นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขนั้ สอน อนุภาคหรือรงั สที ี่แผหรือสลายตัวออกมาจากธาตกุ ัมมันตรงั สีแบงออกเปน 3 ชนิด ซึง่ จะมี ลักษณะ สมบตั ิ และอํานาจทะลทุ ะลวงทแี่ ตกตา งกนั ดังนี้ สาํ รวจคน้ หา α ͹ØÀÒ¤áÍÅ¿Ò alpha particle β ͹ØÀÒ¤ºÕµÒ ครใู หน ักเรยี นแบงกลมุ กลุม ละ 4 คน ครใู ห beta particle นักเรียนแตละกลุมรวมกันสืบคนขอมูลเก่ียวกับ γ ÃѧÊÕá¡ÁÁÒ กัมมันตภาพรังสี รวมกันอภิปรายแหลงกําเนิด gamma ray ชนิด และการสลายตัวของธาตุกัมมันตภาพรังสี รวมท้ังการนําไปใชประโยชน จากหนังสือเรียน กระดาษ แผน อะลมู ิเนียม คอนกรตี หรือหนงั สอื คนควาเพ่มิ เติมตามความเหมาะสม ภาพท่ี 4.22 อาํ นาจการทะลทุ ะลวงของรงั สชี นิดตา งๆ อธบิ ายความรู้ ท่มี า : คลงั ภาพ อจท. 1. ครูสุมนักเรียน 3-4 กลุม ออกมาอธิบาย ตารางท่ี 4.1 : ชนิดและสมบัติของอนภุ าค เก่ียวกับกัมมันตภาพรังสี รวมกันอภิปราย แหลงกําเนิด ชนดิ และการสลายตัวของธาตุ อนภุ าค แอลฟา บตี า แกมมา กมั มนั ตภาพรงั สี รวมทง้ั การนาํ ไปใชป ระโยชน ลกั ษณะ • มีสญั ลกั ษณเปน γ หนา ช้ันเรียน และสมบตั ิ • หมีสรือัญล42Hักษeณเปน α • มีสญั ลกั ษณเ ปน β หรือ -01e • เปน คล่ืนแมเหล็กไฟฟา • มสี มบัตเิ หมอื นอเิ ล็กตรอน ทีม่ คี วามยาวคล่นื สน้ั มาก 2. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปความรูเกี่ยวกับ • มีโปรตอนและนิวตรอน • ไมม ปี ระจไุ ฟฟา และไมม มี วล กัมมันตภาพรังสี โดยใหไดขอสรุปวา ธาตุ อยางละ 2 อนภุ าค • มปี ระจุไฟฟา -1 • ไมเ บยี่ งเบนใน กัมมันตรังสีเปนธาตุที่สามารถแผรังสีได • มีประจไุ ฟฟา +2 • เบยี่ งเบนในสนามไฟฟา สนามไฟฟา 3 ชนิด คือ อนุภาคแอลฟา อนุภาคบีตา • เบย่ี งเบนในสนามไฟฟา เขา หาขวั้ บวก และรงั สแี กมมา เรยี กรงั สขี องธาตทุ แี่ ผอ อกมา มีอาํ นาจทะลุทะลวงสงู วา กมั มันตภาพรงั สี สามารถผานแผนตะก่ัว หนาประมาณ 8 มิลลิเมตร เขา หาข้ัวลบ หรอื แผน คอนกรีตหนา ๆ ได อํานาจ มีอํานาจทะลทุ ะลวงตา่ํ มอี ํานาจทะลุทะลวงสูงกวา ทะลุทะลวง กระดาษท่ีหนาประมาณ อนภุ าคแอลฟาประมาณ 2-3 เซนตเิ มตร หรอื โลหะ 100 เทา สามารถผานตะกวั่ บาง ๆ สามารถกั้นอนุภาค ที่หนาประมาณ 1 มิลลิเมตร แอลฟาได หรือแผน อะลูมเิ นยี มหนา ประมาณ 5 มิลลเิ มตรได นอกจากอนุภาคแอลฟา อนภุ าคบีตา และรังสแี กมมาแลว ยังมอี นุภาคหรือรงั สีชนิดอืน่ ๆ ทีเ่ กิดจากการแผรังสขี องธาตุกัมมนั ตรงั สที น่ี า สนใจอกี เชน โพซิตรอน (β+ หรอื 01e) นวิ ตรอน(10n หรอื n) โปรตอน (11H หรือ p) ดวิ เทอรอน (21D หรอื 21H) 128 ธาตุกมั มันตรงั สี ส่ือ Digital ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET ศกึ ษาเพมิ่ เติมไดจากภาพยนตรส ารคดีส้ัน Twig เรื่อง สารกมั มนั ตรังสี ขอใดเปน สมบตั ขิ องอนภุ าคแอลฟา https://www.twig-aksorn.com/film/radioactive-substances-8325/ 1. เปนคลน่ื แมเ หลก็ ไฟฟา 2. มสี มบตั เิ หมอื นโปรตอน 3. มสี มบัติเหมอื นอเิ ลก็ ตรอน 4. เปนนวิ เคลยี สของอะตอมฮีเลยี ม 5. มอี ํานาจในการทะลทุ ะลวงสูงทส่ี ุด (วเิ คราะหค าํ ตอบ รงั สแี อลฟา ประกอบดว ยโปรตอนและนวิ ตรอน อยางละ 2 อนุภาค ซึ่งเปนอนุภาคท่ีมีสมบัติเหมือนนิวเคลียส ของอะตอมฮีเลียม ดงั น้นั ตอบขอ 4.) T142
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ 3.1 ¤Ã§Öè ªÕÇÔµ¢Í§¸Òµ¡Ø ÁÑ ÁѹµÃ§Ñ ÊÕ ขนั้ สอน ธาตุกัมมันตรังสีสามารถเกิดการสลายตัวปลดปลอยรังสีไดเองตลอดเวลา แตจะชาหรือเร็ว ขยายความเขา้ ใจ แตกตางกันไปตามธาตุแตละชนิด โดยนักเคมีจะบอกปริมาณการสลายตัวของธาตุกัมมันตรังสี ดว ยคา ครงึ่ ชีวิต (half-life) ซงึ่ เปนระยะเวลาท่ีสารกัมมนั ตรงั สีสลายตัวจนเหลอื เพยี งครงึ่ หน่ึงของ 1. ครใู หค วามรเู พม่ิ เตมิ เกย่ี วกบั การสลายตวั ของ ปรมิ าณเดมิ ตัวอยา งเชน ธาตุกัมมันตภาพรังสีวา รังสีที่แผออกมาจาก ธาตุกัมมันตรังสีเกิดจากนิวเคลียสในอะตอม • ธาตซุ ัลเฟอร-35 มีครึง่ ชีวิต 87 วัน แสดงวา หากมซี ลั เฟอร-35 เร่มิ ตน 8 กรัม เม่ือ ของธาตุซึ่งไมเสถียร จึงตองมีการสลายตัว เวลาผานไป 87 วัน จะเหลือธาตุซัลเฟอร-35 อยู 4 กรัม และเมื่อเวลาผานไปอีก 87 วัน และแผรังสีออกมา เพื่อเปลี่ยนไปเปนอะตอม จะเหลอื ธาตซุ ลั เฟอร- 35 อยู 2 กรมั ที่มีเสถียรภาพมากข้ึน เม่ือธาตุกัมมันตรังสี แผรังสีออกมาแลวจะเกิดการสลายตัว ลด • ธาตฟุ อสฟอรสั -32 มีคร่งึ ชีวติ 14.3 วนั แสดงวา หากมีฟอสฟอรสั -32 เร่มิ ตน 20 กรัม ปรมิ าณลงไปดว ย โดยเราเรยี กระยะเวลาทธ่ี าตุ เมอ่ื เวลาผา นไป 14.3 วนั จะเหลอื ธาตฟุ อสฟอรสั -32 อยู 10 กรมั และเมอ่ื เวลาผา นไปอกี 14.3 วนั กัมมันตรังสีสลายตัวไปจนเหลือคร่ึงหน่ึงของ จะเหลอื ธาตุฟอสฟอรสั -32 อยู 5 กรมั ปรมิ าณเดิมวา ครึ่งชีวติ (half-life) ครงึ่ ชวี ติ เปน สมบตั เิ ฉพาะตวั ของแตล ะไอโซโทป และสามารถใชเ ปรยี บเทยี บอตั ราการสลายตวั 2. ครูตรวจสอบความเขาใจของนักเรียน เรื่อง ของธาตกุ ัมมนั ตรังสี แสดงดังตารางที่ 4.2 คร่ึงชีวิตของธาตุ โดยถามคําถาม H.O.T.S. กับนักเรียน ตารางท่ี 4.2 : ครง�ึ ชีวิตของไอโซโทปกมั มนั ตรังสีบางชนิด ไอโซโทปกัมมันตรังสี ครึ่งชวี ติ รังสที ี่แผอ อกมา