101 7)ใส่เทอร์โมมเิ ตอร์ในรูท่ี เจาะไว้ข้างขวด โดยให้ปลายเทอร์โมมิเตอร์อยู่บริเวณ ณ จุด ศูนย์กลางของ ขวดเหนอื ระดับนํ้าอัดลม 8. นําขวดทัง้ สองไปวางไว้กลางแดด หรือนาํ ไฟสปอตไลต์มาส่อง โดยแต่ละขวดควร มรี ะยะห่างจากไฟประมาณ 25 เซนติเมตร หรอื 10 น้วิ 9. บนั ทกึ อุณหภูมิทุกนาที จนครบ 10 นาที (ไมค่ วร ปล่อยการทดลองไว้นานกว่า 10 นาที เพราะก๊าซคารบ์ อนไดออกไซด์จะกระจายออกสู่บรรยากาศหมด) 10) นำผลทไี่ ด้มาเขยี นกราฟความสัมพนั ธข์ องอุณหภูมิกับเวลา เปรียบเทยี บระหว่างขวดพลาสติกท้ัง สองใบและอภิปรายผล ชดุ การทดลองก๊าซคารบ์ อนไดออกไซด์กบั ปรากฏการณเ์ รือนกระจก 8.9 แบบบันทึกผลการทดลอง 8.10 วาดกราฟแสดงความสมั พันธ์ระหว่างอุณหภูมิและเวลา ระหว่างขวดพลาสติกทัง้ 2 ใบ 8.11 อภปิ รายผล 9.ผู้เรยี นจดั เตรียมอปุ กรณ์ และดําเนนิ กิจกรรมตามท่กี าํ หนดให้ แล้วบนั ทึกผลลงในแบบบันทกึ ผลการ ทดลอง 10.ครเู น้นผู้เรยี นให้มีความละเอียดรอบคอบ มคี วามอดทน มคี วาเข้มแข็ง มคี วามเพียรพยายาม นอกจากน้ันยงั ให้ระมดั ระวงั ความปลอดภัยในการทำกิจกรรมใบงานที่อาจผิดพลาดเกิดข้นึ ได้โดยไม่ได้ ขัน้ สรปุ และการประยุกต์ 11.สรปุ เนือ้ หาโดยครูสุม่ ผู้เรียนให้ตอบคำถามปญั หาจากการใช้พลงั งาน: สภาวะโลกร้อน 12.ผู้เรยี นทำกิจกรรมใบงาน 13.ผเู้ รยี นทำแบบประเมินผลการเรยี นรู้ กจิ กรรมการเรยี นรู้ (สปั ดาหท์ ่.ี ..7........) ขั้นนำเขา้ สู่บทเรียน 1. ครใู ช้เทคนิคการสอนแบบซิปปาโมเดล (CIPPA MODEL) โดยการทบทวนความรู้เดมิ จากสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยดึงความร้เู ดิมของผูเ้ รียนในเร่อื งทจี่ ะเรียน เพ่ือชว่ ยให้ผูเ้ รยี นมคี วามพร้อมในการเชื่อมโยงความรใู้ หม่กบั ความรู้ เดิมของตน ผู้สอนใช้การสนทนาซกั ถามใหผ้ เู้ รียนเล่าประสบการณ์เดิม 2.ครแู ละผูเ้ รียนสนทนาเร่ืองปัญหาสิง่ แวดล้อมระดับโลก ได้แก่ ปญั หาบรรยากาศชั้นโอโซนซึ่งเป็นตัวกน้ั รงั สี อัลตราไวโอเลตไมใ่ หเ้ ข้มข้นเกินไปถกู ทำลายให้บางลง ปัญหาภาวะเรือนกระจก ปญั หาขาดแคลนพลงั งาน ปัญหาป่า ไม้เขตร้อนถูกทำลาย ปัญหาเหลา่ นี้มผี ลกระทบกบั ทุกประเทศทวั่ โลก 3.ครูยกตัวอยา่ งของปญั หาภาวะโลกรอ้ น 4.ครูแสดงรปู ภาพประกอบ เพื่อเชื่อมโยงเขา้ ส่เู น้ือหา
102 ข้นั สอน 4.ครูใช้ส่ือ Power Point ประกอบการอธบิ ายเรอ่ื งผลกระทบจากสภาวะโลกรอ้ น โดยการทอ่ี ุณหภมู ิของโลก สูงข้นึ กอ่ ให้เกิดปัญหาทเ่ี ป็นผลกระทบต่อสง่ิ แวดล้อมดงั นี้ 4.1. ระบบนิเวศ 4.2. สภาพภมู ิอากาศ การเปลยี่ นแปลงทมี่ ตี ่อสภาพภูมิอากาศของโลก มดี ังนี้ 2.1 อุณหภูมิของผิวโลกเพิ่มสูงขนึ้ 2.2 นา้ํ ทะเลเพมิ่ ระดับ 2.3 การเปลี่ยนแปลงของหยาดน้ำฟา้ 4.3. สิง่ มชี วี ิตบนโลก ผลกระทบจากสภาวะโลกร้อนทีม่ ีต่อสิ่งมชี วี ิตบนโลกทพ่ี บในปัจจบุ ันมีทง้ั การ ทาํ ลายพันธ์ุพืช การทําลายวถิ ีการดํารงชวี ิตของสิง่ มีชวี ติ ดังน้ี 3.1 การเปลยี่ นแปลงเขตพนั ธุ์พชื 3.2 การเส่ือมโทรมของปะการัง 3.3 การเปล่ียนแปลงด้านเกษตรกรรม 3.4 สขุ ภาพอนามัยของมนุษย 3.5 ผลกระทบด้านสงั คมและการเมือง 5.ครูใช้เทคนคิ การเรยี นรู้แบบ Discussion Method การจดั การเรยี นรแู้ บบการป้องกนั แกไ้ ขผลกระทบจาก สภาวะโลกรอ้ น 5.1 การมสี ่วนร่วมของประชาชน การปอ้ งกนั และแกไ้ ขปัญหาผลกระทบจากสภาวะโลกร้อน เป็นปญั หา ระดับโลกท่ีทุกชาตใิ ห้ความสําคัญในการดาํ เนินการอย่างมาก ดงั น้ี 1) การลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรอื นกระจก 2) การอนุรกั ษ์พลังงาน 3) การรักษา เสรมิ สร้าง และเพิ่มพูน 5.2 การมสี ่วนร่วมในระดับนานาชาติ อนสุ ญั ญาวา่ ด้วยการเปล่ียนแปลงสภาพภมู ิอากาศและพิธสี ารว่าด้วย การเปล่ียนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ เกิดข้ึนต้งั แตป่ ี พ.ศ. 2528 จนถงึ ปัจจบุ นั ดงั น้ี 1) อนสุ ัญญาเวียนนา (Vienna Convention) 2) พิธสี ารมอนทรอี อล (Montreal Protocol) 3) การประชุม Earth Summit 4) พิธสี ารเกยี วโต (The Kyoto Protocol) พ.ศ.2540 นอกจากน้ียงั ได้กาํ หนดหลักเกณฑ์ใหมซ่ ง่ึ อนญุาตให้มีกฎท่ีแตกต่างกนั ระหว่างประเทศพัฒนาแล้วกบั ประเทศทีก่ ําลังพัฒนา คือประเทศที่กาํ ลัง พฒั นาจะได้รับการสนับสนนุ เงนิ ทุนและมีกลไกติดตามผลท่ียืดหยุ่นกว่า ประเทศพฒั นาแล้ว 6. ครใู ชเ้ ทคนิควธิ ีการจดั การเรยี นรแู้ บบรว่ มมือ (Cooperative Learning) หมายถึงกระบวนการเรียนรู้ท่ี จดั ให้ผู้เรยี นไดร้ ่วมมือและชว่ ยเหลือกันในการเรยี นรู้โดยแบ่งกลมุ่ ผู้เรียนท่ีมีความสามารถตา่ งกนั ออกเป็นกลุม่ เล็ก ซง่ึ เป็นลักษณะการรวมกลมุ่ อย่างมีโครงสร้างท่ชี ัดเจน มีการทำงานรว่ มกัน มีการแลกเปลย่ี นความคิดเหน็ มีการ ช่วยเหลือพ่งึ พาอาศัยซง่ึ กันและกนั มคี วามรับผดิ ชอบรว่ มกันทงั้ ในสว่ นตนและส่วนรวมเพอื่ ให้ตนเองและสมาชิกทกุ คนในกลุ่มประสบความสำเรจ็ ตามเป้าหมายทก่ี ำหนดไว้ ดงั นี้
103 1). แบง่ ผ้เู รยี นเป็นกลุ่มๆ ละ 4-5 คน 2).ปญั หาจากการใช้พลงั งาน: สภาวะโลกร้อน ดังต่อไปนี้ 1.ความหมายของสภาวะโลกร้อน 2.ก๊าซเรอื นกระจก 3.กลมุ่ ธรุ กิจกรรมททที่ ำให้เกิดสภาวะโลกร้อนในประเทศไทย 4.ผลกระทบจากสภาวะโลกร้อน 5.การปอ้ งกันแก้ไขผลกระทบจากสภาวะโลกร้อน 3) นำเสนอหน้าชัน้ เรียน 7.ผเู้ รยี นทำกจิ กรรมใบงาน ขน้ั สรุปและการประยุกต์ 8.ครแู ละผูเ้ รยี นสรุปเน้อื หาทีเ่ รยี น โดยท่ีสภาพภูมอิ ากาศท่ีแปรปรวนไปท่วั โลก ทั้งฝนตกหนกั อากาศทหี่ นาว เยน็ พายหุ ิมะ และฤดแู ล้งทย่ี าวนาน ล้วนเป็นปญั หาที่เกิดจากสภาวะโลกร้อนเนื่องจากอณุ หภูมิของโลกท่ีสูงขนึ้ ซึ่ง ส่งผลกระทบต่อมนษยุ ์ และสิ่งมีชวี ีติอน่ๆื และยังทำให้ระบบนิเวศมีการเปลี่ยนแปลง ปัญหาดังกล่าว เกิดจาก กิจกรรมตา่ งๆ ของมนษยุ ์ทท่ี ำให้ก๊าซเรือนกระจกเพ่ิมขนึ้ แนวทางป้องกนั และแกไ้ ขปญั หาคอื การร่วมมอื กันทงั้ ประชาชน ภาครัฐ และเอกชน ในการลดปริมาณกา๊ ซเรือนกระจก การอนุรักษ์พลังงาน และการรักษา เสริมสร้าง แหล่งกกั เกบ็ ก๊าซเรือนกระจก โดยการรักษาพ้ืนทปี่ า่ ไม้ รวมท้ังการดำเนินงาน ร่วมกันในระดบั นานาชาตเิ พือ่ พทิ ักษ์ สภาพภูมอิ ากาศ โดยการจัดประชมุ ระหว่างประเทศเกย่ี วกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภมู ิอากาศเพื่อกระตุ้นให้เหน็ ความสําคัญการจดั ทําเอกสารข้อตกลงรวมกันใน ระดับนานาชาตเิ พ่อื ร่วมมือกันในการลดผลกระทบจากการ เปลยี่ นแปลงสภาพภูมอิ ากาศ 9.ผเู้ รยี นทำแบบประเมินผลการเรยี นรู้ 10.สรปุ สาระสำคัญเพอ่ื ให้เกิดการเรียนรู้และนำไปปฏบิ ัติได้ และประเมินผ้เู รียนดงั นี้ ช่ือผู้เรยี น ธรรมชาติของผ้เู รียน วธิ ีการเรยี นรู้ ความสนใจ สติปญั ญา วุฒิภาวะ 1. 2. 3. 4. 5. 6. ส่อื และแหล่งการเรียนรู้ 1.หนงั สือเรียน วชิ าพลังงาน ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ของสำนกั พิมพเ์ อมพันธ์ 2.ส่อื Power Point, วดี ีทศั น์ 3.กิจกรรมการเรยี นการสอน
104 4.รูปภาพประกอบ 5.แบบประเมินผลการเรยี นรู้ 7.หลกั ฐานการเรยี นรู้ 1.บนั ทกึ การสอนของผสู้ อน 2.ใบเชค็ รายชอ่ื 3.แผนจัดการเรียนรู้ 4.การตรวจประเมนิ ผลงาน 8.การวัดและประเมนิ ผล 8.1 วิธกี าร 1. สังเกตพฤติกรรมรายบคุ คล 2. ประเมนิ พฤติกรรมการเข้ารว่ มกิจกรรมกล่มุ 3. สงั เกตพฤตกิ รรมการเข้าร่วมกิจกรรมกล่มุ 4 ตรวจกิจกรรมสง่ เสรมิ คุณธรรมนำความรู้ 5. ตรวจแบบประเมินผลการเรยี นรู้ แบบฝกึ ปฏิบตั ิ 6. ตรวจกิจกรรมใบงาน 7. การสังเกตและประเมินพฤติกรรมด้านคุณธรรม จรยิ ธรรม ค่านยิ ม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 8.2 เครื่องมือ 1. แบบสังเกตพฤติกรรมรายบุคคล 2. แบบประเมนิ พฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม (โดยครู) 3. แบบสงั เกตพฤติกรรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลุ่ม (โดยผู้เรยี น) 4. แบบประเมนิ ผลการเรียนรู้ และแบบฝึกปฏิบตั ิ 5. แบบประเมนิ กิจกรรมใบงาน 6. แบบประเมนิ คุณธรรม จริยธรรม ค่านยิ ม และคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ โดยครูและผู้เรยี นร่วมกนั ประเมิน 8.3 เกณฑ์ 1. เกณฑผ์ ่านการสังเกตพฤติกรรมรายบคุ คล ต้องไม่มชี อ่ งปรับปรงุ 2. เกณฑ์ผา่ นการประเมินพฤติกรรมการเขา้ ร่วมกิจกรรมกลมุ่ คอื ปานกลาง (50 % ขึ้นไป) 3. เกณฑ์ผ่านการสังเกตพฤติกรรมการเขา้ ร่วมกิจกรรมกล่มุ คือ ปานกลาง (50% ข้ึนไป) 4. แบบประเมินผลการเรียนรูม้ เี กณฑผ์ ่าน และแบบฝกึ ปฏิบัติ 50% 5. แบบประเมนิ กจิ กรรมใบงานมีเกณฑ์ผ่าน 50% 6. แบบประเมินคุณธรรม จริยธรรม คา่ นิยม และคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ คะแนนขน้ึ อยู่ กบั การประเมินตามสภาพจริง
105 9.บนั ทกึ ผลหลงั การจดั การเรยี นรู้ 9.1 ข้อสรุปหลงั การจดั การเรยี นรู้ .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. 9.2 ปัญหาท่ีพบ .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. 9.3 แนวทางแก้ปญั หา ............................................................................................................................. ..................... .................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ..................... .................................................................................................................................................. ............................................................................................................. ..................................... ........................................................................................................................................... .......
ใบความรู้ที่ .....6-7.......... 106 หลักสูตร ประกาศนียบัตรวชิ าชพี หน่วยท่ี 6 รหสั 20001-1002 พลงั งาน ทรพั ยากร และส่ิงแวดลอ้ ม สอนครง้ั ที.่ .....6-7 ชื่อเรื่อง เรอื่ ง ปัญหาจากการใชพ้ ลังงาน: สภาวะโลกร้อน เวลา......4............ชม. 1. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1. ผเู้ รยี นเขา้ ใจผลกระทบจากการใช้พลังงาน 2. ผเู้ รยี นเข้าใจสาเหตุและผลกระทบจากการเกดิ ภาวะโลกร้อน 2. สมรรถนะ 1. อธิบายผลกระทบจากการใช้พลังงานได้ 2. อธิบายผลกระทบเมื่อกา๊ ซโอโซนถูกทำลายได้ 3. สรุปสาเหตแุ ละผลกระทบจากการเกิดภาวะโลกร้อนได้ 4. วิเคราะห์ผลกระทบจากการใช้พลังงานทม่ี ีต่อส่งิ แวดล้อมได้ 5. มีความตระหนักในการใช้พลังงานอยา่ งประหยัด 3. เน้ือหาสาระ 1. ผลกระทบจากการใช้พลังงาน สภาพความเสื่อมโทรมของสภาวะแวดล้อมส่วนใหญ่ อาจกล่าวได้ว่ามีสาเหตุมาจากการผลิตและการใช้ พลงั งานของมนุษย์แทบทัง้ สิ้น เกิดผลกระทบแบ่งตามประเภทของพลงั งานที่ใช้ดงั นี้ 1. ผลกระทบจากการใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม การเผาไหม้ปิโตรเลียมจะก่อให้เกิดมลภาวะทางอากาศ โดยการปล่อยไอเสียออกมาจากปล่องควันของโรงงานอุตสาหกรรม โรงจักรไฟฟ้าและจากรถยนต์ สารมลพิษ ดงั กล่าว คือ ก๊าซซัลเฟอร์ไอออกไซด์ กา๊ ซไนโตรเจนออกไซด์ กา๊ ซคาร์บอนมอนอกไซด์ สารไฮโดรคารบ์ อน และ ฝนุ่ ละออง เขม่าต่าง ๆ 2. ผลกระทบจากการใช้ถ่านหินลิกไนต์ การใช้ถ่านหินลิกไนต์มาเป็นเชื้อเพลิงผลิตกระแสไฟฟ้าหรือ อุตสาหกรรมต่าง ๆ ถึงแม้จะได้ประโยชน์อย่างมากมาย แต่การพัฒนาถ่านหินมาใช้ประโยชน์จะก่อให้เกิดมลภาวะ ต่อส่ิงแวดล้อมหลายด้าน ทัง้ จากการทำเหมืองและการเผาไหม้เนือ่ งจากสมบัตแิ ละองคป์ ระกอบของถา่ นหินเอง ทำ ให้เกิดน้ำเสียจากบ่อเหมือง น้ำกระด้าง มีสารแขวนลอยและซัลเฟตสูงมาก ทำให้เกิดฝุ่นละอองทั้งของแขวนลอย โลหะหนักลอยอยู่ทั่วไปรอบ ๆ บริเวณเหมือง เมื่อขุดหน้าดินทิ้งไปทำให้สิ่งมีชีวิตเสียสมดุลปลูกพืชไม่ได้ มีการ ทำลายป่าไม้ เสียดลุ ธรรมชาติ ตอ้ งอพยพราษฏร เพราะต้องใช้บริเวณกว้างในการเปิดหนา้ เหมอื ง เกิดก๊าซพษิ จาก การเผาไหมถ้ า่ นหนิ 3. ผลกระทบจากการใช้พลังน้ำผลิตกระแสไฟฟ้า การใช้พลังน้ำเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าจัดเป็นพลังงาน บริสุทธิไ์ ม่ก่อให้เกดิ มลพิษทางอากาศ เหมือนกับการใชพ้ ลังงานจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงและมีต้นทุนในการผลิตต่ำ อยา่ งไรก็ตามการพฒั นาพลงั น้ำโดยการสรา้ งเขื่อนกักเก็บนำ้ จะมีปัญหาสงิ่ แวดล้อมที่ควรคำนงึ เป็นอยา่ งมากในเร่ือง ของการสูญเสียพื้นที่ป่าไม้เพื่อใช้เป็นอ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อน ราษฎรในพื้นที่น้ำท่วมต้องอพยพย้ายที่ตั้งถิ่นฐานใหม่ สัตวป์ า่ สูญเสียที่อยู่อาศยั หรอื อาจสญู พนั ธ์ุไป นอกจากนน้ั แรธ่ าตตุ ่าง ๆ ทมี่ ีอยูใ่ นพน้ื ทอ่ี าจถูกทิ้งใหจ้ นอยู่ใต้น้ำ โดย
107 ไม่มีโอกาสนำขึ้นมาใช้ประโยชน์ดังนั้นจึงมีข้อแม้ว่าจะทำการพัฒนาอย่างไร ผลกระทบจึงเกิดขึ้นน้อยที่สุดและให้ คุ้มค่ากับสง่ิ ทสี่ ูญเสียไป 4. ผลกระทบจาการใช้กังหันลม ถึงแม้การใช้พลังงานลมจะไม่ก่อให้เกิดมลภาวะร้ายแรงใด ๆ ต่อ สิ่งแวดล้อม เนื่องจากพลังงานลมค่อนข้างเป็นพลังงานบริสุทธิ์ แต่ในการพัฒนาแหล่งพลังงานชนิดนี้มาใช้เป็น พลังงานทดแทนน้ัน ควรได้คำนึงถงึ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้ คือ การใช้กงั หนั ขนาดใหญ่อาจบดบังส่วน ต่าง ๆ ของพ้ืนทไ่ี ป เม่ือใบพดั ขนาดใหญท่ ำงานจะเกิดเสียงดังมารบกวนผอู้ ยู่ใกลเ้ คยี ง การรบกวนคลน่ื วิทยุ และการตดิ ตั้ง กงั หันลมขนาดใหญอ่ าจทำใหส้ ่ิงมชี ีวิตใกลเ้ คยี งอพยพไปอยทู่ ่ีอื่น 5. ผลกระทบจากการใช้พลังงานความร้อนใต้พิภพ ถึงแม้ความร้อนใต้พิภพจะเป็นพลังงานได้เปล่าจาก ธรรมชาติ สามารถนำมาผลิตกระแสไฟฟ้าที่มีต้นทุนต่ำ แต่อย่างไรก็ตามการนำพลังงานชนิดนี้มาใช้งานอาจ ก่อใหเ้ กิดผลกระทบตอ่ สิง่ แวดลอ้ ม สารเคมอี ันตรายที่ละลายปนอยู่อาจปนเปอ้ื นระบบน้ำบาดาล หรือนำ้ ผิวดนิ เช่น สารหนู ปรอท เป็นต้น มีก๊าซอันตราย เช่น ไฮโดรเจนซัลไฟด์ และก๊าซอื่นๆ ระเหยออกมาด้วย ก่อให้เกิด ผลกระทบต่อระบบหายใจ มีไอน้ำร้อนที่ใชผ้ ลิตกระแสไฟฟ้าจำนวนมาก จะทำให้เกิดความร้อนตกค้างในอากาศส่ง ผลกระทบต่อระบบนิเวศที่อยู่ใกล้เคียง หากเป็นการตั้งโรงฟ้าขนาดใหญ่อาจะก่อให้เกิดปัญหาการทรุดตัวของ แผน่ ดินได้ 6. ผลกระทบจากการใช้พลังงานนวิ เคลยี ร์ รังสีท่เี กดิ จากปฏกิ ิริยานวิ เคลียร์อาจรั่วไหลซง่ึ เปน็ อนั ตรายมาก โดยเฉพาะอย่างย่ิงถ้าเกิดการระเบดิ ฝุ่นรังสีจะฟุ้งกระจาย ทำอนั ตรายต่อสิ่งมีชีวิตในทันทีทันใด และเกิดผลกระทบ ระยะยาว ยิ่งไปกว่านั้นนำ้ เสียจากการระบายความร้อนท่ีปล่อยออกสู่แหล่งน้ำก็จะทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบ นเิ วศตามมา 2. ผลกระทบเม่ือก๊าซโอโซนถกู ทำลาย ดวงอาทิตย์ศูนย์กลางของระบบสุริยจักรวาล เป็นต้นกำเนิดของพลังงานอันมหาศาลได้ส่งรังสีแมม่เหล็ก ไฟฟ้ามายงั โลก แต่เนือ่ งจากมีบรรยากาศห่อหมุ้ โลกอย่หู ลายชน้ั และมีกลมุ่ เมฆและไอนำ้ รงั สีดวงอาทติ ย์ประมาณ ครึง่ หน่ึงเท่าน้ันทจี่ ะผ่านบรรยากาศลงมาถึงพื้นผิวโลกได้ การที่บรรยากาศหอ่ หมุ้ โลกอย่หู ลายชั้นนนั้ มปี ระโยชน์ต่อ การดำรงชพี ของสิง่ ท่มี ชี ีวิตเป็นอันมาก เช่น บรรยากาศชน้ั ชว่ ยกรองรังสีหลายอยา่ งที่เป็นอันตราย เชน่ รังสีเอกซ์ และรังสอี ลั ตราไวโอเลต สว่ นบรรยากาศช้ันล่างจะดูดซึมรังสีอนิ ฟราเรดซึ่งโลกสะท้อนกลับ ทำใหโ้ ลกเก็บความร้อน ไวอ้ ย่ใู นระดับที่เหมาะสมต่อการดำรงชวี ิตของคน สัตว์ และพชื 2.1 สาเหตกุ ารเกดิ รโู อโซน โอโซน( O3) เปน็ ก๊าซทเ่ี กดิ จากอะตอมของออกซเิ จน 3 อะตอมรวมกนั ซ่งึ ตามปกติ โอโซนจะมปี รมิ าณเพยี งเล็กน้อยในบรรยากาศชน้ั ล่าง แต่จะมหี นาแนน่ ท่สี ุดในบรรยากาศช้ันบนหรือสตราโตส เฟียร์ ท่คี วามสงู 20 - 25 กิโลเมตร โอโซนมคี ณุ สมบตั ิพเิ ศษคือ ตวั มันเองเกดิ จากแสงอลั ตราไวโอเลตซี ซง่ึ มีคล่ืน สน้ั และอันตรายท่ีสุด แต่เมอื่ มนั เกิดขึน้ แล้วกลับดดู ซบั รังสีน้ไี วจ้ นหมดสนิ้ ไม่ให้ตกสผู่ ิวโลกแมแ้ ต่น้อย และยงั ดูด ซบั แสงอัลตราไวโอเลตบี ท่มี ีคลน่ื ยาวกวา่ และอนั ตรายน้อยกว่าไดถ้ ึงร้อยละ 70-90 ปล่อยให้รอดลงส่ผู ิวโลกได้เพียง ร้อยละ 10-30 แตป่ รมิ าณที่ตกสผู่ ิวโลกขนาดนกี้ ย็ ังเป็นอันตรายต่อสขุ ภาพมนุษย์ เช่น ทำให้ผิวเกรยี ม
108 ผิวหนงั แกก่ ่อนวัย และเกิดมะเรง็ ผิวหนัง ทำลายเน้อื เย่ือตา เปน็ ตน้ ดงั น้นั ถ้าปริมาณโอโซนในบรรยากาศลดลงก็ จะยง่ิ มีอนั ตรายมากขนึ้ และถ้าไม่มีโอโซนในชั้นบรรยากาศแลว้ สง่ิ มีชีวิตบนแผน่ ดนิ จะถกู เผาผลาญทำลายไปจน หมดส้ิน รวมทัง้ ชีวิตมนุษยด์ ้วย สำหรับแสงอลั ตราไวโอเลตเอซ่งึ เปน็ คลน่ื ยาวและไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชวี ติ และเป็น ประโยชน์ต่อมนษุ ย์ในการช่วยสร้างวติ ามนิ ดี โอโซนจะปล่อยให้ผา่ นมายังผวิ โลกได้เกือบท้งั หมด นอกจากนีโ้ อโซนยงั มีบทบาทชว่ ยควบคุมอุณหภมู โิ ลก ในฐานะท่ีเปน็ ก๊าซเรอื นกระจก โอโซนใน บรรยากาศชั้นบน ทำให้บรรยากาศในช้ันนัน้ กลายเปน็ เขตอนุ่ ซ่งึ จะเป็นตวั ป้องกันไม่ให้ความร้อนจากโลกระบาย ออกสอู่ วกาศ สำหรบั โอโซนในบรรยากาศช้นั ล่าง หรอื โทรโพสเฟียรน์ น้ั ในธรรมชาติมีปริมาณไม่มาก คือ ประมาณ 10 สว่ นในพนั ล้าน จะชว่ ยดดู ซับรังสีความร้อนท่ีสะทอ้ นจากพ้นื โลกช่วยให้โลกอบอนุ่ ไมห่ นาวเย็นในเวลา กลางคืน แต่สถานการณ์ปจั จบุ ันก็คือ ขณะทโี่ อโซนในบรรยากาศช้ันสงู ลดลง เน่ืองจากถูกทำลายโดยสารซเี อฟ ซีและสารมลพิษอ่นื ๆ โอโซนชัน้ ลา่ งกลบั เพมิ่ จำนวนมากข้นึ ทำใหโ้ ลกร้อน และเกดิ ปรากฏการณเ์ รือนกระจกขน้ึ สารซเี อฟซี หรอื คลอโรฟลูออโรคารบ์ อน มนุษยไ์ ดน้ ำมาใชใ้ นอุตสาหกรรม เช่น การผลติ โฟม สารทใ่ี ชใ้ นอปุ กรณ์ทำความเย็น ( ในตเู้ ยน็ เครือ่ งปรับอากาศ กระป๋องสเปรย์ ฯลฯ และสารจำพวก ฟรอี อน) สารซเี อฟซีเป็นสารที่ไมส่ ลายตวั ง่าย ๆ ดังนน้ั สาร CFC จะลอยขึน้ สู่บรรยากาศชนั้ สตราโตสเฟียร์ และกระทบกับ พลังรงั สอี ัลตราไวโอเลตท่รี นุ แรง สารซีเอฟซีจะแตกตวั ปล่อยอะตอมคลอรีนอสิ ระออกมา อะตอมคลอรีน(Cl) นี้ พรอ้ มจะทำปฏกิ ิริยาเมื่อกระทบกบั โอโซน (O3) ทา่ มกลางแสงแดด อะตอมคลอรนี จะดึงออกซิเจน (O) จาก โอโซนออกมา 1 อะตอม กลายเป็นคลอรีนมอนอกไซด์ (ClO) และ โมเลกุลออกซิเจน (O2) 1 โมเลกลุ ดังสมการ Cl + O3 ------------------> ClO + O2 ต่อมา คลอรีนมอนอกไซด์ (ClO) จะทำปฏกิ ิรยิ ากบั อะตอมออกซิเจนอิสระ (O) เกิด คลอรีน (Cl) และโมเลกุลของออกซิเจน (O2) ข้ึน คลอรนี ตวั เดิมน้ี จะหลดุ ออกมาทำลายโอโซนตอ่ ไปอีก ดังสมการ O + ClO ------------------> Cl + O2 คลอรนี จงึ เป็นตวั เรง่ ปฏิกริ ยิ าทำใหโ้ อโซนแตกตวั โดยตวั มนั เองไม่เปล่ียนแปลง ดังนั้น อะตอมของคลอรนี เพยี งอะตอมเดียวสามารถทำลายโอโซนไดถ้ งึ พัน ๆ ครง้ั แต่คลอรีนมอนอกไซดส์ ลายตัวได้งา่ ยใน บรรยากาศ จงึ เปน็ ข้อดีทไ่ี มท่ ำใหบ้ รรยากาศเสียหายมากเกินไป ผลกระทบเมอื่ ก๊าซโอโซนถูกทำลาย ผลกระทบเมื่อก๊าซโอโซนถูกทำลาย จะก่อให้เกิดผลกระทบตอ่ เนือ่ งคือ พลังงานความร้อนบนพืน้ โลก มากขึ้น และรังสีอัลตราไวโอเลตในช่วงคลื่นซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งที่มีชีวิตผ่านลงมาถึงพื้นโลกมากขึ้น จะเกิดผล กระทบได้หลายอย่าง ดงั น้ี 1. ระดบั นำ้ ทะเลอาจจะขึน้ สงู อกี 40-120 เซนตเิ มตร ซ่ึงจะมผี ลต่อพ้นื ที่ชายทะเล และกจิ กรรม ตา่ ง ๆ ในบริเวณนั้น เช่น การเพาะเลี้ยงพืชและสัตว์ในป่าชายเลน การท่องเที่ยว และการที่ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นก็ เพราะน้ำทะเลขยายตัวเมื่อได้รับความรอ้ น และนำ้ แขง็ ในแถบขั้วโลกละลายเปน็ น้ำ 2. ทำให้ภูมิอากาศเกิดความปรวนแปร จากเหตุการณ์ท่ีผ่านมาพบว่าพายุไซโคลน ซึ่งเคยเกิดขึ้น 3 คร้ัง ในคาบ 10 ปี คือ ตั้งแต่ พ.ศ. 2483 และได้เพิ่มเปน็ 15 ครั้งใน พ.ศ. 2523 ดังนัน้ จึงเกรงว่าถ้าอุณหภูมิของ โลกเพมิ่ ขนึ้ จะทำให้ลมมรสมุ ในคาบสมทุ รเอเซียแหซฟิ ิกเพ่ิมกำลงั แรงมากข้ึน และจะพดั เลยขึ้นเหนือไป ทำใหฝ้ นไป
109 3. ตกในท้องถิ่นกันดาร และในทางตรงกันข้ามจะทำให้เกิดความแห้งแล้งในที่ที่มีฝนตกชุก ตลอดจนจะ ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉบั พลนั ข้นึ ในบางแห่ง เกดิ นำ้ เซาะดนิ พังทลายลง นำ้ ขนุ่ ตามทางนำ้ ทำใหแ้ หลง่ น้ำตนื้ เขินด้วย 4. แหลง่ นำ้ ใชใ้ นการชลประทานจะผันแปรไปดว้ ย ปริมาณน้ำฝนจะเพิ่มขน้ึ ร้อยละ 7-15 ทวั่ โลก แต่มิได้ กระจายไปทุกแห่งอย่างทั่วถึง ต้องมีการจัดสรรน้ำเพื่อการชลประทานเป็นพิเศษกว่าเดิมด้วยต้องพัฒนาและ ปรบั ปรงุ เกษตรกรรม ให้เหมาะสมกบั การเปลยี่ นแปลงทาง สภาพภมู ิอากาศและน้ำท่ีใชใ้ นการเพาะปลูก ซ่งึ อาจจะ ต้องแสวงหาพืชพันธุ์ใหม่ที่เหมาะสมกับสภาพของสิ่งแวดล้อม มีการวางแผนการเพาะปลูกและการจำหน่ายที่มี คุณภาพ มิฉะน้ันแล้วจะสง่ ผลกระทบต่อสภาพสังคม เศรษฐกจิ และการเมอื งในสภาวะปัจจบุ ันอย่างหลกี เลยี่ งไม่ได้ 5. แหล่งพลังงานได้รับผลกระทบเนื่องจากการแปรปรวนของภูมิอากาศ เช่น การเกิดลมมรสุมต่าง ๆ อย่างรุนแรง เคยทำให้เรือขุดเจาะน้ำมันควำ่ เกิดการเสียหายต่อชีวิตและทรพั ย์สิน ตลอดจนขัดขวางการแสวงหา แหล่งพลังงานใหม่ ๆ การผลิตไฟฟ้าด้วยพลังน้ำ พลังลม และพลังนิวเคลียร์ ก็อยู่ในข่ายที่จะได้รับผลกระทบจาก ความแปรปรวนทางภูมิอากาศดว้ ยเช่นกัน 6. การรับรังสีอัลตราไวโอเลตเพิ่มขึ้นทำให้ แพลงก์ตอน สาหร่าย ไดอะตอม ยูกลีนอยด์เกิดการกลาย พนั ธ์ไุ ด้ ส่วนพชื ชัน้ สงู จะมีการสงั เคราะห์แสงลดลง เพราะเซลลค์ ลุมรอบปากใบได้รบั อนั ตรายจากแสงจะปิดปากใบ จนวัตถุดิบไม่สามารถผ่านเข้าไปในใบได้ เกิดการกลายพันธุ์หรือเกิดโรคมะเร็งขึ้นในสัตว์ ถ้าได้รับรังสี อลั ตราไวโอเลตต่อเนอ่ื งในระยะยาว 7. สำหรับมนุษย์นั้นถ้าได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตมากไป ทำให้ผิวกร้านหนาเพราะเซลล์แบ่งตัวเพิ่มจำนวน มากขึ้น ผิวจะมีรอยย่นสีคล้ำหรือจาง ทำให้ดูแก่เกินวัย ในที่สุดอาจเกิดมะเร็วที่ผิวหนัง สำหรับดวงต าที่รับ แสงแดดกล้าเกดิ ไปในระยะยาวจะเกิดมะเร็งทีเ่ ย่ือบุชัน้ นอกของนัยน์ตาหรือเปน็ ต้อกระจกได้ 3. สาเหตุและผลกระทบจากการเกดิ ภาวะโลกร้อน ปฏิกิริยาเรือนกระจก (1) สาเหตกุ ารเกิดปฏิกิรยิ าเรือนกระจก เรือนกระจก ได้แก่ เรอื นทป่ี ิดลอ้ มดว้ ยกระจก หรือวสั ดุอื่น ซ่งึ มผี ลในการเกบ็ กักความร้อน ปรากฏการณ์นเ้ี กดิ ขึน้ จากคุณสมบตั ิพิเศษของกระจกท่ียอมให้ความร้อนจากดวงอาทิตย์ผา่ นเขา้ มา โดยกระจกคุณภาพดจี ะให้ความรอ้ นผา่ นเข้ามาได้ถึง รอ้ ยละ 90 แตเ่ มื่อรังสีความร้อนภายในเรือนกระจกจะผ่านออก กระจกกส็ ามารถกน้ั ความร้อนไว้ได้ถึงร้อยละ 90 เช่นเดียวกนั ทำให้อณุ หภูมิภายในเรือนกระจกสงู ข้นึ กวา่ อุณหภมู ิ ท่อี ย่ภู ายนอก ซึ่งเป็นลกั ษณะเดยี วกบั ปรากฏการณ์เรือนกระจก (Green house effect) นน่ั คอื พลงั งานจาก ดวงอาทิตย์ทีส่ อ่ งมายงั โลก ส่วนใหญ่แลว้ จะอยู่ในรูปของคลนื่ แสง แสงแดดซ่งึ เปน็ รงั สคี ลนื่ สน้ั จะผ่านเข้ามาในชนั้ บรรยากาศของโลกไดง้ า่ ย พอ ๆ กบั แสงแดดท่สี ่องผ่านกระจกของเรือนกระจก พลงั งานจากแสงอาทิตย์ทำให้โลก อบอ่นุ แตเ่ มื่อแสงกระทบกบั ผิวโลกแล้ว จะสะท้อนรังสีความร้อนทม่ี ีความยาวคล่ืนมากกว่าออกไป แต่ความร้อน บางสว่ น ไม่สามารถทะลผุ ่านชนั้ บรรยากาศออกไปได้ เน่อื งจากก๊าซที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจกจะเป็นตวั สกดั กนั้ ความร้อน โดยการดดู ซบั ความรอ้ นนี้ไว้ไม่ให้กระจายออกสูอ่ วกาศ อณุ หภูมิภายในโลกจึงสูงขนึ้ คลา้ ยในเรือน กระจก จนกระท่ังจุดหน่ึง ความร้อนที่โลกไดร้ ับกบั ทส่ี ะท้อนสูอ่ วกาศเท่ากัน
110 กา๊ ซเรือนกระจกทสี่ ำคญั ได้แก่ ก๊าซคารบ์ อนไดออกไซด์ (เป็นสาเหตทุ ำให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก ถงึ ร้อยละ 50) ก๊าซมเี ทน (มีส่วนทำให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก ร้อยละ 16) คลอโรฟลอู อโรคารบ์ อน (ทำให้เกดิ ปรากฏการณเ์ รือนกระจกร้อยละ 8) ท่เี หลือ เปน็ ก๊าซ ไนตรสั ออกไซด์ ก๊าซโอโซน และอ่นื ๆ เปน็ ท่ี น่าสงั เกตวา่ ประเทศอุตสาหกรรมจะเปน็ ตัวการสำคัญในการเพิม่ ปรมิ าณก๊าซเรือนกระจกในบรรยากาศ (2) ผลกระทบจากปรากฏการณ์เรอื นกระจก เมอ่ื เกิดปรากฏการณเ์ รือนกระจกย่อมสง่ ผลกระทบตามมาก คือ ผลกระทบต่อภูมิอากาศ ในกรณีทบี่ รรยากาศแถบขัว้ โลกรอ้ นข้ึน ความแตกต่างระหวา่ งอณุ หภูมบิ ริเวณเสน้ ศูนย์ สูตรกบั ข้วั โลกย่อมลดน้อยลง สง่ ผลกระทบดงั ต่อไปนี้ 1) ส่งผลต่อการเกิดลมและฝนภาวะความกดอากาศต่ำอาจเพิ่มข้ึน ทำใหม้ ลี มมรสมุ พัด แรงและเลยข้นึ ไปทางเหนอื ซ่ึงอาจช่วยบรรเทาความแหง้ แล้งในบางพ้นื ท่ี แตใ่ นส่วนที่ได้รบั น้ำฝนมากเกินไปอาจ เกดิ อุทกภัยได้ 2) ผลกระทบต่อแหลง่ นำ้ เนอ่ื งจากน้ำแข็งในข้วั โลกละลาย จึงก่อใหเ้ กิดน้ำทะเลหนุนสูง เกิดความแห้งแลง้ ในบางพ้นื ท่ี และเกิดแหล่งนำ้ ใหม่ และเน่ืองจากมกี ๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้น ซ่ึงจะเป็น ตัวเร่งให้มีการสงั เคราะหแ์ สงมากขึ้น เรง่ การเจรญิ เตบิ โตของพืชมากก็จะใช้น้ำมากขน้ึ ทำให้นำ้ ขาดแคลนได้ 3) ผลกระทบต่อแหลง่ พลงั งาน การขุดเจาะนำ้ มันในทะเลและมหาสมุทรขึ้นอยู่กับ สภาพทางภมู อิ ากาศ เมื่อมคี วามรุนแรงของพายมุ ากข้ึน เกิดวาตภัย ยอ่ มได้รับผลกระทบต่อการขดุ เจาะหา พลงั งานดว้ ย 4) ผลกระทบต่อสขุ ภาพอนามัยของมนุษย์ อากาศท่รี ้อนจดั และความช้ืนสูง เปน็ สิ่งบน่ั ทอนสมรรถภาพในการทำงานของมนษุ ย์ มคี วามกดดันต่อสุขภาพ ร่างกายและจติ ใจ ง่ายตอ่ การแพรเ่ ชื้อโรคตา่ ง ๆ 4. ปัญหาสง่ิ แวดล้อม สภาพสิ่งแวดล้อมที่เป็นปัญหาในปจั จุบันมีมากมายหลายอย่าง อาทิ น้ำในแม่น้ำลำคลองทีเ่ น่าเสีย น้ำข่นุ ข้นด้วยโคลนตมและขยะมากมายจะใช้อาบหรือใช้ดื่มกินเหมือนแต่ก่อนนัน้ ไม่ได้ ดินที่ใช้ปลูกพืชเสยี เพาะปลูกพืชก็ ไม่เจริญเติบโต อากาศที่หายใจในชุมชนที่แออัด กลิ่นเหม็นของขยะท่ีมนษุ ยน์ ำมากองสุมกันไว้ กลิ่นเหม็นจากควัน รถยนต์และจักรยายนต์ นอกจานั้นก็มีเขม่าและควันไฟจากปล่องของโรงงานอุตสาหกรรมอีกมากมาย มนุษย์เรา ชว่ ยกันสร้างมลพิษขึ้นมา จนกระทัง่ ทำลายสงิ่ แวดลอ้ มตามธรรมชาตใิ ห้เสยี ไป สาเหตขุ องปัญหาส่งิ แวดลอ้ ม สว่ นใหญ่เกิดจากการกระทำของมนษุ ย์น้ันเอง เช่น 1. มนุษย์ตัดไมท้ ำลายปา่ กนั มากขน้ึ 2. มนษุ ย์เผาเช้ือเพลงิ ตามบา้ นเรอื น และตามโรงงานอตุ สาหกรรมมากขนึ้ 3. มนุษยผ์ ลติ สารสังเคราะห์บางอยา่ งที่ไม่สลายตวั และสลายตวั ยากมากขนึ้ เช่น พลาสตกิ โฟม จงึ ทำให้ เกิดขยะเหล่านี้มากขึ้น ส่วนสารบางอย่างที่เป็นก๊าซ เช่น ฟรีออน ซึ่งใช้ช่วยในการฉีดสเปรย์และใช้ในเครื่องทำ ความเย็น ก็จะมีปริมาณเพิ่มขึ้นในอากาศฟุ้งกระจายทั่วไป ซึ่งจะไปทำลายโอโซนในบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลกไว้ และมีผลกระทบทำให้อุณหภูมิของโลกสูงข้นึ
111 4. มนุษย์สร้างผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ขึ้นใช้แทนวัตถุดิบที่ได้จากธรรมชาติ เช่น ใช้ไฟเบอร์กลาสแทนไม้ ใช้ฟรี ออนแทนแอนโมเนยี เหลวในตู้เย็น และใช้ผงซักฟอกแทนสบู่ เปน็ ต้น เมอื่ ใชแ้ ลว้ มีสิง่ ตกคา้ งเป็นมลพิษอยู่ในอากาศ ในนำ้ และในดนิ ทำใหเ้ กิดผลเสียหายต่อพืช สตั วแ์ ละมนุษย์ดว้ ยกันเองในทีส่ ดุ 5. มนุษย์สร้างอุปกรณ์เครือ่ งใชไ้ ฟฟ้าบางชนิดทีใ่ ห้ความรอ้ น แสง เสียง ที่ทำให้เกิดอันตรายต่อมนุษยไ์ ด้ มากข้นึ มนษุ ย์สร้างบายพาหนะทใ่ี ช้ในการเดนิ ทาง เชน่ จักรยานยนต์ รถยนต์ และยานอวกาศ เพอ่ื ออกไปสำรวจ อวกาศนอกโลกมากขน้ึ สภาวะท่ีเปน็ พิษและท่เี ป็นอนั ตรายต่อมนุษย์ 1. อากาศที่หายใจไม่บริสุทธ์ มีเม่าและควันปะปนมา ตลอดจนมีกลิ่นเหม็น และมีก๊าซที่เป็นอันตรายต่อ ระบบหายใจของมนษุ ย์ 2. น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ทำให้น้ำทะเลมีระดับสูงและไหลเข้ามาปนกับน้ำจืดในแม่น้ำลำคลองมากขึ้น น้ำ ทว่ มไร่นา บ้านเรือน ถนนเสยี หายโดยฉบั พลัน 3. ฝนเปน็ กรดทำลายพืชพนั ธ์ุธัญญาหาร ทำลายดนิ ทำให้ปลูกพชื ไม่งอกงาม 4. โลกจะรอ้ นข้นึ ฤดูกาลจะแปรปรวน 5. ช้นั โอโซนถูกทำลายและไมช่ ว่ ยกรองรงั สอี ันตราย ทำให้ตาเป็นตอ้ และผวิ หนังเปน็ มะเร็ง สารมลพษิ มบี ทบาทต่อความรอ้ นของโลก 1. ทำลายโอโซนในชั้นสตราโทสเฟียร์ จึงทำให้โลกรับพลังงานความร้อนโดยตรงจากดวงอาทิตย์มากข้ึน โอโซนถูกทำลายได้ดว้ ยสารคลอโรฟลูออโรคาร์บอน หรือที่เรียกว่า ฟรีออน ส่วนใหญ่ใช้ในเครื่องทำความเย็นและ เคร่ืองปรับอากาศ นอกจากน้นั ยังใชเ้ ป็นก๊าซขบั ดน้ ในกระป๋องฉีดสเปรย์ตา่ ง ๆ หรือใช้เปา่ ให้เกิดฟองในเนื้อของโฟม ท่ใี ช้ทำกลอ่ งบรรจุอาหารตา่ ง ๆ เน่อื งจากสารเหล่าน้ีมีอายุอยู่ในบรรยากาศได้ 75-110 ปี จึงทำลายก๊าซโอโซนได้ ตอ่ เนื่องเป็นระยะเวลาอันนาน ดงั ท่ีไดพ้ บหลักฐานชอ่ งโหวใ่ นช้นั โอโซนขยายตวั กวา้ งขน้ึ ทุกปี 2. มีมลพิษในบรรยากาศชัน้ ล่างที่ห่อหุ้มผิวโลกมากขึ้นกว่าปกติ สารมลพิษเหลา่ น้ีจะเก็บกักรังสีความร้อน ไวม้ ากกวา่ ปกติ จงึ ทำให้โลกมอี ุณหภมู สิ ูงขึ้น การเกิดมลพิษในส่งิ แวดลอ้ ม 1. มลพิษทเี่ ปน็ ก๊าซของเหลวและของแข็ง จะเกิดข้ึนจากธรรมชาติจากการเผาไหมเ้ ช้ือเพลิง จากการตัดไม้ ทำลายปา่ และจากการปนเป้ือนแทรกซมึ ของสารสังเคราะหบ์ างชนดิ ท่มี นุษยเ์ ราผลิตใช้กนั 2. มลพิษที่เป็นพลังงาน เช่น พลังงานความร้อนที่ทำให้โลกมีอุณหภมู ิสูงขึ้นเนื่องมาจากการตัดไม้ทำลาย ป่า การทำลายโอโซนในบรรยากาศทีห่ ่อหุ้มโลกไว้ การสร้างยานพาหนะที่มีการเผาไหม้สูง หรือมีการเผาไหม้ที่ไม่ สมบูรณ์ เป็นต้น ส่วนมลพษิ ทีเ่ ป็นพลงั งานชนิดอื่น เชน่ แสง เสยี ง และแม่เหลก็ ไฟฟา้ นนั้ กเ็ กิดจากการท่มี นุษย์ ผลิตสนิ คา้ และผลติ ภัณฑใ์ หม่ ๆ ที่ไปทำลายประสาทหู ตา และประสาทสัมผสั อืน่ ของมนุษยม์ ากขน้ึ ปัญหาดา้ นพลังงานทส่ี ำคัญในปัจจบุ ันท่มี ีผลกระทบของพลังงานตอ่ การดำรงชีวติ ดังต่อไปนี้
112 1. พลังงานที่มีอยู่เริ่มลดปริมาณและจะหมดสิ้นไปในระยะเวลาไม่นาน เช่น ปิโตรเลียม แก๊สธรรมชาติ เปน็ ต้น 2. มีการใช้พลังงานที่ไม่เหมาะสมและมีอันตรายในการผลิตหรือใช้พลังงาน เช่น ใช้น้ำมันค่าออกเทน สูง เติมในรถยนตท์ ี่สามารถใช้คา่ ออกเทนตำ่ ได้ เป็นตน้ 3. ใช้พลงั งานอย่างสิ้นเปลือง ไม่คำนงึ ถึงผลกระทบท่ีจะเกิดข้ึนจากการใช้พลังงานนั้นๆ เช่น เปิดไฟฟ้าทิ้ง ไว้ ใช้รถโดยไมค่ ำนงึ ถงึ การบรโิ ภคนำ้ มัน เปน็ ตน้ 4. เร่งพัฒนาศักยภาพด้านอุตสาหกรรมของประเทศ ส่งผลให้การใช้พลังงานเป็นไปอย่างไร้ประสิทธิภาพ มีการใช้พลังงานในปริมาณมากเกินที่ประเทศมี ต้องนำเข้าจากต่างประเทศส่งผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจของชาติ ตอ่ ไป 5. เกิดขยะที่เหลือจากการผลิตหรือใช้งานพลังงาน ในระบบค่อนข้างมากส่งผลให้เกิดมลภาวะต่อ สภาพแวดลอ้ ม ท้งั ที่สิง่ ที่เหลอื จากการผลิตหรือใช้งานพลังงานดังกล่าวสามารถนำมาใชไ้ ด้อกี ก็ตาม 6. เกดิ ความเสียหายต่อระบบและส่ิงแวดลอ้ มจากการผลิตหรือใชพ้ ลังงานค่อนขา้ งมาก ในปัจจบุ ัน 4. แบบฝึกหดั /แบบทดสอบ ขอ้ สอบประจำหนว่ ยที่ 6 เรอ่ื ง เร่ือง ปญั หาจากการใช้พลงั งาน: สภาวะโลกรอ้ น วชิ า พลังงาน ทรัพยากรและส่งิ แวดล้อม รหสั 20001-1002 ระดบั ปวช. คำช้แี จง: 1 ข้อสอบมจี ำนวน 10 ข้อ 2. ให้นกั เรยี นเขยี นเครื่องหมาย X ข้อท่ีเห็นว่าถูกต้องท่ีสุดเพยี งข้อเดียวลงในกระดาษคำตอบ
113 1. การต้งั โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่จากพลังงานชนดิ ใดท่ี Cl + O3 ClO + O2 อาจกอ่ ใหเ้ กดิ ปญั หาการทรุดตวั ของแผน่ ดินได้ ก. พลงั งานจากกงั หันลม O + ClO Cl + O2 ข. พลังงานนวิ เคลียร์ ค. พลังงานความรอ้ นใต้พิภพ ก. คลอรีนเปน็ ตวั เรง่ ปฏกิ ริ ยิ า ทำใหโ้ อโซนแตกตวั ง. พลงั งานถ่านหนิ ข. คลอรีนชว่ ยเพ่ิมออกซิเจนในอากาศ 2. พลงั งานชนิดใด ถา้ เกิดการรัว่ ไหลแล้วจะเปน็ อันตรายมากต่อส่งิ มชี วี ิตในทนั ทที ันใด และเกิดผล ค. คลอรีนสามารถรวมกบั ก๊าซใดก็ได้ ระยะยาว ก. พลังงานจากกังหันลม ง. คลอรีนเปล่ียนแปลงเป็นสารอื่นเสมอ ๆ ข. พลังงานนวิ เคลยี ร์ ค. พลงั งานความร้อนใตพ้ ภิ พ 6. ปญั หาสิ่งแวดลอ้ มระดับโลกในปจั จุบันท่สี ่งผล ง. พลงั งานถา่ นหนิ กระทบกวา้ งขวางไปทั่วโลก คือข้อใด 3. พลังงานท่ีไมก่ อ่ มลพษิ ร้ายแรงแต่อาจมเี สียงรบกวน หรือ รบกวนคลน่ื วทิ ยคุ ือพลงั งานใด ก. ดินเส่อื มสภาพ ก. พลงั งานจากกงั หนั ลม ข. บรรยากาศชน้ั โอโซนถกู ทำลาย ข. พลังงานนวิ เคลียร์ ค. พลังงานความร้อนใต้พิภพ ค. ภาวะนำ้ ท่วม ง. พลังงานถ่านหิน 4. สารท่ีใชใ้ นเคร่อื งทำความเย็น เปน็ อันตรายตอ่ รู ง. มลพิษทางนำ้ โอโซน คอื สารอะไร ก. คารบ์ อนมอนอกไซด์ 7. การเกดิ รูโอโซน ทำใหร้ ังสที ่เี ป็นอันตรายตอ่ มนุษย์ ข. ซลั เฟอรไ์ ดออกไซด์ ค. ไนตรัสออกไซด์ สอ่ งมายังโลกในปรมิ าณทมี่ ากขนึ้ คอื รังสีอะไร ง. คลอโรฟลอู อโรคาร์บอน จากสมการตอ่ ไปนี้ เปน็ ปฏิกริ ิยาท่เี กิดขึ้นในช้ัน ก. รงั สอี ลั ตราไวโอเลต เอ โอโซน หมายความวา่ อยา่ งไร ตอบข้อ5 ข. รงั สอี ลั ตราไวโอเลต บี ค. รงั สอี ินฟราเรด เอ ง. รงั สอี ินฟราเรด บี 8. การท่กี า๊ ซโอโซนถกู ทำลาย ให้สิ่งมชี ีวิตบนโลกได้รบั รงั สีอัลตราไวโอเลตเพ่ิมขน้ึ ส่งผลตอ่ สิ่งมชี ีวิตอย่างไร ก. พืชจะสงั เคราะห์แสงลดลงเพราะเซลลค์ ลมุ รอบปาก ใบไดร้ ับอนั ตรายจากแสงจะปิดปากใบ ข. พชื จะสังเคราะห์แสงมากขนึ้ เพราะแสงมคี วาม เขม้ ข้นสงู ข้ึน ค. พชื จะออกดอกออกผลมากขึน้ แต่จะกลายพันธ์ุ ง. พืชใหผ้ ลผลิตมากข้นึ เนื่องจากกระแสนำ้ เปล่ยี นทิศ
114 9. การเกิดภาวะเรือนกระจก เกดิ ขึ้นเพราะเหตใุ ด 13. ข้อใดเปน็ ขยะอันตราย ก. แสงไมส่ ามารถสอ่ งเข้ามายังโลกได้ เพราะเหมือน ก. เศษแก้ว ถ้วยชาม มีกระจกก้นั ไว้ ข. เศษโลหะ เศษยาง ข. แสงทสี่ ่องมายังโลกได้ แต่ความรอ้ นกลับออกไป ไมไ่ ด้ ทำให้โลกรอ้ นขึน้ ค. เศษอาหาร ท่ีมแี บคทเี รียเนา่ เหม็น ค. รงั สีทส่ี ่องมายังโลกเปน็ รงั สคี ลน่ื ยาว แตเ่ มอื่ ง. ถา่ นไฟฉาย หลอดไฟฟลอู อเรสเซนต์ กระทบกบั โลกจึงเปลย่ี นเปน็ รังสีคล่ืนสนั้ ทำให้ 14. นำ้ เสียจากครัว จะเปน็ นำ้ เสียประเภทใด ควรกำจดั กลบั ออกไปไม่ได้ ดว้ ยวิธีใด ง. อุณหภมู ิภายในโลกสงู ข้นึ เน่ืองจากพลงั งานใต้ พภิ พมากข้ึน จ. เปน็ น้ำทีม่ ีความขุ่นมาก ควรใชว้ ิธกี ารกรอง 10. ก๊าซตวั การสำคัญที่ทำใหเ้ กิดปฏิกิริยาเรือนกระจก ฉ. เปน็ น้ำที่มีสารพิษสงู ต้องใช้วธิ ีตกตะกอน มากทส่ี ดุ ในปัจจบุ ันคอื ก๊าซใด ก. คลอรีน ช. เปน็ นำ้ ทีม่ คี วามกระด้างมาก ควรใชส้ ารสม้ แกวง่ ข. มเี ทน ก่อน ค. ออกซเิ จน ง. คารบ์ อนไดออกไซด์ ซ. เปน็ น้ำทม่ี ีไขมนั มาก ควรตกั ไขมันท่ลี อยเปน็ ฝา แข็งอยู่บริเวณผวิ หน้าทง้ิ ไปก่อน 11. ก๊าซใดไม่ใช่ก๊าซเรอื นกระจก ก. คาร์บอนไดออกไซด์ 15. ช้ันโอโซนถกู ทำลายสง่ ผลต่อสขุ ภาพของมนษุ ย์ ข. ไนโตรเจน อย่างไร ค. คลอโรฟลูออโรคารบ์ อน ง. มเี ทน ก. เป็นโรคเร้อื น 12. ขอ้ ใดไม่ใชผ่ ลกระทบจากปรากฏการณ์เรือนกระจก ข. เปน็ อัมพาต ก. น้ำแข็งขั้วโลกละลาย นำ้ ทะเลหนนุ สูงขึน้ ข. กา๊ ซคาร์บอนไดออกไซดล์ ดลง พชื สงั เคราะหแ์ สง ค. ตาเปน็ ตอ้ ไดน้ อ้ ยลง ง. ผวิ หนงั เปน็ สีเผือก ค. อากาศร้อนจัด ความช้ืนสงู บ่ันทอนต่อสุขภาพ 16. ข้อใดถอื ว่าเปน็ การใชพ้ ลังงานอย่างไม่เหมาะสม กายของมนุษย์ ก. ตดิ ตัง้ แก๊ส NGV ในรถยนต์เพื่อทดแทนนำ้ มัน ก. ลมพายุในทะเลมีความรนุ แรงมากขึน้ อาจเกดิ ข. ใช้น้ำมนั ท่ีใช้แล้วมาพชื มาผลติ มาผลติ นำ้ มนั ไบ วาตภัยในทะเลได้ โอดเี ซล ค. ใช้เคร่อื งปรับอากาศเบอร์ 5 ในทุกห้องท่ี ตอ้ งการทำความเย็น ง. ใช้นำ้ มันเบนซิน 95 เติมในรถยนต์ท่สี ามารถ 17. ขอ้ ใดไมใ่ ช่ ปัญหาด้านพลังงาน ก. พลงั งานเร่ิมลดปริมาณลงและจะหมดในไม่นาน ข. ใช้พลังงานไมเ่ หมาะสม ค. การลดกจิ กรรมท่ีใช้พลงั งานลง ง. ใช้พลังงานอยา่ งไรป้ ระสทิ ธภิ าพ
115 18. เหตุใดจึงต้องใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าในบ้านท่ีมี 23. เหตุใดการประชมุ ทก่ี รุงเวียนนา จึงมขี ้อตกลงใหล้ ด ประสทิ ธิภาพสูง การผลติ และใชส้ ารคลอโรฟลูออโรคาร์บอนท่วั โลก ก. ชว่ ยประหยัดพลงั งาน ก. เพราะสารน้ีราคาแพงเกนิ ไป และหาสารอื่น ข. ทนั สมยั แทนไดแ้ ล้ว ค. สวยงาม ข. เพราะสารนี้ทำลายก๊าซโอโซน ง. หาซือ้ งา่ ย ค. เพราะสารนี้มีรงั สที ่ีเป็นอันตรายต่อมนุษย์ ง. เพราะสารน้ีเม่ือรวมตัวกับฝนแล้วทำใหเ้ กิดฝน 19. เพราะเหตุใดจึงต้องมีการพักนำ้ หล่อเยน็ ก่อนปลอ่ ยลง กรด สู่แม่น้ำ ก. นำ้ จะได้ตกตะกอน มีเฉพาะนำ้ ใสลู่แม่น้ำ 24. ผงซกั ฟอกทผี่ สม ZEOLITE มคี ณุ สมบัติอยา่ งไร ข. สารพษิ จะไดเ้ จือจางลง กอ่ นลงสูแ่ มน่ ้ำ ก. ชว่ ยทำให้ผ้าสะอาดข้นึ ค. น้ำจะมีสจี างลงกอ่ นลงสู่แมน่ ำ้ ข. ช่วยดูแลรกั ษาน้ำ ง. นำ้ จะไดป้ รับอุณหภูมลิ ง กอ่ นลงสแู่ ม่นำ้ ค. ชว่ ยลดตน้ ทุน ง. ชว่ ยให้มือนมุ่ 20. วิธีการใดเป็นวธิ ีการแก้ไขปญั หาสิง่ แวดล้อมได้ ก. ชว่ ยกันปลกู ต้นไม้บรเิ วณท่ีสาธารณะ 25. การนำของเสียมาผา่ นกระบวนการผลติ ข. ท้งิ ขยะให้เปน็ ท่ลี งในถงั เปน็ ของใช้ใหม่ เชน่ นำเศษพลาสติก ค. ดูแลเครอ่ื งรถยนต์ไมใ่ ห้มีควนั ดำ แตกมาผลติ เปน็ ภาชนะตา่ ง ๆ ง. ถูกทุกข้อ ก. Recycle (เวียนใชใ้ หม่) ข. Refill (การใช้ผลติ ภัณฑ์ชนิดเติม) 21. การปลกู ป่าทดแทนช่วยลดภาวะโลกรอ้ นได้อยา่ งไร ค. Reuse (ใช้ใหม่อีก) ก. ต้นไม้สามารถดดู ซับน้ำไว้ ง. Reclaim (ทำซ้ำ) ข. ตน้ ไมส้ ามารถดูดซับสารพษิ ตา่ ง ๆได้ ค. ต้นไมท้ ำใหร้ ม่ ร่ืน สบายตา สบายใจ ง. ตน้ ไมช้ ว่ ยลดคาร์บอนไดออกไซดซ์ ่งึ เป็น ตัวการทำให้โลกร้อน 22. สารตอ่ ไปน้ีก่อใหเ้ กิดมลพิษความร้อน ยกเวน้ สาร ชนดิ ใด ก. ก๊าซออกซิเจน ข. กา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซด์ ค. แกส๊ มเี ทน ง. สารคลอโรฟลอู อโรคารบ์ อน
ใบงาน ท่ี ........ 6........ 116 หลกั สตู ร ประกาศนยี บัตรวิชาชีพ หนว่ ยท่ี 6 รหัส 20001-1002 พลงั งาน ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม สอนครง้ั ท.่ี ..6-7.... ช่อื งาน........ผลกระทบจากการผลิตและการใช้พลงั งาน เวลา.........4.........ชม. 1. จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม หลงั จากทำกิจกรรมน้ีเสรจ็ แล้ว นกั เรยี น อธบิ ายเรื่อง ผลกระทบและการป้องกันแก้ไขปัญหาดา้ นพลงั งานและ ส่งิ แวดล้อมได้ 2. สมรรถนะ นักเรียนมีความเข้าใจเร่ือง ผลกระทบและการปอ้ งกันแก้ไขปญั หาด้านพลังงานและส่งิ แวดลอ้ ม 3. เคร่อื งมือ วสั ดุ และอปุ กรณ์ แบบสอบถาม แบบสงั เกต ภาพถา่ ย 4.คำแนะนำ - 5. ข้อควรระวัง - อย่าให้นักเรยี นที่คดิ ได้ คดิ เพยี งคนเดียว 6. ลำดับขน้ั การปฏบิ ตั งิ าน 5. แบ่งนกั เรียนเปน็ กลุ่มละ 5 คน เพอ่ื ระดมสมอง 6. ใหน้ กั เรียนแต่ละกลมุ่ ศกึ ษาผลกระทบจากการใชพ้ ลังงานของชุมชนรอบบา้ น เพื่อนำมาวิเคราะหว์ ่าพบ ปัญหาใดบ้าง และหาวิธกี ารแกไ้ ขปัญหา 3. นกั เรยี นนำเสนอผลงาน รวมทกุ กลุ่มประมาณ 20 นาที 4. ครูและนักเรียนร่วมกนั สรุป 7. ผลการศึกษา 3. เน้อื หาทนี่ ำเสนอ 4. วธิ กี ารนำเสนอ 8. สรปุ และวิจารณ์ผล ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................
117 9. การประเมนิ ผล 1. สงั เกตพฤติกรรมรายบุคคล 2. ประเมนิ พฤติกรรมการเขา้ รว่ มกิจกรรมกลุ่ม 3. สงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกิจกรรมกลุม่ 4 ตรวจกจิ กรรมส่งเสรมิ คุณธรรมนำความรู้ 5. ตรวจแบบประเมินผลการเรยี นรู้ แบบฝกึ ปฏิบัติ 6. ตรวจกจิ กรรมใบงาน 7. การสงั เกตและประเมินพฤติกรรมดา้ นคุณธรรม จริยธรรม คา่ นิยม และคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ 10. เอกสารอ้างอิง /เอกสารค้นคว้าเพิ่มเติม หนงั สือเรยี นวิชา พลังงาน ทรัพยากรและสง่ิ แวดล้อมสำนักพิมพเ์ อมพนั ธ์ รหัส 20001-1002 และ อนิ เทอรเ์ น็ต
118 แผนการจัดการเรยี นรู้ หนว่ ยที่ 7 หลกั สูตร ประกาศนยี บตั รวชิ าชีพ สอนคร้ังที่ 8 (15-16) รหสั 20001-1002 พลังงาน ทรพั ยากรและสง่ิ แวดล้อม ท-ป-น 2-0-2 ช่ือหน่วยการเรียนรู้ สถานการณป์ ญั หาพลังงาน ทฤษฎี 2 ชม. 1. สาระสำคญั พลงั งานนบั เป็นปจั จยั พืน้ ฐานที่สําคญั ในชีวิตประจําวันของมนุษย์ในปัจจบุ นั การพฒั นาเศรษฐกจิ ทำให้มีการ นำพลงั งานฟอสซลิ มาใช้มากยิง่ ขน้ึ เป็นผลให้เกิดสารพิษจากการเผาไหม้ และเกิดปญั หาความเสือ่ มโทรมของ สภาพแวดล้อม การเปลยี่ นแปลงราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกทเี่ พ่ิมสงู ขน้ึ ก่อให้เกดิ วกิ ฤตการณ์ขาดแคลนพลงั งาน ท่ีมี ผลกระทบต่อเศรษฐกิจท้งั ในระดับครอบครัว ระดบั ประเทศ และระดบั โลกเป็นอย่างมาก 2. สมรรถนะประจำหนว่ ย 1.นกั เรียนสามารถวิเคราะหป์ ัญหาพลงั งานของโลกได้ 2.นกั เรยี นสามารถวเิ คราะห์ปัญหาการใชพ้ ลังงานในประเทศไทยได้ 3.นักเรยี นสามารถวเิ คราะห์ผลกระทบต่อสง่ิ แวดล้อมจากการผลิตและการใช้พลงั งานในประเทศไทยได้ 4.นกั เรยี นสามารถสรุปกลุ่มกิจกรรมท่ีทำให้เกิดสภาวะโลกรอ้ นได้ 3. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1.วเิ คราะหป์ ญั หาพลงั งานของโลกได้ 2.วเิ คราะหป์ ัญหาการใช้พลังงานในประเทศไทยได้ 3.วิเคราะหผ์ ลกระทบต่อสิ่งแวดลอ้ มจากการผลิตและการใช้พลังงานในประเทศไทยได้ 4. มกี ารพัฒนาคณุ ธรรม จรยิ ธรรม คา่ นยิ ม และคุณลักษณะอนั พงึ ประสงคข์ องผู้สำเร็จการศกึ ษา สำนักงาน คณะกรรมการการอาชีวศกึ ษา ทค่ี รสู ามารถสงั เกตได้ขณะทำการสอนในเรือ่ ง 4.1 ความมีมนุษยสมั พันธ์ 4.2 ความมีวินัย 4.3 ความรบั ผดิ ชอบ 4.4 ความซื่อสตั ย์สจุ ริต 4.5 ความเชอื่ ม่นั ในตนเอง 4.6 การประหยัด 4.7 ความสนใจใฝร่ ู้ 4.8 การละเวน้ สิ่งเสพติดและการพนัน 4.9 ความรกั สามัคคี 4.10 ความกตัญญกู ตเวที 4.11 แต่งกายตามข้อตกลง ตรงเวลา รักษาสิง่ แวดล้อม ใจอาสา
119 4. สาระการเรยี นรู้ 1.ปญั หาพลงั งานของโลก 2.ปัญหาการใช้พลังงานในประเทศไทย 3.ผลกระทบต่อสิง่ แวดล้อมจากการผลติ และการใช้พลังงานในประเทศไทย 5. กจิ กรรมการเรียนรู้ (สปั ดาหท์ ่.ี ..8........) ข้ันนำเขา้ สูบ่ ทเรียน 1.ครกู ลา่ วว่าดวงอาทติ ย์เป็นแหลง่ ทีใ่ ห้พลังงานกบั ระบบนิเวศของโลก โลกได้รับพลังงานในรูปของการแผ่รงั สี รงั สีทง้ั หมดที่ส่งมาจากดวงอาทติ ย์จะผา่ นชัน้ บรรยากาศของโลกเพอื่ ใชใ้ นการสังเคราะห์แสงเพยี ง 1% เท่านนั้ ผูผ้ ลิต คอื พืชท่มี คี ลอโรฟลิ ลจ์ ะเปล่ียนพลงั งานแสงให้เป็นพลังงานเคมี แล้วนำพลงั งานเคมีไปสงั เคราะห์ สารประกอบที่มี โครงสร้างงา่ ยๆ คือ คาร์บอนไดออกไซด์ ใหส้ ารประกอบทมี่ ีโครงสรา้ งซับซ้อนและมีพลงั งานสงู คือ คารโ์ บไฮเดรต 2.ครูกล่าวเพมิ่ เติมว่าอตั ราการใช้พลังงานของประชาคมโลกเพ่ิมขน้ึ อย่างรวดเร็ว ดังนน้ั ความต้องการจึงมี เพ่ิมขน้ึ เปน็ จำนวนมาก และปัญหาท่ีตามมาก็มากเช่นเดยี วกัน หากทุกคนไมช่ ่วยกันและใช้พลังงงานอยา่ งถูกต้อง 3.ผเู้ รยี นเลา่ ถึงการร่วมกจิ กรรมการรณรงคป์ ญั หาการใชพ้ ลังงานทเี่ คยมปี ระสบการณท์ ่ีผ่านหาใหเ้ พ่ือนในชัน้ เรียนฟัง ขั้นสอน 4.ครูใช้เทคนิคการสอนแบบบรยาย และใช้ Power Point เป็นสอ่ื ประกอบ เพือ่ อธิบายสถานการณ์ปญั หา พลงั งานเกย่ี วกับปัญหาพลงั งานของโลก ซง่ึ มกี ารศกึ ษาเปรียบเทียบพลังงานที่ผลิตได้กับปริมาณความต้องการใช้ พลังงานของโลกทุกๆ 25 ปี โดยเน้นพลงั งานจากนวิ เคลยี ร์ นํ้ามัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหนิ ผลการศกึ ษา เปรยี บเทยี บพลังงาน ทง้ั 4 ประเภท ดังแผนภูมิ 5.ครใู ช้ส่ือ Power Point ประกอบการสรุปสถานการณ์แนวโน้มในอนาคตทางดา้ นพลงั งานของโลก จนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 2030 ได้ดงั นี้ 5.1 จำนวนประชากรโลกมีการเพมิ่ ขนึ้ ในอตรั าทลี่ ดลงทุกช่วงเวลาทพ่ี จิ ารณา โดยลดลงจาก 1.5% ใน อดตี เหลือเพียงประมาณ 1% ในช่วงปี 2000-2030 5.2 ค่าผลติ ภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) แสดงรปู ภาพความสัมพนั ธ์ระหว่างจาํ นวนประชากรและ ผลติ ภัณฑ์มวลรวมในประเทศของโลก ดังนี้
120 5.3 ความตอ้ งการพลังงานของโลกเพิม่ ข้นึ อย่างต่อเนื่อง แสดงรูปภาพแนวโน้มความต้องการพลงั งาน ของโลก 5.4. การใช้พลงั งานในภาคเศรษฐกิจต่างๆ ดังแสดงในรปู ภาพ 5.5 แนวโน้มราคานํา้ มนั และก๊าซธรรมชาติ ดังแสดงในรปู ภาพ 6.ครแู ละผูเ้ รยี นใชส้ ือ่ วีดิโอ (วีดที ศั น์) เพือ่ ให้ผ้เู รยี นได้ศึกษาหาความรู้เรอ่ื งปัญหาการใช้พลงั งานใน ประเทศไทย ซง่ึ การพฒั นาไปสู่ความทนั สมัย (Modernization) ตามแบบสังคมตะวันตก ได้ก่อให้เกิดการ เปลย่ี นแปลงในการใช้พลังงาน และทรัพยากรธรรมชาตขิ องไทย เช่นเดียวกบั ทเ่ี กิดข้นึ ในประเทศต่างๆ ทวั่ โลก ซ่งึ เป็นการเปล่ียนแปลงทเ่ี พิ่มมากขึ้นเร่ือยๆ จนถึงปัจจุบัน ดังรปู ภาพทแ่ี สดงการใช้พลงั งานต้ังแต่ปี พ.ศ.2532- 2557 ปญั หาการใช้พลังงานของประเทศรุนแรงขน้ึ จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นวกิ ฤตการณ์ด์านพลังงาน ซึ่งสรุป สาเหตุของวกิ ฤตการณ์พลังงานได้ดงั นี้ 1) การขาดแคลนพลงั งานประเภทน้ํามนั เช้ือเพลงิ 2) ต้องพึ่งพาการนําเขา้ นํา้ มันเชอ้ื เพลงิ จากต่างประเทศ 3) ขาดความรู้ และเทคโนโลยใี นการพัฒนาพลังงาน 4) นโยบายด้านพลงั งานของประเทศเพิง่ เริ่มต้นอย่างจริงจัง 5) ความฟุ่มเฟือย และการใช้พลังงานอย่างขาดประสทิ ธภิ าพ 7.ครแู ละผู้เรยี นใช้ส่อื Power Point ประกอบการเรยี นเรื่องผลกระทบต่อสงิ่ แวดล้อมจากการผลติ และ การใช้พลังงานในประเทศไทย โดยการใช้พลังงาน และทรัพยากรธรรมชาตอิ ่ืนๆ ในการผลติ การบริโภคทผี่ ่านมา ได้ ก่อให้เกดิ การสญูเสียทรพั ยากรธรรมชาติโดยตรง เช่น การขดุ เจาะ จดั หา และลำเลยี พลังงาน เป็นตน้ การผลิตและใช้พลังงานของประเทศมผี ลกระทบต่อสงิ่ แวดล้อมดงั น้ี อณุ หภมู ิสูงข้ึน อากาศเปน็ พิษ สภาพภมู ศิ าสตร์เปลี่ยนแปลง
121 8.ผเู้ รยี นปฏบิ ตั กิ ิจกรรมดังต่อไปนี้ 8.1 ผู้เรยี นวิเคราะห์ข่าว 8.2 ผู้เรยี นอภิปรายแสดงความคดิ เห็นเก่ียวกับการแก้วิกฤตการณ์พลังงานแบง่ เป็น 3 กลุ่ม กลมุ่ ท่ี 1 การสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลยี ร์ กลมุ่ ท่ี 2 การสร้างโรงไฟฟ้าพลงั น้าํ จากเข่ือน กลมุ่ ที่ 3 การสร้างโรงไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ 8.3 แตล่ ่ะกลุ่มค้นคว้าหาข้อมูล ในประเดน็ ข้อดีและข้อเสียของการสร้างโรงไฟฟ้าทง้ั 3 กลุ่มใน มมุ มองของผู้ทเ่ี กย่ี วข้องกับสถานการณ์ท่ีกำหนดให้ เช่น นกั วชิ าการ นกั ธรุ กิจที่จะมาลงทุน ชาวบ้านในพน้ื ท่ี นกั อนุรักษ์ ผู้นาํ ชุมชนในพนื้ ท่ี เจ้าของที่ดนิ 8.4 ผู้ดําเนินรายการ 8.5 ผู้เรียนเขียนข้อมูลสาํ หรับการอภปิ ราย หวั ข้ออภปิ ราย ผู้รว่ มอภปิ ราย/ข้อมลู ขั้นสรปุ และการประยกุ ต์ 9.ครสู รปุ โดยถามคำถามหรือกำหนดปัญหาโดยให้ผู้เรียนระดมสมองช่วยกนั คิดหาคำตอบแลว้ อธบิ าย คำตอบใหเ้ พ่ือนทุกคนในกลุ่มของตนเองเข้าใจ 10.ครูและผู้เรียนสรุปว่าการพัฒนาประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้มุ่งเปลี่ยนแปลง ประเทศอย่างเร่งรัด และรวดเร็วให้ไปสู่ความทันสมัยในด้านเศรษฐกิจ สังคม โดยมุ่งหมาย “การพฒันา” ไปที่ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการผลิต และการบริโภคตามแบบประเทศตะวันตก เกิดนโยบาย ส่งเสริมอุตสาหกรรม การปรับปรุงการคมนาคม การทําเกษตรกรรมแผนใหม่ ซึ่งใช้เครื่องจักรกลแทนแรงงานสัตวและคน ช่วงของการ พัฒนาไปสู่ความทันสมัยน ทำให้เกิดความต้องการพลังงานท่ีมีมากเกินกว่าปริมาณพลังงานที่จะจัดหาได้ ภายในประเทศ จนต้องมกี ารนำเขา้ พลังงานจำนวนมหาศาล สูญเู สียเงินตราและงบประมาณแผ่นดนิ เป็นจํานวนมาก 11.ครใู ช้วธิ ีสมุ่ ผู้เรยี นทุกกลุ่มตอบคำถามและอธบิ ายใหเ้ พื่อนฟังทั้งช้ันเรยี น 12.ผู้เรียนทำใบงาน และทำแบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ 6. สอื่ และแหลง่ การเรยี นรู้ 1.หนังสอื เรียน วิชาพลงั งาน ทรัพยากรและสงิ่ แวดล้อม ของสำนักพิมพเ์ อมพันธ์ 2.ส่อื Power Point, วีดที ศั น์ 3.กจิ กรรมการเรยี นการสอน 4.รปู ภาพประกอบ 5.แบบประเมนิ ผลการเรียนรู้
122 7.หลักฐานการเรียนรู้ 1.บันทึกการสอนของผสู้ อน 2.ใบเช็ครายชื่อ 3.แผนจดั การเรียนรู้ 4.การตรวจประเมนิ ผลงาน 8.การวัดและประเมินผล 8.1 วิธกี าร 1. สงั เกตพฤติกรรมรายบคุ คล 2. ประเมินพฤติกรรมการเขา้ รว่ มกิจกรรมกลุ่ม 3. สงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ ร่วมกิจกรรมกลุ่ม 4 ตรวจกิจกรรมสง่ เสริมคุณธรรมนำความรู้ 5. ตรวจแบบประเมินผลการเรยี นรู้ แบบฝกึ ปฏบิ ัติ 6. ตรวจกิจกรรมใบงาน 7. การสังเกตและประเมินพฤติกรรมด้านคุณธรรม จรยิ ธรรม ค่านยิ ม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 8.2 เคร่อื งมือ 1. แบบสังเกตพฤติกรรมรายบคุ คล 2. แบบประเมนิ พฤตกิ รรมการเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม (โดยครู) 3. แบบสังเกตพฤติกรรมการเขา้ ร่วมกจิ กรรมกลุ่ม (โดยผู้เรยี น) 4. แบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ และแบบฝกึ ปฏิบัติ 5. แบบประเมนิ กิจกรรมใบงาน 6. แบบประเมินคุณธรรม จริยธรรม คา่ นิยม และคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ โดยครูและผู้เรียนร่วมกัน ประเมนิ 8.3 เกณฑ์ 1. เกณฑผ์ ่านการสังเกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล ต้องไมม่ ชี อ่ งปรับปรุง 2. เกณฑ์ผา่ นการประเมนิ พฤติกรรมการเขา้ รว่ มกิจกรรมกลมุ่ คือ ปานกลาง (50 % ขึ้นไป) 3. เกณฑผ์ ่านการสังเกตพฤติกรรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลุ่ม คือ ปานกลาง (50% ข้นึ ไป) 4. แบบประเมินผลการเรียนรู้มเี กณฑผ์ า่ น และแบบฝกึ ปฏิบัติ 50% 5. แบบประเมินกิจกรรมใบงานมีเกณฑผ์ ่าน 50% 6. แบบประเมินคุณธรรม จรยิ ธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ คะแนนข้นึ อยู่ กับการประเมินตามสภาพจริง
123 9.บนั ทกึ ผลหลังการจดั การเรียนรู้ 9.1 ข้อสรปุ หลงั การจดั การเรยี นรู้ .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. 9.2 ปัญหาท่พี บ .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. 9.3 แนวทางแก้ปัญหา .................................................................................................................. ................................ .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. ........................................................................................................................................... .......
124 ใบความรูท้ ี่ .....7 หน่วยท่ี 7 หลกั สตู ร ประกาศนียบตั รวิชาชพี สอนคร้ังที่ 8 เวลา......2............ชม. รหสั 20001-1002 พลังงาน ทรพั ยากร และสง่ิ แวดลอ้ ม ช่ือเรอื่ ง เรอื่ ง สถานการณ์ปัญหาพลังงาน 1. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1. ผู้เรยี นเขา้ ใจสถานการณพ์ ลงั งานของประเทศไทยและของโลก 2. ผเู้ รียนเข้าใจวิธีการแกไ้ ขวกิ ฤตพลงั งาน 2. สมรรถนะ 1. อธบิ ายสถานการณ์พลงั งานโลกได้ 2. อธิบายสถานการณ์พลงั งานของประเทศไทยได้ 3. วเิ คราะห์สาเหตปุ ัญหาพลงั งานได้ 4. เสนอแนวทางแก้ไขวิกฤตการณพ์ ลงั งานได้ 5. มีความตระหนักในการใช้พลงั งานอย่างประหยัด 3. เนื้อหาสาระ 1. สถานการณ์พลงั งานของโลก แหล่งพลังงานส่วนใหญท่ ใี่ ชใ้ นกระบวนการผลิตทางอตุ สาหกรรม การขนส่ง คมนาคม และอื่น ๆ มกั อยใู่ น รูปของพลังงานสิ้นเปลอื ง เช่น ก๊าซธรรมชาติ น้ำมัน และถ่านหิน ตัวอย่างเช่น ในปี ค.ศ. 1998 ความต้องการ พลังงานของโลกมีค่าเทียบเท่ากับปริมาณน้ำมันดิบ 8,477.4 ล้านตัน (British Petroleum, 1999:2) โดยถ้าเทียบ กับจำนวนประชากรของโลกในปี ค.ศ. 1999 ซึ่งมีประมาณ 6,000 ล้านคน เชื้อเพลิงที่ใช้เฉลี่ยต่อคนต่อปีจะมีค่า เทียบเท่าน้ำมันดบิ ประมาณ 1.4 ตัน จากตัวเลขดังกล่าวจะเหน็ ได้วา่ ปริมารพลังงานเฉลี่ยที่บริโภคต่อปีต่อคนอยูใ่ น อัตราที่สูง และความต้องการพลังงานจะมีค่าเพิ่มมากข้ึนตลอดเนื่องจากจำนวนประชากรของโลกเพิ่มมากขึน้ ในทกุ ๆ ปี จากการศกึ ษาวจิ ัยโดยองค์การสหประชาชาตไิ ด้ประมาณว่า จำนวนประชากรของโลกจะมีแนวโน้มเพ่ิมมากขึ้น อย่างต่อเนื่องไปจนถึง 8,000 ล้านคน ในปี ค.ศ. 2025 และจะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยประมาณว่าปลาย ศตวรรษที่ 21 จะมีประชากรในโลก 10,000-12,000 ล้านคน โดยประชากรทีเ่ พิ่มขึ้นส่วนใหญ่จะอยู่ในประเทศ กำลังพัฒนา (Boyle, 1996:8) และจะมีผลทำให้ความต้องการใช้พลังงานมีค่าสูงมากขึ้นไปด้วย ดังนั้นจึง จำเป็นต้องพัฒนาหาแหล่งพลังงานเพิ่มขึ้น ทางเลือกหนึ่งก็คือการพัฒนานำพลังงานหมุนเวียนมาใช้อย่างจริงจัง และอีกทางหนึ่งคือการพัฒนาและส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานหมุนเวียนมาใช้อย่างจริงจัง และอีกทางหนึ่งคือการ พฒั นาและส่งเสริมใหม้ ีการใช้พลงั งานอยา่ งมีประสิทธภิ าพมากขึน้ ซึ่งเปน็ แนวทางทีจ่ ะลดการใชพ้ ลงั งานลงได้ การใชพ้ ลังงานในอนาคตของโลกมีแนวโน้มเพิ่มมากข้ึน เนื่องจากจำนวนประชากรของโลกเพิ่มมากข้ึน ถ้า พิจารณาจากปริมาณการใช้พลังงานของประเทศต่าง ๆ ในโลก ได้มกี ารจดั กลุ่มประชากรบนโลกน้ีเป็น 6 กลุ่ม
125 ไดแ้ ก่ ประชากรในกลมุ่ ประเทศอุตสาหกรรมซ่งึ ไดแ้ ก่ ประเทศในทวีปอเมรกิ าเหนือ (ประเทศสหรฐั อเมริกา แคนาดา และเม็กซิโก) ยุโรปตะวันตก และประเทศอุตสาหกรรมในทวีปเอเชีย (ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์) มีประชากรร้อยละ 15 ของประชากรทั่วโลก ในกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออกและกลุ่มประเทศ สหพันธรัฐรัสเซีย มีประชากรร้อยละ 6 ของประชากรทั่วโลก ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในทวีปเอเชีย มี ประชากรร้อยละ 54 ของประชากรทว่ั โลก ในกลุ่มประเทศตะวนั ออกกลาง มีประชากรรอ้ ยละ 4 ของประชากร ทั่วโลก ส่วนกลุ่มทวีปแอฟริกา มีประชากรร้อยละ 14 ของประชากรท่ัวโลก และกลุ่มทวีปอเมริกากลางและ อเมริกาใต้ มปี ระชากรร้อยละ 7 ของประชากรท่วั โลก (U.S. Department of Energy, 2004:9-10) จากรายงาน การคาดการณ์พลังงานของโลกประจำปี พ.ศ. 2547 (International Energy Outlook, 2004) ได้คาดการณ์การ ใช้พลังงานของโลกว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยอัตราการบริโภคพลังงานของโลกจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 54 ภายใน รอบ 24 ปี นับจากปี พ.ศ. 2544-2568 โดยปริมาณพลังงานที่ใช้ในปี พ.ศ. 2544 มีค่าเทียบเท่าน้ำมันดิบ 9,405 ล้านตัน และคาดว่าในปี พ.ศ. 2568 ความต้องการพลังงานจะเพิ่มขึ้นมีค่าเทียบเท่าน้ำมันดิบ 14,503 ล้านตัน สัดส่วนการใช้พลังงานที่เพิ่มมากขึ้นเกิดจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาในทวีป เอเชยี เช่น ประเทศจนี และอินเดีย โดยคาดว่าผลติ ภณั ฑม์ วลรวมของประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียจะขยายตัวร้อย ละ 5.5 ต่อปี ในขณะที่ค่าเฉลี่ยของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศต่าง ๆ ท่ัวโลกมีค่าเพียงร้อยละ 3 ต่อปี (U.S. Department of Energy, 2004:1) จากการศึกษาวิจัยขององค์การสหประชาชาติ แสดงปริมาณพลังงานที่ใช้เพิ่มขึ้น เนื่องจากการเพ่ิม ประชากรของโลกดังแสดงในตาราง ตาราง ปริมาณพลงั งานทีใ่ ช้เพิ่มขนึ้ เน่อื งจากการเพ่ิมประชากรของโลก ปี ค.ศ. จำนวนประชากร พลังงานทใี่ ช้ทัง้ หมด พลงั งานท่ใี ช้ต่อคน (พันลา้ นคน) (x 1018 จูลตอ่ ปี) (x 109 จูลต่อปี) 1990 (1) 1.2 284 237 1990 (2) 4.1 142 35 1990 (3) 5.3 426 80 2025 (1) 1.4 167 120 2025 (2) 6.8 473 69 2025 (3) 8.2 640 78 หมายเหตุ (1) ประเทศทพ่ี ฒั นาแลว้ (2) ประเทศที่กำลงั พัฒนา (3) ทุกประเทศในโลก ทีม่ า : boyle, 1996: 11. (อ้างใน วรนชุ แจ้งสว่าง, 2551) ความต้องการพลังงานของโลกมีคา่ สูงเพิ่มมากขึน้ มาโดยตลอด จากข้อมูลสถิติแสดงความต้องการพลงั งาน ของโลกจำแนกตามชนิดของเชื้อเพลิง ดังแสดงในตารางที่ 3.2 ซึ่งรายงานโดยกรมพลังงานแห่งประเทศ สหรัฐอเมริกา ได้แสดงสถิติการใช้พลังงานในปีที่ผ่านมาและคาดการณ์ความต้องการพลังงานในอนาคต ดังจะเห็น ไดว้ า่ ความต้องการพลังงานของโลกมคี า่ เพิ่มขนึ้ โดยพลังงานส่วนใหญ่ทใี่ ช้ยงั คนอยูใ่ นรปู ของน้ำมนั เชอ้ื เพลิงและก๊าซ ธรรมชาติ
126 ตาราง ความตอ้ งการพลงั งานของโลกจำแนกตามชนิดของเช้ือเพลิง หน่วย : เทยี บเท่าล้านตนั นำ้ มนั ดิบ, ( ) : รอ้ ยละ ชนิดของพลงั งาน 2533 2543 2544 2553 2558 2563 2568 น้ำมัน 3,145.2 3,629.4 3,643.3 4,316.1 4,749.1 5,210.0 5,710.6 (38.8) (39.1) (38.7) (34.9) (39.4) (39.4) (39.4) ก๊าซธรรมชาติ 1,746 2,127.8 2,167.4 3,922.6 2,840.1 3,231.3 3,643.3 (21.5) (22.9) (23.0) (31.8) (23.6) (24.5) (25.1) ถ่านหิน 2,132.4 2,179.0 2,232.5 2,514.2 2,714.4 2,951.9 3,263.8 (26.3) (23.4) (23.7) (20.4) (22.5) (22.3) (22.5) พลังงานนิวเคลยี ร์ 472.6 593.6 614.6 693.7 730.9 740.3 707.7 (5.8) (6.4) (6.5) (5.6) (6.1) (5.6) (4.9) พลังนำ้ และอ่ืนๆ 614.6 763.6 749.6 907.9 1,005.7 1,084.9 1,173.3 (7.6) (8.2) (8.1) (7.3) (8.4) (8.2) (8.1) รวม 8,110.8 9,293.4 9,407.4 12,354.5 12,040.2 13,218.4 14,498.7 (100) (100) (100) (100) (100) (100) (100) ท่มี า : U.S. Department of Energy, 2004 : 164-165. (อา้ งในวรนุช แจง้ สว่าง, 2551) 2. สถานการณ์พลังงานของประเทศไทย พลังงานเป็นรากฐานที่สำคัญในการดำเนินชีวิตของประชากร และการพัฒนาประเทศ รัฐบาลมีหน้าที่ใน การจัดหาพลังงานให้เพียงพอกับความต้องการภายในประเทศ โดยมีการกำหนดนโยบายทางด้านพลังงานของ ประเทศในแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ เพื่อเป็นแนวทางในการจดั หา และใช้พลังงานเพ่ือตอบสนองความต้องการ พลังงานของประเทศ ภาพรวมทางด้านพลังงานของประเทศพิจารณาได้จากองค์ประกอบต่าง ๆ เช่น การจัดหา พลังงาน การใช้พลังงาน แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ด้านพลังงานและความสัมพันธ์ของพลังงานกับการพัฒนา เศรษฐกิจ ดัชนีที่เป็นตัวชีวัดเสถียรภาพและประสิทธิภาพการใช้พลังงานของประเทศ ได้แก่ การใช้พลังงานต่อ มูลค่าผลิตภัณฑ์รวมในประเทศ ภาวะพลังงานกับดุลการค้า การลงทุนในสาขาพลังงานและประสิทธิภาพในการใช้ พลังงานต่อผลผลติ เปรยี บเทยี บกบั ประเทศต่าง ๆ (กรมพัฒนาและส่งเสริมพลงั งาน, 2541) 1. การจัดหาพลงั งานภายในประเทศ การจัดหาพลังงานของประเทศส่วนหนึ่งจัดหาจากแหล่งพลังงานภายในประเทศ และอีกส่วนหนึ่งจากการ นำเข้าจากต่างประเทศ จากรายงานพลังงานของประเทศไทย ปี 2547 ได้สรุปว่ามีการจัดหาพลังงานรวมทั้งส้ิ น เทียบเท่ากับน้ำมันดิบ 107.8 ล้านตัน โดยจัดหาจากแหล่งพลังงานภายในประเทศร้อยละ 46.5 และนำเข้าจาก ต่างประเทศร้อยละ 53.5 (กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน, 2547 : 4) แหล่งพลังงาน ภายในประเทศมาจากน้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ ก๊าซธรรมชาติเหลว ลิกไนต์ พลังน้ำ และพลังงานชีวมวล ส่วน พลังงานที่นำเข้าจากต่างประเทศได้แก่ น้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ถ่านหิน ไม้ฟืนและกระแสไฟฟ้า ปริ มารพลงั งานทผี่ ลิตจากแหล่งพลงั งานภายในประเทศ
127 สรุปได้วา่ พลังงานท่ีจดั หาจากแหล่งพลังงานภายในประเทศจำแนกได้เปน็ 2 ประเภท คือ พลังงานเชิง พาณิชย์ ได้แก่ พลงั งานจากนำ้ มันดิบและผลติ ภัณฑ์ปโิ ตรเลียม กา๊ ซธรรมชาติ ถ่านหิน และพลงั งานหมุนเวียนได้ จาก ไม้ฟืน ชานอ้อย แกลบและของเหลือทิ้งจากการเกษตรโดยในปี พ.ศ. 2547 มีการจัดหาพลังงาน ภายในประเทศจากพลังงานเชิงพาณชิ ย์ รอ้ ยละ 84.9 และผลติ จากพลังงานหมุนเวยี นร้อยละ 15.1 ดังจะเห็นได้ ว่าพลังงานหมุนเวียนมีการผลิตในอัตราส่วนที่ต่ำมาก ดังน้ันถ้ามีการพัฒนานำพลังงานหมุนเวียนมาใช้อย่างจริงจัง ภายในประเทศ จะสามารถลดการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศได้ทางหนึ่ง และลดปัญหามลพิษที่กระทบต่อ สิ่งแวดลอ้ มจากการใช้เชอ้ื เพลงิ ฟอสซลิ ได้อกี ทางหนึ่ง ตาราง การใช้พลังงานในภาคเศรษฐกิจต่าง ๆ ของประเทศไทย หนว่ ย : พนั ตันนำ้ มนั ดิบ, ( ) : รอ้ ยละ ชนดิ ของพลังงาน 2543 2544 2545 2546 2547 3,032 3,308 3,443 การเกษตร 2,791 2,847 (5.7) (5.9) (5.7) 106 115 135 (5.8) (5.7) (0.2) (0.2) (0.2) 18,679 1,988 21,377 เหมืองแร่ 85 93 (35.3) (35.5) (35.5) 149 152 171 (0.2) (0.2) (0.3) (0.3) (0.3) 7,909 8,173 8,370 อุตสาหกรรม 16,208 16,922 (14.9) (14.5) ()13.9 3,468 3,626 3,866 (33.9) (34.2) (6.5) (6.4) (6.4) 19,636 20,927 22,907 การกอ่ สรา้ ง 149 128 (37.1) (37.2) (38) 52,979 56,289 60,269 (0.3) (0.3) (100) (100) (100) บา้ นอยอู่ าศยั 7,433 7,483 (15.6) (15.1) ธุรกจิ การค้า 3,118 3,437 (6.5) (6.9) การคมนาคม 18,022 18,632 (37.7) (37.6) รวม 47,806 49,542 (100) (100) ท่มี า : กรมพฒั นาพลงั งานทดแทนและอนรุ ักษ์พลงั งาน, 2547 จากตาราง จะเห็นไดว้ ่า ความตอ้ งการพลงั งานในปี พ.ศ. 2547 มปี ริมาณเทยี บเทา่ นำ้ มันดบิ 60.27 ล้าน ต้น พลังงานที่ใช้ส่วนใหญ่อยู่ในรูปของน้ำมันสำเร็จรูป ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหินลิกไนต์ และไฟฟ้า โดยภาค คมนาคมขนส่งเป็นภาคเศรษฐกจิ ท่ีใช้พลังงานมากทีส่ ุด มอี ตั ราการใช้เพ่มิ ขึน้ มาโดยตลอด รองลงมาคอื พลงั งานท่ีใช้ ในภาคอุตสาหกรรมและภาคที่อยู่อาศัย มีการใช้พลังงานในอัตราที่สูง เนื่องจากมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพ่ิม มากขนึ้ 1. ปัญหาพลงั งาน ปัญหาพลังงานของโลก ทรัพยากรพลังงานถกู นำมาใชใ้ นการผลติ และการบริโภคของทุกประเทศท่วั โลก แมป้ ระเทศทมี่ ีการพัฒนา นอ้ ยท่ีสดุ กม็ กี ารนำพลงั งานมาใชเ้ พิม่ ขนึ้ ทุกขณะ ไม่วา่ จะเปน็ ฟืน ถา่ นหนิ นำ้ มนั เช้ือเพลิง หรอื แก๊สธรรมชาติ
128 อัตราการใช้พลังงานของประชาคมโลกเพ่ิมข้ึนอย่างรวดเร็วในศตวรรษที่ 20 นบั ต้งั แตป่ ี ค.ศ. 1900 เป็น ต้นมา ดังจะเห็นได้ว่า ในปี ค.ศ. 1925 อัตราการใช้พลังงานในโลกเพิ่มขึ้น 5-10 เท่า มีการใช้พลังงานใน ปริมาณเช่นนี้จนถึง ค.ศ. 2000 การใช้พลังงานโดยรวมของโลกในช่วย 25 ปีหลังนี้ (ค.ศ. 1975-2000) เพิ่มเป็น 2 เท่าของช่วง 75 ปีที่ผ่านมา (ค.ศ. 1900-1975) นับว่ามีการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย ในขณะที่มีการ คาดการณ์วา่ นำ้ มัน และแก๊สซ่ึงเปน็ พลังงานหลักของโลกจะมีใชต้ อ่ ไปได้อกี ประมาณ 20 ปี มกี ารศกึ ษาเปรียบเทียบพลงั งานท่ผี ลติ ได้กับปรมิ าณความต้องการใช้พลังงานของโลกทุก ๆ 25 ปี โดยเน้น พลังงานจากนิวเคลียร์ น้ำมัน แก๊สธรรมชาติ และถ่านหิน ผลการศึกษาเปรียบเทียบพลังงานทั้ง 4 ประเภท ปรากฏวา่ การใช้ถ่านหินและพลังงานนิวเคลียร์มีแนวโน้มสูงข้นึ ในปี ค.ศ. 2025 สำหรับน้ำมนั และแก๊สธรรมชาติจะ ลดลง นอกจากสถานการณ์เกี่ยวกับการผลิต และความต้องการใช้พลังงานจะแสดงให้เห็นว่าทรัพยากรพลังงาน นับวันจะหมดไปจากโลกแล้ว ปัญหาที่น่าห่วง และต้องเร่งแก้ไขคือ ปัญหาสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นปัญหามลพษิ ทางอากาศ ฝนกรด หรอื ภาวะเรอื นกระจก ปญั หาเหล่าน้ีลว้ นสง่ ผลกระทบตอ่ การดำเนนิ ชวี ติ ของมนุษยโ์ ดยตรง ปัญหาการใชพ้ ลังงานในประเทศไทย การพฒั นาไปสู่ความทันสมยั (Modernization) ตามแบบสังคมตะวนั ตก ไดก้ อ่ ใหเ้ กิดการเปล่ียนแปลงใน การใช้พลังงาน และทรัพยากรธรรมชาติของไทย เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ก่อนการ เปลยี่ นแปลงตามแผนพัฒนาเศรษฐกจิ แห่งชาติ ฉบับท่ี 1 ซ่ึงเริ่มต้นปี พ.ศ. 2504 นน้ั พลงั งานที่ใชไ้ ดแ้ ก่พลงั งาน จากน้ำมันซึ่งมีปริมาณไม่มากนัก เพราะการคมนาคมขนส่งการผลิตภาคอุตสาหกรรมมีน้อย พลังงานไฟฟ้ามีจำกัด ใช้ในเมอื งใหญ่หรือเมืองสำคัญ ผลติ โดยใชน้ ้ำมัน และถ่านหนิ ประชาชนสว่ นใหญ่ซึ่งอยู่ในชนบทใช้พลังงาน และ ทรัพยากรในท้องถิน่ เป็นหลกั เพราะแบบแผนการผลิต และการบรโิ ภคยังเป็นแบบสังคมเกษตรกรรมเป็นสว่ นใหญ่ เชน่ ใช้พลงั งานจากแสงอาทติ ย์ ไม้ฟืน ถา่ น แกลบ และเชื้อเพลงิ อื่น ๆ ทีห่ าได้จากธรรมชาติ ในปี พ.ศ. 2500 ปริมาณการใช้น้ำมันอยู่ในระดับ 6 ล้านบาร์เรล เมื่อเริ่มการพัฒนาแบบใหม่ ความ ต้องการใช้นำ้ มันได้เพ่มิ ขึ้นอยา่ งทวีคณู คือ เมือ่ เริม่ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติ ฉบบั ท่ี 2 พ.ศ. 2510 ความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นเป็น 19 ล้านบาร์เรล มากขึ้นถึงกว่า 3 เท่า หลังจากนั้นอีก 10 ปี คือ พ.ศ. 2520 การใช้น้ำมันเพิ่มเป็น 70 ล้านบาร์เรล และความต้องการใช้มีอัตราเพมิขึ้นในลักษณะก้าวกระโดดอยู่ ตลอดเวลา มิใช่เพียงน้ำมันเทา่ นัน้ การใช้พลังงานของประเทศไทยมีลักษณะเพิ่มมากขึ้นทุกปี โดยการเพิ่มในช่วง พ.ศ. 2529-2539 มีอตั ราเพิ่มถงึ รอ้ ยละ 16.8 น้ำมันสำเร็จรูปยังเปน็ พลงั งานทใ่ี ชก้ ันมากทีส่ ดุ ภาพรวมการใช้พลังงานในปี พ.ศ.2548 มีมูลค่า 1,227,785 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. 2547 ประมาณ 196,063 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 19.0 โดยมูลค่าการใช้น้ำมันสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น 147,191 ล้าน บาท หรือรอ้ ยละ 24.3 และมลู ค่าการใชไ้ ฟฟา้ เพิม่ ข้ึน 26,811 ลา้ นบาท คดิ เปน็ ร้อยละ 8.9 จากสถิติปริมาณการนำเข้าน้ำมันในรอบ 14 ปีที่ผ่านมา พบว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าจะลดลง บ้างในช่วงปี พ.ศ. 2541 และ 2542 เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัวจากปัญหาการลอยตัวของค่าเงินบาทในช่วง เศรษฐกิจยุคฟองสบู่แตก แต่ในปี พ.ศ.2547 ปริมาณการนำเข้าน้ำมันได้เพิ่มสูงขึ้นมาก และมีแนวโน้มว่าจะ เพม่ิ ขน้ึ ต่อไปจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างตอ่ เน่ือง การเปลี่ยนแปลงแบบแผนเศรษฐกิจ และสังคมแบบใหม่ ยงั มผี ลใหเ้ กดิ การใช้พลังงานประเภทใหม่เพิ่มขึ้น เชน่ เดียวกบั นำ้ มันทห่ี ลากหลายชนิดข้ึน มีทง้ั นำ้ มันเบนซิน ดีเซล น้ำมันเตา เปน็ ต้น พลงั งานท่เี พ่ิมมากขึ้น และ
129 ที่เพิ่มใหม่ คือพลังงานน้ำ แก๊สธรรมชาติ น้ำมันเตา ดีเซล ซึ่งถูกใช้เพื่อการผลิตพลังงานไฟฟ้า อันเป็นพลังงาน แปรรูปหรือพลังงานทุติยภูมิ (Secondary Energy) ที่มีความสำคัญ และเป็นพลังงานที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว และใช้กันในทุกระดับ ทั้งบุคคลครัวเรือนในเมือง ในชนบท โรงงานอุตสาหกรรม ธุรกิจการค้า บริการ เป็นต้น โดยโรงงานอุตสาหกรรม และธุรกิจการค้า การบรกิ ารเปน็ ผใู้ ชไ้ ฟฟ้าสว่ นใหญ่ มปี ริมาณมากกว่าการใช้ในบ้านเรือน ประมาณ 4-5 เท่า กรุงเทพฯ นนทบุรี และสมุทรปราการ ซึ่งเป็น 3 จังหวัดของเขตการไฟฟ้านครหลวง คือผู้ ร่วมกันใช้พลังงานไฟฟ้ามากที่สุดของประเทศ คือมากกว่า 1 ใน 3 ของการใช้ไฟฟ้า หรือประมาณร้อยละ 40 ในขณะท่อี กี 73 จังหวัดทเ่ี หลอื ซ่ึงมีพื้นท่ี และจำนวนจังหวดั มากกว่าถึงเกอื บ 25 เทา่ เป็นผ้ใู ช้พลงั งานไมถ่ ึง 2 ใน 3 หรือประมาณร้อยละ 60 และสถานการณ์เปน็ เชน่ น้ีมาโดยตลอด มิใช่เพยี งพลงั งานไฟฟ้าเทา่ นนั้ แมใ้ นส่วน ของพลังงานโดยรวมทุกชนิดก็ปรากฏว่าภาคอตุ สาหกรรม และการขนส่งกเ็ ป็นผู้ใช้พลงั งานสว่ นใหญด่ ้วยเช่นกัน ใน ภาคอุตสาหกรรมนั้น อุตสาหกรรมอาหารใช้พลังงานในการผลิตมากเป็นอันดับหนึ่ง สะท้อนถึงการกินอยู่ของคน ไทยที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม จากที่เคยกินใช้ของในท้องถิ่น ชุมชน มากเป็นการกินการใช้สินค้าข้าวของแบบ เดยี วกันท้ังประเทศ มผี ลให้เกดิ การผลิต และการขนสง่ สินคา้ อุปโภคบริโภคจากแหล่งผลติ หรอื โรงงานสู่ผู้บริโภคใน พ้นื ที่ตา่ ง ๆ ทั่วประเทศเพ่มิ มากขน้ึ ทัง้ ทางรถไฟ รถยนต์ เคร่ืองบนิ การเพ่มิ ปริมาณของรถบรรทกุ ขนาดใหญ่ และ รถกระบะของพ่อคา้ คนกลางผนู้ ำสินค้าเขา้ ไปจำหนา่ ยต่อในทุกซอกซอย ทุกลุ่มน้ำ และการปรากฏตัวของบะหมี่กึ่ง สำเร็จรูป กาแฟกระป๋อง น้ำอัดลม ขนมขบเคี้ยวแบบใหม่ เป็นต้น ในเกือบทุกหมู่บ้านของประเทศไทย ร้าน อาหารฟาสต์ฟู้ดตามเมืองต่าง ๆ อาหารจานหรูจากยุโรปที่ลัดฟ้ามาอยู่ในโรงแรมใหญ่ เป็นต้น เป็นเครื่องบ่งชี้ท่ี ชดั เจนของการใช้พลงั งานเพ่ือการบริโภคแบบใหม่ที่เพมิ่ มากข้ึน การเพิ่มขึ้นของปริมาณรถยนต์ ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งของเครื่องบ่งชี้ ที่แสดงถึงวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปสู่การ บริโภคพลังงาน และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมหาศาลของสังคมไทย ปริมาณรถยนต์มีการเพิ่มขึ้นเกือบ เท่าตวั หรอื ร้อยละ 100 ในชว่ งเวลาเพยี ง 5 ปี คือ พ.ศ. 2534 มีรถยนต์ที่จดทะเบียนท้ังประเทศ รวมทุกประเภท จำนวน 8,427,086 คัน แล้วเพ่ิมเป็น 16,093,896 คัน ใน พ.ศ.2539 เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวหรือกว่าในรถยนต์ทุก ประเภท ทั้งรถยนต์ส่วนบุคคล รถยนต์รับจ้าง รถจักรยานยนต์ รถโดยสาร รถบรรทุก คิดเฉลี่ยมีรถยนต์จด ทะเบียนประมาณ 44,093 คันต่อวนั และตง้ั แตป่ ี พ.ศ. 2546-2548 มีรถยนต์ทุกประเภทที่จดทะเบียนใหม่กว่าปี ละ 2 ล้านคัน โดยในปี พ.ศ.2548 มีรถยนต์ทุกประเภทจดทะเบียนใหม่ 2,751,116 คัน และเมื่อสิ้นปี พ.ศ. 2548 มีรถยนต์ทกุ ประเภทจดทะเบยี นรวม 25,266,294 คนั ดังนัน้ แบบแผนการพัฒนาเศรษฐกิจ และสงั คมแบบใหม่จึงมผี ลกำหนดวิถีชวี ิต การกนิ อยู่การผลิต ท่ีมีผล โดยตรงต่อการเพิ่มขึ้นของการใช้พลังงานไฟฟ้า และพลังงานอื่น ๆ โดยผู้มีความสามารถบริโภคมากจะเป็นผู้ใช้ พลังงานมาก การใช้พลังงานในประเทศไทยจึงก่อผลกระทบในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการขาดแคลนพลังงาน หรอื ปญั หามลพษิ ตา่ ง ๆ ปญั หาการใชพ้ ลงั งานของประเทศรนุ แรงขึ้น จนอาจกล่าวได้ว่าเปน็ วิกฤตการณด์ ้านพลงั งาน ซึง่ สรปุ สาเหตุ ของวกิ ฤตการณ์พลงั งานได้ดังนี้ ก. การขาดแคลนพลังงานประเภทน้ำมนั เชื้อเพลงิ ข. ราคาน้ำมันเชอื้ เพลิงของโลกสงู ขนึ้ ค. ขาดความรู้ และเทคโนโลยใี นการพฒั นาพลงั งาน ง. นโยบายด้านพลงั งานของประเทศเพิง่ เริ่มต้นอย่างจริงจัง จ. ความฟุม่ เฟอื ย และการใช้พลังงานอย่างขาดประสทิ ธิภาพ
130 4. การแก้ปญั หาวกิ ฤตการณ์พลงั งาน พลังงานทดแทน เปน็ อีกทางเลือกหนงึ่ ของการแก้ไขปัญหาพลังงาน ปัจจุบันโลกมีอัตราการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลายประเทศทั่วโลกจึงแสวงหาแหล่งพลังงาน ทดแทนรูปแบบใหม่ เพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคงด้านพลังงานในระยะยาว ทั้งยังเป็นการลดปริมารก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ จากการใช้พลังงานที่ได้จากฟอสซิล เช่น น้ำมัน และถ่านหิน อันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ เกิดภาวะโลกร้อน พลังงานทดแทน หมายถึง พลังงานที่ได้จากธรรมชาติ และสามารถนำมาใช้ได้อย่างไม่มีขีดจำกัดในแง่ ปรมิ าณ ยกเวน้ พลังงานไฟฟ้านิวเคลียร์และพลังงานจากถ่านหนิ ประเทศในยโุ รปมีความก้าวหนา้ ในการนำพลังงาน ทดแทนมาใช้ พลังงานทดแทนที่สำคัญ ๆ ได้แก่ พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานที่ได้จากคลื่นในทะเล พลังงานจากกระแสน้ำ และความรอ้ นจากใต้ผวิ โลก รวมท้งั พลงั งานจากกระบวนการทางชวี ภาพ สำหรับประเทศไทย จากความต้องการใช้พลังงานของประเทศที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องแหล่ง พลังงานในประเทศมีอัตราการผลิตได้ไม่เพียงพอกับอัตราการใช้ ประกอบราคาน้ำมันซ่ึงเปน็ แหล่งพลังงานสำคัญใน ตลาดโลกมรี าคาแพง จงึ ต้องเรง่ รัดค้นคว้าหาแหลง่ พลังงานทดแทน ซึ่งเปน็ พลังงานทางเลือกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ สงู สุด กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงานได้ศึกษาและพัฒนาพลังงานทดแทน ตลอดจนส่งเสริมและเผยแพร่พลังงานทดแทน ซึ่งเป็นพลังงานที่สะอาด ไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเป็น แหล่งพลังงานที่มีอยู่ในท้องถิ่น เช่น พลังงานลม แสงอาทิตย์ ชีวมวล และอื่น ๆ เพื่อให้มีการผลิตและการใช้ ประโยชน์อยา่ งแพร่หลาย มปี ระสิทธิภาพ และมีความเหมาะสมท้ังทางดา้ นเทคนิค เศรษฐกจิ และสงั คม สำหรับ ผู้ใช้ในเมืองและชนบท ทิศทางเทคโนโลยดี ้านพลงั งานทดแทนในประเทศ สามารถสรุปรปู แบบของการพัฒนาได้เป็น 2 ส่วนหลัก ส่วนแรก คือ พลงั งานทดแทนท่ีนำมาใชแ้ ทนน้ำมนั เช้ือเพลงิ ประกอบดว้ ย 1. พลังงานแสงอาทิตย์ 2. พลังงานลม 3. พลงั งานชีวมวล 4. พลังงานก๊าซชีวภาพ 5. พลงั งานขยะ 6. พลงั งานน้ำจากเขื่อนขนาดเล็ก 7. พลงั งานถ่านหนิ สว่ นทส่ี อง คือ พลังงานทดแทนทผ่ี ลิตข้นึ ใช้แทนน้ำมันเชอ้ื เพลิง ประกอบดว้ ย 1. เอทานอล (แกส๊ โซฮอล์) 2. ไบโอดีเซล 3. NGV 4. น้ำมนั จากขยะพลาสตกิ 5. เซลลเ์ ช้อื เพลิง
131 4. แบบฝึกหัด/แบบทดสอบ ขอ้ สอบประจำหนว่ ยที่ 7 เร่ือง เรื่อง ปัญหาจากการใช้พลงั งาน: สภาวะโลกรอ้ น วชิ า พลังงาน ทรพั ยากรและส่งิ แวดล้อม รหสั 20001-1002 ระดับ ปวช. คำชแี้ จง: 1 ข้อสอบมจี ำนวน 10 ข้อ 2. ใหน้ กั เรยี นเขียนเคร่ืองหมาย X ขอ้ ทเี่ ห็นว่าถูกตอ้ งท่ีสดุ เพยี งข้อเดียวลงในกระดาษคำตอบ 1. กลมุ่ ประเทศที่มีประชาชนมากท่สี ดุ คือกลุ่มประเทศใด 5. ดัชนที เ่ี ป็นตวั ชี้วดั เสถียรภาพและประสิทธิภาพ การใช้ ก. ประเทศในทวีปอเมริกาเหนือ พลงั งานของประเทศ คือข้อใด ข. ประเทศอตุ สาหกรรมในทวปี เอเชีย ก. การใช้พลังงานต่อมูลคา่ ผลิตภณั ฑ์รวมใน ค. กลมุ่ ประเทศยโุ รปตะวันออก ประเทศ ง. กลมุ่ ประเทศกำลงั พัฒนาในทวีปเอเชีย ข. ภาวะพลงั งานกบั ดลุ การค้า 2. ปรมิ าณพลังงานทีใ่ ช้ต่อคนกลมุ่ ใดใช้พลงั งานมากทส่ี ดุ ค. การลงทุนในสาขาพลงั งาน ก. ประเทศทพี่ ฒั นาแล้ว ง. ทก่ี ลา่ วมาถกู ทกุ ข้อ6. ในปี 2025 การใช้ ข. ประเทศที่กำลังพัฒนา พลังงานจะเปล่ียนแปลงไปอย่างไร ค. ประเทศโลกท่สี าม ก. ใชพ้ ลังงานจากน้ำมันเพม่ิ ขนึ้ พลงั งานจากถ่าน ง. ประเทศในแถบข้ัวโลกเหนือ หินลดลง 3. ในอนาคตประเทศทค่ี าดว่า จะมีผลติ ภณั ฑม์ วลรวม ข. ใชพ้ ลงั งานจากแกส๊ ธรรมชาติเพมิ่ ข้ึน พลังงาน ขยายตัวในอตั ราสงู กวา่ ประเทศอนื่ คือประเทศใด จากนวิ เคลยี ร์ลดลง ก. ประเทศไทย ลาว พมา่ ค. ใชพ้ ลังงานจากน้ำมนั ลดลง พลงั งานจากถา่ น ข. ประเทศจีน อนิ เดีย หนิ เพม่ิ ข้นึ ค. ประเทศอเมรกิ า อังกฤษ ง. ใชพ้ ลังงานจากแก๊สธรรมชาตลิ ดลง พลงั งาน ง. ประเทศออสเตรเลีย นวิ ซีแลนด์ จากน้ำมนั เพ่ิมขึ้น 4. การใชพ้ ลงั งานในประเทศไทย ส่วนใหญใ่ ชเ้ ชอ้ื เพลิง 7. การใช้พลงั งานถา่ นหนิ มาก ๆ พอ คือข้อใด ไปในดา้ นใดมากทีส่ ดุ ก. เกิดมลพษิ ทางอากาศ ก. ดา้ นอตุ สาหกรรม ข. ถ่านหนิ เป็นพลงั งานท่ีหายาก จะหมดไป ข. ด้านคมนาคมขนส่ง อยา่ งรวดเร็ว ค. ดา้ นสาธารณสุข ค. เกดิ มลพิษทางน้ำ ง. ดา้ นการเกษตร ง. ถ่านหินมีราคาสูง ทำใหต้ อ้ งจ่ายคา่ พลงั งานสูง ไปด้วย
132 8. จังหวดั ทใี่ ชไ้ ฟฟา้ ถา้ 1 ใน 3 ของการใช้ไฟฟ้าท่วั ไป 10. ทางเลือกทดี่ ีอกี ทางทางเลอื กหนึง่ ของการแก้ปัญหา ประเทศคือข้อใด วกิ ฤติพลงั งานอาจทำได้โดยวธิ ีใด ก. ภเู ก็ต เชยี งใหม่ สงขลา ก. ผลิตน้ำมันใชเ้ อง ข. กรุงเทพฯ สมุทรสาคร สมทุ รสงคราม ข. ใช้พลงั งาทดแทน ค. กรุงเทพฯ สมุทรปราการ นนทบรุ ี ค. ใชพ้ ลังงานจากฟอสซลิ ง. อบุ ลราชธานี อดุ รธานี ขอนแก่น ง. รว่ มมือกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อซ้ือ 9. ในปี 2548 ประเทศไทยมีรถจดทะเบียนมาก 25 ลา้ น พลงั งาน คัน เพราะเหตุใด ก. คนไทยมธี ุระมากข้ึน ข. คนไทยเปล่ียนแปลงวิถชี วี ติ ในการพลังงานมาก ขึน้ ค. ประเทศไทยผลิตรถไดม้ ากข้นึ ง. ประเทศไทยมีแหล่งพลงั งานมาก จำผลติ รถใช้ มาก
133 ใบงาน ท่ี ........ 7........ หนว่ ยที่ 8 หลกั สตู ร ประกาศนยี บตั รวชิ าชพี สอนครง้ั ที่...8 รหัส 20001-1002 พลังงาน ทรพั ยากรและสิง่ แวดล้อม เวลา.........2 ชม. ชอ่ื งาน........สถานการณ์ปัญหาพลังงาน 1. จุดประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม หลงั จากทำกิจกรรมน้เี สรจ็ แล้ว . 1. อธบิ ายเรือ่ งสภาวะโลกรอ้ นและปรากฏการณเ์ รือนกระจกได้ 2. แยกแยะประเภทวัสดุท่ที ำใหโ้ ลกร้อนได้ 2. สมรรถนะ นกั เรียนวิเคราะห์การใช้วัสดทุ ี่เหมาะสมในชีวติ ประจำวันได้ 3. เครอื่ งมือ วัสดุ และอุปกรณ์ เครอื่ งมอื วสั ดุ-อุปกรณ์ เอกสาร สภาวะโลกร้อนและปรากฏการณเ์ รอื นกระจก เรามาดูกนั ว่าทำไมก๊าซเรือนกระจกจึงทำใหเ้ กิดภาวะโลกร้อน และมนั ส่งผลกระทบอะไรกบั โลกของเราบา้ ง เมอ่ื หลายปีท่ีผ่านมาคงมีคนเคยไดย้ ินเรื่องราวเกี่ยวกบั ปรากฏการณ์ เรอื นกระจกมาบ้างแลว้ ? โจเซฟ ฟูริเออร์ เป็น ผู้คน้ พบปรากฏการณเ์ รือนกระจกเมื่อปี พ.ศ. 2367 ปรากฏการณ์เรือนกระจกนี้ทำใหโ้ ลกของเราเก็บความอบอ่นุ ไวเ้ พ่อื ให้สง่ิ มี ชวี ติ ในโลกดำรงชีวติ อยู่ได้ แตใ่ นปจั จุบนั ประชากรของโลกเราน้นั เพ่มิ ขน้ึ มาอยา่ งรวดเร็ว จากเม่ือ 57 ปีทแ่ี ล้วมี 2,500 ล้านคน ปัจจบุ นั เพม่ิ ขน้ึ มาถึง 6,600 ลา้ นคน เมื่อประชากรกำลงั ขยายตัวมากข้ึน ทรัพยากรกถ็ กู นำมาใชม้ ากมายเพ่ือสนองความ ตอ้ งการของพวกเรา ท้งั การตัดไมเ้ พือ่ มาสรา้ งที่อยู่หรอื เครื่องใช้ตา่ งๆ รวมไปถึงน้ำมนั ก๊าซ และถา่ นหิน?เกดิ อตุ สาหกรรมผลติ อาหารและสนิ คา้ มากมาย ผลกระทบของการเผาผลาญพลังงานเหล่าน้กี ็คอื กา๊ ซเรือนกระจกที่ คอ่ ยๆจับตัวกนั บนชน้ั บรรยากาศของโลก ในขณะทป่ี า่ ไมก้ ็ลดลงไปอย่างรวดเร็ว เมอ่ื กา๊ ซเรอื นกระจกเหลา่ น้จี บั ตวั หนาอยู่บน ชนั้ บรรยากาศ ก็ทำใหค้ วามร้อนจากดวงอาทติ ย์ที่จะต้องระบาย ออกไปอยา่ งสมดลุ เป็นไปไมไ่ ด้ โลกเรากเ็ ลยเปรยี บเหมือนเตาอบท่ีอุณหภูมิสูงขน้ึ เรื่อยๆ เมื่ออุณหภูมสิ งู ขึน้ เร่ือยๆ นำ้ แขง็ ท่ีอยู่ตรงขวั้ โลกและท่ีธารน้ำแขง็ ตา่ งๆ กจ็ ะละลายเร็วเกินไป ปกตนิ ้ำแขง็ จะสะสมไวใ้ นฤดูฝน เพื่อที่จะ ค่อยๆละลายออกมาไหลลงเป็นแม่น้ำต่างๆ อยา่ งเช่นแมน่ ้ำคงคา 70%?เปน็ น้ำที่ไหลมาจากการละลายของนำ้ แขง็ ที่เทือกเขาหิมาลัย
134 เม่ือน้ำแขง็ ละลายเรว็ เกนิ ไปกส็ ่งผลกระทบมาก มายให้กับส่งิ มชี ีวติ ท่อี ย่บู นโลก อยา่ งเช่นหมีข้วั โลกก็จะไม่มี น้ำแข็งไวเ้ หยียบ ต้องวา่ ยๆนำ้ เป็นระยะทางไกลๆเพ่ือหาอาหาร และอาหารของมนั กห็ ายากมากข้ึนทุกที ทำให้หมี ข้ัวโลกนน้ั ใกล้จะสญู พนั ธ์ุ ส่วนผลกระทบท่ีมตี ่อพวกเรานั้นกไ็ ด้เห็นกนั ไปมากมายแลว้ พอน้ำแข็งละลายอยา่ ง รวดเร็วกท็ ำให้อุณหภูมขิ องมหาสมทุ รเปลย่ี นไป ส่งผลกระทบกับสภาพภมู ิอากาศอย่างรุนแรงทำให้เกดิ ภยั พบิ ตั ิ มากมาย พอน้ำในมหาสมุทรเปลย่ี นไปกส็ ง่ ผลกระทบต่อสิ่งมชี ีวิตทอ่ี ยู่ในทะเล พวกปะการงั ก็จะค่อยๆตาย?แนว ปะการังเป็นแหลง่ อนบุ าลสตั วน์ ้ำ ถา้ ไม่มปี ะการังสัตว์นำ้ มากมายกจ็ ะสญู พันธุไ์ ป?ตัวทย่ี ังอยกู่ ็ไมส่ ามารถฟักไข่ได้ เพราะอณุ หภมู ิในนำ้ ไม่เหมาะสม อนาคตถา้ เรายังไม่ช่วยกนั ลดภาวะโลกร้อน เราอาจจะไม่มีปลากินแลว้ ก็ได้?? นำ้ แข็งที่ละลายอย่างรวดเร็วยังทำใหน้ ำ้ ใน มหาสมุทรสูงข้ึนเร่อื ยๆ ตอนน้ีเฉลย่ี 3 มิลลิเมตรตอ่ ปี แถม แผ่นดนิ ก็เกิดเการทรุดตวั ลงมาอกี ดว้ ย แถวชานเมืองฝงั่ ตะวันออกของกรงุ เทพทรุ ดตัวลงมา 5-10 เซนตเิ มตรต่อปี ถ้าเรายงั ไมช่ ่วยกนั ลดภาวะโลกรอ้ น ต่อไปคงจะได้เลน่ นำ้ ในกรุงเทพกนั เปน็ ทะเลกรงุ เทพของแท้เลย เราสามารถชว่ ยลดก๊าซเรอื นกระจกเพื่อลดภาวะโลก ร้อนได้ โดยการหลีกเลย่ี งการใชส้ ่ิงของที่ทำให้เกิดกา๊ ซ เหล่านี้ เช่น ตู้เย็นเก่าๆท่ียงั ใช้สารทำความเย็น CFCs อยู่,?พวกสเปรย์ และยาฆ่าแมลงท่ีมสี ารพวกนี้?หรืออาจจะ ไม่บริโภคสนิ คา้ ที่ใช้ยาฆา่ แมลง นอกจากจะดตี ่อโลกแลว้ ยงั ดีต่อตัวเองอีกดว้ ย และวิธีที่ดีมากๆนั่นกค็ ือการชว่ ยกนั ปลกู ต้นไม้ นอกจากนี้ยังมีอีกหลายวธิ ที ่คี ุณกท็ ำได้ มาชว่ ยกนั เถอะครับ คนละนดิ ละหน่อยเพ่ือลดภาวะโลกร้อน เพอ่ื โลกของเราน่ันเอง? การที่เราทิง้ ขยะทุกประเภทรวมกนั โดยไม่แยกน้นั ทำให้ขยะที่สามารถนำมาใช้ใหม่ได้ (Reuse) และขยะที่ สามารถนำไปรีไซเคิลได้ (Recycle) ถูกทง้ิ รวมไปกบั ขยะเปียกทัง้ หลาย และอาจจะไม่ได้ถูกนำมาใชป้ ระโยชนไ์ ด้อีก และที่อันตรายมากก็คอื ขยะที่เปน็ สารพิษ พวกบรรจภุ ัณฑส์ ารเคมี กระปอ๋ งยาฉดี กันยงุ พวกหลอดไฟซง่ึ มสี ารเคมี ฉาบไว้ ถ่านไฟฉาย เหล่านลี้ ้วนเปน็ อนั ตรายต่อส่ิงแวดล้อมมากๆ ถา้ เราเอาท้งิ ไปรวมกบั ขยะอ่ืนๆโดยท่ไี มแ่ ยก สารเคมีก็จะไหลลงสู่พ้ืนดิน ถ้าถกู เผากจ็ ะเป็นกา๊ ซพิษลอยข้ึนไปในอากาศ หรอื ถ้าถูกฝ่ัง กระบวนการยอ่ ยสลายก็ จะทำให้เกดิ ก๊าซพิษลอยขน้ึ ไปในอากาศ ซ่งึ จะเปน็ อันตรายตอ่ สงิ่ แวดลอ้ มและเปน็ สาเหตุหน่งึ ของภาวะโลกรอ้ น ดว้ ย ในบา้ นเรายังไม่มกี ฎหมายที่เข้มงวดเกีย่ วกับการแยกขยะ แต่ถ้าเราทุกคนช่วยกันทำกค็ งจะดตี ่อสงิ่ แวดล้อม เวลาจะทิง้ กใ็ หเ้ ราแยกระหว่าง ขยะเปียก แก้ว พลาสติก และขยะทีเ่ ปน็ พิษ เวลาเขาเกบ็ ไปจะได้สามารถนำไป กำจดั ได้อย่างถกู วิธี บรรจภุ ณั ฑ์ประเภทแก้วนอกจากจะดตี ่อส่งิ แวดล้อม เพราะว่าสามารถนำมารีไซเคลิ ได้ นอกจากนัน้ ยงั ดีต่อ สุขภาพของเราอีกด้วย เพราะขวดแก้วจะไมท่ ำปฏิกริ ยิ าต่อสิ่งทบ่ี รรจอุ ยใู่ นนนั้ ซง่ึ หมายความวา่ มันดตี ่อสขุ ภาพของ เรา และถือวา่ เปน็ บรรจภุ ณั ฑ์ของยุคภาวะโลกรอ้ นเลยทีเดียว
135 เรามาดูกันวา่ อะไรยอ่ ยสลายยากท่ีสดุ * โฟม 500 – 1,000 ปี * ผา้ อ้อมสำเรจ็ รปู 500 ปี * ถุงพลาสติก 100 – 450 ปี * อะลูมิเนยี ม 80 – 100 ปี * เคร่ืองหนงั 25 – 40 ปี * ก้นบุหรี่ 12 ปี * ถ้วยกระดาษเคลือบ 5 ปี * เปลือกส้ม 6 เดือน * เศษกระดาษ 2 – 5 เดือน การทเ่ี รานำของเกา่ กลับมาใชอ้ ีก และการรีไซเคลิ น้นั สามารถลดการใช้พลงั งานไปได้มาก เพราะฉะน้ันการ แยกขยะใหเ้ ปน็ ประเภทและทง้ิ ให้ถูกวิธีน้นั กเ็ ป็นวธิ ีหนึง่ ท่ีจะสามารถลดภาวะโลกร้อนได้ 4.คำแนะนำ - 5. ขอ้ ควรระวัง - อย่าให้นักเรยี นที่คดิ ได้ คิดเพียงคนเดียว 6. ลำดับขนั้ การปฏบิ ัตงิ าน 7. แบง่ นกั เรยี นเป็นกลุม่ ละ 5 คน เพื่อระดมสมอง 8. ให้นักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ เลือกว่า จะวางแผนการใชว้ ัสดใุ นชีวติ ประจำวนั อยา่ งไรบ้าง เพือ่ ให้ลดสภาวะโลก รอ้ นได้ 9. นกั เรยี นแต่ละกลมุ่ คน้ ควา้ 10. นักเรยี นนำเสนอผลงาน รวมทุกกล่มุ ประมาณ 20 นาที 5. ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกนั สรุป 7. ผลการศกึ ษา 5. เนื้อหาท่นี ำเสนอ 6. วธิ ีการนำเสนอ
136 8. สรปุ และวิจารณผ์ ล ....................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... 9. การประเมินผล 1. สงั เกตพฤติกรรมรายบคุ คล 2. ประเมินพฤติกรรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลุ่ม 3. สงั เกตพฤตกิ รรมการเข้าร่วมกิจกรรมกลมุ่ 4 ตรวจกิจกรรมสง่ เสริมคุณธรรมนำความรู้ 5. ตรวจแบบประเมนิ ผลการเรียนรู้ แบบฝึกปฏิบัติ 6. ตรวจกิจกรรมใบงาน 7. การสงั เกตและประเมินพฤติกรรมด้านคณุ ธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ 10. เอกสารอ้างอิง /เอกสารค้นคว้าเพ่มิ เตมิ หนังสือเรียนวชิ า พลังงาน ทรัพยากรและสิง่ แวดล้อมสำนกั พิมพเ์ อมพนั ธ์ รหสั 20001-1002 และ อนิ เทอรเ์ น็ต http://www.greentheearth.info
137 แผนการจัดการเรยี นรู้ หนว่ ยที่ 8 หลกั สตู ร ประกาศนยี บตั รวิชาชพี สอนครั้งที่ 9-11 (17-22) รหสั 20001-1002 พลังงาน ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ท-ป-น 2-0-2 ชื่อหนว่ ยการเรียนรู้ พลงั งานทดแทน ทฤษฎี 6 ชม. 1. สาระสำคญั ปจั จบุ ันไดม้ คี วามพยายามศึกษา ค้นคว้า วิจัย และพฒั นาพลงั งานทดแทนรปู แบบต่างๆ ให้สามารถ นำมาใช้ ประโยชน์ไดส้ ะดวก และมปี ระสิทธิภาพมากข้ึน เพ่อื ช่วยประหยัดพลังงาน และลดค่าใช้จา่ ย โดยตง้ั อยู่บนพน้ื ฐาน ของการพึ่งพาพลงั งานจากแหล่งในทอ้ งถน่ิ และภายในประเทศให้สามารถผลติ และใช้พลังงานอย่างย่ังยืน ซ่งึ จะเป็น หนทางหนง่ึ ท่ชี ่วยลดการทาํ ลายทรพั ยากรที่กำลังเกิดขึน้ อย่างรุนแรง ในปัจจบุ ัน ช่วยรกั ษาความสมดุลของธรรมชาติ ตลอดจนลดการสร้างปญั หามลพษิ ให้กับสภาวะแวดล้อม พลังงานทดแทนจะเป็นหนทางหนง่ึ ของการแก้ไข วิกฤตการณ์ด้านพลังงาน และส่งิ แวดล้อมของโลกได้ 2. สมรรถนะประจำหน่วย 1.นกั เรียนเหน็ ความสำคญั ของวกิ ฤตการณแ์ ละ ระบแุ นวทางแกไ้ ขปัญหาได้ 2.นักเรียนสามารถบอกความหมายของพลังงานทดแทนได้ 3.นกั เรยี นสามารถวิเคราะหเ์ กีย่ วกับพลงั งานทดแทนแต่ละประเภทได้ 4.นักเรยี นสามารถทดลองโดยใชช้ ุดทดลองพลงั งาน แสงอาทิตย์ได้ 3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 1.เห็นความสำคญั ของวิกฤตการณ์และ ระบแุ นวทางแกไ้ ขปัญหาได้ 2.บอกความหมายของพลงั งานทดแทนได้ 3.วิเคราะหเ์ ก่ยี วกบั พลงั งานทดแทนแต่ละประเภทได้ 4.ทดลองโดยใช้ชุดทดลองพลังงาน แสงอาทติ ยไ์ ด้ 5. มกี ารพฒั นาคุณธรรม จรยิ ธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงคข์ องผู้สำเรจ็ การศกึ ษา สำนักงาน คณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา ที่ครูสามารถสงั เกตไดข้ ณะทำการสอนในเร่ือง 5.1 ความมีมนุษยสมั พนั ธ์ 5.2 ความมวี นิ ัย 5.3 ความรับผดิ ชอบ 5.4 ความซอื่ สัตย์สุจริต 5.5 ความเช่อื มั่นในตนเอง 5.6 การประหยัด 5.7 ความสนใจใฝ่รู้ 5.8 การละเว้นส่ิงเสพติดและการพนนั 5.9 ความรกั สามัคคี 5.10 ความกตัญญูกตเวที 5.11 แต่งกายตามข้อตกลง ตรงเวลา รกั ษาส่ิงแวดล้อม ใจอาสา
138 4. สาระการเรียนรู้ 1.ความหมายของพลังงานทดแทน 2.พลงั งานแสงอาทิตย์ (Solar Energy) 3.พลังงานนำ้ (Water Energy) 4.พลงั งานลม (Wind Energy) 5. กจิ กรรมการเรียนรู้ (สปั ดาหท์ .่ี ..9........) ข้นั นำเข้าสู่บทเรียน 1.ครแู ละผู้เรียนสนทนาถึงวิกฤตการณ์ด้านพลงั งานได้ก่อตวั และทวีความรุนแรงเพ่ิมมากขึ้น ท้ังจากการขาด แคลน แหล่งพลงังาน และผลกระทบของการใช้พลังงานที่มี่ต่อสภาวะแวดล้อมทว่ั โลกต่างตระหนักถึงวิกฤตการณ์น้ี และพยายามคดิ ค้นเพอื่ หาทางออก แนวทางหน่ึงในการแกไ้ ขวิกฤตการณด์ งั กลา่ วคอื การใช้พลังงานทดแทน 2.ผเู้ รียนยกตวั อยา่ งการใชพ้ ลังงาน ขนั้ สอน 3.ครใู ชเ้ ทคนคิ วิธสี อนแบบบรรยาย ด้วยการเล่าอธบิ ายแสดงสาธติ ให้ผ้เู รียนเปน็ ผูฟ้ ังและเปิดโอกาสให้ ผู้เรียนซักถามปัญหาได้ในตอนทา้ ยของการบรรยายความหมายของพลังงานทดแทน 4.ครูเปิด VDO ใหผ้ ู้เรยี นดูพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy) เชน่ เซลล์แสงอาทิตยเ์ ปลย่ี นพลงั งาน แสงอาทิตย์เป๋นพลังงานไฟฟ้า หรกื ารทำเคร่ืองทํานํ้าร้อน และเคร่ืองอบแห้งใช้พลังงานความร้อนจากดวงอาทิตย์ โดยตรง และการใช้พลงั งานด้านอ่นื ๆ 5.ครูและผ้เู รยี นใชเ้ ทคนิคการสอนแบบ Small Group Discussion การจดั การเรียนรู้โดยใชก้ ารอภิปราย พลังงานนำ้ (Water Energy) และเปดิ สอื่ วีดโี อเก่ียวกับการใชพ้ ลงั งานน้ำให้ผเู้ รยี นดปู ระกอบ ซ่ึงกาํ ลังนํ้าเป็นแหล่ง พลงั งานทส่ี ามารถนําไปใช้โดยวิธีการตา่ งๆ ไดถ้ ึง 5 ทาง ดังนี้ 5.1 การสร้างเข่ือนหรือกักเก็บน้ำไว้ในทสี่ ูง 5.2 การใช้พลังงานจากนำ้ ขนึ้ น้ำลงที่มรี ะดับแตกต่างกนั มากมาผลติกระแสไฟฟ้า 5.3 การใช้พลังงานคล่ืนในมหาสมุทรมาผลติ กระแสไฟฟ้า 5.4 การใช้ความแตกตา่ งของอุณหภมู ิระหว่างบริเวณผิวนาํ้ ทะเลท่ีอบอุ่น และบรเิ วณนํ้าท่อี ยู่ในระดบั ลกึ ซ่ึง เยน็ กว่า 5.5 การใช้พลังงานจากกระแสน้ําในมหาสมทุ ร 6.ครแู ละผู้เรยี นใชเ้ ทคนิคการสอนแบบ Discussion Method การจดั การเรยี นรแู้ บบอภิปรายพลังงานลม (Wind Energy) และเปิดวดี ีโอใหผ้ เู้ รยี นดูประกอบ ซึง่ ลมเป็นพลังงานท่ีมอี ยู่ท่วั ไป ไมม่ วี ันหมด เกิดจากการถ่ายเท เคลื่อนย้ายมวลอากาศ เพราะความ แตกต่างของอณุ หภมู ใิ นบรเิ วณหน่ึง ลมท่ีมีความรนุ แรงเตม็ ที่ เช่น พายุเฮอรเิ คน หรือทอร์นาโด จะมี พลังงานสะสมอยู่เทยี บเทา่ กบั แรงระเบดิ ของระเบดิ ปริมาณ ในสมยั โบราณมนษุ ย์รู้จกั นาํ พลงั งาน ลมมาใช้ เช่น สบู นํา้ บดข้าวโพด แล่นเรือใบ เป็นต้น 7.ผเู้ รยี นปฏบิ ัตกิ ิจกรรมทดลองโดยใช้ชดุ ทดลองพลังงานแสงอาทติ ย์ แล้วตอบคาํ ถามท่ีกำหนด ดงั นี้
139 7.1 การทดลองกบั ใบไม้แห้ง มวี ิธที ดลองดงั นี้ ใช้คลิปทเี่ ตาแสงอาทิตย์หนบี ใบไม้แห้งชิน้ เล็กๆ จัดให้ส่วนของใบไม้ท่ีต้องการเผาอยู่ตรงกึ่งกลาง ของตวั สะท้อนแสงในแนวตงั้ ฉาก หนั เตา และปรบั ตวั สะท้อนแสงรับแสงอาทิตย้ให้จุดรวมแสงอยู่ในส่วนของใบไม้ที่ ต้องการเผา หมนุ นอตหางปลาเพอื่ ปรบั ให้ไดจ้ ดุ รวมแสงท่มี ีขนาดเล็กที่สดุ เทา่ ทจี่ ะปรับได้ จบั เวลา และสงั เกตผล ท่ี เกิดขึ้น 7.2 การทดลองกบั ไมข้ ีดไฟ มีวธิ ที ดลองดังนี้ นาํ ไมข้ ีดไฟมา 1 ก้าน ใช้คลปิ ท่เี ตาแสงอาทติ ย์หนบี ไม้ขีดไฟ จัดให้หัวไมข้ ดี อยู่ตรงก่ึงกลางของตัว สะทอ้ นแสงในแนวต้ังฉากหนั เตา และปรบั ตัวสะท้อนแสงรับแสงอาทิตยืให้จดุ รวมแสงอยู่ทีห่ ัวไมข้ ีดไฟ แล้วหมนุ นอต หางปลาเพื่อปรับให้ได้จดุ รวมแสงที่มีขนาดเล็กทส่ี ุดเทา่ ทจ่ี ะปรับได้ จบั เวลา และสังเกตผลท่ีเกดิ ข้ึน 7.3 ข้อควรปฏิบัติก่อนและหลังการทดลอง ก่อนและหลงั การทดลองควรใช้ผ้านุ่มๆ ชุบน้ำบดิ ให้แห้ง เชด็ เบาๆ เพื่อทาํ ความสะอาดผวิ หน้าของเตา (ส่วนทส่ี ะท้อนแสง) โดยระวังไมใ่ ห้มรี อยขดี ขว่ นทผี่ ิวหน้าเตาเพราะจะทำ ให้การทดลองไม่ไดผ้ ลดี เมื่อเลกิ ทดลองแล้วควรเก็บอปุ กรณ์ไว้ในกล่องใหเ้ รียบร้อย เพื่อป้องกนั ฝุ่นไม่ให้มาเกาะท่ี ผิวหน้าของเตา 8.ครูแนะนำให้ผู้เรียนบันทึกบัญชีครัวเรือน เพื่อให้เกิดการปฏิบตั ิพัฒนาความรู้ ความคดิ และปฏบิ ัติถูกตอ้ ง ก่อให้เกิดความเจริญในดา้ นอาชีพหรอื เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ซ่ึงการทำบัญชีครวั เรอื นเปน็ เรื่องการบนั ทึก รายรบั รายจ่ายประจำวัน/เดอื น/ปี ว่ามีรายรับรายจา่ ยจากอะไรบ้าง จำนวนเท่าใด รายการใดจ่ายนอ้ ยจา่ ยมาก จำเป็นน้อยจำเป็นมาก ก็อาจลดลงหรอื เพมิ่ ขนึ้ ตามความจำเป็น ถ้าทุกคนคิดไดก้ ็แสดงว่าเป็นคนร้จู กั พฒั นาตนเอง มี เหตมุ ผี ล รจู้ ักพอประมาณ รักตนเอง รักครอบครวั รักชมุ ชน และรักประเทศชาติมากข้นึ จงึ เห็นไดว้ า่ การทำบัญชี ครวั เรือน คือวถิ ีแหง่ การเรยี นรเู้ พื่อพฒั นาชวี ติ ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ขั้นสรุปและการประยุกต์ 9.ครแู ละผู้เรียนสรุปความหมายของพลงั งานทดแทน พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy) พลังงานนำ้ (Water Energy) และพลังงานลม (Wind Energy) โดยการถามตอบ และทำกิจกรรม 10.ครสู ่มุ ถามผ้เู รียนรายบุคคล เพอื่ ทดสอบความเขา้ ใจของผเู้ รียน 11.ผู้เรียนตอบคำถาม ทำใบงาน และแบบประเมินผลการเรยี นรู้ สัปดาห์ที่ 10-11 ข้ันนำเข้าส่บู ทเรียน 1.ครูใช้เทคนคิ การสอนแบบซิปปาโมเดล (CIPPA MODEL) โดยการทบทวนความรูเ้ ดิมจากสปั ดาหท์ ี่ผา่ นมา โดยดงึ ความรู้เดิมของผเู้ รียนในเร่อื งทีจ่ ะเรียน เพื่อชว่ ยใหผ้ ้เู รียนมีความพร้อมในการเชือ่ มโยงความร้ใู หม่กับความรู้ เดมิ ของตน ผู้สอนใช้การสนทนาซกั ถามใหผ้ ้เู รยี นเลา่ ประสบการณเ์ ดิม 2.ครแู ละผู้เรียนสนทนาเก่ียวกบั พลังงานความร้อนใต้พภิ พเป็นแหล่งพลงั งานธรรมชาตทิ ี่มีขนาดใหญ่แหล่งหน่ึง ของโลกเกิดจาก การเคลื่อนตัวของเปลือกโลก เกดิ แนวรอยเล่ือนแตก ทําให้น้ําบางส่วนไหลซึมลงไปใต้ผวิ โลกไปสะสม ตวั และรบั ความร้อนจากช้ันหินทีม่ คี วามร้อนสูง กลายเป็นน้าํ ร้อน และไอนํ้าทีพ่ ยายามแทรกตัวตาม รอยเล่อื นแตกของ ชัน้ หินขึน้ มาบนผวิ ดิน อาจจะเป็นในลักษณะของนาํ้ พุร้อน ไอนา้ํ ร้อน โคลนเดือด และก๊าซ พลงั งานความร้อนนจี้ ะ
140 สะสมอยู่ใต้ผิวโลก ยงิ่ ลกึ ลงไปอุณหภมู ิกย็ ิ่งสงู ขึ้น เช่น ที่ระดับความลึกประมาณ 25-30 กิโลเมตรลงไป อณุ หภมู ิ จะมีคา่ อยู่ในเกณฑ์เฉล่ียประมาณ 550-1,000 องศาเซลเซียส ส่วนทต่ี รงจดุ กลางโลกจะมีอุณหภูมิสงู มากถงึ 3,500- 4,500 องศาเซลเซียส ข้นั สอน 3.ครแู ละผู้เรียนใชเ้ ทคนิคการบรรยายอธบิ าย โดยครใู ชส้ ื่อ Power Point ประกอบการสอนพลังงานความ รอ้ นใต้พภิ พ (Geothermal Energy) นาํ้ ร้อนจากใต้พื้นดินสามารถนาํ มาถ่ายเทความร้อนให้กบั ของเหลวหรอื สารที่มี จุดเดือดตา่ํ งา่ ยต่อการเดือด และการเป็นไอ แล้วนําไอที่ได้ไปหมุนกังหนั เพื่อขบั เคลอ่ื นเคร่ืองกาํ เนิดไฟฟ้า 4.ครเู ปดิ วดี ทิ ศั น์เพอื่ ใหผ้ ้เู รยี นศึกษาพลงั งานชวี มวล (Biomass Energy) เม่อื ดูจบแล้วให้สรุปสาระสำคัญให้ สัมพนั ธ์กบั เนื้อหาการเรยี น 5.ผู้เรียนยกตวั อย่างพลังงานทดแทนมา 1 ประเภท แล้ววิเคราะห์จุดเด่น ข้อจาํ กัดของการผลิต วตั ถดุ ิบท่ใี ช้ใน การผลิต และได้พลังงานเพยี งพอกบั ความต้องการใช้หรือคุ้มกบั การลงทุนเพยี งใด โดยเขียนเป็นแผนท่ีความคดิ 6.ผ้เู รียนทำใบงาน 7.ครูแนะนำให้ผู้เรียนบนั ทึกบัญชคี รวั เรือน เพื่อใหเ้ กิดการปฏิบตั ิพัฒนาความรู้ ความคิด และปฏบิ ตั ิ ถูกต้อง กอ่ ให้เกิดความเจรญิ ในด้านอาชพี หรือเศรษฐกิจ สงั คม และวัฒนธรรม ซ่งึ การทำบัญชคี รวั เรือนเป็นเรอื่ งการ บนั ทกึ รายรับรายจา่ ยประจำวนั /เดอื น/ปี ว่ามรี ายรับรายจา่ ยจากอะไรบา้ ง จำนวนเท่าใด รายการใดจ่ายน้อยจ่ายมาก จำเป็นน้อยจำเป็นมาก ก็อาจลดลงหรอื เพม่ิ ขึ้นตามความจำเป็น ถา้ ทกุ คนคิดได้ก็แสดงว่าเป็นคนรูจ้ ักพัฒนาตนเอง มี เหตุมผี ล ร้จู กั พอประมาณ รักตนเอง รักครอบครัว รักชุมชน และรักประเทศชาตมิ ากข้ึน จงึ เห็นได้วา่ การทำบญั ชี ครวั เรือน คอื วถิ ีแห่งการเรยี นรเู้ พือ่ พฒั นาชีวิตตามปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง ขั้นสรปุ และการประยกุ ต์ 8.ครูใช้คำถามหรอื กำหนดปัญหาโดยให้ผู้เรียนระดมสมองช่วยกนั คิดหาคำตอบแล้วอธิบายคำตอบใหเ้ พ่ือน ทุกคนเข้าใจ 9.ครูใช้วิธสี ุ่มผู้เรียนทุกกลุ่มตอบคำถามและอธิบายใหเ้ พื่อนฟงั ทัง้ ชนั้ เรยี น 10.ผู้เรียนฝกึ ทักษะทำใบงาน และแบบประเมินผลการเรียนรู้ 6. สอ่ื และแหล่งการเรยี นรู้ 1.หนงั สอื เรียน วิชาพลังงาน ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ของสำนักพิมพ์เอมพนั ธ์ 2.สอื่ Power Point, วีดีทัศน์ 3.กิจกรรมการเรียนการสอน 4.รูปภาพประกอบ 5.แบบประเมินผลการเรยี นรู้
141 7.หลักฐานการเรียนรู้ 1.บันทึกการสอนของผสู้ อน 2.ใบเช็ครายชื่อ 3.แผนจดั การเรียนรู้ 4.การตรวจประเมนิ ผลงาน 8.การวัดและประเมินผล 8.1 วิธกี าร 1. สงั เกตพฤติกรรมรายบคุ คล 2. ประเมินพฤติกรรมการเขา้ รว่ มกิจกรรมกลุ่ม 3. สงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ ร่วมกิจกรรมกลุ่ม 4 ตรวจกิจกรรมสง่ เสริมคุณธรรมนำความรู้ 5. ตรวจแบบประเมินผลการเรยี นรู้ แบบฝกึ ปฏบิ ัติ 6. ตรวจกิจกรรมใบงาน 7. การสังเกตและประเมินพฤติกรรมด้านคุณธรรม จรยิ ธรรม ค่านยิ ม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 8.2 เคร่อื งมือ 1. แบบสังเกตพฤติกรรมรายบคุ คล 2. แบบประเมินพฤตกิ รรมการเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม (โดยครู) 3. แบบสังเกตพฤติกรรมการเขา้ ร่วมกจิ กรรมกลุ่ม (โดยผู้เรยี น) 4. แบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ และแบบฝึกปฏิบัติ 5. แบบประเมินกิจกรรมใบงาน 6. แบบประเมินคุณธรรม จริยธรรม คา่ นิยม และคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ โดยครูและผู้เรียนร่วมกัน ประเมนิ 8.3 เกณฑ์ 1. เกณฑผ์ ่านการสังเกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล ต้องไมม่ ชี อ่ งปรับปรุง 2. เกณฑ์ผา่ นการประเมนิ พฤติกรรมการเขา้ รว่ มกิจกรรมกลุ่ม คอื ปานกลาง (50 % ขึ้นไป) 3. เกณฑผ์ ่านการสังเกตพฤติกรรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลุ่ม คือ ปานกลาง (50% ข้นึ ไป) 4. แบบประเมินผลการเรียนรู้มเี กณฑผ์ า่ น และแบบฝกึ ปฏิบัติ 50% 5. แบบประเมินกิจกรรมใบงานมีเกณฑผ์ ่าน 50% 6. แบบประเมนิ คุณธรรม จรยิ ธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ คะแนนข้นึ อยู่ กับการประเมินตามสภาพจริง
142 9.บนั ทกึ ผลหลังการจัดการเรียนรู้ 9.1 ข้อสรปุ หลังการจดั การเรียนรู้ .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. 9.2 ปัญหาที่พบ .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. 9.3 แนวทางแก้ปัญหา ............................................................................................................... ................................... .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. ........................................................................................................................................... .......
ใบความร้ทู ี่ .....8 143 หลกั สูตร ประกาศนียบตั รวิชาชพี หน่วยที่ 8 รหสั 20001-1002 พลงั งาน ทรัพยากร และสิง่ แวดล้อม สอนครงั้ ที่ 9-11 ชื่อเรอื่ ง เรือ่ ง พลงั งานทดแทน เวลา......6............ชม. 1. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. บอกความหมายและความสำคญั ของพลงั งานทดแทนได้ 2. บอกข้อดีและข้อเสยี ของการใช้พลังงานน้ำได้ 3.บอกข้อดีและข้อเสยี ของการใช้พลังงานแสงอาทติ ย์ได้ 4.บอกผลกระทบจากการใชพ้ ลงั งานลมได้ 5. อธบิ ายกระบวนการแปรรูปพลงั งานชีวมวลได้ 6. อธิบายเกยี่ วกับพลงั งานจากขยะได้ 7. บอกผลกระทบตอ่ ส่ิงแวดล้อมจากการใช้พลังงานชวี มวลได้ 2. สมรรถนะ ผู้เรียนมคี วามตระหนักในการใช้พลงั งานอย่างประหยัด 3. เนอ้ื หาสาระ ความหมายของพลงั งานทดแทน พลงั งานทดแทน หมายถงึ พลังงานที่นำมาใช้แทนน้ำมนั เช้ือเพลิง สามารถแบ่งตามแหล่งท่ไี ด้มา เป็น 2 ประเภท คือ พลงั งานทดแทนจากแหล่งที่ใชแ้ ล้วหมดไป เรยี กว่า พลงั งานสิ้นเปลอื ง (Alternative Energy) ไดแ้ ก่ ถ่านหนิ กา๊ ซธรรมชาติ นิวเคลยี ร์ หนิ น้ำมนั และทรายนำ้ มัน เปน็ ต้น และพลังงานทดแทนอีก ประเภทหน่งึ เป็นแหล่งพลังงานท่ใี ชแ้ ล้วสามารถหมุนเวียนมาใชไ้ ดอ้ ีก เรยี กวา่ พลังงานหมนุ เวยี น (Renewable Energy) ได้แก่ แสงอาทิตย์ ลม ชีวมวล นำ้ และไฮโดรเจน เป็นต้น พลังงานทดแทน เป็นพลังงานที่สะอาด ไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นแหล่งพลังงานที่มีอยู่ใน ท้องถิ่น เช่น พลังงานลม แสงอาทิตย์ ชีวมวล และอื่นๆ จึงมีการส่งเสริมให้มีการผลิต และการใช้ประโยชน์อย่าง แพร่หลาย มีประสิทธิภาพ และมีความเหมาะสมทั้งทางด้านเทคนิค เศรษฐกิจ และสังคม สำหรับผู้ใช้ในเมือง และ ชนบท ซึ่งในการศึกษา ค้นคว้า และพัฒนาพลังงานทดแทนดังกล่าว ยังรวมถึงการพัฒนาเครื่องมือ เครื่องใช้ และ อุปกรณ์เพื่อการใช้งานมีประสิทธิภาพสูงสุดด้วย งานศึกษา และพัฒนาพลังงานทดแทน เป็นส่วนหนึ่งของแผนงาน พฒั นาพลังงานทดแทน ซึ่งมโี ครงการท่ีเกีย่ วข้องโดยตรงภายใต้แผนงานนี้คือ โครงการศกึ ษาวิจัยด้านพลังงาน และมี ความเชื่อมโยงกับแผนงานพัฒนาชนบทในโครงการจัดตั้งระบบ ผลิตไฟฟ้าประจุแบตเตอรี่ด้วยเซลล์แสงอาทิ ตย์ สำหรับหมู่บ้านชนบทที่ไม่มีไฟฟ้า โดยงานศึกษา และพัฒนาพลังงานทดแทนจะเป็นงานประจำที่มีลักษณะการ ดำเนินงานของกิจกรรมต่างๆ ในเชิงกว้างเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทดแทน ทั้งในด้านวิชาการเชงิ ทฤษฎี และอุปกรณ์เครื่องมือทดลอง และการทดสอบ รวมถึงการส่งเสริมและเผยแพร่ ซึ่งจะเป็นการสนับสนนุ และ รองรับความพร้อมในการจัดต้ังโครงการใหม่ๆ ในโครงการศึกษาวิจัยด้านพลังงานและโครงการอื่นๆ ท่เี ก่ยี วข้อง เช่น การศึกษาค้นคว้าเบื้องต้น การติดตามความก้าวหน้าและร่วมมือประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพัฒนา
144 ต้นแบบ ทดสอบ วิเคราะห์ และประเมินความเหมาะสมเบื้องต้น และเป็นงานส่งเสริมการพัฒนาโครงการที่กำลัง ดำเนินการให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ตลอดจนสนับสนุนให้โครงการที่เสรจ็ ส้ินแล้วได้นำผลไปดำเนนิ การส่งเสริม และ เผยแพร่และการใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม ซึ่งการส่งเสริมและพัฒนาการใช้พลังงานทดแทนให้มีประสิทธิภาพ และขยายวงกว้างออกไปนั้นจะช่วยลดปัญหาการขาดแคลนพลังงานในอนาคต และจะช่วยลดปัญหาด้านมลพิษท่ี เกดิ จากการใช้พลงั งานในปจั จุบนั ลงไปด้วย วิกฤตการณ์ด้านพลังงานของโลกได้ก่อตัว และทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นอยู่ตลอดเวลา ในระยะเวลา 10 ปีท่ีผ่านมา ปัญหาใหญ่ที่สร้างความตระหนักใหก้ ับผูค้ นบนโลกได้มากที่สุดคงหนไี ม่พ้น ปัญหาผลกระทบของ การใช้พลังงานทีม่ ีตอ่ สภาวะแวดลอ้ ม ส่งผลให้ทุกประเทศทัว่ โลกต่างต้องเผชญิ กบั ภัยอนั ตรายท่เี กดิ จากปัญหานี้ ไม่ ว่าจะเป็นอุทกภัย อัคคีภัย วาตภัย และภัยจากความแห้งแล้งที่โหมกระหน่ำทั่วทุกมุมโลก นอกจากนี้การ รายงานถึงสภาวะการสำรองพลังงานจากธรรมชาติของทุกประเทศมีสภาวะลดน้อย ไม่พอเพียงที่จะใช้ในระยะ เวลานานได้ อันเนื่องมาจากการขาดแคลนแหล่งพลังงานใหม่ๆ ส่งผลให้กลุ่มประเทศที่มีพลังงานจำนวนมาก รวมตัวตัวกันขึ้นราคาพลังงานจนมีราคาในระดับที่สูงมากในปัจจุบันและมีแนวโน้มที่ราคาจะสูงอย่างต่อเนื่องต่อไป จากสถานการณ์ดังกล่าวจึงมีการพยายามคิดคน้ เพื่อหาทางออกในการแก้ไขปัญหาดงั กล่าว แนวทางหนึ่งที่ค้นพบ ในการแก้ไขวิกฤตการณ์ดังกลา่ วคือการใช้พลังงานทดแทน ซึ่งในปัจจุบันไดม้ ีความพยายามศึกษา ค้นคว้า วิจยั และพฒั นาพลงั งานทดแทนรปู แบบต่าง ๆ ใหส้ ามารถนำมาใชป้ ระโยชนไ์ ดส้ ะดวก และมปี ระสิทธภิ าพมากข้นึ เพ่ือ ช่วยประหยัดพลังงาน และลดค่าใช้จ่าย โดยการคิดค้นและนำพลังงานทดแทนมาใช้ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของการ พง่ึ พาแหล่งพลงั งานจากในท้องถ่ิน และภายในประเทศ อันจะสง่ ผลใหส้ ามารถผลิตและใช้พลังงานอยา่ งยั่งยืน อัน จะเป็นหนทางหน่ึงที่ชว่ ยลดการทำลายทรัพยากรที่กำลังเกิดข้ึนอย่างรุนแรงในปจั จุบัน อีกทั้งยังช่วยในรักษาความ สมดุลของธรรมชาติ ตลอดจนลดการสร้างปัญหามลพิษให้กับสภาวะแวดล้อม พลังงานทดแทนจึงเป็นหนทางที่ สำคัญหนทางหนึ่งในการแก้ไขวิกฤตการณ์ด้านพลังงาน และสิ่งแวดล้อมของโลกประเภทพลังงานทดแทนที่ใช้กัน แพร่หลายในปัจจุบนั ปัจจุบันพลังงานทดแทนได้มีการพัฒนาเพื่อผลิตและนำมาใช้งานค่อนข้างแพร่หลาย พิจารณาเฉพาะ ประเทศไทย นอกเหนือจากพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ถูกนำมาใช้เพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้าอย่างที่ทราบกันมานานแล้ว นั้น ปัจจุบันที่มีการทดลองใช้งานและหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนมีการโหมประชาสัมพันธ์เพื่อให้เกิดการผลิต และใช้งานกันอย่างกว้างขวาง ได้แก่ น้ำมันไบโอดีเซลล์ และการผลิตพลังงานไฟฟ้าด้วยกังหันลม แม้ว่าใน ความเป็นจริงการผลิตและใช้งานน้ำมันไบโอดีเซลล์ และการผลิตพลังงานไฟฟ้าด้วยกังหันลม จะเป็นไปแบบค่อย เป็นค่อยไป ยังไม่เป็นที่แพร่หลายนัก แต่เช่ือว่าแนวโน้มในอนาคต พลังงานทดแทนทั้งสองประเภท ต้องมีการใช้ งานอยา่ งมากมายแน่นอน พลังงานทดแทนที่ใช้งานกันแพร่หลายอยู่ในโลกปัจจุบันมีด้วยกันหลายประเภท ขึ้นอยู่กับปัจจัยด้าน สภาพแวดล้อมของแต่ละพื้นที่ว่ามีความเหมาะสมในการนำพลังงานชนิดใดมาใช้งาน อาทิเช่น ประเทศ เนเธอร์แลนด์ มีกระแสลมแรงอยู่ตลอดปี ต้องนั้นจึงมีการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากกังหันมาใช้อย่างกว้างขวาง หรอื พน้ื ทภี่ าคเหนือของประเทศไทย เชน่ อำเภอฝาง จงั หวัดเชียงใหม่ มีบอ่ น้ำพรุ ้อนทใี่ ห้แรงดนั สูง จึงไดม้ ีการนำ พลังงานความร้อนจากน้ำพุร้อนดังกล่าว ไปขับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ได้พลังงานไฟฟ้าส่วนหนึ่งไว้ใช้ในชุมชน เป็น โรงไฟฟา้ พลงั ความรอ้ นใตพ้ ภิ พ เป็นตน้ ปัจจบุ ันพลงั งานทดแทนที่แพรห่ ลายและใช้ประโยชน์ได้จรงิ
145 วฎั จักรของน้ำ 1. วฏั จกั รของน้ำ นำ้ เป็นทรพั ยากรที่มีความสำคญั และจำเป็นทสี่ ุดต่อการดำรงชีวิต ของคน สัตวแ์ ละพืช และ วัฏจักรของน้ำภายในระบบนิเวศ ก็เป็นตวั การสำคญั ทท่ี ำให้ธาตแุ ละสารประกอบทจ่ี ำเปน็ ต่อส่ิงมีชีวิต ไดถ้ กู ใช้ หมุนเวยี นกนั อยา่ งสมำ่ เสมอ น้ำเป็นสว่ นประกอบของส่งิ มชี ีวิตประมาณ 70 เปอรเ์ ซ็นต์ของนำ้ หนักท้ังหมด วัฏ จกั รของน้ำจะถูกสง่ ผา่ นแลกเปล่ยี นกนั ระหวา่ งสว่ นท่ีเป็นผิวโลก และส่วนท่เี ปน็ บรรยากาศโดยวิธที ีเ่ รียกวา่ การ กล่นั (Precipitation) และการระเหย (Evaporation) การกลัน่ และการระเหยจะควบคมุ ปริมาณน้ำท่ีมีอยใู่ น บรรยากาศ และบนพื้นโลกให้มปี รมิ าณคงตัว นัน่ คือ ถา้ ปริมาณน้ำในบรรยากาศมมี ากเกนิ ไป จะมผี ลทำให้ไอน้ำ ในบรรยากาศกลั่นตวั เป็นน้ำตกลงส่พู น้ื ดิน หรือถา้ น้ำบนโลกมีมากเกินไปก็จะมผี ลทำให้นำ้ ระเหยสู่บรรยากาศได้มาก ขึ้น ปริมาณนำ้ จากบรรยากาศทีก่ ลน่ั ตวั ตกลงมา จะมปี ริมาณเท่ากับน้ำจากพื้นโลกระเหยข้ึนไป วฏั จักรของนำ้ จะดำรงอย่ไู ด้ ดว้ ยกระบวนการ 5 กระบวนการดงั น้ี 1. การระเหย (Evaporation) เป็นการเปลีย่ นสภาพของนำ้ จากของเหลวเปน็ ไอ เขา้ ไปปนอย่ใู นอากาศ 2. การกลั่น (Precipitation) เปน็ การเปลย่ี นสภาพของน้ำจากไอนำ้ ในอากาศมาเป็นน้ำซง่ึ เป็นของเหลว 3. การไหล (Run off) เป็นการเคล่ือนย้ายนำ้ ไปสทู่ ่ีต่าง ๆ ทางผวิ ดนิ 4. การหายใจ (Aspiration) เป็นการนำน้ำเข้าสู่รา่ งกายของส่งิ มีชีวิต อันเนอื่ งจากการหายใจ 5. การคายนำ้ (Transpiration) เปน็ การลดระดับของน้ำในส่วนประกอบของสงิ่ มชี วี ติ อย่างหน่งึ แหล่งของพลังงานน้ำ (Water Energy) ช่วงปลายครสิ ต์ศตวรรษท่ี 19 ต่อกบั ตน้ ครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 20 มนุษย์ได้ พัฒนาโรงงานไฟฟา้ พลงั นำ้ ข้ึนมาใช้ โรงไฟฟ้าดังกล่าวมามารถเปลี่ยนพลังงานของน้ำตกให้เป็น กระแสไฟฟ้าได้โดยอาศัยเครื่องยนต์กังหันน้ำและเครื่อง กำเนิดไฟฟ้า น้ำธรรมดานั้นไม่อาจจะผลิตพลงั งานได้นอกเสียจากว่ามีการไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ โรงงานไฟฟ้าพลัง น้ำส่วนมากจึงตั้งอยู่ใกล้น้ำตกและเขื่อนทั้งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ และที่มนุษย์สร้างขึ้นมา ในปัจจุบันน้ำตก สำคัญ ๆ ของโลกหลายแหง่ ก็ได้ใช้ประโยชนใ์ นการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำกันทั้งนั้น แหล่งกำเนิดไฟฟ้าพลังน้ำอกี แหล่ง หนึ่งของโลกเราที่ควรทราบกันก็คือ มหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาล ในรอบ 24 ชั่วโมงของแต่ละวัน ระดับน้ำของ มหาสมุทรจะขึ้น-ลงเป็นประจำ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เรียกว่าน้ำขึ้น-น้ำลง หลายประเทศทั่วโลก ได้ทำ โครงการที่จะใชป้ ระโยชน์จากสภาวะน้ำข้ึนเพื่อนำมาผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ ที่สำคัญน้ำเป็นพลังงานสะอาด ไม่มีผลเสยี ตอ่ ส่งิ แวดลอ้ มมากนกั มีการทดแทนตอ่ เนือ่ งตลอดเวลา ทำประโยชนใ์ ห้ได้ไมส่ ิน้ สดุ แต่เป็นพลังงานท่ตี อ้ งลงทุนสูง คา่ ใชจ้ า่ ยในการบำรุงรกั ษาสูงและมีปญั หาการโยกยา้ ยถิ่นฐานของชุมชนเพ่ือสร้างเข่ือนขนาดใหญ่ การที่จะนำมาใช้ จึงต้องพิจารณาให้รอบคอบ และให้สามารถใช้ได้ผลอย่างคุ้มค่าจริง ๆ กำลังน้ำเป็นแหล่งพลังงานที่สามารถ นำไปใช้โดยกลวธิ ีการต่าง ๆ ไดถ้ งึ 5 ทาง ดังนี้ 1. การสร้างเขื่อนหรือกักเก็บน้ำไว้ในที่สูง แล้วปล่อยให้น้ำไหลลงมาตามท่อเข้าสู่เครื่องกังหันน้ำผลักดัน ใบพัดให้กังหันน้ำหมุน เพลาของเครื่องกังหันน้ำที่ต่อเข้ากับเพลาของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าจะหมุนตาม เกิดการ เหน่ียวนำขนึ้ ในเครอ่ื งกำเนดิ ไฟฟา้ ทำให้เกดิ พลังงานไฟฟา้
146 2. การใชพ้ ลงั งานจากน้ำขึ้นนำ้ ลงทีม่ ีระดับแตกต่างกนั มากมาผลติ กระแสไฟฟา้ ซึง่ ปัจจุบันมีอยูใ่ นประเทศ ฝรั่งเศส และรัสเซยี 3. การใชพ้ ลงั งานคล่นื ในมหาสมทุ รมาผลติ กระแสไฟฟ้า โดยการสร้างทุ่นลอยอยู่บนผิวน้ำ การเคล่อื นไหว ของท่นุ ลอยเหล่านี้โดยคลื่นทำใหเ้ กดิ กระแสไฟฟา้ ปจั จุบันหลายประเทศกำลงั ศึกษาทดลองอยู่ 4. การใช้ความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างบริเวณผิวน้ำที่อบอุ่น และบริเวณน้ำที่อยู่ในระดับลึกซึ่งเย็น กว่า ความแตกตา่ งของอณุ หภูมิลกั ษณะนีเ้ กดิ ข้ึนเสมอในทะเลแถบโซนร้อนโดยทั่วไปในการผลิตไฟฟ้าด้วยไอน้ำจะมี หมอ้ ตม้ น้ำเพ่อื ผลิตไอน้ำใหไ้ ปหมุนเครอ่ื งกำเนิดไฟฟา้ โดยใชเ้ ชื้อเพลิงในการเผาไหม้ แต่ในกรณนี จี้ ะใชค้ วามร้อนของ น้ำในระดบั ผวิ บนซง่ึ มีอณุ หภูมสิ ูงทำใหแ้ อมโมเนียเหลวซง่ึ บรรจอุ ยู่ในเครื่องเปล่ียนพลงั งานกลายเปน็ ไอ และใชค้ วาม เย็นในระดับลึกเป็นผลให้แอมโมเนียควบแน่นกลับมาอยู่ในสถานะของเหลวเช่นเดิม ดังนั้นในการผลิตกระแสไฟฟ้า ดว้ ยเทคโนโลยีน้ีจึงไม่ต้องใชพ้ ลงั งานเชื้อเพลงิ เลย ปัจจุบนั อยู่ในขั้นศึกษาพฒั นาเพื่อใหม้ ีประสทิ ธภิ าพ 5. การใช้พลงั งานจากกระแสนำ้ ในมหาสมุทร โดยใชก้ ารไหลวนของกระแสน้ำในมหาสมุทรที่เกิดข้ึนอย่าง สม่ำเสมอ และมีการเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ ในปริมาณมากมายมหาศาลและมีพลังงานมากพอท่ีจะนำมาใช้ ประโยชน์ได้ เช่น การติดตั้งกังหันคอริโอลิสในอ่าวฟลอริดาบริเวณนี้มีความเร็วของกระแสน้ำประมาณ 2 นอต ใช้กังหันประเภทน้ีวางขวางกั้นทิศทางการไหลของกระแสน้ำสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในขั้น ศกึ ษาวจิ ัย ขอ้ ดีและข้อเสียของการใช้พลงั งานนำ้ ได้ ขอ้ ดีของการใช้พลังงานน้ำได้ 1. นำ้ เป็นพลังงานสะอาด ไม่มีผลเสยี ต่อส่งิ แวดลอ้ มมากนัก 2. มีการทดแทนตอ่ เน่อื งตลอดเวลา ทำประโยชน์ใหไ้ ด้ไม่สิ้นสุด 3. ชว่ งท่ีมกี ารใช้ไฟฟ้าสงู หรือเรียกว่า พคี โหลด (peak load) โรงไฟฟา้ จากพลังงานนำ้ มคี วามสามารถใน การเดนิ เคร่อื งไดร้ วดเรว็ และสามารถหยดุ เดนิ เครือ่ งได้ทุกเวลาตามความต้องการ ต่างจากโรงไฟฟา้ ที่ใช้ เช้ือเพลิงฟอสซลิ เป็นเชอื้ เพลิง ต้องใช้เวลานานในการเริ่มเดินเครอ่ื ง ข้อเสียของการใช้พลงั งานน้ำได้ 1. พลงั งานน้ำใชเ้ งนิ ลงทุนสูง 2. พลังงานน้ำเสยี คา่ ใช้จ่ายในการบำรุงรักษาสงู และสถานทย่ี ังตง้ั อยู่ห่าง 3. ทำใหส้ ูญเสียพ้นื ทปี่ ่าไปบางส่วนมีปญั หาการโยกย้ายถน่ิ ฐานของชุมชนเพื่อสรา้ งเขื่อนขนาดใหญ่ 4. พลังงานนำ้ มคี วามไม่แน่นอนเกิดขึ้น เช่น หน้าแล้ง หรือกรณที ่ีฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy) แสงอาทิตย์เป็นแหล่งพลังงานธรรมชาติที่มีขนาดใหญ่และสำคัญที่สุดของโลก เป็นพลังงานที่สะอาด พลังงานที่โลกได้รับจากแสงอาทิตย์โดยตรง คือ พลังงานความร้อน และแสงสว่าง ซ่ึงมนุษย์สามารถนำมาใช้ ประโยชน์ตามสภาพธรรมชาติ เช่น ใช้ในการอบหรือตากผลผลิตทางการเกษตร เช่น การทำเนื้อแห้ง ปลาแห้ง ผลไม้แห้ง การตากข้าวโพด มันสำปะหลัง หรือใช้ในการทำนาเกลือ เป็นต้น แต่การใช้ประโยชนจ์ ากพลังงาน แสงอาทติ ยย์ ังมีข้อจำกดั เนอื่ งมาจากแสงอาทิตยจ์ ะมีเฉพาะในเวลากลางวัน และความเขม้ ข้นของแสงหรือปรมิ าณ
147 ความร้อนที่ได้จากแสงอาทิตย์ไม่มีความแน่นอน ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและฤดูกาลที่เปลี่ยนไป แสงอาทิตย์เกิด จากปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ในดวงอาทิตย์ เมื่อแสงอาทิตย์เดินทางมาถึงนอกชั้นบรรยากาศของโลก จะมีความ เข้มข้นของแสงโดยเฉลี่ยประมาณ 1,350 วัตต์/ตารางเมตร แต่เมื่อผ่านมายังพื้นผิวโลกความเข้มข้นของแสงจะ ลดลงเหลือประมาณ 1,000 วตั ต/์ ตารางเมตร อันเนือ่ งมาจากการสูญเสียที่ชั้นบรรยากาศต่างๆ ท่ีห่อหุ้มโลก เช่น ช้ันโอโซน ชน้ั ไอน้ำ ชน้ั กา๊ ซคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นตน้ ปริมาณแสงอาทิตย์ที่ได้รบั บนพ้ืนทใ่ี ด จะมีปรมิ าณสูงสุดเมื่อพน้ื ที่น้ันทำมุมตั้งฉากกบั แสงอาทิตย์ ประเทศ ไทยเป็นประเทศทตี่ ้ังอยใู่ นเขตใกล้เสน้ ศูนย์สูตร คอื อยู่ระหวา่ งเสน้ ขนานที่ 6 – 10 องศาเหนอื จงึ ได้รับพลังงาน แสงอาทิตย์ค่อนข้างสูง ค่าความเข้มพลังงานแสงอาทิตย์รวมเฉลี่ยของประเทศ ประมาณ 4.7 กิโลวัตต์-ชั่วโมง / ตารางเมตร / วนั หากสามารถใช้พลังงานแสงอาทิตย์ท่สี าดส่องลงมาบนพ้ืนท่ีของประเทศไทยเพียงหนึ่งในร้อยส่วน ของพื้นที่ทั้งหมด จะได้พลังงานเทียบเท่ากับการใช้น้ำมันดิบประมาณ 7,000,000 ตันต่อปี และหากสามารถปรับ พนื้ ทร่ี ับแสงใหต้ ดิ ตามแสงอาทิตย์ไดต้ ลอดเวลา คาดวา่ จะสามารถรับแสงได้เพ่มิ ขึ้นอีกประมาณ 1.3 – 1.5 เทา่ เลย ทีเดยี ว การนำพลงั งานแสงอาทติ ย์มาใช้ทำได้ 2 ลักษณะ คอื กระบวนการเปลยี่ นรูปเป็นพลังงานความรอ้ น โดย ให้แสงอาทติ ย์สอ่ งผา่ นแผ่นรบั แสงมาตกกระทบยงั พน้ื สีดำ เป็นผลใหเ้ กิดความรอ้ นเพ่ิมมากข้ึนเหนอื บริเวณพ้ืนทำให้ สามารถนำพลังงานความร้อนที่ได้ไปใช้ประโยชน์ในลักษณะต่าง ๆ เช่น นำไปใช้ผลิตน้ำร้อน กลั่นน้ำ อบแห้ง พืชผลทางการเกษตร ส่วนการพลังงานแสงอาทิตย์ไปใช้อีกรูปแบบหนึ่ง คือ กระบวนการเปลี่ยนรูปเป็นพลังงาน ไฟฟ้า โดยเมื่อแสงอาทิตย์ตกกระทบลงแผงเซลล์แสงอาทิตย์ เซลล์แสงอาทิตย์จะทำหน้าที่เปลี่ยนพลังงาน แสงอาทิตยเ์ ปน็ พลังงานไฟฟา้ เพอื่ นำไปใชก้ บั อปุ กรณ์เคร่ืองใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ การผลิตไฟฟ้าโดยเซลล์แสงอาทิตย์ (Solar cell) เซลลแ์ สงอาทติ ย์ มีกำเนดิ ในช่วงปี ค.ศ.1950 ท่ี Bell Telephone Laboratory ประเทศสหรฐั อเมริกา โดยมีวัตถปุ ระสงค์เบือ้ งต้นเพื่อผลติ ไฟฟา้ จากแสงอาทติ ย์ สำหรบั ใชใ้ นโครงการอวกาศ ต่อมาจึงไดเ้ รม่ิ มกี ารนำมาใช้ อย่างกว้างขวางทั้งในกิจวัตรประจำวันและในระบบอุตสาหกรรม โดยในระยะแรกเซลล์แสงอาทิตย์จะมีราคาแพง มาก จึงจำกัดการใช้งานในระบบวิทยุสื่อสารและระบบแสงสว่างขนาดเล็กในพื้นที่ห่างไกลเท่านั้น เซลล์ แสงอาทติ ย์ เป็นส่งิ ประดิษฐ์ทส่ี ร้างขึน้ มาเพื่อเป็นอุปกรณ์สำหรับการเปล่ยี นพลังงานแสงใหเ้ ปน็ พลังงานไฟฟ้า โดย การนำสารกงึ่ ตวั นำ เช่น ซิลกิ อน ซ่งึ มีราคาถกู ท่สี ุดและมมี ากที่สุดบนโลกมาผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ผลิต ให้เปน็ แผ่นบาง บริสทุ ธ์ิ และในทนั ทีที่มีแสงตกกระทบบนแผ่นเซลล์ รังสีของแสงทีม่ ีอนุภาคของพลังงานประกอบ ทเี่ รียกวา่ โปรตอน (Proton) จะถ่ายเทพลงั งานให้กบั อิเล็กตรอนในสารก่ึงตัวนำ จนมพี ลังงานมากพอที่จะกระโดด ออกมาจากแรงดึงดูดของอะตอม และสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระ เมื่ออิเล็กตรอนมีการเคลื่อนที่ได้ครบวงจร จะทำให้เกิดไฟฟา้ กระแสตรงขึ้น ดงั นัน้ เม่อื มีการเช่ือมกบั วงจรภายนอก เชน่ เอาหลอดไฟฟา้ มาต่อครอ่ มข้ัวต่อก็จะ เกิดการไหลของอิเล็กตรอน ส่งผลให้หลอดสว่างได้ และจะให้พลังงานไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องตราบเท่าที่ยังมี แสงอาทิตย์ตกกระทบเซลล์ ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันที หรือนำไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ เพื่อใช้งานใน ภายหลังได้ ข้อมูลของการติดตั้งเซลล์แสงอาทิตย์เพื่อใช้งานในประเทศไทย มีหน่วยงานต่างๆ ได้ติดตั้งเซลล์ แสงอาทิตย์ที่มีลักษณะการใช้งานเป็นการติดตั้งเพื่อใช้งานในพื้นที่ห่างไกล เช่น สถานีเติมประจุแบตเตอร่ี ระบบสื่อสารหรือสถานีทวนสัญญาณขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ระบบสูบน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์
148 ระบบไฟฟ้าหมู่บ้านที่ห่างไกล ระบบไฟฟ้าในโรงเรียนประถมศึกษา สาธารณสุข และไฟสัญญา ณไฟกระพริบ นอกจากนัน้ ยังมกี ารใช้งานพลังงานแสงอาทิตย์ผสมผสานกับพลังงานรูปแบบอื่นๆ ดว้ ย เชน่ พลังงานน้ำ พลังงาน ลมและใช้ร่วมกบั เครื่องยนต์ดีเซลดว้ ย การผลิตไฟฟ้าดว้ ยเซลล์แสงอาทิตย์มี 3 ระบบ ดังน้ี 1. การผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดติดตั้งอิสระ เป็นระบบผลิตไฟฟ้าที่ออกแบบ สำหรับใช้ งานในพื้นที่ชนบทที่ไม่มีระบบสายส่งไฟฟ้า อุปกรณ์ระบบที่สำคัญประกอบด้วยแผงเซลล์แสงอาทิตย์ อุปกรณ์ควบคุม การประจแุ บตเตอรี่ และอปุ กรณเ์ ปลยี่ นระบบไฟฟ้ากระแสตรงเป็นไฟฟา้ กระแสสลบั แบบอิสระ 2. การผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดต่อเชื่อมระบบสายส่ง เป็นระบบผลิตไฟฟ้าที่ถูกออกแบบ สำหรับผลิตไฟฟ้าผ่านอุปกรณ์เปลี่ยนระบบไฟฟ้ากระแสตรงเป็นไฟฟ้ากระแสสลับ เข้าสู่ระบบสายส่งไฟฟ้าโดยตรง ใช้ ผลิตไฟฟ้าในเขตเมืองหรือพื้นท่ีที่มีระบบจำหน่ายไฟฟ้าเข้าถึง อปุ กรณ์ระบบท่ีสำคัญประกอบด้วยแผงเซลล์แสงอาทิตย์ อุปกรณเ์ ปล่ียนระบบไฟฟ้ากระแสตรงเป็นไฟฟา้ กระแสสลับชนิดต่อกับระบบจำหน่ายไฟฟ้า 3. การผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์แบบผสมผสาน เป็นระบบผลิตไฟฟ้าที่ถูกออกแบบสำหรับ ทำงานร่วมกับอุปกรณ์ผลิตไฟฟ้าอื่น ๆ เช่น ระบบเซลล์แสงอาทิตย์กับพลังงานลม และเครื่องยนต์ดีเซล ระบบเซลล์ แสงอาทิตย์กับพลังงานลม และไฟฟ้าพลังน้ำ เป็นต้น โดยรูปแบบระบบจะขึ้นอยู่กับการออกแบบตามวัตถุประสงค์ โครงการเป็นกรณี การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ของประเทศไทย ศักยภาพพลังงานแสงอาทิตย์ของพื้นที่แห่งหนึ่งจะสูงหรือต่ำ ขึ้นอยู่กับปริมาณรังสีดวงอาทิตย์ที่ตกกระทบ พืน้ ที่น้นั โดยบรเิ วณที่ได้รับรังสดี วงอาทติ ย์มากจะมีศักยภาพในการนำพลงั งานแสงอาทิตย์มาใช้งานสูง ศักยภาพพลังงานแสงอาทิตย์ของประเทศไทย (พ.ศ. 2542) โดยกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน และคณะ วิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร พบว่าการกระจายของความเข้มรังสีจากดวงอาทิตย์ตามบริเวณต่าง ๆ ในแต่ละ เดือนของประเทศ ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือและลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ และพื้นที่ส่วนใหญ่ ของประเทศได้รับรังสีดวงอาทิตย์สูงสุดระหว่างเดือนเมษายน และพฤษภาคม โดยมีค่าอยู่ในช่วง 20 ถึง 24 เมกะ จลู /ตารางเมตร-วนั ศักยภาพพลังงานแสงอาทิตย์รายวันเฉลี่ยต่อปี พบว่าบริเวณที่ได้รับรังสีดวงอาทิตย์สูงสุดเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ โดยครอบคลุมบางส่วนของจังหวัดนครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีษะเกษ ร้อยเอ็ด ยโสธร อบุ ลราชธานี และอดุ รธานี และบางส่วนของภาคกลางที่จังหวดั สุพรรณบุรี ชยั นาท อยธุ ยา และลพบรุ ี โดยได้รบั รังสี ดวงอาทิตย์ เฉลี่ยทั้งปี 19 ถึง 20 เมกะจูล/ตารางเมตร-วัน พื้นที่ดังกล่าวคิดเป็น 14.3% ของพื้นที่ทั้งหมดของ ประเทศ นอกจากน้ยี ังพบว่า 50.2% ของพนื้ ทีท่ ง้ั หมดได้รับรังสีดวงอาทิตย์เฉลยี่ ทงั้ ปี ในชว่ ง 18-19 เมกะจูล/ตาราง เมตร-วนั จากการคำนวณรังสีรวมของดวงอาทิตย์รายวันเฉล่ยี ต่อปีของพ้ืนท่ที ่วั ประเทศพบว่า มีค่าเทา่ กบั 18.2 เมกะ จลู /ตารางเมตร-วัน จากผลท่ีได้น้ีแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพพลังงาน แสงอาทิตยค์ ่อนขา้ งสงู การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทย ปจั จุบนั (ปี 2550) มีการติดตง้ั การใช้งานระบบไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตยป์ ระมาณ 32,249.992 กโิ ลวัตต์ สว่ นใหญจ่ ะเปน็ การใช้งานในพ้ืนทที่ ี่ไม่มไี ฟฟา้ เข้าถึง กิจกรรมท่นี ำเซลล์แสงอาทิตย์ไปใชง้ านมากทส่ี ดุ คอื ระบบผลติ ไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ รองลงมาเปน็ ระบบผลิตไฟฟ้าเชอื่ มต่อกับระบบจำหนา่ ย ระบบประจุแบตเตอรร์ ่ีด้วยเซลล์ แสงอาทติ ย์ ระบบส่ือสารโทรคมนาคม และระบบสูบนำ้ ตามลำดับ ซงึ่ หนว่ ยงานทนี่ ำระบบดงั กล่าวไปใช้ประโยชน์ ยงั คงเป็นหนว่ ยงานของรฐั ทีจ่ ัดหาพลังงานสำหรับสาธารณประโยชน์
149 ตาราง การผลิตไฟฟา้ จากเซลลแ์ สงอาทิตยใ์ ช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ของประเทศไทย ลำดบั ที่ กิจกรรมใช้งาน จำนวนการติดตงั้ (kw) ร้อยละ 1 ระบบผลติ ไฟฟา้ 25,996.781 80.61 2 ระบบประจุแบตเตอร่ี 1,400.954 4.34 3 ระบบสื่อสารโทรคมนาคม 1,142.022 3.54 4 ระบบผลติ ไฟฟ้าเชือ่ มต่อกบั ระบบจำหนา่ ย 3,382.014 10.49 5 ระบบสูบน้ำ 328.221 1.02 รวม 32,249.992 100 ขอ้ ดแี ละข้อเสียของการใช้พลงั งานแสงอาทิตย์ ข้อดขี องพลังงานแสงอาทติ ย์ ในอดีตการผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์มีราคาแพงมาก แต่เนื่องจากปัจจุบันราคาของเซลล์แสงอาทติ ย์ ได้ลดลงมาอย่างมาก และมีแนวโน้มว่าจะลดลงอีกเรื่อย ๆ เพราะประชาชนโดยทั่วไปได้ตระหนักถึงสภาวะแวดล้อม เป็นพิษ เนื่องจากการใช้เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ในการผลิตพลังงานจึงหันมาใช้เซลล์แสงอาทิตย์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ การผลิตไฟฟา้ จากเซลลแ์ สงอาทติ ยม์ จี ดุ เด่นท่ีสำคญั แตกต่าง จากวิธีอ่ืนหลายประการ ดังต่อไปนี้ 1. ไม่มีชิน้ สว่ นท่เี คลอื่ นไหวในขณะใช้งาน จึงทำใหไ้ ม่มมี ลภาวะทางเสยี ง 2. ไม่กอ่ ให้เกดิ มลภาวะเป็นพษิ จากขบวนการผลติ ไฟฟา้ 3. มกี ารบำรงุ รักษาน้อยมากและใช้งานแบบอัตโนมัติได้ง่าย 4. ประสทิ ธิภาพคงทไ่ี มข่ ้นึ กบั ขนาด 5. สามารถผลิตเป็นแผงขนาดต่าง ๆ ได้ง่าย ทำใหส้ ามารถผลิตได้ปรมิ าณมาก 6. ผลิตไฟฟ้าแมม้ ีแสงแดดอ่อนหรือมีเมฆ 7. เป็นการใชพ้ ลังงานแสงอาทติ ยท์ ไี่ ดม้ าฟรีและมีไม่ส้ินสุด 8. ผลติ ไฟฟา้ ได้ทุกมุมโลกแมบ้ นเกาะเลก็ ๆ กลางทะเล บนยอดเขาสูง และในอวกาศ 9. ไดพ้ ลังงานไฟฟ้าโดยตรงซง่ึ เปน็ พลังงานที่นำมาใช้ไดส้ ะดวกทีส่ ุด ข้อเสียของการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ 1. คา่ ใช้จา่ ยในการตดิ ต้ัง และอปุ กรณ์ในการตดิ ตงั้ ราคาคอ่ นขา้ งแพง 2. ขน้ึ อยู่กับสภาวะภูมิอากาศ 3. ผลกระทบจากระบบผลิตความรอ้ นและความเย็นจากแสงอาทติ ย์ อาจเกิดการรัว่ ซมึ ของสารทำงานที่ใช้ ในระบบ เกิดการแพร่ของเชื้อราหรือแบคทีเรียที่เติบโตในหน่วยเก็บสะสมพลังงานเข้าไปในห้องหรืออาคาร และ อาจเกิดอนั ตรายในการตดิ ตงั้ ระบบท่ีจำเปน็ ตอ้ งตดิ ตง้ั บนหลงั คา 4. ผลกระทบจากระบบผลิตไฟฟ้าเซลล์แสงอาทิตย์ อาจเกดิ ไฟร่ัวในระหว่างการประจุแบตเตอร่ีได้ 5. ผลกระทบจากระบบผลิตความร้อนขนาดใหญ่ ในระบบท่ใี ช้ตวั เก็บรงั สีอาทิตย์ขนาดใหญ่จะตอ้ งใช้พ้ืนท่ี มาก จะมผี ลกระทบต่อรงั สที ่สี ะท้อนจากพื้นดิน (albedo) ซ่ึงมีผลต่อความเร็วลม ปรมิ าณเมฆ และปรมิ าณฝนใน บรเิ วณน้นั และมผี ลกระทบต่ออัตราการระเหยของน้ำบนพน้ื ดิน
150 พลงั งานลม (Wind Energy) ลมเป็นพลังงานที่มีอยู่ทั่วไป และเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เกิดจากความแตกต่างของอุณหภูมิ กล่าวคือเมื่อเกิดการถ่ายเทเคลื่อนย้ายมวลอากาศเพราะความแตกต่างของอุณหภูมิในบริเวณหนึ่ง ไปยังอีกบริเวณ หนึ่งจะทำให้เกิดลม นอกจากอุณหภูมิแล้วความดันบรรยากาศและแรงจากการหมุนของโลก ก็เป็นปัจจัยท่ี กอ่ ให้เกิดความเร็วลมและกำลังลมดว้ ยเช่นกัน และลมทมี่ ีความรุนแรงเตม็ ท่ี เช่น พายุเฮอริเคนหรือทอร์นาโด จะ มีพลังงานสะสมอยู่เทียบเท่ากับแรงระเบิดของระเบิดปรมาณู ในสมัยโบราณมนุษย์รู้จักนำพลังงานลมมาใช้ เช่น สบู น้ำ บดขา้ วโพด และแล่นเรือใบ เป็นตน้ ปัจจบุ ันมนษุ ยไ์ ด้ใหค้ วามสำคัญและนำพลังงานจากลมมาใชป้ ระโยชน์ มากขน้ึ เนื่องจากพลังงานลมมีอยู่ทั่วไป ไมต่ อ้ งซือ้ หา เป็นพลังงานที่สะอาดไม่ก่อใหเ้ กิดอันตรายต่อสภาพแวดล้อม และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไม่รู้จักหมดสิ้น ประมาณกันว่าปัจจุบันทั่วโลกมีกังหันลมที่ใช้ในการสูบน้ำ มากกว่า 1 ลา้ นตวั และเปน็ กังหนั ลมที่ใชผ้ ลิตไฟฟ้าขนาดหนง่ึ กโิ ลวตั ต์ขึน้ ไปมากกว่า 12,000 ตวั การผลิตไฟฟ้า จากพลังงานลมจะใช้ควบคไู่ ปกับการผลติ พลงั งานไฟฟ้าจากพลังงานรปู อนื่ เช่น พลงั งานแสงอาทิตย์ เป็นต้น กระแสลมโดยเฉล่ียของประเทศไทยอยู่ในระดับกลางถึงต่ำ มีความเร็วของกระแสลมต่ำกว่า 4 เมตรต่อ วินาที เราได้นำพลังงานจากกระแสลมมาใช้ในการหมุนกังหันลมสูบน้ำ ซึ่งมีอยู่ทั่วประเทศไทยประมาณ 5,800 ชุด และมีการคิดค้นพัฒนาในการนำกังหันลมมาใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าในหลายพื้นที่ของประเทศไทย โดย เฉพาะที่แหลมพรหมเทพ จังหวัดภูเก็ต ได้นำกังหันลมมาใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าร่วมกับการผลิตกระแสไฟฟ้าจาก แสงอาทิตย์ พลังงานลม การเกดิ พลังงานลมและลมในประเทศไทย พลังงานลมถอื เป็นพลงั งานที่สะอาด ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสิง่ แวดล้อม ใช้ประโยชนไ์ ดอ้ ยา่ งไม่มวี นั หมด พลังงานลมเกิดจากอากาศได้รับความร้อนที่แผร่ ังสีจากดวงอาทิตย์ ทำให้ความหนาแน่นของอากาศลดลง อากาศ ร้อนทเี่ บากว่าจะลอยตัวข้ึนสู่เบอ้ื งบน อากาศเยน็ ที่หนักกว่าจะเคลื่อนตัวเขา้ แทนท่ี เชน่ บรเิ วณเขตศูนย์สูตรจะมี อากาศที่รอ้ นกว่าบรเิ วณเขตข้ัวโลก เมื่อเคลือ่ นตวั เขา้ มาแทนที่จะกอ่ ให้เกดิ กระแสลมพดั ผ่านกระจายอยู่ทว่ั ไปในช้ัน บรรยากาศ การหมุนของโลกยังเป็นปัจจัยที่มผี ลต่อความเร็วของลมหรือกำลังลม ดังนั้นลมคือการเคลื่อนไหวของ อากาศ ถา้ ลมแรง แสดงวา่ มวลของอากาศเคลือ่ นตัวมาก และเรว็ การวดั ทิศทางของลมใชเ้ คร่อื งมือที่เรียกวา่ ศร ลม (wind vane) ส่วนการวัดความเร็วของลมใช้เครื่องมือที่เรียกว่า อะนีมอมิเตอร์ (anemometer) สำหรับ หน่วยวัดความเร็วของลมมีหน่วยที่ใช้กันอยู่หลายหน่วย ได้แก่ นอตหรือไมล์ทะเลต่อชั่วโมง กิโลเมตรต่อชั่วโมง และไมล์บกต่อชั่วโมง ลมสำคัญทเ่ี กดิ ขน้ึ ในประเทศไทย 1) ลมมรสุม คอื ลมประจำฤดขู องไทย เกิดขน้ึ เพราะอุณหภูมทิ แี่ ตกตา่ งระหว่างมวลอากาศ ในเขตพื้นดินกับพื้นน้ำในแต่ละฤดูกาล จึงเกิดการไหลเวียนของอากาศระหว่างพื้นน้ำกับพื้นดิน ลมมรสุมมีกำลัง ออ่ นบา้ งแรงบ้าง ขน้ึ อย่กู ับแนวร่องความกดอากาศต่ำ 1.1) ลมมรสมุ ตะวันตกเฉียงใต้ หรือเรียกว่าลมมรสุมฤดูร้อน พดั จากมหาสมุทรอินเดียเข้า สปู่ ระเทศไทยในระหว่างเดอื นพฤษภาคมถึงเดือนตลุ าคม หอบเอาความชนื้ จากทะเลมา ปะทะแนวเขา เกิดเป็นฝนตกชุกในแถบภาคใต้ฝั่งอันดามัน พัดผ่านประเทศไทยขึ้น เหนือสู่ประเทศจนี ตอ่ ไป
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249