Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการจัดการเรียนรู้ วิชา พลังงาน ทรัพยากร และสิ่งแวดล้อม

แผนการจัดการเรียนรู้ วิชา พลังงาน ทรัพยากร และสิ่งแวดล้อม

Published by Oranut, 2021-11-27 14:45:54

Description: รวมไฟล์แผนการสอนพลังงาน 2_64 โดยครูอรนุช กอสวัสดิ์พัฒน์ประกอบด้วย 12หน่วยการเรียนรู้

Search

Read the Text Version

ใบความรทู้ ่ี .....10 201 หลกั สตู ร ประกาศนียบัตรวชิ าชีพ หนว่ ยท่ี 10 รหัส 20001-1002 พลงั งาน ทรัพยากร และสิ่งแวดล้อม สอนครงั้ ที่ 13 ชอ่ื เร่อื ง เรอ่ื ง กฎหมายการอนรุ กั ษ์พลงั งาน เวลา......2............ชม. 3. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 1. ผู้เรียนเข้าใจกฎหมายอนุรักษพ์ ลังงาน 2. มคี วามเข้มแขง็ ท้งั รา่ งกายและจติ ใจ ไมย่ อมแพ้ต่ออำนาจใฝ่ต่ำ เกรงกลัวต่อบาป 2. สมรรถนะ 1. อธิบายกฎหมายอนุรักษ์พลงั งานได้ 2. อธิบายหนา้ ท่แี ละขัน้ ตอนการอนุรกั ษ์พลังงานของโรงงานควบคมุ ได้ 3. อธิบายหนา้ ท่ีและข้นั ตอนการอนุรกั ษ์พลงั งานของอาคารควบคมุ ได้ 4.อธบิ ายค่าธรรมเนยี มพิเศษการใช้ไฟฟ้าได้ 5. อธบิ ายบทกำหนดโทษสำหรับผ้ฝู ่าฝนื กฎหมายอนรุ กั ษพ์ ลังงานได้ 6. ตระหนกั ในความสำคญั ของการอนรุ ักษ์พลงั งาน 3. เนื้อหาสาระ กฎหมายที่เกยี่ วขอ้ งกับพลังงาน สถานการณ์ในด้านการใช้พลังงานของประเทศไทยมีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเรว็ เป็นผล มาจากความเจรญิ เตบิ โตสงู สดุ ทางเศรษฐกิจ จนรฐั บาลในขณะน้นั มีความวิตกกังวลว่าจะไม่สามารถจัดหาพลังงานได้ เพียงพอกับความต้องการใช้ภายในประเทศ ประกอบกับการลงทุนในการจัดหาแหล่งพลังงานใหม่ๆ มีต้ นทุนสูง การใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุดจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะชะลอการลงทุนในการจัดหาแหล่งพนักงานใหม่ๆ เพิ่มเติม ดังนั้นรัฐบาลจงึ ได้ออกกฎหมายเพื่อส่งเสริมให้มกี ารผลิตและใช้พลังงานอยา่ งประหยัดและมปี ระสิทธิภาพ ตลอดจนก่อให้เกิดการผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพ และวัสดุเพื่อใช้ในการอนุรักษ์พลังงานขึ้น ภายในประเทศ จึงได้ผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพ และวัสดุเพื่อใช้ในการอนุรักษ์พลังงาน ภายในประเทศ จึงได้ตรา “พระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนรุ ักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535” เพื่อกำหนดมาตรการ ในการกำกับ ดูแลส่งเสริม และช่วยเหลือเกี่ยวกับการใช้พลังงาน ซึ่ง พ.ร.บ. ฉบับนี้ได้ประกาศใช้ในราชกิจจา นุเบกษา เล่ม 109 ตอนที่ 33 ลงวันที่ 2 เมษายน 2535 โดยมีนายอานันท์ ปันยารชุนนายกรัฐมนตรีใน ขณะนัน้ เปน็ ผ้รู บั สนองพระบรมราชโองการ

202 กฎหมายอนรุ ักษพ์ ลังงานประกอบดว้ ย 9 หมวด 61 มาตรา ดังแสดงในตาราง ตาราง แสดงหมวดและมาตราของกฎหมายอนุรกั ษ์พลงั งาน หมวด มาตรา บทบญั ญัตแิ ละคำนยิ ามศัพท์ มาตราท่ี 1-6 หมวด 1 การอนรุ กั ษพ์ ลังงานในโรงงาน มาตราท่ี 7-16 หมวด 2 การอนรุ ักษ์พลงั งานในอาคาร มาตราท่ี 17-22 หมวด 3 การอนรุ ักษ์พลังงานในเคร่อื งจักร อุปกรณ์ และส่งเสรมิ การใช้วัสดุ มาตราที่ 23 เพือ่ อนรุ ักษ์พลังงาน หมวด 4 กองทนุ เพ่ือส่งเสรมิ การอนรุ กั ษ์พลังงาน มาตราท่ี 24-39 หมวด 5 มาตรการส่งเสรมิ และช่วยเหลือ มาตราที่ 40-41 หมวด 6 คา่ ธรรมเนยี มพเิ ศษ มาตราท่ี 42-46 หมวด 7 พนกั งานเจ้าหนา้ ที่ มาตราที่ 47-49 หมวด 8 การอทุ ธรณ์ มาตราที่ 50-52 หมวด 9 บทกำหนดโทษ มาตราท่ี 53-61 สรปุ รายละเอียดสำคญั ของพระราชบัญญตั ิการสง่ เสริมการอนรุ ักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 หมวด 1 กล่าวถึงการอนุรักษ์พลังงานในโรงงาน ซงึ่ จะตอ้ งดำเนนิ การดงั ต่อไปนี้ ปรับปรุงประสิทธิภาพ ของการเผาไหม้เช้ือเพลงิ ปอ้ งกันการสญู เสียพลังงาน นำพลังงานทเ่ี หลือจากการใช้แลว้ กลบั มาใช้ใหม่ เปลยี่ นไป ใชพ้ ลงั งานอีกประเภทหนง่ึ โรงงานต้องอนุรักษ์พลังงาน ตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้ พลังงานในโรงงานของตนให้เป็นไปตาม มาตรฐาน หลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวงที่รัฐมนตรีออกโดยคำแนะนำของคณะกรรมการนโยบาย พลงั งานแหง่ ชาติ หมวด 2 แสดงวิธีในการดำเนินการอนุรักษ์พลังงาน กำหนดให้อาคารควบคุมและโรงงานควบคุมมี หน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎกระทรวงที่ออกตามความในพระราชบัญญัติฉบับนี้ หน้าที่ของอาคารควบคุมและ โรงงานควบคุม คือ ต้องจัดให้มีผู้รับผิดชอบด้านพลังงานอย่างน้อย 1 คน กำหนดเป้าหมายและแผนอนุรักษ์ พลังงาน (โดยปฏิบัติงานร่วมกับบริษัทที่ปรึกษาด้านการอนรุ ักษ์พลังงาน) บันทึกและรับรองข้อมูลตามกำหนดไว้ใน กฎกระทรวง เป็นต้น หมวด 3 ใหอ้ ำนาจรฐั มนตรีกระทรวงพลังงาน โดยคำแนะนำของคณะกรรมการนโยบายพลงั งานแห่งชาติ มีอำนาจในการออกกฎกระทรวงเพือ่ กำหนดเคร่ืองจักรหรืออุปกรณ์ต่างๆ พร้อมรายละเอียดในการใช้วัสดุเพื่อใชใ้ น การอนุรักษ์พลังงาน ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ดังกล่าว มีสิทธิที่จะขอรับการสนับสนุนจาก กองทุนเพอื่ ส่งเสริมการอนรุ ักษ์พลังงานได้ หมวด 4 หมวดนี้กำหนดให้จัดตั้ง “กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน” เพื่อเป็นกองทุนไว้ใช้ใน กจิ กรรมต่างๆ ด้านการอนุรักษพ์ ลงั งานหรือการแก้ไขปญั หาสิ่งแวดลอ้ มจากการอนุรกั ษ์พลงั งาน

203 หมวด 5 ผ้ผู ลิตและจำหน่ายเครอื่ งจักรอปุ กรณ์ท่ีมีประสทิ ธภิ าพสงู และโรงงานหรืออาคารสว่ นราชการหรือ รัฐวิสาหกิจ อีกทั้งโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมมีสิทธิรับการส่งเสริมและช่วยเหลือจากกองทุนในการขอรับ ยกเว้นค่าธรรมเนยี มพิเศษตาม พ.ร.บ. หมวด 6 หากโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมใดไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวง จะต้องชำระ คา่ ธรรมเนยี มพเิ ศษการใช้ไฟฟ้า ซ่งึ เรยี กเกบ็ ตามปริมาณไฟฟ้าทีซ่ ื้อ หรอื ได้จากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) หรือการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ซึ่งคณะกรรมการกองทุนโดยความ เหน็ ชอบของคณะกรรมการนโยบายพลงั งานแหง่ ชาตจิ ะเปน็ ผู้กำหนดอัตราค่าธรรมเนยี มน้ีข้ึน หมวด 7 แสดงถงึ อำนาจหน้าทข่ี องพนักงานเจา้ หน้าท่ี ซง่ึ ตาม พ.ร.บ. น้มี อี ำนาจหลายประการ เช่น เรียกเจ้าของโรงงานควบคุมหรืออาคารควบคุมมาให้ถ้อยคำ แจ้งข้อเท็จจริง หรือทำคำชี้แจงเป็นหนังสือ เพื่อ ตรวจสอบหรอื เพ่ือประกอบการพิจารณา หรอื วา่ สามารถเขา้ ไปในโรงงานควบคุมหรืออาคารควบคมุ ในระหว่างเวลา พระอาทติ ย์ขึ้นถงึ พระอาทิตยต์ กหรอื เวลาทำการได้โดยพนกั งานเจา้ หนา้ ท่ีต้องแสดงบตั รประจำตวั แก่บุคคลซึ่งเกี่ยวข้อง ทุกครัง้ ท่เี ข้าไปปฎิบัตงิ าน หมวด 8 โรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่ใช้พลังงานต่ำกว่าที่กำหนดใน พ.ร.ก. และมีความจำเป็น จะต้องใช้พลังงานต่อเนื่องกันไม่น้อยกว่าหกเดือน สามารถขอผ่อนผันการดำเนินการตาม พ.ร.บ. ต่ออธิบดีกรม พฒั นาและส่งเสริมพลังงานได้ หมวด 9 ในหมวดนไี้ ด้กำหนดโทษในการฝา่ ฝืนไม่ปฏบิ ตั ิตาม พ.ร.บ. ในหมวดทงั้ 9 หมวด ใหศ้ ึกษามาตราทเี่ ก่ยี วข้องกับการอนุรกั ษพ์ ลังงานดงั นี้ หมวด ๑ การอนุรักษ์พลงั งานในโรงงาน มมี าตราทเี่ กี่ยวข้องกบั บทลงโทษดังน้ี มาตรา ๗ การอนุรักษ์พลงั งานในโรงงานได้แก่การดำเนนิ การอย่างใดอยา่ งหนึง่ ดงั ต่อไปน้ี (๑) การปรบั ปรงุ ประสิทธิภาพของการเผาไหมเ้ ช้อื เพลงิ (๒) การปอ้ งกันการสูญเสยี พลังงาน (๓) การนำพลงั งานท่เี หลือจากการใช้แลว้ กลบั มาใช้ใหม่ (๔) การเปลย่ี นไปใช้พลังงานอกี ประเภทหน่งึ (๕) การปรับปรุงการใช้ไฟฟ้าด้วยวิธีปรับปรุงตัวประกอบกำลังไฟฟ้า การลดความต้องการ พลงั ไฟฟา้ สูงสุดในช่วงความต้องการใช้ไฟฟ้าสงู สดุ ของระบบการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าใหเ้ หมาะสมกบั ภาระและวิธกี ารอื่น (๖) การใช้เคร่ืองจักรหรืออุปกรณ์ท่ีมีประสิทธิภาพสูงตลอดจนระบบควบคุมการทำงาน และวัสดุที่ช่วยในการอนุรักษ์พลังงาน (๗) การอนุรกั ษ์พลังงานโดยวิธอี ่ืนตามที่กำหนดในกฎกระทรวง มาตรา ๘ การกำหนดโรงงานประเภทใด ขนาด ปริมาณการใช้พลังงาน หรือวิธีการใช้พลังงาน อย่างใดให้เป็นโรงงานควบคุม ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกาพระราชกฤษฎีกาตามวรรคหนึ่งให้ใช้บังคับเมื่อพ้น กำหนดหนง่ึ ร้อยยีส่ ิบวนั นบั แตว่ นั ประกาศในราชกจิ จานเุ บกษา เจ้าของโรงงานควบคุมแห่งใดใช้พลังงานต่ำกว่าขนาดหรือปริมาณที่กำหนดในพระราช กฤษฎีกาตามวรรค หนึ่ง และจะใช้พลังงานในระดับดังกล่าวต่อไปเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่าหกเดือน เจ้าของ โรงงานควบคุมแห่ง นั้นอาจแจ้งรายละเอียดพร้อมด้วยเหตุผล และมีคำขอให้อธิบดีผ่อนผันการที่ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติน้ี

204 ตลอดเวลาดังกล่าวได้ ในกรณีที่มีคำขอดังกล่าว ให้อธิบดีพิจารณาผ่อนผัน หรือไม่ผ่อนผันและมีหนังสือแจ้งผลให้ เจ้าของโรงงานควบคุมทราบโดยเรว็ มาตรา ๑๐ ในกรณีท่ีมีเหตุอันสมควร อธิบดีมีอำนาจออกคำส่ังให้เจ้าของโรงงานควบคุมรายใด แจ้งขอ้ เทจ็ จริงเกยี่ วกับการใช้พลังงานเพ่ือตรวจสอบให้การอนุรกั ษ์พลงั งานเป็นไปตามมาตรฐานหลกั เกณฑแ์ ละวิธกี ารท่กี ำหนด ในกฏกระทรวงที่ออกตามมาตรา ๙ และใหเ้ จ้าของโรงงานควบคุมรายนนั้ ปฏบิ ัติตามภายในสามสิบวนั นบั แตว่ นั ที่ ไดร้ ับคำส่ังน้นั มาตรา ๑๑ นอกจากทบ่ี ัญญัติไว้แล้วในมาตรา ๑๐ ใหเ้ จ้าของโรงงานควบคุมมหี น้าทดี่ ังตอ่ ไปนี้ (๑) จัดให้มีผู้รับผิดชอบด้านพลังงานซึ่งมีคุณสมบัติตามมาตรา ๑๓ อย่างน้อยหนึ่งคน ประจำท่ีโรงงานควบคุมแต่ละแห่ง (๒) ส่งข้อมูลเก่ียวกับการผลิต การใช้พลังงานและการอนุรักษ์พลังงานให้แก่กรม พัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ตามแบบแผน (๓) จัดให้มีการบันทึกข้อมูลการใช้พลังงาน การติดต้ังหรือเปลี่ยนแปลงเครื่องจักรหรือ อุปกรณ์ท่ีมีผลต่อการใช้พลังงานและการอนุรักษ์พลังงาน ทั้งน้ี ตามหลักเกณฑ์และวิธีการท่ีกำหนดใน กฎกระทรวงและระยะเวลาท่ีกำหนดในกฎกระทรวง (๔) กำหนดเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงานของโรงงานควบคุมและส่งให้แก่กรม พัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานตามหลักเกณฑ์ วิธีการและระยะเวลาที่กำหนดในกฎกระทรวง (๕) ตรวจสอบและวิเคราะห์การปฏิบัติตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน ทั้งนี ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและระยะเวลาท่ีกำหนดในกฎกระทรวงกฏกระทรวงตามมาตราน้ีให้รฐั มนตรีออกโดยคำแนะนำของ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ มาตรา๑๒ เจ้าของโรงงานควบคุมต้องจัดให้มีผู้รับผิดชอบด้านพลังงานและแจ้งให้อธิบดีทราบ ภายในหนึ่งร้อยแปดสบิ วันนับแตว่ ันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดโรงงานควบคุมตามมาตรา ๘ ใช้ บังคบั ในกรณีที่เป็นโรงงานควบคมุ ก่อนวันทพ่ี ระราชกฤษฎีกาท่ีออกตามมาตรา ๘ ใชบ้ ังคบั หรอื นับแตว่ ันทเ่ี ปน็ โรงงานควบคุม ในกรณีท่เี ปน็ โรงงานควบคุมในหรือหลังวนั ท่ีพระราช กฤษฎีกาทอ่ี อกตามมาตรา ๘ ใช้บังคับ มาตรา ๑๓ ผู้รบั ผิดชอบด้านพลงั งานตอ้ งมคี ุณสมบตั อิ ยา่ งใดอย่างหน่ึงดังต่อไปน้ี (๑) เป็นผู้ได้รับประกาศนียบัตรวิชาชีพช้ันสูงและมีประสบการณ์การทำงานในโรงงาน อย่างน้อยสามปี โดยมีผลงานด้านการอนรุ ักษ์พลังงานตามการรับรองของเจา้ ของโรงงานควบคมุ (๒) เป็นผู้ได้ปริญญาทางวิศวกรรมศาสตร์หรือทางวิทยาศาสตร์ โดยมีผลงานดา้ น การอนุรักษ์พลังงานตามการรับรองของเจา้ ของโรงงานควบคมุ (๓) เป็นผู้สำเร็จการฝึกอบรมด้านการอนุรักษ์พลังงานหรือการฝึกอบรมที่มีวัตถุ ประสงค์ คลา้ ยคลึงกนั ท่กี ระทรวงพลงั งานจัดขึ้นหรือใหค้ วามเหน็ ชอบ การรับรองของเจ้าของโรงงานควบคุมตาม (๑) และ (๒) ให้เปน็ ไปตามแบบทอ่ี ธิบดีกำหนด

205 มาตรา๑๔ ผ้รู บั ผิดชอบด้านพลังงานมีหน้าทด่ี ังต่อไปนี้ (๑) บำรุงรักษาและตรวจสอบประสิทธิภาพของเครื่องจักรและอุปกรณ์ท่ีใช้พลังงานเป็น ระยะๆ (๒) ปรบั ปรงุ วธิ กี ารใชพ้ ลังงานให้เป็นไปตามหลักการอนรุ กั ษ์พลังงาน (๓) รับรองข้อมูลท่ีเจ้าของโรงงานควบคุมส่งให้แก่กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์ พลังงานตามมาตรา ๑๑ (๒) (๔) ควบคุมดูแลการบันทึกข้อมูลตามมาตรา ๑๑ (๓) เพื่อให้พนักงานเจ้าที่ตรวจสอบไดแ้ ละ รบั รองความถูกตอ้ งของการบันทกึ ดงั กลา่ ว (๕) ช่วยเจ้าของโรงงานควบคุมในการกำหนดเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงานของ โรงงานควบคมุ ตามมาตรา ๑๑ (๔) หมวด ๒ การอนุรกั ษ์พลงั งานในอาคาร มาตรา ๑๗ การอนุรกั ษพ์ ลังงานในอาคารไดแ้ ก่การดำเนนิ การอยา่ งใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ (๑) การลดความรอ้ นจากแสงอาทิตย์ทเี่ ขา้ มาในอาคาร (๒) การปรับอากาศอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ รวมทงั้ การรักษาอุณหภูมิภายในอาคาร ใหอ้ ยใู่ นระดับท่ี เหมาะสม (๓) การใช้วัสดุก่อสร้างอาคารที่จะช่วยอนุรักษ์พลังงาน ตลอดจนการแสดงคุณภาพของวัสดุ ก่อสร้างนั้นๆ (๔) การใชแ้ สงสวา่ งในอาคารอยา่ งมีประสิทธภิ าพ (๕) การใช้และการติดต้ังเคร่ืองจักร อุปกรณ์ และวัสดุท่ีก่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานในอาคาร (๖) การใชร้ ะบบควบคมุ การทำงานของเครอื่ งจกั รและอุปกรณ์ (๗) การอนุรักษพ์ ลังงานโดยวธิ อี ื่นตามทกี่ ำหนดในกฎกระทรวง หมวด ๓ การอนุรักษพ์ ลังงานในเครอื่ งจักร อุปกรณ์ และส่งเสริมการใช้วสั ดเุ พื่ออนรุ ักษพ์ ลงั งาน มาตรา ๒๓ เพื่อประโยชน์ในการอนุรักษ์พลังงานในเครื่องจักรหรืออุปกรณ์และส่งเสริมการใช้วัสดุเพ่ือ อนุรักษ์พลงั งาน ให้รฐั มนตรโี ดยคำแนะนำของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ มอี ำนาจออกกฎกระทรวงใน เรอื่ งดงั ตอ่ ไปน้ี (๑) กำหนดเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ตามประเภท ขนาด ปริมาณการใช้พลังงาน อัตราการ ส้ินเปลืองพลังงาน และประสิทธิภาพการใช้พลังงานอย่างใด เป็นเคร่ืองจักรหรืออุปกรณ์ที่มีประสทิ ธภิ าพสงู (๒) กำหนดวัสดตุ ามประเภท คณุ ภาพและมาตรฐานอย่างใด เป็นวัสดเุ พอ่ื ใชใ้ นการอนุรักษ์ พลังงานผู้ผลิตและผู้จำหน่ายเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงหรือวัสดุเพื่อใช้ในการอนุรักษ์พลัง งาน ตามวรรคหนงึ่ มสี ิทธิขอรับการสง่ เสรมิ และช่วยเหลือตามมาตรา ๔๐

206 หมวด ๖ ค่าธรรมเนยี มพเิ ศษ มาตรา ๔๒ เมื่อพ้นกำหนดสามปีนับแต่วันที่กฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา ๙ หรือมาตรา ๑๙ ใช้บังคบั ในกรณีทีเ่ ป็นโรงงานควบคมุ หรืออาคารควบคุมก่อนวันที่กฎกระทรวงท่ีออกตามมาตรา ๙ หรือมาตรา ๑๙ ใช้บังคับ หรือนับแต่วันท่ีเป็นโรงงานควบคุมหรืออาคารควบคุม ในกรณีท่ีเป็นโรงงานควบคุมในหรือหลังวันท่ีกฎกระทรวงที่ ออกตามมาตรา ๙ หรือมาตรา ๑๙ ใช้บังคับ ถ้าเจ้าของโรงงานควบคุม หรือเจา้ ของอาคารควบคุมผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ ปฏิบัติตามกฎกระทรวงดังกล่าว เจ้าของโรงงานควบคุม หรือเจ้าของอาคารควบคุม แล้วแต่กรณี จะต้องมีหน้าที่ชำระ คา่ ธรรมเนียมพิเศษการใช้ไฟฟ้าตามหมวดนี้ คา่ ธรรมเนยี มพเิ ศษการใช้ไฟฟา้ ตามวรรคหน่ึงจะเรยี กเกบ็ จากโรงงานควบคุมหรืออาคารควบคุม ตามปริมาณไฟฟ้าที่ซื้อหรือได้มาจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวง หรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โดยให้ถือว่ามีผลบังคับเช่นเดียวกับการเรียกเก็บค่าไฟฟ้าตาม กฎหมายว่าด้วยการไฟฟ้าฝ่ายผลติ แห่งประเทศไทย กฎหมายว่าด้วยการไฟฟ้านครหลวง หรือ กฎหมายว่าดว้ ยการไฟฟ้าสว่ นภูมิภาค แลว้ แต่กรณี มาตรา ๔๓ ใหค้ ณะกรรมการกองทนุ โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการนโยบายพลงั งานแห่งชาติกำหนด อตั ราค่าธรรมเนยี มพเิ ศษการใช้ไฟฟ้า ในการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษการใชไ้ ฟฟ้าตามวรรคหนึง่ ใหค้ ำนงึ ถึงความแตกต่างระหวา่ งอัตราค่า ไฟฟ้าที่โรงงานควบคุมหรืออาคารควบคุมชำระให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวง หรือ การไฟฟา้ ส่วนภูมภิ าคกบั ต้นทนุ รวมในการผลติ และจา่ ยไฟฟ้าจำนวนดังกล่าวใหแ้ กโ่ รงงานควบคุมหรืออาคารควบคุม ต้นทุนรวมตามวรรคสองหมายความว่า ค่าลงทุนในระบบผลิตและระบบจ่ายไฟฟ้า ค่าใช้จ่ายในการจัดหา เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา ค่าใช้จ่ายในการบริหารความสูญเสียในระบบไฟฟ้า และ ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในการประกอบกิจการไฟฟ้าและให้รวมถึงผลกระทบต่อสภาวะแวดล้อมหรือประชาชนอันเกิดจาก การผลิตและจ่ายไฟฟ้านั้นที่ไม่เป็นภาระโดยตรงของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวงหรือการ ไฟฟา้ ส่วนภูมภิ าคดว้ ย มาตรา ๔๔ เมอื่ มกี รณีท่ีต้องดำเนินการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพเิ ศษ การใช้ไฟฟา้ ตามมาตรา ๔๒ ให้อธิบดีมี หนังสือแจ้งให้เจ้าของโรงงานควบคุมหรือเจ้าของอาคารควบคุมที่จะต้องชำระค่าธรรมเนียม พิเศษการใช้ไฟฟ้าทราบ และให้ภาระการชำระค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้ไฟฟ้าเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่หนึ่งของเดือนถัดไปนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจาก อธิบดี ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวง หรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเป็นผู้จัดเก็บ ค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้ไฟฟ้าจากโรงงานควบคุมหรืออาคารควบคุมที่ซื้อหรือได้ไปจากตน พร้อมกับการจัดเก็บค่า ไฟฟ้าปกตปิ ระจำเดือน และนำสง่ กองทนุ ภายในสามสบิ วันนบั แตว่ ันทไ่ี ด้รบั คา่ ธรรมเนียมพเิ ศษการใช้ไฟฟา้ มาตรา ๔๕ ในระหว่างท่ีโรงงานควบคุมหรืออาคารควบคุมต้องชำระค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้ ไฟฟ้าตามหมวดนี้ ให้คณะกรรมการกองทุนพิจารณาระงับสิทธิการขอรับการส่งเสริมและช่วยเหลือแก่ โรงงาน ควบคุม หรืออาคารควบคุมนั้นเป็นการชั่วคราวได้ หรือให้ระงับ หรือลดการให้การส่งเสริมหรือช่วยเหลือเป็นการ ชั่วคราวในกรณีที่โรงงานควบคุมหรืออาคารควบคุมดังกล่าวได้รับการส่งเสริมและช่วยเหลืออยู่แล้วได้ตามที่ เห็นสมควร

207 มาตรา ๔๖ เมื่อโรงงานควบคุมหรืออาคารควบคุมที่ต้องชำระค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้ไฟฟ้าได้ปฏิบัติตาม กฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา ๙ หรอื มาตรา ๑๙ แล้ว ให้แจ้งให้อธิบดที ราบ เมื่ออธิบดีได้รับแจ้งตามวรรคหนึ่งแล้ว ให้อธิบดีพิจารณาภายในสามสิบวันว่าโรงงานควบคุมหรืออาคาร ควบคุมดังกล่าวได้ปฏิบัติตามกฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา ๙ หรือมาตรา ๑๙ หรือไม่ ในกรณีที่ได้มีการปฏบิ ตั ิตาม กฎกระทรวงดังกล่าวแล้ว ให้อธิบดีมีคำสั่งยุติการเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้ไฟฟ้าและมีหนังสือแจ้งให้โรงงาน ควบคุมหรืออาคารควบคมุ ทราบ การยตุ กิ ารเก็บค่าธรรมเนยี มพเิ ศษการใชไ้ ฟฟา้ ใหม้ ีผลบงั คบั ใช้ต้งั แตว่ นั ทห่ี นึ่งของเดือนถัดไป หมวด ๙ บทกำหนดโทษ การกระทำ บทลงโทษ มาตรา ๕๓ การแจง้ เท็จในการขอผ่อนผันการ จำคุกไมเ่ กิน 3 เดือน ปรบั ไมเ่ กนิ 150,000บาท ดำเนนิ การตามพ.ร.บ. อันเน่ืองจากการใช้พลังงานตำ่ หรือทั้งจำทั้งปรับ กวา่ ท่ีกำหนดใน พ.ร.ก. และยงั ใช้ตอ่ เนื่องไมน่ ้อย กว่าหกเดือนตามมาตรา ๘ วรรคสาม มาตรา ๕๔ การไม่ปฏบิ ตั ิตามคำส่ังของอธิบดีท่ีสง่ั ให้ ปรบั ไม่เกนิ 50,000 บาท แจง้ ขอ้ มลู การใช้พลังงาน เพื่อตรวจสอบให้เป็น มาตรฐานตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง ตามมาตรา ๑๐ มาตรา ๕๕ไมแ่ จง้ แตง่ ตั้งผรู้ ับผดิ ชอบด้านพลงั งาน ปรับไม่เกนิ 200,000 บาท ตามมาตรา ๑๑ (๑) มาตรา ๕๖ไม่สง่ ข้อมูลการใช้พลงั งาน ไม่กำหนด มีโทษปรบั ไม่เกนิ 100,000 บาท เปา้ หมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน ไม่ตรวจสอบและ วิเคราะห์การปฏบิ ตั ติ ามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์ พลงั งานตาทกี่ ำหนดไว้ในกฎกระทรวงตามมาตรา ๑๑ (๒) (๓) (๔) หรือ (๕) หรือมาตรา ๑๕ มาตรา ๕๗ เจ้าของโรงงานควบคมุ และอาคาร จำคุกไม่เกนิ 1 เดือน ปรับไมเ่ กิน 50,000บาท ควบคมุ แจง้ ผลงานเท็จตามมาตรา ๑๓ (๑) หรือ (๒) หรือทัง้ จำท้ังปรบั ในการแตง่ ต้งั ผูร้ บั ผิดชอบดา้ นพลงั งาน หรอื ผูร้ บั ผิดชอบดา้ นพลังงานรบั รองข้อมลู อนั เป็นเทจ็ ๑๔ (๓) (๔) หรือ (๖ มาตรา ๕๘ ไม่สง่ เงนิ ภาษีน้ำมนั เชือ้ เพลิงและแกส๊ จำคกุ ต้ังแต่ 3 เดือนถึง 2 ปีหรือปรับตั้งแต่ ธรรมชาตเิ ข้ากองทนุ ฯ มาตรา ๓๕ มาตรา ๓๖ หรือ 100,000บาท ถงึ 10,000,000 บาท หรือท้ังจำทัง้ มาตรา ๓๗ ปรับ มาตรา ๕๙ ขัดขวางหรอื ไมอ่ ำนวยความสะดวกแก่ ปรบั ไม่เกนิ 5,000 บาท พนักงานเจ้าหนา้ ทีใ่ นการเข้าไปตรวจสอบในโรงงาน ควบคมุ และอาคารควบคุม ตามมาตรา ๔๗ (๒)

208 กฎหมายทีเ่ กยี่ วขอ้ งกับ สง่ิ แวดล้อม ประเทศไทยได้มีกฎหมายโดยเฉพาะว่าด้วยการสง่ เสริมและรกั ษาคุณภาพสิง่ แวดล้อมครัง้ แรกเมื่อปี พ.ศ. 2518 ปรับปรงุ แกไ้ ขมาเป็นพระราชบัญญัติ สง่ เสริมและรกั ษาคณุ ภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ให้ไว้ ณ วันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2535 กฎหมายสิ่งแวดล้อมเป็นกฎหมายที่ว่าด้วยการดูแลรกั ษาสภาพแวดล้อมทุกอย่าง รวมถึงกฎหมายทุกลักษณะที่เกี่ยวข้องกัน ได้แก่ ปัญหาสิ่งแวดล้อม การป้องกันและแก้ไขปัญหาภาวะมลพิษ การจัดการและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและการส่งเสริมพัฒนาสุขภาพพลานามัย สภาวะความ เป็นอยู่ในทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม การควบคุมและจัดระเบียบสิ่งแวดล้อมน้ัน ซึ่งกฎหมายสิ่งแวดล้อม และสถาบนั ทางกฎหมายตอ้ งปฏบิ ตั หิ นา้ ทีใ่ ห้ครบถ้วนอย่างเต็มท่ี 3 ประการ ดังน้ี 1) การควบคมุ สังคม มีกลไกท่ีเป็นทางการในการควบคุม คอื กฎเกณฑ์ทช่ี ดั เจนในการดำเนิน กิจกรรม มีบทลงโทษที่สนับสนุนกฎเกณฑ์ดังกล่าวและเจ้าหน้าที่ผู้ตีความและบังคับใช้กฎเกณฑ์เหล่านี้ได้รับการ ยอมรับวา่ เปน็ เครื่องมอื ทเ่ี ป็นทางการในการควบคุมสังคมชนดิ หนง่ึ 2) การชำระขอ้ พิพาท เม่ือสงั คมเกดิ ปัญหากต็ ้องหนั ไปพ่ึงกฎหมายเพ่ือการชำระข้อพิพาท แต่ การใชก้ ฎหมายชำระขอ้ พพิ าทอาจใช้ไดเ้ ฉพาะกรณี ไม่สามารถแกไ้ ขตน้ เหตขุ องปญั หาในระดบั ลึกได้ 3) การเปลี่ยนแปลงสังคม มีการวางแผนและมีแนวทางโดยใช้กฎหมายเป็นสื่อนำทาง และ สนบั สนนุ ก่อให้เกดิ การเปลยี่ นแปลงในสังคม สรปุ สาระสำคัญของ พระราชบัญญตั ิ สง่ เสรมิ และรักษาคุณภาพสง่ิ แวดล้อมแหง่ ชาติ พ.ศ. 2535 1. เพ่ือประโยชน์ในการร่วมกนั สง่ เสรมิ และรักษาคุณภาพสง่ิ แวดล้อมของชาติ 2. เพอ่ื เปน็ การสนับสนุนการมีส่วนรว่ มของประชาชนในการสง่ เสรมิ และรักษาคณุ ภาพสง่ิ แวดล้อม 3. เพอื่ เป็นการปอ้ งกนั แกไ้ ข ระงับ หรอื บรรเทาเหตฉุ ุกเฉนิ หรอื เหตภุ ยนั ตรายจากภาวะมลพษิ 4. เพื่อกำหนดอำนาจและหน้าที่ของคณะกรรมการและพนักงานเจ้าหน้าที่อื่นตามพระราชบัญญัติ ส่งเสริมและรักษาคณุ ภาพสง่ิ แวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 5. เพอื่ ประโยชนใ์ นการจัดทำแผนปฏิบัตกิ ารเพ่อื จดั การคณุ ภาพสงิ่ แวดล้อม 6. เพอ่ื ประโยชน์ในการประสานการปฏิบัติการราชการระหวา่ งหนว่ ยงานทเี่ กี่ยวข้อง 4. แบบฝกึ หัด/แบบทดสอบ

209 ข้อสอบประจำหนว่ ยที่ 10 เรื่อง กฎหมายอนรุ กั ษ์พลังงาน วชิ า พลังงาน ทรัพยากรและสง่ิ แวดล้อม รหัส 20001-1002 ระดับ ปวช. คำชีแ้ จง: 1 ข้อสอบมีจำนวน 15 ข้อ 2. ใหน้ ักเรียน x ข้อที่ถูกต้องลงในกระดาษคำตอบ แบบทดสอบ กฎหมายการอนรุ ักษ์พลังงาน 1. กฎหมายอนรุ กั ษ์พลงั งาน ตามพระราชบัญญตั ิการ 4. ขอ้ ใด ไม่ใช่ เหตผุ ลและความสำคญั ของการออก ส่งเสรมิ การอนรุ ักษ์พลงั งาน ประกอบดว้ ยอะไรบา้ ง พระราชบัญญัติการสง่ เสรมิ การอนุรักษ์พลงั งาน ก. 9 หมวด 60 มาตรา ก. เพ่ือจัดหาพลงั งานใหเ้ พียงพอ ข. 9 หมวด 61 มาตรา ข. จดั หาแหล่งพลงั งาน มีตน้ ทุนตำ่ ค. 10 หมวด 60 มาตรา ค. การใช้พลังงานใหม้ ปี ระสิทธภิ าพสงู สดุ ง. 10 หมวด 61 มาตรา ง. ตอ้ งการเพ่มิ จำนวน เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ 2. สถานทใ่ี ดเป็น เป้าหมายหลกั ของ พ.ร.บ.ส่งเสรมิ การ ทนั สมัย อนรุ กั ษพ์ ลังงาน พ.ศ.2535 5. ขอ้ ใด ไมใ่ ช่ หลักการของกฎหมายอนุรักษ์พลงั งาน ก. โรงเรยี น ก. กำกับ ดแู ล ส่งเสริมใหม้ ีการอนรุ กั ษ์พลงั งานใน ข. บ้านพกั อาศยั บา้ นเรือนทอ่ี ย่อู าศัย ค. มหาวทิ ยาลัย ข. ส่งเสริม และสนบั สนนุ ให้มกี ารผลติ เคร่ืองจักร ง. โรงงานและอาคารควบคุม อุปกรณท์ ่ีมปี ระสิทธิภาพ 3. ใครคอื ผูม้ ีอำนาจในการออกกฎหมายกระทรวง เพ่อื ค. กำกับ ดูแล สง่ เสรมิ ให้มกี ารอนุรกั ษพ์ ลงั งานใน กำหนดเคร่อื งจกั รหรืออปุ กรณต์ า่ ง ๆ พรอ้ ม อาคารควบคมุ รายละเอียดในการใช้วสั ดใุ นโรงงานทค่ี วบคมุ เพื่อใช้ ง. จัดต้ังกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนรุ ักษ์พลังงาน ในการอนรุ ักษ์พลังงาน 6. การดำเนนิ การขอ้ ใด ไม่เป็น การอนุรักษ์พลังงาน ตาม ก. ประชาชนท่วั ไป พ.ร.บ. สง่ เสริมการอนุรกั ษ์พลงั งาน พ.ศ. 2535 ข. รัฐมนตรีวา่ การกระทรวงพลังงาน ก. การใชแ้ สงสว่างในอนาคตอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ ค. รัฐมนตรชี ่วยวา่ การกระทรวงพลงั งาน ข. การน้ำมนั แกส๊ โซฮอลใ์ ห้กับเคร่ืองยนต์ ง. คณะกรรมการการนโยบายพลังงานแหง่ ชาติ ค. การใช้เครอ่ื งปรบั อากาศอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ ง. ใชร้ ะบบควบคมุ การทำงานของเคร่ืองจักรอย่าง มีประสิทธภิ าพ

210 7. ข้อใดไม่อยู่ในการอนรุ ักษพ์ ลงั งานในโรงงานมาตราที่ 7 11. โรงงานควบคมุ และอาคารควบคุมจะตอ้ งชำระ ก. การปอ้ งกันการสญู เสยี พลงั งาน คา่ ธรรมเนยี มพิเศษการใช้ไฟฟา้ ในกรณใี ด ข. การปรบั ปรงุ ประสทิ ธิภาพการเผาไหม้เชื้อเพลงิ ก. ใช้พลงั งานเกนิ เกณฑท์ กี่ ำหนด ค. การปรับอากาศอย่างมปี ระสิทธิภาพ ข. ไม่ปฏิบตั ติ ามกฎหมายท่อี อกตามมาตรา 9 ง. การเปลี่ยนไปใชพ้ ลังงานอกี ประเภทหน่ึง ค. ไม่ชะระค่าไฟฟา้ เวลาทีก่ ำหนด 8. ขอ้ ใด เป็นการอนรุ ักษ์พลงั งานในโรงงาน มาตราที่ 7 ง. ฝ่าฝืนมาตรการการอนุรกั ษ์พลังงาน ใชใ่ หม่ ก. การลดความร้อนจากแสงอาทติ ย์ทเ่ี ข้ามาใน 12. โรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่ตอ้ งชำระ อาคาร ค่าธรรมเนียมพเิ ศษจะไดร้ บั ผลกระทบขอ้ ใดตามมา ข. การใชว้ ัสดกุ ่อสรา้ งอาคารทช่ี ว่ ยอนุรกั ษพ์ ลงั งาน ก. ปดิ กิจการชวั่ คราว ค. การใช้แสงสวา่ งในอาคารอยา่ งมปี นระสิทธภิ าพ ข. รายงานผลการอนรุ ักษ์พลงั งานทกุ เดอื น ง. การนำพลงั งานท่เี หลือจากการใช้แลว้ กลับมา ค. ระงับสทิ ธกิ ารขอรบั การสง่ เสริมและ 9. ข้อใดไม่ใชอ่ าคารท่ีได้รบั การยกเว้นไมเ่ ป็นอาคารควบคุม ชว่ ยเหลอื ง. ตดิ ตงั้ เคร่ืองจักร อุปกรณป์ ระหยดั พลังงาน ได้ 13. ถา้ เจา้ ของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมแจ้ง ก. พระราชวัง ผลงานเทจ็ ในการแตง่ ตัง้ ผ้รู บั ผดิ ชอบดา้ นพลังงาน จะ ข. วัด มีบทลงโทษตามขอ้ ใด ค. ทีท่ ำการสถานฑูต ก. จำคกุ ไมเ่ กิน 3 เดือน ง. โรงเรียน ข. ปรบั ไม่เกิน 50,000 บาท 10. ตามพระราชกฤษฎกี า กำหนดอาคารควบคุม พ.ศ. ค. จำคกุ ไม่เกนิ 1 เดือน 2538 กำหนดใหอ้ าคารควบคุม ต้องมีลกั ษณะตรง ง. จำคกุ ไม่เกิน 1 เดอื น ปรับไมเ่ กิน 50,000 ตามขอ้ ใด บาท หรือทั้งจำทั้งปรบั 14. ผู้ใดขดั ขวางหรือไมอ่ ำนวยความสะดวกแกพ่ นักงาน ก. ใช้หม้อแปลงชดุ เดียวหรือหลายชุดรวมกนั เจา้ หน้าทซ่ี ่ึงปฏิบตั หิ นา้ ทมี่ าตรา 47 จะไดร้ ับโทษตาม ขนาดตั้งแต่ 1,000 กิโลวัตต์ข้นึ ไป ขอ้ ใด ข. ใช้หม้อแปลงชุดเดยี วหรือหลายชดุ รวมกัน ก. ปรับไม่เกินหา้ พันบาท หรอื ทั้งปรับทงั้ จำ ขนาดต้ังแต่ 1,175 กิโลวตั ตข์ น้ึ ไป ข. ปรบั ไมเ่ กินแปดพันบาท หรือท้ังปรับท้ังจำ ค. ปรับไมเ่ กนิ แปดพนั บาท ค. ใชพ้ ลังงานไฟฟ้าตง้ั แต่ 1 ล้านเมกกะจูลขนึ้ ง. ปรบั ไม่เกนิ หา้ พันบาท ไปตอ่ ปี 15. พระราชบญั ญตั สิ ง่ เสริมและรกั ษาคณุ ภาพสงิ แวดลอ้ ม แหง่ ชาติ พ.ศ. 2535 เปน็ กฎหมายท่ไี ม่เกี่ยวข้องกบั ง. ใช้พลังงานไฟฟ้าต้งั แต่ 2 ลา้ นเมกกะจลู ข้ึน ไปต่อปี ข้อใด ก. การดแู ลรกั ษาสภาพแวดลอ้ ม ข. การสำรวจเพอ่ื ลดตน้ ทนุ ดา้ นพลังงาน ค. การจดั การและอนุรกั ษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ง. การป้องกนั และแกไ้ ขปญั หาภาวะมลพิษ

211

212 ใบงาน ท่ี ........ 10....... หน่วยท่ี 10 หลกั สูตร ประกาศนียบัตรวิชาชพี สอนครั้งที่...13 เวลา.........2 ชม. รหัส 20001-1002 พลงั งาน ทรพั ยากรและสง่ิ แวดล้อม ชื่องาน........ กฎหมายอนุรกั ษพ์ ลงั งาน 1. จดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม หลงั จากทำกจิ กรรมนเี้ สร็จแล้ว . นักเรียนจะสามารถอธิบายเร่ือง กฎหมายอนรุ ักษ์พลงั งานได้ 2. สมรรถนะ แยกแยะกฎหมายท่ีเหมาะสม และท่คี วรเพิ่มเตมิ ได้ 3. เคร่ืองมือ วัสดุ และอุปกรณ์ (เอกสาร) เอกสารกฎหมายพลังงาน 4.คำแนะนำ 5. ข้อควรระวัง - ควรกระตุน้ ให้นกั เรียนทำงานเปน็ กลุ่ม 6. ลำดับขนั้ การปฏิบตั งิ าน 14. แบง่ นักเรยี นเปน็ กลุ่มละ 5 คน เพอื่ ระดมสมอง 15. ใหน้ กั เรยี นแตล่ ะกล่มุ ศกึ ษากฎหมายอนรุ กั ษ์พลงั งาน เพือ่ นำมาวิเคราะหว์ ่ากฎหมายข้อใดเหมาะสม และควรมีการเพ่ิมเติม แกไ้ ขกฎหมายใดบ้างเพอื่ ให้ทนั สมยั แกเ่ หตุการณ์ 16. นกั เรยี นนำเสนอผลงาน รวมทกุ กลมุ่ ประมาณ 20 นาที 4. ครูและนักเรยี นร่วมกันสรุป 7. ผลการศึกษา - 8. สรปุ และวิจารณผ์ ล ....................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... 9. การประเมนิ ผล 1. สังเกตพฤตกิ รรมรายบุคคล 2. ประเมนิ พฤติกรรมการเข้ารว่ มกิจกรรมกลมุ่ 3. สงั เกตพฤติกรรมการเขา้ ร่วมกิจกรรมกลมุ่ 4 ตรวจกจิ กรรมสง่ เสริมคุณธรรมนำความรู้

213 5. ตรวจแบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ แบบฝกึ ปฏบิ ตั ิ 6. ตรวจกจิ กรรมใบงาน 7. การสังเกตและประเมินพฤติกรรมด้านคณุ ธรรม จรยิ ธรรม คา่ นยิ ม และคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ 10. เอกสารอา้ งอิง /เอกสารค้นควา้ เพิ่มเติม หนังสือเรยี นวชิ า พลงั งาน ทรัพยากรและสงิ่ แวดลอ้ มสำนกั พมิ พเ์ อมพันธ์ รหสั 20001-1002 และ อนิ เทอรเ์ น็ต http://www.energy.go.th/?q=th/Laws

214 แผนการจัดการเรียนรู้ หน่วยท่ี 11 หลกั สตู ร ประกาศนียบตั รวิชาชีพ สอนครง้ั ที่ 14-15 (27-30) รหัส 20001-1002 พลังงาน ทรัพยากรและสงิ่ แวดล้อม ท-ป-น 2-0-2 ช่อื หนว่ ยการเรียนรู้ หลักการและวิธกี ารอนรุ กั ษพ์ ลังงาน ทฤษฎี 4 ชม. 1. สาระสำคญั การพฒั นาศกั ยภาพการใช้พลงั งานของประเทศไทยยังอยู่ในขอบเขตจาํ กัด ในขณะทีป่ ระเทศเรง่ พฒั นา เศรษฐกจิ จึงทำให้มคี วามต้องการใชพ้ ลังงานภายในประเทศเพิ่มมากขนึ้ นอกจากน้ีการใชพ้ ลังงาน ยังก่อใหเ้ กิด มลพษิ กับส่ิงแวดลอ้ ม ดังน้ันการอนุรักษ์พลงั งานจึงเปน็ แนวทางหน่งึ ท่ชี ว่ ยใหม้ ีการใช้พลังงานอยา่ งประหยัด และมี ประสทิ ธิภาพ ตลอดจนมผี ลกระทบกับสิ่งแวดลอ้ มน้อยทีส่ ุด 2. สมรรถนะประจำหนว่ ย 1.นักเรยี นสามารถอธบิ ายความหมายและความสำคญั ของการอนรุ กั ษ์พลังงานได้ 2.นกั เรยี นสามารถอธิบายมาตรการ และแนวทางในการอนรุ ักษพ์ ลงั งานได้ 3.นกั เรยี นสามารถกำหนดแนวทางปฏบิ ตั เิ พื่ออนุรกั ษ์พลงั งานในบา้ นได้ 4.นกั เรียนสามารถเสนอแนวทางการอนุรกั ษพ์ ลงั งานในภาคอตสุ าหกรรมได้ 5.นกั เรียนสามารถบันทึกพฤติกรรมตนเองในการอนุรกั ษพ์ ลังงานและสงิ่ แวดล้อมได้ 6.นกั เรียนสามารถมีเจตคตทิ ่ีดตี อ่ การอนุรักษพ์ ลังงาน ทรพั ยากรและสงิ่ แวดลอ้ มในงานอาชีพ 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1.อธบิ ายความหมายและความสำคัญของการอนรุ กั ษ์พลงั งานได้ 2.อธิบายมาตรการ และแนวทางในการอนรุ กั ษ์พลังงานได้ 3.กำหนดแนวทางปฏบิ ัตเิ พ่ืออนรุ กั ษพ์ ลงั งานในบ้านได้ 4.เสนอแนวทางการอนรุ ักษ์พลงั งานในภาคอตุสาหกรรมได้ 5.บันทกึ พฤติกรรมตนเองในการอนุรกั ษ์พลังงานและส่งิ แวดลอ้ มได้ 6.มีเจตคตทิ ่ดี ตี อ่ การอนุรักษพ์ ลังงาน ทรพั ยากรและสง่ิ แวดล้อมในงานอาชพี 7. มีการพัฒนาคณุ ธรรม จรยิ ธรรม ค่านยิ ม และคุณลักษณะอันพงึ ประสงคข์ องผู้สำเรจ็ การศกึ ษา สำนักงาน คณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา ท่ีครูสามารถสงั เกตได้ขณะทำการสอนในเรอื่ ง 7.1 ความมีมนุษยสัมพันธ์ 7.2 ความมวี ินัย 7.3 ความรบั ผิดชอบ 7.4 ความซื่อสตั ยส์ จุ ริต 7.5 ความเชื่อมัน่ ในตนเอง 7.6 การประหยัด 7.7 ความสนใจใฝ่รู้ 7.8 การละเว้นสง่ิ เสพตดิ และการพนัน 7.9 ความรกั สามัคคี 7.10 ความกตัญญูกตเวที 7.11 แตง่ กายตามข้อตกลง ตรงเวลา รกั ษาสง่ิ แวดล้อม ใจอาสา

215 4. สาระการเรียนรู้ 1.ความหมายของการอนรุ กั ษ์พลังงาน (Energy Conservation) 2.ความสำคญั ของการอนุรกั ษ์พลังงาน 3.มาตรการในการอนุรกั ษ์พลังงาน 4.แนวทางการอนุรักษพ์ ลงั งาน 5. กิจกรรมการเรยี นรู้ (สัปดาห์ท่ี...14........) ขัน้ นำเข้าสบู่ ทเรียน 1.ครูและผเู้ รยี นสนทนาวา่ ประเทศไทยมีความต้องการพลังงานในรปู ของน้าํ มนั เชื้อเพลงิ ซงึ่ ต้องนาํ เข้า จาก ต่างประเทศเป็นสว่ นใหญ่ และมแี นวโนม้ ท่ีจะนําเขา้ มากขึน้ ซึ่งเป็นภาระทร่ี ฐั ต้อง จัดหาพลังงานมาใชใ้ ห้เพียงพอกับ ความตอ้ งการท่เี พิ่มข้ึน ทาํ ให้รฐั ต้องสญู เสยี เงนิ ตรา ให้กับต่างประเทศเปน็ จํานวนมาก ส่งผลกระทบต่อสภาวะทาง เศรษฐกจิ ของประเทศ นอกจากนกี้ ารผลิตและการใช้พลงั งานยังส่งผลกระทบตอ่ ส่งิ แวดล่อมอีกด้วย ดังน้นั การ อนุรักษ์พลังงานจึงเป็นมาตรการท่สี ําคัญทีจ่ ะทําให้มีการผลิตและการใช้พลังงานอย่างมปี ระสิทธภิ าพชว่ ยลดอัตรา การเพิ่มความต้องการใชพ้ ลงั งานลง ชว่ ยประหยดั ค่าใช้จา่ ยของรฐั ในการนาํ เขา้ พลังงาน และประหยดั คา่ ใชจ้ ่ายของ ผู้ใช้พลงั งาน รวมทงั้ ชว่ ยลดผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อมทีเ่ กดิ จากการผลติ และการใช้พลังงานอีกด้วย 2.ผู้เรียนยกตัวอย่างการอนรุ กั ษ์พลงั งาน โดยแสดงรปู ภาพประกอบ ขั้นสอน 3.ครูใช้เทคนิคการสอนแบบบรรยาย เพ่อื อธบิ ายเรอ่ื งความหมายของการอนุรักษ์พลังงาน (Energy Conservation) และความสำคัญของการอนรุ กั ษพ์ ลงั งาน โดยใชส้ ่ือ Power Point และ VDO ประกอบ 4.ครูใชเ้ ทคนคิ การสอนแบบ Small Group Discussion การจัดการเรียนรโู้ ดยใช้การอภิปรายกลมุ่ ย่อย คือ กระบวนการเรยี นรู้ท่ีผู้สอนจดั กลมุ่ ผู้เรียนออกเป็นกลุม่ ยอ่ ยประมาณ 4 – 8 คน ให้ผูเ้ รียนในกล่มุ มีโอกาสสนทนา แลกเปล่ียนขอ้ มูลความคดิ เห็น ประสบการณ์ในเรือ่ งมาตรการในการอนรุ ักษ์พลงั งาน 5.ครูเปิดวีดโี อให้ผเู้ รียนดูกจิ กรรมแนวทางการอนรุ ักษ์พลังงาน ท้งั วธิ กี ารทางเทคโนโลยี และการบาํ รุงรกั ษา 6.ผู้เรียนศึกษาใบแจ้งหนคี้ ่าไฟฟา้ ของครอบครัวยอ้ นหลังประมาณ 6 เดือน แล้วนำมาแสดงเปน็ กราฟให้เหน็ ความแตกต่างของคา่ ไฟฟ้ารายเดือน แล้วตอบคาํ ถามวา่ เดือนใดค่าไฟฟ้าน้อยท่ีสดุ เดือนใดมากท่สี ุด เดือนที่ใชไ้ ฟฟา้ มากทีส่ ุดมสี าเหตมุ าจากอะไร และมีแนวโน้มการใช้ไฟฟา้ ในบา้ น 7.ผู้เรยี นสํารวจเครอื่ งใช้ไฟฟ้าในบา้ นมา 5 รายการ ระบุลักษณะการใช้ วตั ถุประสงคพร้อมทงั้ แสดงความ คดิ เห็น ถ้าเคร่ืองใช้ไฟฟา้ ใดมีลักษณะการใชง้ านท่ไี มเ่ หมาะสม ให้เสนอแนวทางปฏบิ ัตเิ พื่ออนรุ ักษ์พลงั งาน 8.ผูเ้ รียนกำหนดแนวทางปฏิบัติ เพ่อื ประหยดั พลังงานในบา้ น โดยพิจารณาการใช้ไฟฟ้าท่ีบา้ นทกุ ลักษณะ ตง้ั แต่การใช้ไฟฟ้า เพือ่ แสงสว่าง การใชอ้ ุปกรณ์ไฟฟา้ วิธีการใชต้ ลอดจนคุณสมบัตปิ ระหยัดไฟฟา้ ของเคร่ืองใช้ตา่ งๆ ท่ีสามารถประหยดั ไฟฟา้ ได้ สว่ นทป่ี ระหยัดแล้ว สว่ นทค่ี วรประหยัดได้อกี สว่ นทคี่ วรงดใช้ไฟฟ้า

216 จากรายการที่ลดหรือปรับเปล่ียนการใชไ้ ฟฟา้ ของบ้านผูเ้ รียน ผู้เรยี นคิดว่าสามารถประหยดั การใชไ้ ฟฟ้าได้ก่ี เปอร์เซ็นต์ เม่ือผเู้ รียนลดการใชไ้ ฟฟ้าในบ้านไดแ้ ลว้ ผ้เู รียนจะช่วยแนะนาํ ใครใหท้ าํ ตามและจะแนะนําโดยใช้วธิ ใี ด 9.ผเู้ รียนทำกจิ กรรม และใบงาน ข้ันสรุปและการประยกุ ต์ 10.ครูและผ้เู รยี นสรุปเนอ้ื หาความหมายของการอนรุ ักษ์พลงั งาน (Energy Conservation) ความสำคัญของ การอนุรักษ์พลังงาน มาตรการในการอนุรักษ์พลงั งาน และแนวทางการอนรุ ักษพ์ ลงั งาน โดยการถามตอบ และให้ วเิ คราะห์กรณศี ึกษาตามสถานการณท์ ี่กำหนดให้ 11.ทำแบบประเมินผลการเรียนรู้ 12.ทำแบบประเมินผเู้ รียนตามแบบฟอร์มต่อไปน้ี ชอ่ื ผู้เรียน ประสบการณ์พ้ืนฐานการเรียนรู้ วิธกี ารเรียนรู้ ความรู้ ทกั ษะ ผลงาน 1. 2. 3. 4. 5. สัปดาหท์ ี่ 15 ขั้นนำเขา้ สบู่ ทเรียน 1.ครใู ช้เทคนคิ การสอนแบบซิปปาโมเดล (CIPPA MODEL) โดยการทบทวนความรู้เดิมจากสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยดึงความรู้เดิมของผเู้ รียนในเร่ืองทจี่ ะเรยี น เพื่อช่วยให้ผู้เรยี นมคี วามพร้อมในการเช่ือมโยงความรู้ใหม่กบั ความรู้ เดมิ ของตน ผู้สอนใชก้ ารสนทนาซกั ถามให้ผ้เู รียนเล่าประสบการณ์เดิม 2.ครูและผู้เรียนสนทนากันว่าประเทศไทยนําเข้านํ้ามันเชื้อเพลิงจากต่างประเทศปีละเกือบ 300,000 ล้าน บาท มากถึง 1 ใน 3 ของหนี้สนิ ท่ปี ระเทศมีอยู่ พลังงานทใี่ ช้มากมายนี้ สว่ นหนึง่ เปน็ ผลมาจากการใช้พลังงานอย่างไม่ มีประสทิธภิาพ ใช้มากเกินความจำเป็นขาดความรอบคอบ ไม่คิดก่อนใช้ทำให้เกิดการรั่วัไหลและสูญเปล่า หาก รอบคอบสักนิด คิดก่อนใช้ จะประหยัดพลังงานได้ถึงร้อยละ 10 ซึ่งเป็นการช่วยประหยัดเงินที่ต้อง ใช้จ่ายออกไป นอกประเทศถงึ เกอื บ 30,000 ล้านบาท ขน้ั สอน 3.ครูและผู้เรยี นใช้ส่ือ Power Point และเปดิ VDE เพ่ืออธบิ ายวิธกี ารอนรุ กั ษ์พลงั งาน ซ่ึงวธิ ีการอนุรักษ์ พลังงานมหี ลากหลายวิธี สรปุ เปน็ แตละด้านได้ดงั น้ี 3.1.การคมนาคม 3.2.การอุตสาหกรรม

217 4.ครเู ปิดวดิ โี อ เพ่ือเป็นสื่อในการสอนเรื่องการอนรุ กั ษพ์ ลังงานในภาคอุตสาหกรรม เพื่อจะได้ทราบขนั้ ตอน การประหยดั พลงั งานในแตล่ ะสถานที่ และศึกษาข้อปฏิบตั เั พ่อื ประหยัดพลังงานในโรงงานอตุสาหกรรม 5.ผเู้ รียนศึกษาตัวอย่างการศึกษาศกั ยภาพการประหยัดพลังงานไฟฟา้ โดยใชว้ ิธกี ารของ Energy Audit 6.ผเู้ รียนร่วมกันทำกิจกรรมดังต่อไปน้ี 6.1 จดั ทาํ เอกสารหรือทาํ เปน็ บทความ คําขวัญ เรียงความ แผน่ พับ โปสเตอร์ ฯลฯ เพ่ือรณรงค์ใหม้ ี การอนุรักษ์พลงั งานในโรงงานอุตสาหกรรม 6.2 รายละเอียดทจี่ ะดาํ เนนิ การ จดุ ประสงค์ 6.3 เป้า หมาย (ปริมาณ) 6.4 วิธีดำเนินการ 6.6 ระยะเวลาดำเนนิ การ 6.7 กําหนดสง่ ผลงานและนาํ ผลงานไปเผยแพร่ใหเ้ พื่อนๆ ไดร้ ับทราบและแลกเปลีย่ นกันความคดิ เหน็ ซึ่งกันและกันต่อไป 7.ครแู นะนำใหผ้ ู้เรยี นร้จู ักการนำเอาความพอเพยี งไปใชใ้ ห้เกิดประโยชน์ ซ่ึงเป็นความพอประมาณ ความมี เหตผุ ล รวมถึงความจำเป็นท่ีตอ้ งมรี ะบบภูมิคุ้มกนั ในตัวที่ดีพอสมควรตอ่ ผลกระทบใดๆ อนั เกิดจากการเปลยี่ นแปลง ท้งั ภายนอกและภายใน การตัดสนิ ใจและการดำเนนิ กิจกรรมต่างๆให้อยใู่ นระดับพอเพยี งนน้ั ตอ้ งอาศัยท้งั ความรแู้ ละ คณุ ธรรมเป็นพ้ืนฐาน ข้นั สรปุ และการประยุกต์ 8.ครูสรุปบทเรียน โดยใช้ PowerPoint และอภิปรายซกั ถามข้อสงสัยเกยี่ วกบั วิธกี ารอนุรักษ์พลงั งาน และการ อนุรักษพ์ ลังงานในภาคอุตสาหกรรม 9.ผู้เรยี นทำกจิ กรรม ใบงาน และแบบประเมนิ ผลการเรียนรู้ 6. สือ่ และแหล่งการเรยี นรู้ 1.หนังสอื เรยี น วิชาพลังงาน ทรพั ยากรและส่งิ แวดล้อม ของสำนกั พิมพเ์ อมพนั ธ์ 2.สอื่ Power Point, วดี ที ัศน์ 3.กจิ กรรมการเรยี นการสอน 4.รปู ภาพประกอบ 5.แบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ 7.หลกั ฐานการเรยี นรู้ 1.บันทึกการสอนของผสู้ อน 2.ใบเชค็ รายช่ือ 3.แผนจัดการเรียนรู้ 4.การตรวจประเมนิ ผลงาน

218 8.การวัดและประเมินผล 8.1 วิธกี าร 1. สงั เกตพฤติกรรมรายบุคคล 2. ประเมนิ พฤติกรรมการเข้ารว่ มกิจกรรมกลมุ่ 3. สงั เกตพฤติกรรมการเขา้ ร่วมกิจกรรมกลมุ่ 4 ตรวจกจิ กรรมส่งเสรมิ คุณธรรมนำความรู้ 5. ตรวจแบบประเมนิ ผลการเรียนรู้ แบบฝึกปฏบิ ัติ 6. ตรวจกิจกรรมใบงาน 7. การสงั เกตและประเมนิ พฤติกรรมด้านคุณธรรม จรยิ ธรรม คา่ นยิ ม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 8.2 เครอ่ื งมอื 1. แบบสังเกตพฤติกรรมรายบุคคล 2. แบบประเมินพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรมกล่มุ (โดยครู) 3. แบบสังเกตพฤติกรรมการเขา้ รว่ มกิจกรรมกลุ่ม (โดยผู้เรียน) 4. แบบประเมนิ ผลการเรียนรู้ และแบบฝกึ ปฏบิ ัติ 5. แบบประเมนิ กิจกรรมใบงาน 6. แบบประเมนิ คุณธรรม จริยธรรม คา่ นิยม และคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ โดยครูและผู้เรียนร่วมกนั ประเมนิ 8.3 เกณฑ์ 1. เกณฑผ์ า่ นการสังเกตพฤตกิ รรมรายบุคคล ต้องไม่มชี อ่ งปรบั ปรุง 2. เกณฑ์ผา่ นการประเมินพฤติกรรมการเขา้ รว่ มกิจกรรมกลมุ่ คือ ปานกลาง (50 % ขน้ึ ไป) 3. เกณฑผ์ า่ นการสังเกตพฤตกิ รรมการเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม คือ ปานกลาง (50% ขน้ึ ไป) 4. แบบประเมนิ ผลการเรยี นรมู้ เี กณฑ์ผ่าน และแบบฝกึ ปฏิบตั ิ 50% 5. แบบประเมนิ กจิ กรรมใบงานมีเกณฑผ์ า่ น 50% 6. แบบประเมินคุณธรรม จรยิ ธรรม คา่ นยิ ม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ คะแนนขึ้นอยู่ กับการประเมินตามสภาพจริง

219 9.บนั ทกึ ผลหลงั การจดั การเรียนรู้ 9.1 ข้อสรุปหลังการจดั การเรียนรู้ ............................................................................................................................. ..................... .................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ..................... .................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ..................... ............................................................................................................................. ..................... 9.2 ปัญหาที่พบ ........................................................................................ .......................................................... ............................................................................................................................. ..................... .................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ..................... ......................................................................................................................................... ......... ......................................................................................................................... ......................... 9.3 แนวทางแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ..................... .......................................................................................... ........................................................ ............................................................................................................................. ..................... .................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ..................... ........................................................................................................................................... .......

ใบความรูท้ ี่ .....11 220 หลกั สตู ร ประกาศนียบตั รวิชาชีพ หนว่ ยที่ 11 รหสั 20001-1002 พลงั งาน ทรพั ยากร และสิ่งแวดลอ้ ม สอนครัง้ ที่ 14-15 ช่ือเรื่อง เรื่อง หลกั การและวิธกี ารอนรุ กั ษ์พลงั งาน เวลา......4............ชม. 5. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 1. ผเู้ รียนเข้าใจวธิ ีการอนุรกั ษ์พลงั งานไฟฟา้ น้ำมนั และน้ำ 2. ผ้เู รียนเข้าใจวิธกี ารแก้ไขปัญหาพลังงาน 3. เขา้ ใจเรยี นร้ปู ระชาธิปไตย อันมพี ระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขทีถ่ ูกตอ้ ง 4. มีระเบยี บ วนิ ยั เคารพกฎหมาย ผูน้ ้อยรู้จกั เคารพผูใ้ หญ่ 5. มีสติ รตู้ วั รคู้ ิด รทู้ ำ รู้ปฏบิ ตั ิ ตามพระราชดำรสั ของพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยูห่ วั รชั กาลท่ี 9 2. สมรรถนะ 1. อธิบายความหมายและความสำคญั ของการอนุรักษ์พลังงานได้ 2. อธบิ ายแนวทางในการอนุรักษ์พลงั งานได้ 3. อธิบายวธิ กี ารแกไ้ ขปญั หาดา้ นพลังงานได้ 4. อธิบายและเสนอแนะการอนุรักษพ์ ลงั งานไฟฟา้ พลงั งานนำ้ มันและ พลงั งานน้ำได้ 5. มีความตระหนักในการใชพ้ ลงั งานอย่างประหยัด 6. ตระหนักในความสำคัญของการอนุรักษ์พลงั งาน 3. เนือ้ หาสาระ 1. ความหมายและความสำคญั ของการอนุรักษ์พลงั งาน (Energy Conservation) ความหมายของการอนุรกั ษ์พลังงาน พระราชบัญญัติการส่งเสริม และการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ได้นิยามคำ “การอนุรักษ์พลังงาน” ไว้ วา่ ผลติ และใชพ้ ลงั งานอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ และประหยดั การอนรุ ักษพ์ ลังงาน จึงหมายถึง การผลติ และการ ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธภิ าพ และประหยัด โดยการพัฒนากระบวนการผลิต และการใชพ้ ลงั งานในรูปแบบตา่ ง ๆ ให้เหมาะสม ตลอดจนการพัฒนาพลังงานจากแหล่งใหม่มาใช้ประโยชน์ทดแทนพลังงานที่ส้ินเปลือง รวมท้ังการ ป้องกันการสูญเสียพลังงานและผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม การอนุรักษ์พลังงานจึงเป็นวิธีการที่ดีที่สุด ที่ช่วยให้ ไดผ้ ลทางตรงคือการลดค่าใชจ้ ่าย และผลทางอ้อมคือเป็นการชะลอเวลาท่ีทรัพยากรธรรมชาตจิ ะหมดไป

221 ความสำคญั ของการอนุรักษ์พลังงาน ประเทศไทยมีความต้องการพลังงานในรูปของน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งต้องนำเข้าจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ และมีแนวโน้มทจ่ี ะนำเขา้ มากขึ้น ซงึ่ เปน็ ภาระทรี่ ัฐต้องจัดหาพลังงานมาใช้ใหเ้ พยี งพอกับความต้องการท่เี พ่ิมขึ้น ทำ ให้รัฐต้องสูญเสียเงินตราให้กับต่างประเทศเป็นจำนวนมากส่งผลกระทบต่อสภาวะทางเศรษฐกิจของประเทศ นอกจากนี้การผลิต และการใช้พลังงานยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ดังนั้นการอนุรักษ์พลังงานจึงเป็น มาตรการที่สำคัญทีจ่ ะทำให้มกี ารผลิตและการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดอตั ราการเพ่มิ ความต้องการใช้ พลงั งานลงชว่ ยประหยัดค่าใช้จา่ ยของรัฐในการนำเข้าพลงั งาน และประหยัดค่าใช้จ่ายของผู้ใช้พลังงาน รวมทั้งช่วย ลดผลกระทบตอ่ สิง่ แวดลอ้ มท่เี กดิ จากผลติ และการใชพ้ ลังงานอกี ดว้ ย สาเหตทุ ี่ตอ้ งมกี ารป้องกนั แก้ไขปัญหาดา้ นพลังงาน เนื่องจากมีปัญหาดา้ นพลังงานท่สี ำคัญในปจั จบุ นั ดงั น้ี 1) พลังงานท่มี ีอยูเ่ ริ่มลดปรมิ าณและจะหมดสิ้นไปในระยะเวลาไม่นาน เช่น นำ้ มันปิโตรเลียม แก๊สธรรมชาติ เปน็ ต้น 2) มีการใช้พลังงานที่ไม่เหมาะสมและมีอนั ตรายในการผลติ หรือใช้พลังงาน เช่น ใช้น้ำมนั คา่ ออกเทน สงู เตมิ ในรถยนตท์ ีส่ ามารถใชค้ า่ ออกเทนตำ่ ได้ เป็นตน้ 3) ใช้พลงั งานอย่างสน้ิ เปลอื ง ไมค่ ำนงึ ถงึ ผลกระทบทจ่ี ะเกดิ ขึน้ จากการใชพ้ ลงั งานน้ัน ๆ เช่น เปดิ ไฟฟา้ ทงิ้ ไว้ ใช้รถโดยไมค่ ำนึงถึงการบรโิ ภคน้ำมนั เปน็ ต้น 4) เร่งพัฒนาศักยภาพด้านอตุ สาหกรรมของประเทศ สง่ ผลให้การใชพ้ ลงั งานเป็นไปอย่าง ไรป้ ระสทิ ธิภาพ มีการใชพ้ ลังงานในปรมิ าณมากเกินที่ประเทศมี ตอ้ งนำเข้าจากต่างประเทศส่งผลเสยี ต่อระบบ เศรษฐกิจของชาติต่อไป 5) เกิดขยะที่เหลือจากการผลิตหรือใช้งานพลังงาน ในระบบค่อนข้างมากส่งผลให้เกิด มลภาวะตอ่ สภาพแวดล้อม ท้ังท่สี ่ิงท่เี หลือจากการผลิตหรอื ใช้งานพลงั งานดงั กลา่ วสามารถนำมาใชไ้ ดอ้ ีกก็ตาม 6) เกิดความเสียหายต่อระบบและสิ่งแวดล้อมจากการผลิตหรือใช้พลังงาน ค่อนข้างมากใน ปัจจบุ นั 2. แนวทางการอนุรกั ษ์พลังงาน แนวทางการอนรุ กั ษ์พลงั งาน มีดังน้ี 1) วิธีการทางเทคโนโลยี เป็นการอนรุ ักษ์พลงั งานโดยใชเ้ ทคนิคในการเพ่ิมประสิทธภิ าพการ ใชพ้ ลังงาน ไดแ้ ก่ 1.1 การใช้อปุ กรณ์ประสทิ ธิภาพสูง จะช่วยใหส้ ามารถลดการใช้พลงั งานของอุปกรณ์ตา่ งๆ โดยยังคงให้ผลการผลิต และเนื้องานเท่าเดิม ดังนั้นการเลือกซื้ออุปกรณ์มาใช้งานควรพิจารณาขนาดกำลัง ไฟฟ้า หรือความต้องการพลังงานอุปกรณ์ ประกอบการตัดสินใจเพื่อเลือกอุปกรณ์ที่ใช้กำลังไฟฟ้าหรือมีความต้องการ พลงั งานตำ่

222 1.2 การบำรงุ รกั ษา และดูแลควบคมุ การใชอ้ ปุ กรณ์ให้เป็นไปอยา่ งถูกวิธตี ามคำแนะนำใน เอกสารคู่มือการใช้อุปกรณ์นั้น ๆ รวมทั้งหาแนวทางลดการรั่วไหล และสูญเสียต่าง ๆ เช่น การดูแลทำความ สะอาดแผน่ กรองอากาศทอ่ี ย่ดู า้ นหลงั หน้ากากของเคร่ืองปรับอากาศอยา่ งนอ้ ยเดือนละครง้ั และควรทำความสะอาด ครงั้ ใหญต่ ลอดทั้งเครื่อง โดยใช้งานมาทำความสะอาดอย่างน้อยปีละคร้ัง เพอื่ ให้เคร่ืองปรับอากาศทำงานได้อย่างมี ประสทิ ธิภาพ 2) วิธีการทางด้านการจัดการ เป็นการวางแผนการใช้งานอุปกรณ์ต่าง ๆ รวมทัง้ การปรบั เปลี่ยน พฤติกรรมผู้ใช้ไฟฟ้า หรือวิธีการดำเนินชีวิต ลดความสิ้นเปลืองพลังงานในอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่นอย่างเปิดอุปกรณ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ทิ้งไว้เมื่อไม่ต้องการใช้งาน เช่น เปิดหลอดไฟฟ้า พัดลมเครื่องปรับอากาศ วิทยุ โทรทัศน์ ทง้ิ ไว้เมื่อไม่มีคนอยู่ในหอ้ งหรอื บริเวณนั้น 3. แนวทางในการแก้ไขปญั หาดา้ นพลังงาน 1) จัดหา และพัฒนาพลังงานจากแหล่งผลิตใหม่หรือพัฒนาพลังงานทดแทนมาใช้ให้มากขึ้น ทั้งจาก พลงั งานแสงอาทิตย์ พลงั งานจากขยะ พลังงานจากแอลกอฮอล์ พลงั งานจากลม เปน็ ต้น 2) พัฒนากระบวนการผลิตหรือการใช้พลังงานในรูปแบบต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยต้องลดการ สญู เสยี พลงั งาน และความรอ้ นในกระบวนการผลติ ให้น้อยที่สดุ 3) รณรงค์ส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานอย่างประหยัดและเต็มประสิทธภิ าพ เช่น ไม่เปิดไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ ไฟฟ้าท้ิงไว้ รดี ผา้ เปน็ จำนวนมากในครง้ั เดยี วกัน ใชไ้ ฟฟา้ เท่าท่ีจำเปน็ เปน็ ตน้ 4) การพัฒนาประเทศควรคำนึงถึงปริมาณพลังงานที่มีอยู่ด้วย เพราะการเร่งรัดพัฒนาโดยไม่ดูศักยภาพ ด้านทรัพยากรพลงั งานของประเทศ จะสร้างปญั หาเศรษฐกิจ และสงั คมตามมามากกว่าจะเปน็ ผลดี 5) ควรหาแนวทางในการนำเอาพลังงานหรือทรัพยากรที่ใช้แล้วกลับมาผ่านกระบวนการเพื่อนำกลับมาใช้ ใหมไ่ ดอ้ ีก 6) การใชพ้ ลงั งานตอ้ งใชโ้ ดยให้เกดิ ผลเสีย หรืออนั ตรายต่อคน สัตว์ พชื และสง่ิ แวดล้อมนอ้ ยทีส่ ุด 7) การสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนรู้ถึงโทษของการใช้พลังงานอย่างฟุ่มเฟือยและควรจะใช้พลังงานให้มี ประสิทธิภาพได้อย่างไร 4. การอนรุ กั ษ์พลังงาน 4.1 การอนรุ ักษ์พลังงานไฟฟา้ พลังงานไฟฟ้ามีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวันของเราทุกคน ซึ่งความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้ามี อัตราที่เพิ่มมากขึ้นทุก ๆ ปี ในขณะที่พลังงานนั้นมีอยู่อย่างจำกัด ดังนั้นเราทุกคนจึงต้องช่วยกันประหยดั พลังงาน ตามแนวทางตอ่ ไปน้ี เพอ่ื ใหม้ ีพลงั งานใช้ไดน้ านที่สดุ 1. เลือกซื้อเครื่องใชไ้ ฟฟ้าท่ีไดม้ าตรฐาน ดฉู ลากแสดงประสทิ ธภิ าพใหแ้ นใ่ จทกุ คร้ังก่อนตดั สนิ ใจซ้ือ หากมี อุปกรณ์ไฟฟ้าเบอร์ 5 ต้องเลือกใช้เบอร์ 5 ปิดสวิตซ์ไฟและเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดเมื่อเลิกใช้งานสร้างให้เป็นนิสัยใน การดบั ไฟทกุ ครง้ั ทีอ่ อกจากห้อง

223 2. เลือกซื้อพัดลมที่มีเครื่องหมายมาตรฐานรับรอง เพราะพัดลมที่ไม่ได้คุณภาพ มักเสียง่าย ทำให้ สน้ิ เปลือง หาอากาศไม่ร้อนเกินไป ควรเปดิ พัดลมแทนเครื่องปรับอากาศ จะช่วยประหยัดไฟ ประหยัดเงินได้มาก ทีเดียว 3. ปิดเครื่องปรับอากาศทุกครั้งที่จะไม่อยู่ในห้องเกิน 1 ชั่วโมง สำหรับเครื่องปรับอากาศทั่วไป และ 30 นาที สำหรบั เครื่องปรบั อากาศเบอร์ 5 หม่นั ทำความสะอาดแผน่ กรองอากาศของเคร่ืองปรับอากาศบ่อย ๆ เพื่อลด การเปลืองไฟในการทำงานของเครอื่ งปรบั อากาศ 4. ติดตั้งฉนวนกันความร้อนโดยรอบห้องที่การปรับอากาศ เพอื่ ลดการสูญเสียพลังงานจากการถ่ายเทความ รอ้ นเขา้ ภายในอาคาร ใช้มลู ี่กนั สาดป้องกนั แสงแดดส่องกระทบตวั อาคาร และบฉุ นวนกันความรอ้ นตามหลงั คาและ ฝาผนังเพื่อไมใ่ หเ้ คร่อื งปรบั อากาศทำงานหนักเกนิ ไป 5. หลีกเลี่ยงการสูญเสียพลังงานจากการถ่ายเทความร้อนเข้าสู่ห้องปรับอากาศ ติดตั้งและใช้อุปกรณ์ ควบคุมการเปดิ -ปิด ประตใู นหอ้ งทีม่ เี ครือ่ งปรบั อากาศ 6. ตงั้ อณุ หภูมิเครอื่ งปรับอากาศท่ี 25 องศาเซลเซียส ซ่ึงเป็นอุณหภูมิท่ีกำลังสบาย อุณหภมู ิทีเ่ พ่ิมข้ึน 1 องศา ต้องใช้พลังงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 5-10 ไม่ควรปล่อยให้มีความเย็นรั่วไหลจากห้องที่ติดตั้งเครื่องปรับอากาศ ตรวจสอบและอุดรอยรั่วตามผนัง ฝ้าเพดาน ประตูช่องแสง และปิดประตูห้องทุกครั้งที่เปิดเครื่องปรับอากาศ หลีกเลีย่ งการเก็บเอกสาร หรือวัสดุอื่นทีไ่ มจ่ ำเปน็ ในห้องท่ีมเี ครื่องปรับอากาศ เพื่อลดการสูญเสีย และใช้พลังงาน ในการปรบั อากาศภายในอาคาร 7. ควรปลูกต้นไม้รอบอาคาร เพราะต้นไม้ขนาดใหญ่ 1 ต้นให้ความเยน็ เท่ากบั เครือ่ งปรับอากาศ 1 ตัน หรือให้ความเย็นประมาณ 12,000 บีทียู การปลูกต้นไม้เพื่อช่วยบังแดดข้างบ้านหรือเหนือหลังคา เพื่อ เครื่องปรับอากาศจะไม่ต้องทำงานหนักเกินไป และปลูกพืชคลุมดิน เพื่อช่วยลดความร้อนและเพิ่มความชื้นให้กับ ดนิ จะทำให้บา้ นเยน็ ไมจ่ ำเปน็ ต้องเปดิ เคร่อื งปรับอากาศเย็นจนเกินไป 8. ในสำนักงานให้ปิดไฟ ปิดเครื่องปรับอากาศ และอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ไม่จำเป็น ในช่วงเวลา 12.00-13.00 น. จะสามารถประหยัดค่าไฟฟ้าได้ ไม่จำเป็นต้องเปิดเครื่องปรับอากาศก่อนเวลาเริ่มงาน และควรปิด เครื่องปรบั อากาศกอ่ นเวลาเลิกใชง้ านเลก็ น้อยเพอ่ื ประหยัดไฟ 9. ใช้หลอดไฟประหยัดพลังงาน ใช้หลอดผอมจอมประหยัดแทนหลอดอ้วน ใช้หลอดตะเกียบแทนหลอด ไส้ หรอื ใชห้ ลอดคอมแพคท์ฟลูออเรสเซนต์ ควรใช้บัลลาสต์ประหยัดไฟ หรือบัลลาสต์อิเล็กโทรนิกคู่กับหลอดผอม จอมประหยดั จะช่วยเพิม่ ประสทิ ธิภาพในการประหยัดไฟได้อีกมาก 10. ควรใช้โคมไฟแบบมีแผนสะทอ้ นแสงในห้องต่าง ๆ เพื่อช่วยให้แสงสว่างจากหลอดไฟ กระจายได้ อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้หลอดไฟฟ้าวัตต์สูง ช่วยประหยัดพลังงาน ตั้งโคมไฟที่โต๊ะทำงาน หรือตดิ ตัง้ ไฟเฉพาะจดุ แทนการเปิดไฟทั้งห้องเพือ่ ทำงาน จะประหยดั ไฟลงไปได้มาก 11. หมั่นทำความสะอาดหลอดไฟที่บ้าน เพราะจะช่วยเพิ่มแสงสว่างโดยไม่ต้องใช้พลังงานมากขึ้น ควรทำอย่างน้อย 4 ครั้งต่อปี ใช้หลอดไฟที่มีวัตต์ต่ำ สำหรับบริเวณที่จำเป็นต้องเปิดทิ้งไว้ทั้งคืน ไม่ว่าจะเป็นใน บ้านหรือข้างนอก เพ่อื ประหยดั ค่าไฟฟ้า 12. ควรใช้สอี ่อนตกแตง่ อาคาร ทาผนังนอาคารเพื่อการสะท้อนแสงที่ดี และทาภายในอาคารเพ่ือทำ ให้ห้องสว่างได้มากกวา่ ใช้แสงสว่างจากธรรมชาติใหม้ ากที่สุด เช่น ติดตั้งกระจกหรือตดิ ฟิลม์ ท่ีมีคุณสมบัติป้องกนั ความรอ้ น

224 4.2 การอนุรกั ษ์พลังงานนำ้ มัน ปัจจุบันประเทศไทยต้องนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงจากต่างประเทศถึงปีละเกือบสามแสนล้านบาท ส่วนหนึ่ง เป็นผลมาจากการใช้พลังงานอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ใช้มากเกินความจำเป็น ขาดความเอาใจใส่ รอบคอบ ไม่ได้ คิดก่อนใชท้ ำใหเ้ กดิ การรว่ั ไหลสญู เปล่าไปโดยรเู้ ทา่ ไม่ถึงการณ์ ซึ่งแนวทางการประหยดั นำ้ มันมดี งั น้ี 1. ตรวจตราลมยางเป็นประจำ เพราะยางท่อี ่อนเกินไปนัน้ ทำใหส้ ิ้นเปลอื งนำ้ มนั มากกวา่ ยางที่มีปริมาณลม ยางตามทม่ี าตรฐานกำหนด สบั เปลีย่ นยาง ตรวจต้ังศูนย์ลอ้ ตามกำหนด จะชว่ ยประหยดั นำ้ มนั เพ่ิมข้ึนอีกมาก 2. ไม่ออกรถกระชากดังเอี๊ยด การออกรถกระชา 10 ครั้ง สูญเสียน้ำมันไปเปล่า ๆ ถึง 100 ซีซี น้ำมัน จำนวนนี้รถสามารถวิ่งได้ไกล 700 เมตร ไม่เร่งเครื่องยนต์ตอนเกียร์ว่าง การกระทำดังกล่ าว 10 ครั้ง สูญเสีย นำ้ มนั ถึง 50 ซีซี ปริมาณนำ้ มนั ขนาดนร้ี ถวิ่งไปไดต้ ้ัง 350 เมตร 3. ตรวจตั้งเครื่องยนต์ตามกำหนด ควรจรวจเช็คเครื่องยนต์สม่ำเสมอ เช่น ทำความสะอาดระบบไฟจุด ระเบิด เปลี่ยนหัวคอมเดนเซอร์ ตั้งไฟแก่อ่อนให้พอดี จะช่วยประหยัดน้ำมันได้ถึง 10% ไม่ต้องอุ่นเครื่อง หาก ออกรถและขบั ช้า ๆ 1-2 กม. แรกเครอ่ื งยนต์จะอนุ่ เอง ไม่ต้องเปลอื งน้ำมันไปกบั การอ่นุ เครื่อง 4. ใช้ระบบการใช้รถร่วมกัน หรือคาร์พูล (Car pool) ไปไหนมาไหน ที่หมายเดียวกัน ทางผ่านหรือ ใกล้เคียงกัน ควรใช้รถคันเดียวกัน เดินทางเท่าที่จำเป็นจริง ๆ เพื่อประหยัดน้ำมัน บางครั้งเรื่องบางเรื่องอาจจะ ตดิ ตอ่ กันทางโทรศัพท์กไ็ ด้ ประหยดั นำ้ มันประหยดั เวลา 5. ไปซื้อของหรือไปธุระใกล้บ้านหรือใกล้ ๆ ที่ทำงาน อาจจะเดินหรือใช้จักรยานบ้าง ไม่จำเป็นต้องใช้ รถยนต์ทุกครั้ง เป็นการออกกำลังกายและประหยัดน้ำมันด้วย ก่อนไปพบใคร ควรโทรศัพท์ไปถามก่อนว่าเขาอยู่ หรือไม่ จะไดไ้ ม่เสยี เทย่ี ว ไมเ่ สียเวลา ไม่เสียน้ำมันไปโดยเปล่าประโยชน์ 6. ไม่ควรบรรทุกน้ำหนักเกินพิกัด เพราะเครื่องยนต์จะทำงานตามน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น หากบรรทุกหนักมา จะทำให้เปลืองน้ำมนั และสกึ หรอสูง 7. ดับเครื่องยนต์ทุกคร้ังเมื่อต้องจอดรถนาน ๆ แค่จอดรถติดเครื่องท้ิงไว้ 10 นาที ก็เสยี นำ้ มันฟรี ๆ 200 ซีซี ไม่ควรติดเคร่ืองทง้ิ ไว้เม่ือจอดรถ ให้ดับเคร่อื งยนตท์ ุกครั้งที่ข้ึนของ ลงทอง หรอื คอยคน เพราะการติดเคร่ือง ทง้ิ ไว้ เปลอื งน้ำมนั และสร้างมลพษิ อกี ดว้ ย 8. สอบถามเส้นทางที่จะไปใหแ้ นช่ ัด หรอื ศกึ ษาแผนที่ใหด้ ีจะได้ไมห่ ลง ไมเ่ สียเวลา ไมเ่ ปลืองน้ำมันในการ วนหา ควรใช้โทรศัพท์ โทรสาร ไปรษณีย์ อินเตอร์เน็ต หรือใช้บริการส่งเอกสาร แทนการเดินทางด้วยตัวเอง เพอื่ ประหยัดน้ำมัน 9. ไมค่ วรเดนิ ทางโดยไม่ไดว้ างแผนการเดนิ ทาง ควรกำหนดเสน้ ทาง และชว่ งเวลาการเดินทางท่ีเหมาะสม เพื่อประหยัดน้ำมัน หมั่นศึกษาเส้นทางลัดเข้าไว้ ช่วยให้ไม่ต้องเดินทางยาวนานไม่ต้องเผชิญปัญหาจราจร ช่วย ประหยดั ท้ังเวลาและประหยัดนำ้ มนั 10. ควรขับรถด้วยความเร็วคงที่ เลือกขับที่ความเร็ว 70-90 กิโลเมตรต่อชั่วโมงที่ 2,000-2,500 รอบเคร่อื งยนต์ ความเรว็ ระดบั นี้ ประหยัดน้ำมนั ได้มากกวา่ ไมค่ วรขบั รถลากเกียร์ เพราะการลากเกียร์ตำ่ นาน ๆ จะทำใหเ้ คร่ืองยนต์หมนุ รอบสงู กินน้ำมนั มาก และเครอื่ งยนตร์ ้อนจัดสึกหรอง่าย 11. ไม่ติดตั้งอุปกรณต์ กแตง่ ท่ีจะทำให้เครื่องยนตท์ ำงานหนกั ขน้ึ เช่น การทำให้เกิดการตา้ นลมขณะว่ิง หรือทำใหเ้ คร่อื งยนต์ไม่สามารถถ่ายเทความรอ้ นได้ดี

225 12. ไม่ควรใช้น้ำมันเบนซินที่ออกเทนสูงเกินความจำเป็นของเครื่องยนต์ เพราะเป็นการสิ้นเปลือง พลังงานโดยเปล่าประโยชน์ หมั่นเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ไส้กรองน้ำมันเครื่อง ไส้กรองอากาศตามระยะเวลาท่ี เหมาะสม เพื่อประหยัดน้ำมัน สำหรับเครื่องยนต์แบบเบนซิน ควรเลือกเติมน้ำมันเบนซินให้ถูกชนิด ถูกประเภท โดยเลือกตามคา่ ออกเทนท่ีเหมาะสมกบั รถแตล่ ะยีห่ ้อ 13. ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องปรับอากาศตลอดเวลา เปิดกระจกรับความเย็นจากลมธรรมชาติบ้างก็สด ชื่นดี ประหยัดน้ำมันได้ด้วย ไม่ควรเร่งเครื่องปรับอากาศในรถอย่างในรถอย่างเต็มที่จนเกินความจำเป็นไม่เปิดแอร์ แรง ๆ จนร้สู ึกหนาวเกินไป เพราะส้ินเปลืองพลงั งาน 4.3 การอนรุ กั ษ์พลงั งานนำ้ น้ำสะอาดเป็นส่ิงพเิ ศษ ในศตวรรษใหมน่ ้ียังมีมีเทคโนโลยใี ดทสี่ ามารถผลิตน้ำได้ น้ำจึงไมม่ สี งิ่ ใดมาแทนที่ หรอื ทดแทนได้ ดังน้นั จึงจำเปน็ อยา่ งย่ิงทีจ่ ะต้องเห็นคุณค่าของน้ำและรักษาทรัพยากรน้ไี ว้ ซ่ึงมแี นวทางดังนี้ 1. ใชน้ ำ้ อยา่ งประหยดั หมัน่ ตรวจสอบการรั่วไหลของน้ำเพ่ือลดการสูญเสยี นำ้ อยา่ งเปลา่ ประโยชน์ ไม่ปลอ่ ย ให้น้ำไหลตลอดเวลาตอนล้างหน้า แปรงฟัน โกนหนวด และถูสบู่ตอนอาบน้ำ เพราะจะสูญน้ำไปโดยเปล่า ประโยชนน์ าทีละหลาย ๆ ลิตร 2. ใชส้ บูเ่ หลวแทนสบ่กู ้อนเวลาลา้ งมือ เพราะการใชส้ บ่กู ้อนลา้ งมือจะใช้เวลามากกว่าการใชส้ บูเ่ หลว และ การใชส้ บเู่ หลวท่ไี มเ่ ขม้ ขน้ จะใช้น้ำนอ้ ยกวา่ การลา้ งมือดว้ ยสบู่เหลวเขม้ ขน้ 3. ซกั ผ้าดว้ ยมือควรรองนำ้ ใส่กาละมังแค่พอใช้ อยา่ เปิดนำ้ ไหลทิ้งไว้ตลอดเวลาซักเพราะสน้ิ เปลืองกว่าการ ซักโดยวธิ ีการขังน้ำไวใ้ นกาละมงั 4. ใช้ Sprinkler หรอื ฝกั บัวรดน้ำต้นไม้แทนการฉดี น้ำดว้ ยสายยาง จะประหยัดนำ้ ไดม้ ากกว่า ไมค่ วรใช้สาย ยางและเปิดน้ำหลตลอดเวลาในขณะที่ล้างรถเพราะจะใช้น้ำมากถึง 400 ลิตร แต่ถ้าล้างด้วยน้ำและฟองน้ำใน กระป๋องหรอื ภาชนะบรรจุน้ำจะลดการใชน้ ำ้ ได้มากถึง 300 ลิตรต่อการล้างหนง่ึ ครง้ั 5. ไมค่ วรล้างรถบอ่ ยครั้งจนเกินไป เพราะนอกจากจะมีความส้ินเปลืองน้ำแล้ว ยงั ทำใหเ้ กิดสนิมที่ตัวถังได้ ด้วย 6. ตรวจสอบทอ่ นำ้ รั่วภายในบา้ น ด้วยการปิดกอ๊ กนำ้ ทกุ ตัวภายในบ้าน หลังจากทที กุ คนเข้านอน 7. ควรล้างพืชผกั และผลไม้ในอ่างหรือภาชนะที่มกี ารกักเก็บน้ำไว้เพยี งพอ เพราะการล้างด้วยน้ำท่ีไหลจาก กอ๊ กน้ำโดยตรง จะใชน้ ำ้ มากกว่า การลา้ งด้วยน้ำที่บรรจไุ วใ้ นภาชนะถึงร้อยละ 50 8. ตรวจสอบชักโครกว่ามีจุดรั่วซึมหรือไม่ ให้ลองหยดสีผสมอาหารลงในถังพักน้ำ แล้วสังเกตดูที่คอห่าน หากมีนำ้ สลี งมาโดยทไี่ มไ่ ด้กดชกั โครก ไม่ใชช้ ักโครกเปน็ ทท่ี ้งิ เศษอาหาร กระดาษ สารเคมีทุกชนิด เพราะจะทำให้ สญู เสยี นำ้ จากการชักโครก เพอื่ ไลส่ ่งิ ของลงทอ่ 9. ใช้อปุ กรณ์ประหยัดน้ำ เชน่ ชักโครกประหยัดน้ำ ฝักบวั ประหยดั นำ้ กอ๊ กประหยัดน้ำ หัวฉีดประหยัด น้ำ เปน็ ต้น ตดิ Areator หรอื อปุ กรณ์เติมอากาศที่หวั กอ๊ ก เพ่ือชว่ ยเพมิ่ อากาศใหแ้ กน่ ำ้ ท่ีไหลออกจากหัวก๊อก ลด ปรมิ าณการไหลของน้ำ ชว่ ยประหยดั น้ำ 10. ไม่ควรรดน้ำต้นไม้ตอนแดดจัด เพราะน้ำจะระเหยหมดไปเปล่า ๆ ให้รดตอนเช้าที่อากาศยังเย็น อยู่ การระเหยจะตำ่ กวา่ ชว่ ยให้ประหยดั น้ำ

226 11. อย่าทิ้งน้ำดื่มที่เหลือในแก้วโดยไม่เกิดประโยชน์อันใด ใช้รดน้ำต้นไม้ ใช้ชำระพื้นผิว ใช้ชำระ ความสะอาดสิ่งต่าง ๆ ได้อีกมาก ควรใช้เหยอื กน้ำกับแก้วเปล่าในการบริการน้ำดื่ม และให้ผูท้ ี่ต้องการดืม่ รนิ น้ำดมื่ เอง และควรดม่ื ให้หมดทุกครงั้ 12. ลา้ งจานในภาชนะที่ขับน้ำไว้ จะประหยดั น้ำได้มากกว่าการล้างจานด้วยวธิ ีท่ีปล่อยให้น้ำไหลจาก กอ๊ กน้ำตลอดเวลา 13. ติดตั้งระบบน้ำให้สามารถใช้ประโยชน์จากการเก็บและจ่ายน้ำตามแรงโน้มถ่วงของโลก เพ่ือ หลกี เลยี่ งการใชพ้ ลังงานไปสูบและจา่ ยน้ำภายในอาคาร 4.4 การอนุรักษ์พลังงานอ่นื ๆ 1. อย่าใช้กระดาษหนา้ เดียวท้ิง ให้ใช้กระดาษอยา่ งคุ้มคา่ ใชท้ งั้ สองหนา้ ใหน้ กึ เสมอว่า กระดาษแตล่ ะแผ่น ยอ่ มหมายถึงตน้ ไมห้ น่ึงตน้ ทีต่ อ้ งเสยี ไป 2. ในสำนักงานให้ใช้การส่งเอกสารต่อ ๆ กันแทนการสำเนาเอกสารหลาย ๆ ชุด เพื่อประหยัดกระดาษ ประหยัดพลังงาน ลดการสูญเสียกระดาษเพิ่มมากขึ้น ด้วยการหลีกเลี่ยงการใช้กระดาษปะหน้าโทรสาร ชนิดเต็ม แผ่น และหนั มาใชก้ ระดาขนาดเลก็ ท่ีสามารถตัดพับบนโทรสารไดง้ ่าย 3. ใชก้ ารส่งผา่ นขอ้ มูลต่าง ๆ ผา่ นระบบคอมพิวเตอร์ โดยโมเดม็ หรอื แผน่ ดสิ ก์ แทนการส่งข่าวสารข้อมูล โดยเอกสาร ชว่ ยลดขัน้ ตอนการทำงาน ลดการใช้พลงั งานได้มาก 4. หลีกเลี่ยงการใชจ้ านกระดาษ แก้วน้ำกระดาษ เวลาจัดงานสังสรรค์ต่าง ๆ เพราะสิ้นเปลืองพลังงานใน การผลิต รู้จักแยกแยะประเภทขยะ เพื่อช่วยลดขั้นตอน และลดพลังงานในการทำลายขยะ และทำให้ขยะ ท้งั หลายงา่ ยต่อการกำจดั หนงั สอื พมิ พ์อ่านเสร็จแลว้ อย่าท้ิง ให้เก็บไว้ขาย หรอื พบั ถุง เก็บไว้ทำอะไรอย่างอ่ืน ใช้ ซำ้ ทุกครั้งถา้ ทำได้ ช่วยลดการใช้พลังงานในการผลติ 5. ขึ้นลงชั้นเดียวหรือสองชั้น ไม่จำเป็นต้องใช้ลิฟท์ จำไว้เสมอว่าการกดลิฟท์แต่ละครั้ง สูญเสียพลังงาน ถงึ 7 บาท 6. งด เลิก บริโภคผลิตภัณฑ์ที่ใช้แล้วทิ้งเลย เพราะเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานในการผลิต ใช้ ทรัพยากรธรรมชาติสิ้นเปลอื ง เพมิ่ ปรมิ าณขยะ เปลืองพลังงานในการกำจัดขยะ ลดการใชผ้ ลติ ภณั ฑ์ทม่ี บี รรจภุ ณั ฑ์ ที่ยากต่อการทำลาย เช่น โฟม หรือพลาสติก ควรเลือกใช้บรรจุภณั ฑ์ที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ (Reuse) หรือนำไป ผ่านกระบวนการผลิตมาใช้ใหม่ได้ (Recycle) สนับสนุนสินค้าที่มีบรรจุภัณฑ์ เป็นวัสดุที่สามารถนำมาผ่าน กระบวนการนำมาใช้ใหม่ เช่น แก้ว กระดาษ โลหะ พลาสติกบางประเภท โดยจัดให้มีการแยกขยะในครัวเรือน และในสำนักงาน 7. ให้ความร่วมมือ สนับสนุน หรือเข้าร่วมกิจกรรมกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ที่รณรงค์ สง่ เสริมให้มกี ารอนรุ ักษพ์ ลงั งาน 8. กระตุ้นเตือนให้ผู้อื่นช่วยกันประหยัดพลังงาน โดยการติดสัญลักษณ์ หรือเครื่องหมายให้ช่วยประหยดั ไฟ ตรงบริเวณใกล้สวิทช์ไฟ เพื่อเตือนใหป้ ดิ เมอื่ เลกิ ใช้แล้ว

227 4. แบบฝึกหดั /แบบทดสอบ ขอ้ สอบประจำหน่วยที่ 11 เรื่อง หลักการและวธิ ีการอนุรักษพ์ ลังงาน วชิ า พลังงาน ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม รหัส 20001-1002 ระดับ ปวช. คำชแ้ี จง: 1 ข้อสอบมีจำนวน 10 ข้อ 2. ให้นักเรยี น x ข้อท่ถี ูกตอ้ งลงในกระดาษคำตอบ แบบทดสอบ หลักการและวธิ กี ารอนรุ กั ษ์พลงั งาน 1. ขอ้ ใดไมเ่ ป็นการอนรุ ักษพ์ ลงั งานตามความหมายใน 4. การอนุรกั ษ์พลงั งานในข้อใดเป็นวิธกี ารทางด้านการ พระราชบญั ญตั กิ ารส่งเสรมิ และการอนรุ ักษ์พลงั งาน จดั การ พ.ศ.2535 ก. ปิดเคร่ืองปรบั อากาศเมอ่ื ไม่อย่ใู นหอ้ ง ก. การใช้พลังงานอยา่ งประหยดั ข. ใชห้ ลอดตะเกียบแทนหลอดไส้ ข. การพฒั นาแหลง่ พลงั งานใหม่ ค. ควบคมุ การร่วั ไหลของการใช้ไฟฟา้ ค. การใชก้ ลไกทางตลาดเพ่ือลดการใชพ้ ลงั งาน ง. ทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศเดือนละคร้งั ง. การพัฒนากระบวนการผลิต 5. การแก้ปัญหาท่ีเกดิ จากการผลติ และใช้พลังงานที่ 2. สาเหตทุ ่ีต้องมีการอนรุ ักษ์พลงั งานเพราะเหตุใด ไดผ้ ลดีทส่ี ดุ ในระยะยาวคืออะไร ก. มนุษย์ตระหนักเรอื่ งการใช้พลังงานมากข้นึ กว่า ก. ออกกฎหมายให้มีกฎท่เี ข้มงวด ในอดีต ข. สรา้ งจติ สำนึกการอนุรักษพ์ ลังงานให้เกดิ ขน้ึ ข. มนุษยใ์ ชพ้ ลังงานอยา่ งสิน้ เปลอื ง ค. แจกใบปลิวประชาสัมพันธล์ ดใชพ้ ลังงาน ค. พลังงานคุณภาพดเี ร่ิมหมดไป ง. โฆษณาส่งเสรมิ การใชพ้ ลงั งานทางโทรทัศน์ ง. คน้ พบแหล่งพลงั งานเพม่ิ แต่อยู่ในประเทศโลกที่ 6. ข้อใดไม่ใชแ่ นวทางในการแก้ไขปัญหาด้านพลงั งาน 3 ก. จดั หาและพัฒนาแหลง่ พลังงานใหม่ 3. การอนุรกั ษ์พลังงานในข้อใดเปน็ วธิ ีการทาง ข. พัฒนาการใช้พลังงานให้มปี ระสิทธภิ าพ เทคโนโลยี ค. กักตนุ พลงั งานให้มากเพือ่ จะได้ใช้ไดน้ านๆ ก. ปิดไฟเม่อื ไมใ่ ช่ ง. รณรงค์ให้มีการใช้พลังงานอย่างประหยดั ข. รดี ผ้าคราวละมาก ๆ ในครงั้ เดยี ว ค. ปิดทีวที เี่ คร่ือง ไมใ่ ช่ปดิ ด้วยรีโมทคอนโทรล ง. การทำความสะอาดแผน่ กรองอากาศ เครอ่ื งปรบั อากาศ เดือนละครง้ั

228 7. การรีดผ้าเปน็ จำนวนมากในครงั้ เดยี ว จัดเป็นแนวทาง 9.สมศักดเิ์ ปดิ ไฟหลอดไส้ขนาด 60 วัตต์ในฤดูหนาว9. ในการแก้ไขปัญหาดา้ นพลงั งานอยา่ งไร อุณหภมู ิท่ีพอเหมาะแก่การตงั้ เครือ่ งปรบั อากาศ เป็น ก. เปน็ การจดั หาแหลง่ พลังงานใหม่ เท่าใด ข. การใชพ้ ลังงานอย่างเตม็ ประสทิ ธภิ าพ ก. 15 องศาเซลเซียส ค. เป็นการนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่ ข. 20 องศาเซลเซียส ง. เป็นการพัฒนากระบวนการผลิตพลังงาน ค. 25 องศาเซลเซียส 8. พฤติกรรมใดเปน็ การลดการสูญเสยี พลงั งาน ง. 30 องศาเซลเซียส ก. สมมาตรปดิ ผ้ามา่ นก้ันแสงแดดขณะเปิด 10. ขอ้ ใดคอื ความหมายของการใช้อุปกรณไ์ ฟฟ้า เครอื่ งปรับอากาศ ประสทิ ธภิ าพสงู ข. รัชนาเปิดพดั ลมเพ่ือเปา่ ผมและการใช้เคร่อื งเป่า ก. ตูเ้ ย็นแบบ 2 ประตู ผม ข. โทรทัศน์จอพลาสมา ค. บญุ สขุ หงุ ขา้ วคร้ังละ 1 ลิตร ในหมอ้ หุงข้าวขนาด ค. เคร่อื งปรบั อากาศเบอร์ 5 5 ลิตร ง. เครอ่ื งเสยี งพลงั ขับ 5,000 วัตต์ ง. สมศักดิเ์ ปิดไฟหลอดไส้ขนาด 60 วตั ตใ์ นฤดู หนาว

229 ใบงาน ท่ี ........ 11 หน่วยที่ 11 หลกั สตู ร ประกาศนียบตั รวชิ าชพี สอนคร้ังที่...14-15 เวลา.........4 ชม. รหัส 20001-1002 พลังงาน ทรพั ยากรและส่งิ แวดล้อม ชือ่ งาน........ หลกั การและวธิ กี ารอนรุ กั ษพ์ ลังงาน 1. จุดประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม หลังจากทำกจิ กรรมน้ีเสร็จแล้ว . นักเรียนจะสามารถวิเคราะห์เรอื่ ง มลพิษทางอากาศและวธิ ีแก้ไขได้ 2. สมรรถนะ แยกแยะมลพษิ ทางอากาศและวิธแี ก้ไขได้ 3. เคร่อื งมือ วัสดุ และอุปกรณ์ (เอกสาร) เน้ือหาสาระ 10 เมืองทีม่ ลพิษทางอากาศรนุ แรงท่ีสดุ \"ในปี 2012 มลพษิ ทางอากาศครา่ ชีวติ คนไปแล้วกวา่ 6 ล้านคนท่ัวโลก\" ขอ้ ความในรายงานขององคก์ ารอนามยั โลกกำลังย้ำเตือนให้เราหันมา \"มองเหน็ \" ความสำคญั ของส่ิงที่มองไม่ เหน็ กนั บ้าง จากขอ้ มูลข้างตน้ ทำให้ \"มลพษิ ทางอากาศ\" ขึน้ แท่นเป็นปญั หาทางอนามัยสง่ิ แวดล้อมที่ใหญ่ท่ีสดุ จำนวนคน ที่เสียชวี ติ จากโรคมาลาเรียและเอดสร์ วมกนั ยังน้อยกว่ามลพิษทางอากาศ เสยี อีก และท่ีน่ากลัวยิ่งกวา่ กค็ ือ ปญั หานีย้ งั ทวีความรนุ แรงขึ้นเร่อื ยๆ งานศกึ ษาฉบับล่าสดุ จากตวั แทนขององค์การสหประชาชาติ พบวา่ มลพษิ ทางอากาศเพมิ่ ขนึ้ เรอื่ ยๆ ตัง้ แต่ การสำรวจในปี 2011 ทำให้คนเมืองมคี วามเส่ียงเป็นโรคมะเรง็ โรคทางหลอดเลือดสมอง และโรคหวั ใจมากข้นึ และในปที ่ผี า่ นมา หนว่ ยงานนานาชาตเิ พอื่ การวจิ ยั มะเร็งขององค์การอนามยั โลก (IARC) ไดร้ ะบุอยา่ งเปน็ ทางการว่า มลพษิ ทางอากาศในท่ีกลางแจ้งเป็นปัจจัยท่ีทำให้มนุษย์เป็นมะเร็ง โดย IARC แสดงใหเ้ หน็ วา่ มีความ เชอื่ มโยงระหว่างมลพิษทางอากาศกับมะเร็งปอดและมะเร็ง กระเพาะปสั สาวะ ในรายงานปี 2014 นกั วิจยั ได้สำรวจมลพษิ ทางอากาศชว่ ง 5 ปีท่ผี ่านมาในเกือบ 1,600 เมอื ง จาก 91 ประเทศ โดยเก็บข้อมูลจากอนุภาคฝนุ่ ละอองเปน็ ปจั จัยหลัก รายงานชิน้ นรี้ ะบุว่า คน เมืองท่ัวโลกกว่าคร่งึ หน่ึง อาศัยอยใู่ นเมืองที่มีปริมาณฝุน่ ละอองขนาดเลก็ เกินกวา่ มาตรฐานขององคก์ ารอนามัยโลกถึง 2.5 เทา่ และมี ประชากรเมืองเพยี ง 12 เปอร์เซ็นตเ์ ท่านน้ั ทอี่ าศยั ในเมืองทีค่ ่าคณุ ภาพอากาศอยใู่ นมาตรฐาน โดยเมอื งท่ีมีปญั หามลพษิ ทางอากาศรุนแรงทสี ดุ คือ 1. เดลี ประเทศอินเดีย

230 2. ปัตนะ ประเทศอนิ เดยี 3. กวาลเิ ออร์ ประเทศอินเดยี 4. ไรปรุ ะ ประเทศอินเดีย 5. การาจี ประเทศปากสี ถาน 6. เปชวาร์ ประเทศปากสี ถาน 7. ราวลั ปนิ ดี ประเทศปากสี ถาน 8. คอรร์ ามาบัด ประเทศอิหร่าน 9. อาเมดาบดั ประเทศอนิ เดีย 10. ลคั เนา ประเทศอนิ เดยี องค์การอนามัยโลกใหข้ ้อมลู วา่ สาเหตุหลักของมลพษิ มาจากการปล่อยไอเสียจากยานพาหนะและจาก โรงงาน นอกจากนี้ ยงั มาจากการปล่อยมลพษิ จากอาคารบ้านเรอื นดว้ ย ซ่ึงบางพื้นท่ยี ังใชถ้ ่านหนิ และฟนื ทำอาหารหรือสรา้ งความอบอุ่นในบ้าน สำหรบั เมอื งทป่ี ัญหาคุณภาพอากาศอย่ใู นระดับต่ำ อยู่ในประเทศแคนาดา สหรัฐอเมรกิ า ฟินแลนด์ ไอซ์แลนด์และสวีเดน เอกสารอ้างอิง http://www.greenworld.or.th/greenworld/foreign/2383 \"The 10 cities with the worst air pollution in the world\" www.mnn.com 4.คำแนะนำ - 5. ข้อควรระวัง - ควรกระตนุ้ ให้นักเรียนทำงานเปน็ กลุ่ม 6. ลำดับขน้ั การปฏบิ ัตงิ าน 17. แบ่งนักเรยี นเปน็ กลมุ่ ละ 5 คน เพ่อื ระดมสมอง 18. ใหน้ ักเรียนแตล่ ะกลุ่มศกึ ษา10 เมืองทม่ี ลพิษทางอากาศมากท่ีสุด เพ่ือนำมาวเิ คราะหว์ ่าเพราะเหตใุ ด มีวธิ แี ก้ไขอยา่ งไร 19. นกั เรยี นนำเสนอผลงาน รวมทุกกล่มุ ประมาณ 20 นาที 4. ครแู ละนักเรยี นร่วมกันสรปุ 7. ผลการศกึ ษา - 8. สรุปและวจิ ารณผ์ ล ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................

231 9. การประเมนิ ผล 1. สังเกตพฤติกรรมรายบคุ คล 2. ประเมนิ พฤติกรรมการเข้ารว่ มกจิ กรรมกลมุ่ 3. สังเกตพฤตกิ รรมการเขา้ ร่วมกิจกรรมกล่มุ 4 ตรวจกจิ กรรมสง่ เสรมิ คุณธรรมนำความรู้ 5. ตรวจแบบประเมินผลการเรยี นรู้ แบบฝึกปฏบิ ตั ิ 6. ตรวจกจิ กรรมใบงาน 7. การสงั เกตและประเมนิ พฤติกรรมดา้ นคณุ ธรรม จริยธรรม คา่ นิยม และคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ 10. เอกสารอ้างอิง /เอกสารค้นคว้าเพม่ิ เติม หนังสือเรยี นวชิ า พลงั งาน ทรัพยากรและสงิ่ แวดลอ้ มสำนกั พิมพเ์ อมพันธ์ รหัส 20001-1002 และ อนิ เทอร์เน็ต http://www.energy.go.th/?q=th/Laws

แผนการจดั การเรียนรู้ 232 หลักสูตร ประกาศนยี บตั รวิชาชพี หน่วยที่ 12 รหสั 20001-1002 พลงั งาน ทรพั ยากรและสิ่งแวดล้อม สอนคร้งั ที่ 16-17 (31-34) ชื่อหนว่ ยการเรียนรู้ การจดั การทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อม ท-ป-น 2-0-2 ทฤษฎี 4 ชม. 1. สาระสำคญั การเพิ่มจำนวนประชากรและการใช้เทคโนโลยีเพื่อผลติ สงิ่ อำนวยความสะดวกให้กบั มนุษย์เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ ทรัพยากรธรรมชาติถูกนำมาใชอ้ ย่างฟุ่มเฟือย โดยเฉพาะทรพั ยากรธรรมชาตทิ ่ีใชแ้ ล้วหมดไป เชน่ นํ้ามนั กา๊ ซ ธรรมชาติ และยังทําให้มีของเสยี ตกคา้ งอยใู่ นสง่ิ แวดล้อม เกิดมลพิษส่งิ แวดลอ้ ม เช่น มลพษิ ทางนํ้า มลพิษทาง อากาศ เป็นต้น ปัญหาดังกลา่ วจะสง่ ผลกระทบต่อมนุษย์ในทส่ี ดุ การจัดการสงิ่ แวดล้อม ช่วยใหม้ ีการนํา ทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อมมาใช้อยา่ งมีประสิทธภิ าพ และไมเ่ กิดผลกระทบต่อสิ่งแวดลอ้ ม 2. สมรรถนะประจำหนว่ ย 1.นกั เรียนสามารถบอกความสำคัญของปญั หาสงิ่ แวดล้อมได้ 2.นักเรยี นสามารถบอกความหมายและความเปน็ มาของการวเิ คราะห์ 3.นกั เรียนสามารถบอกผลกระทบส่งิ แวดลอ้ มได้ 3.นกั เรยี นสามารถระบุขนาดของโครงการทตี่ ้องประเมินผลกระทบสง่ิ แวดล้อมได้ 4.นักเรียนสามารถบอกแนวคิดในการจดั การส่ิงแวดลอ้ มได้ 5.นกั เรียนสามารถอธิบายแนวทางการจัดการสงิ่ แวดล้อมในระดบั สากลได้ 6.นกั เรียนสามารถบอกแนวทางการจดั ทำแผนปฏบิ ตั กิ ารเพ่ือจดั การคณุ ภาพสง่ิ แวดล้อมได้ 7.นกั เรียนสามารถวางแผนป้องกัน แกไ้ ขปัญหาและผลกระทบท่เี กดิ จากการใช้พลังงาน ทรพั ยากรและส่ิงแวดลอ้ มใน งานอาชพี ได้ 8 นักเรียนสามารถวางแผนการอนุรักษ์พลงั งาน ทรัพยากรและสิง่ แวดล้อมในงานอาชีพได้ 3. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1.บอกความสำคญั ของปัญหาส่ิงแวดลอ้ มได้ 2.บอกความหมายและความเป็นมาของการวิเคราะห์ 3.บอกผลกระทบส่งิ แวดล้อมได้ 3.ระบขุ นาดของโครงการที่ต้องประเมนิ ผลกระทบสิ่งแวดลอ้ มได้ 4.บอกแนวคดิ ในการจัดการส่ิงแวดลอ้ มได้ 5.อธบิ ายแนวทางการจดั การสิง่ แวดล้อมในระดบั สากลได้ 6.บอกแนวทางการจัดทำแผนปฏบิ ตั กิ ารเพื่อจดั การคุณภาพสิง่ แวดล้อมได้ 7.วางแผนปอ้ งกัน แก้ไขปญั หาและผลกระทบทเี่ กิดจากการใชพ้ ลงั งาน ทรัพยากรและส่งิ แวดล้อมในงานอาชีพ ได้ 8 วางแผนการอนุรักษ์พลังงาน ทรพั ยากรและส่ิงแวดลอ้ มในงานอาชพี ได้ 9. มีการพัฒนาคณุ ธรรม จรยิ ธรรม ค่านิยม และคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงคข์ องผู้สำเรจ็ การศึกษา สำนักงาน คณะกรรมการการอาชีวศึกษา ทีค่ รูสามารถสังเกตได้ขณะทำการสอนในเร่อื ง

233 9.1 ความมมี นุษยสมั พันธ์ 9.2 ความมวี นิ ยั 9.3 ความรับผดิ ชอบ 9.4 ความซื่อสัตย์สุจรติ 9.5 ความเชอื่ มั่นในตนเอง 9.6 การประหยดั 9.7 ความสนใจใฝ่รู้ 9.8 การละเวน้ สงิ่ เสพตดิ และการพนนั 9.9 ความรักสามัคคี 9.10 ความกตัญญกู ตเวที 9.11 แตง่ กายตามข้อตกลง ตรงเวลา รกั ษาส่ิงแวดล้อม ใจอาสา 4. สาระการเรยี นรู้ 1.การจัดการทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดลอ้ ม 2.การวิเคราะห์ผลกระทบสงิ่ แวดลอ้ ม 3.การจดั การสง่ิ แวดล้อม 4.การจัดการสงิ่ แวดล้อมในระดบั สากล 5.การวางแผนการจดั การทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 6.แนวทางการจัดทำแผนปฏบิ ตั ิการเพ่ือ จดั การคณุ ภาพสิ่งแวดล้อม 5. กิจกรรมการเรยี นรู้ (สปั ดาห์ท่.ี ..16........) ข้นั นำเขา้ สู่บทเรียน 1.ครูสนทนากับเรยี นเรยี นถึงทรัพยากรธรรมชาติ คือทรัพย์อนั เกดิ ขึน้ เองหรอื มีอยู่ตามธรรมชาติ เกดิ ข้ึนตามธรรมชาติและใหป้ ระโยชน์ตอ่ มนุษย์ไม่ทางใดกท็ างหนึ่ง 2.ครูและผู้เรียนสนทนาเก่ียวกบั สง่ิ แวดลอ้ ม (Environment) หมายถงึ สิ่งตา่ งๆ ท่ีอยรู่ อบตวั เรา สงิ่ ต่างๆ ท่มี ลี ักษณะ ทางกายภาพและชวี ภาพท่ีอยู่รอบตวั มนุษย์ ซงึ่ เกดิ ข้นึ เองตามธรรมชาติ และส่ิงที่มนุษย์ไดท้ ำข้นึ ” นอกจากนย้ี งั มี สง่ิ แวดล้อมท่เี ปน็ นามธรรม หรือมองไม่เหน็ แต่มีความสัมพันธ์ หรือมผี ลกระทบกับการดำรงชวี ิตของมนุษย์ และ สิ่งแวดล้อมอืน่ ๆ เชน่ กฎหมาย ระบบเศรษฐกจิ ระบบการเมือง เป็นตน้ 3.ครูและผู้เรยี นยกตัวอยา่ งสิ่งแวดล้อมต่างๆ ท่อี ยรู่ อบตวั ผเู้ รียน หรือเคยเห็นในชีวิตประจำวัน 4.ผู้เรียนยกตวั อย่างการพัฒนาอทเี่ กยี่ วขอ้ งกับชีวติ ประจำวัน ข้ันสอน 5.ครูใช้สอ่ื Power Point ประกอบการอธิบายการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ความจําเป็น ท่ตี อ้ งมกี ารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดล้อม เนื่องจาก ทรพยั ากรธรรมชาติทีม่ คี วามจำเป็นในการยง้ ชีพและการพัฒนาได้ถูกทำลายมากข้ึน ในขณะท่ีความต้องการ ทรพั ยากรธรรมชาติมีมากขน้ึ ตลอดเวลา ความต้องการทีจ่ ะกําหนดวธิ ปี ฏิบตั ิท่ถี กู ต้องเพ่ือป้องกันและแก้ปัญหาการอนุรักษ์ทส่ี ำคัญทั้งท่ีเป็นปัญหา เฉพาะหน้า และท่ยี ดื เยื้อมานานซง่ึ จําเปน็ ตอ้ งอาศัยเวลา สมรรถภาพของการอนุรักษ์ในประเทศและระหวา่ งประเทศ

234 โบราณสถานและศิลปวฒั นธรรมไดถ้ ูกทําลายจาํ นวนมากจากมนุษย์ในการพฒั นาด้านตา่ งๆ 6.ครแู ละผ้เู รียนอภปิ รายการดำเนนิ งานจดั การทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ ม ซึ่งรัฐบาลได้ก่อตง้ั สํานกั งานคณะกรรมการส่ิงแวดลอ้ มแห่งชาติข้ึน เพ่ือดาํ เนนิ การจัดการสิง่ แวดล้อมของประเทศ โดยมีพระราชบัญญัติ กํากับในการดาํ เนนิ งานใน พ.ศ. 2535 ได้แยกสำนักงานคณะกรรมการสง่ิ แวดลอ้ มแหง่ ชาตอิ อกเปน็ 3 หนว่ ยงาน คอื สำนักนโยบาย และแผนสิง่ แวดล้อม กรมควบคมุ คณุ ภาพส่ิงแวดล้อม และกรมสง่ เสรมิ คุณภาพสิง่ แวดลอ้ ม และ ประกาศใช้พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสงิ่ แวดลอ้ มแห่งชาติ 7.ผู้เรยี นแบง่ กลมุ่ ละ 5 – 6 คน ร่วมกันศกึ ษาการจดั การทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดล้อม ดงั นี้ กลุม่ ท่ี 1.การจดั การทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม กลุ่มท่ี 2.การวิเคราะหผ์ ลกระทบสิ่งแวดล้อม กลมุ่ ท่ี 3.การจดั การส่ิงแวดล้อม กลุ่มที่ 4.การจัดการสิ่งแวดล้อมในระดับสากล 8.ครูใชเ้ ทคนคิ วิธีการจัดการเรียนร้แู บบรว่ มมือ (Cooperative Learning) หมายถึงกระบวนการเรยี นรทู้ ่ีจดั ใหผ้ เู้ รยี น ได้ร่วมมือและชว่ ยเหลอื กันในการเรียนรูโ้ ดยแบ่งกลมุ่ ผู้เรยี นที่มคี วามสามารถตา่ งกันออกเปน็ กลุม่ เลก็ ซึ่งเป็นลักษณะ การรวมกลมุ่ อยา่ งมีโครงสรา้ งทช่ี ดั เจน มกี ารทำงานรว่ มกนั มีการแลกเปล่ียนความคิดเห็นมีการชว่ ยเหลอื พงึ่ พาอาศยั ซง่ึ กนั และกัน มีความรับผดิ ชอบร่วมกนั ท้ังในส่วนตนและส่วนรวมเพอ่ื ให้ตนเองและสมาชกิ ทกุ คนในกลมุ่ ประสบ ความสำเรจ็ ตามเป้าหมายท่ีกำหนดไว้ ดังน้ี 1) แบง่ ผูเ้ รียนเปน็ กลุ่มๆ ละ 3-4 คน 2) ผเู้ รียนระดมสมองเรื่องการจัดการทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม กล่มุ ท่ี 1.การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ ม กลุ่มท่ี 2.การวเิ คราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม กลุ่มที่ 3.การจัดการสง่ิ แวดล้อม กลมุ่ ที่ 4.การจดั การสิ่งแวดล้อมในระดบั สากล 3) นำเสนอหนา้ ช้ันเรยี น 9.ผ้เู รียนเขียนวงรอบคําหรือข้อความในตารางท่สี มั พันธ์กับขอ้ ความทกี่ าํ หนดให้

235 1.ส่งิ ที่เป็นพษิ และอนั ตรายต่อมนษุ ยแ์ ละสงิ่ แวดลอ้ ม 2. การดูแล รักษา ใชใ้ หเ้ กิดประโยชน์ 3. การพัฒนาท่สี ง่ ผลตอ่ มนษุ ยอ์ ยา่ งถาวร และมน่ั คง 4. อนมุ ลู ของกรดตา่ งๆ เจือปนอยใู่ นนา้ํ ฝน 5. ปรากฏการณท์ ี่อุณหภมู ิของโลกสงู ขึ้น 6. การปรับปรุงส่งิ แวดลอ้ มใหด้ ีขึ้น 7. การปล่อยสิง่ แวดลอ้ มใหเ้ ป็นไปตามธรรมชาติ 8. แนวทางแกป้ ญั หาสง่ิ แวดล้อม 9.เปน็ ส่งิ ที่ก่อให้เกดิ กระบวนการผลิตทร่ี วดเร็วและปริมาณมาก 10.การดาํ เนินงานที่ไมเ่ ป็นอนั ตรายตอ่ ส่งิ แวดล้อม 10.ผเู้ รยี นทำใบงาน 11..ครูแนะนำให้ผู้เรียนรู้จักการนำเอาความพอเพยี งไปใช้ให้เกดิ ประโยชน์ ซงึ่ เปน็ ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นท่ตี อ้ งมีระบบภมู คิ มุ้ กันในตัวทีด่ ีพอสมควรตอ่ ผลกระทบใดๆ อนั เกดิ จากการเปลย่ี นแปลงทง้ั ภายนอกและภายใน การตดั สินใจและการดำเนนิ กจิ กรรมต่างๆใหอ้ ยู่ในระดับพอเพียงน้ัน ต้องอาศัยทัง้ ความรู้และ คุณธรรมเป็นพ้ืนฐาน ข้นั สรุปและการประเมินผล 12.ครูและผ้เู รียนสรุปการจดั การทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อม การวเิ คราะห์ผลกระทบส่ิงแวดล้อม การจดั การสง่ิ แวดล้อม และการจดั การสง่ิ แวดล้อมในระดับสากล 13.ครูแนะนำใหผ้ ู้เรยี นนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มาประยุกตใ์ ช้ในชวี ติ ประจำวนั 14.ผู้เรียนทำกจิ กรรม และแบบประเมินผลการเรยี นรู้

236 สปั ดาหท์ ี่ 17 ข้นั นำเขา้ สู่บทเรียน 1. ครสู นทนากบั ผูเ้ รียนว่าตามพระราชบญั ญัติสง่ เสรมิ และรกั ษาคุณภาพส่ิงแวดล้อมแหง่ ชาติ พ.ศ. 2535 กําหนดใหจ้ งั หวดั มหี นา้ ทใี่ นการจัดทาํ แผนปฏิบตั กิ าร เพื่อจัดการคุณภาพสง่ิ แวดล้อมในระดบั จังหวดั การจดั ทาํ โครงการตามแผนปฏิบตั กิ ารจดั การคณุ ภาพสงิ่ แวดล้อมระดบั จงั หวดั 2.ครูและผู้เรียนทบทวนการรักษาสิ่งแวดลอ้ มอย่างมีคุณภาพ ขนั้ สอน 3.ครใู ช้เทคนคิ วธิ กี ารจดั การเรียนรแู้ บบรว่ มมอื (Cooperative Learning) หมายถงึ กระบวนการเรยี นร้ทู ี่จดั ให้ผู้เรียนไดร้ ว่ มมือและชว่ ยเหลอื กันในการเรียนรโู้ ดยแบ่งกลุ่มผูเ้ รยี นทม่ี ีความสามารถต่างกันออกเป็นกลมุ่ เล็ก ซึง่ เปน็ ลกั ษณะการรวมกลมุ่ อยา่ งมีโครงสรา้ งท่ีชดั เจน มีการทำงานรว่ มกนั มกี ารแลกเปล่ยี นความคิดเห็นมีการ ช่วยเหลือพ่ึงพาอาศยั ซึง่ กันและกนั มีความรบั ผดิ ชอบรว่ มกนั ท้ังในสว่ นตนและส่วนรวมเพื่อให้ตนเองและสมาชิกทุก คนในกลมุ่ ประสบความสำเร็จตามเปา้ หมายท่ีกำหนดไว้ ดงั นี้ 1) แบง่ ผูเ้ รยี นเปน็ กลุ่มๆ ละ 5-6 คน 2) สืบคน้ ข้อมลู ในหวั ข้อ การวางแผนการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดล้อม แนวทางการจัดทำแผนปฏบิ ตั ิการเพื่อ จดั การคุณภาพสงิ่ แวดลอ้ ม 3) นำข้อมูลท่ีได้มาอภิปรายร่วมกัน นำเสนอและแลกเปลยี่ นเรยี นรู้ 4.ครูใช้ส่อื Power Point และครูใชเ้ ทคนิควธิ กี ารจดั การเรียนรแู้ บบร่วมมอื (Cooperative Learning) โดย อธบิ ายการวางแผนการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม และแนวทางการจัดทำแผนปฏบิ ตั กิ ารเพ่ือ จัดการคุณภาพส่งิ แวดล้อม 5.ผู้เรียนศกึ ษาและวเิ คราะหข์ ่าว “คพ.ตรวจแหล่งกำเนดิ มลพิษแสนแสบ” แล้วประยกุ ต์ใช้วิธีการ หลักการ จดั การสง่ิ แวดล้อม เพ่ือวางแผนป้องกัน แก้ไขปญั หา และผลกระทบท่เี กดิ ขน้ึ จากน้นั ใหต้ อบคำถามดังนี้ 5.1 สาเหตุของปัญหา 5.2 ผลกระทบ 5.3 แนวทางปอ้ งกนั และแก้ไขปญั ห 6.ผู้เรยี นแบง่ กลมุ่ ศึกษาปัญหาการใชพ้ ลังงานในสถานประกอบการใกล้เคยี งกับบา้ นหรือสถานศึกษา โดย การสำรวจหรือสัมภาษณ์ผูท้ ่ีเกย่ี วขอ้ ง แล้วเขยี นโครงการเพื่อสื ่งเสริมใหม้ กี ารใชพ้ ลังงานอยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ การ เขยี นโครงการควรมคี วามเปน็ ไปได้ในทางปฏบิ ตั ิ 7.ผู้เรียนทำกิจกรรมใบงาน 8.ผู้เรยี นบอกวิธีการดำเนินชวี ติ ของตัวเองโดยนำแนวคิดปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งมาใช้ ปฏบิ ัตดิ ้านตา่ งๆ ทงั้ จติ ใจ สงั คม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีและเศรษฐกิจ 9.ครูเน้นให้ผูเ้ รยี น ระมัดระวัง รอบคอบทุกครั้งในการทำข้อสอบ

237 ขั้นสรุปและการประยุกต์ 10 ครสู รุปเนื้อหาบทเรยี น โดยใชส้ ่ือ Power Point เพ่อื สรุปเนอื้ หาท่เี กย่ี วข้อง 11.ครูสุม่ ถามตอบผเู้ รียนเกี่ยวกับเนือ้ หาท่เี รยี น 12.ผู้เรยี นทำกจิ กรรมใบงาน และแบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ 13.ประเมินตนเองจากแบบประเมนิ ตนเอง รวมทั้งกิจกรรมการจัดประสบการณ์การเรยี นรู้ ชือ่ ผูเ้ รียน ธรรมชาติของผ้เู รียน วธิ กี ารเรียนรู้ ความสนใจ สติปญั ญา วุฒภิ าวะ 1. 2. 3. 4. 5. แบบประเมินผลประสบการณ์พน้ื ฐานการเรยี นรู้ ชอื่ ผู้เรียน ประสบการณ์พน้ื ฐานการเรยี นรู้ วิธกี ารเรียนรู้ ความรู้ ทักษะ ผลงาน 1. 2. 3. 4. 5. 6. ส่ือและแหล่งการเรียนรู้ 1.หนังสอื เรยี น วชิ าพลังงาน ทรัพยากรและสิง่ แวดล้อม ของสำนกั พิมพเ์ อมพนั ธ์ 2.ส่อื Power Point, วีดีทศั น์ 3.กจิ กรรมการเรยี นการสอน 4.รปู ภาพประกอบ 5.แบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ 7.หลักฐานการเรียนรู้ 1.บนั ทึกการสอนของผูส้ อน 2.ใบเชค็ รายชือ่ 3.แผนจัดการเรียนรู้ 4.การตรวจประเมินผลงาน

238 8.การวัดและประเมินผล 8.1 วธิ กี าร 1. สงั เกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล 2. ประเมินพฤติกรรมการเขา้ รว่ มกิจกรรมกลมุ่ 3. สังเกตพฤตกิ รรมการเข้าร่วมกิจกรรมกลุม่ 4 ตรวจกิจกรรมสง่ เสริมคุณธรรมนำความรู้ 5. ตรวจแบบประเมินผลการเรยี นรู้ แบบฝกึ ปฏิบตั ิ 6. ตรวจกจิ กรรมใบงาน 7. การสังเกตและประเมินพฤติกรรมด้านคุณธรรม จริยธรรม คา่ นยิ ม และคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ 8.2 เครือ่ งมอื 1. แบบสังเกตพฤติกรรมรายบคุ คล 2. แบบประเมนิ พฤติกรรมการเข้าร่วมกจิ กรรมกลุม่ (โดยครู) 3. แบบสงั เกตพฤติกรรมการเข้ารว่ มกจิ กรรมกลุ่ม (โดยผู้เรียน) 4. แบบประเมินผลการเรียนรู้ และแบบฝึกปฏิบตั ิ 5. แบบประเมินกิจกรรมใบงาน 6. แบบประเมินคุณธรรม จรยิ ธรรม ค่านยิ ม และคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ โดยครแู ละผู้เรยี นร่วมกัน ประเมนิ 8.3 เกณฑ์ 1. เกณฑผ์ ่านการสังเกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล ต้องไมม่ ชี อ่ งปรับปรุง 2. เกณฑ์ผา่ นการประเมนิ พฤติกรรมการเข้ารว่ มกิจกรรมกลุ่ม คือ ปานกลาง (50 % ขนึ้ ไป) 3. เกณฑผ์ ่านการสงั เกตพฤติกรรมการเข้ารว่ มกิจกรรมกลุ่ม คือ ปานกลาง (50% ขึน้ ไป) 4. แบบประเมนิ ผลการเรียนร้มู เี กณฑ์ผา่ น และแบบฝึกปฏบิ ตั ิ 50% 5. แบบประเมนิ กจิ กรรมใบงานมีเกณฑผ์ า่ น 50% 6. แบบประเมินคุณธรรม จรยิ ธรรม คา่ นยิ ม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ คะแนนขึ้นอยู่ กบั การประเมินตามสภาพจริง 9.บันทกึ ผลหลงั การจัดการเรยี นรู้ 9.1 ข้อสรปุ หลังการจัดการเรยี นรู้ .................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ..................... ............................................................................................................................. ..................... ........................................................................................................... ....................................... ............................................................................................................................. ..................... ..................................................................................................................................................

239 9.2 ปัญหาทพ่ี บ ............................................................................................................................. ..................... .............................................................................................. .................................................... ............................................................................................................................. ..................... .................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ..................... ............................................................................................................................................... ... 9.3 แนวทางแก้ปัญหา ............................................................................................................ ...................................... ............................................................................................................................. ..................... .................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ..................... .................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. .....................

ใบความรทู้ ่ี .....12 240 หลักสูตร ประกาศนยี บตั รวชิ าชีพ หน่วยท่ี 12 รหัส 20001-1002 พลงั งาน ทรัพยากร และสิ่งแวดล้อม สอนคร้ังที่ 16-17 ช่อื เร่ือง เรือ่ ง การจดั การทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอ้ ม เวลา......4............ชม. 6. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 1. บอกความสำคัญของปัญหาสิ่งแวดล้อมได้ 2. บอกความหมาย และความเป็นมาของการวิเคราะห์ผลกระทบสงิ่ แวดล้อมได้ 3. ระบขุ นาดของโครงการและวิธกี ารประเมนิ ผลกระทบ สิ่งแวดลอ้ มได้ 4. บอกแนวคิดในการจดั การสิง่ แวดล้อมได้ 5. อธบิ ายแนวทางการจัดการส่ิงแวดลอ้ มในระดบั สากลได้ 6. มีความตระหนักในการใช้พลังงานอย่างประหยัด 2. สมรรถนะ 1. ผูเ้ รยี นบอกความสำคัญของปัญหาสิ่งแวดลอ้ มได้ 2. ผ้เู รยี นบอกความหมาย และความเป็นมาของการวเิ คราะห์ผลกระทบสง่ิ แวดล้อมได้ 3. ผู้เรียนระบขุ นาดของโครงการและวิธกี ารประเมนิ ผลกระทบ สงิ่ แวดล้อมได้ 4. ผู้เรยี นบอกแนวคดิ ในการจดั การสง่ิ แวดล้อมได้ 5. ผู้เรยี นอธิบายแนวทางการจัดการสง่ิ แวดลอ้ มในระดับสากลได้ 6. ผ้เู รียนมีความตระหนกั ในการใชพ้ ลงั งานอย่างประหยัด 3. เนอื้ หาสาระ 1. ความสำคัญของปัญหาส่ิงแวดลอ้ ม กิจรรมของมนุษย์เริ่มส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมนับตั้งแต่ประชากรมนุษย์เริ่มมี มากขึ้นในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ มนุษย์เริ่มมีการล่าสัตว์ ทำให้มีผลกระทบต่อจำนวนประชากรสัตว์ที่เป็นจุดเปลี่ยนแปลงความเป็นอยู่ของมนุษย์ใน อดีตที่มีผลกระทบต่อสิง่ แวดลอ้ มอย่างเห็นได้ชัดในระยะแรก เป็นช่วยที่มีการทำการเกษตร และมีการใช้เครื่องมอื ทางการเกษตรระหว่าง 8,000-7,500 ปีก่อนคริสตกาล และเริ่มมีหลักฐานการเลี้ยงสตั ว์เมื่อประมาณ 7,000 บาท กอ่ นคริสตกาล ซึง่ ท้งั สองระยะมีการเปล่ยี นแปลงของสง่ิ มชี วี ิตทัง้ พืช สตั ว์ และมนษุ ยอ์ ยา่ งมาก จดุ เปล่ียนแปลงทสี่ ำคญั ของมนุษย์ และสงิ่ แวดล้อมเริม่ ตน้ ต้ังแต่การปฏวิ ัติอุตสาหกรรม เพอ่ื เพ่ิมกำลังการผลิตทาง อุตสาหกรรม การใช้เชื้อเพลิงถ่านหิน การใช้พลังงานในรูปอื่น ๆ มีมากขึ้น ทำให้มีการเพิ่มขึ้นของก๊าซ คารบ์ อนไดออกไซดใ์ นชนั้ บรรยากาศ การปฏวิ ัติอุตสาหกรรมนำไปสู่การพฒั นาการผลิตเปน็ รูปแบบของการผลิตเป็น ปริมาณมาก และทำให้การบริโภคสินค้าและบริการมีเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้สังคมปัจจุบันเป็นสังคมแห่งการบริโภค การเติบโตทางเศรษฐกจิ และสงั คมทำใหท้ รัพยากรร่อยหรอ และเสอ่ื มโทรมลง เกิดมลพิษต่อส่ิงแวดลอ้ ม ปัญหาสิ่งแวดล้อมกำลังทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ทำให้นักวิทยาศาสตร์ นักวิ ชาการ ท่ี เกีย่ วขอ้ งต้องหาทางแกไ้ ขปญั หาดงั กล่าว จากเหตกุ ารณ์ทเี่ กดิ ขน้ึ ในปัจจบุ ัน จะเหน็ ไดว้ า่ ถ้าไมม่ กี ารจดั การแล้ว

241 ปัญหาสิ่งแวดล้อมจะส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์มากขึน้ จากปัญหาต่าง ๆ ที่นักวิทยาศาสตร์คาดว่าจะ เกดิ ในปี ค.ศ. 2050 เชน่ แอลป์ รีสอรต์ ทีบ่ รเิ วณเทอื กเขาแอลป์ต้องปิดกจิ การเนื่องจากไม่มีหิมะ หาดทรายในทะเล เมดิเตอร์เรเนียนจะหายไป เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล นี่เป็นเหตุการณ์ที่คาดว่าอาจเกิดขึ้น ซึ่งความ จรงิ แลว้ อาจรุนแรงมากหรือนอ้ ยกวา่ ที่คาดไว้นักวิทยาศาสตร์ใหค้ วามสำคญั และให้ความเหน็ วา่ การเจรญิ เติบโตทาง เศรษฐกิจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาส่ิงแวดลอ้ ม และได้เสนอให้มกี ารหยดุ ยั้งการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ให้เหลือศูนย์ (Zero Growth) และนำหลักการ “การพัฒนาที่ทำให้ได้รับความต้องการของคนในปัจจุบัน โดยไม่ เบียดเบียนความต้องการของอนุชนรุ่นหลัง” (Development that me….. the needs of the present without compromising the ability of future generations to meets their own needs) สหประชาชาติได้ เห็น ความสำคญั ของปัญหาสง่ิ แวดล้อม และมกี ารจดั ประชุมในระดับโลกหลายคร้ังเพ่ือรว่ มกันแก้ไขปัญหา เช่น ปัญหา การเปลีย่ นแปลงของภูมิอากาศ ปัญหาความหลากหลายทางชวี ภาพ เป็นตน้ โครงการสง่ิ แวดลอ้ มสหประชาชาติ (UNEP) ไดเ้ สนอแนวทางปอ้ งกนั และแก้ไขปญั หาส่งิ แวดล้อม ดงั น้ี 4. ให้สาธารณชนเข้าถงึ ข่าวสารเก่ียวกับสง่ิ แวดลอ้ มได้งา่ ยขึ้น 5. จดั ให้ส่ิงแวดล้อมศกึ ษามีความสำคญั เท่ากบั การเรียนคณติ ศาสตร์ 6. สนับสนุนให้สื่อสนใจในประเด็นสิ่งแวดล้อมมากข้ึนนอกจากข่าวอาชญากรรม การเมือง การกีฬา และการเงิน 7. เปดิ ใหผ้ ู้มีส่วนไดส้ ่วนเสยี เข้าร่วมในกระบวนการตดั สนิ ใจทางส่ิงแวดลอ้ ม 8. ใหโ้ อกาสเอ็นจโี อ (Non Government Organization : NGO) และชุมชนมีสว่ นร่วมในการปฏิบัติ ทางส่งิ แวดล้อม 9. ส่งเสริมให้อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ให้ความช่วยเหลอื อุตสาหกรรมขนาดเล็กและกลางในการสรา้ ง ความโปร่งใส ตรวจสอบได้ทง้ั ในด้านสงั คม เศรษฐกิจ และสงิ่ แวดลอ้ ม 10. สรา้ งกระบวนการประเมินผลกระทบจากกจิ กรรมทางอุตสาหกรรมที่มีตอ่ สง่ิ แวดล้อม 11. เสริมความเขม้ แข็งแกส่ ถาบนั ระดบั ชาติ พรอ้ มกบั รกั ษาหนว่ ยปฏิบัติการทเี่ ขม้ แขง็ ทางส่ิงแวดลอ้ ม 12. กระจายอำนาจรัฐบาล ตลอดจนกระจายอำนาจทางการเงิน และการตรวจสอบอันนำไปสู่การ สร้างความสามารถในการพึง่ พาตนเองและความเข้มแขง็ ของท้องถน่ิ 13. สร้างระบบทพี่ อเพยี งในการแก้ปญั หาเกี่ยวกับส่ิงแวดลอ้ ม 14. เพ่ิมการสนับสนุนสง่ิ แวดลอ้ มระหวา่ งประเทศ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 เป็นต้นมา รัฐบาลได้ก่อตั้งสำนักงานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติขึ้น เพื่อดำเนินการ จัดการสิ่งแวดล้อมของประเทศ โดยมีพระราชบัญญัติกำกับในการดำเนินงานในปี พ.ศ. 2535 ได้แยกสำนักงาน คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติออกเป็น 3 หน่วยงาน คือ สำนักนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม กรมควบคุม คณุ ภาพส่งิ แวดล้อม และกรมสง่ เสรมิ คุณภาพสิง่ แวดลอ้ ม และประกาศใช้พระราชบญั ญัตสิ ่งเสริมและรกั ษาคุณภาพ ส่ิงแวดล้อมแหง่ ชาตใิ นปเี ดยี วกนั รฐั บาลได้สรา้ งแนวทางผสมผสาน 2 ลักษณะ คือ 1. ระดับโครงการ โดยกระทรวงวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และส่งิ แวดลอ้ ม ได้กำหนดโครงการท่ี คาดว่าจะเกิดผลกระทบสิ่งแวดล้อม ในกรณีที่นำโครงการมาพัฒนา โครงการเหล่านี้ต้องศึกษาผลกระทบ สิ่งแวดลอ้ ม 2. ระดบั พื้นท่ี ในกรณที ี่ทีม่ ีความเปราะบาง ง่ายต่อการเกิดผลกระทบส่ิงแวดล้อมจำเป็นต้องแบ่ง เขตให้ชัดเจน แล้วกำหนดแนวทางใช้ทรัพยากรบริเวณนั้น ๆ ที่เหมาะสม เช่น เขตพื้นที่ลุ่มน้ำ เขตเมืองควบคุม มลพษิ ส่ิงแวดล้อม เปน็ ตน้

242 พ้นื ท่ีลมุ่ น้ำ สำนกั งานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ ไดแ้ บง่ ลุ่มนำ้ ในประเทศไทยเป็น 25 ลุ่มน้ำ และได้กำหนดแนวทางการฟืน้ ฟุ ปอ้ งกัน หรือทำอยา่ งหน่งึ อยา่ งใดตอ้ งดำเนินการอย่างผสมผสาน เมืองควบคุมมลพิษสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมได้ประกาศเมืองควบคุมมลพิษ สิ่งแวดล้อมไว้ 7 แห่ง ได้แก่ 1. เมืองพัทยา 2. จังหวัดภูเก็ต 3. หมู่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ 4. อำเภอ เมือง จงั หวัดสงขลา 5. อำเภอหาดใหญ่ จงั หวัดสงขลา 6. จังหวดั สมุทรปราการ 7. ปรมิ ณฑล (จังหวัดนนทบุรี จังหวดั ปทมุ ธานี จงั หวัดนครปฐม และจงั หวดั สมุทรสาคร) 2. ความหมายและความเปน็ มาของการวิเคราะหผ์ ลกระทบสิง่ แวดล้อม ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หมายถึง การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทั้งขนาดและทิศทางจากการกระทำของ มนษุ ยแ์ ละ/หรือธรรมชาติ การวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environment Impact Assessment : EIA) เป็นการศึกษาและการ คาดคะเนสิ่งทเี่ กดิ ข้ึนทส่ี ามารถวดั ขนาดและทิศทางได้ในระบบสิ่งแวดล้อมหรืออาณาบรเิ วณผลกระทบที่ศึกษา ความเปน็ มาของการวิเคราะห์ผลกระทบส่ิงแวดล้อม การศึกษาประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมเริ่มใช้ในประเทศสหรัฐอเมริการในปี พ.ศ. 2512 สำหรับประเทศ ไทย นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมเริ่มกำหนดในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 แต่เป็นกฎหมายที่เป็นเพียงแนวทางให้ฝ่าย บริหารกำหนดนโยบาย และให้ฝ่ายนิติบัญญัติตรากฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้องเท่านั้น ต่อมามีการประกาศใช้ กฎหมายสิ่งแวดล้อมอย่างเปน็ ทางการฉบับแรก คอื พระราชบญั ญตั ิสง่ เสริมและรักษาคุณภาพส่ิงแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2518 และได้กำหนดให้มีการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) อย่างจริงจัง ในปี 2524 โดยมวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พ่ือให้มีการศึกษาเกีย่ วกับทรัพยากรส่ิงแวดล้อมและคุณค่าต่าง ๆ ที่อาจจะถูกกระทบจาก โครงการหรอื กิจการทีพ่ ัฒนานน้ั 3. ขนาดโครงการทีต่ อ้ งทำการประเมนิ ผลกระทบส่งิ แวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมได้กำหนดประเภทและขนาดของโครงการพัฒนาที่มี ส่วนเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงการใช้ทรัพยากร และอาจก่อให้เกิดปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อม โดยกำหนดให้ โครงการขนาดใหญ่ทต่ี ้องทำรายงานการศึกษาถงึ ผลกระทบส่ิงแวดลอ้ มไว้ 22 ประเภท ได้แก่ 1. การชลประทาน 2. เข่อื นเกบ็ น้ำหรืออ่างเกบ็ น้ำ 3. สนามบนิ พาณิชย์ 4. โรงแรมหรือสถานทีพ่ ักตากอากาศ 5. ระบบทางพเิ ศษ 6. การทำเหมอื งแร่ 7. นิคมอุตสาหกรรม 8. ท่าเรอื พาณิชย์ 9. โรงไฟฟ้าพลงั ความร้อน

243 10. การอุตสาหกรรม 11. โครงการทุกประเภททอ่ี ยู่ในพน้ื ที่ทค่ี ณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบอยู่ในพ้ืนทล่ี ่มุ น้ำช้ัน 1 บี* 12. การถมที่ดนิ ในทะเล 13. อาคารทอี่ ยูร่ ิมนำ้ รมิ ทะเล ทะเลสาบหรือชายหาด 14. อาคารอยอู่ าศัย 15. การจัดสรรท่ดี นิ 16. โรงพยาบาล 17. อตุ สาหกรรมผลิตสารออกฤทธิ์ 18. อตุ สาหกรรมปยุ๋ 19. ทางหลวงตดั ผ่านพน้ื ท่สี งวน 20. โรงงานปรับปรุงคุณภาพเฉพาะสง่ิ ปฏกิ ลู 21. อตุ สาหกรรมประกอบกิจการเกี่ยวกบั นำ้ ตาล และการพฒั นาปิโตรเลยี ม 22. โครงการหรือกิจการใดอยู่ในประเภท และขนาดที่กำหนดไว้ เจ้าของโครงการต้องจัดทำรายงาน การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ส่งให้หน่วยงานและผู้มีอำนาจอนุญาตและสำนักนโยบายและแผน ส่ิงแวดล้อม (สผ.) เพอ่ื ดำเนินการตามข้นั ตอนทก่ี ำหนดไวใ้ นพระราชบญั ญัติสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 วธิ ีการวเิ คราะหผ์ ลกระทบส่งิ แวดลอ้ ม วิธีการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมมีหลายวิธี ผู้นำไปใช้ต้องพิจารณาให้รอบคอบว่าวิธีใด เหมาะสมกับงานประเภทใด มรี ายละเอียดแต่ละวิธี พออธบิ ายได้ดงั น้ี 1. วิธีการตั้งกรรมการชั่วคราว (Ad Hoc Committee) อาจมีกรรมการตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป แต่ไม่เกิน 15 คน โดยแต่ละคนมีความชำนาญเฉพาะด้าน การประเมนิ ร่วมกันจะได้ผลกระทบทีด่ ี วธิ กี ารนี้เหมาะสำหรบั งาน ที่ไม่แน่นอน หรือเอาแน่ไม่ได้ ผู้ชำนาญแต่ละด้านจะใช้ความสามารถช่วยประเมินกัน ยกตัวอย่างเช่น การสร้าง ทางด่วนครอ่ มคลอง หรอื ทางดว่ นในกรุงเทพมหานคร เป็นตน้ 2. วิธีการบรรยาย (descriptive method) เป็นการนำข้อมูลมาเปรียบเทียบศึกษาข้อแตกต่างจาก มาตรฐานหรือผลงานที่ผ่านมาก ผู้ประเมินใช้คำบรรยายเปน็ ตัวช้ี พร้อมทั้งสามารถระบุตัวเลขชัดเจนได้ วิธีการนี้ เหมาะสำหรับงานพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับการใช้ หรือการเปลี่ยนแปลงทรัพยากรธรรมชาติ เช่น โครงการก่อสร้าง เขอื่ นอเนกประสงค์ โครงการนคิ มสร้างตนเอง โครงการพัฒนาชนบท เปน็ ตน้ 3. วธิ ีการใชภ้ าพเชงิ ซ้อน (overlays method) เปน็ การนำภาพแผ่นใสของแต่ละหนว่ ยพน้ื ท่ีศึกษามาทับ กัน พิจารณาการเปลี่ยนแปลงและการกระจาย ตลอดจนลักษณะผลกระทบจากการซ้อนภาพ วิธีการนี้เหมาะ สำหรับโครงการพฒั นาเก่ยี วกบั การใช้ทด่ี ิน การวางผงั เมอื ง การแพร่กระจายของมลสารในสงิ่ แวดลอ้ ม เป็นตน้ 4. วิธีเช็คลิสต์ (Checklist method) เป็นวิธีการที่กำหนดการเปลี่ยนแปลง หรือผลกระทบทั้งทางบวก และทางลบ โดยระบุตั้งแต่มากที่สุดจนถึงน้อยที่สุด หรือกำหนดศูนย์เป็นกลางบวกลบไปสองข้างก็ได้ ส่วนจะใช้ ศึกษาดีกรีตามแตกต่างที่ขนาดนั้น ก็แล้วแต่ข้อมูลที่มี บางครั้งอาจต้องใช้การกำหนดขนาดหรือตัวเลขก็ได้ ทั้งนี้ เพ่อื จะไดข้ อ้ แตกต่างทชี่ ัดเจน วิธีการนี้ เหมาะสำหรับการประเมนิ ผลกระทบทางสงั คม เป็นต้น

244 5. วิธีแมตทริกซ์ (matrices method) มีลักษณะเป็นสองเช็คลิสต์ (Double checklist method) คือ มีทั้งแกนตั้งและแกนนอที่ใช้การประเมนิ อาจใช้ผลต่างทางมากที่สดุ ลงน้อยท่ีสุด หรือใช้ขนาดหรือเป็นตัวเลข ซึ่ง เหมือนกับวิธีการเช็คลิสต์ วิธีการนี้เหมาะสำหรับโครงการพัฒนาที่มีความยุ่งยาก และตัวดัชนีที่ต้องพิจารณามาก และสลับซับซ้อน เช่น โครงการก่อสร้างเขื่อนอเนกประสงค์ โครงการสร้างถนนและทางด่วน โครงการก่อสร้าง โรงงานกอ่ สรา้ งโรงงานอตุ สาหกรรม โครงการชลประทาน โครงการกอ่ สรา้ งเมืองหรือการวางผังเมือง เป็นตน้ 6. วธิ เี นตเวริ ค์ (network method) เป็นวธิ กี ารทแี่ ตกย่อยทง้ั ระบบสิ่งแวดล้อม และผลกระทบของการ นำโครงการพัฒนาเป็นลักษณะสายใยเชื่อมโยงให้เห็นทั้งการแตกย่อยของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ปฏิกิริยาหรือ ผลกระทบที่เกิดขึ้น รวมไปถึงวิธีการแก้ไขผลกระทบ วิธีการนี้เหมาะสำหรับโครงการพัฒนาเป็นระบบ เช่น โครงการพัฒนาทะเลสาบ โครงการพัฒนาแหล่งน้ำธรรมชาติ โครงการพัฒนาเมือง โครงการปรับปรุงระบบ การจราจร เป็นต้น 7. วิธีการอื่นๆ ในที่นี้หมายถึง วิธีการที่สามารถนำหลักการอื่นมาประยุกต์ เช่น การสร้างแบบจำลอง (ทางคณิตศาสตร์ สถิติศาสตร์) โดยใช้คอมพิวเตอร์ การสร้างแบบจำลองสาธิต การใช้ energy System และ Diagram methodologies เป็นตน้ ซ่งึ มรี ายละเอียดในเฉพาะเร่อื ง 4. การจัดการสงิ่ แวดลอ้ ม การจัดการสิ่งแวดล้อม หมายถึง การดำเนินการต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้สิ่งแวดล้อม สามารถเอื้ออำนวยประโยชน์ต่อมนุษย์ได้ตลอดไปโดยไม่ขาดแคลน และไม่มีปัญหาใด ๆ แนวคิดในการจัดการ สง่ิ แวดล้อม มดี ังนี้ 1. การสงวน (Preservation) หมายถึง การธำรงไว้ซึ่งความสมดุลของธรรมชาติ โดยปล่อยให้ ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมมีการเจริญเติบโตและมีความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันตามธรรมชาติทุก ประการ โดยมนษุ ยไ์ มค่ วรเขา้ ไปเก่ียวขอ้ ง 2. การอนุรักษ์ (Conservation) หมายถึง การดูแล ป้องกัน รักษา ซ่อมแซม และการใช้ ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอ้ มเพื่อให้เกดิ ประโยชนต์ ่อมนุษย์มากทส่ี ุด โดยไมท่ ำลาย หรือใหเ้ กิดความเสียหาย น้อยทสี่ ุด นับวา่ เปน็ การรจู้ ักใช้ทรัพยากรอยา่ งชาญฉลาดใหเ้ ป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวมมากทส่ี ดุ และใช้ได้เป็น เวลานานทสี่ ุด โดยสูญเสียทรัพยากรน้อยทสี่ ดุ และกระจายการใช้ประโยชน์ให้ทั่วถึง 3. การพัฒนา (Development) หมายถึง การปรับปรุง ฟื้นฟู บูรณะสิ่งแวดล้อมให้มสี ภาพท่ดี ีขึ้น และสามารถนำมาใช้ให้เกดิ ประโยชน์ 4. การใช้ประโยชน์ (utilization) หมายถึง การนำทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมาใช้ ประโยชน์อย่างถกู หลกั วชิ าการ การวางแผนจัดการสิ่งแวดล้อม ต้องเป็นไปตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ประกอบด้วยขั้นตอนตามลำดับ ต่อไปนี้ 1. การสำรวจเบื้องต้น เป็นการสำรวจเพื่อให้ได้ข้อมูล ลักษณะพื้นที่ทั้งด้านโครงสร้างและการ ทำงานของระบบทรพั ยากร เพอ่ื ใช้ในการวางแผนสำรวจและวเิ คราะหต์ ่อไป 2. การวางแผนเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล นำผลการสำรวจเบื้องต้นร่วมกับผลศึกษาจากเอกสาร รวมทง้ั ข้อกำหนดโครงการมาวางแผนเกบ็ และวิเคราะห์ข้อมลู โดยแสดงในแผนที่ 3. การสำรวจ/เก็บข้อมลู ดำเนินการตามแผนท่กี ำหนดในการเกบ็ ข้อมูล

245 4. การวิเคราะห์ข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลทุกประเภท/กลุ่ม ข้อมูลบางประเภทสามารถตรวจ วิเคราะหใ์ นพืน้ ท่ดี ้วยเคร่อื งมอื ข้อมลู บางประเภทต้องนำไปวิเคราะหใ์ นห้องปฏิบตั กิ าร 5. เปรยี บเทยี บ/ประเมินผลการวิเคราะห์กับคา่ มาตรฐาน นำข้อมลู ทวี่ ิเคราะห์ได้เปรียบเทียบกับ ค่ามาตรฐาน/ธรรมชาติ พร้อมทั้งสรุปผลการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่สำคัญทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของ สงิ่ แวดล้อม ท่ีจะนำไปสู่ปัญหา และสาเหตุของปญั หา 6. การประเมินสถานภาพของระบบทรพั ยากรและส่ิงแวดล้อม แลว้ ประเมนิ ท้งั ระบบสิง่ แวดล้อม 7. การหาปัญหา และสาเหตุของปัญหา การประเมินสภาพจะให้แนวทาง ชป้ี ระเดน็ ปัญหาและ สาเหตขุ องปญั หา 8. การสร้างมาตรการ หลังจากได้ปัญหาและเหตุของปัญหาแล้ว จะต้องสร้างมาตรการแก้ไข ปอ้ งกนั ฟ้ืนฟู พัฒนา สงวน ซ่อมแซม หรือการใช้วธิ หี น่ึงวธิ ใี ดของการอนุรกั ษ์ โดยพิจารณาจากปัญหา 9. การสรา้ งแผนงาน ประกอบดว้ ย - โครงการและกิจกรรม หมายถึง ลักษณะงาน ซ่งึ ประกอบด้วยปัญหา และสาเหตุของปัญหา - เวลา และสถานที่ กำหนดเวลา และสถานท่ีของกิจกรรมใหช้ ดั เจน - งบประมาณ กำหนดงบประมาณให้เพียงพอกับการดำเนนิ งาน - บคุ ลากร กำหนดให้เหมาะสมกับหนา้ ท่ี การจดั การสิง่ แวดล้อมเป็นการบริหารงานทีเ่ ปน็ ระบบ ปอ้ งกนั การเกิดปัญหาส่ิงแวดล้อม ทำใหไ้ มต่ อ้ งเสียค่าใช้จ่าย ในการแก้ปัญหา หรือเสียน้อยลง ช่วยประหยัดการใช้ทรัพยากร และทำให้ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ รวมท้งั ทำใหเ้ กดิ ความปลอดภัยตอ่ ชวี ติ และสิ่งแวดลอ้ ม 5. แนวทางการจดั การสิ่งแวดล้อมในระดับสากล แนวทางในการจัดการส่ิงแวดลอ้ มมหี ลายแนวทาง แต่ละประเทศจะมีการกำหนดกฎหมายสิง่ แวดล้อม กฎข้อบังคับ หรือมาตรฐานการจัดการสิ่งแวดล้อมเป็นมาตรฐานของตนเอง ซึ่งอาจจะมีหลักการดำเนินการบริหาร จัดการที่แตกต่างกันไป ซึ่งอาจทำให้เกิดความขัดแย้งและไม่เท่าเทียมกันด้านการค้าระหว่างประเทศ ดังนั้น องค์การค้าโลก (World Trade Organiaztion : WTO) จึงได้มีการปรับปรุงมาตรฐานต่าง ๆ ขึ้น เพื่อใช้เป็น มาตรฐานสากล (International Organization for Standardization : ISO) สำหรับนำมาเป็นมาตรฐานที่ใช้ จัดการคณุ ภาพผลิตภัณฑ์ และการจัดการสิ่งแวดล้อม มาตรฐานสากลที่เกี่ยวกับการผลิตและการจัดการส่ิงแวดล้อม ท่สี ำคัญ ๆ มีดงั น้ี 1) มาตรฐาน ISO 9000 เป็นมาตรฐานท่ีวา่ ดว้ ยระบบการบรหิ ารงานท้ังอตุ สาหกรรมการผลิต และบริการ โดยมีเปา้ หมายคือ ให้ลูกค้าพอใจในผลิตภัณฑ์หรอื บริการ ซึ่งมีการนำเอามาตรฐานดังกลา่ วมาพัฒนา ธรุ กจิ อตุ สาหกรรม เพื่อการแบง่ จำหนา่ ยสินค้าในตลาดโลก 2) มาตรฐาน ISO 14000 เปน็ มาตรฐานสำหรับการจัดการส่ิงแวดลอ้ มขององค์กรเพ่ือให้เกิดผล กระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด โดยองค์กรสามารถจัดทำระบบและขอการรับรองได้โดยความสมัครใจ แต่ต้องมี การประกาศเป็นนโยบายอย่างชัดเจน และเปิดเผยต่อสาธารณชน มาตรฐาน ISO 14000 จะประกอบด้วย มาตรฐานหลายฉบบั ที่เปน็ สว่ นช่วยในการปฏิบัติ ซงึ่ ในมาตรฐานน้ี ISO 14001 (Environmental Management System : EMS) จะเปน็ มาตรฐานของระบบการจัดการส่งิ แวดลอ้ ม

246 มาตรฐาน ISO 14000 เป็นมาตรฐานที่สมัครใจไม่มีการบงั คับใช้ แต่ก็มีแนวโนม้ ว่าประเทสผู้นำเขา้ สินค้าต่าง ๆ โดยเฉพาะประเทศทพ่ี ฒั นาแล้ว จะนำการรับรอง ISO 14000 มาเป็นเงือ่ นไขในการนำเขา้ สินค้า ดว้ ย สาเหตุนี้จึงทำให้ในการปฏิบัติคลา้ ยกบั เป็นมาตรฐานบงั คับผู้ประกอบการอุตสาหกรรม และผู้ส่งออกที่มรี ะบบการ จดั การสง่ิ แวดลอ้ มท่ีไดม้ าตรฐาน ISO 14000 จะสามารถค้าขายในตลาดโลกไดด้ ขี น้ึ 4. แบบฝึกหัด/แบบทดสอบ ขอ้ สอบประจำหน่วยท่ี 12 เรอื่ ง การจดั การทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดล้อม วชิ า พลังงาน ทรพั ยากรและส่งิ แวดล้อม รหัส 20001-1002 ระดับ ปวช. คำช้ีแจง: 1 ข้อสอบมจี ำนวน 10 ข้อ 3. ใหน้ ักเรียน x ข้อท่ถี ูกตอ้ งลงในกระดาษคำตอบ แบบทดสอบ การจดั การทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดล้อม 1. “โครงการประชาร่วมใจใช้หลอดผอม” ช่วยอนุรักษ์ 5. การขบั รถด้วยความเร็วคงทเี่ พ่ือการประหยดั น้ำมัน พลังงานได้อย่างไร ควรเลอื กขับท่ีความเรว็ เทา่ ไร ก. 30-50 กิโลเมตรต่อชวั่ โมง ก. หลอดผอมราคาถูก ข. 70-90 กโิ ลเมตรต่อชวั่ โมง ข. หลอดผอมมอี ายุการใช้งานนาน ค. 110-120 กิโลเมตรตอ่ ช่ัวโมง ค. หลอดผอมชว่ ยประหยัดค่าไฟฟ้า ง. ความเร็วขึ้นกับสภาพรถ ถ้ารถใหมก่ ็ขับเร็วได้ ง. หลอดผอมลดการสูญเสียพลังงาน 2. ข้อใดไม่ใชก่ ารอนุรักษพ์ ลังงานในด้านการคมนาคม 6. ใครเป็นตวั อย่างในการอนุรกั ษ์พลังงานนำ้ มนั ก. ใช้รถบรกิ ารขนส่งมากกวา่ ใชร้ ถส่วนตวั ก. โจ๋แต่งรถด้วยสปอยเลอร์ดา้ นหน้าและหลังรถทำ ข. เลือกใชย้ านพาหนะสว่ นตวั ขนาดเลก็ ให้รถว่งิ ฉิว ค. ใชร้ ถท่ีมขี นาด ซี ซี สูง เพราะทำให้ขบั ไดถ้ งึ ที่ ข. กอ้ งขับรถยนต์ออกไปซ้อื ของหน้าปากซอยที่ บ้าน หมายเร็วข้นึ ค. สมทรงอาศัยสมศักดิ์ไปโรงเรยี นเน่ืองจากบ้านอยู่ ง. ไม่เปิดเคร่อื งปรับอาการในรถยนต์โดยไมจ่ ำเปน็ ใกลก้ ัน 3. คาร์พลู (Car pool) หมายถึงข้อใด ง. หลุยสเ์ รง่ เครอื่ งตอนออกรถเพอ่ื ให้รถมีกำลงั สง่ ก. การตอ่ รถพว่ งโดยใชห้ วั รถลาก ในการขบั ข. ไปทางเดียวกัน ควรใช้รถคนั เดยี วกัน ค. การตรวจเชค็ รถ ในศูนยบ์ ริการของบริษัท 7. ใครคอื ตวั อย่างการอนรุ กั ษพ์ ลงั งานน้ำ ง. รถสำหรับขนของซึ่งต้องไม่ขนหนักเกินพิกัด ก. กอ้ ยลา้ งจานโดยใช้วธิ ปี ล่อยน้ำไหลผ่าน จานจะ 4. พฤติกรรมการใช้พลังงานในขอ้ ใดสมควรเอาเป็น ไดส้ ะอาด แบบอยา่ งทดี่ ี ข. กุ้งรดน้ำต้นไมท้ ุกวันตอนพักเที่ยง ก. สมบตั ลิ า้ งรถยนตโ์ ดยเปิดน้ำจากสายยาง ค. กุ๊กลา้ งรถโดยใช้สายยาง ข. ออ้ ยต้มน้ำร้อนเพื่อนำไปอาบดว้ ยเตาแกส๊ ง. กอ็ ตลา้ งมือโดยใช้สบ่เู หลวแทนสบู่กอ้ น ค. แอนรีดผ้าทุกวนั ๆ ละชุดเฉพาะท่ีจะใส่เท่านัน้ ง. เอกใชเ้ ครอ่ื งซกั ผา้ เมื่อมีผา้ มาก ๆ ประมาณ อาทติ ย์ละ 1 คร้งั

247 8. บคุ คลใดท่นี กั เรยี นควรปฏิบตั ิตาม 10. บุคคลใดท่มี ีพฤตกิ รรมการอนุรักษ์พลงั งานชัดเจน ก. ขมิ จัดงานเลี้ยงโดยใช้จานกระดาจะได้ไม่ ที่สุด เสียเวลาล้างจาน ก. สมบุญรว่ มรณรงค์อนุรักษพ์ ลังงาน ข. โขง่ ใชเ้ อกสารที่ใชแ้ ลว้ 1 หน้ามาจดบันทึก ข. สมจติ รเปน็ สมาชิกชมรมอนุรักษ์พลงั งาน ค. ขวัญอาบน้ำอย่างประหยัดในอ่างอาบนำ้ ค. สมชายเขียนบทความเชญิ ชวนใหใ้ ช้ไฟฟ้าอยา่ ง ง. ชยั ขนึ้ ลิฟท์ไปหาเพื่อนทีช่ น้ั 3 ประหยดั ง. สมควรข่ีจักรยานไปทำงาน 9. ขอ้ ใดกล่าวถึงการอนรุ ักษ์พลังงานได้อยา่ งถกู ตอ้ ง ก. มเี ทา่ ไหร่ใช้เท่าน้นั ข. ใชอ้ ย่างสมเหตุสมผล ค. ไมต่ ้องใช้ เกบ็ ไว้อยา่ งเดียว ง. ใช้ให้มากท่สี ุดเท่าทจี่ ะมากได้

248 ใบงาน ท่ี ........ 12 หน่วยที่ 12 หลกั สูตร ประกาศนยี บตั รวชิ าชพี สอนคร้งั ท.่ี ..16-17 รหสั 20001-1002 พลงั งาน ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม เวลา.........4 ชม. ช่ืองาน........ การจดั การทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดล้อม 1. จุดประสงค์เชงิ พฤติกรรม หลังจากทำกิจกรรมนี้เสรจ็ แล้ว . นกั เรียนจะสามารถจดั ทำโครงการและวธิ ีแก้ไขปัญหาท่ีเกดิ ข้นึ ได้ 2. สมรรถนะ นักเรียนจะสามารถจัดทำโครงการและวธิ ีแกไ้ ขปญั หาทีเ่ กิดขน้ึ ได้ 3. เครอ่ื งมือ วัสดุ และอุปกรณ์ 4.คำแนะนำ เพ่อื นำมา - 5. ข้อควรระวัง - ควรกระตุ้นใหน้ ักเรยี นทำงานเปน็ กลุ่ม 6. ลำดับขั้นการปฏิบัติงาน 20. แบ่งนกั เรียนเป็นกลุ่มละ 5 คน เพื่อระดมสมอง 21. ให้นกั เรยี นแต่ละกล่มุ ศึกษาการสำรวจและจัดทำโครงการเพ่ือแก้ปญั หาส่ิงแวดล้อม วเิ คราะห์วา่ มวี ธิ ีแก้ไขอย่างไร 22. นกั เรียนนำเสนอผลงาน รวมทุกกลุม่ ประมาณ 20 นาที 4. ครแู ละนกั เรียนรว่ มกนั สรุป 7. ผลการศกึ ษา -

249 8. สรุปและวิจารณ์ผล ....................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... 9. การประเมินผล 1. สงั เกตพฤติกรรมรายบุคคล 2. ประเมนิ พฤติกรรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลมุ่ 3. สังเกตพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม 4 ตรวจกจิ กรรมส่งเสรมิ คุณธรรมนำความรู้ 5. ตรวจแบบประเมินผลการเรียนรู้ แบบฝกึ ปฏิบตั ิ 6. ตรวจกิจกรรมใบงาน 7. การสังเกตและประเมนิ พฤติกรรมดา้ นคุณธรรม จรยิ ธรรม ค่านยิ ม และคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ 10. เอกสารอา้ งอิง /เอกสารค้นควา้ เพิ่มเติม หนงั สือเรียนวชิ า พลงั งาน ทรัพยากรและสง่ิ แวดล้อมสำนักพมิ พ์เอมพันธ์ รหสั 20001-1002 และ อนิ เทอรเ์ น็ต