C-14 5,730 ป β Na-25 β K-40 1 วินาที β Co-60 1.3 × 109 ป β I-131 β Po-214 5.3 ป α Ra-226 U-235 8.1 วนั α และ γ 1.6 × 10-4 วนิ าที α 1,600 ป 4.5 × 109 ป คาํ ถามทา ทายการคดิ ขน้ั สงู แนวตอบ H.O.T.S. ธาตกุ มั มนั ตรังสี Z มีครง่ึ ชีวติ เทากับ 3,000 ป นกั ธรณีวิทยาคนพบซากของสัตวโบราณที่มี ธาตุ Z เร่มิ ตน มปี รมิ าณ 8 กรัม มีคร่งึ ชวี ติ ปริมาณธาตุกมั มันตรังสี Z เหลืออยู 0.25 กรมั ถา เริ่มตน ซากของสัตวโ บราณนี้มปี รมิ าณ เทา กับ 3,000 ป ธาตกุ ัมมนั ตรงั สี Z อยู 8 กรมั สตั วโบราณนม้ี ีชวี ิตโดยประมาณเมื่อก่ีปม าแลว 8 4 2 1 0.5 0.25 แสดงวา ธาตุ Z ผานไป 5 ครึ่งชวี ิต »¯Ô¡ÔÃÔÂÒà¤ÁÕ 129 ดังนนั้ สัตวโ บราณนี้ มชี ีวติ โดยประมาณเม่อื 3,000 × 5 = 15,000 ป ขอ สอบเนน กาขรอ คสอดิ บแเนนวนOก-าNรคETิด เกร็ดแนะครู ธาตุกัมมันตรังสีธรรมชาติ X มีคร่ึงชีวิตเทากับ 5,000 ป ครอู าจสอนเพมิ่ เติมเกย่ี วกบั การหาครง่ึ ชวี ติ ของธาตโุ ดยการใชส ูตร ดงั นี้ นั ก ธ ร ณี วิ ท ย า ค น พ บ ซ า ก ข อ ง สั ต ว โ บ ร า ณ ที่ มี ป ริ ม า ณ ธ า ตุ Nเหลอื = Nเ2ริ่มnตน หรือ Nเร่มิ ตน กัมมันตรังสี X เหลืออยูเพียง 6.25% ของปริมาณเริ่มตน Nเหลอื = 2T/t1/2 สตั วโ บราณนี้มชี ีวติ โดยประมาณเม่อื ก่ีปม าแลว Nเรมิ่ ตน คอื จาํ นวนธาตกุ ัมมนั ตรงั สเี ร่มิ ตนกอ นการสลายตัว 1. 5,000 ป 2. 10,000 ป Nเหลอื คือ จาํ นวนธาตุกัมมนั ตรงั สีทีเ่ หลอื หลงั จากการสลายตวั 3. 15,000 ป 4. 20,000 ป 5. 25,000 ป n คอื จาํ นวนครงั้ ในการสลายตัวของธาตกุ ัมมนั ตรงั สี T คอื จํานวนเวลาที่ธาตุกัมมันตรงั สสี ลายตวั (วเิ คราะหค าํ ตอบ 100% 50% 25% 12.5% 6.25% t1/2 คอื คา ครงึ่ ชีวติ ของธาตุกมั มันตรงั สี ธาตกุ ัมมันตรังสี X จะเหลืออยู 6.25% แสดงวา ธาตุ X ผา นไป 4 ครงึ่ ชีวติ ดังนนั้ สตั วโบราณน้ีมชี วี ติ อยู โดยประมาณ 5,000 × 4 = 20,000 ปม าแลว ดังนัน้ ตอบขอ 4.) T143
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขน้ั สอน 3.2 »ÃÐ⪹¢ ͧ¸ÒµØ¡ÑÁÁѹµÃ§Ñ ÊÕ สาํ รวจคน้ หา ธาตุกัมมนั ตรงั สีสามารถนํามาใชป ระโยชนในชีวิตประจําวนั ไดหลายดา น ดงั นี้ 1. ครูใหนกั เรยี นแบงกลุม กลมุ ละ 5 คน ดา นการแพทย ดานอตุ สาหกรรม ศึกษาประโยชนข องธาตกุ มั มนั ตรังสี จากนัน้ ใหสมาชกิ ในกลมุ จบั สลากตามหมายเลข 1-5 • ใชไ อโอดนี -131 (I-131) ในการตดิ ตามความผิดปกติของตอมไทรอยด • ใชธาตุกัมมันตรังสีตรวจหารอย เพ่ือแบง กนั ศกึ ษาคนละเรอื่ ง ดงั น้ี • ใชโคบอลต-60 (Co-60) เรเดยี ม-226 (R-226) ในการรักษาโรคมะเร็ง ตาํ หนติ า ง ๆ • หมายเลขท่ี 1 คือ ดานการแพทย • ใชฟอสฟอรสั -32 (P-32) ในการตรวจดูการทํางานของตาและตบั • ใชธ าตกุ มั มนั ตรงั สตี รวจสอบและ • หมายเลขท่ี 2 คอื ดานอุตสาหกรรม • ใชไ อโอดีน-132 (I-132) ในการติดตามดูภาพสมอง ควบคุมความหนาของวตั ถุ • หมายเลขท่ี 3 คอื ดานธรณีวทิ ยา • ใชเทคนีเซียม-99 (Tc-99) ในการตดิ ตามดูภาพหวั ใจ ตบั และปอด • ใชรังสีจากธาตุกัมมันตรังสีฉาย • หมายเลขท่ี 4 คือ ดา นพลังงาน • ใชส ทรอนเชียม-87 (Sr-87) ในการตรวจดกู ารทํางานของกระดูก บนอญั มณีเพือ่ ใหม สี สี นั สวยงาม • หมายเลขท่ี 5 คือ ดานเกษตรกรรม • ใชโซเดียม-24 (Na-24) ในการตรวจดูระบบหมุนเวียนของเลือดใน รางกาย 2. จากน้ันใหนําเรื่องท่ีตนเองศึกษามาอธิบาย ดานถนอมอาหาร ดา นธรณวี ิทยา ดานพลงั งาน ใหเ พอ่ื นในกลมุ ฟง แลว ใหส มาชกิ ทกุ คนในกลมุ ชวยกันตรวจสอบความถูกตอง และจดลงใน สมดุ บนั ทกึ ของนกั เรยี นแตล ะคน หรอื นาํ ขอ มลู ที่รวบรวมไดมาจดั เปนแผน พับ/ปา ยนเิ ทศ ใชร งั สแี กมมาของธาตโุ คบอลต- 60 ใชค ารบ อน-14 (C-14) โพแทสเซยี ม ใชพลังงานความรอนที่ไดจาก (Co-60) ในปริมาณที่เหมาะสม -40 (K-40) และยูเรเนียม-238 ปฏิกิริยานิวเคลียรในเตาปฏิกรณ เพื่อทําลายแบคทีเรยี ในอาหาร (U-238) ในการคํานวณหาอายุ ปรมาณขู องยเู รเนยี ม-238 (U-238) ของวตั ถโุ บราณและโครงกระดกู มาตมนา้ํ ใหก ลายเปนไอ แลวผาน ไอนาํ้ ไปหมนุ กงั หนั เพอ่ื ผลติ กระแส ไฟฟา ภาพท่ี 4.23 ประโยชนข องธาตกุ ัมมันตรงั สี ดานเกษตรกรรม ที่มา : คลังภาพ อจท. • ใชฟอสฟอรัส-32 (P-32) ในการ ศึกษาความตองการปุยของพืช เพอ่ื ปรบั ปรงุ เมลด็ พนั ธทุ ตี่ อ งการ • ใชโพแทสเซียม-32 (K-32) ใน การหาอตั ราการดดู ซมึ ของตน ไม 130 ประโยชนของธาตุกัมมันตรงั สี ส่ือ Digital ขอ สอบเนน การคดิ แนว O-NET พจิ ารณาขอ ความตอ ไปน้ี ศึกษาเพมิ่ เติมไดจ าก QR Code เรอ่ื ง ประโยชนข องธาตุกมั มนั ตรงั สี ก. ตอ งใชว สั ดุที่มีความหนามากในการก้นั รังสี ข. อัตราสวนระหวางประจุตอมวลมีคามากทีส่ ุด T144 ค. มคี วามสามารถในการทาํ ใหแ กส แตกตวั เปน ไอออนไดด กี วา ง. เมอ่ื เคลอ่ื นทผ่ี า นบรเิ วณทมี่ สี นามแมเ หลก็ แนวการเคลอ่ื นที่ เปน แนวโคง ขอ ความใดเปน สมบัติของอนุภาคบตี า 1. ขอ ก. และ ข. 2. ขอ ก. และ ค. 3. ขอ ข. และ ค. 4. ขอ ข. และ ง. 5. ขอ ค. และ ง. (วิเคราะหคําตอบ ขอ ก. และ ค. ไมถูกตอง ตองใชวัสดุที่มี ความหนามากในการกั้นรังสี และมีความสามารถในการทําให แกส แตกตัวเปน ไอออนไดดกี วาเปน สมบตั ิของรงั สีแกมมา ดังน้นั ตอบขอ 4.)
