Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วารสารวิชาการ ป.ป.ช. ปีที่ 3 ฉบับที่ 1

วารสารวิชาการ ป.ป.ช. ปีที่ 3 ฉบับที่ 1

Published by sakdinan.lata, 2021-09-13 06:05:28

Description: วารสารวิชาการ ป.ป.ช. ปีที่ 3 ฉบับที่ 1

Search

Read the Text Version

วารสารวิชาการ ป.ป.ช. NACC Journal ISSN 1906-2087 ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม 2553) เจา้ ของ วตั ถปุ ระสงค์ ศูนยว์ ิจัย สำนกั งาน ป.ป.ช. l เพื่อเป็นแหล่งรวบรวมและเผยแพร่ผลงาน 165/1 ถนนพิษณุโลก เขตดุสิต กทม. 10300 วิจัยและผลงานทางวิชาการอ่ืนด้านการ โทรศพั ท์ 66-2281-8421 ป้องกนั และปราบปรามการทุจรติ โทรสาร 66-2281-7126 l เพื่อให้มีการใช้ประโยชน์จากผลงานวิจัย E-mail: [email protected] ผลงานวชิ าการ และการสรา้ งความตระหนกั ในการตอ่ ตา้ นการทจุ ริตรว่ มกนั ทีป่ รึกษา l เพ่ือให้เกิดความร่วมมือและประสานงาน เมธี ครองแกว้ ในการบริหารจัดการข้อมูลงานวิจัยด้านการ ภักดี โพธศิ ิริ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตระหว่าง หน่วยงานและสถาบันวิจยั ต่างๆ บรรณาธิการ l เพ่ือให้มีการแลกเปล่ียนข้อมูลข่าวสารและ จตุรนต์ ถิระวัฒน์ เอกสารสิ่งพิมพ์ต่างๆ กับหน่วยงานและ เครอื ข่ายท่เี ก่ยี วข้อง กองบรรณาธิการ กำหนดออก วันเพ็ญ สุรฤกษ์ รายปี โกวทิ ย์ กังสนันท์ ดารารัตน์ อานนั ทนะสวุ งศ์ เนื้อหา/ข้อความในวารสารน้ีเปน็ ความคิดเห็น สริ ิลกั ษณา คอมนั ตร์ ของผเู้ ขียนมิใชข่ องสำนกั งานคณะกรรมการ ปอ้ งกันและปราบปรามการทจุ ริตแหง่ ชาติ ผู้ตรวจขัดเกลาภาษาอังกฤษ เลสล่ี จลุ กลั ป์ กองการจัดการ ผู้จดั การ ศริ ริ ตั น์ วสุวัต ผ้ชู ่วยผ้จู ัดการ จนิ ตนา พลอยภทั รภิญโญ ชยั ฉนิ นะโสต พชั รี มนี สขุ เบญจวรรณ ยูประพัฒน์ สุนยี ์ ธนสู ทิ ธ์ิ กันตก์ มล บ่อทอง พิชติ คำมา สธุ ิดา รกั ษแ์ กว้ กนกวรรณ ธาระปราบ

NACC Journal ISSN 1906-2087 Vol 3 No. 1 (January, 2010) Publisher Objectives Research Center l To serve as the center for compiling and Office of the National Anti-Corruption disseminating research findings and other Commission academic works on corruption prevention 165/1 Pitsanuloke Road, Dusit, and suppression. Bangkok 10300 Telephone: 66-2281-8421 l To encourage the use of the research Fax. 66-2281-7126 findingsandacademicworksandtoenhance E-mail: [email protected] public awareness to collectively counter the corruption Advisory Board Medhi Krongkaew l To promote collaboration and coordination Pakdee Pothisiri in managing research information on countering corruption among the agencies Chief Editor and research-based institutions. Jaturon Thirawat l To promote the exchange of information and documents among the concerned Editorial Board agencies and networks. Vanpen Surarerks Kowit Kangsanan Publication Period Dararatt Anantanasuwong Annual Sirilaksana Khoman Views expressed in the published English Language Editor articles in this Journal exclusively Lesley D. Junlakan belong to the authors and do not necessarily reflect the official position Managerial Board Manager Sirirat Vasuvat Asst. Manager of the NACC Chintana Ploypatarapinyo Chai Chinnasod Patcharee Meensuk Benjavan Yuprapat Sunee Tanusit Kangamol Bothong Pichit Khamma Suthida Rakkaew Kanokwan Taraprab

ส ารบญั บทบรรณาธกิ าร 1 ตอนที่ 1 บทความพิเศษ 2 จริยธรรมสำหรบั คนรุ่นใหม่ 29 พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ. ปยุตโฺ ต) 33 การเสริมสรา้ งธรรมาภิบาลเพ่อื ป้องกนั และปราบปรามการทจุ รติ 34 พล.อ.อ.วรี วทิ คงศักด์ ิ 47 ตอนท่ี 2 บทความวิชาการ : เกีย่ วกบั การทุจรติ และการต่อต้านการทจุ รติ นกั เศรษฐศาสตร์มองความรับผดิ ชอบของภาคธรุ กจิ เอกชนต่อสงั คมอย่างไร? 62 เมธี ครองแก้ว 86 การประยุกต์ใช้แนวคิดการอภบิ าลผ่านความรว่ มมือในการป้องกนั 117 และปราบปรามการคอรร์ ัปชัน ศกึ ษากรณ:ี แนวทางการปฏบิ ตั ิงาน ทดี่ ีเลิศของตา่ งประเทศ 135 อภิชยั พันธเสน และคณะ สถานการณ์ดา้ นการทุจรติ ในประเทศไทยในมมุ มองของนักธุรกจิ 158 เสาวนยี ์ ไทยร่งุ โรจน์ และคณะ ทุจริตระดบั รากหญา้ กับความล้มเหลวในการพฒั นาชนบทไทย วันเพญ็ สุรฤกษ ์ การตดิ ตามสินทรพั ย์คืนมาตรการสำคญั ในการแกป้ ญั หาการทจุ ริต ตามพันธกรณใี นอนสุ ญั ญาสหประชาชาตวิ า่ ดว้ ยการตอ่ ต้านการทุจรติ ค.ศ. 2003 อำนาจ บบุ ผามาศ เศรษฐศาสตรว์ า่ ดว้ ยการฉ้อราษฎร์บังหลวง: แนวคิดและการศกึ ษา เชงิ ประจกั ษ์ จริ ะเดช ทัศยาพันธ์ุ Anti-Corruption and Governance: The Philippine Experience Jenny Balboa and Erlinda M. Medalla

ตอนที่ 3 บทความจากกองจดั การ 177 การตอ่ ต้านการทุจรติ ของประเทศสิงคโปร์ 178 กองการจัดการ 189 ตอนท่ี 4 ป.ป.ช. ปกิณกะ 190 - การสนบั สนนุ ทนุ วิจยั ของสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำปี 2551-2553 194 - สรุปผลงานของคณะอนุกรรมการฝา่ ยวิจัยประจำปี 2552 196 - บทคัดยอ่ ของรายงานการวจิ ัยท่ไี ดร้ ับทนุ สนับสนุน 200 การวิจัยประเภทกำหนดเรอ่ื ง ประจำปี 2550 202 - การประกวดพดู ชนะเลศิ รางวลั ท่ี 1 เรื่องขอเปน็ หนึง่ ในชอ่ สะอาด 206 - หลกั เกณฑ์การรบั บทความลงพมิ พ์ในวารสารวชิ าการ ป.ป.ช. ไทย-องั กฤษ - แบบบอกรับเปน็ สมาชิก “วารสารวชิ าการ ป.ป.ช.” ไทย-อังกฤษ

T able of Contents Part I : Special Articles 1 Ethics for the New Generation 2 Phra Brahmagunabhorn (P. A. Payutto) Cultivating Good Governance to Prevent and 29 Eliminate Corruptions Air Chief Marshal Veeravit Gongsakdi Part II : Anti-Corruption Articles 33 How Do Economists Look at Corporate Social Responsibility? 34 Medhi Krongkaew The Application of Collaborative Governance for Prevention 47 and Suppression of Corruption: Case Studies of International Best Practices Apichai Puntasen and Team Corruption Situation in Thailand: A Perspective from 62 the Business Sector Sauwanee Thairungroj and Team Corruption at the Grassroots Level and the Failure 86 of Thai Rural Development Vanpen Surarerks Asset Recovery, an Essential Measure to Tackle the Corruption: 117 A Study of the Obligations under the United Nations Convention against Corruption 2003 Amnart Bubparmard 135 Economics of Corruption: Concepts and Surveys of Empirical Studies Jiradate Thasayaphan Anti-Corruption and Governance: The Philippine Experience 158 Jenny Balboa and Erlinda M. Medalla

Part III : Staff Article 177 Anti-Corruption in Singapore 178 Editorial Board 189 Part IV : NACC Miscellaneous 190 194 - NACC’s research funded in budgetary years 2008-2010 196 200 - Annual summary of NACC subcommittee work, year 2009 202 206 - Abstract of research funded in budgetary year 2007 - The integrity bouquet - Call for papers to be published in the NACC journal - NACC journal subscription form

บ ทบรรณาธิการ การทุจริตประพฤติมิชอบหรือการคอร์รัปชันเป็นปัญหาร้ายแรงประการหน่ึงท่ีสร้างความ เดือดร้อนเสียหายอย่างย่ิงทั้งต่อสังคมและประเทศชาติ ความพยายามในการป้องกันและแก้ไขเรื่อง การทุจริตได้มีการดำเนินการในหลายทิศทางซึ่งหน่ึงในมาตรการท่ีใช้คือ การสร้างความเข้าใจและให้ ความรู้ต่อสังคมเพื่อแสวงหาความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนรวมท้ัง ประชาชนทั้งปวง โดยอาศัยสื่อต่างๆ โดยเฉพาะอย่างย่ิงสื่อท่ีนำเสนอผลงานวิชาการเพ่ือการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบในลักษณะต่างๆ ดังเช่นวารสารวิชาการ ป.ป.ช. ซึ่งฉบับ ปัจจุบันเป็นวารสารท่ีเผยแพร่อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่สามแล้ว วารสารฉบับนี้ประกอบด้วยบทความที่ อาจแบ่งออกได้เป็น 4 ส่วนดังปรากฏในสารบัญกล่าวคือ บทความพิเศษ บทความวิชาการ บทความ จากกองจัดการ และข้อมูลต่างๆ ของการดำเนินการของ สำนักงาน ป.ป.ช. ในหัวข้อ ป.ป.ช. ปกิณกะ โดยในบทความพิเศษน้ันวารสารฯ ได้รับความกรุณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 2 ท่าน กล่าวคือ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตโต) ซึ่งได้อนุญาตให้นำบทความเรื่อง “จริยธรรมสำหรับคนรุ่นใหม่” ท่ีแม้จะตีพิมพ์มาแล้วเมื่อ 25 ปีก่อน แต่ยังมีเนื้อหาท่ีทันสมัยและสะท้อนภาพของปัญหาท่ีกระทบ ต่อเยาวชนในสังคมได้อย่างชัดเจนซ่ึงแสดงให้เห็นวิสัยทัศน์อันก้าวไกลของท่านผู้เขียน พร้อมข้อแนะนำ ที่ทรงคุณค่าในการแก้ไขปัญหาที่มิใช่เน้นแต่ตัวเยาวชนเอง แต่ให้แยกแยะเฉพาะส่ิงที่เป็นประโยชน์ มาใช้ในประเทศไทยจากสิ่งต่างๆ ท่ีรับมาจากวัฒนธรรมตะวันตก และเร่ืองที่แนะนำให้ผู้ใหญ่ต้องเป็น ตัวอย่างที่ดีต่อเยาวชนด้วยจึงจะประสบความสำเร็จ ส่วนอีกบทความหน่ึงเป็นเร่ือง “การเสริมสร้าง ธรรมาภิบาลเพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริต” โดย พล.อ.อ. วีรวิท คงศักดิ์ ซึ่งอธิบายภูมิหลัง ของคำว่า “ธรรมาภิบาล” อันเป็นแนวคิดท่ีถูกนำมาใช้ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตใน ประเทศไทย ในส่วนที่เก่ยี วกับบทความวิชาการน้นั วารสารฉบบั น้รี วบรวมบทความวชิ าการทส่ี ่วนหนึ่งพัฒนา มาจากบทความทไ่ี ดน้ ำเสนอในงานสมั มนาทางวชิ าการดา้ นการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ ระหวา่ ง ประเทศเพื่อเสนอผลงานทางวิชาการที่จัดข้ึนโดยสำนักงาน ป.ป.ช. ณ กรุงเทพฯ เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2552 และบทความอีกส่วนหนึ่งพัฒนามาจากงานวิจัยท่ีได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงาน ป.ป.ช. โดยในดา้ นเน้ือหานั้นอาจแบ่งออกได้ 4 กลมุ่ กล่าวคอื กลุ่มแรกเป็นบทความวิเคราะห์ในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ซ่ึงปรากฏในบทความของ ศาสตราจารย์ ดร.เมธี ครองแก้ว เรื่อง “นักเศรษฐศาสตร์มองความรับผิดชอบของภาคธุรกิจเอกชน ต่อสังคมอย่างไร” และ อีกบทความเร่ือง “เศรษฐศาสตร์ว่าด้วยการฉ้อราษฎร์บังหลวง: แนวคิดและ การศกึ ษาเชิงประจักษ์” โดย คุณจิระเดช ทัศยาพันธุ์

กลุ่มท่ีสองเป็นบทความวิชาการท่ีนำเสนอสภาพปัญหาของการทุจริตประพฤติมิชอบในปัจจุบัน โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เสาวนีย์ ไทยรุ่งโรจน์ เรื่อง “สถานการณ์ด้านการทุจริตในประเทศไทยใน มุมมองของนักธุรกิจ” และบทความของศาสตราจารย์ ดร.วันเพ็ญ สุรฤกษ์ เร่ือง “ทุจริตระดับรากหญ้า กบั ความลม้ เหลวในการพัฒนาชนบทไทย” กลมุ่ ทส่ี ามเปน็ บทความวเิ คราะหป์ ญั หาและแนวทางการแกไ้ ขปญั หาการทจุ รติ เรอื่ ง “การประยกุ ต์ ใชแ้ นวคดิ การอภิบาลผา่ นความร่วมมือในการป้องกนั และปราบปรามการคอร์รปั ชนั ศกึ ษากรณ:ี แนวทาง การปฏบิ ัติงานท่ีดีเลิศของตา่ งประเทศ” โดย ศาสตราจารย์ ดร.อภชิ ัย พันธเสน และ ดร.สถาพร เรงิ ธรรม และบทความเรื่อง “การติดตามสินทรัพย์คืนมาตรการสำคัญในการแก้ปัญหาการทุจริตตามพันธกรณี ในอนุสญั ญาสหประชาชาตวิ า่ ดว้ ยการต่อต้านการทจุ รติ ค.ศ. 2003” โดย คณุ อำนาจ บบุ ผามาศ บทความกลุ่มสุดท้ายเน้นการศึกษาเปรียบเทียบประสบการณ์ของประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค ในการตอ่ ตา้ นการทจุ รติ กลา่ วคอื บทความเรอ่ื ง “Anti-Corruption and Governance: The Philippines Experience” โดย Jenny Balboa และ Erlinda M. Medalla และบทความเร่ือง “การต่อต้านการ ทุจริตของประเทศสิงคโปร”์ โดย กองการจดั การ กองบรรณาธิการวารสารวิชาการ ป.ป.ช. ขอถือโอกาสน้ีขอบคุณทุกท่านท่ีสนใจติดตามผลงาน มาโดยตลอด และผทู้ ใี่ หก้ ารสนบั สนนุ โดยเฉพาะนกั วชิ าการทสี่ ง่ บทความใหพ้ จิ ารณาทง้ั ทไ่ี ดร้ บั การยอมรบั ให้ตีพิมพ์และยังไม่ได้รับการยอมรับก็ตาม กองบรรณาธิการฯ มีนโยบายท่ีเปิดกว้างในการรับพิจารณา บทความวิชาการท้ังหลายซึ่งมีคุณค่าในการสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาการทุจริตและ ความเร่งด่วนและความมุ่งมั่นในการต่อสู้เพ่ือแก้ไขปัญหานี้ กองบรรณาธิการฯ ขอน้อมรับผิดสำหรับ ข้อบกพร่องท้ังปวงในวารสารฯ และขอขอบคุณผู้ท่ีส่งข้อเสนอแนะหรือข้อสังเกตต่างๆ ท่ีได้รับมาเพื่อ นำไปพัฒนาปรับปรงุ คณุ ภาพของวารสารฯ ในโอกาสต่อไป จตุรนต์ ถิระวัฒน์ บรรณาธิการ

วารสารวิชาการ ป.ป.ช. ปที ่ี 3 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม 2553 ตอนที่ 11 บทความพิเศษ Special Articles

จริยธรรมสำหรบั คนร่นุ ใหม่ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต)* บทคดั ย่อ หรือรักษาความจริง โดยหลักคุณธรรม ๓ ข้อนี้ ในยุคโลกาภิวัฒน์น้ี ระบบการแข่งขันทาง นอกจากจะช่วยพัฒนาคนรุ่นใหม่ให้เป็นคนที่มี เทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่ทำให้เกิดการ ความกระตือรือร้นในการคิดดีทำดีแล้วยังช่วยให้ เปล่ียนแปลงที่สำคัญกับสังคมของเรา คนรุ่นใหม่ รู้จักความหมายของความสุขท่ีแท้จริงอีกด้วย จึงไมส่ ามารถปรับตัวใหเ้ ผชิญหน้ากบั ความตอ้ งการ ดังน้ัน ความพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่และการประหยัด ทอี่ ยภู่ ายใตส้ งิ่ แวดลอ้ มอนั หลากหลายได้ และทำให้ อดออมจึงเป็นปัจจัยสำคัญท่ีทำให้คนรุ่นใหม่ พวกเขาถูกครอบงำจนมองข้าม “จริยธรรมหรือ สามารถเรียนรู้ที่จะอดทนต่อสัญชาตญาณความ ศีลธรรม” ไป คนส่วนใหญ่นั้นมักลุ่มหลงในลัทธิ ต้องการของมนุษย์ได้อย่างเหมาะสม ท้ังหมดน้ี 2 วัตถุนิยมมากเกินไปจนคิดว่านี่คือกุญแจแห่งความ หากเยาวชนปฏิบัติตามหลักศีลธรรมดังกล่าวได้ สำเร็จท่ีจะนำไปสู่เป้าหมายในอนาคต ถึงแม้ว่า พวกเขาจะเติบโตขึ้นเป็นพลเมืองที่ดีมีศีลธรรม วารสาร ิวชาการ ป.ป.ช. ในความเป็นจริงแล้วความฟุ้งเฟ้อและการแข่งขัน ในสงั คมน่ันเอง น้ันสามารถล่อลวงเยาวชนให้เพลิดเพลินไปกับ Globalization, innovative com- ีป ่ีท 3 ฉ ับบ ่ีท 1 มกราคม 2553 ความสุขที่ไม่เที่ยงแท้ได้ ในทางพระพุทธศาสนา munication, information technology and เรียกกิเลสนี้ว่า ตัณหา คือ ความอยากได้ มานะ competitive systems all play an important คือ ความสำคัญตัวว่าสูงกว่าคนอื่น และ ทิฐิ คือ role in our modern society. Given this ความยึดติดในความคิดเห็นจนถือเป็นความจริง contextual complexity, the new generation จากตัวกิเลสที่ก่อให้เกิดปัญหาทางจริยธรรมกับ is unable to adapt itself appropriately in the คนรนุ่ ใหมเ่ หลา่ นน้ั เราสามารถนำหลกั ธรรมมาชว่ ย face of the demand for new experiences ลดกิเลสลงได้ หลกั ธรรมนเ้ี รยี กว่า ฉนั ทะ คือ ความ and thirst for information but has, instead, พึงพอใจในส่ิงท่ีเป็น ที่มีอยู่ ทมะ คือ การฝึกฝน become obsessed with superficiality with the ปรับปรุงตน และ สัจจานุรักษ์ คือ การคุ้มครอง resultant disregard for ethics and morality. * เจ้าอาวาสวัดญาณเวศกวัน (สมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรอง ช้ันหิรัณยบัฏ) แสดงปาฐกถาประจำปีของ ศาสตราจารย์ท่านผู้หญิงพูนทรัพย์ นพวงศ์ ณ อยุธยา คร้ังที่ ๑ ณ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เม่ือวันที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๘ (พิมพ์คร้ังแรกโดยคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในช่ือว่า “คุณธรรมและ จรยิ ธรรมสำหรับเด็กและเยาวชนรุ่นใหม่” พ.ศ. ๒๕๒๘)

Most members of the new generation have การพูดถึงเรื่อง “คุณธรรมและจริยธรรม become infatuated by materialism, which สำหรับเด็กและเยาวชนรุ่นใหม่” ท่ีคนทั่วไป they perceive as the key to achieving their ให้ความสนใจหัวข้อนี้เหมือนกับบอกว่า คุณธรรม future objectives. However, in reality this หรือจริยธรรมท่ีมีอยู่แล้ว ไม่ดีหรือไม่เหมาะสม is unjustified, extravagance and competi- ก็เลยจะต้องหาหลักธรรมน้ีมาใหม่ คล้ายๆ ว่า tiveness being mere illusions which have จะบอกอย่างนี้ หรือถ้าเพลาลงมาหน่อยอาจจะ beguiled the young generation to follow the บอกว่า จริยธรรมส่วนที่ใช้อยู่ไม่ใช่จริยธรรม path of unsustainable development and อย่างกว้างๆ ท้ังหมด แต่จริยธรรมส่วนท่ีเราเลือก artificial happiness, or to use Buddhist termi- เอามาใช้ นำมาปฏิบัติกันอยู่ อาจจะมีข้อบกพร่อง nology, lust (tan-ha), haughtiness (ma-nah) ไมเ่ หมาะสม ควรจะมาเลือกกนั ใหม่ หรืออย่างน้อย and pride (thi-ti). Consequently, the best way ก็เป็นการเชิญชวนให้มาพิจารณาทบทวนกันว่า to reduce these youthful passions is through จริยธรรมที่ใช้ที่สอนกันอยู่เป็นอย่างไร ดีหรือไม่ดี วารสารวิชาการ ป.ป.ช. the inculcation of effective ethics, namely เหมาะหรอื ไม่เหมาะ จะเอาอยา่ งไรกันต่อไป satisfaction (chan-tah), self-development การพิจารณาเกี่ยวกับส่ิงท่ีผ่านมานั้นเป็น ปที ่ี 3 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม 2553 (tha-mah) and truth-preservation (sat-ja). เร่ืองมองอดีต ในการมองอดีตน้ี เราอาจจะเห็นว่า These three moral principles will cultivate มีอะไรที่ไม่เหมาะสม มีข้อบกพร่องเป็นต้น ซึ่งจะ thoughtfulness in members of the new ทำใหเ้ ราตอ้ งมที า่ ทตี อ่ อดตี อยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ ในทน่ี ี้ generation, making them not only eager จงึ ควรจะกล่าวถึงท่าทขี องจติ ใจตอ่ เรอ่ื งอดตี ไว้ 3 for self-development but also constantly การท่ีเราพบเห็นข้อบกพร่องของอดีตน้ี aware of the meaning of truth. In addition, มิใช่หมายความว่าเรามองหาข้อบกพร่องของอดีต contentment with the things one has and เพ่ือเอามาด่าว่าคนรุ่นก่อน แต่การที่เราทำอย่างนี้ frugality are important factors, through ก็เพราะเป็นวิสัยของคนทไ่ี ม่ประมาท คอื ตามปกติ which the new generation will learn คนท่ีไม่ประมาทนั้น ย่อมคอยสำรวจตรวจตรา how to endure and cope with instinctive ตัวเองว่าตนมีอะไรบกพร่อง มีจุดอ่อนอะไรบ้าง human desires in an appropriate way. แล้วก็พยายามแก้ไขปรับปรุงทำให้เกิดความดีงาม In conclusion, if young people follow the เตม็ เปย่ี ม สมบรู ณ์ ถา้ ทำดว้ ยความรสู้ กึ อยา่ งนี้ แมเ้ รา above-mentioned moral path, they will grow จะติว่าอดีตมีความบกพร่องอะไรบ้าง ก็ไม่มีปัญหา to be good citizens possessing both worldly ไม่มคี วามเสียหาย และท่าทอี กี อย่างหน่ึงก็คือ การมองอดีตที่บกพร่องน้ัน โดยถือว่าเป็น and moral competence. เร่ืองของเราเอง วัฒนธรรมที่เคยมีความผิดพลาด คำสำคัญ จริยธรรม, คุณธรรม, เยาวชน บกพร่องเกิดข้ึนบ้าง มีคนเก่าบางคนบางสมัยทำ คนรุ่นใหม ่ เสียหายไว้บ้างน้ัน เป็นเนื้อเป็นหนังอยู่ในตัวของ เราเอง ไม่ใช่คนอ่ืนพวกอื่น การมองอดีตไม่ใช่เรื่อง

ของการทจี่ ะไปดา่ วา่ ใครๆ ทไ่ี หน แตเ่ ปน็ การพจิ ารณา รบั ผดิ ชอบสงั คมตอ่ ไป พดู อยา่ งงา่ ยๆ กค็ อื จะพดู ถงึ ทบทวนเรื่องภายในของตัวเราเอง การพิจารณา จริยธรรมของคนยุคต่อไปท้ังหมดทีเดียว ซ่ึงเด็ก สำรวจตนเองนั้นเป็นส่ิงท่ีดี มีแต่จะทำให้เกิดความ ท่ีจะเจริญเติบโตต่อไปน้ีจะเป็นผู้รับผิดชอบ และ เจริญก้าวหน้า ถ้าต้ังทัศนคติอย่างนี้ไว้แล้วก็ไม่น่า เอาเยาวชนรุ่นใหม่นี้มาเป็นจุดเริ่มต้นของจริยธรรม จะมปี ญั หา มีแตจ่ ะกอ่ ให้เกดิ ผลในทางทด่ี ี ท่เี ราพูดวา่ ของคนร่นุ ใหมน่ ้ัน นอกจากนั้น เรื่องเก่ียวกับอดีตนั้นก็เป็น เมื่อจะพูดกันถึงจริยธรรมใหม่ ไม่ว่าเราจะ ของเก่า ตามธรรมดาของเก่าก็เกิดจากการส่ังสม เลือกหรือจะกำหนดวางก็ตาม ถ้าจะทำให้ดี เรา คอื มปี ระสบการณ์ ความสามารถ ความรู้ สตปิ ญั ญา ก็ต้องรู้ว่าที่เป็นมาและที่เป็นอยู่นั้นเป็นอย่างไร ของคนเก่าๆ ถ่ายทอดสืบต่อกันมามากมาย เป็น เราควรก้าวไปสู่สภาพใดและมีทางเป็นไปได้หรือไม่ เหมือนคลังมรดก ซึ่งผู้ฉลาดจะสามารถสืบค้น ท่ีว่ามีทางเป็นไปได้หรือไม่นั้น ก็คือว่าเรามีพ้ืนฐาน เลือกสรรนำมาใช้ประโยชน์ได้ แต่ในเวลาเดียวกัน ทจ่ี ะก้าวไปสสู่ ภาพท่เี ราตอ้ งการหรือไม่ ในความเกา่ นนั้ เอง เมอ่ื ลว่ งกาลผา่ นเวลามานานๆ เขา้ จริยธรรมน้นั ถือว่า เป็นกระบวนการทาง กย็ ่อมจะมคี วามเลอะเลอื นเคล่ือนคลาดไปบา้ ง เหตุปัจจัยอย่างหนึ่ง ซ่ึงมีองค์ประกอบที่เข้ามา เพราะฉะน้ันอีกด้านหน่ึงก็คือ เราจะต้อง เกยี่ วขอ้ งหลายอยา่ ง คอื เขา้ มาพวั พนั เชน่ เดยี วกบั มีการตรวจตราชำระสะสางกันบ้างเป็นบางคราว ในเร่ืองวัฒนธรรม เป็นต้น ถ้าหากว่าเราจะใช้ ทั้งน้ีก็เพ่ือท่ีจะให้ได้ของเก่าท่ีบริสุทธ์ิบริบูรณ์ จริยธรรมแบบใหม่หรือจะสร้างคุณธรรมชุดใหม่ เมื่อมองในแง่น้ี การท่ีจะมาพูดถึงความบกพร่อง ขึ้น ก่อนจะทำอย่างน้ันได้ เราจะต้องเข้าใจ 4 อะไรต่ออะไรของอดีตนั้น ก็ไม่ใช่ว่าเราพูดถึงอดีต กระบวนการแห่งเหตุปัจจัยทางจริยธรรมด้วย ในทางท่ีไม่ดี แต่เราพูดเพ่ือเราจะได้ของเก่าท่ี ไม่ใช่นึกข้ึนมาว่าเราอยากจะให้คนของเรามี วารสาร ิวชาการ ป.ป.ช. เรียบร้อยสมบูรณ์ ถูกต้องบริสุทธิ์ นี้ก็เป็นแง่คิด จริยธรรมน้ันๆ แล้วเราก็จะเอามาสอนมาบอก ท่ีจะต้องนำมาใช้ในโอกาสน้ดี ว้ ย มามอบให้ อย่างนี้เป็นไปไม่ได้ มันจะกลายเป็น ีป ่ีท 3 ฉ ับบ ่ีท 1 มกราคม 2553 อนึง่ การที่มาพูดในวนั น้ีนนั้ กม็ ิใช่วา่ จะมา ของเล่ือนลอย อาจจะต่อไม่ติด เมื่อต่อไม่ติด มันก็ เสนอรูปสำเร็จของจริยธรรมและคุณธรรมสำหรับ ไมไ่ ดผ้ ล เพราะมนั เปน็ กระบวนการตอ่ เนอื่ ง เกดิ จาก คนรุ่นใหม่ แต่เป็นเพียงว่าจะมาเสนอความคิดเห็น การส่ังสมกันขึ้นมา เราจะแก้ไขหรือต่อเติม หรือ ในแนวทางท่ีเราจะได้ช่วยกันพิจารณาเพื่อหา จะเปล่ยี นแปลงอะไร ก็ต้องทำที่ในกระบวนการน้ัน จริยธรรมทีเ่ หมาะสมตอ่ ไป เสริมต่อออกไปจากกระบวนการน้ัน เช่น เราจะรับ คอื วา่ หน้าทใี่ นการทจี่ ะวางจริยธรรมนั้น จริยธรรมใหม่เข้ามา เราเห็นว่าจริยธรรมที่มีอยู่ เป็นของร่วมกัน ไม่ใช่เป็นเรื่องของบุคคลผู้หน่ึง ภายนอกหรือภายในสงั คมอนื่ ดี ก่อนจะรับเข้ามาได้ ผู้เดียว และท่ีจะพูดถึงจริยธรรมหรือคุณธรรม เราจะต้องศึกษาจริยธรรมของเราเอง คือพื้นฐาน สำหรับเด็กและเยาวชนรุ่นใหม่น้ี ก็ไม่ใช่เป็นการ ท่เี ปน็ มาวา่ เป็นอยา่ งไร แลว้ ปรับใหเ้ ข้ากนั เพื่อท่จี ะ พูดถึงคุณธรรมหรือจริยธรรมสำหรับผู้ท่ีจะเป็น รับได้ ถ้าหากว่าไม่ปรับให้เข้ากัน มันก็รับไม่ติด เด็กและเยาวชนรุ่นต่อๆ ไปเท่านั้น แต่เป็นการ และอาจจะเกดิ การบดิ เบอื น สงิ่ ทร่ี บั เขา้ มานน้ั อาจจะ พูดถึงเยาวชนรุ่นใหม่น้ันในฐานะเป็นคนที่จะ แปรรูปกลายเป็นอย่างอ่ืนไป และมีความหมาย

อย่างใหม่เกิดขึ้น ซ่ึงแทนท่ีจะเป็นคุณมันก็อาจจะ ประการทหี่ นง่ึ คอื การเนน้ แงห่ นงึ่ แงเ่ ดยี ว กลายเป็นโทษได้ เช่น คุณธรรมบางอย่างมีความหมายกว้างขวาง ยกตวั อย่างเช่น การรบั ระบบแขง่ ขันเขา้ มา ลึกซึ้ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป สังคมอาจจะเน้นหนัก ทีนี้พื้นฐานของเราเป็นอย่างไร พร้อมจะรับระบบ ไปดา้ นใดดา้ นหนง่ึ เฉพาะแง่ของคุณธรรมนน้ั และ แข่งขันหรือไม่ ระบบแข่งขันนั้นมีจุดมุ่งหมาย ความหมายของคุณธรรมน้ันก็จะแคบลงไป เม่ือ ในทางท่ีดีอยู่บ้างเหมือนกันว่า ต้องการให้คนได้ แคบลงก็คือไมถ่ ูกต้อง ไมส่ มบรู ณ์ นเี้ ป็นเหตหุ นึ่ง ฝึกฝนปรับปรุงตน เร่งรัดทำงานทำการเพ่ือสร้าง ประการทสี่ อง นอกจากแคบลงแลว้ บางที ความเจริญก้าวหน้า แต่พ้ืนฐานอะไรท่ีจะต้องมีอยู่ ก็คลาดเคลื่อนด้วย เพราะการถ่ายทอดผิดพลาด ซึ่งสอดคล้องกัน เพ่ือจะให้ระบบแข่งขันเกิดผล ก็ดี การพบปะการเผชิญสถานการณ์ใหม่ๆ และ เช่นน้ันได้ เรามีอยู่หรือไม่ ข้อน้ีเราจะต้องพิจารณา การปฏิบัติต่อสถานการณ์นั้นๆ ก็ดี การมีผู้นำท่ี เช่นว่านิสัยในการทำงานมีอยู่หรือไม่ ถ้าหากนิสัย ตีความผิดพลาดหรือบิดเบือนเพื่อผลประโยชน์ พ้ืนฐานนัน้ ไมม่ ี เรารับระบบนนั้ เข้ามาแล้ว แต่เรามี ส่วนตัว ทำให้เกิดความเข้าใจเขวไปก็ดี อะไร วารสารวิชาการ ป.ป.ช. ตัวปัจจัยอื่นเป็นพื้นฐานอยู่ เช่น มีนิสัยชอบความ ทำนองนี้ กท็ ำใหเ้ กิดความคลาดเคล่อื นไปได้ โก้เก๋ ชอบความฟงุ้ เฟอ้ ระบบแข่งขันทร่ี บั เขา้ มานนั้ ขอยกตัวอย่างคำศัพท์ที่เราใช้กันอยู่มาให้ ปที ่ี 3 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม 2553 มนั อาจจะมาสนองความตอ้ งการดา้ นความโกห้ รหู รา พิจารณาความหมายที่เราเข้าใจกันในปัจจุบันเป็น ฟ้งุ เฟ้อ กเ็ ลยออกผลไปอีกอย่างหนง่ึ เครื่องยืนยันหรือเป็นหลักฐาน ที่แสดงถึงการที่ ระบบแข่งขันที่เข้ามาในเมืองไทย ก็จึง คำศัพท์เหล่าน้ันได้มีความหมายคับแคบลงไป อาจจะมีผลในทางสังคม ในทางจริยธรรม ในทาง หรือว่าได้เกิดความคลาดเคลื่อนเหล่านั้นขึ้น เช่น 5 วัฒนธรรม ไม่เหมือนกับในประเทศเดิมที่เป็น อย่างคำว่า วาสนา บารมี สังเวช ภาวนา อารมณ์ ท่ีมาของระบบ เพราะพ้ืนฐานที่เป็นปัจจัยหนุน บริกรรม ทรมาน เป็นต้น คำเหล่าน้ีในภาษาไทย ไม่เหมอื นกนั เราได้เข้าใจความหมายคลาดเคลื่อนไปจากเดิม ฉะน้นั เราจงึ ต้องดูตวั ปัจจัยภายในของเรา หรอื อยา่ งน้อยกแ็ คบลงไปหมดแลว้ ด้วยว่า มีอะไรท่ีเป็นพ้ืนฐานรับเอาส่ิงนั้น หรือ วาสนา เราเข้าใจว่าอะไร เราพูดว่าคนน้ัน จริยธรรมแบบนั้นเข้ามาเป็นต้น อันน้ีก็เป็นเพียง คนน้ีมีวาสนาดี เจริญก้าวหน้า ในพจนานุกรม ตัวอยา่ ง ซ่งึ ถา้ มโี อกาสก็จะได้คยุ กันตอ่ ไป ฉบับราชบัณฑิตยสถานก็บอกไปตามความเข้าใจ ขอย้อนกลับมาสู่เรื่องที่จะพูดเก่ียวกับ ของคนไทย หรือตามความหมายที่เราใช้กันอยู่ จริยธรรมเก่าของเรา ก่อนท่ีจะพูดถึงจริยธรรมใหม่ ในภาษาไทยว่า เป็นกุศลท่ีทำให้ได้ประสบลาภยศ ทต่ี อ้ งการ เราจะตอ้ งเขา้ ใจกระบวนการทางจรยิ ธรรม แต่ความหมายเดิมคอื อะไร ของเรา ตามสภาพทมี่ อี ยกู่ อ่ นทงั้ สภาพทเี่ ปน็ มาแลว้ วาสนา ตามความหมายเดิมในภาษาบาลี และสภาพที่กำลังเป็นอยู่ จริยธรรมของไทยท่ี หรือในทางธรรม หมายถึงลักษณะนิสัยหรือ เปน็ มานนั้ เราตอ้ งยอมรบั เหมอื นกนั วา่ ยงั มบี างแงม่ มุ พฤติกรรมท่ีได้สะสมมาตลอดเวลายาวนาน จะดี ที่บกพร่องย่อหย่อนอยู่ ซ่ึงอาจเกิดจากเหตุปัจจัย ก็ตาม ช่ัวก็ตาม อย่างพระอรหันต์ก็มีการต้องละ หลายประการ วาสนาด้วย แต่ความหมายปจั จบุ นั นห้ี ่างไปกันไกล

บารมี ในภาษาไทยเข้าใจอย่างไร เรา ตัวอย่างคำศัพท์ต่างๆ เหล่านี้ยืนยันได้ว่า อาจจะมองในแง่อิทธิพล หรือผลที่เกิดจากความดี ไดม้ คี วามเลอื นลาง คบั แคบ ไขวเ้ ขว และคลาดเคลอ่ื น ที่ได้ทำไว้ เป็นทำนองอิทธิพลที่จะช่วยให้เกิด เกิดขึ้นแล้ว แม้แต่คำว่า ความประพฤติ และคำว่า ผลสำเร็จตามปรารถนา แต่ในภาษาของพระนั้น จริยธรรม เราก็เข้าใจและใช้กันในความหมายที่ ท่านหมายถึงคุณธรรมท่ีบำเพ็ญอย่างยิ่งยวด เพื่อ แคบลงกว่าความหมายท่แี ท้จรงิ บรรลุจุดหมายอันสูงส่ง และเป็นตัวเหตุ คือ ทาง “ความประพฤติ” มาจากคำสันสกฤต ซึ่ง ธรรมะเน้นท่ตี ัวเหตุ แต่ในภาษาไทยน้นั เรามองเน้น ตรงกับบาลีว่า ปวุตฺติ หรือ วุตฺติ หมายถึง ที่ตวั ผล ความเป็นไปของชีวิต การดำเนินชีวิต การดำรงตน ตอ่ ไปคำวา่ สงั เวช คำวา่ สงั เวชในภาษาไทย ตลอดจนการหาเลี้ยงชีพ แต่ในภาษาไทยปัจจุบัน เข้าใจอย่างไร โดยมากมองเป็นว่าความสลด เราใช้กันในความหมายว่าการแสดงออกหรือ หดหู่ใจ เม่ือประสบอารมณ์ท่ีควรแก่การหดหู่ การกระทำของบุคคล ในระดับท่ีมองเห็นกันท่ี แต่ในภาษาพระตามความหมายเดิม สังเวช ปรากฏแก่ผู้อนื่ ในลักษณะทเี่ กย่ี วกบั ศีลธรรม หรอื หมายถึงการเกิดจิตสำนึกเร้าเตือนใจ ให้หยุดเลิก มีผลกระทบต่อสังคม ซ่ึงก็นับว่ายังเฉียดๆ เวียนๆ จากความหลงระเริง ประมาทมัวเมา คิดหันมา อยู่ใกลๆ้ กบั ความหมายเดิม กระทำความดงี าม อันนคี้ วามหมายกห็ า่ งไปไกล ความสับสนได้เพ่ิมมากขึ้น เมื่อเราเอา ภาวนา ท่ีใช้กันมีความหมายคลาดเคลื่อน คำว่า ประพฤติ ในความหมายอย่างที่เราใช้กัน เป็นการบ่น เป็นการท่องพึมพำคำสวดอะไร ในภาษาไทยน้ัน ไปเป็นคำแปลของคำว่า “จริยะ” 6 ทำนองนั้น แต่ในภาษาทางธรรมของเดิมหมายถึง “จริยา” “จรรยา” และ “จรยิ ธรรม” และเอาคำว่า การฝึกอบรม เช่น ฝึกอบรมกาย ฝึกอบรมวาจา จริยธรรมมาเป็นศัพท์บัญญัติสำหรับแปลคำว่า วารสาร ิวชาการ ป.ป.ช. ฝกึ อบรมจติ ฝกึ อบรมปญั ญา “ethics” ของฝร่ัง จริยะ จริยาและจริยธรรม คำว่า บริกรรม ก็กลายมาเป็นการท่องบ่น ก็เลยมีความหมายแคบลง เท่าๆ กับคำว่าศีลธรรม ีป ่ีท 3 ฉ ับบ ่ีท 1 มกราคม 2553 แต่ในภาษาพระเดิม มีความหมายเป็นเรื่องของ หรือบางทีกใ็ ช้แทนคำวา่ ศลี ธรรมไปเสียเลย การตระเตรียมหรอื การกระทำเบือ้ งตน้ เชน่ ในการ คำวา่ ethics กด็ ี ความประพฤติอยา่ งท่ใี ช้ ก่อสร้าง การปราบพื้นให้เรียบ ท่านเรียกว่าเป็น ในภาษาไทยก็ดี นับเป็นเรื่องในระดับท่ีทางพระ บรกิ รรม ในการเจรญิ กรรมฐาน การกระทำเบอื้ งตน้ เรยี กวา่ “ศลี ” ทงั้ สนิ้ แตค่ ำวา่ จรยิ ะ จรยิ า ตลอดจน การกำหนดใจนึกถึงส่ิงที่ใช้เป็นอารมณ์สำหรับ จริยธรรม มีความหมายกว้างขวางกว่านั้น คือ ผกู จิต ทา่ นเรียกวา่ เป็นบรกิ รรม หมายถงึ การดำเนนิ ชวี ติ ความเปน็ อยู่ การยงั ชวี ติ ทรมาน ในความหมายปัจจุบันเรารู้สึกว่า ใหเ้ ปน็ ไป การครองชพี การใชช้ วี ติ การเคลอื่ นไหว หมายถึงทำให้ลำบากหรือได้รับทุกข์ที่ทนได้ยาก ของชีวิตทุกแง่ทุกด้านทุกระดับ ท้ังทางกาย ทาง ประสบส่ิงท่ีบีบคั้นมาก แต่ในภาษาพระ ทรมาน วาจา ทางใจ ทง้ั ดา้ นสว่ นตวั ดา้ นสงั คม ดา้ นอารมณ์ หมายถึงการฝึกหรือกลับใจคน ให้เข้ามาสู่ทางที่ ดา้ นจติ ด้านปัญญา ถูกต้อง

“จริย” มาจาก จร ซ่ึงในพระไตรปิฎก เป็นผู้รับผิดชอบสังคมอย่างได้ผลดี ขอยกตัวอย่าง ท่านแสดงความหมายไว้ด้วยการบอกไวพจน์ คือ คำพูดประโยคหนึ่งว่า “เออ อตุ ส่าหม์ านะเล่าเรียน คำทร่ี ูปรา่ งตา่ งกัน แตค่ วามหมายเหมอื นกัน ไดแ้ ก่ เข้าเถิดนะ ต่อไปจะได้เป็นเจ้าคนนายคน” คำนี้ วิหร (อยู่ เป็นอยู่ เช่นในคำว่า วิหาร พรหมวิหาร) มีความหมายท่ีแสดงอะไรบ้างในทางจริยธรรม อริย (เป็นไป ดำเนินไป เช่น ในคำว่า อิริยาบถ) ท่ีผา่ นมาในสงั คมไทย วตฺต (เป็นไป หมุนไป หมุนเวียน ประพฤติ เช่น คำที่ต้องการให้สังเกตในท่ีนี้ก็คือคำว่า ในคำว่า ปวัตตนะ ปวัติ) บาล (หล่อเลี้ยง รักษา “มานะ” คำว่ามานะน้ีเป็นภาษาไทยปัจจุบัน ดูแล คุ้มครอง เช่นในคำว่า ธรรมบาล รัฐบาล) เข้าใจว่าอย่างไร บางทีเราใช้พูดควบคู่กับคำว่า ยป และยาป (ให้เป็นไปหล่อเล้ียง เช่น ในคำว่า พยายาม เป็น “มานะพยายาม” คือคนท่ัวไป ยาปนมตั ต)์ (ดู ขทุ ทกนกิ าย มหานทิ เทส ๒๙/๕๘/๕๙ เข้าใจคำว่ามานะ ในความหมายท่ีเป็นไวพจน์ คือ เป็นต้น) เป็นคำที่มีความหมายอย่างเดียวกับคำว่าพยายาม การดำเนินชีวิตหรือเป็นอยู่ ทั้งระดับศีล เพราะฉะนั้นในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน วารสารวิชาการ ป.ป.ช. ที่เราเรียกกันว่า ศีลธรรม ท้ังระดับจิตใจ คุณธรรม ปัจจุบันน้ี จึงให้ความหมายหน่ึงไว้ด้วยว่า มานะ ภายในหรือคุณภาพจิต สมรรถภาพจิต และ แปลว่าพยายาม แต่ถ้าเรามองในทางธรรมแล้ว ปที ่ี 3 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม 2553 สุขภาพจิตที่มีสมาธิเป็นแกนกลาง และทั้งระดับ มานะไมไ่ ดม้ คี วามหมายอยา่ งน้ีเลยเปน็ การแน่นอน ปัญญา ความคิดเหตุผล ความรู้เท่าทันความจริง มานะนั้น เป็นกิเลสสำคัญอย่างหนึ่ง เป็น ทา่ นเรยี กว่า จริยะ ทัง้ สิ้น กเิ ลสทพ่ี ระอรหนั ตจ์ งึ จะละไดห้ มด แตเ่ ปน็ กเิ ลสทมี่ ี กรณีเป็นการดำเนินชีวิตหรือครองชีวิต ความสำคัญมากในชีวิตของปุถุชน เป็นตัวครอบงำ 7 อย่างถูกต้อง ทำให้มนุษย์เป็นอิสระ มีจิตใจไร้ทุกข์ บงการการดำเนนิ ชวี ติ ของคนไมน่ อ้ ยทเี ดยี ว มานะนี้ อย่างแท้จริง ท่านเรียกว่าเป็นพรหมจริยะ แปลว่า แปลว่า “ความถือตัว ความสำคัญตนว่า สูง เด่น การครองชีวิตอย่างประเสริฐ หรือชีวิตประเสริฐ ตำ่ ตอ้ ย ดอ้ ย หรอื เทา่ เทยี มผอู้ นื่ ความรสู้ กึ เทยี บเขา คือจริยะอย่างประเสริฐ จริยธรรมที่จะพูดต่อไป เทียบเรา หรือความอยากเด่นอยากใหญ่โตเหนือ ขอทำความเข้าใจกันก่อนว่า จะใช้ในความหมาย ผู้อ่นื ” นค้ี ือมานะทแี่ ทจ้ รงิ ท่ีกว้างอย่างน้ี แม้แต่การปฏิบัติกรรมฐาน เจริญ ทนี ้ี ปัญหาเกดิ ขึ้นว่า คำว่ามานะน้ีได้กลาย สมาธิ บำเพ็ญสมถะ เจริญวิปัสสนา ก็รวมอยู่ใน ความหมายมาเป็นพยายามได้อย่างไร น้ีเป็นเร่ือง จริยธรรม ตามความหมายเดิมแท้ของหลักการ ที่น่าศึกษา ถ้าตอบคำถามนี้ได้ ก็อาจจะเข้าใจ ทว่ี ่ามาน้ี ความเปน็ มาของจรยิ ธรรมในสงั คมไทยดว้ ย เรานา่ จะ ต่อไปน้ี จะขอต้ังข้อสังเกตเก่ียวกับ หัวข้อ ลองใช้การสันนิษฐาน ซ่ึงจะได้เฉลยในตอนหลัง จริยธรรม สักสองเร่ืองที่ถือว่ามีความสำคัญมาก อกี เรอ่ื งหนงึ่ คอื คนทมี่ ศี ลี ธรรม โดยเฉพาะ และในปัจจุบันก็มีความคลาดเคลื่อน ซ่ึงมองเห็น คนท่ีได้ชื่อว่าเป็นนักปฏิบัติธรรม หรือบางทีก็ ว่าจำเป็นจะต้องทำให้ชัดเจนขึ้นมา ถ้าหากว่าเรา เรียกวา่ เป็นชาวพทุ ธทวั่ ๆ ไป มักจะกลัวหรอื เกลียด ต้องการจริยธรรมที่เหมาะสมสำหรับสังคม คำว่า “อยาก” รู้สึกไม่สบายใจท่ีจะมีความอยาก ปัจจุบัน หรือต้องการให้คนรุ่นใหม่น้ีเติบโตขึ้น หรือพูดว่าอยาก รังเกียจคำว่าอยาก อาจจะถึงกับ

ต้องแสดงตนว่าเป็นคนไม่อยากได้อยากดี ไม่อยาก ไปใช้ในความหมายอื่นเสียแล้ว มานะกลายเป็น ไม่เอาอะไรต่างๆ คือ พยายามแสดงตนว่าเป็น ความเพียรพยายามไปเสียแล้ว เราจะพูดอย่างไรดี คนไมม่ คี วามอยาก จะไดเ้ ปน็ ผทู้ ชี่ อ่ื วา่ เจรญิ กา้ วหนา้ กป็ รากฏวา่ เราไปเอาคำอกี คำหนง่ึ ในภาษาพระมาใช้ ในธรรม มีกิเลสน้อย เร่ืองน้ีเป็นปัญหาและมีความ คือคำว่า “อัตตา” คือไม่รู้จะพูดว่ายังไงจึงจะเป็น คลาดเคลื่อนมาก จะต้องนำมาทำความเข้าใจกัน การแสดงว่า มีการถือตัวตนมาก อยากเด่น อยาก ก่อนท่ีจะก้าวไปสู่จริยธรรมปลีกย่อยอ่ืนๆ ถือว่า ใหญโ่ ตอะไร กเ็ ลยตอ้ งใชค้ ำวา่ มอี ัตตา เช่น บอกว่า เปน็ เรื่องหลักสำคญั มากอยา่ งหน่ึง คนน้มี อี ตั ตาแรง หรืออยา่ พะเน้าพะนออัตตากนั นัก ทีน้ี ขอพูดเร่ืองมานะก่อน ทำไมมานะ อัตตาคนนน้ั ใหญ่ อะไรอย่างนี้ เป็นต้น นีก้ ็เป็นเร่อื ง ที่แปลว่าความถือตัว ความอยากเด่นอยากย่ิงใหญ่ ของความคลาดเคลือ่ น จากความหมายท่ถี ูกตอ้ ง จึงได้กลายมาเป็นศัพท์ที่มีความหมายว่าเพียร ตามหลักการแล้ว การใช้คำว่า อัตตา ใน พยายาม ข้อสันนิษฐานอันหนึ่งก็คือว่า คนไทยเรา กรณีนี้ผิด ถ้าขอยืมศัพท์ฝ่ายตะวันตกมาอธิบาย ได้เคยใช้มานะนี้เป็นแรงกระตุ้นหรือเร้าให้คน ในกรณีนี้ จะเห็นชัดข้ึน คืออัตตานั้นเป็นคำศัพท์ ทำความเพียรพยายาม เพียรพยายามเพ่ือจะสร้าง ทางอภิปรัชญา หรือทาง metaphysics ส่วนคำ ความเจริญก้าวหน้าในชีวิต ในการศึกษาเล่าเรียน คู่กันในทางจริยธรรม หรือฝ่าย ethics ก็คือมานะ ทำการงาน เป็นต้น เพื่อยกฐานะในสังคม ใช้กันไป เพราะฉะน้ัน คำท่ีถูกต้องสำหรับเร่ืองนี้ก็คือมานะ ใช้กันมา ในท่ีสุดตัวมานะเองกลายความหมายเป็น นน่ั เอง เพราะการถอื ตวั การเอาตัวเป็นสำคัญ เปน็ ความพยายามไป แต่ว่ายังเหลือให้เห็นเค้าอยู่ เรื่องของคำว่ามานะ ส่วนอัตตาน้ันสงวนไว้ให้ใช้ใน 8 อย่างในประโยคท่ีว่าเม่ือก้ีว่า “จงมานะอุตสาหะ เรอื่ งอภิปรชั ญา เล่าเรียนไปเถิด ต่อไปจะได้เป็นเจ้าคนนายคน” ในเม่ือสังคมของเรา ให้ความหมายของ วารสาร ิวชาการ ป.ป.ช. เคา้ ความหมายอยใู่ นทอ่ นปลายทีบ่ อกว่า จะไดเ้ ปน็ มานะคลาดเคล่ือนไปมากแล้ว มันก็เลยยากท่ีจะ เจ้าคนนายคน นี้คือความหมายของมานะท่ีแท้จริง พดู เพราะเม่ือพูดว่า มานะ คนกเ็ ขา้ ใจเปน็ อย่างอ่นื ีป ่ีท 3 ฉ ับบ ่ีท 1 มกราคม 2553 แสดงว่าเป็นไปได้ที่เราได้ใช้มานะที่เป็นกิเลส เป็นเพียรพยายามไปเสีย อย่างไรก็ตาม เมื่อเรา อันน้ี เป็นเคร่ืองปลุกเร้าคนในการทำความดีงาม จะมาสร้างจริยธรรมกันใหม่ ก็จะต้องพูดกันให้ ในการสร้างสรรคค์ วามเจริญก้าวหนา้ เข้าใจชัดเจน ความจริงไม่ต้องมาสร้างจริยธรรม แม้ในปัจจุบันนี้ เราก็ยังรู้สึกกันว่าคนไทย ใหม่หรอก ควรจะพูดว่ามาสะสางหรือขัดเกลา มีความถือในเรื่องตัวตนสูง คือ ความโก้ ความเด่น จริยธรรมน้ีใหถ้ ูกต้อง ความอวดกัน หรือว่าการมีหน้ามีตายังเป็นเร่ือง ว่ากันตามความหมายที่แท้จริง มานะน้ี สำคัญในสังคมไทย รู้สึกว่าคนไทยก็รู้ตัวอยู่มาก เราเหน็ วา่ มผี ลเสยี มาก ประการทห่ี นงึ่ การทคี่ นไทย เช่น เวลาไปอยู่ต่างประเทศน้ัน คนไทยชอบพูดถึง เอาตวั ตนเปน็ สำคญั ถอื ตวั ทำใหค้ นทำงานเลอื กงาน ลักษณะข้อนี้มาก คล้ายๆ กับว่าไปเทียบกับสังคม โดยเอาความสูงเด่น ความจะได้เป็นใหญ่เป็นโต อ่ืนแล้ว ลกั ษณะอนั นี้ของตนมนั เด่นขน้ึ มา เป็นเกณฑ์ในการตัดสิน แทนที่จะเอาความถนัด ทีน้ีปัจจุบันเราเกิดจำเป็นจะต้องใช้คำพูด ความสามารถ หรือความสุจริตเป็นเครื่องตัดสิน ที่แสดงถึงความหมายนี้ แต่คำว่ามานะเราก็เอา หมายความว่า คนที่เลือกทำงานนี้ ทั้งท่ีมีงานท่ีเขา

มีความถนัด ความสามารถและเป็นงานที่สุจริต ท่ีว่า เอาเสรีภาพมาเป็นเคร่ืองแสดงตัวในทางที่ แตเ่ ขาถอื เปน็ งานต่ำ กไ็ มย่ อมทำ คอยรอจะทำงาน ย่ิงใหญ่ ในการท่ีจะครอบงำคนอ่ืน ในการท่ีจะไม่ ท่ีถือกันว่าสูง มีหน้ามีตา อันนี้ก็ถือว่าเป็นความ ยอมรับคนอ่ืน หมายความว่าให้ฉันแสดงออก เสยี หายอยา่ งหนง่ึ ทำใหเ้ กดิ ความสนิ้ เปลอื งสญู เปลา่ ให้ฉันพูด ให้ฉันว่าได้ แต่ใครจะมาว่ากระทบฉัน ในทางทรัพยากร และขัดขวางการพัฒนาประเทศ ไม่ได้ กลายเป็นอย่างน้ีไป เสรีภาพก็มีความหมาย ไปดว้ ย ไม่ถูกต้อง มีความหมายคับแคบ เพราะไม่เข้าใจว่า ประการท่ีสอง ว่ากันว่าคนไทยทำงาน เสรีภาพคืออะไร มเี พ่ืออะไร และไม่มปี จั จัยตัวหนนุ เป็นคณะหรือทำงานรวมกลุ่มเป็นทีมกันไม่ได้ ที่ถูกต้องมารับกัน แต่กลับมีปัจจัยในฝ่ายอกุศล อันนี้ก็มีเร่ืองพูดกันเสมอ โดยเฉพาะคนที่ไปใน มารบั แทน ก็เกิดโทษมากกวา่ คณุ แตเ่ ร่ืองน้สี ัมพันธ์ ต่างประเทศ ก็พูดถึงคนไทยว่ามีปัญหาที่ทำงาน กับเร่ืองนิสัยนักศึกษา นิสัยฝึกฝนพัฒนาตนท่ีจะว่า ร่วมกันยาก ไม่สำเร็จ อันนี้ก็เพราะคนเหล่าน้ัน ตอ่ ไปดว้ ย จึงจะเอาไปพูดตอนนั้นอกี ครง้ั หน่ึง มีมานะสูง หรือเรียกอีกอย่างหน่ึงตามท่ีนิยม ผลเสียข้อต่อไปของมานะ คือไม่ว่าจะทำ วารสารวิชาการ ป.ป.ช. พูดกันผิดๆ ว่ามีอัตตาแรง ต่างคนต่างอยากเด่น อะไร จะจัดกิจกรรมอะไร ก็มุ่งไปท่ีความมีหน้า อยากใหญ่ ไม่ยอมกัน ลงกันไม่ได้ เลยรวมกัน มีตาไดเ้ ดน่ ได้ดงั อยา่ งทว่ี า่ หมดเท่าไรไม่วา่ ขอใหไ้ ด้ ปที ่ี 3 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม 2553 ไม่ติด ผลเสียในแง่น้ีมีกว้างไกล อย่างที่ชอบพูด ชื่อเสียง เพราะฉะนั้น เม่ือจัดงานอะไรก็จะคอย กันว่า คนไทยน้ันยามบ้านเมืองสงบดี ก็แตกแยก ภูมิใจรอให้มีคนชมว่า งานน้ีหรูหรามโหฬารท่ีสุด ชงิ ดชี งิ เดน่ กนั ตา่ งคนตา่ งอยู่ ตอ่ เมอ่ื ใดมภี ยั มาถงึ ตวั (คือสิ้นเปลืองหรือพินาศมากท่ีสุด) ลักษณะเช่นนี้ จึงจะรวมพลังทำงานรว่ มกนั ได้ นอกจากก่อให้เกิดความฟุ่มเฟือยฟุ้งเฟ้อ ความ 9 ประการที่สาม คือ ในการรับวัฒนธรรม สน้ิ เปลอื งสญู เปลา่ เปน็ อนั มากแลว้ ยงั ทำใหม้ องขา้ ม จากต่างประเทศ เมื่อจะรับวัฒนธรรมอ่ืนเข้ามา สิง่ ทเี่ ป็นเนอื้ หาสาระ หรือแกน่ สารหรือความหมาย เราก็มักเลือกรับเอาแต่ส่วนท่ีรู้สึกโก้ ทำอย่างฝร่ัง ท่ีแท้จริงของกิจกรรม หรือของงานของการกระทำ เฉพาะทีค่ นเขาเจอแลว้ ร้สู กึ วา่ โก้ หรอื วา่ ชอบซือ้ หา น้ันไปเสียด้วย แทนที่จะทบทวนถามสำรวจตัวว่า ของใช้เมืองนอกทันสมัยมาอวดโก้กัน แต่ไม่ได้ ในการทำกิจกรรมนี้หรืองานนี้ เราได้ทำความ เพ่งมองในแง่ที่จะนำมาสร้างสรรค์ประโยชน์ใหม่ๆ มุ่งหมายของตัวงานน้ันได้สำเร็จผลเป็นอย่างดี หรือมาเสริมการทำงานของเรามากเท่าไร อันนี้ หรือไม่ และมีความภูมิใจในการเข้าถึงสาระหรือ กเ็ ป็นโทษอกี อย่างหน่ึงของมานะ ทำความมุ่งหมายน้ันใหส้ ำเร็จ ก็มวั มาภาคภูมใิ จกับ อย่างไรก็ตาม เม่ือมีการใช้คำว่าเสรีภาพ ภาพความย่งิ ใหญ่โก้เด่น ทก่ี ลายเป็นความว่างเปลา่ มากขน้ึ เสรภี าพเกดิ มาสนองมานะเขา้ มนั กไ็ มเ่ กดิ ไปแลว้ หมดส้ิน ความเจริญก้าวหน้าท่ีจะแก้ปัญหาในทางสังคม มานะยังมผี ลในทางรา้ ยอกี มากมาย จะพดู ได้ ถึงแม้ว่าเสรีภาพจะเป็นองค์ประกอบของ ถึงผลที่เด่นในลักษณะนิสัยของคนไทยจำนวน ประชาธิปไตย แต่ถ้าเราไม่ได้สร้างปัจจัยพื้นฐาน ไม่น้อยเท่าที่เป็นมา (หรือเฉพาะเท่าที่เป็นอยู่?) ที่จะรับเอาเสรีภาพมาใช้ในทางท่ีถูกต้อง และมี อีกอย่างหน่ึง คือ ความชอบอวดโก้ อวดกล้า อวด เจ้าตัวมานะน้ีคอยออกโรงอยู่ ผลก็จะออกไปในรูป แสดงเด่น เห็นเป็นการเก่ง ท่ีไม่ต้องทำตามกฎ

ตามระเบียบ สามารถฝ่าฝืนละเมิดกฎระเบียบได้ ศกึ ษาจรงิ จบการศกึ ษาจรงิ แตผ่ ลขา้ งเคยี งตอ่ มาคอื ทำนองว่าเป็นคนยิ่งใหญ่อยู่เหนือกฎ ตลอดจน พอจบแลว้ ไมท่ ำงานทถี่ นดั ทส่ี ามารถ แตเ่ ลอื กจะเอา ชอบมีอภิสิทธิ์ ซ่ึงเป็นลักษณะความประพฤติ ความใหญโ่ ตแทน ประเภทเดียวกัน มานะท่ีแสดงออกในลักษณะ ถ้าเรานำระบบการแข่งขันเข้ามาใช้ ระบบ นิสัยและบุคลิกภาพเช่นน้ี นอกจากเป็นอุปสรรค แข่งขันนี้ครอบงำสังคมปัจจุบันมากในวงกว้างขวาง อย่างยิ่งต่อการสร้างระเบียบวินัยแล้ว ยังกลบทับ โดยเฉพาะสังคมที่เดินตามวัฒนธรรมตะวันตก ความคิดสร้างสรรค์พัฒนาตนเองและส่วนรวม เมื่อเรานำระบบแข่งขันมาใช้ เกิดว่าระบบแข่งขันน้ี ใหเ้ ลือนลางจมหายไปดว้ ย มาสนองเจ้าตัวมานะท่ีเป็นปัจจัยซ้อนอยู่ มันก็ สภาพของมานะตามท่ีว่ามาน้ัน ในสังคม ออกผลมาในรูปทไี่ ม่พึงปรารถนา แทนที่ว่าจะทำให้ ไทยเรามองเห็นกันอยู่เข้าใจไม่ยาก ทีนี้ลองมา มีความขยัน สร้างการงาน ทำงานสร้างสรรค์ให้ วิเคราะห์กันในแง่ของหลักการ การใช้มานะเป็น มากข้ึน กลับเอาระบบแข่งขันมาใช้ในทางท่ีอวดโก้ เคร่ืองกระตุ้นเร้าให้ทำความดีหรือสร้างสรรค์ ยิ่งใหญ่ อวดความฟุ้งเฟ้อหรูหราฟุ่มเฟือย แข่งกัน ความเจริญก้าวหน้าในชีวิตนี้ ก็เป็นส่ิงที่เป็นได้จริง แสดง แข่งกันเสพ ไม่ใช่แข่งกันสร้างสรรค์ หรือ ตรงตามหลักความจริงของกระบวนการแห่งเหตุ เอาความยิ่งใหญ่มาแสวงหาผลประโยชน์ครอบงำ ปจั จยั ผู้อื่น ก็กลายเป็นว่า การท่ีจะฝึกฝนปรับปรุงตน กระบวนการแห่งเหตุปัจจัยว่าไว้อย่างไร สร้างสรรค์ทำงานน้ัน เป็นเพียงเง่ือนไขจำเป็นที่ มหี ลกั บอกไวว้ า่ อกุศลธรรมเปน็ ปัจจยั แกก่ ุศลธรรม หลีกเลี่ยงไม่ได้ จำใจทำ อาจจะทำบ้างเล็กน้อย 10 ได้ กศุ ลธรรมเปน็ ปัจจยั แก่อกุศลธรรมได้ ในกรณีนี้ เป็นเพียงส่วนประกอบ ส่วนหลักก็กลายเป็นการ เราจับเฉพาะข้อแรก อกุศลธรรมเป็นปัจจัยแก่ สนองมานะท่ีพูดถึงแล้ว แต่ถ้าไม่สนองมานะ วารสาร ิวชาการ ป.ป.ช. กศุ ลธรรม กส็ นองตัณหา มานะน้ีเป็นอกุศลธรรม เป็นส่ิงที่ไม่ดี ระบบแข่งขันโดยตัวของมันเอง ก็จัดว่า ีป ่ีท 3 ฉ ับบ ่ีท 1 มกราคม 2553 แต่เราสามารถนำมาใช้เป็นตัวเร้า เพื่อทำให้เกิด มีส่วนที่เป็นอกุศลอยู่ เป็นอกุศลในแง่ที่ว่า การคิด การทำความดีความงามได้ นี้เป็นหลักความจริง ริเร่ิมไม่เป็นไปในทางท่ีจะช่วยเหลือเกื้อกูล ไม่เป็น ตามหลักธรรม อภิธรรมได้ว่าไว้มากในเร่ืองน้ี ไปเพ่ือสนับสนุนจิตที่ประกอบด้วยเมตตากรุณา เรื่องอกุศลเป็นปัจจัยแก่กุศล กุศลเป็นปัจจัยแก่ แต่โน้มเอียงไปในทางที่จะทำให้เกิดการเบียดเบียน อกุศล ท่านว่าไว้ท้ังน้ัน มานะแม้จะเป็นอกุศล กันได้ง่าย ในเมื่อตัวมันเองค่อนข้างเป็นอกุศล แต่เม่ือเราเอามาใช้ในทางท่ีดี มันก็มีประโยชน์ แต่ในเวลานำมาใช้อย่างท่ีกล่าวไว้แล้วว่า ถ้าหาก ได้เหมอื นกนั มพี นื้ ฐานในทางสร้างสรรค์ เชน่ ปจั จัยตัวท่ีวา่ มีนิสัย อยา่ งไรกต็ าม การใชส้ งิ่ ทเ่ี ปน็ อกศุ ลมาสรา้ ง ของการฝึกฝนตน มีนิสัยในการทำงานอยู่แล้ว สิ่งท่ีดีงาม ที่เป็นกุศลนี้ นับว่าเสี่ยงต่อผลข้างเคียง ก็อาจจะกลับเป็นเง่ือนไขท่ีทำให้เกิดการขยัน ท่เี ปน็ อันตราย น่นั ก็คือ เราอาจจะสร้างความเจรญิ ทำการงาน ก้าวหน้า ความรุ่งเรืองงอกงามในชีวิต ทำความดี ในทางตรงข้าม ถ้าหากว่าตัณหามานะ ความขยันหม่ันเพียรได้สำเร็จ เด็กขยันเล่าเรียน มกี ำลงั มาก และออกในรปู ทสี่ นองมานะ กก็ ลายเปน็

ม่งุ อวดโก้ ต้องการเปน็ ใหญ่ ข่มพวกกนั เอง หรอื ถา้ ฉันเป็นคนไม่มีตัณหา หรือลดตัณหาแล้ว ละ สนองตณั หาขน้ึ มา กจ็ ะออกไปในรปู ของการแยง่ ชงิ ตัณหาแล้ว หมดตัณหาแล้ว พยายามแสดงว่าฉัน ผลประโยชน์ ความฟุ่มเฟือย การแสวงหาสิ่งบำรุง เป็นคนไม่มีความอยาก โดยลืมไปว่าความอยาก บำเรอ ความฟงุ้ เฟอ้ คอร์รปั ชนั ท่ีดีก็มี แล้วก็เลยลืมศัพท์คำนี้ไป หรือไม่ลืมแต่ว่า คำถามก็คือ อะไรเป็นตัวเด่นในขณะนี้ ไม่มอง ไม่เอามาใช้ มองข้ามไปเสีย ความอยาก คือว่า เรามีปัจจัยอะไรเป็นพ้ืนฐานอยู่ในตัวที่จะ อีกอันหน่ึงท่ีเป็นกุศล คือ ฉันทะ ซึ่งเป็นคู่กัน มารับเอาเจ้าระบบแข่งขันนี้เข้ามามีนิสัยทำงาน เม่ือมองตัณหาแล้วต้องมองฉันทะคู่กันไปเสมอ หรือมีตัณหามานะ อีกประการหนึ่ง ระบบแข่งขัน แล้วก็รู้จักพิจารณาว่าจะใช้อันไหน ถ้าจะใช้ตัณหา ท่ีว่ามีส่วนโน้มเอียงท่ีเป็นอกุศลอยู่มาก เม่ือนำมา ก็อาจจะเอามาเร้าในการสร้างสรรค์ความเจริญ ใช้แล้วก็ย่อมจะทำให้เกิดผลข้างเคียงตามมา ไดบ้ า้ ง โดยใช้เป็นอบุ าย คือ เป็นการใช้อกุศลมาเรา้ อีกด้วย คือ ผลในทางร้ายเพราะนอกจากจะสนอง กุศล ซ่งึ มีผลขา้ งเคียงในทางรา้ ยดว้ ย ตณั หามานะแล้ว โดยตวั ของมันเองกม็ ีผลทางจติ ใจ ทีนี้ถ้าจะใช้ให้ถูกต้องจริงๆ ก็ต้องสร้าง วารสารวิชาการ ป.ป.ช. ทำให้เกิดความคับแค้น กระวนกระวาย อย่างที่ ฉันทะขึ้นมา ฉันทะคือความอยาก ความต้องการ เป็นอยู่ในสังคมตะวันตก หรือในสังคมที่เรียกว่า ทจ่ี ะทำใหด้ ี ความอยากในทางสรา้ งสรรค์ ความอยาก ปที ่ี 3 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม 2553 พัฒนาแล้วในปัจจุบัน ดังน้ัน เม่ือไม่รู้จักวิธีควบคุม ท่ีจะรู้ให้เท่าถึงความจริง นี่คือฉันทะ ซ่ึงประกอบ หรือยังผสมเข้ากับพิษของตัณหาและมานะ ก็จะ ดว้ ยปญั ญาท่ีรคู้ ดิ รพู้ จิ ารณาว่า อะไรดี อะไรถูกต้อง เกดิ มลพษิ ตอ่ การพัฒนา คอื การทำเกินพอดที ท่ี ำให้ แต่ก็เป็นความอยากอย่างหน่ึงเหมือนกัน ผู้เขียน เกิดผลเสียข้ึนในสภาพแวดล้อม หรือส่ิงแวดล้อม อยากจะใชค้ ำสนั้ ๆ ว่า “ตัณหาคือความอยากเสพ 11 เป็นพิษ (environmental pollution) เป็นต้น ส่วนฉันทะคือความอยากสร้าง มีความอยากเสพ เพราะไมส่ ามารถควบคมุ ตนเอง มุ่งแตว่ า่ ทำอยา่ งไร กบั อยากสรา้ งเป็นของคกู่ นั ” จึงจะได้ผลดแี ก่ตนมากท่ีสุด ในทางธรรมนน้ั ถอื วา่ ฉนั ทะเปน็ องคป์ ระกอบ สำหรับเร่ือง “ความอยาก” ทำไมจึงมี ที่จำเป็น เป็นรากเหง้า เป็นต้นตอท่ีทำให้เกิด ท่าทีต่อความอยาก (ในลักษณะตรงข้ามกับความ ความเจริญก้าวหน้าในคุณความดีต่อไป ถ้าไม่มี รู้สึกจริงหรือไม่ก็ตาม) ในหมู่ผู้ปฏิบัติธรรม ที่จะ ฉันทะก็ปฏิบัติดีได้ยาก จะทำความดีสร้างสรรค์ พยายามเป็นผู้ไม่อยากได้อยากดี ไม่เอาอะไร อะไรไปไม่ได้ ฉะน้ันจะต้องสร้างฉันทะข้ึนมา ไม่มีความอยาก น่ีก็เกิดจากความเลือนลาง ข้อสำคัญก็คือจะต้องแยกให้ถูกระหว่างฉันทะ คลาดเคลื่อนในความเข้าใจธรรมะ คือไม่รู้จักแยก กับตัณหา เม่ือเข้าใจให้ถูกต้องแล้ว ก็จะแก้ปัญหา ว่า ตามความจริงนั้นความอยากมี ๒ อย่าง ของคนได้ทั้ง ๒ ประเภท คือ ความอยากที่ชอบธรรมกับความอยากท่ี คนพวกหน่ึงคือนักปฏิบัติธรรม ก็จะได้ ไม่ชอบธรรม หรอื จะเรียกวา่ ความอยากท่เี ป็นกศุ ล รู้ว่ามีความอยากที่ชอบธรรม แล้วก็จะได้ไม่มี กับความอยากที่เป็นอกุศล ซึ่งทางธรรมะมีศัพท์ ความเก้อเขิน หรือละอาย หรือรังเกียจที่จะพูดถึง เฉพาะ แต่เรามักเข้าใจอย่างเดียวกันว่าความอยาก ความอยาก แต่รู้ว่าอยากอย่างไหน ข้อไหน และ นี้เป็นตัณหา ฉะนั้น เราก็เลยพยายามเลี่ยงว่า อกี พวกหน่ึงก็ คือ …

“พวกท่ีทำงานรับผิดชอบในการพัฒนา โดยมากรู้จักแต่ชุดโลภะ โทสะ โมหะ ที่จริงโลภะ ผู้ที่ทำงานพัฒนา เม่ือไปเห็นว่า ในทางธรรมะ โทสะ โมหะนั้น เรียกว่าเป็นอกุศลมูล เป็นกิเลส หรือในทางศาสนาไม่สนับสนุนความอยาก ไปๆ สำคญั แตเ่ ปน็ ตน้ ตอ เปน็ รากเหงา้ ของความชวั่ รา้ ย มาๆ ก็เลยเห็นว่าธรรมะหรือศาสนาขัดขวาง สว่ นกิเลสที่เปน็ ตวั บงการบทบาทกำกบั การแสดง ถว่ งการพฒั นา แลว้ กเ็ ลยโมเมบอกวา่ ในการพัฒนา ในชีวิตของคนส่วนมาก เป็นชุดหลังนี้คือ ตัณหา จะต้องเร้าความอยาก ก็คือต้องเร้าตัณหาให้ มานะ และทิฐิ มากขึ้น ให้คนอยากได้โน่นได้นี่ จะได้ทำงานแล้ว ๑. ตัณหา คือ ความอยากได้สิ่งบำรุง ก็จะเกดิ การพฒั นา พวกนี้กไ็ มร่ จู้ กั ฉนั ทะเหมือนกัน บำเรอปรนเปรอตน หรือ อยากเสพ แยกไม่เป็นเหมือนกัน ว่าอยากอย่างไหนดี อยาก ๒. มานะ คอื ความสำคญั ตวั เปน็ นน่ั เปน็ น้ี อย่างไหนไม่ดี พอเร้าให้อยากในทางตัณหา คนก็ วา่ ดว้ ยเดน่ สงู ตำ่ เทา่ เทยี มตา่ งๆ เทยี บเขาเทยี บเรา อยากได้โน่นได้น่ี แต่ไม่อยากทำงาน เม่ือไม่อยาก ๓. ทฐิ ิ คอื ความยดึ ตดิ ในความคดิ เหน็ ทำงานแต่อยากได้ ก็หาวิธีให้ได้โดยทางลัด ต่อมา ในทฤษฎี ถอื เอาความคิดเห็นเปน็ ความจริง ก็ปรากฏว่า มีการกู้หน้ียืมสินมาก มีการลักขโมย สามอยา่ งนแี้ สดงออกเป็นอะไรบา้ ง ตัณหา มาก การทำทุจริต ยาเสพติด ความฟุ้งเฟ้อต่างๆ น้ันคู่กับผลประโยชน์ มานะออกในรูปของอำนาจ แต่การทำงานไม่เป็นล่ำเป็นสัน ผลตามมาก็คือ ทิฐิแสดงออกเป็นความคลงั่ ในลัทธนิ ิยม อุดมการณ์ ถอยจากการพฒั นาแล้วก็เพิ่มปญั หามากข้นึ ” สามตัวนี้กำกบั การแสดงของคนทวั่ ไป การเข้าใจถูกต้องเก่ียวกับความอยากน้ี ปัญหาของมนุษย์ตั้งแต่ปัญหาของบุคคล 12 จะเป็นประโยชน์ต่อคนท้ัง ๒ พวก โดยเฉพาะผู้ท่ี ไปจนถึงปัญหาสงครามโลก มักจะหนีไม่พ้นกิเลส รับผิดชอบในการพัฒนาสังคม ถ้าไม่เข้าใจให้ ๓ ตวั นเี้ ปน็ เหตุ เปน็ ตวั บงการ คอื ถา้ ไมเ่ ปน็ เพราะ วารสาร ิวชาการ ป.ป.ช. ถูกต้อง เราจะมีการผิดพลาดซ้ำเป็นคร้ังที่สอง ตัณหาแย่งชิงผลประโยชน์กัน มานะเร่ืองของ ถ้ายอมรับตามท่ีอธิบายแล้ว “ในอดีตเราเคยใช้ อำนาจ หรอื เรือ่ งของทิฐิ ความยดึ ติดในลทั ธนิ ยิ ม ีป ่ีท 3 ฉ ับบ ่ีท 1 มกราคม 2553 มานะเป็นตัวเร้า ให้บคุ คลสร้างสรรค์ความกา้ วหนา้ อุดมการณ์ แม้แต่ความคลั่งในศาสนาก็อยู่ใน ในชีวิตให้ทำความดีงามต่างๆ และมาในปัจจุบันนี้ ทฐิ ิน้ี ฉะนน้ั กเิ ลส ๓ ตัวนสี้ ำคัญมาก คอยกำกับ เราจะมาเรา้ ตณั หาใหเ้ ปน็ ตวั ปจั จยั ในการสรา้ งสรรค์ การแสดงของมนุษย์ ความเจริญในสังคม เราจะเปล่ียนความผิดพลาด สำหรบั เรือ่ งของจรยิ ธรรมท่ีผา่ นมา ตณั หา จากอันที่หนึ่งคือมานะ มาสู่อันที่สองคือตัณหา กับมานะมีบทบาทสำคัญในสังคมไทย ส่วนทิฐิดูจะ ก็คือพลาดทั้งคู่ พลาดซ้ำอีก ฉะน้ัน จะต้องเลือก เบา แต่ก็ต้องช่วยกันวิเคราะห์อีกทีหน่ึง และใน ให้ดี และอันนี้คือการรับผิดชอบต่อเยาวชนรุ่นใหม่ บางสงั คม ทฐิ ิ ความคลง่ั ศาสนา ลทั ธนิ ยิ ม อดุ มการณ์ ด้วย ว่าจะเอาอยา่ งไรกัน” เป็นตัวกำกับการแสดงที่สำคัญและรุนแรงมาก พอพูดถงึ ตัณหากับมานะ กเ็ ข้าสหู่ ลักธรรม ในทางพระเรียกกิเลสชุดนี้ว่า “ปปัญจธรรม” ที่สำคัญอีกชุดหนึ่ง ตัณหากับมานะเป็นกิเลส แปลว่า สิ่งที่เป็นเหตุให้เกิดความเย่ินเย้อ ยืดเย้ือ ตัวใหญ่ในชุด ๓ ที่ท่านกล่าวถึงบ่อยๆ แต่เรามัก พิสดาร วิตถารต่างๆ พฤติกรรมของมนุษย์ที่ไม่ มองข้ามไป ชุดนี้มีตัณหา มานะ และทิฐิ คนเรา สามารถเข้าถึงความจริงท่ีมันง่ายๆ ตกลงอะไรกัน

ไม่ได้ กเ็ พราะเรอื่ งตัณหา มานะ ทิฐิ น้เี ป็นตวั สำคญั เป็นท่ีหน่ึงในโลก อย่างนี้เป็นต้น ดูเหมือนว่า ท่ีครอบงำอยู่ ถ้าจะแปลให้เข้ากับภาษาไทยง่ายๆ บางประเทศ อย่างเช่นญี่ปุ่น ก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง ปปัญจธรรมก็แปลว่า “กิเลสตัวป่ันหรือกิเลส ท่ีใช้มานะในรูปน้ีในระดับสังคมอย่างได้ผล การท่ี ตวั ปน้ั เรอื่ ง ทงั้ ปนั่ และปนั้ เรอ่ื ง” มนั ปนั่ หวั ปนั่ จติ ใจ จะทำอย่างน้ีได้สำเร็จ จะต้องให้มีจิตสำนึกท่ีคิดนึก คนใหเ้ รอ่ื งมาก ยดื ยาวยงุ่ เหยงิ วนุ่ วาย สลบั ซบั ซอ้ น เล็งเป้าอยู่ตลอดเวลาว่า ประเทศของเราจะต้อง จนกลายเปน็ ปญั หานุงนงั ยากที่จะแกไ้ ขได้ เป็นหนึ่ง จะทำอะไรก็เพ่ือให้ประเทศของเรา เมื่อพูดถึงกิเลสชุดนี้แล้ว ก็มาพิจารณากัน เป็นท่หี น่ึง เราจะตอ้ งทำการทกุ อย่างเพ่อื เปา้ หมาย ดูว่า ถ้าเราไม่เห็นด้วยหรือเห็นว่ามันมีข้อเสีย อันนี้ แต่วิธีนี้ก็อย่างท่ีว่ามาแล้ว จะมีผลข้างเคียง ในการท่ีจะใช้กิเลสเป็นเครื่องเร้าในการสร้างสรรค์ ในทางไม่ดีมากมาย เช่น ต่อไปก็อาจจะทำให้เกิด ความเจริญ แลว้ เราจะเอาอะไรมาแทน การครอบงำประเทศอ่ืน เกิดการขัดแย้ง การแข่ง ข้ันที่ ๑ ก็คือ ถ้าเรายังไม่เอาตัวกุศลธรรม อำนาจกัน ตลอดจนอาจจะเกิดสงครามโลกต่อไป เข้ามาใช้ เราจะยังใช้กิเลสต่อไปก่อน ก็อาจจะ ก็ได้ หรือเอาอย่างง่ายๆ ในความหมายที่ไม่สู้เป็น วารสารวิชาการ ป.ป.ช. กระทำได้ แต่จะต้องดัดแปลงหรือเปลี่ยนแปลง อกุศล ก็คือการใช้มานะอย่างอ่อน และแปรมา การใช้กิเลสเสียใหม่ เช่นแต่ก่อนน้ี มานะเราใช้ ในทางดีงาม เป็นการนับถือตนเอง ซ่ึงในทาง ปที ่ี 3 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม 2553 ในระดับบคุ คลมาก โดยกระตุน้ ปลกุ เรา้ ให้แตล่ ะคน ส่วนรวมหรือในระดับสังคมก็จะออกมาในรูป มุ่งม่ันว่าจะต้องสร้างสรรค์ความเจริญในชีวิตให้ ของการสรา้ งความภมู ใิ จในความเปน็ ชาตขิ องตน แก่ตน ให้ต้องการความย่ิงใหญ่ มีอำนาจ เป็นเจ้า เช่น เราต้องพยายามให้คนของเรานี้ ไม่ว่าจะไป เปน็ นาย เช่นเรา้ บอกวา่ “โน่น ดูซิคนนน้ั เขาแค่น้ัน ต่างถิ่นต่างแดนท่ีไหน ก็มีความม่ันใจภูมิใจและ 13 เขายังทำได้ เธอเป็นถึงข้ันน้ี ทำไมจะทำไม่ได้” เตม็ ใจทจี่ ะประกาศตนวา่ ฉนั เปน็ คนไทย ถา้ หากวา่ น้ีก็ใช้มานะเร้าแล้ว หรือบอกว่า “โน้นเขาเป็น พูดอันนี้ออกมาได้แล้ว ก็มีทางที่จะช่วยพัฒนา คนธรรมดา เขาไม่รวยอะไร เขายังบริจาคได้เท่านี้ ประเทศของตน แต่ถ้าไม่มีความภูมิใจอันน้ีแล้ว คุณเป็นเศรษฐี ทำไมจะบริจาคมากกว่าเขาไม่ได้” การที่จะพัฒนาก็คงจะยาก เพราะ - - - นกี่ ใ็ ชม้ านะเรา้ นเ้ี ปน็ การใชม้ านะเรา้ ในระดบั บคุ คล ประการท่ีหนึ่ง คนท่ีขาดความม่ันใจใน ถ้าจะเปลี่ยนมาเร้าในระดับของสังคมหรือชุมชน ตนเอง ไม่มีความภูมิใจในตนเอง ก็คล้ายทหาร ก็ย้ายเป้าของความยิ่งใหญ่จากตัวตนของแต่ละคน ขาดฐาน ขาดท่ีม่ัน ไม่มจี ดุ หลักทจ่ี ะเร่ิมการกระทำ มาเป็นตัวตนร่วมกันของคนท้ังชุมชนหรือท้ังชาติ ของตน และไม่มีท่ียันให้มีกำลังเข้มแข็งท่ีจะทำงาน คือ แทนท่ีจะปลุกเร้าให้ทำการเพ่ือความย่ิงใหญ่ ให้รุดหนา้ ไปหรือตา้ นทานอะไรได้ ของตนเองของแต่ละคน ก็ปลุกเร้าให้สร้างสรรค์ ประการทสี่ อง เขาขาดความรสู้ กึ มสี ว่ นรว่ ม ทำการเพ่ือความย่ิงใหญ่ เพื่อความมีอำนาจของ ในสังคมของตน ใจมีความรู้สึกปฏิเสธการที่จะมี ชาตขิ องตน ส่วนร่วมด้วย จึงยากท่ีจะเกิดความรู้สึกในการที่จะ ตวั อย่างการเรา้ ในระดบั สังคม เช่น จะให้ ทำอะไรเพ่ือสังคมของตนนั้น คือต้องมีใจผูกพัน ประเทศพัฒนา ให้คนทุกคนต้ังใจที่จะทำงานเพ่ือ อยู่ด้วย จึงจะเกิดความรู้สึกว่าจะทำเพ่ือใคร หรือ ประเทศของตน ก็เร้าว่าชาติของเราจะต้องยิ่งใหญ่ จะทำให้แกใ่ คร และ - - -

ประการที่สาม เขามีความรู้สึกด้อยอยู่ อยากใหง้ านทท่ี ำอยู่สำเรจ็ ผล อย่างดีทส่ี ดุ สมบูรณ์ ในใจ และยอมรับความด้อยนั้นถึงขนาดท่ีว่า ทส่ี ดุ เรยี กงา่ ยๆ วา่ อยากสรา้ งสรรค์ หรอื อยากสรา้ ง ไมอ่ ยากเกยี่ วขอ้ ง ความรสู้ กึ นม้ี แี ตจ่ ะทำใหอ้ อ่ นแรง สำหรับปุถุชน เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ให้มี หมดกำลัง จึงไม่ช่วยให้เกิดการสร้างสรรค์พัฒนา ตัณหา ข้อสำคัญก็คือ อย่าให้มีตัณหาอย่างเดียว ขึน้ ได้ ไม่มีฉันทะเลย หรือมีตัณหาเป็นกำลังหลัก มี ต่อไปก็ถึงคำถามที่ว่า จะเอาธรรมท่ีเป็น ฉันทะเพียงเป็นส่วนประกอบคอยเสริมสร้างบ้าง กุศลข้อใด มาแทนท่ีเจ้าตัวกิเลสที่ก่อปัญหา นิดหน่อย ถ้าเป็นอย่างน้ีก็นับว่าอันตรายมาก ทางจรยิ ธรรมนัน้ แต่ถ้ามีฉันทะเป็นหลักให้ฉันทะมีกำลังมากกว่า ข้อ ๑ ก็คือ ตัณหา ในเร่ืองตัณหานั้น เป็นตัวยืนโรง มีตัณหาเป็นเพียงตัวประกอบ ธรรมที่จะเอามาแทนก็ชัดอยู่แล้ว น่ันก็คือ ธรรม แอบๆ อิงๆ อยู่ เหมือนเพ่ือนท่ีคอยเกาะกินบ้าง ที่เป็นคู่กับตัณหา คือ ฉันทะ ส่ิงที่เราจะต้อง ชว่ ยงานบางอยา่ งบ้าง ถา้ ไดอ้ ยา่ งน้ี ก็นับวา่ ใชไ้ ด้ ปฏิบัติในเรื่องตัณหาน้ัน ไม่ใช่เพียงแค่จะเลิกจะละ แล้ว โลกก็นับว่าปลอดภัยพอสมควร และมีหวัง ตัณหา แต่เราจะต้องเอาฉันทะมาเป็นตัวแทนเพื่อ เจรญิ กา้ วหนา้ ไปไดด้ ี เข้าแทนที่ตัณหาต่างหาก คือ ประเด็นไม่ใช่อยู่ท่ีว่า ถ้าเร้าตัณหาให้ตัณหาเกิดขึ้นบ่อยๆ อยากหรือไม่อยาก แต่อยู่ท่ีว่าอยากอย่างไรจึงจะ เสมอๆ ก็จะกลายเป็นนิสัยแบบตัณหา เรียกอย่าง ถูกต้อง อยากอย่างไรจึงจะเป็นไปเพ่ือความดีงาม ภาษาปัจจุบันว่า “นิสัยนักเสพ” แต่ถ้าเร้าฉันทะ เพื่อความเจริญกา้ วหนา้ ให้เกิดข้ึนบ่อยๆ เสมอๆ ก็กลายเป็นนิสัยแบบ 14 ความอยากท่ีไม่ถูกต้อง ไม่ชอบธรรม ฉันทะ เรียกว่าอย่างภาษาทันสมัยว่า “นิสัย เป็นอกุศล เรียกว่า ตัณหา ได้แก่อยากได้ อยาก นกั สร้างสรรค์” เราจะตอ้ งสร้างนิสัยนักสรา้ งสรรค์ วารสาร ิวชาการ ป.ป.ช. เอา เฉพาะอย่างย่ิง อยากได้รูป เสียง กลิ่น รส หรอื นสิ ยั นกั สร้าง ไมใ่ ช่สร้างนิสยั นักเสพ สงิ่ สมั ผสั กาย ทช่ี นื่ ชอบ มาบำรงุ บำเรอปรนเปรอตน ถ้าสังคมของเราเต็มไปด้วยนักเสพ ตัณหา ีป ่ีท 3 ฉ ับบ ่ีท 1 มกราคม 2553 อยากไดผ้ ลประโยชนต์ า่ งๆ เรียกง่ายๆ วา่ อยากเสพ เข้ามาครอบงำสังคม มันจะเกิดปัญหาอย่างท่ีเป็น ความอยากทีถ่ ูกต้อง ชอบธรรม เปน็ กศุ ล อยู่นี้เร่ือยไป และมากขึ้นทุกที เพราะฉะน้ันเราจะ เรียกวา่ ฉันทะ ได้แก่อยากทำให้ดีงาม อยากเขา้ ถงึ ต้องหมุนกลับเข้ามาสู่การสร้างนิสัยนักสร้าง คือ ความดีงามความจริง เช่น อยากให้คนทั้งหลาย ปลูกฉันทะข้ึนมาให้ได้ แล้วมันก็จะไปเข้าคู่ช่วย มีสุขภาพดีแข็งแรง หน้าตาสดช่ืนเบิกบานผ่องใส เสริมกนั กับธรรมท่ีจะเขา้ มาแทนที่มานะ เป็นสุข อยากให้สถานที่สะอาดเรียบร้อยเป็น ข้อ ๒ คือ มานะ จะเอาอะไรเข้ามาแทน ระเบียบ อยากให้นักเรียนมีความรู้สึกดีประพฤติดี มานะ หลักธรรมสำคัญข้อหน่ึงท่ีจะใช้แก้มานะได้ มีหลักสูตรมีแบบเรียนที่ใช้สอนได้ผลดี อยากให้ ก็คือ ทมะ ทมะแปลว่า การฝึกฝนปรับปรุงตน บา้ นเมอื งสงบเรยี บรอ้ ย อดุ มสมบรู ณ์ ไมม่ คี นยากไร้ มานะมันทำให้ถือตัวสำคัญตนว่าย่ิงใหญ่แล้ว ไม่มีอาชญากรรม อยากให้คนทั้งหลายได้รู้สึก ก็เอาทมะมาดัดมากำราบมาฝึกตนนั้นเสีย ถ้าพูด เข้าใจสิ่งท่ีดีงามมีคุณค่าอันนี้ๆ อยากให้ชนรุ่นหลัง ส้ันๆ ก็ว่า “จะต้องสร้างนิสัยฝึกฝนพัฒนาตน ได้รับประโยชน์อย่างนี้ๆ ด้วย เฉพาะอย่างยิ่ง ใหเ้ กดิ ข้ึน”

คำว่า ทมะ น้ีหลายคนไม่คุ้นเคย จะให้ ตามปกติคนเรามีท่าทีต่อประสบการณ์ เข้าใจคำว่าทมะได้ดี ก็ต้องเอาคำท่ีมีความหมาย ต่างๆ อย่างไร ถ้าไม่มีนิสัยนักศึกษา เราก็จะ เหมือนกันหรือคล้ายกันมาช่วยมาเทียบเคียง มีนิสัยของปุถุชน นิสัยปุถุชนเป็นอย่างไร ก็คือการ ขอให้เข้าใจง่ายๆ ว่า ทมะก็คือสิกขา ที่เราใช้ว่า รับความกระทบในรูปของความชอบใจไม่ชอบใจ ศึกษา ทมะก็คือภาวนา ภาวนาก็คือการพัฒนา เม่ือคนเราพบเห็นอะไรเริ่มแรกทีเดียว เขาก็จะ การอบรมฝึกฝนทำให้เจริญข้ึน ทมะก็คือการฝึก มองในแง่ท่ีว่าชอบหรือไม่ชอบ แล้วต่อจากน้ันก็จะ ให้คลายให้ละเลิกส่ิงช่ัวร้ายส่ิงเสียหายเป็นโทษ มีการปรุงแต่งไปตามความชอบใจหรือไม่ชอบใจ แล้วเติมสิ่งท่ีดีงามเข้ามาแทน และฝึกให้เจริญ น้ัน อันน้ีเป็นเรื่องธรรมดา แต่พอเปล่ียนมาเป็น งอกงามใหช้ ำนาญชำ่ ชองในสง่ิ ทดี่ งี ามนนั้ ยงิ่ ๆ ขนึ้ ไป นิสัยนักศึกษา เขาเปล่ียนใหม่ กลายเป็นมองว่า จนถึงท่ีสดุ ประสบการณ์นี้เราจะนำมาใช้ประโยชน์อะไร การสร้างทมะก็คือการสร้างจิตสำนึก ได้บ้าง และไม่คำนึงถึงว่าประสบการณ์น้ีน่าชอบใจ ในการฝึกฝนพัฒนาตน ซ่งึ เรยี กวา่ ไดว้ ่า “เป็นการ หรอื ไม่ เพราะวา่ ... วารสารวิชาการ ป.ป.ช. สร้างนิสัยของนักศึกษา” เป็นที่น่าสังเกตว่า “ส่ิงทั้งหลายไม่ว่าดีหรือร้ายล้วนมีคุณ ในเมื่อเราถือการศึกษาเป็นสำคัญ และให้คนเป็น ได้ท้ังนั้น ถ้ารู้จักนำมาเลือกใช้ให้เป็นประโยชน์ ปที ่ี 3 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม 2553 นักศึกษาน้ัน เราทำให้คนหรือเยาวชนมีลักษณะ ฉะน้ัน สำหรับผู้เป็นนักศึกษาแล้วก็จะไม่เห็น จิตใจหรือมีนิสัยของนักศึกษาด้วยหรือไม่ และเรา อะไรท่ีไม่มีประโยชน์ และในแง่ของจิตใจ เมื่อไม่ จะเอาอะไรเป็นนิสัยนักศึกษา นิสัยนักศึกษา มองในแง่ชอบหรือชัง ก็ไม่มีการรับความกระทบ มีลักษณะอยา่ งไร กระแทก จิตใจปลอดโปร่งผ่องใสตลอดเวลา 15 ในทัศนะของผู้เขียนที่มองจากทางธรรม ก็เลยไม่มีปัญหา เพราะไม่มีตัณหาท่ีเป็นตัวคอย “ นิ สั ย นั ก ศึ ก ษ า ก็ คื อ ห ลั ก ธ ร ร ม ข้ อ ท ม ะ นี้ แส่หาความกระทบและมานะก็ไม่มีด้วย เพราะ กล่าวคือ การมีจิตสำนึกในการท่ีจะฝึกฝนพัฒนา มานะมันเป็นตัวตรงข้ามของนิสัยนักศึกษาเลย ตนเองอยู่เสมอ จิตใจที่มุ่งฝึกฝนพัฒนาตน ก็ว่าได้ เม่ือไม่รับกระทบกระแทก ก็ไม่ทำให้เกิด มีลักษณะอย่างไร ลักษณะที่เด่นอย่างหน่ึงก็คือ การขัดแย้ง ปัญหาต่อไปก็ไม่เกิด ฉะนั้นเราจะ การมองอะไรๆ เปน็ การเรยี นรหู้ มด หมายความวา่ รับประสบการณ์ในลักษณะที่ว่า อันนี้ก็นำมาใช้ เมื่อเขาได้พบเห็น มีประสบการณ์อะไรเขาจะ ประโยชนไ์ ด้ เขาว่าไมด่ ีมาฉนั กน็ ำมาใชป้ ระโยชน์ มองในแง่ท่ีจะเลือกเอามาใช้เอามาทำให้เป็น ได้ เขาด่ามาฉันก็นำมาใช้ประโยชน์ได้ ฉะน้ัน ประโยชน์ คอื จะคอยถามตวั เองวา่ ประสบการณ์ นสิ ยั นกั ศกึ ษาเมอื่ เกดิ ขนึ้ แลว้ กม็ แี ตค่ ณุ ฝา่ ยเดยี ว” นั้นๆ จะนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการแก้ไข ปัญหาอยู่ท่ีว่าเราได้สร้างนิสัยนักศึกษา ปรับปรุงตัวของเขาเองอย่างไร หรือว่าจะนำมา กันข้ึนมาบ้างหรือไม่ อันนี้คือตัวพื้นฐานท่ีสำคัญ ใช้ให้เป็นประโยชน์แก่สังคม ในการช่วยเหลือกัน พอมีนิสัยนักศึกษามา ความถ่อมตน ความอะไร ในการแก้ไขปัญหาได้อย่างไร ประสบการณ์น้ี ตอ่ อะไรทดี่ ๆี กเ็ กดิ ตามมา มานะกห็ ายไปเอง ฉะนน้ั เป็นเรือ่ งทค่ี นตอ้ งพบอยู่เสมอเปน็ ธรรมดา” อย่าใช้มานะเป็นตัวเร้าให้คนศึกษาเล่าเรียน เรามา สร้างนิสัยนักศึกษากันดีกว่า นิสัยนักศึกษานี้

เมอ่ื ประกอบดว้ ยฉนั ทะแลว้ กจ็ ะอำนวยคณุ ประโยชน์ ช่วยเสริมการศึกษา ทำให้เกิดความคล่องตัว ใหม้ ากทเี ดยี ว แลว้ เรากอ็ าจจะไมจ่ ำเปน็ ตอ้ งใชร้ ะบบ ในการแสวงหาความรู้ เพราะยิง่ อ่อนนอ้ มถอ่ มตน แข่งขัน หรือถ้าระบบแข่งขันเข้ามา เราก็สามารถ ไร้ความถอื ตัวถือตน เสรภี าพกย็ ่ิงได้โอกาสในการ แปรมาใช้ในทางท่ีเป็นคุณประโยชน์ ในเม่ือเรา ที่จะแสวงหาความรู้ เข้าถึงความจริงได้ดีย่ิงข้ึน สามารถสรา้ งคณุ ธรรมขอ้ นขี้ ้นึ มาแทน แต่ถ้าไม่เข้าใจความหมายของการไหว้ครูอย่างท่ี เมื่อพูดถึงเร่ืองมานะกับนิสัยนักศึกษา กล่าวมา การไหว้ครูก็อาจจะกลายไปเป็นพิธีแข่ง ก็ขอแทรกเสริมอะไรสักนิดหน่อย คือ คนไทยนั้น มานะ ระหวา่ งบคุ คล ๒ พวก คอื ฝา่ ยครกู บั ฝา่ ยศษิ ย์ แม้จะมีลักษณะนิสัยหรือบุคลิกภาพหนักเด่น กลายเป็นพิธีกดมานะของศิษย์ให้ยอมแก่มานะ ในทางมานะก็ตาม แต่โบราณก็มีวิธีปฏิบัติในการ ของครู แม้แต่เสรีภาพก็จะถูกเข้าใจและถูกนำมา แก้ดีเหมือนกัน เชน่ อยา่ งพิธไี หวค้ รนู ้ี ก็อาจมอง ใช้เป็นเคร่ืองเสริมการแข่งมานะกัน หรือเป็นทาง ได้ว่าเป็นวิธีการถอนมานะ และสร้างจิตสำนึก แสดงออกของมานะว่า ฉันมีสิทธิแสดงออกว่าฉัน ของนิสัยนักศึกษาเข้าใส่แทน คือเป็นทำนองว่า กเ็ ทา่ เทยี มกบั ทา่ นแลว้ หรอื อะไรๆ ทำนองนี้ เสรภี าพ คนไทยนั้นมีมานะมาก มานะนี้ทำให้ไม่ยอมลง แทนที่จะมีคุณค่าในทางส่งเสริมส่ิงดีงาม เช่น ให้แก่ใคร และจะเป็นอุปสรรคกีดกั้นในการศึกษา การศึกษาเล่าเรียน ก็กลับกลายเป็นโทษ เป็นทาง เลา่ เรยี น ทำใหไ้ มร่ บั ความรแู้ ละไมร่ บั การฝกึ ฝนแลว้ แสดงออกของมานะ และกลบทับทำลายนิสัย การเล่าเรียนก็จะได้ผลน้อยหรอื ไมไ่ ด้ผลเลย นักศึกษาให้หมดคณุ ค่าไป พิธีไหว้ครูเป็นการแสดงความยอมรับต่อ ข้อที่ ๓ คือ ทิฐิ ข้อน้ีแต่เดิมไม่ได้คิดจะ 16 ผู้ท่ีจะเป็นครูบอกให้รู้ แสดงให้เห็นและเตรียมใจ พูดถึงการแก้ เพราะเห็นว่า กิเลสท่ีเป็นตัวเด่นใน แจง้ แกต่ นเองวา่ เราละวางมานะลงทง้ั หมด ตอ่ จากน้ี สงั คมไทยที่เป็นมากค็ อื ตัณหากบั มานะ จึงพูดเน้น วารสาร ิวชาการ ป.ป.ช. ไปเราจะไม่มีมานะในเรื่องการเล่าเรียนศึกษาน้ีเลย แตส่ องขอ้ นนั้ แตบ่ างทา่ นขอทราบ จงึ เอามาเพมิ่ เตมิ เราละวางมานะหมดแลว้ จะมแี ตจ่ ติ ใจของนกั ศกึ ษา เข้าไว้ด้วย ว่าท่ีจริง ทิฐิก็เป็นกิเลสที่น่าสนใจมาก ีป ่ีท 3 ฉ ับบ ่ีท 1 มกราคม 2553 หรือนิสัยของนักศึกษาอย่างเดียว จะต้ังใจรับรู้ เหมือนกัน ในบางสังคมน้ันเห็นได้ชัดมากว่าเท่าท่ี เรยี นร้ปู ระสบการณต์ า่ งๆ แตใ่ นแงท่ จี่ ะเลอื กเอามา เป็นมา ปัญหาต่างๆ เกิดจากความคล่ังไคล้ในลัทธิ ใช้ให้เป็นประโยชน์ ให้เกิดคุณค่าอย่างเดียว จะ นิยมความเช่ือถือไม่ยอมกันทางศาสนา และความ ไม่รับเข้ามาในลักษณะท่ีเป็นการกระทบกระแทก ขัดแย้งในทางอุดมการณ์ เป็นปัญหาที่รุนแรง และ บีบคั้นตวั ตนของเราเลย ยืดเย้ือเรื้อรังมาก แม้ในสังคมไทยเอง ปัจจุบันน้ี ดังนน้ั ในพธิ ีไหว้ครู เราจะทำอาการเคารพ แนวโน้มในทางให้ความสำคัญแก่ลัทธินิยม นอบน้อม หรือการกระทำอะไรก็ตามท่ีดีงาม อุดมการณ์ต่างๆ ก็มีมากขึ้น มีการเน้นการย้ำ เหมาะสมได้ทุกอย่าง ท่ีเป็นการแสดงออกเป็นการ เกี่ยวกับความยึดถือในลัทธินิยมและอุดมการณ์ เสริมช่วยการลดละสละมานะของเรา ถ้าเข้าใจ ต่างๆ มากขึ้น มีทางเป็นไปได้ไม่น้อยว่า ต่อไป ความหมายอย่างนี้แล้ว พิธีไหว้ครูก็จะเกิดมีคุณค่า ปัญหาท่ีเกิดจากความขัดแย้งทางลัทธินิยม ตอ่ การศกึ ษาอยา่ งถกู ตอ้ ง องคป์ ระกอบอนื่ ๆ แมแ้ ต่ อุดมการณ์ หรือเรียกง่ายๆ ว่าปัญหาท่ีเกิดจาก เสรีภาพก็จะกลายเป็นเครื่องมือหรือเป็นปัจจัย ทิฐนิ ้ีจะมีมากขน้ึ

หลักธรรมที่เป็นตัวแทนและเป็นตัวแก้ หน่ึง จะไม่ยึดติดในความคิดเห็น ของทฐิ ิ กค็ อื ทา่ ทแี บบทท่ี า่ นเรยี กวา่ “สจั จานรุ กั ข”์ ในลัทธินิยมอุดมการณ์ตลอดจนศาสนาอย่าง หรือสัจจานุรักษ์ และสัตยานุรักษ์ แปลว่า รุนแรง ถึงขนาดท่ีจะต้องขัดแย้งรบราฆ่าฟันกัน การอนุรักษ์สัจจะ คือคุ้มครองสัจธรรมหรือ เปน็ สงคราม จะมขี ัดแยง้ กันก็เพยี งด้วยการถกเถยี ง รักษาความจริง หมายความว่าคุ้มครองรักษา โดยเหตผุ ล สัจธรรม ไม่ใช่คุ้มครองรักษาความคิดเห็นของ สอง จะไม่เอาความคิดเห็น ทฤษฎี ตนเอง ไม่ใช่ว่าฉันจะปกป้องความคิดเห็นหรือ ลทั ธนิ ยิ ม อดุ มการณ์ ตลอดจนศาสนาทตี่ นยดึ ถอื อยู่ ลัทธิทฤษฎีของฉันไว้ให้ได้ ความจริงหรือสัจธรรม ไปเป็นเครื่องครอบงำบีบบังคับคนอ่ืนให้ยึดถือตาม จะเป็นอย่างไรกช็ ่าง แต่จะทำเพียงพูดจาอธิบายให้เขาเข้าใจและเห็น คนจำนวนมากทีเดียว ตอนแรกก็ ตามโดยเหตุผล ด้วยความรักสัจธรรม และด้วย พยามยามแสวงหาความจริงดีอยู่ แต่ต่อมาพอไป ความรักเพ่ือนมนุษย์ อย่างให้เขาเข้าถึงสัจธรรม ชอบใจทฤษฎีอันใดอนั หนึง่ เข้า ก็ยดึ ตดิ ในทฤษฎนี ั้น นั้นด้วยปัญญาและประสบการณ์ของตน ท่าที วารสารวิชาการ ป.ป.ช. คราวน้ีก็กลายเป็นเหมือนว่าทฤษฎีนั้นจะเป็น สัจจานุรักษ์น้ีจะสำเร็จได้ก็ด้วยมีโยนิโสมนสิการ ส่ิงสำคัญย่ิงไปกว่าสัจธรรมท่ีตนแสวงหาเสียอีก คอื การทำในใจโดยแยบคาย หรือการพจิ ารณาโดย ปที ่ี 3 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม 2553 ใครจะพูดอะไรเพ่ือให้ได้ฟังได้พิจารณาความจริง ตลอดสาย เปน็ เครอ่ื งสนบั สนนุ เพอ่ื เขา้ ถงึ สจั ธรรมย่งิ ๆ ขนึ้ ไป ก็ไมเ่ อาแล้ว ต้ังหนา้ เท่าที่ได้กล่าวมาทั้งหมด ก็เพื่อสรุปเข้าสู่ ต้ังตาจะปกป้องทฤษฎีที่ยึดไว้น้ันท่าเดียว กลาย หลักการท่ีสำคัญๆ บางอย่าง กล่าวคือ ธรรมะที่ เป็นว่า ความจริงต้องเป็นอย่างที่ฉันเห็น ไม่ใช่ ผู้เขียนได้นำมาใช้เป็นพ้ืนฐานในการพูดเรื่องท่ี 17 โพล่งออกมาว่า ฉนั เห็นตรงตามความจรงิ คนทเ่ี ป็น ผ่านมาท้ังหมด เช่น เร่ืองตัณหา มานะ เป็นต้นนั้น สัจจานุรักษ์จะมีใจมุ่งต่อสัจจะ ใฝ่ต่อสัจธรรม มีหลักการต่างๆ ซึ่งพอจะนำมาสรุปได้ประมาณ มุ่งหมายคุ้มครองรักษาความจริง พร้อมที่จะสละ ๔ ข้อ ดังนี้ ความคดิ เหน็ ความยดึ ถอื ของตน เมอื่ พจิ ารณาเหน็ ชดั ข้อท่ีหน่ึง การท่ีสังคมมีการสะสมทาง ว่าตนเหน็ ผดิ ถอื ผดิ และไมผ่ ูกขาดสัจธรรมน้นั ทา่ ที จริยธรรม จะถือว่าจริยธรรมเป็นเรื่องท่ีตัดตอน ทีส่ ำคญั กค็ ือ ลอยๆ ไปไม่ได้ อยา่ นกึ วา่ เราจะสร้างจริยธรรมใหม่ หนึ่ง การไม่ถือความคิดเห็นหรือทฤษฎี แล้วเราก็เอาจริยธรรมท่ีเราชอบใจเลือกมา ของตนเปน็ ความจริง อย่างทีบ่ อกว่า ความจรงิ ตอ้ ง แล้วมาใส่มามอบให้น้ันเป็นไปไม่ได้ จริยธรรมของ เป็นอย่างที่ฉันเห็นหรือต้องเป็นไปตามทฤษฎี สังคมหรือแม้แต่ของบุคคลหน่ึงๆ เป็นกระบวนการ ของฉัน แต่พูดได้ว่า อ้อ ฉันเห็นตรงตามความจริง ที่ต่อเนื่อง เราไม่สามารถสร้างคนให้มีจริยธรรม หรอื วา่ ความคิดเห็นของฉันตรงกบั ความเปน็ จรงิ อยา่ งใหมข่ นึ้ มาไดอ้ ยา่ งลอยๆ เพราะคนเราไมพ่ น้ จาก สอง ไม่ผูกขาดสัจธรรม หรือไม่ผูกขาด พ้ืนฐานเท่าที่มีอยู่ ซึ่งสะสมมา ฉะนั้น พื้นฐานเก่า ความจริงว่า อย่างน้ีเท่าน้ันจริง อย่างอ่ืนเท็จทั้งส้ิน นี้เราจะต้องเข้าใจ ถ้าเราจะสร้างจริยธรรมใหม่ ผลคือ เราต้องแก้ไขปรับพื้นฐานน้ัน ให้รับกับของใหม่ ได้อย่างเหมาะสมหรืออย่างพอดี ดังที่ยกตัวอย่าง

เช่นการรับระบบแข่งขันเข้ามา เป็นต้น พื้นฐาน ไม่ต้องพูดแยกออกไปว่า เด็กและเยาวชนรุ่นใหม่ ของเราคืออะไร ท่ีจะเป็นปัจจัยรับและเป็นตัว ควรมีจริยธรรมข้อนั้น ควรมีคุณธรรมข้อนี้ มีหนึ่ง สนองต่อ มีสอง มีสาม มีสี่ แต่จะต้องจับตัวแกนให้ได้ ข้อทส่ี อง วธิ ปี ลกู ฝงั พฒั นาจริยธรรม อันนี้ แล้วสร้างข้ึนมาเป็นตัวหลักหรือแกนหลัก โดยมี เกี่ยวกับการมองจริยธรรม การมองจริยธรรมนั้นมี เป้าว่าจะให้มีอะไรๆ บ้าง จากนั้นจริยธรรมอื่นก็จะ ๒ แบบ คือ การมองแบบเป็นแต่ละช้ินๆ ต่างหาก เกิดขน้ึ ตามมา จากกนั เหมอื นรายการสินคา้ หรอื บัญชีของ กับการ ดงั นนั้ ถา้ เราสรา้ งฉนั ทะขน้ึ มาได้ สรา้ งนสิ ยั มองแบบเช่ือมโยงสัมพันธ์กันทั้งหมด จากการมอง นักสร้างสรรค์ สร้างลักษณะจิตใจของนักทำงาน ๒ แบบน้ี การฝึกฝนพัฒนาจริยธรรมก็ต่างกัน ข้ึนมาแล้ว คุณสมบัติที่พึงปรารถนาอ่ืนๆ หรือ ไปดว้ ย คุณธรรมอ่ืน เช่น ความมีวินัยก็จะเกิดขึ้น คือ วิธีฝึกฝนพัฒนาแบบที่หน่ึง คือ เรา เม่ือเป็นนักทำงานแล้ว ความมีวินัยก็พร้อมที่จะ กำหนดจริยธรรมขึ้นมาเป็นข้อๆ เช่น ความมี เกิดขึ้น แต่ไม่จำเป็นที่จะต้องเกิดขึ้น แต่จะต้อง ระเบียบวินัย ความรับผิดชอบ ความกตัญญูกตเวที มีผู้ที่ช่วยคอยตะล่อมคอยช่วยคุมแนวทางด้วย ความมีสติรอบคอบ ว่ามาเป็นข้อๆ คราวนี้ให้ฝึก เหมือนกัน สรปุ ไดว้ ่าคณุ ธรรมแกนและอ่นื ๆ พรอ้ ม ข้อน้ีๆ แล้วก็กำหนดวิธีฝึกของแต่ละข้อขึ้นมา ท่ีจะเกิดข้ึนและเกิดตามมา เช่น ความอดทน นอี้ ย่างหน่ึง ความสู้งาน ความรับผิดชอบ การควบคุมตัวเองได้ วิธีฝึกฝนพัฒนาแบบที่สอง คือ ถือว่า ความประณีต สุขุม ความสามารถร่วมงานกับผู้อ่ืน 18 ธรรมะทง้ั หมดเปน็ องคป์ ระกอบดา้ นตา่ งๆ ของเรอื่ ง การไม่ฟุ้งเฟ้อมัวเมา เหล่านี้พร้อมที่จะตามมา เดยี วกัน ในกระบวนการเดียวกนั คอื กระบวนการ เป็นอันว่าเราเอาคุณธรรมอันหนึ่งเป็นหลัก แล้ว วารสาร ิวชาการ ป.ป.ช. พัฒนาคน ถ้าอยู่ในกระบวนการอันเดียวกันแล้ว อันอื่นกส็ รา้ งโดยเปน็ พวงหอ้ ยตามมา การฝึกก็ไม่ใช่เป็นแบบท่ีมาสร้างจริยธรรมทีละข้อ ข้อที่สาม ซึ่งเนื่องมาจากข้อที่สอง คือ ีป ่ีท 3 ฉ ับบ ่ีท 1 มกราคม 2553 แต่เป็นการท่ีจะต้องหาองค์ธรรมท่ีเป็นแกน หรือ การมองธรรมะ หรือองค์ธรรม หรือคุณธรรม หรือ ตัวแกนหลักขึ้นมาอันหน่ึง เม่ือจับแกนหลักขึ้นมา จริยธรรมต่างๆ วา่ เปน็ อุปกรณ์ หรอื วถิ ีทางท่ีนำไป ได้แล้ว ก็กำหนดว่าอะไรบ้างท่ีเป็นคุณสมบัติอ่ืน สู่จุดหมาย ไม่ใช่เป็นตัวจุดหมาย ผู้ที่ฝึกฝนพัฒนา หรือจริยธรรมข้ออื่นท่ีเราต้องการ แล้วคอยตะล่อม จริยธรรมแบบเป็นข้อๆ มักจะมองตัวจริยธรรมน้ัน ให้คุณธรรมเหลา่ นนั้ เกดิ ข้ึนมาด้วย ในกระบวนการ เป็นเป้าหมาย หรือเป็นหลักท่ีสำเร็จในตัว แล้วก็ พฒั นาองคธ์ รรมหรอื จรยิ ธรรมแกนนนั้ แลว้ จรยิ ธรรม พยายามฝึกให้คนมีจริยธรรมแบบเป็นข้อๆ มักจะ ท่ีต้องการก็จะเกดิ พว่ งมาดว้ ยกนั มองตัวจริยธรรมน้ันเป็นเป้าหมาย หรือเป็นหลัก ผู้เขยี นเห็นว่า การปลูกฝงั พฒั นาจริยธรรม ท่ีสำเร็จในตัว แล้วก็พยายามฝึกให้คนมีจริยธรรม ที่ถูกต้องแท้จริงน้ัน ต้องทำตามวิธีที่ ๒ คือ ถือว่า ข้อนน้ั ๆ หลักธรรมและจริยธรรมน้ันสัมพันธ์กันท้ังหมด ในการพัฒนาแบบที่เป็นกระบวนการนี้ เป็นด้านต่างๆ ของกระบวนการเดียวกัน คือ ในหลักพุทธศาสนาเองก็บอกว่า ธรรมทั้งหมดเป็น กระบวนการพัฒนาคน เพราะฉะนั้น ในกรณีนี้จึง เหมือนแพสำหรับนำไปสู่จุดหมาย และถ้าเรา

แยกแยะออกไปอีก องค์ธรรมต่างๆ ก็เป็นเหมือน เราได้เนน้ แง่ลบมามาก ตอ่ ไปเราจะตอ้ งเน้นแงบ่ วก ส่วนประกอบทั้งหมดท่ีมารวมกันเข้าเป็นตัวแพ ให้มากด้วย อย่างเช่น ฉันทะก็ต้องเอาเข้ามา ในเม่ือมันเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการมันเป็น ต้องเนน้ ความอยากท่ีชอบธรรม แต่จะเนน้ ท่แี งบ่ วก อุปกรณ์ท่ีเราจะนำมาใช้ประโยชน์ เราอาจวาง อย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะว่าตัวอกุศลท่ีเป็นเช้ือ เป้าหมายของการฝึกไว้ ซึ่งไม่ใช่ตัวธรรมะเอง เม่ือมีอยู่ ถ้าไม่ละมันเสีย ต่อไปมันก็กำเริบทำพิษ แตใ่ นการฝึกเพ่อื ใหบ้ รรลุเปา้ หมายนัน้ เราประสงค์ ขึ้นมาอีก ฉะน้ัน จึงต้องมีพร้อม มีทั้งจริยธรรม จะให้เขามีธรรมะเหล่านี้ แล้วคอยคุมดูว่าเขาได้ ด้านบวกและด้านลบ สงั เกตวา่ สังคมไทยอยา่ งน้อย พัฒนาธรรมะเหล่าน้ีข้ึนมาเป็นอุปกรณ์ เป็น เท่าที่มองเห็นกันอยู่น้ี เน้นจริยธรรมด้านลบมาก เคร่ืองมือในการที่เขาจะบรรลุเป้าหมายน้ันหรือไม่ ส่วนฝ่ายตะวันตกก็เน้นด้านบวกมาก เราควรจะ ในการฝึกฝนพัฒนาแบบน้ี แปลว่าเราจะต้องต้ัง ทำให้สมดุล มีท้ังด้านบวกและด้านลบพอดๆี เปา้ หมายข้ึนมา แล้วพฒั นาคนข้นึ ไปสูเ่ ป้าหมายน้นั ถึงแม้ความหมายของธรรมะแต่ละข้อ พร้อมกันน้ันก็ให้รู้ว่าในกระบวนการพัฒนานี้จะ เหมือนกัน ก็ต้องมองให้ครบทั้งด้านลบและบวก วารสารวิชาการ ป.ป.ช. ให้เขามีคุณธรรมอะไรข้ึนมาบ้าง แล้วอุปกรณ์ที่ ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น ทมะ เรามักจะแปลว่า เป็นธรรมหรือธรรมท่ีเป็นอุปกรณ์เหล่าน้ันก็จะ ความข่มใจ ความข่มใจน้ีเป็นความหมายนัยลบ ปที ่ี 3 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม 2553 เกิดข้ึนมา เพ่ือช่วยกันทำให้เขาบรรลุเป้าหมาย คือ ข่มระงับไม่ให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ให้งดเว้น ทตี่ ้งั ไว้ จากสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่เป็นความหมายที่ไม่สมบูรณ์ ข้อท่ีสี่ คือ จริยธรรมท่ีพึงระวัง ได้แก่ ทมะน้ันตัวจริงแปลว่าการฝึก การฝึกนั้นก็มีแนว จริยธรรมท่ีเอียงสุดไปด้านเดียว เป็นธรรมชาติของ มาจากการฝึกสตั ว์ การฝกึ สัตวเ์ ขาทำ ๒ ข้นั 19 คนอย่างหน่ึงท่ีจะเอียงสุด สมัยหนึ่งเอียงสุดไปด้าน ขน้ั ทหี่ นงึ่ เป็นขน้ั ลบ ไดแ้ กก่ ารปราบพยศ วัตถุ อีกสมัยหนึ่งเอียงสุดไปทางจิต อย่างนี้เป็นต้น ขม่ ให้หายพยศ หายดื้อ ชำระลา้ งนสิ ัยปา่ ใหห้ มดไป เป็นมาตั้งแต่ก่อนพุทธกาลแล้ว ตอนท่ีพระพุทธเจ้า ข้ันท่ีสอง ด้านบวก คือฝึกให้ทำอะไรได้ดี ประสูติ ก็มีทั้งพวกท่ีเอียงสุดไปทางวัตถุ และพวก พเิ ศษ เช่น เล่นละครได้ ใช้งานก็ได้ ที่เอียงสุดไปทางจิต แล้วพระพุทธเจ้าก็มาสอน สรุปว่า ทมะด้านลบก็คือระงับ ปราบส่ิงท่ี มชั ฌิมาปฏิปทา คือ การดำเนนิ สายกลาง เสียหาย เป็นภัย และด้านบวก คือฝึกหรือให้ทำ การเอยี งสดุ ในทนี่ ้ี กค็ อื การเอยี งสดุ ดา้ นลบ อะไรได้อย่างดีย่ิงๆ ขึ้นไป จนประเสริฐสุดวิเศษ และด้านบวก ในวงการธรรมะจำนวนไมน่ ้อยได้เน้น เช่น ฝึกคนจนเป็นพระพุทธเจ้า คนที่ฝึกแล้วท่าน ด้านลบ เช่น เน้นเร่ืองการลด การละ การสละ ยกย่องเป็น ทันโต เสฏโฐ มนุสเสสุ ผู้ท่ีฝึกแล้ว การข่ม การเวน้ และการปลกี ตัวออกไป ลักษณะนี้ เปน็ บคุ คลท่ปี ระเสริฐสุดในหม่มู นุษยท์ ัง้ หลาย หรือ นับว่าเป็นกันมากเหมือนกัน เพราะไปเข้าใจเร่ือง ประเสรฐิ ย่งิ กว่าแมก้ ระท่งั เทวดามารพรหม ตณั หาตามทไ่ี ดอ้ ธบิ ายแลว้ กเ็ ลยตอ้ งละความอยาก ธรรมะทีเ่ ป็นคคู่ ลา้ ยๆ บวกลบ อยา่ งเช่น ต้องข่มความอยาก ให้หมดความอยาก เลิกความ สันโดษ เราก็มีปัญหา เพราะไม่ได้สังคายนาความ อยาก ตลอดจนไม่มีความอยาก จริยธรรมท่ีเรา เข้าใจกันในเร่ืองสันโดษ ก็เลยไปสันโดษในเร่ืองที่ ควรเน้นคอื จะต้องมแี ง่บวกด้วย ถ้าหากในส่วนอดีต ไม่ควรสันโดษ และไม่สันโดษในสิ่งท่ีควรสันโดษ

ในเรื่องนี้ไม่ต้องเถียงกันว่าสันโดษดีหรือไม่ดี เลื่อมใส ยังไม่รู้จักพระพุทธศาสนา ชาววังได้ถวาย สันโดษมีทั้งคุณและโทษ และไม่สันโดษก็มีทั้งคุณ จีวรแก่พระอานนท์มากมาย พระเจ้าอุเทนทรง และโทษเช่นเดียวกัน ถ้าคนไหนสันโดษในความดี สังเกตเห็น รู้สึกไม่พอพระทัยเลย พระน้ีจะเอาไป แล้วก็ยากที่จะพัฒนา ยากท่ีจะสร้างความเจริญ ทำอะไร รบั ของไปมากมาย พระองคอ์ ดรนทนไมไ่ หว กา้ วหนา้ พระพทุ ธเจา้ ตรสั วา่ พระองคท์ ไี่ ดต้ รสั รนู้ ี้ ก็ถามพระอานนท์ว่า ทำไมรับของไปมากมาย อสันตุฏฐิตา กุสเลสุ ธัมเมสุ ข้อหนึ่งเพราะไม่ จะเอาไปใช้อะไร พระอานนท์ก็แจกแจงวิธีปฏิบัติ สันโดษในกุศลธรรมทั้งหลาย ฉะน้ัน จะต้องไม่ ของท่านในจีวร ๕๐๐ ผืนนั้นว่า จะไปแจกพระที่มี สนั โดษในการสรา้ งสรรค์สง่ิ ดีงาม จีวรเก่าที่ควรจะเปล่ียนแล้ว และจีวรเก่านั้นล่ะ ส่วนสันโดษในการแสวงหาส่ิงบำรุงบำเรอ จะเอาไปทำอะไร พระอานนท์ก็แจกแจงว่าเอาไป ในความฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย นี้คือเรื่องที่ต้องสันโดษ ทำโน่นทำน่ี แม้แต่ผ้าข้ีริ้วก็ยังใช้ประโยชน์ได้จน พอสันโดษด้านหนึ่งมันก็จะช่วยสนับสนุนความไม่ ผ้าไม่เหลืออีกเลย คือ มีของส่ิงหน่ึงก็ใช้ให้ได้ สันโดษอีกด้านหน่ึง เพราะเม่ือเราสันโดษในการ ประโยชน์มากที่สุดทั้งส่วนตนและสังคม น่ันคือ แสวงหาส่ิงบำรุงบำเรอปรนเปรอตนเองแล้ว เราก็ ประหยัด มีความหมายท้ังด้านลบท่ีว่า ใช้อย่างให้ สามารถนำเอาพลังงานท่ีสงวนไว้มาใช้ในการที่จะ สิ้นเปลืองสูญเปล่าน้อยที่สุด และด้านบวกคือใช้ ไมส่ นั โดษในการสรา้ งสรรคส์ ง่ิ ทด่ี งี าม ฉะนนั้ จงึ ตอ้ ง ของน้อยที่สุดเป็นประโยชน์ได้มากที่สุด ขอผ่าน เน้นเกี่ยวกับความไม่สันโดษในกุศลธรรมน้ีด้วย จริยธรรมเอยี งสดุ ดา้ นลบกบั ดา้ นบวกไป ซ่ึงเป็นคุณธรรมสำคัญอันหน่ึงที่พระพุทธเจ้า คราวนี้เอียงสุดอีกด้านหนึ่ง คือ เร่ือง 20 ตรัสไว้บ่อยๆ เหมือนกัน แต่เราอาจจะมองข้ามไป ทฤษฎีกับปฏิบัติ หรือปริยัติกับปฏิบัติ ในการ ก็เลยถือว่าความไม่สันโดษเป็นอกุศลเสียอย่างเดียว อบรมจริยธรรม บางทีก็มีการเอียงสุดในเร่ืองนี้ คือ วารสาร ิวชาการ ป.ป.ช. จึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขหรือมีคำจำกัดให้ชัด บางสมัยก็เอียงสุดในด้านทฤษฎีหรือปริยัติ คือ ว่าไม่สันโดษในอะไร หรือสันโดษในอะไร ไม่ใช่ เอาแต่เรียนในห้องให้ท่องให้จำ ต่อมาอีกสมัยหนึ่ง ีป ่ีท 3 ฉ ับบ ่ีท 1 มกราคม 2553 สนั โดษลอยๆ เห็นว่าการเรียนทฤษฎีไม่ได้ทำให้เกิดจริยธรรม อีกตัวอย่างหนึ่ง คือ เรื่องความประหยัด ที่แท้จริง ก็หันไปกล่าวว่าจริยธรรมนี้จะต้องเกิดข้ึน ความประหยดั กม็ แี งท่ จ่ี ะตอ้ งพจิ ารณา ในภาษาไทย โดยการปฏบิ ตั ิ ฉะนน้ั ตอ้ งเนน้ ทกี่ ารปฏบิ ตั ิแลว้ บางที ใหค้ วามหมายไดห้ ลายอยา่ ง การประหยดั หมายถงึ ก็เลยติเตียนทฤษฎีหรือปริยัติว่าไม่มีประโยชน์ การใช้อย่างมัธยัสถ์ หรือการใช้อย่างระมัดระวัง ก็เป็นสุดทางอีกข้างหน่ึง ในทางที่ถูกต้องน้ัน ไม่ให้สิ้นเปลือง อาจจะมุ่งหมายว่า เพื่อตัวเอง มนั สำคญั ด้วยกัน ๒ อยา่ ง ทัง้ ปรยิ ัตแิ ละปฏบิ ัติ จะได้มีเก็บไว้มากๆ แต่ความหมายทางธรรม คือ ถ้าเรียนแต่ทฤษฎีไม่มีปฏิบัติมันก็ไม่ การใช้ส่ิงของสิ่งหน่ึง หรือใช้อะไรก็ตามให้เป็น เกิดผลอะไรเลย ก็คือไม่ได้ใช้น่ันเอง เรียกว่า ประโยชน์มากท่ีสุด โดยไม่จำกัดว่าจะเพ่ือตนเอง มีความรู้อยู่ในตำราหรืออะไรทำนองน้ี ในทาง หรือเพ่ือใครๆ มีเรื่องว่าทางวังของพระเจ้าอุเทน ตรงขา้ ม ถา้ ปฏิบตั ิอย่างเดียว ดไี ม่ดกี ็อาจจะเหมือน มีความเล่ือมใสศรัทธาในพระอานนท์มาก และได้ ฝึกสัตว์เลี้ยงหรือสัตว์ใช้งาน เมื่อฝึกมันก็ทำอย่างที่ นิมนต์ท่านเข้าไปในวัง แต่องค์พระเจ้าอุเทนยังไม่ ฝึก ก็เท่านั้นเอง แต่คนเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ที่รู้จัก

คิดพิจารณา จะต้องมีการสั่งสอนแนะนำ การที่ ตน มีปัญญาท่ีจะแยกแยะเลือกเฟ้น ก็จะมีสติ จะให้เขาเข้าใจความหมายของจริยธรรมแต่ละ ย้ังคิดขึ้นมา เมื่อมีสติย้ังคิดแล้ว ก็จะพิจารณา อยา่ งๆ นน้ั พรอ้ มทง้ั เหตผุ ลทจ่ี ะตอ้ งนำไปประพฤติ ตามทางของเหตุผล ก็จะพิจารณาแม้แต่ประเทศ ตลอดจนแง่ดีแง่เสีย ให้เขารู้จักนำไปใช้ปรับปรุง ท่ีเห็นว่าเจริญน้ัน อย่างเช่น เห็นอเมริกาเจริญ ตัวเอง เลือกสรรใช้ให้เหมาะสมกับตน รวมท้ัง ก็พิจารณาว่าอเมริกามีจุดดีอะไรบ้าง และที่ดีน้ัน การที่เขาจะต้องรู้จักรับผิดชอบในทางจริยธรรม ดีด้วยอะไร ทำไมจึงดีอย่างน้ัน ทำไมจึงเจริญ ต่อไปได้ด้วย ซึ่งท้ังนี้ก็ต้องมีการให้ในทางความคิด อยา่ งนี้ แลว้ กต็ อ้ งถามตอ่ ไปอกี วา่ นอกจากจดุ ดแี ลว้ ทางสติปัญญา ให้ความรู้ความเข้าใจในทางทฤษฎี อเมริกามีจดุ ดอ้ ยท่ไี หนบ้าง อะไรจะนำอเมรกิ าไปสู่ ตลอดจนจะต้องให้เด็กได้รับประโยชน์จากมรดก ความเสื่อมในวันข้างหน้า น่ีเป็นข้อที่ควรพิจารณา ทางจริยธรรม ท่ีสะสมกันมาท้ังในด้านวัฒนธรรม และความเสื่อมน้ีก็แฝงอยู่ในอเมริกาปัจจุบันน่ีเอง และความรู้ทางตำราที่จะเป็นพ้ืนให้เขาคิดงอกเงย ซึ่งถ้าประเทศอเมริกาไม่ระวัง มันก็จะนำประเทศ ออกไป ซ่ึงไม่ควรจะท้ิงให้เปล่าประโยชน์ไปด้วย อเมริกาไปสู่ความเสื่อมอย่างแน่นอน หรือประเทศ วารสารวิชาการ ป.ป.ช. เพราะฉะน้ันจริยธรรมหรือการฝึกฝนพัฒนา ญีป่ ุ่น ประเทศอะไรๆ ก็เหมือนกัน จรยิ ธรรมน้ัน กค็ วรจะมที งั้ ๒ ดา้ น คอื ทง้ั ทฤษฎี เม่ือคนของเรามอง ก็ควรหดั มองสงิ่ เหลา่ น้ี ปที ่ี 3 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม 2553 และปฏบิ ัติ ด้วยท่าทีอย่างท่ีกล่าวมา ไม่ใช่เพียงว่ามองเห็น ต่อไปก็คือคุณธรรมที่แฝงอยู่ในนิสัย สิ่งน้ันเขามีก็อยากจะมีตามเขาบ้างเท่าน้ัน แต่พอ นักศึกษาหรือนิสัยพัฒนาตน ในนิสัยพัฒนาตนนั้น มองแล้วต้องคิดวิเคราะห์เลย ถ้าทำได้อย่างน้ีละก็ คณุ ธรรมตวั สำคญั กค็ อื ปญั ญา ดงั ไดก้ ลา่ วแลว้ วา่ ดี หมายความว่าเราจะต้องวิเคราะห์อเมริกา ข้อน้ี 21 คนท่ีมีนิสัยนักศึกษามุ่งพัฒนาตนนั้น เมื่อมี เป็นสิ่งที่แน่นอน เพราะอเมริกาเป็นตัวอย่างที่เรา ประสบการณ์อยา่ งใดอย่างหนึ่ง เขาก็มองในแงท่ ว่ี า่ ตาม หรือถ้าจะตามญ่ีปุ่นก็ต้องวิเคราะห์ญ่ีปุ่น จะเลือกหาจับเอาอะไรมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ ทจ่ี รงิ ประเทศพวกนเ้ี ขาไมค่ อ่ ยประมาท เขากค็ อย อย่างไร การท่ีจะทำอย่างนี้ได้ก็ต้องมีปัญญา คือ สำรวจตัวเขาเองเหมือนกันว่ามีจุดดีจุดด้อยอะไร ใชป้ ญั ญาทจี่ ะแยกแยะเลอื กเฟน้ อะไรจะนำเขาไปสู่ความเสื่อม แต่เราไม่จำเป็น ยกตัวอย่างเช่นว่า เราไปประเทศที่เจริญ ตอ้ งรอฟงั จากเขา เราควรตรวจสอบเขาเลย เพราะ หรือเห็นภาพในประเทศที่เจริญมีความหรูหรา ในประเทศที่เรียกว่าเจริญน้ัน ปัจจุบันก็ย่อมมี ก็เป็นธรรมดาที่เราจะต้องต่ืนเต้น เมื่อเกิดความ ท้ังเหตุท่ีทำให้เจริญและเหตุที่จะทำให้เส่ือม ต่ืนเต้นแล้วก็มักจะรู้สึกว่า ถ้าทำอย่างน้ันได้ตัวเรา ปนๆ อยดู่ ว้ ยกัน ก็คงจะโก้ดี แล้วก็คิดปรุงแต่งไป อยากจะทำ ถา้ เราไม่รจู้ กั คดิ วเิ คราะห์ ก็อาจจะไปหยิบ อย่างนั้นอย่างน้ี หรือคิดว่าถ้าเราทำอย่างนั้นก็จะ เอาส่วนท่ีจะเป็นเหตุให้เกิดความเสื่อมมา ไม่ได้ เอามาอวดพวกตัวเองได้ ในกรณีเช่นนี้ ถ้ามีมานะ ส่วนที่จะทำให้เจริญ ซ่ึงมักจะพบได้มากในภาคท่ี เป็นพื้นฐานอยู่แล้ว ความรู้สึกนึกคิดอย่างน้ีก็เลย เป็นอดีต เราวิเคราะห์ว่าประเทศอเมริกานี้ อะไร เจริญพอกพูน ประสบการณ์นั้นก็กลายเป็นเคร่ือง หนอทำให้เขามาเจริญอยู่ในปัจจุบัน แล้วต่อไปนี้ สนองมานะไป แต่ถ้ามีนิสัยนักศึกษา นิสัยพัฒนา อาจจะเส่ือมในด้านไหนบ้าง อะไรท่ีเป็นตัวท่ีจะ

วารสาร ิวชาการ ป.ป.ช. ทำให้เกิดความเสื่อมนั้นๆ ท่าทีต่อการรับการมอง เข้ามาก็กลายเป็นสูญเสียประโยชน์ที่พึงได้ แต่ถ้า สิ่งต่างๆ จากภายนอก ควรจะเป็นไปในลักษณะนี้ ใชโ้ ยนโิ สมนสกิ าร ท้ังในการทีจ่ ะรับและไมร่ ับ ก็จะ ีป ่ีท 3 ฉ ับบ ่ีท 1 มกราคม 2553 การใช้ปัญญาด้วยท่าทีหรือในลักษณะเช่นน้ี ทำให้สามารถเลือกเอาสิ่งที่ดีมีประโยชน์เป็น ท่านเรียกว่า “โยนิโสมนสิการ” ถ้าไม่ใช้ปัญญา สาระเข้ามาเสริมภาษาของตน ทำให้ภาษาไทย อย่างนี้ก็จะตกเป็นทาสของตัณหาและมานะ อุดมสมบูรณ์ขึ้น เช่นเดียวกับท่ีภาษาอังกฤษได้รับ ต่อไปอย่างแน่นอน พอไปเห็นอะไรเข้า ตัณหา ประโยชน์เชน่ นจ้ี ากภาษาอื่นๆ อยากกฟ็ งุ้ เฟอ้ บำเรอตน อยากไดอ้ ยากมอี ยา่ งนนั้ ๆ ขอ้ ตอ่ ไปคอื คณุ ธรรมทเี่ ปน็ หลกั สำคญั ของ มานะมาก็อยากโก้อยากเด่น อวดใหญ่อวดโต ประชาธปิ ไตย ไดแ้ ก่ ธรรมาธปิ ไตย ตามหลกั ธรรม ไปเลย ไม่ได้อะไรทเี่ ป็นสาระที่จะเปน็ ผลดีข้ึนมา อธปิ ไตย มี ๓ อย่าง คือ ปัญญาในแง่ท่ีเป็นโยนิโสมนสิการ ซึ่งอยู่ ๑. อตั ตาธปิ ไตย ถอื ตนเปน็ ใหญ่ คอื จะทำ ในนสิ ยั นักศกึ ษา หรอื นิสยั พฒั นาตนน้ี ตอ้ งถอื วา่ อะไรๆ ก็เอาตนเองเป็นประมาณ ทำไปตามความ เป็นหลักสำคัญในจริยธรรมสำหรับการเผชิญ คิดเห็นของตน คำนึงถึงแต่ฐานะ เกียรติ ศักดิ์ศรี และการรับวัฒนธรรมจากภายนอก ซึ่งเป็นเร่ือง และผลประโยชน์ของตนเอง ถ้าอยู่ในขอบเขต ท่ีคนรุ่นใหม่เกี่ยวข้องอยู่อย่างมาก เราจะรับอะไร ของการเคารพตน ก็ทำให้เว้นช่ัว ทำดี หรือเร่งทำ หรอื ไมร่ บั อะไร กจ็ ะตอ้ งทำดว้ ยปญั ญาทพี่ จิ ารณา ความดีได้ ไม่เสีย แต่ถ้าเลยขอบเขตน้ันไปก็มี แยกแยะเลือกเฟ้นทั้งส้ิน จะทำตามที่กิเลสจูงไป ผลเสยี ได้มาก ย่อมไม่มีผลดีเลย ตัวอย่างท่ีเด่นก็คือเรื่องมานะ ๒. โลกาธิปไตย ถือโลกเป็นใหญ่ คือจะ 22 อีกนั่นแหละ จะใช้มานะในการรับวัฒนธรรมฝร่ัง ทำอะไรๆ ก็เอาความนิยมหรือเสียงนินทา ก็ไม่ดี จะใช้มานะในการไม่รับวัฒนธรรมฝร่ังก็ สรรเสริญของคนทั่วไปเป็นประมาณ ถ้าอยู่ใน ไม่ถูกต้อง เชน่ ในการรับภาษาองั กฤษเข้ามาใช้ ขอบเขตของการเคารพเสียงมหาชน ก็ทำให้เว้น ภาษาอังกฤษน้ันเป็นภาษาท่ีอุดมสมบูรณ์ ชั่ว ทำดี ทำประโยชน์ได้ ไมเ่ สีย แต่ถ้ากลายเป็นว่า มคี ำศพั ทใ์ ชม้ ากมาย เพราะเปน็ ภาษาทเี่ จรญิ เตบิ โต จะทำอะไรๆ ก็มุ่งจะเอาใจหมู่ชน หาความนิยม ขนึ้ ดว้ ยการรบั เอาภาษาอนื่ ๆ เขา้ ไปเปน็ สว่ นประกอบ หรอื มัวกลวั เสียงกลา่ วว่า ไม่กล้าทำสงิ่ ถกู ตอ้ งดีงาม มีท้ังภาษาตะวันออกและภาษาตะวันตกด้วยกัน กก็ ลายเป็นเสยี มีทั้งภาษาโบราณและภาษาสมัยใหม่ สามารถ ๓. ธรรมาธิปไตย ถือธรรมเป็นใหญ่ คือ สรรหาศัพท์มาเลือกใช้ให้ตรงกับความหมายที่ จะทำอะไรก็ยึดหลักการ ความจริง ความถูกต้อง ต้องการได้อย่างดี ในการท่ีคนไทยเราจะรับเอา ความดีงาม เหตุผล เป็นประมาณ กระทำการด้วย ภาษาอังกฤษนั้น ถ้าใช้มานะในการรับ ก็จะเลือก ปรารภสิ่งท่ีได้ศึกษาตรวจสอบตามข้อเท็จจริง เอามาใช้แต่ถ้อยคำที่จะทำให้โก้เก๋อวดกัน และความคิดเห็นที่รับฟังอย่างกว้างขวางแจ้งชัด เท่านั้น จะไม่ได้ส่ิงท่ีเป็นเน้ือหาสาระ แต่ถ้าใช้ และพิจารณาอย่างดีที่สุด เต็มขีดแห่งสติปัญญา มานะในการไม่รับ ก็จะกลายเป็นถือดีว่านี่เป็น จะมองเห็นได้ ด้วยความบริสุทธ์ิใจ ว่าเป็นไปโดย ภาษาฝรั่ง ภาษาต่างชาติ เป็นวัฒนธรรมภายนอก ชอบธรรม และเพื่อความดีงาม หรืออย่างง่ายๆ ไม่ใช่ของไทย ฉันจะไม่ยอมใช้ เม่ือไม่ยอมรับเอา ขนั้ ตน้ ๆ คอื การทำดว้ ยเคารพหลกั การ กฎ ระเบยี บ

กตกิ า ทเี่ ปน็ ไปเพอื่ ความถกู ตอ้ งดงี ามและประโยชน์ จริยธรรมเพื่อใช้ในการแก้ไขปัญหาเหล่าน้ัน สขุ ทแี่ ทจ้ รงิ ของปวงชน จริยธรรมประเภทใดจะช่วยในการแก้ปัญหา ถ้ายอมรับว่า เท่าท่ีผ่านมาสังคมไทยมี สังคมของเราได้ดี เด็กและเยาวชนรุ่นใหม่ก็คือ ลักษณะเด่นด้านมานะ ก็เท่ากับยอมรับด้วยว่า ผู้รับผิดชอบในการแก้ปัญหาเหล่านี้ เราจะต้อง คนไทยได้ใชอ้ ัตตาธปิ ไตยมาก อตั ตาธิปไตยมีผลดี เตรียมให้เขาเป็นผู้พร้อมที่จะแก้ไขปัญหาด้วย ไดบ้ า้ ง แตม่ ผี ลเสยี ไดม้ าก และไมป่ ลอดภยั อาจจะ การสร้างให้เขามีจริยธรรมประเภทนั้น จริยธรรม เลยขอบเขตไปได้ง่าย โดยเฉพาะสำหรับระบบ ทต่ี อ้ งการนนั้ มลี กั ษณะอยา่ งหนง่ึ คอื เปน็ จรยิ ธรรม ประชาธิปไตยย่ิงไม่เหมาะสมกันเลย จึงจะต้องย้ำ ท่ีทำให้คนเข้มแข็งในการสร้างสรรค์ ซ่ึงก็จะสำเร็จ ต้องเน้นกันในการท่ีจะสร้างสังคมของคนรุ่นใหม่ ได้ด้วยนิสัยนักศึกษานิสัยนักพัฒนาตน และด้วย ใหต้ ง้ั มน่ั ในธรรมาธปิ ไตย ซง่ึ เปน็ คณุ ธรรมทตี่ อ้ งการ คุณธรรมฝ่ายบวกที่จะต้องเน้นให้มากข้ึน ไม่ใช่เอา ตามคติของพระพุทธศาสนา และเป็นหลักท่ีจำเป็น แค่คุณธรรมฝ่ายลบท่ีพูดมา แต่คู่ท่ีจะมาทำให้เขว สำหรบั ระบบประชาธิปไตย กค็ อื ความเกง่ กล้าในทางอวดโก้ ในการแสดงความ วารสารวิชาการ ป.ป.ช. กล่าวกันว่า วัฒนธรรมตะวันตกมีลักษณะ ฟงุ้ เฟอ้ มวั เมา ซง่ึ มนั อาจจะดคู ลา้ ยกนั ดเู หมอื นเปน็ หนุน (self-maximization) คือขยายตัวตนหรือ ความเข้มแข็ง แต่ท่ีจริงคือความอ่อนแอท่ีผิดพลาด ปที ่ี 3 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม 2553 เพ่ิมพูนพลังของตัวตนออกไปจนถึงที่สุด แต่ฝร่ัง ฉะนั้น เราต้องการให้เข้มแข็งในการสร้างสรรค์ มีพ้ืนฐานนิสัยสร้างสรรค์ หรือมีนิสัยนักทำงาน ไม่ใช่ให้เข้มแข็งเก่งกล้าในการแสดงความอวดโก้ เป็นพื้นฐานอยแู่ ลว้ การขยายพลังตัวตนจงึ เบง่ ออก แสดงความฟ้งุ เฟอ้ มัวเมา ในรูปของการหนุน achievement desire หรือ ลักษณะอีกด้านหน่ึงของจริยธรรมท่ีเรา 23 ความใฝ่สัมฤทธ์ิให้เข้มแข็งย่ิงขึ้น ถ้าเราเอาหลัก ต้องการก็คือ ไม่ใช่จริยธรรมท่ีทำให้คนย่นระย่อ ขยายพลังตัวตน หรือ self-maximization มาใช้ ท้อถอย อาการอย่างหนึ่งของความย่นระย่อ ในสังคมไทย ในขณะที่เราเด่นด้านมานะ และขาด ท้อถอย ก็คือ การรอคอยความช่วยเหลือ หวังพ่ึง นสิ ยั สรา้ งสรรค์ นสิ ยั นกั ทำงาน การขยายพลงั ตวั ตน การดลบันดาลจากภายนอก ก็น่าจะกลายเป็นตัวท่ีมาสนองมานะให้แรง ลึก ในสังคมปัจจุบันนี้ น่าห่วงเหมือนกันว่า หนักแน่นยิ่งข้ึน ก็จะไม่เกิดผลดีตามท่ีต้องการ ลักษณะเช่นนี้จะมีมาก และถ้าหากว่าผู้ใหญ่ แต่คงจะเกิดผลเสียมากกว่า นอกจากนั้นในสังคม ในปัจจุบันมีสภาพน้ี เราจะพูดอย่างไรว่า เด็กเดิน ทีน่ ำในดา้ นระบบประชาธปิ ไตย จะปรากฏว่าเขาได้ ตามหลังผู้ใหญ่หมาไม่กัด ก็คงต้องถูกกัดแน่ๆ ประสบความสำเร็จเป็นอันมากในการปฏิบัติตาม คือผู้ใหญ่เด๋ียวน้ีเดินไม่ถูก เดินไปในทางที่จะให้ หลักธรรมาธิปไตย เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะพิจารณา สุนัขกัด ถ้าพวกเรามีจริยธรรมในทางย่นระย่อ ในแงใ่ ดๆ กจ็ ะเหน็ วา่ จะตอ้ งเนน้ หลกั ธรรมาธปิ ไตย ท้อถอย ไม่สู้ ไม่สรา้ ง ไมเ่ ปน็ นักทำ คอยแตห่ วงั พึ่ง ใหเ้ ปน็ แกนของการพัฒนาสงั คมไทยอย่างจรงิ จงั ปัจจัยภายนอกมาช่วยแก้ปัญหา แก้ทุกข์ รอคอย ข้อต่อไป ขอพูดรวมๆ ว่า สังคมไทยเราน้ี ความชว่ ยเหลอื แกป้ ญั หาดว้ ยสรุ า การพนนั หวงั พง่ึ ในปัจจบุ ันมีปญั หามากมายทจี่ ะตอ้ งแก้ไข ในเมื่อ เทวดา การดลบันดาล การบวงสรวงต่างๆ สภาพ เป็นสังคมท่ีมีปัญหาจะต้องแก้ไข เราก็จะต้องมี เช่นนี้เป็นจริยธรรมแบบย่นระย่อท้อถอย เป็น

สิง่ ทจ่ี ะทำใหแ้ ก้ปญั หาไดย้ าก ที่งมงาย แต่ถ้าเราสามารถตัดทอน ถึงเขาจะยัง พุทธศาสนานั้นสอนให้เชื่อกรรม เช่ือ เชื่องมงาย ก็ปลอ่ ยไว้ก่อน เพราะเร่อื งความเชอื่ น้ี กรรมคือเชื่อการกระทำว่าผลที่ต้องการจะ แก้ยาก แค่อย่าให้ปฏิบัติงมงายก็พอ ไม่เป็นไร สำเร็จได้ด้วยการกระทำ ให้มีความม่ันใจในการ ผลในทางจริยธรรมไมถ่ งึ กับเสีย เพราะวา่ ความเช่อื ทำดี ถ้าเราม่ันใจในการทำความดี มันก็ส่งเสริม น้ีจะแก้ไขได้ต้องถึงข้ันปัญญาทีเดียว เราเอาแค่ ฉันทะ ซึ่งเป็นตัวการท่ีจะนำไปสู่ความสำเร็จ ใน ข้ันศีลและสมาธิพออยู่ได้ก่อน ส่วนขั้นปัญญาน้ัน ยุคสมัยนี้ประเทศเราต้องรับความช่วยเหลือมาก ยากอยู่ เราจะไปเน้นให้รอไปแก้ความเชื่อนี้ไม่ไหว ซ่ึงก็เส่ียงต่อการสร้างนิสัยรอความช่วยเหลือ จะแก้ได้จริงก็ต้องถึงข้ันตรัสรู้ ปัญหาเบื้องต้นและ ฉะนั้น ถ้าไม่ระวังให้ดี คนรุ่นใหม่ของเราก็จะมี รีบด่วนกว่าคือ ทำอย่างไรจะแก้ให้เลิกการปฏิบัติท่ี ความอ่อน ความด้อยทางจริยธรรม ในด้านที่มี งมงาย ลกั ษณะคอยรอความช่วยเหลือน้ี พระพุทธเจ้าเน้นเร่ืองการปฏิบัติที่งมงาย สำหรับการแก้ปัญหาท่ีได้ผลก็คือ ผู้ที่ มาก เพราะคนที่เชื่องมงายนั้นมีในพุทธกาลแล้ว สามารถช่วยเหลือผู้อ่ืนได้ ก็ต้องมีจริยธรรมที่จะ เขาเชื่อโน่นเช่ือน่ี หวังพ่ึงการดลบันดาลอ้อนวอน ไปช่วยเหลือเขา แต่สำหรับผู้ท่ีถูกช่วยเหลือ ก็ต้อง บวงสรวงต่างๆ มากมาย พระพุทธเจ้าไม่ตัดท่ี มจี รยิ ธรรมวา่ ไมว่ า่ ใครจะชว่ ยหรอื ไมช่ ่วยฉันก็ตาม ความเชื่อ ไม่เสียเวลาไปเถียงกับเขา แต่ไปตัดที่ ฉันกต็ ้องทำของฉนั อย่างสุดฤทธิ์ สุดสติปญั ญา หรอื การปฏิบัติที่งมงาย ทรงหาทางให้เขาเลิกปฏิบัติตัว สุดความสามารถ ถ้าทำได้อย่างนี้ ถึงแม้ว่าจะยัง ในทางท่ีจะรอคอยการช่วยเหลือดลบันดาล ให้ 24 เป็นผู้รับความช่วยเหลือ ก็จะยังสามารถรักษา เพียรพยายามทำด้วยตนเอง ความเชื่อนั้นปล่อย จริยธรรมที่มีลักษณะเข้มแข็งในการสร้างสรรค์ ไว้ก่อนได้ แล้วคอ่ ยแก้ไป เพราะเป็นของลึกซงึ้ กว่า วารสาร ิวชาการ ป.ป.ช. เอาไว้ได้ จริยธรรมอย่างน้ีเกิดขึ้นได้ก็ด้วยอาศัย เราจะเห็นได้ชดั เช่นเรอ่ื งเทวดา คนจำนวน แนวทางทีไ่ ดอ้ ธบิ ายมาแลว้ เป็นข้อเสนอ มากไม่สามารถแยกได้ระหว่างความเช่ือเทวดา ีป ่ีท 3 ฉ ับบ ่ีท 1 มกราคม 2553 ในตอนน้ีก็มีเรื่องเข้ามาเกี่ยวข้องอีกอย่าง ในพุทธศาสนากับเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์ หนึ่ง คือ เรื่องความงมงายที่เก่ียวข้องกับความเช่ือ ซ่ึงท่ีจริงน้ันต่างกันมาก พระพุทธเจ้าตัดตรงนี้ คือ และการปฏิบัติ เรามักจะพูดถึงความงมงายใน ให้เลิกการปฏิบัติที่งมงายเสีย ท่านจะเชื่อต่อไป ลกั ษณะ หรอื รปู ของความเชอ่ื เชน่ วา่ เชอ่ื ไสยศาสตร์ หรือไม่ก็ไม่ว่า แต่ต่อไปเม่ือก้าวหน้าในทางธรรม เชอ่ื ผสี างเทวดา เปน็ ตน้ แตเ่ รามองขา้ มไปอยา่ งหนง่ึ มากข้ึน ก็จะค่อยเห็นความจริงเห็นถูกต้อง คือ การปฏบิ ตั ทิ ีง่ มงาย รู้ถูกตอ้ งเอง พระพุทธศาสนาที่เน้นการปฏิบัติที่ การปฏิบัติที่งมงายเป็นเรื่องสำคัญมาก งมงายจำเป็นต้องรีบแก้ไข ย่ิงกว่าความเช่ือที่ แม้แตค่ วามเชื่อไมง่ มงาย แตก่ ารปฏิบัติงมงายกเ็ สยี งมงาย การปฏิบัติท่ีงมงายเป็นอย่างไร การ ปัจจุบันคนจำนวนมากในสังคมของเราไม่เป็น ปฏิบัติท่ีงมงาย ก็คือการปฏิบัติท่ีหวังพ่ึงปัจจัย นักสร้างสรรค์ ไม่เพียรพยายามด้วยตนเอง ภายนอก การหวังพึ่งส่ิงดลบันดาลต่างๆ ตาม เพราะมีลักษณะนิสัยรอคอยการดลบันดาลจาก ปกติ ความเช่ือที่งมงายจะนำไปสู่การปฏิบัติ ปัจจัยภายนอก เช่น รอคอยความช่วยเหลือจาก

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฝากชีวิตฝากความ ในการปฏิบัติธรรมแทบทุกข้ันตอนจะมี หวังไวก้ ับวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ไมส่ ามารถ ส่ิงมายั่วเย้าให้เกิดความติดได้ทั้งนั้น เช่นว่า ได้ ช่วยตวั เองไดถ้ า้ ปราศจากสงิ่ เหล่านัน้ น้กี ็เป็นการ ฌาน ก็อาจจะติดในฌาน ได้วิปัสสนาก็อาจจะติด ปฏบิ ตั ทิ ง่ี มงายเหมอื นกนั ไมใ่ ชเ่ ฉพาะคนทพี่ ง่ึ เทวดา ในความสุขของวิปัสสนา ท่ีพระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็น ไสยศาสตรเ์ ทา่ นน้ั ทง่ี มงาย คนทหี่ วงั พง่ึ วทิ ยาศาสตร์ วิปัสสนูปกิเลส และตรัสให้แก้ไขเสีย มิฉะน้ัน และเทคโนโลยกี ็ตอ้ งถือวา่ งมงายเหมือนกนั จะไม่มีทางบรรลุมรรคผล ไม่มีทางกำจัดกิเลสได้ ดงั นน้ั ในปัจจบุ นั เราสามารถพดู ใหมว่ า่ ให้ หมดส้ิน ในสังคมปัจจุบันโดยทั่วไป เฉพาะอย่างย่ิง ระวังความงมงายในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในสงั คมทพ่ี ฒั นาแลว้ จะมชี ว่ งตอนหนง่ึ ทคี่ นทงั้ หลาย เพราะว่าเป็นความงมงายที่กำลังเกิดขึ้นแพร่หลาย จำนวนมากเกดิ ความเบอ่ื หนา่ ยตอ่ สงิ่ ปรนเปรอ หรอื และจะมีผลเสียต่อสังคมมาก นิสัยสร้างสรรค์นิสัย ความเจริญหรูหราทางวัตถุ เมื่อเบื่อหน่ายทางวัตถุ พัฒนาตน เป็นนักทำนักสร้างนั่นแหละ จะมาแก้ เขาก็จะไขว่คว้าหันมาสนใจทางจิต คร้ันพอได้อะไร การปฏิบัติที่งมงาย หรือความงมงายในการปฏิบัติ ทสี่ นองความตอ้ งการทางจติ เขากพ็ รอ้ มทจ่ี ะเสพตดิ วารสารวิชาการ ป.ป.ช. น้ีได้ เราควรเอาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ ได้ทันที ถ้าไม่มีความเข้าใจเรื่องน้ีเป็นพ้ืนฐานไว้ ให้เป็นประโยชน์ได้อย่างรู้เท่าทันคุณโทษ ทางดี คนสมยั ใหม่ ปจั จบุ นั จำนวนมาก ขาดความรทู้ างดา้ น ปที ่ี 3 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม 2553 ทางเสีย และด้วยความระมัดระวังรอบคอบ แต่ไม่ จิตมาก่อน พอเบื่อวัตถุหันมาพบอะไรดีๆ ทางจิต จำเป็นตอ้ งรอคอย ฝากความหวงั ไวใ้ นวทิ ยาศาสตร์ กเ็ ลยพากันตดิ เข้าลกั ษณะเสพติดทางจติ ไปเลย และเทคโนโลยนี ัน้ ในสังคมฝรั่งปัจจุบันนี้ พวกหน่ึงมีการ อีกอย่างหน่ึง ทำไมเราจะสร้างส่ิงเหล่านั้น เสพติดทางจิตใจมาก จรงิ อยู่ การเสพติดทางจติ นน้ั 25 ด้วยตนเองไม่ได้ ต้องรอคอยให้คนอื่นเขาทำมาให้ อาจจะมีผลเสียรุนแรงน้อยกว่าความเสพติดทาง จึงต้องพูดให้ตระหนักในเร่ืองการปฏิบัติท่ีงมงาย วตั ถุ และมองเหน็ ไมช่ ดั เจน เพราะผทู้ เี่ สพตดิ ทางจติ ไว้ด้วย ไม่ให้มัวมองแต่จะรังเกียจจะหลีกหนี อาจจะไม่ไปรกุ ราน ไม่ไปรังแกทำรา้ ยคนอืน่ ศีลห้า ความเช่ือท่ีงมงาย แล้วไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังถูก ท่ีเป็นระดับสามัญนั้น อาจจะมองไม่เห็นว่าเขา ความงมงายอีกด้านหนงึ่ ครอบงำอยอู่ ย่างเตม็ ที่ ละเมิด แต่อาจจะมีผลเสียในวงกว้างท่ีประณีต ข้อต่อไปที่พันกันอยู่กับเร่ืองที่พูดมา ลึกซึ้ง ซ่ึงอาจจะมีผลกระทบต่อสังคมอย่างมาก แล้วก็คือ เรื่อง การเสพติด การเสพติดมี ๒ อย่าง ทีเดียว เพราะจิตนั้นมองไม่เห็นก็จริง แต่จิตเป็น คือ การเสพติดทางวัตถุและการเสพติดทางใจ ผู้นำกิจกรรมอย่างอื่นๆ ทั้งหมด และผลเสียท่ี เรามักพูดกันมากเฉพาะด้านการเสพติดทางวัตถุ ละเอยี ดออ่ น กอ็ าจรา้ ยกวา่ ผลเสยี ทร่ี นุ แรงชดั เจนได้ แตก่ ารเสพตดิ ทางจติ ใจกเ็ สียเหมอื นกนั และในทาง เหมือนกัน เช่น การติดลักษณะนิสัยแบบเฉ่ือยชา พระพุทธศาสนาก็สอนให้ระวัง เพราะเม่ือพ้นจาก ตดิ ในความสุขของสมาธิจนเกยี จคร้าน เป็นต้น การเสพติดทางวัตถุแล้วก็อาจจะมาเสพติดทาง ในทางธรรมท่านเตือนไว้ทุกข้ันตอน น่ีคือ จิตใจได้ ความรู้ทางปริยัติ ท่ีมาช่วยการปฏิบัติ ผู้ปฏิบัติน้ัน บางทเี มอื่ เจอสง่ิ ทด่ี แี ลว้ กห็ ลง ปรยิ ตั บิ อกวา่ สมาธนิ ้ี เป็นปัจจัยให้เกิดความสุข แต่ก็อาจทำให้เกิด

ความเกียจคร้าน ท่านจึงให้ระวังโดยคอยปรับ และทา้ ทายความสนใจ ซงึ่ เกดิ ขนึ้ อยา่ งไมห่ ยดุ หยอ่ น อินทรีย์ท้ังหลายให้สม่ำเสมอพอเหมาะพอดี ทั้งประสบการณ์ ทัง้ ขอ้ ความรู้ และสง่ิ เสพมากมาย (อนิ ทรียม์ ี ๕ คือ ศรทั ธา วริ ยิ ะ สติ สมาธิ ปัญญา) ประดังเข้ามา โหมซ้ำด้วยวิธีโฆษณาและระบบ สมาธิเข้าคู่หนุนกับความเกียจคร้าน ผู้ปฏิบัติ แขง่ ขนั ทำใหเ้ ดก็ และเยาวชนสมยั ปจั จบุ นั ตอ้ งไดร้ บั จะต้องคอยประคองวิริยะคือความเพียรไว้ให้ดี ประสบการณต์ า่ งๆ ทหี่ ลากหลายเขา้ มาทางอนิ ทรยี ์ มิฉะนั้นอาจจะตกไปในหลุมแห่งความเกียจคร้าน ต่างๆ ในปริมาณที่มากมายและโดยอัตราความเร็ว คอื โกสัชชะ ท่ีสูงยิ่ง ต่างจากเด็กและเยาวชนรุ่นก่อนเป็นอย่าง ปัจจุบันน้ี ความสนใจในทางจิตและความ มาก แถมด้วยกำลังแรงและความเร่าร้อนของวัยท่ี ฝักใฝ่ในสมาธิมีมากข้ึน ซึ่งเป็นเพียงปฏิกิริยาต่อ รุ่นหนุ่มสาว สภาพเช่นนี้มีท้ังผลดีและผลเสีย แล้ว ความอืดเฟอ้ และเบอ่ื หน่ายต่อความเจริญทางวัตถุ แต่เงื่อนไข คือถ้าเด็กและเยาวชนที่เป็นผู้รับ บ้าง เป็นการชิมลองและตามกันรวมทั้งตามฝร่ัง หรือผู้เสพประสบการณ์นั้น มีความพร้อมสามารถ อย่างแฟช่ันบ้าง เป็นผลจากปัญญาท่ีรู้เท่าทันโลก จัดการกับประสบการณ์ท่ีเข้ามาได้ดี เขาก็จะเป็น และชีวติ มากข้ึนบ้าง มนุษย์ที่ไดพ้ ัฒนาศักยภาพอยา่ งดเี ยี่ยม เยาวชนรุ่นใหม่จะต้องพบกับสภาพเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม เด็กส่วนใหญ่หาได้มีความ และอาจจะต้องพบมากขึ้น เขาควรจะได้รับการ พรอ้ ม หรอื มคี วามสามารถเชน่ นน้ั ไม่ วฒั นธรรมเทา่ ที่ เตรียมตัวให้พร้อม ท่ีจะปฏิบัติต่อเร่ืองนี้ให้ถูกต้อง เป็นมา ไม่สามารถเตรียมตัวเขาให้อยู่ในสภาพจิต ด้วย เพ่ือให้การปฏิบัตินั้นเป็นคุณทั้งแก่ตนเองและ และสภาพชวี ติ ท่พี ร้อมเช่นน้นั ผลจงึ ปรากฏว่า เด็ก 26 สงั คม ให้เขาเจริญงอกงามกา้ วไปอย่างดี อยา่ งน้อย และเยาวชนรุ่นใหม่ตกอยู่ในสภาพจิตที่อาจเรียกว่า กม็ ิใชเ่ ปน็ การพน้ จากการเสพตดิ ทางวตั ถุ เพียงเพ่ือ มเี รือ่ งค้างใจมาก วารสาร ิวชาการ ป.ป.ช. ไปหมกม่นุ กบั การเสพติดทางจติ ตอ่ ไป เรื่องค้างใจหรือประสบการณ์ค้างจิต หรือ อน่ึง ควรจะพูดถึงสภาพจิตของเด็กและ อารมณ์ค่ังค้างน้ีก็คือ สิ่งที่เขายังตอบสนองไม่ ีป ่ีท 3 ฉ ับบ ่ีท 1 มกราคม 2553 เยาวชนรุ่นใหม่เป็นท่ีสังเกตไว้ด้วย สำหรับการ เพียงพอ ซ่ึงแยกได้เป็น ๒ ประเภท คือ สิ่งท่ีเขา พจิ ารณาในทางจรยิ ธรรมตอ่ ไป สภาพแวดลอ้ มและ พอใจรบั เขา้ ไว้ แตย่ งั เสพไมพ่ อ เสพไมอ่ ม่ิ เสพไมท่ นั สภาพความเปน็ อยใู่ นสงั คมปจั จบุ นั ไดเ้ ปลยี่ นแปลง ไหลเขา้ มาๆ ชอบกเ็ ก็บเข้าไว้ ยังเสพไม่เสร็จ คง่ั คา้ ง ไปจากสมยั กอ่ นเปน็ อยา่ งมาก และความเปลย่ี นแปลง อยู่พวกหน่ึง กับส่ิงท่ียังคิดไม่ตก ตัดสินไม่ได้ นี้ก็มีอิทธิพลและมีผลกระทบต่อสภาพจิตของ ยังปลงใจลงอย่างใดอย่างหน่ึงไม่ได้ ค้างคาอยู่อีก คนร่นุ ใหมเ่ ปน็ อย่างมากด้วย พวกหนึง่ การคมนาคมท่ีสะดวกรวดเร็ว ส่ือมวลชน การมีประสบการณ์เร่ืองราวหรืออารมณ์ ทกี่ วา้ งทวั่ ถงึ และฉบั ไว เรอ่ื งราวและเหตกุ ารณต์ า่ งๆ ค้างใจ ซึ่งยังตอบสนองไม่เพียงพอ คั่งค้างและ ท่ีเกิดข้ึนอย่างมากมายและเปลี่ยนแปลงอย่าง ค้างคาอยู่มากๆ เช่นน้ีจะส่งผลต่อไปอีก ทำให้เด็ก ไมห่ ยดุ ยงั้ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยที ก่ี า้ วหนา้ ไป และเยาวชนรุ่นใหม่นั้นเป็นคนมีจิตใจที่มีลักษณะ อยา่ งนา่ ตน่ื เตน้ วทิ ยาการทเ่ี พมิ่ พนู ขยายตวั มากขน้ึ กระวนกระวายมาก โดยมอี าการขา้ งเคยี งตา่ งๆ เชน่ เร่ือยๆ สิ่งประดิษฐ์และผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ท่ีเร้าใจ ความกระทบกระท่ังหวั่นไหวง่าย ความรำคาญ

ฉุนเฉียวง่าย ความใจเปราะเสาะ ตลอดจนความ กับเรื่อง ทมะ อันได้แก่การสร้างจิตสำนึกในการ ผิดหวัง ความรู้สึกแปลกแยก ความบีบค้ันใจและ ฝึกฝนพัฒนาตน หรือสร้างนิสัยนักศึกษาขึ้น และ ความทุกข์แบบต่างๆ สภาพจิตเช่นน้ีทำให้ง่าย มีหลักการในการปลูกฝังพัฒนาจริยธรรมแยกเป็น ต่อการท่ีจะหันไปหาทางดำเนินชีวิตแบบเอียงสุด ขอ้ ๆ ดงั ไดก้ ล่าวมา อยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ คอื เอยี งสดุ ทางวตั ถุ หรอื เอยี งสดุ ท้ายนี้ ก็ขอพูดถึงความรับผิดชอบของ ทางจิต ผู้ใหญ่ไว้ด้วยว่า การที่เด็กและเยาวชนจะพัฒนา พวกหนง่ึ กร็ า่ นรนหาเสพวตั ถอุ ยา่ งกระหาย ในทางจริยธรรมไปได้ดีนั้น ก็ควรจะได้อาศัย หวิ หมกมุ่นมัวเมาในความสุขทางเนอื้ หนงั ครน้ั ถูก กัลยาณมิตรคอยช่วยเหลือหรือประคับประคอง ปะทะ ส่ิงปรนเปรอกลายเป็นพิษหรืออืดเฟ้อ เกิด ด้วย กัลยาณมิตรท่ีสำคัญที่สุดสำหรับเด็กและ ความเบอื่ หนา่ ยหรือรูส้ กึ บบี ค้นั เยาวชน ก็ควรจะได้แก่ผู้ใหญ่ท้ังหลายนั่นเอง แต่ ส่วนหนึ่งก็หันหลังชิงชังประณามวัตถุ ปัญหาของเราในปัจจุบันก็คือ ผู้ใหญ่ของเราเป็น แล่นเข้าหา สภาพเอียงสุดทางจิต สมาทานลัทธิ กัลยาณมิตรของเด็กและเยาวชนกันอยู่หรือไม่ วารสารวิชาการ ป.ป.ช. ฤๅษชี ไี พร การทรมานชวี ติ ในลกั ษณะใดลกั ษณะหนง่ึ อย่างที่พูดเม่ือกี้นี้ว่า เป็นผู้ใหญ่ชนิดท่ีเด็กตามหลัง อย่างท่ีเดิมเรียกว่าตบะ เคร่งเครียดศีลวัตรเกิน แล้วสุนัขไม่กัด เป็นอย่างนั้นหรือไม่ การที่จะตอบ ปที ่ี 3 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม 2553 ประมาณ หรือไม่ก็เฉ่ือยชาหยุดน่ิงหมกมุ่น ปัญหานี้ได้ ก็จะตอ้ งพจิ ารณาวา่ ผู้ใหญข่ องเรากำลงั มุ่งปรนเปรอจิตด้วยความสุขทางใน ปลีกตัวไม่ยุ่ง เดินกนั อยอู่ ย่างไร เกยี่ วกับใครๆ ตามสภาพทเี่ ปน็ อยนู่ ี้ ทกุ คนกค็ งยอมรบั วา่ ด้วยเหตุน้ี เด็กและเยาวชนรุ่นใหม่จึงมี เม่ือมองอย่างกว้างๆ สังคมไทยเรามีความนิยมใน 27 ความจำเป็นมากขึ้นเป็นพิเศษ ที่จะได้รับการ วัฒนธรรมของตะวันตกมาก พูดอย่างง่ายๆ ว่า ตระเตรียมตัวด้วยจริยธรรม ชนิดที่จะทำให้เขา ตามหลังสังคมฝร่ัง สังคมไทยท่ีตามฝรั่งนั้นก็มี พร้อมท่ีจะเผชิญและปฏิบัติต่อสภาพเช่นที่ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ และว่าตามความรับผิดชอบ กล่าวนั้นอย่างถูกต้อง มีหลักใจที่จะช่วยให้จัดการ ก็ผู้ใหญ่นั่นแหละเป็นผู้นำเด็ก เมื่อพูดตามน้ีก็ กบั สถานการณ์ใหมๆ่ แปลกๆ อยา่ งได้ผลดี ต้องว่า ผู้ใหญ่ตามฝร่ัง และเด็กก็ตามหลังผู้ใหญ่ พดู อยา่ งกว้างๆ สังคมตอ่ ๆ ไป โดยเฉพาะ ที่ตามหลังฝรั่งอีกทีหน่ึง ถ้าการตามหลังฝร่ังเป็น ก็คือเดก็ และเยาวชนร่นุ ใหมน่ ้ี จะต้องประสบความ สิ่งที่ไม่ดี ก็สรุปได้ว่า ผู้ใหญ่ของเราเป็นผู้ใหญ่ที่ ผนั ผวนเปลย่ี นแปลง และปรากฏการณต์ า่ งๆ ทเี่ ปน็ เด็กตามหลังแล้วจะต้องถูกสุนัขกัด กลายเป็นต้อง สภาพปัญหาใหม่เพิ่มข้ึนเรื่อยๆ และสิ่งต่างๆ ท่ี พูดใหมว่ า่ ตามหลังผู้ใหญ่จะถกู สนุ ัขกัด กำลังเกิดขึ้นในสังคมปัจจุบันนี้ เยาวชนคนรุ่นใหม่ สังคมอเมริกันที่เราว่าเขาฟุ้งเฟ้อ และ ก็กำลังได้รับกำลังได้พบกับส่ิงเหล่านั้น ทำอย่างไร พวกเรากฟ็ งุ้ เฟอ้ ตามเขานนั้ ปจั จบุ นั น้ี อาตมภาพวา่ จะให้เขาปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นได้ถูกต้อง ว่าตามที่ สังคมไทยนี้มีอะไรที่นำสังคมอเมริกันในด้านการ อาตมภาพไดพ้ ดู ไปแลว้ กค็ ือ จะตอ้ งสรา้ งองคธ์ รรม ฟุ้งเฟ้อหลายอย่าง รวมท้ังในเรื่องความเส่ือมโทรม แกนขน้ึ มาอยา่ งหนง่ึ และอาตมภาพกไ็ ดน้ ำองคธ์ รรม ทางจรยิ ธรรมดว้ ย อยา่ งเรื่องสถานเริงรมย์อบายมขุ แกนมาเสนออยา่ งทก่ี ลา่ วมาแลว้ ตวั สำคญั คอื ฉนั ทะ ตา่ งๆ นี้ ก็นา่ จะกา้ วหนา้ ไปหนกั มากแล้ว ซ่งึ บางที

อเมริกาอาจจะเดินสวนทางกับเราเข้าบ้างด้วยซ้ำ ถงึ อยา่ งนน้ั ผใู้ หญก่ ไ็ มพ่ น้ ถกู ตำหนวิ า่ ทำตวั อยา่ งไร ขอเล่าข่าวท่ีเป็นเกร็ดความรู้ทางจริยธรรม เด็กของตนเองจึงไม่เล่ือมใส ไม่ยอมรับเอาผู้ใหญ่ สกั เรอื่ งหนง่ึ ในประเทศอเมรกิ านนั้ เดมิ มอี ยู่ ๓๔ รฐั ของตนเป็นผู้นำ ไม่ยอมตามผู้ใหญ่ของตน กลับไป ท่ีมีกฎหมายห้ามขายสุราแก่คนอายุต่ำกว่า ๒๑ ปี เล่ือมใสนับถือคนข้างนอก เอาใจออกห่าง ไปเดิน แล้วเร็วๆ น้ี ก็มีข่าวใหม่อีกว่า อีก ๔ รัฐ ได้ลงมติ ตามคนพวกอ่ืน ส่วนทางฝ่ายของเด็กและเยาวชน ตาม ๓๔ รัฐนั้น ก็หมายความว่ารัฐท่ีห้ามขายสุรา ก็มีข้อสังเกตว่า ได้นิยมชมชอบรับเอาความคิดและ แก่คนอายุต่ำกว่า ๒๑ ปี มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น รปู แบบของเสรภี าพตามวฒั นธรรมฝรงั่ แลว้ บอกวา่ ๓๘ รัฐ จึงเป็นไปในทางท่ีว่า อเมริกาเกิดมีความ จะเป็นตัวของตัวเอง จึงใช้เสรีภาพนั้นในการท่ีจะ ก้าวหน้าทางจริยธรรมข้ึน อย่างน้อยก็ในข้อที่ ไม่ตามผู้ใหญ่ แต่พร้อมกันน้ัน ก็หันไปใช้เสรีภาพ เกีย่ วกับเรือ่ งสรุ านี้ ประเทศไทยเม่ือจะตามอเมรกิ า ตามวัฒนธรรมฝร่ัง จนเห็นได้ว่าไม่มีความเป็นตัว ก็ควรตามในแง่นี้ด้วย แต่ข่าวทางเมืองไทย ได้ยิน ของตวั เองตามเหตผุ ล ทจี่ ะแสดงถงึ ความมอี สิ รภาพ แต่ว่ามีโรงงานผลิตสุรามากข้ึน แทนที่จะลดลง ดูๆ ก็มีอะไรๆ ขัดแย้งกันในตัวเองซ้อนๆ กันอยู่ นก่ี เ็ ปน็ ตวั อยา่ งเบด็ เตลด็ เรอื่ งหนง่ึ แตส่ าระทตี่ อ้ งการ หลายอย่าง ก็คือ เร่ืองการตามอเมริกันน้ี ก็เป็นเร่ืองท่ีน่าศึกษา สรุปว่าท่ีได้อธิบายมาท้ังหมด ก็เพ่ือเป็น วา่ เราตามกนั อยา่ งไร ทงั้ น้ี เพยี งแตต่ งั้ เปน็ ขอ้ สงั เกต การติงทางฝ่ายผู้ใหญ่บ้าง ว่าเราจะต้องเอาใจใส่ หรือข้อเป็นไปต่างๆ ไว้สำหรับพิจารณา คือ เรา จริยธรรมของผู้ใหญ่ด้วยเหมือนกัน และให้ผู้ใหญ่ อาจจะตามฝรงั่ ในเรอื่ งทไี่ มค่ วรตามและไมต่ ามใน ตระหนักถึงความรับผิดชอบ ในการที่จะต้อง 28 เรอ่ื งทคี่ วรตาม ในเรอ่ื งทไ่ี มค่ วรตาม บางทเี รากต็ าม ร่วมมือ ช่วยสนับสนุนจริยธรรมของเด็กเยาวชน เก่งจนกลายเป็นล้ำหน้าเลยฝร่ังไป ส่วนในเรื่องที่ คนรุ่นใหม่ด้วย โดยทำตัวเป็นกัลยาณมิตรของเด็ก วารสาร ิวชาการ ป.ป.ช. ควรตามบางทกี ต็ ามเหมอื นกนั แตต่ ามอยา่ งผวิ เผนิ และเยาวชนเหลา่ น้ัน ไม่เข้าถึงสาระที่แท้จริง ย่ิงกว่าน้ัน บางทีเลือกเอา อย่างไรก็ตาม ถึงแม้สมมติว่าผู้ใหญ่รุ่นน้ี ีป ่ีท 3 ฉ ับบ ่ีท 1 มกราคม 2553 ส่วนที่ไม่ดีของเขามาตาม โดยเอามาผสมกับส่วน จะกลายเป็นคนท่ีหมดหวังสำหรับเด็กและเยาวชน ไม่ดีท่ีเลือกเก็บจากตัวเอง หรือเอาส่วนท่ีดีของเขา จะหวังพึ่งเป็นกัลยาณมิตรไม่ได้จริงๆ เสียแล้ว มาใชใ้ นทางท่ไี ม่ดีกม็ ี แต่ถ้าเด็กและเยาวชนรุ่นต่อไปมีจริยธรรมตาม ส่วนเร่ืองเด็กกับผู้ใหญ่ ในเมื่อตามฝรั่ง แนวทางทไ่ี ดอ้ ธบิ ายมาแลว้ เดก็ และเยาวชนเหลา่ นน้ั ด้วยกัน ตอนแรกก็ต้องถือไว้ก่อนว่าเด็กเป็นไป ก็จะพงึ่ ตัวเองไดแ้ ละจะรู้จักเดนิ ทางไดเ้ องด้วยดี ตามทผี่ ใู้ หญ่นำ เดก็ ตามไมด่ กี เ็ พราะผูใ้ หญต่ ามไมด่ ี ผู้ใหญ่อาจจะเถียงว่า ในการตามฝรั่งนั้น เด็กกับ ผู้ใหญ่ต่างคนต่างตามในเร่ืองที่ตัวชอบ หรือบางที เร่ืองที่เสียน้ันก็เพราะเด็กไม่ตามในเรื่องท่ีผู้ใหญ่ ตาม แต่กลับไปตามในเร่ืองท่ีผู้ใหญ่ไม่ตามหรือ ผู้ใหญ่ไม่สนใจเลยด้วยซ้ำ คือเด็กถูกสุนัขกัดเพราะ ไปเดนิ เอาเอง ไปตามคนแปลกหนา้ เองไมต่ ามผใู้ หญ่

การเสริมสรา้ งธรรมาภิบาล เพื่อปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ ริต พล.อ.อ. วีรวิท คงศกั ดิ*์ In 1914, HM King Rama VI wrote malpractice and the abuse of power still วารสารวิชาการ ป.ป.ช. proliferate in all sectors and are destructive “Principles for Public Servants” in which forces often referred to by researchers. ปที ่ี 3 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม 2553 he suggested a ten-fold Code of Conduct to The Senate’s Standing Committee on govern the nation and to enhance the lives the Promotion of Good Governance believes 29 of his subjects. Two elements of the Code that the inculcation of integrity and HM focused on integrity: firstly with regard King Rama VI’s code will avert a national to oneself and one’s duties; and secondly disaster in corruption and promote an with regard to others. Ninety years later, the environment of good governance for national Malaysian government employed the prosperity and well-being. The process should word integrity to reach out to its citizens emanate from academic research and through the “The National Integrity Plan” involve the participatory system, requiring (2004-2008), a good governance promotion the selected group to act as role models for programme with the ultimate objective of the young generation. Although this can be enhancing national ethics and integrity as achieved only in the long-term, it is deemed a means of combating corruption. necessary to embark upon this process. Since the economic crisis of 1997, Thai people have become more aware of คำสำคัญ ธรรมาภิบาล, Good Governance, good governance and its constituent parts: การป้องกันการทุจริต, แผนพัฒนาความซื่อตรง transparency, accountability, participation, แหง่ ชาติ efficiency and the rule of law. However, although the Royal Decree on Good Governance was issued in 2003, corruption, * ประธานทปี่ รึกษา คณะกรรมาธิการศกึ ษา ตรวจสอบเรื่องการทจุ ริตและเสรมิ สร้างธรรมาภบิ าล วุฒสิ ภา ถอดเทปโดย นางจนิ ตนา พลอยภทั รภญิ โญ และนางสาวกันต์กมล บ่อทอง

การปลูกฝังแนวความคิดเพ่ือป้องกันและ ธรรมาภิบาล (Good Governance) ในภาครัฐ ปราบปรามการทจุ ริต เร่ือง ธรรมาภบิ าล (Good ที่ชัดเจน แต่ก็ยังไม่สามารถผลักดันให้เกิดการ Governance) ขับเคลื่อนจนมีผลสัมฤทธ์ิที่เป็นรูปธรรมได้อย่าง ในปัจจุบันน้ีเรื่องของการทุจริตกับเรื่อง ชัดเจน ของธรรมาภิบาลเป็นของคู่กัน ทั้งน้ีเนื่องจากการ จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2549 รัฐบาลของ ทุจริตประพฤติมิชอบมีวิวัฒนาการในรูปแบบใหม่ๆ พล.อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้ประกาศวาระแห่งชาติ เกิดขึ้นมากมายจนกฎหมายเอาผิดได้ยาก ดังน้ัน ด้านจริยธรรม ธรรมาภิบาล และการป้องกัน การป้องกันและปราบปรามการทุจริตที่ดีท่ีสุด คือ ปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบใน การปลูกฝังให้คนมีจิตสำนึกใน “ธรรมาภิบาล” ภาคราชการข้ึน โดยทางสำนักงานคณะกรรมการ น่นั เอง พัฒนาระบบข้าราชการได้กำหนดยุทธศาสตร์ไว้ ธรรมาภิบาล (Good Governance) 7 ประการ และมีกลยุทธ์ 38 กลยุทธ์ เพ่ือให้ แปลจากภาษาอังกฤษได้ว่า “การบริหารจัดการ ส่วนราชการนำมาปฏิบัติ แต่เนื่องจากรัฐบาลของ บา้ นเมอื งทด่ี ”ี ในความหมายนท้ี ำใหห้ ลายคนมองวา่ พล.อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์ อยู่ในชว่ งระยะเวลาอนั สนั้ มุ่งเน้นไปท่ีกิจการภาครัฐเท่าน้ัน แต่ความจริงแล้ว ทำให้ขาดการบริหารจัดการเพ่ือให้เป็นไปตาม เป็นการบริหารท่ีดีของทุกภาคส่วน นอกจากน้ัน ยทุ ธศาสตรเ์ หล่าน้ัน คนส่วนใหญ่มองเรื่องธรรมาภิบาลเป็นนามธรรม สมาชกิ วฒุ สิ ภา โดยคณะกรรมาธกิ ารศกึ ษา มากๆ แต่ประเด็นท่ีทุกคนเข้าใจมากท่ีสุด คือ ตรวจสอบเรอื่ งการทจุ รติ และเสรมิ สรา้ งธรรมาภบิ าล 30 “ความโปร่งใส” ดังนั้น ประเด็นคำถามที่น่าสนใจ มองเห็นถึงความจำเป็นอย่างมากในการขับเคล่ือน คอื เราจะทำอยา่ งไรใหเ้ กดิ ความโปรง่ ใสทเี่ กดิ จาก ผลกั ดนั ใหม้ รี ะบบธรรมาภบิ าลในประเทศไทย จงึ ได้ วารสาร ิวชาการ ป.ป.ช. จิตวิญญาณได้อย่างย่ังยืน โดยไม่ใช้กฎเกณฑ์ ศึกษาแนวคิดของประเทศต่างๆ พบว่า ประเทศ มาบังคบั มาเลเซียมีโครงการขับเคลื่อนธรรมาภิบาลด้วย ีป ่ีท 3 ฉ ับบ ่ีท 1 มกราคม 2553 ประเทศไทยเริม่ รู้จักคำว่า “ธรรมาภิบาล” ระบบการปลูกฝัง ค่านิยมที่ทำให้เข้าใจได้ง่ายและ (Good Governance) ในช่วงหลังวิกฤตเศรษฐกิจ สนั้ ขนึ้ คือ ใชค้ ำว่า Integrity หากแปลความหมาย ปี พ.ศ. 2540 โดยมีคนพูดถึงเรื่องความโปร่งใส โดยตรงหมายถงึ ความซ่ือตรง ความซ่ือสัตย์ ตรงไป ความรบั ผิดชอบในการกระทำ การมีสว่ นรว่ ม และ ตรงมา การมีประสิทธิภาพในการทำงานของภาคเอกชน ประเทศมาเลเซียได้จัดทำ “แผนพัฒนา ตอ่ มามีการพูดถึง “นิตริ ัฐ” ซึ่งเปน็ เรอื่ งของภาครฐั ความซ่ือตรงแห่งชาติ” (National Integrity โดยตรง Plan) โดยในช่วงแรกประเทศมาเลเซียได้เริ่มสร้าง ด้วยเหตุนี้ คณะกรรมการพัฒนาระบบ “Vision 2020” ต้ังแต่ปี ค.ศ. 1991 ทำให้พบว่า ข้าราชการ (ก.พ.ร.) จึงพยายามผลักดันให้เกิดข้ึน ส่ิงสำคัญท่ีสุดในการพัฒนาประเทศ คือ การสร้าง ในภาครัฐด้วยการตราพระราชกฤษฎีกาว่าด้วย ลกั ษณะนสิ ยั ของคน หลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมือง ท่ีดี พ.ศ. 2546 ซ่ึงเป็นตัวแบบแม่บทของการมี

ในปี ค.ศ. 1998 รฐั บาลมาเลเซยี ไดพ้ ยายาม ซึ่งมีเรื่องที่เก่ียวข้องกับ “Integrity” หรือความ ปลูกฝัง “ค่านิยม” 6 ประการ ให้เป็นคุณลักษณะ ซ่ือตรง 2 ประการ คือ 1) ความซ่ือตรงต่อหน้าที่ ของคนมาเลเซยี ไดแ้ ก่ ความซอื่ ตรง ความไวว้ างใจได้ และตนเอง 2) ความซื่อตรงต่อบุคคลท่ัวไป อีกทั้ง ความสุขุมรอบคอบ ความเป็นธรรม ความโปร่งใส คำว่า “ซ่ือตรง” น้ีตรงกับทศพิธราชธรรมในหัวข้อ และความกตัญญู โดยมีการดำเนินการให้เกิด “อาชวะ” ด้วย ความดงี ามขน้ึ ในภาครัฐกอ่ น ดังนั้น จึงเป็นการสมควรท่ีคนไทยทุกคน ต่อมาในปี ค.ศ. 2004 ได้เร่ิมขับเคลื่อน ควรพัฒนา “ความซ่ือตรง” ในเร่ืองความซื่อตรง ไปสู่ภาคการเมือง ภาคประชาชน ภาคประชาสังคม ต่อหน้าท่ีและความซื่อตรงต่อบุคคลทั่วไป โดย ภาคกลุ่มศาสนา เด็ก และเยาวชนเป็นหลัก โดยมี เรมิ่ จากตนเองจนเปน็ “จติ สำนกึ และลกั ษณะนสิ ยั ” การวิเคราะห์หาสาเหตุและแนวทางการแก้ปัญหา สิ่งแรกทุกคนสามารถเร่ิมทำได้ง่ายๆ ตามหลักวิชาการ และใช้กระบวนการมีส่วนร่วม จากตัวเองก่อน ด้วยการปฏิบัติหน้าท่ีตามบทบาท ของคนทุกภาคส่วนเพ่ือให้เกิดการยอมรับใน หน้าท่ี และความรับผิดชอบของตนด้วยความ วารสารวิชาการ ป.ป.ช. ประเด็นปัญหาที่ว่า การที่คนมาเลเซียมีความ ซ่ือตรง เช่น นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีและสมาชิก บกพร่องในเรื่องความซ่ือตรงนั้น มีสาเหตุอะไร รัฐสภา ต้องเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติตาม ปที ่ี 3 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม 2553 บา้ ง คำปฏิญาณตนตามที่ได้เปล่งวาจาไว้อย่างเคร่งครัด ผลการศกึ ษาพบวา่ เกดิ จากปญั หา5ประเดน็ โดยประพฤติปฏิบัติงานตามหน้าท่ีความรับผิดชอบ คือ การปลูกฝังลักษณะนิสัย โครงสร้างของการ ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและมีความวิริยะอุตสาหะ บริหารจัดการ วิธีการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง สภาวะ เปน็ ท่ีตงั้ 31 ผู้นำ และวัฒนธรรมของชาติ จึงได้วิเคราะห์หา ส่วนความซ่ือตรงต่อบุคคลท่ัวไปนั้น เมื่อ สาเหตุในแต่ละประเด็นและกำหนดกลยุทธ์ ซื่อตรงต่อตัวเองได้แล้ว ก็จะเป็นพ้ืนฐานในการ เพ่ือนำไปรณรงค์แก้ปัญหาให้เกิดผลอย่างจริงจัง พัฒนาไปสู่ความซ่ือตรงต่อบุคคลอ่ืนได้ไม่ยาก โดยเริ่มต้นจากผู้บริหารสูงสุด คือ นายกรัฐมนตรี โดยต้องรักษาคำม่ันสัญญาที่ให้กับบุคคลอ่ืนอยู่ ไปถึงผูบ้ รหิ ารงานตามภาครฐั ตลอดจนภาคธุรกจิ เสมอ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ต่อจากน้ันจึงเริ่ม สำหรับประเทศไทยของเรา ในภาคธุรกิจ รณรงค์ในบุคคลทุกกลุ่ม โดยเร่ิมจากคนรอบตัว ไดม้ กี ารทำ Corporate Governance หรอื บรรษทั จากในครอบครวั ไปสคู่ นในองค์กร และคนในสังคม ภิบาลซ่ึงมีความเชอื่ มโยงกบั Integrity ด้วยปรชั ญา เพื่อให้เกิดการซึมซับไปสู่เด็กและเยาวชนท่ีจะ ที่ว่า “Enterprise through Integrity” เพ่ือให้ เป็นอนาคตของชาติอย่างทั่วถึง ซึ่งถึงแม้ว่าจะต้อง ทุกคนมองเห็นความสำคัญในเร่ืองนี้ แต่ถ้าย้อนไป ใชเ้ วลาบ้างก็เป็นเรอ่ื งทจ่ี ำเป็นต้องทำ ในปี พ.ศ. 2457 จะพบว่า พระบาทสมเด็จ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั รชั กาลที่ 6 ไดพ้ ระราชทาน “หลักราชการ” 10 ประการให้กับข้าราชการไทย ตัดตอนจากรายการ “การเมืองเร่ืองของประชาชน (ช่วงท่ี 1)” ออกอากาศในรายการของวิทยุรัฐสภา เม่อื วนั ท่ี 22 ตลุ าคม 2552 เวลา 8.00-9.00 น.

วารสารวิชาการ ป.ป.ช. 32 ปที ่ี 3 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม 2553

2ตอนที่ วารสารวิชาการ ป.ป.ช. ปที ่ี 3 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม 2553 บทความวิชาการ : 33 เกี่ยวกบั การทจุ ริต และการตอ่ ตา้ นการทุจริต Anti-Corruption Articles

นักเศรษฐศาสตร์มองความรับผิดชอบ ของภาคธรุ กิจเอกชนต่อสงั คมอยา่ งไร? เมธี ครองแกว้ * บทคดั ย่อ ของมัน นักเศรษฐศาสตร์หลายคนได้พยายาม เศรษฐศาสตร์เป็นวิชาสังคมศาสตร์ที่ใช้ ศึกษาในเชิงประจักษ์เพื่อจะดูว่าผู้จัดการของ วิธีทางวิทยาศาสตร์ศึกษาถึงการเลือกของคนใน บริษัทดำเนินการทางด้านความรับผิดชอบต่อ สังคม ข้อสมมติพื้นฐาน 2 ข้อ ของเศรษฐศาสตร์ สังคม (กล่าวคือ ยอมเสียสละกำไรส่วนหนึ่งของ คือ ข้อสมมติเก่ียวกับความมีเหตุมีผลของการ บริษัทเพื่อทำกิจกรรมหรือโครงการทางสังคม) รักษาผลประโยชน์ส่วนตัวและข้อสมมติเกี่ยวกับ บา้ งหรอื ไม่ อยา่ งไร ซง่ึ ผลกป็ รากฏวา่ ขอ้ สนั นษิ ฐาน ตน้ ทนุ คา่ เสยี โอกาสทผี่ กู อยกู่ บั การเลอื กแตล่ ะอยา่ ง ท่ีว่าบริษัทยอมเสียสละกำไรส่วนหน่ึงเพ่ือทำ ในแนวคิดเช่นน้ี ความรับผิดชอบภาคธุรกิจเอกชน โครงการทางสังคมได้ผลสรุปที่ไม่ชัดเจนนัก 34 ต่อสังคม ซึ่งหมายถึง กิจกรรมซ่ึงอยู่นอกเหนือ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ บริษัททำกิจกรรมทางด้าน ไปจากภาระความรับผิดชอบทางกฎหมายของ ความรับผดิ ชอบตอ่ สงั คมก็เพราะบรษิ ทั นน้ั ๆ ได้รบั วารสาร ิวชาการ ป.ป.ช. บริษัท อาจจะมองได้ว่าเป็นกิจกรรมที่มิใช่เป็น ประโยชนส์ ทุ ธิจากการกระทำดงั กล่าว ส่วนหนึ่งของเป้าหมายหลักของบริษัท หรือหาก ในลักษณะเช่นนี้ แนวคิดเกี่ยวกับความ ีป ่ีท 3 ฉ ับบ ่ีท 1 มกราคม 2553 เปน็ คา่ ใชจ้ า่ ยตา่ งๆ ที่เก่ียวข้องกับกิจกรรมดังกล่าว รับผิดชอบของภาคธุรกิจเอกชนต่อสังคมอาจจะ ก็จะถูกนับรวมเป็นส่วนหน่ึงของโครงสร้างต้นทุน หมดความหมายไป เพราะคงไม่มีบริษัทใดที่ต้อง ของบรษิ ทั นั้นด้วย รักษาความอยู่รอดทางเศรษฐกิจของตนไว้ ดำเนิน มุมมองของนักเศรษฐศาสตร์เก่ียวกับ โครงการทางดา้ นความรบั ผดิ ชอบตอ่ สงั คม ในขณะที่ ความรับผิดชอบของธุรกิจเอกชนต่อสังคมมี ตนเองยังขาดทุนอยู่ หรือทำกำไรไม่เพียงพอ หรือ ตั้งแต่มุมมองอนุรักษ์นิยมของมิลตัน ฟรีดแมน ในอีกมุมมองหนึ่ง ไม่มีความจำเป็นอันใดที่บริษัท ท่ีว่า ความรบั ผิดชอบทางสังคมของบริษัท คือ การ จะต้องทำกิจกรรมทางด้านความรับผิดชอบต่อ เพ่ิมกำไรของบริษัทไปจนถึงมุมมองเสรีนิยม สังคมตราบใดท่ีบริษัทน้ันประพฤติปฏิบัติภายใต้ ท่ีว่า ความรับผิดชอบของธุรกิจเอกชนต่อสังคม กรอบของกฎหมายและระเบียบของทางการอย่าง เป็นส่วนหน่ึงของเป้าหมายของบริษัทได้หาก เคร่งครัด ผู้เขียนบทความนี้เสนอว่า ไม่มีความ ผลประโยชน์ของการกระทำดังกล่าวสูงกว่าต้นทุน จำเป็นที่บริษัทจะต้องดำเนินการด้านกิจกรรม * กรรมการ ป.ป.ช.

ความรับผิดชอบต่อสังคม หากบริษัทน้ีสามารถ so is greater than its cost. Several economists วารสารวิชาการ ป.ป.ช. บรรลุถึงการรักษาความซ่ือสัตย์ 5 ประการด้วยกัน have tried to conduct empirical studies as กล่าวคือ (ก) ความซื่อสัตย์ต่อรัฐโดยการเสียภาษี to whether or not business managers have ปที ่ี 3 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม 2553 ท่ีถูกต้อง (ข) ความซ่ือสัตย์ต่ออุตสาหกรรมที่ตน engaged in CSR (that is, have sacrificed ดำเนินกิจการอยู่โดยการไม่ทำให้อุตสาหกรรม part of the company’s profits for socially 35 นั้นๆ เสียหายจากผลการประกอบการของตน responsible projects or activities), with the (ค) ความซื่อสัตย์ต่อคู่แข่งทางการค้าโดยการ results showing weak evidence for such a ปฏิบัติตามระเบียบและกฎเกณฑ์ของการแข่งขัน hypothesis. In other words, it can be said (ง) ความซ่ือสัตย์ต่อลูกค้าโดยการไม่หลอกลวง that companies engage in CSR because they ในผลิตภัณฑ์หรือบริการ (จ) ความซ่ือสัตย์ต่อ enjoy net benefits from doing so. คนงานลูกจ้าง โดยให้ค่าจ้างที่เป็นธรรมและสภาพ In this respect, the concept of CSR การทำงานท่ดี ี may have become irrelevant because no Economics is a social science that economically viable company will consider engaging in it before it has succeeded in uses scientific methods to study how people carrying out its business with adequate make their choices in society. Two basic profits, or at least without losses. Alternately, assumptions underlying economics are the no company needs to consider CSR as long as assumption of the self-interest rationale it operates under the framework of laws and of the chooser and the assumption of regulations. To obviate the need to engage opportunity cost attached to the selection of in CSR, this paper suggests the fulfillment of each choice. In this way, corporate social five honesty conditions, namely, (a) honesty responsibility (CSR), which can be defined towards the state by paying proper taxes; as an activity that goes beyond the legal (b) honesty towards industry by not harming obligations of a company, can be understood it through industrial outcome; (c) honesty either as an activity that is not a part of the towards competitors by following competition company’s main objectives; or that, if it is, rules and regulations; (d) honesty towards the associated expenses must be included in clients by not cheating on products or services; the company’s cost structure. and (e) honesty towards employees by Economists’views on this range from providing fair wages and working conditions. the conservative, like Milton Friedman’s belief that the social responsibility of คำสำคญั CSR (Corporate Social business is to increase its profits, to a more Responsibility), ความรับผิดชอบของภาคธุรกิจ liberal view that CSR can be part of a เอกชนต่อสังคม, การวเิ คราะห์ทางเศรษฐศาสตร์ company’s objectives if the benefit of doing

1. บทนำ สังคมศาสตร์อ่ืนๆ ซึ่งผลจากการมีมุมมองท่ีต่างกัน เ ศ ร ษ ฐ ศ า ส ต ร์ เ ป็ น วิ ช า ท่ี ใช้ วิ ธี ท า ง น้ีเอง อาจทำให้ผลการวิเคราะห์ไม่เหมือนกับ วิทยาศาสตร์มาศึกษาพฤติกรรมการเลือกหรือ มุมมองของผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารธุรกิจหรือการ การตัดสินใจของคนในสังคม โดยตั้งอยู่บน จัดการ แต่มุมมองท่ีแตกต่างกันนี้น่าจะเป็น สมมุติฐานของการศึกษาว่าผู้เลือกหรือผู้ตัดสินใจ ประโยชน์ท่ีจะทำให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังเข้าใจเรื่อง ทำไปเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองมากท่ีสุด แต่ CSR อยา่ งถ่องแท้หรอื ลกึ ซึ้งมากย่งิ ขึ้น ยอมรับข้อเท็จจริงว่ามีความจำกัดอยู่ในสิ่งที่ ในบทความน้ี ผู้เขียนจะรวบรวมแนวคิด เลือกได้ และการเลือกแต่ละคร้ังจะมีต้นทุนและ ของนักเศรษฐศาสตร์ที่มีต่อ CSR เพื่อตอบโจทย์ ผลประโยชน์ผูกพันอยู่เสมอ หมายความว่าเมื่อ ที่ตั้งเป็นช่ือของบทความนี้ว่า “นักเศรษฐศาสตร์ เลือกอะไรหนึ่งอย่างก็คือ การไม่ได้เลือกอะไร มอง CSR อย่างไร” คงพูดไมไ่ ด้ว่านักเศรษฐศาสตร์ อีกอย่างหน่ึงหรือหลายๆ อย่าง ซึ่งแต่ละอย่างก็จะ เห็นเหมือนกันหมดเกี่ยวกับ CSR แต่อย่างน้อย มีต้นทุนและผลประโยชน์แตกต่างกันออกไป ผู้อ่านจะได้เห็นแนวการวิเคราะห์ท่ีใช้หลัก อย่างน้อยเศรษฐศาสตร์จะตอบเราได้ว่าส่ิงที่ เศรษฐศาสตร์ตามท่ีกล่าวถึงแล้วข้างต้น โดยส่วน แต่ละคนเลือกน้ัน ให้ผลประโยชน์สุทธิดีกว่า ที่ 2 ของบทความนี้จะเป็นการรวบรวมความหมาย ทางเลอื กอื่นๆ ทไี่ มไ่ ดเ้ ลอื ก หรือคำนิยามของ CSR มองจากมุมมองทาง ภายใต้โครงสร้างความจริงทางสังคม เศรษฐศาสตร์ และจากความหมายหรือคำนิยามนี้ เช่นน้ี จะเห็นได้ว่าเศรษฐศาสตร์จะมีคำอธิบาย บทความนี้จะเร่ิมเจาะลึกเข้าไปในเน้ือหาของ 36 ต่อพฤติกรรมการเลือกของมนุษย์หรือคนในสังคม CSR ในส่วนที่ 3 ซ่ึงเป็นส่วนหลักของบทความนี้ เสมอ แต่คำอธิบายดังกล่าวจะเป็นที่ยอมรับของ ว่า CSR มีผลทางเศรษฐศาสตร์อย่างไร? จริง วารสาร ิวชาการ ป.ป.ช. ผู้อ่ืนหรือผู้ฟังในสังคมหรือไม่เป็นเรื่องท่ีไม่อาจ หรือไม่ท่ีบริษัทท่ีสนใจใน CSR มักจะประสบ คาดเดาได้ แต่อย่างน้อยเศรษฐศาสตร์ก็มีวิธีที่จะ ผลสำเร็จในการประกอบการทางธุรกิจดีกว่าบริษัท ีป ่ีท 3 ฉ ับบ ่ีท 1 มกราคม 2553 แสดงให้ผู้ฟังเห็นว่า นักเศรษฐศาสตร์สามารถใช้ ท่ีไม่สนใจใน CSR? และควรหรือไม่ หรือจำเป็น เครื่องมือต่างๆ ทางวิชาการ ไม่ว่าจะเป็นเคร่ืองมือ หรือไม่ท่ีบริษัทจะต้องสนใจใน CSR ในแง่มุม ทางด้านคณิตศาสตร์ สถิติ หรือการทดลองทาง ทางเศรษฐศาสตร์? ส่วนท่ี 4 จะสรุปและกล่าวถึง สังคมอื่นๆ เพ่ือจะโน้มน้าวให้ผู้ฟังเห็นว่าหรือ ข้อเสนอทางการศึกษาเพ่ิมเติมและการกำหนด ยอมรับว่าการวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์น้ัน มี นโยบายที่เหมาะสม ตรรกหรือความมีเหตุมีผล และมีความคงเส้นคงวา ทนี่ า่ เชอื่ ถือได้ 2. ความหมายของ CSR ในทางเศรษฐศาสตร์ เรื่องที่เกี่ยวกับความรับผิดชอบของ ก่อนท่ีเราจะกล่าวถึงความหมายของ CSR ภาคธุรกิจเอกชนต่อสังคม (Corporate Social คงเป็นการเหมาะท่ีเราจะได้พูดถึงวิวัฒนาการ Responsibility หรือ CSR) ก็เช่นเดียวกัน ของระบบการบรหิ ารธรุ กจิ และการจดั การในระบบ นักเศรษฐศาสตร์จะมีมุมมองเกี่ยวกับเรื่องน้ี ทุนนิยมเสรีในช่วงหลังสงครามโลกคร้ังท่ี 2 เพ่ือ ท่ีอาจจะแตกต่างไปจากนักวิชาการทางด้าน ให้เห็นว่าบทบาทของภาคธุรกิจเอกชนต่อสังคม

ได้พัฒนามาอย่างไร? เป็นที่ทราบกันดีว่ารูปแบบ รับรู้ของประชาชนท่ัวไปซึ่งเป็นท้ังผู้ซ้ือสินค้า ของการบริหารจัดการบริษัทในระบบทุนนิยมเสรี และบริการของบริษัท และผู้สนับสนุนบริษัท ได้เปลี่ยนไปมากตามการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ในด้านอ่ืนๆ ช่วงนี้เองเป็นช่วงท่ีอยู่ในระบบ เศรษฐกิจและการเมือง และการพัฒนาเทคโนโลยี ทุนนิยมของการมีความรับผิดชอบต่อสังคม Henderson (2005, 2007) ไดแ้ บง่ การพฒั นารปู แบบ (Socially Responsible Capitalism) และเป็น ของการบรหิ ารจัดการบรษิ ัทตง้ั แต่หลังสงครามโลก ช่วงที่ความสำคัญของ CSR ได้ถูกทำให้เผยแพร่ ครั้งท่ี 2 จนถึงปัจจุบันออกเป็น 3 ช่วงเวลา คือ กระจายออกไปอยา่ งรวดเรว็ ช่วงท่ีหนึ่ง ระหว่างทศวรรษที่ 1950 และ 1960 อย่างไรก็ดี โดยความเป็นจริงแล้ว ความ เป็นช่วงที่อาจเรียกได้ว่าเป็นระบบทุนนิยม นิยมใน CSR เกิดขึ้นหลังปรากฏการณ์ทางสังคม โดยผู้จัดการ (Managerial Capitalism) โดย ที่สำคัญอย่างหน่ึงในช่วงต้นทศวรรษ 1980 ผู้จัดการในบริษัทใหญ่ๆ ในประเทศอุตสาหกรรม ปรากฏการณท์ ว่ี า่ นค้ี อื การทอี่ งคก์ ารสหประชาชาติ ตะวันตกมีอำนาจในการตัดสินใจมากในการใช้ ได้ต้ังคณะกรรมการขึ้นมาคณะหนึ่งมีชื่อว่า วารสารวิชาการ ป.ป.ช. ทรัพยากรของบริษัทเพ่ือทำในส่ิงซ่ึงจะทำให้บริษัท คณะกรรมการระดับโลกว่าด้วยส่ิงแวดล้อมและ มีความสำเร็จในธุรกิจ ในช่วงเวลานี้บทบาทของ การพฒั นา (World Commission on Environment ปที ่ี 3 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม 2553 ผ้ถู ือหนุ้ หรือเจ้าของบรษิ ัทจะมไี ม่มากนกั and Development หรือ WCED) เมื่อปี ค.ศ. ในช่วงเวลาท่ี 2 ซ่ึงครอบคลุมทศวรรษ 1983 โดยมี ดร.Gro Harlem Brundtland ที่ 1970 ถึง 1990 เป็นช่วงที่บทบาทของผู้จัดการ อดีตนายกรัฐมนตรีของนอร์เวย์ เป็นประธาน เพ่ือ บริษัทและถูกแทนท่ีโดยผู้ถือหุ้นหรือผู้ลงทุน ศึกษาถึงปัญหาที่เก่ียวกับผลกระทบของการพัฒนา 37 ในบริษัท (หรือเจ้าของบริษัทน่ันเอง) ช่วงน้ีเป็น ทางเศรษฐกิจและสังคมที่มีต่อสภาวะแวดล้อม ช่วงท่ีเรียกว่าเป็นระบบทุนนิยมของผู้ลงทุน ของมนุษย์และการใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติ (Investor Capitalism) ในช่วงน้ีผู้จัดการจะถูก ของโลก ผลการศึกษาของคณะกรรมการชุดนี้ กดดันให้ทำหน้าท่ีเพื่อสนองตอบต่อความต้องการ ซ่ึงเรียกกันโดยท่ัวไปว่า Brundtland Report on ของผู้ถือหุ้น หากผู้จัดการไม่สามารถสร้างผลกำไร Our Common Future ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ ให้เป็นที่น่าพอใจของผู้ถือหุ้นได้ ก็มีโอกาสต้องถูก ในปี ค.ศ. 1987 ได้กล่าวถึงการพัฒนาที่เหมาะสม เปลีย่ นตัวมากขึน้ กวา่ แตก่ อ่ น หรือพึงประสงค์ของมนุษยชาติโดยเรียกการ ในชว่ งเวลาที่ 3 คอื ช่วงเวลาในทศวรรษที่ พัฒนาน้ีว่า “การพัฒนาแบบยั่งยืน (Sustainable 2000 สภาพการส่ือสารคมนาคมและการค้าของ Development) โดยให้ความหมายอย่างกว้างๆ โลกที่เปล่ียนไปทำให้โลกเล็กลง ประชาชนมีความ ว่าเป็นการพัฒนาท่ีมุ่งม่ันท่ีจะสนองตอบต่อ ใกล้ชิดกันมากข้ึน ติดต่อกันง่ายขึ้น และมีส่วน ความต้องการและความมุ่งหวังของประชากรโลก รับรู้ความเปลี่ยนแปลงและความเป็นมาเป็นไป ในปัจจุบันโดยไม่ให้มีผลไปบ่ันทอนความสามารถ ในการบรหิ ารจดั การของบรษิ ทั มากขนึ้ บทบาทของ ในการทำอย่างเดียวกันของประชากรโลกใน ทั้งผู้จัดการและเจ้าของบริษัท (ผู้ถือหุ้น) ถูกจำกัด อนาคต” ซึ่งเมื่อขยายความแล้วให้หมายถึง ให้แคบลงโดยการมีส่วนร่วมและ/หรือส่วนการ การพัฒนาท่ีมีส่วนประกอบของ 3 ส่ิงพร้อมๆ กัน

คอื การพฒั นาทางเศรษฐกจิ การปกปอ้ งสง่ิ แวดลอ้ ม หลายประเทศ (สำนักงานกลางต้ังอยู่ที่กรุงเจนีวา และการพฒั นาทางสงั คม ประเทศสวิตเซอร์แลนด์) ได้ระบุถึง CSR ว่าเป็น ประกอบกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี พันธกิจของภาคธุรกิจเอกชนที่ส่งผลต่อการพัฒนา สารสนเทศทำให้คอมพิวเตอร์และการส่ือสาร ที่ย่ังยืน โดยควรทำงานรว่ มกันกับพนักงาน ลูกจ้าง โทรคมนาคมแพร่ขยายมากข้ึน มีส่วนช่วยในการ ครอบครัวของคนงานเหล่านี้ ชุมชนท้องถิ่นและ ขยายการค้าระหว่างประเทศและความสัมพันธ์ สงั คมสว่ นรวม เพอ่ื ทำใหค้ ณุ ภาพชวี ติ ของคนเหลา่ น้ี ระหว่างประเทศในด้านอื่นๆ จึงอธิบายได้ว่า ดีย่ิงข้ึน จะสังเกตเห็นว่าความเข้าใจของผู้นำของ เพราะเหตุใดบทบาทของภาคธุรกิจเอกชนใน องคก์ รนไี้ มไ่ ดพ้ ดู ถงึ เรอ่ื งของกำไรและความตอ้ งการ ยุคทศวรรษ 1990 ตอ่ ทศวรรษ 2000 จึงมีบทบาท ของผถู้ ือห้นุ แต่อย่างใด มากข้ึนในระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ตรงนี้เองเป็นจุดที่นักเศรษฐศาสตร์จะ ตา่ งๆ ทว่ั โลก การลม่ สลายของระบบสงั คมนยิ มของ สามารถกระโดดเข้ามาร่วมวงสังสรรค์ด้วยได้ โซเวียตและประเทศในยุโรปตะวันออกในช่วงปลาย ในทางเศรษฐศาสตร์น้ัน เม่ือตกลงกันได้แล้วว่า ทศวรรษ 1980 มีส่วนช่วยให้ระบบทุนนิยมเสรี วิธีที่จะทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดของการใช้ ท่ีภาคธุรกิจเอกชนมีบทบาทเป็นตัวละครหรือ ทรัพยากรท่ีมีอยู่จำกัด คือการแบ่งงานกันทำตาม ผู้เล่นหลักในระบบเศรษฐกิจได้รับการขยาย ความสามารถหรือความเหมาะสม (division of บทบาทยิ่งมากขึ้นไปอีก ดูเหมือนว่าธุรกิจเอกชน labour) แล้วในแต่ละงาน ผู้ที่เกี่ยวข้องก็จะ จะแสดงบทบาทเป็นพระเอกมากข้ึนในกระแส ดำเนินการให้ได้ประโยชน์สูงโดยใช้ต้นทุนต่ำสุด 38 โลกาภวิ ัตนท์ เ่ี กิดข้ึนอยู่หรอื เป็นอยใู่ นปจั จบุ นั ซึ่งหมายความถึงการคิดค้นวิธีการใหม่ๆ ที่จะ ในภาพของการบริหารจัดการภาคธุรกิจ เพิ่มผลผลิต, ลดต้นทุน, และเพิ่มคุณภาพของงาน วารสาร ิวชาการ ป.ป.ช. โดยทั่วๆ ไปแล้ว บทบาทท่ีเพ่ิมขึ้นน้ีก็คือบทบาท นั้นๆ ด้วย ถ้างานท่ีว่าน้ีคืองานทางด้านผู้ผลิต ในการช่วยสังคม ซึ่งโดยปกติเป็นเรื่องท่ีอยู่ใน สนิ คา้ หรอื การใหบ้ รกิ าร ผทู้ เ่ี กย่ี วขอ้ งคอื ผบู้ รหิ ารใน ีป ่ีท 3 ฉ ับบ ่ีท 1 มกราคม 2553 ความรับผิดชอบของรัฐบาล ท่ีเป็นเช่นน้ีอาจจะ ภาคธุรกิจเอกชน ก็จะมีเป้าหมายท่ีจะทำให้องค์กร เป็นเพราะว่ารัฐบาลทำได้ไม่เต็มที่เพราะขาด หรือบริษัทของตนมีกำไรสูงสุดจากการผลิตสินค้า ทรัพยากร หรือเพราะว่าระบบราชการไม่ค่อยมี หรอื บริการทีม่ คี ณุ ภาพสงู สุด ต้นทนุ ตำ่ สุด ในราคา ประสิทธิภาพเท่าที่ควร หรือเช่ืองช้าสู้การทำงาน ที่ผูซ้ อื้ ยินดีซื้อสงู สดุ ของภาคธุรกิจเอกชนไม่ได้ ตัวอย่างของการมี เม่ือปี ค.ศ. 1970 ศาสตราจารย์ Milton ส่วนร่วมของภาคธุรกิจเอกชนในเรื่องท่ีเกี่ยวกับ Friedman นักเศรษฐศาสตร์มีช่ือชาวอเมริกัน ความรับผิดชอบต่อสังคมจะเห็นได้จากแนว ซึ่งต่อมาได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ นโยบายของคณะมนตรีระดับโลกของภาคธุรกิจ ได้เปิดฉากวิจารณ์แนวคิดเกี่ยวกับความรับผิดชอบ เพือ่ การพัฒนาทีย่ ่ังยนื (World Business Council ทางสังคมของภาคธุรกิจเอกชน (Friedman for Sustainable Development หรือ WBCSD) 1970) จะสังเกตว่าในขณะนนั้ คำวา่ CSR ยังไม่เกดิ ซ่ึงเป็นองค์กรของภาคธุรกิจเอกชนประกอบด้วย แต่คำว่าความรับผิดชอบทางสังคม (Social ผู้บริหารระดับสูง (CEOs) ของบริษัทต่างๆ ใน Responsibility) มกี ารพดู ถงึ กนั บา้ งแลว้ โดยเฉพาะ

อย่างยิ่งในความหมายว่าบริษัทท่ีดีมีความ มีความรับผิดชอบโดยตรงต่อนายจ้างของตน วารสารวิชาการ ป.ป.ช. รับผิดชอบควรจะเอาใจใส่เรื่องทางสังคมเพ่ิมขึ้น ความรบั ผดิ ชอบทว่ี า่ นี้ คอื การบรหิ ารจดั การบรษิ ทั ด้วย Friedman ซึ่งเป็นท่ีรู้จักกันดีต้ังแต่สมัยนั้น ใหเ้ ปน็ ไปตามความประสงคข์ องเจา้ ของ ซงึ่ โดยทว่ั ไป ปที ่ี 3 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม 2553 แล้วว่าเป็นผู้สนับสนุนระบบเศรษฐกิจทุนนิยม กห็ มายถงึ ทำรายไดใ้ หม้ ากทส่ี ดุ ภายใตเ้ งอื่ นไข หรอื เสรีอย่างยิ่งยวด จะทำทุกวิถีทางท่ีจะไม่แทรกแซง กฎหมายของสงั คมในรปู ของกฎหมายและประเพณี 39 กลไกตลาด แต่จะปล่อยให้มีการแข่งขันโดยเสรี ทด่ี ีงาม” (Friedman 1970). และหากมีความจำเป็นอันใดท่ีจะต้องมีการ เพราะฉะน้ันในความเห็นของ Friedman ดำเนินการเพ่ือผลหรือสวัสดิการทางสังคม ก็จะ แล้ว ความรับผิดชอบทางสังคมของบริษัทเอกชน ปลอ่ ยให้เป็นหน้าทข่ี องรฐั บาลเฉพาะเท่าท่จี ำเป็น มองจากมุมมองของผู้จัดการบริษัทแล้วไม่มี Friedman อ้างว่าผู้จัดการบริษัทมีหน้าที่ หรือไม่ต้องมี หากจะต้องบังคับให้ผู้จัดการ ความรับผิดชอบโดยตรงและอย่างเป็นทางการ เหล่าน้ีทำตัวเหมือนข้าราชการ หรือหน่วยงาน หรือที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Fiduciary Duty ของรัฐที่รับผิดชอบงานทางด้านสังคมด้วย ระบบ ต่อผู้ถือหุ้นหรือเจ้าของบริษัทเท่าน้ัน และการ เศรษฐกิจท่ีว่าก็จะกลายเป็นระบบเศรษฐกิจ ทำหน้าท่ีดังกล่าวให้ประสบความสำเร็จก็คือ แบบสังคมนิยม ไม่ใช่ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม การเพ่ิมกำไรของบริษัทเป็นสำคัญ แต่การเพ่ิม เสรีอีกต่อไป1 ผลกำไรนี้จะต้องเป็นไปโดยถูกต้องตามกฎหมาย ถ้ามองอย่างผิวเผินแล้วจะมองว่าความคิด หรือระเบียบที่ใช้อยู่ในขณะน้ัน โดยไม่มีการโกง ของ Friedman เก่ียวกับ CSR ในความหมายท่ีใช้ หรือหลอกลวง แน่นอนว่าผู้จัดการคนน้ีอาจมีจิต หรือรู้จักกันอยู่ในปัจจุบันเป็นความคิดสุดโต่งก็ได้ อันเป็นกุศล ชอบที่บริจาคเงินเพื่อสาธารณ นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ในเวลาต่อมามิได้มอง ประโยชน์หรือช่วยเหลือกิจการทางด้านสังคม แต่ บทบาทของผจู้ ดั การเฉพาะเป็น “ลกู นอ้ ง” (agent) เงินบริจาคหรือเวลาของผู้จัดการคนนี้จะต้องเป็น ที่ต้องทำกำไรให้ “ลกู พ”่ี (principal) คอื ผถู้ อื หนุ้ เงินหรือเวลาส่วนตัว ไม่ใช่เงินหรือเวลาของบริษัท หรือเจ้าของบริษัทให้มากที่สุดแต่เพียงอย่างเดียว ถ้าเขาทำเช่นนี้โดยไม่ใช้เงินหรือเวลาตัวเองแล้ว เป็นไปได้ว่าผู้ถือหุ้นเองอาจจะเสนอแนะหรือ ผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นลดลง ก็แสดงว่าเขาใช้เงิน แนะนำ แม้กระท่ังบังคับ ให้ผู้จัดการบริษัทมีแผน ของผู้ถือหุ้นนั้นเอง หรือหากเขาทำเช่นน้ีแล้ว การบริหารจัดการที่ช่วยสังคมนอกเหนือไปจาก ทำให้ราคาสินค้าหรือบริการของบริษัทสูงขึ้น การบริหารจัดการกิจกรรมของบริษัทแต่อย่างเดียว ก็แสดงว่าเขากำลังใช้เงินของผู้บริโภคน้ันเอง เท่าน้นั กไ็ ด้ ดังน้ันการตีความบทบาททางสังคมของ Friedman ไดพ้ ดู เกยี่ วกบั เรอื่ งนไี้ วอ้ ยา่ งนี้ “ในระบบ บริษัทธุรกิจเอกชนในปัจจุบันอาจจะกว้างกว่า เศรษฐกิจเสรีท่ีเอกชนเป็นเจ้าของทุน ผู้จัดการ ความหมายที่ Friedman มีอยู่ในใจ ในที่นี้เราจะ บริษัทเป็นลูกจ้างของบริษัทน้ันๆ ผู้จัดการคนนี้ หยิบยกความหมายหรือคำนิยามทางเศรษฐศาสตร์ 1 Peter Drucker (1986) ปรมาจารย์ทางดา้ นการตลาดของสหรัฐอเมรกิ า ได้กลา่ วไวว้ ่า “ความรบั ผดิ ชอบประการแรก ของธุรกิจคือการหากำไรที่เพียงพอท่ีจะครอบคลุมต้นทุนในอนาคต หากความรับผิดชอบทางสังคมส่วนน้ียังไม่เกิด ความรบั ผิดชอบทางสังคมอนื่ ๆ กไ็ ม่สามารถเกดิ ได้”

ของ CSR ของนกั เศรษฐศาสตร์เพียง 2 หรือ 3 คน หรือผลร้ายต่อสวัสดิการของประชากรด้วยซ้ำ เพ่ือให้เห็นแนวทางหรือทิศทางการส่ือความหมาย โดยรวมก็คือนักเศรษฐศาสตร์คนน้ีก็ไม่ค่อย ทางเศรษฐศาสตรข์ อง CSR ศรทั ธาตอ่ CSR ดว้ ยอีกคน ยกตัวอย่างเช่น ศาสตราจารย์ David นกั เศรษฐศาสตรก์ ลมุ่ หนงึ่ ของมหาวทิ ยาลยั Henderson แห่งสหราชอาณาจักร (Henderson Harvard พยายามจะให้ความหมายของ CSR 2001, 2007) อาจจะไม่ได้พูดถึงคำนิยามของ ด้วยความเป็นกลางมากขึ้น โดยใช้การศึกษา CSR ในทางเศรษฐศาสตร์โดยตรง หากแต่ใช้ เชิงประจักษ์ท่ีหาความสัมพันธ์ในเชิงปริมาณ ความหมายของ CSR เหมือนกับที่ WBCSD ระหว่างผลสัมฤทธ์ิของการประกอบการทาง ได้วางกรอบไว้ตามท่ีเราได้กล่าวถึงแล้วแต่ต้น ธุรกิจและระดับความสนใจในบทบาทของธุรกิจนั้น ในส่วนท่ีว่าด้วยการพัฒนาแบบย่ังยืน หรือท่ี ต่อสังคม แนวคิดเช่นนี้ดูจะตรงความหมาย เรียกขานกันอีกลักษณะหนึ่งว่า CSR หมายถึง ในทางเศรษฐศาสตรข์ อง CSR มากทส่ี ดุ ยกตวั อยา่ ง การบรรลุถึงวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการของ เช่น Paul R. Portney (2005, 2008) อธิบายว่า การทำธุรกิจในปัจจุบัน (หรือท่ีเรียกเป็นภาษา CSR คือรูปแบบของกิจกรรมที่บริษัทธุรกิจ อังกฤษว่า “Triple Bottom Lines”) คือ การ เอกชนกระทำเป็นปกติท่ีนอกเหนือไปจาก ประสบความสำเร็จในทางเศรษฐกิจโดยมีกำไร ภารกิจหรือกิจกรรมท่ีต้องกระทำตามกฎหมาย (Profits) ในทางส่ิงแวดล้อมโดยการรักษา หรอื ระเบยี บปฏบิ ตั ิ ในสว่ นทเี่ กย่ี วกบั สภาพแวดลอ้ ม สิ่งแวดล้อมของโลกเอาไว้ (Planet) และในทาง ความปลอดภัยและสุขภาพของคนงาน และการ 40 สังคมโดยทำให้คนมีความสุข (People) แต่ ลงทุนในชุมชนซึ่งบริษัทธุรกิจน้ันดำเนินกิจการ Henderson ก็ใช้แนวคิดหรือความเข้าใจ อยู่ หรือพูดอย่างง่ายๆ ก็คือ CSR เป็นส่ิงท่ี วารสาร ิวชาการ ป.ป.ช. เชิงเศรษฐศาสตร์โจมตีความหมายของ CSR บริษัททำเกินไปจากส่ิงต้องทำหรือถูกบังคับ ตามท่ีกล่าวถึงข้างต้นว่า เลื่อนลอย (vague) ให้ทำ (Beyond–Compliance Activities) ีป ่ีท 3 ฉ ับบ ่ีท 1 มกราคม 2553 ไม่สามารถใช้เป็นหลักการหรือแนวทางใน น่นั เอง ระดับปฏิบัติในสภาพความเป็นจริงได้ นอกจากนี้ Einer Elhauge (2005) อธบิ ายความหมาย ความเข้าใจท่ีว่า CSR มีความสำคัญและความ ของ CSR ให้แคบลงไปอีก โดยกล่าวว่า CSR จำเป็นท่ีต้องนำมาใช้เพราะโลกในปัจจุบัน หมายถึงการยอมเสียสละกำไรของบริษัทเพื่อ ประสบกับความล้มเหลวในบทบาทของรัฐบาล กิจกรรมหรือประโยชน์ทางสังคม (sacrificing ในกระแสโลกาภิวัตน์ ทำให้ภาคธุรกิจเอกชนต้อง profits in the social interest) ความหมายนี้ ออกมาแสดงบทบาทเพ่ิมขึ้นนั้น Henderson เข้าใจง่ายและสามารถใช้เป็นเง่ือนไขในการ ก็เห็นว่าไม่เป็นความจริง และการเข้ามามีบทบาท ทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างการบริหาร ในทางสังคมที่มากข้ึนของภาคธุรกิจเอกชน จัดการเพื่อให้บริษัทมีกำไรและการตัดสินใจ อาจมีผลทำให้เกิดความไร้ประสิทธิภาพทาง เสียสละกำไรส่วนหนึ่งไปในการทำกิจกรรม เศรษฐศาสตร์หรือการแข่งขันในระบบเศรษฐกิจ ทางสังคม แนวทางการมอง CSR ในแนวนี้เอง อาจทำให้การเจริญเติบโตลดลง และเป็นผลเสีย ที่นักเศรษฐศาสตร์หลายคนใช้เพ่ือศึกษาต่อ

เพ่ือให้ทราบถึงความหมาย และความสำคัญที่ หน้าท่ีความรับผิดชอบของบริษัท หรือองค์กร แท้จริงของ CSR2 ทางธุรกิจอ่ืนๆ อย่างไรบ้าง? การปฏิบัตินอกเหนือ ไ ป จ า ก ท่ี ก ฎ ห ม า ย ก ำ ห น ด อ า จ ท ำ ไ ด้ ห รื อ ไ ม่ ? 3. ประสบการณ์ CSR จากมมุ มองทางเศรษฐศาสตร์ อย่างไร? ทั้งนี้เพราะว่า CSR หมายความถึง จากแนวทางการให้คำนิยามของ CSR กิจกรรมท่ีอยู่นอกเหนือไปจากหน้าที่พ้ืนฐานที่ ว่าคือ ส่วนแบ่งของกำไรบริษัทท่ีใช้ไปในกิจกรรม กำหนดในกฎหมาย ทางสังคม ทำให้นักเศรษฐศาสตร์กลุ่มหน่ึงซึ่ง Reinhardt, Stavins, and Vietor ประกอบด้วยศาสตราจารย์ Forest L. Reinhardt, (RSV) ได้อธิบายว่ามีหลักหรือทฤษฎีเกี่ยวกับ ศาสตราจารย์ Robert N. Stavins และศาสตราจารย์ วตั ถปุ ระสงคท์ างกฎหมายของบรษิ ทั (corporation) Richard H.K. Vietor สามารถทำการศึกษา อยา่ งน้อย 4 หลัก หรอื ทฤษฎีดว้ ยกนั หลกั แรกคือ เพิม่ เติมเก่ียวกบั ประสบการณก์ ารใช้ CSR ในธรุ กิจ หลักว่าด้วยความสำคัญลำดับแรกของผู้ถือหุ้น เอกชนท้ังในประเทศอุตสาหกรรมที่พัฒนาแล้ว (shareholder primacy) ซง่ึ คลา้ ยๆ กบั แนวคดิ ของ วารสารวิชาการ ป.ป.ช. และประเทศทก่ี ำลังพัฒนา นักเศรษฐศาสตร์ทีส่ อน Friedman ท่ีกล่าวถึงแล้วข้างต้น หลักท่ีสองคือ และวิจัยทางด้านการบริหารธุรกิจและการจัดการ หลักการทำหน้าที่จัดสรรผลประโยชน์โดย ปที ่ี 3 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม 2553 เหล่านี้ (Reinhardt, Stavins, and Vietor, คณะกรรมการบริษัทจากการประกอบธุรกิจ 2008) ได้ต้ังโจทย์หรือคำถามเกี่ยวกับ CSR ให้ผู้ถือหุ้นซ่ึงถือเสมือนเป็นเจ้าของปัจจัย ไว้ 4 ข้อดังน้ี การผลิต เน่ืองจากผู้ถือหุ้นอาจจะลำบากใจ 1. บริษัทอาจเสียสละกำไรเพ่ือประโยชน์ ในการท่ีจะลงทุนบางอย่างท่ีอาจไม่ได้ผล 41 ของสงั คมไดห้ รอื ไม่? ตอบแทนคืนมา หลักท่ีสามคือหลักการให้ผู้จัดการ 2. บรษิ ทั สามารถเสยี สละกำไรเพอ่ื ประโยชน์ บริษัทมีอำนาจในการพิจารณาดำเนินการ ของสงั คมอยา่ งต่อเน่อื งได้หรือไม่? กิจกรรมด้านสังคมท่ีเป็นไปตามขนบธรรมเนียม 3. ในความเป็นจริง บริษัทเสียสละกำไร ประเพณีที่ทำสืบเน่ืองกันมา ในส่วนน้ีถ้าเป็น เพื่อประโยชน์ทางสงั คมหรือไม?่ และ ในประเทศสหรัฐอเมริกาแล้ว ทางฝ่ายตุลาการ 4. บริษัทควรเสียสละกำไรเพ่ือประโยชน์ จะยึดหลักสิทธิการตัดสินใจของฝ่ายธุรกิจ ทางสงั คมหรือไม่? (Business Judgment Rule) กล่าวคือ ทางฝ่าย ผู้พิพากษาจะไม่เข้าไปก้าวก่ายอำนาจการตัดสินใจ คำถามท่ี 1 : บรษิ ทั อาจเสยี สละกำไรเพอื่ ประโยชน์ ทางธุรกิจของผู้จัดการบริษัท ในประเทศอื่นท่ีใช้ ของสงั คมไดห้ รือไม?่ ระบบกฎหมายแนวหลักปฏิบตั ทิ วั่ ๆ ไป (common คำถามน้ีเป็นคำถามในเชิงกฎหมาย law system) เช่น ประเทศสหราชอาณาจักร กล่าวคือในประเทศต่างๆ มีกฎหมายที่กำหนด หรือออสเตรเลียก็จะใช้หลักเกณฑ์เดียวกัน 2 Martin Daniel Siyaranamual (2007) เปน็ นักเศรษฐศาสตร์อีกคนหน่งึ ทม่ี ีมุมมองเกี่ยวกบั ความหมายของ CSR ที่นา่ สนใจ เขามองว่า CSR คือการที่บริษัทเอกชนขายสินค้าเอกชน (private goods) ไปพร้อมๆ กับการจัดหาสินค้าสาธารณะ (public goods) ให้แก่สังคม


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook