดอกซไ์ ด ้ หาความร ู้ ปฏกิ ริ ิยารดี อกซ์ - ทักษะการสงั เกต - ใฝเ่ รียนรู้ กายภาพ 1 (เคมี) ม.5 (K) (5Es - ประเมินการน�าเสนอ - ทกั ษะการสื่อสาร - มงุ่ มนั่ ใน 2 - แบบฝกึ หัดรายวิชา 2. บอกประโยชน์ของ Instructional ผลงาน - ทกั ษะการท�างาน การทา� งาน พน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร์ ปฏกิ ิริยารดี อกซใ์ น Model) - สังเกตพฤตกิ รรม รว่ มกัน - มคี วามซ่ือสตั ย์ ชั่วโมง กายภาพ 1 (เคม)ี ม.5 ชีวติ ประจ�าวนั ได ้ (K) - ใบงาน 3. มกี ารทา� งานร่วมกัน - PowerPoint เกดิ ทักษะกระบวนการ การทา� งานกลมุ่ - ทักษะการนา� ความรู้ - QR Code ทางวทิ ยาศาสตร ์ (P) - สังเกตพฤตกิ รรม ไปใช้ - ภาพยนตรส์ ารคดสี ้ัน 4. แสดงความเป็นคน การท�างานรายบุคคล Twig ชา่ งสงั เกต ช่างคดิ - สังเกตความมวี ินยั ชา่ งสงสัย ใฝเ่ รียนรู ้ ใฝ่เรยี นร ู้ และมุ่งมั่น และมุ่งมัน่ ในการเสาะ ในการทา� งาน แสวงหาความร ู้ (A) T114

แผนการจัด ส่ือท่ีใช้ จดุ ประสงค์ วธิ ีสอน ประเมนิ ทักษะท่ีได้ คณุ ลกั ษณะ การเรยี นรู้ อนั พงึ ประสงค์ - มีวินัย แผนฯ ท่ี 3 - แบบทดสอบหลังเรยี น 1. อธบิ ายสมบตั ิ การใช้ แบบสืบเสาะ - ตรวจใบงาน เรือ่ ง - ทกั ษะการวเิ คราะห์ - ใฝ่เรยี นรู้ ธาตกุ มั มันตรงั สี - หนังสือเรยี นรายวิชา ประโยชน์ และวิธีการ หาความรู้ พอลิเมอร์ - ทกั ษะการสงั เกต - มุ่งม่นั ใน พื้นฐานวทิ ยาศาสตร์ การท�ำงาน 4 กายภาพ 1 (เคม)ี ม.5 ปอ้ งกนั อนั ตรายจาก (5Es - ประเมินการน�ำเสนอ - ทกั ษะการสื่อสาร - มีความซ่อื สัตย์ ธาตุกัมมันตรังสีได้ (K) Instructional ผลงาน - ทกั ษะการท�ำงาน ชัว่ โมง - แบบฝกึ หัดรายวิชา 2. สืบค้นขอ้ มลู เก่ียวกับ Model) - สังเกตพฤตกิ รรม รว่ มกัน พ้นื ฐานวิทยาศาสตร์ กายภาพ 1 (เคม)ี ม.5 การนำ� ธาตกุ มั มนั ตรงั สี การท�ำงานกลุ่ม - ทกั ษะการน�ำความรู้ ไปใช้ประโยชนใ์ น - สงั เกตพฤติกรรม ไปใช้ - ใบงาน ชวี ติ ประจำ� วนั ได้ (P) การท�ำงานรายบคุ คล - PowerPoint - QR Code 3. แสดงความเป็นคน - สังเกตความมีวนิ ัย ช่างสังเกต ชา่ งคิด ใฝเ่ รียนรู้ และมงุ่ มน่ั - ภาพยนตรส์ ารคดีส้ัน ชา่ งสงสัย ใฝเ่ รียนรู้ ในการท�ำงาน Twig และมุง่ ม่ันในการเสาะ - ตรวจแบบทดสอบ แสวงหาความรู้ (A) หลงั เรยี น T115

Chapter Concept Overview ปฏิกิรยิ าเคมี ปฏกิ ริ ิยาเคม ี คอื กระบวนการท่สี ารเกิดการเปลีย่ นแปลงทางเคม ี แล้วสง่ ผลใหเ้ กดิ เปน็ สารชนดิ ใหม ่ สมการเคมี บอกสถานะหรอื สภาวะของสาร โดยการใสว่ งเลบ็ ไว้ดา้ นหลงั ของสาร การเขยี นสมการเคมมี ีหลกั การ ดงั น ้ี น้นั ๆ ดังน้ี เขียนลูกศรไว้ตรงกลาง (s) แทนสถานะของแขง็ (l) แทนสถานะของเหลว 2HCl (aq) + Mg (s) MgCl2 (aq) + H2 (g) (g) แทนสถานะแกส เขยี นสารต้งั ตน้ ไว้ทางซ้าย เขียนผลิตภณั ฑ์ไว้ทางขวา (aq) แ ทนสภาวะสารละลายโดยมนี า้� เปน็ ตัวท�าละลาย ดุลสมการเคม ี โดยการนา� ตวั เลขมาเติมหน้าสูตรของสารเคมี เพอื่ ทา� ใหจ้ �านวนอะตอมของสารต้งั ตน้ เท่ากบั จ�านวนอะตอมของผลติ ภัณฑ์ อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี อตั ราการเกิดปฏกิ ิริยาเคมี = ปริมาณสารต้งั ต้นท่ลี ดลง = ปรมิ าณผลติ ภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น เวลาที่ใชใ้ นการเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมี เวลาที่ใชใ้ นการเกิดปฏิกิรยิ าเคมี ปจจยั ท่ีสงผลตอ อตั ราการเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมี พื้นที่ผวิ ของสาร อณุ หภมู ิ ความดนั ถ้าสารตั้งตน้ มีพื้นทีผ่ วิ น้อย อตั ราการเกิด เมอ่ื อณุ หภมู สิ งู ขน้ึ อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี จะมผี ลกบั สารตง้ั ตน้ ทเ่ี ปน็ แกส โดยการเพม่ิ ปฏิกิริยาเคมีก็จะช้า แต่ถ้าสารตั้งต้นมี จะเรว็ ขนึ้ แตเ่ มอ่ื อณุ หภมู ลิ ดลง อตั ราการ ความดันจะท�าให้มีอัตราการเกิดปฏิกิริยา พ้ืนท่ีผิวมาก อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี เกิดปฏิกริ ิยาเคมจี ะช้าลง เพ่ิมขน้ึ กจ็ ะเร็ว ธรรมชาตขิ องสารตั้งตน้ ความเข้มข้นของสารตั้งตน้ ตวั เร่งและตวั ยบั ยงั้ ปฏิกริ ิยา สารต้ังต้นชนิดหน่ึงอาจจะเกิดปฏิกิริยา ถา้ สารตงั้ ตน้ ความเขม้ ขน้ ตา�่ อตั ราการเกดิ ตวั เรง่ ปฏกิ ริ ยิ า เปน็ สารทเ่ี ตมิ ลงไป แลว้ จะ ไดเ้ รว็ กบั สารชนดิ หนง่ึ แตอ่ าจเกดิ ปฏกิ ริ ยิ า ปฏิกิริยาจะช้า แต่ถ้าสารตั้งต้นมีความ ไปลดคา่ พลงั งานกอ่ กมั มนั ตข์ องปฏกิ ริ ยิ า ไดช้ า้ หรอื ไมเ่ กดิ ปฏิกริ ิยากบั สารอกี ชนดิ เข้มข้นสูง อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีก็ ทา� ใหป้ ฏกิ ริ ยิ าเกดิ ไดง้ า่ ยขน้ึ สว่ นตวั ยบั ยง้ั หน่ึง จะเรว็ ปฏิกิริยาเป็นสารที่เติมลงไป แล้วจะไป เพิ่มค่าพลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยา ท�าให้ปฏกิ ริ ิยาเกดิ ได้ยากข้ึน ซึง่ ทง้ั ตวั เร่ง และตัวยับย้ังปฏิกิริยา จะยังคงมีสมบัติ ทางเคมีและมีปรมิ าณเท่าเดิม ปฏกิ ริ ิยารีดอกซ์ • เปน็ ปฏกิ ริ ยิ าทม่ี กี ารเปลยี่ นแปลงเลขออกซเิ ดชนั ของธาตทุ อ่ี ยใู่ นสารประกอบในสมการเคม ี หรอื ปฏกิ ริ ยิ าทม่ี กี ารรบั และการจา่ ยอเิ ลก็ ตรอน • ประกอบดว้ ย 2 ปฏิกริ ยิ าย่อย ดังน้ี - ครึ่งปฏิกริ ยิ าออกซเิ ดชัน คอื ปฏิกิริยาที่มกี ารจ่ายอิเล็กตรอน เปน็ ปฏกิ ริ ยิ าท่มี ีเลขออกซเิ ดชนั เพม่ิ ข้นึ สารทที่ �าหนา้ ท่จี ่ายอิเลก็ ตรอน ใหแ้ กส่ ารอนื่ เรยี กวา่ ตัวรดี ิวซ์ - ครึ่งปฏกิ ิริยารีดกั ชนั คอื ปฏกิ ิรยิ าท่ีมีการรบั อิเลก็ ตรอน เป็นปฏิกิริยาท่ีมีเลขออกซิเดชนั ลดลง สารท่ีทา� หน้าท่รี ับอิเลก็ ตรอนจากสารอ่ืน เรียกว่า ตัวออกซิไดส์ T116

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี  4 ปฏกิ ริ ยิ านอนรีดอกซ์ เป็นปฏกิ ิริยาที่ไมม่ กี ารถ่ายโอนอิเล็กตรอน หรอื ไมม่ กี ารเปล่ยี นแปลงเลขออกซเิ ดชันของธาตทุ อ่ี ย่ใู นสารประกอบในสมการเคมี ธาตกุ มั มนั ตรังสี อนุภาคหรอื รงั สีที่แผ่หรือสลายตวั ออกมาจากธาตุกมั มันตรงั สี แบ่งออกเป็น 3 ชนดิ สญั ลกั ษณ์ อนภุ าคแอลฟา อนุภาคบตี า รังสแี กมมา สมบัติ α หรือ 42He β หรอื -01e γ • เป็นนวิ เคลียสของอะตอมฮีเลียม • มีสมบตั ิเหมือนอเิ ล็กตรอน • มปี ระจุไฟฟ้า +2 • มปี ระจไุ ฟฟ้า -1 • เปน็ คล่นื แม่เหล็กไฟฟา้ ทีม่ ี • เบยี่ งเบนในสนามไฟฟา้ เขา้ หาขวั้ ลบ • เบย่ี งเบนในสนามไฟฟา้ เข้าหา ความยาวคลนื่ ส้นั มาก ขัว้ บวก • ไม่มปี ระจไุ ฟฟา้ และไม่มีมวล • ไม่เบีย่ งเบนในสนามไฟฟา้ อำ� นาจ มอี ำ� นาจทะลทุ ะลวงต่�ำ มีอำ� นาจทะลุทะลวงสูงกวา่ มอี �ำนาจทะลทุ ะลวงสูง ทะลุทะลวง อนุภาคแอลฟาประมาณ 100 เท่า • ครึ่งชวี ิต (half-life) เป็นระยะเวลาทสี่ ารกัมมนั ตรังสีสลายตวั จนเหลอื เพียงครึ่งหนึ่งของปรมิ าณเดมิ • ธาตกุ ัมมันตรังสีสามารถนำ� ไปใช้ประโยชน์ในชวี ิตประจำ� วันได้หลายดา้ น เชน่ - ด้านการแพทย์ เช่น ใชโ้ คบอลต์-60 (Co-60) และเรเดยี ม-226 (Ra-226) รกั ษาโรคมะเร็ง - ดา้ นอตุ สาหกรรม เช่น ใชธ้ าตกุ มั มันตรงั สตี รวจหารอยตำ� หนิตา่ ง ๆ - ด้านพลงั งาน เช่น ใช้พลังงานความรอ้ นทีไ่ ด้จากปฏกิ ริ ิยานวิ เคลียร์ของยูเรเนียม-238 (U-238) มาผลติ กระแสไฟฟ้า - ดา้ นธรณีวิทยา เช่น ใชค้ าร์บอน-14 (C-14) ค�ำนวณหาอายุของวตั ถุโบราณและโครงกระดูก - ด้านเกษตรกรรม เช่น ใชฟ้ อสฟอรสั -32 (P-32) ศกึ ษาความต้องการปยุ๋ ของพชื เพอ่ื ปรบั ปรงุ เมลด็ พนั ธท์ุ ่ีตอ้ งการ - ด้านการถนอมอาหาร เช่น ใช้รังสีแกมมาของธาตุโคบอลต์-60 (Co-60) เพื่อท�ำลายแบคทีเรยี ในอาหาร • อันตรายจากธาตุกัมมันตรังสีสามารถเกิดขึ้นได้ เมื่อร่างกายของส่ิงมีชีวิตได้รับกัมมันตรังสีในปริมาณที่มาก จะท�ำให้เกิดความเสียหาย ตอ่ เซลล์ในรา่ งกาย ซ่งึ จะทำ� ให้สงิ่ มีชวี ติ เกดิ ความเจบ็ ปว่ ย หรอื หากไดร้ ับในปรมิ าณมากทเี่ กินไปก็อาจทำ� ใหเ้ สยี ชีวติ ได้ T117

นาํ นํา สอน สรปุ ประเมนิ ขนั้ นาํ 4หนวยการเรยี นรทู ่ี Q ÊÒà 2 ª¹Ô´ ¨ÐÊÒÁÒöà¡Ô´ กระตนุ้ ความสนใจ »¯¡Ô ÃÔ ÔÂÒà¤ÁÕ »¯Ô¡ÔÃÔÂÒà¤Áաѹ 䴌͋ҧäà 1. ครใู หนักเรยี นทําแบบทดสอบกอนเรียน หนว ย ตัวชี้วัด การเรียนรูท่ี 4 จํานวน 10 ขอ โดยใชเวลา ว22.1.1มม..55/1230 มม..55/2/14มม.5./52/215 10 นาที เพอ่ื นาํ ไปสกู ารศกึ ษาใน เรอื่ ง ปฏกิ ริ ยิ า ม.5/16ม.ม5/.253/1ม7.5ม/2.54/1ม8.5/ม2.55/19 เคมี 2. ครใู หน กั เรยี นดภู าพหนา หนว ย จากนน้ั รว มกนั สนทนากบั นกั เรยี นถงึ เรอื่ ง ปฏกิ ริ ยิ าเคมี โดยใช คําถามเพ่ือเชื่อมโยงใหนักเรียนเกิดการเรียนรู ในประเดน็ ตอ ไปนี้ • ผลิตภัณฑที่ไดจากการจุดดอกไมไฟ จะมี สมบัติเหมือนหรือแตกตางจากดอกไมไฟ กอ นจุดหรือไม • การจุดดอกไมไฟเปนการเปลี่ยนแปลงใน ลักษณะใด 3. ครถู ามคาํ ถาม Big Question จากหนงั สอื เรยี น วิทยาศาสตรก ายภาพ 1 (เคม)ี ม.5 หนา 104 และเปด โอกาสใหน กั เรยี นไดแ สดงความคดิ เหน็ โดยไมเนนถกู ผดิ Understanding ถกู / ผิด Check แนวตอบ Big Question บั น ทึ ก ล ง ใ น ส มุ ด ใหน กั เรยี นพจิ ารณาขอความตามความเขา ใจของนักเรียนวา ถกู หรือผิด แลว บันทึกลงสในมสดุ มดุ ปฏิกิริยาเคมีจะเกิดข้ึนไดก็ตอเม่ืออนุภาค ของสารตั้งตนมีการเคลื่อนที่ชนกัน และชนกัน 1. ปสาฏรกิ ปริ ริยะากเอคบมที คุกอืชนกิดรทะบ่มี วีธนาตกุคาราเรปบ ลอย่ี นนเปแปนลองขคอป งรสะการอตบ้ังจตดั น เปไปนเสปาน รสอาินรทใหรียม  ในทศิ ทางทเ่ี หมาะสม 2. นสาํ้ รอะเนิ หทยรกยี ลป ารยะเกปอนบไดอวเยปธนาลตกัุ CษณและขะอHงกธาารตเปุอลื่นย่ี ๆนแเชปนลงOทาNงเPคมจีดั เปนสารประกอบโคเวเลนต 3. พกานั รธยะอ ไยฮสโดลราเยจสนารคอือนิ ทแรงียยใ นดึ ดเหนิ นี่ยจดัวภเปานยกในาโรมเปเลกยี่ ลุนขแอปงลสงาทรางเคมี แนวตอบ Understanding Check 4. ฝปาฏยกิ ริ เิยสานทไหีม่ มีกาขรถนาแยกเะทอแิเลละ็กไตนรลออนน เจรัดียเกปวนาเสปนฏใกิยริธยิ รารรมีดชอากตซิ  5. แคปารง บ เอซนล-ล1โู 4ลส(Cโ-ป1ร4ต)นี เปแนลธะากตรุกดมั นมวิ ันคตลรอี งักิ สทีจดัใี่ ชเปค นํานสวาณรพหอาลอเิ ามยอุขรอ งวัตถโุ บราณ 1. ถกู 2. ผดิ 3. ถกู 4. ถูก 5. ถกู เกร็ดแนะครู การเรียนการสอน เรื่อง ปฏิกิริยาเคมี นักเรียนจะไดศึกษาเกี่ยวกับการ เกิดปฏิกิริยาเคมีในหลากหลายรูปแบบ รวมท้ังไดศึกษาเกี่ยวกับปจจัยท่ีมีผล ตออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี ดังน้ัน ในหนวยการเรียนรูน้ีครูจึงควรจัด การเรยี นการสอน โดยเนน ใหน กั เรยี นไดท าํ การทดลองจรงิ ควบคไู ปกบั การเรยี น เนื้อหาในหนังสือเรียน เพ่ือใหนักเรียนไดเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจริง เม่ือเกดิ ปฏิกิริยาเคมรี ปู แบบตางๆ และครูตอ งแนะนําใหนักเรยี นทาํ การทดลอง ดวยความระมัดระวัง เนื่องจากสารเคมีที่นํามาใชในการทดลองบางชนิด เปนสารเคมที มี่ อี ันตราย นอกจากนี้ ครอู าจหาวีดิทัศนเกีย่ วกบั การเกิดปฏกิ ริ ิยา เคมีมาใหนักเรียนดู เพื่อใหนักเรียนไดรับความรูเพ่ิมเติม และเพ่ือกระตุนให นักเรยี นมคี วามสนใจท่จี ะศึกษาเรอ่ื งปฏิกิรยิ าเคมมี ากขึ้น T118

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ 1. ¡ÒÃà¡´Ô »¯¡Ô ÔÃÂÔ Òà¤ÁÕ Prior Knowledge ขนั้ สอน ปฏิกริ ิยาเคมี เปนกระบวนการท่สี ารเกดิ การเปลี่ยนแปลง ¹¡Ñ àÃÂÕ ¹ÊÒÁÒöÃÐºØ สาํ รวจคน หา ทางเคมี แลวสงผลใหเกิดเปนสารชนิดใหมข้ึนมา ซึ่งสารใหม ä´ÍŒ ÂÒ‹ §äÃÇÒ‹ ÁÕ ทเ่ี กดิ ขน้ึ จะมสี มบตั ทิ แี่ ตกตา งไปจากสารเดมิ »¯¡Ô ÃÔ ÂÔ Òà¤ÁàÕ ¡´Ô ¢¹éÖ 1. ครถู ามคําถาม Prior Knowledge จาก หนังสอื เรียนวิทยาศาสตรกายภาพ 1 (เคมี) 1.1 ÊÁ¡ÒÃà¤ÁÕ ม.5 หนา 105 ใหนักเรยี นศกึ ษาวา ในการเกิดปฏิกริ ิยาเคมี สารใหมจ ะเกดิ ขึน้ ไดอ ยางไร และจะทราบได 2. ครูอธิบายเพ่ิมเติมเก่ียวกับการเกิดปฏิกิริยา อยา งไรวา มีสารใหมเกิดขึ้น จากการทดลองตอไปน้ี เคมีวา ในการเกิดปฏิกิริยาเคมี จะพบการ เปลี่ยนแปลง คือ มีสารใหมเกิดข้ึนเสมอ ¡Ò÷´Åͧ ¡ÒÃà¡´Ô »¯¡Ô ÔÃÂÔ Òà¤ÁÕ สารใหมท่ีเกิดข้ึนจะมีสมบัติเปลี่ยนไปจาก สารเดมิ เชน การเผาไหมข องวตั ถทุ เี่ ปน เชอ้ื เพลงิ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร ¨´Ø »ÃÐʧ¤ การยอ ยอาหารในกระเพาะอาหาร การสกึ กรอ น • การสงั เกต ของอาคารบา นเรอื น การบูดเนา ของอาหาร • การจําแนกประเภท • การตคี วามหมายขอ มลู 1. ทาํ การทดลองเพ่ือศกึ ษาการเกิดปฏิกิริยาเคมี และลงขอสรปุ 2. อธิบายและยกตัวอยางการเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมขี องสารบางชนิดได จิตวิทยาศาสตร • ความมเี หตุผล ÇÊÑ ´ÍØ »Ø ¡Ã³áÅÐÊÒÃà¤ÁÕ 8. แผนแมกนีเซยี ม (Mg) • ความรบั ผดิ ชอบ • ความรว มมือชวยเหลือ 1. หลอดทดลองขนาดกลาง 9. กระดาษลติ มสั สีแดงและสนี าํ้ เงนิ 2. กระบอกตวง ÇÔ¸¡Õ Ò÷´Åͧ 3. เสสคาารรร่ือลลงะะชลล่งัาาสยยาเโลพรดแท(IสIเ)ซไยี นมเตไอรโตอไ(ดPดb( N(K1O0I3).)2กเ)ขรมเดขขซม นติ ขรน0กิ .10(C.m16oHml8/odOlm/7d)3m3 4. สสาารรลละะลลาายยกโซรเดดไียฮมโดไฮรคโดลรอเรจิกนค(HารCบlอ)เเนขตม ข(Nน a2HCmOol3/)dmเข3ม ขแนละ23mmool/ld/dmm33 5. 6. 7. KI 0.1 mol/dm3 C6H8O7 Pb(NO3)2 0.1 mol/dm3 NaHCO3 2 mol/dm3 แนวตอบ Prior Knowledge 1. เจตํามินสวานรล5ะลcาmย 3Pbล(งNใOนห3)ล2อเขดมทขดนลอ0ง.1ขนmาoดlก/dลmาง3 2. จเตําิมนสวานรล5ะลcาmย3NลaงHใCนหOล3อเดขทม ดขลน อง2ขนmาoดlก/dลmาง3 สงั เกตการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมไี ดจ ากการเกดิ ตะกอน แลวเตมิ สารละลาย KI เขมขน 0.1 mol/dm3 เแขลยวาเตใหิมเเขกาลก็ดันขอแงกลรวดใชมCือ6Hจับ8Oบ7ริเจวณํานกวนนหล1อดg การเกิดฟองแกส การเปลี่ยนสี การเปลี่ยนแปลง จํานวน 5 cm3 เขยาใหเขากัน สังเกตการ ทดลอง สังเกตการเปลี่ยนแปลง พรอ มบนั ทกึ ผล อุณหภมู ิ และการเปลีย่ นสกี ระดาษลิตมสั เปล่ยี นแปลง พรอ มบันทกึ ผล »¯Ô¡ÔÃÔÂÒà¤ÁÕ 105 ขอสอบเนน การคดิ แนว O-NET เกร็ดแนะครู การเปลีย่ นแปลงในขอ ใด แสดงวา มีปฏกิ ิรยิ าเคมเี กิดข้ึน ครูอธิบายเพ่ิมเติมวา การเกิดปฏิกิริยาเคมีอธิบายไดดวยทฤษฎีการชน 1. ใหความรอ นกับแนฟทาลีนจนหลอมเหลว (collision theory) ซ่ึงกลาววา ปฏิกิริยาเคมีจะเกิดขึ้นไดก็ตอเม่ืออนุภาค 2. ผสมซลิ เวอรไ นเตรตกับเกลือไดต ะกอนสขี าว ของสารตงั้ ตน ซง่ึ อาจเปน โมเลกลุ อะตอม หรอื ไอออนกไ็ ด จะตอ งมกี ารเคลอ่ื นที่ 3. นาํ ทรายมาผสมนํ้า ปรากฏวาทรายตกตะกอน ชนกนั กอ น และการชนกนั ของอนภุ าคของสารตง้ั ตน จะเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าไดห รอื ไม 4. ผสมสาร 2 ชนดิ เขาดว ยกนั ไดเปนสารเนอ้ื เดียว ขน้ึ อยูก ับปจจยั ตอไปน้ี 5. ละลายเกลือลงในนา้ํ แลว อณุ หภูมหิ ลังละลายเพิม่ ข้ึน (วเิ คราะหคําตอบ แนฟทาลีนถูกความรอนแลวหลอมเหลว 1. ทศิ ทางการชนของอนภุ าค โดยอนภุ าคของสารตงั้ ตน ตอ งชนในทศิ ทาง ที่เหมาะสม จึงจะทําใหเ กิดปฏกิ ริ ยิ าเคมีได การนาํ ทรายผสมน้ํา ปรากฏวา ทรายตกตะกอน ผสมสาร 2 ชนดิ เขาดวยกันไดเปนสารเนื้อเดียว และละลายเกลือลงในนํ้า แลว 2. พลังงานจลนของอนุภาคท่ีเคลื่อนท่ีชนกัน โดยอนุภาคของสารต้ังตน อุณหภูมิหลังละลายเพ่ิมขึ้น การเปล่ียนแปลงเหลานี้ไมมีสารใหม เม่ือชนกันแลวจะเกิดปฏิกิริยาไดก็ตอเมื่ออนุภาคที่ชนกันจะตองเคลื่อนที่เร็ว เกิดขึ้น แสดงวา ไมเกิดปฏิกิริยาเคมี แตผสมซิลเวอรไนเตรต หรือมีพลังงานจลนสูง คือ เมื่อชนกันแลวพลังงานท่ีไดจากการชนจะตองสูง กบั เกลอื ไดต ะกอนสขี าว ซง่ึ เปน สารใหม แสดงวา เกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี พอท่ีทําใหพันธะในสารตั้งตนสลายไป แลวเกิดการสรางพันธะใหมเปน ดังนน้ั ตอบขอ 2.) ผลิตภณั ฑได T119

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขน้ั สอน HCl 2 mol/dm3 HCl 3 mol/dm3 ! Safety first แผน Mg สาํ รวจคน้ หา KMnO4 เจือจาง สารละลายเขมขนบางชนิด 3. เติมสารละลาย HCl เขม ขน เชน กรดไฮโดรคลอริก โซเดียม 3. ครใู หน กั เรยี นแบง กลมุ กลมุ ละ 4-5 คน ปฏบิ ตั ิ 2 mol/dm3 จาํ นวน 5 cm3 4. เจตํามิ นสวานรละ5ลาcยmK3MลnOงใ4นเจหอืลจอาดง ไฮดรอกไซด สามารถทําใหเกิด กจิ กรรมการทดลอง เรอื่ ง การเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี ลงในหลอดทดลองขนาดกลาง ทดลองขนาดกลาง แลวเติม การะคายเคืองตอผิวหนังและ ตามวธิ กี ารทดลองจากหนงั สอื เรยี นวทิ ยาศาสตร จากน้ันใสแผน Mg ลงไป สารละลาย HCl เขมขน 3 ดวงตาอยางมาก ขณะทําการ กายภาพ 1 (เคม)ี ม.5 หนา 105-106 จากนนั้ สั ง เ ก ต ก า ร เ ป ล่ี ย น แ ป ล ง mol/dm3จาํ นวน5cm3จากนนั้ ทดลองจึงควรสวมถุงมือ หรือ บันทึกผลการทดลองและสรุปผลการทดลอง พรอมบันทึกผล เขยาใหเขากัน สังเกตการ อปุ กรณปองกันดวงตา ลงในสมดุ บันทกึ ของนักเรียน เปลีย่ นแปลง พรอ มบันทึกผล HCl NaOH + HCl อธบิ ายความรู้ NaOH 2 mHoCl/dl m3 1. นักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนนําเสนอผลการ ปฏบิ ตั กิ ารทดลองหนา ชนั้ เรยี น เมอ่ื ตวั แทนกลมุ 2 NmaoOl/dHm3 รายงานผลการทดลอง ครูสอบถามนักเรียน กลมุ อน่ื วา ไดผ ลการทดลองแตกตา งกนั หรอื ไม 5. นําสารละลาย HCl และสารละลาย NaOH 6. เติมสารละลาย NaOH เขมขน 2 mol/dm3 ใหชวยกันวิเคราะหและสรุปผลการทดลอง มาทดสอบดว ยกระดาษลติ มัสสแี ดงและสนี ํา้ เงิน จํานวน 5 cm3 ลงในหลอดทดลองขนาดกลาง ใหถูกตอง และครูเปนผูเฉลยผลการทดลอง สงั เกตการเปล่ยี นแปลง พรอมบันทกึ ผล แลวเติมสารละลาย HCl เขมขน 2 mol/dm3 ทถ่ี กู ตอ ง จํานวน 5 cm3 เขยาใหเขากัน สังเกตการ ภาพที่ 4.1 การทดลองแสดงการเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมี เปลี่ยนแปลง แลวทดสอบดวยกระดาษลิตมัส แนวตอบ คําถามทา้ ยการทดลอง ทม่ี า : คลังภาพ อจท. สแี ดงและสีนํ้าเงิน พรอ มบันทกึ ผล การทดลองที่ทําใหเกิดสารใหม คือ เติม ¤íÒ¶ÒÁ·ÒŒ ¡Ò÷´Åͧ สารละลาย KI ลงในสารละลาย Pb(NO3)2 จะมี ตะกอนสีเหลืองเกดิ ขึ้น เติมเกลด็ ของกรด C6H8O7 การทดลองใดทาํ ใหม ีสารใหมเกิดขึน้ และทราบไดอยางไร ลงในสารละลาย NaHCO3 จะมฟี องแกส เกดิ ขน้ึ ใส แผน Mg ลงในสารละลาย HCl จะมฟี องแกส เกดิ ขนึ้ ÍÀÔ»ÃÒ¼šÒ÷´Åͧ และเตมิ สารละลาย HCl ลงในสารละลาย KMnO4 เจอื จาง จะมีฟองแกส เกิดขน้ึ ขพเมอบื่องวนเกามรํามื่อดสเฟีาตCรอิม6ลงHสะแล8ากOารส ยล7เะกลลHดิงาใขCยนน้ึ lสเKาแมรIลลอื่ ะะเลตสลงมิาาใรยสนลาสNะราลลaรHาะลยลCะาลOยNา3HaยพOCบPHlวbลา(งมNมใานOีฟทส3อดา)ง2รสแลอพกะบลสบดาเวกวยายิดKกขมMร้นึ ีตะnเดะมOกาือ่ษอ4ใลนเสจิตสแ อื มีเผจหัสน าลงMือพพงgบเบกวลวิดาางขใมนส้ึนฟีสาารอเรลมงละแ่ือะลกเลาตส ายิมเยกเดิHกHขลCCนึ้็ดll จะเปล่ียนสีกระดาษลิตมัสจากสีน้ําเงินเปนสีแดง สวนสารละลาย NaOH จะเปลี่ยนสีกระดาษลิตมัส จากสแี ดงเปน สนี าํ้ เงนิ แตเ มอ่ื นาํ สารละลายทงั้ สองมาผสมกนั สารละลายหลงั ผสมจะไมเ ปลยี่ นสกี ระดาษลติ มสั ทงั้ สแี ดงและสนี ้าํ เงนิ 106 บนั ทึก การทดลอง ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET การทดลอง ผลการเปลีย่ นแปลง กาํ หนดปฏิกริ ิยาให ดงั น้ี สารละลาย Pb(NO3)2 + สารละลาย KI เกดิ ตะกอนสีเหลอื ง ก. การทําทงิ เจอรไอโอดนี โดยผสมไอโอดีนกับเอทานอล สารละลาย NaHCO3 + เกลด็ ของกรด C6H8O7 ข. การเหม็นหนื ของน้ํามนั เม่อื ท้ิงไวน านๆ เกดิ ฟองแกส ค. บม มะมวงดิบจนเปน มะมว งสุก สารละลาย HCl + แผน Mg เกิดฟองแกส ขอ ใดเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี 1. ขอ ข. เทาน้ัน 2. ขอ ก. และ ข. 3. ขอ ก. และ ค. 4. ขอ ข. และ ค. 5. ขอ ก. ข. และ ค. สารละลาย KMnO4 + สารละลาย HCl เกดิ ฟองแกส (วเิ คราะหค าํ ตอบ ขอ ก. การทาํ ทงิ เจอรไ อโอดนี โดยผสมไอโอดนี ทดสอบสารละลาย HCl ดว ยกระดาษลติ มสั เปลี่ยนจากสนี า้ํ เงนิ สีแดง กับเอทานอลไมไดเกิดผลิตภัณฑเปนสารใหมเกิดขึ้น แตเปนการ ทาํ ละลายดว ยเอทานอล ทดสอบสารละลาย NaOH ดวยกระดาษลิตมัส เปลี่ยนจากสีแดง สีน้าํ เงนิ ขอ ข. นา้ํ มนั เมอื่ ทงิ้ ไวน านๆ จะเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าทางเคมี โดยนา้ํ มนั จะทําปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศไดสารเปอรออกไซดซึ่งมี สารละลาย NaOH + สารละลาย HCl ไดสารละลายใส กล่นิ หืนเกิดข้ึน ไมเปลีย่ นสีกระดาษลิตมัส ขอ ค. การบมมะมวงดิบจะใชถานแกสหอกระดาษแลววางไว กลางเขง ทบี่ รรจผุ ลไม เมอ่ื ผลไมค ายนา้ํ ออกมาไอนาํ้ จะทาํ ปฏกิ ริ ยิ า เคมีกับถานแกส เกิดเปนอะเซทิลีน ซึ่งมีคุณสมบัติคลายเอทิลีน T120 ทาํ ใหผ ลไมสกุ ได ดังน้ัน ตอบขอ 4.)

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขนั้ สอน อธบิ ายความรู้ เมื่อสารต้ังแต 2 ชนิดขึ้นไปมาทําปฏิกิริยาเคมีกัน 2. ครูใหนักเรียนศึกษาสมการเคมีและอัตรา จะมีสารใหมที่มีสมบัติแตกตางออกไปจากสารเดิมเกิดขึ้น การเกิดปฏิกิริยาเคมีจากในหนังสือเรียน ซ่ึงสามารถสังเกตการเปล่ียนแปลงไดจากการเกิดตะกอน การ วทิ ยาศาสตรกายภาพ 1 (เคม)ี ม.5 หนา 107 เกิดฟองแกส การเปลี่ยนสี การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ หรือ โดยครชู ว ยอธบิ ายใหน กั เรยี นเขา ใจวา รอบๆ ตวั การเปลี่ยนสีกระดาษลิตมัส โดยข้ึนอยูกับชนิดของปฏิกิริยา ของเราจะมีเปลี่ยนแปลงของปฏิกิริยาเคมี ซ่ึงสารท่ีเขามาทําปฏิกิริยากัน เรียกวา สารตั้งตน (reactant) อยูตลอดเวลา ซ่ึงสามารถเขียนแสดงการ สว นสารใหมท ่ีเกิดขน้ึ เรียกวา ผลติ ภณั ฑ (product) เปลี่ยนแปลงท่ีเกิดขึ้นไดดวยสมการเคมี เชน การเกิดสนิมเหล็ก (Fe2O3) ท่ีสามารถเขียน การเกิดปฏิกิริยาเคมีระหวางสารต้ังตนเพื่อเกิดเปน ภาพที่4.2 ปฏกิ ริ ยิ าระหวา งสารละลาย สมการแสดงได ดงั น้ี ผลิตภัณฑสามารถเขียนแทนไดดวยสมการเคมี โดยจะเขียน ขPลทbอะม่ี ล(งาNาP:Oยbค3I)2Kล2NังเกปภOบั นา3สพผาแลรอลิตลจะภะทตลัณ.ะาฑกยอ KนI สเกเี หิดลสอืารง 4Fe (s) + 3O2 (g) 2Fe2O3 (s) สารต้ังตนไวทางซาย แลวเขียนลูกศรไวตรงกลางชี้ไปยัง ผลิตภัณฑท ่เี ขยี นไวท างขวา ตวั อยางเชน • ปฏกิ ริ ยิ าระหวา งสารละลายเลด (II) ไนเตรตกบั สารละลาย โพแทสเซียมไอโอไดด เขียนสมการเคมีได ดังนี้ Pb(NO3)2 (aq) + 2KI (aq) 2KNO3 (aq) + PbI2 (s) • ปฏกิ ริ ยิ าระหวา งสารละลายโซเดยี มไฮโดรเจนคารบ อเนต กับกรดซิตริก เขยี นสมการเคมีได ดังนี้ 3NaHCO3(aq)+C6H8O7(aq) Na3C6H5O7(aq)+3CO2(g)+ 3H2O(l) • ปฏกิ ริ ยิ าระหวา งสารละลายกรดไฮโดรคลอรกิ กบั แมกนเี ซยี ม เขียนสมการเคมไี ด ดงั น้ี 2HCl (aq) + Mg (s) MgCl2 (aq) + H2 (g) • ปฏิกิริยาระหวางสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซดกับ ภาพที่4.3 ปฏกิ ริ ยิ าระหวา งสารละลาย สารละลายกรดไฮโดรคลอริก เขยี นสมการเคมีได ดังนี้ HCl กับลวด Mg เกิดสารละลาย ทMม่ี gาC:l2 และแกส อHจ2ทเ.ปน ผลติ ภัณฑ NaOH (aq) + HCl (aq) NaCl (aq) + H2O (l) คลังภาพ • ปฏกิ ิริยาระหวางสารละลายโพแทสเซียมเปอรแ มงกาเนตกบั สารละลายกรดไฮโดรคลอริก เขียนสมการเคมไี ด ดงั นี้ 2KMnO4 (aq) + 16HCl (aq) 2KCl (aq) + 2MnCl2 (aq) + 8H2O (l) + 5Cl2 (g) »¯Ô¡ÔÃÔÂÒà¤ÁÕ 107 ขอ สอบเนน การคิดแนว O-NET เกร็ดแนะครู ขอ ใดไมม ปี ฏกิ ริ ยิ าเคมีเกิดข้ึน ครอู ธบิ ายเพมิ่ เตมิ เกยี่ วกบั สมการเคมี ซง่ึ ใชเ ขยี นแทนการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี 1. การเคย้ี วขา วกอ นกลนื 2. การสงั เคราะหด ว ยแสงของพชื โดยการเขียนสมการเคมีจะเขียนสูตรของสารตั้งตนไวทางซาย และเขียนสูตร 3. การฟอกสบใู นนาํ้ กระดา ง 4. การเปา ลมหายใจลงในนาํ้ ปนู ใส ของผลิตภัณฑไวทางขวา เชื่อมสารตั้งตนและผลิตภัณฑดวยลูกศรจากซายไป 5. การผสมกลีเซอรอลกบั เอทานอล ขวา พรอ มท้งั เขียนอกั ษรยอเพ่อื บอกสถานะของสารแตล ะตัว รวมทงั้ ดลุ สมการ ใหจาํ นวนอะตอมของธาตุแตละชนดิ ในสารตัง้ ตนและในผลิตภัณฑเทา กนั เพื่อ (วเิ คราะหค าํ ตอบ ขอ 1. การเคย้ี วขา วกอ นกลนื ขา วจะทาํ ปฏกิ ริ ยิ า ปรับใหจํานวนอะตอมของธาตุทางซายเทากับจํานวนอะตอมของธาตุทางขวา กบั เอนไซมในปาก แลวจะถูกยอยกลายเปนน้ําตาล ของสมการ ขอ 2. การสงั เคราะหด ว ยแสงของพชื พชื ใชแ กส คารบ อนไดออกไซด A+B AB และน้ําเปนสารต้ังตน ไดน้ําตาลกลูโคส นํ้า และแกสออกซิเจน เปน ผลิตภณั ฑ สารตัง้ ตน ผลติ ภณั ฑ ขอ 3. การฟอกสบใู นนาํ้ กระดา ง สบจู ะทาํ ปฏกิ ริ ยิ ากบั นาํ้ กระดา ง T121 ทําใหเกดิ ไคลสบู ขอ 4. การเปาลมหายใจท่ีมีแกสคารบอนไดออกไซดลงใน นา้ํ ปนู ใส จะทาํ ใหแคลเซียมคารบอเนตเกิดการตกตะกอน ขอ 5. กลีเซอรอลและเอทานอลเปนสารเคมีประเภทเดียวกัน สารทั้ง 2 ชนิดน้จี ึงไมท ําปฏกิ ิริยาเคมกี นั ดงั น้ัน ตอบขอ 5.)

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขน้ั สอน จากตวั อยาง จะเหน็ วา มกี ารนาํ ตัวเลขทเ่ี หมาะสมมาเติมหนาสตู รของสารเคมี เพอื่ ทําให จํานวนอะตอมของสารต้ังตนเทากับจํานวนอะตอมของผลิตภัณฑ เรียกข้ันตอนนี้วา การดุล อธบิ ายความรู้ สมการเคมี ในการเขยี นสมการเคมีนั้น ถาตองการใหมคี วามสมบูรณยิง่ ข้ึน ควรบอกสถานะหรือสภาวะ 3. ครูอธิบายความหมายและความสําคัญของ ของสาร โดยการใสวงเล็บไวดา นหลังของสารนนั้ ๆ ดงั น้ี ตวั อกั ษรในวงเลบ็ ทอี่ ยดู า นขวาของสตู รโมเลกลุ (s) แทน Ê(s¶olÒi¹d)Тͧá¢ç§ ของสารแตล ะชนดิ ลกู ศรทใ่ี ช และตวั เลขทอี่ ยู (l) แทน Ê(li¶qÒu¹idÐ)¢Í§àËÅÇ หนา โมเลกุลของสารแตละชนิดในสมการ (g) แทน ʶҹÐá¡Ê 4. ครูอธิบายใหนักเรียนเขาใจวา เม่ือมีปฏิกิริยา (gas) เคมีเกิดขึ้น สารเร่ิมตนจะมีความสัมพันธกับ (aq) แทน (ÊaÀqÒuÇeoÐÊusÒ)ÃÅÐÅÒÂâ´ÂÁÕ¹Òíé ໚¹µÇÑ ·íÒÅÐÅÒ ผลิตภัณฑ โดยในขณะที่กําลังเกิดปฏิกิริยา ถา มผี ลติ ภณั ฑเ กดิ มาก สารตง้ั ตน กจ็ ะลดลงมาก ตามไปดว ย การวดั อตั ราเรว็ ของปฏกิ ริ ยิ าเคมี จึงวัดจากปริมาณของสารต้ังตนท่ีลดลงใน 1 หนวยเวลา หรือปริมาณของผลิตภัณฑท่ีเพิ่ม ขนึ้ ใน 1 หนวยเวลา 1.2 굄 ÃÒ¡ÒÃà¡Ô´»¯Ô¡ÃÔ ÂÔ Òà¤ÁÕ อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี หมายถึง ปริมาณของสารตั้งตนที่ลดลง หรือปริมาณของ ผลติ ภณั ฑท เ่ี กดิ ขนึ้ จากปฏกิ ริ ยิ าในหนง่ึ หนว ยเวลา โดยอาจวดั ปรมิ าณของสารไดจ ากความเขม ขน ปริมาตร หรือมวลของสารที่เปลย่ี นแปลงไปหลงั จากเกิดปฏิกริ ิยาเคมี ซ่ึงสามารถเขยี นสูตรแสดง ความสมั พนั ธไ ด ดงั น้ี อตั ราการเกิดปฏิกิรยิ าเคมี = ปรมิ าณของสารต้งั ตนทล่ี ดลง เวลาท่ีใชใ นการเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมี = ปรมิ าณผลติ ภณั ฑที่เพม่ิ ข้นึ เวลาทใ่ี ชใ นการเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมี ดังน้ัน ในการหาอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีจําเปนตองทราบความสัมพันธระหวางปริมาณ สารตั้งตน หรอื ผลติ ภัณฑ และเวลาท่ใี ชในการทดลอง โดยใหนักเรยี นศึกษาการวดั ปริมาณสารใน ปฏิกริ ยิ าเคมที เี่ ปลี่ยนแปลงไปตามเวลาจากการทดลองตอ ไปน้ี 108 สื่อ Digital ขอ สอบเนน การคิดแนว O-NET พจิ ารณากราฟแสดงความสัมพนั ธ ความเขมขน ศกึ ษาเพม่ิ เตมิ ไดจ ากภาพยนตรส ารคดสี น้ั Twig เรอ่ื ง อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี ของความเขม ขน ของสารตง้ั ตน และ B https://www.twig-aksorn.com/film/rates-of-reaction-basics-8253/ ผลิตภัณฑกบั เวลาการเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี C T122 ดังน้ี A เวลา ขอความใดถกู ตอง 1. สมการของปฏกิ ริ ยิ านี้ คือ A + C B 2. ทุกชวงเวลา อัตราการเกิดของสาร B เทา กัน 3. อัตราการเกดิ สาร C นอยกวาอตั ราการเกิดสาร B 4. อตั ราการเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเปน คาเฉล่ยี ของอตั ราการเกดิ สาร B และสาร C 5. ในชว งเวลาเดียวกนั อตั ราการเกดิ ของสาร C จะเทากบั อัตราการลดลงของสาร B (วิเคราะหคําตอบ จากกราฟ จะเห็นวา สาร A มีอัตราลดลง ดงั น้นั สาร A เปน สารตง้ั ตน สาร B และ สาร C มีอตั ราเพม่ิ ขนึ้ ดังนนั้ สาร B และ สาร C เปนผลติ ภณั ฑ จะไดสมการเคมี คอื A B + C และอตั ราการเกดิ สาร B มากกวา อัตราการเกิด สาร C ดงั น้นั ตอบขอ 3.)

