Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สถานีปศุสัตว์

สถานีปศุสัตว์

Published by shontisha kaewyata, 2021-08-26 06:51:03

Description: หนังสือเรียนรายวิชาหลักสูตรท้องถิ่น

Search

Read the Text Version

1 บทที่ 1 สถานีปศสุ ัตว์ 1.1 ความเปน็ มาของฟาร์ม ฟาร๑มฝึกนักศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแกํน ทม่ี า : https://www.google.co.th/search?q=ฟารม๑ ฝึกนกั ศึกษา++มหาวิทยาลยั ขอนแกนํ &hl คณะสัตวแพทยศ๑ าสตร๑ มหาวิทยาลัยขอนแกํน มคี วามตอ๎ งการที่จะเล้ียงสัตว๑เพื่อการศึกษา แตเํ นื่อง ดว๎ ยพนื้ ทีข่ องมหาวทิ ยาลยั มีพื้นที่ที่คํอนขา๎ งแคบ และไมํเหมาะสมตอํ การเลย้ี งสตั ว๑ จงึ มีการออกสํารวจพน้ื ที่ที่ เหมาะสมตํอการเล้ียงสัตว๑ ซึ่งตามมติคณะรัฐมนตรีจึงได๎แตํงต้ังสถานท่ีแหํงนี้ขึ้น เมื่อวันท่ี 9 สิงหาคม 2532 ตง้ั อยูํ ณ บ๎านนาดอกไม๎ ตําบลหนองหญ๎าปล๎อง อําเภอวังสะพุง จังหวดั เลย โดยมีพื้นที่ท้ังหมด ประมาณ 2,106 ไรํ ลักษณะภูมิประเทศเป็นเขา และเป็นท่ีราบสูงปานกลาง บางแหํงเป็นหิน ทราย และ รํองนํ้า พื้นที่สํวนใหญํเป็นปุาท่ีอดุ มสมบูรณ๑ เพ่ือการศึกษาสัตว๑ในการเรียน การสอน สัตว๑ที่มีการเลี้ยงและ ดแู ล คือ วัว ควาย แพะ แกะ หมู ไกํ เป็นต๎น และอกี ทั้งยังมีแปลงสาธิตการเล้ียงสัตว๑ เพอื่ ลดรายจําย ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ๎าอยูํหัว คือ กบ ปลา กระตําย และนํ้าหมักชีวภาพ เชํน นํ้าหมักอีเอ็ม นํ้าส๎มควันไม๎ โดยหน๎าที่หลักๆของฟาร๑มฝึกนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแกํน น่ีคือการ สถานีปศสุ ัตว๑

2 เล้ียงสัตว๑เพ่ือให๎นักศึกษาได๎ใช๎เพื่อประกอบการเรียนการสอน เกี่ยวกับเรื่องการสืบพันธุ๑ของสัตว๑ การ ขยายพันธ๑ุของสัตว๑ การดูแลเล้ียงดูสัตว๑ การผลิตอาหารอยํางไรเพื่อให๎สัตว๑ได๎สารอาหารท่ีครบถ๎วนสมบูรณ๑ เป็นตน๎ อีกทงั้ ยงั เป็นสถานทีเ่ พื่อใหค๎ ณะครู อาจารยม๑ าศกึ ษาเพอ่ื ทาํ วจิ ยั อีกดว๎ ย และอีกหน๎าท่ีหน่ึงของฟาร๑ม ฝึกนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแกํน คือการวิจัยและเป็นศูนย๑ถํายทอดความร๎ูให๎กับชุมชน เชํน การเลี้ยงวัว ควาย ยังไงให๎ถูกต๎อง การทําคอกวัว ควายที่ถูกต๎อง การเล้ียงหมูคอนโด การเล้ียงหมูหลุมทําอยํางไร อีก ท้ังยังเป็นวทิ ยากรของอาํ เภอ ของจงั หวดั เกีย่ วกบั การเล้ียงสัตว๑ วิสัยทศั น์ “เป็นหนํวยผลิตสัตว๑ที่เพียงพอท้ังคุณภาพ และปริมาณ รองรับการเรียนการสอนและการวิจัย สร๎างสรรคง๑ านวจิ ยั และเป็นศนู ยถ๑ ํายทอดเทคโนโลยีท่ีเหมาะสมสํูชุมชน” พันธกิจ 1. สนับสนุนการผลติ สตั ว๑ เพื่อรองรับการเรยี นการสอนของคณะสตั วแพทย๑ศาสตร๑ มหาวิทยาลัยขอนแกํน 2. ทาํ การวจิ ัยดา๎ นสขุ ภาพสตั ว๑ ทงั้ งานวิจยั ท่ที าํ โดยบุคลากรของสถานีฟาร๑มฝกึ นักศึกษา มหาวทิ ยาลัยขอนแกํน และรวํ มกับหนวํ ยงานอ่ืน 3. ฝึกอบรมถาํ ยทอดเทคโนโลยีทเี่ หมาะสม ดา๎ นการเลย้ี งสัตว๑สชูํ ุมชน 4. เป็นสถานท่ีฝึกงานให๎กบั นกั ศึกษาจากคณะตํางๆ ของมหาวิทยาลยั ขอนแกนํ และสถาบันอน่ื ๆ สถานีปศุสตั ว๑

3 1.2 องค์ประกอบของฟารม์ แผนผงั สถานทภ่ี ายในฟาร๑มฝกึ นกั ศึกษามหาวทิ ยาลัยขอนแกนํ สถานีปศสุ ตั ว๑

4 ผงั โรงเรอื นสตั วภ์ ายในสถานีฟารม์ ฝกึ นักศึกษา ผงั โรงเรือนสตั วภ๑ ายในสถานฟี ารม๑ ฝกึ นกั ศกึ ษา สถานีปศสุ ตั ว๑

5 สานักงาน องคก์ รทีเ่ กย่ี วขอ้ ง - กรมปศสุ ัตว๑ - กรมอุทยานสัตว๑ปาุ และพันธุ๑พชื 1.3 โครงการและกิจกรรมของสถานีปศสุ ตั ว์ - โครงการอบรมเยาวชนในการทาํ เกษตรพอเพยี งตามแนวพระราชดาํ ริ เป็นโครงการทีท่ างฟารม๑ ฝึกนักศกึ ษา มหาวทิ ยาลัยขอนแกนํ ได๎ไปให๎ความร๎ูเกี่ยวกบั การทําเกษตร แบบเศรษฐกิจพอเพียง ใหแ๎ กํชาวบ๎าน และนักเรยี นของโรงเรยี นบา๎ นนาดอกไม๎ มติ รภาพท่ี 120 ซงึ่ เปน็ โรงเรียนในชมุ ชนใกล๎เคยี งของฟาร๑มฝกึ นกั ศึกษา มหาวทิ ยาลัยขอนแกนํ โดยโครงการนจี้ ดั ขน้ึ ทกุ ปี เพือ่ เปน็ การให๎ความรแู๎ กชํ ุมชน และหมบูํ ๎านใกลเ๎ คยี ง - โครงการวชิ าการเคล่อื นที่ เป็นโครงการเพื่อการใหค๎ วามรเู๎ รื่องการรักษาสตั ว๑ การดแู ล การเลยี้ งดูสัตว๑ ของคณะสัตวแพทย๑ มหาวทิ ยาลัยขอนแกนํ ทีจ่ ะมีการจดั ทําขน้ึ รํวมกับฟารม๑ ฝกึ นกั ศกึ ษา มหาวิทยาลยั ขอนแกนํ ใหค๎ วามรใ๎ู น ภาครฐั และภาคเอกชนทีส่ นใจเรอ่ื งการเลยี้ งสตั ว๑และการดแู ล ภาพการอบรมการทําเกษตรตามพระราชดาํ ริ ที่มา : https://www.google.co.th/search?q=ฟารม๑ ฝึกนกั ศึกษา++มหาวทิ ยาลยั ขอนแกํน&hl=th&biw สถานีปศุสัตว๑

6 - โครงการสตั วแพทยเ๑ คลอ่ื นท่ี เปน็ โครงการของนักศึกษาคณะสัตวแพทย๑ของหมาวทิ ยาลัยขอนแกนํ เป็นการรกั ษาสัตว๑ในชมุ ชน หรือสถานท่ีทข่ี าดแคลนสตั วแพทยใ๑ นการดแู ลสตั ว๑ โครงการนีจ้ ะมีการรกั ษาสัตว๑ การฉีดวัคซีนในสตั ว๑ที่ปุวย การทาํ หมันใหส๎ ตั ว๑ การรกั ษาสตั ว๑ท่ปี วุ ย เชํน การรักษาตา ระบบทางเดนิ อาหาร โรคเร้อื นในสุนัขและแมว เป็นตน๎ โดยการรักษาพยาบาลจะไมมํ กี ารเสียคําใชจ๎ ํายใดๆ ภาพการรกั ษาสัตว๑ ทม่ี า : https://www.google.co.th/search?q=ฟารม๑ ฝกึ นกั ศกึ ษา++มหาวทิ ยาลัยขอนแกํน&hl=th&biw633&site= - กิจกรรมวันเด็ก เป็นกจิ กรรมทจ่ี ดั ขนึ้ เพือ่ คนในชุมชน จดั ขึ้นในวนั เด็ก ซงึ่ วันนั้นจะมกี ารแสดง การประกวด ความสามารถของเด็กในชุมชน และจะมกี ารจดั แสดงสตั ว๑ การให๎ความรเ๎ู รอ่ื งสตั ว๑แกํเดก็ ๆ - กจิ กรรมวิง่ มนิ มิ าราธอนประจาํ ปี เป็นกิจกรรมทมี่ คี วามรวํ มมือของหลายๆสํวน ฟารม๑ ฝึกนกั ศกึ ษา มหาวิทยาลยั ขอนแกนํ โรงเรยี น ใกลเ๎ คยี ง หนวํ ยงานภาครัฐและเอกชนในท๎องถ่นิ มกี ารจัดงานการว่งิ มาราธอนขนึ้ โดยเสน๎ ทางจะยึดเส๎นทาง สถานีปศสุ ตั ว๑

7 ในบริเวณฟาร๑มฝึกนกั ศกึ ษา มหาวิทยาลยั ขอนแกนํ จากจุดเรม่ิ ต๎นถงึ จดุ สิน้ สดุ รวมระยะทาง 12 กโิ ลเมตร โดยจะมีการจดั ขนึ้ ทกุ ปี เพอื่ ให๎ทุกคนมีความตะหนกั ถงึ การออกกาํ ลังกาย ภาพโครงการวิชาการเคลื่อนที่ ท่ีมา : https://www.google.co.th/search?q=ฟารม๑ ฝึกนกั ศึกษา++มหาวิทยาลัยขอนแกนํ &hl =webhp&source=lnms สถานปี ศุสตั ว๑

8 บทที่ 2 การทางานของระบบตา่ งๆของสตั วใ์ นฟาร์ม สัตวแ๑ ตลํ ะชนดิ มีลักษณะโครงสรา๎ งภายนอก และภายในแตกตาํ งกนั ทําใหเ๎ ราสามารถจาํ แนกประเภท ของสัตวอ๑ อกเป็น 2 พวกใหญํ ๆ คือ 1. สัตวท๑ ม่ี ีกระดกู สันหลงั และสตั วท๑ ่ไี มมํ ีกระดกู สันหลงั 2. สัตว๑เป็นสิง่ มีชวี ิตเพราะเคล่อื นท่ไี ด๎ กนิ อาหารได๎ หายใจได๎ ขบั ถาํ ยได๎ และสามารถ ขยายพนั ธุ๑ออกลกู ออกหลานได๎ ทา ให๎สตั ว๑มีจาํ นวนเพ่มิ มากขน้ึ ในโลกของเรามีสัตว๑จํานวนมากมาย หลายชนิด สตั ว๑แตลํ ะชนดิ มธี รรมชาติ และมีการดํารงชีวิตแตกตํางกนั ไป ขึน้ อยํูกับลักษณะโครงสร๎าง ภายนอกและลกั ษณะโครงสรา๎ งภายในของสัตวน๑ นั้ 2.1 ประเภทของสตั ว์ในฟารม์ 2.1.1 วัว เป็นสัตว๑บก มีรูปรํางสันทัด มีสีตามตัวแตกตาํ งกันไปตามสายพนั ธุ๑ มีเขายาวในตวั ผู๎ มีส่ีขา เท๎ามีลักษณะเป็นกีบ เพื่อสะดวกในการเคลื่อนไหวรํางกายและการดาํ รงชีวติ ในภูมิประเทศ หายใจโดยระบบ การหายใจด๎วยปอด ออกลูกเป็นตวั มีระบบการสืบพันธุ๑แบบอาศัยเพศ 2.1.2 ควาย หรือ กระบือ เป็นสัตว๑ดกึ ดาํ บรรพ๑ เป็นสัตว๑เลือดอํนุ สีตามตัวเป็นสีดํา มีเขายาวท้ังตัวผ๎ู และตัวเมีย เล้ียงลูกด๎วยนม มีสี่ขา เท๎ามีลักษณะเป็นกีบ เพ่ือสะดวกในการเคล่ือนไหวรํางกายและการ ดํารงชีวิตในภมู ิประเทศ หายใจโดยระบบการหายใจด๎วยปอด ออกลูกเป็นตวั มีระบบการสืบพันธุ๑แบบอาศัย เพศ 2.1.3 แพะ เปน็ สัตว๑เลี้ยงลูกดว๎ ยนม จัดอยํูในกลํุมสัตว๑เคี้ยวเอื้องเชํนเดียวกับโค กระบือ แตจํ ะมี ขนาดเล็กโดยมีขนาดนํา้ หนักตวั ประมาณ 35-65 กิโลกรัม และมีความสูงเฉล่ีย 55-100 เซนติเมตร ซ่ึงขนาดตัว จะแปรผันไปตามแตํเพศ พนั ธุ๑ ส่ิงแวดล๎อม ปัจจัยดา๎ นสุขภาพสัตว๑และ คุณภาพของอาหารที่แพะได๎รับ โดย ปกติแพะตัวเมียน้ันจะมีขนาดตัวเล็กกวําตวั ผู๎ หรือพันธแุ๑ ท๎ สํวนใหญํจะมีขนาดใหญํกวาํ พนั ธุล๑ ูกผสมหรือพันธ๑ุ พืน้ เมือง ซ่ึงแพะพันธ๑แุ ท๎ในแถบประเทศเขต หนาวและเขตอบอํุนสํวนใหญํจะมีขนาดใหญํมาก โดยแพะตวั ผ๎ูท่ี โตเต็มท่ีบางตัวอาจหนักไดถ๎ ึง 80-120 กิโลกรัม และด๎านความสูงอาจมีมากถึง 100-130 เซนติเมตร ซึ่งถือเปน็ ลักษณะดีเดํน ของแพะพันธ๑ุท่ีใช๎ในการให๎ผลผลิตเป็นเน้ือ หรือในพอํ พันธุ๑แพะนมพนั ธ๑ุที่มีถ่ินกําเนิดอยํูในเขต หวานและเขตอบอํุนกอ็ าจมีขนาดใหญํมากไดเ๎ ชนํ กนั 2.1.4 หมู หรือ สุกร เป็นสัตว๑เล้ียงลูกดว๎ ยนํ้านม มีชอื่ วิทยาศาสตร๑วาํ Sus domesticus เป็นสัตว๑ แบบกบี คํู ลําตัวอ๎วน มีจมกู และปากยื่นยาว มที ัง้ ทเ่ี ป็นหมูเลีย้ งและหมปู ุา หาอาหารโดยใช๎จมูกสูดดมกลํน สถานปี ศุสตั ว๑

9 2.1.5 ไกไ่ ข่ พันธโ์ุ รดไอสแ์ ลนด์เรด มรี ูปราํ งคํอนข๎างยาวและลึก เหมือนสี่เหล่ียมยาวขนสีน้ําตาลแกม แดงผิวหนังและแข๎งสีเหลือง แผํนหูมีสีแดงเปลือกไขํสีน้ําตาลเชื่อง แข็งแรงสามารถปรับตัวเข๎ากับ สภาพแวดล๎อมไดด๎ ี 2.1.6 กบ เป็นสตั ว๑ ครึง่ นา๎ คร่ึงบก ตอนเปน็ ไขํอยูํในนา๎ ตํอมาไขเํ จริญเตบิ โตเปน็ ตัวอํอนทเี่ รยี กวาํ “ลูกอ๏อด” ซงึ่ อาศยั อยใูํ นน๎า และหายใจโดยใช๎เหงอื ก ขณะลูกออ๏ ดอยใํู นน๎า เคล่ือนท่ี โดยใชห๎ างวาํ ยนา๎ เมื่อลูกออ๏ ดเจรญิ เติบโตขึน้ สํวนหางจะหายไป และมีขา 4 ขา เกิดขนึ้ รูปรํางเหมือน ตวั แมํโดยทว่ั ไป แตํมขี นาดเล็ก และข้นึ มาอาศยั บนบก สัตว๑ครงึ่ นา๎ คร่ึงบกเมื่อเตบิ โตเต็มที่แล๎วจะหายใจ โดยใชป๎ อดและผวิ หนัง 2.1.7 ปลา เปน็ สตั ว๑นา้ํ อาศัยอยํทู ้ังในนา้ํ จดื และนาํ้ เค็ม ปลามรี ูปราํ งเรยี วยาวเพอื่ ให๎สะดวกในการ เคลอื่ นท่ีในนา้ํ ลําตัวของปลามีเกล็ดหรอื เมอื กปกคลุม ปลายหายใจโดยใช๎เหงือก ปลาสํวนใหญอํ อก ลูกเป็นไขํ เชนํ ปลาดกุ ปลาชอํ น ปลานิล ปลาตะเพยี น ปลาทู เป็นต๎น แตํปลาบางชนิดออกลูกเปน็ ตวั เชนํ ปลาหางนกยูง ปลาเขม็ ปลาสอ 2.1.8 กระต่าย กระตํายจัดเป็น สัตว๑เลี้ยงลูกด๎วยนมขนาดเล็ก ขนปุย หูยาว เป็นสัตว๑เลี้ยงลูกด๎วย นํ้านม เป็นสัตว๑เลี้ยงที่แพรํหลาย ถ่ินอาศัยตามธรรมชาติของกระตํายมีเกือบทั่วโลก พบได๎ต้ังแตํในทะเลทราย ปาุ รอ๎ นชน้ื และพื้นทช่ี ํมุ น้าํ อาศยั อยํูด๎วยกนั เป็นฝงู มกั ขุดดินทําบ๎านเป็นโพรง 2.2 ระบบย่อยอาหารของสัตว์ในฟาร์ม 2.2.1 วัว ควาย เป็นกลุํมสัตว๑กินพืช ซึ่งเปน็ สัตว๑เล้ียงลูกดว๎ ยนํ้านม ที่มีทางเดินอาหารที่แตกตาํ งจาก สตั ว๑อ่นื โดยกระเพาะอาหารจะแบงํ ออกเป็น 4 สํวน คอื รูเมน (rumen) หรือท่ีคนท่ัวไปเรียกกันวาํ ผ๎าขี้ร้ิว เรติ ควิ ลมั (reticulum) หรือเรยี กกันวาํ กระเพาะรังผึ้ง โอมาซมั (omasum) หรอื เรียกกันวํา กระเพาะสามสบิ กลีบ และแอบโอมาซัม (abomasums) หรือกระเพาะจริง กระเพาะอาหารสามสํวนแรกเป็นสํวนของหลอดอาหารที่ ขยายขนาดโตขึน้ ไมมํ กี ารสร๎างเอนไซม๑ หญ๎าท่ีวัวกินเข๎าไปนั้นจะเข๎าไปอยูํในกระเพาะสํวนเรติคิวลัม จากนั้นจะมีการหดตัวของกระเพาะ สวํ นเรตวิ ลัม เพื่อสํงอาหารเข๎าสํูกระเพาะสํวนรเู มน ซ่ึงเปน็ กระเพาะท่ีมีขนาดใหญํกวํากระเพาะอ่ืนๆ เม่ือวัวกิน อาหารจนเต็มท่ีแล๎วก็จะสํารอกอาหารสํวนรูเมน ออกมาเค้ียวใหมํเป็นครั้งคราว เพ่ือบดอาหารให๎ละเอียดขึ้น เรียกวํา เค้ียวเอ้ือง แล๎วกลืนกลับเข๎าไปใหมํ อาหารจะถูกหมักออยูํในกระเพาะอาหารน้ีเป็นเวลาหลายช่ัวโมง โดยมีแบคทีเรีย และโปรโตซัวชํวยยํอยสลายเซลลูโลสให๎เป็นกรดไขมันอยํางงําย กรดไขมันนี้จะถูกดูดซึมเข๎าสูํ ระบบหมุนเวียนเลือดเพื่อใช๎เป็นแหลํงให๎พลังงาน และจุลินทรีย๑เหลํานี้ยังชํวยสังเคราะห๑กรดไขมันจาก คาร๑โบไฮเดรต และสังเราะห๑กรดอะมิโนจากยูเรีย และแอมโมเนีย ท่ีเกิดจากการหมัก รวมท้ังวิตามินบี 12 อีก ด๎วย จากน้ันอาหารและจุลินทรีย๑ท่ีอยูํในกระเพาะสํวนน้ีจะถูกบีบสํงกลับไปยังกระเพาะสํวน เรติคิวลัม และสํง สถานีปศสุ ตั ว๑

10 ตํอไปยังกระเพาะโอมาซัม เพื่อบดอาหารผสมรวมกัน และบีบคั้นนํ้าออกเพ่ือให๎อาหารแห๎งและเป็นก๎อน จากน้ันสงํ เขา๎ กระเพาะแอบโอมาซัมหรอื กระเพาะจริง เพ่อื ทําการยํอยตามปกติ โดยมีเอนไซมช๑ วํ ยในการยอํ ย เมอ่ื อาหารยอํ ยในกระเพาะแลว๎ จะถูกขบั ออกมาสูํลําไสเ๎ ลก็ ตัวเลก็ ตอนตน๎ และมอี วัยวะอนื่ ๆอีกที่ชํวยใน การยํอยอาหาร ได๎แกํ ตับอํอนสร๎างเอนไซม๑มายยํอยอาหารพวกโปรตีน ไขมัน และแปูง ตับ สร๎างนํ้าดีเพื่อชวํ ย ในการยํอยในลําไส๎เล็ก โดยทําให๎ไขมันแตกตัว เมื่ออาหารยํอยเสร็จเรียบร๎อยแล๎วจะถูกดูดซึมเข๎าระบบ หมนุ เวยี นเลือด เพอ่ื นาํ ไปใชใ๎ นสํวนตาํ งๆของรํางกาย ระบบโครงสรา๎ งววั ทม่ี า: http://www.thaieditorial.com/ โครงสร๎างของระบบยอํ ยอาหารของสตั ว๑เลี้ยงลกู ด๎วยนมพวก ววั ควาย/ กระเพาะวัวนั้นมี 4 สํวน ซ่ึง 3 สํวนแรกเกิดจาก หลอดอาหารท่ีพองตัว สํวนกระเพาะสุดท๎ายเป็น กระเพาะจริง 1.รูเมน (Rumen) เรียกวํา ผ๎าขี้ร้วิ มลี กั ษณะเป็นผนังยืน่ ออกมา ทาหนา๎ ทีห่ มักอาหารโดยจลุ ินทรยี ๑ อาหารจะถกู สงํ ออกมาเคี้ยวเอื้องอกี คร้ังหนึ่งเพื่อบดเสน๎ ใยให๎ละเอียด มีขนาดใหญํที่สุด กระเพาะรูเมนหรือผ๎าข้ีรว้ิ ทมีํ า: http://www.thaieditorial.com/ โครงสรา๎ งของระบบยอํ ยอาหารของสตั ว๑เลี้ยงลกู ด๎วยนมพวก วัว ควาย/ สถานีปศสุ ตั ว๑

11 2.เรติคิวลัม (Reticulum)หรือกระเพาะรังผ้ึง เป็นกระเพาะท่ีที่ลักษณะคล๎ายรังผ้ึง มีหน๎าท่ีคล๎ายกับ กระเพาะรูเมน คอื มีการหมักและสารอกอาหาร อยถํู ัดจากรูเมน กระเพาะเรตคิ วิ ลัมหรือกระเพาะรังผงึ้ ทมีํ า: http://www.thaieditorial.com/ โครงสร๎างของระบบยํอยอาหารของสตั ว๑เลยี้ งลกู ดว๎ ยนมพวก วัว ควาย/ 3.โอมาซัม(Omasum) หรือกระเพาะสามสิบกลีบ อยูํระหวาํ ง ทางเปิดเข๎าสํู abomasum มีลักษณะ กลมบทบาทสาคัญของ omasum คือทาหน๎าที่ดดู ซับน๎าและสารละลายตํางๆไว๎ โดยปลํอยอาหารให๎ผํานเข๎าสูํ abomasum กระเพาะโอมาซมั หรือกระเพาะสามสิบกลีบ ทม่ี า: http://www.thaieditorial.com/ โครงสร๎างของระบบยํอยอาหารของสัตว๑เลยี้ งลูกดว๎ ยนมพวก วัว ควาย/ สถานปี ศุสตั ว๑

12 4.แอบโบมาซัม (Abomasum) หรือกระเพาะจริง ซ่ึงเปน็ กระเพาะท่ีแท๎จริง มีน๎ายํอยโปรตีน และมี การยํอยตามปกติเกดิ ขน้ึ ท่แี อบโอมาซมั แอบโบมาซมั กระเพาะหรือกระเพาะจรงิ ทม่ี า: http://www.thaieditorial.com/ โครงสร๎างของระบบยํอยอาหารของสตั ว๑เลี้ยงลกู ดว๎ ยนมพวก วัว ควาย/ 2.2.2 แพะ เป็นสัตว๑ท่ีให๎ผลผลิตได๎หลากหลายรูปแบบซ่ึงสํวนใหญํเป็นเนื้อและนม เชํน เดียวกับปศุ สัตว๑ทั่วไปอีกท้ังเป็นสัตว๑เคี้ยวเอื้องทําให๎ผลของการให๎ผลผลิตเน้ือและนมจึงขึ้นกับ คุณภาพของอาหารหยาบท่ี สตั ว๑กนิ และศกั ยภาพการยอํ ยอาหารของสัตวโ๑ ดยการทาํ หน๎าทขี่ อง จุลินทรีย๑ในกระเพาะอาหารสํวนหน๎า (Fore stomach) กระเพาะหมักท่ีทําหน๎าที่หมักอาหาร พวกเย่ือใย และการสังเคราะห๑วติ ามินให๎แกํตัวสัตว๑ ซึ่งโดย ปกติอาหารพวกเยื่อใยจะมีคุณคํา ทางอาหารตํ่าแตํจุลินทรีย๑จะเปล่ียนเป็นสารอาหารที่มีประโยชน๑ที่สัตว๑ นาํ ไปใชใ๎ นการดํารงชวี ิต และการสร๎างผลผลิตตํอไป โดยระบบทางเดนิ อาหารของแพะมรี ปู แบบเชํนเดียว กับโค กระบอื คือ มีกระเพาะอาหารที่แบํงแยกไดเ๎ ป็น 4 สํวน คือ กระเพาะหมัก (Rumen) กระเพาะรวงผึ้ง (Reticulum) กระเพาะสามสิบกลีบ (Omasum) กระเพาะแท๎ (Abomasum) 1 Esophagus 2 Reticulum 3 Rumen 4 Omasum 5 Abomasum 6 Small intestine 7 Large intestine 8 Rectum 9 Cecum ระบบทางเดินอาหารอาหารของแพะ ทม่ี า:http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:JSPphwAA_osJ:e-book.ram.edu /e-book/a/AT335/AT335- 2.pdf+&cd=1&hl=th&ct=clnk&gl=th สถานปี ศสุ ัตว๑

13 ด๎านความต๎องการนํ้าของแพะก็มีในปริมาณมาก ท้ังนี้นอกเหนือจากการที่นํ้าเป็น สํวนประกอบสําคัญของรํางกายแล๎วยังมีสํวนในการสร๎างผลผลิตโดยเฉพาะนม มีบทบาทใน การรักษาสมดุล ปริมาณนํ้าในรํางกาย นํ้าในเซลล๑ น้าํ นอกเซลล๑ และในระบบไหลเวียนโลหติ การปรบั ความเปน็ กรดเปน็ ดํางของ ราํ งกายและนํ้าในกระเพาะหมัก รวมถงึ นาํ้ ลายที่ชํวยในการ เค้ียวเออื้ งและการยํอยอาหาร นอกจากนี้น้ํายังชํวย ในการระบายความร๎อน การปรับอุณหภูมิ รํางกาย ทําให๎แพะสามารถปรับตัวไดด๎ ีเม่ือเลี้ยงดูอยูํในสภาพพื้นท่ีท่ี มีอากาศรอ๎ นและแหง๎ แล๎ง จากการท่ีแพะมีการปรับตัวไดด๎ ีแม๎จะเล้ียงในสภาพแวดล๎อมท่ีทุรกันดารแห๎งแล๎ง ร๎อนชื้น หรือ หนาว เย็นเพราะแพะมีไขมันใตผ๎ ิวหนังน๎อย มีขนสั้นลักษณะของขนเป็นเงา ซึ่งจะทนความร๎อน หรือความชน้ื ได๎ดี และชํวยให๎สะท๎อนแสงแดดทําให๎แพะสามารถทนตํอความร๎อนในสภาพพ้ืน ท่ีเขตร๎อนได๎ และแพะยังเปน็ สัตว๑ เล้ยี งที่มคี วามอดทนสูง รํางกายมคี วามแขง็ แรง ปราดเปรยี ว ไมํเปนโรคงําย มีความต๎านทานตํอโรคตํางๆสงู 2.2.3 หมหู รือ สุกร ระบบยํอยอาหารสุกร (Digestive system) เป็นพวกกระเพาะเดย่ี ว (Simple stomach) ยํอยอาหารเชิงกลโดยการบดเค้ียวด๎วยฟัน และยํอยด๎วยสารชีวเคมีหรือ น้ํายํอย (Digestive Enzyme) องคป๑ ระกอบของระบบยํอยอาหาร มีดงั นี้ ปาก (Mouth) สุกรมีจมกู ที่ สามารถดมกล่ินไดด๎ ีมาก และแข็งแรงพเิ ศษ ใชใ๎ นการขดุ คุ๎ยหาอาหาร มี ฟนั ทงั้ ดา๎ นบนและด๎านลําง บดเคี้ยวอาหารละเอียดมาก และมตี ํอมนาํ้ ลาย(Saliva glands) 5 ตํอม ไดแ๎ กํ บริเวณขา๎ งแก๎ม (Parotid glands) 2 ตํอม บรเิ วณใต๎ลนิ้ (Sublingual gland) 1 ตอํ ม และขา๎ งกรามลําง (Sub maxillary glands) 2 ตอํ ม น้ําลายมหี นา๎ ที่ ทาํ ให๎อาหารเปยี ก กลนื งาํ ย และยงั นํา้ ยอํ ย Amylase ชํวย แปูงให๎เป็นนํา้ ตาลดว๎ ย หลอดอาหาร (Esophagus) เป็นทางผํานอาหาร ไมมํ กี ารยอํ ย กลืนดว๎ ยกลา๎ มเนอื้ สงํ ผํานอาหารเปน็ คล่ืนเรียก Peristalsis กระเพาะอาหาร (Stomach) มีความจุ 3-5 ลติ ร ทําหนา๎ ทย่ี อํ ยอาหารในข้ันต๎น ให๎เป็นโมเลกลุ เล็กลง ผนังกระเพาะอาหารแตํละสํวนมีหนา๎ ทใ่ี นการผลติ นํา้ ยํอย (Gastric juice) และของเหลวทีม่ คี ณุ สมบตั แิ ตกตาํ ง กัน ทาํ ใหภ๎ ายในกระเพาะอาหารมสี ภาพเป็นกรด แตํละสวํ นมีลักษณะดังน้ี 1. สวํ นตํอกับหลอดอาหาร (Esophageal region) เปน็ เย่ือบุชัน้ เดียว ไมํมกี ารผลติ น้าํ ยอํ ย 2. สํวนตอนกลาง (Cardiac gland region) เปน็ สวํ นท่มี ขี นาดใหญทํ ่สี ุด คลมุ พน้ื ทส่ี วํ นใหญํ ตอนกลางของกระเพาะอาหาร ทาํ หน๎าทีผ่ ลิตนาํ้ เมอื ก (mucus) 3. สํวนตอนลาํ ง (Fundic gland region) เปน็ สํวนดา๎ นลําง ทาํ หนา๎ ทผี่ ลติ ท้งั นาํ้ ยอํ ยหลาย ชนดิ และกรดเกลอื (Hcl) สถานปี ศสุ ัตว๑

14 4. สวํ นตอํ กบั ลาํ ไสเ๎ ล็ก (Pyloric gland region) เป็นสวํ นด๎านลํางตดิ กบั ลําไสเ๎ ลก็ มพี ื้นท่ี เพยี งเลก็ นอ๎ ย ทําหนา๎ ที่ผลติ น้ํายํอยหลายชนดิ และ ฮอร๑โมนกาสตริน (Gastrin Hormone) ซึ่งกระตน๎ุ การ เคลอ่ื นไหวของกระเพาะอาหารและกระต๎ุนการหลง่ั ของกรดเกลอื ลาํ ไส๎เลก็ (Small Intestine) มคี วามยาวถึง 16 เมตร และมคี วามจุ 13 ลิตร หรือมขี นาดเทํากบั 77.87 % ของระบบยํอยอาหารท้งั หมด ทําหนา๎ ที่ ยํอยอาหารให๎มขี นาดเลก็ จนสามารถซึมผํานผนงั เสน๎ เลือดได๎ และทําหนา๎ ทด่ี ดู ซมึ สารอาหารมากที่สดุ มี 3 สวํ น 1. สํวนตน๎ (Duodenum) 2. สวํ นกลาง (Jejunum) 3. สวํ นปลาย (Ileum) ลําไสเ๎ ลก็ สํวนตน๎ เปน็ สํวนที่มคี วามสําคญั มาก เพราะมีการผลติ นาํ้ ยอํ ยและฮอรโ๑ มนหลายชนดิ อีกทั้งมที อํ จาก จากตับออํ น (Pancreatic Duct) นําน้ํายอํ ยหลายชนดิ จากตับออํ น และทํอจากถุงนา้ํ ดี (Common Bile Duct) นํานํ้าดจี ากถงุ นาํ้ ดี มายํอยอาหารในลาํ ไส๎เล็ก บรเิ วณนเ้ี รยี ก Diverticulum duodeni สํวนกลางและสวํ นท๎าย เปน็ สวํ นทมี่ ีการยอํ ยอาหารให๎ละเอียดข้ึน และดดู ซมึ สารอาหารหลายชนดิ ลาํ ไส๎ใหญํ (Large Intestine) ตอํ จากลาํ ไสเ๎ ล็กสํวนปลาย (Ileum) ลําไสใ๎ หญปํ ระกอบดว๎ ยสํวนไส๎ต่ิง (Cecum) ซ่ึงเปน็ ทํอปลายตนั ลําไส๎ใหญสํ วํ นขยาย (Spiral Colon) ซง่ึ มลี ักษณะเปน็ ลอน และ ลําไส๎ใหญํสํวนปลายทมี่ ี ลกั ษณะแคบเล็ก (Small Colon) ทําหนา๎ ทดี่ ดู ซมึ นาํ้ กลับคนื เข๎าสูรํ ํางกาย ไมํมีการสรา๎ งน้าํ ยอํ ยเพอ่ื ยอํ ย อาหาร แตํมีการยํอยอาหารโดยจุลนิ ทรีย๑ เล็กน๎อย และผลิต Vitamin B12 เลก็ น๎อย ทางเดินอาหารของสกุ ร ทม่ี า : http://elearning.nsru.ac.th/web_elearning/animals/lesson7_3.php สถานีปศุสัตว๑

15 2.2.4 ไก่ กํอนท่ีสัตว๑จะสามารถใช๎ประโยชน๑จากอาหารได๎ จะต๎องผํานขบวนการยํอยอาหาร ใน เบื้องตน๎ จะยํอยอาหารที่มีโมเลกุลใหญํ ๆ เชํน โปรตนี ไขมัน และคาร๑โบไฮเดรต โดยขบวนการเกิดจะเกิด โดยมีนํ้ารํวมอยํูด๎วย ซึ่งจะทําให๎เกิดการขยายตัวของสาร ในขบวนการยํอยน้ันขบวนการที่สําคัญที่สุด คือ การรวมกบั นาํ้ (Hydrolysis) อวัยวะการยํอยอาหารของไกํแตกตํางไปจากสัตว๑อ่ืน ๆ หลายประการ ไกํไมํมีฟัน แตํมี จงอยปากแหลมใช๎จิกอาหาร ไกํมีล้ินปลายแหลมและแยกเป็นสองแฉกทางด๎านหลังสําหรับใชจ๎ ิกอาหาร และ สํงอาหารไปยังลําคอและหลอดอาหาร ซึ่งหลอดอาหารมีขนาดใหญํ และตอนลํางของหลอดอาหารขยายใหญํ เป็นถุงใชส๎ ําหรับเป็นท่ีพักอาหาร เรียกกระเพาะพัก (Crop) มีตอํ มขับน้ําเมือกเพื่อให๎อาหารเปียก และอํอน นํมุ ขณะทอี่ าหารอยใํู นกระเพาะพกั จะเกดิ การหมกั จากการกระทาํ ของจุลนิ ทรีย๑ กระเพาะพกั จะสํงอาหารเข๎า ไปในกระเพาะหน๎า (Proventriculus) ซึ่งทําหน๎าท่ีเหมือนกระเพาะจริงของสัตว๑อน่ื ๆ คือมีการหลั่งน้ํายํอย กระเพาะ ถัดจากกระเพาะหน๎าเป็นกระเพาะหลัง หรือกระเพาะบด หรือก๋ึน (Gizzard) ซึ่งประกอบดว๎ ย กล๎ามเน้ือแข็งและหนาเป็นแถบ ไมํมีตํอมขับน้ํายํอย มีกรวด (Grit) อยูํภายในเพื่อทําหน๎าที่บดแทนฟัน อาหารที่ยังหยาบอยํู เชํน เมล็ดพืช จะถูกบดให๎ละเอียดกํอนท่ีจะถูกสํงเข๎าลําไส๎เล็ก กรวดจะอยูํในก๋ึน จนกระทงั่ สึกจนเรียบและมขี นาดเลก็ ลงกจ็ ะผํานออกไปจากก๋ึนไปยงั ลําไส๎เล็ก ลําไส๎เล็กเป็นสํวนสําคัญในการยํอยอาหารของไกํ อาหารจําพวกแปูงจะเร่ิมถูกยํอยที่ปาก เร่ือยไปจนถึงกระเพาะพัก และถูกยํอยโดยสมบูรณ๑ท่ีลําไส๎เล็ก ผลผลิตขั้นสุดท๎ายของการยํอยแปูงจะได๎ กลูโคสซ่ึงถูกดดู ซึมในสํวนลําไส๎เล็ก น้ําตาลพวก Disaccharides ไดแ๎ กํ Maltose และ Lactose ถูกยํอย เปน็ น้าํ ตาลอยํางงาํ ยในลําไส๎เล็ก ไขมนั ถูกยํอยในลําไส๎เล็ก การยํอยไขมันจําเป็นตอ๎ งอาศัยน้ําดี ซึ่งผลิตจากตบั แล๎วเก็บอยูํ ที่ถุงน้ําดี เอนไซม๑ Lipase จากตับอํอนจะยํอย Triglycerides ให๎เป็น Fatty acid และ Monoglycerides เอนไซม๑ที่ใช๎ในการยํอยโปรตีนมีมาก เพราะวําเอนไซม๑แตํละตัวมีความจําเพาะตํอการ Hydrolyze ในโมเลกุลของโปรตนี การยอํ ยโดยเอนไซม๑ในระบบทางเดินอาหาร จะเปลี่ยนแปลงไปไดโ๎ ดยข้ึนอยํูกับอุณหภูมิและ ความเป็นกรดดํางของรํางกาย ในการยํอยโปรตีนในห๎องปฏิบัติการต๎องใช๎เวลาหลาย ๆ ชั่วโมงในการต๎มกับ กรด ในขณะท่ีการยํอยในราํ งกายใชเ๎ วลาที่ส้ันกวํา ตอนท่ีลําไส๎เล็กตอํ กับลําไส๎ใหญํมีไส๎ต่ิง (Ceca) ขนาดใหญํกวําธรรมดา 2 อนั เป็นอวัยวะ ทชี่ ํวยดูดซึมนา้ํ และยอํ ยเยอ่ื ใยแตไํ มมํ คี วามสําคัญในไกํ ซงึ่ ปกติจะกินอาหารที่มเี ยื่อใยต่าํ เชํนอาหารข๎น ลําไส๎ ใหญมํ ีขนาดโตแตสํ ั้นมาก ตํอไปอาหารจะเปิดออกทางทวารหนัก สถานปี ศุสตั ว๑

16 ระบบโครงสรา๎ งไกํ ทม่ี า http://onwimon.blogspot.com/p/blog-page.html. 2.2.5 กบ ปาก (mouth) กบมีปากกวา๎ ง เม่ืออ๎าปากกบดูจะพบวําท่ีขอบของขากรรไกรบนมีฟนั ซ่ีเล็กๆ คล๎ายซ่ี เลื่อย เรียกวาํ ฟนั แมกซีลลารี (maxillary teeth) ถัดเข๎าไปข๎างในที่เพดานปากมีฟันอีก 2 แถว เรียกวํา ฟนั โว เมอรีน (vomerine teeth) ซึ่งเปน็ โครงสร๎างท่ีเฉพาะของกบท่ีใชใ๎ นการจับเหยื่อแตํไมํได๎ใช๎ในการบดเคี้ยว อาหาร สํวนที่บริเวณทางด๎านหน๎าของขากรรไกรลํางจะมีล้ิน (tongue) ตดิ อยูํ ลิ้นของกบมีลักษณะแบนสํวน ปลายมี 2 แฉก ลน้ิ กบจะแตกตาํ งจากสัตว๑อ่ืนตรงท่ีสํวนโคนลิ้นจะติดกับขากรรไกรลํางทางด๎านหน๎า สํวนปลาย ลน้ิ จะอยขํู า๎ งในปาก ดังนั้นเวลากบจับแมลงมันจะตวัดสวํ นปลายลน้ิ ออกมา (ดังภาพที่ 6) ชํองอาหาร (gullet) อยํูถัดจากปลายล้ินเข๎าไปในชํองปาก มีลักษณะเป็นรอยยํนๆ เป็นทางเปิดเข๎าสํูหลอด อาหาร หลอดอาหาร (esophagus) เป็นทํอตํอจากปากสํูกระเพาะอาหารทาหน๎าท่ีผลักดันอาหารให๎เคลื่อนท่ี ลงสูํกระเพาะอาหารโดยการหดตัวของกล๎ามเน้ือเรียบของหลอดอาหารแบบเพอริสตัลซีส (peristalsis) และซิ เลีย (cilia) ทอ่ี ยํรู อบหลอดอาหารที่ชํวยผลักดันอาหารไปสํูกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหาร (stomach) มีลักษณะเป็นถุงกล๎ามเนื้อขนาดใหญํคล๎ายอักษรรูปตัว J วางตัวอยํู ด๎านหลังของตับ ทําหน๎าท่ีเก็บอาหารและยํอยอาหาร ตอนปลายของกระเพาะอาหารท่ีติดกับลาไส๎เล็กมี กล๎ามเนื้อสาหรับทาหน๎าท่ีปดิ -เปิดกระเพาะอาหาร เรียกวาํ หูรูดไฟลอริก (pyloric sphincter) ทาหน๎าที่ ควบคมุ การสํงออกอาหารทยี่ อํ ยจากกระเพาะอาหารไปยังลาไส๎เลก็ ลําไส๎เล็ก (small intestine) เป็นทํอทางเดินอาหารที่ยาวมาก ในกบลาไส๎เล็กจะแบํงออกเป็น 2 สํวน คือ ลาไส๎เล็กสํวนตน๎ คือ ดูโอดีนัม (duodenum) จะมีทํอจากตับและตับอํอน นาน๎าดีและน๎ายํอยมาเปดิ เข๎าสํู สถานปี ศสุ ตั ว๑

17 บริเวณนี้ และลาไส๎เล็กสํวนท๎าย คือ เจจูโนไอเลียม (jejunoileum) ซ่ึงเปน็ ลาไส๎เล็กสํวนเจจูนัม (jejunum) และ ไอเลียม (ileum) โดย jejunoileum จะมีขนาดเล็กกวาํ duodenum และเป็นสํวนท่ีมีการดูดซึมน๎าและ สารอาหารมากท่สี ุด ลําไส๎ใหญํ (large intestine) มีตอํ มสร๎างเมือกเพ่ือให๎อจุ จาระเคลื่อนไดส๎ ะดวก ในลาไส๎ใหญํไมํมีการ ยํอยอาหาร มีการดูดซมึ น๎าและสารอาหารได๎บ๎าง ไสต๎ รง (rectum) เป็นท่รี วมของกากอาหาร มีแบคทีเรียหลายชนดิ ชํวยยอํ ยกากอาหาร โคลเอกา (cloaca) อยูํด๎านลํางของปลายไส๎ตรง เป็นทํอนาปัสสาวะจากกระเพาะปัสสาวะ ทํอนาไขํใน เพศเมีย และทํอนาอสุจิในเพศผู๎มาเปิดออกที่ด๎านบนของไส๎ตรงตอนปลาย ดงั นั้นรูเปิดของโคลเอกา (cloacal opening) จงึ เปน็ ทางออกของอุจจาระ ปัสสาวะและเซลล๑สบื พันธ๑ุ (ไขํหรอื อสุจ)ิ นอกจากอวยั วะตํางๆ ท่เี ป็นทางเดินอาหารของกบแล๎ว ยังมอี วยั วะท่ีชํวยในการยอํ ยอาหาร ได๎แกํ ตบั (liver) กบมีตับ 3 พู ทาหน๎าที่สร๎างน๎าดี ซ่ึงจะถูกสํงมาเก็บไวท๎ ่ีถุงน๎าดี (gall bladder) กํอนจะ หล่ังเขา๎ สูํ duodenum เพ่ือชวํ ยในการยํอยไขมันโดยทาใหไ๎ ขมนั แตกตัวเป็นหยดไขมนั ขนาดเลก็ ตับอํอน (pancreas) ทาหนา๎ ท่สี ร๎างน๎ายอํ ยสงํ ไปยงั duodenum ซงึ่ อยูขํ ๎างๆ ระบบโครงสรา๎ งกบ ทีม่ า: https://winkkkwaing.wordpress.com/2010/09/19/กบ/. สถานีปศสุ ตั ว๑

18 2.2.6 ปลา อวัยวะท่ีเก่ียวข๎องกับการกินอาหาร ได๎แกํ ปาก ล้ิน ฟัน ชํองปาก ชํองคอ ซ่ีกรอง หลอด คอ กระเพาะอาหาร ลําไส๎เล็ก ไส๎ต่ิง สําไส๎ใหญํ และตํอมสมทบท่ีสร๎างน้ํายํอยตํางๆ การทํางานของอวัยวะ เหลําน้ีจะมีความสัมพันธ๑กัน โดยอาหารท่ีเข๎าสูํชํองปากอาจมีฟันสําหรับบดฉีกหรือตัดอาหาร แตํปลาบางชนิด ไมํมีฟันในชํองปาก จากน้ันอาหารจะเข๎าสํูชํองคอผํานหลอดคอสํูกระเพาะอาหาร ปลาบางชนิดมีฟันท่ีชํองคอ ชวํ ยบดตัดอาหาร หลังจากน้ันอาหารจะผาํ นไปยงั ลาํ ไส๎เล็ก และลาํ ไสใ๎ หญํ กากอาหารถูกขับออกสูํภายนอกทาง ทวาร (anus) ในปลากระดูกแขง็ หรอื ทวารรํวม (cloaca) ในปลากระดกู ออํ น ระบบโครงสร๎างปลา (บน)ปลากระดูกออํ นและ (ลําง)ปลากระดกู แขง็ ท่ีมา: https://winkkkwaing.wordpress.com/2010/09/19/ปลา/. อวัยวะภายในของปลา 1. ฟัน (teeth) มีกําเนดิ มาจากผวิ หนังช้ันนอก ในปลากระดกู ออํ นฟนั จะมีขนาดและรูปรํางเหมือนกัน ต้ังอยูํลอยๆ บน ขากรรไกร ซ่ึงจะยึดติดกับเหงือกด๎วยเส๎นใยคอลลาเจนสํวนในปลากระดูกแข็งฟันจะฝังลึกลง ไปในกระดูก ขากรรไกร แตํไมํมรี ากฟัน ฟันปลาจะมีการหลุดและเกิดขึ้นใหมํตลอดเวลา ในปลาฉลามฟนั จะเรียงกันเป็นแถว ฟันแถวนอกสดุ จะมีอายมุ ากที่สุด เมือ่ หลุดไปแถวใหมดํ า๎ นในจะรนํ เข๎ามาแทนท่ี ปลาเปน็ สัตวท๑ ่ีกนิ อาหารโดยไมํ เค้ียวจึงมีฟันเหมือนกันหมด แตํในปลาแตํละชนิดจะมีการจัดเรียงฟันในตาํ แหนํงตํางๆ กัน อาจมี 1, 2 หรือ 3 แถวก็ได๎ หรืออาจเบียดกันแนํนเป็นกระจุก บางชนิดเรียงกันเป็นแถบ จํานวนของฟันข้ึนอยํูกับชนิดของปลา สถานปี ศุสัตว๑

19 ปลาบางชนิดก็ไมํมีฟันเลย ตําแหนํงของฟัน ฟันจะเกิดภายในชํองปากตามท่ีตํางๆ กัน จึงเรียกช่ือฟันตาม ตําแหนํงท่ีตงั้ ดังนี้ ระบบโครงฟนั ของปลา ทีม่ า: https://winkkkwaing.wordpress.com/2010/09/19/ปลา/. ตําแหนงํ ของฟันในปาก ก. ฟันบนขากรรไกรบน (premaxillary teeth และ maxillary teeth) ข. ฟนั บนขากรรไกรลําง (mandible teeth) ค. ฟนั บนเพดานปาก (vomerine teeth และ palatine teeth) ง. ฟันบนกระดูกส้ิน (lingual teeth) จ. ฟันในชอํ งคอและบนกระดูกแกนเหงอื ก (pharyngeal teeth) ลักษณะรูปรํางของฟันในปลาแตํละชนิดจะมีรูปแบบ ขนาด และหน๎าท่ีแตกตํางกันไปแล๎วแตํชนิดของ อาหารทกี่ ิน จําแนกฟนั ตามรูปรํางลกั ษณะไดด๎ ังน้ี สถานปี ศุสตั ว๑

20 ลกั ษณะฟันของปลา ท่ีมา: https://winkkkwaing.wordpress.com/2010/09/19/ปลา/. ระบบโครงสร๎างฟันของปลา ท่ีมา: https://winkkkwaing.wordpress.com/2010/09/19/ปลา/. ลักษณะรปู ราํ งของฟันแบบตํางๆ 1. ซิลิฟอร๑ม (ciliform) เป็นฟันท่ีมีขนาดเล็กละเอยี ดมาก ไมํมีความแข็งแรงสามารถโยกได๎ มักรวมอยูํ เปน็ แถบหรอื กระจุก มจี าํ นวนมาก พบในพวกปลาหลังเขียวและปลาตะลมุ พุก 2. วิลลิฟอร๑ม (villiform) เป็นฟันซี่เล็กเรียวยาวไมํเทํากัน อยํูติดกันเรียงเป็นแถวพบในปลาเข็ม ปลากด ปลาแขยง และปลาเทโพ 3. คารด๑ ิฟอรม๑ (cardiform) มีลักษณะเปน็ ฟนั เล็กๆ หรือใหญํก็ได๎ แหลมคมมากอยํูกันเป็นกระจุก มัก เอนไปมาไมเํ ปน็ ระเบียบ พบในปลาเคา๎ ปลากะพง ปลากะรงั เป็นตน๎ 4. ฟันเข้ียว (canine) มีลักษณะคล๎ายเข้ียวของสุนัข เป็นฟันขนาดใหญํโค๎งเรียวรูปกรวย ฐานใหญํ ปลายเรียวแหลมยื่นพ๎นซ่ีอ่ืนๆ ข้ึนมา มีความแข็งแรงมั่นคงมาก ใช๎สําหรับกัด จับยึด และฉีกเน้ือเหยื่อ พบใน ปลานาํ้ ดอกไม๎ ปลาชํอน ปลาชะโด ปลาดาบเงิน เปน็ ต๎น สถานปี ศสุ ัตว๑

21 5. ฟันส่ิว (chisel-like) เปน็ ฟนั ปลายแบนคมแบบปลายสิ่ว ใชเ๎ จาะของแข็ง พวกหอย ปู พบในปลาวัว ปลากวาง 6. ฟันตัด (incisor) มีลักษณะปลายตัดคล๎ายฟันหน๎าของสัตว๑แทะ ใช๎สําหรับตัดปลายอาจเรียบหรือ เป็นหยกั พบในปลานกแก๎ว ปลาปกั เปาู และปลาหชู า๎ ง เป็นต๎น ใช๎ในการกัดแทะพืชที่ติดกบั หนิ 7. ฟนั เป็นแผํนแบนคํู (paired tassillated plate) อยูํด๎านหน๎า ใชส๎ ําหรับขบตัดให๎แตกขาด เชํน ฟัน คูํหนา๎ ของปลาปกั เปูา 8. ฟนั คล๎ายปากนก (beak-like) ฟนั หน๎าเชอ่ื มรวมกัน พบในปลานกแก๎ว ใช๎ในการขุดแทะอาหารพวก พืชสาหรํายท่ีขน้ึ ตามโขดหิน และปะการงั 9. ฟันบด (molariform) คล๎ายฟันกราม ปลายแบนเรียบ ใช๎บด ขบ ขย้ีอาหาร อาจเป็นหอย พบใน ปลาฉนาก และปลากระเบน 10. ฟันแบบมีดโกน (razer like cutting teeth) เปน็ ฟันท่ีมีความคมคล๎ายใบมีดโกน พบในปลา น้ําดอกไม๎ ปลาฉลาม และปลาปิรนั ยา เป็นตน๎ 2. ล้นิ (tongue) ปลาไมํได๎มีลิ้นที่แท๎จริง เพียงแตํเป็นแกนกระดูกที่มี เยื่อหุ๎มอยํูเทําน้ันไมํมีกล๎ามเน้ือ ไมํได๎ใช๎ในการ คลุกเคลา๎ อาหาร แตชํ วํ ยในการจับเหยอ่ื และผลักดนั อาหารลงสํชู อํ งคอ เชํน ปลาเสือพนํ น้ําใชล๎ ้นิ ทค่ี อํ นขา๎ งยาว ดันเพดานปากให๎ฉีดน้ําไปยังเหยื่อที่อยูํ เหนือผิวนํ้าได๎ ปลาบางชนิดมีฟันท่ีล้ินซึ่งชํวยจับเหยื่อเข๎าสํูชํองคอได๎ดี ขน้ึ เชนํ ปลากราย ปลาสลาด เชอื่ วาํ ล้นิ อาจมีตอํ มรับรสอยดูํ ว๎ ย 3. ช่องคอหรือคอหอย (pharynx) อยถํู ัดจากชํองปากเขา๎ ไป เปน็ ชํวงส้ันๆ กํอนถึงหลอดอาหาร เป็นชอํ งแคบเหมือนปากกรวย อาจมีซี่กรองย่ืนลํ้า เข๎ามาทําหน๎าท่ีกรองอาหารสํงไปยังหลอดอาหาร ปลาตะเพียนขาวจะมีฟันที่ชํองคอ เพื่อใช๎บดอาหารพวกพืช สวํ นปลานกแกว๎ มฟี ันทชี่ อํ งคอชนิดฟันบดใชบ๎ ดปะการังและหอย 4. ซกี่ รอง (Gill raker) อยูํบนกระดูกเหงือก เรียงเป็นแถวโดยแตํละซี่อาจจะมีขนแยกออกมาคล๎ายขนนก ชํวยกรองแพลงก๑ ตอนเข๎าสํชู ํองคอ เชนํ ในปลาทู ซึง่ มซี กี่ รองยาวและจาํ นวนมากปลาทก่ี ินพชื และซากเนําเปอื่ ยซี่กรองจะส้ันและ น๎อยกวําปลากินแพลงก๑ตอน สํวนปลากินเน้ือซ่ีกรองจะมีลักษณะ เป็นตุํมหรือเป็นซี่ฟันสั้นๆ บางชนิดมีฟันบน กระดกู เหงอื กบรเิ วณชํองคอด๎วย ปลาบางชนดิ ไมมํ ซี ่ีกรอง เชํน ปลาดาบเงิน สถานีปศุสัตว๑

22 ลักษณะซี่กรองของปลา ทีม่ า: https://winkkkwaing.wordpress.com/2010/09/19/ปลา/. 5. หลอดอาหาร (esophagus) เป็นอวัยวะตอํ จากชํองคอ มีขนาดส้ันมากเน่ืองจากปลาไมํมีคอ มีขนาดพอๆ กับกระเพาะอาหารทําให๎ แยกอวยั วะสองสวํ นนี้ยาก แตกํ ท็ ราบได๎จากการขยายตัวของกระเพาะอาหารเมือ่ มีอาหารผาํ นเขา๎ ไป 6. กระเพาะอาหาร (stomach) เป็นสํวนที่ตํอจากหลอดอาหาร โดยทั่วไปกระเพาะอาหารมีลักษณะเป็นทํอรูปกรวย ทอดไปตามความ ยาวของลําตัว ก๎นถุงจะแคบ ผิวภายนอกเรียบผิวภายในยํนถี่ กระเพาะแบํงออกเป็นสองสํวน คือสํวนต๎น (cardiac) และสวํ นปลาย (pyloric) สวํ นต๎นติดกบั หลอดอาหาร สวํ นปลายมกี ล๎ามเน้ือหนากวาํ และในปลาบาง ชนิดสํวนนี้จะโค๎งข้ึนทําให๎เกิดการงอของกระเพาะ อยํางไรก็ดีการแบงํ สํวนของกระเพาะทั้งสองสํวนนี้ไมํมีขอบ เขตท่แี นํนอน รูปรํางกระเพาะแตกตํางกนั ไปตามชนิดของปลา โดยทวั่ ไปแบํงเป็น ๓ แบบ โครงสร๎างกระเพาะอาหารของปลา ทมี่ า: https://winkkkwaing.wordpress.com/2010/09/19/ปลา/. สถานีปศสุ ัตว๑

23 ก. แบบตัว\"?\"(U-shape หรือ siphonal type) จะมีสํวนปลายของกระเพาะสํวนตน๎ โค๎งงอตกท๎องชา๎ งมองดู คลา๎ ยถงุ พบในปลาแรด ปลาตาเดียว เป็นตน๎ โครงสร๎างกระเพาะอาหารของปลา ทม่ี า: https://winkkkwaing.wordpress.com/2010/09/19/ปลา/ ข. แบบตวั \"ง\"(J-shape หรอื caccal type) กระเพาะจะงองมุ๎ เปน็ มุมแหลมจนไมํมีสํวนก๎นถุง พบในปลาฉลาม ปลาทู ปลาตะลุมพุก เป็นต๎น โครงสร๎างกระเพาะอาหารของปลา ท่ีมา: https://winkkkwaing.wordpress.com/2010/09/19/ปลา/. ค. แบบเหยียดตรง (straight type) กระเพาะสํวนตน๎ และสํวนปลายอยํตู อํ เน่อื งกันและทอดไปในระดับเดียวกัน พบในปลาชํอน ปลาสลิด ปลานิล เปน็ ต๎น กระเพาะอาหารทําหน๎าท่ีเป็นท่ีพักอาหารและยํอยอาหาร โดยใช๎น้ํายํอยจากตํอมภายในผนังกระเพาะ ปลาท่ีหาอาหารยากจะมกี ระเพาะใหญมํ ากสาํ หรับเก็บอาหาร เชํน ปลานํ้าลึกพวกกัลเปอร๑ (gulper) ในปลากิน พืชกระเพาะอาหารจะสน้ั กวําในปลากินเนอ้ื ในปลาบางชนดิ จะมีกระเพาะชํวยยํอยอาหารมีกล๎ามเนื้อหนาเรียก ก๋ึน (gizzard) เชํน ปลากระบอก สถานีปศสุ ัตว๑

24 7. ลาไสเ้ ลก็ (small intestine) เป็นสํวนที่ตํอออกมาจากสํวนปลายกระเพาะอาหาร เป็นสํวนท่ียาวที่สุดในระบบยํอยอาหาร อาจจะ เป็นทํอเหยียดตรงหรือขดม๎วนทับกันเป็นก๎อนใหญํ ในปลากินเน้ือลําไส๎เล็กจะสั้นกวําปลากินพืช ทั้งนี้ เน่ืองมาจากเนอื้ ยํอยได๎เรว็ และยอํ ยในกระเพาะอาหารได๎ดกี วาํ ในลาํ ไส๎ เลก็ ลําไสเ๎ ล็กแบํงได๎ ๓ สํวน คือ ระบบโครงสร๎างลาํ ไส๎ของปลา ท่มี า: https://winkkkwaing.wordpress.com/2010/09/19/ปลา/. ก. ตอนตน๎ เรยี กดโู อดนี ั่ม (duodenum) เปน็ สวํ นทย่ี าวกวาํ สวํ นอนื่ ตํอออกมาจากกระเพาะอาหารสํวนท๎าย ซ่ึง จะมีสีดํามากกวําสํวนของกระเพาะเนือ่ งจากมนี า้ํ ดีไหล เข๎ามาเป็นสํวนทม่ี ีกล๎ามเนือ้ แข็งแรงและมไี ส๎ติ่งอยํดู ว๎ ย ข. ตอนกลางเรียกจูโอดนี ่ัม (juodenum หรือ jejunum) อยํูถัดจากตอนแรก มีขนาดส้ันกวําและคอดเล็กลง ตรงสวํ นทา๎ ย ระบบโครงสร๎างลาํ ไส๎ของปลา ทมี่ า: https://winkkkwaing.wordpress.com/2010/09/19/ปลา/. สถานปี ศุสตั ว๑

25 ค. ตอนปลายเรยี กไอเลียม (ilium) เปน็ สํวนสุดท๎ายที่มีลักษณะแคบและสั้นกวาํ สํวนอน่ื ๆ เป็นสํวนที่เหยียดตรง ไปทางหาง 8. ไสต้ ่งิ (pyloric caeca) มีลักษณะเป็นหลอดตัน มีขนาดและจํานวนแตกตํางกันไปตามชนิดของปลา พบอยํูสํวนท๎ายกระเพาะ อาหารบริเวณท่ีตํอกับลําไส๎เล็กตอนต๎น ปลาบางชนิดไมํมีไส๎ต่ิง เชํน ครอบครัวปลาเนื้ออํอน สํวนปลาไหลมี ๑ อนั ปลาชอํ นมี ๒-๔ อนั ปลาทมู ีมากกวํา ๒๐๐ อัน ทําใหท๎ ราบวาํ ไส๎ตงิ่ มีประโยชน๑ตอํ ปลากินแพลงก๑ตอน เข๎าใจ วาํ ไส๎ ติง่ ชวํ ยเพ่ิมพน้ื ที่ในการยํอยและดดู ซมึ อาหาร และชวํ ยในการขับนํ้ายอํ ย 9. สาไสใ้ หญ่ (large intestine) เป็นสํวนสุดทา๎ ยของทางเดนิ อาหาร อยูตํ ํอจากลําไส๎เล็กสวํ นปลาย แยก จากลําไส๎เลก็ โดยรอยคอดกว่ิ ผวิ ภายใน ยํนมากกวาํ ลําไส๎เล็ก ลําไส๎ใหญํอาจเรียกเรคตัม (rectum) และเปิดสูํภายนอกทางทวาร (anus หรือ cloaca ในปลากระดูกอํอน) นอกจากน้ีในปลากระดูกอํอนจะมีการพัฒนาเพิ่มพ้ืนที่ดูดซึมอาหารตรงสํวนต๎นของ ลําไส๎ ใหญํ โดยการสร๎างผนังบิดวนเปน็ บันไดเวียน (spiral valve) หรือเป็นแผํนม๎วนพับซ๎อนกัน (scroll valve) เทยี บได๎กับการเพ่ิมความยาวลําไสใ๎ นปลากระดูกแข็ง 2.2.7 กระต่าย ระบบทางเดนิ อาหารของกระตําย จดั อยํูในประเภทเดยี วกับมา๎ และหนู Guinea pig คือเปน็ สตั ว๑กระเพาะเดยี่ วท่ีมีกระเพาะอาหารคล๎ายกบั ของคนหรือสนุ ัข แตํมสี ํวนไส๎ตนั และลําไสใ๎ หญสํ วํ นต๎น ขยายใหญแํ ละมีจุลนิ ทรยี ?อาศยั อยูํ ทาํ หนา๎ ที่ชํวยยํอยหญา๎ อาหารเยื่อใยคล๎ายกับในกระเพาะหมกั ของสตั ว๑พวก โค กระบือ แพะ แกะ แตใํ นสภาพโดยทว่ั ไประบบทางเดินอาหารของกระตํายก็เชํนเดียวกับสัตวช๑ นิดอื่น ๆ คอื มลี กั ษณะเปน็ ทอํ ยาว เรม่ิ ต๎นจากปาก หลอดอาหาร กระเพาะ ลาํ ไส๎เล็กไสต๎ ัน ลําไส๎ใหญํไปจนถึงกน๎ โดยบาง ตอนจะขยายใหญํกลางเป็นถงุ และผนังดา๎ นในบดุ ๎วยเยอ่ื ชํุม เพือ่ ปูองกันไมใํ ห๎ทํอทางเดินอาหารถูกยํอยดว๎ ย น้ํายํอยจากตํอมตาํ ง ๆ บางตอนกม็ ตี อํ มสรา๎ งนํา้ ยอํ ยอยํูในผนังเอง บางตอนกม็ ีตํมุ ยืน่ ออกมาเพื่อเพิ่มพ้นื ทีใ่ น การดูดซึมอาหาร ระบบทางเดนิ อาหารของกระตํายท่โี ตเต็มที่ จะมีความยาวท้ังหมด 4-5 เมตร และทําหนา๎ ที่ ท้ังการกนิ การยํอยและดดู ซึมอาหาร รวมทัง้ ขับถาํ ยของเสียกากอาหารท่เี หลอื อกจากราํ งกาย โดยระบบ ทางเดินอาหารแตลํ ะสํวนมรี ายละเอยี ดและหน๎าท่ีดังตํอไปนี้ 1. ปาก (Mouth) เป็นอวยั วะทท่ี ําหนา๎ ที่ในการรบั และบดอาหาร โดยอาศยั ฟนั และลิน้ เป็นตัวชวํ ยกัด เคย้ี ว และคลกุ เคลา๎ อาหารกับน้าํ ลาย โดยภายในชอํ งปากดา๎ นในจะมตี อํ มนาํ้ ลายอยูํ 4 คูํ คือ ตอํ มนาํ้ ลายใต๎หู ใต๎ขากรรไกร ใต๎ล้นิ และทกี่ ระดูกแกม๎ ตอํ มน้าํ ลายจะหลั่งน้าํ ลายออกมาขณะกระตาํ ยกําลังกนิ อาหาร เพอ่ื ชวํ ย คลุกเคล๎าให๎อาหารเปยี กลนื่ กลนื ไดง๎ าํ ย โดยมลี ิน้ เป็นตวั ชวํ ยคลกุ เคล๎า ในน้ําลายของกระตํายจะมเี อนไซมอ๑ มยั เลส ซง่ึ ทําหนา๎ ท่ียอํ ยแปูงให๎เป็นนํ้าตาล สถานปี ศสุ ัตว๑

26 2. หลอดอาหาร (Esophagus) เปน็ ทอํ ยาวขนาดเล็กอยํดู ๎านบนของหลอดลม ทําหน๎าท่ีใหอ๎ าหาร ผาํ นจากปากเข๎าสูกํ ระเพาะ โดยเป็นสํวนเชอ่ื มตํอระหวํางปากกับกระเพาะ และมีกล๎ามเนอื้ อยูํโดยรอบเพ่อื ทํา หน๎าท่บี ีบตวั ไลํอาหารลงสูํกระเพาะ 3. กระเพาะ (Stomach) มีลักษณะเป็นถุงที่มีความจอุ าหารไดป๎ ระมาณ 90-100 กรัม ตัวกระเพาะ จะทอดขวางอยูํบริเวณสวํ นตน๎ ของชํองท๎อง แตสํ วํ นใหญจํ ะกนิ เน้ือทท่ี างด๎านซา๎ ยของชอํ งท๎อง กระเพาะ แบํงเปน็ 3 สํวนคอื สํวนต๎นซึง่ หลอดอาหารมาเปิดและมขี นาดใหญสํ ุดเรยี ก Cardiac สวํ นกลาง (Fundus) จะมี ลกั ษณะโค๎ง ขยายใหญแํ ละสวํ นท๎าย (Pylorus) จะมีขนาดเลก็ สุด โดยตอนปลายของกระเพาะสํวนทา๎ ยจะมี ชํองเปิดเขา๎ สูํลําไส๎เล็ก โดยบรเิ วณชอํ งเปิดนีจ้ ะมีกลา๎ มเนอ้ื หูรดู ทีแ่ ขง็ แรง ทาํ หนา๎ ทีค่ วบคมุ การไหลผาํ นของ อาหารเข๎าสูลํ ําไส๎เล็กตํอไป 4. ลาไส้เล็ก (Small intestine) เป็นทอํ ขนาดเล็กและยาวมาก โดยในกระตาํ ยท่โี ตเต็มทจี่ ะมีความ ยาวประมาณ 3 เมตร และเสน๎ ผําศูนย๑กลางโดยเฉล่ียประมาณ 1 ซม. ลาํ ไส๎เล็กตอํ จากสํวนกระเพาะขดไปมาอยํู ในชํองท๎อง และเป็นอวยั วะสํวนสําคัญในการทาํ หน๎าที่ยอํ ยและดูดซมึ อาหารไปเล้ยี งราํ งกาย โดยผนังด๎านใน ของลาํ ไสเ๎ ล็กโดยเฉพาะสํวนกลางและสํวนปลายจะมีตํุมเล็กๆ ย่นื ออกมาจากลําไสค๎ ลา๎ ยนว้ิ มอื เรยี กวํา (Villi) เพ่ือเพ่มิ พ้นื ท่ีในการดดู ซึมอาหาร 4.1 ลําไส๎เล็กสวํ นตน๎ (Duodenum) มลี ักษณะการวางตัวขดเปน็ ทํอโค๎งคล๎ายหวํ ง ยาว ประมาณ 12 ซม. และมตี ับออํ นซึง่ มลี ักษณะเป็นแผํนเยอ่ื ไขมนั สีเหลืองออํ นขึงติดอยํู ตบั อํอนจะทาํ หน๎าทีส่ ร๎าง นา้ํ ยํอยจากตับอํอน สงํ ผาํ นเขา๎ ไปในลาํ ไสเ๎ ลก็ สวํ นต๎น นอกจากนีบ้ รเิ วณนยี้ ังมีชํองเปดิ ของทํอน้ําดซี ึง่ นําน้ําดีท่ี สรา๎ งจากตบั และเก็บไวใ๎ นถุงนํา้ ดีมาเปิดเขา๎ ดว๎ ย 4.2 ลําไสเ๎ ล็กสํวนกลาง (Jejunum) เป็นลําไสเ๎ ล็กสวํ นท่ียาวทส่ี ุด มีลักษณะเปน็ ทอํ ยาวผนงั ภายในหนา และมตี มํุ Villi อยูมํ าก รวมทง้ั มีเส๎นเลอื ดมาหลอํ เลย้ี งมาก 4.3 ลําไสเ๎ ล็กสวํ นปลาย (Ileum) เป็นลําไสเ๎ ลก็ สวํ นสุดท๎าย มลี กั ษณะเป็นทํอยาว ผนังภายใน บาง มสี ีคลา้ํ กวาํ และมีเสน๎ เลือดมาหลํอเลีย้ งนอ๎ ยกวําในลาํ ไส๎เล็กสวํ นกลาง แตลํ ําไส๎เลก็ สวํ นทา๎ ยสดุ จะขยาย ใหญํออกเป็นถงุ กลม และมีผนงั หนาเรยี กวาํ Sacculus rotundus พืน้ ผวิ ดา๎ นในมีตอํ มน้ําเหลอื งอยํูมาก ซึ่ง เข๎าใจวาํ มหี น๎าทีใ่ นการดดู ซมึ ไขมนั และคอยทําลายจุลนิ ทรยี ๑บางชนิด 5. ไส้ตนั และไสต้ งิ่ (Caecum และ Appendix) ไสต๎ นั เป็นอวยั วะสวํ นทต่ี ํอจากลาํ ไส๎เลก็ บรเิ วณ รอยตอํ ระหวํางลําไส๎เลก็ สวํ นปลายกบั ลาํ ไสใ๎ หญสํ ํวนต๎น ทาํ หนา๎ ท่ยี ํอยอาหารพวกเยอื่ ใย โดยมจี ุลินทรยี ช๑ ํวย ยอํ ย ไส๎ตันจะมีลักษณะเปน็ หลอดขนาดใหญํ โค๎งเปน็ วง มีรอยคอดเปน็ ระยะ ไสต๎ นั ยาวประมาณ 40-45 ซม. และเส๎นผาํ ศนู ย๑กลางโดยเฉลย่ี ประมาณ 3-4 ซม. สามารถบรรจอุ าหารเยื่อใยไดป๎ ระมาณ 100-120 กรัม ไส๎ตัน มผี นงั บางและสํวนปลายของไสต๎ ันตํอดว๎ ยไส๎ตง่ิ ซึ่งมลี ักษณะเปน็ ถุงหรอื ทํอตนั ขนาดเรยี วเล็กความยาว สถานีปศุสัตว๑

27 ประมาณ 13 ซม. ภายในไสต๎ ันจะมีเมือกข๎นและมีจุลนิ ทรยี ๑อาศยั อยเูํ ป็นจํานวนมากเพอื่ ทําหนา๎ ท่ชี วํ ยยอํ ยเย่อื ใย สํวนภายในไสต๎ ิ่งจะมีตํอมนา้ํ เหลอื งอยูํ 6. ลาไสใ้ หญ่ (Large intestine) ทําหนา๎ ทห่ี ลกั คอื ดูดซมึ น้าํ ออกจากกากอาหารและมีขบวนการ ยอํ ย และดดู ซมึ อาหารท่ีเหลอื ตกค๎างตอํ เนื่องมาบ๎างนดิ หนอํ ย ลาํ ไส๎ใหญขํ องกระตาํ ยยาวทั้งหมดประมาณ 1.5 เมตร และแบํงออกไดเ๎ ปน็ 2 สวํ นคือ 6.1 ลําไสใ๎ หญสํ ํวนตน๎ ( Colon ) เปน็ สวํ นท่ีตํอจากไส๎ตันแตรํ อยตอํ อยใํู กลก๎ ับปลายเปดิ ของ ลําไส๎เลก็ สํวนปลาย ลาํ ไส๎ใหญํสํวนตน๎ ยังแบํงออกไดเ๎ ป็น 2 สํวนคือ สํวนแรกมลี ักษณะเปน็ ถงุ ขยายใหญํ และ พ้ืนผิวภายนอกมีรอยขวั้นหรอื รอยหยักมากมาย ยาวประมาณ 50 ซม. และสํวนทส่ี องมีขนาดเล็กกวําและ พนื้ ผวิ ภายนอกเรียบ ยาวประมาณ 90 ซม. 6.2 ลําไส๎ใหญสํ วํ นปลาย (Rectum) เป็นทํอขนาดเลก็ ยาวประมาณ 4-5 ซม. และทา๎ ยสดุ ของ Rectum ตอํ ด๎วยชอํ งทวารหนักซึ่งเป็นทางผํานออกของกากอาหารทเ่ี หลือจากการยํอยและดดู ซึมไปใช๎ ประโยชน๑แล๎ว 7. อวยั วะอ่ืน ๆ ทีเ่ กยี่ วขอ้ งกบั ระบบยอ่ ยอาหารของกระต่าย 7.1 ตับ (Liver) ถอื วาํ เป็นตํอมทใี่ หญํทสี่ ดุ ในรํางกายกระตาํ ย อยํตู ิดกบั กระเพาะอาหารทาง ด๎านบน ตับแบํงออกเป็น 5 พู พูดา๎ นขวาจะมีถุงนา้ํ ดีซง่ึ มีลกั ษณะเปน็ ถุงรียาว สเี ขียวเกาะตดิ อยูํ ตบั ชํวยยอํ ย อาหารโดยการกลั่นสร๎างน้ําดี แลว๎ สํงไปเก็บไว๎ที่ถงุ นํา้ ดี เพอื่ ปลํอยเขา๎ ไปบรเิ วณลาํ ไสเ๎ ลก็ สวํ นต๎น ไปชวํ ยทําให๎ ไขมันแตกตัวเปน็ โมเลกุลเลก็ ลง นอกจากนั้นตบั ยังทาํ หน๎าทเ่ี ปล่ยี นกรดไขมัน รวมทงั้ นา้ํ ตาลรูปอื่นที่ถกู ดูดซมึ เขา๎ กระแสเลอื ดผาํ นมายังตบั ให๎เปลี่ยนเป็นนํ้าตาลกลูโคส กํอนสํงออกกลบั เข๎ากระแสเลอื ดให๎รํางกายนาํ ไปใช๎ ประโยชน๑ตํอไป ถ๎านํ้าตาลในกระแสเลือดมสี ูงเกินไป ราํ งกายจะเปล่ียนเป็นแปงู ไกลโคเจนเก็บสะสมไว๎ท่ตี บั เหลอื จากนน้ั จะเปล่ยี นเป็นไขมันสะสมไว๎ตามสวํ นตําง ๆ ของรํางกายตํอไป นอกจากนี้ตับยังทําหน๎าทีเ่ ปน็ โรง กรองของเสยี หรอื สารพิษที่ตดิ มากับอาหารทส่ี ําคัญให๎กบั รํางกายดว๎ ย 7.2 ตบั ออํ น (Pancreas) เปน็ ตอํ มท่มี ีลักษณะเป็นแผนํ เนอ้ื เยอื่ ไขมนั สีเหลอื งออํ น ซ่ึงเกาะอยูํ ระหวาํ งสํวนนอกของลาํ ไสเ๎ ลก็ สวํ นต๎น ตับออํ นจะทําหนา๎ ท่สี รา๎ งนํ้ายํอยจากตบั ออํ น ซ่ึงประกอบด๎วนเอนไซม๑ที่ ทําหนา๎ ทยี่ อํ ยโปรตนี คารโ๑ บไฮเดรท และไขมนั และสํงเข๎าไปตรงบรเิ วณลําไสเ๎ ลก็ สวํ นตน๎ 7.3 มา๎ ม (Spleen) เป็นอวยั วะท่ีมลี ักษณะแบนยาวสแี ดงเขม๎ พาดยึดติดกบั กระเพาะอาหาร ด๎านนอกด๎วยเย่ือบาง ๆ ม๎ามทาํ หน๎าท่ีเก่ียวข๎องกับการสรา๎ งเมด็ โลหติ ขาว และเป็นท่เี กบ็ สะสมเมด็ โลหิตทีเ่ สยี สถานปี ศุสัตว๑

28 ระบบโครงสร๎างของกระตาํ ย ทมี่ า : http://topicstock.pantip.com/jatujak/topicstock/2007/05/J5417191/J5417191.html 2.3 ระบบหมุนเวียนเลือดของสัตว์ในฟาร์ม ในสตั ว๑ชั้นสูงมรี ะบบหมุนเวียนเลอื ด ซึ่งประกอบด๎วยหัวใจเปน็ อวยั วะสําคัญ ทาํ หนา๎ ทส่ี บู ฉดี เลอื ดไปยัง สํวนตําง ๆ ของรํางกาย และมีหลอดเลือดเป็นทางลา เลยี งเลือดไปทั่วทุกเซลล๑ของราํ งกาย แตํในสตั วบ๑ างชนิด ใชช๎ อํ งวาํ งระหวํางอวยั วะเปน็ ทางผาํ นของเลอื ด ระบบหมนุ เวียนเลือดแบบวงจรปิด (Closed Circulation System) ระบบนีเ้ ลอื ดจะไหลอยูํ ภายในหลอดเลอื ดตลอดเวลา โดยเลือดจะไหลออกจาหัวใจไปตามหลอดเลอื ดชนดิ ตํางๆ แล๎วไหลกลับเข๎าสูํ หัวใจใหมเํ ชนํ นี้เรือ่ ยไป พบในสตั วจ๑ ํา พวกหนอนตวั กลมมีปล๎อง เชนํ ไสเ๎ ดือนดนิ ปลิงน้ําจืดและสตั วม๑ กี ระดูก สนั หลงั ทกุ ชนดิ ระบบหมนุ เวียนเลือดของสัตว๑ ทม่ี า :http://www.krusarawut.net/wp/?p=11006. สถานีปศสุ ัตว๑

29 ระบบหมนุ เวียนเลือดของสัตว๑ ที่มา :http://www.krusarawut.net/wp/?p=11006. 2.4 ระบบหายใจของสตั ว์ในฟารม์ สัตว๑ตํางๆจะแลกเปล่ียนก๏าซกับส่ิงแวดล๎อมโดยกระบวนการแพรํ (Diffusion) โดยสัตว๑แตํละชนิดจะมี โครงสร๎างทใ่ี ชใ๎ นการแลกเปล่ียนกา๏ ซท่ีเหมาะสมกบั การดาํ รงชวี ติ และสิ่งแวดลอ๎ มตํางกนั 2.4.1 สตั ว์บก สตั วบ๑ กที่มกี ระดกู สันหลงั ขณะทยี่ งั เป็นตัวออํ นเติบโตอยํูในไขํหรือในครรภม๑ ารดานั้น มีนํ้าเหลวหํอห๎ุม ตวั อยํูกันความกระทบกระเทือนและมีชํองเหงือก (gill slits) เกิดขึ้นที่บริเวณคอหอยคล๎ายๆ กับสัตว๑พวกปลา แตํเมื่อคลอดออกมาจากครรภ๑มารดาแล๎วไมํมีความจําเป็นท่ีจะต๎องใช๎เหงือกอีกตํอไป จึงเกิดมีวิวัฒนาการ เปล่ียนแปลงไปเป็นปอดเกิดข้ึนตรงบริเวณที่เป็นชํองเหงือกเดิม แตํแทนที่จะยื่นออกมานอกรํางกายเหมือน เหงือกกลับซํอนอยํูภายในรํางกายอยํางมิดชิด ปอดเป็นอวัยวะท่ีทําหน๎าที่แลกเปลี่ยนก๏าซหายใจได๎อยํางมี ประสทิ ธภิ าพสงู ในสัตวบ๑ ก และเป็นอวัยวะที่พบในสัตว๑มีกระดูกสันหลังทุกชนิดยกเว๎นพวกปลาและสัตว๑คร่ึงบก คร่ึงน้าํ ที่มชี ีวิตอยูํในน้ําตลอดชวี ิต สํวนในสัตว๑บกชัน้ ต่ําเชํน พวกแมลงตํางๆ อวัยวะหายใจเป็นพวกทํอลมเล็กๆ (trachea) ซึ่งจะแตกแขนงแยกไปตามเน้ือเย่ือและอวัยวะตํางๆ ทั่วรํางกาย สัตว๑ไมํมีกระดูกสันหลังบาง ชนิด เชํน พวกหอยทากก็มีปอดเป็นอวัยวะหายใจด๎วย แตํไมํสลบั ซับซอ๎ นเทําปอดของสัตว๑มกี ระดกู สันหลงั ไมํวําอวัยวะหายใจของสัตว๑บกจะเป็นปอดหรือทํอลมก็ตาม อวัยวะดังกลําวจะทําหน๎าที่แลกเปลี่ยน ก๏าซหายใจให๎ดีได๎จะต๎องมีพ้ืนท่ีผิวของเน้ือเยื่อภายในซึ่งเป็นบริเวณแลกเปลี่ยนก๏าซชํุมช่ืนอยํูตลอดเวลา เชํนเดยี วกันทพ่ี บในพืชชน้ั สูง 2.4.2.สตั ว์ปกี สัตว๑ปีกเปน็ สัตว๑เลือดอุํน รํางกายสามารถที่จะรักษาอุณหภมู ิให๎คงท่ีไมํให๎เปล่ียนแปลงไปตามอณุ หภูมิ ของส่ิงแวดล๎อม ปีกของสัตว๑มีลักษณะเป็นแฝง ปากมีลักษณะเป็นจงอยแข็งโดยมีรูปรํางแตกตํางกันออกไป เพ่ือให๎เหมาะกับอาหารที่กิน ลักษณะเท๎าก็แตกตํางกันเพื่อให๎เหมาะสมกับการดํารงชีวติ การเคลื่อนที่และการ กินอาหาร สัตว๑ปีกหายใจโดยใช๎ปอดเป็นถุงลม สําหรับเก็บอากาศขณะบินในที่สูง สัตว๑ปีกอาศัยการสืบพันธ๑ สถานปี ศุสตั ว๑

30 แบบอาศัยเพศ ตัวเมียจะออกลูกออกมาเป็นไขํ ตัวออํ นจะเจริญอยูํภายในไขํ โดยใช๎อาหารท่ีสะสมไว๎ภายในไขํ โดยใช๎อาหารท่ีสะสมไว๎ภายในไขํจนหมดจึงออกมาจากไขํโดยจิกเปลือกไขํให๎แตกออก สัตว๑ปีกทั้งที่ปีกได๎และ ปกี ไมไํ ด๎ การทํางานของระบบตํางๆ ของนก ระบบหายใจ อวัยวะที่เก่ียวข๎อง กับการหายใจโดยเป็นทางผําน ของอากาศ ไปยังปอดของนก ไดแ๎ กํ รูจมูก ชํองปาก คอหอย หลอดลม กลออตติส ปอดของนกมีลักษณะเป็นรู พรุนคล๎ายฟองนํ้าสีแดงมีตําแหนํงท่ีชํองอก ปอดของนกจะเช่ือมตํอกับถุงลม ขณะที่นกหายใจเข๎า ถุงลมจะ ขยายขนาดข้นึ อากาศจะผํานเขา๎ สหํู ลอดลม และเข๎าสูํถุงลมตอนท๎าย สํวนอากาศที่ใช๎แล๎วจะออกจากปอดเข๎าสูํ ถุงลมตอนหนา๎ ในขณะท่หี ายใจออก อากาศท่ใี ช๎แลว๎ จะออกจากถุงลมตอนทา๎ ยจะเข๎าสปํู อด ทําให๎ปอดพองออก และอากาศจากถุงลมทางด๎านหน๎า ถูกขับออกนอกรํางกายตํอไป เป็นอยํางน้ีเสมอ การมีถุงลมของนก ทําให๎ เพ่มิ ประสิทธภิ าพในการถํายเทอากาศ ให๎เป็นแกํปอดเปน็ อยํางดี โครงสร๎างการแลกเปลยี่ นแก๏สของสตั วป๑ ีก ท่ีมา : https://winkkkwaing.wordpress.com/2010/09/19/การหายใจของสัตว/๑ . 2.4.3 สตั ว์คร่งึ บกคร่ึงนา้ สตั วส๑ ะเทนิ น้ําสะเทินบก หรอื เรียกอยํางท่ัวไปวํา สัตว๑คร่ึงบกคร่ึงน้ํา (อังกฤษ: Amphibians) เป็นสัตว๑ ท่ีอยูํได๎ท้ังในนํ้าและบนบก มีตํอมเมือกทําให๎ผิวหนังชํุมชื้นตลอดเวลา ผิวหนังเปียกลื่นอยูํเสมอ ไมํมีเกล็ดหรือ ขน หายใจด๎วยเหงือก ปอด ผิวหนัง หรือผิวในปากในคอ สืบพันธ๑โุ ดยการผสมพันธุ๑ภายนอกลําตัว สืบพันธเ๑ มื่อ อายุ 2–3 ปี สํวนใหญํตัวผู๎จะมีถุงลมปากเพ่ือใช๎สํงเสียงร๎องเรียกตัวเมีย ออกลูกเป็นไขํอยํูในนํ้า ไมํมีเปลือก วางไขเํ ป็นกลุํมในน้าํ มีสารเป็นวุ๎นหม๎ุ ลูกอํอนท่ีออกจากไขํมีรูปรํางคล๎ายปลา อยูํในนํ้าหายใจด๎วยเหงือก เม่ือเติบโตเต็มท่ีแล๎วมีปอดหายใจ ข้ึนบกได๎ แตํต๎องอยูํใกล๎น้ํา เชํน กบ คางคก อึ่งอําง เขียด สัตว๑ครึ่งบกคร่ึงนํ้าสํวนใหญํจะมีการเปลี่ยนแปลง สถานีปศสุ ตั ว๑

31 รปู ราํ งทัง้ ภายนอกและภายในอยาํ งสน้ิ เชิง ไปตามวงจรชีวิต ตัวอํอนอาศัยอยํูในน้ํา หายใจด๎วยเหงือก เมื่อโตข้ึน จะเปลี่ยนรูปราํ งอาศยั อยูบํ นบก หายใจด๎วยปอดหรอื ผิวหนัง โดยเฉพาะในหน๎าแลง๎ ใน ชํวงระหวํางฤดูหนาวถึงฤดูร๎อน สัตว๑พวกนี่สํวนใหญํจะขุดรูจําศีล เพื่อหนีความแห๎งแล๎ง มิให๎ผิวหนัง แห๎ง ถ๎าผิวหนังแห๎งมันจะหายใจไมํได๎และอาจตายได๎ เพราะก๏าชจากอากาศตอ๎ งละลายไปกับน้ําเมือกที่ผิวหนัง แล๎วจึงแพรํเข๎าส๎ูกระแสโลหิต ระยะนี้มันจะใช๎อาหารท่ีสะสมไว๎ในรํางกายอยํางช๎าๆ นิวต๑และซาลามานเดอร๑ก็ เป็นสัตว๑คร่ึงบกครึ่งนํ้าเหมือนกัน แตํแตกตางกันตรงที่นิวต๑และซาลามานเดอร๑จะยังคงหางของมันไว๎ เม่ือ เจริญเติบโตเตม็ ที่ 2.5 ระบบประสาทของสัตว์ในฟาร์ม ระบบประสาท เป็นระบบที่ทําหน๎าท่ีควบคุมการทํางานของรํางกาย เพ่ือปรับตัวให๎เข๎ากับสภาวะ แวดล๎อม กลุมํ ของเซลล๑ประสาทหรือโปรเซสทอ่ี ยใูํ นระบบประสาทมีชือ่ เรียกแตกตาํ งกันไป โดยกลมุํ ของตัว เซลล๑ที่อยํูในสมองและไขสันหลังเรียกวํานิวคลีไอ (neuclei) สํวนกลุํมของตัวเซลล๑ที่รวมกันอยูํนอกสมอง และไขสันหลังเรียกวาํ ปมประสาท หรือแกงเกลีย (ganglia) และมัดของโปรเซสที่อยํูภายในสมองและไขสัน หลังเรียกวํา แทร็กท๑ (tracts) หรือฟาสซิคิวไล (fasciculi)สํวนมัดของโปรเซสท่ีอยูํนอกสมองและไขสันหลัง เรียกวาํ เส๎นประสาท (nerves) องค๑ประกอบและการทํางานของระบบประสาทคล๎ายกับระบบของอีเล็กโทร นิกซ๑ (electronics) หรือคอมพวิ เตอร๑ที่มีสายไฟหรือสายนําสันญานเทียบได๎กับเส๎นประสาท และมีหนํวย ประมวลผลซึ่งได๎แกํสมองเส๎นประสาทประกอบด๎วยเซลล๑ประสาทหรือใยประสาทคล๎ายกับ สายโทรศัพท๑ท่ี ประกอบด๎วยเส๎นใยขนาดเล็กรวมกันเป็นเส๎นขนาดใหญํ แตํเมื่อเปรียบเทียบกันแล๎วสายโทรศัพท๑ขนาด สองนวิ้ คร่งึ ประกอบดว๎ ยเส๎นใยขนาดเลก็ ประมาณ 2,100 คํู ในขณะท่ีสวํ นของก๎านของตํอมใต๎สมองขนาดครึ่ง นิ้วประกอบดว๎ ยใยประสาทประมาณ 50,000 เสน๎ ใย 2.5.1 ระบบประสาทของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม โดยท่ัวไปแบงํ ออกเป็น 2 สํวนได๎แกํ ระบบประสาท สวํ นกลาง (central nervous system ; CNS) ประกอบดว๎ ย สมองและไขสันหลัง และระบบประสาทสํวนนอก (peripheral nervous system ; PNS) ประกอบด๎วยประสาทแครเนียล (cranial nerves) เป็น เส๎นประสาทท่ีออกมาจากแครเนียล ฟอราเมน (cranial foramen) ของกะโหลกศีรษะ ประสาทสันหลัง เป็น เส๎นประสาทท่ีโผลํออกมาจากอนิ เตอร๑เวอทีบรอลฟอราเมน (inter vertebral foramen)ของกระดูกสันหลัง และระบบประสาทอัตโนมัติ (autonomic nervous system ;ANS) ซึ่งมี 2 สํวน ได๎แกํ ระบบประสาทซิม พาเธติก (sympathetic nervous system) หรือสํวนทอแรกโค-ลัมบาร๑ (thoraco-lumbar portion)และ ระบบประสาทพาราซิมพาเธตกิ (parasympathetic nervous system) หรือเรียกวาํ สํวนแครนิโอ-ซาครอล (cranio-sacral portion) นอกจากน้ีระบบประสาทอัตโนมัติ ยังประกอบดว๎ ยปมประสาท (ganglia) ซ่ึงมี ความสําคญั มากในการทาํ งานของระบบน้ี สถานีปศุสัตว๑

32 ระบบประสาทของโค ทีม่ า : http://www.aquatoyou.com/index.php/ 2.5.2 ระบบประสาทของสัตว์ปีก ไกร่ ะบบประสาทตาํ งๆของไกเํ จรญิ เติบโตดมี าก ท้ังการเห็น การไดย๎ ิน การสัมผัส การรู๎รส และการดม กลิ่น ระบบประสาทยังเป็นสิ่งควบคุมอวัยวะตํางๆของรํางกายให๎เข๎ากับสิ่งแวดล๎อมได๎ดี ระบบประสาทของไกํ ประกอบด๎วย สมอง ไขสันหลัง สาขาประสาทแยกไปยังอวัยวะสัมผัสตํางๆ และรวมท้ังประสาทที่ไมํอยูํใต๎ อาํ นาจของจิตใจซง่ึ ควบคุมอวยั วะตํางๆในชอํ งทอ๎ ง สมองแบงํ ออกเปน็ สํวนใหญํๆ 3 สํวน คอื 1.สมองส่วนหน้า (cerebral hemispheres) เป็นศูนย๑กลางของประสาทตํางๆ และควบคุมการ เคล่ือนไหวของราํ งกาย การรูก๎ ลิ่น การมองเหน็ 2.สมองส่วนหลัง (cerebellum) ควบคุมการทรงตัวและการทํางานของกล๎ามเนื้อตํางๆ การได๎ยิน และการร๎รู สอยํถู ัดสมองสวํ นหน๎าไปทางหลงั และไปติดตํอกบั ข้วั สมอง 3.ขั้วสมอง (medulla oblongata) เป็นสํวนของสมองท่ีตํอกับไขสันหลัง เป็นศูนย๑ควบคุมการ หายใจ หัวใจ เสน๎ โลหติ และการยํอยอาหาร ถ๎าสมองสํวนนี้ถูกทําลาย กล๎ามเนื้อ ท่ีโคนขนตามผิวหนังจะคลาย ตวั ทาํ ให๎ถอนขนงํายข้ึนทข่ี ั้วสมองน้ีเป็นทเ่ี ร่ิมตน๎ ของไขสนั หลงั ไขสันหลังเป็นแกนใหญํของระบบประสาทตาํ งๆ จากสมองไปยังลําตัว แล๎วแยกสาขาไปยังปีก ขา และประสาทตอนผิวหนังตํางๆ รวมทั้งประสาทที่ไมํอยูํใน อาํ นาจของจติ ใจท่ีควบคุมอวยั วะในชํองท๎อง การขาดไวตามินจะทําให๎ประสาทเส่ือมตวั และเกิดอาการงํอย โรค สถานีปศุสัตว๑

33 มาเรกชนดิ ทเ่ี ป็นแกปํ ระสาท เส๎นประสาทสํวนน้ันจะพองโตและมีสีเหลืองแทนท่ีจะมีสีเทา ยาพิษหรือสารมีพิษ (toxin) ทําอันตรายแกํประสาทท่ีควบคุมกล๎ามเนื้อ เป็นเหตใุ ห๎ไกํมีอาการงํอยเปลี้ย เป็นอาการหน่ึงของอาหาร เปน็ พษิ ในไกํ ประสาทสัมผัสตา่ งๆ ตา ตาของไกํเทียบตามสํวนแลว๎ มีขนาดคํอนข๎างใหญํ อยใูํ นเบ๎าตา ประสาทเกี่ยวแกํการเห็นน้ีเชื่อมโยง จากสมองสํวนหลังถึงนัยน๑ตา นัยน๑ตาไกํมีเปลือกตาช้ันท่ีสาม ลักษณะเปน็ เย่ือบาง (nictitating membrane) ทําหน๎าท่ีปิดเปิดลูกตาได๎อยํางเร็วมาก เวลาปกติเยื่อนี้จะอยํูท่ีมุมตอนในของนัยน๑ตา นัยน๑ตาไกํท่ัวๆไปจะมีสี แดงปนนํา้ ตาล โรคมาเรกชนิดท่ีเกดิ ที่ตาๆ จะมสี ีเทาอํอนๆ พิษจากพยาธติ ัวแบนหรอื อันตรายบางอยํางอาจทํา ให๎ตาบอดได๎ไกํมีความรู๎สึกตํอสีดี สีของอาหารชํวยให๎ไกํเลือกกินอาหารได๎ประสาทรสของไกํอยํูที่ปลายล้ิน ประกอบด๎วยเซลล๑ 3 อยาํ ง ไกํเลก็ มีรสสัมผสั ดกี วําของไกใํ หญํ ไกํและไกํปุาไมํมีรสสมั ผสั ทางรสหวาน หู ไกํไมํมีใบหู แตํมีขนเป็นกลุํมตามบริเวณชํองหูไปจนถึงเยื่อหูตอนใน มีอวัยวะสําคัญ ในการฟังเสียง อยํใู ต๎กระดกู กะโหลกศีรษะด๎านขา๎ ง (temporal bone) ระบบฟงั เสยี งของหูจะนํา คล่ืนเสียงไปยังประสาทและ ทาํ หน๎าทรี่ ักษาการทรงตัวอีกดว๎ ย ประสาทรับเสยี งติดตํอจากสมองสวํ นหลังถึงหู จมกู ใช๎หายใจและใชด๎ มกลิ่น ประสาทกลิ่น (olfactory nerve) ติดตํอจากสมองสํวนหน๎าถึงเยื่อผนัง จมกู ของไกํ ประสาทกลิน่ ของไกํและไกงํ วงดมี าก ไวตอํ ความใหมเํ กาํ และชนิดอาหาร นีก่ เ็ ป็นสาเหตุอยํางหนึง่ วาํ ทาํ ไมไกชํ อบอาหารใหมํสด อยํางไรก็ดี ก็มีผ๎ูรายงานวําการปรุงเเตํงรสและกลิ่นอาหารจะชํวยให๎ไกํกินอาหารได๎ มากกวาํ ปกติเพยี งช่วั คราวไมกํ ว่ี ันเทาํ น้นั 2.5.3 ระบบประสาทของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้า ตา (eye) กบมีตาสองข๎างบนหัว ทาหน๎าท่ีรับความร๎ูสึกในการมองเห็น โดยสมองที่ทาหน๎าที่ในการ มองเห็นในกบ คือ สมองสวํ นกลาง ท่เี รยี กวาํ ออพตกิ โหลบ (optic lobe) ซึ่งมี 2 พู (ดงั ภาพท่ี 13) หู (ear) กบไมํมีใบหูหรือหูสํวนนอก (external ear) แตํมีเยื่อแก๎วหู (tympanic membrane) (ดงั ภาพท่ี 13) ท่ีมีลักษณะเป็นแผํนกลมอยูํถัดจากตาไปทางด๎านลาตัว ทาหน๎าที่รับคล่ืนเสียงจากอากาศหรือน๎า แลว๎ สะทอ๎ นเขา๎ ไปยงั หสู ํวนใน ระบบประสาทของกบแบํงออกเป็น ระบบประสาทสํวนกลาง (central nervous system) ไดแ๎ กํ สมองและไขสันหลัง ระบบประสาทรอบนอก (peripheral nervous system) ได๎แกํ เส๎นประสาทสมอง (cranial nerve) ซ่ึงออกมาจากสมอง ในกบจะมี 10 คูํ และเส๎นประสาทไขสันหลัง (spinal nerve) ซ่งึ เป็นแขนงแยกออกมาจากไขสันหลงั ในกบจะมี 9 คูํ ดังนี้ สถานปี ศสุ ตั ว๑

34 ตารางที่ 1 แสดงเสน้ ประสาทไขสันหลังกบ คู่ที่ ชอื่ ตาแหน่งท่ีออก อวัยวะทีไ่ ปสน้ิ สุด กลา๎ มเนือ้ บรเิ วณคาง 1 ไฮโปกลอดซัล เนริ ฟ๑ ระหวาํ งกระดูกสันหลัง (Hypoglossal nerve) ข๎อที่ 1 และ 2 และลนิ้ 2, 3 บราเคียล เพลกซสั ระหวาํ งกระดูกสนั หลัง กลา๎ มเนื้อหัวไหลํ อก (Brachial plexus) ขอ๎ ท่ี 2 และ 3, ขอ๎ ที่ 3 และขาหน๎า และ 4 ตามลาดบั กล๎ามเน้อื หลงั กล๎ามเน้ือหน๎าท๎อง 4 สไปนัล เนริ ฟ๑ 4 ระหวํางกระดกู สนั หลัง และผิวหนัง (Spinal nerve 4) ขอ๎ ท่ี 4 และ 5 กลา๎ มเนื้อหลงั กล๎ามเนอ้ื หน๎าท๎อง 5 สไปนลั เนริ ฟ๑ 5 ระหวํางกระดูกสนั หลงั และผิวหนัง กล๎ามเนื้อหลงั (Spinal nerve 5) ขอ๎ ท่ี 5 และ 6 กล๎ามเนื้อหน๎าทอ๎ ง และผวิ หนงั 6 สไปนัล เนิร๑ฟ 6 ระหวํางกระดูกสันหลัง กล๎ามเน้ือขาหลังและ (Spinal nerve 6) ข๎อท่ี 6 และ 7 ผวิ หนัง ระหวาํ งกระดูกสนั หลัง 7, 8, 9 ซอิ าติก เพลกซัส ข๎อที่ 7 และ 8, ข๎อท่ี 8 (Sciatic plexus) และ 9, ขอ๎ ท่ี 9 และ ยู โรสไตล๑ (urostyle) ตามลาดับ เส๎นประสาทซิมพาเทติก (sympathetic nerve) เป็นเส๎นประสาทในระบบประสาทอตั โนวตั ิ ในกบมี ขนาดเล็ก สีขาวขุํนวางตัวตามแนวกระดูกสันหลัง ทอดขนานไปกับหลอดเลือด dorsal aorta ด๎านข๎างทั้งสอง ดา๎ น รามัส คอมมูนิแคนส๑ (ramus communicans) เป็นเส๎นประสาทขนาดเล็กๆ ที่โยงระหวําง sympathetic nerve กับเส๎นประสาทไขสนั หลัง สถานีปศุสัตว๑

35 ระบบประสาทของสตั ว๑ ทมี่ า : http://www.aquatoyou.com/index.php/ 4.ระบบประสาทของสัตว์น้า ระบบประสาทสว่ นกลาง ระบบประสาทสวํ นกลาง (cerebrospinal system) ประกอบด๎วย 1. สวํ นกลาง (central division) ได๎แกํ สมอง และไขสนั หลงั 2. สวํ นรอบนอก (peripheral division) ได๎แกํ เส๎นประสาทที่ยื่นออกมาจากสมอง (cranial nerve) และไขสนั หลัง (spinal nerve) รวมถึงอวยั วะรบั ความรูส๎ ึกตาํ งๆ หน้าทีแ่ ละการแบง่ ส่วนของสมองและไขสันหลงั สมอง (brain) สมองของปลาเมื่อมองจากด๎านบนจะแบํงเป็นสํวนตํางๆ คือ สมองสํวนหน๎า (forebrain) ซึ่งมีเซรีบราลเฮมิสเพียร๑ (cerebral hemisphere) ท่ีขยายใหญํ และสํวนตํอของทวีน เบรน (tween brain) สมองสวํ นกลาง (mid brain) รวมกับสํวนทีโ่ ปุงออกเป็นออพทิค โลบ (optic lobe) และสมอง สํวนท๎ายซึง่ ประกอบดว๎ ยเซร-ี เบลลัม (cerebellum) และเมดลั ลา ออบลองกาตา (medulla oblongata) สมองสวํ นตาํ งๆ อาจเรยี กอีกชื่อหน่งึ ตามกําเนิดในเอม็ บรโิ อ ดงั นี้ - เทเลนเซฟาลอน (telencephalon) เทียบได๎กบั สมองสํวนหนา๎ - ไดเอนเซฟาลอน (diencephalons) เทยี บไดก๎ บั ทวนี เบรน - มีเซนเซฟาลอน (mesencephalon) เทยี บไดก๎ ับ สมองสวํ นกลาง - มเี ทนเซฟาลอน (metencephalon) เทียบไดก๎ ับ เซรี เบลลมั - ไมอเี ลนเซฟาลอน (myelencephalon) เทียบไดก๎ บั เมดลั ลา ออบลองกาตา สถานปี ศสุ ัตว๑

36 ระบบประสาทของสัตว๑ปลาฉลาม ท่มี า : http://www.aquatoyou.com/index.php/ สมองของปลาไน ทีม่ า : http://www.aquatoyou.com/index.php/ 1. เทเลนเซฟาลอน เป็นสวํ นท่ีอยหูํ น๎าสดุ ของสมอง รับความรสู๎ กึ เก่ยี วกับกล่นิ โดยมีเสน๎ ประสาทสมอง คูํที่ 1 คอื เส๎นประสาทรับกลนิ่ (olfactory nerve) ติดตํอกบั จมูก ซึ่งท่ีจมกู มีพรู บั กลิ่น (olfactory lobe) ปลา ทใี่ ชจ๎ มกู ดมกลนิ่ เพอ่ื หาอาหารจะมพี รู ับกลน่ิ ใหญํ เชนํ ปลาฉลาม 2. ไดเอนเซฟาลอน เปน็ สํวนของสมองที่ตอํ ลงมาจากสมองสํวนหนา๎ มักจะถูกสมองสวํ นเซรีเบลลมั ยน่ื ลาํ้ มาปดิ เอาไว๎ ทาํ ใหม๎ องจากดา๎ นบนไมํเห็น บริเวณนี้จะมอี วยั วะรบั ความร๎สู กึ เกี่ยวกับแสงคือ ไพเนียล ออร๑แกน (pineal organ) ซงึ่ มีกา๎ นเลก็ ๆ ยืน่ ทาบไปบนเทเลนเซฟาลอน เรียกกา๎ น ไพเนยี ล (pineal stalk) สมองสวํ นนเ้ี ปน็ บริเวณท่ีเกย่ี วกับการมองเห็น สถานปี ศุสัตว๑

37 3. มีเซนเซฟาลอน สมองสวํ นน้มี ีลกั ษณะเปน็ ก๎อนกลมของออพทคิ โลบ (optic lope) อยสูํ องข๎างซ๎าย ขวา ถัดไดเอนเซฟาลอนลงมา บรเิ วณน้ีจะเปน็ ทเ่ี ร่ิมตน๎ ของเสน๎ ประสาทตา (optic nerve) ทางดา๎ นบนของ สมองสํวนนีจ้ ะถกู เซรีเบลลมั ปกคลมุ อยํูบางสํวนจัดเป็นบริเวณที่ เกีย่ วกับการมองเหน็ 4. มีเทนเซฟาลอน นยิ มเรยี กสํวนนีว้ ําเซรีเบลลัม เป็นสวํ นทีม่ ขี นาดใหญํและพ้ืนผิวดา๎ นบนอาจขรุขระ ปลายสุดด๎านหน๎าอาจไปจรดสมองสํวนหนา๎ และด๎านท๎ายอาจคลมุ สํวนต๎นของเมดัลลาออบลองกาตา ทําหนา๎ ท่ี เกย่ี วกับการทรงตัว การวํายน้าํ และการยดื หดตวั ของกล๎ามเนอื้ 5. ไมอเี ลนเซฟาลอน นิยมเรียกเมดัลลา ออบลองกาตา หรอื อาจเรียกวํากา๎ นสมอง (brain stem) เป็น สํวนสดุ ทา๎ ยของสมอง เป็นศนู ยก๑ ลางของเส๎นประสาทสมองคทํู ่ี 5-10 เป็นทางเชอ่ื มตํอของประสาทจากไขสนั หลังกับสมองสํวนกลาง หน๎าทค่ี วบคุมการทาํ งานของเสน๎ ประสาทสมอง เชนํ การหายใจ การเปลีย่ นสี และการ ควบคุมออสโมซิสของนํ้าเข๎าสํรู ํางกาย เม่อื มองสมองจากด๎านลํางจะพบสํวนตาํ งๆ จากด๎านหนา๎ ไปหลังดงั น้ี 1. บริเวณดา๎ นทอ๎ งของเทเลนเซฟาลอนจะมีนิวโรพอร๑ (neuropore) ซง่ึ เป็นชํองเลก็ ๆ เป็นทางออก ของเทอรม๑ ิแนล เนิรฟ๑ (terminal nerve) 2 เส๎น ไปเลี้ยงพรู บั กลิ่นของจมกู 2. ออพทคิ ไคแอสมา (optic chiasma) เปน็ ฐานรํวมของเสน๎ ประสาทตาซา๎ ยและขวา อยํูใตส๎ มองสํวน ไดเอนเซฟาลอน 3. อินฟนั ดบิ ลู ัม (infundibulum) 1 พู โลบิ อนิ ฟีเรยี ร๑ (lobi inferiors) 2 พู ตํอมใต๎สมอง (pituitary gland) 1 ตอํ ม และแซคคสั แวสคูโลซัส (saccus vasculosus) 2 พู ท้งั หมดน้พี บอยูํใต๎สมองสวํ นไดเอนเซ ฟาลอน 4. ออคคูโล มอเตอร๑ เนิร๑ฟ (oculo - motor nerve) เปน็ เสน๎ ประสาทสมองคทูํ ี่ 3 ออกมาจากด๎าน ท๎องของไดเอนเซฟาลอน ใกลๆ๎ กบั แซคคัส แวสคโู ลซัส 5. ดา๎ นทอ๎ งของเมดัลลา ออบลองกาตา 6. โคนเสน๎ ประสาทสมองที่อยํูบนเมดัลลา ออบลองกาตา ไดแ๎ กํ คทูํ ี่ 5, 6, 7, 8, 9 และ 10 ไขสันหลัง (spinal cord) เป็นสํวนหนึง่ ของระบบประสาทสํวนกลาง อยูํตํอจากเมดลั ลาออบลองกา ตา เปน็ เส๎นยาวไปทางท๎ายตัว โดยทอดอยูํภายในชํองนวิ รอล (neural canal) มหี น๎าท่ีเป็นศูนยก๑ ลางเชอื่ มตอํ ระหวํางหนวํ ยรบั ความรูส๎ กึ (receptor) กบั หนํวยปฏบิ ัติงาน (effector) เป็นทางผาํ นไปมาระหวํางไขสนั หลัง กับสมอง และเปน็ ศูนย๑กลางของการเคลอ่ื นไหวตาํ งๆ ท่เี กิดจากการสัมผสั ทางผวิ หนัง ไขสันหลงั ประกอบดว๎ ย สํวนท่เี ปน็ สีเทา gray matter) อยํูด๎านในรอบๆ ชํองวํางในไขสันหลงั (central canal) ประกอบด๎วยเซลล๑ ประสาทมากมายรวมกนั บรเิ วณรอบนอกมีสีขาว (white matter) ซง่ึ เปน็ พวกใยประสาท อาจมเี ย่ือหุม๎ หรอื ไมํ ก็ได๎ ในปลากระดกู แขง็ สวํ นสีเทาคลา๎ ยตัว X ซง่ึ จะรบั ความรูส๎ ึกจากกล๎ามเนอื้ ท้งั ดา๎ นบน ด๎านขา๎ ง และดา๎ นลําง ของลาํ ตัว สถานปี ศุสตั ว๑

38 เส้นประสาทสมองและไขสันหลงั เส๎นประสาทสมองของปลามี 11 คูํ เรียงจากดา๎ นหน๎าสุดไปหลงั สุดของสมอง ดังน้ี - คูํที่ 0 เรียก เทอรท๑ แิ นล เบิร๑ฟ บางครง้ั ก็จดั เป็นคทูํ ี่ 11 เพราะพบภายหลงั สดุ แตํอยํูหน๎าสุดจึงจดั เป็น คูํที่ 0 เพราะเส๎นอืน่ ๆ มเี ลขกาํ กับตั้งแตํ 1 ถึง 10 แล๎ว มีกําเนิดออกมาจากนวิ โรพอร๑ ทางด๎านท๎องของเทเลนเซ ฟาลอน ทอดขนานไปกบั ทางเดนิ ของเสน๎ ประสาทสมอง ไปหลอํ เลย้ี งเย่อื เมือกของพรู ับกล่นิ มีปมประสาทอยํู ตรงกลางของเส๎นประสาทนดี้ ว๎ ย - คูํที่ 1 คอื เสน๎ ประสาทจมกู นาํ ความร๎ูสกึ เกี่ยวกบั กลนิ่ จากจมูกมายงั สมองสํวนเทเลนเซฟาลอน - คูํที่ 2 คือ เสน๎ ประสาทตา นําความรสู๎ ึกการมองเหน็ จากตามายงั สมองสํวนไดเอนเซฟาลอน - คูํที่ 3 เรียก ออคคูโลมอเตอร๑ เนิร๑ฟ เป็นเสน๎ คอํ นข๎างเลก็ ออกมาจากสมองใต๎ออพทิคโลบ ไปเลี้ยง กลา๎ มเน้อื ตา 4 มดั - คูํที่ 4 เรยี ก โทรเคลยี ร๑ เนริ ๑ฟ (trochlear nerve) เป็นเสน๎ เลก็ ๆ ออกมาทางด๎านบนของสมอง ระหวาํ งมเี ซนเซฟาลอนและมเี ทนเซฟาลอน ไปเลย้ี งกล๎ามเนอื้ ตา - คูํที่ 5 เรยี ก ไทรเจมิแนล เนิร๑ฟ (trigeminal nerve) ออกมาทางดา๎ นขา๎ งของเมดัลลาออบลองกาตา แยกเปน็ 3 เส๎นยํอย คอื เส๎นแรกแยกไปทางด๎านหวั ตอนปลายแยกเป็นเสย๎ ฝอยไปเล้ียงผิวหนังบริเวณจมกู เสน๎ ทสี่ องไปเลยี้ งขากรรไกรบน และเส๎นทีส่ ามไปเลีย้ งขากรรไกรลาํ งทําให๎เปดิ ปดิ ปากได๎ - คูํที่ 6 เรยี ก แอบดเู ซนส๑ เนิรฟ๑ (abducens nerve) ออกจากด๎านท๎องของเมดัลลา ออบลองกาตา ไปเลี้ยงกลา๎ มเนื้อตา - คูํที่ 7 เรยี ก เฟเซยี ล เนิรฟ๑ (facial nerve) ออกมาจากสมองสํวนเมดลั ลา ออบลองกาตา ใกล๎กับ เส๎นประสาทสมองคํูท่ี 5 และ 8 มสี าขายํอย 4 เส๎น คือ เส๎นแรกทอดรวมไปกับแขนงของคํูท่ี 5 ไปเลยี้ งสวํ นหัว ตอนบน เส๎นทสี่ องไปเลี้ยงหัวตอนบนบริเวณกระบอกตา เสน๎ ท่ีสามไปเลีย้ งขากรรไกรบนและลาํ ง เส๎นท่สี ี่ไป เล้ยี งเพดานปาก - คูํที่ 8 เรียก โสตประสาท (auditory nerve หรือ acoustic nerve) เปน็ เสน๎ ท่ีใหญแํ ตสํ ัน้ ตอํ ไปยังหู โดยตรง รับความรูส๎ ึกเกยี่ วกับการทรงตวั - คูํที่ 9 เรียก กลอสโซฟารงิ เกยี ล เนิรฟ๑ (glossopharyngeal nerve) ออกมาจากด๎านขา๎ งของเมดลั ลา ออบลองกาตา อยํูถัดคํทู ี่ 8 ลงมา ทอดฝังมาตามกระดกู อํอนบรเิ วณใต๎หู มี 2 เส๎นยอํ ย ไปเลย้ี งไฮออยด๑ อาร๑ช (hyoid arch) และบรานเซยี สอารช๑ - คูํที่ 10 เรยี ก วากัสเนิร๑ฟ (vagus nerve) เป็นเสน๎ ใหญแํ ยกออกจากด๎านขา๎ งของเมดัลลา ออบลอง กาตา มีสาขายอํ ยหลายเส๎น สาขาแรกไปเลยี้ งขอบเหงอื กคทํู ี่ 2, 3, 4 และ 5 สาขาท่ีสองไปเลย้ี งหัวใจและ กระเพาะอาหาร นอกจากนย้ี ังมีสาขาไปเล้ียงเส๎นข๎างตัว สถานีปศุสัตว๑

39 ภาพถํายสมองของปลา ทีม่ า : http://www.aquatoyou.com/index.php/ 2.6 ระบบประสาทอตั โนมัติ และอวยั วะรบั ความรสู้ กึ ระบบประสาทอัตโนมตั ิ (autonomic system) ได๎แกํ ปมประสาท (ganglia) และใยประสาท (fiber) รวมทงั้ สํวนของซิมพาเธตคิ (sympathetic) และ พาราซมิ พาเธติค (parasymphathetic) ทาํ งานอยูนํ อก อํานาจของจติ ใจ เชนํ การเตน๎ ของหัวใจ การยํอยอาหาร ขบวนการควบคมุ การสง่ั การและตอบสนองของระบบ อตั โนมตั ิ ระบบอตั โนมัตมิ ี 2 ระบบใหญํๆ คือ Sympathetic system และ Parasympathetic system ซึง่ ทํา หน๎าทต่ี รงกนั ขา๎ ม และทาํ งานคูํกนั ตลอดเวลา เชนํ Sympathetic system เป็นระบบประสาทท่ที ํางานให๎หัว ใจเตน๎ แรงและเร็ว เสน๎ เลอื ดหดตวั ขณะเดยี วกันท่ี Parasympathetic system จะทาํ ใหห๎ ัวใจเตน๎ ช๎าลงให๎ พอเหมาะและเส๎นเลอื ดขยายตัว การทาํ งานของ Sympathetic และ Parasympathetic จึงทําใหเ๎ กิดสมดุล อวัยวะรับความรสู้ ึก อวัยวะรับความรู๎สกึ ของปลาจะรบั ความรส๎ู ึกทางกายภาพ และเคมจี ากสภาพแวดล๎อม การรบั ความร๎สู กึ ทางกายภาพ เชํน ผิวหนังรบั ความร๎สู ึกรอ๎ นหนาว ตารบั ความรูส๎ ึกในการมองเห็นและความเข๎มของ แสง หูช้ันในและเส๎นข๎างตวั รับความรส๎ู ึกเกยี่ วกับการได๎ยนิ และการสัน่ สะเทอื น ของน้ํา สํวนการรบั ความรู๎สึก ทางเคมี เชํน จมกู รับกลน่ิ ผวิ หนงั ชัน้ นอกของปากและ รมิ ฝีปาก ชํองคอ และชํองเหงอื กรบั รส เป็นต๎น 1. ผวิ หนัง รบั ความรู๎สึกทางอุณหภูมิ สัมผสั และรสอาหาร ปลาสามารถรบั รูเ๎ ก่ยี วกบั การเปลีย่ นแปลง อณุ หภมู ิ โดยการรับคลนื่ จากปลายประสาททอ่ี ยูบํ ริเวณผวิ หนงั ชนั้ นอกในปลาดกุ สามารถรบั ความรสู๎ ึกสมั ผสั สถานปี ศุสัตว๑

40 โดยมีอวยั วะรบั สัมผสั บรเิ วณผิวหนัง รวมทง้ั มตี อํ มรับรสดว๎ ย ชํวยในการหาอาหาร อวยั วะที่รบั สัมผสั ทาง ผวิ หนงั จะมีเส๎นประสาทสมองและเส๎นประสาทไขสันหลงั (sensory root) มาหลํอเลย้ี ง 2. จมูก จมกู ของปลาเป็นอวยั วะที่ใชใ๎ นการดมกลิ่น มีลกั ษณะเป็นถุงตนั อาจจะมขี า๎ งละ 1 ชํอง หรือ 2 ชํองกไ็ ด๎ ปลาสํวนใหญํจะมีขา๎ งละ 2 ชํอง โดยมีทางนํ้าเขา๎ ทางหน่งึ และไหลออกอกี ทางหนึ่ง ในปลาฉลาม ผนังดา๎ นในของถุงจะมีลกั ษณะเป็นฝอยคล๎ายขนนก เพอ่ื ทําใหม๎ พี น้ื ทส่ี าํ หรับปลายเส๎นประสาทเข๎าไปแทรกอยํู ได๎เป็นจํานวนมาก ทําใหด๎ มกลิ่นไดด๎ ีมาก เยอ่ื ทบี่ อุ ยมํู ที ง้ั ปมประสาทและเซลลป๑ ระสาทอยูดํ ว๎ ย ลักษณะรูจมกู และอวยั วะรับความรสู๎ ึกทพี่ บในปลากระดูกแขง็ ทม่ี า : http://www.aquatoyou.com/index.php/ 3. ตา รับความรส๎ู ึกในการมองเหน็ โดยมเี สน๎ ประสาทตามาหลอํ เลย้ี ง ลกู ตาประกอบด๎วยสํวนตาํ งๆ ดงั น้ี 3.1 กระบอกตา (sclerotic) เป็นเยื่อช้นั นอกสุด มีความแขง็ แรงทําใหล๎ กู ตาคงรปู อยูไํ ด๎ 3.2 กระจกตา (cornea) เป็นสวํ นท่ีอยูํด๎านหนา๎ ของลกู ตา มลี ักษณะขาวใสและตดิ ตอํ เปน็ เนอ้ื เย่ือเดียวกบั กระบอกตา 3.3 โครอยด๑ (choroids) เปน็ เย่อื ช้ันที่สองถัดจากกระบอกตา มสี ดี ําโครอยด๑ตรงทอ่ี ยูใํ ต๎ กระบอกตามีลักษณะเป็นเยอ่ื ยืดหดได๎ เรยี ก มาํ นตา (iris) ชํองกลางของมาํ นตาเรียก รมู ํานตา (pupil) ซึ่งเป็น ชอํ งที่เปดิ ปดิ ไดเ๎ พ่อื ควบคมุ การรบั แสงมากนอ๎ ยตามต๎องการ 3.4 จอตา (retina) เป็นเย่ือชัน้ ในสุด มีปลายเส๎นประสาทมาหลอํ เลยี้ งเปน็ สํวนท่ีทาํ ให๎ปลา สามารถมองเห็นได๎ มีเซลลร๑ ูปแทํง (rod cell) และเซลลร๑ ปู กรวย (cone cell) 3.5 เลนส๑ หรอื แกว๎ ตา (lens) มลี ักษณะกลม อยํูด๎านหลงั ของรมู ํานตา สถานปี ศสุ ตั ว๑

41 สวํ นประกอบของตาปลา http://www.aquatoyou.com/index.php/ 4. หู หูของปลาเป็นหสู ํวนใน ยงั ใช๎รบั เสียงไมไํ ด๎ แตํใช๎สําหรับรับความสนั่ สะเทอื นและชวํ ยในการทรง ตัว โดยมเี ส๎นประสาทสมองคูทํ ่ี 8 มาหลํอเลย้ี ง หูของปลาประกอบด๎วยสวํ นที่เป็นเยือ่ (membranous labyrinth) สํวนทเี่ ป็นของเหลวเรยี กเอ็นโดลิมฟ์ (endolymph) และก๎อนหนิ ปูน (otolith) โดยสวํ นทเ่ี ป็นเยอื่ ประกอบดว๎ ยถุงบางๆ (vestibule) และหลอดครึ่งวงกลม (semicircular canal) 3 หลอด ดงั นี้ 4.1 สวํ นท่เี ปน็ ถงุ มีลักษณะเป็นถุงบางใส แบงํ เปน็ 3 ถงุ ถงุ แรกอยํูด๎านบนติดกับหลอดครึ่ง วงกลมท้งั สาม และมีการตดิ ตํอกบั ภายนอกทางผิวหนงั บนหัวทางทอํ (endolymphatic duct) เรียกถุงนี้วํา ยูทริคูลัส (utriculus) อกี สองถงุ อยูดํ ๎านลํางเรียกแซคคูลสั (sacculus) และลาจีนา (lagena) โดยลาจีนามี ลักษณะเปน็ ต่งิ ยื่นออกไป ภายในถงุ เหลาํ นมี้ ีเอ็นโดลมิ ฟ์บรรจอุ ยํู และมกี ๎อนหินปูนอยํูถุงละอนั เรยี กช่อื แตกตาํ ง กันตามลาํ ดบั คือ ลาพลิ ลัส (lapillus) แซกจทิ ตา (sagitta) และ แอสเทอริสคัส (asteriscus) 4.2 หลอดคร่ึงวงกลม ปลาช้ันสงู จะมี 3 หลอด ปลายหลอดจะตอํ กับยทู รคิ ูลัส ซึ่งจะโปงุ ออกเป็นกระเปาะ (ampulla) ภายในมีเอน็ โดลิมฟ์ตดิ ตํอถงึ กันหมด หลอดทัง้ สามประกอบด๎วย (1) หลอดท่ีอยใูํ นแนวต้ังดา๎ นหน๎า (anterior vertical canal) เปน็ หลอดตง้ั ตรง อยูํด๎านหนา๎ ใกลก๎ ับกระบอกตา (2) หลอดทอี่ ยใํู นแนวต้งั ดา๎ นหลงั (posterior vertical canal) เปน็ หลอดต้งั ตรง อยํูคอํ นไป ทางหาง (3) หลอดท่อี ยํใู นแนวนอน (horizontal canal) เปน็ หลอดทอ่ี ยํใู นแนวนอนระหวาํ งสอง หลอดแรก เสน๎ ประสาทหู หรอื โสตประสาท มสี าขาแยกเข๎ามาเล้ยี งถุงและกระเปาะเหลําน้ี สถานปี ศุสัตว๑

42 (ซ๎าย)ตาํ แหนงํ ท่ีต้ังของหสู ํวนในของปลา (ขวา)หูสํวนในของปลา ท่มี า : http://www.aquatoyou.com/index.php/ 5. เส๎นขา๎ งตัว (lateral line) มวี วิ ัฒนาการมาจากเซลล๑รับความร๎สู ึกทางผิวหนัง ปลาทว่ั ไปมขี ๎างละ 1 เส๎น บางชนิดไมํมี บางชนิดมหี ลายเสน๎ ลักษณะอาจโค๎งงอขาดตอน ปลาทีม่ ีเกลด็ บรเิ วณเสน๎ ขา๎ งตวั จะมีรูบน เกล็ดเพอื่ ใหน๎ ํ้าผาํ นเขา๎ ไปสมั ผสั กบั อวยั วะรับความรส๎ู ึกได๎ หน๎าที่ของเสน๎ ขา๎ งตัวคือ รบั ความรูส๎ กึ เกีย่ วกบั การ สัน่ สะเทอื นของนํา้ การเปลีย่ นแปลงอณุ หภูมิ และความเยน็ หนวํ ยที่รบั ความร๎สู กึ คอื นวิ โรมาสต๑ (neuromast) ทยี่ น่ื ออกมาบริเวณเยอ่ื บุผิว เส๎นประสาทสมองท่มี าหลอํ เลี้ยงคือ คํทู ี่ 7, 8, 9 และ 10 เส๎นข๎าง ตัวอยํสู งู แสดงวาํ มีวิวฒั นาการมาก ถา๎ อยตํู ํา่ แสดงวํามวี วิ ฒั นาการต่ํา ลักษณะของนิวโรมาสตใ๑ นระบบเสน๎ ข๎างตวั http://www.aquatoyou.com/index.php/ สถานปี ศุสตั ว๑

43 2.7 ระบบโครงร่างของสัตว์ในฟารม์ ระบบโครงรํางของราํ งกายสตั ว๑ประกอบไปดว๎ ยกระดูกและกระดูกอํอนชนิดตํางๆ ยึดติดกันด๎วยเอ็นทํา ให๎เกิดเป็นข๎อตอํ (joint) เพ่ือทําให๎รํางกายเคล่ือนท่ีได๎โดยมีกล๎ามเน้ือมายึดเกาะ เนื้อกระดูกประกอบด๎วย สารอนิ ทรยี ๑และสารอนนิ ทรีย๑ 1. ความหมาย และความสาคญั ของระบบโครงกระดกู รํางกายของสัตว๑ที่มีกระดูกสันหลัง จะต๎องมีระบบโครงกระดูกเพื่อให๎รํางกายทรงตัวเป็นรูปรํางไว๎ได๎ ปอู งกันอวัยวะตํางๆ ท่ีอยูํภายในไมํให๎ไดร๎ ับอันตราย มีกล๎ามเน้ือลาย และเอ็นเปน็ สํวนเชื่อมตํอหรือยึดโยง กระดูก กระดูกอํอน และข๎อตํอเข๎าด๎วยกัน ทําให๎รํางกายสัตว๑สามารถเคลื่อนไหวได๎ การศึกษาที่เกี่ยวข๎องกับ ระบบโครงกระดูกจําแนกเฉพาะได๎หลายรายวิชา ไดแ๎ กํ Osteology หมายถึง วิชาท่ีวําด๎วยการศึกษาเก่ียวกับ กระดูก Chondrology หมายถึง วชิ าท่ีวาํ ดว๎ ยการศึกษาเกี่ยวกับกระดูกอํอน Artropology หมายถึง วชิ าที่วาํ ดว๎ ยการศึกษาเกย่ี วกบั ข๎อตอํ ตํางๆ ระบบโครงกระดูก (Skeleton system) หมายถึง ระบบท่ีทําให๎รํางกายของ สัตว๑เป็นรูปรําง และมีทรวดทรง เป็นสํวนของโครงสร๎างท่ีเป็นของแข็งซ่ึงทําหน๎าท่ีปอู งกันเนื้อเยื่ออํอนๆ (soft tissue) ของรํางกายสัตว๑ ระบบโครงกระดูกประกกอบด๎วย กระดูก (bone) กระดูกอํอน (cartilage) เอ็น (ligament or tendon) และข๎อตํอ (joint) ความสําคัญของระบบโครงกระดูก คือ เป็นสํวนหนึ่ง หรือ องค๑ประกอบหนึง่ ท่อี ยูํใน “สวํ นประกอบทใ่ี ชช๎ ํวยในการเคลอื่ นไหวของรํางกาย” (locomotor apparatus) ซ่ึง ก็คืออวัยวะสํวนท่ีประกอบกันเป็นตัวสัตว๑ เป็นโครงสร๎างของรํางกาย และทําหน๎าที่ในการเคลื่อนไหวสํวนตํางๆ ของราํ งกาย 2. หน้าทข่ี องระบบโครงกระดกู หนา๎ ทขี่ องระบบโครงกระดูกทีเ่ ป็นโครงสรา๎ งของรํางกาย (Functions of bone) มดี งั นี้ 2.1 โครงกระดูกเป็นท่ีเกาะยึดของกล๎ามเน้ือ ทําให๎กล๎ามเน้ือวางตัวอยํูอยํางแข็งแรง เกิดเปน็ โครงรําง ของราํ งกาย 2.2 มีสํวนชวํ ยในการปูองกันอวัยวะภายใน เชํน กระดูกซี่โครงชํวยปูองกันหัวใจ (heart) ปอด (lung) หรือกระดูกกะโหลกปูองกนั สมอง (brain) ไมใํ หไ๎ ด๎รบั อันตรายหรอื ไมํใหก๎ ระทบ กระเทอื น 2.3 ไขกระดูกแดงทําหน๎าที่สร๎างเซลล๑เม็ดเลือด พวกเซลล๑เม็ดเลือดแดง (red blood cells) เซลล๑เม็ด เลือดขาว (white blood cells) และเกล็ดเลือด (platelet) โดยทําหน๎าท่ีตํอจากตบั ม๎าม และตํอมน้ําเหลือง ซ่ึงสรา๎ งเซลล๑เมด็ เลือดในขณะท่ีสตั วเ๑ ปน็ ตัวออํ นในมดลูก 2.4 เป็นท่ียึดเกาะของกล๎ามเน้ือลาย ทําให๎เกิดการเคลื่อนไหว และชํวยในกระบวนการหายใจเข๎าและ ออก เชนํ กระดูกซโ่ี ครง (ribs) 2.5 เป็นแหลํงสะสมแรํธาตุตําง ๆ ในรํางกาย เชํน แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม โดยเฉพาะโครง กระดกู มคี วามสาํ คญั ในการรกั ษาระดับสมดลุ ของแคลเซยี ม (calcium) ในเลือด สถานีปศสุ ตั ว๑

44 3. การแบ่งชนดิ กระดกู สามารถแบํงกระดกู ในราํ งกายสัตวไ๑ ด๎หลายแบบ ดงั น้ี 3.1. แบํงตามการเจริญเติบโต แบงํ ได๎เปน็ 2 ชนดิ 3.1.1 Membranous Bone เปน็ กระดกู ทเ่ี จรญิ มาจากแผํนเย่ือบางๆ มีลักษณะแบนบาง พบ ทกี่ ระดูกกระโหลกศรีษะเกือบทง้ั หมด กระดกู หนา๎ อก สะบักกระดูกซโี่ ครง 3.1.2 Cartilagenous Bone เป็นกระดูกที่เจริญมาจากแทํงกระดูกออํ น มักเป็นกระดูกชนิด ยาว พบท่ีกระดูก แขน ขา 3.2 แบํงตามลักษณะเนอื้ และความหนาแนํนของกระดูก แบงํ ไดเ๎ ป็น 2 ชนิด 3.2.1 Compact Bone เป็นกระดูกเน้ือแนํนแข็ง พบสวํ นท่ีเปน็ แทํงกระดกู (Shaft) 3.2.2 Spongy Bone เป็นกระดูกท่ีมีรูอยูํทั่วไป พรุนและโปรํงเบาพบอยูํท่ีสํวนปลายบนและ ปลายรํางของกระดกู ชนดิ ยาว (Long bone) กระดกู ชนดิ แบนและพบในกระดกู ของสัตวป๑ กี 3.3 แบงํ ตามลักษณะรปู ราํ งภายนอก 3.3.1 กระดูกชนิดยาว (long bone) เชนํ humerus radius ulna femur tibia 3.3.2 กระดูกชนดิ สนั้ (short bone) เชํน carpus tarsus 3.3.3 กระดกู ชนดิ แบน (flat bone) เชํน scapula pelvic bone skull 3.3.4 กระดูกชิน้ เลก็ แบน (sessamoid bone) เชํน patella 3.3.5 กระดูกพรุน (pneumatic bone) เชํน frontal bone palatine bone กระดูกสํวน ตาํ งๆ ของสตั ว๑ปกี 3.3.6 กระดกู รปู ราํ งไมแํ นนํ อน (irregular bone) เชํน vertebrae 4. โครงรา่ งของรา่ งกายสัตวเ์ ลีย้ ง กระดกู โครงราํ งในรํางกายของสัตวเ๑ ล้ียงสามารถแบงํ ออกไดเ๎ ปน็ 3 ประเภทคือกระดกู โครงรํางสํวน แกน (axial skeleton) กระดกู โครงรํางสวํ นระยางค๑ (appendicular skeleton) และกระดกู โครงรํางท่ีเจรญิ อยใํู นเนอ้ื เย่อื ของอวัยวะบางแหงํ (visceral หรอื splanchnic skeleton) เป็นตน๎ แบงํ ออกเปน็ 4.1. โครงราํ งสํวนแกนของรํางกาย ประกอบด๎วย 4.1.1 กระดกู กระโหลกศีรษะ (skull ) มีกระดูก cranial bone ห๎ุมสวํ นของสมอง และมสี วํ น ของ Facial bone เปน็ กระดกู ทปี่ ระกอบเป็นสํวนของใบหน๎า Cranial Bones - occipital , parietal , temporal , frontal , ethmoid , sphenoid Facial Bones - pterygoid , Lacrimal , nasal , palatine , conchae (turbinate) , maxilla , incisive , mandible 4.1.2 กระดกู สนั หลงั (Vetebrae of Vertebtral column) ประกอบด๎วย Cervical vertebrae = คอ (C) Thoracic vertebrae = อก (T) Lumbar vertebrae = เอว (L) Sacral vertebrae = สํวนเชงิ กราน (S) Lumbosacral = กระดกู ทเ่ี ชือ่ มระหวํางเอวและกระดกู เชิงกราน (LS) Coccygeal vertebrae = สวํ นหาง (Cy) สถานปี ศสุ ตั ว๑

45 การแบงํ กลุมํ กระดูกสนั หลังของสัตว๑ ที่มา : วิโรจน๑ (2540) โครงกระดูกของราํ งกายสุกร ที่มา : Pork Industry Institute (2012) 4.2 โครงรํางสํวนท่ีเปน็ ระยางค๑ (Appendicular skeleton) กระดกู สํวนนี้จะยดึ ติดกับกระดกู แกน สองแหงํ ด๎วยกันคือ ตรง Pectoral girdle และ Pelvic girdle ตรงสํวนทีเ่ กาะกับ Pectoral girdle นน้ั ในสัตว๑ เลีย้ งท่ีศกึ ษาในวิชากายวภิ าคนน้ั จะพบกระดกู ท่ีเกาะเปน็ หลกั กับชอํ งอกเพียงชน้ิ เดียว คือ Scapular ทาํ ใหข๎ า หน๎านั้นยึดเกาะได๎ไมํดนี ัก กระดูกรยางคห๑ น๎า (Pectoral limbs) หรอื ขาหนา๎ สํวนใหญํ ทําหน๎าทีใ่ นการพยงุ สถานีปศุสตั ว๑

46 รับนาํ้ หนัก สํวนกระดกู รยางค๑หลัง (Pelvic limbs) หรือขาหลงั นนั้ ทาํ หน๎าทรี่ ับนํ้าหนักและชวํ ยผลกั ดันไป ขา๎ งหนา๎ 4.3 โครงรํางทเ่ี จรญิ อยูใํ นเนื้อเย่อื ของอวัยวะบางแหํง เป็นกระดูกทีพ่ บในเน้ือเย่ือทีอ่ อํ นนุํม พบไดใ๎ น สัตวเ๑ ลีย้ งบางชนดิ เทําน้นั เชํนในสุกร พบกระดูกทีเ่ นอื้ เย่ืออํอนนํมุ ของกระดกู os rostri (กระดกู ออํ นที่สัน จมูก) ในสนุ ัขพบไดใ๎ นสํวนองคชาตเรียกวํา os penis (กระดกู ออํ นเสริมองคชาติ) และในสัตว๑ปกี พบไดใ๎ น sclera ของลูกตา เรยี กวํา scleral ring (กระดูกออํ นรอบลูกตา) เป็นต๎น 5. สตู รกระดกู สันหลังในปศสุ ตั ว์ ( Vertebral Formulas ) เปรียบเทยี บกระดูกตําง ๆ ของสํวนขาหน๎า (pectoral limbs or fore limbs) และขาหลัง (pelvic limbs or hind limbs) สถานีปศสุ ตั ว๑

47 ดดั แปลงจาก : วโิ รจน๑ (2540) 6. กระดูกอ่อน (cartilage) กระดูกอํอนเป็นเน้ือเย่ือเกย่ี วพันชนิดพิเศษชนิดหนงึ่ มคี วามแขง็ แรงแตบํ ดิ งอได๎ ประกอบด๎วยเซลล๑ กระดูกอํอน (chondrocyte) และ extracellular matrix ที่ประกอบดว๎ ยเสน๎ ใย(fiber)พวกคอลลาเจน และอี ลาสตนิ และ สารท่ีทาํ ใหก๎ ระดกู อํอนมคี ณุ สมบตั ิเหนียวและยดื หยํนุ ได(๎ gel like substance) เนื้อกระดูกออํ น จะไมํมีเสน๎ เลือดผาํ นเข๎ามาหลํอเล้ยี งโดยตรงเชนํ เดียวกับเน้อื เย่อื เกย่ี วพนั ชนิดอื่นๆ แตจํ ะไดร๎ ับเลือดจากการ แพรํของเลือดจากเส๎นเลอื ดที่อยํูบรเิ วณใกลเ๎ คยี ง ผาํ นเข๎ามาทาง extracellular matrix ของกระดูกอํอน นอกจากนี้ยงั ไมํพบสวํ นของเส๎นนํ้าเหลืองและเส๎นประสาทที่กระดกู ออํ นด๎วย เซลล๑กระดูกออํ น (chondrocyte หรอื cartilage cell) ทาํ หนา๎ ทส่ี ร๎างสํวนประกอบของ matrix เชนํ collagen, proteoglycans และ hyaluronic acid เป็นตน๎ การทาํ งานของเซลล๑กระดูกออํ นถกู ควบคมุ โดยฮอรโ๑ มนหลายชนดิ เชนํ GH, thyroxine และ testosterone เป็นต๎น กระดูกอํอนสามารถแบํงตามชนิดของเส๎นใยและลักษณะของ extracellular matrix ที่เป็น สํวนประกอบได๎ 3 ประเภทคือ hyaline cartilage, elastic cartilage และ fibrocartilage เป็นต๎น hyaline cartilage เป็นกระดูกอํอนชนิดท่ีพบไดม๎ ากท่ีสุดในรํางกายทําหน๎าที่เก่ียวกับการลดการเสียดสี มีลักษณะเรียบ และล่ืน มีเส๎นใยที่มีคลอลาเจนชนิดละเอียดปนอยูํ กระดูกอํอนชนิดนี้พบได๎ที่กระดูกซี่โครงสํวน costal cartilage ท่ียึดกระดูกซี่โครงกับกระดูกอก กระดูกอํอนรูปวงแหวนของทํอทางเดินหายใจ(tracheal ring)และ กระดูกตรงปลายกระดูกยาวทัง้ สองข๎าง (articular cartilage) รวมท้งั สวํ น สถานปี ศสุ ัตว๑

48 epiphyseal plate ของกระดกู ทีก่ ําลังเจริญเติบโต (growing bone) elastic cartilage เป็นกระดูกออํ นท่ีมี ความเหนียวหรือยืดหยํนุ ดี เนอ่ื งจากมี elastic fiber เปน็ สวํ นประกอบอยใํู นเนอื้ กระดูกมาก (matrix) สํวน elastic cartilage จะพบได๎ทีส่ วํ นใบหู (pinna) epiglottis ทอํ ในชอํ งหู (auditory tubes) และทีก่ ระดกู อํอน บางชนิดของกลํองเสียง สวํ น fibrocartilage หรอื fibrous cartilage เปน็ กระดูกออํ นทีม่ เี ส๎นใยคลอลาเจน มากมเี ซลล๑กระดกู ออํ นน๎อย เป็นกระดกู ออํ นท่ีรับแรงกดไดม๎ ากและยดื หยํุนได๎น๎อยพบได๎ในสํวนของรํางกายที่ ตอ๎ งรบั แรงกดมากและพบอยูรํ ํวมกบั firous tissue เชนํ บรเิ วณ intervertebral disc symphysis pubis memiscus ตามข๎อตอํ ทเ่ี คล่อื นไหวไดอ๎ ยาํ งอสิ ระ (synovial joint) เป็นตน๎ 7. ขอ้ ตอ่ (joints) ข๎อตํอเป็นสํวนโครงรํางของรํางกายที่เกิดขึ้นตรงบริเวณท่ีมีกระดูกมาตํอกัน หรือมีกระดูกมาตํอกับ กระดูกอํอน (articular cartilage) บริเวณนี้จะมีผังผืดที่เป็นเนื้อเย่ือสีขาว( ligament) มีความเหนียวกวําเอ็น (tendon) เปน็ สํวนมายึดให๎เชื่อมตํอกัน บางขอ๎ ตํออาจมีสํวนของกระดูกออํ นช้นิ เล็กๆ มาชวํ ยยึดกระดูกไว๎ หรือ อาจมีปลอก (capsule)มาหํอหุ๎มไว๎เรียกวาํ joint capsule ภายในข๎อตํออาจมีของเหลวท่ีผลิตจากเซลล๑เยื่อบุ ผิวของผนังภายในปลอกน้ัน เพ่ือทําหน๎าที่ในการหลํอลื่นให๎ข๎อตํอเคลื่อนไหวได๎ดีขึ้น โดยท่ัวไปข๎อตํอจะทํา หน๎าท่ีประสานกับเอน็ ท่ียึดกับกระดูกทําให๎เกิดเป็นรูปรํางของสัตว๑ นอกจากนี้ทําหน๎าท่ีในการรับนํ้าหนัก ราํ งกายและเก่ียวกับการเคลื่อนไหวของรํางกาย สามารถแบํงข๎อตํอออกตามตามสามารถในการเคล่ือนไหวเปน็ 3 กลุมํ คือ 7.1 synarthrose joint หมายถึงข๎อตอํ ชนิดที่ไมสํ ามารถเคล่ือนไหวได๎เลย ข๎อตํอประเภทนมี้ ักเป็นข๎อ ตํอทีไ่ มมํ ชี อํ งวําง (joint cavity) และตํอเช่อื มกระดูกทัง้ สองชน้ิ เขา๎ ด๎วยกนั ดว๎ ย fibrous connective tissue หรอื กระดูกออํ น ไดแ๎ กํ ขอ๎ ตอํ sutureo, syndesmous, synchodroses, symphysis และ pomphoses เป็นต๎น 7.2 amphiarthrose joint หมายถึงข๎อตอํ ท่สี ามารถเคลื่อนไหวไดเ๎ ลก็ นอ๎ ย เปน็ ข๎อตอํ ทีย่ ดึ กระดูกไว๎ ด๎วยกระดกู ออํ นเปน็ สวํ นใหญจํ ะมสี ํวนประกอบท่สี ําคญั คอื articular surface, articular cartilage, joint capsule และ joint cavity ขอ๎ ตอํ ชนดิ นจ้ี ะมีช่อื เรียกทีแ่ ตกตาํ งกันไปข้ึนกบั รูปราํ งของข๎อตอํ หรือข้นึ กบั ลักษณะการเคลอ่ื นไหวของขอ๎ ตอํ ไดแ๎ กํ glinding joint (arthrodia) enarthrose (ball and socket joint ) เป็นตน๎ 7.3 diarthrose joint หมายถงึ ขอ๎ ตอํ ท่มี ีการเคลื่อนไหวไดด๎ ี เป็นขอ๎ ตํอทพี่ บมากในราํ งกายสวํ นตํางๆ ของสัตว๑เลยี้ ง ข๎อตอํ ชนดิ นี้มีโครงสรา๎ งท่ปี ระกอบดว๎ ย articular cartilage, joint capsule ทเ่ี ป็น dense fibrous connective tissue, ในสํวน articular capsule บุดว๎ ย synovial membrane โดยสํวนของ synovial membrane จะทําหน๎าท่ีสรา๎ งของเหลวทหี่ ลํอเลีย้ ง articular cartilage และหลํอลนื่ ขอ๎ ตํอ (synvial fluid) เชนํ synovial joint สถานีปศสุ ัตว๑

49 8. กายวิภาคและจลุ กายวิภาคของกระดกู กระดูกยาวเม่ือนํามาผําออกตามแนวความยาว จะพบวําตรงกลางตัวกระดูกจะมีโพรงเรียกวําโพรง กระดูก (medullary cavity หรือ marrow cavity) ซ่ึงบุดว๎ ยเย่ือบุผิวรอบชํองของโพรงกระดกู เรียกวํา endosteum โดยทั่วไปเน้ือกระดูกที่ล๎อมรอบโพรงกระดูกเป็นเน้ือกระดูกชนิดเนื้อแนํน (compact bone) ถัด ออกจากเน้ือกระดูกออกไปเป็นสํวนเยื่อห๎ุมกระดูกเรียกวํา periosteum ในสัตว๑ท่ีโตเต็มที่แล๎วสํวน periosteum ของกระดกู จะหายไป บริเวณ epiphysis จะเป็นกระดูกที่มีรูพรุนและโปรํง (compact bone) บริเวณน้ีจะมีชอํ งทางติดตํอกับโพรงกระดูกที่มีไขกระดูกสีแดงบรรจุอยํูในชํองเล็กๆ เรียกวาํ marrow space เยื่อบางๆ ที่ห๎ุมโพรงกระดูกเรียกวํา endosteum มีหน๎าที่เกี่ยวกับการสร๎างเม็ดเลือดพวก RBC, WBC, leucocyte, erythrocyte และ platelet สํวนไขกระดูกสีแดงพบไดใ๎ นกระดูกของสัตว๑ที่ยังเจริญเติบโตไมํ เต็มท่เี ทํานั้น ดงั แสดงไวใ๎ นภาพ สวํ นประกอบของกระดกู ยาว (ทีม่ า : สมปอง (2553) ถ๎าเอาสวํ น Compact bone มาตดั บางๆ ตามขวางหรอื ตามยาวแลว๎ สํองดูด๎วยกล๎องจุลทรรศน๑ จะ เห็นมีรเู ล็กๆ อยํูท่วั ไปเรยี กวํา Harversina canal รเู หลํานี้เปน็ เส๎นผาํ นของเลือด นํา้ เหลือง และเส๎นประสาท รอบ ๆ Harversian canal จะมเี ซลล๑กระดกู (osteicytes) ฝังตวั อยูํในแองํ เลก็ ๆ เรียกวํา “lacunae” ซึ่งมีการ เรยี งตวั กันเป็นวงๆ เรียง concentric lamellae ล๎อมรอบอยูํหลายวง ทําให๎เกดิ เปน็ “Harversian system” ขึ้น ดงั แสดงไว๎ในภาพ สถานปี ศสุ ตั ว๑


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook