๑คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ โรงเรียนวถิ ีพุทธ ( Buddhist Oriented School ) นวตั กรรมทางการศึกษา เพื่อความเป็นมนุษยท์ ีส่ มบูรณ์ สว่ นวางแผนและพัฒนาการอบรม สานักงานพระสอนศีลธรรม และหลักสูตรพทุ ธบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั พ.ศ.๒๕๖๒
๒คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ ผ้แู ต่ง : พระมหาวชิ าญ สุวชิ าโน (บวั บาน) คณะบรรณาธกิ าร ดร.เกษม แสงนนท์ : พระเทพวิสุทธมิ ุนี ว.ิ ,ดร. พิสูจนอ์ ักษร พระศรธี รรมภาณี,ดร. พระณรงเดช อธิมุตฺโต,ดร. พมิ พ์ครัง้ ที่ ดร.นายขวญั ตระกูล บทุ ธิจักร จานวนพิมพ์ น.ส.ราตรี รัตนโสภา ISBN : พระณรงค์เดช อธิมตโฺ ต,ดร. นางฉวี สังขเ์ นตร นางชัชนก มณีสธุ รรม :1 : 500 เล่ม เว็บไซต์ : www.vitheebuddha.com ขอ้ มูลทางบรรณานุกรม : พระมหาวิชาญ สุวชิ าโน และคณะ.โรงเรยี นวิถีพทุ ธ Buddhist oriented School.พระนครศรอี ยธุ ยา. สว่ นวางแผนและพฒั นการอบรม มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณาชวิทยาลัย,2562. 182 หนา้ . 1.โรงเรยี นวิถีพุทธ 2.นวั ตกรรมการศึกษาแนวพทุ ธ 3.ชอื่ เรอ่ื ง พิมพท์ ่ี : โรงพิมพม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย ต.ลาไทร อ.วงั นอ้ ย จ.พระนครศรีอยธุ ยา 33170
๓คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ คานา การดาเนินการศึกษาวถิ ีพุทธ เป็นการนาพุทธธรรมมาใชใ้ นการจัดการศึกษาทั้งระบบ ท้ังใน การจัดทาหลักสูตร การจัดการเรยี นการสอน กจิ กรรมพฒั นาผูเ้ รยี น การประเมินผล การแนะแนว และระบบติดตามดูแลช่วยเหลือนกั เรียน เพราะหลักพทุ ธธรรมท้ังปวง ลว้ นเปน็ หลักการพฒั นามนษุ ย์ ซึ่งเปน็ สง่ิ เดียวกับการศกึ ษามุ่งดาเนินการอยู่ หลกั เปา้ หมายของพทุ ธธรรมต้องการพฒั นามนุษย์ให้เป็น มนษุ ยท์ ่สี มบรู ณ์ ท้งั ด้าน กาย สงั คม จิตใจและปัญญา ซึง่ สอดคล้องกบั สง่ิ ท่กี ารศึกษาตอ้ งการพัฒนา เชน่ เดยี วกนั การดาเนนิ การศกึ ษาวถิ ีพุทธในปัจจบุ ัน มุ่งให้การจัดการศึกษาแนววิถีพุทธน้ี สาหรับก้าวสู ศตวรรษท่ี ๒๑ อย่างทันท่วงที และมีความใหม่ ไม่ล้าหลงั สามารถบรู ณาการใหเ้ ขา้ กบั ยุคสมยั ไดอ้ ย่าง ดงี าม และหวงั ว่าการศึกษาวิถพี ุทธ จะเป็นนวัตกรรมดา้ นการศึกษาแกว่ งการศึกษาไทยและของโลก สบื ไป หนังสอื โรงเรยี นวถิ พี ุทธ นี้ ประสงค์จะเปน็ แนวทางการดาเนินงานให้ผูบ้ รหิ าร ครอู าจารย์ นักการศึกษา และนักวิจยั ได้ใช้เปน็ แนวทาง เพื่อสืบคน้ วจิ ยั ธรรมอนั จะเหมาะสมต่อการพฒั นามนุษย์ ให้เป็นมนษุ ยท์ ่สี มบรู ณต์ ่อไป ขอโปรดทา่ นได้ชว่ ยกันต่อยอด และคน้ คว้าแนวคดิ และรูปแบบในการจัด การศึกษาแนวพุทะให้ยงิ่ ใหญ่และพัฒนาต่อๆไปด้วยกนั ในหนงั สือเลม่ นี้ ยังมีอกี หลายส่วนหลายตอน ท่ยี งั ไม่ได้กลา่ วถงึ ดว้ ยเวลาจากดั ซึ่งจะได้พัฒนาปรับปรุงเพ่ิมเตมิ ในครง้ั ต่อไป ขอพระสทั ธรรมของพระสัมมาสมั พทุ ธเจ้า จงสถิตสถาพรช่ัวกาลนาน พระมหาวชิ าญ สวุ ชิ าโน (บวั บาน) ดร.เกษม แสงนนท์ 22 สิงหาคม 2562
๔คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ สารบญั หวั ข้อ หนา้ บทที่ ๑ โรงเรยี นวิถพี ทุ ธคืออะไร ๕ ความหมายของโรงเรียนวถิ ีพุทธ ๕ ความสาคัญของโรงเรยี นวิถีพุทธ ๖ ความเป็นมาและความสาคัญของโรงเรยี นวถิ ีพุทธ ๗ ขั้นตอนการดาเนนิ งานโรงเรยี นวถิ พี ุทธ ๙ ๑๓ บทที่ ๒ หลักธรรมสาหรับการดาเนนิ งานโรงเรียนวิถพี ุทธ ๑๓ ระบบพฒั นาผู้เรยี นดว้ ยไตรสกิ ขา ๑๕ คุณธรรมท่จี ะตอ้ งนามาเสริมลงในกระบวนการเรียนการสอน ๒๐ สรุปหลกั ธรรมในตามกรอบ อัตลักษณ์ ๒๙ ประการ ๒๒ ๒๒ บทท่ี ๓ การเรียนการสอน สื่อการเรยี นรู้ บทบาทครูและนกั เรยี นวิถพี ุทธ ๒๘ รูปแบบการจัดการเรยี นรวู้ ถิ ีพุทธ ๒๙ วธิ ีจดั การเรียนการสอนเชงิ พุทธ ๒๙ พุทธวิธีการสอนแบบต่าง ๆ ๓๐ ๑. รปู แบบการสอน ๓๑ ๒. เทคนิคประกอบการสอน ๓๒ ส่ือการเรียนรวู้ ถิ ีพทุ ธ ๓๘ หลักธรรมสาหรบั ผู้บริหาร ๓๙ บทบาทครตู ่อการจัดการเรียนรู้ ๔๑ บทบาทนกั เรียนต่อการสอน ๔๔ การวัดผลและประเมนิ ผลในโรงเรยี นวถิ ีพุทธ ๔๘ กระบวนการคดิ ด้วยโยนิโสมนสกิ าร ๑๐ วธิ ี ๔๘ ๔๘ บทที่ ๔ การแนะแนวเชิงพุทธ ๕๐ วิธีปฏบิ ัติเกย่ี วกับการแนะแนวเชิงพุทธ ๕๑ การตรวจสอบหรอื การวิเคราะหบ์ ุคคล ๕๒ จุดมงุ่ หมายของชีวิต ๕๕ กระบวนการชว่ ยเหลอื ๕๕ ๕๕ บทที่ ๕ การพัฒนาครใู นโรงเรียนวถิ ีพทุ ธ บทท่ี ๖ การพัฒนาโรงเรียนวถิ ีพุทธ ประเภทโรงเรียนวิถีพทุ ธ 1.โรงเรยี นวถิ พี ทุ ธทวั่ ไป (Buddhist Oriented School)
๕คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ หัวข้อ หนา้ อัตลักษณ์ ๒๙ ประการสู่ความเปน็ โรงเรยี นวถิ ีพทุ ธ ๕๕ การวิเคราะหล์ ักษณะของกจิ กรรม คุณคา่ ปญั หา/อปุ สรรค และแนวทางแก้ไข ๕๙ แนวปฏิบัตทิ ด่ี ขี องอัตลักษณ์ 29 ประการ ๖๒ 2.โรงเรียนวิถีพุทธช้ันนา (The Leading Buddhist Oriented School) ๖๖ คณุ สมบัตแิ ละตัวชีว้ ัดโรงเรยี นวิถพี ุทธช้นั นา ๖๖ ๓.โรงเรยี นวิถีพทุ ธพระราชทาน (The royal award Buddhist Oriented School) ๖๗ กระบวนการคดั เลอื กโรงเรยี นวิถีพุทธพระราชทาน ๖๗ รายละเอียดการเขยี นวตั กรรม ๖๘ มาตรฐานการดาเนินงานโรงเรียนวถิ พี ทุ ธพระราชทาน พ.ศ.๒๕๕๘ ๗๐ บทท่ี ๗ วิถีพุทธกับการเรยี นรใู้ นศตวรรษท่ี ๒๑ ๙๓ ทักษะแห่งศตวรรษท่ี ๒๑ ๙๔ แนวทางในการพัฒนาทักษะศตวรรษท่ี ๒๑ ด้วยหลกั ธรรมทางพทุ ธศาสนา ๙๕ บทที่ ๘ การบริหารโรงเรียนวถิ พี ุทธ ๙๖ หลกั การบรหิ ารทว่ั ไป ๙๖ ๑. ทฤษฎีการบรหิ ารแบบคลาสสคิ (Classical Management Approach) ๙๖ ๒. ทฤษฎกี ารบริหารจดั การ (Administrative Management) ๙๘ ๓. ทฤษฎีการบริหารเชงิ ระบบ (Systems Theory) ๙๙ ๔. ทฤษฎอี งค์การแหง่ การเรยี นรู้ (Learning Organization Theory) ๑๐๐ หลักการบรหิ ารสถานศกึ ษา ๑๐๐ ๑. ความหมายของการบริหารสถานศึกษา ๑๐๑ ๒. ภารกจิ การบริหารสถานศึกษา ๑๐๑ กระบวนการบริหารสถานศึกษา ๑๐๒ แนวทางการบริหารสถานศกึ ษาสมยั ใหม่ ๑๐๒ ๑. บรหิ ารอย่างมธี รรมาภิบาล (Good Governance) ๑๐๒ ๒. การบริหารแบบ POLC ๑๐๓ ๓. การบรหิ ารคณุ ภาพภายใน (PDCA) ๑๐๓ ๔. การบรหิ ารโดยใช้โรงเรียนเปน็ ฐาน (School Based Management : SBM) ๑๐๕ ๕. การบรหิ ารแบบม่งุ ผลสัมฤทธ์ิ (Result Based Management: RBM) ๑๐๗ แนวทางการบริหารโรงเรียนวิถพี ทุ ธ ๑๐๘
๖คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ หวั ข้อ หนา้ รูปแบบการบรหิ ารโรงเรียนวถิ ีพทุ ธ ๑๑๓ ๑. การจัดการเรียนการสอน และสือ่ การศกึ ษา ๑๑๓ ๒. การจดั บรรยากาศโรงเรียน ๑๑๔ ๓. ดา้ นการจดั กิจกรรมพน้ื ฐานชวี ติ ๑๑๕ ๔. การจัดกจิ กรรมทางพระพุทธศาสนา ๑๑๗ บทท่ี ๙ ศนู ย์การเรียนรโู้ รงเรยี นวิถีพุทธ ๑๑๘ นิยาม ของคาวา่ ศนู ย์การเรียนรู้โรงเรียนวิถีพุทธ ๑๑๘ องคป์ ระกอบหลักของศนู ยก์ ารเรยี นรูโ้ รงเรยี นวิถพี ุทธ ๑๑๘ เครอื ขา่ ยโรงเรยี นวถิ ีพทุ ธ ๑๒๖ แนวทางการดาเนินการจัดตั้งเครอื ขา่ ยโรงเรยี นวิถีพุทธ ๑๒๗ องคป์ ระกอบเครือข่ายโรงเรยี นวถิ พี ทุ ธ ๑๒๘ ประโยชนข์ องเครอื ข่ายโรงเรยี นวิถพี ุทธ ๑๒๘ บทท่ี ๑๐ นวตั กรรมวิถีพุทธ ๑๒๙ การขบั เคล่ือนพฒั นาโรงเรียนวิถพี ุทธระดบั เขตพ้ืนทีก่ ารศกึ ษา ภาคผนวก ๑๕๗ ก.เอกสารเก่ียวกบั โครงการโรงเรยี นวถิ พี ทุ ธ ๑๖๔ - รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทยท่เี ก่ยี วข้องการศึกษาและศาสนาพุทธ ๑๖๕ - มติมหาเถรสมาคมให้สง่ เสริมและสนบั สนนุ โรงเรียนวิถีพุทธ ๑๖๖ - กฎหมาย/แผนพัฒนาประเทศ/ข้อบัญญัติ ท่เี ออ้ื อานวยต่อการจัดการศึกษา วถิ พี ทุ ธ ๑๖๘ ข. ตัวชวี้ ดั วิถีพุทธในสังกัดตา่ ง ๆ ๑๗๐ ค. ป้ายสถานศึกษาวถิ ีพุทธ ๑๗๔ ง. อตั ลักษณส์ ถานศึกษาอาชีวะวถิ พี ุทธ ๑๗๗ บรรณานุกรม ๑๘๑
๗คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ บทท่ี ๑ โรงเรียนวิถพี ทุ ธคืออะไร ความหมายของโรงเรียนวิถีพุทธ วิถีพุทธ คือการดาเนินชีวิตแบบผู้รู้ตามหลักธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยวิถีทางที่ดี และประเสริฐนั้น เรียกว่า มรรค 8 ซ่ึงเป็นคาส่ังสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นส่ิงที่ให้ผลได้ไม่ จากัดกาล ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว จึงพอสรุปได้ว่า วิถีพุทธท่ีแท้จริง ไม่จาเป็นต้องได้รับคาส่ังจาก หน่วยงานใดจงึ จะเปน็ วิถีพุทธได้ ถ้าความเป็นพุทธฝังอยู่ในจติ วิญญาณ การพดู การทาต้องออกมาดี มี เหตุมีผล สังคมไทยมีโรงเรียนให้เด็กได้เรียนรู้วิชาการ แต่ปัจจุบันโรงเรียนต้องเป็นเบ้าหลอมทาง ศีลธรรมไปพร้อมกัน เพื่อฝึกอบรมผู้เรียนให้มีวิถีชีวิตแบบพุทธในสถานศึกษา และเกิดการพัฒนาจน กลายเป็น \"วัฒนธรรม\" แล้วนาออกไปใช้ในนอกสถานศึกษา น่ันก็คือบทสรุปเก่ียวกับการแก้ปัญหา ดา้ นตา่ ง ๆ ท่ีไมต่ อ้ งลงทนุ อะไรมากมาย โรงเรียนวิถีพุทธ คือ โรงเรียนระบบปกติท่ัวไปที่นาหลักธรรมพระพุทธศาสนามาใช้ หรือ ประยุกต์ใช้ในการบรหิ ารและการพฒั นาผูเ้ รยี นโดยรวมของสถานศึกษา เนน้ กรอบการพฒั นาตามหลัก ไตรสิกขา อย่างบูรณาการเป็นโรงเรียนท่ีสอน และฝึกให้ผู้เรียน กิน อยู่ ดู ฟังเป็น ถ้าทาอย่างจริงจัง ต่อเน่ืองผู้เรียนจะต้องได้รับการพัฒนาท้ัง 4 ด้าน คือ กาย (กายภาวนา) สังคม (ศีลภาวนา) จิต (จิต ภาวนา)และปญั ญา (ปัญญาภาวนา) ๑ โรงเรียนวิถีพุทธ (อังกฤษ: Buddhist Oriented Schools) หมายถึง โรงเรียนที่เน้นการ นาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาตามหลักไตรสิกขามาบูรณาการประยุกต์ใช้ในการบริหาร และการ พัฒนาผู้เรียนในภาพรวมของสถานศึกษา โดยเน้นกรอบการพัฒนาตามหลักไตรสิกขา ผ่าน กระบวนการทางวัฒนธรรม แสวงหาปัญญา และมีเมตตา๒ เพ่ือมุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนให้สอดคล้องกับ จดุ เน้นการพัฒนาของประเทศ๓ ๑ กระทรวงศึกษาธิการ, แนวทางการดาเนินงานโรงเรียนวิถีพุทธ. (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์องค์การ รับสง่ สินคา้ และพัสดุภัณฑ(์ ร.ส.พ.),2546), หนา้ ๙ - ๓๗ ๒. สานักเลขาธิการมหาเถรสมาคม. (๒๕๕๗). มติมหาเถรสมาคม คร้ังที่ ๑๓/๒๕๔๗ มติท่ี ๒๐๗ เร่ือง ส่งเสริมและสนบั สนุนโรงเรียนวิถีพุทธ. [ออน-ไลน์]. เข้าถึงแหล่งข้อมูลไดจ้ าก : www.mahathera.org . เข้าถึงเมื่อ ๑๔ ก.ย. ๒๕๖๑. ๓. คณะกรรมการพัฒนานวัตกรรมการศึกษา. (๒๕๕๗). โรงเรียนวิถีพุทธ . [ออน-ไลน์]. เข้าถึงแหล่งข้อมูล ไดจ้ าก : www.moe.go.th . เขา้ ถึงเมือ่ ๑๔ ก.ย. ๒๕๖๑.
๘คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ โรงเรียนวิถีพุทธ ดาเนินการพัฒนาผู้เรียนโดยใช้หลักไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา อย่าง บรู ณาการ ผเู้ รียนไดเ้ รยี นรผู้ า่ นการพัฒนา “การกนิ อยู่ ดู ฟงั เป็น ” คอื มีปัญญารูเ้ ขา้ ใจในทางคุณค่า แท้ใช้กระบวนการทางวัฒนธรรมแสวงปัญญา และมีวัฒนธรรมเมตตา เป็นฐานการดาเนินชีวิตโดยมี ผ้บู ริหารและคณะครูเปน็ กลั ยาณมิตรการพฒั นา การจัดสภาพของโรงเรียนวิถีพุทธ ประกอบด้วย ด้านกายภาพ คือ อาคารสถานที่ ห้องเรียน แหล่งเรียนรู้ สภาพแวดล้อม เป็นต้น ด้านกิจกรรมพ้ืนฐานวิถีชีวิต เช่น กิจกรรมประจาวัน กิจกรรม วันสาคัญ กิจกรรมนักเรียนต่าง ๆ ด้านการเรียนการสอน เริ่มต้ังแต่การกาหนดหลักสูตรสถานศึกษา การจัดหน่วยการเรียน แผนการจัดการเรียนรู้ จนถึงกระบวนการเรียนการสอน ด้านบรรยากาศ และปฏิสัมพันธ์ในการปฏิบัติต่อกันระหว่างครูกับนักเรียน นักเรียนกับนักเรียน หรือครูกับครู เป็นต้น และ ด้านการบริหารจัดการ ตั้งแต่การกาหนดวิสัยทัศน์ จุดเน้น การกาหนดแผนปฏิบัติการ การ สนับสนุน ติดตาม ประเมินผล และพัฒนาต่อเน่ือง ซ่ึงการจัดสภาพในแต่ละด้านจะมุ่งเพ่ือให้การ พัฒนานักเรียนตามระบบไตรสิกขาดาเนินได้อย่างชัดเจนมีประสิทธิภาพ ดังเช่น การจัดด้านกายภาพ ควรเป็นธรรมชาติ สภาพชวนให้มีจิตใจสงบ ส่งเสริมปัญญา กระตุ้นการพัฒนาศรัทธา และศีลธรรม กิจกรรมพ้ืนฐานวิถีชีวิต กระตุ้นให้การกิน อยู่ ดู ฟัง ดาเนินด้วยสติสัมปชัญญะเป็นไปตามคุณค่าแท้ ด้านการเรียนการสอน บูรณาการพุทธธรรมในการจัดเรียนรู้ชัดเจน ด้านบรรยากาศและปฏิสัมพันธ์ เอื้ออาทร เปน็ กัลยาณมิตรต่อกนั สง่ เสริมท้งั วัฒนธรรมเมตตา และวัฒนธรรมแสวงปัญญา เป็นตน้ ๔ ความสาคญั ของโรงเรียนวถิ ีพทุ ธ โรงเรยี นวิถพี ุทธ เปน็ โรงเรยี นรูปแบบใหม่ ทจี่ ะชว่ ยผลักดันให้เด็กและเยาวชนไทยสามารถ พฒั นาตามศกั ยภาพ เปน็ คนดี คนเก่ง และสามารถดารงชวี ิตได้อย่างมคี วามสขุ เปน็ แนวทางปฏิรปู โดยแทท้ ยี่ ึดหลกั ไตรสิกขา เป็นองคร์ วม เปา้ หมายในการพัฒนาทรัพยากรบุคคลใหเ้ รียนรตู้ ลอดชีวิต ประสานประโยชน์ให้สังคม ลักษณะโรงเรยี นวิถีพุทธ เน้นการจดั สภาพทกุ ๆ ดา้ นเพื่อสนบั สนนุ ให้ ผเู้ รียนพฒั นาตนเองตามหลักพทุ ธธรรมอย่างบูรณาการ ส่งเสรมิ ให้เกิดความเจริญงอกงาม ตาม ลักษณะแห่งปญั ญาวฒุ ิธรรม ๔ ประการคือ ๑. สัปปรุ ิสังเสวะ การอยู่ใกล้คนดี ใกล้ผรู้ ู้ มีครู อาจารยด์ ี มีข้อมูลที่ดี ๒. สทั ธมั มสั สวนะ การเอาใจใส่ศกึ ษา โดยมีหลักสูตรการเรียนการสอนทด่ี ี ๓. โยนโิ สมนสิการ มีกระบวนการคิดวเิ คราะห์หาเหตุผลท่ดี ี และถกู วธิ ี ๔. ธมั มานธุ ัมมปตั ติ สามารถนาความรู้ไปใชใ้ นชีวิตไดอ้ ยา่ งถูกต้อง เหมาะสม๕ โรงเรียนวิถีพุทธดาเนินการพัฒนาผู้เรียนโดยใช้หลักไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา อย่าง บูรณาการ ผู้เรียนได้เรียนรู้ผ่านการพัฒนา “การกิน อยู่ ดู ฟัง เป็น” คือ มีปัญญารู้เข้าใจในคุณค่าแท้ ใช้กระบวนการทางวัฒนธรรมแสวงหาปัญญา และมีวัฒนธรรมเมตตาเป็นฐานการดาเนินชีวิต ๔. คณะกรรมการพัฒนานวัตกรรมการศึกษา, โรงเรียนวิถีพุทธ, [ออนไลน์], เข้าถึงแหล่งข้อมูลได้จาก: http://www.moe.go.th/5TypeSchool/school_bud.htm , เขา้ ถงึ เมือ่ ๑๔ ก.ย. ๒๕๖๑. ๕. คณะกรรมการพัฒนานวัตกรรมการศกึ ษา. (๒๕๕๗). โรงเรียนวิถีพทุ ธ . [ออน-ไลน]์ . เข้าถงึ แหล่งข้อมูล ได้จาก : www.moe.go.th . เขา้ ถึงเมอ่ื ๑๔ ก.ย. ๒๕๖๑.
๙คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ โดยมีผู้บริหาร และคณะครูเป็นกัลยาณมิตร ช่วยกันพัฒนาดาเนินการจัดการศึกษาให้ผู้เรียนมีวิถีการ ทางาน วิถชี ีวติ วิถกี ารเรยี นรู้ วถิ ีวฒั นธรรมตา่ ง ๆ ตามหลัก “ไตรสกิ ขา” ท่นี าไปสู่ “ปญั ญา” วถิ ีชวี ติ ท่ดี งี ามตามหลักไตรสิกขาท้งั ๓ ดา้ น ศีล (พฤติกรรม) มีกิริยามารยาท กิน อยู่ ดู ฟัง เป็นรู้จักพิจารณาเลือกเสพสิ่งบริโภค และส่ือ ตา่ ง ๆ ใหเ้ กดิ ประโยชน์ดว้ ยปัญญารู้จกั ความพอดี พอประมาณ ในการแสวงหาบรโิ ภค สะสมสิ่งตา่ ง ๆ ปฏิบัตติ ามระเบยี บ กฎเกณฑ์ภายนอกท่ีถูกต้องเพ่ือให้เกิดวนิ ัยในตนเองไม่เบียดเบยี นตนเอง และผอู้ ื่น โดยมีศลี ๕ เป็นพื้นฐานในการดาเนนิ ชีวิตมีชีวิตที่สัมพันธ์ดว้ ยดีกับบุคคล ครอบครวั ชมุ ชน สังคมและ สิ่งแวดลอ้ ม จติ ใจ (สมาธ)ิ มีสมรรถภาวะทดี่ ี คอื มีสมาธิ มีความตั้งม่ัน เข้มแขง็ ม่งุ มน่ั ทาดี ดว้ ยจิตใจกล้า หาญ อดทน สู้ส่ิงยาก ขยันหม่ันเพียร ไม่ย่อท้อสามารถฟันฝ่าอุปสรรคผ่านความยากลาบากไปได้ พ่ึงตนเองได้มีคุณภาวะ คือ มีความกตัญญูรู้คุณ มีจิตใจเมตตา กรุณาโอบอ้อมอารีมีน้าใจ ละอายช่ัว กลัวบาป ซื่อสัตย์ รับผิดชอบ กล้ารับผิด เกิดจิตท่ีเป็นบุญกุศลอย่างสม่าเสมอ มีสุขภาวะที่ดี คือมีความสุข ความร่าเริง เบิกบาน มองโลกในแง่ดี มีกาลังใจ เกิดแรงบันดาลใจในการเรียนรู้ ในการร่วมกจิ กรรมงานตา่ ง ๆ ปัญญา มีศรัทธาเลื่อมใสและมีความเข้าใจในพระรัตนตรัย ในกฎแห่งกรรม และในหลักบาป บุญคุณโทษมีทักษะและอุปนิสัยในการเรียนรู้ทีดี จูงใจ ใฝ่รู้ รู้จักการค้นคว้า การจดบันทึกให้เกิดการ เรียนรู้จากการปฏิบัติจริง การคิดวิเคราะห์ประมวลผล สามารถนาเสนอถ่ายทอดได้ทั้งแบบกลุ่มและ รายบุคคล มีทักษะชีวิตเท่าทันต่อสิ่งเร้าภายนอก และกิเลสภายในตนสามารถแก้ปัญหาชีวิตได้ สามารถนาหลักธรรมไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการดาเนินชีวิตได้มีฐานชีวิตที่ดีมีทัศนคติท่ีดีต่อการ ปฏิบัติธรรม เกิดปัญญาเข้าใจในสัจธรรมในชีวิตได้ตามวุฒิภาวะของตน สามารถต่อยอดพัฒนาไปสู่ การปฏิบตั ิธรรมให้เกดิ ความเจริญงอกงามในธรรมทส่ี ูงย่งิ ขน้ึ ไป๖ ความเปน็ มาและความสาคัญของโรงเรียนวิถพี ุทธ สืบเน่ืองมาจากที่กระทรวงศึกษาธิการจัดการประชุมเร่ือง “หลักสูตรใหม่เด็กไทยพัฒนา” ณ สถาบันราชภัฎสวนดุสิต เม่ือวันท่ี ๒๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ ซึ่งมี ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ให้เกียรติเป็นประธาน ที่ประชุมได้หารือถึงโรงเรียนที่จัดการศึกษาเพื่อ สนองตอบความสามารถที่แตกต่างกันของบุคคล เพ่ือนาพาเด็กและเยาวชนไทย ก้าวทันความ เปล่ียนแปลงของโลกอย่างไร้ขีดจากัดโรงเรียนวิถีพุทธเป็นหนึ่งในโรงเรียนรูปแบบใหม่ ที่จะช่วย ผลักดันให้เด็กและเยาวชนไทยสามารถพัฒนาตามศักยภาพ เป็นคนดี คนเก่งของสังคม และสามารถ ดารงชีวิตได้อย่างมีความสุข กระทรวงศึกษาธิการนาความเห็นของที่ประชุมมาหารืออีกหลายครั้ง อีกทั้ง ดร.สิริกร มณีรินทร์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และคณะได้ไปกราบขอ คาแนะนาเรื่องการจัดโรงเรียนวิถีพุทธ จากพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต(สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์)) ณ วัดญาณเวศกวัน เม่ือวันท่ี ๑-๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖ นอกจากน้ันยังมีข้าราชการระดับสูง ๖ สว่ นวางแผนและพฒั นาการอบรม สถาบันวปิ ัสสนาธรุ ะ มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อ.วัง น้อย จ.พระนครศรีอยุธยา, รูปแบบของโรงเรียนวิถีพุทธ, [ออน-ไลน์]. เข้าถึงแหล่งข้อมูลได้จาก : http://www.vitheebuddha.com/main.php?url=about&id=38, เขา้ ถึงเมอื่ ๑๔ ก.ย. ๒๕๖๑.
๑๐คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ ได้ไปกราบขอคาแนะนาในเรื่องเดียวกันนี้จากพระเทพโสภณ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต(พระพรหมบัณฑิต)) อดีตอธกิ ารบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั รวมทั้งนิมนต์ทา่ นมาให้ข้อคิดในการประชุม ระดบั ความคดิ คร้ังแรก วันที่ ๒๖-๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖ เป็นการประชุมหารือเร่ืองโรงเรียนวิถีพุทธ เป็นครั้งแรกมี พระภิกษุ,คฤหัสถ์ ผู้ทรงคุณวุฒิ มาประชุมประมาณ ๕๐ รูป/คน ได้ข้อสรุปเบื้องต้นถึงหลักสาคัญของ การจัดโรงเรียนวถิ ีพุทธวนั ท่ี ๑-๔ เมษายน ๒๕๔๖ เป็นการประชุมหารอื ครั้งที่ ๒ มี พระภิกษุและคฤหัสถ์ รวมทั้งผู้ทรงคุณวุฒิ มาร่วมกาหนดแนวทางการดาเนินการต่อจากหลักการ ท่ไี ดส้ รุปไวแ้ ลว้ จากการประชุมใหญ่ ๒ ครั้ง ทาใหไ้ ด้ข้อสรุปโรงเรยี นวถิ ีพุทธในเรื่องภาพสรุปโรงเรียนวิถีพุทธ กรอบความคิดรูปแบบโรงเรียนวิถีพุทธ แนวทางการดาเนินงานโรงเรียนวิถีพุทธ และแนวทางการ บรหิ ารโครงการโรงเรียนวิถพี ทุ ธ๗ การดาเนินกิจกรรมด้านวิถีพุทธในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ หรือหน่วยงานต่าง ๆ เป็นการพัฒนาชีวิตบุคคลให้ถึงความสมบูรณ์และสร้างสรรค์อารยะธรรมท่ีส่งเสริมให้ระบบ ความสมั พันธข์ องสรรพส่ิงเจรญิ งอกงามไปในวิถีทางท่ีเกื้อกลู กนั ยิง่ ขน้ึ ๆ การศึกษาทแี่ ทค้ ือ การพัฒนา ชีวิตบุคคลให้สมบูรณ์พร้อมไปด้วยกันกับการสร้างสรรค์อารยะธรรมท่ีย่ังยืน นักการศึกษาที่ยึดมั่นใน หลักของวถิ ีพทุ ธด้านพระพุทธศาสนา กพ็ ยายามพิจารณาตรวจสอบปัญหาตา่ ง ๆ อยา่ งใกลช้ ดิ ใช้หลกั ศาสนานามาประยุกต์ใช้กับการศึกษา เราก็เร่ิมเห็นปัญหาและสาเหตุแห่งปัญหาอย่างชัดเจนว่า การศึกษาท่ีขาดดุลยภาพเป็นสาเหตุแห่งวิกฤตการณ์ในด้านต่าง ๆ จึงได้หันกลับมาพิจารณากันว่า การจัดการเรียนการสอนในอนาคตมีความจาเป็นต้องสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้นจึงมีความเหน็ พ้องกัน ว่าควรจะปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอน โดยได้นาเอาหลักการของพระพุทธศาสนาเป็นพื้นฐาน ในดา้ นการเรยี นการสอนโดยมุง่ ส่งเสรมิ กิจกรรมดา้ นวถิ พี ทุ ธ ด้วยต้ังความหวังร่วมกันว่า การจัดการเรียนการสอนด้านวิถีพุทธอันมีพระพุทธศาสนาเป็น พื้นฐาน เพราะพระพุทธศาสนาเหมาะสมอย่างยิ่งกับสังคมไทย ก็จะก่อให้เกิดดุลยภาพแห่งการศึกษา และการพัฒนาสังคมเพราะพระพุทธศาสนา ในส่วนของวิถีพุทธ มีหลักธรรมที่แน่นอนเป็นหลกั ในการ ดาเนินชีวิต เช่น ศีล ๕ ก็ควบคุมการดารงชีวิตของแต่ละบุคคลและเชื่อม่ันว่าการศึกษาท่ีสมดุลและ การพัฒนาที่สมบูรณ์ เช่นนี้จะเป็นพลวะปัจจัยให้เกิดสังคมท่ีปกติสุขท่ี มนุษย์ สัตว์ ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม จะอยู่ร่วมกัน และพึ่งพาอาศัยกันด้วยสันติ บนพ้ืนฐานแห่งความเมตตาธรรม อันเป็นแกนนาแห่งสัมพันธ์ภาพท่ีไร้พรมแดนเพราะอาศัยหลักการทางพระพุทธศาสนาเป็นแนวทาง นามาซง่ึ สขุ ของสรรพส่งิ ทัง้ ปวง การศึกษาตามแนววิถีพุทธที่มุง่ เน้นหลักพระพุทธศาสนาเปน็ การศึกษา ระบบกลั ยาณมิตรระหวา่ งครูกับศิษย์ ซึง่ ในปัจจุบันครกู ับศิษย์มีความปฏสิ ัมพนั ธ์ในด้านต่าง ๆ หา่ งกัน มาก ครทู าหนา้ ทเ่ี พียงบรรยาย(สิปปทายก) แล้วกจ็ บออกไป ๗ ส่วนวางแผนและพฒั นาการอบรม สถาบันวปิ ัสสนาธุระ มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย อ.วัง น้อย จ.พระนครศรีอยุธยา, รูปแบบของโรงเรียนวิถีพุทธ, [ออน-ไลน์]. เข้าถึงแหล่งข้อมูลได้จาก : http://www.vitheebuddha.com/main.php?url=about&id=38, เขา้ ถึงเมอ่ื ๑๔ ก.ย. ๒๕๖๑.
๑๑คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ โอกาสที่ครูและศิษย์จะมีปฏิสัมพันธ์ทางความรู้ก็ไม่มีซ่ึงแตกต่างกับการศึกษาสมัยก่อน แบบตะวันออก เช่น การเรียนแพทย์ แพทย์ท่ีมีช่ือเสียง เช่น หมอชีวกโกมารภัจจ์ ไปเรียน ท่ีเมืองตักสิลา หลักสูตร ๑๔ ปี ต้องเรียนวิชาการแพทย์ ๗ ปี อยู่ปรนนิบัติรับใช้อาจารย์อีก ๗ ปี ได้รับการถ่ายทอดความรู้ความประทับใจในจรรยาบรรณต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวกับการแพทย์ รวมท้ังศีลธรรม ท่ีได้รับการถ่ายทอดมาด้วยนี้คือการสอนแบบตะวันออกและเป็นระบบที่ปฏิบัติในพระพุทธศาสนา จนถงึ ทกุ วนั นี้ ในปัจจุบันนี้ เพราะแนวคิดและค่านิยมแบบตะวันตก รวมถึงการศึกษาสมัยใหม่เข้ามามี บทบาทโดยเน้นปรัชญาการศึกษาตามรูปแบบทางตะวันตกมากเกินไป โดยไม่คานึงถึงวัฒนธรรม พ้นื ฐานของสังคมไทย ทาใหเ้ กิดการทวนกระแสระหว่างปรัชญาการศกึ ษาตะวนั ตกและวัฒนธรรมไทย เพราะเหตุน้ี การศึกษาแก้ไขปัญหาของสังคมดังกล่าว ตัวแปรท่ีสาคัญก็คือการจัดการศึกษาให้ถูกต้อง โดยใหเ้ หมาะสมกับวัฒนธรรมของสังคมไทย น่ันคือการจัดการศกึ ษาโดยอาศัยแนวคดิ ของ “การศึกษา เชิงพุทธ” ตามแนววิถีพุทธ ซึ่งเป็นการศึกษาที่จะต้องเน้นระบบกัลยาณมิตร และความสมดุลระหว่าง ความเจรญิ ทางดา้ นวัตถกุ ับจิตใจควบคู่กนั ไป โดยบุคคลท่ีได้รับการศึกษาด้านนี้จะได้รับผลตามความมุ่งหมายของการศึกษาทั้งในแง่ คุณสมบัติประจาตัวกล่าวคือ มีปัญญาและกรุณา ซ่ึงเป็นผลจากการศึกษาในแง่ของทฤษฎีเชิงพุทธ สามารถดับความทะยานอยากส่ิงของที่เกินความจาเป็นได้และในแง่ของการดาเนินชีวิต จะสามารถ ฝึกฝน อบรม ตนเองได้ดีทั้งในด้านร่างกาย และจิตใจ สมบูรณ์ด้วยวิชาและจรณะ และจะสามารถ บาเพ็ญตนเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นได้ ทั้งในด้านวัตถุและจิตใจน่ันก็คือ การบรรลุถึงความไม่เห็นแก่ตัว ซง่ึ จะนาไปส่ภู าพรวมของการพฒั นาทางสงั คมโดยอาศัยแนวคดิ การศึกษาเชงิ พุทธตามแนววถิ ีพุทธเป็น หลักในการจัดการศึกษา เพอื่ การศกึ ษาท่ีสมบรู ณ์และเพื่อความสงบสุขของสังคมไทยในยุคโลกาภิวัตน์ ต่อไป ๘ ขั้นตอนการดาเนินงานโรงเรยี นวิถพี ุทธ การพัฒนาสู่โรงเรียนวิถีพุทธท่ีชัดเจนมีประสิทธิภาพ จาเป็นต้องพิจารณาองค์ประกอบและ ลาดับขั้นตอนท่ีเป็นระบบ และลาดับข้ันตอนขององค์ประกอบต่อไปน้ีเป็นข้อเสนอเชิงตัวอย่างท่ี สถานศึกษาสามารถนาไปพิจารณาปรบั ใช้ได้ตามความเหมาะสม ซ่งึ ประกอบด้วยข้นั ตอนดังตอ่ ไปน้ี 1. ขนั้ เตรยี มการ: ทจี่ ะใหก้ ารจดั โรงเรียนวิถีพุทธดาเนินไปโดยสะดวกดว้ ยศรทั ธาและฉันทะ 2. ข้ันดาเนินการจัดสภาพและองค์ประกอบ: ท่ีจะเป็นปัจจัย เป็นกิจกรรม เป็นเครื่องมือสู่ การพัฒนาผ้เู รยี นไดอ้ ยา่ งเหมาะสมสอดคล้องกับลักษณะแห่งปัญญาวฒุ ิธรรม ๓. ขั้นดาเนินการพัฒนาผู้เรียนและบุคลากรตามระบบไตรสิกขา: ซึ่งเป็นข้ันตอนท่ีเป็นหัวใจ ของการดาเนนิ การโรงเรยี นวิถพี ุทธ ซึง่ ต้องดาเนนิ การอยา่ งต่อเนื่อง ๘ ส่วนวางแผนและพฒั นาการอบรม สถาบันวปิ ัสสนาธุระ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย อ.วัง น้อย จ.พระนครศรีอยธุ ยา, เอกสารประกอบการสัมมนาโรงเรียนวิถีพุทธชั้นนา รุ่นที่ 8 (พระนครศรอี ยธุ ยา : จุฬา บรรณาคาร, ๒๕๕๙), หน้า ๒๕- ๒๖
๑๒คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ ๔. ขั้นดูแลสนับสนุนใกล้ชิด: ท่ีจะช่วยให้การดาเนินการทุกส่วนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยท่าทีความเป็นกลั ยาณมิตร ๕. ข้ันปรับปรุงและพัฒนาต่อเน่ือง: ที่จะเน้นย้าการพัฒนาว่าต้องมีมากข้ึน ๆ ด้วยหลักธรรมอทิ ธิบาท ๔ และอปุ ัญญาตธรรม 2 ๖. ขั้นประเมินผล และเผยแพร่ผลการดาเนินการ: ท่ีจะนาข้อมูลผลการดาเนินงาน สู่การเตรียมการที่จะดาเนินการในรอบปีต่อไป หรือใช้กับโครงการต่อเนื่องอื่นและนาผลสรุปจัดทา รายงานผลการดาเนินงานแจ้งแกผ่ ู้เกย่ี วขอ้ งให้ทราบ ขัน้ ตอนการดาเนินงานโรงเรียนวิถพี ุทธ 6 ขน้ั ตอน๙ ดังแสดงแผนภาพ ดังนี้ จากแผนภาพ ขั้นตอนการบริหารจัดการโรงเรียนวิถีพุทธ 6 ขั้นตอน แต่ละขั้นตอน มแี นวทางการดาเนนิ งาน ดังนี้ ๑. การเตรียมการ เป็นขั้นตอนความพยายามที่จะเตรียมส่งิ ที่จะทาใหก้ ารดาเนินการพัฒนา เป็นไปไดโ้ ดยสะดวก ซึ่งมีประเด็นสาคญั ท่ีต้องคานงึ ถึงในการเตรยี มการ เชน่ 1) การหาท่ีปรึกษา แหล่งศึกษา และเอกสารข้อมูลต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างย่ิงท่ี ปรึกษาทีเ่ ปน็ กัลยาณมติ รในการพัฒนาวิถีพทุ ธ ซ่งึ อาจจะเปน็ พระภกิ ษหุ รือคฤหสั ถ์ ทีเ่ ปน็ ผูท้ รงคุณวุฒิ ๙ กระทรวงศึกษาธิการ, แนวทางการดาเนินงานโรงเรียนวิถีพุทธ, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์องค์การ รบั สง่ สนิ ค้าและพัสดุภัณฑ(์ ร.ส.พ.),2546) หนา้ 18
๑๓คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ มีศรัทธาและความรู้ชัดในพุทธธรรม ถ้าเป็นคฤหัสถ์ควรเป็นแบบอย่างใน สังคมได้ เช่น เป็นผู้ไม่ข้องแวะในอบายมุข เป็นผู้ทรงศีล ผู้ปฏิบัติธรรม เป็นต้น ที่ปรึกษาจะมีความจา เป็นมากโดยเฉพาะในระยะเรม่ิ ของการพฒั นา 2) การเตรยี มบุคลากร คณะกรรมการสถานศึกษา นักเรียน ผู้ปกครอง และชุมชน ให้มีความตระหนักในคุณประโยชน์ท่ีจะเกิดข้ึน ให้เกิดศรัทธาและฉันทะในการร่วมกันพัฒนาโรงเรียน วิถีพุทธ ด้วยปัญญารเู้ ข้าใจทิศทาง จากศรัทธาและฉันทะการพัฒนาร่วมกัน ความสาเร็จในการพฒั นา คาดหมายไดว้ า่ จะเกิดขึ้นได้ไม่ยาก สาหรบั วิธีการเตรยี มผูเ้ กย่ี วขอ้ งนีส้ ามารถดาเนนิ การได้หลากหลาย ต้ังแต่วิธีท่ัวไป เช่น การประชุมช้ีแจง การสัมมนา จนถึงการประชาสัมพันธ์ท่ีหลากหลาย การร่วมกัน ศกึ ษาดูงาน เปน็ ตน้ 3) การกาหนดเป้าหมาย จุดเน้น หรือวิสัยทัศน์ และแผนงาน ที่ชัดเจนทั้งระยะ ยาวและแผนปฏิบัติการรายปีก็ตามที่ผู้เก่ียวข้องเห็นพ้องกัน จะเป็นหลักประกันความชัดเจนในการ ดาเนินการพัฒนาโรงเรียนวถิ พี ุทธได้อยา่ งดี อนั เป็นสว่ นสาคัญของการเตรยี มการทีด่ ี ๒. การดาเนินการจัดสภาพและองค์ประกอบ เป็นการดาเนินการจัดปัจจัยต่าง ๆ ของการพัฒนาผู้เรียน ซึ่งประกอบไปด้วยสภาพท้ังกายภาพและองค์ประกอบต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องอันจะ นาสู่การเป็นปัจจัยในการพัฒนาผู้เรียนตามหลักปัญญาวุฒิธรรม 4 ประการ คือ 1. การอยู่ใกล้คนดี ใกล้ผู้รู้ มีข้อมูล มีส่ือที่ดี (สัปปุริสสังเสวะ) 2. การใส่ใจศึกษาเล่าเรียน โดยมีฐานของหลักสูตร การ เรียนการสอนท่ีดี (สัทธัมมัสวนะ) 3. การมีกระบวนการคิดที่ดี คิดถูกวิธี โดยมีสภาพและบรรยากาศที่ ส่งเสริม (โยนิโสมนสิการ) 4. ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม หรือนาความรู้ไปใช้ในชีวิตได้เหมาะสม (ธมั มานธุ มั มปฏปิ ัตติ) สภาพและองค์ประกอบที่สาคัญท่จี าเปน็ ตอ้ งจดั ส่งเสรมิ ใหเ้ กดิ วถิ ีพุทธ ตัวอยา่ งเช่น ๑) หลักสูตรสถานศึกษา หน่วยการเรียน และแผนการจัดการเรียนรู้ ซึ่งเป็น องค์ประกอบสาคัญของการเรียนการสอนท่ีโรงเรียนวิถีพุทธควรคานงึ ถึงอย่างยิ่ง แนวคิดหนึ่งของการ จัด คือการบูรณาการหลักธรรมทั้งท่ีเป็นความรู้ (K) ศรัทธา ค่านิยม คุณธรรม (A) และการฝึกปฏิบัติ หลักธรรม (P) ในการเรียนการสอนโดยอาจกาหนดในระดับจุดเน้นหลักสูตรสถานศึกษาที่แทรกในทกุ องค์ประกอบหลักสูตรสถานศึกษา หรอื กาหนดในระดับหน่วยการเรยี นรู้ หรือแผนการจดั การเรยี นรู้ ที่ ครูจะนาสกู่ ารจัดการเรยี นรู้ต่อไป ๒) การเตรียมกิจกรรมนักเรียน ท่ีโรงเรียนต้องคิดและกาหนดให้เหมาะสมกับ ผู้เรียนของตนมากท่ีสุด ซึ่งลักษณกิจกรรมท่ีกาหนดมีหลากหลายทั้งที่เป็นกิจกรรมประจาวัน ประจา สัปดาห์หรือประจาโอกาสต่าง ๆ และกิจกรรมวิถีชีวิต ซึ่งถ้าโรงเรียนเลือกกาหนดและเตรียมการไว้ ล่วงหน้า จะช่วยส่งเสริมการเรยี นรู้ของผู้เรียน อีกทง้ั สะท้อนให้เห็นถึงคากล่าวทวี่ ่า “การศึกษาเร่ิมต้น เม่อื คนกิน อยู่ ดู ฟงั เป็น” ๓) การจัดสภาพกายภาพสถานศึกษา ครอบคลุมถึงอาคารสถานที่ ห้องเรียน แหล่งเรยี นรู้ สภาพแวดลอ้ ม อาณาบรเิ วณของสถานศึกษาซึ่งสถานศึกษาจาเปน็ ต้องคานงึ ถงึ การจัดให้ เหมาะสม และมุ่งเน้นที่จะส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาไตรสิกขาให้มากที่สุด ทั้งที่ผ่านระบบการเรียนรู้ ตามหลักสูตรสถานศกึ ษาและผา่ นการเรยี นรู้วิถีชีวติ จรงิ จาก “การกนิ อยู่ ดู ฟงั ” ในชวี ิตประจาวัน
๑๔คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ ๔) การจัดบรรยากาศปฏิสัมพันธ์ โดยผ่านการเตรียมการ การมอบหมายการ รับผิดชอบของบุคลากรในการจัดกิจกรรมส่งเสริม หรือดูแลให้บรรยากาศปฏิสัมพันธ์ท่ีดีเป็น กัลยาณมิตรเกิดขึ้นอย่างจริงจังต่อเน่ือง โดยจัดผ่านกิจกรรมท่ีหลากหลาย อาทิ การกระตุ้นทุกคนทา ตนเป็นตัวอยา่ งทีด่ ี การยกย่องผทู้ าดี การปลูกศรัทธาค่านยิ มปฏิบตั ิดีปฏบิ ตั ชิ อบตอ่ ผอู้ น่ื เป็นต้น ๓. การดาเนินการพัฒนาตามระบบไตรสิกขา จุดเน้นการดาเนินการพัฒนา คือ นักเรียน ของสถานศึกษา โดยเป็นการพัฒนาตามระบบไตรสิกขาที่เป็นลักษณะบูรณาการ ท้ังในกิจกรรมการ เรียนการสอนตามหลักสูตร และกิจกรรมวิถีชีวิตต่าง ๆ ที่ส่งเสริม “การกิน อยู่ ดู ฟังให้เป็น” เป้าหมายการพัฒนาจัดให้มีความชัดเจนท่ีพัฒนาท้ังองค์รวมของชีวิต ท่ีจะนาสู่การพัฒนาชีวิตท่ี สมบูรณ์ในท่ีสุด นอกจากการพัฒนาผู้เรียนอันเป็นภาระหลักแล้วสถานศึกษาจาเป็นต้องไม่ละเลยการ พัฒนาบุคลากรของตนเองท้ังหมดด้วย เพราะบุคลากรโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ครูและผู้บริหารจะเป็น ปัจจัยสาคัญในการพัฒนาผู้เรียน ดังนั้นยิ่งบุคลากรได้รับการพัฒนาตามระบบไตรสิกขามากเท่าไรจะ สง่ ผลดีต่อการช่วยใหน้ ักเรียนไดร้ ับการพัฒนามากข้นึ เทา่ น้ัน การดาเนินการพัฒนาผู้เรียนและบุคลากรตามระบบไตรสิกขานี้จะดาเนินการได้ดีหากในขั้น เตรียมการ ขนั้ ดาเนินการจดั สภาพและองคป์ ระกอบ และข้นั ดูแลสนับสนุนใกลช้ ดิ ดาเนินการไดอ้ ย่างดี เพราะต่างเปน็ เหตุปจั จัยทส่ี าคัญในการดาเนนิ การพัฒนาผ้เู รียน ๔. การดูแลสนับสนุนใกล้ชิด เป็นขั้นตอนสาคัญในการเป็นปัจจัยส่งเสริมให้การดาเนินการ พัฒนาเป็นไปอย่างราบร่ืนมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ลักษณะของการดูแลสนับสนุนท่ีเหมาะสมควรมี ลักษณะของความเป็นกัลยาณมิตร ท่ีปรารถนาดีต่อกัน ปรารถนาดีต่อการพัฒนาผู้เรียนหรือต่องาน กจิ กรรมที่สาคัญของข้ันน้ี คอื การนิเทศตดิ ตาม ท่ีจะดแู ลการดาเนนิ งานให้เป็นไปตามแผนที่กาหนดไว้ การให้คาปรึกษาและช้ีแนะผู้ปฏิบัติ การให้ความช่วยเหลือทางวิชาการ ฯลฯ การสนับสนุน ทั้งทรัพยากรข้อมูลและเครื่องมือต่าง ๆ ในการช่วยดาเนินการให้เป็นไปได้อย่างราบร่ืน การรวบรวม ข้อมูลและการประเมินผลระหว่างดาเนินการ อันจะเป็นฐานของการปรับปรุงต่อเนื่องต่อไป หรือแม้ เปน็ ขอ้ มูลในการพิจารณาจดั การดแู ลสนับสนนุ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม 5. การปรับปรุงและพัฒนาต่อเน่ือง เป็นข้ันตอนของระบบบริหารจัดการท่ีกาหนดเพ่ือเน้น ย้าการพัฒนาท่ีต้องดาเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยนาข้อมูลในข้ันตอนต้น ๆ มาพิจารณาแล้วกาหนด ปรับปรุงหรือพัฒนางานท่ีกาลังดาเนินการอยู่ให้ดีย่ิงขึ้น ทั้งนี้องค์ธรรมที่สนับสนุนการปรับปรุงและ พัฒนางานเป็นไปอย่างชัดเจนต่อเนื่อง คือ การมีอิทธิบาท 4 (ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา) และอุปัญญาตธรรม 2 (ความไม่สันโดษในกุศลธรรม และ ความไมร่ ะยอ่ ในการพากเพียร) เปน็ ตน้ ๖. การประเมินผลและเผยแพร่ผลการดาเนินงาน เป็นข้ันตอนที่จะสะท้อนให้ทราบถึงผล การดาเนินงานในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ อาจเป็น 1 ปี หรือ 3 ปี หรือเม่ือเสร็จส้ินกิจกรรมเป็นต้น และใน การประเมินจะเน้นข้อมูลท่ีเป็นเชิงประจักษ์ เช่ือถือได้ ให้ข้อมูลท่ีชัดเจน ที่สามารถนาสู่การเผยแพร่ หรือรายงานผู้เก่ียวข้องให้ทราบผลการดาเนินงานนั้น ๆ และนาเป็นข้อมูลในการวางแผนดาเนินการ อื่น ๆ ต่อไป และในระบบประกันคุณภาพ ขั้นตอนนี้มีความสาคัญไม่น้อยต่อการเสนอให้ผู้เก่ียวข้อง ยอมรบั ในการดาเนนิ การและบริหารจัดการ
๑๕คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ บทท่ี ๒ หลักธรรมสาหรบั การดาเนนิ งาน โรงเรยี นวิถีพุทธ โรงเรียนวิถีพุทธ เป็นสถานศึกษาในระบบปกติ ท่ีนาหลักพุทธธรรม หรือองค์ความรู้ที่ เป็นคาสอนในพระพุทธศาสนา มาประยุกต์ใช้ในการจัดการศึกษา ของสถานศึกษานั้น โดยมีจุดเน้น ที่สาคัญ คือ การนาหลักธรรมมาใชใ้ นระบบการพัฒนาผเู้ รียนโดยรวมของสถานศึกษา ซึ่งอาจเป็นการ เรียนการสอนในภาพรวมของหลักสูตรสถานศึกษา หรือ การจัดเป็นระบบวิถีชีวิตในสถานศึกษาของ ผู้เรียนส่วนใหญ่ โดยนาไปสู่จุดเน้นของการพัฒนาให้ผู้เรียนสามารถ กิน อยู่ ดู ฟัง เป็น คือใช้ปัญญา และเกิดประโยชน์แท้จริงต่อชีวิต และการจัดดาเนินการของสถานศึกษาจะแสดงถึงการจัด สภาพแวดล้อมและบรรยากาศ(ปรโตโฆสะ) ท่ีเป็นกัลยาณมิตรเอ้ือในการพัฒนาผู้เรียนอย่างรอบด้าน ด้วยวิถีวฒั นธรรมแสวงปัญญา ทั้งน้ีการพัฒนาผู้เรียนดังกล่าวจัดผ่านระบบไตรสิกขา ท่ีผู้เรียนได้ศึกษาปฏิบัติอบรม ทั้งศีล หรือพฤติกรรม หรือวินัยในการดาเนินชีวิตท่ีดีงามสาหรับตน และสังคม สมาธิ หรือด้านการพัฒนา จิตใจท่ีมีคุณภาพ มีสมรรถภาพ มีจิตใจท่ีต้ังม่ันเข้มแข็งและสงบสุข และปัญญาที่มีความรู้ที่ถูกต้อง มี ศักยภาพในการคิด การแก้ปัญหาที่เหมาะสม (โยนิโสมนสิการ) โดยมีครู และผู้บริหารสถานศึกษา เป็นกัลยาณมิตรสาคัญที่รักและปรารถนาดี ทจ่ี ะพฒั นาผเู้ รียนอยา่ งดีท่ีสดุ ดว้ ยความเพยี รพยายาม ระบบพัฒนาผู้เรียนดว้ ยไตรสกิ ขา หลักพุทธธรรมท่ีจะนามาเป็นหลักในการประยุกต์ใช้กับการจัดการศึกษาแบ่งออกเป็นสอง กลมุ่ คอื ๑.หลักพุทธธรรมที่เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาปัญหา ครอบคลุมท้ังระบบอย่างเป็น กระบวนการ หลักพุทธธรรมน้ีจะใช้เป็นเครื่องมือตรวจสอบ และแก้ไขปัญหาที่เกิดข้ึนในกระบวนการ ทางการศึกษาทดี่ าเนินไปในทุกข้นั ตอน หลกั พทุ ธธรรมกลมุ่ นีค้ อื อริยสจั ๔ และปฏจิ จสมุปบาท ๒. หลักพุทธธรรมเชิงปฏิบัติการ เสริมในรายละเอียด เม่ือตรวจสอบพบจุดบกพร่องของ กระบวนการศึกษา หรือกระบวนการเรียนการสอนน้ัน การนาหลักพุทธธรรมนี้ไปใช้ก็ทาได้สองอย่าง คือ ในฐานะทบทวนแผน (Re-planning) ตามความเป็นจริงท่ีปรากฏออกมาจากการตรวจสอบด้วย หลักอริยสจั ๔ และปฏจิ จสมปุ บาท โรงเรยี นวิถีพทุ ธควรจดั สภาพในทุก ๆ ด้าน เพ่ือสนบั สนนุ ใหผ้ ู้เรยี นพฒั นาตามหลักพุทธธรรม อย่างบูรณาการ และส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนาชีวิตให้สามารถกิน อยู่ ดู ฟังเป็น มีวัฒนธรรมแสวง ปัญญา ทงั้ นี้ การจดั สภาพจะสง่ เสรมิ ใหเ้ กิดลกั ษณะของปัญญาวฒุ ธิ รรม ๔ ประการ คอื
๑๖คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ ๑. สัปปุริสสังเสวะ หมายถึงการอยู่ใกล้คนดี ใกล้ผู้รู้ อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี ครู อาจารย์ดี มีขอ้ มลู มีส่ือทดี่ ี ๒. สัทธมั มสั สวนะ หมายถงึ เอาใจใสศ่ ึกษาโดยมีหลกั สูตร การเรยี นการสอนท่ีดี ๓. โยนิโสมนสิการ หมายถึงมีกระบวนการคิดวิเคราะห์พิจารณาหาเหตุผลที่ดีและ ถกู วธิ ี ๔. ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ หมายถึงความสามารถท่ีจะนาความรู้ไปใช้ในชีวิตได้และ ดาเนินชีวิตไดถ้ ูกตอ้ งตามธรรม ปัญญาวุฒิธรรม ๔ ประการนี้ จะส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนาตามหลักไตรสิกขา ได้อย่าง ชัดเจน สาหรับแนวคิดเบื้องต้น ของการจัดสภาพในสถานศึกษา ท่ีเหมาะสมในด้านต่าง ๆ มีลักษณะ ดังตอ่ ไปน้ี ๑. ดา้ นกายภาพ โรงเรยี นจะจัดอาคารสถานท่ี สภาพแวดล้อม ห้องเรยี น และแหล่ง เรียนรู้ที่ส่งเสริมการพัฒนาศีล สมาธิ และปัญญา เช่น มีศาลาพระพุทธรูป เด่นเหมาะสม ท่ีจะชวนให้ ระลึกถึงพระรัตนตรัยอยู่เสมอ มีมุมหรือห้องให้ศึกษาพุทธธรรม บริหารจิต เจริญภาวนาเหมาะสม หรือมากพอท่ีจะบริการผู้เรยี น หรอื การตกแต่งบรเิ วณใหเ้ ป็นธรรมชาติ หรือใกล้ชิดธรรมชาติ ชวนมใี จ สงบ และส่งเสริมปัญญา เช่น ร่มรื่น มีป้ายนิเทศ ป้ายคุณธรรม ดูแลเสียงต่าง ๆ ไม่ให้อึกทึก ถ้าเปิด เพลงกระจายเสียงก็พิถีพิถันเลอื กเพลงทส่ี ่งเสรมิ สมาธิ ประเทอื งปญั ญา เปน็ ตน้ ๒. ด้านกิจกรรมพื้นฐานวิถีชีวิต สถานศึกษาจัดกิจกรรมวิถีชีวิต ประจาวัน ประจา สัปดาห์ หรือในโอกาสต่าง ๆ เป็นภาพรวมท้ังสถานศึกษา ท่ีเป็นการปฏิบัติบูรณาการทั้ง ศีล สมาธิ และ ปัญญา โดยเน้นการมีวิถีชีวิต หรือวัฒนธรรมของการกิน อยู่ ดู ฟัง ด้วยสติสัมปชัญญะ เพื่อเป็นไปตาม คุณคา่ แทข้ องการดาเนนิ ชวี ิต โดยมีกิจกรรมตวั อยา่ งดังนี้ ๑). มีกิจกรรมสวดมนต์ไหว้พระ ก่อนเข้าเรียน และก่อนเลิกเรียนประจาวัน (เพ่ือ ใกล้ชิดศาสนา) ๒). มีกิจกรรมรับศีลหรือทบทวนศีลทุกวัน อาจเป็นบทกลอนหรือเพลง เช่นเดียวกบั กจิ กรรมแผ่เมตตา (เพอื่ ให้ตระหนักถงึ การอยรู่ ว่ มกันในสังคมอยา่ งสันติสขุ ) ๓) มกี ิจกรรมทาสมาธิรปู แบบต่าง ๆ เช่นนัง่ สมาธิ ทอ่ งอาขยาน สวดมนตส์ รา้ งสมาธิ หรือทาสมาธเิ คลอ่ื นไหวอ่ืน ๆ เปน็ ประจาวันหรอื ก่อนเรยี น(เพือ่ พฒั นาสมาธิ) ๔) มีกิจกรรมพิจารณาอาหารก่อนรับประทานอาหารกลางวัน (เพื่อให้กินเป็น กิน อยา่ งมสี ติ มปี ัญญาร้เู ข้าใจ) ๕) มีกิจกรรมอาสาตาวิเศษ ปฏิบตั วิ ินัย,ศีล (เพอ่ื ใหอ้ ยู่เป็น อย่อู ย่างสงบสุข) ๖) มีกิจกรรมประเมินผล การปฏิบัติธรรม (ศีล สมาธิ ปัญญา) ประจาวัน (เพื่อให้ อยเู่ ป็น) ๗) มีการสวดมนต์ ฟังธรรมประจาสัปดาห์หรือในวันพระ(เพ่ือพัฒนา ศีล สมาธิ ปัญญา) ๘) มกี จิ กรรมบันทึกและยกยอ่ งการปฏบิ ตั ิธรรม (เน้นย้าและเสริมแรงการทาความดี) ๙) ทุกห้องเรียน มีการกาหนดข้อตกลงในการอยู่ร่วมกัน โดยเข้าใจเหตุผล และ ประโยชนท์ ี่มตี อ่ การอยรู่ ่วมกัน (พฒั นาศีล /วินยั ดว้ ยปญั ญา)ฯลฯ
๑๗คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ ๓ . ด้าน บรรยากาศ และปฏิ สัมพัน ธ์ สถานศึกษาส่งเสริมบรรยา กา ศ ของการใฝ่เรียนรู้ และพัฒนาไตรสิกขา หรือส่งเสริมการมีวัฒนธรรม แสวงปัญญา และมีปฏิสัมพันธ์ ท่ีเป็นกัลยาณมิตรต่อกัน มีบรรยากาศของการเคารพอ่อนน้อม ย้ิมแย้มแจ่มใส การมีความเมตตา กรุณาต่อกัน ทั้งครูต่อนักเรียน นักเรียนต่อครู นักเรียนต่อนักเรียน และครูต่อครูด้วยกัน และโรงเรียน ส่งเสริมให้บุคลากร และนักเรียนปฏิบัติตน เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ผู้อ่ืน เช่น การลด ละ เลิกอบายมุข การเสยี สละ เป็นต้น ๔. ด้านการบริหารจัดการสถานศึกษา โดยบุคลากรในสถานศึกษา ร่วมกับ ผู้ปกครอง และชุมชน สร้างความตระหนักและศรัทธา รวมท้ังเสริมสร้างปัญญาเข้าใจในหลักการและ วิธีดาเนินการโรงเรียนวิถีพุทธร่วมกัน ท้ังน้ีผู้เก่ียวข้องทุกฝ่ายโดยเฉพาะอย่างย่ิง ครู และผู้บริหาร เพียรพยายามสนับสนุนโดยลักษณะต่าง ๆ และการปฏิบัติตนเอง ท่ีจะสนับสนุนและเป็นตัวอย่าง ในการพัฒนาผู้เรียน ตามวถิ ชี าวพุทธ สถานศึกษาวิเคราะห์จัดจุดเน้น หรอื รปู แบบรายละเอียดโรงเรียน วิถีพุทธ ตามความเหมาะสมกับบริบทของสถานศึกษา ซ่ึงแต่ละสถานศึกษา จะมีจุดเน้น และรายละเอียดรูปแบบที่แตกต่างกันได้ เช่น บางสถานศึกษาจะมีจุดเน้น ประยุกต์ไตรสิกขา ในระดับชั้นเรียนมีการจัดกระบวนการเรียนรู้รายวิชา บางโรงเรียนเน้นประยุกต์ในระดับ กิจกรรมวถิ ชี ีวิตประจาวันแบบภาพรวม บางโรงเรยี นอาจทาทัง้ ระบบทุกสว่ นของการจดั การศึกษา ในเร่ืองของการศึกษา หรือกระบวนการเรียนการสอน อันถือว่าเป็นหน่ึงในปัญหาสาคัญ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์ ก็ควรจะดาเนินไปโดยใช้อริยสัจ ๔ และปฏิจจสมุปบาทมาเป็นหลักการ ข้ันพื้นฐานที่สาคัญ แล้วนาเอาเรื่องอื่นมาเป็นบริวาร หลักสาคัญที่จะต้องตระหนักไว้เสมอก็คือ การใช้หลักอริยสจั และปฏิจจสมุปบาทมาเป็นหลกั ในการแก้ปญั หาหรือดาเนนิ การในเรื่องราวใด ๆ น้ัน ต้องตรวจสอบเรื่องน้ัน ๆ ท้ังระบบ เพ่ือให้พบความจริง ไม่มองเฉพาะจุดใดจุดหน่ึง แต่ตรวจสอบ เพ่ือค้นหาความจริงแล้วแก้ปัญหาตามเหตุปัจจัยท่ีปรากฏ บางเรื่องอาจแก้ทั้งหมด บางเรื่องอาจจะ แกเ้ พยี งจุดใดจุดหนง่ึ ก็เพยี งพอ เม่ือเรานาหลักการพุทธธรรมมาใช้ในด้านการเรียนการสอนเราจะมองเฉพาะจุดเล็ก ๆ จดุ เดียว กจ็ ะไมค่ รอบคลมุ ประเดน็ ในทุก ๆ ด้าน ต้องทาความเข้าใจ เริ่มต้ังแตห่ ลกั สตู ร อาคารสถานท่ี ครูอาจารย์ บรรยากาศ อปุ กรณ์ วสั ดุครภุ ณั ฑ์ ขวัญกาลังใจ หรอื ปัจจยั อนื่ ๆ ทมี่ อี ยู่ต้องนามาพจิ ารณา ให้หมด ตรงจุดไหนที่เห็นว่าดีอยู่แล้วก็รักษาไว้ แต่ส่วนท่ีบกพร่องก็ปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น การ ใชห้ ลักการนี้มาพัฒนา ผลออกมาจะมีความเจริญก้าวหน้าไปพร้อม ๆ กัน และความจริงท่ีถกู ต้อง ก็คือ ทางสายกลางทีม่ ีความสมดลุ ในทุกขัน้ ตอน คุณธรรมทจ่ี ะต้องนามาเสริมลงในกระบวนการเรียนการสอน 1.ปัญญา ปัญญาและกระบวนการอันนาไปสู่การเกิดปัญญา คือความรอบรู้ท้ังตนเอง วิชาการต่าง ๆ สิ่งแวดล้อม สังคม และความเป็นไปของโลกอย่างชัดเจน นับเป็นจุดหมายปลายทางของกระบวนการ เรียนการสอนทุกวิชา ในทางพระพุทธศาสนาได้แบ่งปัญญาออกเป็นสามประเภทคือ สชาติปัญญา ปัญญาติดตัวมาต้ังแต่เกิด (พันธุกรรม) นิปากปัญญา ความรู้ในด้านอาชีพ และวิปัสสนาปัญญา เป็นความรแู้ จง้ รู้จริง รู้ถูกต้อง และกระบวนการทีก่ ่อให้เกิดปญั ญา คือ ปญั ญาเกดิ จากการฟงั (สุ
๑๘คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ ตมยปัญญา) ปัญญาเกิดจากการคิด (จินตมยปัญญา) ปัญญาเกิดจากการอบรมตนเอง (ภาวนามย ปญั ญา) 2.อรยิ มรรค ๘ อริยมรรค ๘ เป็นแกนกลางในการจัดการศึกษาของทุก ๆ วิชา เพราะหลักการของอริยมรรค อยู่ท่ี สัมมา คือ ความถูกต้องชอบธรรมในลีลาชีวิตของมนุษย์ทุกชาติทุกเผ่าพันธุ์ ล้วนดาเนินไปใน กรอบแห่งอริยมรรคท้ังสิ้น หากลีลาเหล่าน้ันดาเนินไปผิดทาง ชีวิตก็ต้องรับผลแห่งความผิดน้ันอย่าง ตรงไปตรงมา ไม่มีทางหลีกเลี่ยง แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าได้ใช้ลีลาชีวิตให้ถูกต้องในทุกข้ันตอน ผลออกมาเปน็ ความไรท้ ุกข์ อย่างยตุ ิธรรม ไมม่ ีใครจะมาเปลี่ยนแปลงผลแห่งความถูกตอ้ งเหลา่ นน้ั ได้ อรยิ มรรค เป็นเร่ืองของความถกู ตอ้ งที่ครอบคลุมพฤติกรรมของมนุษยไ์ ว้อย่างครบถว้ น คอื ๑. สัมมาทิฏฐิ คอื ความเห็นชอบ ความเหน็ อันถกู ต้องถ่องแท้ เปน็ ความจรงิ แท้ ไมใ่ ช่ ผลท่เี กิดจากการคาดคะเนหรือตงั้ สมมตฐิ านใด ๆ ทั้งสนิ้ และความเหน็ ที่ถกู ต้อง จะต้องสามารถค้นหา กระบวนการแหง่ ความจรงิ นน้ั อย่างครบวงจรอีกดว้ ย ๒. สัมมาสังกัปปะ คือดาริชอบ ดาริถูกต้อง สอดคล้องกับความจริงท่ีปรากฏนั้น เมื่อความจริงปรากฏเป็นพ้ืนฐานแล้ว ความดาริที่สอดคล้องกับความจริง ก็จะดาริได้อย่างถูกต้อง ไม่เบียดเบียนกายใจของตนและผู้อ่ืน ๓. สมั มาวาจา คอื วาจาชอบ การพดู จาถกู ต้อง เมอ่ื ใจประจกั ษค์ วามจรงิ ทุก ดา้ น วาจาอันทาหน้าทีเ่ ป็นส่ือของใจก็จะสะท้อนสอ่ื สารถ่ายทอดออกมาแต่ความจริงที่ประจักษ์แลว้ นนั้ ๔. สัมมากัมมันตะ คือการงานชอบไม่ว่างานทางกายหรือทางใจ หากเป็นไปอย่าง ถกู ต้องและเปน็ จริงย่อมเสรมิ คา่ ใหช้ ีวติ ของผู้ทาและสงั คมทีเ่ กย่ี วขอ้ งจะพลอยไดร้ บั ผลเป็นสุขไปด้วย ๕. สัมมาอาชีวะ คือ การประกอบอาชีพชอบ การประกอบอาชีพถูกต้อง เม่ือทราบ ความจริงของชีวิตว่า การประกอบอาชีพท่ีถูกต้องไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อ่ืน มุ่งนาเอาผลท่ีได้มา จากการใช้ความรู้ความสามารถ มาประกอบอาชีพให้ยืนยาว และอานวยความสะดวกแก่เพื่อนมนุษย์ กอ่ ใหเ้ กดิ ความปตี ิปราโมทย์ อ่ิมท้ังกายและใจ ๖. สัมมาวายามะ คือความเพียรชอบ ความพากเพียรอย่างถูกต้อง พากเพียรในการ ละการประกอบอบายมุข มีแต่นาทุกข์มาสู่ชีวิต ทั้งระยะสั้นและระยะยาว ก็ยึดเอาความเพียรถูกต้อง คือ เพียรเลิก ลด ละ พฤติกรรมที่ขัดขวางความก้าวหน้าทั้งทางกายและทางใจ เพียรพยายามระวัง มิให้บาปเกิดข้ึนหรือมิให้พฤติกรรมอันไม่พึงปรารถนาต้องหวนกลับมาสู่ชีวิตอีก ขณะเดียวกัน ศกึ ษาอบรมบม่ เพาะแตส่ ่ิงทด่ี งี าม พฒั นาและรักษาให้อยูก่ บั ชวี ติ จนเกดิ ความสมบูรณ์ และสมดลุ ๗. สัมมาสติ คือ ความระลึกชอบ ความระลึกท่ีถูกต้อง กล่าวคือ ระลึกรู้สึกต่อชีวิต ตามความเป็นจริงอย่างเป็นกระบวนการ เข้าใจพฤติกรรม กิริยาหรือปฏิกิริยาของชีวิต เข้าใจผลอัน เกิดจากกิริยา และปฏิกิริยาต่าง ๆ ของชีวิต ท้ังในส่วนกาย ความรู้สึกพฤติกรรมของจิต ตลอดถึงหลัก และกฎเกณฑ์ของชีวิต ที่จะต้องดาเนินไปตามกระบวนการแห่งความเปล่ียนแปลง ตามเหตุปัจจัยอยู่ เนืองนติ ย์ ๘. สมั มาสมาธิ คอื ความต้ังใจชอบ ความมน่ั คงของจิตทถ่ี ูกตอ้ งเป็นธรรมดาทจี่ ิต ของ มนษุ ยเ์ คลื่อนไหวไปมารับอารมณต์ ่าง ๆ อย่างรวดเร็วอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากจิตดับอยู่ในสภาวะปกติ ก็ ไม่เกิดความเดือดร้อนใด ๆ แต่เมื่อมีกิเลสเข้ามาครอบครองจิตทาให้หว่ันไหวผิดปกติ ก็
๑๙คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ เกดิ ความทุกข์ ความจริงก็ปรากฏอยวู่ า่ แมอ้ งคป์ ระกอบชีวติ ส่วนอื่นสมบูรณ์ แตถ่ า้ ไมส่ ามารถทาจติ ให้ ปกตไิ ด้ ความทุกขก์ ค็ งมอี ยู่อย่างมากมาย เข้ามาสชู่ วี ติ ไมข่ าดสาย การเจรญิ ภาวนาคอื วิธกี ารฝกึ จิตให้ สงบม่ันคง และเหมาะสม พร้อมท่ีจะ เรียนรู้ และสู้กับอารมณ์ที่จะมาอย่างไม่หวั่นไหว อันจะเป็น พ้ืนฐานให้เกิดความรู้แจ้ง (ญาณ) จนสามารถปอ้ งกันจิตจากการคุกคามจากกิเลสต่าง ๆ แล้วในท่ีสดุ ก็ จะพบกบั ความหลดุ พ้น (วมิ ุต)ิ ปราศจากกิเลสทง้ั ปวง ตามหลักการจัดวิถีพุทธสู่วิถีการเรียนรู้ บูรณาการพุทธธรรม สู่การจัดการเรียนรู้ และการปฏิบัติจริงที่สอดคล้องกับวัฒนธรรม และวิถีชีวิตอย่างต่อเนื่อง สม่าเสมอ เพื่อนาสู่การรู้ เข้าใจความจริง มีการจัดการเรียนรู้ให้เกิดข้ึนในทุกสถานการณ์ ทุกสถานที่ ท้ังโดยทางตรงและ ทางออ้ ม ประสานความร่วมมือระหว่างวัด/คณะสงฆ์ และชุมชน ในการจัดการเรียนรู้หลักธรรมสาคัญ สู่การจัดการเรียนรู้โรงเรียนวิถีพุทธ ตามหลัก ไตรสิกขา กัลยาณมิตตตา ปรโตโฆสะ และโยนโิ สมนสิการ 3.ไตรสิกขา คือการศึกษา ๓ อย่าง ประกอบด้วยศีลสิกขา สมาธิสิกขา และปัญญาสิกขา การสรุปอริยมรรคลงในไตรสิกขาก็จะเป็นภาพของหลักการของการศึกษา ท่ีควรจะต้องสอดแทรกเขา้ ไปในทกุ สาขาวิชา กลา่ วคอื ๑. ศีลสิกขา คือการศึกษาฝึกอบรมพัฒนากาย และวาจา ประกอบด้วย สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะเพราะว่าความถูกต้องทั้งสามอย่างน้ีเป็นเร่ืองของระเบยี บวนิ ัยอันจะ ควบคุมพฤติกรรมหรือความเคลื่อนไหวทางกาย วาจา ให้ดาเนินไปในทิศทางปกติ ไม่ขัดขวาง พัฒนาการของตนหรอื สังคม ๒. สมาธิสิกขา คือการศึกษาฝึกอบรมพัฒนาจิต ประกอบด้วย สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิเพราะว่าองค์ประกอบของอริยมรรคท้ังสามประการนี้เป็นเร่ืองของการฝึกฝน อบรม ควบคุมจติ ให้รูจ้ ักคิดอย่างเป็นระเบยี บ เรียกว่า คิดเป็นการที่มนุษยจ์ ะคิดเปน็ โดยไมส่ ร้างความ เดือดร้อนให้แก่ตนเองและผู้อื่นมีความม่ันคงพอที่จะต้านทานกระแสย่ัวยุท่ีมาจากท่ัวสารทิศมิให้ หวั่นไหวไปในทางบวกหรือลบ แต่มั่นคง แน่วแน่ เยือกเย็น นั้นเป็นการสร้างจิตให้มีพลัง เป็นฐานใน การรองรับสรรพวชิ าตา่ ง ๆ อยา่ งมั่นคง ๓. ปัญญาสิกขา คอื การศกึ ษาฝกึ อบรมพฒั นาปญั ญา ประกอบดว้ ยสมั มาทิฏฐิ สัมมา สังกัปปะ เพราะความสามารถท่ีจะมองเห็นความจริงในเรื่องราวต่าง ๆ แล้วหาทางออกให้กับตนเอง และผู้เก่ียวข้องโดยปลอดภัยท้ังในส่วนกายและในส่วนจิตกิจกรรมการเรียนการสอนที่มีไตรสิกขาเป็น พ้ืนฐาน คงต้องมีจุดเน้นที่มีระเบียบวินัย(ศีล) จิตใจที่ม่ันคงหนักแน่น(สมาธิ) มองเห็นส่ิงต่าง ๆ อย่างรู้เท่าทัน และต้ังอยู่บนพื้นฐานของความจริง(ปัญญา) ความจริงจะเป็นพื้นฐานของการศึกษา เรียนรทู้ ง้ั ปวง เพราะสงิ่ ท้งั ปวงลว้ นมีความจริงประกอบอยู่อยา่ งเพียงพอตามธรรมชาติของสิ่งนัน้
๒๐คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ ไตรสกิ ขา และอรยิ มรรค มกี ระบวนการศกึ ษาดงั น้ี กระบวนการศึกษา เหตทุ ่ีกระทา ผลทเี่ กดิ ข้ึน ไตรสกิ ขา อรยิ มรรค ปัญญา ๑. สมั มาทิฏฐิ ความเห็นชอบ เหน็ ว่าความดี เจรญิ งอกงาม จนมีความพร้อม สิกขา ๒. สัมมาสงั กัปปะ ต่าง ๆ มอี ยจู่ รงิ ดารชิ อบ ทางปญั ญารจู้ ักคิดเปน็ แกป้ ัญหาเปน็ คดิ ในทางท่ีถูกต้อง ศีลสกิ ขา ๓. สัมมาวาจา เจรจาชอบ พดู ถ้อยคาท่ีไม่มี มคี วามประพฤตดิ ีงาม ๔. สัมมากมั มนั ตะ โทษ กระทาชอบ ๕. สัมมาอาชีวะ มรี ะเบียบวนิ ัยท่ีดีงาม ไมเ่ บยี ดเบยี นตนเองและผ้อู นื่ มีอาชพี สจุ รติ มีความเปน็ อยู่ท่ดี ี เล้ียงชพี ชอบ ประกอบอาชพี ทีเ่ จรญิ สุจริต จติ สกิ ขา ๖. สัมมาวายามะ พยายามชอบ มคี วามเพียร มีความพร้อมทางด้านคณุ ธรรม ๗. สมั มาสติ พยายาม ระลกึ ชอบ รู้ตวั อยู่ มีคุณภาพจิตดี มีความเชือ่ มัน่ ๘. สมั มาสมาธิ เสมอ ตัง้ จติ ชอบ มีจติ ใจท่ี ต้งั ใจในความดี แน่วแน่ มีสขุ ภาพจิตดี มสี รรถภาพจติ ดี พระธรรมปิฎก(สมเด็จพระพุฒโฆษาจาร์) ย้าว่า “สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ” เป็นแกนนา เป็นต้นทางและเป็นตัวยืนของกระบวนการศึกษาท้ังหมด สัมมาทิฏฐิ คือปัญญาขั้นสูงท่ีเกิดจาก การส่ังสอนอบรมในด้านจิตใจ จนเห็นสัจจะท้ังปวงว่าอะไรควรข้องแวะ อะไรควรละอย่างชัดเจน การจดั การศกึ ษาจนไดป้ ญั ญาประเภทสมั มาทฏิ ฐิ คอื การวางรากฐานความถกู ต้องให้แกว่ ิชาการทั้งปวง ความรใู้ ด ๆ กต็ ามทตี่ งั้ อยบู่ นสัมมาทฏิ ฐิ ล้วนเปน็ ความรู้ที่ไมเ่ ป็นพษิ เป็นภยั แกใ่ คร ๆ แตจ่ ะสร้างสรรค์ ประโยชนฝ์ า่ ยเดียว พืน้ ฐานสาคัญของการเรยี นการสอนวชิ าตา่ ง ๆ ตอ้ งมสี ัมมาทิฏฐิเป็นแกนกลาง พระพุทธองค์กไ็ ด้ชช้ี ดั ว่าการเกดิ สมั มาทิฏฐิมาจากเหตุสองอย่าง คือ ๑. ปรโตโฆสะ คือปจั จัยกระตนุ้ การเรยี นรูจ้ ากภายนอก เชน่ การแนะนา การ ถ่ายทอด การโฆษณา คาบอกเลา่ ตลอดจนการเลยี นแบบจากพอ่ แม่ ครู เพือ่ น เป็นต้น ๒. โยนิโสมนสิการ คือปัจจัยกระตุ้นการเรียนรู้จากภายใน หมายถึงการคิด อย่างแยบคาย หรือความรู้จักคิด คิดอย่างมีระบบ คิดอย่างมีกระบวนการ คิดรอบด้าน หรอื คิดตามแนวทางปญั ญา คือ รูจ้ ักมอง รู้จักพจิ ารณาส่งิ ทัง้ หลายตามสภาวะ ตามความเปน็ จริง
๒๑คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ กล่าวโดยสรุป การศึกษามีหน้าที่สร้างสรรค์ท้ังสองด้านไปพร้อมกัน คือ การพัฒนาชีวิตบุคคล ให้ถึงความสมบูรณ์และสร้างสรรค์อารยะธรรมที่ส่งเสริมให้ระบบความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งเจริญงอก งามไปในวิถีทางที่เกื้อกูลกันยิ่งข้ึน ๆ การศึกษาที่แท้คือ การพัฒนาชีวิตบุคคลให้สมบูรณ์พร้อมไป ด้วยกันกบั การสร้างสรรค์อารยะธรรมทย่ี ่งั ยืน นกั การศึกษาที่ยึดมัน่ ในหลกั ของพระพุทธศาสนา ก็ พยายามพจิ ารณาตรวจสอบปัญหาตา่ ง ๆ อย่างใกล้ชดิ ใชห้ ลกั ศาสนานามาประยุกต์ใช้กับการศกึ ษา เราก็เร่ิมเหน็ ปญั หาและสาเหตุแหง่ ปัญหาอย่างชัดเจนวา่ การศึกษาท่ขี าดดุลยภาพเปน็ สาเหตุ แห่งวิกฤตการณ์ในด้านต่าง ๆ จึงได้หันกลับมาพิจารณากันว่า การจัดการเรียนการสอนในอนาคตมี ความจาเป็นต้องสร้างความสมดุลให้เกดิ ขึ้นจึงมีความเหน็ พ้องกันว่าควรจะปรับปรงุ หลักสูตรการเรียน การสอน โดยไดน้ าเอาหลักการของพระพุทธศาสนาเปน็ พ้ืนฐานในด้านการเรียนการสอน ดว้ ยตง้ั ความหวังร่วมกันวา่ การจัดการเรียนการสอนอันมีพระพุทธศาสนาเป็นพื้นฐาน เพราะ พระพทุ ธศาสนาเหมาะสมอย่างยิ่งกบั สังคมไทย ก็จะก่อให้เกดิ ดลุ ยภาพแห่งการศึกษา และการพัฒนา สงั คมเพราะพระพุทธศาสนามีหลักธรรมท่แี น่นอนเป็นหลักในการดาเนินชวี ิต เชน่ ศีล ๕ ก็ควบคมุ การ ดารงชวี ติ ของแตล่ ะบคุ คลและเชือ่ ม่ันวา่ การศึกษาที่สมดุลและการพัฒนาทสี่ มบรู ณ์ เชน่ นี้จะเปน็ พลวะ ปัจจัยให้เกิดสังคมท่ีปกติสุขที่ มนุษย์ สัตว์ ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม จะอยู่ร่วมกัน และพึ่งพาอาศัยกัน ดว้ ยสันติ บนพืน้ ฐานแห่งความเมตตาธรรม อันเป็นแกนนาแห่งสมั พนั ธภาพทีไ่ ร้พรมแดนกเ็ พราะอาศัย หลักการทางพระพุทธศาสนาเป็นแนวทางนามาซ่ึงสุขของสรรพสิ่งทั้งปวง การศึกษาตามหลัก พระพุทธศาสนาเป็นการศึกษาระบบกัลยาณมิตรระหว่างครูกับศิษย์ ซ่ึงในปัจจุบันครูกับศิษย์มีความ ปฏิสัมพนั ธใ์ นดา้ นต่าง ๆ ห่างกนั มาก ครูทาหน้าท่ีเพียงบรรยาย (สปิ ปทายก) แล้วก็จบออกไป โอกาส ท่ีครูและศษิ ย์จะมปี ฏสิ มั พันธ์ทางความรู้ก็ไมม่ ี ซึง่ แตกต่างกับการศึกษาสมยั ก่อนแบบตะวันออก เชน่ การเรยี นแพทย์ แพทยท์ ่ีมชี ือ่ เสยี ง เช่น หมอชีวกโกมารภจั จ์ ไปเรยี นทีเ่ มืองตักสิลา หลกั สตู ร ๑๔ ปี ต้องเรียนวิชาการแพทย์ ๗ ปี อยูป่ รนนบิ ตั ิ รับใช้อาจารย์อีก ๗ ปี ได้รับการถ่ายทอดความรู้ความประทับใจในจรรยาบรรณต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวกับ การแพทย์ รวมท้ังศีลธรรมที่ได้รับการถ่ายทอดมาด้วยนี้คือการสอนแบบตะวันออกและเป็นระบบที่ ปฏิบัติในพระพุทธศาสนาจนถึงทุกวันนี้ แต่ในปัจจุบัน ระบบกัลยาณมิตรได้พังทลายแล้ว เพราะ แนวคิดและค่านิยมแบบตะวันตก และการศึกษาสมัยใหม่เข้ามามีบทบาทโดยเน้นปรัชญาการศึกษา ตามรูปแบบทางตะวันตกมากเกินไป โดยไม่คานึงถึงวัฒนธรรมพ้ืนฐานของสังคมไทย ทาให้เกิดการ ทวนกระแสระหว่างปรชั ญาการศกึ ษาตะวนั ตกและวัฒนธรรมไทย เพราะเหตุนี้ การศึกษาแก้ไขปัญหาของสังคมดังกล่าว ตัวแปรที่สาคัญก็คือการจัดการศึกษา ให้ถูกต้องโดยให้เหมาะสมกับวัฒนธรรมของสังคมไทย น่ันคือการจัดการศึกษาโดยอาศัยแนวคิดของ “การศึกษาเชิงพุทธ” ซึ่งเป็นการศึกษาที่จะต้องเน้นระบบกัลยาณมิตร และความสมดุลระหว่างความ เจริญทางด้านวัตถุกบั จิตใจควบคกู่ นั ไป โดยบุคคลท่ีได้รับการศึกษาด้านน้ีจะได้รับผ ลตามคว ามมุ่งหมายของ การศึกษาท้ัง ใน แง่ คุณสมบัติประจาตัวกล่าวคือ มีปัญญาและกรุณา ซึ่งเป็นผลจากการศึกษาในแง่ของทฤษฎีเชิงพุทธ สามารถดับความทะยานอยากสิ่งของท่ีเกินความจาเป็นได้และในแง่ของการดาเนินชีวิต จะสามารถ ฝึกฝน อบรม ตนเองได้ดีท้ังในด้านร่างกาย และจิตใจ สมบูรณ์ด้วยวิชาและจรณะ และจะสามารถ บาเพญ็ ตนเพ่อื ประโยชน์แกผ่ อู้ นื่ ได้ ท้งั ในดา้ นวัตถแุ ละจิตใจ
๒๒คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ นั่นก็คือการบรรลุถึงความไม่เห็นแก่ตัวซึ่งจะนาไปสู่ภาพรวมของการพัฒนาทางสังคม โดยอาศัยแนวคิดการศึกษาเชิงพุทธเป็นหลักในการจัดการศึกษา เพื่อการศึกษาท่ีสมบูรณ์และเพื่อ ความสงบสขุ ของสังคมไทยในยุคโลกาภวิ ตั นต์ อ่ ไป สรุปหลักธรรมในตามกรอบ อัตลกั ษณ์ ๒๙ ประการ ดา้ น หลักธรรม สัปปายะ 7 1.ด้านกายภาพ อบายมุข 6 -มีปา้ ยโรงเรยี นวิถพี ทุ ธ -มพี ระพุทธรปู บรเิ วณหนา้ โรงเรยี น บุญกริ ิยาวัตถุ 10 -มพี ระพทุ ธรูปประจาห้องเรยี น อนุปพุ พกิ ถา -มีพทุ ธศาสนสุภาษติ วาทะธรรม พระราชดารสั ตดิ ตามท่ตี ่าง ๆ โอวาท3 -มีความสะอาด สงบ ร่มร่ืน -มีหอ้ งพระพทุ ธ ไตรสิกขา ศาสนาหรอื ลานธรรม มรรค 8 -ไมม่ สี ง่ิ เสพตดิ เหลา้ บหุ รีใ่ นโรงเรียน ๑๐๐% สัมมปปธาน4 อทิ ธิบาท4 2.ด้านกิจกรรมประจาวนั พระ -ใส่เสื้อขาวทุกคน ศลี 5 -ทาบุญใส่บาตร ฟังเทศน์ สัปปุรสิ ธรรม 7 -รับประทานอาหารมงั สวริ ัตใิ นมอ้ื กลางวัน กลั ยาณมิตรธรรม 7 -สวดมนต์แปล 3.ดา้ นการเรียนการสอน -บริหารจิตเจริญปญั ญา ก่อนเข้าเรยี น เช้า-บ่าย ทั้งครูและนักเรียน -บรู ณาการวถิ ีพุทธ ทุกกลุม่ สาระและในวันสาคัญทางพระพุทธศาสนา -ครู พานักเรยี นทาโครงงานคุณธรรมกจิ กรรมจติ อาสาสปั ดาหล์ ะ ๑ ครั้ง -ครู ผ้บู รหิ าร และนักเรยี นทุกคน ไปปฏบิ ัติศาสนกจิ ที่วดั เดือนละ ๑ คร้งั มวี ดั เป็นแหลง่ เรยี นรู้ -ครู ผู้บรหิ าร และนกั เรียนทุกคน เข้าค่ายปฏิบตั ิธรรมอย่างนอ้ ยปลี ะ ๑ ครงั้ 4.ด้านพฤตกิ รรม นักเรยี น ครู ผบู้ รหิ ารโรงเรยี น -รักษาศีล ๕ -ย้ิมง่าย ไหวส้ วย กราบงาม -ก่อนรับประทานอาหารจะมีการพจิ ารณาอาหาร รบั ประทานอาหารไม่ดงั ไมห่ ก ไมเ่ หลอื -ประหยดั ออม ถนอมใชเ้ งนิ และสงิ่ ของ -มีนสิ ยั ใฝร่ ู้ สูส้ งิ่ ยาก
๒๓คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ ด้าน หลักธรรม 5.ด้านการส่งเสริมวิถีพุทธ ศีล 4 ประการ -ไมม่ ีอาหารขยะขายในโรงเรียน ภาวนา 4 -ไมด่ ุดา่ นักเรยี น -บริหารจิต เจริญปญั ญา กอ่ นการประชุมทุกคร้ัง -ชืน่ ชมคณุ ความดีหน้าเสาธงทกุ วนั -โฮมรูมเพื่อสะท้อนความรสู้ ึก เช่น ความรสู้ กึ ที่ไดท้ าความดี -ครู ผบู้ รหิ ารและนักเรยี น มสี มดุ บันทกึ ความดี -ครู ผบู้ ริหาร และนักเรยี น สอบได้ธรรมะศึกษาตรเี ป็นอย่างนอ้ ย -มพี ระมาสอนอยา่ งสม่าเสมอ สรปุ หลักธรรมในตามกรอบตัวบง่ ชี้ ๕๔ ประการ ดา้ น หลกั ธรรม 1.ดา้ นปจั จยั นาเข้า ประกอบด้วย สัทธรรม 3 -บคุ ลากรมคี ุณลักษณะทีด่ ี กลั ยาณมติ ตธรรม 7 -การบรหิ ารจัดการอย่างมรี ะบบ สัปปายะ 7 -กายภาพและส่ิงแวดล้อมจดั อย่างรอบคอบ 2.ด้านกระบวนการ ประกอบด้วย ไตรสกิ ขา -การเรยี นการสอนที่บูรณาการไตรสิกขา ปัญญาวฒุ ิธรรม -บรรยากาศและปฏสิ ัมพันธท์ ี่เป็นกลั ยาณมิตร มรรค 8 -กจิ กรรมพ้ืนฐานชีวิต สงั คหวตั ถุ 4 พรหมวิหาร 4 อปริหานยิ ธรรม 7 3.ดา้ นผลผลติ ประกอบด้วย อนิ ทรยี ์ 5 -พัฒนากาย ศลี จติ และปญั ญา ภาวนา 4 4.ด้านผลกระทบ ทิศ 6 -บ ว ร ไดร้ บั ประโยชน์จากการพัฒนาโรงเรียนวิถีพทุ ธ นอกจากน้ี มีแนวทางในการจดั การเรียนรู้โรงเรียนวิถีพุทธ ประกอบด้วย หลักสูตรสถานศกึ ษา สอดแทรก เพม่ิ เตมิ พุทธธรรมในวสิ ยั ทัศน์ คุณลักษณะอันพึงประสงคข์ องนักเรยี น คุณธรรม จริยธรรม ในผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง ให้มีการบูรณาการพุทธธรรมในการจัด หน่วยการเรยี นรทู้ กุ กลุ่มสาระ สอดแทรก ความรู้ และการปฏิบัติจริงในการเรยี นรูท้ ุกกล่มุ สาระ
๒๔คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ กจิ กรรมพฒั นาผู้เรียน และสถานการณ์อืน่ ๆ นอกหอ้ งเรียน ได้แก่ บรู ณาการในการเรียนรบู้ ูรณาการ ในวถิ ชี วี ติ และบรู ณาการไตรสิกขา เข้าในชีวิตประจาวัน ๑ ๐ บทท่ี ๓ การเรยี นการสอน ส่อื การเรียนรู้ บทบาทครูและนักเรียนวถิ พี ุทธ พระพุทธศาสนาทั้งหมดเป็นเรื่องของการศึกษาท่ีเรียกว่าการศึกษาตลอดชีวิต กล่าวคือ คนทุกคนท่ีเกิดมาต้องได้รับการพัฒนาโดยวธิ ีใดวิธหี นึ่งเสมอท้ังจากพ่อแม่ ครู เพื่อนและสถาบันตา่ ง ๆ จนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ คุณวุฒิ คุณธรรม ในทางพระพุทธศาสนามองว่า คนเกิดมาต้องศึกษา อบรม ฝึกฝน จึงจะเป็นผู้เจริญได้ (ทนฺโต เสฏฺโฐ มนุสฺเสสุ) คาว่า การศึกษา ในท่ีน่ีก็คือการพัฒนาตน ตามหลักไตรสกิ ขา คอื ศลี สมาธิ ปญั ญา เพ่ือใหบ้ รรลจุ ุดมงุ่ หมายสงู สุดคือนิพพาน ผ้ทู ยี่ งั ไมบ่ รรลทุ ้ังใน ชาตินี้และชาติหน้า เรียกว่า เสขบุคคล ยังต้องศึกษาและพัฒนาตนอยู่ร่าไป ส่วนผู้ท่ีบรรลุถึงจุดหมาย สูงสุดแล้ว เรียกว่า อเสขบุคคล ไม่ต้องศึกษาอีก ดังนั้น การจัดการศึกษาตามแนววิถีพุทธ ก็คือ การศกึ ษาตลอดชวี ติ นน้ั เอง อันนีเ้ ปน็ หลักการใหญ่ สว่ นทีน่ ามากล่าวในบทนเ้ี ปน็ การศึกษาภาพรวมถึง วิธีการจัดการเรียนการสอน หลักการสอนตามหลักพุทธศาสนา สื่อการเรียนรู้ตามแนวพุทธ หลักคุณธรรมสาหรบั ผู้บริหาร บทบาทครูต่อการจัดการเรียนรู้ และบทบาทนักเรียนต่อการเรยี นการ สอน เป็นแนวทางให้ผู้ศึกษานามาบูรณาการกับการจัดการศึกษา และมุ่งพัฒนาผู้เรียนตามเป้าหมาย ท่ตี ั้งไวต้ อ่ ไปได้ ดังรายละต่อไปน้ี รปู แบบการจดั การเรยี นรู้วิถีพทุ ธ การจัดการเรียนรู้ในพระพุทธศาสนาแต่ยุคเร่ิมต้นเป็นแบบตามธรรมชาติ ไม่ได้มุ่งท่ีจะสอน แบบช้ันเรียน แต่เน้นท่ีการปฏิบัติเพ่ือขัดเกลากิเลสภายใน ต่อมามีผู้บวชมากข้ึนจึงจัดการเรียนการ สอนให้ชดั เจนข้นึ จึงสรุปเปน็ รูปแบบต่าง ๆ ดังน้ี ๑. แบบการรบั พระโอวาท เกิดขน้ึ หลังจากท่พี ระพทุ ธองคต์ รสั รแู้ ละแสดงปฐมเทศนาแก่ปัญจวคั คยี ์ ดังความต่อไปนี้ “ลาดับตอ่ มา พระพุทธองค์ได้ทรงราลกึ ถงึ เหล่าปญั จวัคคยี ์ อันไดแ้ ก่ โกณฑญั ญะ วัปปะ ภัททิ ยะ มหานมะ และอัสสชิ ซ่ึงเคยอุปัฏฐากปรนนิบัติพระองค์มา ทรงพิจารณาด้วยพระญาณ ๑ ส่วนวางแผน๐และพัฒนาการอบรม สถาบันวิปัสสนาธุระ มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย อ. วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา, เอกสารประกอบการสัมมนาโรงเรียนวิถีพุทธช้ันนา รุ่นที่ 8 (พระนครศรีอยุธยา : จฬุ าบรรณาคาร, ๒๕๕๙), หน้า ๑๙ - ๒๓
๒๕คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ จึงทราบว่าบัดนี้เหล่าปัญจวัคคีย์สถิตอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสีแห่งแคว้นกาสี อันอยู่ห่างจากตาบลอุรุเวลาเสนานิคมเป็นระยะทางประมาณ ๑๘ โยชน์ ทรงเห็นว่าเหล่าปัญจวัคคีย์ จะสามารถบรรลุธรรมได้ จึงเสด็จพระพุทธดาเนนิ ไปยังที่หมาย ระหวา่ งทางได้สงเคราะห์แก่อุปกาชีวก ซ่ึงต่อมาได้บรรพชาในพระพุทธศาสนาศึกษาธรรมจนสาเร็จเป็นพระอรหันต์ ท้ังน้ีก็ด้วยพระมหา กรณุ าธิคณุ ซ่งึ มตี ่อมวลมนุษย์และเหล่าสรรพสตั ว์อนั หาทีส่ ุดมิได้ เม่ือเหล่าปัญจวัคคีย์มองเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จมาแต่ไกล ก็นัดหมายกันว่าจะไม่ทาการลุก ต้อนรับ ไม่ให้ทาการอภิวาทและไม่รับบาตรจีวร แต่ให้ปูอาสนะไว้ ถ้าทรงประสงค์จะนั่งก็น่ัง แต่ถ้าไม่ ประสงค์ก็แล้วไป แต่ครั้นพระองค์เสด็จถึงต่างก็ลืมกติกาท่ีตั้งกันไว้ พากันลุกขึ้นและอภิวาทกราบไหว้ และนาน้าลา้ งพระบาท ตั่งรองพระบาท ผ้าเช็ดพระบาทมาคอยปฏบิ ัติ พระพทุ ธเจา้ ได้เสด็จประทับบน อาสนะ ทรงล้างพระบาทแล้ว เหล่าปัญจวัคคีย์ก็เรียกพระองค์ด้วยถ้อยคาตีเสมอ คือเรียกพระองค์ว่า อาวุโส ท่ีแปลว่า ผู้มีอายุ หรือแปลอย่างภาษาไทยว่า คุณ โดยไม่มีความเคารพ พระองค์ตรัสห้ามและ ทรงบอกว่าพระองค์ทรงตรัสรู้แล้ว จะแสดงอมตธรรมให้ท่านท้ังหลายฟัง เม่ือท่านทั้งหลายตั้งใจฟัง และปฏิบัติโดยชอบก็จะเกิดความรู้จนถึงท่ีสุดทุกข์ได้ เหล่าปัญจวัคคีย์ก็กราบทูลคัดค้านว่า เมื่อทรง บาเพ็ญทุกรกิริยายังไม่ได้ตรสั รู้ เม่ือทรงเลิกเสียจะตรสั ร้ไู ด้อย่างไร พระพุทธเจ้าก็ยังตรสั ยืนยนั เช่นนน้ั และเหล่าปัญจวัคคีย์ก็คงคัดค้านเช่นนั้นถึง ๓ ครั้ง พระพุทธองค์จึงตรัสให้ระลึกว่า แต่ก่อนนี้พระองค์ ไดเ้ คยตรัสพระวาจาเช่นนห้ี รือไม่ เหลา่ ปัญจวคั คียก์ ร็ ะลึกไดว้ ่า พระองค์ไม่เคยตรสั พระวาจาเชน่ น้ี เมื่อ เป็นเช่นน้ีจึงได้ยินยอมเพ่ือจะฟังพระธรรม พระพุทธเจ้าเมื่อทรงเห็นว่า เหล่าปัญจวัคคีย์พากันต้ังใจ เพ่ือจะฟังพระธรรมของพระองค์แล้ว จึงได้ทรงแสดง ปฐมเทศนา คือเทศนาคร้ังแรกโปรดเหล่าปัญจ วัคคีย์ เมื่อเทศนาจบ อัญญาโกญทัญญะ ได้ดวงตามเห็นธรรม แล้วขอบวชเป็นปฐมสาวก ส่วนอีก ๔ ทา่ นทีเ่ หลือพระพุทธองค์ก็ทรงแสดงอนตั ตลกั ขณสตู ร เมื่อเทศนาจบ ทัง้ ๔ ทา่ นก็ไดบ้ รรลธุ รรม จงึ ขอ บวชและบาเพญ็ เพียรอกี เลก็ น้อย ในเวลาไมน่ านก็บรรลธุ รรมเป็นพระอรหนั ตด์ ว้ ยกนั ทัง้ หมด ถือเป็นรูปแบบแรกท่ีง่ายที่สุดและเป็นท่ีนิยมสาหรับการเรียนการสอนทั่วไป หรือการเผยแผ่ หลักธรรม วธิ ีการดังกล่าวต้องอาศัยบุคลิกภาพ ความน่าเชื่อถือศรัทธา ความเปน็ ผรู้ จู้ ริงของผู้สอน จน ทาให้ผู้ฟังยอมรับฟังและปฏิบัติตาม พระพุทธองค์ได้ทรงใช้รูปแบบดังกล่าวเร่ือยมา จนมีสาวกเพิ่ม มากขึ้นพระพุทธองค์จึงได้ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ และทรงมอบหมายให้พระสาวกช่วยเผยแผพ่ ระ ศาสนาตอ่ ไป ๒. แบบโอวาทปาฏิโมกข์ หลังจากน้ัน พระพุทธเจ้าทรงเผยแผ่พระพุทธศาสนาจนถึงวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ มีสาวก จานวนมากพอสมควรแล้ว ทรงเห็นว่าน่าจะประกาศหลักการทางพระพุทธศาสนาได้แล้ว จึงประกาศ หลักการ อุดมการ และวิธีการ ของพระพุทธศาสนา ท่ามกลางพระอรหันตสาวก ๑,๒๕๐ รูป ท่ีมา ประชมุ กันโดยมิไดน้ ัดหมาย ความว่า ขนตฺ ี ปรม ตโป ตตี กิ ขฺ า นพิ ฺพาน ปรม วทนฺติ พทุ ฺธา น หิ ปพฺพชโิ ต ปรูปฆาตี สมโณ โหติ ปร วเิ หฐยนฺโตฯ สพฺพปาปสสฺ อกรณ กุสลสฺสูปสมฺปทา สจิตฺตปรโิ ยทปน เอต พทุ ธฺ านสาสนฯ
อนูปวาโท อนปู ฆาโต ๒๖คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ มตฺตญญฺ ตุ า จ ภตตฺ สมฺ ึ อธจิ ติ ฺเต จ อาโยโค ปาติโมกฺเข จ สวโร ปนตฺ ญจฺ สยนาสน เอต พุทฺธาน สาสนฯ ขนั ติคือความอดกลัน้ เปน็ ตบะอย่างย่ิงพระพุทธเจา้ ทัง้ หลายกล่าววา่ นพิ พานเปน็ บรมธรรม ผทู้ ารา้ ยคนอน่ื ไม่ช่อื วา่ เปน็ บรรพชิต ผู้เบียดเบยี นคนอืน่ ไมช่ อื่ ว่าเปน็ สมณะ การไม่ทาความช่วั ทัง้ ปวง ๑ การบาเพ็ญแต่ความดี ๑ การทาจิตของตนให้ผอ่ งใส ๑ นเ้ี ป็นคาสอนของพระพุทธเจ้าท้งั หลาย การไมก่ ลา่ วรา้ ย ๑ การไมท่ ารา้ ย ๑ ความสารวมในปาตโิ มกข์ ๑ ความเปน็ ผูร้ จู้ ักประมาณในอาหาร ๑ ทนี่ ั่งนอนอันสงดั ๑ ความเพียรในอธจิ ิต ๑ น้เี ป็นคาสอนของพระพุทธเจา้ ท้งั หลาย เป็นรูปแบบหนึ่งในการเรียนการสอน จุดสาคัญคือให้รู้ถึงหลักการ อุดมการ และวิธีการ ของ พระพุทธศาสนา ไม่หวั่นไหวต่อส่ิงท่ีจะเข้ามากระทบ พระสาวกขณะนั้นเป็นผู้ฝึกมาดีแล้วคือเป็นพระ อรหันต์ทั้งหมด เป็นการมอบหมายแนวทางและวิธีการให้พระสาวกท้ังหลายได้รับทราบและนาไปเผย แผ่ไปยงั ประชาชนทั้งหลายอยา่ งกว้างขวางตอ่ ไป ๓. แบบอปุ ชั ฌาย์-อาจารย์ เมอื่ มกี ุลบตุ รเร่มิ บวชมากขึน้ พระพทุ ธเจ้าทรงอนุญาตให้มีการบวชแบบ ติสรณคมนปู สัมปทา (ถึงไตรสรณคมน์) โดยกาหนดให้ผู้เข้ามาบวชต้องมีครูเรียกว่า อุปัชฌาย์ หน้าที่ของอุปัชฌาย์เรียกว่า สทั ธวิ ิหาริกวตั ร สว่ นศิษย์ให้เรียกวา่ สัทธิวหิ ารกิ มีหน้าที่ปฏบิ ัตติ อ่ พระอุปัชฌาย์เรียกว่า อปุ ัชฌายวตั ร ต่อมาทรงอนุญาตการอุปสมบทแบบ ญัตติจตุตถกรรม มีกระบวนการท่ีซับซ้อนย่ิงขึ้น ทรงกาหนดหน้าท่ีของอาจารย์ที่ปฏิบัติต่อศิษย์เรียกว่า อันเตวาสิก และทรงกาหนดหน้าท่ีของศิษย์ ที่ต้องปฏิบัติต่ออาจารย์ เรียกว่า อาจริยวัตร จึงทาให้เกิดวัฒนธรรมการปฏิบัติระหว่างครูกับศิษย์ ตอ่ มา ซ่ึงความสมั พนั ธ์ดังกล่าวจะเปรยี บเหมอื นบดิ ากับบตุ ร ดงั พุทธดารสั วา่ ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตอุปัชฌาย์ อุปัชฌาย์จักเข้าไปตั้งจิตสนิทสนมในสัทธิวิหาริกฉันบุตร สัทธิวิหาริก สัทธิวิหาริกจักเข้าไปตั้งจิตสนิทสนมในอุปัชฌาย์ฉันบิดา เมื่อเป็นเช่นนี้ อุปัชฌาย์และ สทั ธิวหิ ารกิ จกั มีความเคารพ ยาเกรงประพฤติกลมเกลียวกัน จักถึงความเจริญงอกงามไพบลู ย์ในธรรม วนิ ัยนี้ (ว.ิ มหา.(ไทย). ๔/๖๕/๘๑.) พระภิกษุเม่ือบวชใหม่จะต้องถือนิสัย อันเป็นการฝึกการดาเนินชีวิตเพศสมณะใน พระพุทธศาสนา ซึ่งก็คือศึกษาในพระพุทธศาสนาแบบทั้งรูปแบบและวิธีการในการดาเนินชีวิต เริ่ม ต้ังแต่การนุ่งห่มผ้า การเดิน การยืน การน่ัง การนอน การบิณฑบาต การฉัน การดื่ม การเค้ียว การ พูดคุย การสารวมระมัดระวังทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ การใช้เสนาสนะ การถ่ายอุจจาระ-ปัสสาวะ การบว้ นนา้ ลาย การรู้จกั และทรงจาพระวินัยทัง้ ที่มาในพระปาฎิโมกข์และพระวินยั ทม่ี านอกปาฏิโมกข์ การเรียนพระไตรปฎิ กทั้งส่วนของพุทธพจนแ์ ละอรรถกถา เปน็ ต้น
๒๗คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ ถา้ ภกิ ษนุ ั้นเปน็ ผฉู้ ลาด สามารถในการเลา่ เรยี นและเขา้ ใจในธรรมวินยั ดีแลว้ เมือ่ พรรษาพน้ ๕ แล้ว ก็ไม่จาเป็นต้องถือนิสสัยอีก เรียกว่า นิสสัยมุตตกะ (ผู้พ้นจากการถือนิสสัย) เพราะสามารถ ปกครองตัวเองได้ตามพระธรรมวนิ ยั แลว้ แต่ถ้าภิกษเุ ปน็ ผู้ไมฉ่ ลาด ไมม่ คี วามสามารถในการศึกษา ไมเ่ ขา้ ใจในหลักของธรรมวินัย ภกิ ษุ ผู้เช่นนี้ก็ต้องถือนิสสัยต่อไป แม้ว่าพรรษาจะพ้น ๕ แล้วก็ตาม ห้ามออกไปตั้งสานักอยู่เอง หรือห้าม ออกไปสั่งสอนใคร ห้ามไปพาใครทาอะไรเพราะจะไปพาเขาทาผิดไปจากพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจา้ บัญญัติไว้ ซึ่งจะก่อให้เกิดโทษทั้งกับตนเองและผู้อ่ืนท่ีเก่ียวข้องเข้ามาทั้งชาวทิพย์และชาวมนุษย์ (สมศักดิ์ บญุ ปู่, ๒๕๕๑ : ๒๘) ๔. แบบมุขปาฐะ หลังจากที่มีระบบพระอุปัชฌาย์-อาจารย์แล้ว ก็มีพัฒนาการของรูปแบบเกิดข้ึนต่อมา เน่ืองจากมีกุลบุตรมาบวชมากขึ้นเร่ือย ๆ พระสาวกผู้เป็นอุปัชฌาย์-อาจารย์ทั้งหลาย คิดหาวิธีท่ีจะให้ ศิษย์ของตนจดจาคาสอนของพระพุทธองค์ให้มากยิ่งขึ้น จึงมีการแบ่งเป็นสานัก พระธรรมธร เพ่ือ ท่องจาคาสั่งสอนในหมวดของพระธรรม (คือพระสูตรและพระอภิธรรม เพราะยังไม่ได้แยกเป็นปิฎก ๓) และสานักพระวินัยธร เพื่อท่องจาคาสอนหมวดพระวินัย ต่อมาการแบ่งกลุ่มสวด บริกรรม หรือ ท่องจาแบบมุขปาฐะ ได้ถูกนามาใช้เป็นแบบอย่างของการสังคายนาพระธรรมวินัยในกาลต่อมา ซึ่งมี คาอธิบายโดยสรุป ดงั น้ี การสงั คายนา สงั คายนา (บาลี สคายนา) คือการประชมุ ตรวจชาระสอบทานและจัดหมวดหมู่คาสง่ั สอนของ พระพุทธเจ้า วางลงเป็นแบบแผนอันหน่ึงอันเดียวกัน ตามศัพท์ สังคายนา หมายถึง สวดพร้อมกัน หรอื เรยี กอีกอยา่ งหน่งึ ว่า สงั คีติ แปลวา่ สวดพร้อมกนั มาจากคาว่า คายนา หรอื คตี ิ แปลว่า การสวด ส แปลว่า พร้อมกนั คานี้มมี ลู เหตมุ าจากวิธีการสงั คายนาพระธรรมวินยั ท่เี รียกวา่ วิธีการรอ้ ยกรองหรือ รวบรวมพระธรรมวินัย หรือประมวลคาส่ังสอนของพระพุทธเจ้า มีวิธีการคือนาเอาคาสั่งสอนของ พระพทุ ธเจ้าทที่ รงจาไวม้ าแสดงในทป่ี ระชมุ พระสงฆ์ จากนั้นใหม้ ีการซักถามกนั จนกระท่ังที่ประชุมลง มติว่าเป็นอย่างนั้นแน่นอน เมื่อได้มติร่วมกันแล้วในเร่ืองใด ก็ให้สวดข้ึนพร้อมกัน การสวดพร้อมกัน แสดงถงึ การลงมติร่วมกนั เป็นเอกฉันท์ และเปน็ การทรงจากนั ไวเ้ ปน็ แบบแผนต่อไป ขณะนั้น นิครนถนาฏบุตรผู้เป็นศาสดาของศาสนาเชนได้สิ้นชีวิตลง สาวกของท่านไม่ได้ รวบรวมคาสอนไว้เป็นหมวดหมู่ และไม่ได้ตกลงกันไว้ให้ชัดเจน ปรากฏว่าเม่ือศาสดาของศาสนาเชน ส้ินชีวิตไปแล้ว เหล่าสาวกก็แตกแยกทะเลาะวิวาทกันว่า ศาสดาของตนสอนว่าอย่างไร ครั้งนั้น พระ จุนทเถระได้นาข่าวนี้มากราบทูลแด่พระพุทธเจ้า และพระองค์ได้ตรัสแนะนาให้พระสงฆ์ท้ังปวง ร่วมกันสังคายนาธรรมท้ังหลายไว้เพ่ือให้พระศาสนาดารงอยู่ย่ังยืนเพ่ือประโยชน์สุขแก่พหูชน (ที.ปา. ๑๑/๑๐๘/๑๓๙) เวลานั้น พระสารีบุตรอัครสาวกยังมีชีวิตอยู่ คราวหน่ึงท่านปรารภเร่ืองน้ีแล้วกล่าว วา่ ปัญหาของศาสนาเชนเกดิ ขนึ้ เพราะว่าไม่ได้รวบรวมรอ้ ยกรองคาสอนไว้ เพราะฉะน้ันพระสาวกท้ังหลายของพระพุทธเจ้า ควรจะได้ทาการสังคายนา คือรวบรวมร้อย กรองประมวลคาสอนของพระองค์ไว้ให้เป็นหลักเป็นแบบแผนอันหน่ึงอันเดียวกัน เมื่อปรารภเช่นนี้ แล้วพระสารีบุตรก็ได้แสดงวิธีการสังคายนาไว้เป็นตัวอย่าง โดยท่านได้รวบรวมคาสอนที่พระพุทธเจ้า ทรงแสดงไว้เป็นข้อธรรมต่าง ๆ มาแสดงตามลาดับหมวด ตั้งแต่หมวดหนึ่ง ไปจนถึงหมวดสิบ คือเป็น
๒๘คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ ธรรมหมวด ๑ ธรรมหมวด ๒ ธรรมหมวด ๓ ไปจนถึงธรรมหมวด ๑๐ เมื่อพระสารีบุตรแสดงจบแล้ว พระพุทธเจ้าก็ได้ประทานสาธุการ (ที.ปา.๑๑/๒๒๕-๓๖๓/๒๒๔-๒๘๖) หลักธรรมที่พระสารีบุตรได้ แสดงไวน้ ี้ จดั เปน็ พระสูตรหน่ึงเรียกว่าสงั คีติสูตร (พระสูตรวา่ ด้วยการสงั คายนาหรือสังคีติ) แต่พระสา รีบุตรได้นิพพานก่อน ดังนั้น เม่ือพระพุทธเจ้าปรินิพพานพระมหากัสสปเถระ เป็นพระสาวกผู้มีอายุ พรรษามากท่สี ุดเปน็ ประธานในการทาสังคายนาครั้งแรก จุดประสงค์การสังคายนา คือการรวบรวมพระธรรมวนิ ยั ของพระพุทธเจ้า เพื่อธารงรักษาพระ ธรรมวินัยเอาไว้ไม่ให้สูญหาย หรือวิปลาสคลาดเคลื่อนไป เพราะพระธรรมวินัยนั้นคือหลักของ พระพุทธศาสนา ดังพุทธวจนะตรัสก่อนปรินิพพานว่า โย โว อานนฺท มยา ธมฺโม จ วินโย จ เทสิโต ปญฺญตโฺ ต โส โว มมจจฺ เยน สตถฺ า. แปลว่า ดูกรอานนท์ ธรรมแลวินยั ใด ทีเ่ ราไดแ้ สดงแลว้ และบญั ญัติ แล้ว แก่เธอท้ังหลาย ธรรมและวินยั น้นั จักเป็นศาสดาของเธอท้ังหลาย ในเมอ่ื เราล่วงลับไป (ท.ี ม.๑๐/ ๑๔๑/๑๗๘) การสงั คายนาเกิดขึน้ ภายหลงั พทุ ธปรินพิ พานไปแลว้ ๓ เดือน สรปุ การสงั คายนา คร้ังที่ ๑ เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ๓ เดือน พระมหากัสสปเถระเป็นประธาน ทีถ่ ้าสัตบรรณคหู า เมอื งราชคฤห์ ครงั้ ที่ ๒ เม่ือ พ.ศ. ๑๐๐ ทีว่ าลิการาม เมืองเวสาลี แควน้ วชั ชี ประเทศอินเดีย โดยมพี ระยสะ กากัณฑกบุตร เปน็ ประธาน พระสงฆม์ าประชมุ ๗๐๐ รูป ดาเนินการ ๘ เดอื น คร้ังท่ี ๓ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๔ ที่อโศการาม กรุงปาฏลีบุตร ประเทศอินเดีย โดยมีพระโมคคลีบุตร ตสิ สเถระ เปน็ ประธาน มีพระสงฆ์มาประชมุ กัน ๑,๐๐๐ รปู ดาเนนิ การเปน็ เวลา ๙ เดือน คร้ังท่ี ๔ ในอินเดียเกิดขึ้นที่กัษมีระ ในรัชสมัยของพระเจ้ากนิษกะ แต่เป็นการสังคายนาของ นกิ ายสรวาสติวาท ฝ่ายเถรวาทจงึ ไมย่ อมรบั การสังคายนาคร้ังนี้ ครั้งท่ี ๕ เม่ือ พ.ศ. ๔๖๐ ที่อาโลกเลณสถาน มตเลชนบท ประเทศศรีลังกา โดยมีพระรักขิต มหาเถระเปน็ ประธาน การทาสงั คายนาครั้งน้เี พือ่ ตอ้ งการจารกึ พระพทุ ธวจั นะเปน็ ลายลกั ษณ์อกั ษร ครั้งท่ี ๖ กระทาเมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๔๙๗ เสร็จส้ินเม่ือวันท่ี ๒๔ พฤษภาคม ๒๔๙๙ ทาข้ึนเนื่องในโอกาสฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ เพื่อพิมพ์พระไตรปิฎก อรรถกถา และคาแปล เป็นภาษาพม่า โดยได้เชิญพุทธศาสนิกชนจากหลายประเทศเข้าร่วมพิธี ทั้งพม่า ศรีลังกา ไทย ลาว และกมั พูชา การสังคายนา ๓ ครั้ง ท่ีบางครั้งไม่นับรวมไว้ เพราะเป็นการกระทาเป็นภายในของแต่ละ อาณาจักรขณะนนั้ เชน่ ครั้งตอ่ ไปนี้ คร้ังท่ี ๗ เมื่อ พ.ศ. ๑๕๘๗ ในลังกา โดยพระกัสสปเถระเป็นประธาน รจนาอรรถกถาต่าง ๆ ซ่งึ ถือวา่ เปน็ การชาระอรรถกถา ไม่ใชพ่ ระไตรปฎิ ก ทางลังกาจงึ ไม่นับเป็นการสงั คายนาเชน่ กัน คร้ังที่ ๘ เมื่อ พ.ศ. ๒๐๒๐ ในประเทศไทย โดยการอุปถัมภ์ของพระเจ้าติโลกราชแห่ง อาณาจักรลา้ นนา ครั้งที่ ๙ เม่อื พ.ศ. ๒๓๓๑ ในประเทศไทย โดยการอุปถัมภ์ของพระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอด ฟ้าจฬุ าโลกมหาราชแห่งกรุงรตั นโกสินทร์ ๕. แบบคนั ถธุระ และวปิ สั สนาธุระ
๒๙คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ ขณะเดียวกันระบบการท่องจา (มุขปาฐะ) จนมาถึงการสังคายนาและการจารึกพระไตรปิฎก เปน็ รายลกั ษณอ์ กั ษรได้เกิดข้ึน ทาให้การจัดการศกึ ษาได้ยึดตามหลกั ของสัทธรรม ๓ คอื ปริยัติ ปฏบิ ตั ิ และปฏิเวธ จึงทาให้มีการแบ่งกลุ่มโดยธรรมชาติ หรือตามจริตความชอบของภิกษุน้ัน เป็น ๒ กลุ่ม หลัก คอื กลุ่มคันถธุระ หรือกลุ่มปริยัติศกึ ษา เน้นการศึกษาทรงจาพระไตรปิฎก กลุ่มวิปัสสนาธุระ เน้นการปฏิบัติตามหลักกรรมฐาน ๒ คือ สมถกรรมฐาน และวิปัสสนา กรรมฐานซ่ึงในเวลาต่อมาให้เกิดคาว่า คามวาสี (วัดบ้าน) และอรัญญวาสี (วัดป่า) ตามมา และยังคง สืบเนือ่ งมาจนถึงปจั จบุ นั ๖. แบบมหาวทิ ยาลยั ราว พ.ศ. ๑๐๐๐ เป็นต้นมา มีสัญญาณว่าพระพุทธศาสนาเร่ิมเสื่อมความนิยม ศาสนา พราหมณ์มีกาลังมากขึ้น พระสงฆ์ต้องปรับตัว มีการศึกษาลัทธิศาสนาและวิชาการต่าง ๆ มากขึ้น จนทาให้เกิดการขยายการศึกษาข้ันสูงขึ้นเป็นระดับมหาวิทยาลัย ซ่ึงถือว่าเป็นต้นแบบของ มหาวิทยาลัยของโลก มหาวิทยาลัยมีทั้งฝ่ายเถรวาทแล ะฝ่ายมหายานมีจานวนถึง ๖ แห่ง ได้แก่ นาลันทา วลภี วิกรมศิลา โอทันตบรุ ี ชคัททละ และโสมบุรี เม่ือพระพุทธศาสนาเส่ือมจากอินเดีย การศึกษาสงฆ์เริ่มเจริญขึ้นทางตอนใต้อินเดีย ทาให้เกิดสถาบันการศกึ ษาแนวพทุ ธเกิดขนึ้ ทศ่ี รีลงั กา พมา่ ลาว กัมพูชา และไทย โดยเฉพาะท่ไี ทยเกิด มหาวิทยาลัยสงฆ์ข้ึน ๒ แห่ง คือมหาวิทยาลัยมหามกกุฏราชวิทยาลัย และมหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั และวิทยาเขตขยายการศกึ ษาออกไปทง้ั ในประเทศและต่างประเทศ เปิด สอนหลายสาขาวิชา มีแต่ระดบั ปริญญาตรีถึงปรญิ ญาเอก ❀ วธิ ีจดั การเรยี นการสอนเชิงพทุ ธ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต, ๒๕๔๕: ๓๓-๔๕) ได้กล่าวถึงวิธีการจัดการเรียน การสอน ๓ ประการ ดังนี้ ก. เกีย่ วกบั เนือ้ หาหรือเรอื่ งท่ีสอน ๑.สอนจากสิ่งท่ีรู้ เหน็ เขา้ ใจงา่ ยหรอื เคยเห็น ไปหาสิ่งทีเ่ ข้าใจยากหรอื ยงั ไมร่ ู้ไมเ่ หน็ ไมเ่ ขา้ ใจ ๒.สอนเนื้อหาที่ลุ่มลึกลงไปตามลาดับ และมีความต่อเน่ืองกันเป็นสายลงไป ถ้าสิ่งที่สอนเป็น สิ่งทแ่ี สดงไดก้ ต็ อ้ งสอนด้วยของจริง ใหผ้ ู้เรยี นได้ดู ได้เหน็ ได้ฟังเอง อย่างทีเ่ รยี กว่าประสบการณ์ตรง ๓.สอนตรงเน้ือหา ตรงเรอื่ ง คุมอยใู่ นเร่ือง มจี ุด ไม่วกวน ไม่ไขว้เขว ไมอ่ อกนอกเร่ืองโดยไม่มี อะไรเก่ยี วขอ้ งในเนื้อหา ๔. สอนมเี หตุผล ตรองตามเห็นจริงได้ ๕.สอนเท่าท่ีจาเป็นพอดีสาหรับให้เกิดความเข้าใจ ให้การเรียนรู้ได้ผล ไม่ใช่สอนเท่าท่ีตนรู้ หรอื สอนแสดงภมู วิ ่าผู้สอนมคี วามร้มู าก ๖.สอนส่ิงที่เขาควรจะได้เรียนรู้และเข้าใจ เป็นประโยชน์แก่ตัวเขาเอง อย่างพุทธพจน์ที่ว่า พระองคท์ รงมเี มตตา หวงั ประโยชน์แก่สัตว์ท้ังหลายจงึ ตรัสวาจาตามหลกั ๖ ประการ คอื ๑)คาพดู ทีไ่ มจ่ รงิ ไม่ถกู ตอ้ ง ไมเ่ ป็นประโยชน์ ไมเ่ ปน็ ทร่ี ักทีช่ อบใจของผูอ้ ื่น ไม่ตรสั ๒)คาพดู ทจ่ี ริง ถกู ต้อง แตไ่ มเ่ ป็นประโยชน์ ไม่เปน็ ท่ีรักที่ชอบใจของผู้อื่น ไมต่ รสั ๓)คาพดู ทจี่ รงิ ถูกตอ้ ง เป็นประโยชน์ ไม่เปน็ ทร่ี กั ทช่ี อบใจของผู้อ่นื เลือกกาลตรัส
๓๐คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ ๔)คาพดู ท่ไี มจ่ ริง ไมถ่ ูกต้อง ไมเ่ ปน็ ประโยชน์ ถงึ เป็นทร่ี ักท่ีชอบใจของผอู้ น่ื ไม่ตรสั ๕)คาพูดทจ่ี ริง ถูกตอ้ ง แตไ่ ม่เป็นประโยชน์ ถึงเป็นท่ีรกั ท่ชี อบใจของผูอ้ ื่น ไมต่ รสั ๖)คาพดู ที่จรงิ ถูกตอ้ ง เปน็ ประโยชน์ เปน็ ที่รกั ทชี่ อบใจของคนอ่นื เลอื กกาลตรสั ข. เกย่ี วกบั ตัวผูเ้ รียน ๑.คานึงถงึ ความแตกตา่ งระหว่างบุคคล อย่างในทศพลญาณขอ้ ๕ และ ๖ (ผ้เู รยี นมคี วามชอบ ความสนใจไม่เหมือนกัน และต้องรู้จุดอ่อนและจุดแข็งของผู้เรียน) การสอนต้องคานึงถึงจริต ๖ อัน ไดแ้ ก่ ราคจริต โทสจริต โมหจรติ ศรัทธาจริต พทุ ธิจรติ และวติ กจรติ รรู้ ะดบั ความสามารถของบุคคล โดยเปรยี บกับบวั ๔ เหล่า ๒.ปรบั วธิ ีสอนให้เหมาะกับบุคคล แม้สอนเรื่องเดยี วกนั แต่ต่างบุคคล อาจใช้ตา่ งวธิ ี ๓.คานึงถึงความพร้อมแต่ละบุคคล ผู้ที่มีความพร้อม (แก่รอบของอินทรีย์หรือญาณ)ของ ผเู้ รยี นแต่ละบุคคลวา่ ในแต่ละคราวน้ัน ๆ เขาควรจะได้เรยี นรู้อะไร เรยี นไดแ้ ค่ไหน เพียงใด หรอื วา่ สิ่ง ที่ต้องการใหเ้ ขารู้นน้ั ควรใหเ้ ขาเรยี นได้หรือยงั ๔.สอนโดยให้ผู้เรียนลงมือทาด้วยตนเอง ซึ่งจะช่วยให้เกิดความรู้ความเข้าใจชัดเจน แม่นยา และได้ผลจรงิ ๕.สอนโดยให้ผู้เรียนกับผู้สอนรู้สึกว่ามีบทบาทร่วมกัน ในการแสวงความจริง ให้มีการแสดง ความคิดเห็น โต้ตอบเสรี หลักน้ีเป็นส่ิงสาคัญในวิธีแห่งปัญญา ซึ่งต้องการอิสรภาพในทางความคิด และโดยวิธีนี้เมื่อเข้าถึงความจริง ผู้เรียนก็จะรู้สึกว่าตนได้เห็นความจริงด้วยตนเองและมีความชัดเจน มัน่ ใจ การสอนแบบน้มี ักมาในรูปถามตอบ มลี กั ษณะดังนี้ ๑)กระตุ้นให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นของตนออกมา ชี้ข้อคิดให้แก่เขา ส่งเสริมให้ เขาคิด และให้ผู้เรียนเป็นผู้วินิจฉัยความรู้นั้นเอง ผู้สอนเป็นเพียงผู้นาชี้ช่องทางเข้าสู่ความรู้ในการน้ี ผ้สู อนมักจะกลายเป็นผู้ถามปัญหาแทนทจ่ี ะเป็นผู้ตอบ ๒)ใหแ้ สดงความคดิ เห็น โต้ตอบอยา่ งเสรี มงุ่ หาความรู้ ไมใ่ ชแ่ สดงภูมิหรอื ขม่ กัน ๖.เอาใจใสบ่ ุคคลทคี่ วรไดร้ บั ความสนใจพเิ ศษ ตามควรแกก่ าลเทศะ และเหตุการณ์ ๗.ช่วยเหลอื ใส่ใจคนที่ด้อย ทีม่ ปี ัญหา ค. เก่ยี วกบั ตัวผู้สอน ๑.มีเทคนิคการนาเข้าสู่เน้ือหา การเร่ิมต้นท่ีดีมีส่วนช่วยให้การสอนสาเร็จผลดีเป็นอย่างมาก โดยปกติพระพุทธเจ้าจะไม่ทรงเริ่มสอนด้วยการเข้าสู่เนื้อหาธรรมทีเดียว แต่จะทรงเร่ิมสนทนากับผู้ ทรงพบหรือผู้มาเฝ้าด้วยเรื่องที่เขารเู้ ข้าใจดีหรือสนใจอยู่ ต่อจากนั้นจึงนาเข้าสู่ธรรมะโดยใช้เรื่องท่ีเขา สนใจหรือท่เี ขารูเ้ ปน็ ขอ้ สนทนาไปตลอดแล้วแทรกธรรมะเขา้ ไว้ ๒.สร้างบรรยากาศในการสอนให้ปลอดโปร่ง เพลิดเพลิน ไม่ให้ตึงเครียด ไม่ให้เกิดอึดอัดใจ และใหเ้ กียรตแิ กผ่ ูเ้ รยี น ให้เขามีความภูมิใจในตัว ๓.สอนมุ่งเนื้อหา มุ่งให้เกิดความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่สอนเป็นสาคัญ ไม่กระทบตนและผู้อ่ืน ไม่มงุ่ ยกตนขม่ ผอู้ ่นื ไม่มงุ่ เสียดสใี คร ๆ
๓๑คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ ๔.สอนโดยเคารพ คอื ต้งั ใจสอน ทาจริง ดว้ ยความรู้สกึ วา่ เป็นส่งิ มีค่า มองเห็นความสาคัญของ ผูเ้ รียน ไม่ใชส่ กั ว่าทา หรือเห็นผู้เรียนโง่เขลา ๕.ใช้ภาษาสุภาพ นุ่มนวล ไม่หยาบคาย ชวนให้สบายใจ สละสลวย เข้าใจง่าย ดังพระพุทธ พจนท์ ่ตี รสั สอนภกิ ษุผแู้ สดงธรรม หรือองค์แห่งพระธรรมกถึก ไว้วา่ “อานนท์ การแสดงธรรมให้คนอ่ืน ฟัง มใิ ช่สง่ิ ทก่ี ระทาไดง้ ่าย ผแู้ สดงธรรมแกค่ นอน่ื พึงต้ังธรรม ๕ อยา่ งไวใ้ นใจ คือ ๑)เราจักกลา่ วชีแ้ จงไปตามลาดบั ๒)เราจักกล่าวช้แี จงยกเหตผุ ลมาแสดงให้เข้าใจ ๓)เราจกั แสดงดว้ ยอาศัยเมตตา ๔)เราจักไมแ่ สดงด้วยเห็นแกอ่ ามสิ ๕)เราจักแสดงไปโดยไมก่ ระทบตนและผูอ้ ื่น ❀ พุทธวธิ ีการสอนแบบต่าง ๆ ๑. รปู แบบการสอน พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต, ๒๕๔๕: ๔๗-๕๑) ไดส้ รุปวิธีสอนของพระพทุ ธเจ้าไว้ดงั น้ี ๑.๑ แบบสากัจฉา หรือใช้วิธีการสนทนา เป็นวิธีที่ใช้สาหรับผู้เรียนที่ยังไม่มีความ เลอ่ื มใสศรัทธา เริ่มตน้ ด้วยการสนทนา นาคู่สนทนาเขา้ ส่คู วามเขา้ ใจและเล่ือมในในทสี่ ุด ๑.๒ แบบบรรยาย ใชใ้ นทีป่ ระชมุ ใหญ่ ผฟู้ งั ส่วนมากเป็นผู้มีพนื้ ความรู้ความเข้าใจ มี ความเลื่อมใสศรัทธาอยู่แล้ว มาฟังเพื่อหาความรู้ความเข้าใจเพิ่มเติม ผู้ฟังเป็นประเภทเดียวกันและ ระดับใกล้เคียงกันพอจะใช้วิธีบรรยายแบบกว้างๆได้ ลักษณะพิเศษของพุทธวิธีในสอนแบบน้ี ทาให้ ผฟู้ ังแต่ละคนรู้สึกว่าผสู้ อนพูดกับตัวเองโดยเฉพาะ (touch) ๑.๓ แบบตอบปัญหา บางทีเป็นการถามเพื่อหาคาตอบเทียบเคียงกับส่ิงที่อยู่ในใจ ของผเู้ รยี น บางทีถามลองภูมิ บางทีเตรียมมาถามเพ่ือข่มปราบใหจ้ น หรอื ให้ไดร้ บั ความอบั อาย ในการ ตอบคาถาม พระพุทธองค์ให้พิจารณาดูลักษณะของปัญหาและใช้วิธีตอบให้เหมาะสมกัน ทรงแยก ประเภทปญั หาไวต้ ามลกั ษณะวธิ ตี อบเป็น ๔ อยา่ ง คือ ๑) เอกงั สพยากรณียปัญหา ปญั หาทพ่ี งึ ตอบตรงไปตรงมาตายตัว ๒) ปฏิปจุ ฉาพยากรณีปัญหา ปญั หาทพี่ ึงย้อนถามให้ชดั เจนก่อนแลว้ จึงตอบ ๓) วภิ ัชชพยากรณยี ปญั หา ปญั หาท่ีจะต้องขยายความเพมิ่ เติม ๔) ฐปนียปัญหา ปัญหาที่พึงยับย้ัง เช่น ถามนอกเร่ือง ไร้ประโยชน์ อันจัก เป็นเหตุ ให้เขว ยืดเยือ้ สนิ้ เปลอื งเวลา พงึ ยับย้ังและชักนาผูถ้ ามกลบั เข้าสู่แนวเรอ่ื งทป่ี ระสงค์ต่อไป ๑.๔ แบบคานงึ ถึงเหตแุ หง่ การถามปัญหา มี ๕ อยา่ ง คือ ๑) บางคน ถามปญั หาเพราะความโงเ่ ขลา เพราะความไม่เขา้ ใจ ๒) บางคน มีความปรารถนาลามก เกิดความอยากไดจ้ งึ ถามปัญหา ๓) บางคน ยอ่ มถามปญั หา ดว้ ยต้องการอวดเดน่ ขม่ เขา ๔) บางคน ย่อมถามปัญหาด้วยประสงคจ์ ะรู้
๓๒คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ ๕) บางคน ย่อมถามปัญหาด้วยมีความคิดว่า เมื่อถามไปแล้ว ถ้าเขาตอบ ถกู ต้องก็เปน็ การดี แตถ่ า้ ไปแลว้ เขาตอบไม่ถกู ต้อง จะไดช้ ่วยแก้ใหถ้ ูกต้องในการตอบปัญหา นอกจาก รวู้ ธิ ีตอบแล้ว ถ้าไดร้ ู้ซง้ึ ถงึ จติ ใจของผูถ้ ามด้วยว่า เขาถามด้วยความประสงค์อยา่ งใด ก็จะสามารถกล่าว แกไ้ ด้เหมาะสมแกก่ าร และตอบปญั หาไดต้ รงจุด ทาใหก้ ารสอนไดผ้ ลดขี น้ึ ๑.๕ แบบวางกฎข้อบงั คับ หรอื วินยั ซึง่ ตอ้ งเป็นท่ยี อมรบั และตกลงกนั ในหมูค่ ณะ ๒. เทคนคิ ประกอบการสอน พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ.ปยตุ ฺโต, ๒๕๔๕: ๕๒-๗๐) ไดก้ ล่าวถึงกลวิธีและอุบายประกอบการ สอน ไวว้ ่า ๒.๑ การยกอุทาหรณ์หรือเล่านิทานประกอบ ช่วยให้เข้าใจความได้ง่ายและชัดเจน ชว่ ยให้จาแมน่ ยา เห็นจริงและเกดิ ความเพลดิ เพลิน ทาใหก้ ารเรียนมรี สยิ่งข้นึ ๒.๒ การเปรียบเทียบ (อุปมาอุปไมย) ช่วยให้เรื่องที่ลึกซึ้งเข้าใจยาก ให้เด่นชัด ออกมา และเขา้ ใจงา่ ยขึ้น มักใชอ้ ธิบายในส่งิ ที่เป็นนามธรรม เปรยี บใหเ้ ห็นชัดแบบรปู ธรรม ๒.๓ การใช้อุปกรณ์การสอน มีที่ใช้น้อยในสมัยพุทธกาล ต้องอาศัยวัตถุสิ่งของท่ีมีใน ธรรมชาติหรอื เคร่อื งใชท้ ี่ใช้กันอยูป่ ระจาวัน เชน่ กะลา เงาในน้า หรือ ใบไม้ในกามือ เปน็ ต้น ๒.๔ การทาเป็นตัวอย่าง เป็นวิธีสอนอย่างดีท่ีสุดอย่างหน่ึงโดยเฉพาะในทาง จริยธรรม ไม่ตอ้ งกล่าวสอน แต่เป็นการทาให้ดู ๒.๕ การเล่นภาษา เล่นคา และใช้คาในความหมายใหม่ ต้องอาศัยความสามารถใน เชิงภาษาผสมกับปฏิภาณ แปลงจากคาพดู ท่ไี ม่สร้างสรรค์เปน็ ความคิดที่สร้างสรรค์ ดีงาม ๒.๖ อุบายเลือกคน และการปฏิบัติรายบุคคล ทาให้หมดความคลางแคลงใจ ตัด ปัญหาในการทางานท่ีท่านเหล่านี้ก่อน เพราะเขาอาจไปสร้างความคลางแคลงใจแก่ผู้อ่ืนอีก การสอน เป็นหมู่คณะใหเ้ ร่มิ ต้นจากผู้นากอ่ น จะทาให้ได้ผลดีกว่าการสอนไมเ่ จาะจง ๒.๗ การรู้จักจังหวะและโอกาส ผสู้ อนต้องรู้จกั ใช้จักหวะและโอกาสให้เปน็ ประโยชน์ เม่ือยังไม่ถึงจังหวะ ไม่เป็นโอกาส เช่นผู้เรียนยังไม่พร้อม ต้องมีความอดทน ไม่ชิงหักหาญหรือดึงดัน ทา แต่ต้องตน่ื ตัวอยเู่ สมอ เมือถงึ จังหวะหรือเป็นโอกาสต้องมีความฉับไวท่ีจะจับมาใช้ให้เปน็ ประโยชน์ ไมป่ ล่อยใหผ้ ่านไป ๒.๘ มีความยืดหยุ่น ถ้าผู้สอนสอนอย่างไม่มีอัตตา ตัดตัณหา มานะ ทิฐิเสียให้น้อย ทีส่ ุด กจ็ ะมุง่ ไปยังผลสาเรจ็ ในการเรียนรู้เปน็ สาคัญ สดุ แตจ่ ะใช้กลวธิ ีใดให้การสอนไดผ้ ลดีทีส่ ดุ กจ็ ะทา ในทางนน้ั ไมก่ ลัวว่าจะเสียเกียรติ ไม่กลวั จะถกู รูส้ กึ วา่ แพ้ ๒.๙ การลงโทษและให้รางวัล ในพุทธวิธีในการสอนไม่เน้นท่ีจุดนี้ ใช้เท่าท่ีจาเป็น “ทรงแสดงธรรมในบริษัท ไม่ทรงยอบรษิ ทั ไม่ทรงรกุ รานบริษัท ทรงช้แี จงให้บรษิ ทั เห็นแจ้ง” “พงึ รู้จัก การยกยอ และการรุกราน คร้ันรู้แล้วไม่พึงยกยอ ไม่พึงรุกราน พึงแสดงแต่ธรรมเท่านั้น” ไม่ทรงใช้ท้ัง วิธีลงโทษและให้รางวัล ใช้การชมเชยยกย่องบ้าง แต่เป็นไปในรูปการยอมรับคุณความดีของผู้น้ัน กล่าวชมโดยธรรมให้เขาม่ันใจในการกระทาดีของตน แต่ไม่ให้เกิดเป็นการเปรียบเทียบข่มคนอ่ืนลง บางทีชมเพื่อเป็นตัวอย่าง หรือกล่าวเพ่ือแก้ความเข้าใจผิด ให้ตั้งอยู่ในทัศนคติที่ถูกต้อง การลงโทษ
๓๓คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ น่าจะมีอยู่แบบหนึ่ง คือ การลงโทษตนเอง ซ่ึงมีท้ังทางธรรมและวินัย ผู้เรียนท่ีเหลือขอจริง หรือ สอน ไม่ได้ ใหถ้ ือว่าเปน็ ผูท้ ไ่ี ม่ควรจะวา่ กลา่ วสัง่ สอน ถือวา่ เป็นการลงโทษท่ีรนุ แรงที่สุด ๒.๑๐ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ปัญหาที่เกิดขึ้นมีความแตกต่างกันอย่างไม่มีท่ีสุด การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าต้องอาศัยปฏิภาณ ความสามารถในการประยุกต์หลักการและกลวิธีต่าง ๆ มาใชใ้ หเ้ หมาะสม ❀ ส่อื การเรยี นรวู้ ถิ ีพทุ ธ ๑. อุปกรณท์ ่ีใช้เป็นสือ่ สนิท ศรีสาแดง (๒๕๔๗: ๒๓๓-๒๓๔) กล่าวว่า อุปกรณ์ในการสอนท่ีเรียกว่า ส่ือการสอน ของพระพทุ ธองคท์ ส่ี ามารถนามาใช้ไดจ้ นถงึ ปัจจบุ นั ได้แก่ ๑.๑ ต้นไม้ ใช้เป็นอุปกรณ์ส่ือให้รู้จกั ลักษณะของสัตบุรุษ สัตบุรุษทั้งหลายเปรียบดัง พฤกษชาติให้ร่วมเงาแก่บุคคลอื่น แต่ตนดารงอยู่กลางแดด แม้ผลก็มีไว้สาหรับคนอ่ืนโดยแท้ จึง เปรียบเทยี บสว่ นต่าง ๆ ของตน้ ไม้ กบั หลกั ธรรม ดงั นี้ กงิ่ ไม,้ ใบไม้ ลาภสกั การะชอ่ื เสียง สะเก็ด ศีล, มรรยาท เปลือก สมาธิ กะพี้ ญาณทศั นะ แกน่ วมิ ตุ ิ (การหลดุ พน้ ) ใบไม้ เปน็ อุปกรณ์สื่อใหร้ ู้จกั ไตรลักษณ์ อนจิ จงั ทกุ ขงั อนตั ตา ใบไม้ในกามือ พระธรรมทีท่ รงนามาสอน ๑.๒ อจุ จาระ เปน็ ส่อื ใหร้ ้จู ักความน่ารังเกยี จ ความเป็นน่ันเป็นน่ี ดังตวั อยา่ ง “ดูกร ภิกษุท้ังหลาย อุจจาระ ปัสสาวะ น้าลาย น้าหนอง เลือด แม้มีประมาณน้อยก็มีกล่ินเหม็นฉันใด เรา ยอ่ มไมส่ รรเสริญ ภพ แม้มปี ระมาณน้อย โดยท่สี ุดแม้เพียงลัดนว้ิ มอื เดียว ฉนั น้นั ” ๑.๓ มหาสมุทร เป็นส่ือสอนธรรมะว่า มหาสมุทรมีความลุ่มลึก เหมือนพระธรรม วนิ ัย มีความกวา้ งใหญ่ เหมอื นกายคตาสติ มคี วามสะอาด ธรรมวินัยเป็นท่อี ยคู่ นดี คนสกปรกอย่ไู มไ่ ด้ ๑.๔ เรือนรวั่ เรือนมงุ ดี อปุ กรณส์ อนเร่อื งจิตที่ไดร้ บั การฝึกอบรมดีและจิตท่ีไม่ไดฝ้ กึ ๑.๕ หว้ งน้า เชน่ กาโมฆะ ภโวฆะ ทฏิ โฐฆะ อวิชโชฆะ ๑.๖ ไฟ เปรียบด้วยราคะ โทสะ โมหะ ๑.๗ ถ่านเพลงิ การเสพติดในกามสุข เปน็ สิ่งผูกมดั ในสังสารวฎั ๒. การใช้ส่ือการเรยี นการสอน การใชส้ ่อื การสอนในทน่ี ่จี ะยดึ ตาม ปาฏหิ าริย์ ๓ คือการกระทาที่กาจดั หรอื ทาใหป้ ฏิปักษ์ยอม ได้ การกระทาที่ให้เปน็ อศั จรรย์ การกระทาทีใ่ หบ้ ังเกิดผลเป็นอัศจรรย์ ดังนี้ ๒.๑ อิทธิปาฏิหาริย์ การแสดงฤทธิ์ได้เป็นอัศจรรย์ (marvel of psychic power) คือ สามารถเนรมิตสิ่งต่าง ๆ ให้ปรากฏแก่ผู้ที่ทรงต้องการสอน เพ่ือให้เขาเข้าใจธรรมะ ลดมิจฉาทิฎฐิ และเกดิ ศรัทธาเล่ือมใส เปรียบไดก้ ับสอื่ เสมือนหรือสือ่ สามมิติ และโฮโรแกรม ในปจั จบุ นั ทรงใชห้ ลาย
๓๔คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ กรณีท่ีเด่น ๆ เช่น การสอนเจ้าหญิงรูปนันทาให้คลายความยึดมั่นในรูปตน ทรงพาเจ้าชายนันทะชม สวรรค์ การแสดงยมกปาฏิหารยิ ป์ ราบมิจฉาทิฏฐิของเดยี รถยี ์ และกรณีอน่ื ๆ ๒.๒ อาเทศนาปาฏิหาริย์ (marvel of mind-reading) คือ การทายใจ รอบรู้ กระบวนของจิต บอกสภาพของจิต ความคิด อุปนิสัยได้ถูกต้อง เป็นอัศจรรย์ จนผู้ที่ทรงต้องการสอน ยอมจานน ลดทิฏฐิมานะ และรบั ฟังธรรมตอ่ ไป ทรงใช้หลายกรณที เี่ ด่น ๆ เช่น การสอนองคุลมี าลด้วย ตรัสว่า เราหยุดแลว้ แตท่ ่านยังไม่หยดุ ตรัสสอนพราหมณ์ว่า “ฆ่าความโกรธเสียได้ย่อมอยู่เป็นสุข” ซ่ึง ต่อมาท่านเหล่านก้ี ็เกิดความเลื่อมใสและหนั มานับถอื พระพทุ ธศาสนาทง้ั หมด ๒.๓ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ (marvel of teaching) คือคาสอนที่เป็นจริง สอนให้เห็น จริง นาไปปฏิบัติได้ผลสมจริงเป็นอัศจรรย์ เป็นการสอนโดยทั่วไปหรือใช้ส่ือธรรมชาติ สื่อของจริง ประกอบการสอนซึ่งมีมากมายทเ่ี ด่น ๆ เปน็ ทีร่ กู้ ันดี เช่น ตปุสสะและภลั ลิกะเห็นพุทธลกั ษณะ แล้วขอ เป็นพุทธมามกะ พระพุทธเจ้าสอนภิกษุในพิจารณาศพนางสิริมาที่เสียชีวิตมาแล้ว ๓ วัน โกลิตมานพ เหน็ อริ ยิ าบถพระอัสสชแิ ล้วขอฟังธรรม และการสอนกรรมฐานดว้ ยอสภุ ะ ๑๐ เป็นตน้ ๓. สื่อบุคคล บุคคลถือเป็นส่ืออย่างหน่ึงท่ีใช้ในการสอนธรรมะ เพราะบุคคลเป็นเหตุแห่ง ศรัทธาจากบุคคลอื่นได้เชน่ กัน การศรัทธาในตวั บคุ คลมี ๔ ลกั ษณะ คือ รปู ปั ปมาณิกา ศรัทธาเพราะเห็นรูปลกั ษณ์ ลูขปั ปมาณกิ า ศรทั ธาเพราะเคร่งครัดธรรมวนิ ัย โฆสัปปมาณกิ า ศรัทธาเพราะไดฟ้ ังเสียงอันไพเราะ ธมั มัปปมาณิกา ศรัทธาเพราะหลักธรรม/ฉลาดสอน วัตถปุ ระสงค์การใชส้ ือ่ กเ็ พอื่ ใหเ้ กดิ ความรู้ หรอื ปญั ญาแกผ่ ูเ้ รยี น แบ่งเปน็ ๓ ลกั ษณะ คอื สตุ มยปัญญา ปัญญาเกิดจากการได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง ได้สัมผัส ได้บันทึกจดจา จากสอื่ จินตามยปัญญา ปญั ญาเกดิ จากการได้คดิ ตรกึ ตรองตามสื่อ ภาวนามยปัญญา ปญั ญาเกิดจากไดฝ้ กึ ปฏบิ ตั ิจนเข้าใจ ทาได้ สรุป สื่อการเรียนการสอนในทางพระพุทธศาสนานั้น ได้แก่ สิ่งที่อยู่ใกล้ตัวทุกอย่างสามารถ นามาประยุกต์เข้ากับการสอนได้ แม้ในปัจจุบันจะมีการพัฒนาการใชส้ อ่ื อยู่ตลอดเวลา แต่สื่อการสอน ก็มีราคาท่ีสูง ดังน้ันหากโรงเรียนวิถีพุทธกลับมาใช้ส่ือการสอนตามหลักการดังกล่าวแล้ว ก็จะช่วยให้ ประหยดั ค่าใชจ้ ่าย และเกิดผลสัมฤทธสิ์ ูงสดุ ❀ หลักธรรมสาหรับผบู้ ริหาร พระพุทธศาสนามีหลักธรรมที่สามารถนามาบูรณาการกับการบรหิ ารการศึกษาได้ มี การศึกษาวจิ ยั และสรุปหลักธรรมว่ามคี วามสอดคลอ้ งกับการผู้บริหารการศึกษา สรุปได้ดังนี้ ๑. ด้านการครองตน มีหลักธรรมทส่ี อดคลอ้ งกบั การประยกุ ต์ใช้ ๙ หลกั ธรรม ทีส่ อดคลอ้ งกับความคิดเห็นของพระ พรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยตุ ฺโต, ๒๕๔๗ : ๑๑-๑๓) ดงั น้ี กัลยาณมิตตตา ความมีกัลยาณมิตร คือ มีผู้แนะนาส่ังสอน ท่ีปรึกษา เพ่ือนที่คบหาและ บุคคลผูแ้ วดลอ้ มท่ีดี
๓๕คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ โยนโิ สมนสิการ การใช้ความคิดถูกวธิ คี ือ การทาในใจโดยแยบคาย จะทาให้พ่งึ ตนเองและเป็น ท่พี ่ึงของคนอ่นื ได้ ธรรมคุ้มครองโลก ๒ ธรรมที่ช่วยให้โลก มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่เดือดร้อนและ สับสนวุน่ วาย มีขอ้ ธรรม ๒ ขอ้ คือ หริ ิ ความละอายบาปละอายใจต่อการทาความช่ัว โอตตปั ปะ ความ กลัวบาป เกรงกลวั ตอ่ ความชวั่ ประยุกต์ใชก้ บั ทักษะภาวะผู้นา และการตดั สนิ ใจ ธรรมทาให้งาม ๒ มีข้อธรรม ๒ ขอ้ คอื ขนั ติความอดทน โสรัจจะ ความเสงี่ยม ประยุกต์ใช้กับ ทกั ษะภาวะผูน้ า และการตดิ ต่อสือ่ สาร ธรรมมีอปุ การะมาก ๒ ธรรมที่เกือ้ กูลใน กจิ หรอื ในการทาความดีทุกอย่างมขี ้อธรรม ๒ ขอ้ คือ สติ ความระลึกได้ นึกได้ สานึกอยู่ ไม่เผลอ สัมปชัญญะ ความรู้ชัด, รู้ชัดส่ิงท่ีนึกได้ตระหนัก เข้าใจชัด ตามความเป็นจริง ประยุกต์ใชก้ ับทกั ษะภาวะผูน้ าและการตัดสินใจ กุศลมูล ๓ รากเหง้าของกุศล ตน้ ตอของความดีมีข้อธรรม ๓ ข้อคอื อโลภะ ความไมโ่ ลภ อโท สะ ความไมค่ ิด ประทษุ รา้ ย อโมหะ ความไมห่ ลง ประยุกต์ใช้กับทกั ษะภาวะผู้นา สุจริต ๓ ความประพฤติดี ประพฤติชอบ มีข้อธรรม ๓ ข้อคือ กายสุจริต ความประพฤติชอบ ด้วยกาย วจีสุจริต ความประพฤติชอบด้วยวาจา มโนสุจริต ความประพฤติชอบด้วยใจ ประยุกต์ใช้กับ ทกั ษะภาวะผูน้ า การสร้างแรงจงู ใจ และการตัดสินใจ สันโดษ ๓ ความยินดี ความพอใจ ความร้จู กั อิ่มร้จู ักพอ มีข้อธรรม ๓ ขอ้ คอื ยถาลาภ สันโดษ ยินดีตามท่ีได้ยินดีตามท่ีพึงได้ยถาพลสันโดษ ยินดีตามกาลัง ยถาสารุปปสันโดษ ยินดีตามสมควร ประยุกต์ใช้กับภาวะผู้นา อธปิ ไตย ๓ ความเปน็ ใหญ่ มขี ้อธรรม ๓ ข้อคอื อตั ตาธปิ ไตย ความมตี นเป็นใหญ่โลกาธิปไตย ความมีโลกเป็นใหญ่ถือโลกเป็นใหญ่ ธัมมาธิปไตย ความมีธรรมเป็นใหญ่ ประยุกต์ใช้กับทักษะภาวะ ผนู้ าและ การตัดสินใจ ฆราวาสธรรม ๔ ธรรมสาหรับฆราวาส ธรรมสาหรับการครองเรือน หลักการครอง ชีวิตของ คฤหัสถ์ มีข้อธรรม ๔ ข้อคือ สัจจะ ความจริง ซื่อตรง ซ่ือสัตย์ จริงใจ พูดจริง ทาจริง ทมะ การฝึกฝน การข่มใจ ฝกึ นิสัย ปรบั ตัว ขันติ ความอดทน จาคะ ความเสียสละ พรหมวิหาร ๔ ธรรมเครื่องอยู่อย่าง ประเสริฐ ธรรมประจาใจอันประเสริฐ หลักความ ประพฤติที่ประเสริฐบริสุทธ์ มีข้อธรรม ๔ ข้อคือ เมตตา ความรัก ปรารถนาดีอยากให้เขามีความสุข กรุณา ความสงสาร คดิ ชว่ ยใหพ้ ้นทกุ ข์ มุทติ า ความยินดใี นเม่อื ผอู้ ืน่ อยู่ดีมีสขุ อเุ บกขา ความวางใจเปน็ กลาง สังคหวัตถุ ๔ ธรรมยึดเหน่ียวใจบุคคล และประสานหมู่ชนไว้ในสามัคคี หลักการสงเคราะห์มี ข้อธรรม๔ ข้อคือ ทาน การให้ ปิยวาจา หรือ เปยยวัชชะ วาจาเป็นท่ีรัก อัตถจริยา การประพฤติ ประโยชน์ สมานัตตตา ความมีตนเสมอ คือทาตนเสมอต้นเสมอปลาย อธิษฐานธรรม ๔ ธรรมเป็นที่ม่ัน ธรรมอันเป็นฐานท่ีม่ันคงของบุคคล มีข้อธรรม ๔ ข้อคือ ปัญญา ความรู้ชัด คือ หย่ังรู้ในเหตุผลสัจจะ ความจริง จาคะ ความสละ อุปสมะ ความสงบ ผู้บริหาร การศกึ ษาควรยดึ หลักธรรม อธษิ ฐานธรรม ๔ เพื่อการครองตนประยกุ ตใ์ ชก้ บั ภาวะผนู้ า
๓๖คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ อิทธิบาท ๔ คุณธรรมท่ีนาไปสู่ความสาเร็จแห่งผลที่มุ่งหมาย มีข้อธรรม ๔ ข้อคือ ฉันทะ ความพอใจ วิริยะ ความเพียร คือ ขยันหม่ัน ประกอบส่ิงนั้นด้วยความพยายาม จิตตะ ความคิดมุ่งไป อทุ ศิ ตวั อุทศิ ใจใหแ้ ก่สิ่งทีท่ า วมิ ังสา ความไตรต่ รอง หรือ ทดลอง เบญจธรรม คู่กับเบญจศีล มีข้อธรรม ๕ ข้อคือ เมตตาและกรุณา ความรักใคร่ปรารถนาให้มี ความสุขความเจรญิ และความสงสารคิดชว่ ยให้พ้นทุกข์ คู่กับศีล ข้อที่๑ สัมมาอาชีวะ การหาเลี้ยงชพี ในทางสุจริต คู่กับศีลข้อท่ี ๒ กามสังวร ความสังวรในกาม ความสารวมระวังรู้จักยับยั้งควบคุมตน ในทางกามารมณ์ คกู่ บั ศลี ข้อท่ี ๓ สจั จะ ความสัตย์ ความซอื่ ตรง คกู่ บั ศลี ข้อท่ี ๔ สติสมั ปชัญญะ ระลึก ได้และรู้ตัวอยู่เสมอ คือ ฝึกตนให้เป็นคน รู้จักยั้งคิด รู้สึกตัวเสมอว่าสิ่งใดควรทาและไม่ควรทา ไม่มัว เมาประมาท คูก่ ับศลี ขอ้ ที่ ๕ พละ ๕ ธรรมอนั เปน็ กาลงั มขี อ้ ธรรม ๕ ข้อคือ สัทธา ความเชื่ออ วิรยิ ะ ความเพยี ร สติ ความ ระลึกไดส้ มาธิ ความต้ังจติ มั่น ปัญญา ความรู้ทว่ั ชดั กลั ยาณมติ รธรรม ๗ คุณสมบัตขิ องมติ รดี และมิตรแท้ มขี อ้ ธรรม ๗ ข้อคือ ปิโย นา่ รัก ครุ น่า เคารพ ภาวนีโย น่าเจริญใจ หรือน่ายกย่อง วตฺตา จ รู้จักพูดให้ได้ผล รู้จักชี้แจงให้เข้าใจ วจนกฺขโ ม อดทนต่อถ้อยคา คือ พร้อมท่ีจะรับฟังคาปรึกษาซักถามคาเสนอ และ คมฺภีรญฺจกถ กตฺตา แถลงเรื่อง ล้าลึกไดโ้ น จฏฺฐาเน นิโยชเย ไมแ่ นะนาในเรือ่ งเหลวไหลหรือชักจงู ไปในทาง เสอื่ มเสยี สัปปุริสธรรม ๗ ธรรมของสัตบุรุษ คุณสมบัติของคนดีธรรมของผู้ดี มีข้อธรรม ๗ ข้อคือ ธัมมัญญุตา ความรู้จักธรรม รู้หลัก หรือ รู้จักเหตุ อัตถัญญุตา ความรู้จักอรรถ รู้ความมุ่งหมาย หรือ รู้จักผล กาลัญญุตา ความรู้จักกาล คือ รู้กาลเวลาอันเหมาะสม ปริสัญญุตา รู้จักชุมชน และรู้จักที่ ประชุม รูก้ ิริยาทจี่ ะประพฤตติ อ่ ชมุ ชนน้ัน ๆ ปคุ คลญั ญุตา ความรู้จักบคุ คล อรยิ ทรัพย์ ๗ ทรัพย์อนั ประเสริฐ หรือ ธรรมมอี ปุ การะมาก มขี ้อธรรม ๗ ข้อคอื ศรทั ธา ความ เช่ือท่ีมีเหตุผล มั่นใจในหลักท่ีถือและในการดีที่ทา ศีล การรักษาการยวาจาให้เรียบร้อย ประพฤติ ถกู ตอ้ งดีงาม หิริ ความละอายใจต่อการ ทาความชัว่ โอตตปั ปะ ความเกรงกลวั ต่อความชว่ั พาหุสจั จะ ความเป็นผู้ได้ศึกษาเล่าเรียนมาก จาคะ ความเสียสละ เอื้อเฟื้อเผ่ือแผ่ปัญญา ความรู้ ความเข้าใจถ่อง แทใ้ นเหตุผล ดีชวั่ ถูกผิด คณุ โทษ ประโยชน์ มใิ ช่ประโยชน์ รคู้ ิด รู้พจิ ารณา และรู้ทีจ่ ะจัดทา ทศพธิ ราชธรรม ธรรมของพระราชา คณุ ธรรมของผู้ปกครองบ้านเมือง ธรรมของ นกั ปกครอง มีข้อธรรม ๑๐ ข้อคือ ทาน การให้ ศีล ความประพฤติดีงาม ปริจจาคะ การบริจาค คือ เสียสละ อาชชวะ ความซ่ือตรง มัททวะ ความอ่อนโยน ตปะ ระงับยับย้ังข่มใจได้อักโกธะ ความไม่โกรธ อวิหิงสา ความไมเ่ บียดเบียน ขนั ติ ความอดทน อวิโรธนะ ความไม่คลาดธรรม ๒. ดา้ นการครองคน ได้มีการศึกษาและสรุปหลักธรรมท่ีสอดคล้องการครองคน ๑๕ หลักธรรม บางหลักธรรมก็ เกย่ี วขอ้ งกบั กับการครองตน และครองงาน เนอ่ื งจากหลักธรรมชุดหน่ึง ๆ จะมธี รรมะหลายขอ้ ดงั น้ี กัลยาณมิตตตา ผู้บริหารการศึกษา ควรยึดหลักธรรม กัลยาณมิตตตา ในการครองใจ คน ประยกุ ต์ใช้กับทักษะภาวะผู้นา และทกั ษะการสร้างแรงจูงใจ ธรรมคุ้มครองโลก ๒ ผบู้ ริหารการศกึ ษา ควรยึดหลกั ธรรม ธรรมค้มุ ครองโลก ๒ ในการ ครอง ใจคน ประยุกต์ใช้กบั ทักษะภาวะผูน้ า และการตัดสินใจ
๓๗คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ ธรรมทาให้งาม ๒ ผู้บริหารการศึกษา ควรยึดหลกั ธรรม ธรรมทาใหง้ าม ๒ ในการ ครองใจคน ประยุกตใ์ ชก้ บั ทกั ษะภาวะผนู้ า และการตดิ ตอ่ สื่อสาร ธรรมมีอุปการะมาก ๒ ผู้บริหารการศึกษา ควรยึดหลักธรรมนี้ในการครองใจคน ประยุกต์ใช้ กับทักษะภาวะผู้นา และการตัดสินใจ สอดคล้องกับ วรภัทร์ ภู่เจริญ ที่กล่าวว่า ไม่ว่าคนจะแตกต่าง แบบไหน จดั การยากแคไ่ หน แบ่งเปน็ กีป่ ระเภท เราก็ใชห้ ลกั การ มหาสติปฏิปฎั ฐาน ๔ ฝึก ดดั สันดาน ได้ ให้พนักงานมีอิทธิบาท ๔ ในการฝึกสติให้พวกเขา เห็นว่า ต้นตอ สาเหตุทั้งหลายอยู่ที่จิตไม่ว่าง การจะทาให้จติ วา่ งตอ้ งฝกึ สติ หลักการบรหิ ารแนวพุทธศาสตรค์ ือ สติ พอได้มหาสตปิ ฏปิ ัฎฐาน ๔ ก็จะ ได้อธิจิต อธิศีล อธิปัญญา เป็นจิตว่าง เป็นศีลใหญ่ เป็นปัญญา (wisdom) ที่แท้จริง (วรภัทร์ ภู่เจริญ, ๒๕๔๘. : ๒๒๘-๒๓๓) กุศลมูล ๓ ผบู้ ริหารการศกึ ษาควรยึดหลกั กุศลมูล ๓ ในการครองใจคน ประยกุ ตใ์ ช้กับ ทกั ษะ ภาวะผูน้ า สุจริต ๓ ผู้บริหารการศึกษาควรยึด หลักธรรม สุจริต ๓ ในการครองใจคน ประยุกต์ใช้กับ ทกั ษะภาวะผู้นา และการสร้างแรงจูงใจ และการตัดสินใจ สอดคล้องกบั พระพรหม คณุ าภรณก์ ล่าวว่า คนมศี ลี ธรรมหรือมีมนษุ ยธ์ รรม เปน็ อารยชนมธี รรมสจุ ริตทั้งสาม (พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยตุ โฺ ต), ๒๕๔๗ : ๑๔-๑๙) สันโดษ ๓ ผู้บริหารการศึกษาควรยึดหลักธรรมสันโดษ ๓ ในการครองใจคน ประยุกต์ใช้กับ ทักษะภาวะผู้นา สอดคล้องกับ พระมหาจรัญ วิจารณเมธี (นิลาพันธ์ุ) กล่าวว่า หลักสันโดษ เป็น หลักธรรมในพระพุทธศาสนา ท่ีเน้นการแก้ปัญหาจากภายในมาหาภายนอก ปัญหาจากภายใน หมายถึงปัญหาท่ีเกิดในจิตใจของมนุษย์ท่ีมีความโลภ โกรธ หลง รักสุข เกลียดทุกข์ เป็นธรรมดา ปัญหาภายนอก คือปญั หาท่ีเกิดจากเศรษฐกิจ การเมอื ง สังคม นามาประยุกต์ใช้กับชวี ิตประจาวัน จะ ช่วยให้การแก้ปญั หาท่ีเกิดขึ้นแก่ตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากข้ึน (บัณฑิตวิทยาลัย มจร., ๒๕๔๕ : ๑๕๒-๑๕๓) อธิปไตย ๓ ผู้บริหารการศึกษาควรยึดหลักธรรม อธิปไตย ๓ ในการครองใจคน ประยุกต์ใช้ กับทักษะภาวะผู้นาและการตัดสินใจ สอดคล้องกับพระเมธีธรรมาภรณ์เสนอแนวคิด เร่ืองคุณธรรม สาหรับนักบรหิ ารคือ อธิปไตย ๓ วา่ “หนา้ ทขี่ องนกั บรหิ ารปรากฏอยู่ในคาจากดั ความที่ว่าการบรหิ าร หมายถึงศิลปะแห่งการทางาน ให้สาเร็จโดยอาศัยคนอ่ืน วิธีการบริหารสรุปได้สาม ประการตามนัย แห่ง อธิปไตยสูตร ดังน้ี อัตตาธิปไตย หมายถึง การถือตนเองเป็นใหญ่ วิธีการบริหารแบบนี้ทาให้ได้ ความสาเร็จของงานแต่เสียเรื่องการครองคน โลกาธิปไตย หมายถึง การถือคนอื่นเป็นใหญ่ นักบริหาร ประเภทนี้ไดค้ นแต่เสียงาน วิธีการบริหารแบบนที้ าให้ได้เรื่องการครองคน แตเ่ สียเรอื่ งความสาเร็จของ การครองงาน ธรรมาธิปไตย หมายถึงการถือธรรมหรือหลักการเปน็ ใหญ่นักบริหารประเภทนี้ได้ทั้งคน และได้ท้ังงาน วิธีการบริหารแบบนี้ทาให้ได้เร่ืองการครองตน การครองคน และการครองงาน” พระ เมธีธรรมาภรณ์. (๒๕๓๘ : ๒๕) สอดคล้องกับ พระพรหมคุณาภรณ์ กล่าวว่า คนมีส่วนร่วมในการ ปกครองทด่ี โี ดยเฉพาะคนในสังคมประชาธิป ไตยพึงรหู้ ลักและปฏิบตั ดิ ังน้ี (ก).รหู้ ลักอธิปไตย คือรู้หลัก ความเป็นใหญ่ท่ีเรียกว่า อธิปไตย ๓ ประการดังนี้ อัตตาธิปไตย ถือตนเป็นใหญ่ โลกาธิปไตย ถือโลก เป็นใหญ่ ธัมมาธิปไตย ถือธรรมเป็นใหญ่ ถ้าต้องการรับผิดชอบต่อรัฐประชาธิปไตยพึงถือหลักข้อ ๓ คอื ธรรมาธปิ ไตย (ข) มีส่วนในการปกครอง
๓๘คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ ฆราวาสธรรม ๔ ผู้บริหารการศึกษาควรยึด หลักธรรม ฆราวาสธรรม ๔ ในการครองใจคน ประยุกต์ใช้กับทักษะภาวะผู้นา สอดคล้องกับ พระพรหมคุณาภรณ์ กล่าวว่า คนครองเรือน ที่เลิศล้า (ชวี ติ บ้านท่สี มบรู ณ์) ตอ้ งวดั ด้วย ฆราวาสธรรม ๔ พรหมวิหาร ๔ ผู้บริหารการศึกษาควรยึด หลักธรรม พรหมวิหาร ๔ ในการครองใจคน ประยุกต์ใช้กับทักษะภาวะผู้นา และการตดิ ต่อสื่อสาร สอดคล้องกับพระพรหมคุณาภรณ์ กล่าวว่า คน มคี ุณแกส่ ่วนรวม (สมาชิกทดี่ ขี องสังคม) มธี รรมคอื หลกั ความประพฤติดังนี้ (ก) มพี รหมวหิ าร คอื ธรรม ประจาใจของผู้ประเสริฐ หรือผู้มีจิตใจย่ิงใหญ่กว้างขวางดุจพระพรหม ที่มีเมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร มุทิตา ความเบิกบานพลอยยนิ ดี อเุ บกขา ความมใี จเปน็ กลาง (ข) บาเพ็ญการสงเคราะห์ สังคหวตถุ ๔ ผู้บริหารการศึกษาควรยึดหลัก สังคหวัตถุ ๔ ในการครองใจคน ประยุกต์ใช้กับ ทักษะภาวะผู้นาคิดเป็นร้อยละ ๓๓.๓๔ สอดคล้องกับพระพรหมคุณาภรณ์ กล่าวว่า คนมีคุณแก่ ส่วนรวม (สมาชิกที่ดีของสังคม) มีธรรมคือหลักความประพฤติดังนี้ (ก) มีพรหมวิหาร (ข) บาเพ็ญการ สงเคราะห์ คือปฏิบัติตามหลัก การสงเคราะห์ หรือธรรมเครื่องยึดเหนี่ยวใจคน และประสานหมู่ชนไว้ ในสามคั คี อธิษฐานธรรม ๔ ผู้บริหารการศึกษาควร ยึดหลักธรรม อธิษฐานธรรม ๔ ในการครองใจคน ประยุกต์ใช้กับทักษะภาวะผู้นา สอดคล้องกับ พระพรหมคุณาภรณ์ กล่าวว่า คนมีชีวิตอยู่อย่าง ม่ันใจ เป็นอยู่อย่างผู้มีชัย ประสบความสาเร็จใน การดาเนินชีวิต คนผู้น้ันเป็นผู้ได้เข้าถึงจุดหมาย แห่งการมี ชีวิต และดาเนินชีวติ ของตนตามหลัก อธิษฐาน ๔ เบญจธรรม หรือเบญจกัลยาณธรรม ผู้บริหารการศึกษาควรยึดหลักธรรม เบญจธรรม ในการ ครองใจคน ประยกุ ตใ์ ช้กบั ทกั ษะภาวะผนู้ า พละ ๕ ผู้บริหารการศึกษาควรยดึ หลกั ธรรม พละ ๕ ในการครองใจคน ประยุกต์ใช้กับทักษะ ภาวะผูน้ า (พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยตุ ฺโต), ๒๕๔๗ : ๒๐-๔๕) กัลยาณมติ รธรรม ๗ ผบู้ รหิ ารการศึกษาควรยดึ หลกั ธรรม กลั ยาณมติ รธรรม ๗ ในการครองใจ คน ประยุกต์ใช้กับทักษะภาวะผู้นาและการสร้างแรงจูงใจ พระพรหมคุณาภรณ์ (๒๕๔๗ : ๖๓-๖๔) กล่าววา่ คนผสู้ ง่ั สอนหรือให้การศึกษา ผู้ทาหน้าทสี่ งั่ สอนหรอื ให้การศกึ ษาผอู้ ่ืน โดยเฉพาะครอู าจารย์ สัปปุริสธรรม ๗ ผู้บริหารการศึกษาควรยึดหลัก สัปปุริสธรรม ๗ ในการครองใจคน ประยุกต์ใช้กับทักษะภาวะผู้นา และการตัดสินใจ พระพรหมคุณาภรณ์ (๒๕๔๗ : ๑๔-๑๖) กล่าวว่า คนสมบูรณ์แบบหรือมนุษย์โดยสมบูรณ์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นสมาชิกท่ีดีมีคุณค่าท่ีแท้จริงของ มนุษย์ชาติซ่ึง เรียกได้ว่าเป็นคนเต็มคน ผู้สามารถนาหมู่ชนและสังคมไปสู่สันติสุขและความสวัสดีมีธรรมหรือ คณุ สมบัติตาม สัปปุรสิ ธรรม ๗ อปริหานยิ ธรรม ๗ ผบู้ ริหารการศกึ ษาควร ยดึ หลักธรรมอปรหิ านิยธรรม ๗ ในการครองใจคน ประยุกต์ใช้กับทักษะภาวะผู้นา และการบริหารความขัดแย้ง พระพรหมคุณาภรณ์ (๒๕๔๗ : ๒๖) กล่าวว่า คนมีส่วนร่วมในการปกครองท่ีดีโดย เฉพาะคนในสังคมประชาธิปไตยพึงรู้หลักและ ปฏิบัติ ดังน้ี ก) รู้หลักอธิปไตย คือ รู้หลักความเป็น ใหญ่ที่เรียกว่าอธิปไตย ๓ ข) มีส่วนในการปกครอง โดย ปฏิบัติตามหลักการร่วมรับผิดชอบท่ีจะช่วย ป้องกันความเส่ือมนาไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง โดยส่วน เดียว ท่เี รยี กวา่ อปริหานิยธรรม ๗
๓๙คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ อริยทรัพย์ ๗ ผู้บริหารการศึกษาควรยึดหลัก อริยทรัพย์ ๗ ในการครองใจคน ประยุกต์ใช้กับ ทักษะภาวะผู้นา และการตัดสินใจ สอดคล้องกับพิเชษฐ อ่ิมสุข (๒๕๔๗ : ๘๕) วิจัยเร่ืองการประเมิน ศกั ยภาพตามแนวพุทธของศึกษานิเทศก์ในเขตพน้ื ท่ีการศกึ ษาลพบรุ ี เขต ๑ พบวา่ มคี ุณสมบัติของคน ดี อริยทรัพย์ ๗ ในระดับค่อนข้างมาก ทศพิธราชธรรม ผู้บริหารการศึกษาควรยึดหลัก ทศพิธราชธรรม ในการครองใจคน ประยุกต์ใช้กับทักษะภาวะผู้นา และ การสร้าง แรงจูงใจ สอดคล้องกับพุทธทาสภิกขุ กล่าวว่า “ธรรมะคือหน้าที่ จงถอื เอาธรรมะหรอื หน้าท่ีเปน็ ท่พี ่ึงเถิด จะมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ครบถ้วน อยู่ในคาว่าหน้าที่นั่นเอง ในท่ีน่ีธรรมะหมายถึง หน้าท่ีแห่งการปฏิบัติตามทศพิธราชธรรม ซ่ึงจะเป็น ความถูกต้องท่ีสุด หน้าท่ีท่ีทามาหาเล้ียงชีพ ก็เป็นหน้าที่หมวดหน่ึง (การครองงาน) หน้าท่ีในการ บรหิ ารร่างกายให้เป็นอยปู่ กติ ก็เปน็ หมวดหนึ่ง (การครองตน) หน้าท่ใี นการติดตอ่ กบั สังคมรอบด้าน น่ี ก็หมวดหน่ึง (การครองคน) อย่างน้อยก็เป็น ๓ หมวด แห่งหน้าที่ก็จะเป็นความปลอดภัย แต่ในท่ีนี่จะ ยึดเอาหลักทศพิธราชธรรมมาเป็นหลักของการปฏิบัติ สิ่งที่เรียกว่า หน้าที่ถ้าถือธรรมะน้ีเป็นหลักแล้ว จะง่ายดายในการที่จะทาหน้าท่ีทั้งปวงให้ครบถ้วน (พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ), ๒๕๓๐ : ๒๔-๒๕ และ ๒๐๕-๒๑๑) ๓. ดา้ นการครองงาน มีหลักธรรมที่สอดคล้องกับการประยุกตใ์ ช้ ๑๐ หลกั ธรรม ดังน้ี โยนิโสมนสิการ ผู้บริหารการศึกษาควร ยึดหลักธรรมโยนิโสมนสิการ เพื่อการครองงาน ประยุกตใ์ ชก้ บั ทักษะภาวะผ้นู า และการตดั สินใจ ธรรมทาใหง้ าม ๒ ผู้บริหารการศึกษา ควรยดึ หลักธรรม ธรรมทาใหง้ าม ๒ เพอ่ื การครอง งาน ประยกุ ตใ์ ชก้ ับทักษะภาวะผนู้ า และการตดิ ต่อส่ือสาร ธรรมมอี ปุ การะมาก ๒ ผบู้ รหิ ารการศึกษา ควรยดึ หลักธรรม ธรรมมอี ปุ การะมาก ๒ เพือ่ การ ครองงาน ประยกุ ตใ์ ช้กับทกั ษะภาวะผนู้ า และการตดั สินใจ สุจริต ๓ ผู้ บริหารการศึกษาควรยึด หลักธรรม สุจริต ๓ เพ่ือการครองงาน ประยุกต์ใช้กับ ทักษะภาวะผู้นา และ การสรา้ งแรงจูงใจ และ การตัดสินใจ ฆราวาสธรรม๔ ผู้บริหารการศึกษาควรยึด หลักธรรม ฆราวาสธรรม ๔ เพื่อการครองงาน ประยกุ ต์ใชก้ ับทกั ษะภาวะผูน้ า สังคหวัตถุ ๔ ผู้บริหารการศึกษาควรยึด หลักธรรม สังคหวัตถุ ๔ เพ่ือการครองงาน ประยุกตใ์ ชก้ ับทกั ษะภาวะผู้นา อิทธบิ าท ๔ ผบู้ ริหารการศึกษาควรยึด หลกั ธรรม อิทธิบาท ๔ เพือ่ การครองงาน ประยกุ ต์ใช้ กบั ทักษะภาวะผูน้ า และ การสรา้ ง แรงจงู ใจ พละ ๕ บริหารการศึกษาควรยึดหลกั ธรรมพละ ๕ เพื่อการครองงานประยุกตใ์ ชก้ ับภาวะผู้นา สัปปุริสธรรม ๗ ผู้บริหารการศึกษาควรยึด หลักธรรม สัปปุริสธรรม ๗ เพื่อการครองงาน ประยุกต์ใชก้ ับทกั ษะภาวะผนู้ า และการตดั สินใจ บทบาทครูต่อการจัดการเรียนรู้ ผู้ทาหน้าที่สั่งสอน ให้การศึกษาแก่ผู้อื่น โดยเฉพาะครู อาจารย์ พึงประกอบด้วยคุณสมบัติ และประพฤติตามหลักปฏิบัติคุณธรรมที่พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ได้สรุปเป็นหมวดหมู่ว่า
๔๐คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ เปน็ กลั ยาณมิตร ต้ังใจประสิทธิ์ความรู้ มลี ีลาครูครบทัง้ ส่ี มีหลกั ตรวจสอบสาม ทาหน้าทีค่ รูต่อศิษย์ มีคาอธิบายโดยสรุป ดงั นี้ ก. เป็นกัลยาณมิตร คือ ประกอบด้วยองค์คุณของกัลยาณมิตร หรือ กัลยาณมิตรธรรม ๗ ประการ ดงั นี้ ๑. ปิโย น่ารัก คือ มีเมตตากรุณา ใส่ใจคนและประโยชน์สุขของเขา เข้าถึงจิตใจ สร้าง ความรสู้ ึกสนิทสนมเป็นกนั เอง ชวนใจผเู้ รียนใหอ้ ยากเขา้ ไปปรกึ ษาไตถ่ าม ๒. ครุ น่าเคารพ คือ เป็นผู้หนักแน่น ถือหลักการเป็นสาคัญ และมีความประพฤติสมควรแก่ ฐานะ ทาใหเ้ กดิ ความรู้สกึ อบอุ่นใจ เป็นทพี่ ่ึงได้และปลอดภัย ๓. ภาวนีโย น่าเจริญใจ คือ มีความรู้จริง ทรงภูมิปัญญาแท้จริง และเป็นผู้ฝึกฝนปรับปรุงตน อยู่เสมอ เป็นที่น่ายกย่องควรเอาอย่าง ทาให้ศิษย์เอ่ยอ้างและราลึกถึงด้วยความซาบซ้ึง มั่นใจ และ ภาคภูมใิ จ ๔. วตฺตา รู้จักพูดให้ได้ผล คือ รู้จักชี้แจงให้เข้าใจ รู้ว่าเม่ือไรควรพูดอะไร อย่างไร คอยให้ คาแนะนาวา่ กลา่ วตกั เตอื น เป็นที่ปรึกษาท่ดี ี ๕. วจนกฺขโม อดทนต่อถ้อยคา คือ พร้อมท่ีจะรับฟังคาปรึกษาซักถามแม้จุกจิก ตลอดจนคา ลว่ งเกนิ และคาตกั เตอื นวพิ ากษว์ จิ ารณ์ต่าง ๆ อดทน ฟงั ได้ ไมเ่ บื่อหน่าย ไมเ่ สยี อารมณ์ ๖.คมภฺ รี ญจฺ กถ กตตฺ า แถลงเรื่องล้าลึกได้ คอื กล่าวชีแ้ จงเรื่องต่าง ๆ ทยี่ ่งุ ยากลึกซ้ึงให้เข้าใจ ได้ และสอนศิษย์ใหไ้ ด้เรยี นรูเ้ รอ่ื งราวที่ลึกซ้งึ ยงิ่ ขึน้ ๗. โน จฏฺฐาเน นโิ ยชเย ไมช่ ักนาในอฐาน คือ ไม่ชกั จูงไปในทางทเี่ สื่อมเสยี หรือเร่อื งเหลวไหล ไม่สมควร (องฺ.สตตฺ ก. ๒๓/๓๔/๓๓) ข. ตง้ั ใจประสทิ ธคิ์ วามรู้ คอื ต้งั ตนอยู่ในธรรมของผแู้ สดงธรรม ทเี่ รียกวา่ ธรรมเทศกธรรม ๕ ประการ คือ ๑. อนุบุพพิกถา สอนให้มีข้ันตอนถูกลาดับ คือ แสดงหลักธรรม หรือเน้ือหาตามลาดับความ งา่ ยยากลุ่มลึก มีเหตุผลสมั พนั ธต์ อ่ เน่อื งกันไปโดยลาดบั ๒. ปริยายทัสสาวี จับจุดสาคัญมาขยายให้เข้าใจเหตุผล คือ ชี้แจง ยกเหตุผลมาแสดง ให้ เข้าใจชดั เจนในแตล่ ะแง่แตล่ ะประเดน็ อธิบายยกั เยือ้ งไปต่าง ๆ ใหม้ องเห็นกระจ่างตามแนวเหตผุ ล ๓. อนุทยตา ต้ังจิตเมตตาสอนด้วยความปรารถนาดี คือ สอนเขาด้วยจิตเมตตา มุ่งจะให้เป็น ประโยชนแ์ กผ้ ู้รับคาสอน ๔. อนามิสันดร ไม่มีจิตเพ่งเล็งเห็นแก่อามิส คือ สอนเขามิใช่มิใช่มุ่งที่ตนจะได้ลาภ สินจ้าง หรือผลประโยชน์ตอบแทน ๕. อนุปหัจจ์ วางจิตตรงไม่กระทบตนและผู้อ่ืน คือ สอนตามหลักตามเน้ือหา มุ่งแสดงอรรถ แสดงธรรม ไมย่ กตน ไมเ่ สยี ดสขี ม่ ข่ผี ูอ้ น่ื (อง.ฺ ปญฺจก. ๒๒/๑๕๙/๒๐๕) ค. มลี ลี าครูครบทง้ั สี่ ครคู วรมีลลี าของนักสอน ดงั น้ี ๑. สันทัสสนา ช้ีให้ชัด จะสอนอะไร ก็ช้ีแจงแสดงเหตุผล แยกแยะอธิบายให้ผู้ฟังเข้าใจแจ่ม แจ้ง ดงั จงู มือไปดเู ห็นกับตา ๒. สมาทปนา ชวนให้ปฏิบัติ คือ สิ่งใดควรทา ก็บรรยายให้มองเห็นความสาคัญ และซาบซึ้ง ในคุณคา่ เห็นสมจรงิ จนผฟู้ ังยอมรบั อยากลงมอื ทา หรือนาไปปฏบิ ตั ิ
๔๑คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ ๓. สมตุ เตชนา เรา้ ใหก้ ล้า คอื ปลุกใจใหค้ กึ คกั เกดิ ความกระตือรอื รน้ มีกาลังใจแขง็ ขัน มน่ั ใจ จะทาให้สาเร็จ ไมก่ ลวั เหน็ดเหนือ่ ยหรอื ยากลาบาก ๔. สัมปหงั สนา ปลุกใหร้ า่ เรงิ คือ ทาบรรยากาศให้สนุกสดชนื่ แจ่มใส เบกิ บานใจ ใหผ้ ฟู้ งั แชม่ ชืน่ มคี วามหวงั มองเห็นผลดีและทางสาเรจ็ จาง่าย ๆ วา่ สอนให้ แจม่ แจง้ จูงใจ แกลว้ กลา้ รา่ เริง ( ที.สี. ๙/๑๙๘/๑๖๑) ง. มีหลักตรวจสอบสาม เมอื่ พดู อยา่ งรวบรัดทส่ี ุด ครูอาจตรวจสอบตนเอง ด้วยลกั ษณะการ สอนของพระบรมครู ๓ ประการ คือ ๑. สอนดว้ ยความรู้จริง รูจ้ รงิ ทาได้จริง จงึ สอนเขา ๒. สอนอยา่ งมเี หตุผล ให้เขาพจิ ารณาเขา้ ใจแจง้ ดว้ ยปัญญาของเขาเอง ๓. สอนให้ได้ผลจรงิ สาเร็จความมุ่งหมายของเร่ืองทสี่ อนนนั้ ๆ เช่น ใหเ้ ขา้ ใจไดจ้ รงิ เห็นความ จรงิ ทาไดจ้ ริง นาไปปฏบิ ตั ิไดผ้ ลจริง เป็นต้น (องฺ.ตกิ . ๒๐/๕๖๕/๓๕๖) จ. ทาหน้าท่ีครูต่อศิษย์ คือ ปฏิบัติต่อศิษย์ โดยอนุเคราะห์ตามหลักธรรมเสมือนเป็น ทิศ เบื้องขวา ดงั น้ี ๑. แนะนาฝึกอบรมให้เปน็ คนดี ๒. สอนให้เข้าใจแจม่ แจง้ ๓. สอนศลิ ปวิทยาใหส้ นิ้ เชงิ ๔. สง่ เสริมยกย่องความดงี ามความสามารถใหป้ รากฏ ๕. สร้างเคร่ืองคุ้มภัยในสารทิศ คือ สอนฝึกศิษย์ให้ใช้วิชาเล้ียงชีพได้จริงและรู้จักดารงตน ด้วยดี ที่จะเป็นประกันใหด้ าเนินชีวิตดีงามโดยสวัสดี มคี วามสุขความเจรญิ (ที.ปา. ๑๑/๒๐๐/๒๐๓) บทบาทนักเรียนต่อการเรียนการสอน ขณะเดยี วกันคนที่เล่าเรยี นศึกษา จะเปน็ นกั เรยี น นักศึกษา หรือนกั ค้นคว้าก็ตาม นอกจากจะ พึงปฏิบัติตามหลักธรรมสาหรับคนที่จะประสบความสาเร็จ คือ จักร ๔ และอิทธิบาท ๔ แล้ว ยังมี หลักการที่ควรรู้ และหลักปฏิบัติที่ควรประพฤติอีก กล่าวคือ รู้หลักบุพภาคของการศึกษา มี หลักประกันของชีวิตที่พัฒนา ทาตามหลักเสริมสร้างปัญญา ศึกษาให้เป็นพหูสูต เคารพผู้จุดประทีป ปญั ญา อธิบายโดยสรุปดงั น้ี ก. รูห้ ลกั บพุ ภาคของการศึกษา รจู้ กั องคป์ ระกอบที่เป็นปจั จัยแห่งสัมมาทฏิ ฐิ ๒ ประการคอื ๑. องคป์ ระกอบภายนอกทด่ี ี ได้แก่ มีกลั ยาณมติ ร หมายถึง รู้จกั หาผู้แนะนาส่ังสอน ทป่ี รกึ ษา เพอ่ื น หนงั สือ ตลอดจนสิ่งแวดล้อมทางสงั คมโดยท่ัวไปท่ดี ี ทเ่ี ก้อื กูล ซง่ึ จะชักจงู หรอื กระตุ้น ให้เกิดปัญญาได้ด้วยการฟัง การสนทนา ปรึกษา ซักถาม การอ่าน การค้นคว้า ตลอดจนการรู้จัก เลอื กใชส้ ือ่ มวลชนให้เป็นประโยชน์ ๒. องค์ประกอยภายในท่ีดี ได้แก่ โยนิโสมนสิการ หมายถึง การใช้ความคิดถูกวิธี รู้จักคิด หรือคิดเป็น คือ มองสิ่งท้ังหลายด้วยความคิดพิจารณา สืบสาวหาเหตุผล แยกแยะสิ่งน้ัน ๆ หรอื ปัญหาน้ัน ๆ ออกใหเ้ ห็นตามสภาวะและตามความสมั พันธ์แห่งเหตุปัจจยั จนเข้าถงึ ความจรงิ และ แก้ปญั หาหรือทาประโยชนใ์ หเ้ กิดขึน้ ได้ กล่าวโดยย่อวา่
๔๒คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ ข้อหนงึ่ รู้จักพึ่งพาให้ไดป้ ระโยชนจ์ ากคนและส่งิ ทแี่ วดล้อม ข้อสอง รูจ้ ักพง่ึ ตนเอง และทาตวั ใหเ้ ป็นทพี่ ่งึ ของผูอ้ นื่ (ม.มู. ๑๒/๔๙๗/๕๓๙) ข. มีหลักประกันของชีวิตท่ีพัฒนา เม่ือรู้หลักบุพภาคของการศึกษา ๒ อย่างแล้ว พึงนามา ปฏบิ ัติในชวี ติ จริง พรอ้ มกับสรา้ งคณุ สมบตั ิอื่นอีก ๕ ประการใหม้ ใี นตน รวมเป็นองค์ ๗ ที่เรยี กว่า แสง เงินแสงทองของชวี ิตทีด่ งี าม หรือ รุ่งอรณุ ของการศึกษา ทีพ่ ระพทุ ธเจา้ ทรงเปรียบว่าเหมือนแสงอรุณที่ เปน็ บพุ นิมติ แห่งอาทิตย์อุทยั เพราะเป็นคณุ สมบตั ิต้นทนุ ท่ีเป็นหลักประกนั วา่ จะทาให้ก้าวหนา้ ไปในการศึกษา และชีวิตจะ พฒั นาสู่ความดงี ามและความสาเรจ็ ทสี่ งู ประเสริฐอย่างแนน่ อน ดงั ตอ่ ไปนี้ ๑. แสวงแหล่งปญั ญาและแบบอย่างทด่ี ี ๒. มีวนิ ยั เป็นฐานของการพฒั นาชีวิต ๓. มีจติ ใจใฝ่รู้ใฝ่สร้างสรรค์ ๔. มงุ่ มน่ั ฝึกตนจนเตม็ สุดภาวะทคี่ วามเป็นคนจะใหถ้ ึงได้ ๕. ยดึ ถือหลกั เหตุปจั จัยมองอะไร ๆ ตามเหตุและผล ๖. ตง้ั ตนอยใู่ นความไมป่ ระมาท ๗. ฉลาดคิดแยบคายใหไ้ ด้ประโยชน์และความจริง ค. ทาตามหลักเสริมสร้างปัญญา ในทางปฏิบัติ อาจสร้างปัจจัยแห่งสัมมาทิฏฐิ ๒ อย่าง ข้างต้นน้ันได้ ด้วยการปฏิบัติตามหลัก วุฒิธรรม (หลักการสร้างความเจริญงอกงาม แหง่ ปัญญา) ๔ ประการ ๑. สัปปุรสิ สังเสวะ เสวนาผรู้ ู้ คอื รูจ้ กั เลือกหาแหล่งวิชา คบหาทา่ นผู้รู้ ผทู้ รงคุณความดี มภี มู ิ ธรรมภมู ิปญั ญานา่ นบั ถือ ๒. สัทธัมมัสสวนะ ฟังดูคาสอน คือ เอาใจใส่สดับตรับฟังคาบรรยาย คาแนะนาสั่งสอน แสวงหาความรู้ ท้ังจากตัวบุคคลโดยตรง และจากหนังสือหรือสื่อมวลชน ต้ังใจเล่าเรียน ค้นคว้า หมั่น ปรกึ ษาสอบถาม ให้เข้าถึงความรทู้ จี่ ริงแท้ ๓. โยนิโสมนสกิ าร คิดให้แยบคาย คือ รู้ เห็น ได้อ่าน ไดฟ้ งั สิง่ ใด ก็ร้จู กั คิดพจิ ารณาด้วยตนเอง โดยแยกแยะให้เห็นสภาวะและสืบสาวให้เห็นเหตุผลว่าน่ันคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร ทาไมจึงเป็น อยา่ งน้ัน จะเกดิ ผลอะไรต่อไป มีขอ้ ดี ขอ้ เสีย คณุ โทษอย่างไร เปน็ ต้น ๔. ธรรมานุธรรมปฏิบัติ ปฏิบัติให้ถูกหลัก นาสิ่งท่ีได้เล่าเรียนรับฟังและตริตรองเห็นชัดแล้ว ไปใช้หรือปฏิบัติหรือลงมือทา ให้ถูกต้องตามหลักตามความมุ่งหมาย ให้หลักย่อยสอดคล้องกับหลัก ใหญ่ ข้อปฏบิ ตั ิย่อยสอดคล้องกับจุดหมายใหญ่ ปฏบิ ตั ิธรรมอย่างรู้เปา้ หมาย เชน่ สนั โดษเพือ่ เกื้อหนุน การงาน ไม่ใชส่ นั โดษกลายเปน็ เกยี จครา้ น เป็นตน้ (องฺ.จตกุ กฺ . ๒๑/๒๔๘/๓๓๒) ง. ศกึ ษาให้เปน็ พหูสูต จะศกึ ษาเลา่ เรียนอะไรก็ทาตนให้เป็นพหูสตู ในด้านน้ัน ดว้ ยการสร้าง ความรู้ความเข้าใจให้แจ่มแจ้งชัดเจนถึงข้ันครบ องค์คุณของพหูสูต (ผู้ได้เรียนมาก หรือผู้คงแก่เรียน) ๕ ประการ คอื ๑. พหุสฺสุตา ฟังมาก คือ เล่าเรียน สดับฟัง รู้เห็น อ่าน สั่งสมความรู้ในด้านน้ันไว้ให้มากมาย กว้างขวาง ๒. ธตา จาได้ คือ จบั หลักหรือสาระได้ ทรงจาเร่ืองราวหรอื เน้อื หาสาระไว้ไดแ้ ม่นยา
๔๓คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ ๓. วจสา ปริจิตา คล่องปาก คือ ท่องบ่น หรือใช้พูดอยู่เสมอ จนแคล่วคล่องจัดเจน ใคร สอบถามก็พดู ช้ีแจงแถลงได้ ๔. มนสานุเปกฺขิตา เจนใจ คือ ใส่ใจนึกคิดจนเจนใจ นึกถึงคร้ังใด ก็ปรากฏเน้ือความสว่าง ชัดเจน มองเห็นโลง่ ตลอดไปทง้ั เรือ่ ง ๕. ทิฏฺฐิยา สุปฏิวิทฺธา ขบได้ด้วยทฤษฎี คือ เข้าใจความหมายและเหตุผลแจ่มแจ้งลึกซ้ึง รู้ท่ี ไปที่มา เหตุผล และความสัมพันธ์ของเนื้อความและรายละเอียดต่าง ๆ ท้ังภายในเร่ืองนั้นเอง และที่ เก่ียวโยงกบั เรือ่ งอืน่ ๆ ในสายวชิ าหรือทฤษฎนี ั้นปรโุ ปร่งตลอดสาย (องฺ.ปญจฺ ก. ๒๒/๘๗/๑๒๙) จ. เคารพผู้จุดประทีปปัญญา ในด้านความสัมพันธ์กับครูอาจารย์ พึงแสดงคารวะนับถือ ตามหลักปฏิบตั ิในเรือ่ งทิศ ๖ ขอ้ ว่าด้วย ทิศเบอ้ื งขวา ดงั นี้ ๑. ลุกตอ้ นรับ แสดงความเคารพ ๒. เข้าไปหา เพ่ือบารงุ รบั ใช้ ปรึกษา ซกั ถาม รับคาแนะนา เป็นตน้ ๓. ฟังดว้ ยดี ฟงั เปน็ รู้จกั ฟงั ใหเ้ กิดปญั ญา ๔. ปรนนิบตั ิ ชว่ ยบริการ ๕. เรียนศลิ ปวิทยาโดยเคารพ เอาจริงเอาจงั ถือเป็นกิจสาคัญ (ท.ี ปา. ๑๑/๒๐๐/๒๐๓) บทสรุป พระพุทธศาสนาท้ังหมดเป็นเร่ืองของการศึกษาท่ีเรียกว่าการศึกษาตลอดชีวิต กล่าวคือ คน ทุกคนท่เี กดิ มาต้องได้รบั การพฒั นาโดยวธิ ีการใดวิธีการหนึ่งเสมอ ท้งั จากพ่อแม่ ครู เพอ่ื น และสถาบัน ตา่ ง ๆ จนเตบิ โตเป็นผูใ้ หญ่ทมี่ คี ุณภาพ คุณวฒุ ิ คุณธรรม ในทางพระพทุ ธศาสนามองวา่ คนเกดิ มาต้อง ศึกษาอบรม ฝึกฝน จึงจะเป็นผู้เจริญได้ (ทนฺโต เสฏฺโฐ มนุสฺเสสุ) คาว่า การศึกษา ในท่ีนี่ก็คือการ พัฒนาตนตามหลักไตรสิกขา คือศีล สมาธิ ปัญญา เพ่ือให้บรรลุจุดมุ่งหมายสูงสุดคือนิพพาน ผู้ท่ียังไม่ บรรลุทั้งในชาติน้ีและชาติหน้า เรียกว่า เสขบุคคล ยังต้องศึกษาและพัฒนาตนอยู่ร่าไป ส่วนผู้ท่ีบรรลุ ถึงจุดหมายสูงสุดแล้ว เรียกว่า อเสขบุคคล ไม่ต้องศึกษาอีก ดังน้ัน การจัดการศึกษาตามแนววิถีพุทธ ก็คือการศึกษาตลอดชีวิตนั้นเอง อันนี้เป็นหลักการใหญ่ ส่วนที่นามากล่าวในบทน้ีเป็นการศึกษา ภาพรวมถึงวิธีการจัดการเรียนการสอน หลักการสอนตามหลักพุทธศาสนา สื่อการเรียนรู้ตามแนว พุทธ หลักคุณธรรมสาหรับผู้บริหาร บทบาทครูต่อการจัดการเรียนรู้ และบทบาทนักเรียนต่อการ เรียนการสอน เป็นแนวทางให้ผู้ศึกษานามาบูรณาการกับการจัดการศึกษา และมุ่งพัฒนาผู้เรียนตาม เป้าหมายที่ต้ังไว้ต่อไปได้ การวัดผลและประเมนิ ผลในโรงเรยี นวิถพี ทุ ธ ในโรงเรียนวิถีพุทธมีการดาเนินตามแนวทางการดาเนินงานโรงเรียนวิถีพุทธ ตามอัตลักษณ์ ๒๙ ประการ เป็นไปตามแนววิถีพุทธ ซ่ึงต้องมีการวัดผลและประเมินผลด้วยตนเองและศึกษานิเทศก์ ประจาเขตพื้นที่การศึกษาของตนเองอยเู่ ปน็ ประจา ซง่ึ ผทู้ ีจ่ ะทาหน้าทเ่ี ป็นผปู้ ระเมินโรงเรยี นวิถีพุทธน้ี จกั ตอ้ งมคี ณุ ธรรมสาหรบั ผู้ประเมินเพื่อให้ประเมินด้วยกลั ยาณมิตร บุคคลที่จะทาหน้าท่ีในการประเมินผลแนววิถีพุทธ ในการทาหน้าที่ประเมินของผู้ประเมิน ประเด็นและสาระสาคัญท่ีผู้ประเมินจะต้องพิจารณา “ตัดสิน” เก่ียวกับความเหมาะสมมากน้อย
๔๔คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ เพียงใด พร้อมทั้งให้ข้อเสนอแนะในฐานะของ ผู้เช่ียวชาญ ผู้ชานาญและผู้ท่ีมีประสบการณ์ เพื่อให้ ผู้รับการประเมินหรือหน่วยงานองค์การท่ีรับการประเมิน ได้นาข้อชี้แนะข้อแนะนาและข้อเสนอที่ เหมาะสมสอดคล้องกบั บริบทของตนเองของหน่วยงานและขององค์กรไปปรบั ปรงุ พฒั นาให้ดีขึน้ ฉะนน้ั ผูป้ ระเมินจึงจาเป็นต้องธารงรกั ษาและทรงไวซ้ ึง่ คณุ ธรรมจรยิ ธรรมดังต่อไปนี้ 1) เป็นผู้ท่ีมีความเท่ียงตรง ต้องมีความรู้ความสามารถ หรือมีศักยภาพอย่างเพียงพอในการ ประเมินได้ตรงกับเป้าหมายและวัตถุประสงค์ มีความรู้และมีความรอบรู้ว่าจะต้องประเมินอะไร ประเมินเพ่ืออะไร และจะใช้วิธีการประเมินอย่างไร ตลอดจนสามารถให้คุณค่าหรือกาหนดคุณค่าของ ผลการประเมนิ ไดอ้ ยา่ งเทยี่ งตรง ผลการประเมินต้องสามารถใชใ้ นการอ้างอิงได้ 2) เป็นผู้ท่ีสามารถกาหนดระบบการประเมิน ออกแบบการประเมินได้อย่างครอบคลุม ครบถ้วนสมบูรณ์ เหมาะสม ตามคณุ ลักษณะของสว่ นบคุ คลของหน่วยงานและขององค์การทีจ่ ะทาการ ประเมนิ โดยไม่ลาเอียง เลอื กทาการประเมนิ เพียงคนใดคนหนง่ึ หรอื เพยี งหน่วยใดหน่วยหนงึ่ เท่านัน้ 3) เป็นผู้ท่ีมีความรู้ความเข้าใจ และสามารถประยุกต์ใช้ศาสตร์ทางการวัดและประเมินผล ได้อย่างมีประสิทธภิ าพ วัดตามหลักวิชาการ กาหนดเกณฑ์และตัดสินใจอย่างยุติธรรม ปราศจากความ ลาเอียงตอ้ งดาเนนิ การดว้ ยความบรสิ ทุ ธิใ์ จ ตรงตามหลักฐานและข้อมลู เชิงประจักษ์ 4) มีความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ใช้หลักวิชาการวัดและประเมินผลไปในทางเสื่อมเสียและนามา ซ่ึงความเสื่อมเสียในเกียรติภูมิของนักประเมิน ไม่แปลงข้อมูลข้อเท็จจริง ไม่แก้ข้อมูลข้อเท็จจริงไม่ กระทาการใด ๆ กับข้อมูล ข้อเท็จจริงท่ีจะส่งผลให้การประเมินผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริงตาม สภาพการณ์ 5) มีความรับผิดชอบ ผู้ประเมินจะต้องเป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบงานการวัดประเมินตาม ภารกิจและหนา้ ทที่ ่ีได้รับมอบหมาย รับผดิ ชอบผลงานการวดั และประเมินด้วยหลกั คุณธรรม จริยธรรม ต้องดาเนินการประเมินให้บรรลุผลสาเร็จตามเป้าหมายของการวัดและประเมิน และต้องดาเนินการ สอดคล้องตามแผนการดาเนินการและแผนปฏบิ ตั ิการท่ีกาหนด ภายใต้กฎระเบียบขององคก์ าร 6) มีความละเอียดรอบคอบ เพื่อให้ได้ข้อมูลประกอบพิจารณาในการวัดและประเมินอย่าง ครบถ้วนสมบูรณ์ ผู้ประเมินต้องเป็นผู้ที่มีความละเอียดรอบคอบ พิจารณาเก็บรวบรวมข้อมูลอย่าง ครบถว้ นทกุ มิติทุกแง่ทุกมุมในทุกระบบและทุกกระบวนการ เพอ่ื ช่วยให้ผลการวัดและประเมินมีความ เทยี่ งตรง 7) มีความมานะพยายาม มีความอดทนหรือมีความวิริยะ อุตสาหะ ไม่ท้อถอย ในการวัด และประเมนิ เพราะการวดั และประเมินเป็นงานทต่ี ้องใชค้ วามละเอียดรอบคอบ อดทนท่มุ เทกาลังกาย กาลังสติปัญญา ต้องต่อสู้กับความเหน่ือยยาก เบื่อหน่ายและท้อแท้ ฉะน้ันผู้ท่ีทาหน้าท่ีในการวัดและ ประเมินจึงต้องมีวิริยะ อุตสาหะ มีความมานะพยายาม อดทน เพื่อให้ได้หลักฐานข้อมูล ข้อเท็จจริง ที่ จะชว่ ยให้การวดั และประเมนิ มีคุณคา่ บรรลตุ ามวตั ถปุ ระสงคแ์ ละเป้าหมาย
๔๕คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ 8) มีความรู้ มีความรอบรู้ รู้เท่าทัน ในความก้าวหน้าและความเปล่ียนแปลงของศาสตร์ ในการวัดและประเมนิ รู้เทา่ ทันและมีความสามารถในการประยุกต์ใชศ้ าสตร์ใหมๆ่ หรือนวัตกรรมและ เทคโนโลยีในการวัดและประเมินในยุคปัจจบุ ัน๑ ๑ วธิ ีการวัดผลและประเมนิ ผลตามแนววิถีพุทธ ๒ วิธีวดั ผลและประเมนิ ผลในโรงเรียนวิถีพุทธน้ี จะเน้นการประเมนิ ผลการพัฒนา ทางด้านจิตใจ ของบุคลากรและนักเรียนในเชงิ คุณภาพ ท่ีเนนการประเมินความดีงาม และเหตุปัจจัยแห่งความดีงาม ทั้งหมด เพื่อจะนามาเป็นแนวทางในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เป็นสิ่งที่มีความเป็นไปได้ ในทางการ ปฏิบตั มิ ากท่สี ดุ กระทรวงศึกษาธิการ ได้เนนการประเมินผลในโรงเรียนวิถีพุทธโดยหลักไตรสิกขาและวัดผล โดยการใชข้อมูลเชิงประจักษ ซึ่ง ผู้บริหารสถานศึกษาและผู้รับผดิ ชอบโครงการ เขาใจวิธกี ารประเมิน ตามหลักภาวนา 4 มหี นาท่ใี นการประเมนิ ผลการปฏบิ ัติงานโดยใชเกณฑมาตรฐานของ การปฏบิ ัติงาน และมาตรฐานตัวชี้วัดบุคลากรที่ดีของโรงเรียนวิถีพุทธเป็นเกณฑในการประเมิน มีความเป็นไปได้ ในทางปฏบิ ตั ินอ้ ยท่สี ุด ถงึ แม้จะมีความสาคญั ในการพฒั นาตามหลักไตรสิกขาในโรงเรยี นวิถีพุทธ๑ ซง่ึ สอดคลองกับ สุมน อมรวิวัฒน ที่เห็นว่าต้องพัฒนาไปสู่คุณสมบัติ 4 ประการ ของผู้พัฒนาแลว คือ ภาวนา 4 ภาวนา 4 หรอื ภาวิต ๔ ประกอบไปด้วย 1. ภาวิตกาย มีกายที่พัฒนาแลว (มีกายภาวนา) คือ มีความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทาง กายภาพในทางที่เกอ้ื กลู และได้ผลดี เริม่ รูจกั บรโิ ภคปัจจยั 4 รจู ักใชอนิ ทรีย คือ ตา หู จมูก ล้นิ กายใน การเสพหรือใชสอยอปุ กรณตลอดจนเทคโนโลยีท้ังหลายในทางทีเ่ ป็นการสงเสริมคณุ ภาพชีวติ (กินเป็น ใชเปน็ บรโิ ภคเปน็ ดเู ปน็ ฟงเป็น ฯลฯ) 2. ภาวิตศีล มีศีลท่ีพัฒนาแลว (มีศีลภาวนา) คือ มีความประพฤติทางสังคมที่พัฒนาแลว ไม่ เบยี ดเบียนกอ่ ความเดอื ดร้อนแกผู้อนื่ 3. ภาวิตจติ มจี ติ ทีพ่ ฒั นาแลว (มจี ิตภาวนา) คือ มีจติ ใจทีฝ่ ึกอบรมดีแลว สมบรู ณ ดว้ ยคณุ ภาพจิต คอื ประกอบดว้ ยคณุ ธรรม 4. ภาวิตปญญา ปญญาท่ีพัฒนาแลว (มีปญญาภาวนา) คือ รูจักคิด รูจักพิจารณา รูจัก วนิ จิ ฉัย รูจกั แกปญหา และรจู กั จัดทาดาเนินการต่าง ๆ ๑ Aj.Sutithep๑, คุณธรรมจริยธรรมของผู้ประเมิน, [ออน-ไลน์]. เข้าถึงแหล่งข้อมูลได้จาก : http://sutithep.blogspot.com/2012/01/blog-post_14.html,เข้าถึงเมื่อ ๑๒ ธ.ค. ๒๕๖๑. ๑ กระทรวงศกึ ๒ษาธิการ. แนวทางการดาเนินงานโรงเรยี นวิถีพุทธ.(กรุงเทพฯ : อุษาการพมิ พ์, 2547) หนา้ ๖๗
๔๖คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ การนาหลักภาวนา ๔ น้ี มาใช้ในการวัดผลและประเมินผลโรงเรียนวิถีพุทธ เพื่อให้ได้ความ เที่ยงตรงและแน่นอนในทุก ๆ ดา้ น ท่ปี รากฏอยู่ในอัตลักษณ์ ๒๙ ประการสคู่ วามเป็นโรงเรียนวิถีพุทธ อยา่ เทย่ี งตรงและเป็นธรรม ๑ ๓ กระบวนการคดิ ดว้ ยโยนิโสมนสิการ ๑๐ วธิ ี วิธีคิดแบบโยนิโสมนสิการ ก็คือการนาเอาโยนิโสมนสิการมาใชในทางปฏิบัติหรือโยนิโส มนสิการท่เี ป็นภาคปฏิบตั ิการวธิ ีคดิ แบบโยนโิ สมนสิการ หรือเรยี กสน้ั ๆ วา่ วธิ ีโยนโิ สมนสกิ ารน้แี ม้จะมี หลายอยา่ งหลายวิธี แต่เมือ่ วา่ โดยหลกั การ กม็ ี ๒ แบบ คือ - โยนิโสมนสกิ ารทมี่ งุ่ สกัด หรอื กาจดั อวชิ ชาโดยตรง - โยนโิ สมนสกิ ารท่ีม่งุ เพ่ือสกดั หรือบรรเทาตณั หา โยนิโสมนสกิ ารทมี่ ุ่งกาจัดอวิชชาโดยตรงนั้น ตามปกติเปน็ แบบท่ีต้องใชในการปฏิบัติธรรม จนถงึ ท่สี ดุ เพราะทาให้เกิดความรูความเขา้ ใจตามเป็นจริง ซ่งึ เปน็ สง่ิ จาเปน็ สาหรับการตรสั รู สวนโยนโิ สมนสิการแบบสกัดหรอื บรรเทาตณั หา มักใชเป็นขอ้ ปฏบิ ตั ิข้ันตน ๆ ซึ่งมงุ่ เตรียม พ้ืนฐานหรือพัฒนาตนเองในด้านคุณธรรม ให้เป็นผู้พรอมสาหรับการปฏิบัติข้ันสูงข้ึนไป เพราะเป็น เพียงขน้ั ขดั เกลากิเลส แตโ่ ยนโิ สมนสิการหลายวธิ ีใชประโยชนไดท้ ง้ั สองอยา่ ง คอื ทง้ั กาจัดอวิชชา และ บรรเทาตัณหาไปพรอมกัน วิธโี ยนิโสมนสกิ ารเท่าทีพ่ บในบาลีพอประมวลเป็นแบบใหญ่ ๆ ไดด้ งั น้ี ๑. วิธคี ดิ แบบสืบสาวเหตุปจั จยั วิธีคิดแบบสืบสาวเหตุปัจจัย คือ พิจารณาปรากฏการณท่ีเป็นผล ให้รูจักสภาวะท่ีเป็นจรงิ หรือพิจารณาปญหา หาหนทางแกไข ด้วยการค้นหาสาเหตุและปัจจัยต่าง ๆ ท่ีสัมพันธ์ส่งผลสืบทอด กนั มา อาจเรยี กว่าวธิ คี ดิ แบบอิทัปปัจจยตา หรอื คิดตามหลกั ปฏจิ จสมปุ บาท จัดเปน็ วธิ โี ยนโิ สมนสิการ แบบพื้นฐาน ดังจะเห็นว่าบางครั้งท่านใชบรรยายการตรัสรูของพระพุทธเจาไม่เฉพาะเริ่มจากผล สืบ ค้นโดยสาวไปหาสาเหตแุ ละปจั จัยท้งั หลายเท่านน้ั ในการคิดแบบอิทปั ปัจจยตาน้ัน จะตัง้ ตนท่เี หตุแล้ว สาวไปหาผล หรือจับท่ีจุดใด ๆ ในกระแส หรือในกระบวนธรรม แล้วค้นไล่ตามไปทางปลาย หรือสืบ ยอ้ นมาทางตน ก็ได้ ๒. วธิ คี ดิ แบบแยกแยะสว่ นประกอบ ๑ สุมน อมรว๓ิวัฒน์. หลักการบูรณาการทางการศึกษาตามนัยแห่งพุทธธรรม. (นนทบุรี : โรงพิมพ์ มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช, 2544) หน้า 118-121
๔๗คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ วิธีคิดแบบแยกแยะส่วนประกอบ หรือกระจายเน้ือหา เป็นการคิดท่ีมุ่งให้มอง และให้รูจกั สิ่งทั้งหลายตามสภาวะของมันเองอีกแบบหน่ึงในทางธรรม ท่านมักใชพิจารณาเพื่อให้เห็นความไม่มี แก่นสาร หรือความไม่เป็นตัวเป็นตนท่ีแท้จริงของสิ่งทั้งหลาย ให้หายยึดติดถือมั่นในสมมติบัญญัติ โดยเฉพาะการพิจารณาเห็นสัตวบุคคล เป็นเพียงการประชุมกันเข้าขององค์ประกอบต่าง ๆ ท่ีเรียกว่า ขันธ์ ๕ และขันธ์ ๕ แต่ละอย่างก็เกิดข้ึนจากสวนประกอบย่อยต่อไปอีกการพิจารณาเช่นน้ีช่วยให้ มองเหน็ ความเปน็ อนัตตาแต่การท่จี ะมองเห็นสภาวะเชน่ นี้ได้ชดั เจน มักตอ้ งอาศัยวธิ คี ิดแบบที่ ๑ และ หรือแบบที่ ๓ ในข้อต่อไปเข้าร่วม โดยพิจารณาไปพรอมๆ กัน กล่าวคือ เมื่อแยกแยะสวนประกอบ ออก ก็เห็นภาวะท่ีองค์ประกอบเหล่าน้ันอาศัยกัน และขึ้นต่อเหตุปัจจัยต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้อง ไม่เป็นตัว ของมันเองแทจ้ ริงยงิ่ กว่าน้ัน องคป์ ระกอบและเหตุปัจจัยตา่ ง ๆ เหลา่ น้ลี วนเปน็ ไปตามกฎธรรมดา คือ มกี ารเกิดดบั อยูต่ ลอดเวลา ไม่เทยี่ งแท้ไม่คงท่ี ไมย่ ่งั ยนื ๓. วิธคี ดิ แบบสามัญลักษณ์ วิธีคิดแบบสามัญลักษณ์หรือ วิธีคิดแบบรู้เท่าทันธรรมดา คือ มองอย่างรู เท่าทันความ เป็นอยู่เป็นไปของสิ่งท้ังหลาย ซึ่งจะต้องเป็นอย่างนั้น ๆ ตามธรรมดาของมันเอง โดยเฉพาะก็มุ่งท่ี ประดาสัตวและส่ิงท่ีคนท่ัวไปจะรูเข้าใจถึงได้ในฐานะท่ีมันเป็นสิ่งซึ่งเกิดจากเหตุปัจจัยต่าง ๆ ปรุงแต่ง ข้ึน จะต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัยธรรมดาที่ว่านั้น ได้แก อาการท่ีส่ิงท้ังหลายทั้งปวง ที่เกิดจากปัจจัย ปรุงแต่ง เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็จะต้องดับไป ไม่เท่ียงแท้ไม่คงท่ี ไม่ย่ังยืน ไม่คงอยู่ตลอดไป เรียกว่าเป็น อนิจจังธรรมดานั้นเช่นกัน คือ อาการท่ีปัจจัยทั้งหลายทั้งภายในและภายนอกทุกอย่าง ต่างก็เกิดดับ เปลีย่ นแปลงไปตลอดเวลาเสมอเหมือนกัน เม่อื เขา้ มาสมั พันธ์กัน จงึ เกดิ ความขดั แย้ง ทาให้สงิ่ เหลา่ นั้น มีสภาวะถูกบีบคั้นกดดัน ไม่อาจคงอยู่ในสภาพเดิมได้จะต้องมีความแปรปรวนเปลี่ยนสลาย เรียกว่า เป็น ทุกขธ์ รรมดานัน้ เองมีพรอมอยู่ดว้ ยว่า ในเม่ือส่งิ ทั้งหลายเป็นสภาวะ คือมภี าวะของมันเอง ดังเชน่ เป็นสังขารที่ต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัย มันก็ไม่อาจเป็นของของใคร ไม่อาจเป็นไปตามความปรารถนา ของใคร ไม่มใี ครเอาความคดิ อยากบังคบั มนั ได้ไมม่ ีใครเป็นเจาของครอบครองมันไดจ้ ริง เชน่ เดียวกบั ที่ ไม่อาจมีตัวตนข้ึนมาไม่ว่าข้างนอกหรือข้างในมัน ที่จะสั่งการบัญชาบังคับอะไรๆ ได้จริง เพราะมัน เป็นอยู่ของมันตามธรรมดา โดยเป็นสังขารท่ีเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่ใชเป็นไปตามใจอยากของใคร เรียกว่าเป็น อนัตตารวมความคือ รูเท่าทันว่า ส่ิงท้ังหลายที่รูจักเข้าใจไปเกี่ยวข้องด้วยน้ัน เป็น ธรรมชาติซึ่งมีลักษณะความเป็นไปโดยทั่วไปเสมอเหมือนกันตามธรรมดาของมัน ในฐานะท่ีเป็นของ ปรุงแต่ง เกดิ จากเหตปุ ัจจยั และขน้ึ ต่อเหตุปจั จยั ท้งั หลายเช่นเดียวกัน ๔. วิธีคิดแบบอรยิ สัจ/คดิ แบบแกป้ ญั หาวธิ ีคิดแบบอรยิ สจั หรอื คิดแบบแกป้ ญั หา เรียกตามโวหารทางธรรมได้ว่า วิธีแห่งความดับทุกขจัดเป็นวิธีคิดแบบหลักอย่างหนึ่ง เพราะสามารถขยายให้ครอบคลุมวธิ ีคิดแบบอน่ื ๆ ไดท้ ้งั หมดหลักการ หรือสาระสาคัญของวธิ ีคิดแบบ อริยสัจ ก็คือ การเร่ิมตนจากปญหา หรือความทุกขที่ประสบโดยกาหนดรูทาความเข้าใจปญหา คือ ความทุกขน้ัน ให้ชัดเจน แล้วสืบค้นหาสาเหตุเพ่ือเตรียมแกไข ในเวลาเดียวกัน กาหนดเป้าหมายของ ตนให้แน่ชัดว่าคืออะไร จะเป็นไปได้หรือไม่ และเป็นไปได้อย่างไร แล้วคิดวางวิธีปฏิบัติที่จะกาจัด สาเหตขุ องปญหา โดยสอดคลองกบั การทีจ่ ะบรรลจุ ดุ หมายทกี่ าหนดไวนน้ั
๔๘คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ ๕. วธิ ีคิดแบบอรรถธรรมสมั พันธ์ วิธีคิดแบบอรรถธรรมสัมพันธ์ หรือคิดตามหลักการและความมุ่งหมาย คือพิจารณาให้ เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่าง ธรรม กับ อรรถ หรือ หลักการ กับ ความมุ่งหมาย เป็นความคิดที่มี ความสาคัญมาก ในเม่ือจะลงมือปฏิบัติธรรม หรือทาการตามหลักการอย่างใดอย่างหนึ่ง เพ่ือให้ได้ผล ตรงตามความมงุ่ หมาย ไม่กลายเปน็ การกระทาท่ีเคล่ือนคลาด เล่ือนลอย หรอื งมงาย “ธรรม” แปลว่า หลัก หรือหลักการ คือ หลักความจริง หลักความดีงาม หลักการปฏิบตั ิ หรอื หลักทจี่ ะเอาไปใชปฏิบัติรวมท้งั หลกั คาสอนที่จะให้ประพฤตปิ ฏิบัตแิ ละกระทาการได้ถกู ต้อง “อรรถ” (อัตถะ ก็เขียน) แปลว่า ความหมาย ความมุ่งหมาย จุดหมาย ประโยชนท่ี ต้องการ หรือสาระที่พึงประสงคในการปฏิบัติธรรม หรือกระทาการตามหลักการใด ๆ ก็ตาม จะต้อง เข้าใจความหมาย และความมุ่งหมายของธรรมหรือหลักการน้ัน ๆ ว่า ปฏิบตั หิ รอื ทาไปเพือ่ อะไร ธรรม หรือหลักการนั้น กาหนดวางไวเพ่ืออะไร จะนาไปสู่ผลหรือท่ีหมายใดบ้าง ท้ังจุดหมายสุดท้าย ปลายทาง และเป้าหมายทามกลางในระหว่าง ท่ีจะส่งทอดต่อไปยังธรรมหรือหลักการข้ออ่ืน ๆ ความ เข้าใจถูกต้องในเร่ืองหลักการ และความมุ่งหมายนี้นาไปสู่การปฏิบัติถูกต้องที่เรียกว่าธรรมานุธรรม ปฏิบตั ิ ๖. วิธีคดิ แบบเห็นคุณโทษและทางออก วิธีคิดแบบร้ทู ันคุณโทษและทางออก หรือพิจารณาให้เห็นครบท้ัง อสั สาทะ อาทนี วะ และ นิสสรณะเป็นการมองสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริงอีกแบบหน่ึง ซึ่งเนนการยอมรับความจริงตามท่ีส่ิง นั้น ๆ เป็นอยู่ทุกแงทุกด้าน ทั้งด้านดีด้านเสีย และเป็นวิธีคิดท่ีต่อเนื่องกับการปฏิบัติมาก เช่นบอกว่า ก่อนจะแกปญหา ต้องเข้าใจปญหาให้ชัด และรูท่ีไปให้ดีก่อน หรือก่อนจะละส่ิงหน่ึงไปหาอีกสิ่งหน่ึง ต้องรูจักท้ังสองฝ่ายดีพอ ท่ีจะให้เห็นได้ว่า การละและไปหาน้ัน หรือการทิ้งอย่างหน่ึงไปเอาอีกอย่าง หนง่ึ นนั้ เปน็ การกระทาที่รอบคอบ สมควร และดจี ริง ๗. วธิ คี ิดแบบร้คู ณุ คา่ แท้-คุณค่าเทยี ม วิธีคิดแบบคุณค่าแท้-คุณค่าเทียม หรือ การพิจารณาเก่ียวกับปฏิเสวนา คือ การใชสอย หรอื บรโิ ภคเป็นวธิ ีคดิ แบบสกัด หรือบรรเทาตัณหา เปน็ ขั้นฝกหัดขัดเกลากิเลส หรอื ตัดทางไม่ให้กิเลส เขา้ มาครอบงาจติ ใจแลว้ ชักจูงพฤติกรรมต่อ ๆ ไปวิธีคดิ แบบนี้ใชมากในชีวติ ประจาวัน เพราะเก่ียวข้อง กับการบริโภคใชสอยปัจจัย ๔ และวัสดุอุปกรณ์ อานวยความสะดวกต่าง ๆ มีหลักการโดยย อว่า คนเราเข้าไปเกี่ยวข้องกับส่ิงต่าง ๆ เพราะเรามีความต้องการและเห็นว่าส่ิงน้ัน ๆ จะสนองความ ต้องการของเราได้ส่ิงใดสามารถสนองความต้องการของเราได้สิ่งน้ันก็มีคุณค่าแกเรา หรือที่เรานิยม เรยี กวา่ มนั มปี ระโยชน ๘. วธิ ีคดิ แบบเร้ากุศล วิธีคิดแบบเร้ากุศล หรือคิดแบบกุศลภาวนา เป็นวิธีคิดในแนวสกัดกั้นหรือบรรเทาและขดั เกลาตัณหา จึงจัดได้ว่าเป็นข้อปฏิบัติระดับตน ๆ สาหรับส่งเสริมความเจริญงอกงามแห่งกุศลธรรม
๔๙คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ และสร้างเสริมสัมมาทิฏฐิท่ีเป็นโลกิยะหลักการท่ัวไปของวิธีคิดแบบนี้มีอยู่ว่า ประสบการณคือส่ิงท่ีได้ ประสบหรอื ไดร้ บั รูอย่างเดียวกนั บุคคลผู้ประสบหรือรับรูตา่ งกัน อาจมองเห็นและคิดนึกปรุงแต่งไปคน ละอย่าง สุดแต่โครงสร้างของจิต หรือแนวทาง ความเคยชินต่าง ๆ ท่ีเป็นเครื่องปรุงของจิต คือสังขาร ที่ผู้นั้นส่ังสมไวหรือสดุ แต่การทาใจในขณะน้ัน ๆ ของอย่างเดียวกัน หรืออาการกิริยาเดียวกัน คนหน่ึง มองเห็นแล้ว คิดปรุงแต่งไปในทางดีงาม เป็นประโยชนเป็นกุศล แต่อีกคนหนึ่งเห็นแลว้ คิดปรุงแต่งไป ในทางไม่ดไี ม่งาม เป็นโทษ เป็นอกุศล แมแ้ ตบ่ คุ คลคนเดียวกนั มองเหน็ ของอยา่ งเดยี วกนั หรือประสบ อารมณอย่างเดียวกัน แต่ต่างขณะ ต่างเวลา ก็อาจคิดเห็นปรุงแต่งต่างออกไปครั้งละอย่าง คราวหนึ่ง ร้าย คราวหน่งึ ดที ัง้ นี้โดยเหตผุ ลทไี่ ดก้ ล่าวมาแล้ว ๙. วิธคี ดิ แบบอยู่กับปัจจบุ นั วธิ คี ิดแบบเปน็ อยูใ่ นขณะปัจจุบัน หรือวธิ คี ดิ แบบมปี จั จบุ ันธรรมเป็นอารมณเรียกสนั้ ๆ ว่า วิธีคิดแบบอยู่กับปัจจุบัน อันจัดเป็นวิธีคิดแบบที่ ๙ น้ีเป็นเพียงการมองอีกด้านหน่ึงของการคิด แบบอนื่ ๆ จะว่าแทรกหรือคลุมวิธีคิดแบบก่อน ๆ ทก่ี ล่าวมาแล้ว กไ็ ดแ้ ตท่ ีแ่ ยกออกมาแสดงเป็นอีกข้อ หนึ่งต่างหาก ก็เพราะมีแงท่ีควรทาความเข้าใจพิเศษ และมีความสาคัญโดยลาพังตัวของมันเอง อน่ึงวิธีคิดแบบเป็นอยู่ในขณะปัจจุบันนี้มีเน้ือหารวมอยู่ในสติป ฏฐาน ๔ ซึ่งจะกล่าวถึง ในองค์มรรคข้อท่ี ๗ คือ สัมมาสติด้วย แต่ที่แยกบรรยาย ก็เพราะเพ่งความหมายคนละแง กล่าวคือ ในสตปิ ฏฐาน การบรรยายเพงถึงการตั้งสติระลกึ รูเต็มตน่ื อยู่กับส่ิงท่ีกาลังเกิดขึ้น กาลงั เป็นไปอยู่ กาลงั รับรูหรือกาลังกระทาในปัจจุบันทันทุก ๆ ขณะ สวนในท่ีน้ีการบรรยายเพงถึงการใชความคิด และ เนอ้ื หาของความคดิ ที่สตริ ะลึกรูกาหนดอยู่นั้นข้อทีจ่ ะต้องทาความเขา้ ใจเป็นพิเศษเก่ยี วกับวธิ ีคิดแบบ นี้ก็คือ การท่ีมีผู้เข้าใจผิดเก่ียวกับความหมายของการเป็นอยู่ในปัจจุบัน หรือมีปัจจุบันธรรม เป็นอารมณโดยเห็นไปว่า พระพุทธศาสนาสอนให้คิดถึงสิ่งที่อยู่เฉพาะหนา กาลังเป็นไปในปัจจุบัน เท่าน้ัน ไม่ให้คิดพิจารณา เก่ียวกับอดีตหรืออนาคต ตลอดจนไม่ให้คิดเตรียมการหรือวางแผนงานเพื่อ กาลภายหนา ๑๐. วธิ ีคดิ แบบวภิ ัชชวาท วธิ คี ดิ แบบวภิ ชั ชวาท ความจริง วภิ ชั ชวาทไมใ่ ชวธิ ีคิดโดยตรง แต่เปน็ วธิ ีพดู หรือการแสดง หลักการแห่งคาสอนแบบหน่ึง ลักษณะสาคัญของความคิดและการพูดแบบน้ีคือ การมอง และแสดง ความจริง โดยแยกแยะออกให้เห็นแต่ละแงละด้าน ครบทุกแงทุกด้าน ไม่ใชจับเอาแงหน่ึงแงเดียว หรือบางแง ขึ้นมาวินิจฉัยตีคลุมลงไปอย่างนั้นทั้งหมด หรือประเมินคุณค่าความดีความชั่ว เป็นตน โดยถือเอาสวนเดียวหรือบางสวนเท่าน้ันแล้วตัดสินพรวดลงไป วาทะ ที่ตรงข้ามกับวิภัชชวาท เรียกว่า เอกังสวาท แปลวา่ พูดแงเดยี ว คอื จบั ได้เพียงแงหน่งึ ด้านหนึง่ หรอื สวนหน่ึง กว็ นิ จิ ฉัยตีคลุมลงไปอย่าง เดยี วท้ังหมด หรอื พดู ตายตวั อย่างเดยี ว๑ ๔ ๑ พระพรหมค๔ุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต), โยนิโสมนสิการ วิธีคิดตามหลักพุทธธรรม ฉบับ ข้ อ มู ล ค อ ม พิ ว เ ต อ ร์ บ ท ท่ี ๑ ๓ แ ย ก พิ ม พ์ ค รั้ ง แ ร ก , [ ออน - ไ ล น์] . เ ข้า ถึงแ ห ล่ งข้อมู ล ไ ด้ จ า ก :
๕๐คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ บทท่ี ๔ การแนะแนวเชิงพุทธ วิธีปฏบิ ตั เิ กี่ยวกับการแนะแนวเชงิ พุทธ จุดเริ่มต้นของการแนะแนวเกิดจากความต้องการของมนุษย์เพราะมนุษย์ยังไม่สามารถ ชว่ ยเหลอื ตนเองได้ ในบางสถานการณบ์ างปัญหาที่เขา้ มาในชวี ิต ซึ่งการแกไ้ ขปัญหาไดอ้ ย่างถูกต้องน้ัน ตอ้ งไปแก้ทีส่ าเหตุทเ่ี ป็นตน้ ตอของปญั หา เหตเุ กิดท่ไี หนต้องไปแกท้ ี่นั้น ปญั หาทีเ่ ป็นเหตุ เช่น ๑. ขาดปญั ญา ๒. ขาดจติ สานึกในการพัฒนาตน ๓. ขาดความมน่ั ใจในการพฒั นาตนเอง ๔. ไมเ่ ชอ่ื มน่ั ในตนเอง ๕. ไมม่ องเห็นตนเองในฐานะที่เปน็ มนุษย์ทฝ่ี กึ ได้ ๖. ขาดแรงจูงใจทถี่ กู ต้องตอ่ การพัฒนาตนเอง ๗. ขาดความรจู้ กั คดิ “คิดไมเ่ ปน็ ” ๘. มที า่ ทีทีไ่ ม่ถกู ตอ้ งตอ่ ส่งิ ทั้งหลายท่เี ขา้ มาในชวี ติ ปัญหาเหลา่ นีล้ ว้ นเปน็ ปัจจยั ท่ีเกิดจากปัจจัยภายในของบุคคล การท่จี ะผา่ นพน้ ปญั หาทเี่ ข้ามา ในชวี ิตไดจ้ าเป็นตอ้ งเขา้ ใจถงึ องคป์ ระกอบสว่ นบุคคลและกระบวนการแก้ปญั หาท่ียงั่ ยืน กัลยาณมิตร เปน็ ปจั จยั ภายนอกที่กระตุ้นใหป้ จั จัยภายในของบคุ คลทางานปัจจัยภายนอกท่ีมี ผลต่อการขับเคลื่อนการทางาน คือ โยนโิ สมนสกิ าร แปลว่า การทาในโดยแยบคาย คือ การจู้ ักคิดเป็น ที่จริงมี ๖ ประการ แต่ท่ีเน้นมากที่สุดก็คือ “กัลยาณมิตร” กัลยาณมิตรช่วยกระตุ้นให้เกิดโยนิโส มนสิการ เม่ือคนเรารู้จักคิดแล้ว ก็ทาให้เกิดปัญญาท่ีสามารถแก้ไขปัญหาได้จริง ข้ันแรกเลยทาให้เกิด สมั มาทิฐิ ซ่ึงเป็นข้อธรรมแรกของระบบ การดาเนนิ ชีวติ ที่ดีงามเรยี กวา่ “มรรค ๘” http://www.watnyanaves.net/uploads/File/books/pdf/yonisomanasikara_thinking_in_ways_of_bud dhadhamma.pdf, เขา้ ถึงเมือ่ ๑๔ ก.ย. ๒๕๖๑.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205