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ¡Ò÷´Åͧ »¯¡Ô ÔÃÔÂÒÃÐËÇÒ‹ §âÅËÐáÁ¡¹Õà«ÂÕ Á¡ºÑ ¡Ã´áͫյ¡Ô ขน้ั สอน ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร ¨´Ø »ÃÐʧ¤ สาํ รวจคน้ หา • การสงั เกต 1. ทําการทดลองเพ่ือศึกษาการเกิดปฏิกิริยาระหวางโลหะแมกนีเซียมกับ • การวดั ครใู หน กั เรยี นแบง กลมุ กลมุ ละ 4-5 คน ปฏบิ ตั ิ • การจัดกระทําและการแปล กรดแอซตี กิ กจิ กรรมการทดลอง เรอ่ื ง ปฏิกิริยาระหวา งโลหะ ความหมายขอ มูล 2. อธิบายการเกิดปฏิกิริยาระหวางโลหะแมกนีเซียมกับกรดแอซีติกใน แมกนเี ซยี มกบั กรดแอซตี กิ ตามวธิ กี ารทดลองจาก จติ วทิ ยาศาสตร หนงั สือเรียนวิทยาศาสตรกายภาพ 1 (เคมี) ม.5 • ความมีเหตุผล ชว งเวลาตาง ๆ ได หนา 109 จากน้ันบันทึกผลการทดลองและสรุป • ความรับผดิ ชอบ • ความรวมมือชว ยเหลอื ขผลน้ั กสาอรทนดลองลงในสมุดบนั ทกึ ของนักเรียน ÇÊÑ ´ØÍØ»¡Ã³áÅÐÊÒÃà¤ÁÕ อธบิ ายความรู้ 1. บีกเกอรขนาด 100 cm3 4. คัตเตอร 7. ลวดแมกนีเซยี ม 2. กระบอกตวงขนาด 10 cm3 5. กระดาษทราย 8. สารละลายกรดแอซตี ิก 1. นักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนกลุมนําเสนอ 3. จกุ คอรก 6. ทหี่ นีบหลอดทดลอง ผลการปฏิบัติการทดลองหนาช้ันเรียน เม่ือ (CH3COOH) เขมขน 35% v/v ตวั แทนกลมุ รายงานผลการทดลอง ครสู อบถาม พรอ มขาตั้ง นักเรียนกลุมอื่นวาไดผลการทดลองแตกตาง ÇÔ¸¡Õ Ò÷´Åͧ กนั หรอื ไม ใหช ว ยกนั วเิ คราะหแ ละสรปุ ผลการ ทดลองใหถูกตอง โดยครูเปนผูเฉลยผลการ 1. เติมสารละลาย CจนHเ3ตC็มOOH เขม ขน 35% v/v ลงในกระบอกตวง CH3COOH 35% v/v ทดลองท่ถี กู ตอง ขนาด 10 cm3 2. นาํ จกุ คอรก ขนาดพอดกี บั ปากกระบอกตวงมาบากดา นขา งตามแนวยาว ใหเ ปน รอ งเลก็ ๆ พอใหข องเหลวไหลออกได และกรดี บรเิ วณกงึ่ กลาง หนา ตดั จกุ คอรก ปลายดา นทเ่ี ลก็ กวา ใหเ ปน รอยยาวประมาณ 0.5 cm 3. นาํ ลวดแมกนเี ซียมยาว 8 cm มาขัดใหส ะอาด แลว ขดเปน เกลียว คลา ยสปริง จากนน้ั นําไปเสียบไวตรงรอยกรดี กลางจกุ คอรก แลว นํา ลวด Mg 4. มาปดปากกระบอกตวงทเี่ ตรยี มไวใ นขอ c1m. 3 ทม่ี นี า้ํ บรรจอุ ยู 50 cm3 นาํ้ ควา่ํ กระบอกตวงลงในบกี เกอรข นาด 100 โดยใหป ากกระบอกตวงอยูใ ตน้ํา 5. เริ่มจับเวลาเมอื่ ของเหลวในกระบอกตวงลดระดบั มาอยูท ่ขี ีด 1 cm3 จุกคอรก บากดา นขาง แนวตอบ คําถามทา้ ยการทดลอง ลแลดะลบงนัถทงึ ขกึ ดีเวล8าทcmข่ี อ3งเหลวลดลงทกุ ๆ 1 cm3 จนกระทงั่ ระดบั ของเหลว ภาพที่4.4 การทดลองปฏกิ ริ ยิ าระหวา ง 1. ไมเทากัน เน่ืองจากในชวงแรกปฏิกิริยาจะเกิด ¤Òí ¶ÒÁ·ÒŒ ¡Ò÷´Åͧ โลหะแมกนีเซียมกับกรดแอซตี ิก ขึน้ เร็ว จงึ ใชเวลานอ ย เมอ่ื เกดิ ปฏกิ ิรยิ าไประยะ ท่มี า : คลงั ภาพ อจท. หนงึ่ ปฏกิ ริ ยิ าจะเกิดไดชา ลง จงึ ใชเวลามาก 1. เวลาที่ใชในการเกิดแกส ไฮโดรเจนทกุ ๆ 1 cm3 มคี า เทา กนั หรอื ไม อยางไร 2. ขึน้ อยูกบั เวลาที่ไดจ ากการทดลอง 2. อัตราการเกิดแกส ไฮโดรเจนเฉล่ียมีคา เทาใด ตวั อยางการคํานวณ เชน แกส ไฮโดรเจน ปริมาตร 7 cm3 ใชเ วลาในการเกิด140 s ÍÀ»Ô ÃÒ¼šÒ÷´Åͧ อัตราการเกดิ ปฏิกริ ิยาเฉลยี่ ซ่ึงสสามมากราถรวแัดสอดัตงปราฏกิการิ ริยเากทิด่เีปกฏดิ ิกขิรึน้ ิยาดเงัคนม้ี ีไMดจgา(กs)ก+าร2วCัดปHร3ิมCาOตOรขHอ(งaแqก) สไฮโดรเMจนg(ทC่ีเกHิด3Cขึ้นOOโ)ด2ย(aกqา)ร+เก็บHแ2(กgส) = ปริมาณผลติ ภณั ฑทเี่ พม่ิ ขนึ้ ทกุ ๆ 1 ลกู บาศกเ ซนตเิ มตร ซง่ึ ในชว งแรกจะใชเ วลานอ ย และตอ มาจะใชเ วลามากขน้ึ เรอื่ ย ๆ แสดงวา ปฏกิ ริ ยิ า เวลาที่ใชในการเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมี จะเกดิ ไดเร็วในชวงแรก และเกดิ ไดช าลงเมื่อเวลาผา นไป = 1740 »¯Ô¡ÔÃÔÂÒà¤ÁÕ 109 = 0.05 cm3/s ขอ สอบเนน การคดิ แนว O-NET บันทกึ การทดลอง จากกราฟ สามารถเขยี นสมการเคมีแสดงปฏกิ ิริยาไดอ ยางไร ปรมิ าตรแกส ไฮโดรเจน (cm3) ระหวางขดี ที่ เวลา (s) 001102011.........212428686420 0 2 1-2 ตบามนั กทาึกรผทลดทล่ไี อดง จริง ความเขม ขน (mol/dm3) C 2-3 3-4 BDA B 4-5 4 เวลา (s6) 8 10 5-6 1. C + D A+B 2. C + D + A 6-7 3. A + B C+D 4. A B + C + D 7-8 5. A + D B+C (วิเคราะหคําตอบ จากกราฟ จะเห็นวาสาร A และสาร B หมายเหตุ : ในชว งขดี 1-2 จนถงึ ขดี ท่ี 3-4 จะใชเวลานอย และหลังจาก มีอัตราที่ลดลง แสดงวา เปนสารตั้งตน สาร C และสาร D มี ขดี ที่ 4-5 จะใชเ วลามากขน้ึ เร่อื ยๆ อตั ราเพ่ิมข้ึน แสดงวา เปนผลิตภณั ฑ ดงั น้ัน เขียนปฏิกิริยาเคมไี ด ดงั นี้ A + B C + D ดังนั้น ตอบขอ 3.) T123

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขนั้ สอน จากการทดลอง อตั ราการเกดิ แกส ไฮโดรเจนตง้ั แตเ รม่ิ เกดิ ปฏกิ ริ ยิ าจนปฏกิ ริ ยิ าสนิ้ สดุ ลงจะมคี า ไมเ ทา กนั โดยในชว งแรกแกส ไฮโดรเจนจะเกดิ ขน้ึ อยา งรวดเรว็ เนอ่ื งจากมแี มกนเี ซยี มและสารละลาย อธบิ ายความรู้ กรดไฮโดรคลอรกิ ซง่ึ เปน สารตงั้ ตน อยใู นปรมิ าณมาก เมอ่ื ปฏกิ ริ ยิ าดาํ เนนิ ไป สารตง้ั ตน จะลดลงเรอื่ ยๆ สงผลใหแกสไฮโดรเจนเกิดชา ลง และในทส่ี ดุ เมือ่ สารตงั้ ตน หมดไป ปฏิกิรยิ าจะสิ้นสดุ ลง และไมม ี 2. นักเรียนและครูรวมกันอภิปราย หาขอสรุป แกส ไฮโดรเจนเกดิ ขึน้ อีก จากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใชแนวคําถาม ตอ ไปน้ี นอกจากน้ี อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมขี องปฏกิ ริ ยิ านยี้ งั สามารถวดั ไดจ ากมวลของแมกนเี ซยี ม • สารเรม่ิ ตน และผลติ ภณั ฑท ไ่ี ดจ ากปฏกิ ริ ยิ าน้ี ที่ลดลง ความเขมขนของสารละลายกรดไฮโดรคลอริกท่ีลดลง หรือความเขมขนของสารละลาย คอื สารใด และผลติ ภณั ฑท เี่ กดิ ขนึ้ คอื สารใด แมกนเี ซยี มคลอไรดท เี่ พม่ิ ขน้ึ แตจ ะวดั ไดค อ นขา งยาก ดงั นน้ั การทดลองนจี้ งึ เลอื กวดั ปรมิ าตรของ • ปฏิกิริยาระหวางแมกนีเซียมกับสารละลาย แกส ไฮโดรเจนทเ่ี กดิ ขน้ึ เนอื่ งจากเปน วธิ ที สี่ ะดวกทส่ี ดุ เพราะสามารถวดั ปรมิ าตรของแกส ไดโ ดยตรง กรดแอซีติกเขียนสมการเคมีไดในลักษณะ ใด ปฏกิ ริ ยิ าเคมที เี่ กดิ ขน้ึ รอบ ๆ ตวั เรานน้ั บางปฏกิ ริ ยิ าจะเกดิ ขน้ึ ไดอ ยา งรวดเรว็ ในขณะทบ่ี าง • อัตราเร็วของปฏิกิริยาเคมีท่ีเกิดขึ้นวัดจาก ปฏกิ ริ ิยาจะเกดิ ขน้ึ อยางชา ๆ หรือแมแตป ฏกิ ริ ิยาเคมที เี่ กดิ จากสารตง้ั ตนชนดิ เดยี วกนั บางคร้งั ก็ ส่ิงใด ยงั เกิดขนึ้ ดวยอตั ราเรว็ ท่แี ตกตางกนั ซงึ่ จะสามารถเรง ใหปฏิกริ ิยาทเี่ กิดอยา ง ๆ ชา ใหเกิดเรว็ ขนึ้ หรือสามารถลดปฏิกิริยาท่ีเกิดอยางรวดเร็วใหเกิดชาลงได ถาทราบวา มีปจจัยใดบางที่สงผลตอ ขยายความเขา้ ใจ อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมขี องปฏกิ ริ ยิ านน้ั ๆ ซง่ึ เมอ่ื มหี นง่ึ หรอื หลายปจ จยั เกดิ การเปลย่ี นแปลงไป จะสง ผลใหอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีเกิดการเปลย่ี นแปลงไปดวย 1. ครูใหนักเรียนศึกษาคนควาเพ่ิมเติมจากแหลง เรยี นรตู า งๆ เกยี่ วกบั สมการเคมี และผลติ ภณั ฑ Science Focus ทเี่ กิดจากปฏิกิรยิ าเคมี »ÃÐàÀ·¢Í§ÍѵÃÒ¡ÒÃà¡Ô´»¯Ô¡ÔÃÔÂÒà¤ÁÕ 2. ครูใหนักเรียนคนควาคําศัพทภาษาอังกฤษ เกย่ี วกบั สมการเคมแี ละอตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ า อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีสามารถวัดไดหลายแบบ โดย ความเขม ขน ของสารตง้ั ตน เคมี จากแหลงเรียนรูตางๆ เชน หองสมุด สามารถจาํ แนกออกไดเปน 3 ประเภท ดงั นี้ อินเทอรเน็ต และรวบรวมคําศัพท พรอมท้ัง คําแปลลงในสมุดบันทกึ สงครูในชัว่ โมงถัดไป 1. อัตราการเกิดปฏกิ ิริยาเฉล่ยี คอื อตั ราการเกิดปฏิกิริยา ท่ีคิดจากการเปลี่ยนแปลงของสารตั้งตนที่ลดลง หรือผลิตภัณฑ ท่ีเพ่มิ ขึน้ ตลอดการเกิดปฏิกิริยา θ เวลา 2. อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ า ณ ชว งเวลาใดเวลาหนงึ่ คอื อตั รา t การเกิดปฏิกิริยาที่คิดจากการเปล่ียนแปลงของสารตั้งตนท่ีลดลง ความเขม ขน ของผลติ ภัณฑ หรือผลิตภณั ฑท ี่เพิม่ ขนึ้ ณ ชวงเวลาใดเวลาหนึ่ง θ 3. อัตราการเกิดปฏิกิริยา ณ จุดใดจุดหน่ึงของเวลา คือ อัตราการเกิดปฏิกิริยาท่ีคิดจากการเปลี่ยนแปลงของสารต้ังตน เวลา ที่ลดลง หรอื ผลติ ภณั ฑทเ่ี พ่มิ ขนึ้ ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง ซง่ึ สามารถ หาไดจ ากกราฟ ซง่ึ กค็ อื คา ความชนั ของกราฟระหวา งปรมิ าณของ ภาพที่4.5 การหาtอตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ า สารท่ีเปลย่ี นแปลงกับเวลา ณ จุดใดจดุ หนึง่ ของเวลา ทีม่ า : คลงั ภาพ อจท. 110 ขอ สอบเนน การคดิ จากสมการ CO (g) + H2O (g) CO2 (g) + H2 (g) + พลังงาน วดั การเพิม่ ข้ึนของปริมาณแกส H2 ได ดังตาราง เวลา (s) ปรมิ าณ H2 ทเี่ กดิ ขน้ึ (cm3) อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเฉลย่ี ของปฏกิ ริ ยิ านแ้ี ละอตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าชว ง 2-8 วนิ าที มคี า เทา ใด 0 0 ตามลาํ ดบั 2 10 1. 3.5 และ 3.2 cm3/s 2. 3.5 และ 3.5 cm3/s 3. 3.5 และ 4.0 cm3/s 4 20 4. 3.5 และ 4.2 cm3/s 5. 3.2 และ 4.0 cm3/s 6 26 8 31 (วิเคราะหคาํ ตอบ อตั ราการเกิดปฏิกริ ิยาเฉล่ีย 10 35 = ปรมิ าณผลิตภัณฑท ี่เพม่ิ ขน้ึ = 3105 - 00 = 3.5 cm3/s T124 เวลาท่ใี ชใ นการเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมี - อตั ราการเกิดปฏกิ ิริยา ณ ชวงเวลาใดเวลาหน่งึ = 385 - 120 = 3.5 cm3/s = ปริมาณผลติ ภณั ฑท ี่เพิ่มขน้ึ ในชว งวนิ าทที ่ี 2-8 - เวลาในชว งวนิ าทีท่ี 2-8 ดังนัน้ ตอบขอ 2.)

นาํ นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ปจ จยั ทีส่ ง ผลตอ อัตราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี มดี งั นี้ ภาพที่ 4.6 โลหะ Cu ไมทําปฏิกริ ิยา ขน้ั นาํ 1. ธรรมชาตขิ องสารตงั้ ตน สารตง้ั ตน แตล ะชนดิ จะมคี วาม กับสารละลาย HCl แตโลหะ Mg สามารถในการเกิดปฏิกิริยาเคมีที่แตกตางกัน โดยสารตั้งตน ทําปฏิกิริยาไดดีกับสารละลาย HCl กระตนุ้ ความสนใจ ชนดิ หนึ่งอาจจะสามารถเกดิ ปฏิกริ ยิ าไดเร็วกบั สารชนิดหนึง่ แต แทล่ีมวาเก: ิดคแลกงั สภาHพ2 อจท. อาจเกิดปฏิกิริยาไดชา หรือไมเกิดปฏิกิริยากับสารอีกชนิดหนึ่ง 1. ครูยกตวั อยางปฏกิ ิริยาเคมีทพี่ บอยทู ่วั ไปใน เชน โลหะแมกนเี ซยี มสามารถทาํ ปฏกิ ริ ยิ าไดด กี บั สารละลายกรด ชีวิตประจําวัน เชน การเกดิ สนิมของเหลก็ ไฮโดรคลอริก แลวเกิดแกสไฮโดรเจน ในขณะที่โลหะทองแดง การยอยสลายซากพืชซากสัตว การสันดาป จะไมทําปฏิกิริยากับสารละลายกรดไฮโดรคลอริก หรือโลหะ หรือการเผาไหมเชื้อเพลิง เพื่อกระตุนความ โซเดียมสามารถทําปฏิกิริยากับน้ําไดอยางรวดเร็ว แตโลหะ สนใจของนกั เรียน แมกนีเซียมจะทําปฏกิ ริ ิยากบั น้าํ อยางชา ๆ 2. ความเขม ขน ของสารตง้ั ตน ความเขม ขน ของสารตง้ั ตน 2. ครใู หน กั เรยี นศกึ ษาความรเู กยี่ วกบั ความเขม ขน มีผลตออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีหรือไม อยางไร ใหนักเรียน สารเรมิ่ ตน ทมี่ ผี ลตอ อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี ศึกษาจากการทดลองตอ ไปน้ี จากหนงั สอื เรยี น หนา 111 โดยครชู ว ยเชอื่ มโยง ความรูใหมจากบทเรียนกับความรูเดิมท่ีได ¡Ò÷´Åͧ ¤ÇÒÁà¢ÁŒ ¢Œ¹¢Í§ÊÒáºÑ 굄 ÃÒ¡ÒÃà¡Ô´»¯¡Ô ÃÔ ÔÂÒà¤ÁÕ เรียนรมู าแลว ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร ¨Ø´»ÃÐʧ¤ ขนั้ สอน • การสังเกต 1. ทําการทดลองเพื่อศึกษาผลของความเขมขนของสารตงั้ ตน ตอการเกิด • การวดั สาํ รวจคน้ หา • การจดั กระทาํ และการแปล ปฏกิ ิริยาเคมี ความหมายขอมลู 2. สรปุ ผลของความเขม ขน ของสารตงั้ ตน ทม่ี ตี อ อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมไี ด ครใู หน กั เรยี นแบง กลมุ กลมุ ละ 4-5 คน ปฏบิ ตั ิ จติ วทิ ยาศาสตร กิจกรรมการทดลอง เร่ือง ความเขมขนของสาร • ความรอบคอบ กบั อัตราการเกดิ ปฏิกิริยาเคมี ตามวธิ ีการทดลอง • ความรบั ผดิ ชอบ จากหนังสือเรียน หนา 111 จากน้ันบันทึกผล • ความรวมมอื ชวยเหลอื การทดลองและสรปุ ผลการทดลองลงในสมดุ บนั ทกึ ของนักเรยี น ÇÑÊ´ØÍ»Ø ¡Ã³áÅÐÊÒÃà¤ÁÕ 4. กระดาษสีขาวและปากกา 7. สารละลายกรดไฮโดรคลอริก (HCl) 5. นาฬกาจบั เวลา เขมขน 2 mol/dm3 1. หลอดทดลองขนาดใหญ 6. นํ้ากลนั่ 2. กระบอกตวงขนาด 10 cm3 8. สารละลายโซเดยี มไทโอซลั เฟต 3. บกี เกอร (Na2S2O3) เขม ขน 0.3 mol/dm3 Ç¸Ô ¡Õ Ò÷´Åͧ 1. รินสารละลาย HCl เขม ขน 2 mol/dm3 จํานวน 10 cm3 ลงในหลอดทดลองขนาดใหญจาํ นวน 4 หลอด จากนน้ั นาํ กระดาษสขี าวทท่ี าํ เครอื่ งหมายกากบาทมาตดิ ขา งหลอดทดลองทง้ั 4 หลอด โดยใหเ ครอ่ื งหมาย กากบาทอยูสงู จากกนหลอดทดลองประมาณ 2.5 เซนติเมตร »¯Ô¡ÔÃÔÂÒà¤ÁÕ 111 ขอ สอบเนน การคดิ แนว O-NET หองปฏิบัติการ ขอ ใดไมไ ดแ สดงวา ธรรมชาตขิ องสารมผี ลตอ อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ า  à·¤¹Ô¤ ¤ÇÒÁ»ÅÍ´ÀÑ 1. กระดาษมอี ายกุ ารใชง านนอ ยกวาพลาสติก 2. เกลือเม็ดดูดความช้ืนเร็วกวาผลึกน้าํ ตาลทราย กอ นการทดลอง เรื่อง ความเขม ขนของสารกบั อัตราการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมี 3. แบตเตอรปี่ รอทกบั แบตเตอรแี่ อลคาไลนม อี ายใุ ชง านไมเ ทา กนั ครูควรแนะนํานักเรียน ดงั น้ี 4. เหล็กที่อยูในอากาศและความช้ืนจะผุกรอนไดเร็วกวา อะลมู ิเนยี ม • กอ นการทดลองควรทาํ ความสะอาดอปุ กรณก ารทดลองใหแ หง และสะอาด 5. โลหะแมกนเี ซยี มทาํ ปฏกิ ริ ยิ ากบั กรดไฮโดรคลอรกิ แตไ มท าํ • ควรสงั เกตการเปลยี่ นแปลงและจบั เวลาอยา งละเอยี ด ปฏิกิรยิ ากับโลหะทองแดง • ขณะทําการทดลองจะมีแกส SO2 ซ่ึงเปนแกสพิษเกิดขึ้นจึงไมควร (วเิ คราะหค าํ ตอบ ธรรมชาตขิ องสารต้ังตน มีผลตออัตราการเกิด สดู ดมแกส นีเ้ ขาไป ปฏิกิริยาเคมี คือ สารต้ังตนแตละชนิดจะมีความสามารถในการ • ใหเร่มิ จับเวลาตง้ั แตเทสารละลายผสมกัน จนกระท่ังไมเหน็ เครือ่ งหมาย เกิดปฏิกิริยาเคมีท่ีแตกตางกัน โดยในขอ 1. ขอ 2. ขอ 3. และขอ 5. แสดงถึงธรรมชาติของสารท่ีมีผลทําใหอัตราการเกิด กากบาท ปฏกิ ริ ยิ าแตกตา งกนั แตใ นขอ 4 เหลก็ และอะลมู เิ นยี มอยใู นสภาวะ • ถา ปฏกิ ริ ยิ าเกดิ เรว็ มากจนจบั เวลาไมท นั ใหบ นั ทกึ วา ปฏกิ ริ ยิ าเกดิ เรว็ มาก แวดลอ มทแ่ี ตกตา งกนั จงึ ไมส ามารถระบไุ ดว า การผกุ รอ นของเหลก็ สามารถเกิดไดเร็วกวาอะลูมิเนยี มจรงิ หรือไม ดังนนั้ ตอบขอ 4.) T125

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขน้ั สอน 2. เตมิ สารละลาย Na2S2O3 เขม ขน 0.3 mol/dm3 และนา้ํ กลั่นลงไปในหลอดทดลองทั้ง 4 หลอด ดังนี้ อธบิ ายความรู้ หลอดที่ ปริมาตรสารละลาย Na2S2O3 (cm3) ปริมาตรน้าํ กล่ัน (cm3) ครูสุมตัวแทน 1 กลุม ออกมารายงานผล 1 10 0 การทดลองหนา ชนั้ เรยี น แลว ครสู อบถามนกั เรยี น กลมุ อ่ืนวา ไดผลการทดลองตรงกันหรอื ไม ถา ไม 27 3 ตรงกนั ใหช ว ยกนั วเิ คราะหแ ละสรปุ ผลการทดลอง ทถี่ กู ตอ งเปน อยา งไร จากนน้ั ครแู ละนกั เรยี นชว ยกนั 33 7 สรปุ ผลการทดลองท่ีถูกตอ ง 40 10 ขยายความเขา้ ใจ 3. สังเกตการเปลย่ี นแปลง พรอมจบั เวลาท่ีเร่มิ มองไมเ ห็นเคร่ืองหมายกากบาท และบนั ทึกผลการทดลอง 1. ครูต้งั คาํ ถามเกย่ี วกับการทดลอง เร่อื ง ความ เขมขนของสารกับอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี 4. ทแตาํ กเ ตาิมรทสาดรลลอะงลเาชยน เHดยีCวlกเบัขขมอขน1.-23m. โoดlย/dใmชส3าแรลละะนลา้ํายกลN่ันaล2งSไ2ปOใ3นหเขลมอขดนทด0ล.3องmทoัง้ l/4dmห3ลอจําดนดวงันน1ี้ 0 cm3 เพอ่ื ขยายความเขาใจของนักเรียน ดังนี้ • เม่ือความเขมขนของสารละลายโซเดียม- หลอดที่ ปริมาตรสารละลาย HCl (cm3) ปรมิ าตรน้าํ กล่นั (cm3) ไทโอซัลเฟตนอยลง เวลาที่ใชในการเกิด ปฏกิ ริ ิยาเปนอยา งไร 1 10 0 (แนวตอบ เวลาทใ่ี ชใ นการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ ามากขนึ้ ) • ใหนักเรียนเขียนสมการเคมีแสดงการเกิด 27 3 ปฏกิ ิรยิ าของการทดลอง 2(แNนaวตCอlบ(aNqa) 2+S2OH23O(a(ql))++S2OH2C(gl()a+qS)(s)) 33 7 40 10 แนวตอบ คําถามทา้ ยการทดลอง ¤íÒ¶ÒÁ·ÒŒ ¡Ò÷´Åͧ 1. ในแตล ะหลอดทดลองใชเ วลาตง้ั แตเ รมิ่ ผสมสารละลายเขา ดว ยกนั จนกระทงั่ มองไมเ หน็ เครอ่ื งหมายกากบาท 1. ไมเทากัน หลอดทดลองที่ใชปริมาตร เทากันหรอื ไม อยา งไร และเพราะเหตุใดจงึ เปน เชน น้นั 2. ความเขมขนของสารละลาย Na2S2O3 และสารละลาย HCl มีผลตออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีหรือไม อยา งไร มสาารกลกะวลาาจยะNใaช2เSว2ลOา3นแอลยะปกรวมิ าาหตลรอสดารทลดะลลอายงทHี่ใCชl ÍÀÔ»ÃÒ¼šÒ÷´Åͧ ปริมาตรส าHรCลlะนลอายยกวNาaเน2Sอื่ 2งOจา3กแมลีควะาปมรเิมขมาขตนร ปฏิกริ ิยาท่ีเกดิ ข้นึ คอื Na2S2O3(aq) + 2HCl (aq) 2NaCl (aq) + H2O (l) + SO2 (g) + S (s) สารละลาย ในการทดลองสามารถวัดอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีไดจากการจับเวลาที่ใชในการเกิดกํามะถัน ของสารตัง้ ตนมากกวา ซงึ่ ในแตล ะหลอดทดลองจะใชเ วลาในการเกดิ แตกตา งกนั โดยเมอ่ื ลดความเขม ขน ของสารละลาย Na2S2O3 ลง 2. ความเขมขนขอ งสารละลาย าNกaา2รSเ2กOิด3 เวลาที่ใชในการเกิดกํามะถันจะเพ่ิมข้ึน แสดงวา อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีชาลง และเมื่อลดความเขมขน แ ล ะสา รละลาย HCl มีผลตออัตร ของสารละลาย HCl ลง เวลาทใ่ี ชใ นการเกดิ กาํ มะถันจะเพ่ิมขึ้นดวย แสดงวา อตั ราการเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมชี า ลง เชน กัน ดงั น้นั ความเขมขน ของสารละลาย Na2S2O3 และสารละลาย HCl มผี ลตอ อัตราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี ปฏกิ ริ ยิ าเคมี ถา หากลดความเขม ขน ของสารละลาย Na2S2O3 และสารละลาย HCl เวลาท่ีใชในการ เกิดกํามะถันจะเพ่ิมข้ึน แสดงวา อัตราการเกิด 112 ปฏกิ ิริยาชา ลง บนั ทกึ การทดลอง ตอนที่ 1 ปริมาตร ปริมาตร เวลา (s) ตอนที่ 2 ปริมาตร ปรมิ าตร เวลา (s) หลอดท่ี สารละลาย Na2S2O3 (cm3) นํา้ กลนั่ (cm3) หลอดท่ี สารละลาย HCl (cm3) นํ้ากลัน่ (cm3) บนัทกทาไี่ ดรกึ ทตผจดาลรมลงิ อง 1 10 0 1 10 0 3 27 27 7 33 3 บนัทกทาไ่ี ดรกึ ทตผจดาลรมลงิ อง 10 40 7 33 40 10 หมายเหตุ : หลอดทดลองทใ่ี ชปริมาตรสารละลาย Na2S2O3 มาก หมายเหตุ : หลอดทดลองท่ีใชป ริมาตรสารละลาย HCl มาก จะใชเวลาในการเกิดตะกอนนอ ย จะใชเวลาในการเกิดตะกอนนอ ย T126

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ จากการทดลอง จงึ สรปุ ไดวา ความเขมขน ของสารตงั้ ตน มีผลตออัตราการเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี ขน้ั สอน โดยถา สารตง้ั ตน มคี วามเขม ขน ตาํ่ อนภุ าคของสารจะมโี อกาสชนกนั ไดน อ ย อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี กจ็ ะชา แตถ าสารตง้ั ตน มคี วามเขม ขน สงู อนภุ าคของสารจะมีโอกาสชนกนั ไดมาก อตั ราการเกดิ ขยายความเขา้ ใจ ปฏกิ ริ ยิ าเคมกี จ็ ะเรว็ ขนึ้ เนอื่ งจากการเพม่ิ ความเขม ขน ของสารจะทาํ ใหม อี นภุ าคของสารอยรู วมกนั อยา งหนาแนน มากขึ้น อนุภาคของสารจงึ มีโอกาสชนกนั แลว เกิดปฏกิ ิริยาไดมากข้นึ 2. ครแู ละนกั เรยี นรว มกนั สรปุ ผลจากการทดลอง โดยใหไ ดข อ สรปุ วา เมอ่ื เปลยี่ นแปลงความเขม ขน สารละลายเจอื จาง สารละลายเขมขน ของสารละลายโซเดียมไทโอซัลเฟต และสาร ละลายกรดไฮโดรคลอริก จะมีผลทําใหอัตรา อนุภาคของ ความเขมขน อนภุ าคของ การเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเปลยี่ นแปลง แสดงวา ความ สารต้ังตน A เพมิ่ ขน้ึ สารตั้งตน A เขม ขน ของสารตงั้ ตน ทง้ั สองชนดิ ในปฏกิ ริ ยิ าน้ี อนุภาคของ อนภุ าคของ มผี ลตออัตราการเกดิ ปฏิกิริยาเคมี สารตงั้ ตน B ภาพที่4.7 เมอื่ ความเขม ขน ของสารตงั้ ตน เพม่ิ ขนึ้ ทาํ ใหอ นภุ าคของ สารต้ังตน B สารตัง้ ตน มปี ริมาณเพม่ิ ขน้ึ แตส ารละลายยงั คงมปี รมิ าตรเทา เดิม 3. ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเขมขนของ ที่มา : คลงั ภาพ อจท. สารตั้งตนกับอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีวา การเพิ่มหรือลดความเขมขนของสารต้ังตน แตอยางไรก็ตาม อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีของบาง iCnhermeaisltrlyife มีความสัมพันธกับการเพ่ิมหรือลดจํานวน ปฏิกิริยาจะข้ึนอยูกับความเขมขนของสารตั้งตนชนิดใดชนิด อนภุ าคของสารตงั้ ตน ในระบบ ดงั นน้ั เมอ่ื เพมิ่ หน่งึ เทานั้น หรืออัตราการเกิดปฏกิ ิริยาเคมีของบางปฏิกิรยิ าจะ ในกระบวนการผลิตสารใน ความเขมขนของสารต้ังตน โอกาสที่อนุภาค ไมข นึ้ อยกู บั ความเขม ขน ของสารตง้ั ตน ชนดิ ใดเลย เชน ปฏกิ ริ ยิ า อุตสาหกรรม สวนใหญจําเปน ของสารจะเกิดการชนกันจึงมีมากขึ้น และ การกําจัดแอลกอฮอลในกระแสเลือด ดังนั้น การจะทราบวา จะตองใชสารตั้งตนที่มีความ อนุภาคที่มีพลังงานสูงก็มีจํานวนมากข้ึนดวย อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีข้ึนอยูกับความเขมขนของสารตั้งตน เขมขนสูงเพียงพอที่จะทําให จึงมีผลทําใหอัตราการเกิดปฏิกิริยามีคาสูง หรือไม ตองตรวจสอบดว ยการทดลองเทาน้ัน ปฏิกิริยาเกิดขึ้นดวยอัตราเร็ว ในทาํ นองเดยี วกนั ถา สารตง้ั ตน มคี วามเขม ขน ตาํ่ ที่ทําใหไดผลิตภัณฑในปริมาณ มโี อกาสการชนกันไดนอ ย กจ็ ะสง ผลใหอัตรา 3. พื้นท่ีผิวของสาร พ้ืนที่ผิวของสารจะมีผลตออัตรา ตามที่ตองการในเวลาอันสัน้ ซงึ่ การเกิดปฏิกิริยาเคมีไดช า การเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมีหรอื ไม อยางไร ใหนกั เรยี นศกึ ษาจากการ เปนการลดตนทุนในการผลิตได ทดลองตอไปน้ี วธิ หี น่งึ »¯Ô¡ÔÃÔÂÒà¤ÁÕ 113 ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET เกร็ดแนะครู ปจจัยใดบางท่ีมีผลตอ อตั ราการเกดิ ปฏิกริ ยิ าของปฏกิ ิริยาตอ ไปนี้ ครอู ธบิ ายเพ่ิมเตมิ ดงั น้ี Zn (s) + H2SO4 (aq) ZnSO4 (aq) + H2 (g) • ในปฏกิ ริ ยิ าทม่ี สี ารตงั้ ตน เปน แกส สามารถเพม่ิ อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าได โดยการเพม่ิ ความดนั ของระบบ เมอื่ ความดนั เพม่ิ ขนึ้ ความเขม ขน ของสารตงั้ ตน 1. อุณหภมู ิและความเขม ขน จะเพ่ิมข้ึนดวย จึงทาํ ใหอ นุภาคมโี อกาสชนกนั มากขน้ึ 2. อุณหภูมแิ ละพนื้ ทผ่ี วิ สัมผัส • ในปฏิกิริยาที่มีสารต้ังตนมากกวาหน่ึงชนิด อัตราการเกิดปฏิกิริยา 3. ความเขมขนและพ้ืนท่ผี ิวสัมผสั อาจขน้ึ อยกู บั ความเขม ขน ของสารตงั้ ตน ทกุ ชนดิ หรอื สารตงั้ ตน ชนดิ ใดชนดิ หนง่ึ 4. อณุ หภมู ิ ความเขมขน และพน้ื ทผ่ี ิวสัมผสั หรอื ในบางปฏกิ ริ ยิ าอตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าอาจไมข นึ้ อยกู บั ความเขม ขน ของสาร 5. ความเขมขน ความดัน และพน้ื ท่ผี วิ สมั ผัส ชนดิ ใดเลย เชน ปฏกิ ริ ยิ าการกาํ จดั แอลกอฮอลใ นกระแสเลอื ด เมอื่ แอลกอฮอล เขาสูกระแสเลือด รางกายจะกําจัดออกในรูปของแอลกอฮอลและสลาย (วิเคราะหคําตอบ ปฏิกิริยาน้ีมีสารตั้งตนเปนของแข็งและ เปนสารอ่ืน ซ่ึงอัตราการสลายตัวของแอลกอฮอลเปนสารอ่ืนจะมีคาคงท่ี สารละลาย ดังน้ัน ปจจัยท่ีมีผลตออัตราการเกิดปฏิกิริยา คือ โดยไมข ึ้นอยูก บั ปรมิ าณของแอลกอฮอลใ นเลอื ดวา มีมากหรอื นอยเพียงใด อณุ หภูมิ ความเขม ขน และพนื้ ทผ่ี ิวสัมผัส ดังนน้ั ตอบขอ 4.) T127

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขนั้ สอน ¡Ò÷´Åͧ ¾é×¹·Õ¼è ÇÔ ¢Í§ÊÒÃ¡ÑºÍµÑ ÃÒ¡ÒÃà¡´Ô »¯Ô¡ÃÔ ÂÔ Òà¤ÁÕ สาํ รวจคน้ หา ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร ¨Ø´»ÃÐʧ¤ • การสังเกต 1. เพ่ือศกึ ษาผลของพื้นท่ผี วิ ของสารตัง้ ตนกับอตั ราการเกิดปฏกิ ิริยาเคมี 1. ครูใหนักเรียนศึกษาความรูเก่ียวกับพื้นท่ีผิว • การวดั 2. สรปุ ผลของพ้ืนทีผ่ วิ ของสารตง้ั ตน ท่ีมีตอ อตั ราการเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมีได ของสารกบั อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมวี า ในกรณี • การจดั กระทําและการแปล ท่ีสารต้ังตนเปนของแข็ง การเพิ่มพื้นที่ผิว ความหมายขอมูล ÇÊÑ ´ÍØ »Ø ¡Ã³áÅÐÊÒÃà¤ÁÕ 6. นาฬกาจบั เวลา ของสารจะชวยใหเกิดปฏิกิริยาเคมีไดเร็วขึ้น จิตวิทยาศาสตร 1. บีกเกอรขนาด 100 cm3 7. ทหี่ นบี หลอดทดลองพรอ มขาตงั้ เนื่องจากพื้นท่ีผิวท่ีเพ่ิมข้ึนจะทําใหสารมีพ้ืนที่ • ความรอบคอบ 2. กระบอกตวงขนาด 10 cm3 8. ลวดแมกนเี ซียมยาว 10 cm สาํ หรับการเขา ทําปฏิกิริยากนั ไดมากขึ้น • ความรบั ผิดชอบ 3. จกุ คอรก • ความรว มมือชว ยเหลอื 4. คตั เตอร จาํ นวน 2 เสน 2. ครใู หน กั เรยี นแบง กลมุ กลมุ ละ 4-5 คน ปฏบิ ตั ิ 5. กระดาษทราย 9. (สHารCลl)ะลเาขยม กขรนดไ2ฮโmดรoคl/ลdmอร3กิ กิจกรรมการทดลอง เร่อื ง พ้ืนท่ผี วิ ของสารกบั Ç¸Ô Õ¡Ò÷´Åͧ อตั ราการเกิดปฏกิ ิริยาเคมี ตามวิธกี ารทดลอง จากหนงั สอื เรยี นวทิ ยาศาสตรก ายภาพ 1 (เคม)ี 1. เทสารละลาย HCl เขม ขน 2 mol/dm3 ลงในกระบอกตวงขนาด 10 cm3 ม.5 หนา 114 จากน้ันบันทึกผลการทดลอง จนเต็ม และสรุปผลการทดลองลงในสมุดบันทึกของ 2. นาํ จกุ คอรก ขนาดพอดกี บั ปากกระบอกตวงมาบากดา นขา งตามแนวยาว H2 Cmlol/dm3 นกั เรยี น ใหเปนรองเล็ก ๆ เพ่ือใหของเหลวไหลออกมาได และกรีดกลาง จกุ คอรกดานทมี่ ีขนาดเลก็ ใหเปน แนวเล็ก ๆ ยาวประมาณ 0.5 cm 3. นําลวดแมกนีเซียมยาว 10 cm ที่ขัดดวยกระดาษทรายจนสะอาด มาขดใหค ลา ยสปรงิ แลว เสยี บเขา บรเิ วณรอยกรดี บนจกุ คอรก ดา นท่ี มขี นาดเล็ก จากน้ันนําไปปดทีป่ ากกระบอกตวง ลวด Mg 4. คว่ํากระบอกตวงลงในบีกเกอรข นาด 100 cm3 ทใ่ี สนํา้ ไวป ระมาณ นาํ้ 50 cm3 แลวจับเวลาเมอ่ื เหน็ แกส ในกระบอกตวงเพ่มิ ข้ึนถึง 5 cm3 บันทกึ ผลการทดลอง 5. ทาํ การทดลองซา้ํ ขอ 1.-4. แตใ ชล วดแมกนเี ซยี มทเี่ หลอื อกี เสน แทน ภาพท่ี 4.8 การทดลองพ้นื ทผ่ี วิ ของ สารกบั อัตราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี โดยพบั ลวดแมกนเี ซยี มจนแนน กอนนาํ ไปเสียบไวบนจุกคอรก ท่มี า : คลงั ภาพ อจท. แนวตอบ คาํ ถามท้ายการทดลอง ¤Òí ¶ÒÁ·ŒÒ¡Ò÷´Åͧ ระหวา งลวดแมกนเี ซยี มทขี่ ดเปน สปรงิ กบั ลวดแมกนเี ซยี มทพี่ บั ใหแ นน ลวดใดทาํ ใหอ ตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ า ลวดแมกนีเซียมที่ขดเปนสปริง จะมีอัตรา การเกิดปฏิกิริยาเคมีสูงกวา เน่ืองจากมีพื้นที่ผิว เคมสี ูงกวากัน เพราะเหตใุ ด สมั ผัสมาก ÍÀÔ»ÃÒ¼šÒ÷´Åͧ เมอ่ื ใชล วดแมกนเี ซยี มทม่ี มี วลเทา กนั แตม พี น้ื ทผี่ วิ ตา งกนั มาทาํ ปฏกิ ริ ยิ ากบั สารละลายกรดไฮโดรคลอรกิ ท่ีมีความเขมขนเทากัน พบวา ลวดแมกนีเซียมที่ขดเปนสปริง (มีพื้นที่ผิวมาก) จะใชเวลาในการเกิดแกส ไฮโดรเจนนอยกวาลวดแมกนเี ซียมที่พับจนแนน (มพี ้ืนที่ผิวนอย) แสดงวา ลวดแมกนีเซยี มที่มพี ้นื ทผ่ี ิวมาก จะมอี ัตราการเกดิ ปฏิกิริยาเคมีสูงกวาลวดแมกนเี ซียมท่ีมพี ้ืนท่ีผิวนอย 114 เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคดิ แนว O-NET ครอู ธบิ ายเพมิ่ เตมิ วา พน้ื ทผี่ วิ ของสารมผี ลตอ อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ า เนอ่ื งจาก กําหนดปฏิกริ ิยาให ดงั นี้ การเพ่ิมพื้นท่ีผิวสัมผัสเทากับเปนการเพิ่มโอกาสใหอนุภาคของสารตั้งตนเกิด ก. N2(g) + O2(g) 2NO (g) การชนกนั เพอ่ื การเกิดปฏกิ ิริยามากข้ึน โดย ข. 2Mg(s) + O+ 22(Hg+)(aq) 2MgO (s) ค. CaCO3 (s) Ca2+(aq) + H2O(l) + CO2(g) • สารต้ังตนที่เปนของแข็ง พ้ืนท่ีผิวสัมผัสจะข้ึนอยูกับขนาด รูปราง และ ปริมาณของสาร การเพ่ิมพื้นท่ีผิวสัมผัสของสารจะมีผลใหปฏิกิริยาใด มีอัตรา การเกิดปฏกิ ริ ยิ าสูงขึ้น • สารตงั้ ตนที่เปน สารละลาย พ้ืนทผ่ี วิ สัมผัสจะขึ้นอยูกับความเขม ขน ของ สารน้นั ๆ 1. ขอ ก. เทานน้ั 2. ขอ ข. เทานัน้ 3. ขอ ก. และ ข. 4. ขอ ก. และ ค. บนั ทึก การทดลอง 5. ขอ ข. และ ค. ลักษณะของลวดแมกนเี ซยี ม ระยะเวลาท่เี กดิ แกส ไฮโดรเจน (s) บนั ทกึ ผลท่ไี ดตามการทดลองจรงิ ขดเปนสปรงิ (วิเคราะหคําตอบ ปฏิกิริยาในขอ ข. และขอ ค. มีสารต้ังตน พับใหแ นน เปนของแข็ง การเพิ่มพื้นที่ผิวสัมผัสของสารจึงสงผลใหอัตรา การเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมที ีส่ งู ขึ้น ดังน้นั ตอบขอ 5.) หมายเหตุ : ลวดแมกนีเซียมท่ีขดเปนสปริงจะใชเวลาในการเกิดแกสไฮโดรเจน T128 นอ ยกวาลวดแมกนเี ซยี มทพี่ ับใหแ นน

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ จากการทดลอง จึงสรุปไดวา พื้นท่ีผิวของสารต้ังตนมีผลตออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี ขน้ั สอน กลาวคือ ถาสารต้ังตนมีพ้ืนท่ีผิวนอย อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีก็จะชา แตถาสารต้ังตนมีพื้นท่ี ผิวมาก อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีก็จะเร็ว เน่ืองจากสารตั้งตนท่ีมีพื้นที่ผิวมาก จะมีผิวสัมผัส อธบิ ายความรู้ ของสารท่ีเขาทาํ ปฏกิ ริ ยิ ากนั ไดม าก มีผลทําใหอนุภาคของสารมโี อกาสชนกนั ไดมากขึ้น ปฏิกิรยิ า จงึ เกดิ เรว็ ขน้ึ ตวั อยา งเชน การเคย้ี วอาหารใหล ะเอยี ดกอ นกลนื จะชว ยทาํ ใหอ าหารมขี นาดเลก็ ลง ครูสุมตัวแทน 1 กลุม ออกมารายงานผล และมีพ้ืนทผ่ี ิวมากขึ้น จงึ ทําใหน้ํายอ ยในระบบทางเดินอาหารสามารถเขา ยอยอาหารไดงา ยขน้ึ การทดลองหนา ชน้ั เรยี น แลว ครสู อบถามนกั เรยี น กลุมอ่ืนวา ไดผลการทดลองตรงกันหรือไม ถา สารตัง้ ตน A สารต้ังตน A ไมตรงกัน ใหชวยกันวิเคราะหและสรุปผลการ ทม่ี อี นภุ าคขนาดใหญ ที่มีอนภุ าคขนาดเลก็ ทดลองใหถูกตอง จากนั้นครูเปนผูเฉลยผลการ ลดขนาดอนุภาคของ ขทน้ัดลสอองทนถ่ี กู ตอ ง สารตง้ั ตน A (เพมิ่ พ้นื ที่ผิว) ขยายความเขา้ ใจ อนุภาคของสารต้ังตน B อนภุ าคของสารต้งั ตน B 1. ครตู ง้ั ถามเกยี่ วกบั การทดลอง เรอ่ื ง พนื้ ทผ่ี วิ ของ ภาพที่ 4.9 เมอ่ื สารต้ังตน มขี นาดเลก็ ลง ทําใหสารตัง้ ตนมีพื้นท่ผี ิวมากขนึ้ อตั ราการเกิดปฏิกริ ิยาเคมีจึงเพมิ่ ขึ้น สารกับอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี เพื่อขยาย ท่ีมา : คลงั ภาพ อจท. ความเขา ใจของนักเรียน ดงั นี้ • นกั เรียนคิดวาแกส ท่เี กดิ ข้นึ เปน แกสอะไร Science Focus (แนวตอบ แกส ไฮโดรเจน) • ใหนักเรียนเขียนสมการเคมีแสดงการเกิด ¼Å¢Í§¤ÇÒÁࢌÁ¢Œ¹áÅо×é¹·Õè¼ÔǢͧÊÒõ‹ÍÍѵÃÒ¡ÒÃà¡Ô´»¯Ô¡ÔÃÔÂÒà¤ÁÕ ปฏิกิริยาของการทดลอง เมื่อเปรียบเทียบผลของความเขมขนของสารตั้งตนและพ้ืนท่ีผิวของสารตั้งตนที่มีผลตออัตรา (แนวตอบ การเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี พบวา การเพมิ่ พน้ื ทผ่ี วิ สมั ผสั ของสารตง้ั ตน มผี ลทาํ ใหป ฏกิ ริ ยิ าเคมเี กดิ ขน้ึ ไดเ รว็ กวา Mg(s) + HCl(aq) MgCl2(aq) + H2(g)) การเพ่ิมความเขมขนของสารต้ังตน เนื่องจากเมื่อเวลาผานไประยะหนึ่ง พื้นท่ีผิวของสารต้ังตนจะยังมี คาคงท่ี หรือเกือบคงที่ อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีก็ยังคงมีคาเทาเดิม แตความเขมขนของสารต้ังตน 2. ครูใหนักเรียนรวมกันสรุปผลจากการทดลอง จะลดลง เพราะเม่อื เวลาผา นไป จาํ นวนโมลของตัวละลายจะลดลง แตป ริมาตรของตวั ทาํ ละลายยงั คงท่ี โดยใหไดขอสรุปวา จากการทดลอง พบวา จงึ ทาํ ใหความเขมขนของสารตัง้ ตน ลดลง อตั ราการเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมีจึงชาลงดวย แมกนีเซียมทีม่ ีพน้ื ทผี่ วิ มาก จะมีอัตราการเกิด ปฏิกิริยาสูงกวาแมกนีเซียมท่ีมีพื้นผิวนอย »¯Ô¡ÔÃÔÂÒà¤ÁÕ 115 ซ่งึ อธบิ ายไดว า การทีส่ ารต้งั ตน มพี ้นื ทผ่ี วิ มาก มีผลใหอนุภาคของสารมีโอกาสเขาชนกัน ไดม าก ปฏกิ ิรยิ าจึงเกดิ ไดเ รว็ ขึ้น สงั กะสีทําปฏกิ ิรยิ ากบั สารละลายกรดกํามะถัน ดงั ปฏกิ ิรยิ า ขอ สอบเนน การคดิ Zn (s) + H2SO4 (aq) ZnSO4 (aq) + H2 (g) ใชสงั กะสีปริมาณเทา กันมาทาํ การทดลองทีแ่ ยกกนั ดงั นี้ (วเิ คราะหคําตอบ Zn (s) + H2SO4 (aq) ZnSO4 (aq) + H2(g) การทดลองคร้งั ที่ 1 เตมิ สังกะสลี งในสารละลาย H2SO4 เขมขน 1 โมลาร ใชมวล Zn เทา กัน จึงทําใหเกิด H2 ในปริมาณเทากัน เพียงแต การทดลองคร้ังที่ 2 เติมสังกะสลี งในสารละลาย H2SO4 เขมขน 2 โมลาร การทดลองท่ี 2 จะเกิดเรว็ กวา การทดลองที่ 1 ดงั กราฟ ดังนน้ั การทดลองคร้งั ท่ี 1 และ 2 มสี ง่ิ ใดเหมือนกนั ตอบขอ 4.) 1. อัตราเร็วเรม่ิ ตน การทดลองท่ี 2 2. อัตราการเกิดปฏกิ ริ ยิ า มวล H2 การทดลองท่ี 1 3. เวลาในการเกิดปฏกิ ริ ิยา 4. มวลรวมของแกส H2 ทเี่ กดิ ข้ึน เวลา 5. อตั ราเร็วเฉลย่ี ในการเกิดแกส H2 T129

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขน้ั สอน 4. อณุ หภมู ิ อณุ หภมู จิ ะมผี ลตอ อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมหี รอื ไม อยา งไร ใหน กั เรยี นศกึ ษา จากการทดลองตอ ไปนี้ สาํ รวจคน้ หา ¡Ò÷´Åͧ 굄 ÃÒàÃÇç 㹡ÒÃà¡Ô´»¯¡Ô ÃÔ ÔÂÒà¤ÁÕ·èÍÕ ³Ø ËÀÁÙ µÔ Ò‹ § æ 1. ครูใหนักเรียนศึกษาความรูเกี่ยวกับอุณหภูมิ ทม่ี ผี ลตอ อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี จากแหลง ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร ¨Ø´»ÃÐʧ¤ เรียนรูตางๆ โดยครูชวยอธิบายใหนักเรียน • การสงั เกต 1. ทาํ การทดลองเพอื่ ศกึ ษาผลของอณุ หภมู ทิ มี่ ตี อ อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี เขา ใจวา การเพม่ิ อณุ หภมู มิ ผี ลใหอ ตั ราการเกดิ • การวัด 2. สรปุ ผลของอณุ หภมู ทิ ี่มตี ออตั ราการเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมไี ด ปฏกิ ริ ิยาเกดิ ไดเ ร็วขนึ้ • การจัดกระทําและการแปล ความหมายขอมลู ÇÑÊ´ØÍØ»¡Ã³á ÅÐÊÒÃà¤ÁÕ 6. นาํ้ แขง็ 2. ครใู หน กั เรยี นแบง กลมุ กลมุ ละ 4-5 คน ปฏบิ ตั ิ จิตวิทยาศาสตร 1. หลอดทดลองขนาดใหญ 7. นํ้ารอนอุณหภมู ิประมาณ 60 ํC กิจกรรมการทดลอง เรือ่ ง อตั ราเร็วในการเกิด •• คคววาามมรรอับบผคิดอชบอบ 2. บกี เกอรขนาด 100 cm3 8. สารละลายโซเดียมไทโอซัลเฟต ปฏกิ ริ ยิ าเคมที อี่ ณุ หภมู ติ า งๆ ตามวธิ กี ารทดลอง • ความรวมมือชวยเหลือ 3. กระบอกตวงขนาด 10 cm3 จากหนงั สอื เรยี นวทิ ยาศาสตรก ายภาพ 1 (เคม)ี 4. กระดาษกาว 9. สเ(Nขามรaล2ขSะน2ลOา0ย3.)2กเรmขดมoซขlลั/นdฟmว03ร.1ิก1m(Ho2lS/dOm43) ม.5 หนา 116 จากน้ันบันทึกผลการทดลอง 5. นาฬก าจับเวลา และสรุปผลการทดลองลงในสมุดบันทึกของ นกั เรียน Ç¸Ô ¡Õ Ò÷´Åͧ 1. นาํ หลอดทดลองขนาดใหญจ าํ นวน 2 หลอด มาเตมิ สารละลาย 0.1Nam2So2l/Od3m3 นา้ํ รอ น 60 Cํ Na2S2O3 เขม ขน 0.1 mol/dm3 หลอดละ 10 cm3 น้าํ แขง็ หลอดท่ี 1 หลอดท่ี 2 2. แชหลอดที่ 1 ในน้าํ แข็ง และหลอดที่ 2 ในนํา้ รอนอณุ หภูมิ ประมาณ 60 ํC เปน เวลา 5 นาที กระดาษกาว 3. เช็ดหลอดทดลองท้ังสองใหแหง แลวติดขางหลอดทดลอง หลอดที่ 1 หลอดที่ 2 แตล ะหลอดดว ยกระดาษกาวขนาด 1 × 1 cm2 โดยใหส งู จาก กนหลอดประมาณ 2 cm สังเกตแถบกระดาษกาวโดยมอง 0.2Hm2SoOl/d4m3 ผานสารละลายจากดานตรงขามกระดาษกาว และบันทึกผล 4. เลตงมิในสหารลลอะดลทาดยลHอ2งSทOง้ั 42เขหม ลขอนด 0.2 mol/dm3 จาํ นวน 10 cm3 และเรม่ิ จบั เวลา พรอ มสงั เกต แถบกระดาษจนกระทั่งมองไมเห็นแถบกระดาษกาวท่ีติดอยู หลอดท่ี 1 หลอดท่ี 2 ขา งหลอด แลวบนั ทึกเวลาของแตละหลอด ภาพที่ 4.10 อัตราเรว็ ในการเกิดปฏกิ ริ ยิ า เคมีทีอ่ ณุ หภูมิตา งๆ 116 ที่มา : คลังภาพ อจท. นักเรียนควรรู ขอสอบเนน การคดิ แนว O-NET 1 กรดซลั ฟว รกิ (sulfuric acid) หรอื เรยี กวา กรดกาํ มะถนั มสี ตู รเปน H2SO4 ปฏิกิริยาในขอใดท่อี ณุ หภมู ิไมม ีผลตออัตราการเกดิ ปฏกิ ิรยิ า เปน สารละลายทม่ี สี มบตั เิ ปน กรดแก ไมม สี ี มกี ลนิ่ ฉนุ ละลายในนา้ํ ได นยิ มนาํ มา 1. ในวนั ทอ่ี ากาศรอ น อาหารจะเนา เสยี เรว็ กวา ในวนั ทมี่ อี ากาศเยน็ ใชในอุตสาหกรรมตางๆ เชน อุตสาหกรรมเหมืองแร อุตสาหกรรมปโตรเคมี 2. การเก็บผลไมไวใ นตูเยน็ จะทาํ ใหผ ลไมค งความสดและอยู อุตสาหกรรมฟอกยอม กระบวนการบําบัดน้ําเสีย รวมไปถึงนํามาใชในหอง ไดนาน ปฏิบัติการ เนื่องจากกรดซัลฟวริกจัดเปนกรดแกจึงมีฤทธิ์ในการกัดกรอน 3. ถารางกายรอนขึ้น ทําใหอัตราการเตนของชีพจรและการ โลหะตางๆ ไดดี มีฤทธ์ิกัดกรอนวัตถุเกือบทุกชนิด ทําใหเกิดการระคายเคือง หายใจเพิม่ ขึ้น ตออวัยวะสัมผัส การสูดดมเอาไอหรือหมอกควันของกรดซัลฟวริกเขาไปจะ 4. การนาํ ผลไมม าบม ในภาชนะปด และปกคลมุ ดว ยผา จะทาํ ให กอ ใหเกดิ ความเสยี หายตอ เนือ้ เยอ่ื ทเี่ ปนเมือก เกดิ การระคายเคอื งอยา งรุนแรง ผลไมสกุ ไดเร็ว ของโพรงจมูก ลําคอ และระบบทางเดินหายใจ ทําใหเกิดอาการนํ้าทวมปอด 5. นาํ โซเดยี มไฮดรอกไซดไ ปละลายนาํ้ ปรากฏวา เมอ่ื จบั รอบๆ หายใจตดิ ขัด ถ่รี วั และอาจทาํ ใหเสยี ชวี ิตได บกี เกอร พบวา บกี เกอรร อ นขนึ้ (วเิ คราะหค ําตอบ ปฏกิ ริ ิยาในขอ 1.- 4. เปน ปฏกิ ริ ยิ าทอี่ ณุ หภูมิ T130 มีผลตออัตราการเกิดปฏิกิริยา ทําใหปฏิกิริยาเกิดไดเร็วข้ึนหรือ ชา ลง ขอ 5. เปน ปฏิกริ ยิ าคายความรอ น จงึ ใหพลังงานความรอ น ออกมาสูส่ิงแวดลอม สงผลใหอุณหภูมิสูงข้ึน เม่ือเอามือสัมผัส ภาชนะจะรูสึกรอน ไมไ ดเปนผลจากอณุ หภูมิ ดงั นัน้ ตอบขอ 5.)

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ¤íÒ¶ÒÁ·ŒÒ¡Ò÷´Åͧ ขน้ั สอน 1. อุณหภูมมิ ีผลตออตั ราการเกดิ ปฏิกริ ิยาหรอื ไม อยา งไร 2. ถาแชห ลอดทดลองหลอดท่ี 2 ในนํ้าเดอื ด เวลาทใ่ี ชใ นการทดลองจะมากขึ้นหรือนอยลง อธบิ ายความรู้ ÍÀÔ»ÃÒ¼šÒ÷´Åͧ ครูสุมตัวแทน 1 กลุม ออกมารายงานผล การทดลองหนา ชนั้ เรยี น แลว ครสู อบถามนกั เรยี น ปฏกิ ริ ิยาท่เี กดิ ขึน้ ดังน้ี กลุมอ่ืนวา ไดผลการทดลองตรงกันหรือไม ถาไมตรงกัน ใหชวยกันวิเคราะหและสรุปผล Na2S2O3 (aq) + H2SO4 (aq) Na2SO4 (aq) + H2O (l) + SO2 (g) + S (s) การทดลองใหถูกตอง จากนั้นครูเปนผูเฉลย ในการทดลองสามารถวัดอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีไดจากการจับเวลาที่ใชในการเกิดกํามะถันปริมาณ ขผลน้ั กสาอรทนดลองทถ่ี ูกตอ ง เทา ๆ กันในแตละหลอด ซ่ึงในแตละหลอดทดลองจะใชเวลาในการเกิดแตกตางกัน โดยหลอดทดลองที่แช ในน้ําแขง็ จะใชเ วลานานกวาหลอดทดลองท่ีแชในนาํ้ รอ น ขยายความเขา้ ใจ จากการทดลอง จึงสรุปไดวา อุณหภูมิมีผลตออัตรา Cinhermeaisltrlyife 1. ครตู งั้ คาํ ถามเกยี่ วกบั การทดลอง เรอ่ื ง อตั ราเรว็ การเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี กลา วคอื เมอื่ อณุ หภมู สิ งู ขนึ้ อตั ราการเกดิ ในการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าทอ่ี ณุ หภมู ติ า งๆ เพอ่ื ขยาย ปฏกิ ริ ยิ าเคมจี ะมคี า เพมิ่ ขนึ้ แตเ มอ่ื อณุ หภมู ลิ ดลง อตั ราการเกดิ การเก็บรักษาผลไมใหคง ความเขาใจของนักเรยี น ดงั นี้ ปฏกิ ริ ยิ าเคมจี ะมคี า ลดลง เนอื่ งจากการเพมิ่ อณุ หภมู จิ ะเปน การ ความสดใหม จะตองเก็บรักษา • จากการทดลองนกั เรยี นสงั เกตเหน็ อะไรบา ง เพมิ่ พลงั งานจลนใ หแ กอ นภุ าคของสาร ทาํ ใหอ นภุ าคของสาร ในท่ีท่ีมีอุณหภูมิต่ํา เชน ตูเย็น (แนวตอบ การทดลองท่ี 60 ํC° สารละลาย เคลอื่ นทไี่ ดเ รว็ ขน้ึ อนภุ าคของสารจงึ มโี อกาสชนกนั ไดม ากขนึ้ ตูแช แตหากตองการใหผลไม จะเปล่ยี นเปนไมมสี ี โดยใชเ วลานอยทีส่ ุด สุกเร็วข้นึ จะตอ งนาํ ผลไมมาบม และการทดลองที่ 0 ํ°C สารละลายจะ อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมจี งึ เพม่ิ ขน้ึ นอกจากนี้ การเพมิ่ พลงั งาน ในภาชนะที่มีฝาปด หรือมีผา เปลย่ี นเปนไมม สี ี โดยใชเวลานานที่สุด) กระดาษ หรือใบตองคลุมเอาไว • ใหนักเรียนเขียนสมการเคมีแสดงการเกิด ใหแ กส ารจะชว ยทาํ ใหพ ลงั งานภายในของสารมคี า มากกวา คา เพื่อใหอุณหภูมิในภาชนะสูงกวา ปฏิกิริยาของการทดลอง พลงั งานกอกัมมันต จงึ ทาํ ใหสารเกดิ ปฏิกิริยาเรว็ ข้ึน ภายนอก (แนวตอบ นอกจากอุณหภูมิจะมีผลตออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี 2. ครMูแลgะ(sน)ัก+เรHยี Cนl(รaว qม)กันสรุปMผgลCจl2า(กaกqา)ร+ทHด2ล(gอ)ง) โดยใหไดขอสรุปวา การเพ่ิมอุณหภูมิทําให ของสารโดยทวั่ ไปแลว อณุ หภมู ยิ งั มผี ลตอ อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ า ปฏิกิริยาระหวางโซเดียมไทโอซัลเฟตกับกรด ซัลฟวริกเกิดเร็วขึ้น แสดงวาอุณหภูมิมีผลตอ เคมใี นรา งกายมนษุ ยเ ชน กนั โดยจากการวจิ ยั พบวา เมอ่ื รา งกายมอี ณุ หภมู สิ งู ขนึ้ 1 องศาเซลเซยี ส อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี มีผลทําใหอนุภาค ของสารมโี อกาสชนกนั ไดม าก ปฏกิ ริ ยิ าจงึ เกดิ เน้ือเยื่อในรางกายจะตองการออกซิเจนเพิ่มข้ึนรอยละ 13 สงผลใหอัตราการเตนของชีพจร ไดเรว็ ข้นึ และอัตราการหายใจเพมิ่ ขน้ึ แนวตอบ คําถามท้ายการทดลอง »¯Ô¡ÔÃÔÂÒà¤ÁÕ 117 1. อณุ หภมู มิ ผี ลตอ การเกดิ ปฏกิ ริ ยิ า เมอื่ อณุ หภมู สิ งู ขนึ้ อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ ากจ็ ะเพม่ิ ขน้ึ และเมอ่ื อณุ หภมู ิ ลดลง อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าก็จะลดลงดวย 2. ถาแชหลอดทดลองท่ี 2 ในนา้ํ เดือด เวลาทใ่ี ชใน การทดลองจะนอยลง เพราะเม่ืออุณหภูมสิ ูงขน้ึ อัตราการเกดิ ปฏิกิรยิ าก็จะเพิ่มขนึ้ ขอ สอบเนน การคดิ บนั ทกึ การทดลอง เม่ือนําชิ้นแมกนีเซียมใสในสารละลายกรดไฮโดรคลอริก อุณหภมู ใิ นการทดลอง ( ํC) ระยะเวลาในการเกิดปฏิกิริยา (s) วธิ ใี ดทาํ ใหป ฏกิ ริ ยิ าเกดิ เรว็ ขนึ้ โดยไมต อ งเพม่ิ ปรมิ าณแมกนเี ซยี ม บันทกึ ผลทีไ่ ดต ามการทดลองจรงิ และกรดไฮโดรคลอรกิ 0 ก. ใหค วามรอน 60 ข. ใชแ ทง แกวคนใหท ั่ว หมายเหตุ : ทอ่ี ณุ หภมู สิ ูงจะใชเวลาในการเกิดปฏกิ ริ ยิ านอยกวา ค. เติมนา้ํ กล่ันลงไปเทา ตัว ง. ใชผ งแมกนีเซียมน้ําหนักเทากันแทนชน้ิ แมกนเี ซียม 1. ขอ ก. และ ข. 2. ขอ ค. และ ง. ส่ือ Digital 3. ขอ ก. ข. และ ค. 4. ขอ ก. ข. และ ง. 5. ขอ ก. ค. และ ง. ศกึ ษาเพม่ิ เตมิ ไดจ ากภาพยนตรส ารคดสี นั้ Twig เรอื่ ง ทฤษฎกี ารชน (วิเคราะหคาํ ตอบ ขอ ก. ถูกตอง เนอ่ื งจากการใหความรอ นเปน https://www.twig-aksorn.com/ffi ilm/collision-theory-8268/ การเพม่ิ อณุ หภมู ใิ หก บั ปฏกิ ริ ยิ า ขอ ข. ถกู ตอ ง เนอ่ื งจากการใชแ ทง แกว คนใหท่ัวเปนการเพ่ิมโอกาสใหโมเลกุลชนกันมากข้ึน ขอ ค. ผิด เนื่องจากการเติมนํ้ากล่ันลงไป เปนการลดความเขมขนของสาร สงผลใหปฏิกิริยาเกิดชาลง ขอ ง. ถูกตอง เน่ืองจากการใชผง แมกนเี ซยี มเปน การเพม่ิ พนื้ ทผี่ วิ ในการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ า ดงั นนั้ ตอบขอ 4.) T131

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขนั้ สอน อนภุ าคของ สารตั้งตน A สาํ รวจคน้ หา เพ่ิมอณุ หภูมิ 1. ครทู บทวนความรทู ไ่ี ด จากการทดลองทผี่ า นมา วา พ้ืนที่ผิวสัมผัส ความเขมขนของสารท่ี อนภุ าคของ เขาทําปฏิกิริยา และอุณหภูมิ มีผลตออัตรา สารตั้งตน B การเกิดปฏิกิริยาเคมี ตอไปจะศึกษาวา เมื่อ เตมิ สารบางชนดิ ปรมิ าณเลก็ นอ ยลงไป จะมผี ล ภาพที่ 4.11 เมือ่ อุณหภูมเิ พิ่มขน้ึ อนภุ าคของสารจะมโี อกาสชนกนั ไดม ากข้นึ อัตราการเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมจี ึงเพิม่ ขน้ึ ตออัตราการเกดิ ปฏิกริ ยิ าหรือไม อยา งไร ทม่ี า : คลงั ภาพ อจท. 2. ครใู หน กั เรยี นศกึ ษาความรเู กยี่ วกบั ตวั เรง ปฏกิ ริ ยิ า 5. ตวั เรง1และตวั ยบั ยงั้ ปฏกิ ริ ยิ า เมอื่ มกี ารเตมิ สารบางชนดิ ลงไปในปฏกิ ริ ยิ าเคมบี างปฏกิ ริ ยิ า และตัวยับย้ังปฏิกิริยาที่มีผลตออัตราการเกิด จะมีผลทาํ ใหอตั ราการเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมขี องปฏิกริ ยิ าน้ันเปลี่ยนแปลงไป ใหนกั เรียนศึกษาผลของ ปฏกิ ิรยิ าเคมี จากแหลงเรียนรูตางๆ เชน การเติมสารบางชนิดตอ อัตราการเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมจี ากการทดลองตอ ไปนี้ หอ งสมดุ อนิ เทอรเนต็ ¡Ò÷´Åͧ ¼Å¢Í§ÊÒúҧª¹Ô´µÍ‹ 굄 ÃÒ¡ÒÃà¡´Ô »¯Ô¡ÃÔ ÂÔ Òà¤ÁÕ 3. ครใู หน กั เรยี นแบง กลมุ กลมุ ละ 4-5 คน ปฏบิ ตั ิ กจิ กรรมการทดลอง เรอื่ ง ผลของสารบางชนดิ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร ¨´Ø »ÃÐʧ¤ ! Safety first ตอ อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี ตามวธิ กี ารทดลอง • การสังเกต 1. ทําการทดลองเพ่ือศึกษาผลของ จากหนงั สอื เรยี นวทิ ยาศาสตรก ายภาพ 1 (เคม)ี • การวดั สารเคมีหลายชนิดมีกลิ่น ม.5 หนา 118-120 จากนนั้ บนั ทกึ ผลการทดลอง • การจัดกระทาํ และการแปล สารบางชนิดตออัตราการเกิด เฉพาะตัว เชน กรดแอซีติก และสรุปผลการทดลองลงในสมุดบันทึกของ ความหมายขอ มลู ปฏิกริ ิยาเคมี จงึ ควรระมดั ระวงั โดยอยา สดู ดม นักเรยี น จติ วทิ ยาศาสตร 2. สรุปผลของสารบางชนิดตออัตรา กลนิ่ ของสารโดยตรง เพราะอาจ • ความรอบคอบ การเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมไี ด ทําใหแสบจมูก หรือวิงเวียน • ความรับผดิ ชอบ ศรี ษะได • ความรว มมอื ชวยเหลอื ÇÊÑ ´ØÍ»Ø ¡Ã³áÅÐÊÒÃà¤ÁÕ 7. แผน ทองแดง (Cu) ขนาด 0.5 × 2 cm2 1. หลอดทดลองขนาดกลาง 8. แผนทองแดง (Cu) ขนาด 0.25 × 4 cm2 2. กระบอกตวงขนาด 10 cm3 9. แผน สังกะสี (Zn) ขนาด 0.5 × 2 cm2 3. กระดาษทราย 10. สารละลายกรดไฮโดรคลอรกิ (HCl) เขมขน 1 mol/dm3 4. ชอนตักสารเบอร 1 และ 2 11. กรดแอซตี ิก (CH3COOH) เขม ขน 0.5 mol/dm3 5. โซเดยี มฟลอู อไรด (NaF) 6. เปลือกไขบ ดละเอยี ด 118 นักเรียนควรรู ขอสอบเนน การคดิ แนว O-NET เมอ่ื ใหเ ปลวไฟแกก อ นนา้ํ ตาลจากกา นไมข ดี พบวา กอ นนาํ้ ตาล 1 ตัวเรง สามารถแบงไดเปน 2 ประเภท ดังน้ี ไมเกิดการลุกไหม แตเมื่อเปลี่ยนเปนกอนนํ้าตาลเคลือบดวย 1) ตวั เรง ปฏกิ ริ ยิ าเนอ้ื เดยี ว (homogeneous catalyst) คอื ตวั เรง ปฏกิ ริ ยิ า ขเ้ี ถา บหุ ร่ี พบวา จะตดิ ไฟ เกดิ การลกุ ไหม หลงั ปฏกิ ริ ยิ าการลกุ ไหม ข้ีเถาบุหรี่ยังอยูในสภาพเดิม ปจจัยใดมีผลตออัตราการลุกไหม ท่อี ยูในสถานะเดยี วกับสารตง้ั ตนทเ่ี ขาทาํ ปฏิกริ ยิ า ของกอ นนํา้ ตาล 2) ตวั เรง ปฏกิ ริ ยิ าเนอ้ื ผสม (heterogeneous catalyst) คอื ตวั เรง ปฏกิ ริ ยิ า 1. การใสตวั เรง ปฏกิ ิรยิ า 2. การเพิ่มความเขม ขน ทมี่ สี ถานะตางไปจากสารตงั้ ตน ที่เขาทาํ ปฏกิ ิรยิ า 3. การเพิ่มพื้นที่ผิวสมั ผสั 4. ธรรมชาติของสารตงั้ ตน 5. การเพมิ่ ความดนั ใหส ารต้งั ตน T132 (วิเคราะหคําตอบ กอนนํ้าตาลไมลุกไหมเมื่อใหเปลวไฟจาก กานไมขีด แตจะลุกไหมเม่ือมีขี้เถาของบุหรี่เคลือบอยู แสดงวา ข้ีเถาของบุหร่ีทําหนาท่ีเปนตัวเรงปฏิกิริยา และทําใหเกิดการ เผาไหมข ึน้ ดังนน้ั ตอบขอ 1.)

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ Ç¸Ô ¡Õ Ò÷´Åͧ ขนั้ สอน 1µÍ¹·èÕ ผลของโลหะทองแดงตอ ปฏิกิริยาระหวางสังกะสกี บั กรดไฮโดรคลอรกิ สาํ รวจคน้ หา 1. นาํ หลอดทดลองขนาดกลางมาจาํ นวน 3 หลอด แลวใสส ารลงไป ดงั น้ี 4. ครูชวยอธิบายใหนักเรียนเขาใจวา อัตราการ • หลอดท่ี 1 ใสแ ผน Cu ขนาด 0.5 × 2 cm2 จํานวน 1 แผน เกิดปฏิกิริยาเคมีของสารจะขึ้นอยูกับตัวเรง • หลอดที่ 2 ใสแ ผน Zn ขนาด 0.5 × 2 cm2 จาํ นวน 1 แผน ปฏกิ ริ ยิ า โดยปฏกิ ริ ยิ าเคมที เ่ี พมิ่ ตวั เรง ปฏกิ ริ ยิ า • หลอดที่ 3 ใสแ ผน Zn ขนาด 0.5 × 2 cm2 ท่ีมีแผน Cu ขนาด 0.25 × 4 cm2 พนั เปนเกลยี วโดยรอบ เขาไปจะทําใหปฏิกิริยานั้นเกิดเร็วข้ึน แตถา จาํ นวน 1 แผน เตมิ ตวั ยบั ยงั้ ปฏกิ ริ ยิ าเขา ไปกม็ ผี ลทาํ ใหป ฏกิ ริ ยิ า 2. ใสส ารละลาย HCl ลงในหลอดทดลองท้ัง 3 หลอด หลอดละ 5 cm3 ขน้ั เสกดิอชนาลง 3. สังเกตและเปรยี บเทียบการเปล่ียนแปลงท่เี กิดขน้ึ เปนเวลา 5 นาที แลว บันทกึ ผล อธบิ ายความรู้ แผน Cu แผน Zn แผน Zn พันดว ย Cu HCl HCl HCl ครสู ุม ตวั แทน 1 กลุม ออกมารายงานผลการ ทดลองหนา ชน้ั เรยี น แลว ครสู อบถามนกั เรยี นกลมุ ภาพที่ 4.12 การทดลองเพ่ือศึกษาผลของทองแดงตอปฏกิ ริ ิยาระหวา งสังกะสกี ับกรดไฮโดรคลอรกิ อนื่ วา ไดผ ลการทดลองตรงกนั หรอื ไม ถา ไมต รงกนั ทม่ี า : คลังภาพ อจท. ใหชวยกันวิเคราะหและสรุปผลการทดลองให ถูกตอง จากนั้นครูเปนผูเฉลยผลการทดลองที่ 2µÍ¹·Õè ผลของโซเดยี มฟลอู อไรดต อ อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าระหวา งเปลอื กไขก บั สารละลายกรดแอซตี กิ ถูกตอ ง 1. ใสเปลือกไขที่แหงและบดละเอียดลงในหลอดทดลอง NaF แนวตอบ คําถามท้ายการทดลอง ขนาดกลาง 2 หลอด หลอดละ 1 g 0C.H5 3mCOolO/dHm3 1. แผนทองแดงไมทําปฏิกิริยากับสารละลาย 2. นาํ หลอดที่ 1 มาเติมผง NaF 0.1 g เขยาใหส ารเขา กนั กรดไฮโดรคลอรกิ แตแ ผน สงั กะสที าํ ปฏกิ ริ ยิ ากบั จแาํลนว วเตนิม3สาcรmละ3ลแาลยวสCังHเก3CตกOาOรเHปลเีย่ ขนม แขปนลง0.5 mol/dm3 เปลอื กไข เปลอื กไข + NaF สารละลายกรดไฮโดรคลอริก สังเกตไดจาก หลอดท่ี 1 หลอดที่ 1 ฟองแกส ทีเ่ กดิ ขึน้ 3. นmาํ oหl/ลdอmด3ทจี่ 2าํ นมวานเต3มิ สcmาร3ละแลลาว ยสังCเกHต3CกาOรOเปHลี่ยเนขมแปขลนง0.5 0C.H5 3mCOolO/dHm3 2. ไมเทากัน แผนสังกะสีที่พันดวยทองแดงเกิด ปฏิกิริยากับสารละลายกรดไฮโดรคลอริกไดเร็ว ¤Òí ¶ÒÁ·ŒÒ¡Ò÷´Åͧ หลอดที่ 2 เปลอื กไข กวาแผน สังกะสที ไ่ี มมที องแดงพนั อยู หลอดท่ี 2 3. เปลอื กไขท าํ ปฏกิ ริ ยิ ากบั กรดแอซตี กิ สงั เกตไดจ าก ฟองแกส ทเ่ี กดิ ขึ้น 1. โลหะสังกะสีและโลหะทองแดงทําปฏิกิริยากับสารละลาย ภาพท่ี 4.13 การทดลองผลของโซเดยี มฟลอู อไรด กรดไฮโดรคลอริกหรอื ไม ทราบไดอยางไร ตออัตราการเกิดปฏิกิรยิ าระหวา งเปลือกไข 4. มีผล เม่ือนําเปลือกไขผ สมกบั โซเดยี มฟลอู อไรด กับสารละลายกรดแอซีตกิ แลว ทาํ ปฏกิ ริ ยิ ากบั สารละลายกรดแอซตี กิ พบวา 2. โลหะสังกะสีและโลหะสังกะสีท่ีมีทองแดงพันอยูทําปฏิกิริยา ท่ีมา : คลงั ภาพ อจท. มฟี องแกส เกิดขน้ึ อยา งชาๆ แสดงวา โซเดยี ม- กบั สารละลายกรดไฮโดรคลอรกิ ไดเ รว็ เทา กนั หรอื ไม อยา งไร ฟลูออไรดเปน สารท่ีทาํ ใหปฏกิ ิริยาเกิดชาลง 3. เปลอื กไขท าํ ปฏกิ ริ ยิ ากบั สารละลายกรดแอซตี กิ หรอื ไม ทราบไดอ ยา งไร 4. การเติมโซเดียมฟลูออไรดมีผลตออัตราการเกิดปฏิกิริยาระหวาง เปลือกไขกับสารละลายกรดแอซตี ิกหรือไม อยา งไร »¯Ô¡ÔÃÔÂÒà¤ÁÕ 119 ขอ สอบเนน การคดิ แนว O-NET บนั ทกึ การทดลอง ขอ ใดคือหนา ที่ของตัวเรง ปฏกิ ริ ิยา ตอนท่ี 1 สารทท่ี าํ ปฏกิ ริ ยิ า การเปลีย่ นแปลงท่ีสังเกตได 1. ลดพลงั งานการเปล่ียนแปลงของปฏกิ ิรยิ า หลอดที่ แผน Cu + HCl ไมเกิดการเปล่ยี นแปลง 2. เพ่ิมพลังงานการเปล่ยี นแปลงของปฏกิ ริ ิยา เกิดฟองแกส 3. เพ่ิมพลังงานกอ กัมมนั ตข องปฏิกิริยายอ นกลบั เทา นัน้ 1 เกิดฟองแกสเรว็ ขึน้ 4. ลดพลังงานกอ กัมมันตข องปฏกิ ริ ิยาไปขา งหนาเทา น้ัน 5. ลดพลงั งานกอ กมั มนั ตข องปฏกิ ริ ยิ าไปขา งหนา และยอ นกลบั 2 แผน Zn + HCl (วเิ คราะหค าํ ตอบ การเตมิ ตวั เรง ปฏกิ ริ ยิ าจะลดพลงั งานกอ กมั มนั ต 3 แผน Zn ทีม่ ีแผน Cu พนั อยู + HCl (Ea) ของทงั้ ปฏกิ ิรยิ าไปขางหนา และยอ นกลับ ดงั น้นั ตอบขอ 5.) ตอนท่ี 2 หลอดท่ี สารทที่ าํ ปฏกิ ริ ยิ า การเปลยี่ นแปลงที่สังเกตได เกิดฟองแกสอยางชา ๆ 1 เปลอื กไข + ผง NaF + CH3COOH เกดิ ฟองแกสอยางรวดเร็ว 2 เปลอื กไข + CH3COOH T133

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขน้ั สอน ÍÀ»Ô ÃÒ¼šÒ÷´Åͧ ขยายความเขา้ ใจ ในการทดลองตอนที่ 1 แผน ทองแดงไมท าํ ปฏกิ ริ ยิ ากับสารละลายกรดไฮโดรคลอรกิ สว นแผนสังกะสีทํา ปฏกิ ิริยากับสารละลายกรดไฮโดรคลอริก เกิดฟองแกส ไฮโดรเจน ดงั สมการ 1. ครอู ธบิ ายใหน กั เรยี นเหน็ วา เมอ่ื ใสต วั เรง เขา ไป Zn (s) + 2HCl (aq) ZnCl2 (aq) + H2 (g) ในปฏิกริ ยิ า การเกิดปฏกิ ิริยาเคมีสามารถเกดิ เมอื่ นาํ แผน สงั กะสที พ่ี นั ดว ยทองแดงมาทาํ ปฏกิ ริ ยิ ากบั สารละลายกรดไฮโดรคลอรกิ พบวา มฟี องแกส เกดิ ขึ้นไดจะตองผานหลายขั้นตอน ซึ่งในแตละ เรว็ ขน้ึ โดยแผน ทองแดงไมเ กิดการเปลยี่ นแปลง แสดงวา ทองแดงชวยเรง ปฏกิ ิริยาใหเ กิดเร็วข้นึ ขนั้ ตอนกจ็ ะมพี ลงั งานกอ กมั มนั ต โดยทพี่ ลงั งาน ในการทดลองตอนท่ี 2 เปลือกไขจะมีแคลเซียมคารบอเนตหรือหินปูนเปนองคประกอบ เม่ือนํามาทํา กอ กมั มนั ตร วมจะมคี า ตาํ่ กวา พลงั งานกอ กมั มนั ต ปฏิกริ ยิ าสารละลายกรดแอซตี ิก จะมฟี องแกส คารบอนไดออกไซดเกดิ ข้นึ อยา งรวดเร็ว ดังสมการ ของปฏกิ ริ ยิ าทไ่ี มม ตี วั เรง ปฏกิ ริ ยิ า ดงั นนั้ ไมว า CaCO3 (s) + CH3COOH (aq) (CH3COO)2Ca (aq) + H2O (l) + CO2 (g) จะเกิดการเปลี่ยนในรูปแบบใดก็ตาม ตัวเรง เมอ่ื นําเปลอื กไขไปผสมกบั โซเดียมฟลูออไรด แลว นํามาทาํ ปฏกิ ริ ยิ าสารละลายกรดแอซีติก จะมีฟองแกส ปฏกิ ริ ยิ าจะมีผลทาํ ใหพ ลังงานกอ กมั มันตข อง เกดิ ขน้ึ อยา งชา ๆ แสดงวา โซเดียมฟลอู อไรดเปนสารทีไ่ ปขัดขวางการเกิดปฏกิ ริ ิยา ปฏกิ ิริยาลดต่ําลง จากการทดลอง สารทเี่ ตมิ ลงไปแลว ทาํ ใหป ฏกิ ริ ยิ าเกดิ เรว็ ขน้ึ เรยี กวา ตวั เรง ปฏกิ ริ ยิ า (catalyst) 2. ครทู ดสอบความเขาใจของนกั เรยี น โดยการ สว นสารทเ่ี ตมิ ลงไปแลว ทําใหปฏกิ ิริยาเกดิ ชา ลง เรยี กวา ตวั ยบั ยัง้ ปฏิกริ ิยา (inhibitor) ใหต อบคาํ ถาม เชน ตัวเรงปฏิกิริยาเปนสารท่ีเติมลงไปในปฏิกิริยาแลวจะ • เพราะเหตุใดการเติมตัวเรงปฏิกิริยาทําให ไลมดมคีผาพลลตังองกาานรกเกอิดกผัมลมิตันภต1ัณขอฑงขปอฏงิกปิรฏิยิกาิริยทาําใหแปตฏจะิกมิริยีผาลนไั้นป อตั ราการเกดิ ปฏกิ ิรยิ าสงู ขึ้น เกดิ ไดง า ยขน้ึ และหลงั จากเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าแลว ตวั เรง ปฏกิ ริ ยิ า ปฏกิ ริ ยิ าที่เติมตวั ยบั ย้งั ปฏกิ ริ ยิ า (แนวตอบ ตวั เรง ปฏกิ ริ ยิ าจะไปลดคา พลงั งาน ที่ใสลงไปจะยังคงมีสมบัติทางเคมีและมีปริมาณเทาเดิม ปฏกิ ริ ยิ าตามสภาวะปกติ กอ กมั มนั ตข องปฏกิ ริ ยิ า จงึ สง ผลใหป ฏกิ ริ ยิ า ปฏิกิริยาท่เี ตมิ ตัวเรง ปฏิกริ ยิ า เกดิ ไดเรว็ ขึน้ ) • เพราะเหตุใดตัวยับย้ังปฏิกิริยาจึงทําให ตวั อยา งเชน เอนไซมต า ง ๆ ในรา งกายจะเปน ตวั เรง ปฏกิ ริ ยิ า ปฏกิ ริ ิยาเกดิ ไดชา ใหเ กิดการยอยอาหารไดเ รว็ ข้นึ (แนวตอบ ตัวยับย้ังปฏิกิริยาจะไปเพิ่มคา ตัวยับยั้งปฏิกิริยาเปนสารท่ีเติมลงไปในปฏิกิริยาแลว พ ัลงงานภายในสาร กพอลกังงัมามนันต พลงั งานกอ กมั มนั ตข องปฏกิ ริ ยิ า จงึ สง ผลให ปฏิกิรยิ าเกิดไดชา) จะไมม ผี ลตอการเกดิ ผลติ ภณั ฑของปฏกิ ริ ิยา แตจะมผี ลไป เพิม่ คา พลงั งานกอกมั มนั ตของปฏิกิรยิ า ทําใหป ฏิกริ ิยานน้ั เกดิ ไดย ากขนึ้ หรอื มผี ลยบั ยง้ั การเกดิ ปฏกิ ริ ยิ า และหลงั จาก เกิดปฏิกิริยาแลว ตัวยับย้ังปฏิกิริยาที่ใสลงไปจะยังคง มีสมบัติทางเคมีและมีปริมาณเทาเดิม ตัวอยางเชน ภาพท่ี 4.14 ตวั เรง ปฏกิ ริ ยิ าและตวั ยบั ยงั้ สารกันบูดในอาหารเปนตัวยับย้ังปฏิกิริยาท่ีชวยยับย้ัง ปฏิกริ ยิ าจะทําใหค าพลงั งานกอกัมมันต ปฏกิ ริ ยิ าทท่ี าํ ใหอ าหารเนา เสีย ของสารเปลยี่ นแปลงไป ทีม่ า : คลงั ภาพ อจท. 120 นักเรียนควรรู ขอ สอบเนน การคดิ 1 พลังงานกอกัมมันต หรือพลังงานกระตุน (activation energy-Ea) คือ ปฏิกิริยาการสลายตัวของแกส N2O ในสภาวะท่ีมีแกส Cl2 พลังงานจํานวนนอยที่สุดที่เกิดจากการชนของอนุภาคของสารต้ังตนแลวทําให มกี ลไก ดงั น้ี เกดิ ปฏิกิริยาเคมี ใชหนว ยเปน KJ/mol หรือ Kcal/mol Cl2 (g) 2Cl (g) N2O (g) + Cl (g) N2(g) + ClO (g) ลกั ษณะสาํ คัญของพลงั งานกอกมั มันต 2ClO (g) Cl2(g) + O2(g) 1) ปฏิกริ ิยาเคมีตา งชนิดกัน จะมีพลังงานกอกัมมนั ตตางกัน 2) ปฏิกิริยาท่ีมีพลังงานกอกัมมันตต่ําจะเกิดเร็วกวาปฏิกิริยาท่ีมีพลังงาน ในปฏกิ ิริยานี้มสี ารใดเปน ตวั เรง ปฏกิ ริ ยิ า กอกัมมนั ตสงู 1. Cl (g) 2. O2 (g) 3) พลังงานกอกัมมนั ตไ มเ กี่ยวของกบั อัตราการเกิดปฏิกิรยิ า คือ ปฏิกริ ิยา 3. N2 (g) 4. Cl2 (g) ท่มี พี ลงั งานกอ กัมมนั ตต า่ํ ปฏิกิรยิ าน้นั อาจจะมีอัตราการเกดิ ปฏิกริ ยิ าเร็วกไ็ ด 5. ClO (g) T134 (วเิ คราะหค าํ ตอบ ตวั เรงปฏิกิรยิ า คือ สารท่เี ม่อื ปฏิกิริยาสิน้ สุด แลว จะแยกตวั กลบั มาเปน สารเดมิ ซง่ึ ในปฏกิ ริ ยิ านี้ คอื Cl2 ดงั นนั้ ตอบขอ 4.)

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ 6. ความดัน จะมีผลทําใหสารตั้งตนท่ีเปนแกสสามารถทําปฏิกิริยากันไดดีข้ึน เนื่องจาก ขน้ั สอน การเพิ่มความดันจะชวยทําใหโมเลกุลของแกสเขามาอยูใกลชิดกันมากขึ้น มีจํานวนโมเลกุล ของแกส ตอ หนว ยพน้ื ทเี่ พมิ่ ขนึ้ จงึ มโี อกาสชนกนั และเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมมี ากขน้ึ ซงึ่ มคี วามคลา ยคลงึ ขยายความเขา้ ใจ กบั กรณขี องสารต้งั ตนทม่ี ีความเขม ขน มาก ก็จะสามารถเกดิ ปฏิกริ ิยาไดเรว็ ขน้ึ น่ันเอง 3. ครูแบง นกั เรียนเปนกลุม สบื คนขอมูลเกย่ี วกับ อนุภาคของ อนุภาคของ ปรมิ าตรลดลง ความดันกับอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี จาก สารตั้งตน A สารตั้งตน B หนงั สอื เรียน แหลงเรยี นรตู างๆ เชน หอ งสมดุ อินเทอรเน็ต จากน้ันนําขอมูลที่คนความา เพิ่มความดนั แลกเปล่ียนเรยี นรกู นั ภาพที่ 4.15 เมอ่ื สารตงั้ ตนทเ่ี ปน แกส มคี วามดนั เพมิ่ ขึ้น โมเลกลุ ของแกสจะอยใู กลก ันมากข้ึน 4. ครแู ละนกั เรยี นรว มกนั สรปุ เกย่ี วกบั ปจ จยั ทมี่ ผี ล และมีโอกาสชนกันไดมากขึ้น อัตราการเกดิ ปฏิกิริยาเคมจี งึ เพ่มิ ขึน้ ตออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีวา จากผลการ ทีม่ า : คลังภาพ อจท. ทดลองและความรทู ี่ไดศ กึ ษามาแลว สามารถ สรปุ ปจ จยั ทมี่ ผี ลตอ อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี ปฏิกิริยาเคมีหลายชนิดสามารถนําไปใชประโยชนในชีวิตประจําวันและในอุตสาหกรรม ได ดังนี้ • ปฏกิ ริ ยิ าเคมสี ว นใหญ เมอ่ื เพม่ิ ความเขม ขน ไดมากมาย ตวั อยางเชน ของสารตั้งตนปฏิกิริยาจะเกิดเร็วข้ึน และ เมื่อลดความเขมขนของสารต้ังตนปฏิกิริยา 1. ปฏิกิริยาการเผาไหม เกิดข้ึนจากเชื้อเพลิงซ่ึงมี จะเกิดชา ลง • สารท่ีมีพ้ืนที่ผิวมากจะเกิดปฏิกิริยาเคมี ธาตุคารบอนและไฮโดรเจนเปนองคประกอบทําปฏิกิริยา เรว็ กวา สารที่มีพน้ื ที่ผิวนอ ย • การเพม่ิ อณุ หภมู จิ ะทาํ ใหป ฏกิ ริ ยิ าเกดิ เรว็ ขน้ึ กับแกสออกซิเจน โดยมีความรอนเปนตัวสนับสนุนใหเกิด และการลดอุณหภูมิจะทําใหปฏิกิริยาเกิด ชา ลง ปฏกิ ริ ิยา ซงึ่ ถา ปฏิกิรยิ าเกดิ ขนึ้ อยา งสมบรู ณ จะไดไ อน้ํา แกส • ตวั เรง ปฏกิ ริ ยิ าจะทาํ ใหป ฏกิ ริ ยิ าเคมเี กดิ เรว็ ขนึ้ และตัวยับยั้งปฏิกิริยาจะทําใหปฏิกิริยาเคมี คารบ อนไดออกไซด และพลงั งานในรปู ความรอ นและแสงสวาง เกดิ ชาลง เปนผลิตภัณฑ ซ่ึงพลังงานท่ีไดจะถูกนําไปใชในยานพาหนะ และโรงงานอตุ สาหกรรม เชน การเผาไหมอ ยา งสมบรู ณข องแกส ภาพท่ี4.16 พลงั งานทไ่ี ดจ ากปฏกิ ริ ยิ า หุงตม ซ่ึงประกอบดวยแกสโพรเพน (C3H8) และแกสบิวเทน การเผาไหมจะอยูในรูปความรอน (C4H10) โดยปฏกิ ิริยาท่ีเกดิ ขน้ึ เปน ดังสมการ และแสงสวา ง ท่มี า : คลงั ภาพ อจท. C3H8 (g) + 5O2 (g) 3CO2 (g) + 4H2O (g) + พลังงาน 2C4H10 (g) + 13O2 (g) 8CO2 (g) + 10H2O (g) + พลงั งาน »¯Ô¡ÔÃÔÂÒà¤ÁÕ 121 กิจกรรม สรางเสริม สอื่ Digital ใหนักเรยี นศกึ ษาคนควา เพมิ่ เตมิ จากแหลงเรียนรูต างๆ เชน ศกึ ษาเพม่ิ เตมิ ไดจ ากภาพยนตรส ารคดสี น้ั Twig เรอ่ื ง ออกซเิ จนกบั การเผาไหม หอ งสมดุ อนิ เทอรเ นต็ เรอื่ ง ปจ จยั ทมี่ ผี ลตอ อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ า https://www.twig-aksorn.com/film/oxygen-and-combustion-8251/ แลว สรปุ ความรอู อกมาในรปู แบบของผงั มโนทศั นล งในกระดาษ A4 สงครูผูส อน กจิ กรรม ทาทาย ใหน กั เรยี นแบง กลมุ กลมุ ละ 4 คน ศกึ ษาคน ควา เพมิ่ เตมิ จาก แหลงเรียนรูตา งๆ เชน หอ งสมุด อินเทอรเน็ต เรอ่ื ง ปฏกิ ิรยิ าเคมี ในชีวิตประจําวัน แลวสรุปความรูออกมาในรูปแบบอินโฟกราฟก และนําเสนอหนาช้ันเรยี น T135

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขน้ั สอน 2. ปฏิกิริยาการสังเคราะหดวยแสง เปนปฏิกิริยาระหวางแกสคารบอนไดออกไซดกับน้ํา โดยมคี ลอโรฟล ลแ ละแสงเปน ตวั เรง ปฏกิ ริ ยิ า แลว ไดน า้ํ ตาลกลโู คสและแกส ออกซเิ จนเปน ผลติ ภณั ฑ สาํ รวจคน้ หา ซ่ึงกระบวนการนี้เปนกระบวนการสรางอาหารของพืช และยังชวยเพ่ิมแกสออกซิเจนในอากาศ อีกดวย โดยปฏิกริ ิยาท่เี กิดขนึ้ เปน ดังสมการ ครใู หน กั เรยี นแบง กลมุ กลมุ ละ 4-5 คน ศกึ ษา เรอ่ื ง ลกั ษณะของปฏกิ ริ ยิ าเคมี ปฏกิ ริ ยิ าเคมที เี่ กดิ 6CO2 (g) + 6H2O (l) คลอโรฟลล C6H12O6 (aq) + 6O2 (g) ขนึ้ ตามธรรมชาติ และปฏกิ ริ ยิ าเคมที เ่ี กดิ จากมนษุ ย แสงแดด จากหนงั สอื เรยี นวทิ ยาศาสตรก ายภาพ 1 (เคม)ี ม.5 หนา 121-123 จากนัน้ นกั เรยี นแตละกลุม รว มกนั 3. ปฏกิ ริ ยิ าการสลายตวั ของไฮโดรเจนเปอรอ อกไซด ในสภาวะปกตไิ ฮโดรเจนเปอรอ อกไซด สรุปเกี่ยวกับลักษณะของปฏิกิริยาเคมีจนสมาชิก จะสลายตวั อยา งชา ๆ เกดิ แกส ออกซเิ จนและนาํ้ เปน ผลติ ภณั ฑ แตถ า ไดร บั แสงสวา งและความรอ น ทกุ คนในกลุมมคี วามเขา ใจทตี่ รงกัน จะทําใหการสลายตัวเกิดไดเร็วข้ึน ซ่ึงปฏิกิริยาการสลายตัวของไฮโดรเจนเปอรออกไซดถูกนํามา ใชใ นการฟอกสีเสนผม ฟอกสีอาหาร ใชใ นการทาํ ความสะอาด ฆา เชือ้ โรค และทําน้ํายาบวนปาก อธบิ ายความรู้ โดยปฏิกริ ยิ าทเ่ี กดิ ข้ึนเปนดงั สมการ ครูใหนักเรียนอภิปรายรวมกันเพ่ือใหเขาใจวา 2H2O2 (l) 2H2O (l) + O2 (g) ปฏกิ ริ ยิ าเคมบี างชนดิ เมอ่ื เกดิ ขนึ้ แลว มนษุ ยส ามารถ นําไปใชประโยชนไดหลายดาน แตปฏิกิริยาเคมี 4. ปฏกิ ริ ยิ าการสลายตวั ของโซเดยี มไฮโดรเจน ภาพท่ี 4.17 ผงฟทู าํ ใหข นมถว ยฟูดูนา รบั ประทาน บางชนิดผลิตภัณฑท่ีเกิดข้ึนจะสงผลกระทบตอ คารบอเนตหรือผงฟู เมื่อใหความรอนกับโซเดียม ทมี่ า : คลงั ภาพ อจท. สิง่ มชี ีวติ และส่ิงแวดลอมได เชน การเกิดฝนกรด ไฮโดรเจนคารบ อเนต (NaHCO3) หรือผงฟู จะได การเผาไหมเ ชือ้ เพลงิ ของเคร่ืองยนตท ่ีไมส มบรู ณ โซเดยี มคารบ อเนต (Na2CO3) แกส คารบ อนไดออกไซด และไอนํ้าเปนผลิตภัณฑ โดยผงฟูนิยมนําไปเติม ขยายความเขา้ ใจ ลงในขนมหลายชนิด เชน ขนมถวยฟู ขนมตาล เคก เมื่อนําขนมไปอบ แกสคารบอนไดออกไซด 1. ครูใหนักเรียนทาํ ใบงาน เร่อื ง ปฏกิ ริ ยิ าเคมี ที่ไดจากปฏิกิริยาจะขยายตัวดันและแทรกผาน 2. ครใู หน กั เรยี นตอบคาํ ถาม จาก Topic Question เน้ือขนม ทําใหเกิดโพรงอากาศกระจายทั่วท้ัง 3. ครเู ปดโอกาสใหน ักเรียนสอบถามเนือ้ หา เรื่อง กอนขนม ทําใหขนมดูนารบั ประทาน โดยปฏิกริ ิยา ท่ีเกิดข้นึ เปน ดังสมการ ปฏกิ ิรยิ าเคมี วามีสว นไหนที่ยงั ไมเ ขา ใจ และ ใหค วามรเู พมิ่ เตมิ ในสว นนนั้ โดยทคี่ รอู าจจะใช PowerPoint เร่ือง ปฏิกิริยาเคมี ชวยในการ อธบิ าย 2NaHCO3 (s) Na2CO3 (s) + H2O (g) + CO2 (g) 122 แนวทางการวัดและประเมินผล ขอ สอบเนน การคดิ แนว O-NET พิจารณาขอความตอ ไปนี้ ครสู ามารถวดั และประเมนิ ความเขา ใจในเนอื้ หา เรอื่ ง การเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี ก. การใชน าํ้ ยาทมี่ ี pH = 4 ขดั พน้ื หนิ ออ นจะทาํ ใหพ น้ื มคี วามมนั วาว ไดจากการปฏิบัติกิจกรรมการทดลอง โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผล ข. กแแบการสตใคเสตลแ ออครรรลี่ นี ถเซย(ยีนCมตl2ไใ)ฮชทโโ ปลีฆ่ คหาละเชอต้อืไะโรกรตวั่คเ(ใปCนน aนข(้ําOว้ั ไลCดบl)แ2)ลใะนในชตา้ํ ะจกะว่ัทอาํ อใกหไเ กซดดิ  จากแบบประเมินการปฏิบัติการท่ีอยูในแผนการจัดการเรียนรูหนวยที่ 4 ค. ปฏกิ ิริยาเคมี แบบประเมินการปฏบิ ัตกิ าร เกณฑก์ ารประเมนิ การปฏิบตั ิการ เปนขวั้ บวก โดยโลหะตะก่วั เปน ตวั ใหอ เิ ล็กตรอน คาชีแ้ จง : ใหผ้ ู้สอนประเมินการปฏบิ ัตกิ ารของนักเรียนตามรายการท่ีกาหนด แล้วขดี ✓ ลงในช่องที่ตรงกบั ประเด็นท่ีประเมนิ 4 ระดบั คะแนน 1 ง. ผงโซเดียมแอซีเตตใชดับเพลิงได เพราะเมื่อไดรับความรอน ระดบั คะแนน ทาการทดลองตาม 1. การปฏิบัตกิ าร 32 ตอ้ งใหค้ วามชว่ ยเหลือ ระดบั คะแนน ทดลอง ข้นั ตอน และใช้อปุ กรณ์ อย่างมากในการทาการ จะใหแกสคารบ อนไดออกไซด 4321 ทาการทดลองตาม ตอ้ งใหค้ วามช่วยเหลอื ทดลอง และการใช้ ลาดบั ท่ี รายการประเมนิ ได้อย่างถูกตอ้ ง ขน้ั ตอน และใช้อปุ กรณ์ บา้ งในการทาการ อปุ กรณ์ รวม ได้อยา่ งถกู ตอ้ ง แต่อาจ ทดลอง และการใช้ 1 การปฏิบตั กิ ารทดลอง ต้องได้รบั คาแนะนาบ้าง อปุ กรณ์ 2 ความคลอ่ งแคล่วในขณะปฏิบัติการ 3 การนาเสนอ 2. ความ มีความคลอ่ งแคลว่ มีความคลอ่ งแคลว่ ขาดความคลอ่ งแคลว่ ทาการทดลองเสรจ็ ไม่ ปฏิกิรยิ าในขอ ใดถกู ตอง คลอ่ งแคล่ว ในขณะทาการทดลอง ในขณะทาการทดลอง ทันเวลา และทา ลงช่อื ................................................... ผปู้ ระเมนิ ในขณะ ในขณะทาการทดลอง แต่ตอ้ งไดร้ บั คาแนะนา จงึ ทาการทดลองเสร็จ อปุ กรณ์เสียหาย 1. ขอ ก. และ ข. 2. ขอ ก. และ ค. ................./................../.................. ปฏบิ ตั กิ าร บ้าง และทาการทดลอง ไม่ทนั เวลา 3. ขอ ข. และ ค. 4. ขอ ข. และ ง. โดยไม่ตอ้ งไดร้ ับคา เสรจ็ ทนั เวลา ตอ้ งให้ความช่วยเหลอื 3. การบันทกึ สรปุ ตอ้ งใหค้ าแนะนาในการ อยา่ งมากในการบันทึก และนาเสนอผล ชีแ้ นะ และทาการ บนั ทึกและสรปุ ผลการ บันทึก สรปุ และ สรุป และนาเสนอผล การทดลอง ทดลองไดถ้ ูกต้อง แต่ นาเสนอผลการทดลอง การทดลอง ทดลองเสร็จทนั เวลา การนาเสนอผลการ ทดลองยังไมเ่ ป็น บนั ทกึ และสรปุ ผลการ ขน้ั ตอน ทดลองได้ถูกต้อง รดั กุม นาเสนอผลการทดลอง เป็นขัน้ ตอนชดั เจน เกณฑก์ ารตดั สินคุณภาพ 5. ขอ ค. และ ง. (วเิ คราะหค าํ ตอบ ขอ ก. ไมถ กู ตอ ง นาํ้ ยาทมี่ ี pH = 4 มสี มบตั เิ ปน กรด ช่วงคะแนน ระดับคณุ ภาพ 10-12 ดมี าก 7-9 ดี จะกดั กรอ นใหพ น้ื หนิ ออ นสกึ กรอ น ขอ ง. ไมถ กู ตอ ง เพราะสารทนี่ าํ มา 4-6 พอใช้ 0-3 ปรบั ปรงุ T136 3 ใชในการดับเพลิง คือ ผงโซเดียมไฮโดรเจนคารบอเนต ดังน้ัน ตอบขอ 3.) 4

นาํ สอน สรุป ประเมิน นอกจากนี้ ยังสามารถนําการสลายตัวของโซเดียมไฮโดรเจนคารบอเนตไปใชประโยชน ขน้ั สรปุ ในการดบั ไฟปา ไดอ กี ดว ย โดยเมอ่ื มไี ฟปา เกดิ ขนึ้ จะมกี ารโปรยผงโซเดยี มไฮโดรเจนคารบ อเนตจาก เครื่องบินลงเหนือบรเิ วณที่เกดิ ไฟปา แกส คารบอนไดออกไซดทเี่ กิดขนึ้ เปน แกส ทีห่ นกั กวาอากาศ ตรวจสอบผล จึงลอยตัวในระดบั ต่ํา ปกคลมุ พ้นื ทีท่ ีเ่ กิดไฟปา ไมใ หแกสออกซเิ จนรวมตวั กบั เช้อื เพลงิ ซึ่งจะชว ย บรรเทาหรอื หยดุ การเผาไหมลงไดใ นระดับหนง่ึ ครูและนักเรียนรวมกันสรุป เร่ือง การเกิด ปฏกิ ริ ยิ าเคมี ใหไ ดข อ สรปุ วา การเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี 5. ปฏิกิริยาการถลุงแรเหล็ก เน่ืองจากเหล็กในธรรมชาติจะอยูในรูปของเหล็กออกไซด เปนกระบวนการที่เกิดจากการเปล่ียนแปลง (Fe2O3) ซงึ่ เปน กอ นแรท ไ่ี มบ รสิ ทุ ธิ์ ทาํ ใหไ มส ามารถนาํ มาใชป ระโยชนไ ด จงึ ตอ งนาํ มาถลงุ เพอื่ สกดั ของสารเคมี แลวสง ผลใหเกดิ สารใหมข ึน้ มา ซงึ่ มี เหลก็ บรสิ ทุ ธอิ์ อกจากแรเ หลก็ โดยอาศยั คารบ อน (C) และความรอ นมาเปน ตวั ทาํ ปฏกิ ริ ยิ า เพอ่ื แยก คุณสมบัติเปล่ียนไปจากเดิม และมีปจจัยที่มีผล ออกซเิ จนออกจากแรเ หลก็ โดยออกซเิ จนจะไปรวมตวั กบั คารบ อน เกดิ เปน แกส คารบ อนไดออกไซด ตออตั ราการเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมี คอื ธรรมชาตขิ อง (CO2) และไดเ หล็กบรสิ ทุ ธิแ์ ยกออกมาดังสมการ สารตง้ั ตน ความเขม ขน ของสารตง้ั ตน พนื้ ทผี่ วิ ของ สารตั้งตน ตัวเรงปฏิกิริยาและตัวยับย้ังปฏิกิริยา 2Fe2O3 (s) + 3C (s) ความรอ น 4Fe (s) + 3CO2 (g) อณุ หภมู ิ และความดนั 6. ปฏิกิริยาการผลิตแอมโมเนีย เปนกระบวนการเปลี่ยนแกสไนโตรเจน (N2) ในอากาศ ขนั้ ประเมนิ ใหอยูในรูปของแอมโมเนีย (NH3) โดยการใหแกสไนโตรเจนทําปฏิกิริยากับแกสไฮโดรเจน (H2) โดยมีการใชอ ณุ หภมู แิ ละความดันสงู เพ่ือชวยเรงใหปฏกิ ริ ิยาเกดิ ไดเรว็ ขึ้นดงั สมการ ตรวจสอบผล N2 (g) + 3H2 (g) อุณหภมู ิสงู 2NH3 (g) 1. ครูตรวจสอบผลการทําแบบทดสอบกอนเรยี น ความดันสงู 2. ครูประเมินผลจากการปฏิบัติกิจกรรมการ ? QToupiecstion ทดลอง 3. ครูวัดและประเมินผลจากการทําใบงาน เรื่อง คําช้ีแจง : ใหนักเรียนตอบคาํ ถามตอ ไปนี้ 1. ปฏิกิริยาเคมีหมายถึงอะไร พรอมท้ังยกตัวอยางปฏิกิริยาเคมีท่ีเกิดขึ้นในชีวิตประจําวันมา ปฏกิ ริ ยิ าเคมี 4. ครูวัดและประเมินผลจากการทาํ 1 ตวั อยาง 2. การทําปฏิกิริยาระหวางลวดแมกนีเซียมกับกรดไฮโดรคลอริก จะเกิดแกสไฮโดรเจนเปน Topic Question ผลิตภณั ฑ หากตองการใหเกดิ แกสไฮโดรเจนอยางรวดเรว็ จะสามารถทําไดอยา งไร 3. ปจ จยั ที่มีผลตออัตราการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมมี อี ะไรบา ง 4. เมื่ออณุ หภูมิเพ่มิ ข้นึ อัตราการเกดิ ปฏิกิริยาจะเพิม่ ขน้ึ หรอื ไม เพราะเหตุใด 5. การเติมตวั ยบั ยง้ั ปฏิกิรยิ าจะมผี ลตอการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมอี ยางไร »¯Ô¡ÔÃÔÂÒà¤ÁÕ 123 แนวตอบ Topic Question 1. ปฏกิ ริ ยิ าเคมี คอื กระบวนการเปลย่ี นแปลงของสารตงั้ ตน ไปเปน สารใหม โดยปรมิ าณสารตง้ั ตน จะลดลง ปรมิ าณผลติ ภณั ฑเ พม่ิ ขนึ้ ซง่ึ สามารถเขยี นใหเ ขา ใจงา ย ดว ยสมการเคมี เชน ปฏกิ ริ ยิ าการเกดิ สนมิ เกดิ เมอื่ โลหะทาํ ปฏกิ ริ ยิ ากบั ออกซเิ จน ไดเ ปน สารประกอบออกไซด ดงั สมการ 4Fe + 3O2 + 6H2O 2Fe2O3•3H2O 2. เพิ่มความเขม ขนของกรดไฮโดรคลอริก เพ่มิ พ้ืนทีผ่ ิวของลวดแมกนีเซยี ม 3. ปจจัยทมี่ ผี ลตอ อัตราการเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมี • ธรรมชาตขิ องสารตง้ั ตน สารตง้ั ตนชนดิ หน่ึงอาจเกดิ ปฏิกริ ยิ าไดเ ร็วกบั สารชนดิ หนง่ึ แตอ าจเกดิ ปฏกิ ิริยาไดชา หรอื ไมเ กิดปฏิกริ ิยากับสารอีกชนดิ หนงึ่ • ความเขม ขนของสารตัง้ ตน ถาสารตั้งตนมีความเขม ขน ต่ํา อตั ราการเกิดปฏิกิริยาเคมกี ็จะชา แตถ า สารตัง้ ตน มคี วามเขม ขนสูง อัตราการเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมี กจ็ ะเร็วขนึ้ • พืน้ ที่ผิวของสาร สารตง้ั ตน ที่มพี ้นื ที่ผวิ นอย อตั ราการเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมีก็จะชา แตส ารต้ังตนท่ีมพี ้ืนที่ผวิ มาก อัตราการเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมีก็จะเรว็ • อณุ หภมู ิ เมอื่ อุณหภูมิสงู ขึ้น อัตราการเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมจี ะเพ่ิมขน้ึ แตเ ม่อื อุณหภูมลิ ดลง อัตราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมีจะลดลง • ตวั เรงและตัวยับยง้ั ปฏกิ ิริยา สารทีเ่ ติมลงไปแลวทาํ ใหปฏกิ ริ ยิ าเกดิ เร็วข้ึน เรยี กวา ตัวเรง ปฏกิ ริ ยิ า สว นสารท่ีเตมิ ลงไปแลวทําใหปฏิกริ ยิ าเกดิ ชาลง เรยี กวา ตวั ยับยั้งปฏิกริ ิยา • ความดนั การเพ่ิมความดนั จะชว ยใหสารตัง้ ตน ทีเ่ ปนแกส เกิดปฏกิ ริ ยิ าไดดีขน้ึ 4. เมื่ออุณหภูมิเพิ่มข้ึน อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีจะมีคาเพิ่มข้ึนดวย เน่ืองจากเมื่ออุณหภูมิสูงข้ึน โมเลกุลของสารในระบบจะมีพลังงานจลนสูงข้ึน และมีการ ชนกนั มากข้นึ 5. การเติมตวั ยบั ยั้งปฏกิ ิริยา จะเขา ไปเพิม่ พลงั งานกอ กมั มันต จงึ ทาํ ใหอ ตั ราการเกดิ ปฏิกริ ิยาชาลง T137

นาํ นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขน้ั นาํ 2. »¯¡Ô ÃÔ ÂÔ ÒÃ´Õ Í¡« Prior Knowledge กระตนุ้ ความสนใจ สารในปฏกิ ริ ยิ าเคมบี างชนดิ จะไมม กี ารถา ยโอนอเิ ลก็ ตรอน »¯¡Ô ÃÔ ÂÔ Òà¤ÁàÕ ¡´Ô ¢¹Öé หรือไมมีการเปล่ียนเลขออกซิเดชัน แตสารในปฏิกิริยาเคมี ä´ÍŒ ÂÒ‹ §äà 1. ครูเช่ือมโยงเน้ือหาโดยใหนักเรียนรวมกัน ตอบคาํ ถาม Prior Knowledge จากหนงั สอื เรยี น บางชนิดจะมีการถายโอนอิเล็กตรอน หรือมีการเปลี่ยนเลข วทิ ยาศาสตรกายภาพ 1 (เคมี) ม.5 หนา 124 ออกซเิ ดชนั ปฏกิ ริ ยิ าเคมที ไ่ี มม กี ารถา ยโอนอเิ ลก็ ตรอน หรอื ไมม กี ารเปลยี่ นเลขออกซเิ ดชนั ของธาตทุ อ่ี ยู 2. ครูทบทวนความรู เร่ือง การใหและการรับ ในสารประกอบในสมการเคมี เรยี กวา ปฏกิ ริ ิยานอนรีดอกซ (non-redox reaction) ตัวอยา งเชน อิเล็กตรอนเกิดเปนไอออนบวกและไอออนลบ ปฏกิ ิริยาการตกตะกอน เชน และการใชอิเล็กตรอนรวมกันเกิดเปนโมเลกุล รวมทงั้ คา สภาพไฟฟา ลบ เพอ่ื นาํ เขา สกู ารเรยี น Pb(NO3)2 (aq) + Na2SO4 (aq) PbSO4 (s) + 2NaNO3 (aq) เกย่ี วกบั ปฏกิ ริ ยิ าเคมตี ามลกั ษณะการถา ยโอน อิเล็กตรอน จากสมการ จะเหน็ วา ธาตทุ ุกตัวทอี่ ยใู นสมการไมมกี ารเปลยี่ นแปลงเลขออกซเิ ดชัน ปฏิกิริยาระหวา งกรดกบั เบส เชน ขนั้ สอน HCl (aq) + NaOH (aq) NaCl (aq) + H2O (l) สาํ รวจคน้ หา จากสมการ จะเห็นวา ธาตทุ กุ ตวั ท่อี ยใู นสมการไมมกี ารเปล่ยี นแปลงเลขออกซเิ ดชัน 1. ครใู หน กั เรยี นแบง กลมุ กลมุ ละ 5 คน แตล ะกลมุ รวมกันคนหาความรูเก่ียวกับเลขออกซิเดชัน Science Focus จากหนงั สอื เรยี นหนา 124 หรอื จากอนิ เทอรเ นต็ แลวอภิปรายหาขอสรุป โดยใชเวลาประมาณ àÅ¢ÍÍ¡«Ôപѹ 15 นาที ขณะนกั เรยี นอภปิ ราย สบื คน หาความรู ครอู าจจะเดนิ สาํ รวจการทาํ กจิ กรรมของนกั เรยี น เลขออกซเิ ดชัน คอื คา ประจุไฟฟาทส่ี มมตขิ น้ึ ของไอออนหรืออะตอมของธาตุ โดยคาํ นวณจาก และบอกวา ถาเกิดขอสงสัยใหซักถามครูได การรับหรือการจายอิเล็กตรอน หรือการใชพันธะรวมกัน โดยมีหลักการในการกําหนดเลขออกซิเดชัน ทันที ดงั น้ี • เโลลขหอะหอกมซู 1เิ ดAชันมขีเลอขงอธอาตกุอซิสิเดรชะมนั ีคเปานเปน+10โลเชหน ะหมNู a2AO2มแเี ลลขะออPก4ซเิ ดชนั เปน แนวตอบ Prior Knowledge • +2 • ไฮโดรเจนมีเลขออกซิเดชันเปน +1 ยกเวนเม่ือเปนสารประกอบโลหะไฮไดรด จะมีเลข ปฏิกริ ยิ าเคมีเกิดขึน้ เม่อื โมเลกุลของสารต้ังตน ออกซเิ ดชันเปน -1 หรือสารที่เขา ทําปฏกิ ิรยิ าเกิดการชนกนั ในทิศทาง เปน -1 ••แลเอละอใขกนอซสอเิาจกรนปซมริเดะีเลกชขอันอบขอซอกเูงปซไอเิอดรอชอ อนัอนกเปอไะซนตดอ- 2จมะเยมดกเี่ียเลววขนมอใีคอนากสเซาทรเิาดปกชรับะันปกเปอระนบจเุปข-12ออรงอไอออกอไซนดน ้ันจะมเชีเลนขอNอaก+ซมิเดีเชลนัข ทเี่ หมาะสม และพลงั งานทเี่ กดิ จากการชนตอ งมคี า ออกซเิ ดชันเปน +1 สงู พอทจ่ี ะทาํ ใหพ นั ธะในสารตง้ั ตน สลายไป แลว เกดิ • เลขออกซิเดชันของไอออนท่ีเปนหมูอะตอมมีผลรวมของเลขออกซิเดชันเทากับประจุของ การสรา งพนั ธะใหมเปน ผลติ ภณั ฑไ ด ไอออนน้ัน เชน -S2O42- อะตอมของธาตุ S มีเลขออกซิเดชันเปน +6 และอะตอมของธาตุ O มีเลข ออกซเิ ดชันเปน • ผลรวมของเลขออกซเิ ดชันของสารท่ีเปนกลางทางไฟฟา มีคาเปน 0 124 สื่อ Digital กิจกรรม 21st Century Skills ศึกษาเพม่ิ เตมิ ไดจ ากภาพยนตรส ารคดีส้นั Twig เรือ่ ง ปฏกิ ิริยารดี อกซ ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5 คน ทําการสืบคนขอมูล https://www.twig-aksorn.com/film/glossary/redox-reaction-7112/ เพิ่มเติม เร่ือง ปฏิกิริยารีดอกซในชีวิตประจําวัน แลวนําเสนอ ในรูปแบบของโปสเตอร และนาํ เสนอหนาช้นั เรยี น T138

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ สวนปฏิกิริยาเคมีท่ีมีการถายโอนอิเล็กตรอน ตัวรดี วิ ซ e- คร่งึ ปฏกิ ิรยิ ารดี ักชัน A ขนั้ สอน ระหวางสารตั้งตนจากสารหนึ่งไปอีกสารหนึ่ง ทําใหเลข สาร B ไดรบั อเิ ลก็ ตรอน ออกซิเดชันของธาตุเปล่ียนแปลงไป ซ่ึงจะทาํ ใหอ ะตอม A e- สาํ รวจคน้ หา ของธาตุบางธาตุสูญเสียหรือไดรับอิเล็กตรอน เรียกวา ตัวออกซไิ ดส คร่ึงปฏกิ ิริยาออกซิเดชัน e- 2. ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน ปฏกิ ริ ยิ ารดี อกซ (redox reaction) B สาร A สญู เสียอิเลก็ ตรอน e- B รวมกันศึกษาความรูเก่ียวกับปฏิกิริยารีดอกซ ในปฏกิ ริ ยิ ารดี อกซจ ะประกอบดว ย 2 ปฏกิ ริ ยิ ายอ ย รวบรวมขอมูลที่ไดจากการศึกษา เพื่อนําไปสู ดงั นี้ ภาพท่ี 4.18 ลักษณะของปฏกิ ิรยิ ารีดอกซ ทมี่ า : คลังภาพ อจท. ขน้ั กสาอรอนภิปราย 1. ครึ่งปฏิกิริยาออกซิเดชัน (oxidation reaction) คือ ปฏิกิริยาท่ีมีการจายอิเล็กตรอน อธบิ ายความรู้ เปนปฏกิ ิรยิ าทม่ี ีเลขออกซเิ ดชนั เพิ่มขนึ้ โดยสารที่ทําหนา ท่ีจายอิเล็กตรอนใหแ กสารอนื่ แลว เลข ออกซเิ ดชันเพ่มิ ขนึ้ เรียกวา ตัวรีดิวซ (reducing agent) เชน นักเรียนแตละกลุมรวมกันอภิปราย แลวสรุป ผลการอภปิ ราย โดยครอบคลมุ ในประเดน็ ตอ ไปนี้ Zn (s) Zn2+ (aq) + 2e- • คร่งึ ปฏิกิรยิ าออกซิเดชัน ตวั รดี ิวซ • ครง่ึ ปฏกิ ิรยิ ารีดักชัน • ตัวออกซิไดส จากปฏกิ ริ ิยา จะเห็นไดว า Zn จาย 2 อเิ ล็กตรอน กลายเปน Zn2+ เลขออกซิเดชันของ • ตวั รดี วิ ซ Zn จึงเปลี่ยนจาก 0 เปน +2 • สารทถ่ี ูกออกซไิ ดส 2. ครง่ึ ปฏกิ ริ ยิ ารดี กั ชนั (reduction reaction) คอื ปฏกิ ริ ยิ าทมี่ กี ารรบั อเิ ลก็ ตรอน เปน ปฏกิ ริ ยิ า ขนั้ •สสอานรที่ถูกรีดวิ ซ ทมี่ ีเลขออกซเิ ดชันลดลง โดยสารท่ีทาํ หนา ทรี่ บั อิเล็กตรอนจากสารอ่นื แลว เลขออกซิเดชันลดลง เรียกวา ตวั ออกซิไดส (oxidizing agent) เชน ขยายความเขา้ ใจ Cu2+ (aq) + 2e- Cu (s) 1. ครใู หน กั เรยี นชว ยกนั ตอบคาํ ถาม Topic Question จากหนงั สอื เรยี น หนา 126 เพอ่ื เปน การตรวจสอบ ตัวออกซิไดส ความเขาใจของนกั เรียน จากปฏกิ ริ ยิ า จะเห็นไดวา Cu2+ รบั 2 อิเลก็ ตรอน กลายเปน Cu เลขออกซิเดชันของ 2. ครเู ปดโอกาสใหนกั เรยี นสอบถามเน้ือหา เรอ่ื ง Cu2+ จงึ เปล่ยี นจาก +2 เปน 0 ปฏิกิริยารีดอกซ วามีสวนไหนท่ียังไมเขาใจ และใหความรูเพิ่มเติมในสวนน้ัน โดยท่ีครู เม่อื รวมทงั้ 2 ปฏิกริ ยิ าเขา ดว ยกนั จะเกดิ เปนปฏิกริ ยิ ารดี อกซ ดงั นี้ อาจจะใช PowerPoint เรอ่ื ง ปฏกิ ิรยิ ารีดอกซ ชว ยในการอธิบาย +2 0 0 +2 Cu2+ (aq) + Zn (s) Cu (s) + Zn2+ (aq) ปฏกิ ริ ยิ าออกซเิ ดชันและปฏกิ ริ ยิ ารีดกั ชนั จะเกดิ ควบคูก นั เสมอ ดงั นั้น ปฏิกริ ิยารีดอกซ จงึ เรียกอีกช่ือหน่ึงวา ปฏิกริ ิยาออกซเิ ดชนั -รีดักชัน (oxidation-reduction reaction) »¯Ô¡ÔÃÔÂÒà¤ÁÕ 125 ขอสอบเนน การคดิ แนว O-NET เกร็ดแนะครู จากปฏกิ ริ ยิ ารดี อกซต อไปน้ี Ni (s) + 2Ag+ (aq) Ni2+ (aq) + 2Ag (s) ครูอธิบายเพิ่มเติมเกย่ี วกับวิธกี ารดลุ สมการของปฏกิ ริ ยิ ารีดอกซ ดังน้ี 1. หาเลขออกซิเดชันท่ีเพิ่มข้ึนของตัวรีดิวซและเลขออกซิเดชันที่ลดลง ขอความในขอ ใดกลา วถูกตองที่สดุ2. Ag+ เปน ตัวรดี ิวซ ของตวั ออกซไิ ดส 1. Ni เปนตัวรีดิวซ 2. ทาํ เลขออกซเิ ดชนั ทเี่ พมิ่ ขน้ึ และลดลงใหเ ทา กนั โดยเขยี นเลขออกซเิ ดชนั 3. Ni เปนตัวออกซไิ ดส 4. Ag+ มเี ลขออกซเิ ดชนั เพมิ่ ขนึ้ ทเี่ พิ่มขึ้นไวข า งหนาตวั ออกซไิ ดส และเลขออกซเิ ดชนั ทีล่ ดลงไวหนา ตวั รดี ิวซ 5. Ni Ni2+ + 2e- เปน ปฏกิ ริ ยิ ารีดักชนั 3. ดุลจํานวนอะตอมของธาตุท่ีมกี ารเปลีย่ นแปลงเลขออกซิเดชัน 4. ดลุ ประจรุ วมทางซา ยและทางขวาของสมการใหเทากนั โดยเตมิ H+ (วิเคราะหคําตอบ จากสมการจะเห็นวา Ni มีเลขออกซิเดชัน เพม่ิ ข้นึ จาก 0 เปน +2 แสดงวา Ni เปน ตัวรีดวิ ซ เกิดปฏกิ ริ ยิ า หมายเหตุ : ในกรณีที่อยูในสารละลายกรดจะเติม H+ แตถาอยูใน ออกซิเดชนั ดังนี้ Ni Ni2+ + 2e- สว น Ag มเี ลขออกซเิ ดชนั สารละลายเบสจะเติม OH- ลดลงจาก +1 เปน 0 แสดงวา Ag+ เปน ตวั ออกซิไดส เกดิ ปฏกิ ิริยา รดี ักชนั ดังนี้ Ag+ + e- Ag ดงั นั้น ตอบขอ 1.) 5. ดลุ จาํ นวนอะตอมของธาตุออกซิเจนและไฮโดรเจนดวยการเติม H2O T139

นาํ สอน สรุป ประเมิน ขน้ั สรปุ ปฏกิ ิรยิ ารดี อกซส ามารถนํามาใชป ระโยชนใ นชวี ิตประจําวนั ไดม ากมาย ยกตวั อยางเชน 1. การลบรอยผาเปอนสนิมเหล็ก สนิมเหล็กเกิดจากปฏิกิริยาระหวางเหล็กกับออกซิเจน ตรวจสอบผล และน้ํา ไดไอรอน (II) ไฮดรอกไซด (Fe(OH)2) ซึ่งจะทําปฏิกิริยาตอแกสออกซิเจน เกิดเปน ผลึกไอรอน (III) ออกไซด (Fe2O3•nH2O) ซ่ึงก็คือ สนิมเหล็กนั่นเอง เนื่องจาก Fe(OH)2 ครูและนักเรียนรวมกันสรุป เร่ือง ปฏิกิริยา เปนสาเหตุของการเกิดสนิมเหล็ก ซ่ึงเปนรอยเปอนที่ลบออกไดยาก ดังนั้น การลบรอยเปอน รีดอกซใหไดขอสรุป ดังน้ี ปฏิกิริยารีดอกซ คือ ปสนฏิมิกเิรหิยลา็กกจับะใFชeก3ร+ดอในอสกนซิมาลเหิกล(็กH2แCล2วOล4ะ)ลทายีแ่ รตอกยตเัวปใอหนอ สอนกซิมาเหเลลต็กไออออกอมนาเ(ปCน2Oไอ42-อ)อทนส่ีเชาิงมซาอรถนทไดาํ  ปฏกิ ริ ยิ าทม่ี กี ารใหแ ละรบั อเิ ลก็ ตรอนซงึ่ ประกอบดว ย ดังสมการ 2 ครึ่งปฏิกิริยา ไดแก ปฏิกิริยาออกซิเดชัน เปนปฏิกิริยาที่มีการใหอิเล็กตรอน ซ่ึงสารท่ีให Fe2O3• nH2O อิเล็กตรอนจะมีเลขออกซิเดชันเพิ่มข้ึน เรียกวา ตัวรีดิวซ และปฏิกิริยารีดักชัน เปนปฏิกิริยาท่ีมี Fe3+(aq) + 3C2O42-(aq) [(Fe(C2O4)3]3-(aq) การรบั อเิ ลก็ ตรอน ซง่ึ สารทร่ี บั อเิ ลก็ ตรอนจะมเี ลข ออกซเิ ดชันลดลง เรยี กวา ตัวออกซิไดส ไตรออกซาเลตไอรอน (III) ไอออน ขน้ั ประเมนิ 2. การทาํ พมิ พเ ขยี ว หรอื กระดาษพมิ พเ ขยี ว เปน กระดาษทมี่ พี น้ื สนี า้ํ เงนิ นาํ มาใชอ ดั สาํ เนาใน การเขยี นแบบกอ สรา ง ทาํ ไดโ ดยนาํ กระดาษมาฉาบดว ยสารละลายผสมระหวา งโพแทสเซยี มเฮกซะ- ตรวจสอบผล ซไซึ่งยเมาโื่อนถเฟูกแอสเรงตซ(ิเIตIIร)ต(ไKอ3อ[Fอeน(CไNดร)6ีด])ิวแซลไะอแรออมนโม(เIนIIยี )มไ(Fอeร3อ+น) (เIปII)นซไอเิ ตรรอตน[(N(IHI)4)F(Fee(H2+2)C6แHล5วOเ71ก)74ิด]p7.5 สารสีนํ้าเงินข้ึนบนกระดาษ สวนกระดาษท่ีไมถูกแสงจะยังคงเปนสีขาวเหมือนเดิม เม่ือนํา 1. ครูสังเกตพฤติกรรมการเรยี นรูและการรว ม กระดาษทไ่ี ดไ ปลา งดวยนํ้า แลว ทําใหแหง ก็จะไดก ระดาษพมิ พเ ขียวออกมา กจิ กรรมของนักเรยี น 2. ครสู ังเกตการตอบคําถามของนักเรยี น 3. ครูตรวจสอบผลจากใบงาน เรอื่ ง ปฏิกริ ิยา รีดอกซ 4. ครูวดั และประเมนิ ผลจากการตอบคาํ ถาม Topic Question ? TQoupiecstion คาํ ช้แี จง : ใหนักเรยี นตอบคําถามตอ ไปนี้ 1. ใหนักเรยี นอธิบายความหมายของปฏกิ ริ ิยาตอ ไปนี้ ก. ปฏกิ ิรยิ ารีดักชัน ข. ปฏกิ ิรยิ านอนรีดอกซ ค. ครง่ึ ปฏิกริ ยิ าออกซิเดชนั 2. จากปฏิกิรยิ าท่ีกาํ หนดใหตอ ไปน้ี จงระบวุ า สารใดเปนตวั รดี ิวซ และสารใดเปน ตวั ออกซไิ ดส ก. 2Mg (s) + O2(g) 2MgO (s) ข. Cd (s) + +I2(Fge)2+(aq) Cd2+(aq) + 2I-(aq) ค. Ag+(aq) Ag(s) + Fe3+(aq) 126 แนวทางการวัดและประเมินผล แนวตอบ Topic Question ครูสามารถวัดและประเมินความเขาใจในเนื้อหา เร่ือง ปฏิกิริยารีดอกซ 1. ก. ปฏิกิริยารีดักชัน คือ ปฏิกิริยาที่มีการรับอิเล็กตรอน เปนปฏิกิริยา ไดจากพฤติกรรมการทําใบงาน โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจาก ท่มี เี ลขออกซเิ ดชนั ลดลง แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคลท่ีอยูในแผนการจัดการเรียนรู หนวยท่ี 4 ปฏิกิริยาเคมี ข. ปฏิกิริยานอนรีดอกซ คือ ปฏิกิริยาท่ีไมมีการถายโอนอิเล็กตรอน หรอื ไมม กี ารเปลย่ี นแปลงของเลขออกซเิ ดชนั แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรายบุคคล ค. คร่ึงปฏิกิริยาออกซิเดชัน คือ ปฏิกิริยาที่มีการจายอิเล็กตรอน คาชแ้ี จง : ให้ผสู้ อนสงั เกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหวา่ งเรยี นและนอกเวลาเรียน แล้วขดี ✓ลงในช่องท่ี เปนปฏิกริ ิยาที่มีเลขออกซเิ ดชันเพ่ิมข้ึน ตรงกบั ระดบั คะแนน 2. ก. Mg เปนตวั รดี ิวซ และ O2 เปน ตัวออกซิไดส ลาดบั ที่ รายการประเมนิ ระดบั คะแนน 1 32 1 การแสดงความคิดเหน็   ข. Cd เปนตัวรดี วิ ซ และ AI2gเป+ นเปตนวั ตออัวอกอซกิไดซสิได ส ค. Fe2+ เปนตวั รีดิวซ และ 2 การยอมรับฟังความคดิ เหน็ ของผูอ้ น่ื   3 การทางานตามหน้าท่ีที่ได้รับมอบหมาย   4 ความมนี ้าใจ   5 การตรงต่อเวลา   รวม เกณฑก์ ารให้คะแนน ลงชอ่ื ................................................... ผูป้ ระเมิน ปฏบิ ตั ิหรอื แสดงพฤตกิ รรมอย่างสม่าเสมอ ............/.................../................ ปฏบิ ัติหรือแสดงพฤตกิ รรมบ่อยครัง้ ให้ 3 คะแนน ปฏบิ ัตหิ รอื แสดงพฤติกรรมบางครง้ั ให้ 2 คะแนน ให้ 1 คะแนน เกณฑก์ ารตดั สนิ คุณภาพ ช่วงคะแนน ระดบั คณุ ภาพ 14–15 ดมี าก 11–13 ดี 8–10 พอใช้ ต่ากว่า 8 ปรบั ปรุง T140 6

นาํ นํา สอน สรปุ ประเมนิ 3. ¸ÒµØ¡ÁÑ Á¹Ñ µÃ§Ñ ÊÕ Prior Knowledge ขน้ั นาํ ¸ÒµªØ ¹´Ô ˹§Öè ÊÒÁÒöà»ÅÂèÕ ¹ ในตารางธาตยุ งั มธี าตอุ กี กลมุ หนงึ่ ซง่ึ มสี มบตั ทิ แ่ี ตกตา งไป ä»à»š¹¸ÒµØÍÕ¡ª¹Ô´ กระตนุ้ ความสนใจ จากธาตอุ น่ื ๆ ทไี่ ดศ กึ ษาไปแลว กลา วคอื ธาตกุ ลมุ นส้ี ามารถแผ ˹§èÖ ä´ËŒ ÃÍ× äÁ‹ รงั สแี ลว กลายเปนอะตอมของธาตใุ หมได 1. ครูนําเขาสูบทเรียนเก่ียวกับธาตุกัมมันตรังสี โดยถามคําถาม Prior Knowledge จาก ในป พ.ศ. 2439 อองตวน อองรี เบก็ เคอเรล (Antoine Henri หนังสือเรียนวิทยาศาสตรกายภาพ 1 (เคมี) Becquerel) นกั วทิ ยาศาสตรช าวฝรง่ั เศส พบวา แผน ฟล ม ถา ยรปู ที่ ม.5 หนา 127 นักเรียนชวยกันอภิปรายและ หอ หมุ ดว ยกระดาษดาํ ทเ่ี กบ็ รวมไวก บั สารประกอบของยเู รเนยี มจะ แสดงความคดิ เหน็ ไดอ ยางอิสระ มลี กั ษณะเหมอื นถกู แสงสวา ง เขาจงึ ทาํ การทดลองเกบ็ แผน ฟล ม ไวก บั สารประกอบของยเู รเนยี มชนดิ อนื่ ๆ ซง่ึ พบวา ผลทเี่ กดิ ขน้ึ 2. ครูถามคําถามเพื่อเปนการกระตุนใหนักเรียน เปน เชน เดยี วกนั เขาจงึ สรปุ วา เหตกุ ารณเ ชน นเี้ กดิ ขน้ึ เนอ่ื งจากธาตุ รว มกันคิด ภาพที่ 4.19 เบก็ เคอเรล ยเู รเนยี มมสี มบตั ใิ นการแผร งั สอี อกมาได • ธาตุที่สามารถแผรังสีออกมา คอื ธาตุอะไร ทมี่ า : คลังภาพ อจท. (แนวตอบ ธาตกุ มั มนั ตรังสี) • รงั สีที่แผอ อกมาจากธาตุ เรยี กวาอะไร ตอมา ปแ อร กูรี (Pierre Curie) และมารี กูรี (Marie (แนวตอบ กมั มนั ตภาพรังสี) Curie) นักวิทยาศาสตรคูสามีภรรยาชาวฝรั่งเศส ไดคนพบ เพมิ่ เตมิ วา ธาตยุ เู รเนยี มไมไ ดเ ปน ธาตเุ พยี งชนดิ เดยี วทสี่ ามารถ 3. นักเรียนรวมกันตอบคําถามและแสดงความ แเชผนร งัเดสียีอวอกกันมาไเดชนแตธยาังตมุพีธาอตโลุอเน่ื นๆียมท1สี่ เารมเดารียถมแ2ผทร อังสเรีอียอมก3มโาดไดย คดิ เหน็ เกย่ี วกบั คาํ ตอบของคาํ ถาม เพอื่ เชอ่ื มโยง ปรากฏการณท่ีธาตุแผรังสีไดเองอยางตอเนื่องนี้ เรียกวา ไปสูก ารเรียนรูเร่ือง ธาตกุ ัมมันตรังสี กัมมนั ตภาพรงั สี ซ่ึงเปนการเปลี่ยนแปลงภายในนิวเคลยี สของ อะตอมของธาตทุ อ่ี ยใู นสภาวะทไ่ี มเ สถยี ร และเรยี กธาตตุ า ง ๆ ที่ แนวตอบ Prior Knowledge มสี มบัตใิ นการแผรงั สวี า ธาตกุ มั มนั ตรงั สี ภาพที่ 4.20 ปแ อร กรู ี และมารี กูรี ได เชน ธาตุกัมมันตรังสีสามารถแผรังสีแลว พลังงาน ที่มา : คลังภาพ อจท. กลายเปนอะตอมของธาตใุ หมไ ด อะตอม กมั มันตภาพรังสี อนภุ าค ภาพท่ี 4.21 การแผรังสขี องอะตอม ท่ีมา : คลงั ภาพ อจท. การแผรังสีของธาตุกัมมันตรังสีเหลาน้ีเกิดขึ้นในไอโซโทปของธาตุท่ีมีจํานวนนิวตรอน มากกวาโปรตอนมาก ทําใหนิวเคลียสของธาตุไมเสถียร จึงตองมีการเปลี่ยนแปลงไปเปนธาตุ ทชทนมอ่ี เดิคี รวยีโาดมมยเพ(ส2บ39ถ20วยีTารhมธ)าาจกตะขสุสน้ึวานมโใดาหรยญถกแทาผรมี่ ปรเี งัลลสขดีไปอดะล ตอ อยมพสลงู งั กงวาานส8ว3นเเชกน นิ อธาอตกเุมรเาดในยี รมปู (ข228อ68งRอaน)ภุ ย»าเู รค¯เÔ¡หนÔÃรยี ÔÂอื มÒ4รà¤งั(Á2ส3Õ9บี82U1าง2)7 ขอ สอบเนน การคดิ แนว O-NET นักเรียนควรรู รังสีหรืออนุภาคชนิดใดใชในการเหนี่ยวนําใหเกิดการกลาย ในสิง่ มชี ีวิต 1 พอโลเนียม มีเลขอะตอม 84 มีสัญลักษณ คือ Po เปนธาตุกึ่งอโลหะ 1. บตี า 2. แกมมา มสี มบัติทางเคมีคลา ยเทลลูเรียมและบสิ มัท พบอยใู นแรย ูเรเนยี ม 3. แอลฟา 4. ไมโครเวฟ 2 เรเดยี ม มเี ลขอะตอม 88 มสี ญั ลกั ษณ คอื Ra เปน ธาตโุ ลหะแอลคาไลนเ อริ ท 5. อนิ ฟราเรด ขณะบริสุทธิ์มีสีขาว และจะดําลงเม่ือสัมผัสกับอากาศในธรรมชาติ พบอยูกับ แรยูเรเนียม เรเดียมเปนธาตุกัมมันตรังสีชนิดเขมขน ไอโซโทปที่เสถียร คือ (วิเคราะหคําตอบ รังสีแกมมามีพลังงานสูง จึงกอใหเกิดการ Ra-226 และจะสลายกลายเปน แกสเรดอน เปล่ียนแปลงกับ DNA ซึ่งเปนสารพันธุกรรมในสิ่งมีชีวิตได 3 ทอเรียม มีเลขอะตอม 90 มีสัญลักษณ คือ Th เปนโลหะกัมมันตรังสี โดยปกตสิ ารพนั ธกุ รรมของสงิ่ มชี วี ติ มหี นา ทค่ี วบคมุ ลกั ษณะตา งๆ ตามธรรมชาติ เมื่อบริสุทธ์ิมีสีเงินวาว ออนนุม เมื่อสัมผัสกับอากาศจะหมอง ของสง่ิ มชี วี ติ ดงั นนั้ เมอื่ สารพนั ธกุ รรมมกี ารเปลย่ี นแปลงจะทาํ ให เปน สนี าํ้ ตาลหรือสดี ํา มีอัตราการแผรงั สีมากกวา ยเู รเนียม หนวยพันธุกรรมเกิดการเปล่ียนแปลงไป สิ่งมีชีวิตจึงเกิดการ 4 ยเู รเนยี ม มีเลขอะตอม 92 มีสัญลกั ษณ คือ U เปนธาตุโลหะกมั มนั ตรงั สี กลายข้นึ ดงั น้นั ตอบขอ 2.) ตามธรรมชาติ มีลกั ษณะสีเงินวาว อยใู นกลมุ แอกทไิ นด T141