Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักสูตรสถานศึกษา-ม.ต้น-กศน.อำเภอหนองไผ่

หลักสูตรสถานศึกษา-ม.ต้น-กศน.อำเภอหนองไผ่

Published by geena2524, 2021-09-16 10:30:27

Description: หลักสูตรสถานศึกษา-ม.ต้น-กศน.อำเภอหนองไผ่

Search

Read the Text Version

หลกั สูตรสถานศึกษา ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยอาเภอหนองไผ่ หลกั สูตรการศึกษานอกระบบ ระดบั การศึกษาข้ันพืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 “ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น” ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยอาเภอหนองไผ่ สานักงาน กศน.จงั หวดั เพชรบูรณ์

ก คานา ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อาเภอหนองไผ่ ไดจ้ ดั ทาหลกั สูตรสถานศึกษา ซ่ึงดาเนินการจดั การศึกษานอกโรงเรียนตามหลกั เกณฑ์และวธิ ีการจดั การศึกษานอกระบบ ตามหลกั สูตรการศึกษา นอกระบบ ระดบั ข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 โดยยดึ หลกั สภาพปัญญาและความตอ้ งการของชุมชนมาพฒั นาให้ เป็ นหลกั สูตรสถานศึกษา โดยมีครูอาสาสมคั รการศึกษานอกโรงเรียน ครูศูนยก์ ารเรียนชุมชน เจา้ หนา้ ท่ี ขา้ ราชการ คณะกรรมการสถานศึกษา และผบู้ ริหารสถานศึกษา ร่วมระดมความคิด มาจดั ทาเป็นหลกั สูตรสถานศึกษา ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อาเภอหนองไผ่ หวงั เป็ นอย่างย่ิงว่า คู่มือ หลกั สูตรสถานศึกษาเล่มน้ี จะเป็ นประโยชน์สาหรับสถานศึกษา ครูผสู้ อน และผูเ้ กี่ยวขอ้ งสามารถใชเ้ ป็ นแนวทาง ในการดาเนินงาน การจดั กระบวนการเรียนการสอนเป็ นอยา่ งยิ่ง หากมีขอ้ ผิดพลาดประการใดโปรดขอ้ เสนอแนะ ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อาเภอหนองไผ่ ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อาเภอหนองไผ่ (นางมาลี เพง็ ดี) ผอู้ านวยการ กศน.อาเภอหนองไผ่ (นางอรุณลกั ษณ์ ทองไพรวรรณ) ประธานคณะกรรมการสถานศึกษา

ข สารบัญ เร่ือง หน้า คานา สารบัญ ความเป็นมาของการพฒั นาหลกั สูตรสถานศึกษา ตามหลกั สูตรการศึกษานอกระบบ ระดบั การศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 1 แนวคิด ทฤษฏีที่เกี่ยวขอ้ งกบั หลกั สูตรสถานศึกษา 3 การพฒั นาหลกั สูตรสถานศึกษา ตามหลกั สูตรการศึกษานอกระบบ ระดบั การศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 12 ทิศทางการจดั การศึกษา 13 องคป์ ระกอบของหลกั สูตรสถานศึกษา 13 หลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 15 บริบทพ้นื ฐาน 16 ปรัชญา 30 วสิ ัยทศั น์ 30 พนั ธกิจ 30 หลกั การ 30 จุดหมาย 31 กลุ่มเป้าหมาย 31 กรอบโครงสร้าง 32 ระดบั การศึกษา 32 สาระการเรียนรู้ 32 กิจกรรมพฒั นาคุณภาพชีวิต 32 มาตรฐานการเรียนรู้ 32 เวลาเรียน 32 หน่วยกิต 32 โครงสร้างหลกั สูตรสถานศึกษา ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ 33 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ 34 - สาระทกั ษะการเรียนรู้ 36 คาอธิบายรายวชิ าบงั คบั และรายละเอียดคาอธิบายรายวชิ าบงั คบั

ค สารบัญ (ต่อ) หน้า 45 เร่ือง - สาระความรู้พ้ืนฐาน 91 คาอธิบายรายวชิ าบงั คบั และรายละเอียดคาอธิบายรายวชิ าบงั คบั - สาระการประกอบอาชีพ 110 คาอธิบายรายวชิ าบงั คบั และรายละเอียดคาอธิบายรายวชิ าบงั คบั - สาระทกั ษะการดาเนินชีวิต 128 คาอธิบายรายวชิ าบงั คบั และรายละเอียดคาอธิบายรายวชิ าบงั คบั - สาระการพฒั นาสงั คม 143 คาอธิบายรายวชิ าบงั คบั และรายละเอียดคาอธิบายรายวชิ าบงั คบั 145 แผนการลงทะเบียนเรียน ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ 145 วธิ ีการจดั การเรียนรู้ 147 การจดั กระบวนการเรียนรู้ 147 ส่ือการเรียนรู้ 147 การเทียบโอน 148 การวดั ผลประเมินผลการเรียน 148 การจบหลกั สูตร 148 เอกสารหลกั ฐานการศึกษา 149 เอกสารและส่ิงอา้ งอิง 150 ภาคผนวก คณะผจู้ ดั ทา

1 ความเป็ นมาของการพฒั นาหลกั สูตรสถานศึกษา ตามหลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาข้ันพืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช 2550 และพระราชบญั ญัติการศึกษา แห่งชาติ พทุ ธศกั ราช 2542 และท่ีแกไ้ ขเพ่ิมเติม (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2545 ที่ตอ้ งการจดั การศึกษาใหท้ วั่ ถึง และพฒั นาคน ไทยให้เป็ นมนุษยท์ ี่สมบูรณ์ท้งั ดา้ นร่างกาย จิตใจ สติปัญญา มีความรู้คู่คุณธรรม มีจริยธรรม และวฒั นธรรม รวมถึง การเป็ นพลเมืองท่ีดีของชาติ สามารถดารงชีวิตอยู่ร่วมกับผูอ้ ื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข สานักงานส่งเสริม การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั จึงไดด้ าเนินการจดั ทาหลกั สูตรการศึกษา นอกระบบระดบั การศึกษา ข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 ข้ึน และกระทรวงศึกษาธิการไดป้ ระกาศใช้หลกั สูตร การศึกษานอกระบบระดับ การศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 เม่ือวนั ที่ 18 กนั ยายน 2551 แลว้ เพ่ือ ให้ใช้แทนหลกั เกณฑ์และวิธีการจดั การศึกษานอกโรงเรียนตามหลกั สูตรการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2544 ซ่ึงเป็ นหลกั สูตรท่ีเป็ นไปตามหลกั การ และปรัชญาการศึกษานอกโรงเรียน นโยบายของรัฐบาล แผนพฒั นา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พระราชบญั ญตั ิ การศึกษาแห่งชาติ พุทธศกั ราช 2542 และที่แกไ้ ขเพ่ิมเติม (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2545 พระราชบญั ญตั ิส่งเสริมการศึกษา นอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั พ.ศ. 2551 และสอดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของกลุ่มผูเ้ รียนท่ีอยูน่ อกระบบ เพื่อให้มีคุณธรรม จริยธรรม มีสติปัญญา มีศกั ยภาพในการประกอบอาชีพ การศึกษาตลอดชีวิต คารงชีวิตอยู่ใน ครอบครัว ชุมชน สังคม ได้อย่างมี ความสุข โดยสถานศึกษาต้องนาสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ที่กาหนดใน หลกั สูตรการศึกษานอกระบบ ระดบั การศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 ไปพฒั นาหลกั สูตรสถานศึกษาให้ สอดคลอ้ งกบั สภาพ ปัญหา ความตอ้ งการของผเู้ รียน ชุมชน สังคม ภูมิปัญญาทอ้ งถิ่น และคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ ของสถานศึกษาน้นั ๆ สานกั งานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั (สานกั งาน กศน.) ไดด้ าเนินการ นาร่อง การใชห้ ลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 ในทุกภาคของประเทศ ภาคละ 2 จังหวัด (กระบี นครศรี ธรรมราช เชียงราย พิจิตร มหาสารคาม อุบลราชธานี ชลบุรี ระยอง ราชบุรี และ พระนครศรีอยุธยา) และกรุงเทพมหานคร ในเขตปทุมวนั และเขตพระโขนง ต้งั แต่ภาคเรียนท่ี 1 ปี การศึกษา 2552 กบั ผูท้ ่ีข้ึนทะเบียนเป็ นนกั ศึกษาของสถานศึกษาสังกดั สานกั งาน กศน. สถานศึกษาในกากบั สานกั งาน กศน. และ สถานศึกษาภาคีเครือข่ายท่ีจดั การศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาข้นั พ้ืนฐาน ท้งั น้ี สานกั งานส่งเสริมการศึกษานอก ระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั ได้มีการวิจยั ติดตามผลการนาร่องการใช้ หลกั สูตรดงั กล่าวดว้ ย ซ่ึงจากผลการ ติดตามในระยะแรกไดพ้ บปัญหาและอุปสรรคที่เก่ียวขอ้ ง และไดม้ ีการ ปรับปรุงแกไ้ ขเพื่อให้หลกั สูตรการศึกษา นอกระบบระดบั การศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 สอดคลอ้ ง กบั กลุ่มเป้าหมาย คือ ประชาชนทว่ั ไปที่ไมไ่ ดอ้ ยู่ ในระบบให้มากท่ีสุด และในปี การศึกษา 2553 สานกั งาน ส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั ไดป้ ระกาศใชห้ ลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 ทว่ั ประเทศ กบั ผูท้ ่ีข้ึน ทะเบียนเป็ นนกั ศึกษาของสถานศึกษาสงั กดั สานกั งาน กศน. สถานศึกษาในกากบั สานกั งาน กศน. และสถานศึกษา ภาคีเครือข่ายที่จดั การศึกษานอกระบบ ระดบั การศึกษาข้นั พ้ืนฐาน หลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 เป็ นหลกั สูตรอิงมาตรฐาน (Standard-based curriculum) คือ เป็ นหลกั สูตรที่มีมาตรฐานเป็ นเป้าหมายหรือส่ิงท่ีคาดหวงั ในการพฒั นา ผูเ้ รียน

2 โดยกาหนดโครงสร้าง เน้ือหา กิจกรรมการเรียนรู้ การวดั และประเมินผล ท่ีสะทอ้ นถึงสิ่งที่ตอ้ งการ พฒั นาผเู้ รียนท่ี ระบุไวใ้ นมาตรฐานการเรียนรู้ ซ่ึงการพฒั นาหลกั สูตรสถานศึกษาจะต้องเช่ือมโยงมาตรฐาน การเรียนรู้ ดงั น้ัน เพื่อให้การใช้หลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 บรรลุถึงหลกั การและ จุดหมายท่ีกาหนดไวต้ ามหลกั สูตรดงั กล่าว รวมท้งั สาระสาคญั ที่กาหนดในพระราชบญั ญตั ิ การศึกษาแห่งชาติ พุทธศกั ราช 2542 และท่ีแกไ้ ขเพิม่ เติม (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2545 ท่ีนาไปสู่การประกาศใช้ หลกั สูตรการศึกษานอกระบบ ระดบั การศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 ตามบริบทของสถานศึกษา ซ่ึง สถานศึกษาแต่ละแห่งมีความแตกต่าง กนั จึงตอ้ งจดั ทาหลกั สูตรสถานศึกษาตามสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ ท่ีกาหนดในหลกั สูตรการศึกษานอกระบบ ระดบั การศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 และสภาพ ปัญหา ความตอ้ งการของผูเ้ รียน ชุมชน สังคม นอกจากน้ี หลกั สูตรสถานศึกษาตอ้ งคานึงถึงการเปล่ียนแปลงของโลก เพ่ือเตรียมคนให้สามารถปรับตวั และดารงชีวิตอยูใ่ น สงั คมไดอ้ ยา่ งมีความสุข กระทรวงศึกษาธิการ ไดป้ ระกาศใช้มาตรฐานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัย เม่ือวนั ท่ี 31 มกราคม 2558 เพื่อให้สถานศึกษาทุกแห่งในสังกดั สานักงานส่งเสริมการศึกษา นอกระบบและการศึกษาตาม อธั ยาศยั ใช้เป็ นเป้าหมายในการจดั การศึกษาให้ได้คุณภาพและมาตรฐาน อนั เป็ นหลกั ประกนั ให้กบั ผูเ้ รียนและ ผรู้ ับบริการมีความมน่ั ใจวา่ การศึกษาที่ไดร้ ับน้นั มีมาตรฐาน ตามท่ีสถานศึกษาไดป้ ระกนั คุณภาพไว้ ซ่ึงมาตรฐานท่ี 2 การจดั การศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาข้นั พ้ืนฐานตามตวั บ่งช้ี สถานศึกษาจะตอ้ ง พฒั นาหลกั สูตรสถานศึกษาดว้ ย

3 แนวคิด ทฤษฎที ีเ่ กยี่ วข้องกบั หลกั สูตรสถานศึกษา การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็ นฐาน (School-Based Management : SBM) การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็ นฐาน คืออะไร นกั วชิ าการศึกษาไดใ้ หค้ วามหมายของการบริหารโดยใชโ้ รงเรียนเป็ นฐาน ดงั น้ี Cheng (1996: 4) กล่าวว่า การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็ นฐาน ทาให้ผูท้ ่ีมีส่วนเก่ียวขอ้ ง ซ่ึงประกอบ ดว้ ย ผูบ้ ริหารสถานศึกษา ตวั แทนคณะครู ผูป้ กครอง ชุมชน ฯลฯ ซ่ึงมารวมตวั เป็ นคณะกรรมการสถานศึกษา ได้มี โอกาสจดั การศึกษาให้เป็ นไปตามความต้องการของผูเ้ รียน ผูป้ กครอง และชุมชน ส่งผลให้สถานศึกษา มี ประสิทธิผลสูงข้ึน และไดร้ ับการพฒั นาอยา่ งยง่ั ยนื David (1996: 4-5) กล่าววา่ การบริหารโดยใชโ้ รงเรียนเป็ นฐาน เป็ นแนวทางหน่ึงของการปฏิรูป การศึกษา โดยการกระจายอานาจการจดั การศึกษาไปยงั สถานศึกษาให้มากข้ึน โดยมีความเช่ือวา่ การให้ สถานศึกษามีอานาจ หนา้ ท่ีมากข้ึนจะทาใหป้ ระสิทธิภาพของสถานศึกษาสูงข้ึน มีความยดื หยนุ่ มากข้ึน และมี ผลผลิตดีข้ึน อุทยั บุญประเสริฐ (2543: ข-ค) กล่าวว่า การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็ นฐานเป็ นกลยุทธ์ในการ ปรับปรุง การศึกษาโดยเปล่ียนอานาจหน้าที่ในการตัดสินใจจากส่วนกลางไปยงั แต่ละโรงเรียน โดยให้ คณะกรรมการ โรงเรียนซ่ึงประกอบดว้ ย ผปู้ กครอง ครู สมาชิกในชุมชน ผทู้ รงคุณวฒุ ิ ศิษยเ์ ก่า และผบู้ ริหาร โรงเรียนไดม้ ีอานาจใน การบริหารจดั การศึกษาในโรงเรียน มีหน้าท่ีและความรับผิดชอบในการตดั สินใจ ที่เก่ียวข้องกับงบประมาณ บุคลากร และวชิ าการ โดยใหเ้ ป็นไปตามความตอ้ งการของนกั เรียน ผปู้ กครอง และชุมชน จากความหมายของการบริหาร โดยใชโ้ รงเรียนเป็นฐานดงั กล่าว สรุปไดว้ า่ การบริหาร โดยใชโ้ รงเรียน เป็ น ฐาน เป็ นการกระจายอานาจการจดั การศึกษาจากส่วนกลางไปยงั สถานศึกษาโดยตรง ให้สถานศึกษามีหน้าท่ี มี อานาจหนา้ ที่และความรับผิดชอบในการตดั สินใจท่ีเก่ียวขอ้ งกบั งบประมาณ บุคลากร และวิชาการ โดยให้ เป็ นไป ตามความตอ้ งการของผูเ้ รียน องค์กร และชุมชน อนั จะส่งผลให้การดาเนินงานจดั การศึกษาของ สถานศึกษามี ประสิทธิผลสูงข้ึน การบริหารงานโดยใช้โรงเรียนเป็ นฐานมีหลกั การสาคัญอย่างไร อุทยั บุญประเสริฐ (2545: 189-191) ไดก้ ล่าวถึงหลกั การสาคญั ของการบริหารโดยใชโ้ รงเรียน เป็นฐานของ ไทย ดงั น้ีคือ 1. หลกั การกระจายอานาจ เป็นการกระจายอานาจการบริหารและการจดั การศึกษาไปยงั สถานศึกษา ให้มาก ที่สุด โดยมีความเชื่อวา่ โรงเรียนเป็ นหน่วยสาคญั ในการจดั การศึกษา ในการเปล่ียนแปลงและพฒั นา การศึกษาของ เด็ก 2. หลกั การมีส่วนร่วม เป็นการเปิ ดโอกาสใหผ้ ทู้ ี่เกี่ยวขอ้ งและผมู้ ีส่วนไดส้ ่วนเสียไดม้ ีส่วนร่วมในการ บริหาร ร่วมตดั สินใจและร่วมจดั การศึกษา ผทู้ ่ีเกี่ยวขอ้ งและผมู้ ีส่วนไดส้ ่วนเสียท่ีสาคญั ไดแ้ ก่ ครู ผบู้ ริหาร ผปู้ กครอง ผแู้ ทนชุมชน ตวั แทนองคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถิ่น ตวั แทนศิษยเ์ ก่า และตวั แทนนกั เรียน ฯลฯ การที่บุคคล ผทู้ ่ีเก่ียวขอ้ งและผทู้ ่ีมีส่วนไดส้ ่วนเสียไดม้ ีส่วนร่วมในการจดั การศึกษา จะเกิดความรู้สึกเป็นเจา้ ของ และจะเตม็ ใจ และยนิ ดีร่วมรับผดิ ชอบในการจดั การศึกษามากข้ึน

4 3. หลกั การคืนอานาจจดั การศึกษาใหป้ ระชาชน ในอดีตตลอดระยะเวลาท่ีผา่ นมาการจดั การศึกษา จะเป็น แบบมีการรวมการจดั การศึกษาไปไวท้ ่ีส่วนกลาง เพื่อใหเ้ กิดเอกภาพและมาตรฐานทางการศึกษา แตเ่ ม่ือ ความ เจริญกา้ วหนา้ ต่าง ๆ รุดหนา้ ไปอยา่ งรวดเร็ว คนมีการศึกษามากข้ึน สังคมเปลี่ยนแปลงไปมากและ คอ่ นขา้ งรวดเร็ว การจดั การศึกษาโดยส่วนกลางเร่ิมมีขอ้ จากดั เกิดความล่าชา้ และไม่ตอบสนองความตอ้ งการ ของผเู้ รียนและชุมชน อยา่ งแทจ้ ริง จึงตอ้ งใหอ้ านาจคืนสู่ทอ้ งถ่ิน สู่ผทู้ ี่เกี่ยวขอ้ งและผมู้ ีส่วนไดส้ ่วนเสียและ ประชาชน ใหไ้ ดม้ ีบทบาทจดั การศึกษามากข้ึน 4. หลกั การบริหารจดั การตนเอง เน่ืองจากระบบการจดั การศึกษาโดยทว่ั ไปน้นั มกั จะกาหนดให้ โรงเรียน เป็นหน่วยปฏิบตั ิตามนโยบายของส่วนกลางเป็นหลกั ในแทบทุกเรื่อง โรงเรียนไมม่ ีอานาจอยา่ งแทจ้ ริง ในการ บริหารจดั การดว้ ยตนเองเลย การบริหารโดยใชโ้ รงเรียนเป็ นฐานน้นั มีความเช่ือวา่ วธิ ีการทางานใหบ้ รรลุ เป้าหมาย น้นั ทาไดห้ ลายวธิ ี และถา้ ส่วนกลางทาหนา้ ท่ีเพียงแต่กาหนดนโยบายและเป้าหมายแลว้ ปล่อยให้ โรงเรียนมีระบบ การบริหารดว้ ยตนเอง โดยใหโ้ รงเรียนมีอานาจ หนา้ ท่ี และความรับผดิ ชอบในการดาเนินงานได้ สามารถดาเนินการ ไดด้ ว้ ยวธิ ีการท่ีแตกตา่ งกนั ไดแ้ ลว้ แต่ความพร้อมและสถานการณ์ของโรงเรียน ผลที่ไดน้ ่าจะ มีประสิทธิภาพสูง กวา่ เดิม ที่ทุกอยา่ งถูกกาหนดมาจากส่วนกลาง ไม่วา่ จะโดยทางตรงหรือทางออ้ ม การบริหารทใ่ี ช้โรงเรียนเป็ นฐานมรี ูปแบบอย่างไร อุทยั บุญประเสริฐ (2543: จ) ไดก้ ล่าวถึง รูปแบบการบริหารที่ใชโ้ รงเรียนเป็นฐาน ดงั น้ีคือ 1. รูปแบบท่ีมีผบู้ ริหารเป็นหลกั (administration Control SBM) ผบู้ ริหารเป็ นประธานคณะกรรมการ ส่วน กรรมการอื่น ๆ ไดม้ าจากการเลือกต้งั หรือคดั มาจากกลุ่มผปู้ กครอง ครู และชุมชน คณะกรรมการมีบทบาท ให้ คาปรึกษา แต่อานาจการตดั สินใจยงั คงอยทู่ ่ีผบู้ ริหารโรงเรียน 2. รูปแบบท่ีมีครูเป็นหลกั (professional control SBM) เกิดแนวคิดวา่ ครูเป็ นผใู้ กลช้ ิดนกั เรียน มากที่สุด ยอ่ ม รู้ปัญหาไดด้ ีกวา่ และสามารถแกป้ ัญหาไดต้ รงจุด ตวั แทนคณะครูมีบทบาทท่ีมากที่สุด ในคณะกรรมการโรงเรียน ผบู้ ริหารยงั คงเป็นประธานคณะกรรมการโรงเรียน บทบาทของคณะกรรมการโรงเรียน เป็นคณะกรรมการบริหาร 3. รูปแบบที่ชุมชนมีบทบาทหลกั (community Control SBM) แนวคิดสาคญั คือ การจดั การศึกษา ควร ตอบสนองความตอ้ งการและคา่ นิยมของผปู้ กครองและชุมชนมากที่สุด ตวั แทนของผปู้ กครองและชุมชน เป็ น ประธานคณะกรรมการ โดยมีผบู้ ริหารเป็นกรรมการและเลขานุการ บทบาทหนา้ ที่ของคณะกรรมการ โรงเรียนเป็น คณะกรรมการบริหาร 4. รูปแบบที่ครูและชุมชนมีบทบาทหลกั (professional-community control SBM) แนวคิดเรื่องน้ี เชื่อวา่ ท้งั ครูและผปู้ กครองตา่ งมีความสาคญั ในการจดั การศึกษาให้แก่เด็ก เนื่องจากท้งั 2 กลุ่มตา่ งอยใู่ กลช้ ิด กนั มากที่สุด รับรู้ ปัญหาและความตอ้ งการไดด้ ีที่สุด สดั ส่วนของครูและผปู้ กครองในคณะกรรมการโรงเรียน จะมีเท่ากนั แต่มากกวา่ ตวั แทนกลุ่มอ่ืน ผบู้ ริหารโรงเรียนเป็นประธาน บทบาทหนา้ ท่ีของคณะกรรมการโรงเรียน เป็ นคณะกรรมการการบริ หาร

5 การพฒั นาหลกั สูตร (Curriculum Development) หลกั สูตรคืออะไร คาวา่ “Curriculum” มาจากภาษาลาติน หมายถึง “race course” หรือสนามแขง่ เพราะในการศึกษา มีการ แขง่ ขนั ไปสู่หลกั ชยั และไดร้ ับวฒุ ิบตั รหรือปริญญาบตั รเป็ นรางวลั (เสาวพร เมืองแกว้ , 2538: 21) นักการศึกษาได้ให้ความหมายของหลกั สูตรต่าง ๆ กนั ดงั นี้ ใจทิพย์ เช้ือรัตนพงษ์ (2539; 3) กล่าววา่ หลกั สูตร คือ รายวชิ าหรือเน้ือหาที่เรียน จุดมุง่ หมายท่ี ผเู้ รียนพึง บรรลุ แผนสาหรับจดั โอกาสการเรียนรู้ หรือประสบการณ์ท่ีคาดหวงั แก่นกั เรียน ประสบการณ์ท้งั ปวง ของผเู้ รียนที่ จดั โดยโรงเรียน และกิจกรรมทางการศึกษาท่ีจดั ใหก้ บั ผเู้ รียน Good (1973: 522) ไดใ้ หค้ วามหมายหลกั สูตรไว้ 3 ความหมายดงั น้ี (1) เน้ือหาวชิ าท่ีจดั ไวเ้ ป็น ระบบให้ ผเู้ รียนไดศ้ ึกษา เพื่อใหส้ าเร็จหรือรับประกาศนียบตั ร ในสาขาวชิ าใดวชิ าหน่ึง (2) เคา้ โครงทวั่ ไป หรือเคา้ โครง เฉพาะ ซ่ึงทางโรงเรียนจดั ใหผ้ เู้ รียนไดเ้ รียนเพอ่ื รับประกาศนียบตั ร หรือสามารถเรียนต่อในทาง อาชีพตอ่ ไป และ (3) กลุ่มวชิ าและประสบการณ์ต่าง ๆ ที่กาหนดไวใ้ หผ้ เู้ รียนไดเ้ รียนภายใตก้ ารแนะนาของ โรงเรียนหรือ สถาบนั การศึกษาคอยแนะแนวทางใหค้ าปรึกษา ความหมายของหลกั สูตร ในขอ้ น้ี หมายถึง หลกั สูตรท้งั ฉบบั ซ่ึง ประกอบดว้ ยเน้ือหาวชิ าส่วนหน่ึงและการจดั ประสบการณ์ใหอ้ ีกส่วนหน่ึง จากความหมายดงั กล่าวสรุปไดว้ า่ หลกั สูตร หมายถึง ประสบการณ์ในการเรียนรู้ และกิจกรรม ทาง การศึกษาที่จดั ใหก้ บั ผเู้ รียนท่ีจดั โดยสถาบนั เพอ่ื ใหผ้ เู้ รียนไดบ้ รรลุเป้าหมายท่ีกาหนดไว้ ตามความสามารถ ของ ผเู้ รียน หลกั สูตรมีความสาคญั อย่างไร หลกั สูตรมีความสาคญั ต่อกระบวนการจดั การเรียนรู้ ดงั ท่ี นกั การศึกษาและนกั วชิ าการไดใ้ หค้ วามสาคญั ของหลกั สูตรไว้ ดงั น้ี ใจทิพย์ เช้ือรัตนพงษ์ (2539: 11) กล่าวถึงความสาคญั ของหลกั สูตร วา่ หลกั สูตรเป็นเคร่ืองมือ ในการแปล จุดมุ่งหมายและนโยบายทางการศึกษาของชาติสู่การปฏิบตั ิในสถาบนั การศึกษาในระดบั ตา่ ง ๆ หลกั สูตรจะเป็น เสมือนหางเสือที่จะคอยกาหนดทิศทางใหก้ ารเรียนการสอนเป็ นไปตามจุดมุ่งหมายของการศึกษา หรือกล่าวอีกนยั หน่ึงคือ หลกั สูตรเป็นเคร่ืองช้ีนาทางในการจดั ความรู้ และประสบการณ์แก่ผเู้ รียนซ่ึงครูจะตอ้ ง ปฏิบตั ิตาม เพ่อื ให้ ผเู้ รียนไดร้ ับการศึกษาที่มุ่งสู่จุดหมายเดียวกนั หลกั สูตรจึงเป็นเป็นหวั ใจสาคญั ของการศึกษา และเป็นเคร่ืองช้ีความ เจริญของชาติ ถา้ ประเทศใดมีหลกั สูตรท่ีเหมาะสม ทนั สมยั และมีประสิทธิภาพ คนใน ประเทศน้นั ก็ยอ่ มมีความรู้ และศกั ยภาพในการพฒั นาประเทศไดอ้ ยา่ งเตม็ ที่ อาภา บุญช่วย (2537: 17-18) ไดส้ รุปความสาคญั ของหลกั สูตรไวด้ งั น้ี 1. เป็นเอกสารของทางราชการ หรือเป็ นบญั ญตั ิของทางรัฐบาล เพอื่ ใหบ้ ุคคลที่ทาหนา้ ที่เก่ียวกบั การศึกษา ปฏิบตั ิ ไมว่ า่ จะเป็นสถาบนั การศึกษาของรัฐบาลหรือเอกชน ดงั น้นั หลกั สูตรจึงเปรียบเสมือน “คาสัง่ ” หรือ “ขอ้ บงั คบั ” ของทางราชการชนิดหน่ึงนนั่ เอง 2. เป็นเกณฑม์ าตรฐานทางการศึกษาเพอ่ื ควบคุมการเรียนการสอนในสถาบนั การศึกษาในระดบั ตา่ ง ๆ รวมท้งั เป็ นเกณฑม์ าตรฐานอยา่ งหน่ึงในการที่จะจดั สรรงบประมาณ บุคลากร อาคารสถานท่ี และวสั ดุอุปกรณ์ ทาง การศึกษาของรัฐบาลใหแ้ ก่โรงเรียน

6 3. เป็นแผนการดาเนินงานของนกั บริหารการศึกษา ท่ีจะตอ้ งอานวยการควบคุมดูแลและติดตาม ประเมินผล ใหเ้ ป็นไปตามนโยบายการจดั การศึกษาของรัฐบาล 4. เป็นแผนการปฏิบตั ิงาน หรือเคร่ืองช้ีนาทางในการปฏิบตั ิงานของครู เพราะหลกั สูตรจะเสนอแนะ จุดมุง่ หมายการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนและการประเมินผลการเรียนการสอน ซ่ึงครูควรจะปฏิบตั ิอยา่ ง จริงจงั 5. เป็นเครื่องมือของรัฐ ในอนั ที่จะพฒั นาคนและพฒั นากาลงั คน ซ่ึงจะเป็นตวั จกั รสาคญั ในการพฒั นา เศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติตามแผนของรัฐบาล 6. เป็นเครื่องช้ีถึงความเจริญของชาติ เพราะการศึกษาเป็นเครื่องมือในการพฒั นาคน ถา้ ประเทศชาติใด มี หลกั สูตรท่ีเหมาะสม ทนั สมยั และมีประสิทธิภาพ ก็จะทาใหค้ นในประเทศของตนมีคุณภาพ จากความสาคญั ของหลกั สูตรดงั กล่าวสรุปไดว้ า่ หลกั สูตรมีความสาคญั ตอ่ การจดั การศึกษา เป็นสิ่งที่ กาหนด จุดมุ่งหมาย เน้ือหา กิจกรรมการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ การวดั และประเมินผล เพ่ือใชเ้ ป็ นแนวทาง การจดั การศึกษาที่ มีคุณภาพ โดยมุ่งใหผ้ ูเ้ รียนมีความรู้ ทกั ษะ เจตคติ และคุณลกั ษณะท่ีพึงประสงคข์ อง ประเทศชาติ หลกั สูตรมีกป่ี ระเภท สมนึก ธาตุทอง และ นุชนารถ ธาตุทอง (2545: 12-13) ไดอ้ ธิบายลกั ษณะของหลกั สูตรแบบตา่ ง ๆ ดงั น้ี 1. หลกั สูตรเน้ือหาวชิ า (Subject curriculum or subject centered curriculum) เป็นหลกั สูตร ท่ีเนน้ เน้ือหา ความรู้เป็ นหลกั ประกอบดว้ ยเน้ือหาสาระที่สาคญั ไดแ้ ก่ ความคิดรวบยอด ทกั ษะ กฎเกณฑ์ หลกั เกณฑต์ ่าง ๆ เนน้ ท่ี ผลการเรียนจากเน้ือหาสาระอยา่ งเดียว ผเู้ รียนทุกคนตอ้ งเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอยา่ งเหมือนกนั ไม่คานึงถึงความแตกตา่ ง ระหวา่ งบุคคล ไม่ไดเ้ นน้ ที่ความสนใจหรือความตอ้ งการของผเู้ รียน แตเ่ นน้ ที่ทฤษฎี และการถ่ายทอดเน้ือหาวชิ า มากกวา่ การนาไปใช้ การทาขอ้ สอบจึงมีความสาคญั มากกวา่ การนาไปใชใ้ นชีวติ จริง 2. หลกั สูตรหมวดวชิ า (broad-field curriculum) เป็นหลกั สูตรรวบรวมศาสตร์และวชิ าต่าง ๆ ที่มี เน้ือหา สาระใกลเ้ คียงกนั เขา้ ไวใ้ นหมวดวชิ าใหม่ เช่น หมวดวชิ าภาษาจะรวมภาษาไทย และภาษาต่างประเทศ เขา้ ดว้ ยกนั ประกอบดว้ ย วรรณคดี การอ่าน การส่ือสาร การใชภ้ าษา หลกั ภาษา ตวั อยา่ งของหลกั สูตรรวมวชิ า จะเห็นไดช้ ดั เจน ในหลกั สูตรการศึกษาปี 2530 ท้งั ในระดบั ประถมศึกษาและมธั ยมศึกษา 3. หลกั สูตรสัมพนั ธ์ (core curriculum) เป็นหลกั สูตรที่ผสมผสานเน้ือหาวชิ าตา่ ง ๆ ท่ีใกลเ้ คียงกนั อยกู่ บั หมวดหมู่เดียวกนั เนน้ วธิ ีการแกป้ ัญหา ซ่ึงจะเป็นปัญหาของบุคคลหรือส่วนรวมก็ได้ จะใชเ้ วลาเรียน ติดต่อกนั ในแต่ ละคร้ังประมาณ 2-3 ชว่ั โมง โดยครูเป็นผคู้ อยใหค้ าแนะนา เป็นที่ปรึกษา ซ่ึงการเรียนการสอน แบบหน่วย และมีการ จดั ทาหน่วยการเรียนรู้หลาย ๆ หน่วย เนน้ การบูรณาการ 4. หลกั สูตรสหสัมพนั ธ์ (correlated curriculum) เป็นหลกั สูตรท่ีมีความสัมพนั ธ์กนั ในหมวดวชิ าหรือ ระหวา่ งวชิ า มีความสอดคลอ้ งต่อเนื่อง เช่ือมโยงกนั ไม่ขาดตอน เช่น วรรณคดีกบั ประวตั ิศาสตร์ คณิตศาสตร์ กบั วทิ ยาศาสตร์ เป็นตน้ 5. หลกั สูตรประสบการณ์ (experience curriculum) หรือ หลกั สูตรที่ยดึ ผเู้ รียนเป็ นสาคญั (childcentered curriculum) หรือหลกั สูตรยดึ การดารงชีวติ (area of living design) มีลกั ษณะที่คลา้ ยกนั กล่าวคือ การจดั เน้ือหาสาระ กิจกรรมการเรียนรู้ หรือประสบการณ์ใด ๆ ก็ตาม ตอ้ งจดั ข้ึนเพอื่ สนองความตอ้ งการของ ผเู้ รียน เพ่ือใหม้ ีความเจริญ งอกงามในทุก ๆ ดา้ น มีความสอดคลอ้ งกบั สภาพความเป็นจริงของการดารงชีวิต โดยผเู้ รียนมีบทบาทมีส่วนร่วมใน

7 การเลือกหากิจกรรมการเรียนรู้ที่เป็ นประโยชน์ และตรงกบั จุดหมายใน หลกั สูตร ลกั ษณะการร่วมกิจกรรมจะตอ้ ง อยบู่ นพ้ืนฐานความถนดั ความสนใจของผเู้ รียน เรียนรู้ดว้ ยการ แกป้ ัญหาและสามารถนาไปใชใ้ นชีวติ จริงได้ 6. หลกั สูตรบูรณาการ (integrated curriculum) เป็นหลกั สูตรท่ีรวมประสบการณ์การเรียนรู้ต่าง ๆ เขา้ ดว้ ยกนั ซ่ึงคดั เลือกมาจากหลายวชิ า แลว้ จดั เป็นกลุ่มหรือหมวดหมู่ของประสบการณ์ เป็นการบูรณาการ เขา้ ดว้ ยกนั เพือ่ ช่วยใหผ้ เู้ รียนไดร้ ับประสบการณ์สมั พนั ธ์และต่อเน่ือง มีคุณคา่ ต่อการดาเนินชีวติ จะเห็นได้ ชดั เจนในหลกั สูตร ประถมศึกษา พทุ ธศกั ราช 2521 ซ่ึงเป็นหลกั สูตรที่ใหค้ วามสาคญั กบั ผเู้ รียน โดยนาวชิ า หรือเร่ืองราวตา่ ง ๆ ที่เรียกวา่ “มวลประสบการณ์” มาจดั กลุ่มเพ่อื สร้างเสริมใหผ้ เู้ รียนมีความเจริญงอกงาม ไดแ้ ก่ กลุ่มทกั ษะที่เป็นเคร่ืองมือการ เรียนรู้ กลุ่มสร้างเสริมประสบการณ์ชีวติ กลุ่มสร้างเสริมลกั ษณะนิสยั กลุ่มการงานและพ้ืนฐานอาชีพ และกลุ่ม ประสบการณ์พิเศษ 7. หลกั สูตรแบบอิงมาตรฐาน (Standard-based curriculum) หลกั สูตรแบบอิงมาตรฐานเป็นหลกั สูตร ที่มี การกาหนดมาตรฐานเชิงเน้ือหา (Content standard) อยา่ งชดั เจน จากผเู้ ช่ียวชาญแตล่ ะสาขา Jons S. Kendall and Robert J. Marzano (1996 อา้ งถึงใน สมนึก ธาตุทอง และ นุชนารถ ธาตุทอง, 2545: 13) ไดอ้ ธิบายไวว้ า่ มาตรฐาน เน้ือหาแสดงใหเ้ ห็นวา่ ผเู้ รียนไดเ้ รียนรู้อะไรและมีความสามารถท่ีจะกระทาได้ โดยที่ มาตรฐานการปฏิบตั ิได้ (performance standard) ทาใหม้ ีความชดั เจน คือ ระดบั ของประสิทธิภาพท่ีคาดหวงั ตามมาตรฐานเน้ือหา หลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษา ข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 เป็นหลกั สูตรแบบอิงมาตรฐาน ท่ีแสดง ใหเ้ ห็นวา่ ผเู้ รียนไดเ้ รียนรู้อะไรและมีความสามารถที่จะ กระทาได้

8 หลกั สูตรมอี งค์ประกอบอย่างไร นกั การศึกษา ไดก้ ล่าวถึงองคป์ ระกอบของหลกั สูตร ดงั น้ี ธารง บวั ศรี (2531: 7-8) กล่าววา่ หลกั สูตรน้นั มีองคป์ ระกอบที่สาคญั และขาดไมไ่ ดอ้ ยา่ งนอ้ ย 6 อยา่ งคือ จุดมุง่ หมายของหลกั สูตร จุดประสงคข์ องการเรียนการสอน เน้ือหาสาระ และประสบการณ์ ยทุ ธศาสตร์การเรียน การสอน วสั ดุอุปกรณ์และสื่อการเรียนการสอน วชิ ยั ดิสสระ (2535: 11) กล่าววา่ หลกั สูตรประกอบดว้ ย 1. หลกั สูตรแมบ่ ท ไดแ้ ก่ ขอ้ กาหนดของกระทรวงศึกษาธิการ ซ่ึงประกอบดว้ ยจุดหมายและแนวทาง ของ การศึกษา โครงสร้างของเน้ือหาสาระ ประกอบดว้ ยหมวดวชิ าหรือกลุ่มวชิ าเน้ือหาวชิ าเป็นหวั ขอ้ สาคญั ๆ อตั ราเวลา เรียน และแนวทางการสอน ตลอดจนการประเมินผลการเรียน 2. เอกสารและวสั ดุอุปกรณ์การเรียนการสอน ไดแ้ ก่ เอกสารและอุปกรณ์ตา่ ง ๆ ที่ครูใชส้ อนและ ผเู้ รียนใช้ เรียน เช่น คู่มือครู แผนการสอน โครงการสอน หนงั สืออา่ นเพิม่ เติม แบบฝึกหดั ฯลฯ และวสั ดุ อุปกรณ์การเรียนต่าง ๆ สิ่งเหล่าน้ีถือวา่ เป็นส่วนหน่ึงของหลกั สูตร 3. กิจกรรมการเรียน ไดแ้ ก่ การดาเนินการต่าง ๆ ในโรงเรียน ท้งั ของครูและผเู้ รียน เช่น การสอน ใหผ้ เู้ รียน คน้ ควา้ อภิปราย การอบรม การบรรยาย การสาธิต การปฏิบตั ิ ฯลฯ ตลอดท้งั การจดั กิจกรรมต่าง ๆ ท่ีครูและผบู้ ริหาร การศึกษา เป็นผปู้ ฏิบตั ิใหส้ อดคลอ้ งกบั แนวทางและจุดหมายในหลกั สูตรแมบ่ ท 4. การประเมินผล ไดแ้ ก่ หลกั การของการประเมิน กระบวนการวดั ตา่ ง ๆ พร้อมท้งั เครื่องวดั และ แบบฟอร์มในการประเมินผลการศึกษาเพื่อที่จะรู้วา่ ผเู้ รียนคนใดมีการเปล่ียนแปลงหรือมีความเจริญงอกงาม ในดา้ น ตา่ ง ๆ ข้ึนหรือไม่เพยี งใด เม่ือทราบแลว้ จะไดพ้ ิจารณาถึงเกณฑท์ ี่ตอ้ งการหรือไม่ ถา้ ไมถ่ ึงจะไดห้ าทาง ปรับปรุง แกไ้ ขเพอื่ ใหน้ กั เรียนผนู้ ้นั บรรลุจุดมุง่ หมายตามที่ต้งั ไว้ Beauchamp (1975: 107-109) กล่าววา่ องคป์ ระกอบสาคญั ซ่ึงจะตอ้ งเขียนไวใ้ นเอกสารหลกั สูตร มี 4 ประการ คือ เน้ือหาสาระและวธิ ีการจดั จุดมุ่งหมายทวั่ ไปและจุดมุง่ หมายเฉพาะ แนวการนาหลกั สูตร ไปใชส้ อน และการประเมินผล Saylor and Alexander (1974: 189) กล่าววา่ องคป์ ระกอบของหลกั สูตร ไดแ้ ก่ ความมุ่งหมายของ การศึกษา การจดั เน้ือหาวชิ า กิจกรรมการเรียนการสอน และการประเมินผล Taba (1962: 1) ไดก้ ล่าวถึงองคป์ ระกอบของหลกั สูตรวา่ หลกั สูตร ไม่วา่ จะมีรูปแบบใด จะมี องคป์ ระกอบ อยา่ งนอ้ ยที่สุด 4 อยา่ งคือ วตั ถุประสงคท์ ว่ั ไปและวตั ถุประสงคเ์ ฉพาะวชิ า เน้ือหาวชิ าและ จานวนชวั่ โมงสาหรับการ สอนแต่ละวชิ า กระบวนการเรียนการสอนหรือการนาหลกั สูตรไปใช้ และโครงการ ประเมินผลตามหลกั สูตร จากแนวคิดขององคป์ ระกอบของหลกั สูตรท่ีกล่าวมาขา้ งตน้ สรุปไดว้ า่ องคป์ ระกอบของหลกั สูตร ควร ประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบที่สาคญั คือ วตั ถุประสงค์ เน้ือหา การจดั การเรียนรู้ การวดั และประเมินผล หลกั สูตร ควรประกอบดว้ ย @ วตั ถุประสงค์ 8 เน้ือหา 8 การจดั การเรียนรู้ และ 4) การวดั และประเมินผล

9 หลกั สูตรสถานศึกษา หลกั สูตรสถานศึกษา (School-Based Curriculum) คืออะไร สานกั งานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั (2551: 1) ไดใ้ หค้ วามหมายของ หลกั สูตร สถานศึกษา ไวว้ า่ หลกั สูตรสถานศึกษา หมายถึง แผนหรือแนวทางหรือขอ้ กาหนดของการจดั การ การศึกษาท่ีจะ พฒั นาใหผ้ เู้ รียนมีความรู้ความสามารถ ซ่ึงจดั ทาโดยคณะบุคคลของสถานศึกษาและผเู้ ก่ียวขอ้ ง เพอ่ื พฒั นาผเู้ รียน และชุมชน สงั คม ใหม้ ีคุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้และส่งเสริมใหผ้ เู้ รียนรู้จกั ตนเอง มีชีวติ อยใู่ นชุมชน สังคม อยา่ งมีความสุขซ่ึงตอ้ งไม่ขดั ตอ่ ความมน่ั คงของชาติ และสิทธิมนุษยชน การพฒั นาหลกั สูตรสถานศึกษามรี ูปแบบอย่างไร ในการพฒั นาหลกั สูตร มีรูปแบบท่ีคลา้ ยคลึงกนั นกั การศึกษาไดเ้ สนอรูปแบบการพฒั นาหลกั สูตร ดงั น้ี Tyler (1949: 2) ไดเ้ สนอรูปแบบการพฒั นาหลกั สูตร โดยต้งั คาถามไว้ 4 ขอ้ คือ 1. มีวตั ถุประสงคท์ างการศึกษาอะไรบา้ งท่ีโรงเรียนตอ้ งจดั ใหผ้ เู้ รียนไดร้ ับ 2. มีประสบการณ์ทางการศึกษาอะไรบา้ งที่จะทาใหบ้ รรลุวตั ถุประสงคเ์ หล่าน้ี 3. จะจดั ประสบการณ์ทางการศึกษาเหล่าน้ีใหม้ ีประสิทธิภาพไดอ้ ยา่ งไร 4. จะพิจารณาไดอ้ ยา่ งไรวา่ วตั ถุประสงคท์ ่ีกาหนดไวน้ ้นั ไดบ้ รรลุแลว้ Taba (1962: 345-399) ไดเ้ สนอแนวคิดในการพฒั นาหลกั สูตรไว้ ดงั น้ี 1. จาแนกความตอ้ งการ (diagnosis of need) เป็นการวเิ คราะห์สภาพ ปัญหา และความตอ้ งการ โดย การ สารวจปัญหาและความตอ้ งการ รวมท้งั ความจาเป็ นต่าง ๆ ของสังคมเพ่อื นามาเป็นแนวทางในการกาหนด จุดมุง่ หมาย 2. การกาหนดจุดมุง่ หมาย (formulation of objectives) โดยพจิ ารณาขอ้ มูลที่ไดจ้ ากการวิเคราะห์ สภาพ ปัญหาและความตอ้ งการ เพอื่ นามาพจิ ารณาจดั การศึกษาใหเ้ ป็นไปตามความตอ้ งการ และเป็นการแกป้ ัญหา ท่ีเกิดข้ึน โดยใชค้ าวา่ เป้าหมาย (goal) และจุดมุง่ หมาย (objectives) 3. การคดั เลือกเน้ือหาวชิ า (selection of content) โดยคดั เลือกเน้ือหาความรู้ท่ีจะตอ้ งนามากาหนดให้ ผเู้ รียน เกิดการเรียนรู้ตามความตอ้ งการ และความจาเป็นของสงั คมโดยพจิ ารณาจากจุดมุ่งหมาย ซ่ึงสอดคลอ้ งกนั ระหวา่ ง เน้ือหา และจุดมุง่ หมาย 4. การจดั รวบรวมเน้ือหา (organization of content) โดยพิจารณาจากความยากง่ายของสาระวชิ า วฒุ ิภาวะ ความพร้อมของผเู้ รียน 5. การคดั เลือกประสบการณ์การเรียนรู้ (selection of learning experience) เพ่ือนามาเสริมเน้ือหาวชิ า ท่ีตอ้ ง นามาสอนและกระบวนการเรียนรู้ใหส้ มบูรณ์ยง่ิ ข้ึน โดยพิจารณาใหส้ อดคลอ้ งกบั จุดมุ่งหมาย 6. การจดั รวบรวมกระบวนการเรียนรู้ (organization of learning activities) โดยพิจารณาวา่ ในการ ดาเนินการจดั กิจกรรมการเรียน ตลอดจนความเชื่อมโยงและจดั ลาดบั กิจกรรมใหม้ ีความสอดคลอ้ งกนั

10 7. การพจิ ารณาถึงวธิ ีการและแนวทาง (determination of what to evaluate and of the ways and means of doing it) การประเมินผลเป็ นการประเมินข้นั สุดทา้ ย เป็นการประเมินผลประสิทธิภาพของหลกั สูตร วา่ ผเู้ รียนมี พฤติกรรมเปล่ียนแปลงไปตามจุดมุง่ หมายที่กาหนดไวห้ รือไม่ และมีความเหมาะสมเพียงใด และ กาหนดดว้ ยวา่ จะ ใชว้ ธิ ีประเมินผลอยา่ งไร มีอะไรช่วยในการประเมิน Saylor and Alexander (1974: 27) ไดเ้ สนอแนวคิดในการพฒั นาหลกั สูตรไว้ ดงั น้ี 1. การศึกษาตวั แปรตา่ ง ๆ จากภายนอก ไดแ้ ก่ ภูมิหลงั ของผเู้ รียน สังคม ธรรมชาติของการเรียนรู้ แผนการ ศึกษาชาติ ทรัพยากรและความสะดวกสบายในการพฒั นาหลกั สูตร และคาแนะนาจากผปู้ ระกอบอาชีพ 2. การกาหนดความมุ่งหมายและวตั ถุประสงค์ 3. การนาหลกั สูตรไปใช้ 4. การประเมินผล จากท่ีกล่าวมาสรุปไดว้ า่ รูปแบบการพฒั นาหลกั สูตร มี 6 ข้นั ตอนคือ 1) การวเิ คราะห์ขอ้ มูลเกี่ยวกบั ผเู้ รียน สังคม และปรัชญาการศึกษา 2) การกาหนดจุดมุ่งหมายของหลกั สูตร 3) การกาหนดเน้ือหาสาระและ ประสบการณ์ การเรียนรู้ 4) การนาหลกั สูตรไปใช้ 5) การประเมินผลหลกั สูตร 6) การปรับปรุงหรือเปล่ียนแปลง หลกั สูตร ผู้พฒั นาหลกั สูตรสถานศึกษาคือใคร ในการดาเนินการพฒั นาหลกั สูตรสถานศึกษา สถานศึกษาทุกแห่ง จะตอ้ งแตง่ ต้งั คณะกรรมการบริหาร หลกั สูตรและงานวชิ าการข้ึน ซ่ึงคณะกรรมการดงั กล่าว ควรจะประกอบดว้ ย 1. ผบู้ ริหารสถานศึกษา 2. หวั หนา้ หมวดวชิ าหรือกลุ่มวชิ า 3. หวั หนา้ งานแนะแนว 4. หวั หนา้ งานวดั ผลและประเมินผล 5. ผชู้ ่วยผบู้ ริหารฝ่ ายวชิ าการ 6. ผเู้ ช่ียวชาญเฉพาะสาขา ผทู้ รงคุณวุฒิ ภูมิปัญญาทอ้ งถ่ิน 7. ครูผสู้ อน ศึกษานิเทศก์ 8. ผแู้ ทนผปู้ กครอง 9. ผแู้ ทนองคก์ รชุมชน 10. ผแู้ ทนองคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถิ่น 11. ผแู้ ทนศิษยเ์ ก่า บทบาทของคณะกรรมการบริหารหลกั สูตรและงานวชิ าการ ควรมีดงั นี้ 1. ร่วมกนั กาหนดนโยบายและวางแผนดาเนินงานวชิ าการ 2. ร่วมกนั กาหนดรูปแบบและข้นั ตอนการพฒั นาหลกั สูตรสถานศึกษา 3. ร่วมกนั ศึกษาสภาพ ปัญหา และวเิ คราะห์ขอ้ มูล เพื่อจดั ทาหลกั สูตรสถานศึกษา

11 4. ร่วมกนั กาหนดจุดหมาย หลกั การ โครงสร้าง สาระการเรียนรู้ของหลกั สูตรสถานศึกษา ซ่ึงจะตอ้ ง สอดคลอ้ งและเป็นไปตามมาตรฐานการเรียนรู้ ตามหลกั เกณฑแ์ ละวธิ ีการจดั การศึกษานอกโรงเรียน 5. จดั ทาคู่มือการบริหารหลกั สูตรและงานวชิ าการสถานศึกษา 6. ประสานความร่วมมือจากบุคคล หน่วยงาน องคก์ รตา่ ง ๆ และชุมชน เพ่อื ใหก้ ารใชห้ ลกั สูตร เป็นไปอยา่ ง มีประสิทธิภาพและมีคุณภาพ 7. นิเทศ ติดตามผล ตรวจสอบผลสาเร็จหรือปัญหาอุปสรรคในการพฒั นาหลกั สูตรสถานศึกษา เมื่อคณะกรรมการบริหารหลกั สูตรและงานวชิ าการ ไดพ้ ฒั นาหลกั สูตรสถานศึกษาเสร็จเรียบร้อยแลว้ จะตอ้ งนาเสนอ ขออนุมตั ิหลกั สูตรกบั คณะกรรมการสถานศึกษาก่อนนาไปใช้ (กรมการศึกษานอกโรงเรียน, 2546: 7-8) เมื่อสถานศึกษาโดยคณะกรรมการบริหารหลกั สูตรและงานวชิ าการ พฒั นาหลกั สูตรสถานศึกษาเสร็จเรียบร้อยแลว้ ก่อนจะนาไปใช้ สถานศึกษาจะตอ้ ง ขออนุมตั ิหลกั สูตรกบั คณะกรรมการสถานศึกษา

12 การพฒั นาหลกั สูตรสถานศึกษาตามหลกั สูตรการศึกษานอกระบบ ระดับการศึกษาข้ันพืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 หลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ประกอบดว้ ย หลกั การ จุดหมาย โครงสร้างหลกั สูตร การจดั หลกั สูตร การจดั การศึกษาสาหรับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ สาระและมาตรฐาน การ เรียนรู้ วธิ ีการจดั การเรียนรู้ การจดั กระบวนการเรียนรู้ ส่ือการเรียนรู้ การเทียบโอน การวดั และประเมินผล การเรียน การจบหลกั สูตร เอกสารหลกั ฐานการศึกษา และการบริหารหลกั สูตร ในการดาเนินงานจดั การศึกษา ตามหลกั สูตร การศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 ภารกิจท่ีสาคญั ของสถานศึกษา คือ การพฒั นา หลกั สูตรสถานศึกษา โดยกาหนดสาระการเรียนรู้ และกิจกรรมพฒั นาคุณภาพชีวิตใหเ้ ป็นไปตาม ท่ีกาหนดตาม โครงสร้างหลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ดงั น้ี โครงสร้างหลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาข้ันพืน้ ฐาน พุทธศักราช 2551 จานวนหน่วยกติ ที่ สาระการเรียนรู้ ประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น มธั ยมศึกษาตอนปลาย วชิ าบงั คบั วชิ าเลือก วชิ าบงั คบั วชิ าเลือก วชิ าบังคบั วชิ าเลือก 1 สาระทกั ษะการเรียนรู้ 5 5 5 2 สาระความรู้พ้ืนฐาน 12 16 20 3 สาระการประกอบอาชีพ 8 8 8 4 สาระทกั ษะการดาเนินชีวิต 5 5 5 5 สาระการพฒั นาสังคม 6 6 6 รวม 36 12 40 16 44 32 48 หน่วยกติ 56 หน่วยกติ 76 หน่วยกติ กิจกรรมพฒั นาคุณภาพชีวติ ไม่นอ้ ยกวา่ 200 ชว่ั โมง ไม่นอ้ ยกวา่ 200 ชวั่ โมง ไมน่ อ้ ยกวา่ 200 ชวั่ โมง หมายเหตุ วชิ าเลือกในแตล่ ะระดบั สถานศึกษาตอ้ งจดั ให้ผเู้ รียน เรียนรู้จากการทาโครงงาน จานวนอยา่ งนอ้ ย 3 หน่วยกิต การพฒั นาหลกั สูตรสถานศึกษาตามหลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 เป็นการดาเนินงานร่วมกนั ระหวา่ งสถานศึกษา ชุมชน และภาคีเครือข่าย โดยยดึ หลกั สูตร การศึกษานอกระบบ ระดบั การศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 เป็นฐานเพ่ือพฒั นาผเู้ รียนใหม้ ีความสามารถ ในการเรียนรู้ สอดคลอ้ ง กบั เป้าหมายการพฒั นาของจงั หวดั อาเภอ และชุมชน ใหเ้ ป็นไปตามปรัชญา “คิดเป็น และวสิ ัยทศั น์ของสถานศึกษา ดว้ ยการวเิ คราะห์สภาพปัญหา ความตอ้ งการการพฒั นาระดบั จงั หวดั อาเภอ และชุมชน เพือ่ กาหนดทิศทางการจดั การศึกษาท่ีจะนาไปสู่การจดั ทาแผนการเรียนรู้ท่ีเหมาะสมตอ่ ไป

13 ทศิ ทางการจัดการศึกษา ในการพฒั นาหลกั สูตรสถานศึกษา สถานศึกษาควรกาหนดทิศทางการจดั การศึกษาเพื่อพฒั นาผเู้ รียน ตามที่ ผเู้ รียนตอ้ งการ และสอดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการพฒั นาจงั หวดั อาเภอ และชุมชน โดยสถานศึกษาจะตอ้ ง ศึกษา เอกสารที่เก่ียวขอ้ ง ดงั น้ี 1. หลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 2. เอกสารสาระการเรียนรู้ จานวน 5 สาระ ดงั น้ี 2.1 สาระทกั ษะการเรียนรู้ 2.2 สาระความรู้พ้ืนฐาน (ภาษาไทย ภาษาตา่ งประเทศ คณิตศาสตร์ และวทิ ยาศาสตร์) 2.3 สาระการประกอบอาชีพ 2.4 สาระทกั ษะการดาเนินชีวติ 2.5 สาระการพฒั นาสงั คม 3. เอกสารการดาเนินงาน จานวน 4 เล่ม ดงั น้ี 3.1 แนวทางการพฒั นาหลกั สูตรสถานศึกษา 3.2 แนวทางการเทียบโอนผลการเรียน 3.3 คู่มือดาเนินงาน (การบริหารจดั การ แนวทางการจดั กิจกรรมพฒั นาคุณภาพชีวติ (กพช.) การวดั และประเมินผลการเรียน) 3.4 แนวทางการจดั การเรียนรู้ 4. ขอ้ มูลความตอ้ งการพฒั นาของจงั หวดั อาเภอ และชุมชนจากท่ีไดศ้ ึกษาเอกสารและขอ้ มูลที่กล่าวไว้ ขา้ งตน้ แลว้ น้นั สถานศึกษากาหนดทิศทางการจดั การศึกษา โดยการพฒั นาหลกั สูตรสถานศึกษาท่ีตอบสนอง เป้าหมายของผูเ้ รียน การพฒั นาของจงั หวดั อาเภอ และชุมชน ใหส้ อดคลอ้ งกบั ปรัชญา “คิดเป็น องค์ประกอบของหลกั สูตรสถานศึกษา หลกั สูตรสถานศึกษา เป็นการกาหนดกรอบการจดั การศึกษาเพอื่ ใหเ้ ป็นทิศทางในการพฒั นาผเู้ รียน และ ชุมชน สงั คม ดงั น้นั หลกั สูตรสถานศึกษาประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบ ดงั น้ี 1. บริบทพ้ืนฐาน 2. ปรัชญา “คิดเป็น 3. วสิ ยั ทศั น์ 4. พนั ธกิจ 5. หลกั การ จุดหมายของหลกั สูตร 6. กลุ่มเป้าหมาย 7. กรอบโครงสร้าง 7.1 ระดบั การศึกษา 7.2 สาระการเรียนรู้ 7.3 กิจกรรมพฒั นาคุณภาพชีวติ 7.4 มาตรฐานการเรียนรู้

14 7.5 เวลาเรียน 7.6 หน่วยกิต 7.7 โครงสร้างหลกั สูตร 8. สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ 8.1 ทกั ษะการเรียนรู้ 8.2 ความรู้พ้ืนฐาน (ภาษาไทย ภาษาต่างประเทศ คณิตศาสตร์ และวทิ ยาศาสตร์) 8.3 การประกอบอาชีพ 8.4 ทกั ษะการดาเนินชีวติ 8.5 การพฒั นาสังคม 9. แผนการลงทะเบียนเรียนของสถานศึกษาตลอดหลกั สูตร 10. วธิ ีการจดั การเรียนรู้ 10.1 การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง 10.2 การเรียนรู้แบบพบกลุ่ม 10.3 การเรียนรู้แบบทางไกล 10.4 การเรียนรู้แบบช้นั เรียน 10.5 การเรียนรู้ในรูปแบบอ่ืน ๆ 11. การจดั กระบวนการเรียนรู้ 11.1 สภาพปัญหา ความตอ้ งการ 11.2 แสวงหาขอ้ มูลและจดั การเรียนรู้ 11.3 นาไปประยกุ ตใ์ ช้ 11.4 ประเมินผลการเรียนรู้ 12. สื่อการเรียนรู้ 13. การเทียบโอน 14. การวดั และประเมินผลการเรียน 15. การจบหลกั สูตร 16. เอกสารหลกั ฐานการศึกษา

15 หลกั สูตรสถานศึกษา ตามหลกั สูตรการศึกษานอกระบบ ระดบั การศึกษาข้นั พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 “ระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น”

16 ข้อมูลพืน้ ฐานจงั หวดั เพชรบูรณ์ ประวตั คิ วามเป็ นมาของจังหวดั เพชรบูรณ์ จงั หวดั เพชรบูรณ์เป็ นเมืองโบราณ ที่ยงั ไมป่ รากฏหลกั ฐานชดั เจนวา่ โครงสร้างเมืองน้ีข้ึนเม่ือใดสมเด็จฯ กรม พระยาดารงราชานุภาพทรงวเิ คราะห์วา่ เพชรบูรณ์สร้างข้ึนมา 2 ยคุ ในแห่งเดียวกนั วดั มหาธาตุและวดั โบราณเป็น หลกั ฐานยนื ยนั วา่ ยคุ แรกสร้างเมื่อ เมืองเหนือคือ กรุงสุโขทยั หรือ พิษณุโลกเป็นเมืองหลวง มีลาน้าอยกู่ ลางเมือง กาแพงเมืองกวา้ งยาวดา้ นละ 800 เมตร ยคุ ที่สอง สร้างในสมยั สมเด็จพระนารายณ์ มหาราช มีป้อมและกาแพงก่อ ดว้ ยอิฐปูนศิลา แต่เลก็ และเต้ียกวา่ มีแม่น้าอยกู่ ลางเมือง กาแพงเมือง ขนาดเลก็ ลง ต้งั อยทู่ างป่ าดา้ นเหนือ เพ่ือป้องกนั ศตั รู ส่วนทางดา้ นใตเ้ ป็นไร่นา จากหลกั ฐานการคน้ พบซากโบราณสถาน และจากหลกั ฐาน ทางประวตั ิศาสตร์ ท่ี คน้ พบ ในเมืองศรีเทพ เพชรบูรณ์ มีอายมุ ากกวา่ 1,000 ปี สร้างข้ึนในระยะเวลาใกลเ้ คียงกบั เมือง พมิ าย. ลพบุรี และ จนั ทบุรี ดงั หลกั ฐานท่ีประกฎ เช่น ซากตวั เมืองและพระปรางค์ บริเวณท่ีต้งั เมือง เป็นท่ีราบ มีกาแพงดินสูงรอบเมือง และลอ้ มรอบ ดว้ ยคูเมือง ภายในเมืองมีพระปรางค์ ซากเทวสถาน รูปเทพารักษ์ พระนารายณ์ รูปยกั ษส์ ลกั ดว้ ยศิลา แลง เช่นเดียวกบั เมืองพมิ าย ลพบุรี และจนั ทบุรี จึงเป็นหลกั ฐานแสดงใหเ้ ห็นวา่ เป็นฝี มือของขอมท่ีไดร้ ับอารยธรรม จากอินเดีย ในสมยั สุโขทยั ลายพระหตั ถเ์ กี่ยวกบั เพชรบูรณ์ของสมเดจ็ พระเจา้ บรมวงคเ์ ธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพ และสมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟ้ากรมพระยานริศรานุวดั ติวงค์ มีความวา่ เดิมจะต้งั ชื่อเมืองเพชรบูร. ให้ ใกลเ้ คียงกบั เพชรบุรี แปลวา่ เมืองแขง็ แต่ชื่อ อาจใกลเ้ คียงกนั มากเกินไป จึงต้งั ช่ือวา่ เพชรบูรณ์ สันนิษฐานวา่ ต้งั ชื่อ รุ่นเดียวกบั เมืองพิษณุโลก คาวา่ เพชรบูรณ์ อาจมาจาคาวา่ พืช ในประเทศอินเดียมีเมืองโบราณชื่อ BIJURE เทียบได้ กบั พืชปุระ ช่ือเมืองเพชรบูรณ์เขียนได้ 2 แบบ คือ เพชรบูรณ์ และ เพชรบูร จากศิลาจารึกสมยั สุโขทยั (หลกั ท่ี 53 ) จากวดั อโศการาม ( พ.ศ. 1949 ) มีขอ้ ความอา้ งอิงถึงจงั หวดั เพชรบูรณ์ดงั น้ี

17 \" รัฐมณฑลกวา้ งขวาง ท้งั ปราศจากอนั ตรายและนามาซ่ึง ความรุ่งเรือง รัฐสีมาของพระราชาผทู้ รง บุญญสม ภาคองค์ น้นั เป็นท่ีรู้จกั กนั อยวู่ า่ ในดา้ นทิศตะวนั ออกทรงทาเมืองวชั ชะปุระเป็นรัฐสีมา ดา้ นทิศตะวนั ตกเฉียงใต้ ทรงทาเมืองเชียงทอง เป็น รัฐสีมา...\" จากศิลาจารึกน้ี ชื่อเมืองเพชรบูรณ์อาจจะมาจากคาวา่ บุระหรือปุระ แปลวา่ ป้อม หอวงั ส่วนคาวา่ บูรณ์ มาจากคาวา่ ปูรณ แปลวา่ เตม็ นายตรี อมาตกุล อธิบายวา่ เมืองเพชรบูรณ์อาจจะเป็นเมือง ราดกไ็ ด้ แต่ยงั ไม่มีหลกั ฐานเพียงพอ หลกั ฐานโบราณคดี ช้ีชดั วา่ เมืองเพชรบูรณ์ เป็นรัฐสีมาของสุโขทยั ไดแ้ ก่ พระ เจดียท์ รงดอกบวั ตูม หรือทรงพุม่ ขา้ วบิณฑ์ ซ่ึงพระประธานของวดั มหาธาตุของสุโขทยั และเมืองอ่ืนๆ ซ่ึงจดั วา่ เป็น พุทธสถาปัตยกรรมแบบสุโขทยั แท้ และในการขดุ คน้ ทางโบราณคดี ท่ีพระเจดีย์ ทรงดอกบวั ตูม ท่ีวดั มหาธาตุ เมือง เพชรบูรณ์ของกรมศิลปกร เม่ือพ.ศ. 2510 คน้ พบศิลปวตั ถุจานวนมาก เช่น เครื่องสังคโลก ของไทย และเคร่ืองถว้ ย กบั ตุก๊ ตาจีน ในสมยั อยธุ ยา กฎหมายท่ีตราข้ึนในสมยั สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนารถ วา่ ดว้ ยการเทียบศกั ดินาสาหรับ ขา้ ราชการ ที่มียศ สูงสุดมีศกั ดินาหน่ึงหม่ืน ไดแ้ ก่ ฝ่ ายทหาร จานวน 12 ตาแหน่ง มีพระยาเพชรรัตน์สงคราม ตาแหน่งประจาเพชรบูรณ์ดว้ ย สมยั สมเด็จพระมหาจกั รพรรดิ แห่งกรุงศรีอยธุ ยา (สมเดจ็ พระมหาธรรมราชา) ไดท้ า สัมพนั ธไมตรีกบั พระไชยเชษฐาธิราช แห่งนครเวยี งจนั ทน์ เพราะเกรงวา่ สมเดจ็ พระมหาธรรมราชาจะยกทพั มาตี สมเดจ็ พระมหาธรรมราชา พระไชยเชษฐาธิราช ไดป้ ฏิบตั ิตามสัญญาพนั ธมิตร ณ เจดียศ์ รีสองรักษ์ อีก 5 ปี ตอ่ มา พระเจา้ หงสาวดีบุเรงนองยกทพั มาตีกรุงศรีอยธุ ยาอีกคร้ังหน่ึง ทพั พระไชยเชษฐา ส่งกองทพั มาช่วย ทางด่านเมือง นครไทย เขา้ มาทางเมืองเพชรบูรณ์ ผา่ นมาทางเมืองสระบุรีเวลารบนาน 9 เดือน จึงเสียกรุงศรีอยธุ ยา ราวปี พ.ศ. 2100 สมยั สมเด็จพระมหาธรรมราชา ที่กล่าวถึงเมืองเพชรบูรณ์ดงั ตอ่ ไปน้ี พระยาละแวก เจา้ แผน่ ดินเขมร ยกทหารมา 3 หม่ืนคน เขา้ มาทาง เมืองนครนายก สมเด็จพระมหาธรรมราชา เกรงวา่ จะต้งั รับทพั เขมรไมไ่ ด้ เพราะถูกพระเจา้ หงสาวดี กวาดตอ้ นเอาทหารและอาวธุ ไป เม่ือกรุงแตกสมเด็จพระ มหาธรรมราชาทรงมีบญั ชา ใหข้ นุ เทพอรชุน จดั เตรียมเรือพระท่ีนง่ั และเรือ ประทบั เสด็จไปที่เมืองพษิ ณุโลก เพื่อให้ พน้ ศตั รูก่อน ขณะน้นั พระเพชรรัตน์ เจา้ เมืองเพชรบูรณ์ มีความผดิ จึงถูกปลดออกจากตาแหน่ง มีขา่ วลือไปถึงเมือง หลวงวา่ พระเพชรรัตนโ์ กรธ และคิดซ่องสุมคนเพื่อ ดกั ปลน้ กองทพั หลวง สมเด็จพระมหาธรรมราชาจึง ไมเ่ สด็จ ไปที่พิษณุโลก และตีทพั พระยาละแวกแตกไป ในสมยั พระมหาธรรมราชา ยงั ไดก้ ล่าวถึง จงั หวดั เพชรบูรณ์อีกวา่ มี ไทยใหญ่ที่เมืองกาแพงเพชรอพยพหนีพมา่ และมอญมุ่งไปทางเมืองพิษณุโลก ทรงเกรง วา่ เป็นพวกอื่น ปลอมปนมา ดว้ ย จึงอายดั ด่านเพชรบูรณ์ เมืองนครไทย ชาติตระการและซา ไม่ใหไ้ ทยใหญ่หนีไปได้ สมยั กรุงธนบุรี ใน พ.ศ. 2218 เจา้ พระยาจกั รีและเจา้ พระยาสุรสีห์ไดน้ ากองทพั ตีแตกทพั อะแซ หวนุ่ ก้ี (พม่า) ท่ีลอ้ มเมืองพษิ ณุโลก ออกมาได้ และมาชุมนุม พกั ทพั ที่เมืองเพชรบูรณ์ ในสมยั กรุงรัตนโกสินทร์ จากบทความ ในหนงั สือนิทานโบราณคดี พระนิพนธ์ ของสมเด็จฯ กรมพระยา ดารงราชานุภาพ ทรงกล่าวถึงเมือง ศรีเทพและเมืองเพชรบูรณ์วา่ ขณะที่เป็ นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ทรงไปสืบ เมืองโบราณ และไม่มีใครรู้วา่ เมืองศรีเทพ อยทู่ ่ีใด ไดพ้ บสมุดดาเป็นหนงั สือใหค้ นเชิญตรา ไปบอกข่าวเรื่องการสิ้น รัชกาลท่ี 2 ตามหวั เมืองสระบุรี เมืองชยั บาดาล เมืองศรีเทพและ เมืองเพชรบูรณ์ สาหรับพระราชพงศวดารกรุง รัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 4 ของเจา้ พระยาทิพากรวงศ์ เร่ืองทรงต้งั และแปลงนามเจา้ เมือง กรมการ ซ่ึงมีวา่ เจา้ เมือง เพชรบูรณ์ คือพระเพชรพิชยั ปลดั แปลงเป็นพระเพชรพิชภูมิ หลกั ฐานที่ชดั เจน เป็ นพระราชนิพนธ์นิทาน โบราณคดี ของสมเด็จฯ กรมพระยาดารงราชานุภาพเรื่องคนไขเ้ มือง เพชรบูรณ์ มีวา่ เมืองเกิดไขม้ าลาเรียระบาดอยา่ งร้ายแรง ที่

18 เมืองเพชรบูรณ์ไม่มีผใู้ ดอาสาไปรับราชการ ดว้ ยความกลวั ไข้ ทา่ นจึงเสด็จไป ตรวจราชการที่เมืองเพชรบูรณ์ เองเพื่อ แสดงใหเ้ ห็นวา่ ไขม้ าลาเรียไมไ่ ดร้ ้ายแรง อยา่ งเช่นท่ีกลวั กนั ขณะที่เตรียมตวั ออกเดินทางก็มีคนห่วงใย มาส่งและใหพ้ รคลา้ ยกบั จะไปทาการรบ เมื่อเสดจ็ ถึง เมือง เพชรบูรณ์ ทรงกล่าว วา่ \" ฉนั ไปถึงเมืองเพชรบูรณ์ เม่ือวนั ที่ 4 กมุ ภาพนั ธ์ ทอ้ งท่ีมณฑลเพชรบูรณ์ บอกแผนท่ี ไดไ้ ม่ ยาก ถือลาแมน่ ้าป่ าสัก เป็นแนวแต่เหนือลงมาใตม้ ีภูเขาสูงเป็นเทือกเขาลงมา ตามแนวลาน้าท้งั สอง ฟากเทือกขา้ ง ตะวนั ออก เป็นเขาปันน้า ต่อแดน มณฑณ นครราชสีมา เทือกเขาตะวนั ตกเป็ นเขาต่อ แดนมณฑลพิษณุโลก เทือกเขา ท้งั สองขา้ งบางแห่งกห็ ่าง บางแห่งก็ใกล้ แม่น้าป่ าสัก เมืองหล่มสักท่ีอยสู่ ุดลาน้าทางขา้ งเหนือ แต่ลงมาถึงเมือง เพชรบูรณ์ตรงที่ต้งั เมืองเพชรบูรณ์ เทือกเขาเขา้ มา ใกลล้ าน้าดูเหมือนจะไมถ่ ึง 400 เส้น แลเห็นตน้ ไมบ้ นภูเขาถนดั ท้งั 2 ฝ่ัง ทาเลท่ีเมืองเพชรบูรณ์ตอนริมน้าเป็นท่ีลุ่ม ฤดูน้า น้าท่วมแทบ ทุกแห่ง พน้ ที่ลุ่มข้ึนไปเป็นท่ีราบ ทานา ไดผ้ ลดีเพราะอาจจะขดุ เหมืองชกั น้าจากหว้ ยเขา้ นาไดเ้ ช่นเมืองลบั แล พน้ ท่ีราบข้ึนไป เป็นโคกสลบั กบั แอ่งเป็น หยอ่ ม ๆ ไปจนถึงเชิงเขาบรรทดั บนโคกเป็นป่ าเตง็ รังเพาะปลูกอะไรอยา่ งอ่ืนไมไ่ ด้ แตต่ ามแอง่ น้า เป็ นท่ีน้าซบั เพาะปลูกพนั ธ์ไม้ งอกงามดี เมืองเพชรบูรณ์จึงสมบูรณ์ ดว้ ยกสิกรรม จนถึงชาวเมืองทานา คร้ังเดียวก็ไดข้ า้ วพอกิน กนั ท้งั ปี ส่ิงซ่ึงเป็น สินคา้ เมืองเพชรบูรณ์ ก็คือ ยาสูบ เพราะรสดีกวา่ ยาสูบ ที่อ่ืนท้งั หมด ในเมืองไทย ชาวเมือง เพชรบูรณ์ จึงหาผลประโยชน์ ดว้ ยการปลูกยาสูบขาย\" หลงั จากท่ีสมเดจ็ ฯ กรมพระยาดารง ราชานุภาพ เสดจ็ กลบั ถึง กรุงเทพฯทรงยนื ยนั ถึงประโยชน์ ของการไป คร้ังน้ีวา่ สามารถหาคนไปรับราชการ ในเมืองเพชรบูรณ์ได้ ง่ายกวา่ สมยั ก่อนมาก ในสมยั รัชกาลที่ 5 ไดจ้ ดั ต้งั มณฑลเทศาภิบาลรวบรวมหวั เมืองตา่ งๆ เขา้ เป็นมณฑล ในปี พ.ศ. 2436 และในปี พ.ศ. 2440 เมืองเพชรบูรณ์ไดย้ กฐานะเป็นมณฑลเพชรบูรณ์ ผวู้ า่ ราชการจงั หวดั ดารงตาแหน่ง สมุหเทศบาลอาเภอ หล่มสัก ยกฐานะเป็น จงั หวดั หล่มสกั ใน พ.ศ. 2447 มณฑลเพชรบูรณ์ถูกยบุ ไป ข้ึนกบั มณฑลพษิ ณุโลก แตไ่ ดร้ ับการ แตง่ ต้งั อีกคร้ัง ในปี พ.ศ. 2450 ในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ใหย้ บุ เมืองเพชรบูรณ์ไปข้ึนกบั มณฑล พษิ ณุโลก มีฐานะเป็นเมือง เพชรบูรณ์ตามเดิม มีการยกเลิกมณฑล ตา่ งๆ เม่ือมีพระราชพิธีราชาภิเษกพระบาทสมเด็จ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ในระหวา่ งสงครามโลก คร้ังที่ 2 และสงครามมหาเอเชียบูรพา กรุงเทพฯ ถูกขา้ ศึกโจมตีจนประชาชนตอ้ ง อพยพ ออกต่างจงั หวดั จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี เห็นสมควรยา้ ยเมืองหลวงไปอยทู่ ี่จงั หวดั เพชรบูรณ์ เพราะมีชยั ภูมิประเทศ เป็นภูเขา ลอ้ มรอบ มีทางออกทางเดียว ศตั รูรุกรานยาก คณะรัฐมนตรีจอมพล ป. พบิ ูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี จึงไดย้ กร่างพระราชกาหนด สร้างนครบาลข้ึนช่ือวา่ \"พระราชกาหนดระเบียบการ บริหาร นครบาล เพชรบูรณ์ และสร้างพทุ ธบุรี พ.ศ.2487\" การก่อสร้างเมืองหลวงใหมไ่ ดด้ าเนินการโดยเร่งด่วน และถือเป็น ความลบั ของราชการยทุ ธของชาติตลอดมา เพ่อื มิใหข้ า้ ศึกรู้แผนการณ์ กระทง่ั วนั ท่ี 20 กรกฎาคม 2487 รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ไดเ้ สนอ พระราช กาหนด ระเบียบราชการบริหารนครบาลเพชรบูรณ์ฯ พ.ศ. 2487 ตอ่ สภาผแู้ ทนราษฎร เพอื่ อนุมตั ิเป็น พระราชบญั ญตั ิ มีผลดาเนินการอยา่ งถาวรตลอดไปแตใ่ นที่สุด สภาผแู้ ทนราษฎรลงมติไมอ่ นุมตั ิดว้ ยคะแนนเสียง 48 ต่อ 36 ดว้ ยเหตุผลวา่ \"เพชรบูรณ์เป็ นแดนกนั ดาร ภูมิประเทศเป็นป่ าเขา และมีไขช้ ุกชุม เมื่อเร่ิมสร้างเมืองน้นั ผทู้ ่ีถูก เกณฑไ์ ปทางานลม้ ตายลง นบั เป็นพนั ๆ คน ฉะน้นั อนุสรณ์นครบาลเพชรบูรณ์แห่งน้ี จึงสร้างข้ึนเพอื่ ราลึกถึง

19 บุญคุณและอจั ฉริยภาพของจอมพล ป. พบิ ูลสงคราม และเพือ่ คน เพชรบูรณ์ จะไดภ้ ูมิใจในประวตั ิศาสตร์ช่วงหน่ึง และความเจริญกา้ วหนา้ ของบา้ นเมืองตน นโยบายพฒั นาของจังหวดั เพชรบูรณ์ วสิ ัยทัศน์จังหวดั เพชรบูรณ์ เพชรบูรณ์ : ดนิ แดนแห่งความสุข ของคนอย่แู ละผู้มาเยือน ยทุ ธศาสตร์การพฒั นาจังหวัด - พฒั นาเพื่อเป็ นดินแดนแห่งความสุข ประชาชนมีคุณภาพชีวติ ท่ีดีและเป็นเมืองท่องเท่ียวที่ปลอดภยั ประเด็นยุทธศาสตร์ 1.พฒั นาเพ่ือเป็นดินแดนแห่งความสุขดว้ ยการฟ้ื นฟูระบบนิเวศ 2.พฒั นาใหป้ ระชาชนมีคุณภาพท่ีดี 3.พฒั นาใหเ้ ป็นเมืองท่องเท่ียวที่ปลอดภยั เป้าประสงค์ 1. ส่งเสริมและพฒั นาเกษตรกรรมคุณภาพท่ีปลอดภยั การพฒั นาพ้นื ที่ตน้ น้า การพฒั นาแหล่งน้า เพ่ือการเกษตร และแกไ้ ขปัญหาอุทกภยั และภยั แลง้ 2. ส่งเสริมและพฒั นาการท่องเท่ียวทางประวตั ิศาสตร์ วฒั นธรรม ธรรมชาติ เชิงเกษตรและเพอื่ สุขภาพท่ีประทบั ใจ และปลอดภยั 3. พฒั นาคนและสถาบนั ทางสังคมใหเ้ ขม้ แขง็ และมีคุณภาพ 4. ส่งเสริมพฒั นาการพาณิชยแ์ ละอุตสาหกรรมใหม้ ีศกั ยภาพในการแข่งขนั 5. มุง่ สู่การพฒั นาที่ยง่ั ยนื กลยทุ ธ์ 1.พฒั นาพ้นื ท่ีตน้ น้า และพฒั นาแหล่งน้าเพอื่ การเกษตรและแกไ้ ขปัญหาอุทกภยั และภยั แลง้ 2. ส่งเสริมเกษตรกรรมและเกษตรอุตสาหกรรมท่ีมีคุณภาพและปลอดภยั 3. อนุรักษฟ์ ้ื นฟูธรรมชาติ สิ่งแวดลอ้ ม และสร้างความสมดุลระบบนิเวศ 4. ส่งเสริมและพฒั นาอาชีพแรงงานและรายไดโ้ ดยมุง่ เนน้ สินคา้ OTOP 5. พฒั นาระบบการผลิตอุตสาหกรรมการเกษตรและการบริการ

20 ข้อมูลพืน้ ฐานอาเภอหนองไผ่ สภาพภูมิอากาศ ลกั ษณะภูมิอากาศเป็นแบบมรสุม มี 3 ฤดู คือ ฤดูร้อน - เริ่มต้งั แต่เดือน มีนาคม ถึงเดือน มิถุนายน ฤดูฝน -เริ่มต้งั แตเ่ ดือน กรกฎาคม ถึงเดือน ตุลาคม ฤดูหนาว - เร่ิมต้งั แต่เดือน พฤศจิกายน ถึงเดือน กุมภาพนั ธ์ สภาพภูมิประเทศ สภาพพ้ืนที่ลกั ษณะภูมิประเทศ โดยทว่ั ไปของอาเภอหนองไผ่ เป็นที่ลุ่มแบบทอ้ งกระทะ ประกอบดว้ ย เนินเขา ป่ า และเป็นที่ราบเป็นตอนๆ สลบั กนั ไป พ้ืนท่ีลาดเทจากเหนือลงใต้ มีเทือกเขาขนานกนั ไปท้งั สองขา้ งคล อบคลุมของพ้ืนที่อาเภอหนองไผ่ อยทู่ างทิศตะวนั ออกและทิศตะวนั ตก มีพ้ืนท่ีร้อยละ 40 ขออาเภอ มีแม่น้าป่ าสกั สายสาคญั ไหล่ผา่ นตอนกลางของอาเภอ โดยเร่ิมจากเหนือลงใต้ ผา่ นตาบลหว้ ยโป่ ง ตาบลนาเฉลียง ตาบลวงั โบสถ์ ตาบลทา่ แดง ตาบลกองทูล ตาบลเพชรละคร ตาบลบา้ นโภชน์ นอกจากน้ียงั มีหนอง คลอง บึงอีกเป็นจานวนมากท่ี เป็นทางน้าไหลลงสู่แม่น้าป่ าสัก การปกครอง อาเภอหนองไผแ่ บง่ เขตการปกครองยอ่ ยออกเป็ นตาบล ดงั ตาราง ลาดบั ที่ ตาบล จานวนหมูบ่ า้ น หมายเหตุ 1 กองทูล 8 2 นาเฉลียง 10 3 บา้ นโภชน์ 13 4 ทา่ แดง 15 5 เพชรละคร 14 6 บ่อไทย 14 7 หว้ ยโป่ ง 7 8 วงั ทา่ ดี 9 9 บวั วฒั นา 8 10 หนองไผ่ 16 11 วงั โบสถ์ 10 12 ยางงาม 10 13 ทา่ ดว้ ง 8 รวม 142

21 แผนท่ีอาเภอหนองไผ่ อาณาเขต ติดต่อกบั อาเภอเมืองเพชรบูรณ์ จงั หวดั เพชรบูรณ์ ทิศเหนือ ติดต่อกบั อาเภอหนองบวั แดงและอาเภอภกั ดีชุมพล จงั หวดั ชยั ภูมิ ทิศตะวนั ออก ติดต่อกบั อาเภอชนแดน จงั หวดั เพชรบูรณ์ ทิศตะวนั ตก ติดต่อกบั อาเภอบึงสามพนั จงั หวดั เพชรบูรณ์ ทิศใต้ ขอ้ มูลดา้ นสังคม พ้นื ท่ีส่วนใหญข่ องอาเภอหนองไผ่ ใชป้ ระโยชน์ดา้ นการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ซ่ึงอาเภอหนองไผ่ มีพ้นื ที่การเกษตรท้งั สิ้น ประมาณ 324,126 จาแนกไดด้ งั ตาราง ท่ี พืชเศรษฐกิจ พ้นื ท่ีปลูก(ไร่) ผลผลิต(ตนั ) จานวนครัวเรือนที่ปลูก 1 ขา้ วนาปี 162,781 89,037,798 6,536 2 ขา้ วโพดเล้ียงสัตว์ 116,814 81,420,146 3,848 3 มนั สาปะหลงั 22,615 85,305,666 1,046 4 ยางพารา 16,483 14,376 493 5 ออ้ ย 5,433 10 56 ท่ีมา สานกั งานเกษตรอาเภอหนองไผ่

22 ขอ้ มูลประชากร อาเภอหนองไผม่ ีประชากรท้งั สิ้น 113,983 คน แยกเป็น จานวนชาย 55,652 คน จานวนหญิง 57,069 คน จานวนครัวเรือน 25,362 ครัวเรือน ประชากรแยกเป็นตาบลได้ ดงั ตาราง ท่ี ตาบล/เทศบาล ชาย (คน) หญิง (คน) รวม (คน) ครัวเรือน (หลงั ) 1 กองทูล 2,145 2,172 4,317 1,145 2 นาเฉลียง 5,085 6,150 12,042 1,220 3 บา้ นโภชน์ 4,235 4,126 8,361 3,102 4 ท่าแดง 5,567 5,570 11,137 2,337 5 เพชรละคร 5,907 5,890 11,797 2,449 6 บ่อไทย 4,738 4,931 9,669 2,101 7 หว้ ยโป่ ง 3,000 3,099 6,099 1,102 8 วงั ท่าดี 3,069 3,125 6,194 1,935 9 บวั วฒั นา 3,015 2,943 5,958 1,623 10 หนองไผ่ 7,691 7,843 15,534 2,837 11 วงั โบสถ์ 3,814 3,844 7,658 1,833 12 ยางงาม 4,460 4,558 9,473 1,876 13 ท่าดว้ ง 2,926 2,818 5,744 1,802 55,652 57,069 113,983 25,362 รวม ที่มา สานักทะเบียนราษฎร์ อาเภอหนองไผ่

23 2.ข้อมูลพืน้ ฐาน กศน.อาเภอหนองไผ่ ประวตั ิกศน.อาเภอหนองไผ่ กระทรวงศึกษาธิการ โดยกรมการศึกษานอกโรงเรียนได้ประกาศจดั ต้งั ศูนยบ์ ริการการศึกษานอก โรงเรียน พร้อมกนั ทวั่ ประเทศจานวน 789 แห่ง โดยอาศยั อานาจตามความในมาตรา 25 แห่ง พระราชบญั ญตั ิ ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ.๒๕๓๔ ประกอบกบั ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการวา่ ดว้ ยการจดั การศึกษาใน สถานศึกษาสังกดั กรมการศึกษานอกโรงเรียน พ.ศ. 2536 เป็ นสถานศึกษาในราชการบริหารส่วนกลางสังกัด กรมการศึกษานอกโรงเรียน พ.ศ. 2536 ในส่วนของอาเภอหนองไผ่ ขอ้ 6 มีชื่อวา่ “ศูนยบ์ ริการการศึกษานอก โรงเรียนอาเภอหนองไผ”่ เม่ือวนั ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2536 เป็ นสถานศึกษาในราชการบริหารส่วนกลางสังกดั ศูนย์ การศึกษานอกโรงเรียนจงั หวดั เพชรบูรณ์ ต่อมาเม่ือวนั ที่ 29 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2551ไดป้ ระกาศใช้ พระราชบญั ญตั ิส่งเสริมการศึกษานอกระบบและ การศึกษาตามอธั ยาศยั พ.ศ. 2551 ข้ึน และประกาศเปลี่ยนแปลงชื่อสถานศึกษาเป็ น ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและ การศึกษาตามอธั ยาศยั อาเภอหนองไผ่ เรียกช่ือยอ่ วา่ “ กศน.อาเภอหนองไผ”่ สังกดั สานกั งานส่งเสริมการศึกษานอก ระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั จงั หวดั เพชรบูรณ์ สานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม อธั ยาศยั สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการ จนถึงปัจจุบนั ทต่ี ้งั /การติดต่อ ชื่อสถานศึกษา:ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อาเภอหนองไผ่ ท่ีอยู่ : 999/1 หมู่ท่ี 6 ถนนสระบุรี-หล่มสกั ตาบลหนองไผ่ อาเภอหนองไผ่ จงั หวดั เพชรบูรณ์ 67140 เบอร์โทรศพั ท์ : 0-5678-1117 เบอร์โทรสาร : 0-5678-1846 เวบ็ ไซต์ : www.nongphai-nfe.com E-mail : [email protected] สังกดั สานกั งานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั จงั หวดั เพชรบูรณ์ สานกั งานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการ

24 โครงสรา้ ง กศน.อาเภอหนองไผ่ ทาเนียบผบู้ ริหาร ตาแหน่ง ระยะเวลาการดารงตาแหน่ง ที่ ช่ือ-สกุล หวั หนา้ ศูนยฯ์ วนั ท่ี 18 มกราคม 2537 1 นายเรืองฤทธ์ิ โทนแกว้ ผอู้ านวยการสถานศึกษา ถึงวนั ที่ 30 กนั ยายน 2542 ผอู้ านวยการสถานศึกษา วนั ที่ 1ตุลาคม 2542 2 นายมงคล ชยั สิทธ์ิ ผอู้ านวยการสถานศึกษา ถึงวนั ท่ี 14 มิถุนายน 2544 ผอู้ านวยการสถานศึกษา วนั ที่ 15 มิถุนายน 2544 3 นางสาวบานเยน็ ศิริ ผอู้ านวยการสถานศึกษา ถึงวนั ที่ 3 มิถุนายน 2548 ผอู้ านวยการสถานศึกษา วนั ที่ 6 มิถุนายน 2548 4 นายบุญติ่ง อุ่นแกว้ ผอู้ านวยการสถานศึกษา ถึงวนั ท่ี 11 พฤศจิกายน 2550 ผอู้ านวยการสถานศึกษา วนั ท่ี 12 พฤศจิกายน 2550 5 นายอาคม ปัญญาศุภโชติ ผอู้ านวยการสถานศึกษา ถึงวนั ท่ี 27 ตุลาคม 2551 วนั ท่ี 28 ตุลาคม 2551 6 นายจนั ทร์สด พรหมภกั ดี ถึงวนั ที่ 31ตุลาคม 2553 วนั ที่ 1 พฤศจิกายน 2553 7 วา่ ที่ ร.อ.ดาริห์ ติยะวฒั น์ ถึงวนั ท่ี 7 กรกฎาคม 2554 วนั ที่ 8 กรกฎาคม 2554 8 นายนรมิตร โฉมอุดม ถึงวนั ท่ี 8 ธนั วาคม 2556 วนั ที่ 9 ธนั วาคม 2556 ๙ นายอนุชา วจิ ิตรศิลป์ ถึงวนั ที่ 26 ตุลาคม 2560 วนั ที่ 27 ตุลาคม 2560 10 นางมาลี เพง็ ดี ถึงปัจจุบนั บุคลากร ประเภท/ตาแหน่ง ต่ากวา่ ป.ตรี จานวน ป.เอก รวมจานวน ป.ตรี ป.โท ผบู้ ริหาร - - 1 ขา้ ราชการครู - -1 - - บุคลากรทางการศึกษา - -- - 1 ลูกจา้ งประจา - -1 - - พนกั งานราชการ - -- - 19 ครูศูนยก์ ารเรียนชุุ มชน - 18 1 - 11 นกั วชิ าการศึกษา - 92 - - จา้ งเหมาบริการ 1 -- - 1 1 -- - 33 รวมจานวน 27 5

25 คณะกรรมการสถานศึกษา ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อาเภอหนองไผ่ มีคณะกรรมการสถานศึกษา ดงั น้ี 1. นางอรุณลกั ษณ์ ทองไพรวรรณ ประธานกรรมการ 2. นายไตรภูมิ เปรมปรี กรรมการ 3. นายสุรัตน์ จนั ทร์สมบูรณ์ กรรมการ 4. นางสาวปิ ยะวรรณ อ่อนศรี กรรมการ 5. นายเรวฒั น์ เฉลยจิตร กรรมการ 6. นายทรงเดช สุขมุ ธรรมรัตน์ กรรมการ 7. นางนุจรี ภูฆงั กรรมการ 8. นายมานพ เงินโฉม กรรมการ 9. นางมาลี เพง็ ดี กรรมการและเลขานุการ 10.นางสาวกญั จนา จูเกล้ียง ผชู้ ่วยกรรมการและเลขานุการ 11.นางสาวฐิติกานต์ นกสง่า ผชู้ ่วยกรรมการและเลขานุการ กศน.ตาบลจานวน 13 แห่ง ช่ือ กศน.ตาบล ท่ีต้งั ผรู้ ับผดิ ชอบ เบอร์โทรศพั ท์ กศน.ตาบลหว้ ยโป่ ง โรงเรียนบา้ นป่ ูจา้ ว นางบุญญารัตน์ รังษีสุริยชยั 080-4998224 กศน.ตาบลนาเฉลียง วดั ราษฎร์สามคั คีธรรม หมูท่ ่ี 5 นางวลยั ลกั ษณ์ สุทธิวริ ิวรรณ 087-8636932 กศน.ตาบลยางงาม วดั ยางงาม หมูท่ ี่ 1 กศน.ตาบลวงั โบสถ์ อบต.วงั โบสถ์ หมูท่ ่ี 5 นายสุรินทร์ บุตตะพรม 0847779632 กศน.ตาบลหนองไผ่ กศน.ตาบลกองทูล นางบงั อร สงั ขท์ อง 095-6409117 กศน.ตาบลเพชรละคร วดั สวนบารมี หมูท่ ่ี 1 นางสาวอรวรรณ แกว้ โชติ 091-8388676 กศน.ตาบลบา้ นโภชน์ อบต.กองทูล หมู่ที่ 3 นางสาวศุภชั ฌา เกิดเกียรติพรกุล 088-2811616 อบต.เพชรละครหมู่ท่ี 13 ต.บา้ นโภชน์ หมู่ที่ 11 นายชาญชยั โภคาภิวฒั น์ 082-2267786 นางสาววชั พร เพญ็ ภาค 062-9489486 เทศบาลตาบลบวั วฒั นา หมูท่ ี่ 1 นางสาวชนิกา แกว้ เสมอตา กศน.ตาบลบวั วฒั นา อบต บ่อไทย หมู่ท่ี 11 นางสาวปวนั รัตน์ แกว้ ดู 095-7759359 กศน.ตาบลบ่อไทย อบต.ทา่ แดง หมู่ท่ี 7 085-7310085 กศน.ตาบลทา่ แดง นายปิ ยะ เสือเทศ 086-5087758 กศน.ตาบลวงั ทา่ ดี โรงเรียนบา้ นกลาง หมูท่ ี่ 1 นางสาวอริษา สิงห์เส 088-2822215 กศน.ตาบลท่าดว้ ง วดั สนั เจริญ หมู่ที่ 6 นายสืบสาย ศิริบุตร 0๗5๗6-๐7๗81๗11๐7๗๗๐๗๔๐ 13 แห่ง รวมจานวน ๖๑๘๒๐ ศรช. จานวน - แห่ง หอ้ งสมุดประชาชน ช่ือหอ้ งสมุด ท่ีต้งั ผรู้ ับผดิ ชอบ หอ้ งสมุดประชาชนอาเภอหนองไผ่ วดั หนองไผพ่ ิทยาราม นางสุมาลา นาคนายม 1 แห่ง รวมจานวน

26 บา้ นหนงั สือชุมชน ที่ ช่ือบา้ นหนงั สือชุมชน ที่ต้งั ผรู้ ับผดิ ชอบ 1 บา้ นหนองไผท่ อง หมูท่ ่ี16ต.หนองไผ่ อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ นางสาวอรวรรณ แกว้ โชติ 2 บา้ นไผแ่ กว้ หมู่ที่11ต.หนองไผ่ อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ นางสาวอรวรรณ แกว้ โชติ 3 บา้ นปากคลองกรวด หมู่ 2 ต.นาเฉลียง อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ นางวลยั ลกั ษณ์ สุทธิวริ ิวรรณ 4 บา้ นหนองไลย์ 5 บา้ นวงั ชงโค หมู่ 7 ต.นาเฉลียง อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ นางวลยั ลกั ษณ์ สุทธิวริ ิวรรณ หมู่ 1 ต.กองทูล อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ นางสาวศุภชั ฌา เกิดเกียรติพรกุล หมู่ 5 ต.กองทูล อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ นางสาวศุภชั ฌา เกิดเกียรติพรกุล 6 บา้ นเนินมะเกลือ 7 บา้ นโพธ์ิเงิน หมูท่ ี่15ต.ท่าแดง อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ นายปิ ยะ เสือเทศ 8 บา้ นปากโบสถ์ หมู่ท่ี12ต.ทา่ แดง อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ นายปิ ยะ เสือเทศ 9 บา้ นหนองระหาร หมูท่ ่ี14ต.ท่าแดง อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ นายปิ ยะ เสือเทศ 10 บา้ นเรืองสาราญ หมู่ 12 ต.เพชรละครอ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ นายชาญชยั โภคาภิวฒั น์ 11 บา้ นเจริญทรัพย์ หมู่14 ต.เพชรละครอ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ นายชาญชยั โภคาภิวฒั น์ 12 บา้ นท่าเสาตะวนั ออก หมู่ 7 ต.เพชรละคร อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ นายชาญชยั โภคาภิวฒั น์ 13 บา้ นตีบใต้ หมู่ที่2 ต.บ่อไทย อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ นางสาวปวนั รัตน์ แกว้ ดู 14 บา้ นโนนสวา่ ง หมูท่ ี่11ต.บอ่ ไทย อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ นางสาวปวนั รัตน์ แกว้ ดู 15 บา้ นป่ ูเจา้ หมูท่ ี่5ต.หว้ ยโป่ ง อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ นางบุญญารัตน์รังษีสุริยะชยั 16 บา้ นหว้ ยโป่ ง หมู่ท่ี2ต.หว้ ยโป่ ง อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ นางบุญญารัตน์รังษีสุริยะชยั 17 บา้ นขอนยางขวาง หมู่ 1 ต.วงั ทา่ ดี อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ นางสาวอริษา สิงห์เส 18 บา้ นลาพาด หมูท่ ี่ 4ต.วงั ทา่ ดี อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ นางสาวอริษา สิงห์เส 19 บา้ นซบั วารินทร์ 20 บา้ นบวั วฒั นา หมู่ท่ี 7ต.บวั วฒั นา อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ นางสาวชนิกา แกว้ เสมอตา หมู่ท่ี1ต.บวั วฒั นา อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ นางสาวชนิกา แกว้ เสมอตา 21 บา้ นโคกสง่า หมูท่ ่ี10 ต.วงั โบสถ์ อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ นางบงั อร สงั ขท์ อง 22 บา้ นนาขา้ วดอ หมู่ที่5 ต.วงั โบสถ์ อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ นางบงั อร สังขท์ อง 23 บา้ นสระหมื่นเชียง หมูท่ ่ี3ต.วงั โบสถ์ อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ นางบงั อร สังขท์ อง 24 บา้ นยางงาม 25 บา้ นยางงาม หมูท่ ี่ 1ต.ยางงาม อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ นายสุรินทร์ บุตตะพรม หมู่ท่ี9ต.ยางงาม อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ นายสุรินทร์ บุตตะพรม 26 บา้ นสามแยกตะวนั ออก หมู่ 2 ต.บา้ นโภชน์ อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ นางสาววชั พร เพญ็ ภาค 27 บา้ นสามแยกตะวนั ตก หมู่ 3 ต.บา้ นโภชน์ อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ นางสาววชั พร เพญ็ ภาค 28 บา้ นโป่ งสะทอ้ น หมู่ ๕ ต.ท่าดว้ ง อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ นายสืบสาย ศิริบุตร 29 บา้ นสนั เจริญ หมู่ 6 ต.ทา่ ดว้ ง อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ นายสืบสาย ศิริบุตร รวม 29 แห่ง รวมจานวน 26 แห่ง

27

แหล่งเรียนรู้ชุมชน ที่ แหล่งเรียนรู้ ประเภทแหล่งเรียนรู้ ท่ีต้งั 1. สวนเศรษฐกิจพอเพียง ทรัพยากรธรรมชาติและ ม.15บา้ นหนองขาม ต.หนองไผ่ 2 หมูบ่ า้ นเศรษฐกิจพอเพียง นวฒวั ตั นกสาริ่งธรแรมวรเดมทลปคอ้รโมะนเพโลณยี ี ม.8 บา้ นคลองศรีเทพ ต.หนองไผ่ 3 วดั ราษฏร์สามคั คีธรรม ม.5บา้ นตน้ ยาง ต.นาเฉลียง 4 วดั ธรรมยาน วฒั นาธรรมประเพณี ม.8บา้ นหว้ ยน้าบอ่ ต.นาเฉลียง 5 สวนบุญธรรม ดา้ นการเกษตรผสมผสาน ตาบลกองทูล 6 หมู่บา้ นเศรษฐกิจพอเพยี ง ดา้ นการเกษตร บา้ นท่าสวาย ต.ทา่ แดง 7 เกษตรผสมผสาน ดา้ นการเกษตร บา้ นเนินคนธา ต.ท่าแดง 8 การทอผา้ พ้นื บา้ น การทอผา้ ก่ีกระตุก ม.9บา้ นเนินสะเดา ต.ท่าแดง 9 บึงกนั เจม แหล่งธรรมชาติ ม.4บา้ นลาลวงใต้ ต.เพชรละคร 10 ป่ าชุมชน แหล่งธรรมชาติ ม.8,9,10 ต.เพชรละคร 11 บา้ นวงั สงวน การขยายพนั ธุ์พชื ม.4บา้ นวงั สงวน ต.บ่อไทย 12 ไร่เอน็ บีบี การทาป๋ ุยชีวภาพ/ผกั ไฮโดรโป ม.8 ต.บ่อไทย 13 กลุ่มไมก้ วาดดอกหญา้ การทาไมก้ นวิคาดดอกหญา้ ม.13 ต.บอ่ ไทย 14 กลุ่มกระยาสารทแมบ่ ุญเรือง ผลิตภณั ฑอ์ าหาร ม.4บา้ นใหมส่ ามคั คี ต.หว้ ยโป่ ง 15 การแปรรูปสมุนไพร สมุนไพรแปรรูป ม.5บา้ นป่ ูจา้ ว ต.หว้ ยโป่ ง 16 ศูนยส์ มั มาชีพตาบลหว้ ยโป่ ง ผลิตภณั ฑจ์ ากเส้นพลาสติก ม.4บา้ นใหมส่ ามคั คี ต.หว้ ยโป่ ง 17 กลุ่มตน้ รัก ผลิตภณั ฑผ์ า้ ห่ม ม.2 ตาบลวงั ท่าดี 18 ศิลปประดิษฐ์ ผลิตภณั ฑแ์ ฮนเมด ม.4 บา้ นลาพาด ต.วงั ทา่ ดี 19 วดั วงั อ่าง วฒั นธรรม ประเพณี ม.4 บา้ นวงั อา่ ง ต.บวั วฒั นา 20 วดั โคกพฒั นา วฒั นธรรม ประเพณี ม.5 บา้ นโคกพฒั นา ต.บวั วฒั นา 21 วดั ไร่เหนือพฒั นาราม วฒั นธรรม ประเพณี ม.2 บา้ นไร่เหนือ ต.บวั วฒั นา 22 วดั ลาบวั วฒั นา วฒั นธรรม ประเพณี ม.1 บา้ นลาบวั วฒั นา ต.บวั วฒั นา 23 หอ้ งสมุดประชาชนซบั วารินทร์ แหล่งศึกษาหาความรู้ ม.7บา้ นซบั วารินทร์ ต.บวั วฒั นา 24 วดั เขานอ้ ย วฒั นธรรมประเพณี ม.2 บา้ นไร่เหนือ ต.บวั วฒั นา 25 ป่ าชุมชนบา้ นไร่เหนือ-ซบั วารินทร์ แหล่งเรียนรู้ธรรมชาติ ม.2 ม7 ต.บวั วฒั นา 26 บา้ นซบั วารินทร์ ศูนยฝ์ ึกอาชีพชุมชน ม.7บา้ นซบั วารินทร์ ต.บวั วฒั นา 27 ทอผา้ การทอผา้ ม.5บา้ นนาขา้ วดอ ต.วงั โบสถ์ 28 การทอเสื่อกก ผลิตภณั ฑจ์ ากตน้ กก ม.9 บา้ นวงั ประสาน ต.วงั โบสถ์ 29 กลุ่มทอผา้ พ้นื บา้ น ผลิตภณั ฑผ์ า้ พ้ืนบา้ น ม.6 บา้ นวงั โบสถ์ ต.วงั โบสถ์ 30 อบต ยางงาม การใหบ้ ริการขอ้ มูล ตาบลยางงาม 31 เกษตรอินทรีย์ เกษตรอินทรีย์ ม.8 บา้ นปากตก ต.ยางงาม 32 หมู่บา้ นเศรษฐกิจพอเพียง เกษตรอินทรีย์ ม.4 บา้ นวงั เหว ต.ยางงาม 33 หมู่บา้ นนวตั วถิ ี ผลิตภณั ฑพ์ ้นื เมือง ม.4 บา้ นวงั เหว ต.ยางงาม 34 หมูบ่ า้ นเศรษฐกิจพอเพียง การเกษตร บา้ นคลองกระโบน ต.บา้ นโภชน์ 35 วสิ หกิจชุมชนมะมว่ งส่งออก การเกษตรไมผ้ ล บา้ นซบั ชมภู ต.บา้ นโภชน์ 36 เศรษฐกิจพอเพยี งไร่นาสวนผสม เกษตรผสมผสาน ม.6ตาบลทา่ ดว้ ง 37 เศรษฐกิจชุมชนป๋ ุยอดั เมด็ การผลิตป๋ ุยอินทรีย์ ม.4 ตาบลทา่ ดว้ ง รวมจานวน ๓๗ แห่ง ม.4 ตาบลท่าดว้ ง

29 ภูมิปัญญาทอ้ งถ่ิน ความรู้ความสามารถ ท่ีอยู่ ดา้ นการถนอมอาหาร 99/1หมูท่ ี่ 7 ต.หนองไผ่ ที่ ภูมิปัญญาทอ้ งถ่ิน ดา้ นจกั สาน 131 หมูท่ ่ี 7 ต.หนองไผ่ 1 นางชูศรี เพง็ คง ช่างไม้ 161 หมู่ท่ี 16 ต.หนองไผ่ 2 นายเพง็ วงษบ์ ุตรดี ดา้ นจดั สานไมไ้ ผ่ 331/1 หมูท่ ่ี 16 ต.หนองไผ่ 3 นายนฐั วฒุ ิ อาจสามน ดา้ นการปรับปรุงดิน 1282 หมูท่ ี่ 7 ต.หนองไผ่ 4 นายอาน แสนสีระ ดา้ นโหราศาสตร์ ไสยศาสตร์ 109/2หมู่ท่ี 16 ต.หนองไผ่ 5 นายอาทิตย์ สกลุ หอม การจกั สาร/หมวก หมู่ 5 บา้ นตน้ ยาง ต.นาเฉลียง 6 นายชานาญ พดั นิ่ม หมู่ 2 บา้ นคลองยาง ต.นาเฉลียง 7 นางคาฟอง อ่าดิษฐ์ การปลูกผกั หวาน หมู่ 9 บา้ นโคกสวา่ ง ต.นาเฉลียง 8 นายชานาญ ศรีลาดเกา เกษตรอินทรีย์ หมู่ 5 บา้ นตน้ ยาง ต.นาเฉลียง 9 นายคาพนั ธ์ หงษล์ อย ศิลป์ ประดิษฐ์-ดอกไม้ หมู่ 1 บา้ นกกกะแบก ต.หว้ ยโป่ ง 10 นางเชิญ แกว้ ฟอง การสานตะกร้าไมไ้ ผ่ หมู่ 7 บา้ นใหม่สามคั คี ต.หว้ ยโป่ ง 11 นางนงเยาว์ พลิกคลา้ ย การทากะยาสาร์ท หมู่ 2 บา้ นไผข่ วาง ต.หว้ ยโป่ ง 12 นางบุญเรือง เบา้ ชาลี การทาบายศรี พวงมาลยั หมู่ 5 บา้ นนาขา้ วดอ ต.วงั โบสถ์ 13 นางสมจิตร ศรีวงั คา ทอผา้ มดั หม่ี หมู่ 9 บา้ นวงั ประสาน ต.วงั โบสถ์ 14 นางสุบิน บุญลือ ทอเส่ือกก หมู่ 9 บา้ นวงั ประสาน ต.วงั โบสถ์ 15 นางบวั ผนั ไชยราษฎร์ หมู่ 4 บา้ นวงั สงวน ต.บ่อไทย 16 นายสุนทร เหล่าอนั นาโยน หมู่ 13บา้ นไทรงาม ต.บ่อไทย 17 นายบุญรวม พีรี หมอดินชาวบา้ น หมู่ 2 บา้ นตีบใต้ ต.บ่อไทย 18 นายดารง กองทิพย์ ทาไมก้ วาดดอกหญา้ หมู่ 1 บา้ นขอนยางขวาง ต.วงั ท่าดี 19 นายเด่นพงษ์ ทองไทย หมอสู่ขวญั หมู่ 3 บา้ นกลาง ต.วงั ทา่ ดี 20 นางทบั ทิม จอจนั ทร์ ดา้ นศาสนา ประเพณี หมู่4 บา้ นลาพาด ต.วงั ทา่ ดี 21 นางสาวศิริภาพร เริญศรี แพทยแ์ ผนไทย หมู่ 3 บา้ นลากง ต.ท่าแดง 22 นางคาเพยี ร ขอ้ งวาริน การทาบายศรี หมู่ 11 บา้ นหนองม่วง ต.ทา่ แดง 23 นายคมั ภีร์ สุขสวย หตั ถกรรมไมไ้ ผ่ ตห.มทู3่ า่ แบดา้ งนลากง ต.ท่าแดง 24 นางแสงจนั ทร์ ตามระงบั ผลิตภณั ฑจ์ ากเสื่อกก หมู่ 7 บา้ นเนินพฒั นา ต.กองทูล 25 นายคาผา คาปัน หมู่ 1 บา้ นวงั ชงโค ต.กองทูล 26 พระสุรัตน์ ศรีชา ศิลปประดิษฐเ์ หลือใช้ ม.7 บา้ นเนินพฒั นา ต.กองทูล 27 นางดม แกว้ นารี การทาบายศรี หมู1่ 1บา้ นสามแยกตะวนั ออก ต.บา้ น 28 นายคาพูล ทองใบ การแกะสลกั ไมส้ กั โหภมชู่4นบ์า้ นคลองกระโบนต.บา้ นโภชน์ 29 นายบุญเลิศ สุขแสง วฒั นธรรมประเพณี ทอ้ งถ่ิน ม.3บา้ นคงสมโภชน์ ต.บา้ นโภชน์ 30 นางอุทยั วรรณ ก่อกาลงั ช่างไมเ้ ฟอร์นิเจอร์ หตั ถกรรมพ้ืนบา้ น 31 นายบุญช่วย สกลุ รัตน์ ทอเส่ือกก

30 ภูมิปัญญาทอ้ งถิ่น ความรู้ความสามารถ ที่อยู่ การแปรรูปสมุนไพร, การทา หมู่ 1 บา้ นลาบวั ต.บวั วฒั นา ที่ ภูมิปัญญาทอ้ งถิ่น แงาชนมพพิธู,ี /ดอกไมจ้ นั ทน์ หมู2่ บา้ นไร่เหนือ ต.บวั วฒั นา 32 นางสาเนียง สวาสติธรรม พชื สมุนไพร / นวดแผนไทย หมู่ 2 บา้ นไร่เหนือ ต.บวั วฒั นา 33 นางลนั ดร จิตอ่อนนอ้ ม หมอเป่ า หมู1่ บา้ นลาบวั ต.บวั วฒั นา 34 นางละมยั แขกตอ้ ย เกษตรอินทรีย์ หมู่ 1 บา้ นนาเฉลียงต.ยางงาม 35 นายธีระ กงถนั 36 นางกลีบ ลพเมือง การทาป๋ ุยหมกั หมู่ 1 บา้ นนาเฉลียงต.ยางงาม เกษตรอินทรีย์ หมู่ 8 บา้ นปากตก ต.ยางงาม 37 นายเจริญ เกษตรสังข์ พชื สมุนไพรพ้นื บา้ น หมู่8บา้ นเกษมสุขต.เพชรละคร 38 นายถวลิ ทองบุตรดี พืชสมุนไพรพ้ืนบา้ น หมู1่ 0บา้ นสระแกว้ ต.เพชรละคร 39 นายทวี คุณากร ทอเส่ือกก หมู่7บา้ นสามแยกตะวนั ออกเพชร 40 นายทวี ศิริสุวรรณ ศิลปประดิษฐ์ หละมคู่2รบา้ นเนินมะคา่ ต.ลาบวั วฒั นา 41 นางติ๋ว คารัตน์ การออกแบบจากตน้ กก หมู่14บา้ นเจริญทรัพยต์ .เพชรละคร 42 นางอจั ฉิมา ช่ือสานาล ทาบายศรี หมู8่ บา้ นท่าดว้ ง ต.ท่าดว้ ง 43 นางอานวย ยทุ ธการ ไร่นา สวนผสม หมู่ 6บา้ นสันเจริญ ต.ทา่ ดว้ ง 44 นางรัศมี บุตรพรม ป๋ ุยอินทรียอ์ ดั เม็ด หมู่ 4บา้ นเฉลียงทอง ต.ท่าดว้ ง 45 นายประยงค์ สมสิทธ์ิ 46 ราย 46 นายโมด นาราศรี รวมจานวน

31 ปรัชญา หลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ยดึ ปรัชญา “คิดเป็ น” มาใช้ ในการจดั การศึกษา ปรัชญา”คิดเป็ น” อยบู่ นพ้ืนฐานความคิดที่วา่ ความตอ้ งการของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกนั แต่ทุกคนมีจุดรวมของความตอ้ งการท่ีเหมือนกนั คือ ทุกคนต้องการความสุข คนเราจะมีความสุขเมื่อตวั เรา ความรู้ทางวชิ าการ สงั คมและสิ่งแวดลอ้ ม ผสมกลมกลืนกนั ไดก้ จ็ ะมีความสุข โดยคิดแบบพอเพยี ง พอประมาณ ไมม่ ากไม่นอ้ ย เป็นทางสายกลาง สามารถอธิบายไดด้ ว้ ยเหตุผล กระบวนการเรียนรู้ ตามปรัชญา “คิดเป็น” มีผเู้ รียนสาคญั ท่ีสุด โดยครูจะเป็นเพยี งผจู้ ดั โอกาส กระตุน้ ใหผ้ เู้ รียนคิด วเิ คราะห์ ปัญหาหรือความตอ้ งการ มีการเรียนรู้จากขอ้ มูลจริงและตดั สินใจบนฐานขอ้ มูลท่ีเพยี งพอ และเช่ือถือได้ คือ ขอ้ มูลตนเอง วชิ าการ ชุมชน สังคมและส่ิงแวดลอ้ ม ถา้ หากสามารถทาใหป้ ัญหาหายไป กระบวนการกย็ ตุ ิลง ถา้ ยงั ไมพ่ อใจแสดงวา่ ยงั มีปัญหาอยู่ ก็จะเร่ิมกระบวนการพจิ ารณาทางเลือกใหมอ่ ีกคร้ัง กระบวนการน้ีก็จะยตุ ิลงเมื่อบุคคลพอใจและมีความสุข ปรัชญา มีคุณธรรม นาวถิ ีพอเพียง วสิ ัยทัศน์ ภายในปี 2566 กศน.อาเภอหนองไผ่ มุง่ สร้างโอกาสการเรียนรู้ใหก้ บั ประชาชน และส่งเสริมการใชด้ ิจิทลั เพ่ือใหเ้ กิดสงั คมฐานการเรียนรู้และการศึกษาตลอดชีวติ ไดอ้ ยา่ งทวั่ ถึงและเท่าเทียม พนั ธกจิ 1. จดั และส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั ใหก้ บั ประชาชน ครอบคลุมพ้ืนท่ีทุก ตาบลทุกหมู่บา้ น 2. จดั และส่งเสริมสนบั สนุนนโยบายของรัฐบาล และจงั หวดั ในการใหค้ วามรู้ฝึกอบรม ทกั ษะเพือ่ แกไ้ ขปัญหาความเดือดร้อนความยากจนของประชาชน 3. ส่งเสริมสนบั สนุนใหม้ ีเครือขา่ ยร่วมจดั กิจกรรมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั 4. จดั ใหม้ ีการประกนั คุณภาพของสถานศึกษา 5. นาเทคโนโลยมี าใชเ้ พอ่ื การจดั กระบวนการเรียนรู้ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ หลกั การ 1. เป็นหลกั สูตรท่ีมีโครงสร้างยดื หยนุ่ ดา้ นสาระการเรียนรู้ เวลาเรียน และการจดั การเรียนรู้ โดยเนน้ การบูรณาการเน้ือหาใหส้ อดคลอ้ งกบั วถิ ีชีวติ ความแตกต่างของบุคคล และชุมชน สงั คม 2. ส่งเสริมใหม้ ีการเทียบโอนผลการเรียนจากการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษา ตามอธั ยาศยั 3. ส่งเสริมใหผ้ เู้ รียนไดพ้ ฒั นาและเรียนรู้อยา่ งต่อเน่ืองตลอดชีวิตโดยตระหนกั วา่ ผเู้ รียนมีความสาคญั สามารถพฒั นาตนเองไดต้ ามธรรมชาติและเตม็ ศกั ยภาพ 4. ส่งเสริมใหภ้ าคีเครือขา่ ยมีส่วนร่วมในการจดั การศึกษา

32 จุดหมาย หลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 มุง่ พฒั นาใหผ้ เู้ รียน มี คุณธรรม จริยธรรม มีสติปัญญา มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีศกั ยภาพในการประกอบอาชีพ และการเรียนรู้อยา่ ง ตอ่ เนื่อง ซ่ึงเป็นคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงคท์ ี่ตอ้ งการ จึงกาหนดจุดหมาย ดงั ต่อไปน้ี 1. มีคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมที่ดีงาม และสามารถอยรู่ ่วมกนั ในสังคมอยา่ งสนั ติสุข 2. มีความรู้ พ้ืนฐานสาหรับการดารงชีวติ และการเรียนรู้ต่อเน่ือง 3. มีความสามารถในการประกอบสมั มาอาชีพ ใหส้ อดคลอ้ งกบั ความสนใจ ความถนดั และตามทนั ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง 4. มีทกั ษะการดาเนินชีวิตที่ดี และสามารถจดั การกบั ชีวติ ชุมชน สงั คม ไดอ้ ยา่ งมีความสุข ตามปรัชญา เศรษฐกิจพอเพยี ง 5. มีความเขา้ ใจประวตั ิศาสตร์ชาติไทย ภูมิใจในความเป็นไทย โดยเฉพาะภาษา ศิลปะ วฒั นธรรม ประเพณี กีฬา ภูมิปัญญาไทย ความเป็นพลเมืองดี ปฏิบตั ิตนตามหลกั ธรรมของศาสนา ยดึ มน่ั ในวถิ ีชีวติ และ การปกครองระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษตั ริยท์ รงเป็นประมุข 6. มีจิตสานึกในการอนุรักษ์ และพฒั นาทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ ม 7. เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ มีทกั ษะในการแสวงหาความรู้ สามารถเขา้ ถึงแหล่งเรียนรู้ และบูรณาการ ความรู้มาใชใ้ นการพฒั นาตนเอง ครอบครัว ชุมชน สงั คม และประเทศชาติ กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเกษตรกร กลุ่มคนพกิ าร กลุ่มผใู้ ชแ้ รงงาน กลุ่มผนู้ าทอ้ งถ่ิน กลุ่ม อสม. กลุ่มทหารกองประจาการ

33 กรอบโครงสร้าง ระดบั การศึกษา ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ สาระการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ประกอบดว้ ย 5 สาระ ดงั น้ี 1. สาระทกั ษะการเรียนรู้ เป็ นสาระเกี่ยวกบั การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง การใชแ้ หล่งเรียนรู้ การจดั การ ความรู้ การคิดเป็ น และการวจิ ยั อยา่ งง่าย 2. สาระความรู้พืน้ ฐาน เป็นสาระเก่ียวกบั ภาษาและการส่ือสาร คณิตศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์และ เทคโนโลยี 3. สาระการประกอบอาชีพ เป็นสาระเกี่ยวกบั การมองเห็นช่องทาง และการตดั สินใจประกอบ อาชีพ ทกั ษะในอาชีพ การจดั การอาชีพอยา่ งมีคุณธรรม และการพฒั นาอาชีพใหม้ น่ั คง 4. สาระทกั ษะการดาเนินชีวติ เป็นสาระเกี่ยวกบั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง สุขภาพอนามยั และ ความ ปลอดภยั ในการดาเนินชีวติ ศิลปะและสุนทรียภาพ 5. สาระการพฒั นาสังคม เป็ นสาระที่เก่ียวกบั ภูมิศาสตร์ ประวตั ิศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมือง การ ปกครอง ศาสนา วฒั นธรรม ประเพณี หนา้ ที่พลเมือง และการพฒั นาตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม กจิ กรรมพฒั นาคุณภาพชีวติ กิจกรรมพฒั นาคุณภาพชีวิตเป็นกิจกรรมท่ีจดั ข้ึนเพือ่ ให้ผเู้ รียนพฒั นาตนเอง ครอบครัว ชุมชน สงั คม มาตรฐานการเรียนรู้ หลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 กาหนดมาตรฐาน การ เรียนรู้ ตามสาระการเรียนรู้ท้งั 5 สาระ ท่ีเป็นขอ้ กาหนดคุณภาพของผเู้ รียน ดงั น้ี 1. มาตรฐานการเรียนรู้การศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้นั พืน้ ฐาน เป็นมาตรฐานการเรียนรู้ ในแต่ ละสาระการเรียนรู้ เม่ือผเู้ รียนเรียนจบหลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 2. มาตรฐานการเรียนรู้ระดับ เป็นมาตรฐานการเรียนรู้ในแต่ละสาระการเรียนรู้ เม่ือผเู้ รียนเรียนจบ ใน แตล่ ะระดบั ตามหลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 เวลาเรียน ในแต่ละระดบั ใชเ้ วลาเรียน 4 ภาคเรียน ยกเวน้ กรณีที่มีการเทียบโอนผลการเรียน ท้งั น้ี ผเู้ รียน ตอ้ ง ลงทะเบียนเรียนในสถานศึกษาอยา่ งนอ้ ย 1 ภาคเรียน หน่วยกติ ใชเ้ วลาเรียน 40 ชว่ั โมง มีคา่ เทา่ กบั 1 หน่วยกิต

34 โครงสร้างหลกั สูตรสถานศึกษา สถานศึกษาจดั ทาโครงสร้างหลกั สูตรสถานศึกษา โดยพิจารณาโครงสร้างหลกั สูตรการศึกษา นอก ระบบระดบั การศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 ดงั น้ี โครงสร้างหลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาข้นั พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 จานวนหน่วยกติ ท่ี สาระการเรียนรู้ ประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลาย วชิ าบงั คบั วชิ าเลือก วชิ าบังคบั วชิ าเลือก วชิ าบงั คบั วชิ าเลือก 1 สาระทกั ษะการเรียนรู้ 5 5 5 2 สาระความรู้พ้นื ฐาน 12 16 20 3 สาระการประกอบอาชีพ 8 8 8 4 สาระทักษะการดาเนิ น 5 5 5 ชีวติ 5 สาระการพฒั นาสังคม 6 6 6 รวม 36 12 40 16 44 32 48 หน่วยกติ 56 หน่วยกติ 76 หน่วยกติ กิจกรรมพฒั นาคุณภาพชีวติ ไม่นอ้ ยกวา่ 200 ชว่ั โมง ไมน่ อ้ ยกวา่ 200 ชว่ั โมง ไมน่ อ้ ยกวา่ 200 ชว่ั โมง หมายเหตุ : กลุ่มผเู้ รียนท่ีมีความตอ้ งการเรียนรู้อยา่ งหลากหลาย จึงเลือกรายวชิ าเลือกคละกนั ทุกสาระ

35 ท่ี สาระการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ หน่วยกติ 1. ทกั ษะการเรียนรู้ 2. ความรู้ พ้ืนฐาน รายวชิ า 5 4 3. การประกอบอาชีพ รหสั รายวชิ า 4 4. ทกั ษะการดาเนินชีวิต 4 5. การพฒั นาสงั คม วชิ าบงั คับ 4 ทร21001 ทกั ษะการเรียนรู้ 2 พท21001 ภาษาไทย 4 พค21001 คณิตศาสตร์ 2 พต21001 ภาษาองั กฤษในชีวติ ประจาวนั 1 พว21001 วทิ ยาศาสตร์ 2 อช21001 ช่องทางการพฒั นาอาชีพ 2 อช21002 ทกั ษะการพฒั นาอาชีพ 3 อช21003 พฒั นาอาชีพใหม้ ีความเขม้ แขง็ 2 ทช21001 เศรษฐกิจพอเพยี ง 1 ทช21002 สุขศึกษา พลศึกษา ทช21003 ศิลปศึกษา สค21001 สงั คมศึกษา สค21002 ศาสนาและหนา้ ท่ีพลเมือง สค21003 การพฒั นาตนเอง สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ ตามหลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 ประกอบดว้ ยสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ ดงั น้ี 1. สาระทกั ษะการเรียนรู้ ประกอบด้วย 5 มาตรฐาน ดังนี้ มาตรฐานท่ี 1.1 มีความรู้ความเขา้ ใจ ทกั ษะ และเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง มาตรฐานท่ี 1.2 มีความรู้ความเขา้ ใจ ทกั ษะ และเจตคติที่ดีต่อการใชแ้ หล่งเรียนรู้ มาตรฐานที่ 1.3 มีความรู้ความเขา้ ใจ ทกั ษะ และเจตคติท่ีดีตอ่ การจดั การความรู้ มาตรฐานท่ี 14 มีความรู้ความเขา้ ใจ ทกั ษะ และเจตคติท่ีดีต่อการคิดเป็ น มาตรฐานที่ 1.5 มีความรู้ความเขา้ ใจ ทกั ษะ และเจตคติที่ดีต่อการวจิ ยั อยา่ งง่าย 2. สาระความรู้พืน้ ฐาน ประกอบด้วย 2 มาตรฐาน ดังนี้ มาตรฐานที่ 2.1 มีความรู้ความเขา้ ใจ และทกั ษะพ้ืนฐานเก่ียวกบั ภาษาและการสื่อสาร มาตรฐานที่ 2.2 มีความรู้ ความเขา้ ใจ และทกั ษะพ้นื ฐานเก่ียวกบั คณิตศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์และ เทคโนโลยี

36 3. สาระการประกอบอาชีพ ประกอบด้วย 4 มาตรฐาน ดงั นี้ มาตรฐานที่ 3.1 มีความรู้ ความเขา้ ใจ และเจตคติท่ีดีในงานอาชีพ มองเห็นช่องทางและตดั สินใจ ประกอบอาชีพไดต้ ามความตอ้ งการ และศกั ยภาพของตนเอง มาตรฐานที่ 3.2 มีความรู้ ความเขา้ ใจ ทกั ษะในอาชีพท่ีตดั สินใจเลือก มาตรฐานที่ 3.3 มีความรู้ ความ เขา้ ใจ ในการจดั การอาชีพอยา่ งมีคุณธรรม มาตรฐานที่ 3.4 มีความรู้ ความเขา้ ใจ ใน การพฒั นาอาชีพใหม้ ีความมนั่ คง 4. สาระทกั ษะการดาเนินชีวติ ประกอบด้วย 3 มาตรฐาน ดังนี้ มาตรฐานที่ 4.1 มีความรู้ ความเขา้ ใจ เจตคติที่ดีเกี่ยวกบั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และสามารถ ประยกุ ตใ์ ชใ้ นการดาเนินชีวติ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม มาตรฐานที่ 4.2 มีความรู้ ความเขา้ ใจ ทกั ษะและเจตคติท่ีดีเกี่ยวกบั การดูแล ส่งเสริมสุขภาพ อนามยั และความปลอดภยั ในการดาเนินชีวติ มาตรฐานท่ี 4.3 มีความรู้ ความเขา้ ใจ และเจตคติที่ดีเก่ียวกบั ศิลปะและสุนทรียภาพ 5. สาระการพฒั นาสังคม ประกอบด้วย 4 มาตรฐาน ดังนี้ มาตรฐานที่ 5.1 มีความรู้ ความเขา้ ใจ และตระหนกั ถึงความสาคญั เกี่ยวกบั ภูมิศาสตร์ ประวตั ิศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมือง การปกครอง สามารถนามาปรับใช้ ในการดารงชีวติ มาตรฐานที่ 5.2 มีความรู้ ความเขา้ ใจ เห็นคุณคา่ และสืบทอดศาสนา วฒั นธรรมประเพณีเพือ่ การอยรู่ ่วมกนั อยา่ งสันติสุข มาตรฐานที่ 5.3 ปฏิบตั ิตนเป็ นพลเมืองดีตามวถิ ีประชาธิปไตย มีจิตสาธารณะเพื่อความสงบสุข ของสงั คม มาตรฐานที่ 5.4 มีความรู้ ความเขา้ ใจ เห็นความสาคญั ของหลกั การพฒั นา และสามารถพฒั นา ตนเอง ครอบครัว ชุมชนสงั คม หมายเหตุ สาระการเรียนรู้ความรู้พ้ืนฐาน มาตรฐานที่ 2.1 มีความรู้ความเขา้ ใจทกั ษะพ้นื ฐานเก่ียวกบั ภาษาและ การส่ือสาร ซ่ึงภาษาในมาตรฐานน้ีหมายถึง ภาษาไทย และภาษาตา่ งประเทศ

37 คาอธบิ ายรายวชิ า ทกั ษะการเรียนรู้ ทร 210001 สาระทกั ษะการเรียนรู้ ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น จานวน 5 หน่วยกติ ( 200 ช่ัวโมง ) มาตรฐานท่ี 1.1 มีความรู้ ความเขา้ ใจ ทกั ษะ และเจตคติที่ดีตอ่ การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง มาตรฐานท่ี 1.2 มีความรู้ ความเขา้ ใจ ทกั ษะ และเจตคติท่ีดีต่อการใชแ้ หล่งเรียนรู้ มาตรฐานท่ี 1.3 มีความรู้ ความเขา้ ใจ ทกั ษะ และเจตคติท่ีดีต่อการจดั การความรู้ มาตรฐานท่ี 1.4 มีความรู้ ความเขา้ ใจ ทกั ษะ และเจตคติที่ดีต่อการคิดเป็ น มาตรฐานท่ี 1.5 มีความรู้ ความเขา้ ใจ ทกั ษะ และเจตคติที่ดีต่อการวจิ ยั อยา่ งง่าย ศึกษาและฝึ กทกั ษะเกย่ี วกบั เร่ืองดังต่อไปนี้ 1. การเรียนรู้ด้วยตนเอง ทบทวน ความหมาย ความสาคญั และกระบวนการของการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง ทบทวนทกั ษะพ้นื ฐานทางการศึกษาหาความรู้ ทกั ษะการแกป้ ัญหาและเทคนิคในการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง ดา้ นการอา่ น การฟัง การสังเกต การจา และการจดบนั ทึก ฝึกทกั ษะการวางแผนการเรียนรู้ และการประเมินผลการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง ทกั ษะพ้ืนฐานและเทคนิคใน การเรียนรู้ดว้ ยตนเองในเรื่องการวางแผน การประเมินผลการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง และการวเิ คราะห์วจิ ารณ์ เจตคติ/ปัจจยั ที่ทาใหก้ ารเรียนรู้ดว้ ยตนเองประสบความสาเร็จ การเปิ ดรับโอกาสการเรียนรู้ การคิด ริเริ่มและเรียนรู้ดว้ ยตนเอง การสร้างแรงจูงใจ การสร้างวนิ ยั ในตนเอง การคิดเชิงบวก ความคิดสร้างสรรค์ การ ใฝ่ รู้ใฝ่ เรียน และความรับผิดชอบ 2. การใช้แหล่งเรียนรู้ ทบทวนความหมาย ความสาคญั ของการใชแ้ หล่งเรียนรู้ประเภทต่าง ๆ ศึกษาแหล่งเรียนรู้ หอสมุด แห่งชาติ หอสมุดวทิ ยาลยั /มหาวทิ ยาลยั หอ้ งสมุดเฉพาะ หอ้ งสมุดโรงเรียน พพิ ิธภณั ฑ์ อุทยานแห่งชาติ แหล่ง เรียนรู้สาคญั อ่ืน ๆ ในประเทศ ศึกษา เรียนรู้ การใชอ้ ินเทอร์เน็ต การเขา้ ถึงขอ้ มูลสารสนเทศที่ตอ้ งการและ สนใจ 3. การจัดการความรู้ ศึกษาความหมาย ความสาคญั หลกั การของการจดั การความรู้ กระบวนการจดั การ ความรู้ การรวมกลุ่มเพอ่ื ตอ่ ยอดความรู้ การพฒั นาขอบขา่ ยความรู้ของกลุ่ม การจดั ทาสารสนเทศ เผยแพร่ความรู้ฝึกทกั ษะกระบวนการจดั การความรู้ดว้ ยตนเองและดว้ ยการรวมกลุ่มปฏิบตั ิการ โดยการกาหนดเป้าหมายการเรียนรู้ ระบุความรู้ท่ีตอ้ งใช้ การแสวงหาความรู้ สรุปองคค์ วามรู้ ระยกุ ตใ์ ชค้ วามรู้ แลกเปล่ียนความรู้ การรวมกลุ่มปฏิบตั ิการเพอ่ื ตอ่ ยอดความรู้ การพฒั นาขอบขา่ ย ความรู้ของกลุ่ม สรุปองคค์ วามรู้ของกลุ่ม จดั ทาสารสนเทศองคค์ วามรู้ในการพฒั นาตนเอง ครอบครัว ชุมชน

38 4. การคดิ เป็ น ทบทวนทาความเขา้ ใจกบั ความเช่ือพ้นื ฐานทางการศึกษาผใู้ หญ่/การศึกษานอกระบบ และเช่ือมโยงไปสู่ การเรียนรู้เรื่องความหมายและความสาคญั ของการคิดเป็น โดยใชข้ อ้ มูลอยา่ งนอ้ ย 3 ประการ คือ ขอ้ มูลดา้ น วชิ าการ ตนเอง และสงั คม ส่ิงแวดลอ้ ม อยา่ งพอเพียงมาวเิ คราะห์และสงั เคราะห์เพื่อกาหนดทางเลือกในการคิด การตดั สินใจแกป้ ัญหาท่ีเหมาะสมอยา่ งคนคิดเป็น ศึกษาทาความเขา้ ใจและฝึกทกั ษะในการพจิ ารณาขอ้ มูล ท้งั ดา้ นดา้ นวิชาการ ตนเอง และสังคม สิ่งแวดลอ้ ม จนสามารถจาแนกและเปรียบเทียบลกั ษณะของขอ้ มูลท้งั 3 ประการไดจ้ ากกรณีท่ีหลากหลาย เพ่อื นาไปใชใ้ นการเลือกเก็บขอ้ มูลดงั กล่าวมาใชป้ ระกอบการคิดตดั สินใจอยา่ งคน คิดเป็น ฝึกปฏิบตั ิการคิด การตดั สินใจอยา่ งเป็นระบบในการแกป้ ัญหาอยา่ งคนคิดเป็ นจากกรณีตวั อยา่ ง 5. การวจิ ัยอย่างง่าย ทบทวนความหมาย ความสาคญั การวจิ ยั อยา่ งง่าย กระบวนการและข้นั ตอนของการดาเนินงาน ศึกษา ฝึกทกั ษะ สถิติง่าย ๆ เพอื่ การวจิ ยั เคร่ืองมือการวจิ ยั และการเขียนโครงการวจิ ยั อยา่ งง่าย ๆ การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ 1. การเรียนรู้ด้วยตนเอง ควรจดั ในลกั ษณะของการบูรณาการทกั ษะต่าง ๆ ไปพร้อมกบั การสร้างสถานการณ์ในการเรียนรู้ท่ี หลากหลาย ซบั ซอ้ น อยา่ งสร้างสรรค์ เพื่อ 1) ฝึกใหผ้ เู้ รียนไดก้ าหนดเป้าหมาย และวางแผนการเรียนรู้ 2) เพมิ่ พนู ใหม้ ีทกั ษะพ้ืนฐานในการการวางแผน การประเมินผลการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง การวเิ คราะห์วิจารณ์ 3) มี เจตคติท่ีดีต่อการเรียนรู้ดว้ ยตนเองท่ีทาใหก้ ารเรียนรู้ดว้ ยตนเองประสบผลสาเร็จ และนาความรู้ไปใชใ้ นวถิ ีชีวติ ใหเ้ หมาะสมกบั ตนเอง และชุมชน/สงั คม 2. การใช้แหล่งเรียนรู้ ใหผ้ เู้ รียนศึกษาสารสนเทศ จากระดบั ชุมชนสู่ระดบั จงั หวดั ประเทศ และโลก การเรียนรู้การใช้ อินเตอร์เน็ต และแหล่งเรียนรู้ไดส้ อดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการ ความจาเป็นในการนาไปใชใ้ นการแสวงหาขอ้ มูล เพอ่ื การเรียนรู้ของตนเอง 3. การจัดการความรู้ ใหผ้ เู้ รียนศึกษาคน้ ควา้ หลกั การ และกระบวนการของการจดั การความรู้ การฝึกปฏิบตั ิจริงโดยการ รวมกลุ่มปฏิบตั ิการ/ชุมชนปฏิบตั ิการ (Community of practice = Cops) สรุปองคค์ วามรู้ของกลุ่มแลกเปลี่ยน เรียนรู้ระหวา่ งกลุ่ม ยกระดบั ความรู้ และจดั ทาสารสนเทศเผยแพร่ความรู้ 4. การคดิ เป็ น ใหผ้ เู้ รียนที่ยงั ไมเ่ คยเรียนสาระน้ีมาก่อนไดศ้ ึกษาเล่าเรียน และฝึกทกั ษะการคิด การตดั สินใจใน รายละเอียด เช่นเดียวกบั ในระดบั ประถมศึกษา สาหรับผเู้ รียนท่ีไดเ้ รียนสาระน้ีมาก่อนแลว้ ควรจดั ใหผ้ เู้ รียนได้ ทบทวน ทาความเขา้ ใจกบั การเช่ือมโยง ความเชื่อพ้นื ฐานทางการศึกษาผใู้ หญ/่ การศึกษานอกระบบมาสู่การคิด เป็นคลา้ ยกระบวนการอภิปราย ถกแถลงอยา่ งกวา้ งขวาง

39 ใหผ้ เู้ รียนไดศ้ ึกษาทาความเขา้ ใจเก่ียวกบั ลกั ษณะของขอ้ มูลทางดา้ นวชิ าการ ตนเอง และสงั คม ส่ิงแวดลอ้ ม จากเอกสาร แหล่งความรู้ ใบความรู้ ฯลฯ และใหม้ ีการฝึกอธิบายและยกตวั อยา่ ง เพื่อเปรียบเทียบให้ เห็นความแตกต่างของลกั ษณะขอ้ มูลท้งั 3 ประการ ควรให้มีการทาใบงานในการฝึกปฏิบตั ิเพื่อเพ่มิ ประสบการณ์ ในการเรียนรู้ลกั ษณะของขอ้ มูลท้งั 3 ดา้ น ใหผ้ เู้ รียนมีโอกาสฝึกปฏิบตั ิในการทาแบบฝึกหดั ในใบงาน และการอภิปรายถกแถลงถึงกระบวนการคิด แกป้ ัญหาอยา่ งการคิดเป็ นที่ตอ้ งใชข้ อ้ มูล และกระบวนการคิด แกป้ ัญหาอยา่ ง คนคิดเป็นจากกรณีตวั อยา่ งที่ หลากหลายยง่ิ ข้ึน 5. การวจิ ัยอย่างง่าย จดั ใหผ้ เู้ รียนไดศ้ ึกษา คน้ ควา้ เอกสารท่ีเกี่ยวขอ้ ง ฝึกทกั ษะการสงั เกตและคน้ หาปัญหา ท่ีพบในชีวติ ประจาวนั / ในสาระท่ีเรียน การต้งั คาถาม การแลกเปล่ียนเรียนรู้กบั เพื่อน / ผรู้ ู้ การคาดเดา คาตอบอยา่ งมีเหตุผล / การต้งั สมมติฐาน การฝึกปฏิบตั ิการเขียนโครงการวจิ ยั ท่ีมีความซบั ซอ้ นข้ึน การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล การสร้างเคร่ืองมือ การวเิ คราะห์ขอ้ มูลโดยใชส้ ถิติพ้นื ฐาน การนาเสนอขอ้ มูล การสรุปขอ้ มูล และเขียนรายงานผล การเผยแพร่ขอ้ คน้ พบ การวดั และประเมินผล 1. การเรียนรู้ด้วยตนเอง ใชก้ ารประเมินจากผลงานของผเู้ รียนท่ีแสดงออกเก่ียวกบั การกาหนดเป้าหมาย และวางแผนการเรียนรู้ รวมทกั ษะพ้นื ฐานและเทคนิคในการเรียนรู้ต่าง ๆ ตลอดจนปัจจยั ท่ีทาใหก้ ารเรียนรู้ประสบความสาเร็จ 2. การใช้แหล่งเรียนรู้ จากการสังเกต ความสนใจ การมีส่วนร่วมและ ผลงานที่ไดใ้ ชป้ ระโยชน์จากแหล่งเรียนรู้ 3. การจัดการความรู้ จากการสังเกต ความสนใจ การแสดงความคิดเห็น การมีส่วนร่วม การใหค้ วามร่วมมือ ในกลุ่มปฏิบตั ิการ ผลงาน/ชิ้นงานจากการรวมกลุ่มปฏิบตั ิการ ใชว้ ธิ ีการประเมินแบบมีส่วนร่วม ระหวา่ งครู ผเู้ รียนและผเู้ กี่ยวขอ้ งร่วมกนั ประเมินตีคา่ ความสามารถ ความสาเร็จกบั เป้าหมายที่ วางไว้ และระบุขอ้ บกพร่องที่ตอ้ งแกไ้ ข ส่วนท่ีทาไดด้ ีแลว้ ก็พฒั นาใหด้ ียง่ิ ข้ึนตอ่ ไป 4. การคดิ เป็ น ประเมินจากการอภิปราย การทาแบบฝึกหดั ทาใบงาน และการสังเกตจากการอภิปราย ถกแถลง การ ใหเ้ หตุผล ความรอบคอบและละเอียดยงิ่ ข้ึน ความพอเพยี ง และความเหมาะสมใน การแสวงหาขอ้ มูลท้งั 3 ประการ ประกอบการคิด การตดั สินใจ 5. การวจิ ัยอย่างง่าย จากการสงั เกต ความสนใจ การมีส่วนร่วม ความร่วมมือ จากผลงาน / ชิ้นงานที่มอบหมายใหฝ้ ึกปฏิบตั ิ ในระหวา่ งเรียน และการสอบปลายภาคเรียน

40 1.มาตรฐานการเรียนรู้ 1. สามารถวเิ คราะห์ เห็นความสาคญั และปฏิบตั ิการแสวงหาความรู้จากการอ่าน ฟัง และสรุปไดถ้ ูกตอ้ ง ตามหลกั วชิ าการ 2. สามารถจาแนก จดั ลาดบั ความสาคญั และเลือกใชแ้ หล่งเรียนรู้ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม 3. สามารถจาแนกผลท่ีเกิดข้ึนจากขอบเขตความรู้ ตดั สินคุณคา่ กาหนดแนวทางพฒั นา 4. ความสามารถในการศึกษา เลือกสรร จดั เก็บ และการวเิ คราะห์ สงั เคราะห์ขอ้ มูลท้งั สามประการ และ การใชเ้ ทคนิคในการฝึกทกั ษะ การคิดเป็น เพ่อื ใชป้ ระกอบการตดั สินใจแกป้ ัญหา 5. สามารถวเิ คราะห์ปัญหา ความจาเป็น เห็นความสัมพนั ธ์ของกระบวนการวจิ ยั กบั การนาไปใชใ้ นชีวติ และดาเนินการวจิ ยั ทดลองตามข้นั ตอน 2. ผลการเรียนรู้ทคี่ าดหวงั 1. สามารถวเิ คราะห์ความรู้จาก การอา่ น การฟัง การสงั เกต และและสรุปไดถ้ ูกตอ้ ง 2. สามารถจดั ระบบการแสวงหาความรู้ใหก้ บั ตนเอง 3. ปฏิบตั ิตามข้นั ตอนในการแสวงหาความรู้เก่ียวกบั ทกั ษะการอ่าน ทกั ษะการฟัง และทกั ษะการจด บนั ทึก 4. จาแนกความแตกต่างของแหล่งเรียนรู้ และตดั สินใจเลือกใชแ้ หล่งเรียนรู้ 5. เรียงลาดบั ความสาคญั ของแหล่งเรียนรู้ และจดั ทาระบบในการใชเ้ รียนรู้ของตนเอง 6. สามารถปฏิบตั ิการใชแ้ หล่งเรียนรู้ตามข้นั ตอนไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง 7. วเิ คราะห์ผลท่ีเกิดข้ึนของขอบเขตความรู้ ตดั สินคุณค่ากาหนดแนวทางพฒั นา 8. เห็นความสัมพนั ธ์ของกระบวนการจดั การความรู้ กบั การนาไปใชใ้ นการพฒั นาชุมชน 9. ปฏิบตั ิตามกระบวนการการจดั การความรู้ ไดอ้ ยา่ งเป็นระบบ 10. อธิบายหรือทบทวนปรัชญาคิดเป็ นและลกั ษณะของขอ้ มูลดา้ นวชิ าการ ตนเอง สังคม สิ่งแวดลอ้ ม ที่ จะนามาวเิ คราะห์และสงั เคราะห์เพ่อื ประกอบการคิด การตดั สินใจแกป้ ัญหา 11. จาแนก เปรียบเทียบ ตรวจสอบขอ้ มูลดา้ นวชิ าการ ตนเอง สังคม ส่ิงแวดลอ้ มที่จดั เก็บ และทกั ษะใน การวเิ คราะห์ สังเคราะห์ขอ้ มูล ท้งั สามดา้ นเพอื่ ประกอบการตดั สินใจแกป้ ัญหา 12. ปฏิบตั ิตามเทคนิคกระบวนการคิดเป็น ประกอบการตดั สินใจ ไดอ้ ยา่ งเป็ นระบบ 13. ระบุปัญหา ความจาเป็ น วตั ถุประสงค์ และประโยชน์ ท่ีคาดวา่ จะไดร้ ับจากการวิจยั และสืบคน้ ขอ้ มูลเพอ่ื ทาความกระจา่ งในปัญหาการวิจยั รวมท้งั กาหนดวธิ ีการหาความรู้ความจริง 14. เห็นความสัมพนั ธ์ของกระบวนการวิจยั กบั การนาไปใชใ้ นชีวติ 15. ปฏิบตั ิการศึกษา ทดลอง รวบรวม วเิ คราะห์ขอ้ มูล และสรุปความรู้ความจริงตามข้นั ตอนไดอ้ ยา่ ง ถูกตอ้ ง ชดั เจน

41 หวั เร่ือง 1. การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง ตวั ชี้วดั 1. บอกความหมาย ตระหนกั และเห็นความสาคญั ของการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง 2. มีทกั ษะพ้ืนฐานทางการศึกษาหาความรู้ ทกั ษะการแกป้ ัญหา และเทคนิคในการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง 3. อธิบายปัจจยั ที่ทาใหก้ ารเรียนรู้ดว้ ยตนเองประสบความสาเร็จ 4. สามารถวางแผนการเรียนรู้และการประเมินผลการเรียนรู้ดว้ ยตนเองได้ กรอบสาระการเรียนรู้ เนื้อหาการเรียนรู้เพม่ิ เติม จานวนชั่วโมง 1. ความหมาย ความสาคญั ของการเรียนรู้ 1. ทาแผนการเรียนรู้ดว้ ยตนเองในวชิ า 3 3 ดว้ ยตนเอง ที่พิจารณาแลว้ เห็นวา่ มีความสามารถ 3 2. การกาหนดเป้าหมายและการวางแผนการ นาไปเรียนรู้ดว้ ยตนเองได้ 3 เรียนรู้ดว้ ยตนเอง - ทกั ษะการเรียนรู้ 8 20 3. ทกั ษะพ้นื ฐานทางการศึกษาหาความรู้ - ความรู้พ้นื ฐาน ทกั ษะการแกป้ ัญหา และเทคนิคในการ - การประกอบอาชีพ เรียนรู้ดว้ ยตนเอง - ทกั ษะการดาเนินชีวติ 4. ปัจจยั ท่ีทาใหก้ ารเรียนรู้ดว้ ยตนเอง - การพฒั นาสงั คม ประสบความสาเร็จ 2. ขอ้ มูลและการประยกุ ตใ์ ชข้ อ้ มูล 5. การวางแผนการเรียนรู้ และ การ เกี่ยวกบั การทางาน ประเมินผลการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง - แหล่งขอ้ มูล 6. การฝึกทกั ษะวางแผนการเรียนรู้และการ - ความหมายประโยชน์ของขอ้ มูล ประเมินผลการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง การ - การรวบรวมขอ้ มูล วจิ ารณ์ - ประเภทของขอ้ มูล - การจดั เกบ็ ขอ้ มูลในรูปแบบท่ี เหมาะสม - การวเิ คราะห์ สังเคราะห์ และ ประมวลผลขอ้ มูลสารสนเทศ - การเลือกสรรและประยกุ ตใ์ ชข้ อ้ มูล เกี่ยวกบั การทางาน

42 หัวเร่ือง 2. การใชแ้ หล่งเรียนรู้ ตวั ชี้วดั 1.อธิบายความหมาย ความสาคญั ของการใชห้ อ้ งสมุดอาเภอ 2. อธิบายการเขา้ ถึงสารสนเทศของหอ้ งสมุดประชาชน 3. อธิบายแหล่งเรียนรู้ หอสมุดแห่งชาติ หอสมุดวทิ ยาลยั /มหาวทิ ยาลยั หอ้ งสมุดเฉพาะ หอ้ งสมุด โรงเรียน พิพิธภณั ฑ์ อุทยานแห่งชาติ แหล่งเรียนรู้สาคญั อ่ืน ๆ ในประเทศ 4. อธิบายและปฏิบตั ิการใชอ้ ินเทอร์เน็ต และการเขา้ ถึงขอ้ มูลสารสนเทศที่ตอ้ งการและสนใจ กรอบสาระการเรียนรู้ เนื้อหาการเรียนรู้เพม่ิ เติม จานวนชั่วโมง 1. ความหมาย ความสาคญั ของการใช้ ศึกษากรณีตวั อยา่ งแหล่งเรียนรู้ เช่น 3 หอ้ งสมุดอาเภอ 1. ศูนยส์ ามวยั 3 2. การเขา้ ถึงสารสนเทศของหอ้ งสมุด 2. ภูมิปัญญาผรู้ ู้ 14 ประชาชน - นายทองดา เพ่ิมพลงั 3. แหล่งเรียนรู้ หอสมุดแห่งชาติ หอสมุด ( ศิลปวฒั นธรรมพ้นื บา้ น ) 20 วทิ ยาลยั /มหาวทิ ยาลยั หอ้ งสมุดเฉพาะ - นางพจนา วงศส์ ุวรรณ หอ้ งสมุดโรงเรียน พพิ ธิ ภณั ฑ์ อุทยาน ( เพาะพนั ธุ์ปลาสวยงาม ) แห่งชาติ แหล่งเรียนรู้สาคญั อื่น ๆ ใน - นางมว่ ย สวา่ งดี ประเทศ ( การทาตะกร้าจากกาบหมาก ) 4. การใชอ้ ินเทอร์เน็ต การเขา้ ถึงขอ้ มูล ฯลฯ สารสนเทศที่ตอ้ งการและสนใจ 3. สถานีวทิ ยชุ ุมชน 4. ศูนยน์ วตั กรรมทางสังคมตาบล บางบุตร 5. สวนประสมทรัพย์ ฯลฯ

43 หวั เรื่อง 3. การจดั การความรู้ ตัวชี้วดั 1. อธิบายความหมาย ความสาคญั หลกั การ กระบวนการจดั การความรู้ การรวมกลุ่มเพ่ือต่อยอดความรู้ การพฒั นาขอบข่ายความรู้ของกลุ่ม และ การจดั ทาสารสนเทศเผยแพร่ความรู้ 2. ปฏิบตั ิการจดั การความรู้ในเน้ือหาที่สอดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของชุมชน 3. จดั ทาสารสนเทศและเผยแพร่ความรู้ กรอบสาระการเรียนรู้ เนื้อหาการเรียนรู้เพม่ิ เติม จานวนช่ัวโมง 1. ความหมาย ความสาคญั หลกั การ 8 กระบวนการจดั การความรู้ การรวมกลุ่ม เพื่อต่อยอดความรู้ การพฒั นาขอบขา่ ย 20 ความรู้ของกลุ่ม และการจดั ทาสารสนเทศ 12 เผยแพร่ความรู้ 2. การฝึกทกั ษะกระบวนการจดั การความรู้ ดว้ ยตนเอง และ กระบวนการจดั การความรู้ ดว้ ยการรวมกลุ่มปฏิบตั ิการ 3. สรุปองคค์ วามรู้ของกลุ่ม จดั ทา สารสนเทศองคค์ วามรู้ในการพฒั นาตนเอง ครอบครัว

44 หวั เรื่อง 4. การคิดเป็ น ตัวชี้วดั 1. อธิบายไดถ้ ึงความเช่ือพ้ืนฐานทางการศึกษาผใู้ หญ/่ การศึกษานอกระบบ และเช่ือมโยงมาสู่ กระบวนการคิดเป็น และระบบคิด การแกป้ ัญหาอยา่ งคนคิดเป็น 2. อธิบายลกั ษณะของขอ้ มูลวชิ าการ ตนเอง และสังคม ส่ิงแวดลอ้ ม โดยเปรียบเทียบใหเ้ ห็นความ แตกต่างของขอ้ มูลท้งั 3 ประการ 3. อธิบายและฝึกปฏิบตั ิการคิดเป็น จากกรณีตวั อยา่ งต่าง ๆ ถึงกระบวนการแกป้ ัญหาอยา่ งคนคิดเป็ นได้ อยา่ งเป็นระบบ กรอบสาระการเรียนรู้ เนื้อหาการเรียนรู้เพมิ่ เตมิ จานวนช่ัวโมง 1. ความเชื่อพ้นื ฐานทางการศึกษาผใู้ หญ/่ 1. ศึกษากรณีตวั อยา่ งท่ีผูเ้ รียนใช้ 5 5 การศึกษานอกระบบ 5 ประการโดยสรุป ข้นั ตอนกระบวนการแกป้ ัญหาไปสู่ 10 2. ปรัชญาการคิดเป็ น การคิดเป็ น ในการดาเนินชีวิตของ 10 2.1 ความหมาย/ความสาคญั ตนเองอยา่ งนอ้ ย 2 กรณี ประกอบ 4 10 2.2 ศพั ทเ์ ฉพาะ ข้นั ตอน 2.3 การเช่ือมโยงของความเชื่อพ้ืนฐานทาง - ข้นั เกิดปัญหา การศึกษาผใู้ หญ่/กศน. สู่ปรัชญาคิดเป็ น - ข้นั กระบวนการแกป้ ัญหา 3. ลกั ษณะของขอ้ มูล 3 ดา้ น ที่จะนามาใช้ - ข้นั ตดั สินใจ ประกอบการคิดในการตดั สินใจ คือ ขอ้ มูล - ข้นั ปฏิบตั ิ ทางวชิ าการ ตนเอง และสังคม สิ่งแวดลอ้ ม รวมถึงการเปรียบเทียบเพื่อให้ เห็นความแตกต่างของขอ้ มูล ท้งั 3 ประการดงั กล่าว 4. กระบวนการคิดการแกป้ ัญหาอยา่ งคนคิด เป็นในรายละเอียดพร้อมตวั อยา่ งการนาไป ปฏิบตั ิในวถิ ีการดาเนินชีวติ จริง 5. กรณีตวั อยา่ งท่ีหลากหลายเพอื่ การฝึก ทกั ษะการปฏิบตั ิ

45 หวั เร่ือง 5. การวจิ ยั อยา่ งง่าย ตัวชี้วดั 1. อธิบายความหมาย ความสาคญั การวจิ ยั อยา่ งง่าย กระบวนการและข้นั ตอนของการดาเนินงาน 2. มีทกั ษะในการใชส้ ถิติง่าย ๆ เพอ่ื การวจิ ยั และจดั ทาเครื่องมือในการเก็บรวบรวมขอ้ มูล 3. มีทกั ษะในการเขียนโครงการวจิ ยั อยา่ งง่าย ๆ กรอบสาระการเรียนรู้ เนื้อหาการเรียนรู้เพมิ่ เติม จานวนช่ัวโมง 1. ความหมาย ความสาคญั การวจิ ยั อยา่ งง่าย 10 กระบวนการและข้นั ตอนของการดาเนินงาน 10 2.. ฝึกทกั ษะ สถิติง่าย ๆ เพื่อการวจิ ยั 20 เคร่ืองมือการวจิ ยั 3. ฝึกทกั ษะในการเขียนโครงการวจิ ยั อยา่ ง ง่าย ๆ

46 คาอธิบายรายวชิ า ภาษาไทย พท 21001 สาระความรู้พืน้ ฐาน ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น จานวน 4 หน่วยกติ ( 160 ชั่วโมง ) มาตรฐานที่ 2.1 มีความรู้ ความเขา้ ใจและทกั ษะพ้ืนฐานเกี่ยวกบั ภาษาและการสื่อสาร ศึกษาและฝึ กทกั ษะเกยี่ วกบั เรื่องดงั ต่อไปนี้ การฟัง การดู การสรุปความ จบั ประเด็นสาคญั ของเร่ืองที่ฟัง ดู และมีมารยาทในการฟังและดู การพดู การพดู นาเสนอความรู้ ความคิดเห็น โนม้ นา้ วใจ ปฏิเสธ เจรจาต่อรอง และมารยาทในการพดู การอ่าน การอา่ นออกเสียงและอ่านในใจท้งั ร้อยแกว้ และร้อยกรอง การแยกแยะขอ้ เทจ็ จริง ขอ้ คิดเห็นและ จุดมุง่ หมายของเรื่องท่ีอ่าน ตลอดจนมารยาทในการอา่ น การเขียน การใชแ้ ผนภาพความคิด จดั ลาดบั ความคิดก่อนการเขียน การแต่งบทร้อยกรองประเภทกลอนสี่ กลอน สุภาพ การเขียนส่ือสารเร่ืองราวตา่ งๆ และการเขียนรายงาน การคน้ ควา้ อา้ งอิง ตลอดจนมารยาท ในการ เขียน หลกั การใช้ภาษา ชนิดและหนา้ ท่ีของคา พยางค์ วลี ประโยค การใชเ้ ครื่องหมายวรรคตอน อกั ษรยอ่ พจนานุกรม คา ราชาศพั ท์ ความแตกต่างและความหมายของสานวน สุภาษิต คาพงั เพย วรรณคดีและวรรณกรรม ความแตกตา่ งและคุณค่าของวรรณคดี วรรณกรรมปัจจุบนั และวรรณกรรมทอ้ งถ่ิน การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ จดั ประสบการณ์หรือสถานการณ์ในชีวติ ประจาวนั ใหผ้ เู้ รียนไดศ้ ึกษา คน้ ควา้ โดยการฝึ กปฏิบตั ิจริงเป็ น รายบุคคลหรือกระบวนการกลุ่มเกี่ยวกบั ทกั ษะการฟัง การดู การพดู การอ่าน การเขียน และหลกั การใชภ้ าษา


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook