Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วารสารวิชาการ ป.ป.ช. ปีที่ 10 ฉบับที่ 1

วารสารวิชาการ ป.ป.ช. ปีที่ 10 ฉบับที่ 1

Published by sakdinan.lata, 2021-09-15 05:33:27

Description: วารสารวิชาการ ป.ป.ช. ปีที่ 10 ฉบับที่ 1

Search

Read the Text Version

วารสารวิชาการ ป.ป.ช. NACC Journal ISSN 1906-2087 ปีที่ 10 ฉบับที่ 1 มกราคม - มถิ ุนายน 2560 ประเทศไทยใสสะอาด ไทยทั้งชาตติ า้ นทุจริต “ยทุ ธศาสตร์ชาตวิ ่าด้วยการปอ้ งกันและปราบปรามการทจุ รติ ระยะท่ี 3 (พ.ศ. 2560 - 2564)” บทความทางวิชาการ l ยุทธศาสตร์ชาติวา่ ดว้ ยการปอ้ งกันและปราบปรามการทจุ ริต ระยะท่ี 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) l การยกระดบั เจตจ�านงทางการเมอื งในการต่อตา้ นการทจุ ริต: ประสบการณข์ องไทยและเกาหลีใต้ l แนวปฏิบตั ติ ามกลยุทธใ์ นการป้องกันการทจุ รติ เชงิ รกุ l แนวทางการยกระดับคา่ ดชั นกี ารรับรู้การทจุ รติ l การตอ่ ต้านการทจุ ริตและความเส่ียงทตี่ อ้ งเผชญิ บทความปรทิ ศั น์ l Political Order and Political Decay: From the Industrial Revolution to the Globalization of Democracy

วารสารNวAิชาCกCารJoปu.ปrn.ชa.l ISSN 1906-2087 ปที ่ี 10 ฉบับท่ี 1 (มกราคม - มิถนุ ายน 2560) เจ้าของ ท่ีปรกึ ษา สำ� นักงาน ป.ป.ช. พลตำ� รวจเอก ดร.วัชรพล ประสารราชกจิ เลขที่ 361 ถนนนนทบุรี ต�ำบลทา่ ทราย สำ� นกั งาน ป.ป.ช. อ�ำเภอเมอื งนนทบรุ ี จังหวดั นนทบรุ ี 11000 นางสุวณา สุวรรณจูฑะ โทรศพั ท์ 0 2528 4800 ต่อ 5814 ส�ำนกั งาน ป.ป.ช. โทรสาร 0 2528 4800 ต่อ 5814 รองศาสตราจารย์ ดร.มาณี ไชยธรี านวุ ฒั ศิริ E-mail: [email protected] ส�ำนกั งาน ป.ป.ช. Website: http://www.nacc.go.th ผขู้ ัดเกลาภาษาองั กฤษ บรรณาธกิ าร นางสาวกุสุมาลย์ อรชร รองศาสตราจารย์ ดร.ประสิทธ์ิ ลรี ะพันธ ์ สำ� นกั งาน ป.ป.ช. นกั วิชาการอสิ ระ วตั ถปุ ระสงค์ กองบรรณาธกิ าร n เพื่อเป็นแหล่งรวบรวมความรู้และเผยแพร่ ศาสตราจารย์ ดร.ศักดา ธนิตกลุ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ผลงานวิจัยและผลงานทางวิชาการอื่น ๆ ด้าน ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.บัณฑิต จันทรโ์ รจนกจิ การป้องกันและปราบปรามการทุจรติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั n เพ่ือสนับสนุนการใช้ประโยชน์จากผลงานวิจัย ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.อริศรา เล็กสรรเสริญ ผลงานวิชาการ และการสร้างความตระหนัก มหาวิทยาลยั มหดิ ล ร่วมกนั ในการต่อต้านการทุจรติ ดร.พงษธ์ ร วราศัย n เพ่ือส่งเสริมเครือข่ายความร่วมมือและ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ประสานงานในการบรกิ ารจดั การขอ้ มลู งานวจิ ยั นายอุทิศ บวั ศรี ดา้ นการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ ระหวา่ ง สำ�นกั งาน ป.ป.ช. หน่วยงานและสถาบันวจิ ยั ต่าง ๆ กองการจดั การ n เพื่อให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและ นางสาวพชั รี มีนสุข เอกสารสิ่งตีพิมพ์ต่าง ๆ กับหน่วยงานและ นางสาวอนญั ญา แม้นโชติ เครือขา่ ยท่ีเกยี่ วข้อง นางสาวฉนั ท์ชนก เจนณรงค์ นายศกั ดน์ิ ันท์ คุณเอนก ก�ำ หนดพิมพเ์ ผยแพร่ ปลี ะ 2 ครง้ั ดงั นี้ ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถนุ ายน ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม เนอื้ หา/ขอ้ ความในวารสารน้ีเป็นความคดิ เห็นของผเู้ ขียน มใิ ช่ของสำ�นกั งานคณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจรติ แหง่ ชาติ

NACC Journal ISSN 1906 – 2087 Vol 10 No. 1 (January - June 2016) WAETPOCF3Nea-6umoofmefxl1mbni:bp:catl6Nse6hmihisil6o6tu:ahoiensrbr22ef:setu5M5irhhtso2rh2etauin8te8aba1prnu414N:c/8g0r8ha/[email protected],an...iAbTal5g5anchuo88nctar.11tiid.s-4hg4Caooa.tirhrDuipsttrioicnt A AP M osdrsslOCOvOCCo..GSiocoofffsuefff.mmmoPiiinccwcrrmeemmeo.yaWfniii.ooosssMaasssffftaiiicoooSnttthunnnhhheaweeeeraaCpNNNnhojaaaualtttit iiit aoooePnnneraaaaraslllnaAAAurnwnnnrtttaaiiit---jksCCCiirtoooi,,rrrPrrrPuuuhhppp..DDtttiii..ooonnn Editor English Language Editor Assoc.Prof.Prasit Leerapan, Ph.D. Ms.Kusumal Orachorn Independent Scholar Office of the National Anti-Corruption Commission PEdroitf.oSraiakdl aB o Tahrdanitcul, Ph.D. Objectives Chulalongkorn University n To serve as a knowledge center for Asst.Prof.Pandit Chanrochanakit, Ph.D. disseminating research findings and other Chulalongkorn University academic works on corruption prevention Asst.Prof.Arisara Leksansern, Ph.D. and suppression. Mahidol University n To encourage the use of the research Phongthorn Wrasai, Ph.D. finding and academic works and to Thammasat University enhance public awareness to collectively Mr.Utit Buasri counter corruption. Office of the National Anti-Corruption n To promote networking and cooperation Commission among academic and technical agencies on countering corruption among the Managerial Board agencies and research institutions. Ms.Pacharee Meensuk n To promote the exchange of information Ms.Ananya Manchot and documents among relative agencies Ms.Chanchanoke Chennarong and networks. Mr.Sakdinan Khunanek Bi-annual Publication No.1 January – June No.2 July – December Views expressed in the published articles in this Journal exclusively belong to the authors and do not necessarily reflect the official position of the NACC

สารบญั บทบรรณาธิการ 1 ตอนที่ 1: บทความทางวชิ าการ: การทุจรติ และการต่อตา้ นการทุจรติ 2 ยุทธศาสตรช์ าติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะท่ี 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) 7 รองศาสตราจารย์ ดร.มาณี ไชยธรี านุวัฒศิริ ปัจจยั แวดลอ้ มท่ีส่งผลต่อภารกจิ การตอ่ ต้านการทุจรติ 20 นางสาวธณิชชา วภิ าดาเกษม 32 นางสาวชลธชิ า ทั่งทอง การสร้างสังคมทไ่ี ม่ทนตอ่ การทจุ ริต 51 นายติณณภพ พัฒนะ 62 การยกระดบั เจตจำ� นงทางการเมอื งในการต่อตา้ นการทุจรติ : ประสบการณ ์ 81 ของไทยและเกาหลีใต้ นายภญิ โญยศ มว่ งสมมขุ การสกัดกั้นการทุจรติ เชงิ นโยบาย 101 นายนราธิป ศรีพลกรัง 120 แนวปฏิบตั ิตามกลยุทธ์ในการป้องกนั การทุจริตเชงิ รกุ 141 นายพงษ์พันธ์ โตสกุลไกร 142 การศึกษากลไกและกระบวนการปราบปรามการทจุ รติ ตามพระราชบญั ญตั ิ 161 ประกอบรฐั ธรรมนูญวา่ ดว้ ยการปอ้ งกันและปราบปรามการทจุ ริต พ.ศ. 2542 162 และทแ่ี ก้ไขเพ่มิ เตมิ นายกฤตนนั ทน์ เตนากุล แนวทางการยกระดบั คา่ ดชั นกี ารรบั รกู้ ารทจุ ริต นางสาวญาสนิ ี อัจฉรยิ ะเกียรติ การต่อต้านการทุจรติ และความเสีย่ งทตี่ อ้ งเผชิญ นายณัฐปกรณ์ ประเสริฐสุข ตอนท่ี 2: บทความวิจัย การส่งเสริมและสนับสนุนมาตรการลงโทษโดยสังคม รองศาสตราจารย์ ดร.สังศิต พิรยิ ะรังสรรค์ ตอนท่ี 3: บทความปรทิ ัศน์ Political Order and Political Decay: From the Industrial Revolution to the Globalization of Democracy ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.บัณฑติ จนั ทร์โรจนกจิ

Contents Part I: Anti-Corruption Articles 1 National Anti-Corruption Strategy - Phase 3 (2017 – 2021) 2 Assoc.Prof.Manee Chaiteeranuwatsiri, Ph.D. 7 Circumstantial Factors Affecting Anti-Corruption Efforts Ms.Tanitcha Wipadakasem 20 Ms.Chonthicha Thungthong 32 Creating a Society with Zero Tolerance for Corruption Mr.Tinapop Pattana 51 Promoting Political Will to Combat Corruption: 62 Experiences of Thailand and South Korea 81 Mr.Pinyoyot Muangsommuk Policy Corruption Deterrence 101 Mr.Naratip Sriphonkrang Implementing Proactive Corruption Prevention Strategy 120 Mr.Pongpan Tosakunkai Study on Corruption Suppression Mechanisms and Procedures 141 under the Organic Act on Counter Corruption B.E. 2542 (1999), 142 and Its Amendments Mr.Krittanan Tenakul 161 Guidelines on Increasing Thailand’s Score in the Corruption 162 Perceptions Index (CPI) Ms.Yasinee Atchariyakiat Anti-Corruption Effort and Its Potential Risks Mr.Natpakorn Prasertsuk Part II: Research Article Promoting and Supporting Social Sanction Measure Assoc.Prof. Sungsidh Piriyarangsan, Ph.D. Part III: Book Review Political Order and Political Decay: From the Industrial Revolution to the Globalization of Democracy Asst.Prof.Pandit Chanrochanakit, Ph.D.

บทบรรณาธกิ าร วารสารวชิ าการ ป.ป.ช. ฉบับน้ี เปน็ ฉบบั ท่ี 1 ปที ่ี 10 ทีจ่ ัดทำ� โดยทีมงานบรรณาธกิ ารใหม่ทั้งหมด แต่ยังคงยึดหลักการเดิมของวารสาร คือ เป็นวารสารวิชาการด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ของส�ำนักงาน ป.ป.ช. ที่เน้นเพื่อการเรียนรู้และการน�ำไปปฏิบัติของบุคคลและหน่วยงานที่เก่ียวข้อง รวมทั้งของประชาชนและประชาคมต่าง ๆ ในการมีส่วนร่วมในการขจัดหรือ ลดปัญหาการทุจริตของ สังคมไทย ท้ังท่ีเกิดจากภาครัฐ ภาครัฐวิสาหกิจ ภาคท้องถ่ิน และภาคเอกชน ดังนั้น เนื้อหาสาระของ บทความวิชาการในวารสารจึงไม่เน้นความถูกต้องและสมบูรณ์ทางวิชาการมากนัก แต่เน้นที่การท�ำให้มี แนวความคิดและแนวปฏิบัติในแง่มุมต่าง ๆ ของทุกฝ่ายที่เก่ียวข้อง และยังคงเป็นวารสารราย 6 เดือน หรอื จดั ท�ำปีละ 2 ฉบบั คือ จดั พมิ พ์เผยแพรช่ ่วงเดือนมิถนุ ายน และเดือนธนั วาคม ของแต่ละปี และแต่ละฉบบั ประกอบดว้ ยบทความ 3 ประเภท คอื บทความวิชาการ บทความวิจัย และบทความปรทิ ัศน์ วารสารฉบับนี้เป็นฉบับ “ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจริต ระยะท่ี 3 (พ.ศ. 2560 – 2564)” ยุทธศาสตร์ดังกล่าวนี้ ส�ำนักงาน ป.ป.ช. ได้จัดท�ำขึ้นด้วยความคาดหวัง ให้การป้องกันและปราบปรามการทุจริตของชาติเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและด�ำเนินงานอย่างเป็นระบบ มีการบูรณาการและการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายท่ีเก่ียวข้องเป็นส�ำคัญ ยุทธศาสตร์น้ีประกอบด้วย 6 ยุทธศาสตร์ เรียงตามล�ำดับ คือ ยุทธศาสตร์สร้างสังคมท่ีไม่ทนต่อการทุจริต ยกระดับเจตจ�ำนง ทางการเมืองในการต่อต้านการทุจริต สกัดก้ันการทุจริตเชิงนโยบาย พัฒนาระบบการป้องกันการทุจริต เชิงรุก ปฏิรูปกลไกและกระบวนการ การปราบปรามการทุจริต และยุทธศาสตร์สุดท้าย ยกระดับ คะแนนดัชนกี ารรบั รกู้ ารทจุ รติ (Corruption Perceptions Index: CPI) ของประเทศไทย โดยบทความ วิชาการท้ังหมด 9 เรื่อง ในวารสารฉบับน้ี เป็นบทความวิชาการท่ีเก่ียวกับยุทธศาสตร์ดังกล่าว เร่ิมต้นด้วยบทความที่เป็นชื่อของยุทธศาสตร์นี้ของรองศาสตราจารย์ ดร.มาณี ไชยธีรานุวัฒศิริ ท่ีปรึกษาประธานกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นหัวแรงส�ำคัญคนหนึ่งในการจัดท�ำยุทธศาสตร์ เป็นเสมือน บทความน�ำชีใ้ หเ้ หน็ ความส�ำคญั และความจ�ำเปน็ ของยุทธศาสตรช์ าตฯิ ทัง้ 6 องค์ประกอบ และเปน็ ฐาน ขอ้ มลู เพอื่ ทำ� ความเขา้ ใจแงม่ มุ ต่าง ๆ ของยุทธศาสตร์ท้งั 6 องคป์ ระกอบ ท่ีไดเ้ ขยี นเป็นบทความวิชาการ ย่อย ๆ อีก 8 เร่ือง คือ ปัจจัยแวดล้อมที่ส่งผลต่อภารกิจการต่อต้านการทุจริต (โดยนางสาวธณิชชา วิภาดาเกษม และนางสาวชลธชิ า ทงั่ ทอง) การสรา้ งสังคมทไ่ี ม่ทนต่อการทุจริต (โดยนายติณณภพ พัฒนะ) การยกระดับเจตจ�ำนงทางการเมืองในการต่อต้านการทุจริต: ประสบการณ์ของไทยและเกาหลีใต้ (โดยนายภิญโญยศ ม่วงสมมุข) การสกัดก้ันการทจุ ริตเชงิ นโยบาย (โดยนายนราธปิ ศรีพลกรัง) แนวปฏิบตั ิ ตามกลยุทธ์ในการป้องกันการทุจริตเชิงรุก (โดยนายพงษ์พันธ์ โตสกุลไกร) การศึกษากลไกและ กระบวนการปราบปรามการทุจริตตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและ

ปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพ่ิมเติม (โดยนายกฤตนันทน์ เตนากุล) แนวทาง การยกระดับค่าดัชนีการรับรู้การทุจริต (โดยนางสาวญาสินี อัจฉริยะเกียรติ) และบทความกลุ่มน้ี เร่ืองสุดท้าย การต่อต้านการทุจริตและความเสี่ยงท่ีต้องเผชิญ (โดยนายณัฐปกรณ์ ประเสริฐสุข) โดย ผู้เขียนบทความวิชาการทั้ง 8 เรื่องดังกล่าว เป็นเจ้าหน้าที่ของส�ำนักงาน ป.ป.ช. ทั้งหมด และทุกคนเป็น นักวิชาการรุ่นใหม่ท่ีมีส่วนร่วมในการจัดท�ำยุทธศาสตร์ชาติฯ ฉบับนี้ด้วย เกือบทุกคนเป็นการเขียน บทความวชิ าการเร่ืองแรกในชีวติ การทำ� งาน และทำ� ได้ดมี ปี ระเด็นใหเ้ รยี นรูแ้ ละมีแนวคดิ ได้ ส�ำหรับบทความวิจัยในวารสารฉบับนี้มีเพียงเรื่องเดียว คือ การส่งเสริมและสนับสนุนมาตรการ ลงโทษโดยสังคม ของรองศาสตราจารย์ ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ นักวิชาการอาวุโสท่ีมีช่ือเสียงด้านการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตมายาวนาน มีผลงานมากมาย และเป็นบทความวิจัยจากรายงานการ วิจัยที่ รองศาสตราจารย์ ดร. สังศิต พิริยะรังสรรค์ ได้รับทุนสนับสนุนการท�ำวิจัยจากส�ำนักงาน ป.ป.ช. ส่วนบทความปริทัศน์เป็นของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.บัณฑิต จันทร์โรจน์กิจ นักวิชาการหนุ่มไฟแรง จากรั้วจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเป็นหน่ึงในกองบรรณาธิการวารสารด้วย ได้เขียนแนะน�ำหนังสือ เรอื่ ง Political Order and Political Decay: From the Industrial Revolution to the Globalization of Democracy ที่ได้สะท้อนแง่มุมทางการเมืองท่ีส�ำคัญที่เข้ากันได้ท้ังการเมืองของไทยและการเมือง ระดบั โลกในยคุ ปจั จบุ นั กองบรรณาธิการหวังว่าท่านผู้อ่านจะได้เรียนรู้แง่มุมเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปราม การทุจริตของชาติได้ตามสมควร และหวังว่าจะมีค�ำถามเกิดขึ้นในใจว่าตนเองจะมีส่วนร่วมการป้องกัน และปราบปรามการทุจรติ ของชาติได้อยา่ งไรบา้ งท่เี ปน็ ไปตามบริบทของแต่ละคน รองศาสตราจารย์ ดร.ประสิทธ์ิ ลรี ะพนั ธ์ บรรณาธกิ าร

1ตอนที่ บทความทางวิชาการ: การทุจริตAแnลtiะ-กCาoรrrตu่อpตtiา้ oนnกAารrtทicุจlรeิตs

2 วารสารวชิ าการ ป.ป.ช. ยทุ ธศาสตรช์ าตวิ ่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทจุ รติ ระยะท่ี 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) National Anti-Corruption Strategy - Phase 3 (2017 - 2021) รองศาสตราจารย์ ดร.มาณี ไชยธีรานวุ ัฒศริ ิ I ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะท่ี 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) ประกอบดว้ ย 9 บท ได้แก่ (1) บทน�ำ (2) สถานการณก์ ารทุจรติ และสาเหตุของการทจุ ริต (3) ดชั นีการรับรู้ การทุจริต (4) ทิศทางการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (5) ทบทวนงานวิจัยและการศึกษาคู่เทียบ (6) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม (7) การฉายภาพอนาคต (8) ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทจุ ริต ระยะท่ี 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) และ (9) กลไกการด�ำเนนิ งานตามยุทธศาสตรช์ าติ ว่าดว้ ยการปอ้ งกันและปราบปรามการทจุ รติ ระยะท่ี 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) จากผลการวิเคราะห์สถานการณ์การทุจริตและการวิเคราะห์ดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index: CPI) ของประเทศไทย การวิเคราะห์ทิศทางและแนวโน้มการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตของประเทศ ตลอดจนทบทวนงานวิจัยและการศึกษาคู่เทียบ (Benchmarking) การวิเคราะห์สภาวะแวดล้อมรวมถึงวิเคราะห์วงล้ออนาคต (Future Wheel Analysis) และการฉายภาพอนาคต (Future Scenario Analysis) ตลอดจนรับฟังความคิดเห็นจาก ผู้บริหารองค์กรอิสระ ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้ที่เก่ียวข้องในภาคส่วนต่าง ๆ ได้มีการน�ำมาประมวลผลเพื่อ กำ� หนดเปน็ ยุทธศาสตรช์ าติว่าด้วยการปอ้ งกันและปราบปรามการทจุ รติ ระยะท่ี 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) โดยก�ำหนดวิสัยทัศน์ “ประเทศไทยใสสะอาด ไทยทั้งชาติต้านทุจริต (Zero Tolerance & Clean Thailand)” เป็นธงเป้าหมายของประเทศไทยในระยะ 5 ปีข้างหน้า จะมุ่งสู่การเป็นประเทศ ทม่ี ีมาตรฐานทางคณุ ธรรมจริยธรรม เปน็ สงั คมมติ ใิ หมท่ ่ีประชาชนไม่เพกิ เฉยตอ่ การทจุ รติ ทุกรปู แบบ โดย ได้รบั ความร่วมมอื จากฝ่ายการเมอื ง หนว่ ยงานของรฐั ตลอดจนประชาชนในการพิทกั ษ์รกั ษาผลประโยชน์ ของชาติและประชาชน เพ่ือให้ประเทศไทยมีศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิในด้านความโปร่งใสทัดเทียมนานา อารยประเทศ ด้วยพันธกิจ “สร้างวัฒนธรรมต่อต้านการทุจริต ยกระดับธรรมาภิบาล ในการบริหารจัดการทุกภาคส่วนแบบบูรณาการ และปฏิรูปกระบวนการป้องกันและปราบปรามการ ทจุ ริตท้งั ระบบให้มมี าตรฐานสากล” การป้องกันและปราบปรามการทุจริตในระยะ 5 ปีข้างหน้า จะเป็นการปฏิรูปกระบวนการ ด�ำเนินงานจากเดิม ไปสู่กระบวนการท�ำงานแบบบูรณาการทั้งระบบ โดยเร่ิมจากการวางรากฐานทาง ความคิดของประชาชนที่นอกจากตนเองจะไม่กระท�ำการทุจริตแล้ว จะต้องไม่อดทนต่อการทุจริตท่ี เกิดขึ้นในสังคมไทยอีกต่อไป ประชาชนไทยต้องก้าวข้ามค่านิยมอุปถัมภ์และความเพิกเฉยต่อการ I ท่ปี รึกษาประธานกรรมการ ป.ป.ช. ส�ำนักงาน ป.ป.ช.