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ 3.3 ÍѹµÃÒ¨ҡ¸ÒµØ¡ÁÑ ÁѹµÃѧÊÕ ขน้ั สอน อันตรายจากธาตุกัมมันตรังสีสามารถเกิดขึ้นได เน่ืองจากหากรางกายของส่ิงมีชีวิตไดรับ อธบิ ายความรู กมั มนั ตภาพรังสใี นปรมิ าณท่ีมากเกนิ ไปจะทาํ ใหเ กดิ ความเสยี หายตอเซลลในรา งกาย ซง่ึ จะทําให สง่ิ มชี วี ติ เกดิ ความเจ็บปว ย หรอื หากไดร บั ในปรมิ าณมากกอ็ าจทําใหเสยี ชีวิตได ครูและนักเรียนรวมกันสรุปความรูเกี่ยวกับ ประโยชนแ ละโทษของกมั มนั ตภาพรงั สตี อ สงิ่ มชี วี ติ ¼Å¡Ãзº¢Í§¡ÑÁÁѹµÀÒ¾ÃѧÊÕµ‹ÍËҧ¡ÒÂÁ¹ØÉ และสง่ิ แวดลอ ม โดยใหไ ดข อ สรปุ วา ธาตกุ มั มนั ตรงั สี สามารถนํามาใชประโยชนในดานตางๆ ไดท้ัง ẺàÃéÍ× Ãѧ Ẻà©ÂÕ º¾Å¹Ñ ในดานการแพทย ดานการเกษตร ดานอาหาร เปตมอรื่อิมเนไาดือ่ณรงบัไกมกนั ัมเเกปมนินนั เตวภล1าา0นพ0ารนงั มสหิลี ลลายิซปีเว ิรต1 เมเวมาล่ือกาไเกดพวรยี ับา งกไ1ัมม0มก0่ีวันมันตลิภลาซพิ เีรวังริสตี ปในริมระายณะ และดา นอตุ สาหกรรม อนั ตรายจากธาตกุ มั มนั ตรงั สี ตาอักเสบ เกดิ ตอกระจตกา 10,000 มอเคซยลอี ลาน่ืาลงกไรเสามวรด็ดออเเาักลรเเ็วอืจสมียดบานขบการทวเิผลอวมดณงรรลปววงงางกมีไข สามารถเกดิ ขนึ้ ได เมอื่ รา งกายไดร บั ธาตกุ มั มนั ตรงั สี และอาจทําใหต าบอดได ในปริมาณท่ีมากเกินไป หรือไดรับเปนระยะ พ2แ-ลอ3ะงลบสําวัปคมดอาออหยา าจงเสรุนยี ชแวีรงิตภผาิวยหในนัง เวลานาน จะทําใหเกิดความเสียหายตอเซลล ตอมไทรอยด ในรางกาย จเปะเน กพอิดษิามจะมแเรลอี ็งะาตมกอ โีามอรกไไททาสรรออสยยงู ทดดี่ มีโอกาปสอเดกถดิ กูมทะเํารลง็ าปยอปดแอสลดงูะ 6,000 คภลายน่ื ใไนส 1อ-า2เจชยี วั่นโมทงอมงรไี วขง ทางเดนิ อาหาร เอภออซกยัยาลยาาเสลงงในบรรเมวุนบ็ดด2แร-เเริเลร6วง็วือณสอดผปปั าขมาดจากรเาวสวแหลงียลดชะลมลีวงีอิตาํ าคกอาร แอลาะหตกาดิ ารเรชมทื้อีปาํ ใงรนาะนทสขทิางอธเงภิดราินะพบอบลาดยหอลายรง ระบบสืบพนั ธุ 3,000 เเคบซล่ืลอนื่ ลอไเาสมห ด็อาเราลเอืจตยีดวั นซขาีดทวลคอ ดองเลแสงหยี มงามกไี ข ควถาอามายผจทดิทอปําดใกหไตปเบิปสานูล งหูกอหมยลันาางนแอาลไดจะ ผ3-ม6รวสงปั ดอาาหจเ สยี ชีวิตภายใน เกดิ การอกั เสบ และมโี อผกิวาหสนสังงู 1,000 อเซอลนลเเพมล็ดียเลคอื ลดื่นขไาสวลอดาลเจงมยี นากและ ท่ีจะเกดิ มะเร็งผิวหนงั 500 250 เซลลเ มด็ เลือดขาวลดลงเล็กนอ ย ถูกทําลาย มีการสไรขากงรเซะดลูกล ปร(มิ mาSณvร)ังสี ไมแ สดงอาการผดิ ปกติใด ๆ เมใหด็ เเกลิดือมดละเดรล็งงเมแด็ ลเละอือาดจขกาอว2 »¯Ô¡ÔÃÔÂÒà¤ÁÕ 131 ภาพที่ 4.24 ผลกระทบของกัมมันตภาพรงั สีตอ รา งกายมนุษย ที่มา : คลังภาพ อจท. ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET นักเรียนควรรู ในทางการแพทยไ อโอดนี 131 นาํ มาใชเ พอื่ วตั ถปุ ระสงคต ามขอ ใด 1 มิลลิซีเวิรต เปนหนวยวัดปริมาณรังสีที่รางกายไดรับ โดยคํานึงถึงผลของ 1. รกั ษาโรคมะเรง็ รังสีทีม่ ตี อ เซลลข องส่ิงมชี ีวิต 2. รกั ษาโรคโปลโิ อ 2 มะเร็งเม็ดเลือดขาว เปนโรคมะเร็งชนิดหน่ึงของระบบเลือดท่ีเกิดจากการ 3. รกั ษาเนือ้ งอกในสมอง ท่ีเซลลเม็ดเลือดขาวในไขกระดูกเติบโตผิดปกติ ทําใหมีการสรางเม็ดเลือดขาว 4. ตรวจการทํางานของตอ มไทรอยด ออกมามากในกระแสเลือด สงผลใหการทํางานของระบบเม็ดเลือดเสียไป 5. ตรวจการหมุนเวยี นของเลอื ดในรา งกาย ผปู ว ยจะมอี าการเลอื ดจาง ตวั ซดี หนา มดื เวยี นศรี ษะ เหนอ่ื ยงา ย เลอื ดออกงา ย (วเิ คราะหคาํ ตอบ บริเวณผิวหนังและเหงือก เปนจ้ําตามตัว ระบบภูมิคุมกันของรางกายผิดปกติ • โรคโปลิโอจะรักษาตามอาการ แตสามารถปองกันไดดวย และติดเชื้อโรคงา ย วัคซีน • การตรวจการหมนุ เวยี นของเลอื ดในรา งกายจะใชโ ซเดยี ม-24 T145 • การตรวจการทํางานของตอ มไทรอยดจะใชไอโอดีน-131 • การรกั ษาโรคมะเรง็ ใชโ คบอลต-60 และเรเดียม-226 • การรกั ษาเนื้องอกในสมองใชโบรอน-10 ดังน้ัน ตอบขอ 4.)
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขนั้ สอน จะเห็นวา ธาตุกัมมันตรังสีสามารถทําใหเกิดอันตรายตอ รา งกายสงิ่ มีชีวิตไดอยางรุนแรง ดังน้นั ผปู ฏบิ ัตงิ านทเี่ กยี่ วขอ ง ขยายความเขา้ ใจ กับรงั สจี งึ จะตอ งมอี ุปกรณท ช่ี วยปอ งกันอันตรายจากรงั สี และมี การกําหนดระยะเวลาในการทํางานเพ่ือไมใหสัมผัสกับรังสีเปน 1. ครูใหนักเรียนศึกษาคนควาบทความเพ่ิมเติม เวลานานเกินไป จากแหลงเรียนรูตางๆ เก่ียวกับประโยชน ในชีวติ ประจาํ วันจะพบเหน็ ปฏิกริ ยิ าเคมจี าํ นวนมาก ทง้ั ที่ และโทษของกัมมันตภาพรังสีตอสิ่งมีชีวิต เกิดในธรรมชาติและมนุษยเปนผูกระทํา ซ่ึงเปนสาเหตุสําคัญ และสิ่งแวดลอม แลวรวบรวมส่ิงที่คนควาได ภาพที่ 4.25 หนากากปอ งกัน ของการเปลีย่ นแปลงตา ง ๆ มนษุ ยไดน ําสารเคมมี าใชประโยชน ลงในกระดาษ A4 สง เปน การบา นในคาบเรยี น อันตรายจากรงั สี ทงั้ ในบา น การเกษตร และอตุ สาหกรรม ตอ ไป ท่ีมา : คลังภาพ อจท. 2. ครูอธิบายเพ่ิมเติมเกี่ยวกับอันตรายจากธาตุ ปฏกิ ริ ยิ าเคมปี ระกอบดว ยสารเรม่ิ ตน เรยี กวา สารตงั้ ตน (reactant) และสารชนดิ ใหมท เี่ กดิ ขนึ้ กัมมันตรังสีเกิดข้ึนไดวา หากรางกายไดรับ เรยี กวา ผลติ ภณั ฑ (product) ปรมิ าณของสารตงั้ ตน หรอื ผลติ ภณั ฑท เี่ ปลยี่ นแปลงไปตอ หนว ยเวลา กัมมันตรังสีในปริมาณท่ีมากเกินไปจะทําให เรียกวา อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี และปริมาณของสารท่ีเปล่ียนแปลงไปนั้น อาจวัดจากคา โมเลกุลของน้ํา สารอินทรียและสารอนินทรีย ความเขมขน ปริมาตร หรือมวลของสาร ซึ่งขน้ึ อยูก ับลักษณะของสาร โดยปจจัยท่มี ผี ลตอ อตั รา ตางๆ ในรางกายเสียสมดุล ทําใหเกิดความ การเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมขี องสาร ไดแ ก ธรรมชาติของสาร ความเขมขน พน้ื ทผ่ี ิว อณุ หภูมิ ตวั เรง เสยี หายตอ เซลลใ นรา งกาย ซง่ึ จะทาํ ใหร า งกาย และตัวยบั ย้งั ปฏกิ ิรยิ า และความดัน เกิดความเจ็บปวย หรืออาจทําใหเสียชีวิตได ความรูความเขาใจเก่ียวกับปจจัยท่ีมีผลตออัตราเกิดปฏิกิริยาเคมีน้ี ทําใหมนุษยสามารถ ดังน้ัน ผทู ่เี กย่ี วขอ งกับรังสีจงึ จะตอ งมีอปุ กรณ กระตุน ปฏกิ ริ ิยาบางชนดิ ใหเกดิ เรว็ ขนึ้ เพ่ือนาํ ไปใชป ระโยชนในทางอุตสาหกรรมได และสามารถ ทช่ี ว ยปอ งกนั อนั ตรายจากรงั สี และมกี ารกาํ หนด ชะลอหรอื ปอ งกนั การเกดิ ปฏิกริ ิยาบางชนดิ ท่ไี มต อ งการได ระยะเวลาในการทํางาน เพื่อไมใหสัมผัสกับ รังสเี ปน เวลานานเกนิ ไป ? QToupiecstion คําช้ีแจง : ใหน กั เรียนตอบคําถามตอไปน้ี 1. ระบุความหมายของกัมมนั ตภาพรังสแี ละธาตุกัมมนั ตรงั สี 2. จงเรียงลําดับความสามารถในการทะลุทะลวงจากมากไปนอยของอนุภาคแอลฟา อนุภาค บีตา และรงั สแี กมมา 3. ธาตกุ มั มนั ตรังสี A จาํ นวน 80 กรมั มคี รง่ึ ชวี ิตเทากับ 30 วนั ธาตุกัมมันตรังสี A จะใช ระยะเวลากี่วันในการสลายตัวจนเหลือ 5 กรัม 4. ไอโซโทปของธาตุชนิดหนึ่งมคี รง่ึ ชีวิต 8 ป หมายความวา อยางไร 5. ใหนกั เรยี นยกตัวอยางการใชประโยชนจากธาตุกมั มนั ตรงั สีมาอยา งนอย 5 ขอ 132 สื่อ Digital แนวตอบ Topic Question ศกึ ษาเรอ่ื งการแผร งั สขี องธาตกุ มั มนั ตรงั สไี ดจ ากภาพยนตรส ารคดสี น้ั Twig 1. กัมมันตภาพรังสี คือ ปรากฏการณที่ธาตุแผรังสีไดเองอยางตอเน่ือง เรื่อง รังสีพ้ืนหลัง https://www.twig-aksorn.com/film/factpack-back- รังสีที่ไดจากการสลายตัวมี 3 ชนิด คือ รังสีแอลฟา รังสีบีตา และ ground-radiation-8330/ รังสีแกมมา สวนธาตุกัมมันตรังสี คือ ธาตุท่ีแผรังสีได เน่ืองจาก นิวเคลยี สของอะตอมไมเสถียร T146 2. รงั สแี กมมา > อนุภาคบตี า > อนภุ าคแอลฟา 3. 120 วัน 4. ธาตชุ นดิ หนงึ่ มคี รง่ึ ชวี ติ 8 ป หมายความวา หากมธี าตนุ เี้ รมิ่ ตน 10 กรมั เม่ือเวลาผา นไป 8 ป จะเหลอื ธาตนุ ีอ้ ยู 5 กรมั และเมอ่ื เวลาผานไป อกี 8 ป จะเหลอื ธาตนุ ีอ้ ยู 2.5 กรัม 5. ประโยชนข องธาตุกัมมนั ตรังสี เชน • ใชโคบอลต-60 (Co-60) และเรเดียม-226 (Ra-226) รักษาโรคมะเรง็ • ใชไอโอดนี -131 (I-131) ตดิ ตามความผิดปกติของตอมไทรอยด • ใชคารบ อน-14 (C-14) คาํ นวณหาอายวุ ตั ถโุ บราณและโครงกระดกู • ใชฟ อสฟอรสั -32 (P-32) ศึกษาความตองการปุยของพชื • ใชพ ลงั งานความรอ นทไ่ี ดจ ากปฏกิ ริ ยิ านวิ เคลยี รใ นเตาปฏกิ รณป รมาณู ของยูเรเนียม-238 (U-238) ผลติ กระแสไฟฟา
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ Summary ขนั้ สอน »¯Ô¡ÔÃÔÂÒà¤ÁÕ ขยายความเขา้ ใจ ÊÁ¡ÒÃà¤ÁÕ บอกสถานะหรือสภาวะของสาร 3. ครูใหนักเรียนกลุมเดิมรวมกันศึกษาคนควา โดยการใสว งเล็บไวดา นหลังของสาร เพิ่มเติมจากแหลง เรียนรูตา งๆ เชน หองสมดุ การเขียนสมการเคมมี ีหลักการ ดงั นี้ นัน้ ๆ ดงั น้ี อินเทอรเน็ต เก่ียวกับการปองกันอันตราย เขียนลกู ศรไวตรงกลาง (s) แทนสถานะของแขง็ จากธาตุกัมมันตรังสี จากนั้นนําขอมูลท่ี (l) แทนสถานะของเหลว รวบรวมไดมาจดั เปน ปา ยนิเทศในหอ งเรยี น 2HCl (aq) + Mg (s) MgCl2 (aq) + H2 (g) (g) แทนสถานะแกส เขยี นสารตั้งตนไวท างซาย เขยี นผลติ ภัณฑไวทางขวา (aq) แทนสภาวะสารละลายโดยมนี า้ํ 4. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนคิดและตอบคําถาม อยางอิสระ และสอบถามเนื้อหา เร่ือง ธาตุ เปนตัวทําละลาย กมั มันตรังสี วามีสว นไหนทีย่ งั ไมเขา ใจและให ความรูเพิ่มเติมในสวนน้ัน โดยท่ีครูอาจจะใช ÍѵÃÒ¡ÒÃà¡Ô´»¯Ô¡ÔÃÔÂÒà¤ÁÕ PowerPoint เรอ่ื ง ธาตกุ มั มนั ตรงั สี ชว ยในการ อธิบาย อัตราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี = ปริมาณสารตงั้ ตน ทล่ี ดลง = ปรมิ าณผลิตภัณฑทเ่ี พ่มิ ข้ึน เวลาที่ใชในการเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมี เวลาท่ีใชในการเกดิ ปฏิกิริยาเคมี »˜¨¨Ñ·èÕÊ‹§¼Åµ‹ÍÍѵÃÒ¡ÒÃà¡Ô´»¯Ô¡ÔÃÔÂÒà¤ÁÕ พน้ื ที่ผวิ ของสาร อณุ หภูมิ ความดนั ถา สารตั้งตนมีพื้นท่ผี วิ นอย อตั รา เม่ืออุณหภูมิสูงขึ้น อัตราการเกิด จะมีผลกบั สารท่เี ปนแกส โดยการ การเกิดปฏิกิริยาเคมีจะชา แตถา ปฏิกิริยาเคมีจะมีคาเพิ่มข้ึน แต เพ่ิมความดันจะทําใหอัตราการ สารตงั้ ตน มพี น้ื ทผ่ี วิ มาก อตั ราการ เม่ืออุณหภูมิลดลง อัตราการเกิด เกดิ ปฏกิ ิริยาเคมมี ีคา เพิ่มขนึ้ เกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมจี ะเร็ว ปฏกิ ริ ิยาเคมีจะมคี าลดลง ตัวเรงและตวั ยับยัง้ ปฏิกิรยิ า ธรรมชาตขิ องสารตง้ั ตน ความเขม ขนของสารตั้งตน ตัวเรงปฏิกิริยาเปนสารที่เติม สารต้ังตนแตละชนิดจะมีความ ถาสารต้ังตนมีความเขมขนตํ่า ลงไป แลวจะไปลดคาพลังงาน สามารถในการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีจะชา กอกัมมันตของปฏิกิริยา ทําให ที่แตกตางกัน สารตั้งตนชนิด แตถ า สารตงั้ ตน มคี วามเขม ขน สงู ปฏิกิริยานั้นเกิดไดงายข้ึน สวน หนงึ่ อาจจะสามารถเกดิ ปฏกิ ริ ยิ า อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมจี ะเรว็ ตัวยับยั้งปฏิกิริยาเปนสารที่เติม ไดเร็วกับสารชนิดหน่ึง แตอาจ ลงไป แลวจะไปเพิ่มคาพลังงาน เกิดปฏิกิริยาไดชา หรือไมเกิด กอกัมมันตของปฏิกิริยา ทําให ปฏกิ ริ ิยากับสารอีกชนดิ หนง่ึ ปฏิกิริยาเกิดไดยากข้ึน และหลัง เกิดปฏิกิริยา ตัวเรงและตัวยับย้ัง ปฏิกิริยาจะยังคงมีสมบัติทางเคมี และมปี ริมาณเทา เดมิ »¯Ô¡ÔÃÔÂÒà¤ÁÕ 133 ขอสอบเนน การคดิ แนว O-NET ปฏิกิริยาเคมจี ะสามารถเกิดขน้ึ ไดตองอาศยั สภาวะในขอใด 1. อนภุ าคของสารตง้ั ตน ตองชนกนั ในทศิ ทางทเ่ี หมาะสม 2. สารตัง้ ตนตองมีพน้ื ทผ่ี วิ มาก จึงจะทาํ ใหเ กิดปฏกิ ริ ิยาได 3. สารตัง้ ตนตองมพี ลงั งานตํา่ กวาพลังงานกอ กมั มนั ตข องปฏกิ ิริยา 4. ตอ งเพิ่มความเขม ขนของสารต้งั ตน จะทาํ ใหปฏกิ ิริยาเกดิ ขึน้ ไดงา ย 5. เพิ่มความดันในสารทอี่ ยูสภาวะแกส จะทําใหอ ัตราการเกิดปฏิกริ ิยาเพ่มิ ขึน้ (วเิ คราะหคาํ ตอบ การเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมีอธบิ ายไดด วยทฤษฎีการชน (collision theory) ซ่งึ มปี จจยั ทท่ี าํ ให เกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมี ดงั นี้ 1. ทิศทางการชนของอนภุ าค หากอนภุ าคของสารต้งั ตนชนกันในทศิ ทางที่เหมาะสมก็จะทาํ ใหเ กิดปฏกิ ริ ยิ า 2. พลงั งานจลนของอนุภาคท่ีเคล่ือนท่ีชนกนั อนุภาคของสารตั้งตน เมอ่ื ชนกนั แลว จะเกิดปฏิกิริยาไดกต็ อเมื่อ พลังงาน ที่ไดจ ากการชนจะตอ งสูงพอทท่ี ําใหพนั ธะในสารตง้ั ตน สลายไป แลวเกดิ การสรา งพันธะใหมเปน ผลิตภณั ฑได ดงั นน้ั ตอบขอ 1.) T147
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขนั้ สอน »¯Ô¡ÔÃÔÂÒÃÕ´Í¡« ขยายความเขา้ ใจ • เปน ปฏกิ ริ ยิ าทมี่ กี ารเปลยี่ นแปลงเลขออกซเิ ดชนั ของธาตทุ อี่ ยใู นสารประกอบในสมการเคมี หรอื ปฏกิ ริ ยิ าทมี่ กี ารรบั และการจายอิเล็กตรอน 5. ครูใหนักเรียนรวมกันทําใบงาน เร่ือง ธาตุ • ประกอบดวย 2 ปฏกิ ิริยายอย ดงั น้ี กัมมันตรังสี และรวมกันเฉลยคําถามจาก - คร่งึ ปฏิกริ ิยาออกซเิ ดชนั คอื ปฏกิ ริ ยิ าทมี่ กี ารจา ยอเิ ลก็ ตรอน เปนปฏิกริ ยิ าทม่ี เี ลขออกซิเดชันเพิม่ ข้ึน สารทีท่ าํ Unit Question μ หนาท่ีจายอเิ ล็กตรอน เรยี กวา ตัวรดี วิ ซ 6. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียนหนวย - คร่งึ ปฏิกริ ิยารีดักชัน คือ ปฏิกริ ิยาทมี่ ีการรับอเิ ลก็ ตรอน เปนปฏกิ ริ ิยาทมี่ เี ลขออกซเิ ดชันลดลง สารท่ที าํ หนา ท่ีรับ การเรียนรทู ่ี 4 ปฏิกิรยิ าเคมี อเิ ลก็ ตรอน เรยี กวา ตวั ออกซิไดส 7. ครมู อบหมายใหน กั เรยี นแตล ะคนทาํ ผงั มโนทศั น (Concept Mapping) เร่อื ง ธาตกุ มั มันตรงั สี ¸ÒµØ¡ÑÁÁѹµÃѧÊÕ แลวสงเปน การบา นในคาบเรียนตอ ไป อนุภาคหรอื รังสีท่แี ผหรือสลายตวั ออกมาจากธาตกุ ัมมนั ตรงั สีแบงออกเปน 3 ชนดิ สัญลกั ษณ อนภุ าคแอลฟา อนุภาคบตี า รังสแี กมมา α หรอื 42He β หรอื -01e γ สมบัติ • เปน นิวเคลยี สของอะตอม • มีสมบตั เิ หมอื นอิเล็กตรอน • เปน คลื่นแมเ หลก็ ไฟฟาที่มี ฮเี ลียม • มีประจุไฟฟา -1 ความยาวคล่ืนสนั้ มาก • มีประจุไฟฟา +2 • เบี่ยงเบนในสนามไฟฟา • ไมมีประจุไฟฟา และไมมีมวล • เบีย่ งเบนในสนามไฟฟา เขาหาข้ัวบวก • ไมเบย่ี งเบนในสนามไฟฟา เขาหาขัว้ ลบ อาํ นาจ มอี ํานาจทะลทุ ะลวงตํา่ มอี าํ นาจทะลทุ ะลวงสูงกวา มีอํานาจทะลทุ ะลวงสูง ทะลุทะลวง อนภุ าคแอลฟาประมาณ 100 เทา • คร่ึงชีวิต (half-life) เปนระยะเวลาท่ีสารกมั มันตรังสีสลายตัวจนเหลือเพยี งครึ่งหน่งึ ของปริมาณเดิม • ธาตุกัมมันตรังสีสามารถนาํ มาใชป ระโยชนในชวี ิตประจาํ วันไดหลายดา น เชน - ดา นการแพทย เชน ใชโ คบอลต-60 (Co-60) เรเดยี ม-226 (Ra-226) รกั ษาโรคมะเรง็ - ดา นธรณวี ิทยา เชน ใชค ารบ อน-14 (C-14) ในการคํานวณหาอายขุ องวัตถุโบราณและโครงกระดูก - ดา นการถนอมอาหาร เชน ใชรงั สแี กมมาของธาตุโคบอลต- 60 (Co-60) เพื่อทาํ ลายแบคทีเรยี ในอาหาร - ดานเกษตรกรรม เชน ใชฟ อสฟอรสั -32 (P-32) ในการศกึ ษาความตองการปุยของพชื เพื่อปรับปรุงเมลด็ พนั ธุ ทตี่ อ งการ - ดานอตุ สาหกรรม เชน ใชธ าตกุ มั มนั ตรังสีตรวจหารอยตาํ หนติ า ง ๆ - ดานพลังงาน เชน ใชพลังงานความรอนท่ีไดจากปฏิกิริยานิวเคลียรของยูเรเนียม-238 (U-238) มาผลิต กระแสไฟฟา • อนั ตรายจากธาตกุ มั มนั ตรงั สสี ามารถเกดิ ขน้ึ จากรา งกายของสงิ่ มชี วี ติ ไดร บั กมั มนั ตภาพรงั สใี นปรมิ าณทมี่ ากเกนิ ไป จะทําใหเกดิ ความเสยี หายตอเซลลในรางกาย ซึง่ จะทําใหส ่ิงมชี วี ิตเกดิ ความเจบ็ ปว ย หรอื หากไดรับในปรมิ าณมาก กอ็ าจทาํ ใหเสียชวี ติ ได 134 สื่อ Digital กิจกรรม 21st Century Skills ครนู าํ เสนอสารคดโี รงไฟฟา นวิ เคลยี ร ทจี่ งั หวดั ฟกุ ชุ มิ ะ ประเทศญป่ี นุ ทเ่ี กดิ ใหน กั เรยี นแบงกลุม กลมุ ละ 5 คน แลวใหแ ตล ะกลมุ สืบคน การรั่วซึมของกัมมันตภาพรังสีเน่ืองจากการเกิดแผนดินไหวและสึนามิ ในวันท่ี ขา วทเี่ กย่ี วกบั อนั ตรายจากธาตกุ มั มนั ตรงั สี จากแหลง เรยี นรตู า งๆ 11 มนี าคม พ.ศ. 2554 จาก https://www.youtube.com/watch?v=tRxIBCbu7M4 เชน หองสมุด อินเทอรเน็ต แลวสรุปความรูออกมาในรูปแบบ ของอินโฟกราฟก นาํ เสนอหนา ชั้นเรยี น T148
นาํ สอน สรปุ ประเมิน Self Check ขนั้ สรปุ ใหนักเรียนตรวจสอบความเขาใจ โดยตอบคําถามในตาราง หากนักเรียนตอบคําถามไมถูกตอง ตรวจสอบผล ใหน ักเรยี นกลบั ไปศึกษาทบทวนตามหวั ขอทก่ี าํ หนดใหทายตาราง ครแู ละนกั เรียนรวมกนั สรปุ เกย่ี วกับธาตุ ถูก/ผิด ทบทวนทีห่ ัวขอ กมั มันตรงั สี ใหไดขอสรุป ดังน้ี 1. การเขยี นสมการเคมีจะเขียนสารต้งั ตน ไวท างขวา และผลติ ภณั ฑเ ขยี นไว 1.1 • ธาตุกัมมันตรังสี คือ ธาตุที่มีสมบัติในการ ทางซา ย พรอมเขยี นลูกศรไวต รงกลาง แผรงั สี และเรียกปรากฏการณทีธ่ าตุแผร ังสี 1.1 ไดเองอยางตอเนื่องวา ธาตุกัมมันตรังสี 2. การเกิดฟองแกส จัดวามีการเปลีย่ นแปลงทางเคมเี กิดข้ึน 1.1 ซ่ึงเปนการเปล่ียนแปลงภายในนิวเคลียส ของอะตอมของธาตทุ อ่ี ยใู นสภาวะทไี่ มเ สถยี ร 3. อตั ราการเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมี หมายถึง ปรมิ าณของสารตง้ั ตน ท่ีลดลง หรอื ปรมิ าณของผลติ ภณั ฑท่เี กิดขน้ึ จากปฏกิ ริ ิยาในหน่งึ หนว ยเวลา • อนภุ าคหรอื รงั สที แี่ ผห รอื สลายตวั ออกมาจาก ธาตกุ ัมมันตรงั สี แบง ออกเปน 3 ชนิด คอื 4. อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีจะข้ึนอยูกับความเขมขนของสารตั้งตนหรือไม 1.2 - อนุภาคแอลฟา คือ อนุภาคของฮเี ลียม ตอ งตรวจสอบดวยการทดลองเทา นน้ั มีประจุ +2 มีเลขมวล 4 มีอํานาจทะลุ ทะลวงตา่ํ ไมส ามารถทะลผุ า นกระดาษได 5. เมื่ออุณหภมู ิเพม่ิ ข้ึน อัตราการเกดิ ปฏิกิริยาเคมีจะชาลง ับน ึทกลงในส ุมด 1.2 - อนภุ าคบีตา คือ มีประจุ -1 มเี ลขมวล 0 6. ในการชนกนั ของโมเลกลุ ของสารตัง้ ตน ทกุ คร้ังจะทําใหเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมี 1.2 มอี าํ นาจทะลทุ ะลวงมากกวา แอลฟา 100 7. ปฏกิ ริ ยิ ารดี กั ชนั คอื ปฏกิ ริ ยิ าทม่ี กี ารจา ยอเิ ลก็ ตรอน เปน ปฏกิ ริ ยิ าทม่ี เี ลข 1.2 เทา - รงั สแี กมมาคอื คลน่ื แมเ หลก็ ไฟฟา ความถส่ี งู ออกซิเดชันเพมิ่ ขนึ้ 2. ไมมีประจุและมวล มพี ลงั งานสูง 8. ปฏกิ ริ ยิ าการสลายตัวของธาตุ จดั เปนปฏกิ ริ ยิ ารดี อกซ 2. 9. การแผร งั สขี องธาตกุ มั มนั ตรงั สเี กดิ จากนวิ เคลยี สของธาตขุ าดความเสถยี ร 3.1 ขน้ั ประเมนิ 10. สญั ลกั ษณข องอนภุ าคแอลฟา คอื α อนภุ าคบตี า คอื β รงั สแี กมมา คอื μ ตรวจสอบผล 11. ฮเี ลยี มนยิ มนาํ มาใชบรรจุในลกู บอลลนู เน่อื งจากเปนแกสท่ีไมมสี ี 3.1 1. ครูตรวจสอบผลการทาํ แบบทดสอบหลงั เรยี น 12. Co-60 ใชใ นการคาํ นวณหาอายุของวัตถุโบราณและโครงกระดกู 3.2 2. ครปู ระเมินผล โดยการสงั เกตการตอบคําถาม 13. I-132 ใชใ นการตดิ ตามความผดิ ปกตขิ องตอ มไทรอยด 3.2 14. C-14 ใชใ นการทําลายแบคทีเรยี ในอาหาร 3.2 การทาํ งานกลุม และการนาํ เสนอผลงาน 15. ถา รางกายไดร ับปริมาณรงั สไี มเกิน 250 mSv รา งกายจะไมแสดง 3.3 3. ครตู รวจใบงาน เรอ่ื ง ธาตุกัมมันตรังสี 4. ครตู รวจการทาํ แบบฝก หดั จาก Unit Question อาการใด ๆ 5. ครูประเมินผลงานจากผงั มโนทศั น (Concept Mapping) »¯Ô¡ÔÃÔÂÒà¤ÁÕ 135 แนวตอบ Self Check 3. ถูก 6. ถูก 1. ผดิ 2. ถกู 9. ถูก 4. ถกู 5. ผดิ 12. ผิด 7. ผิด 8. ผิด 15. ถกู 10. ผดิ 11. ถกู 13. ผิด 14. ผดิ ขอ สอบเนน การคดิ แนวทางการวัดและประเมินผล ระบบขับถายของรางกายจะขับถายของเหลวออกจากรางกาย ครูสามารถวัดและประเมินความเขาใจในเน้ือหา เรื่อง ธาตุกัมมันตรังสี หลงั จากรบั ประทานแลว ประมาณ 2 ชวั่ โมงครงึ่ ถา รบั ประทานนาํ้ ไดจ ากการสงั เกตพฤตกิ รรมการทาํ งานกลมุ โดยศกึ ษาเกณฑก ารวดั และประเมนิ ผล ผสมไอโอดีน 128 ซ่ึงมีครึ่งชีวิต 25 นาที เม่ือขับถายของเหลว จากแบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทาํ งานกลมุ ทอี่ ยใู นแผนการจดั การเรยี นรู หนว ยที่ 4 จะมนี วิ เคลยี สไอโอดนี 128 เหลอื อยรู อ ยละเทา ใด ปฏกิ ิริยาเคมี 1. 0.8 2. 1.6 แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทางานกล่มุ 3. 3.1 4. 6.2 5. 12.5 คาช้ีแจง : ใหผ้ สู้ อนสงั เกตพฤติกรรมของนกั เรียนในระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรยี น แล้วขดี ✓ลงในช่องที่ ตรงกับระดบั คะแนน (วิเคราะหค าํ ตอบ 100 50 25 12.5 6.25 3.1 1.6 หลงั จากรับประทานอาหาร 2 ชั่วโมงครงึ่ จะเหลือ ลาดับที่ ช่อื –สกลุ การแสดง การยอมรบั การทางาน ความมนี า้ ใจ การมี รวม ไอโอดนี อยูรอ ยละ 1.6 ดังนัน้ ตอบขอ 2.) ของนกั เรยี น ความคิดเห็น ฟงั คนอืน่ ตามทไี่ ด้รบั ส่วนรว่ มใน 15 มอบหมาย การปรับปรุง คะแนน ผลงานกลมุ่ 321321321321321 เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ลงชื่อ ................................................... ผปู้ ระเมนิ ปฏบิ ตั ิหรอื แสดงพฤตกิ รรมอย่างสมา่ เสมอ ............./.................../............... ปฏบิ ัติหรอื แสดงพฤติกรรมบ่อยครง้ั ให้ 3 คะแนน ปฏบิ ัติหรอื แสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 2 คะแนน ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคณุ ภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14–15 ดมี าก 11–13 ดี T149 8–10 พอใช้ ตา่ กว่า 8 ปรับปรุง 7
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ แนวตอบ Unit Question Unit Question 1. ก. Na2S2O3(aq) + 2HCl(aq) 2NaCl(aq) คําชแ้ี จง : ใหน กั เรียนตอบคาํ ถามตอไปน้ี + H2O(l) + SO2(g) + S(s) 1. จงเขยี นสมการเคมีเพอื่ แสดงปฏิกริ ยิ าระหวา งสารตอ ไปน้ี ข. Mg(s) + 2H2O(l) Mg(OH)2(aq) + H2 (g) ก. โซเดียมไทโอซลั เฟตกบั สารละลายกรดไฮโดรคลอรกิ ข. แมกนเี ซียมกบั นํา้ 2. การเปลย่ี นแปลงทางเคมี ไดแ ก การสกุ ของผลไม การสังเคราะหดวยแสงของพืช การยอยอาหาร ในกระเพาะอาหาร และการเกิดสนิมเหลก็ 3. ตัวอยา งเชน สบู ผงฟู สนมิ เหล็ก 2. ลกั ษณะการเปลย่ี นแปลงตา ง ๆ ตอ ไปน้ี การเปลย่ี นแปลงใดบา งเปน การเปลยี่ นแปลงทางเคมี • การสกุ ของผลไม • การสงั เคราะหด วยแสงของพชื 4. ตวั เรง ปฏกิ ริ ยิ า คอื สารทเ่ี ตมิ ลงไปในปฏกิ ริ ยิ าแลว • นํ้าระเหยกลายเปนไอ • การยอ ยอาหารในกระเพาะอาหาร ทาํ ใหป ฏกิ ริ ยิ าเกดิ ไดเ รว็ ขนึ้ หรอื ทาํ ใหอ ตั ราการ • นํา้ เดอื ด • การเกดิ สนิมเหล็ก เกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเพมิ่ ขน้ึ โดยทตี่ วั เรง ปฏกิ ริ ยิ าอาจจะ มีสวนรวมในการเกิดปฏิกิริยาดวยหรือไมก็ได 3. จงยกตัวอยางสิ่งของหรือสารตาง ๆ ในชีวิตประจําวันท่ีเกิดจากปฏิกิริยาเคมีมาอยางนอย แตเม่ือส้ินสุดปฏิกิริยา ตัวเรงเหลานี้จะตองมี 10 ชนิด ปรมิ าณเทาเดมิ และมีสมบตั เิ หมือนเดิม 4. ตัวเรงปฏิกริ ยิ าเคมีคอื อะไร นาํ ไปใชประโยชนไ ดอ ยางไร 5. Zn(s) + Cu2+(aq) Zn2+(aq) + Cu(s) 5. จงเขียนแสดงปฏิกิรยิ ารดี อกซ เม่ือกาํ หนดครึง่ ปฏกิ ิริยาออกซเิ ดชันและรดี ักชัน ดังนี้ 6. ก. ปฏิกิรยิ ารดี อกซ คร่งึ ปฏิกิริยาออกซิเดชัน คือ Zn(s) Zn2+(aq) + 2e- ข. ปฏิกริ ิยานอนรดี อกซ คร่งึ ปฏิกริ ิยารดี ักชนั คือ Cu2+(aq) + 2e- Cu(s) ค. ปฏิกิริยารีดอกซ 6. ปฏกิ ิริยาตอ ไปนี้ เปนปฏิกิริยารีดอกซ หรอื ปฏกิ ริ ยิ านอนรดี อกซ ก. LiAlH4 + 4H+ Li+ + Al3+ + 4H2 7. 120 60 30 15 7.5 ข. TiCl4 + 2H2S TiS2 + 4HCl แสดงวา ธาตุ Z ผานไป 4 ครงึ่ ชวี ติ ค. Hg22+ + H2S HgS + Hg + 2H+ ด64งั0น้นั= ธาตกุ ัมมันตรงั สี Z มีคร่ึงชวี ติ เทา กับ 15 วัน 7. ธาตกุ ัมมันตรงั สี Z ปริมาณ 120 กรมั ใชเ วลา 60 วัน ในการสลายตัวเหลอื 7.5 กรมั 8. ให C-14 เริ่มตนเปน x กรัม นักเรยี นคิดวา ธาตกุ มั มันตรังสี Z มคี ร่ึงชวี ติ เทากบั กว่ี นั X 2x 4x แสดงวา ผานไป 2 ครง่ึ ชีวติ ดังน้นั ซากไมโ บราณจะมอี ายปุ ระมาณ 8. ขซณากะไทมี่ยโบังมราีชณีวิตชอ้นิ ยหู นถ่ึงามอี Cตั -ร1า4กามรสีคลราึ่งยชตีววัิตขเทองากCับ-154,7ล3ด0ลงปเหซลาอื กไ41มโเบทรา าขณอชงิ้นปรนมิ ี้จาะณมีอเดาิมยุ 5,730 × 2 = 11,460 ป ประมาณกีป่ 136 T150
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ F un แนวทางการจดั ทํากจิ กรรม Fun Science Activity SAcctiievnitcye Å١⻆§ÊÇÃä ครคู วรใหค ําแนะนาํ นกั เรยี นในการปฏิบัติ ÇÊÑ ´ØÍØ»¡Ã³ 2. กรวยกรอง 1 อัน กิจกรรมลกู โปงสวรรค ดังนี้ 1. ลกู โปง 1 ใบ 4. นาํ้ สม สายชู 3. ผงฟู 1 ชอ นโตะ 6. ชอนโตะ 1 คัน ข้ันตอนการปฏบิ ตั ิกจิ กรรม 5. ขวดพลาสติกใส 1 ขวด • การบรรจนุ าํ้ สม สายชลู งในขวดพลาสตกิ ควรใช Ç¸Ô Õ»¯ÔºµÑ Ô กรวยกรอง เพื่อปองกนั ไมใ หน้ําสม สายชูหก • การนําลูกโปงที่บรรจุผงฟูครอบบนปากขวด 1. บรรจนุ ้าํ สมสายชลู งในขวดพลาสตกิ ใสประมาณ 1 ใน 4 ของขวด 2. บรรจผุ งฟูจํานวน 1 ชอนโตะ ลงในลกู โปง ควรระวงั อยา ใหผ งฟหู กลงในขวด เมอื่ ลกู โปง 3. นําลูกโปงท่ีบรรจุผงฟูครอบไปบนปากขวดพลาสติกแลวดึงใหแนน ยดึ ติดกบั ปากขวดแนนแลว จงึ คอยยกลูกโปง ขึน้ (ระวงั อยาใหผ งฟูรว งลงในขวด) • ครอู าจจดั ใหน กั เรยี นทาํ กจิ กรรม โดยใหน กั เรยี น 4. เม่ือลูกโปงยดึ ตดิ กับปากขวดแนนแลว ใหย กลูกโปง ขน้ึ เพือ่ ใหผงฟู กําหนดปริมาณของน้ําสมสายชูและผงฟู ที่ใชเอง เพ่ือใหนักเรียนเห็นวาปริมาณของ ไหลลงไปผสมกบั นาํ้ สมสายชู จากน้ันสังเกตการเปลี่ยนแปลง นาํ้ สม สายชแู ละผงฟมู ผี ลตอ การเกดิ ปฏกิ ริ ยิ า หลกั การทางวิทยาศาสตร 1. 2. ครูอาจอธิบายปฏิกิริยาที่เกิดจากผงฟูผสมกับ นา้ํ สม สายชู โดยการแสดงสมการเคมี ดงั น้ี 3. 4. NaHCO3 + CH3COOH CO2 + H2O + CH3COO− + Na+ ผลิตภัณฑที่ไดเปนเกลือและแกสคารบอนได- ออกไซด ซ่ึงแกสคารบอนไดออกไซดท่ีเกิดข้ึนจะ ลอยตวั สงู ขึน้ และเมือ่ แกสมปี ริมาณมากๆ กจ็ ะดัน ลูกโปงใหข ยายใหญขน้ึ ลูกโปง ขยายใหญข น้ึ ทม่ี า : www.ehow.com ËÅ¡Ñ ¡ÒÃ·Ò§Ç·Ô ÂÒÈÒʵà เมอ่ื ผงฟซู งึ่ มสี มบตั เิ ปน เบส ไหลลงไปผสมกบั นาํ้ สม สายชซู งึ่ สมบตั เิ ปน กรด จะเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมไี ดผ ลติ ภณั ฑ เปนเกลือกับแกสคารบอนไดออกไซด ซ่ึงแกสคารบอนไดออกไซดจะลอยเขาไปในลูกโปง จึงทําใหลูกโปง คอ ย ๆ ขยายใหญข นึ้ 137 T151
บรรณานุกรม กุณฑรี เพ็ชรทวีพรเดช และคณะ. 2550. สดุ ยอดวิธสี อนวิทยาศาสตร์ นำ� ไปสูก่ ารจัดการเรียนร้ขู องครยู ุคใหม่. กรุงเทพฯ : อักษรเจริญทศั น์. งานพฒั นาวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยแี หง่ ชาติ กระทรวงวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลย,ี สำ� นกั .2549. หนงั สอื ชดุ กจิ กรรมสง่ เสรมิ การเรยี นรู้ “การสบื คน้ ทางวทิ ยาศาสตร”์ ระดบั มธั ยมศกึ ษา. ปทมุ ธานี: สำ� นกั งานพฒั นาวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี แหง่ ชาติ. ทศิ นา แขมมณ.ี 2556. ศาสตรก์ ารสอน: องคค์ วามรเู้ พอ่ื การจดั กระบวนการเรยี นรทู้ มี่ ปี ระสทิ ธภิ าพ. พมิ พค์ รง้ั ท่ี17. กรงุ เทพฯ : ด่านสทุ ธาการพิมพ์. พงศธร นันทธเนศ และคณะ. 2561. หนงั สือเรยี น รายวิชาเพ่มิ เติมวทิ ยาศาสตร์ เคมี ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4 เล่ม 1. กรุงเทพฯ : อักษรเจริญทัศน.์ พงศธร นันทธเนศ และสุนทร ภรู ีปรชี าเลศิ . 2555. สารและสมบัติของสาร. กรงุ เทพฯ : อักษรเจริญทศั น.์ วิจารณ์ พานชิ . 2555. วถิ สี รา้ งการเรียนรู้เพอื่ ศิษย์ ในศตวรรษท่ี 21. กรุงเทพฯ : ตถาตาพบั ลิเคชั่น. ศกึ ษาธิการ, กระทรวง. (ม.ป.ป.). ตวั ชว้ี ดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. (ม.ป.ป.). : (ม.ป.พ.) ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. สถาบัน. (ม.ป.ป.). คู่มือครูการใช้หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สำ� หรบั หลกั สตู รอนาคต ระดบั มัธยมศึกษา. กรุงเทพฯ : สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. สำ� นกั บรหิ ารวชิ าการ วทิ ยาลยั เทคโนโลยปี ญั ญาภวิ ฒั น,์ แผนกบรหิ ารหลกั สตู ร.2557. เอกสารเผยแพรค่ วามรวู้ ชิ าการศกึ ษา: วธิ ีการสอน (Teaching Methodology). กรุงเทพฯ : วิทยาลยั เทคโนโลยีปัญญาภวิ ัฒน์. สวุ ทิ ย์ มลู คำ� และอรทยั มลู คำ� . 2547. 21 วธิ จี ดั การเรยี นรู้ : เพอ่ื พฒั นากระบวนการคดิ . พมิ พค์ รง้ั ที่ 5. กรงุ เทพฯ : ภาพพมิ พ.์ Malone, L. J. 2006. Basic Concepts of Chemistry. 6th ed. New York: John Wiley & Sons. Petrucci, R. H. and Harwood, W. S. 2005. General Chemistry: Principles and Modern Applications. 6th ed. New York: Macmillan. Skoog, D. A., et al. 2004. Fundamentals of Analytical Chemistry. 8th ed. London: Thomson Learning. T152
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162