ยทุ ธศาสตร์ชาตวิ ่าดว้ ยการปอ้ งกันและปราบปรามการทจุ ริต ระยะที่ 3 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) ทุจริตประพฤติมิชอบ เจตจ�ำนงทางการเมืองของประชาชนที่ต้องการสร้างชาติท่ีสะอาดปราศจาก การทุจริต จะต้องได้รับการสานต่อจากฝ่ายการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐ การขับเคลื่อนนโยบายที่มี ความโปร่งใสตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน ขณะเดียวกันกลไกการป้องกันและปราบปรามการทุจริตต้อง เป็นที่ได้รับความไว้วางใจ และความเช่ือม่ันจากประชาชนว่าจะสามารถเป็นผู้ปกป้องผลประโยชน์ ของชาติและประชาชนได้อย่างรวดเร็ว เป็นธรรม และเท่าเทียม ท้ังน้ี เพ่ือยกระดับมาตรฐาน จริยธรรม คุณธรรม และความโปร่งใสของประเทศไทยในทุกมิติให้มีมาตรฐานตามอนุสัญญา สหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ค.ศ. 2003 (United Nations Convention against Corruption: UNCAC) ภายในปี พ.ศ. 2564 โดยก�ำหนดเป้าประสงค์เชิงยุทธศาสตร์ คือ ระดับ คะแนนของดัชนีการรบั รู้การทุจรติ (Corruption Perceptions Index: CPI) สงู กว่าร้อยละ 50 ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะท่ี 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) ครอบคลุมกระบวนการด�ำเนินงานด้านการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ โดย ก�ำหนดยุทธศาสตร์การดำ� เนนิ งานหลกั เปน็ 6 ยุทธศาสตร์ ดังนี้ ยุทธศาสตร์ที่ 1 “สร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต” เป็นยุทธศาสตร์ท่ีมุ่งเน้นให้ความส�ำคัญ ในกระบวนการการปรบั สภาพสงั คมให้เกดิ ภาวะที่ “ไม่ทนต่อการทจุ ริต” โดยเร่มิ ตั้งแต่กระบวนการกล่อมเกลา ทางสังคมในทุกระดับช่วงวัยต้ังแต่ปฐมวัย เพื่อสร้างวัฒนธรรมต่อต้านการทุจริต และปลูกฝัง ความพอเพียง มีวินัย ซ่ือสัตย์สุจริต เป็นการด�ำเนินการผ่านสถาบันหรือกลุ่มตัวแทนท่ีท�ำหน้าท่ี ในการกล่อมเกลาทางสังคมให้มีความเป็นพลเมืองท่ีดี ท่ีมีจิตสาธารณะ จิตอาสา และความเสียสละ เพ่ือสว่ นรวม และเสรมิ สร้างใหท้ กุ ภาคส่วนมีพฤตกิ รรมทไี่ มย่ อมรับและต่อต้านการทจุ ริตในทุกรปู แบบ ยุทธศาสตร์ท่ี 2 “ยกระดับเจตจ�ำนงทางการเมืองในการต่อต้านการทุจริต” เป็นยุทธศาสตร์ ที่มุ่งเน้นให้ประชาชนและรัฐบาลน�ำเจตจ�ำนงทางการเมืองในการต่อต้านการทุจริตไปสู่การปฏิบัติ อย่างเป็นรปู ธรรม และสอดคล้องเปน็ หนึง่ เดียวกัน ยุทธศาสตร์ท่ี 3 “สกัดกั้นการทุจริตเชิงนโยบาย” เป็นยุทธศาสตร์ท่ีมุ่งป้องกันการทุจริต ตลอดกระบวนการนโยบายผ่านการก�ำหนดมาตรการกลไก เสริมสร้างธรรมาภิบาล ต้ังแต่เริ่มขั้นก่อตัว นโยบาย (Policy Formation) ขั้นการก�ำหนดนโยบาย (Policy Formulation) ขั้นตัดสินใจ นโยบาย (Policy Decision) ขั้นการน�ำนโยบายไปปฏิบัติ (Policy Implementation) ขั้นการ ประเมินนโยบาย (Policy Evaluation) และขน้ั ปอ้ นขอ้ มลู กลบั (Policy Feedback) ยุทธศาสตร์ท่ี 4 “พัฒนาระบบป้องกันการทุจริตเชิงรุก” เป็นยุทธศาสตร์ท่ีมุ่งเน้นการพัฒนา กลไกและกระบวนงานด้านการป้องกันการทุจริตของประเทศไทยให้มีความเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพ มากยิ่งขน้ึ เพือ่ ลดโอกาสการทุจรติ หรือทำ� ให้การทจุ ริตเกดิ ยากขนึ้ หรือไม่เกดิ ขน้ึ โดยอาศัยท้งั การกำ� หนด กลไกด้านกฎหมาย กลไกทางการบรหิ ารและกลไกอนื่ ๆ ตลอดจนเสรมิ สรา้ งการปฏบิ ัติงานของหนว่ ยงาน ท้ังภาครฐั และเอกชนใหม้ ธี รรมาภบิ าลมากยงิ่ ขึ้น ยุทธศาสตร์ที่ 5 “ปฏิรูปกลไกและกระบวนการการปราบปรามการทุจริต” เป็นยุทธศาสตร์ ที่มุ่งเน้นการปรับปรุงพัฒนากลไกและกระบวนการต่าง ๆ ของการปราบปรามการทุจริตท้ังระบบให้ สามารถด�ำเนินการได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งในการปฏิรูปกลไกและกระบวนการปราบปรามการทุจริต

4 วารสารวิชาการ ป.ป.ช. ดังกล่าว จะมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการตราเป็นกฎหมาย (Legislation) การบังคับใช้ กฎหมาย (Enforcement) การตัดสินคดีและลงโทษผู้กระท�ำผิด (Judiciary) การบูรณาการร่วมกัน ของหน่วยงานต่าง ๆ ในกระบวนการปราบปรามการทุจริต และจะมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารท่ีทันสมัยในการพัฒนากลไกการด�ำเนินงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งข้ึน ซ่ึง ยุทธศาสตร์นี้จะท�ำให้การปราบปรามการทุจริตเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากย่ิงขึ้น คดี การทุจริตจะถูกด�ำเนินการอย่างรวดเร็ว และผู้กระท�ำการทุจริตจะได้รับการลงโทษ สาธารณชนและ สังคมเกิดความตระหนักและเกรงกลัวที่จะกระท�ำการทุจริต อันจะส่งผลให้คดีการทุจริตมีอัตราลดลงได้ ในทส่ี ดุ ยุทธศาสตร์ท่ี 6 “ยกระดับคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index: CPI) ของประเทศไทย” เป็นยุทธศาสตร์ท่ีมุ่งเน้นการยกระดับมาตรฐานด้านความโปร่งใส และการจัดการการยกระดับค่าดัชนีการรับรู้การทุจริตของประเทศไทย โดยการศึกษาวิเคราะห์ประเด็น การประเมินและวิธีการส�ำรวจตามแต่ละแหล่งข้อมูล และเร่งรัด ก�ำกับ ติดตามให้หน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง ปฏิบัติหรือปรับปรุงการท�ำงาน รวมไปถึงการบูรณาการการท�ำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ หน่วยงานใน กระบวนการยุตธิ รรม ภาคเอกชน และต่างประเทศ จากยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะท่ี 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) ไดน้ ำ� มาเขยี นเป็นบทความในวารสารฉบับน้ี ประกอบดว้ ย บทความเร่ือง ปัจจัยแวดล้อมท่ีส่งผลต่อภารกิจการต่อต้านการทุจริต โดยนางสาวธณิชชา วภิ าดาเกษม และนางสาวชลธิชา ทั่งทอง บทความเรอื่ ง การสร้างสงั คมท่ีไม่ทนต่อการทจุ ริต โดยนายติณณภพ พฒั นะ บทความเร่ือง การยกระดับเจตจ�ำนงทางการเมืองในการต่อต้านการทุจริต: ประสบการณ์ ของไทยและเกาหลีใต้ โดยนายภิญโญยศ ม่วงสมมขุ บทความเรือ่ ง การสกัดกั้นการทจุ รติ เชิงนโยบาย โดยนายนราธิป ศรีพลกรัง บทความเรื่อง แนวปฏิบัติตามกลยุทธ์ในการป้องกันการทุจริตเชิงรุก โดยนายพงษ์พันธ์ โตสกุลไกร บทความเรื่อง การศึกษากลไกและกระบวนการปราบปรามการทุจริตตามพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และท่ีแก้ไขเพ่ิมเติม โดยนายกฤตนันทน์ เตนากุล บทความเร่อื ง แนวทางการยกระดบั ค่าดชั นีการรับรูก้ ารทุจริต โดยนางสาวญาสินี อจั ฉรยิ ะเกยี รติ บทความเร่ือง การต่อต้านการทุจริตและความเสี่ยงที่ต้องเผชิญ โดยนายณัฐปกรณ์ ประเสรฐิ สขุ ซึ่งบทความดังกล่าว เป็นผลงานที่กล่ันจากประสบการณ์การมีส่วนร่วมในการยกร่าง ยทุ ธศาสตร์ชาตวิ ่าด้วยการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจรติ ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) ของผู้เขียน ท้ังคณะ และเป็นบทความท่ีขยายผลองค์ความรู้ท่ีเป็นประโยชน์ต่อการรับรู้ของผู้อ่านและผู้สนใจ ยทุ ธศาสตร์ชาติฉบับน้ี

แผนภาพ: ความเชอ่ื มโยงระหวา่ งวสิ ยั ทศั น์ ยุทธศาสตร์ วัตถปุ ระสงค์ และผลลพั ธ์ ของยุทธศาสตรช์ าติว่าดว้ ยการปอ้ งกันและปราบปรามการทจุ ริต ระยะท่ี 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) ทีม่ า: ยทุ ธศาสตรช์ าติวา่ ด้วยการป้องกนั และปราบปรามการทุจรติ ระยะท่ี 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) ยุทธศาสตร์ชาตวิ ่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) 5

6 วารสารวชิ าการ ป.ป.ช. เอกสารอา้ งองิ ส�ำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ. (2559). ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2564), นนทบุรี: ส�ำนักงาน คณะกรรมการป้องกนั และปราบปรามการทจุ ริตแหง่ ชาติ.

ปจั จยั แวดล้อมที่ส่งผลตอ่ ภารกิจการตอ่ ต้านการทจุ ริต 7 ปจั จยั แวดลอ้ มที่สง่ ผลต่อภารกิจการต่อตา้ นการทจุ ริต Circumstantial Factors Affecting Anti-Corruption Efforts นางสาวธณชิ ชา วิภาดาเกษม I นางสาวชลธิชา ทงั่ ทอง II บทคัดย่อ จากยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะท่ี 1 และระยะท่ี 2 ที่ผ่านมา พบว่ายังไม่เพียงพอท่ีจะท�ำการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในประเทศได้ ด้วยบริบท ของประเทศไทย ท้ังบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ นโยบายของรัฐบาล กลไกอ�ำนาจทางการเมือง ความเป็น สากลและเทคโนโลยี ความร่วมมือในการด�ำเนินการตามอนุสัญญา UNCAC ตลอดจนรูปแบบ การด�ำเนินภารกิจที่เป็นไปในเชิงรับมากกว่าเชิงรุก ส่งผลให้ความพยายามในการป้องกันและปราบปราม การทุจริตยังไม่อาจบรรลุผลเลิศได้ ดังน้ัน ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะท่ี 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) จึงต้องท�ำการก�ำหนดกรอบภารกิจการต่อต้านการทุจริตให้ครอบคลุม ชัดเจน โดยน�ำหลักการ McKinsey’s 7S Model 7 กลุ่มตัวแปร และ PEST+ Model ท้ัง 7 มิติ มาเป็นกรอบในการวิเคราะห์ก�ำหนดตัวแปรท่ีเกี่ยวข้อง ท้ังนี้ เพ่ือให้สามารถค้นพบจุดแข็งท่ีทรงพลัง แก้ไขจุดอ่อนอย่างเหมาะสม เตรียมความพร้อมเพื่อฝ่าฟันอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นท่ามกลางภาวะหมุนเร็ว ของโลก อันจะนำ� ไปสู่ความสำ� เร็จของภารกจิ การตอ่ ตา้ นการทจุ รติ ในประเทศไทยอย่างแทจ้ รงิ ค�ำส�ำคญั : การต่อต้านการทจุ ริต การวเิ คราะห์ปจั จัยแวดล้อม ปจั จัยภายใน ปัจจัยภายนอก Abstract Phases I and II of the National Anti-Corruption Strategy of Thailand have not fully achieved their goals of preventing and suppressing corruption in Thailand. The Constitution, government policy, political mechanisms, internationality and technology, as well as cooperation for the implementation of the United Nations Convention against Corruption (UNCAC), and passive rather than proactive implementation of anti-corruption initiatives have impeded the effectiveness of anti-corruption efforts. As a result, the National Anti-Corruption Strategy Phase III (B.E. 2560 – 2564) must devise the framework for anti-corruption endeavours more comprehensively and explicitly by applying McKinsey’s 7S Model 7, variables and I เจ้าพนกั งานป้องกนั การทจุ ริตปฏิบัตกิ าร สำ� นกั มาตรการป้องกนั การทุจริต ส�ำนกั งาน ป.ป.ช. IIเจ้าหน้าทีว่ เิ คราะห์นโยบายและแผนปฏิบตั กิ าร กลุ่มงานประสานการบริหารเชงิ ยทุ ธ์ ส�ำนกั งาน ป.ป.ช.

8 วารสารวิชาการ ป.ป.ช. all the seven aspects of the PEST+ Model to defining the analysis framework for relevant variables. The objective is to identify the strengths and rectify the weaknesses of the National Anti-Corruption Strategy in order to lend it the readiness for overcoming contingencies in the current dynamic world which will ultimately contribute to Thailand’s truly effective anti-corruption efforts. Keywords: anti-corruption, SWOT analysis, internal factor, external factor บทน�ำ การทุจริตในสังคมไทยส่งผลเสียต่อประเทศอย่างมหาศาลและเป็นอุปสรรคส�ำคัญต่อการ พัฒนาเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ในทุกมิติ รูปแบบการทุจริตจากเดิมท่ีเป็นการทุจริตทางตรง ไมซ่ บั ซอ้ น อาทิ การรับสนิ บน การจัดซอื้ จัดจ้าง ในปจั จบุ ันไดป้ รับเปล่ียนเป็นการทุจริตทีซ่ ับซ้อนมากข้นึ เป็นรูปแบบการทุจริตเชิงนโยบาย การเอ้ือผลประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้องในทางมิชอบ การทุจริต ขา้ มชาตทิ ี่เสรมิ ความรนุ แรงทวีคูณ ดว้ ยเทคโนโลยีทกี่ ้าวหน้า ซง่ึ เช่ือมโยงไปสู่อาชญากรรมข้ามชาติ อ่ืน ๆ มากมายและส่งผลกระทบทางลบในวงกว้าง ท้ังยังถูกกระท�ำเติมซ�้ำผลเสียที่เกิดจากการทุจริต ดว้ ยสังคมเพิกเฉย ละเลยตอ่ ปญั หาทถ่ี ูกผสมกลมกลืนฝงั แน่นอย่ใู นสังคมไทยมาอย่างยาวนาน ประเทศไทยมีความพยายามแก้ปัญหาการทุจริตในทุกระดับมาอย่างต่อเนื่อง กลไกการ บูรณาการความร่วมมือถูกน�ำมาใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความเข้มแข็งให้กับการด�ำเนินการ ระหว่างภาคส่วนมากยิ่งข้ึน ด้วยการด�ำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทุจรติ ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2551 - 2555) และยุทธศาสตร์ชาตวิ ่าด้วยการป้องกนั และ ปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2556 – 2560) ซ่ึงพบว่าการต่อต้านการทุจริตในสังคมไทยมี ผลการด�ำเนินงานที่ประสบความส�ำเร็จในระดับหนึ่ง ด้วยสร้างให้ทุกภาคส่วนในสังคมเกิดความ ตระหนักรู้ ต่นื ตัวและเข้ามามสี ว่ นรว่ มในการต่อตา้ นการทจุ ริตตามบทบาทและภาระหน้าท่ีของ ตนเอง แต่อย่างไรก็ตามประเทศไทยยังคงประสบปัญหาการทุจริตอยู่อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับ ววิ ัฒนาการของปญั หาการทจุ ริตมรี ูปแบบท่ีสลับซบั ซอ้ น ยากตอ่ การตรวจสอบของหน่วยงานที่ท�ำ หน้าที่ในการต่อต้านการทุจริต การต่อต้านการทุจริตในประเทศไทยจึงมีความจ�ำเป็นต้องด�ำเนินการ อยา่ งต่อเน่ืองดว้ ยยทุ ธศาสตร์และกลยุทธท์ เี่ ปน็ รปู ธรรม ที่สามารถป้องกนั และปราบปรามการทุจรติ ทีท่ วีความซับซอ้ นไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ ในขั้นตอนของการจัดท�ำยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะ ท่ี 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) ได้มีการด�ำเนินการค้นหาและวิเคราะห์ปัจจัยแวดล้อมท่ีมีผลกระทบต่อ ประสิทธิภาพและความส�ำเร็จในการด�ำเนินการของภารกิจการต่อต้านการทุจริต รวมไปถึงผลการ ด�ำเนนิ การตามยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจรติ ทั้ง 2 ระยะท่ีผ่านมา โดย ได้น�ำหลักการวิเคราะห์ จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส อุปสรรค (Strength, Weakness, Opportunity and Threat Analysis) หรือ SWOT Analysis มาเป็นกรอบแนวคิดในการวเิ คราะห์ปัจจัยแวดลอ้ มทส่ี ง่ ผล ต่อภารกจิ การตอ่ ตา้ นการทจุ รติ

ปัจจัยแวดล้อมท่ีส่งผลต่อภารกิจการต่อตา้ นการทจุ ริต 9 ปัจจัยแวดล้อมทีส่ ง่ ผลตอ่ ภารกิจการตอ่ ตา้ นการทุจริต ในบรบิ ท “ประเทศไทย” เมื่อกล่าวถึงปัจจัยแวดล้อมที่ส่งผลต่อภารกิจการต่อต้านการทุจริต จะต้องค�ำนึงถึงการ วิเคราะห์ทั้งปัจจัยแวดล้อมภายในและปัจจัยแวดล้อมภายนอกของภารกิจ โดยก�ำหนดกรอบ “ภารกิจ การต่อต้านการทุจริต” ว่ามีความหมายครอบคลุมเพียงใด ท้ังนี้ก็เพ่ือการก�ำหนดว่ามีสิ่งใดบ้างเป็น ปัจจัยแวดล้อมภายในหรือภายนอกที่ส่งผลต่อภารกิจการต่อต้านการทุจริต โดยในการจัดท�ำ ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะท่ี 3 น้ัน ได้ก�ำหนดให้ทุกหน่วยงาน ท่ีปฏิบัตภิ ารกิจด้านป้องกนั และปราบปรามการทุจริต อาทิ สำ� นักงาน ป.ป.ช. ส�ำนกั งานการตรวจเงนิ แผน่ ดิน ส�ำนักงาน ป.ป.ท. เป็นกลุ่มเดียวกัน เมื่อท�ำการวิเคราะห์ปัจจัยภายในจะต้องพิจารณาให้ครอบคลุม หนว่ ยงานทปี่ ฏิบัติภารกจิ ด้านตอ่ ตา้ นทุจรติ ท้งั หมดนดี้ ้วย หลังจากการก�ำหนดกรอบของภารกิจการต่อต้านการทุจริตแล้วน้ัน ต่อมาเป็นจึงข้ันตอนของ การก�ำหนดปัจจัยแวดล้อม ซงึ่ อาจเป็นการรวบรวมข้อมูลจากการทบทวนจากเอกสารรายงานตา่ ง ๆ การ สัมภาษณ์ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง การรับฟังความเห็น และการประชุมเชิงปฏิบัติการ เพื่อให้ได้ทราบถึงปัจจัย แวดลอ้ มทส่ี ่งผลตอ่ ภารกจิ การต่อต้านการทจุ รติ ในภาพกวา้ ง หลักการของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยท่ีมีการคานอ�ำนาจทางการเมือง บริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ถือเป็นโอกาสที่ส�ำคัญในการก�ำหนดแนวทางการป้องกันและปราบปราม การทุจริต โดยเฉพาะการคานอ�ำนาจทางการเมืองให้ไม่สามารถใช้อ�ำนาจในทางมิชอบเข้าแทรกแซง ฝ่ายขา้ ราชการประจำ� ได้ ในรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย ตัง้ แตฉ่ บับปี พ.ศ. 2540 เปน็ ตน้ มา ไดใ้ ห้ ความส�ำคัญในเชิงโครงสร้างองค์กรด้านการต่อต้านการทุจริต โดยก�ำหนดให้มีองค์กรตามรัฐธรรมนูญ อาทิ คณะกรรมการ ป.ป.ช. คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน คณะกรรมการการเลือกตั้ง มีภารกิจเพ่ือ ป้องกนั และปราบปรามการทุจริตโดยเฉพาะ อีกทัง้ ยังมีบทบญั ญตั ิท่กี ำ� หนดให้ประชาชนมหี น้าท่ใี นการให้ ความร่วมมือและมีส่วนร่วมในการต่อต้านการทุจริตอีกด้วย นอกจากนั้น ในปัจจุบันยังมีกระบวนการใน การพัฒนาและปรับปรุงกฎหมาย และการบังคับใช้กฎหมายให้สามารถตอบสนองต่อการปฏิบัติงาน ด้านการต่อต้านการทุจริต และมีการน�ำกลไกทางกฎหมายมาเป็นแนวทางในการปฏิรูปกลไกหลัก ด้านป้องกันและปราบปรามการทุจริต เช่น การเสนอจัดตั้งศาลช�ำนัญพิเศษ1 และการเตรียมเสนอร่าง การด�ำเนินการเกีย่ วกบั คดีทุจริตและประพฤตมิ ิชอบ2 เปน็ ตน้ แต่อย่างไรก็ตาม กระบวนการทางกฎหมาย ที่มีข้ันตอนซ�้ำซ้อนและมากเกินความจ�ำเป็น ก่อให้เกิดความล่าช้าในการด�ำเนินคดี ท้ังขาดการบังคับใช้ กฎหมายที่มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว เด็ดขาด การท�ำงานยังคงยึดติดกับขั้นตอนทางกฎหมายท่ียากต่อ การปฏิบตั ิ 1 ร่างพระราชบัญญัตจิ ดั ตงั้ ศาลอาญาคดที ุจรติ และประพฤติมชิ อบ พ.ศ. .... 2 รา่ งพระราชบญั ญตั วิ ธิ ีพจิ ารณาคดที จุ ริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. ....

10 วารสารวชิ าการ ป.ป.ช. ในด้านนโยบายของรัฐบาลปัจจุบัน ได้ให้ความส�ำคัญกับภารกิจการต่อต้านการทุจริตอย่างย่ิง ในฐานะ “วาระแห่งชาติ”3 ด้วยมุ่งหวังให้องค์กรและกลไกภารกิจด้านต่อต้านการทุจริตมี ประสิทธิภาพและสัมฤทธ์ิผล สามารถท�ำให้การทุจริตในประเทศไทยลดลงได้ เช่น การแต่งตั้ง คณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (คตช.) การแต่งตั้งศูนย์อ�ำนวยการต่อต้านการทุจริต แหง่ ชาติ (ศอตช.)4 ทำ� หน้าท่เี ปน็ องคก์ รอ�ำนวยการระดบั ชาตเิ พอื่ ใหก้ ารแก้ปญั หาการทจุ ริตและประพฤติ มิชอบเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และการออกค�ำส่ังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 69/2557 ลงวันที่ 18 มิถุนายน 2557 ก�ำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตประพฤติมิชอบ ส�ำหรับเป็นกลไกในการต่อสู้และยับยั้งปัญหาการทุจริต มุ่งเน้นให้ทุกภาคส่วนร่วมกันบูรณาการแก้ไข ปัญหาการทุจริตให้เกิดผลสัมฤทธิ์เพื่อสนองความต้องการของสังคมและประชาชนอย่างยั่งยืนโดยเร็ว นอกจากน้ัน รัฐบาลยังมีความต้องการส่งเสริมภาพลักษณ์ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ให้เป็นที่ยอมรับท้ังในและนอกประเทศ และให้ความส�ำคัญต่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริต โดยอาศัยการปฏิรูปและบูรณาการการท�ำงานในทุกภาคส่วน ปฏิบัติมาตรการและกลไกการป้องกัน การทุจริตท่ีมีการพัฒนารูปแบบให้มีความสอดคล้องกับบริบทสภาพปัญหาของการทุจริตที่เกิดขึ้น การปฏิบัติงานของหน่วยงานต่อต้านการทุจริตในภาพรวมน้ัน มีการส่งเสริม สนับสนุนภาคีเครือข่ายใน ภาคสว่ นตา่ ง ๆ ใหร้ ว่ มกันตอ่ ต้านการทุจรติ อย่างเป็นรปู ธรรมมากขึน้ เช่น เดก็ เยาวชน ประชาชนท่ัวไป เปน็ ตน้ สว่ นหน่ึงทท่ี �ำใหก้ ารตอ่ ต้านการทจุ ริตมคี วามส�ำเรจ็ อาจเป็นเพราะกระแสสงั คมในปัจจุบันทีแ่ สดง ถึงความต้องการท่ีจะเห็นภาพของการแก้ไขปัญหาการทุจริตท่ีเป็นรูปธรรมและชัดเจน โดยใช้หลักปรัชญา เศรษฐกิจพอเพยี งเป็นหลักการสำ� คญั ท่เี ป็นพ้ืนฐานในการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจรติ อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากลไกตามกฎหมายหรือนโยบายของรัฐบาลจะมีการพัฒนาและมีความ พยายามเพ่ือแก้ไขปัญหาการทุจริตอย่างต่อเนื่องและรอบด้าน แต่ก็พบว่ายังคงมีการทุจริตในภาครัฐมาก ข้ึนและมีความซับซ้อนแยบยลยิ่งขึ้น จนประชาชนมีทัศนคติในแง่ลบกับเจ้าหน้าท่ีของรัฐ ส่งผล ให้เป็นอุปสรรคต่อการสร้างความร่วมมือในการป้องกันการทุจริตกับประชาชน อีกท้ังประชาชนยัง มองว่าหน่วยงานของรัฐไม่มีความจริงใจต่อการแก้ไขปัญหาทุจริต เป็นเพียงแต่ท�ำตามข้อตกลง ตัวชี้วัด ท�ำแบบลูบหน้าปะจมูกขาดความต่อเนื่อง และยังพบว่าการจัดท�ำและรวบรวมเอกสารของบาง หน่วยงานมีวัตถุประสงค์เพียงเพ่ือให้ผ่านตัวช้ีวัดเท่านั้น ในส่วนของกระบวนการเข้าสู่อ�ำนาจรัฐหรือการ เลือกต้ังยังขาดมาตรการป้องกันการทุจริต การเลือกต้ังท่ีมีประสิทธิภาพส่งผลให้ได้นักการเมืองท่ี มุ่งเข้ามาหาผลประโยชน์ให้กับตนเองและพวกพ้องอันเป็นสาเหตุส�ำคัญส่วนหนึ่งท่ีท�ำให้การต่อต้านการ ทุจรติ ไม่ประสบความสำ� เร็จอาจเกิดจากบรบิ ททางสังคมทย่ี ังไมเ่ อ้อื ต่อการปฏิรูป พฒั นาและเปลย่ี นแปลง กระบวนทัศน์ในการท�ำงานด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตสืบเนื่องมาจากสังคมไทยมี 3 คำ� แถลงนโยบายคณะรฐั มนตรี พลเอกประยุทธ์ จนั ทรโ์ อชา นายกรฐั มนตรี ตอ่ สภานติ ิบญั ญตั แิ หง่ ชาติ เมือ่ วนั ที่ 12 กนั ยายน 2557 4 คำ� สง่ั สำ� นักนายกรัฐมนตรี ที่ 226/2557 เรื่อง จดั ตงั้ ศูนย์อ�ำนวยการตอ่ ตา้ นการทจุ ริต ลงวนั ที่ 24 พฤศจิกายน 2557

ปจั จัยแวดล้อมทส่ี ง่ ผลตอ่ ภารกจิ การต่อต้านการทจุ ริต 11 วัฒนธรรมยอมรับระบบอุปถัมภ์ รอมชอม และประชาชนยังขาดค่านิยมร่วมในการร่วมต้านทุจริต และยังเห็นประโยชน์สว่ นตนมากกวา่ ประโยชนส์ าธารณะหรือประโยชนข์ องชาตบิ ้านเมือง5 ส�ำหรับปัจจัยแวดล้อมในด้านของความเป็นสากลและเทคโนโลยี ประเทศไทยโดยรัฐบาล และองค์กรที่ปฏิบัติภารกิจด้านการต่อต้านการทุจริตมีการด�ำเนินงานตามพันธะสัญญาระหว่างประเทศ ท้ังในระดับโลกและระดับภูมิภาค น�ำมาสู่การพัฒนาระบบการบริหารจัดการและการปรับปรุงกฎหมาย เพื่อให้เกิดความสอดคล้องในการปฏิบัติและบังคับใช้กฎหมาย การศึกษาบทเรียนจากการปฏิบัติงานด้าน การปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ ของประเทศต่าง ๆ มาปรบั ใชใ้ นการดำ� เนินงานภายในประเทศ เชน่ กลไกการตรวจสอบ การคานอ�ำนาจ กลไกการพัฒนาและมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมแบบร่วมมือ (Collaborative) ในประเทศทปี่ ระสบความส�ำเร็จและสามารถแกไ้ ขปัญหาได้ เช่น สิงคโปร์ ฮอ่ งกง เกาหลี เป็นต้น มีความพยายามในการพัฒนาด้านเทคโนโลยีท่ีช่วยพัฒนาระบบการบริการสาธารณะ ลดการใช้ ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ ส่งผลให้เกิดความโปร่งใส และตรวจสอบการท�ำงานของรัฐได้ และในปัจจุบัน เทคโนโลยียงั เป็นสิ่งส�ำคญั ทถ่ี กู น�ำมาใชเ้ ปน็ เครือ่ งมอื ในการเผยแพรอ่ งคค์ วามรดู้ ้านการปอ้ งกนั และปราบปราม การทุจริตให้กระจายตัวออกไปยังสังคมในวงกว้างด้วย แม้ว่านานาประเทศอาจยังไม่เช่ือถือต่อความ โปร่งใสและการบริหารงานภาครัฐไทยมากเท่าใดนัก แต่ภาครัฐของประเทศไทยก็มีความพยายามใน การด�ำเนินการตามพันธกรณที ่ีตกลงตามอนุสัญญาสหประชาชาตวิ า่ ดว้ ยการตอ่ ตา้ นการทุจรติ ค.ศ. 2003 (United Nations Convention against Corruption: UNCAC) และพฒั นาการบรหิ ารงานภาครฐั ใหม้ ี ความโปรง่ ใส ใหเ้ ป็นท่ียอมรับในระดบั สากล นอกจากในเรื่องของการบริหารงานภาครัฐที่จะต้องด�ำเนินการตามอนุสัญญา UNCAC แล้ว ในด้านของการค้าและการลงทุนในภาคธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศต่างให้ความส�ำคัญกับ การด�ำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของหลักธรรมาภิบาล และให้ความส�ำคัญกับข้อมูลการจัดอันดับ ขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ รวมทั้งดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index: CPI) และการด�ำเนินการตามมาตรฐานสากลในรูปแบบต่าง ๆ อีกทั้งแนวโน้ม ของการลงทุนข้ามชาติจะเป็นทศวรรษแห่งเอเชีย จะเน้นเรื่องความโปร่งใส และการแก้ไขปัญหา ความล่าชา้ (Red Tape) เปน็ ตน้ แต่อยา่ งไรก็ตาม ประเทศไทยเป็นประเทศเปดิ เสรที างการคา้ ท�ำใหเ้ ผชญิ กับปัญหาที่ตามมากับธุรกิจประเภทกิจการข้ามชาติ ซึ่งบางครั้งเข้ามาด้วยอิทธิพล ก่อให้เกิด ปัญหาการทุจริตในส่วนต่าง ๆ เกิดปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ เกิดการฟอกเงินตามมาอย่างต่อเนื่อง นอกจากน้ี นโยบายการด�ำเนินงานทางการคา้ ทผี่ กู ขาดตลาดและกีดกันทางการคา้ ทงั้ ภายในและภายนอก ประเทศ ส่งผลให้ภาคธุรกิจเอกชนมีค่านิยมในการให้สินบนกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพ่ือมุ่งหวัง 5 คณะเจ้าหน้าท่ียกร่างยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะท่ี 3 (พ.ศ. 2560 – 2564). (2559). สรุปความเห็นจากการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อระดมความเห็นในการจัดท�ำร่างยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทจุ รติ ระยะท่ี 3 เม่อื วันที่ 15 และ 29 กมุ ภาพนั ธ์ 2559.

12 วารสารวชิ าการ ป.ป.ช. ให้อ�ำนวยความสะดวกกับตนเอง และเกิดปัญหาอาชญากรรมปกขาวในภาคธุรกิจ เกิดการทุจริตใหญ่ ๆ และการใหเ้ ล็ก ๆ เชน่ สว่ ยรายวัน กลายเปน็ เรอื่ งแลกเปลี่ยนระหว่างผใู้ หก้ บั ผู้รบั อีกด้วย เพอ่ื แกไ้ ขปญั หา ที่กล่าวมา ประเทศไทยจึงจ�ำเป็นต้องมีความตื่นตัวในเรื่องของความโปร่งใสท้ังในด้านของการบริหาร งานภาครัฐ และการค้าและการลงทุนในภาคธุรกิจ เพ่ือให้ประเทศไทยเป็นท่ียอมรับในระดับสากลมากขึ้น6 ภารกจิ การตอ่ ตา้ นการทจุ รติ ที่ผา่ นมา ปัจจัยแวดล้อมที่ส่งผลต่อการต่อต้านการทุจริตท่ีได้กล่าวมาข้างต้น จะเป็นปัจจัยแวดล้อมใน ภาพกว้างของประเทศไทย ส�ำหรับปัจจัยแวดล้อมท่ีส่งผลต่อการปฏิบัติภารกิจด้านการต่อต้านการ ทุจริตโดยเฉพาะเจาะจง นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 เป็นต้นมา การปฏิบัติภารกิจด้านการต่อต้านการ ทุจริตได้มี “ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต” เป็นเคร่ืองมือท่ีถูก น�ำไปใช้เป็นกรอบช้ีน�ำในการจัดท�ำแผนในระดับรองส่งผลให้การปฏิบัติภารกิจด้านการต่อต้านการ ทุจริตในทุกภาคส่วนมีเป้าหมายเพื่อการบรรลุเป็นไปในทิศทางเดียวกัน แต่อย่างไรก็ตาม ตลอด ระยะเวลาท่ีผ่านมา การปฏิบัติภารกิจด้านการต่อต้านการทุจริตภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติฯ ยังไม่บรรลุ เป้าหมายตามที่ตั้งไว้เน่ืองด้วยขาดยุทธศาสตร์และกลยุทธ์ท่ีส�ำคัญหลายด้าน เช่น ยุทธศาสตร์การ ปฏิบัติภารกิจด้านการป้องกันการทุจริตเชิงรุกท่ีปรับตัวได้อย่างเท่าทันสถานการณ์ ขาดยุทธศาสตร์ด้าน การสร้างกระแสสังคม “รังเกียจ” คนโกง ขาดยุทธศาสตร์ด้านการสื่อสารต่อสังคมให้เกิดการตื่นตัวใน สังคม ท�ำให้การปฏิบัติงานยังไม่ประสบความส�ำเร็จและไม่เกิดผลสัมฤทธ์ิต่อสังคมในวงกว้างเท่าท่ีควร เป็นต้น ท้ังนี้ เมื่อยุทธศาสตร์ไม่มีความชัดเจนท�ำให้การท�ำงานกับภาคส่วนอ่ืน ๆ จึงเป็นไปด้วยความ ล�ำบาก ในด้านการด�ำเนินงานร่วมกันของหน่วยงานท่ีปฏิบัติภารกิจด้านการต่อต้านการทุจริต แม้จะมีการบูรณาการการท�ำงานร่วมกับหน่วยงานและภาคส่วนอ่ืน ๆ ในรูปแบบของการท�ำบันทึก ข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อให้การน�ำยุทธศาสตร์ชาติฯ ไปสู่การปฏิบัติมีความเป็นรูปธรรมอย่าง ต่อเนื่อง แต่ในความเป็นจริงน้ัน ภายในหน่วยงานท่ีปฏิบัติภารกิจด้านการต่อต้านการทุจริตเองยังขาด นโยบายและทิศทางการด�ำเนินงานที่ชัดเจน มีการปรับเปล่ียนบ่อยครั้ง อีกท้ังหน่วยงานที่ปฏิบัติภารกิจ ด้านการต่อต้านการทุจริตยังขาดความชัดเจนในการด�ำเนินการร่วมกัน อาจกล่าวได้ว่าการท�ำบันทึก ข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ มีลักษณะเป็นการท�ำพอเป็นพิธี ยังไม่มี จุดมุ่งหมายร่วมกันเพื่อสร้างจิตส�ำนึกในการปฏิบัติอย่างแท้จริง อีกทั้งรูปแบบการท�ำงานยังไม่มี 6 คณะเจา้ หนา้ ทีย่ กร่างยุทธศาสตร์ชาตวิ ่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทจุ รติ ระยะท่ี 3 (พ.ศ. 2560 – 2564). (2559). สรปุ ความเห็นจากการประชุมเชิงปฏิบัติการเพ่ือระดมความเห็นในการจัดท�ำร่างยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทจุ ริต ระยะท่ี 3 เมื่อวนั ที่ 15 และ 29 กุมภาพันธ์ 2559.

ปจั จยั แวดลอ้ มท่ีส่งผลตอ่ ภารกจิ การต่อตา้ นการทุจริต 13 ความเท่าทันตอ่ การทุจริตทม่ี ีพลวัตอีกด้วย7 ขณะที่การพัฒนากลไกและรูปแบบการท�ำงานของหน่วยงานท่ีปฏิบัติภารกิจด้านการต่อต้าน การทจุ ริต พบว่ามีการขยายโครงสร้างองคก์ รไปยงั ส่วนภมู ิภาคทว่ั ประเทศ เพือ่ รองรบั ภารกจิ งานกระจาย ในระดับพื้นท่ี ภารกิจงานไม่กระจุกตัวอยู่แต่ส่วนกลาง ซึ่งย่อมเป็นผลดีต่อการปฏิบัติภารกิจงาน ด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต หากแต่การขยายโครงสร้างของหน่วยงานปฏิบัติภารกิจไปยัง ภูมิภาคต่าง ๆ เพื่อให้ปฏิบัติภารกิจด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในระดับพื้นที่นั้น ยังขาดแคลนทรัพยากรท่ีส�ำคัญ โดยเฉพาะทรัพยากรบุคคล แม้ว่ารัฐบาลจะให้ความส�ำคัญ กับภารกิจด้านการต่อต้านการทุจริตโดยการเพ่ิมกรอบอัตราก�ำลังให้หน่วยงานที่ปฏิบัติภารกิจด้านการ ต่อต้านการทุจริตเพ่ือให้มีความพร้อมในด้านจ�ำนวนของบุคลากร แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อการปฏิบัติงานได้ อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้การด�ำเนินงานในระดับพื้นที่น้ันยังไม่สามารถบรรลุผลตามจุดมุ่งหมายของ การขยายโครงสร้างเท่าที่ควร อีกท้ังหน่วยงานที่ปฏิบัติภารกิจด้านการต่อต้านการทุจริตยังคงเน้นการ ด�ำเนินงานใน “เชิงรับ” มากกว่า “เชิงรุก” ผลการด�ำเนินงานจึงไม่สามารถสร้างความเกรงกลัวแก่ ผู้กระท�ำทุจริต และไม่สามารถตามทันสถานการณ์การทุจริตท่ีมีความเป็นพลวัตสูงได้อย่างทันท่วงที ประกอบกับหน่วยงานท่ีปฏิบัติภารกิจด้านการต่อต้านการทุจริตมีระบบการท�ำงานท่ีมีขั้นตอนที่สับสน และมีความซ้�ำซ้อนในการปฏิบัติงาน เช่น ระบบอนุกรรมการ ระบบคณะท�ำงาน เป็นต้น ส่งผลให้เกิด ความล่าช้าในการปฏิบัติงาน อีกท้ังการบริหารงานยังมีการปรับเปลี่ยนบ่อยคร้ัง ขาดทิศทางท่ีชัดเจน จนเปน็ อุปสรรคในการท�ำงาน และยงั ขาดชอ่ งทางการร้องเรียนการทจุ ริตท่ชี ัดเจนและเปน็ รูปธรรม รวมทั้ง ยังขาดระบบการติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผล และบทลงโทษ หากเกิดความล่าช้าในกระบวนการ ไต่สวน เป็นสาเหตุให้ภารกิจด้านการปราบปรามการทุจริตที่ผ่านมาไม่ประสบความส�ำเร็จตามความคาดหวัง ของสังคมซ่ึงส่งผลทางลบตอ่ ภาพลกั ษณ์ของหนว่ ยงาน8 ส�ำหรับด้านความรู้ ความสามารถของบุคลากรในหน่วยงานท่ีปฏิบัติภารกิจด้านการต่อต้านการ ทุจริตนน้ั พบวา่ บคุ ลากรได้ผ่านการคัดเลือกจากความรู้ความสามารถทเ่ี หมาะสมกับงานมคี วามเช่ยี วชาญ เฉพาะทาง และมีทักษะท่ีเป็นสหวิชาชีพ ท�ำให้สามารถน�ำความรู้สหวิชาเหล่านั้นมาใช้เพื่อปฏิบัติภารกิจ ดา้ นการป้องกนั และปราบปรามการทจุ รติ ใหส้ ามารถบรรลตุ ามเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติฯ ได้ดยี ่ิงข้ึน แต่ก็ยังก็พบว่าบุคลากรยังขาดองค์ความรู้ในเชิงลึกส�ำหรับการท�ำความเข้าใจกับรูปแบบการทุจริตท่ี 7 คณะเจา้ หน้าท่ียกรา่ งยทุ ธศาสตร์ชาติวา่ ด้วยการปอ้ งกันและปราบปรามการทจุ ริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 – 2564). (2559). สรุป ความเห็นจากการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อระดมความเห็นในการจัดท�ำร่างยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทุจรติ ระยะที่ 3 เม่ือวนั ที่ 15 และ 29 กมุ ภาพนั ธ์ 2559. 8 คณะเจา้ หน้าทยี่ กรา่ งยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจริต ระยะท่ี 3 (พ.ศ. 2560 – 2564). (2559). สรปุ ความเห็นจากการประชุมเชิงปฏิบัติการเพ่ือระดมความเห็นในการจัดท�ำร่างยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทจุ ริต ระยะที่ 3 เมือ่ วนั ท่ี 15 และ 29 กมุ ภาพันธ์ 2559.

14 วารสารวิชาการ ป.ป.ช. เปลย่ี นแปลงไป และในปจั จบุ ันก็ยงั ขาดการนำ� ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้เพ่อื สนบั สนนุ ทักษะใน การท�ำงานด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ส่งผลให้การบูรณาการและพัฒนาองค์ความรู้ท่ีมา จากสหวชิ าการไม่เกดิ ประสิทธภิ าพเทา่ ท่คี วร9 การวิเคราะหป์ จั จัยแวดลอ้ มทส่ี ่งผลต่อภารกิจการต่อต้านการทจุ รติ 10 เม่ือได้ทราบถึงปัจจัยแวดล้อมโดยรวมที่ได้รวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ตามท่ีได้กล่าวมา แล้วขา้ งตน้ ต่อมา เป็นขนั้ ตอนของการวเิ คราะห์ปจั จัยแวดล้อมตา่ ง ๆ ตามหลกั การของทฤษฎี โดยในการ จดั ท�ำยุทธศาสตรช์ าตวิ ่าด้วยการปอ้ งกันและปราบปรามการทจุ รติ ระยะท่ี 3 ไดน้ ำ� การวิเคราะห์ จุดแข็ง จดุ ออ่ น โอกาส อปุ สรรค (Strength, Weakness, Opportunity and Threat Analysis) หรอื SWOT Analysis มาเป็นกรอบแนวคิดในการวิเคราะห์ปัจจัยแวดล้อมท่ีส่งผลต่อการต่อต้านการทุจริต ซ่ึงแบ่ง ออกเป็นการวิเคราะหป์ ัจจยั แวดล้อมภายนอกและการวิเคราะห์ปัจจยั แวดลอ้ มภายใน ปัจจัยภายในท่ีส่งผลกระทบต่อการต่อต้านการทุจริตเป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับจุดแข็ง (Strength) จุดอ่อน (Weakness) ของทรัพยากรและความสามารถขององค์กร บุคลากร ระบบข้อมูล การบริหาร โครงสร้างองค์กร องค์ความรู้ของบุคลากร รวมทั้งค่านิยมในการร่วมปฏิบัติภารกิจ การต่อต้านการทุจริต โดยปัจจัยภายใน ในการก�ำหนดยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) นี้ ไมใ่ ชเ่ พยี งส�ำนกั งาน ป.ป.ช. หรอื เพียงองค์กรใด องค์กรหน่งึ หากแตเ่ ป็นปัจจยั ภายในที่หมายรวมถึงทุกองคก์ รหลักดา้ นการตอ่ ตา้ นการทุจริต การวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนเพื่อกรองตัวแปรที่มีผลกระทบต่อประสิทธิภาพและความส�ำเร็จ ในการด�ำเนินภารกิจการต่อต้านการทุจริตนี้ได้น�ำหลักการ Mc Kinsey’s 7S Model มาใช้เป็นกรอบ ในการก�ำหนดตัวแปรที่เก่ียวข้อง ซ่ึงจ�ำแนกตัวแปรที่มีผลกระทบต่อการด�ำเนินงานขององค์กรออกเป็น 7 กลมุ่ ตวั แปร ประกอบดว้ ย 1. S - Strategy ตัวแปรด้านยุทธศาสตร์/กลยทุ ธ์ในการปฏิบตั ิ 2. S – Structure ตวั แปรด้านโครงสร้างในการปฏบิ ตั ิ 3. S – Style ตวั แปรดา้ นรูปแบบการบรหิ ารในการปฏบิ ตั ิ 4. S – System ตัวแปรด้านระบบในการปฏบิ ตั ิ 5. S – Staff ตวั แปรด้านบุคลากรในการปฏบิ ตั ิ 6. S – Skill ตวั แปรด้านทักษะและองคค์ วามรูใ้ นการปฏิบตั ิ 7. S - Shared value ตวั แปรเรอ่ื งคา่ นยิ มร่วมในการปฏบิ ตั ิ 9 คณะเจ้าหน้าทย่ี กร่างยทุ ธศาสตร์ชาตวิ ่าด้วยการป้องกนั และปราบปรามการทจุ รติ ระยะท่ี 3 (พ.ศ. 2560 – 2564). (2559). สรปุ ความเห็นจากการประชุมเชิงปฏิบัติการเพ่ือระดมความเห็นในการจัดท�ำร่างยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทุจริต ระยะท่ี 3 เมอื่ วนั ท่ี 15 และ 29 กมุ ภาพันธ์ 2559. 10 คณะเจา้ หน้าที่ยกรา่ งยทุ ธศาสตรช์ าติวา่ ด้วยการป้องกนั และปราบปรามการทุจรติ ระยะท่ี 3 (พ.ศ. 2560 – 2564). (2559). สรปุ ขอ้ มูลจากโครงการจัดทำ� ยุทธศาสตรช์ าติวา่ ด้วยการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ ระยะท่ี 3 ระหวา่ งวนั ท่ี 17 - 19 มนี าคม 2559 ณ คำ� แสด ริเวอรแ์ คว รีสอรท์ จงั หวดั กาญจนบุร.ี

ปจั จัยแวดล้อมทส่ี ง่ ผลตอ่ ภารกิจการต่อต้านการทจุ รติ 15 โดยปัจจยั ภายในทเี่ ป็น \"จุดแข็ง\" ของการป้องกันและปราบปรามการทจุ ริต มดี ังนี้ ด้านยทุ ธศาสตร/์ กลยุทธ์ (strategy) การปฏิบัตภิ ารกจิ ด้านการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจริต มียุทธศาสตร์ชาติฯ เป็นเคร่ืองมือท่ีถูกน�ำไปใช้เป็นกรอบช้ีน�ำในการจัดท�ำแผนในระดับรอง ส่งผล ให้การปฏิบตั อิ งคาพยพในทกุ ภาคส่วนมเี ปา้ หมายเพอื่ การบรรลุเปน็ ไปในทิศทางเดยี วกัน ด้านโครงสร้าง (structure) หน่วยงานปฏิบัติภารกิจหลายหน่วยงานมีการขยายโครงสร้างไปยัง สว่ นภูมภิ าคท่วั ประเทศ ท�ำให้การปฏบิ ตั ิภารกจิ งานถูกกระจายไปยงั พนื้ ท่ตี ่าง ๆ ไมก่ ระจกุ ตัวอยู่แต่สว่ นกลาง สง่ ผลให้การปอ้ งกันและปราบปรามการทุจริตเกิดผลสมั ฤทธ์ิในระดับพืน้ ทีม่ ากยิง่ ขึ้น ด้านรูปแบบ (style) หนว่ ยงานปฏบิ ัตภิ ารกิจมกี ารบูรณาการรว่ มกับหน่วยงานและ ภาคสว่ นอนื่ ๆ ในรูปแบบของการท�ำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ส่งผลให้การปฏิบัติยุทธศาสตร์ชาติฯ น�ำไปสู่การปฏบิ ตั ิทเ่ี ปน็ รูปธรรมอย่างต่อเนื่อง ด้านระบบ (system) หน่วยงานปฏิบัติภารกิจมีระบบการป้องกัน ปราบปราม และ ป้องปรามการทุจริตที่มีความน่าเช่ือถือ อีกท้ังมีโครงสร้างท่ีรองรับภารกิจงานกระจายในระดับพื้นที่ ส่งผลดี ต่อการปฏิบัติภารกจิ งานดา้ นการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจรติ มากยิ่งข้นึ ด้านบคุ ลากร (staff) หน่วยงานปฏบิ ตั ิภารกิจหลายหน่วยงานมีอตั ราก�ำลงั จำ� นวนมากซ่งึ คัดเลอื ก จากความรู้ความสามารถท่ีเหมาะสมกับงาน ส่งผลให้การปฏิบัติภารกิจด้านการป้องกันและปราบปราม การทจุ รติ มีความพรอ้ มในดา้ นจ�ำนวนของบคุ ลากรมากย่งิ ข้นึ ดา้ นทกั ษะ (skill) บุคลากรของหน่วยงานปฏบิ ตั ภิ ารกจิ มีความเชีย่ วชาญเฉพาะทาง และมีทกั ษะ ท่ีเป็นสหวิชาชีพ ท�ำให้สามารถน�ำความรู้สหวิชาเหล่านั้นมาใช้เพื่อปฏิบัติภารกิจด้านการป้องกันและ ปราบปรามการทุจรติ ใหส้ ามารถบรรลตุ ามเปา้ หมายของยทุ ธศาสตรช์ าติฯ ได้ดยี ิ่งขน้ึ ดา้ นค่านิยม (shared value) หนว่ ยงานปฏบิ ัตภิ ารกิจมีคา่ นยิ มความซือ่ สตั ย์เปน็ พ้นื ฐานท่ีส�ำคญั ร่วมกัน ส่งผลดีต่อการด�ำเนินงานด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตให้สัมฤทธิ์ผลตามเป้าหมาย ของยทุ ธศาสตรช์ าติฯ ท่ีมีร่วมกัน ปัจจัยภายในท่ีเป็น \"จุดอ่อน\" ของการป้องกันและปราบปรามการทจุ ริต มดี งั นี้ ด้านยุทธศาสตร์/กลยุทธ์ (strategy) ยังขาดยุทธศาสตร์/กลยุทธ์ท่ีส�ำคัญหลายด้าน เช่น ยุทธศาสตร์การปฏิบัติภารกิจด้านการป้องกัน เม่ือยุทธศาสตร์ไม่ชัดท�ำให้การท�ำงานกับภาคส่วนอื่น ๆ เป็นไปด้วยความล�ำบาก ขาดยุทธศาสตร์ด้านการสร้างกระแสสังคม “รังเกียจ”คนโกง ขาดยุทธศาสตร์ ด้านการสื่อสารต่อสังคมให้เกิดการตื่นตัวในสังคม ท�ำให้การปฏิบัติงานยังไม่ประสบความส�ำเร็จและไม่เกิด ผลสัมฤทธต์ิ ่อสังคมในวงกวา้ งเทา่ ท่ีควร ดา้ นโครงสรา้ ง (structure) การขยายโครงสร้างของหน่วยงานปฏิบตั ภิ ารกจิ ไปยังภูมิภาคต่าง ๆ เพอื่ ให้ปฏบิ ตั ิภารกจิ ดา้ นการป้องกันและปราบปรามการทจุ ริต ยังขาดแคลนทรพั ยากรทสี่ �ำคัญ โดยเฉพาะ ทรัพยากรบุคคล ส่งผลให้การด�ำเนินงานในระดับพื้นท่ีนั้นยังไม่สามารถบรรลุผลตามจุดมุ่งหมายของการ ขยายโครงสร้างเท่าทคี่ วร ด้านรูปแบบ (style) ภายในหน่วยงานปฏิบัติภารกิจยังขาดนโยบายและทิศทางการ ด�ำเนินงานท่ีชัดเจน มีการปรับเปลี่ยนบ่อยครั้ง อีกท้ังหน่วยงานปฏิบัติภารกิจยังขาดความชัดเจนใน

16 วารสารวชิ าการ ป.ป.ช. การด�ำเนนิ การร่วมกันและการทำ� บันทึกข้อตกลงความรว่ มมือ (MOU) ระหวา่ งหน่วยงานตา่ ง ๆ มีลักษณะ เป็นการท�ำพอเป็นพิธี ยังไม่มีจุดมุ่งหมายร่วมกันเพ่ือสร้างจิตส�ำนึกในการปฏิบัติอย่างแท้จริง อีกทั้ง รูปแบบการท�ำงานยังไมม่ ีความเท่าทันต่อการทจุ รติ ทีม่ พี ลวัต ด้านระบบ (system) หน่วยงานปฏิบัติภารกิจมีระบบการท�ำงานท่ีมีขั้นตอนท่ีสับสน และมคี วามซ�ำ้ ซอ้ นในการปฏิบตั งิ าน เช่น ระบบอนกุ รรมการ ระบบคณะทำ� งาน เป็นต้น ส่งผลให้เกดิ ความ ล่าช้าในการปฏิบัติงาน อีกท้ังการบริหารงานยังมีการปรับเปล่ียนบ่อยครั้ง ขาดทิศทางท่ีชัดเจน จนเป็น อุปสรรคในการท�ำงาน และยังขาดช่องทางการร้องเรียนการทุจริตท่ีชัดเจนและเป็นรูปธรรม รวมทั้งยัง ขาดระบบการตดิ ตาม ตรวจสอบ ประเมนิ ผล และบทลงโทษ หากเกดิ ความลา่ ชา้ ในกระบวนการไต่สวน ส่งผลให้ภารกิจด้านการปราบปรามการทุจริตท่ีผ่านมาไม่ประสบความส�ำเร็จตามความคาดหวังของสังคม ซ่งึ สง่ ผลทางลบตอ่ ภาพลกั ษณ์ของหน่วยงาน ด้านบุคลากร (staff) อัตราก�ำลังขององค์กรอิสระและหน่วยงานปฏิบัติภารกิจบาง หน่วยงานยงั ไมม่ กี ารกระจายไปยังส่วนภมู ิภาคเท่าท่คี วร สง่ ผลต่อประสิทธิภาพในการดำ� เนนิ งานปฏิบตั ิ ด้านทักษะ (skill) บุคลากรยังขาดองค์ความรู้ในเชิงลึกส�ำหรับการท�ำความเข้าใจกับรูปแบบการ ทุจริตที่เปล่ียนแปลงไป และในปัจจุบันก็ยังขาดการน�ำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้เพื่อสนับสนุน ทักษะในการท�ำงานด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ส่งผลให้การบูรณาการและพัฒนาองค์ความรู้ ที่มาจากสหวชิ าการไม่เกิดประสทิ ธิภาพเท่าทค่ี วร ด้านค่านยิ ม (shared value) หน่วยงานปฏิบตั ภิ ารกจิ เน้นการดำ� เนินงานใน “เชงิ รบั ” มากกว่า “เชิงรุก” ท�ำใหผ้ ลการด�ำเนินงานไม่สามารถสรา้ งความเกรงกลัวให้ผูก้ ระทำ� ทจุ รติ อีกท้งั ไม่สามารถตามทนั สถานการณ์การทุจรติ ทม่ี คี วามเป็นพลวตั สูงได้อยา่ งทันทว่ งที ส�ำหรับการวิเคราะห์ปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อการต่อต้านการทุจริตเป็นปัจจัยที่ เก่ียวข้องกับโอกาส (opportunity) และอุปสรรค (threat) ภายนอกน้ัน ต้องท�ำการวิเคราะห์อย่าง รอบด้านและถี่ถ้วน เน่ืองด้วยการก�ำหนดยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เพื่อเป็นกรอบทิศทางการด�ำเนินภารกิจการต่อต้านการทุจริตของประเทศ มิใช่เพียงอาศัยความเข้มแข็งของ องค์กรใดองค์กรหนึ่ง หากแต่เป็นการวิเคราะห์บริบททางด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง กฎหมายหรือ แม้แต่ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีท่ีมีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากร่วมด้วยและการรับมือต่อ สถานการณ์ท่ีเป็นพลวัตหมุนเร็วเพ่ือการได้มาซึ่งยุทธศาสตร์อันก่อให้เกิดผลท่ีดีท่ีสุดน้ัน ได้ท�ำการ วเิ คราะหโ์ ดยน�ำหลักการ PEST+ Model ซ่งึ ประกอบด้วย 7 มิติ ดงั น้ี 1. P – Political มิตทิ างการเมอื ง เชน่ ระบบการเมอื ง รูปแบบการปกครอง 2. E – Economic มติ ิทางเศรษฐกจิ เชน่ การค้า การลงทนุ การด�ำเนนิ ธุรกจิ สภาพเศรษฐกจิ 3. S – Social มติ ิทางสงั คมเช่น วถิ ีชวี ติ ความเชื่อ ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี ศาสนา 4. T – Technology มิติทางเทคโนโลยี เช่น ความกา้ วหนา้ ทางเทคโนโลยี นวัตกรรมตา่ ง ๆ 5. L – Legal มติ ทิ างกฎหมายเชน่ รัฐธรรมนูญ พระราชบญั ญตั ิ กฎหมาย/ระเบยี บท่เี ก่ยี วขอ้ ง 6. I – International มติ ิทางด้านต่างประเทศ เช่น ข้อกำ� หนดของสากล ความสัมพนั ธร์ ะหว่างประเทศ 7. G – Government มิตทิ างดา้ นนโยบายรัฐบาล/ระบบราชการ

ปจั จัยแวดลอ้ มท่ีสง่ ผลตอ่ ภารกิจการตอ่ ต้านการทุจริต 17 เมื่อได้น�ำปัจจัยแวดล้อมท่ีส่งผลต่อภารกิจด้านการต่อต้านการทุจริตที่ได้มาจากการรวบรวมมาจาก การทบทวนเอกสารรายงานตา่ ง ๆ การสัมภาษณ์ผูม้ ีส่วนเก่ยี วข้อง การรับฟงั ความคดิ เหน็ และการประชุม เชิงปฏิบัติการท่ีได้กล่าวมาแล้วข้างต้น มาวิเคราะห์ตามกรอบแนวคิดของหลักการ PEST+ Model แล้ว จึงสามารถสรปุ ผลตามทฤษฎีที่ใช้การวิเคราะห์ได้ดงั น้ี ปัจจยั ภายนอกทเี่ ป็น \"โอกาส\" ของการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจรติ ประกอบด้วย มิติทางการเมือง (political) รัฐบาลมีเจตนารมณ์ในการใช้มาตรา 44 และค�ำสั่ง คสช. ฉบับท่ี 69/2557 เพือ่ แกไ้ ขปัญหาการทจุ รติ มติ ทิ างเศรษฐกจิ (economic) การค้าและการลงทนุ ในภาคธรุ กจิ ทง้ั ในประเทศและต่างประเทศ ต่างให้ความส�ำคัญกับการด�ำเนินธุรกิจบนพ้ืนฐานของหลักธรรมาภิบาลและให้ความส�ำคัญกับข้อมูลการ จัดอันดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ รวมท้ังดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index: CPI) และการด�ำเนนิ การตามมาตรฐานสากลในรูปแบบตา่ ง ๆ อีกทัง้ แนวโนม้ ของ การลงทุนข้ามชาติจะเป็นทศวรรษแห่งเอเชีย จะเน้นเรื่องความโปร่งใส และการแก้ไขปัญหาความล่าช้า (Red Tape) เป็นตน้ มติ ิทางสงั คม (social) มีการส่งเสริม สนบั สนุนภาคเี ครอื ขา่ ยในภาคสว่ นตา่ ง ๆ ใหร้ ่วมกนั ตอ่ ตา้ น การทุจริตอยา่ งเป็นรูปธรรม เชน่ สังคม เดก็ และเยาวชน และกระแสของสังคมแสดงถึงความต้องการทจ่ี ะ เห็นภาพของการแก้ไขปัญหาการทุจริตท่ีเป็นรูปธรรมและชัดเจน โดยใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นหลักการส�ำคญั ท่เี ปน็ พนื้ ฐานในการป้องกนั และปราบปรามการทุจริต มิติทางเทคโนโลยี (technology) มีการพัฒนาเทคโนโลยีท่ีช่วยพัฒนาระบบการบริการ สาธารณะ ลดการใชด้ ลุ พินิจของเจ้าหน้าท่ี สง่ ผลใหเ้ กิดความโปรง่ ใส และตรวจสอบการท�ำงานของรัฐได้ และในปัจจุบันเทคโนโลยียังเป็นสิ่งส�ำคัญที่ถูกน�ำมาใช้เป็นเคร่ืองมือในการเผยแพร่องค์ความรู้ด้านการ ป้องกนั และปราบปรามการทุจริตใหก้ ระจายตัวออกไปยังสงั คมในวงกวา้ ง มิติทางกฎหมาย (legal) รัฐธรรมนูญสามารถคานอ�ำนาจทางการเมือง บริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการ ถือเป็นโอกาสที่ส�ำคัญในการก�ำหนดแนวทางการป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยเฉพาะ การคานอ�ำนาจการเมืองให้ไม่สามารถแทรกแซงฝ่ายข้าราชการประจ�ำได้ อีกท้ังบทบัญญัติ ของรัฐธรรมนูญมีการก�ำหนดให้ประชาชนมีหน้าท่ีในการให้ความร่วมมือและมีส่วนร่วมในการต่อต้านการ ทุจริต และในปัจจุบันยังมีกระบวนการในการพัฒนาและปรับปรุงกฎหมาย และการบังคับใช้กฎหมายให้ สามารถตอบสนองต่อการปฏิบัติงาน และบังคับใช้ได้จริง และใช้กลไกทางกฎหมายเป็นแนวทางในการ ปฏริ ูปกลไกหลักด้านป้องกนั และปราบปรามการทุจรติ เช่น การเสนอจดั ตัง้ ศาลชำ� นญั พิเศษ และการเตรียม เสนอรา่ งการดำ� เนนิ การเกี่ยวกับคดีทจุ ริตและประพฤตมิ ิชอบ เป็นตน้ มิติทางด้านต่างประเทศ (international) มีการด�ำเนินงานตามพันธสัญญาระหว่างประเทศ ท้ังในระดับโลก และระดับภูมิภาค สู่การพัฒนาระบบการบริหารจัดการและการปรับปรุงกฎหมาย เพื่อให้เกิดความสอดคล้องในการปฏิบัติและบังคับใช้กฎหมาย การมีบทเรียนจากการปฏิบัติงานด้านการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตของประเทศต่าง ๆ มาปรับใช้ในการด�ำเนินงานภายในประเทศ เช่น กลไกการตรวจสอบการคานอ�ำนาจ กลไกการพัฒนาและมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมแบบ

18 วารสารวชิ าการ ป.ป.ช. Collaborative ในประเทศที่ประสบความส�ำเร็จและสามารถแก้ไขปัญหาได้ เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง เกาหลี มิติทางด้านนโยบายรัฐบาล/ระบบราชการ (government) นโยบายของรัฐบาลมีความ ต้องการส่งเสริมภาพลักษณ์ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตให้เป็นท่ียอมรับทั้งในและนอก ประเทศ และให้ความส�ำคัญต่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริต โดยอาศัยการปฏิรูปและ บูรณาการการท�ำงานในทุกภาคส่วน ปฏิบตั ิมาตรการและกลไกการป้องกันการทุจริตทีม่ ีการพัฒนารูปแบบ ใหม้ คี วามสอดคล้องกบั บริบทสภาพปัญหาของการทจุ รติ ที่เกดิ ขนึ้ ส�ำหรับปจั จัยภายนอกทีเ่ ป็น “อุปสรรค”ของการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจริต มีดังนี้ มิติทางการเมือง (political) มาตรการป้องกันการทุจริตในกระบวนการเข้าสู่อ�ำนาจรัฐหรือการ เลือกตั้งยังขาดการบังคับใช้อย่างจริงจัง ส่งผลให้ได้นักการเมืองที่มุ่งเข้ามาหาผลประโยชน์ให้กับตนเอง และพวกพ้อง มิติทางเศรษฐกิจ (economic) ประเทศไทยเป็นประเทศเปิดเสรีทางการค้า ท�ำให้เผชิญกับ ปัญหาที่ตามมากับธุรกิจประเภทกิจการข้ามชาติ ซึ่งบางครั้งเข้ามาด้วยอิทธิพล ก่อให้เกิดปัญหาการ ทุจริตในส่วนต่าง ๆ เกิดปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ เกิดการฟอกเงินตามมาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ นโยบายการด�ำเนินงานทางการค้าท่ีผูกขาดตลาดและกีดกันทางการค้า ท้ังภายในและภายนอก ประเทศ ส่งผลให้ภาคธุรกิจเอกชนมีค่านิยมในการให้สินบนกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพ่ือมุ่งหวังให้อ�ำนวย ความสะดวกกบั ตนเองและเกิดปัญหาอาชญากรรมปกขาวในภาคธุรกิจ เกดิ การทจุ ริตใหญ่ ๆ และการให้ เล็ก ๆ เช่น สว่ ยรายวนั กลายเปน็ เรือ่ งแลกเปลีย่ นระหวา่ งผู้ใหก้ ับผู้รบั มิตทิ างสังคม (social) บรบิ ทสังคมท่ยี งั ไมเ่ ออื้ ตอ่ การปฏริ ปู พฒั นาและเปล่ยี นแปลง กระบวนทศั น์ ในการท�ำงานด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เนื่องจากสังคมไทยมีวัฒนธรรมยอมรับ ระบบอุปถัมภ์ รอมชอม และประชาชนยังขาดค่านิยมร่วมในการร่วมต้านทุจริต และยังเห็น ประโยชน์ส่วนตนมากกวา่ ประโยชน์สาธารณะหรือประโยชนข์ องชาติบ้านเมอื ง มิติทางเทคโนโลยี (technology) การด�ำเนินธุรกรรมทางธุรกิจในปัจจุบันได้พัฒนาโดยน�ำ เทคโนโลยีเข้ามาเป็นเคร่ืองมือ เป็นรูปแบบไซเบอร์ เกิดการบิดเบือนและใช้ช่องทางในการทุจริต เช่น ระบบ e-bidding และ e-market เป็นต้น มิติทางกฎหมาย (legal) กระบวนการทางกฎหมายที่มีข้ันตอนซ�้ำซ้อนและมากเกินความ จ�ำเป็น ก่อให้เกิดความล่าช้าในการด�ำเนินคดี และขาดการบังคับใช้กฎหมายท่ีมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว เด็ดขาด การท�ำงานยังคงยึดติดกับกับขั้นตอนทางกฎหมายท่ียากต่อการปฏิบัติ ส่วนการ ตรวจสอบทรัพย์สินซ่ึงถือเป็นเครื่องมือที่ส�ำคัญของการปราบปรามการทุจริต และการช้ีมูลร�่ำรวย ผิดปกติ ต่างยังคงให้ความส�ำคัญกับมาตรา 32, 34, 41 และ 119 ที่มุ่งเน้นการตรวจสอบเชิงปริมาณ มากกวา่ การตรวจสอบเชิงคุณภาพจนเปน็ ปัญหาในการด�ำเนนิ งานทล่ี า่ ชา้ และสร้างปญั หาสะสม มิตทิ างด้านตา่ งประเทศ (international) ตา่ งประเทศไมเ่ ชือ่ ถอื ตอ่ ความโปรง่ ใส และการบรหิ ารงาน ภาครฐั ไทย ซงึ่ ภาครฐั ไทยขาดการดำ� เนนิ การตามพนั ธกรณที ต่ี กลงตามอนสุ ัญญา UNCAC

ปจั จยั แวดล้อมท่ีสง่ ผลตอ่ ภารกิจการต่อตา้ นการทุจริต 19 มิติทางด้านนโยบายรัฐบาล/ระบบราชการ (government) เกิดการทุจริตในภาครัฐอย่าง ต่อเน่ือง จนประชาชนมีทัศนคติในแง่ลบกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ จึงเป็นอุปสรรคต่อการสร้างความร่วมมือ ในการป้องกันการทุจริตกับประชาชน อีกท้ังประชาชนยังมองว่าหน่วยงานของรัฐไม่มีความจริงใจต่อการ แก้ไขปญั หาทจุ รติ เปน็ เพยี งแต่ท�ำตามขอ้ ตกลง ตัวช้ีวัด ทำ� แบบลูบหน้าปะจมูก ขาดความต่อเน่ือง และยัง พบวา่ บางหนว่ ยงานสร้างเอกสารหลกั ฐานขึน้ มาเพอ่ื ใหผ้ ่านตัวชี้วดั เท่านน้ั บทสรปุ ท่ามกลางปัจจัยแวดล้อมท่ีส่งผลต่อภารกิจการต่อต้านการทุจริตซึ่งยังคงเปล่ียนแปลงเคล่ือน ตวั อยา่ งรวดเรว็ น้ัน การด�ำเนินไปของภารกจิ ตอ่ ต้านการทุจรติ ของประเทศไทยจงึ ตอ้ งอาศยั ยุทธศาสตรช์ าติ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เป็นกรอบแนวทางส�ำคัญ เพราะภารกิจต่อต้านการทุจริต ถือเป็นภารกิจของคนไทยท้ังประเทศ หากจะด�ำเนินไปอย่างประสบผลส�ำเร็จ จ�ำต้องอาศัยความร่วมมือ จากทุกภาคส่วน การจัดทำ� ยุทธศาสตร์ชาติต้องเป็นไปอย่างมที ศิ ทาง เท่าทนั ตอ่ สถานการณ์ ร่วมก่อใหเ้ กิด ความต่นื ตวั ในสงั คม ดำ� เนินการอยา่ งต่อเนือ่ งด้วยยทุ ธศาสตรแ์ ละกลยทุ ธ์ท่เี ป็นรูปธรรมทส่ี ามารถป้องกนั และปราบปรามการทุจริตท่ีทวีความซับซ้อนได้อย่าง มีประสิทธิภาพ โดยข้อค�ำนึงส�ำคัญคือ จะต้องมี การวิเคราะห์ปัจจัยแวดล้อมท่ีช่วยให้ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตที่จะน�ำ มาเป็นกรอบแนวทางส�ำคัญน้ัน เป็นยุทธศาสตร์ท่ีเป็นจริง ใช้ได้จริงในปัจจุบัน ไม่วนซ้�ำเพียงในกรอบ การด�ำเนินการเชิงรับ และทรงพลังมากพอท่ีจะผลักดันให้สังคมไทยก้าวหน้าไปด้วยความร่วมมือ จากทกุ ภาคสว่ น กระทั่งน�ำไปส่ปู ระเทศไทยใสสะอาด ไทยทงั้ ชาติต้านทจุ รติ ไดอ้ ยา่ งแทจ้ ริง เอกสารอ้างอิง นนั ทิยา หตุ านุวตั ร. (2551). คิดกลยุทธด์ ว้ ย SWOT. อุบลราชธานี: มหาวิทยาลัยอุบลราชธาน.ี สุมิตร สุวรรณ. (2554). การก�ำหนดยุทธศาสตร์ (Strategy Formulation). กรุงเทพฯ: เพชรเกษม พร้ินติง้ กรปุ๊ . อภิชัย ศรเี มือง. (2555). SWOT: เทคนิควเิ คราะห์ธรุ กิจอย่างเฉยี บคม (สไตลผ์ บู้ รหิ ารมอื อาชพี ). นนทบรุ :ี ธงิ ค์ บยี อนด์บคุ๊ ส.์ อภิรัชศักด์ิ รัชนีวงศ์. (2555). เคร่ืองมือยุทธศาสตร์. กรุงเทพฯ : ส�ำนักนโยบายและยุทธศาสตร์. สำ� นกั งานปลดั กระทรวงยตุ ิธรรม เอกชัย บญุ ยาทษิ ฐาน. (2553). คมู่ อื วเิ คราะห์ SWOT อย่างมอื อาชีพ. กรงุ เทพฯ: ปัญญาชน. เอกสารอ้างองิ อเิ ลก็ ทรอนิกส์ เกษม พิพัฒน์เสรีธรรม. (2556). MCKINSEY 7 S. [ออนไลน์]. สืบค้นเม่ือ 24 ตุลาคม 2559, จาก http://marketeer.co.th/ archives/14078 เอกกมล เอี่ยมศรี. PEST Analysis การท�ำ ความเข้าใจใน“ภาพรวม” ท่ีท�ำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ 24 ตุลาคม 2559, จาก http://www.pisit.in.th/kheruxng-mux- wikheraah-thurkic

20 วารสารวิชาการ ป.ป.ช. การสรา้ งสงั คมที่ ไม่ทนตอ่ การทุจรติ Creating a Society with Zero Tolerance for Corruption นายตณิ ณภพ พัฒนะ1 บทคัดยอ่ กระบวนการสร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริตน้ัน เป็นสิ่งท่ีส�ำคัญและจ�ำเป็นอย่างยิ่งที่จะเป็น พื้นฐานในการปฏิรูปสังคมและประเทศไทยสู่การต่อต้านการทุจริตในทุกรูปแบบ และเป็น ปัจจัยพ้ืนฐานที่ส�ำคัญที่ต้องได้รับการสนับสนุนให้ได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยต้องได้รับความ ร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคม ซึ่งต้องให้ความส�ำคัญกับการคิดหาวิธีการแก้ปัญหา โดยเริ่มตั้งแต่ การสร้างความตระหนักให้กับสังคม (social awareness) และกระบวนการกล่อมเกลาทางสังคม ประกอบด้วยปัจจัยและกระบวนการในการสร้างสังคมท่ีไม่ทนต่อการทุจริตใน 4 ประการ ได้แก่ 1) การปฏริ ปู ค่านยิ มของสงั คมไทยดว้ ยกระบวนการอบรมและกล่อมเกลาทางสงั คม 2) การใหก้ ารศึกษา เพ่ือสร้างความเป็นพลเมือง (democratic citizenship education) 3) การท�ำงานกับชุมชนตามหลัก จิตวิทยาเพ่ือการสร้างสังคมท่ีไม่ทนต่อการทุจริต และ 4) การใช้การส่ือสารเป็นเคร่ืองมือในการ สรา้ งสังคมทีไ่ มท่ นต่อการทจุ ริต นอกจากน้ี แนวคิดเร่อื งการมีสว่ นรว่ ม เปน็ กระบวนการซึ่งส่งเสริมให้ผู้ท่ีมี ส่วนเกี่ยวข้องได้เข้ามามีส่วนร่วมต้ังแต่เริ่มต้น โดยเฉพาะเยาวชนและนักเรียน จนถึงประชาชนทุกช่วงวัย ในการรว่ มคดิ รว่ มตดั สนิ ใจ ร่วมออกแบบ และก�ำหนดวธิ ีการต่าง ๆ ท่ีจะต้องปฏบิ ตั อิ นั จะน�ำมาสกู่ ารเกดิ ความเข้าใจอันดีในรายละเอียดและท�ำให้เกิดข้อปฏิบัติท่ีชัดเจน ซึ่งจะน�ำมาสู่การควบคุมวิถีชีวิตในส่วนที่ เกี่ยวข้อง ตลอดจนวิธีการที่จะต้องปฏิบัติท้ังหมดผ่านการใช้หลักจิตวิทยาสังคม การใช้สื่อและช่องทาง ในการสื่อสารของสมาชิกในสังคมอย่างสร้างสรรค์และสามารถตอบโจทย์พฤติกรรมการใช้ส่ือโดยเฉพาะ ในโลกยุคโลกาภิวัฒน์และการพัฒนาของเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด เพ่ือน�ำมาสู่สังคมท่ีไม่ทนต่อการ ทุจรติ คำ� สำ� คัญ: สังคม การสรา้ งสังคม ไมท่ น ไมท่ นตอ่ การทุจริต การทจุ ริต 1เจา้ พนักงานปอ้ งกันการทจุ ริตปฏบิ ตั ิการ สำ� นักปอ้ งกนั การทจุ รติ ภาคประชาสังคมและการพฒั นาเครอื ข่าย ส�ำนกั งาน ป.ป.ช.

การสร้างสังคมท่ีไมท่ นต่อการทจุ ริต 21 Abstract Creating a society with zero tolerance of corruption lays an essential foundation for a radical social reform aiming at all forms of corruption eradication. This process is a fundamental factor which needs to be addressed urgently by enlisting close collaboration from all relevant sectors of the society which needs to accord importance to devising solutions starting from social awareness and socialisation process. To create a society which does not tolerate corruption, this approach consists of four factors, namely (1) reformation of social values via socialisation, (2) provision of democratic citizenship education, (3) working together with the locals according to psychological principles, and (4) using communications as a tool for creating a society with zero tolerance of corruption. In addition, the concept of public participation is a process for engaging relevant stakeholders since the beginning, especially the youth, students and the public of all age ranges, to participate in the co-decision to design the methods for comprehensive understanding in detail and clear practical guidelines. This will lead to controlled lifestyle in relevant parts and practice that needs to be implemented by applying social psychological approach. Creative utilisation of media and communication channels by members of the society can potentially respond to media usage, particularly in the globalised world with advanced technological development, in order to establish a society with zero tolerance of corruption. Keywords: society, creating society, intolerable, intolerable corruption, corruption ในปัจจุบันปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันในสังคมเป็นปัญหาเร้ือรังและสั่งสมเป็นเวลานาน และส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อการพัฒนาประเทศ ความสลับซับซ้อนของปัญหานับวันจะมากข้ึน การก�ำจัดการทุจริตคอร์รัปชันให้หมดไปอย่างส้ินเชิงเป็นเรื่องยากท่ีจะกระท�ำได้ แต่การป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตให้น้อยลงจนอยู่ในระดับที่สังคมยอมรับได้และมิให้เป็นปัญหากระทบต่อการบริหาร กิจการบ้านเมืองน้ันเป็นสิ่งที่สามารถท�ำได้ โดยเร่ิมได้จากการสร้างกระบวนการทางสังคมที่ไม่ทนต่อ การทุจริต จากสภาพปัญหาของการทุจริตคอร์รัปชันในสังคมไทย อาจกล่าวได้ว่าโดยท่ัวไปมีลักษณะ ส�ำคัญ คือ ประการแรก การทุจริตคอร์รัปชันเป็นเร่ืองของวัฒนธรรมท่ีมีการส่ังสมและฝังรากลึกไปถึง ระบบคุณค่าของสังคมที่ถูกหล่อหลอมมาแต่ก�ำเนิด และเติบโตเข้าสู่ระบบราชการ ภาคเอกชน และ แม้กระทั่งระบบการเมือง ซึ่งระบบคุณค่าทางสังคมนี้เป็นตัวก�ำหนดความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน กับประชาชน และระหว่างราชการและรัฐบาล ประการที่สอง ต้องยอมรับความจริงว่าการทุจริต คอร์รัปชันได้แพร่กระจายไปทั่วสังคมไทย ท้ังในระดับชุมชน ท้องถ่ิน วงราชการในทุกระดับ และใน วงนักการเมือง อันเป็นผลมาจากการส่ังสมปัญหาเน่ินนาน โดยมีอิทธิพลและพลังอ�ำนาจอยู่เบื้องหลัง ซึ่งเกี่ยวโยงไปถึงผลประโยชน์ของบุคคลส�ำคัญ ๆ ของระบบการเมืองและระบบราชการทั้งในระดับชาติ

22 วารสารวิชาการ ป.ป.ช. และระดับท้องถ่ิน ซ่ึงสอดคล้องกับบทวิเคราะห์สถานการณ์และแนวโน้มของสังคมไทย ตามแผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 - 2564) ได้ระบุว่า คนไทยส่วนใหญ่ยังมีปัญหา ด้านคุณธรรมจริยธรรม และไม่ตระหนักถึงความส�ำคัญของการมีระเบียบวินัย ความซ่ือสัตย์สุจริต และ การมีจิตสาธารณะ อันเกดิ จากกระแสการเปลย่ี นแปลงตา่ ง ๆ ท่หี ลั่งไหลเขา้ สูป่ ระเทศไทยในสงั คมทเี่ ป็น ยุคดิจิทัลส่งผลให้ค่านิยมในสังคมไทยเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว คนไทยบางส่วนไม่สามารถเลือกรับ ปรับใช้กับการด�ำเนินชีวิตประจ�ำวัน ส่งผลให้วัฒนธรรมและวิถีชีวิตแบบด้ังเดิมท่ีเป็นรากเหง้าของคนไทย ถูกกลืนโดยวิถีชีวิตแบบใหม่ มีค่านิยมยึดตนเองเป็นหลักมากกว่าการค�ำนึงถึงสังคมส่วนรวม รักสนุกและ รักความสบาย เชื่อข่าวลือ ขาดความอดทน ขาดระเบยี บวินัย วตั ถนุ ิยม ยอมรับคนทฐ่ี านะมากกวา่ คนดี มีคุณธรรม โดยผลส�ำรวจของศูนย์คุณธรรมร่วมกับนิด้าโพล ปี พ.ศ. 2557 พบว่า ปัญหาด้านคุณธรรม จริยธรรมทีป่ ระชาชนมากกวา่ ร้อยละ 50 เหน็ ว่าสำ� คัญทีส่ ดุ คือ ความซื่อสตั ย์ การทุจริตคอร์รปั ชนั และ ประชาชนกว่ารอ้ ยละ 90 เหน็ วา่ จำ� เปน็ ตอ้ งสง่ เสริมคุณธรรมจริยธรรมโดยเร็วทสี่ ุด ขณะท่ีการสำ� รวจการ ยอมรับพฤติกรรมทางสังคมของคนไทยที่มีอายุ 13 ปีขึ้นไป ในปี พ.ศ. 2557 เรื่องพฤติกรรมของการมี ระเบียบวินัย เช่น การข้ามถนนโดยใช้สะพานลอยหรือข้ามทางม้าลาย พบว่า กว่าร้อยละ 45 ท�ำเป็น บางคร้ังหรือไม่ท�ำเลยจึงจ�ำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้ความส�ำคัญกับการวางรากฐานการปรับเปล่ียนให้ ประชาชนมีค่านิยมตามบรรทดั ฐานทดี่ ีของสังคมไทย1 ดังนั้น ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) จึงได้ก�ำหนดยุทธศาสตร์ “สร้างสังคมท่ีไม่ทนต่อการทุจริต” เพ่ือเป็นยุทธศาสตร์ และแนวทางท่ีมุ่งให้ความส�ำคัญในกระบวนการปรับเปลี่ยนสภาพสังคมสู่สภาวะที่ไม่ทนต่อการทุจริต โดยเริ่มตั้งแต่กระบวนการกล่อมเกลาทางสังคมในทุกระดับ ทุกช่วงวัย ตั้งแต่ระดับปฐมวัย เพ่ือสร้าง วัฒนธรรมต่อต้านการทุจริต และปลูกฝังความมีวินัย ซ่ือสัตย์สุจริต โดยเป็นการด�ำเนินการผ่านสถาบัน หรือกลุ่มตัวแทนท่ีท�ำหน้าท่ีในการกล่อมเกลาทางสังคมให้มีความเป็นพลเมืองท่ีดี มีจิตส�ำนึกสาธารณะ จิตอาสา และความเสียสละเพ่ือส่วนรวม และเสริมสร้างให้ทุกภาคส่วนมีพฤติกรรมที่ไม่ยอมรับ ต่อต้าน และไมท่ นต่อการทุจรติ ในทุกรปู แบบ ผ่านการพฒั นานวตั กรรมและการสือ่ สารเพ่อื การเรียนรอู้ ันจะนำ� มา สู่การปรับเปล่ียนพฤติกรรม ตลอดจนส่งเสริมและเสริมสร้างบทบาทของส่ือมวลชน กลุ่มทางสังคม และ องค์กรวิชาชีพในการสร้างความโปร่งใสด้วยการบูรณาการแผนงาน ในทุกระดับของภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพ่ือให้เกิดการปฏิบัติไปในทิศทางเดียวกันและสอดคล้องกัน บนพ้ืนฐานของการประยุกต์ใช้หลักปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียง ควบคู่กับการด�ำเนินการต่อยอดกลไกหรือแนวทางท่ีมีอยู่เดิม ด้วยการบูรณาการ และเปิดโอกาสให้กับทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันอย่างต่อเนื่อง และได้รบั การสนบั สนนุ อยา่ งเพียงพอ เพือ่ ให้เกิดผลอย่างเป็นรปู ธรรมทง้ั ในระยะสัน้ และระยะยาว 1เอกสารประกอบการประชมุ ประจ�ำปี 2559 ของ สศช. ร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ ฉบับท่ี 12 (พ.ศ. 2560 - 2564) หน้าที่ 41

การสร้างสังคมที่ไมท่ นตอ่ การทจุ รติ 23 ปัจจัยส�ำคัญในการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันและการสร้างสังคมท่ีไม่ทนต่อการทุจริต อยู่ที่ความส�ำคัญของการสร้างวิสัยทัศน์ร่วม (shared vision) ของคนในชาติ ที่จะรวมพลังกันในการ พฒั นาคุณภาพของพลเมอื งในทุกช่วงวยั โดยรว่ มกนั ตง้ั คำ� ถามว่าพลเมืองทท่ี กุ คนอยากเหน็ ควรเป็นเชน่ ไร มีคุณลักษณะอย่างไร มีวิธีการใดบ้างท่ีจะช่วยพัฒนาพลเมืองในแต่ละช่วงวัยนั้นให้พัฒนาเป็นไปตาม ล�ำดับขั้นอย่างต่อเนื่องและสอดประสานกันอย่างสมดุล มีขอบเขตและล�ำดับข้ัน (scope and sequence) ของการพัฒนาพลเมือง ซึ่งการตอบโจทย์เหล่าน้ีได้ก็ด้วยอาศัยศาสตร์ว่าด้วยการพัฒนา หลักสูตรเข้ามาช่วย รวมทั้งใช้กระบวนการพัฒนาหลักสูตรมาเป็นเคร่ืองมือส�ำคัญในการสร้าง เครือข่ายการท�ำงานและเป็นระบบการเรียนรู้ร่วมกันขององค์กร หน่วยงาน และบุคคลในสังคมสู่การ สร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต ซึ่งสามารถกล่าวถึงปัจจัยและกระบวนการในการสร้างสังคมท่ีไม่ทน ต่อการทุจริตได้ใน 4 ประการ ได้แก่ 1) การปฏิรูปค่านิยมของสังคมไทยด้วยกระบวนการอบรมและ กล่อมเกลาทางสังคม 2) การให้การศึกษาเพ่ือสร้างความเป็นพลเมือง (democratic citizenship education) 3) การท�ำงานกับชุมชนตามหลักจิตวิทยา เพื่อการสร้างสังคมท่ีไม่ทนต่อการทุจริต และ 4) การใชก้ ารส่ือสารเปน็ เครือ่ งมอื ในการสร้างสงั คมทไ่ี มท่ นตอ่ การทุจริต ประการแรกที่ส�ำคัญที่สุด คือ การปฏิรูปค่านิยมของสังคมไทยด้วยกระบวนการอบรมและ กล่อมเกลาทางสังคม ให้ยึดมั่นในศีลธรรมและคุณธรรม ปฏิเสธ ไม่ยอมรับ และไม่ทนต่อการทุจริต คอร์รัปชันในทุกรูปแบบ โดยเห็นร่วมกันว่าปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันเป็นปัญหาเลวร้ายของ สังคมไทย ซึ่งการกระท�ำเช่นนี้จ�ำเป็นต้องมีการอบรมสั่งสอนพลเมืองตั้งแต่ในระดับปฐมวัยเร่ือยไปจนถึง ทุกระดับในสังคม ปลูกฝังให้ข้าราชการยึดมั่นในคุณธรรมและศีลธรรม มีส�ำนึกในการปฏิบัติหน้าท่ีด้วย ความมเี กยี รติ (dignity) ประกอบอาชีพอย่ภู ายใตร้ ะบบคณุ ธรรม (merit system) ที่เคร่งครดั ปรับปรุง ระบบบรกิ ารและอ�ำนวยความสะดวกของประชาชนให้มีประสทิ ธภิ าพ รวมไปถงึ ส่งเสริมระบบสงิ่ แวดลอ้ ม ทางสังคมให้มีส่วนช่วยให้เกิดการเคลื่อนไหวทางความคิดของคนในสังคม และสร้างระบบลงโทษทาง สังคม (social sanction) โดยสนับสนุนการส่งเสริมให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการต่อต้าน การทุจริตคอร์รัปชัน รวมถึงการส่งเสริมให้ส่ือมีสิทธิเสรีภาพในการที่จะสร้างกระแสสังคมที่ไม่ทนต่อการ ทุจริต และตระหนักถึงปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน2 โดยมุ่งหวังให้ประชาชนทุกส่วนในสังคมด�ำเนินชีวิต ด้วยจิตแห่งความพอเพียง ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา- ภูมิพลอดุลยเดชได้พระราชทานไว้แก่ประชาชนไทย ทุกคนไว้เป็นหลักในการด�ำเนินชีวิต เพื่อให้เกิดการ บูรณาการการพัฒนาในทุกมิติอย่างสมเหตุสมผล มีความพอประมาณและมีระบบภูมิคุ้มกันและการ บริหารจัดการความเส่ียงท่ีดี ซ่ึงเป็นเงื่อนไขจ�ำเป็นส�ำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืน มุ่งเน้นการพัฒนาคนให้มี ความเป็นคนท่ีสมบูรณ์ สังคมไทยเป็นสังคมคุณภาพ มีที่ยืนและเปิดโอกาสให้กับคนทุกคนในสังคมได้ ด�ำเนนิ ชีวิตท่ดี ี มคี วามสขุ และอยู่ร่วมกันอย่างสมานฉนั ท์ในสงั คม 2ข้อเสนอแนวทางปฏิรูปประเทศไทยด้านการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจรติ คอรร์ ัปชนั . ผศ.ทศพล สมพงษ์ . หนา้ ท่ี 3

24 วารสารวิชาการ ป.ป.ช. ข้อมูลข้างต้นสอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูประบบกลไกและการปฏิบัติงานด้านการบริหาร ราชการแผ่นดินของสภาปฏิรูปแห่งชาติ3 ซึ่งได้ด�ำเนินการศึกษาวิเคราะห์และมีข้อเสนอเพ่ือปฏิรูปด้าน การป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาดังกล่าวเป็นระบบ มีประสิทธิภาพ ย่ังยืน เป็นรูปธรรมและปฏิบัติได้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลและบริบทของสังคมไทย จึงเสนอยุทธศาสตร์การปลูกฝัง “คนไทยไม่โกง” เพื่อปฏิรูป “คน” ให้มีจิตส�ำนึกและสร้างพลังร่วมเพ่ือ แก้ไขปัญหาการทุจรติ คอรร์ ปั ชนั เป็นการมุ่งแกไ้ ขปญั หาโดยมงุ่ เนน้ แนวคิดทีม่ ี “คน” เป็นศนู ย์กลางของ การปฏริ ูปดงั กลา่ ว ซง่ึ ยทุ ธศาสตร์น้ีเปน็ ท้ังวธิ ีการและเปา้ หมายของการเปลีย่ นแปลง กล่าวคือ ในดา้ นวิธีการ “คน” เป็นเคร่ืองมือในการปฏิบัติการแก้ไขปัญหา เพราะหากคนในสังคมส่วนใหญ่มีจิตส�ำนึกท่ีดีในเรื่อง การต่อต้าน ไม่ยอมรับ และไม่ทนต่อการทุจริต อีกทั้งเห็นว่าเป็นเร่ืองที่มีความส�ำคัญย่อมส่งผลให้การ ทุจริตเกิดขึ้นได้ยากในสังคม เพราะสังคมจะมีจุดมุ่งหมายร่วมกันและถือว่าการทุจริตเป็นเร่ืองที่มีความ ส�ำคัญร้ายแรงและยอมรับให้เกิดขึ้นในสังคมไม่ได้ ดังนั้น “คน” จึงเป็นตัวหลักส�ำคัญในการแก้ไขปัญหา การทจุ ริต ซึ่งการด�ำเนนิ งานเพือ่ ขบั เคล่ือนสู่การปฏบิ ัติประกอบดว้ ย 3 แนวทาง ได้แก่ แนวทางที่ 1 การสร้างจิตส�ำนึกที่ตัวบุคคล เร่ิมต้นท�ำให้คนแต่ละคนในแต่ละกลุ่มเป้าหมาย มีจิตส�ำนึกที่ถูกต้อง รู้จักรับผิดชอบ รู้ผิดชอบชั่วดี รู้อะไรเป็นส่ิงที่ควรท�ำหรือไม่ควรท�ำ รู้ว่าสิ่งใดคือ หน้าที่ อะไรคือประโยชน์ส่วนตนหรือประโยชน์ส่วนรวม ตระหนักถึงผลเสียหายร้ายแรงของการทุจริต คอรร์ ัปชัน และมองว่าการทจุ ริตคอรร์ ปั ชันเปน็ เรื่องทนี่ า่ รงั เกียจ เป็นการเอาเปรยี บสังคม และสังคมจะไม่ ยอมรบั ใหเ้ กดิ ขึน้ แนวทางที่ 2 สรา้ งเครอื ขา่ ยและกลไกเชงิ สถาบันเพอื่ เสริมสร้างความเขม้ แข็งของคนท่มี ีจิตส�ำนกึ เพราะคนแตล่ ะคนต่างอยภู่ ายใต้องค์กร กลมุ่ สังคม หรือภาคส่วนต่าง ๆ การออกแบบให้มรี ะบบและกลไก ให้ปัจเจกบุคคลที่มีจิตส�ำนึกให้ได้เชื่อมโยงสัมพันธ์กัน เพื่อแลกเปล่ียนข้อมูลข่าวสาร สร้างพื้นที่แห่งการ แลกเปล่ียนเรียนรู้และให้มีที่ยืนอย่างภาคภูมิในสังคมก่อให้เกิดพลังของกลุ่มคนที่มีขวัญและก�ำลังใจใน การท�ำความดี และมีกลไกเชิงสถาบันบางอย่างรองรับ ซ่ึงจะช่วยสร้างความเข้มแข็งและขยายขอบข่าย ของกลุ่มคนที่มีจิตส�ำนึก จนเป็นจิตส�ำนึกของหมู่คณะหรือกลุ่มคนที่มีพลังขับเคลื่อนในการปฏิบัติและ สร้างคณุ ธรรมจริยธรรมของสงั คม แนวทางท่ี 3 สร้างพลังคุณธรรมเพื่อปฏิบัติสู่สังคมในภาพใหญ่ด้วยการส่งเสริมและสร้างกลไกท่ี ส่งผลให้เครือข่ายของผู้ที่มีจิตส�ำนึกรักความถูกต้อง ก่อให้เกิดพลังในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน อีกท้ังเป็นกลไกส�ำคัญในการเข้าร่วมตรวจสอบและเฝ้าระวังการทุจริตคอร์รัปชัน เพื่อรักษาประโยชน์ของ สาธารณะ สร้างพลังในการตอ่ ตา้ นและลงโทษทางสังคมต่อผกู้ ระทำ� การทุจริตคอรร์ ัปชัน 3 สาระสังเขปประเดน็ การปฏริ ปู ประเทศไทย ดา้ นการบรหิ ารราชการแผ่นดิน. ส�ำนกั วิชาการและส�ำนกั กฎหมาย ส�ำนกั งานเลขาธกิ าร สภาผู้แทนราษฎร.

การสรา้ งสงั คมที่ไม่ทนต่อการทุจริต 25 ในล�ำดับต่อมา ส่ิงที่ต้องเร่งสร้างให้เกิดขึ้นประการท่ีสอง คือ การให้การศึกษาเพื่อสร้างความ เป็นพลเมือง (democratic citizenship education) ซ่ึงมีความแตกต่างไปจากรายวิชาหน้าท่ีพลเมือง ตามที่เข้าใจกันแต่เดิมท่ีจ�ำเพาะอยู่แต่เพียงรายวิชาดังกล่าวแล้ว หากแต่เป็นแนวคิดในการจัดการศึกษาที่ พัฒนาประชาชนทุกคนให้มีความเป็นพลเมืองผ่านกระบวนการและวิธีการต่าง ๆ ทั้งท่ีเป็นการศึกษาใน ระบบ การศึกษานอกระบบ และการศกึ ษาตามอธั ยาศัย จากบทความของ Westhimer4 ท่ีได้ศกึ ษาและ สงั เคราะหแ์ นวทางการพัฒนาความเป็นพลเมืองของประเทศต่าง ๆ ทว่ั โลก พบวา่ มีแบบของพลเมอื งอยู่ 3 แบบ กล่าวคอื 1) พลเมืองท่มี คี วามรบั ผดิ ชอบ (personally responsible citizen) 2) พลเมอื งที่มีสว่ นร่วม (participatory citizen) 3) พลเมอื งทมี่ ุ่งเนน้ ความเป็นธรรม (justices-oriented citizen) รายละเอียดของความหมายและตัวอย่างของพลเมืองแต่ละแบบตามตาราง โดยบทความ ดงั กล่าวชป้ี ระเด็นสำ� คัญวา่ ประเทศในโลก ส่วนใหญเ่ น้นการพฒั นาพลเมอื งใหเ้ ปน็ พลเมืองใน 2 แบบแรก กล่าวคือ พลเมืองที่รับผิดชอบและพลเมืองท่ีมีส่วนร่วม ซึ่งจ�ำเป็นต้องพัฒนาไปสู่พลเมืองแบบที่ 3 คือ พลเมืองท่มี งุ่ เนน้ ความเป็นธรรมในสงั คมให้มากขน้ึ บทความดังกล่าวมีอิทธิพลต่อการวางกรอบหลักสูตรการศึกษาเพื่อสร้างความเป็นพลเมืองเป็น อย่างมาก ซ่ึงต่อมาได้ใช้เป็นกรอบแนวคิดส�ำคัญในการออกแบบกระบวนการฝึกอบรม (training for trainer) เพือ่ ขยายเครอื ข่ายการเรยี นรใู้ หก้ ว้างขวางมากขนึ้ รวมทงั้ การรว่ มกนั ศึกษาเชงิ ลกึ ในประเด็นต่าง ๆ ที่จะกลายมาเปน็ ข้อมลู พ้นื ฐานสำ� คญั (solid foundation) ในการพฒั นาหลักสูตรใหม้ ีความสมบูรณ์มาก ย่ิงขนึ้ 4 Westheimer. J. and Kahne. J. Educating the “Good” citizen political choice and pedagogical goals.

26 วารสารวชิ าการ ป.ป.ช. ตารางท่ี 1: แบบของพลเมือง (Kinds of Citizens) รปู แบบ พลเมอื งทีม่ ีความรับผิดชอบ พลเมืองทม่ี ีสว่ นร่วม พลเมืองท่มี ุ่งเนน้ ความเป็นธรรม (Personally (Participatory citizen) (Justices-oriented citizen) responsible citizen) การอธิบาย - รับผิดชอบตอ่ ชุมชน - เป็นสมาชิกขององคก์ ร - คิดเชงิ วพิ ากษต์ ่อโครงสรา้ ง - ตง้ั ใจท�ำงานและจ่ายภาษี ทก่ี ระตือรอื รน้ และมคี วาม ทางสังคมระบบเศรษฐกจิ - ปฏิบัติตามกฎหมาย มงุ่ ม่นั ต้ังใจทีจ่ ะพฒั นา โดยมกี ารพจิ ารณาอย่างลกึ ซงึ้ - อาสาสมัครทจ่ี ะทำ� งาน - จัดการชมุ ชนใหใ้ ส่ใจ - ตามสบื ค้นและนำ� เสนอ ชว่ ยเหลอื ในกรณีทเ่ี กิดเหตุ ส่ิงทเ่ี ปน็ ประโยชน์ เช่น ประเดน็ ทไ่ี มเ่ ปน็ ธรรมในสังคม วิกฤตการณ์ต่าง ๆ การรักษาสง่ิ แวดลอ้ ม - มคี วามร้เู ก่ียวกบั การ การพัฒนาเศรษฐกิจ เคลือ่ นไหวทางสังคมและ - เรยี นรู้กระบวนการ ผลกระทบเชงิ ระบบท่เี กดิ ข้ึน ท�ำงานของรัฐ - รวู้ ิธีการท�ำงานอย่าง ตอ่ เน่ืองและเชือ่ มโยงกัน ตัวอยา่ งการปฏบิ ัติ รว่ มบรจิ าคในกิจกรรม มสี ่วนร่วมในกจิ กรรม ค้นหาสาเหตุและตน้ ตอของ การแกป้ ญั หา แก้ปญั หาความอดอยาก ความอดอยาก เพอ่ื เปลย่ี นแปลง ความอดอยากทเี่ กดิ ข้ึน ระบบหรือโครงสรา้ งทางสงั คม ที่เป็นอยู่ให้เกิดความเป็นธรรม แนวคิดหลัก การแก้ปัญหาของสงั คม การแกป้ ัญหาและพัฒนา การแก้ปัญหาและพัฒนาสังคม หรือการพฒั นาสังคม สงั คม พลเมืองต้องมสี ว่ นรว่ ม พลเมอื งตอ้ งตัง้ ค�ำถาม และ พลเมอื งต้องมีคุณลักษณะ และเป็นผู้น�ำในการวาง เปล่ียนแปลงระบบหรือ ท่ีดี ซ่ือสัตย์ รบั ผิดชอบ ระบบและโครงสร้างของ โครงสรา้ งท่ีเป็นอย่ขู องสังคม เคารพกฎหมาย และกตกิ า สงั คม ทีก่ ่อใหเ้ กิดความไมเ่ ปน็ ธรรม ของสังคม ทีม่ า: Westheimer. J. and Kahne. J. Educating the “Good” citizen political choice and pedagogical goals. ดังนน้ั การจัดการเรยี นรเู้ พ่ือสรา้ งความเปน็ พลเมอื งนัน้ มีข้อควรพจิ ารณาในการด�ำเนินการ คือ ตอ้ งคำ� นงึ ถงึ ความสอดคล้องกบั จดุ หมาย เหมาะสมกบั วัยของผ้เู รียน ดำ� เนนิ การอย่างตอ่ เนอ่ื ง เปดิ โอกาส ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมจัดกิจกรรมการเรียนรู้อย่างหลากหลาย และให้เรียนรู้ท้ังอย่างเป็นทางการและไม่เป็น ทางการ ซ่ึงแม้ว่าการพัฒนาด้านความเป็นพลเมืองส�ำหรับประเทศไทยจะมีพัฒนาการต่อเนื่องมาเป็น ล�ำดับ แต่การจัดการศึกษาให้แก่พลเมืองที่เด่นชัดและเป็นระบบมาก คือการศึกษาอย่างเป็นทางการที่ ด�ำเนินการโดยกระทรวงศึกษาธิการในรูปของหลักสูตรการศึกษา ข้ันพ้ืนฐานผ่านรายวิชา “หน้าท่ีพลเมือง” ท่กี �ำหนดไว้ให้นักเรยี นไดเ้ รียน5 5 เฉลมิ ชยั พนั ธเ์ ลศิ . หลกั สูตรการใหก้ ารศึกษาเพ่ือสรา้ งความเปน็ พลเมืองส�ำหรับประเทศไทย.

การสรา้ งสังคมที่ไมท่ นต่อการทจุ ริต 27 อย่างไรก็ตาม การพัฒนาพลเมืองด้วยหลักสูตรการศึกษาที่ยังจ�ำกัดขอบวงอยู่เพียงแต่ การศึกษาในระบบ จึงยังไม่อาจแก้ไขปัญหาคุณภาพของพลเมืองที่ท�ำให้ประเทศชาติเกิดวิกฤตข้ึนได้ น�ำไปสู่การตั้งค�ำถามต่อระบบการให้การศึกษาของพลเมืองในหลายมิติ กล่าวคือ การศึกษาที่ฝาก ความหวังทั้งมวลไว้แต่เพียงการศึกษาในระบบ โดยเฉพาะการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน ซ่ึงดูจะไม่เพียงพอ หรือไร้พลังท่ีจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ ดังมีการกล่าวถึงว่าส่ิงที่ครูพร�่ำสอนในโรงเรียนกับสิ่งท่ีเกิดขึ้นจริง ภายนอกร้ัวโรงเรียนก็ย้อนแย้งกัน ด้วยเหตุนี้ บ้าน ชุมชน และสภาพสังคม ล้วนแต่ทรงอิทธิพล ในการหล่อหลอมคณุ ภาพของพลเมืองด้วยกนั ท้ังสิน้ โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงสือ่ มวลชนที่นับวนั จะมีพลานุภาพ มากข้ึน หากไม่ตระหนักว่าทุกภาคส่วนต่างก็มีส่วนร่วมรับผิดชอบในการให้การศึกษาแก่พลเมืองด้วยกัน ทั้งสิ้น หรือที่เรียกว่า “All for Education” การพัฒนาคุณภาพพลเมืองเองก็คงไปถึงเป้าหมายได้ยาก อีกทั้งความเข้าใจต่อการพัฒนาพลเมืองท่ีมีความแตกต่างกันไป กระบวนการหรือวิธีการในการพัฒนาก็ แตกต่างกนั ไปด้วย ส่ิงท่ีเกดิ ขน้ึ คือ ขาดความเข้าใจรว่ มท่ีจะเกดิ พลังรว่ มในการพัฒนาไปส่เู ป้าหมายรว่ มกนั สาเหตปุ ระการส�ำคัญ คอื การท�ำงานแบบแยกส่วนตามแนวคิดการตลาดซงึ่ ก็เปน็ จุดดใี นการท�ำงาน แตใ่ น แง่ของการพฒั นาพลเมืองแลว้ จำ� เปน็ ต้องอาศยั การทำ� งานแบบเครอื ขา่ ยท่สี อดประสานกันทุกองคาพยพ ในสังคมไทย ในระดับของสถานศึกษา หากคิดแต่เพียงว่าการพัฒนาพลเมือง ด�ำเนินการได้ด้วยเพียงการ ให้เรียนในวิชาหน้าที่พลเมือง เพียงสัปดาห์ละ 1 ช่ัวโมง หรือเป็นหน้าที่ของครูผู้สอนสังคมศึกษาเท่านั้น ก็ไม่อาจพัฒนาพลเมืองได้ด้วยเช่นกัน ยังไม่หมายรวมถึงคุณภาพของการเรียนการสอนรายวิชาหน้าท่ี พลเมืองใน 1 ชว่ั โมงจะมีคณุ ภาพมากน้อยเพียงใด เพราะการพัฒนาพลเมืองด้วยการศกึ ษาเกย่ี วกับความ เป็นพลเมืองยังไม่เพียงพอ ต้องเรียนรู้ผ่านความเป็นพลเมือง และเรียนรู้เพ่ือความเป็นพลเมืองด้วย ซ่ึงหมายความว่าครูทุกคนพึงตระหนักว่าตนเองมีหน้าที่พัฒนาพลเมือง นอกจากน้ันแล้ว สภาพแวดล้อม และบรรยากาศในโรงเรียนก็จ�ำเป็นที่จะต้องส่งเสริมความเป็นพลเมืองอย่างสอดคล้องกัน ประเด็นการ พัฒนาความเป็นพลเมืองจึงมีลักษณะข้ามสาระวิชา และสอดแทรกอยู่ในทุกองค์ประกอบของการจัดการ ศึกษา (across curriculum) ซึ่งมีความสอดคล้องกับการอภิปรายผลการศึกษาพฤติกรรมและความ ต้องการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตประพฤติมิชอบของเยาวชนในเขต ภาคกลางท่ีระบุว่า “...แม้ว่าสถานศึกษามีการสอดแทรกเนื้อหาเก่ียวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาการ ทจุ รติ ประพฤตมิ ิชอบในการเรียนการสอน และจดั กจิ กรรมท่ีส่งเสรมิ ใหน้ ักเรียน นักศกึ ษา ร้จู ักวิธปี ้องกัน และแก้ไขปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบ แต่ยังพบว่าเยาวชนไทยส่วนใหญ่ยังไม่มีความตระหนักถึง ผลเสียท่ีเกิดขึ้นจากปัญหาการทุจริตประพฤติมิชอบได้มากนัก เน่ืองจากค่านิยมของสังคมเปลี่ยนไป คน ส่วนใหญ่ลุ่มหลงวัตถุนิยม เห็นได้ว่าการทุจริตมีอยู่ในทุกวงการ ขาดการปลูกฝังต้ังแต่วัยเยาว์ ดังนั้น ครอบครัว พ่อแม่ ผปู้ กครอง โรงเรียน ครู อาจารย์จงึ ต้องรว่ มกันสร้างความซ่ือสตั ย์ใหก้ บั เยาวชน...”6 6รศ.ดร. สกุ รี รอดโพธิท์ อง และ ผศ.ดร.พรอ้ มภคั บงึ บัว. การศกึ ษาพฤติกรรมและความตอ้ งการใช้สือ่ สังคมออนไลนเ์ พอ่ื การปอ้ งกัน และแกไ้ ขปญั หาการทจุ ริตประพฤติมชิ อบของเยาวชนในเขตภาคกลาง

28 วารสารวิชาการ ป.ป.ช. เมื่อมาถึงจุดนกี้ ็พบวา่ ทุกภาคส่วนในสงั คมไทยตา่ งมีความตระหนักและเหน็ ความสำ� คัญของการ พัฒนาพลเมือง และแม้ว่าการจัดการศึกษาของชาติไม่ว่าระดับใดย่อมมุ่งเน้นให้เกิดการพัฒนาคนในชาติ ให้มีคุณลักษณะและศักยภาพท่ีเหมาะสมกับความต้องการของสังคมทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยมีหลักสูตรเปรียบเสมือนพิมพ์เขียวในการจัดการศึกษาที่จะพัฒนาผู้เรียนไปสู่จุดมุ่งหมายท่ีต้องการ อกี ทัง้ เป็นเคร่ืองมอื ทถี่ ่ายทอดเจตนารมณ์และเปา้ ประสงคข์ องชาติ อนั จะส่งผลโดยตรงตอ่ การพฒั นาและ การแก้ไขปัญหาการทุจริตของประเทศ หลักการและแนวคิดในกระบวนการด�ำเนินการส�ำคัญตาม ยทุ ธศาสตรช์ าตฯิ คอื การสร้างและพฒั นาหลักสูตรการแยกแยะผลประโยชนส์ ว่ นตนและประโยชน์ส่วนรวม จิตพอเพียง ความอาย และความไม่ทนต่อการทุจริตให้เกิดข้ึน เพราะเป็นสิ่งที่มีความส�ำคัญอย่างยิ่ง ในการจัดการศึกษา ซ่ึงเปรียบเสมือนโครงร่างก�ำหนดกรอบแนวทางการปฏิบัติท่ีจะน�ำไปสู่การจัด การเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์เพื่อการสร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริตให้เกิดข้ึน ในทกุ ระดบั หรืออาจกล่าวได้ว่าการเขยี นหลักสูตรเป็นสว่ นสำ� คัญในการสร้างสงั คม นอกจากการจัดการเรียนรู้เพ่ือสร้างความเป็นพลเมืองท่ีดีผ่านการกล่อมเกลาทางสังคมและการ ศึกษา ปัจจัยส�ำคญั อีกประการที่สามทต่ี ้องพจิ ารณาในการสรา้ งสงั คมทีไ่ มท่ นต่อการทจุ ริต คือ การท�ำงาน กับชุมชนตามหลักจิตวทิ ยา เพอ่ื การสร้างสงั คมที่ไม่ทนตอ่ การทุจรติ ท้งั ในกระบวนการสรา้ งความเข้มแข็ง ของชุมชน (Built Healthier Community) การสร้างพลังความร่วมมือกันของสมาชิกชุมชน (The Power of Collaborative Partnerships) ตลอดจนการสง่ เสรมิ ใหช้ ุมชนมกี ารเรียนรอู้ ยูเ่ สมอ7 ประการแรก เมื่ออธิบายถึงความเข้มแข็งของชุมชน หรือการสร้างความเข้มแข็งของชุมชน เราสามารถท่ีจะประเมินจากสภาพความอยู่ดีมีสุขของสมาชิกในชุมชน ถ้าสมาชิกทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย ในชุมชนมีความเป็นอยู่ท่ีดีตามระดับมาตรฐานท่ีควรจะเป็นอันสามารถตรวจสอบและยืนยันได้ว่าทุกกลุ่มคน มศี กั ยภาพในการดำ� เนินชวี ิตได้ดใี นทุกสภาพ ในทกุ เหตุการณ์ กอ็ าจสรปุ ได้ว่าชุมชนนนั้ มคี วามเข้มแข็งแลว้ ศักยภาพของชุมชนเป็นภาพโดยรวมท่ีสมาชิกของชุมชนสามารถท�ำกิจกรรมที่หลากหลายในช่วงเวลา หรือในเรื่องท่ีแตกต่างกัน กล่าวง่าย ๆ ก็คือ มีความสามารถท่ีจะเผชิญเรื่องราวต่าง ๆ ไม่ว่าเวลา จะเปลี่ยนไปหรือเป็นเรื่องแปลกใหม่เกิดข้ึน ชุมชนก็สามารถที่จะจัดการให้สมาชิกด�ำเนินกิจกรรมท่ีแสดง ถงึ ความอยู่ดมี สี ขุ ได้เสมอ ประการท่ีสอง การร่วมมือกันของสมาชิกชุมชนหรือการสร้างพลังความร่วมมือกันของ สมาชิกชุมชน (The Power of Collaborative Partnerships) นน้ั มไิ ด้จ�ำกดั เฉพาะผ้ทู เ่ี ปน็ ชาวชุมชน โดยตรงเท่าน้ัน แต่รวมถึงบุคคลภายนอกชุมชนท่ีมีส่วนเก่ียวข้องกับวิถีชีวิตของชาวชุมชนน้ัน ๆ ด้วย และการร่วมมือกันนั้น หากกระท�ำได้ในทุกระดับและทุกกลุ่มก็ยิ่งท�ำให้พลังน้ันเข้มแข็งมากข้ึน กลุ่มบุคคลส�ำคัญท่ีควรร่วมมือกันสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน ซ่ึงควรประกอบด้วยสมาชิกประจ�ำ ชมุ ชน องค์กรหรอื หน่วยงานท่ีสนบั สนุน และหนว่ ยราชการท่ีมสี ่วนเกย่ี วขอ้ ง ทงั้ สามองคป์ ระกอบหลกั นี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นของการจัดโครงการเพื่อเพิ่มพลังความเข้มแข็งให้กับชุมชนในการต่อสู้ปัญหาการทุจริต คอร์รัปชันและสร้างสังคมท่ีไม่ทนต่อการทุจริต และหากท�ำให้องค์ประกอบท้ังสามนี้ร่วมมือกันอย่าง จรงิ จังแล้ว จะทำ� ใหไ้ ด้รับแรงสนับสนนุ ทเี่ ปน็ แนวร่วมในการสร้างพลงั เพมิ่ ได้มากข้นึ เป็นลำ� ดบั 7รศ.ดร.สุรพล พะยอมแย้ม. จติ วิทยาในงานชมุ ชน.

การสร้างสงั คมที่ไม่ทนต่อการทจุ รติ 29 และประการสุดท้าย ในภาพรวมของความเป็นชุมชน ส่ิงที่เป็นอยู่และด�ำเนินต่อไปของแต่ละ ชุมชนย่อมอาศัยความรู้ความเข้าใจของชาวชุมชนท่ีผ่านการเรียนรู้ ซึ่งเป็นการเรียนรู้ที่ไม่มีหลักสูตร เฉพาะหรือตายตัว ชาวชุมชนเรียนรู้ตามการเคลื่อนไหวหรือการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ดังนั้น หากผู้ปฏิบัติงานในชุมชนมีเป้าหมายที่ต้องการให้ชุมชนมีความรอบรู้หรือได้เรียนรู้อย่างแท้จริง แนวทาง ทีเ่ หมาะสมกบั การนำ� มาใช้กบั เป้าหมายน้ี คอื การใช้กระบวนการเรียนรทู้ างสังคมผ่านเทคนคิ วิธีการต่าง ๆ เช่น การใช้กลุ่มสัมพันธ์ การระดมสมอง เป็นตน้ การใช้กระบวนการเรียนรู้ทางสังคม (social learning process) เพื่อสร้างการเรียนรู้แก่ชุมชน เพ่อื การป้องกันและแก้ไขปญั หาการทุจริตคอรร์ ัปชนั และปัญหาต่าง ๆ ทเ่ี กิดขน้ึ ในชมุ ชนนั้น ควรดำ� เนินการ โดยมีขน้ั ตอนดงั ต่อไปนี้ 1) สร้างความตระหนักรับรู้ปัญหา (identify problem) เป็นข้ันตอนแรกท่ีจะป้องกันและ แก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันด้วยการท�ำให้ชุมชนทราบก่อนว่ามีหรืออาจมีปัญหาอะไรบ้างจนเกิด ความตระหนักและเห็นความสำ� คัญของปญั หาร่วมกัน 2) สำ� รวจทางเลือกในการแกไ้ ขปัญหา (explore alternative) โดยใชข้ น้ั ตอนย่อยในการแสวงหา ทางเลือกในการแก้ไขปัญหา ด้วยการวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหาและพิจารณาว่าอะไรคือสาเหตุที่แท้จริง ของปัญหานัน้ และพจิ ารณาหาทางเลอื กในการแกไ้ ขปัญหาโดยแสวงหาแนวทางที่หลากหลาย และเหมาะสม กบั การปอ้ งกนั และแก้ไขปญั หาการทจุ ริตและปญั หาสงั คมนัน้ 3) ตัดสินใจใช้ทางเลือก (select appropriate alternative) เป็นข้ันตอนการตัดสินใจว่า ทางเลือกตา่ ง ๆ ทีส่ ามารถปอ้ งกนั หรือแก้ไขปญั หาไดน้ นั้ ทางเลือกใดมคี วามเหมาะสมหรอื มีความเปน็ ไปได้ มากที่สุด ตามสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ในชุมชน ซึ่งอาจใช้กระบวนการคิดเป็นกระบวนการอื่น ๆ เปน็ แนวทางในการตัดสนิ ใจ 4) เรียนรู้และลงมือปฏิบัติตามทางเลือก (learning and implementing) โดยมีข้ันตอนย่อย ไดแ้ ก่ การวางแผนการด�ำเนินงานตามทางเลอื กท่ีก�ำหนด เช่น ทำ� อย่างไร มขี ั้นตอนอย่างไร ใครเป็นผ้ทู ำ� และด�ำเนินการตามแผนที่ก�ำหนดไว้ ซ่ึงขณะปฏิบัติงานในแต่ละข้ันตอนจะท�ำให้ผู้ปฏิบัติเกิดการเรียนรู้ และเกิดทักษะข้ึน 5) การปรับปรุง (improvement) ในระหว่างการด�ำเนินงานอาจเกิดปัญหาข้ึนซ่ึงต้องมีการ ปรับปรุงการปฏิบัติงานให้ด�ำเนินการไปจนกว่าบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ คือ การมุ่งสู่สังคมท่ีไม่ทน ตอ่ การทุจริต และในข้ันตอนสุดท้าย คือ การประเมินผล (evaluation) เป็นการประเมินว่ากิจกรรมที่ ปฏิบัติน้ันสามารถแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันท่ีเกิดขึ้นได้หรือไม่ ถ้าแก้ไขปัญหาได้เป็นท่ีพอใจ ก็ถือว่าปัญหาท่ีประสบอยู่หมดไป แต่ถ้าประเมินแล้วผลท่ีออกมาไม่น่าพอใจ คือ ยังไม่สามารถแก้ไข ปัญหาได้ ก็ต้องเริ่มพิจารณาวิเคราะห์ปัญหาและอาจจะต้องหาทางเลือกใหม่ด้วยการเริ่มต้นตาม กระบวนการเรยี นรทู้ างสงั คมซ้ำ� อกี ในกระบวนการสุดท้าย คือ การใช้การส่ือสารเป็นเครื่องมือในการสร้างสังคมที่ไม่ทนต่อ การทุจรติ โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ ในกลุ่มเยาวชน เพราะนอกจากกระบวนการตา่ ง ๆ ดงั ท่ีกลา่ วมาท้ังหมดขา้ งตน้

30 วารสารวิชาการ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นส่วนหน่ึงของการมุ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงของสังคมด้วยกระบวนการบ่มเพาะและกล่อมเกลาทาง สังคม ตลอดจนกระบวนการท�ำงานกับชุมชนตามหลักจิตวิทยา ซ่ึงต้องอาศัยกลไกและความร่วมมือ จากทุกฝ่ายในสังคมผนึกก�ำลังในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน และประพฤติมิชอบ เพื่อสร้างความโปร่งใสให้สังคมไทย และน�ำมาซึ่งการด�ำเนินชีวิตท่ีมีคุณภาพต่อไป วิธีการหนึ่งที่สามารถ ด�ำเนินการได้ คือ การสื่อสารไปยังกลุ่มเยาวชน ท้ังน้ี เพราะการสื่อสารเป็นเครื่องมือส�ำคัญของ กระบวนการทางสังคม ย่ิงสังคมมีความสลับซับซ้อนมากและประกอบด้วยคนจ�ำนวนมากข้ึนเท่าใด การสอื่ สารยิง่ มีความสำ� คญั มากขน้ึ เท่านัน้ อย่างไรก็ตาม การส่อื สารไปยงั เยาวชนจำ� เป็นตอ้ งเลือกวิธกี ารท่เี หมาะสมและเขา้ ถงึ เยาวชนไดง้ ่าย ซ่ึงการสื่อสารโดยผ่านส่ือสังคมออนไลน์น่าจะสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายเยาวชนค่อนข้างมาก เน่ืองจาก สื่อสังคมออนไลน์เป็นสื่อข้อมูล สารสนเทศ ภาพ มัลติมีเดีย หรือส่ือดิจิทัล สื่ออิเล็กทรอนิกส์ ใช้ช่องทางการติดต่อแบบสามารถโต้ตอบหรือแบ่งปันสื่อร่วมกันผ่านระบบอินเทอร์เน็ต หรือระบบ เครือข่ายโทรศัพท์มือถือ ทั้งนี้ บุคคลทั่วไปสามารถส่ือสาร น�ำเสนอ แบ่งปันและเผยแพร่ข้อมูลออกสื่อ สาธารณะ โดยใช้คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล โน๊ตบุ๊ค แท็บเล็ต หรือสมาร์ทโฟน ท�ำให้เกิดเครือข่ายสังคม เสมือนจริงออนไลน์ขึ้นจากการติดต่อร่วมกันของบุคคลในทั่วทุกมุมโลกและทุกภาคส่วนของสังคม นอกจากน้ี ในแต่ละวนั เยาวชนไทยยังใชเ้ วลาในการใชส้ อ่ื สังคมออนไลน์ค่อนข้างมาก ดังผลการศึกษาของ ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) ท่ีท�ำการส�ำรวจความคิดเห็นของเยาวชนในหัวข้อ “ชีวิตประจ�ำวันของเยาวชนในยุคสื่อออนไลน์”8 โดยเก็บข้อมูลจากเยาวชนในกรุงเทพมหานครและ ปรมิ ณฑล จ�ำนวน 1,186 คน ซ่งึ พบว่า เวลาทเี่ ยาวชนอย่กู บั ส่ือออนไลน์ สังคมออนไลน์ เฉลย่ี ตอ่ วนั มาก ทีส่ ดุ คอื ประมาณ 3-4 ชวั่ โมงต่อวนั คิดเป็นร้อยละ 32.60 รองลงมาคอื ประมาณ 1-2 ชวั่ โมงตอ่ วนั คดิ เปน็ ร้อยละ 19.70 และประมาณ 5-6 ชั่วโมงต่อวนั คิดเป็นร้อยละ 17.10 ส�ำหรบั ประโยชน์ทไี่ ดจ้ ากการใชส้ ื่อ จากที่กล่าวมาขา้ งตน้ แสดงใหเ้ ห็นวา่ การสื่อสารข้อมูลต่าง ๆ ไปยงั เยาวชนโดยผ่านส่ือสงั คมออนไลนเ์ ป็น ทางเลือกท่ีเหมาะสมและสอดคล้องกับยุคแห่งเทคโนโลยีสารสนเทศในขณะนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผยแพร่ ข้อมูลการทุจริตและประพฤติมิชอบซ่ึงแม้ในขณะน้ีจะมีรูปแบบการเผยแพร่ที่หลากหลาย แต่ยังจ�ำเป็น ต้องพัฒนาเพื่อให้เยาวชนได้รับข้อมูลอย่างเต็มที่และสามารถน�ำข้อมูลที่ได้รับไปใช้ประโยชน์ในชีวิต ประจ�ำวนั ไดจ้ ริงในการสรา้ งสังคมท่ีไมท่ นตอ่ การทุจริต กล่าวโดยสรปุ แล้ว กระบวนการสร้างสังคมที่ไมท่ นตอ่ การทุจริตจึงเป็นสิ่งทมี่ ีความจำ� เป็นอยา่ งยง่ิ ท่ีจะเป็นพ้ืนฐานในการปฏิรูปสังคมและประเทศไทยสู่การต่อต้านการทุจริตในทุกรูปแบบ และเป็นปัจจัย พ้ืนฐานท่ีส�ำคัญที่ต้องได้รับการสนับสนุนให้ได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยต้องได้รับความร่วมมือจาก ทุกภาคส่วนในสังคม ซึ่งต้องให้ความส�ำคัญกับการคิดหาวิธีการแก้ปัญหา โดยเริ่มตั้งแต่การสร้างความ ตระหนักให้กับสงั คม (social awareness) และกระบวนการกลอ่ มเกลาทางสังคม นอกจากนี้ แนวคิดเรอ่ื ง การมีส่วนร่วม เป็นกระบวนการซึ่งส่งเสริมให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ได้มีส่วนร่วมตั้งแต่เริ่มต้น โดยเฉพาะ เยาวชนและนกั เรียนจนถงึ ประชาชนทุกช่วงวยั ในการร่วมคิด ร่วมตดั สนิ ใจ รว่ มออกแบบ และกำ� หนดวธิ กี าร 8 ศนู ยว์ จิ ยั มหาวทิ ยาลัยกรงุ เทพ. (2556). “ชวี ติ ประจ�ำวันของเยาวชนในยุคสอ่ื ออนไลน”์

การสรา้ งสงั คมท่ีไม่ทนต่อการทจุ รติ 31 ต่าง ๆ ที่จะต้องปฏิบัติ อันจะน�ำมาสู่การเกิดความเข้าใจอันดีในรายละเอียดและท�ำให้เกิดข้อปฏิบัติท่ี ชัดเจน ซ่ึงจะน�ำมาสู่การควบคุมวิถีชีวิตในส่วนท่ีเกี่ยวข้อง ตลอดจนวิธีการท่ีจะต้องปฏิบัติทั้งหมด ผ่าน การใช้หลักจิตวิทยาสังคม การใช้ส่ือและช่องทางในการส่ือสารของสมาชิกในสังคมอย่างสร้างสรรค์และ สามารถตอบโจทย์พฤติกรรมการใช้สื่อโดยเฉพาะในโลกยุคโลกาภิวัฒน์และการพัฒนาของเทคโนโลยี อยา่ งก้าวกระโดด เพ่อื นำ� มาสู่สงั คมทีไ่ ม่ทนต่อการทจุ รติ เอกสารอา้ งองิ เฉลิมชัย พันธ์เลิศ. (2559). หลักสูตรการให้การศึกษาเพ่ือสร้างความเป็นพลเมืองส�ำหรับประเทศไทย. เอกสารประกอบการสัมมนาวิชาการ เรื่อง “พลเมืองไทย ร่วมใจพัฒนาการเมือง”. (น. 90-109). กรุงเทพฯ: สำ� นักงานสภาพัฒนาการเมือง สถาบนั พระปกเกลา้ . ทศพล สมพงษ์. (2558). ข้อเสนอแนวทางปฏิรูปประเทศไทยด้านการป้องกันและปราบปรามการ ทุจริตคอร์รัปชัน. ข้อเสนอแนวทางการปฏิรูปประเทศไทยของสภาพัฒนาการเมือง. (น. 3). กรงุ เทพฯ: ส�ำนกั งานสภาพฒั นาการเมือง สถาบันพระปกเกลา้ . สุกรี รอดโพธิ์ทอง และ พร้อมภัค บึงบัว. (2559). การศึกษาพฤติกรรมและความต้องการใช้สื่อ สังคมออนไลน์เพ่ือการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตประพฤติมิชอบของเยาวชนใน เขตภาคกลาง. เอกสารประกอบการสัมมนาวิชาการ เรื่อง “พลเมืองไทย ร่วมใจพัฒนา การเมอื ง”. (น. 194-203). กรงุ เทพฯ: ส�ำนกั งานสภาพฒั นาการเมือง สถาบันพระปกเกล้า. สุรพล พะยอมแยม้ . (2556). จิตวิทยาในงานชมุ ชน. พิมพค์ รัง้ ท่ี 2. กรุงเทพฯ. ส�ำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ. (2558). แผนยุทธศาสตร์ชาติ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะท่ี 3 (พ.ศ. 2560-2564). นนทบุรี: ส�ำนักงานคณะกรรมการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาต.ิ ส�ำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. (2559). เอกสารประกอบการประชุม ประจ�ำปี 2559 ของ สศช. ร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี 12 (พ.ศ. 2560-2564). (น. 41). กรุงเทพฯ: สำ� นักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาต.ิ ส�ำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. (2557). สาระสังเขปประเด็นการปฏิรูปประเทศไทยด้านการ บริหารราชการแผ่นดิน. กรุงเทพฯ: ส�ำนักวิชาการและส�ำนักกฎหมาย ส�ำนักงานเลขาธิการ สภาผแู้ ทนราษฎร. Westheimer, J. & Kahne, J. (2004). Educating the “Good” citizen political choice and pedagogical goals. Political Science & Politics, 37(2), 241-247 เอกสารอ้างอิงอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ. (2556). “ชีวิตประจ�ำวันของเยาวชนในยุคสื่อออนไลน์” สืบค้นเม่ือ 3 พฤศจิกายน 2559, จาก http://www.bangkokpoll.bu.ac.th

32 วารสารวิชาการ ป.ป.ช. การยกระดบั เจตจ�ำ นงทางการเมอื งในการตอ่ ตา้ นการทุจริต: ประสบการณ์ของไทยและเกาหลีใต้ Promoting Political Will to Combat Corruption: Experiences of Thailand and South Korea นายภิญโญยศ มว่ งสมมุขI บทคดั ย่อ ประเทศไทยและประเทศเกาหลีใต้ต่างเผชิญความท้าทายที่คล้ายคลึงกัน คือ ปัญหาการทุจริต การเรียกรับหรือให้สินบนในระบบราชการ การซ้ือขายต�ำแหน่งราชการ ระบบพวกพ้อง ระบบอุปถัมภ์ อันเป็นปฏิบัติการทางสังคมที่สืบทอดและขยายตัวมาอย่างต่อเนื่องต้ังแต่ช่วงสงครามเย็น แม้ว่าจะมีการปฏิรูปสถาบันทางการเมืองการปกครองให้เป็นสมัยใหม่ แต่ก็ยังขาดประสิทธิภาพและ ไม่ท�ำหน้าท่ีบนหลักนิติธรรม ช่องว่างของความไร้ประสิทธิภาพในการให้บริการสาธารณะดังกล่าวมัก ถูกเติมเต็มด้วยการทุจริต การใช้ระบบพวกพ้อง และระเบียบทางสังคมแบบศักดินา เพื่อเติมเต็มแทน บทบาทหน้าท่ีบนฐานของกฎหมายและเหตุผลท่ีขาดพร่องไป ประเทศไทยมักแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยใช้ แนวคิดทางศีลธรรม จริยธรรม และศาสนาน�ำหน้า โดยไม่ค�ำนึงถึงบทบาทหน้าที่ทางสังคมของ การทุจริตและรากฐานทางวัฒนธรรมด้ังเดิม เมื่อการสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองและการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมของพลเมืองให้อยู่ในกรอบศีลธรรมที่รัฐต้องการเป็นเร่ืองท่ีต้องใช้ระยะเวลายาวนาน ขณะท่ี การปฏิรูปโครงสร้างและพัฒนาสถาบันทางการเมืองการปกครองให้มีประสิทธิภาพ มีหลักนิติธรรม และ เท่าทันต่อพลวัตรความเปล่ียนแปลงทางเศรษฐกิจก็ไม่ใช่เร่ืองที่จะสามารถท�ำได้ง่ายเช่นกัน การสร้าง กลไกและกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนเพื่อท�ำให้เจตจ�ำนงทางการเมืองของประชาชนในการ ต่อตา้ นการทจุ ริตได้รบั การปฏบิ ัติใหเ้ กิดผลอยา่ งเป็นรปู ธรรมจึงเป็นหนทางทีส่ น้ั กระชบั และรวดเรว็ ท่ีสุด ในการจัดการกบั ปัญหาการทจุ รติ ในระยะเรง่ ดว่ น ค�ำส�ำคัญ: เจตจำ� นงทางการเมือง Abstract Thailand and South Korea have confronted similar challenges. Corruption, bribery in the public sector, buying and selling public positions, cronyism and patrimonialism have been firmly embedded and constantly developed in both countries since the Cold War. Despite attempts to modernise political institutions, these I เจ้าพนกั งานป้องกนั การทุจริตปฏิบัตกิ าร ส�ำนักปอ้ งกันการทจุ รติ ภาครัฐ สำ� นกั งาน ป.ป.ช.

การยกระดบั เจตจ�ำ นงทางการเมืองในการต่อต้านการทจุ ริต: ประสบการณข์ องไทยและเกาหลีใต้ 33 institutions are still inefficient and not functioning according to the rule of law. The inefficiency of public services allows corruption, cronyism, and patrimonialism to fulfill the lack of enforcement and rationality, Thailand mostly tackles the problem with morality, ethics, and religions regardless of the social roles of corruption and the embedded cultural practices. However, it is a lengthy process to create a political culture and standardise moral behaviour of citizens. At the same time, the structural reform and development for an effective, law-governed, and adaptable-to-economic-change political institution are not easily achieved. Developing mechanisms for public participation to promote the political will against corruption is, therefore, the most concise, precise, and rapid means of urgently combating corruption. Keywords: political will บทนำ� การทุจริต (คอร์รัปชัน) ระบบพวกพ้อง และระบบศักดินาราชูปถัมภ์ (patrimonialism) เป็นปฏิบัติการทางสังคมท่ีมีหน้าท่ีส�ำคัญในช่วงก่อนสมัยใหม่ที่ช่วยหล่อเลี้ยงให้สังคมเดินหน้าต่อไปได้ นบั ต้ังแตย่ ุคก่อนประวัติศาสตร์ ในสงั คมชนเผา่ มนษุ ยร์ วมตัวกันในสังคมบนพืน้ ฐานของความสมั พันธ์ทาง เครือญาติ ซ่ึงเป็นรูปแบบพื้นฐานที่สุดของระเบียบทางการเมือง ขณะเดียวกันปฏิสัมพันธ์ระหว่าง ปัจเจกบุคคลที่ร่วมอยู่ในสังคมเดียวกันเพื่อสร้างความม่ันคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงเพ่ือ สรา้ งผลประโยชนร์ ว่ มกนั ก็นำ� มาสพู่ ฤตกิ รรมการใหแ้ บบต่างตอบแทน (reciprocal altruism) การเออ้ื ประโยชน์ ให้แก่เครือญาติและการให้แบบต่างตอบแทนจึงเป็นรูปแบบพ้ืนฐานท่ีสุดของระเบียบทางการเมือง และความร่วมมือทางสังคม และเป็นที่มาของระบบศักดินาราชูปถัมภ์1 เม่ือมีการขยายโครงสร้างทาง สังคมสู่ระบบกษัตริย์หรืออาณาจักร การจัดระเบียบทางสังคมการเมืองเริ่มมีการปรับจากปฏิสัมพันธ์ ระหว่างปัจเจกบุคคลในชีวิตประจ�ำวัน มาสู่การสร้างล�ำดับช้ันทางสังคมตามวรรณะ และการแบ่งสรร หน้าท่ีตามความช�ำนาญเฉพาะ ภายใตก้ ารปกครองระบอบกษัตรยิ ์ ความสมั พันธร์ ะหว่างปจั เจกบุคคลไมไ่ ด้ อยู่บนฐานของเครือญาติเป็นหลักอีกต่อไป แต่อยู่ในฐานะบิดาผู้ให้การอุปถัมภ์คุ้มครองความปลอดภัยให้ แก่อาณาราษฎรท่ีอยู่ในฐานะผู้รับการอุปถัมภ์ และทรัพยากรทั้งหมดก็ไม่ได้เป็นของปัจเจกบุคคลหรือ เฉพาะของเครอื ญาตอิ กี ตอ่ ไป แตถ่ กู ก�ำหนดใหเ้ ปน็ ของกษตั ริยห์ รอื เจ้าผู้ปกครอง ซึ่งย่งิ มีทรัพยม์ ากเท่าใด ย่ิงสะท้อนให้เห็นถึงเกียรติภูมิของเจ้าผู้ปกครองมากเท่าน้ัน ขุนนางและนักรบในระบบศักดินาราชูปถัมภ์ จึงมีหน้าที่หลักในการแสวงหาดอกผลของแผ่นดินในรูปบรรณาการจากไพร่หรือเมืองขึ้นเพื่อถวายให้แก่ กษัตริย์หรือ เจ้าผู้ปกครอง เมื่อทรัพยากรและดอกผลของแผ่นดินเป็นของกษัตริย์ การยักยอกหรือ เบยี ดบงั ทรพั ย์สมบัตขิ องกษตั ริยจ์ งึ เปน็ การขโมยทรพั ยส์ มบตั ิหรือทุจริตต่อกษัตริย์ 1 Fukuyama, Francis. (2011). The Origin of Political Order: From Prehuman Times to the French Revolution. London: Profile Books. pp. 30, 51, 81

34 วารสารวิชาการ ป.ป.ช. ปญั หาการทุจริตในลักษณะดังกล่าวของสังคมไทยมีมาต้ังแตส่ มัยสุโขทัย – อยธุ ยาแลว้ ดงั จะเหน็ ได้จากกฎหมายตราสามดวง หมวดพระไอยการอาญาหลวงอาญาราษฎร์ มีการระบุเกี่ยวกับโทษ ของการฉ้อราษฎร์บังหลวงไว้หลายสถานด้วยกัน ต้ังแต่ขั้นการภาคทัณฑ์ การริบทรัพย์ การปลดออก จากต�ำแหนง่ จนถงึ การประหารชีวติ 2 แม้ในยุคสมัยของการปฏริ ปู ระบบบรหิ ารราชการแผ่นดนิ พระบาท- สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการปฏิรูปสถาบันทางการเมือง มีการสร้างสถาบันสมัยใหม่ เพ่ือท�ำหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดินให้มีประสิทธิภาพ แต่ปฏิบัติการทางสังคมที่อยู่บนฐานของ จารีตและความสัมพันธ์แบบเครือญาติยังคงท�ำหน้าที่อย่างเข้มข้นอยู่ต่อไป ทั้งน้ีก็เพราะการทุจริต ระบบ พวกพ้อง และระบบศักดินาราชูปถัมภ์ เป็นเสมือนดีเอ็นเอที่ฝังรากลึกอยู่ในวัฒนธรรมทางการเมืองและ ระเบียบทางสังคมในยคุ ด้ังเดิม จนเมือ่ ระเบยี บสังคมแบบศกั ดินาราชูปถมั ภ์เริ่มผุกรอ่ น ขาดความสามารถ ในการใช้ทรัพยากรให้มีประสทิ ธภิ าพและประสทิ ธผิ ล ปจั เจกบุคคลเรม่ิ ต้งั คำ� ถามถึงความจำ� เปน็ ในการส่ง บรรณาการหรือส่วยต่าง ๆ การปฏิวัติปรับเปล่ียนโครงสร้างสถาบันทางสังคมท่ีให้ความส�ำคัญกับความ สามารถของบุคคลเหนือระบบความสัมพันธ์ ส่วนบุคคลจึงเข้ามาแทนท่ี ด้วยการเปลี่ยนระเบียบทางการ เมืองใหม่ให้อยู่บนฐานของความเท่าเทียมกันของปัจเจกบุคคลในการแสดงความสามารถ (equality of opportunity) การใช้หลักกฎหมายและเหตุผล (legal-rational state) ในการจัดระเบียบสังคม มีการ แบ่งแยกระหวา่ งความเป็นสว่ นตัวกับความเป็นสาธารณะ ผลจากการเปลี่ยนผ่านดงั กล่าวท�ำใหค้ วามหมาย ของการทุจริต ระบบพวกพอ้ ง และระบบศักดนิ าราชูปถมั ภ์ แปรเปลย่ี นความหมายกลายเปน็ อาชญากรรม ที่กระท�ำต่อสาธารณะ เพราะภายใต้ระเบียบทางการเมืองสมัยใหม่ดังกล่าว ผู้เสียประโยชน์จาก การกระท�ำไม่ใช่กษัตริย์อีกต่อไป การเกิดขึ้นของพ้ืนที่สาธารณะได้ท�ำให้ประชาชนกลายเป็นผู้เสีย- ประโยชน์แทน3 อย่างไรก็ตาม ในประเทศก�ำลังพัฒนาที่มีการเปล่ียนผ่านระเบียบใหม่ดังกล่าว การแบ่งแยกความ แตกต่างระหว่างบทบาทสาธารณะกับประโยชน์ส่วนตนของเจ้าหน้าที่รัฐยังพร่าเลือน ปัจเจกบุคคลก็ยัง แยกไม่ออกหรือยังสับสนว่า อะไรคือสาธารณะ อะไรคือส่วนตน ยังไม่รวมถึงปัญหาการยอมรับใน การจัดสรรทรัพยากรส่วนรวมอย่างไม่เป็นธรรม เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่ทุกประเทศท่ีจะเปลี่ยนผ่านไปสู่รัฐ ภายใต้หลักกฎหมายและเหตุผลได้ และไม่ใช่ทุกประเทศท่ีจะแก้ไขปัญหาการทุจริต ระบบพวกพ้อง และระบบศักดินาราชูปถัมภ์ไดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธิผล4 2 กาญจนี สมเกียรติกุล. (2519). การฉ้อราษฎร์บังหลวง: วิเคราะห์จากการพัฒนาประเทศในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จ พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอย่หู วั พ.ศ. 2411 – 2453. วิทยานิพนธม์ หาบัณฑติ แผนกวชิ าประวตั ิศาสตร์ บณั ฑิตวิทยาลยั จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย, หน้า 2, 54 3 Marc Saxer. (2014). Fighting Corruption in Transformation Societies. Bangkok: Friedrich-Ebert-Stiftung Thailand Office. Thailand., pp. 3-4 4 สงั ศิต พริ ยิ รังสรรค์ และ ผาสกุ พงษ์ไพจิตร. (2537). การคอรร์ ปั ชน่ั ในระบบราชการไทย. กรงุ เทพฯ: ศูนยศ์ ึกษาเศรษฐศาสตร์ การเมอื ง คณะเศรษฐศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย. หน้า 30-33

การยกระดับเจตจำ�นงทางการเมืองในการตอ่ ต้านการทุจรติ : ประสบการณ์ของไทยและเกาหลีใต้ 35 แน่นอนว่าปัญหาการทุจริต ระบบพวกพ้อง และระบบอุปถัมภ์ ย่อมเป็นอุปสรรคและสร้าง ผลเสียหายอย่างร้ายแรงต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศและการสร้างความยุติธรรมทางสังคม5 แต่ปัญหาดังกล่าวก็ไม่ได้ส่งผลร้ายแรงถึงขนาดจะท�ำให้ “รัฐล่มจ่ม” แต่อย่างใด ดังจะเห็นได้จาก กรณีตัวอย่างในประเทศก�ำลังพัฒนาหลาย ๆ ประเทศท่ีสถาบันทางการเมืองการปกครองสมัยใหม่ ยังขาดประสิทธิภาพและไม่ท�ำหน้าที่บนหลักนิติธรรม ช่องว่างของความไร้ประสิทธิภาพในการให้บริการ สาธารณะดังกล่าวจะถูกเติมเต็มด้วยการทุจริต การใช้ระบบพวกพ้อง และระเบียบทางสังคมแบบ ศักดินาราชูปถัมภ์ เพ่ือเติมเต็มแทนบทบาทหน้าที่บนฐานของกฎหมายและเหตุผลที่ ขาดพร่องไป ประเทศก�ำลังพัฒนาจ�ำนวนมากแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยใช้แนวคิดทางศีลธรรม จริยธรรม และศาสนา น�ำหน้า โดยไม่ค�ำนึงถึงบทบาทหน้าท่ีทางสังคมของการทุจริตและรากฐานทางวัฒนธรรมด้ังเดิม วิธีดังกล่าวมีแต่จะรังให้เกิดความล้มเหลว ความสูญเปล่าของงบประมาณ หรืออย่างดีก็เป็นเพียงแค่ การสร้างความใสสะอาดให้แกส่ ถาบนั แตเ่ พยี งเปลอื กนอก เม่ือการสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองและการปรับเปล่ียนพฤติกรรมของพลเมืองให้อยู่ในกรอบ ศีลธรรมหรือจริยธรรมที่รัฐต้องการเป็นเร่ืองท่ีต้องใช้ระยะเวลายาวนาน ขณะที่การปฏิรูปโครงสร้างและ พัฒนาสถาบันทางการเมืองการปกครองให้มีประสิทธิภาพ มีหลักนิติธรรม และเท่าทัน ต่อพลวัตร ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจก็ไม่ใช่เรื่องท่ีจะสามารถท�ำได้ง่ายเช่นกัน การสร้างกลไกเพื่อท�ำหน้าท่ี ในการปอ้ งกันและปราบปรามการทจุ ริตโดยตรงจึงเปน็ หนทางที่สั้น กระชบั และรวดเร็วทีส่ ุดในการจดั การ กบั ปญั หาการทจุ รติ ในระยะเร่งดว่ น จดุ เรมิ่ ตน้ ของเจตจำ� นงทางการเมอื งใหม่ แนวคิดในการจัดตั้งสถาบันหรือองค์กรตรวจสอบการใช้อ�ำนาจรัฐ เพื่อลดและขจัดปัญหา การทุจริตตั้งแต่การเข้าสู่ต�ำแหน่ง การตรวจสอบและถ่วงดุลการใช้อ�ำนาจอย่างครอบคลุมรอบด้าน และการติดตามตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สินเม่ือพ้นจากต�ำแหน่งนั้น เร่ิมต้นอย่างเด่นชัดเป็นรูปธรรม ในทางปฏิบัติมากท่ีสุดผ่านรัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ. 2540 ซ่ึงได้สะท้อนให้เห็นถึงเจตจ�ำนง ทางการเมืองท่ีสังคมไทยมีร่วมกันในการท่ีจะถ่วงดุลอ�ำนาจของฝ่ายการเมือง และกระจายอ�ำนาจ ลงไปยังประชาชน ประเด็นการถว่ งดุลอ�ำนาจและการกระจายอ�ำนาจดังกลา่ วเกี่ยวพนั กับการทจุ ริตอยา่ ง ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ทั้งน้ี หากพิจารณาสมการส�ำคัญของการทุจริตตามแนวคิดของ Robert Klitgaard6 นักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมรกิ นั จะเหน็ ได้ว่าการทุจริตนนั้ เกิดขึน้ จากการผูกขาดอ�ำนาจ ทั้งอ�ำนาจผูกขาดในตลาดและอ�ำนาจในรัฐเม่ืออ�ำนาจทั้งหมดอยู่ในมือของรัฐส่วนกลาง จึงยิ่งเปิดช่อง 5 เรื่องเดยี วกัน. หน้า 17-23 6 Robert Klitgaard. (1988). Controlling Corruption. Berkeley. University of California Press.

36 วารสารวิชาการ ป.ป.ช. ให้รัฐมีการใช้ดุลพินิจมากข้ึน และเมื่อการใช้ดุลพินิจเป็นไปอย่างไม่โปร่งใส ปราศจากการตรวจสอบก็จะ ส่งผลให้เกิดการทุจริตมากยิ่งข้ึน (Corruption = Monopoly + Discretion – Accountability) ในทางตรงกันข้ามหากมีการตรวจสอบเอาผิดกับการทุจริตเพ่ิมมากขึ้นและลดอ�ำนาจในการผูกขาด สถานการณ์การทจุ ริตกจ็ ะมีแนวโนม้ ลดลงด้วย ภายใต้เจตจ�ำนงทางการเมืองท่ีสังคมไทยร่วมกัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นอย่างเด่นชัดผ่านขบวนการ ธงเขียว อันเป็นขบวนการเคลื่อนไหวภาคประชาชนท่ีสนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 จึงได้มี การออกแบบโครงสร้างสถาบนั ทางการเมอื ง การจดั แบง่ อำ� นาจ การใชอ้ ำ� นาจ และการตรวจสอบถว่ งดุล การใช้อ�ำนาจ ซง่ึ ท่ผี ่านมากอ่ นรฐั ธรรมนญู ฉบบั พ.ศ. 2540 กลไกการควบคมุ ตรวจสอบการใชอ้ ำ� นาจรัฐ มักมีจุดเริ่มต้นและถูกใช้โดยฝ่ายบริหารเพ่ือควบคุมตรวจสอบการทุจริตในฝ่ายบริหารด้วยกันเอง ท้ังการ ควบคุมการทุจริตซ้ือสิทธ์ิขายเสียง การซ้ือขายต�ำแหน่งเพื่อให้ได้เข้าสู่อ�ำนาจรัฐ ต่อเน่ืองไปจนถึง การถอนทุนเม่ือเข้าดำ� รงตำ� แหนง่ การเมอื งหรือราชการ เมื่อมองย้อนกลับไปจะพบว่าองค์กรตรวจสอบการใช้อ�ำนาจรัฐซึ่งจัดตั้งขึ้นภายใต้อ�ำนาจ ของฝ่ายบริหาร ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยเท่าน้ัน แต่ในหลาย ๆ ประเทศ ก็พบว่าไม่สามารถน�ำ ผู้กระท�ำความผิดมาลงโทษตามกฎหมายได้จริง ในแง่หนึ่งแม้ว่าผู้น�ำทางการเมืองหลายประเทศ ได้เล็งเห็นความส�ำคัญ และมีเจตจ�ำนงทางการเมืองอันแน่วแน่ในการจัดต้ังกลไกและมาตรการเฉพาะ เพื่อแก้ไขปัญหาการทุจริต แต่กลไกและมาตรการแก้ไขปัญหาการทุจริตนั้น ก็ไม่ได้มีผลท�ำให้ ผู้กระท�ำการทุจริตขนาดใหญ่หรือผู้ด�ำรงต�ำแหน่งทางการเมืองระดับสูงถูกน�ำตัวมาลงโทษได้จริง และไม่ได้มีการวางรากฐานทางสถาบันและเจตจ�ำนงทางการเมืองท่ีเอ้ือต่อการป้องกันการทุจริต ให้เสร็จสมบูรณ์แต่อย่างใด นอกจากนี้ สังคมยังไม่เช่ือและไว้วางใจว่าหน่วยงานต่อต้านการทุจริต ท่ีอยู่ภายใต้การควบคุมส่ังการโดยรัฐบาลจะสามารถท�ำหน้าท่ีได้อย่างอิสระ เป็นกลางและตรงไปตรงมา โดยแท้จริง7 ซ้�ำร้ายยิ่งกว่าน้ันในบางประเทศ แม้ว่าจะได้มีการปฏิรูปองค์กรให้มีความเป็นอิสระแล้วแต่ รัฐบาลก็ได้ใช้กลไกต่อต้านการทุจริตดังกล่าวเป็นเพียงเคร่ืองมือในการสร้างภาพลักษณ์ท่ีดีและเป็น เพียงฉากบังปัญหาการทุจริตที่รัฐบาลตนเองได้ก่อไว้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของรัฐบาลหรือชนชั้น ของตนเองเท่าน้นั 8 นอกจากน้ี วกิ ฤตการณ์การเงนิ โลกเมือ่ ปี 2540 กม็ ีสว่ นส�ำคัญอย่างยิ่งในการสร้างกระแสต่อต้าน การทุจริตให้เกิดขึ้นเป็นวาระระดับโลกอีกครั้ง การทุจริต ระบบพวกพ้อง และระบบอุปถัมภ์ท่ีเคย เป็นส่วนเติมเต็มให้กับช่องว่างของความไร้ประสิทธิภาพในการด�ำเนินนโยบายหรือการให้บริการ สาธารณะในประเทศก�ำลังพัฒนาถูกตีความใหม่ให้เป็นอุปสรรคอันร้ายแรงต่อกระบวนการพัฒนา 7 สถาบันพระปกเกล้า. (2557). รัฐธรรมนูญกลางแปลง: แนวทางการปฏิรูปเพ่ือการพัฒนาประชาธิปไตย. กรุงเทพฯ: สถาบัน พระปกเกล้า. หนา้ 279 8Political & Economic Risk Consultancy. Asian Intelligence No.944. Hong Kong. 2016. pp. 27-29

การยกระดับเจตจำ�นงทางการเมืองในการตอ่ ต้านการทจุ รติ : ประสบการณ์ของไทยและเกาหลีใต้ 37 ธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศได้ก�ำหนดให้ประเทศที่กู้ยืมเงินต้องมีการปฏิรูป ระบบการบริหารจัดการภาครัฐ (public sector reform) โดยน�ำหลักการบริหารงานภาครัฐ แนวใหม่และหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองท่ีดี (good governance) มาใช้เป็นเครื่องมือหลัก ในการแก้ไขปัญหาความไร้ประสิทธิภาพของระบบราชการและการทุจริต9 ยุทธศาสตร์ในการแก้ไข ปัญหาการทุจริตเพื่อลดหรือขจัดโอกาสในการทุจริตด้วยการเพ่ิมเงินเดือนเจ้าหน้าที่รัฐ การทบทวน ข้ันตอนและระเบียบราชการ การควบคุมตรวจสอบและก�ำกับดูแลการปฏิบัติงานอย่างเข้มข้น รวมถึง การบัญญัติกฎหมายและบังคับใช้กฎหมายต่อต้านการทุจริตฉบับใหม่ กลายเป็นวาระแห่งชาติ ที่ประเทศก�ำลังพัฒนาท้ังหลายรวมท้ังประเทศไทยต่างพากันปฏิรูประบบราชการและองค์กรต่อต้าน การทุจริตของตนเองข้นึ มาใหม่ ประเทศที่ประสบกับภาวะวิกฤตเศรษฐกิจท่ีได้มีการปฏิรูปโครงสร้างสถาบันหรือองค์กร ตรวจสอบการใช้อ�ำนาจรัฐขึ้นมาใหม่ในภูมิภาคเอเชียประเทศหนึ่งที่น่าสนใจ คือ ประเทศเกาหลีใต้ โดยได้มีการจัดตั้งองค์กรต่อต้านการทุจริตเป็นการเฉพาะและเป็นองค์กรอิสระขึ้น คือ Korea Independent Commission Against Corruption (KICAC) เม่ือปี พ.ศ. 2545 ซ่ึงต่อมา ได้พัฒนา เปน็ หนว่ ยงาน Anti-Corruption and Civil Rights Commission (ACRC) และสำ� หรับประเทศไทย ได้มีการกอ่ ตัง้ สำ� นักงาน ป.ป.ช. เม่ือปี พ.ศ. 2542 องค์กรต่อต้านการทุจริตของท้ังสองประเทศต่างต้องเผชิญความท้าทายท่ีคล้ายคลึงกัน คือ ปญั หาการทุจรติ การเรยี กรบั หรอื ใหส้ นิ บนในระบบราชการ การซ้ือขายต�ำแหนง่ ราชการ ระบบพวกพอ้ ง ระบบอุปถัมภ์ อันเป็นปฏิบัติการทางสังคมที่สืบทอดและขยายตัวมาอย่างต่อเน่ืองต้ังแต่ช่วงสงครามเย็น จอมพลสฤษด์ิ ธนะรัชต์ (พ.ศ. 2502 - 2506) จอมพลถนอม กิตติขจร (พ.ศ. 2506 - 2514) และ ประธานาธิบดี พัก ช็อง-ฮี (Park Chung-hee) (พ.ศ. 2505 - 2522) ผนู้ ำ� ของทง้ั สองประเทศต่างปกครอง ด้วยระบอบเผด็จการทหารท่ีได้วางระบบการด�ำเนินงานแบบรวมศูนย์อ�ำนาจปราศจากการตรวจสอบ ถ่วงดุล (monopoly) และสร้างวัฒนธรรมองค์กรภาครัฐท่ีที่อยู่บนฐานของระบบอุปถัมภ์อย่างต่อเน่ือง ยาวนาน และการส้ินสุดอ�ำนาจของผู้น�ำเผด็จการทหารของท้ังสองประเทศต่างก็เก่ียวเนื่องด้วยข้อครหา เก่ยี วกบั การทุจริตเชน่ เดียวกนั เม่ือพิจารณาภาพรวมของท้ังสองประเทศโดยเปรียบเทียบจะเห็นได้ว่าพัฒนาการทางการเมือง การปกครอง การบริหารงานภาครัฐ และเจตจ�ำนงทางการเมืองในการต่อต้านการทุจริต ของทั้งสองประเทศในช่วงหลังสงครามโลกคร้ังที่ 2 มีความคล้ายคลึงกันอย่างยิ่ง กรณีการปกครอง แบบเผด็จการทหารของรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และประธานาธิบดี พัก ช็อง-ฮี ที่เน้น 9ประโยชน์ ส่งกล่ิน. (2551). การปฏิรูปการจัดการภาครัฐ: กรณีศึกษาการจัดการภาครัฐแนวใหม่ในประเทศไทยและสิงคโปร์. วิทยานิพนธ์ดุษฎบี ัณฑิต คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. หน้า 172-173

38 วารสารวชิ าการ ป.ป.ช. กระบวนการพัฒนาและกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก โดยปราศจากการค�ำนึงถึงหลักธรรมาภิบาลและ การมีส่วนร่วมของประชาชนโดยส้ินเชิง และต่อมาในยุคท่ีได้มีการปฏิรูประบบการบริหารจัดการภาครัฐ ทั้งสองประเทศก็ได้มีการปฏิรูปในห้วงเวลาที่ใกล้เคียงกัน โดยเกาหลีใต้ได้มีการปฏิรูปภายใต้ การน�ำของประธานาธิบดี คิม ยัง-ซัม (Kim Young-sam) ในช่วงปี พ.ศ. 2536 - 2541 ซึ่งเป็น ช่วงเวลาท่ีใกล้เคียงกับการปฏิรูประบบการบริหารจัดการภาครัฐภายใต้การน�ำของนายกรัฐมนตรี ทกั ษณิ ชนิ วัตร เมื่อปี พ.ศ. 2544 - 2545 ทัศนคตแิ ละเจตจำ� นงทางการเมอื งในการตอ่ ต้านการทุจรติ จากภาพรวมของพัฒนาการทางการเมืองการปกครองและการบริหารงานภาครัฐของท้ังสอง ประเทศ ซึ่งได้สะท้อนให้เห็นถึงเจตจ�ำนงของรัฐบาลในแต่ละยุคสมัยที่ไม่แตกต่างกันมากนัก ก่อให้เกิด คำ� ถามตามมาว่า แล้วประชาชนของท้งั สองประเทศมที ศั นคติหรือมเี จตจำ� นงทางการเมอื งต่อประเด็น การทจุ ริตอยา่ งไร นับจากการก่อต้ังองค์กรต่อต้านการทุจริตของทั้งสองประเทศ ผลการประเมินดัชนีการรับรู้ การทจุ ริต (Corruption Perceptions Index: CPI) ซ่งึ ด�ำเนินการโดย Transparency International พบวา่ ประเทศเกาหลีใต้มีคะแนนท่ีดีกว่าประเทศไทย แต่ผลการประเมินสถานการณ์การทุจริตของ PERC กลับพบว่าสถานการณ์การทุจริตของเกาหลีใต้รุนแรงกว่าประเทศไทย10 อย่างไรก็ตาม เม่ือพิจารณา ในภาพรวมจากคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริตระหว่างประเทศไทยและประเทศเกาหลีใต้ก็จะพบว่า มีคะแนนทค่ี ่อนข้างทงิ้ ห่างกันอยา่ งเห็นได้ชัด 10Political & Economic Risk Consultancy. Asian Intelligence No.920. Hong Kong. 2015. p.5

การยกระดบั เจตจ�ำ นงทางการเมืองในการต่อต้านการทุจริต: ประสบการณ์ของไทยและเกาหลีใต้ 39 ภาพท่ี 1: การประเมนิ ดัชนีการรบั ร้กู ารทจุ รติ (CPI) ของประเทศไทยและเกาหลีใต้ เม่ือพิจารณาจากผลการส�ำรวจในด้านอ่ืน ๆ โดยเฉพาะที่จะเก่ียวข้องกับการวิเคราะห์เจตจำ� นง ทางการเมืองในการต่อต้านการทุจริตของทั้งสองประเทศ พบว่า ในแง่หนึ่งการทุจริตไม่ได้เป็นปัญหา เฉพาะจากเพียงแค่เจ้าหน้าท่ีรัฐที่ฉ้อฉลเท่าน้ัน หากแต่เป็นปัญหาของการกระท�ำรวมหมู่ด้วย แม้การไม่กระท�ำการทุจริตและร่วมกันต่อต้านการทุจริตจะท�ำให้ทุกคนได้ประโยชน์ในระยะยาว แต่ในระยะส้ัน ไม่มีใครมีแรงจูงใจที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมของตนในทันทีทันใด กรณีของประเทศไทย ผลส�ำรวจของ เอแบคโพล ตั้งแต่เดือนพฤศจกิ ายน 2554 จนถึงเดอื นกรกฎาคม 2556 พบว่า ประชาชน ไทยที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 60 มีความเห็นว่าสามารถยอมรับรัฐบาลท่ีท�ำการทุจริตได้ หากตนเอง ได้รับประโยชน์จากการด�ำเนินงานของรัฐบาล11 ไม่ต่างจากกรณีของประเทศเกาหลีใต้ ธนาคารเพื่อ การพัฒนาแห่งเกาหลี ได้ท�ำการส�ำรวจทัศนคติของประชาชนเกาหลีใต้เก่ียวกับการทุจริตทางการเมือง โดยกลุ่มตัวอย่างเห็นว่านักการเมืองและเจ้าหน้าท่ีรัฐกว่าร้อยละ 70 ท�ำการทุจริต ขณะเดียวกัน เมื่อสอบถามความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่างว่า หากมีการติดสินบนหรือให้ของขวัญแก่เจ้าหน้าที่รัฐแล้ว จะช่วยให้ท่านหลีกเลี่ยงภาษีได้ ท่านจะเห็นด้วยหรือไม่ กว่าร้อยละ 44 เลือกที่จะติดสินบนหรือให้ ของขวัญเพื่อหลีกเลย่ี งภาษี12 นอกจากนั้นแล้ว ผลการศึกษาล่าสุดของศาสตราจารย์ คัง วัน-แท็ค (Kang Won-taek) ศาสตราจารย์ประจ�ำคณะรัฐศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล ซึ่งได้ตีพิมพ์บทความเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ Joongang Ilbo เมื่อวันท่ี 9 กันยายน 2558 ที่ผ่านมา พบว่าประชาชนกว่าร้อยละ 74 ประเมินผลการบริหารงานของประธานาธิบดี พัก ช็อง-ฮี ในเชิงบวก ล�ำดับถัดมาคือ ประธานาธิบดี โน มู-ฮย็อน (Roh Moo-hyun) ที่ถูกกล่าวหาว่าฆ่าตัวตายอันเนื่อง มาจากความละอายตอ่ การทุจริต ไดค้ ะแนนการบรหิ ารงานทดี่ ีถงึ รอ้ ยละ 70.8 11มติชนออน์ไลน์, \"เอแบคโพลล์ชีค้ นไทยไมเ่ ปลี่ยน! ทัศนคตอิ นั ตราย ยอมรับรัฐบาลทจุ รติ ถา้ ตนเองไดป้ ระโยชน์\", \"http://www. matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1373078752 (สบื คน้ เมื่อ 23 มกราคม 2558) 12Samuel S Kim. (2003). Korea's Democratization. Cambridge. U.K.: Cambridge University Press. pp. 62-63

40 วารสารวชิ าการ ป.ป.ช. นอกจากนี้ Gallup Korea ซึ่งเป็นผู้ด�ำเนินการส�ำรวจ Integrity Assessment13 ในประเทศ เกาหลีใต้ใหก้ บั ACRC ไดเ้ ผยแพร่ผลการสำ� รวจเน่ืองในโอกาสครบรอบ 70 ปี การประกาศอสิ รภาพจาก การปกครองภายใต้อาณานิคมญี่ปุ่น เมื่อวันท่ี 7 สิงหาคม 2558 ที่ผ่านมา โดยสอบถามประชาชน กลุ่มตัวอย่าง 2,003 คน ว่า ภายหลังการปลดแอกออกจากการอยู่ภายใต้อาณานิคมของญ่ีปุ่น ประธานาธิบดีท่านใดท�ำงานได้ดีท่ีสุด ผลการส�ำรวจพบว่า ผู้ตอบแบบส�ำรวจส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 44 เหน็ วา่ ประธานาธบิ ดี พัก ช็อง-ฮี ท�ำงานได้ดีทีส่ ดุ ลำ� ดับถดั มา คือ ประธานาธิบดีโน ม-ู ฮย็อน ได้คะแนน รอ้ ยละ 24 และเมื่อถามว่าประธานาธิบดที ่านใดไดท้ �ำในสง่ิ ทดี่ ี ผู้ตอบแบบสำ� รวจส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 67 บอกว่า ประธานาธิบดี พัก ชอ็ ง-ฮี ไดท้ �ำในสิง่ ทีด่ ี และเชน่ เคยในล�ำดับถดั มาประชาชนกลมุ่ ตัวอย่างได้ตอบว่า ประธานาธิบดีโน มู-ฮย็อน ผซู้ ่งึ เคยถกู พจิ ารณาในคดที จุ รติ แต่ประชาชนกวา่ รอ้ ยละ 54 กลับมองวา่ ไดท้ ำ� ในส่ิงที่ดี14 จากผลการศึกษาของศาสตราจารย์ คัง วัน-แท็ค และผลการส�ำรวจของ Gallup Korea สะท้อนให้เห็นว่า ทัศนคติและเจตจ�ำนงทางการเมืองในการต่อต้านการทุจริตของประชาชนท่ีมีต่อวิธี ปฏิบัติราชการของผู้น�ำทางการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐหรือการรับบริการสาธารณะจากหน่วยงานภาครัฐ ในสายตาและความคาดหวังของคนเกาหลีใต้ในปัจจุบัน ค่อนข้างที่จะห่างจากมาตรวัดการบริหารกิจการ บา้ นเมืองท่ดี ีหรือ Good Governance ของธนาคารโลก และองคก์ ารเพอ่ื ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและ การพฒั นา (OECD) เกอื บจะโดยส้นิ เชิง เม่ือพิจารณาถึงสถานการณ์การทุจริตในปัจจุบันของประเทศเกาหลีใต้ โดยอ้างอิงจากผล การส�ำรวจของ Political & Economic Risk Consultancy (PERC) ในปี พ.ศ. 2556 ซ่ึงได้ รวบรวมข้อมูลจากนักธุรกิจข้ามชาติในทวีปเอเชียกว่าสองพันคน พบว่า เกาหลีใต้เป็นประเทศ พัฒนาแล้วที่มีการทุจริตมากที่สุด โดยได้คะแนน 6.98 คะแนน (คะแนนสถานการณ์ทุจริตมากท่ีสุด เต็ม 10 คะแนน) ซึ่งเป็นคะแนนแย่ท่ีสุดในรอบ 10 ปี เม่ือพิจารณาเปรียบเทียบกับประเทศไทยแล้ว พบว่า เกาหลีใต้มีการทุจริตน้อยกว่าประเทศไทย (6.83) แต่มีคะแนนดีกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับ ประเทศอินโดนีเซีย (8.83)15 นายคิม ซุง-ซู (Kim Sung-soo) กรรมการบริหารและผู้เชี่ยวชาญจาก Transparency International Korea ได้ให้ความเห็นว่า ประเด็นหลักของสถานการณ์การทุจริตใน สังคมเกาหลีเกิดจากการสมรู้ร่วมคิดกันทุจริตระหว่างเจ้าหน้าท่ีรัฐและกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ เช่น กลุ่มแชโบล (Chaebol) โดยการทุจริตและการให้สินบนแก่เจ้าหน้าท่ีรัฐเกิดขึ้นหลายรูปแบบ โดยเฉพาะ อย่างย่ิงการหนีภาษี (tax evasion) การยักยอกและให้เงินสินบนจ�ำนวนมหาศาล การร้องขอรับ 13Integrity Assessment เป็นต้นแบบเครื่องมือการประเมินด้านการรับรู้การทุจริตที่ประเทศไทย โดยส�ำนักงาน ป.ป.ช. ได้น�ำมา ปรบั ใช้และพฒั นาเป็นเครือ่ งมอื การประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการด�ำเนนิ งานของหนว่ ยงานภาครฐั (ITA) 14Steven Denney, \"The Mixed Legacy of a South Korean Dictator\", The Diplomat, http://thediplomat .com/ 2015/09/the-mixed-legacy-of-a-south-korean-dictator/ (สบื คน้ เมื่อ 22 ตลุ าคม 2558) 15Political & Economic Risk Consultancy. Asian Intelligence No.920. Hong Kong. 2015. p.5

การยกระดับเจตจ�ำ นงทางการเมอื งในการตอ่ ตา้ นการทจุ ริต: ประสบการณข์ องไทยและเกาหลีใต้ 41 ผลประโยชน์ต่าง ๆ เพ่ือแลกเปลี่ยนกับการปฏิบัติงานตามหน้าท่ี นอกจากนี้ บทลงโทษที่ค่อนข้างเบา ต่อผู้ที่กระท�ำการทุจริต และการให้อภัยโทษแก่นักการเมืองหรืออดีตประธานาธิบดีท่ี ถูกตัดสินว่า กระท�ำการทุจริตก็เป็นปัจจัยส�ำคัญที่ส่งผลให้สถานการณ์การทุจริตในประเทศเกาหลีใต้รุนแรงมากข้ึน และสง่ ผลตอ่ ความเชอื่ มน่ั ในหนว่ ยงานภาครัฐดว้ ย นายคมิ ซงุ -ซู ได้ใหข้ อ้ มูลเพิ่มเติมวา่ ในปัจจุบนั ประชาชนค่อนข้างขาดความเชอื่ มน่ั ต่อหนว่ ยงาน ที่เก่ียวข้องกับการต่อต้านการทุจริต เช่น ACRC และ Korean National Police Agency (KNPA) โดยสาเหตุส�ำคัญประการหน่ึง คือ การไม่ปกป้องผู้แจ้งเบาะแสการทุจริต ดังจะเห็นได้จากการส�ำรวจ Whistle-blowing Corruption in Korea ซึ่งด�ำเนินการโดย Transparency International Korea เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2556 พบว่า 4 ใน 10 ของคนรุ่นใหม่เม่ือพบเห็นการทุจริตแล้วพวกเขา จะไม่แจ้งเบาะแสการทุจริตแก่เจ้าหน้าท่ีรัฐ อันเน่ืองมาจากความไม่เชื่อม่ันในประสิทธิผลของกฎหมาย และความกลัวการแก้แค้นหรือกล่ันแกล้งจากผู้กระท�ำผิด อย่างไรก็ตาม เม่ือพิจารณาในภาพรวมของ ผู้ตอบแบบส�ำรวจทั้งหมด พบว่า หากพบเห็นการทุจริตประชาชน เกาหลีใต้ ร้อยละ 55 บอกว่า จะแจ้งเบาะแส ร้อยละ 33 บอกแล้วแต่กรณี ร้อยละ 8 บอกว่าจะไม่แจ้งเบาะแสเลย และจากผู้ตอบ แบบส�ำรวจท้ังหมดมีเพียงแค่ร้อยละ 4 ที่บอกว่าเคยได้แจ้งเบาะแสการทุจริตแล้ว16 ไม่ใช่เฉพาะแต่ หน่วยงานภาครัฐในฝ่ายบริหารเท่านั้นที่ไม่ได้รับความเชื่อมั่นจากประชาชน แม้กระทั่งในฝ่ายตุลาการ กป็ รากฏข่าวการรบั สินบนและการจบั กมุ ผูพ้ ิพากษาเชน่ กัน17 ท่ีผ่านมา ผู้บริหารและหน่วยงานภาครัฐของประเทศไทยจ�ำนวนมากได้เดินทางไปยังประเทศ เกาหลใี ต้ด้วยความเช่ือม่ันทวี่ า่ นักการเมือง เจา้ หน้าท่รี ฐั และประชาชนเกาหลใี ต้ มีเจตจ�ำนงทางการเมอื ง อย่างแรงกล้าในการพัฒนาประเทศและต่อต้านการทุจริต แต่จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่า ปัญหา การทุจริต การเรียกรับหรือให้สินบนในระบบราชการ การซื้อขายต�ำแหน่งราชการ ระบบพวกพ้อง ระบบอุปถัมภ์ อันเป็นปฏิบัติการทางสังคมที่สืบทอดและขยายตัวมาอย่างต่อเน่ือง ตลอดจนเจตจ�ำนง และทัศนคติของประชาชนที่มีต่อความรุนแรงของปัญหาการทุจริตไม่ได้ มีความแตกต่างกันอย่างมี นัยส�ำคัญมากนัก เพราะฉะน้ัน การจะน�ำกรอบการด�ำเนินงานหรือระบบการต่อต้านการทุจริตของ ประเทศเกาหลีใต้มาปรับใช้เป็นเคร่ืองมือในการต่อต้านการทุจริตหรือเพ่ือพัฒนาระบบราชการให้มี ความโปร่งใสในประเทศไทยน้ัน18 จึงควรมีการพิจารณาถึงบริบททางการเมืองและการบริหารงานภาครัฐ ของประเทศเกาหลีโดยถีถ่ ้วนดว้ ย 16ARIRANG NEWS, \"Korea's corruption problem 한국의 ,부정부패\" https://youtu.be/Ae96ZR3Cqe8 (สืบคน้ เม่อื 22 ตุลาคม 2558) 17The Korea Times, \"Bribery of judges\", http://www.koreatimes.co.kr/www/news/opinon/2015/01/202_172185. html (สืบค้นเม่อื 22 ตลุ าคม 2558) 18UNDP Seoul Policy Centre (USPC). The 2015 Seoul Debates: Lessons Learnt on Anti-Corruption from Korea and Around the World. Republic of Korea. 2015. p. 34 (สบื คน้ เม่ือ 22 ตุลาคม 2558)

42 วารสารวิชาการ ป.ป.ช. นอกจากปัญหาการทุจริตและการอุปถัมภ์พวกพ้องในระบบราชการจะเป็นความท้าทายต่อ องค์กรอิสระต่อต้านการทุจริตของทั้งสองประเทศที่ต้องเร่งด�ำเนินการแก้ไขปัญหาแล้ว ในด้าน ศาสนา วัฒนธรรม และค่านิยมก็เป็นอีกกับดักหน่ึงที่องค์กรอิสระเพื่อต่อต้านการทุจริตของท้ังสอง ประเทศจะต้องเร่งหาหนทางในการวางระบบป้องกันการทุจริตและปรับเปล่ียนพฤติกรรมให้ได้ เช่นกัน ท่ีผ่านมาประเทศไทยมีความพยายามอย่างย่ิงยวดในการน�ำศาสนาและวัฒนธรรมมาเป็น เครื่องมือในการแก้ไขปัญหาการทุจริต แต่ในทางปฏิบัติหน่วยงานภาครัฐและองค์กรต่อต้าน การทุจริตยังขาดการศึกษาวิจัยในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับอิทธิพลของศาสนา วัฒนธรรมและค่านิยมท่ีมี ต่อการทจุ รติ ในระบบราชการและการใหบ้ ริการสาธารณะ ศาสนา/จริยธรรมกบั การยกระดบั เจตจ�ำนงทางการเมอื งในการต่อตา้ นการทุจริต ส�ำหรับประเทศเกาหลีใต้ แนวคิดขงจื๊อ (Korean Confucianism) มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อ โครงสร้างสังคม การอุปถัมภ์ และการให้บริการสาธารณะของหน่วยงานภาครัฐ19 นอกจากน้ี ในสังคมเกาหลี ความซื่อสัตย์และความละอาย (shame culture) ก็มีอิทธิพลเป็นอย่างสูงเช่นเดียวกัน ในฐานะท่ีเป็นอีกมิติหน่ึงของวัฒนธรรมคุณธรรม (integrity culture) เหตุที่องค์กรต่อต้าน การทุจริตควรให้ความส�ำคัญกับประเด็นเหล่าน้ี ก็เพื่อให้เกิดความกระจ่างชัดในมายาคติเกี่ยวกับ วัฒนธรรมความซ่ือสัตย์สุจริตและความละอายต่อการกระท�ำผิดว่ามีอยู่จริงหรือไม่ ส่งผลต่อการ ปฏิบัติงานในชีวิตประจ�ำวันและการก�ำหนดกรอบแนวทางการปฏิบัติงานเพ่ือควบคุมพฤติกรรมของ เจ้าหน้าที่มากน้อยเพียงใด เพราะในการปฏิบัติงานจริงขององค์กรต่อต้านการทุจริต เช่น กรณีองค์กร ต่อต้านการทุจริตในประเทศไทย เมื่อมีการพูดถึงประเด็นความละอายของนักการเมืองต่อการถูกจับได้ ว่ากระท�ำการทุจริต บ่อยคร้ังมักจะมีการหยิบยกกรณีตัวเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องความซ่ือสัตย์และ ความละอายของนักการเมืองในประเทศเกาหลีใต้มาบรรยายเปรียบเทียบให้แก่เจ้าหน้าที่รัฐ ในประเทศไทยฟังว่าประเทศเกาหลีใต้น้ัน เป็นประเทศท่ีประสบความส�ำเร็จในการต่อต้านการทุจริต นักการเมืองและประชาชนมีความซื่อสัตย์สุจริต มีความละอายต่อการกระท�ำผิดกฎหมาย โดยมักยกตัวอย่างว่านักการเมืองประเทศเกาหลีใต้มีความละอายอย่างรุนแรงต่อการทุจริตท่ีตนเอง ได้กระท�ำลงไปจนถึงขนาดฆ่าตัวตาย ส่วนใหญ่แล้วการกล่าวอ้างหรือมายาคติ (myth) ในกรณี ดังกล่าวมักไม่มีการระบุช่ือของนักการเมืองหรือผู้ท่ีท�ำการฆ่าตัวตาย เป็นเพียงการพูดถึงแบบกว้าง ๆ โดยใช้คำ� ว่า “นักการเมอื ง” เปน็ ตวั แสดงถึงความละอายต่อการทุจรติ 19Kyung Moon Hwang, \"Historical origins of Korea's political corruption\", The Korea Times, http://www. koreatimes.co.kr/www/news/nation/2016/06/633_197187.html (สืบคน้ เม่ือ 6 กุมภาพนั ธ์ 2559)

การยกระดับเจตจ�ำ นงทางการเมืองในการต่อตา้ นการทุจรติ : ประสบการณ์ของไทยและเกาหลีใต้ 43 จากการสืบค้นข้อมูลกรณีการทุจริตกับการฆ่าตัวตายในประเทศเกาหลีใต้ พบเพียงกรณีเดียว ที่ถูกส�ำนักข่าวกล่าวอ้างว่าอาจมีความเก่ียวพันธ์กับการทุจริต น่ันก็คือ กรณีประธานาธิบดี โน มู-ฮย็อน ซึ่งถูกกล่าวหาว่ารับเงินสินบนจากนักธุรกิจผ่านทางภรรยา ประธานาธิบดีฯ ยอมรับว่าภรรยาเขา รับเงินมาจริง แต่ยืนยันว่าเป็นเงินเพ่ือใช้ช�ำระหนี้ไม่ใช่เงินสินบน ไม่นานหลังจากน้ัน ประธานาธิบดีฯ ก็ฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดหน้าผา อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่ปรากฏหลักฐานที่ชัดเจนว่าการฆ่าตัวตายน้ัน เกิดจากสาเหตุใด แต่ส�ำนักข่าวและองค์กรต่อต้านการทุจริตในประเทศไทยต่างก็ตีความและพยายามโยง ให้เกิดความเช่ือมโยงระหว่างการทุจริตและการฆ่าตัวตาย ซึ่งในข้อเท็จจริงแล้ว การกล่าวอ้างว่า สาเหตุการฆ่าตัวตายของประธานาธิบดี โน มู-ฮย็อน ว่ามาจากความละอายในคดีการทุจริตน้ัน เปน็ แต่เพียงการกลา่ วอ้างหรือคาดการณ์เทา่ น้ันทัง้ ทข่ี ้อเทจ็ จรงิ แลว้ ในจดหมายลาตายของประธานาธบิ ดี โน มู-ฮย็อน ไม่ได้มีการระบุในประเด็นน้ีเลย ระบุแค่เพียงว่า “ชีวิตท่ีเหลืออยู่มีแต่จะเป็นภาระต่อผู้อื่น ผมไม่สามารถท�ำอะไรได้อกี ต่อไปเพราะสุขภาพทยี่ ่�ำแย่ ผมไม่สามารถอา่ นและเขยี นหนงั สือได้ อย่าเศรา้ ใจ ไปเลย ชีวิตและความตายเป็นส่วนหน่ึงของธรรมชาติมิใช่หรือ โปรดอย่าเสียใจ อย่าโทษผู้ใด มันคือ โชคชะตา โปรดเผาศพของผมและให้หลุมฝังศพของผมได้อยู่ใกล้บ้าน ...ผมได้คิดในเรื่องน้ีมาอย่าง ยาวนานแลว้ ”20 เมอ่ื พจิ ารณาจากจดหมายลาตายแล้วจะพบว่า การตดั สนิ ใจฆา่ ตัวตายดังกล่าวอาจไมไ่ ดม้ ี สาเหตุมาจากการความละอายในการถูกจับได้ว่าทุจริตหรือเกิดจากวัฒนธรรมแห่งความละอายเลยก็เป็นได้ ประเด็นหลักใหญ่ใจความของจดหมาย คือ ปัญหาเรื่องสุขภาพ เพียงแต่การฆ่าตัวตายในห้วงเวลา ดังกล่าวน้ัน เกดิ ขึน้ หลังจากประธานาธิบดี โน มู-ฮยอ็ น ถูกกลา่ วหาไดไ้ ม่นานและไม่ได้มีการดำ� เนินคดตี ่อ แต่อย่างใด ดังน้ัน จึงไม่อาจสันนิษฐานได้ว่าการฆ่าตัวตายของนักการเมืองเกาหลีใต้รายดังกล่าวเกิดจาก ความละอายต่อการทจุ รติ กรณีการฆ่าตัวตายในสังคมเกาหลีใต้ท่ีอาจเกี่ยวเนื่องกับความละอายต่อการทุจริตนั้น เกิดข้ึน เฉพาะเพียงกรณีประธานาธิบดี โน มู-ฮย็อน เพียงกรณีเดียวเท่านั้น เรื่องดังกล่าวจึงเป็นเพียง เร่ืองการตายเฉพาะเหตุ (specific cause) ที่ไม่สามารถและไม่ควรน�ำมาใช้ในการกล่าวอ้างถึง วัฒนธรรมคุณธรรมของสังคมเกาหลีใต้ในภาพรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาประกอบกับ ข้อเท็จจริงทางสถิติจากส�ำนักงานต�ำรวจแห่งชาติเกาหลีใต้ (KNPA) พบว่า สาเหตุการฆ่าตัวตาย ของสังคมเกาหลีใต้ มีท่ีมาจาก 3 สาเหตุหลักซ่ึงไม่ได้เก่ียวข้องกับการทุจริตเลย ประกอบด้วย 20Justin McCurry, “Former South Korea president leaps to death in ravine” The Guardian, https://www. theguardian .com/world/2009/may/24/south-korea-former-president-suicide (สืบค้นเมอ่ื 22 ตลุ าคม 2558)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook