Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการจัดการเรียนรู้ วิชา พลังงาน ทรัพยากร และสิ่งแวดล้อม

แผนการจัดการเรียนรู้ วิชา พลังงาน ทรัพยากร และสิ่งแวดล้อม

Published by Oranut, 2021-11-27 14:45:54

Description: รวมไฟล์แผนการสอนพลังงาน 2_64 โดยครูอรนุช กอสวัสดิ์พัฒน์ประกอบด้วย 12หน่วยการเรียนรู้

Search

Read the Text Version

151 1.2)ลมมรสุมตะวันตกเฉียงเหนือ หรือเรียกว่าลมมรสุมฤดูหนาว พัดจากแถบไซบีเรียและ จีนในระหว่างเดือนตุลาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ พาอากาศแห้งและเย็นลงมาปกคลุม ตอนเหนือถึงตอนกลางของประเทศไทย แล้วหอบเอาความชน้ื ในอ่าวไทยไปตกเป็นฝน ในแถบภาคใตฝ้ ั่งอา่ วไทย แตฝ่ นตะนอ้ ยลงมากในระหวา่ งเดอื นมกราคมถึงกุมภาพันธ์ 2) ลมบกลมทะเล 2.1)ลมบก เกิดขึ้นในเวลากลางคืน เนื่องจากพื้นดินคายความร้อนได้เร็วกว่าพื้นน้ำ อณุ หภูมิของอากาศเหนือพน้ื ดินต่ำกว่าพ้ืนน้ำ ดงั น้นั อากาศเหนือพ้ืนดนิ จึงมีอุณหภูมิต่ำ กว่าอากาศเหนือพน้ื นำ้ อากาศเหนอื พนื้ นำ้ ซ่ึงร้อนกวา่ จะขยายตวั ทำใหค้ วามหนาแน่น ลดลง จึงลอยตัวสูงขึ้น เป็นผลให้อากาศเหนือพื้นดิน ซึ่งมีอุณหภูมิต่ำกว่า ความ หนาแน่นมากกว่า และความกดอากาศสูงกว่า ไหลเข้ามาแทนที่ ทำให้ลมพดั จากฝ่งั ออกสูท่ ะเล เรียกวา่ ลมบก 2.2)ลมทะเล เกิดขึ้นในเวลากลางวัน เนื่องจากพ้ืนน้ำดูดความร้อนได้ช้ากว่าพื้นดิน อุณหภูมิของพื้นน้ำจึงเพ่ิมข้ึนชา้ กว่าพืน้ ดิน ดังนั้น อากาศเหนือพื้นน้ำจึงมีอณุ หภมู ิตำ่ กว่าอากาศเหนือพื้นดินซึ่งร้อนกว่าจะขยายตัวทำให้ความหนาแน่นลดลง จึงลอยตัว สูงขึ้น เป็นผลให้อากาศเหนือพื้นน้ำทะเลซึ่งมีอุณหภูมิต่ำกว่าความหนาแน่นมากกว่า และความกดอากาศสูงกว่า ไหลเข้ามาแทนที่ ทำให้ลมพัดจากทะเลเข้าสู่ฝั่ง เรียกว่า ลมทะเล 3) ลมภูเขาและลมหบุ เขา ตามบรเิ วณภเู ขาในขณะท่มี รี ะบบลมออ่ น ลมมกั จะพดั ลงตามลาด ของภูเขาในเวลากลางคนื และพัดข้ึนลาดภูเขาในเวลากลางวัน ทงั้ นี้เพราะในเวลากลางคืนบริเวณภูเขาพ้ืนที่สูงจะ มีอากาศเย็นกว่าบริเวณพื้นที่ต่ำกว่า ความหนาแน่นของอากาศในพื้นที่สูงจงึ มีมากกว่าในพื้นที่ต่ำ ลมจึงพัดลงตาม ภูเขา เราเรียกลมนี้วา่ ลมภเู ขา (mountain wind of mountain breeze) ส่วนในเวลากลางวัน ดวงอาทติ ย์แผ่รังสีให้แก่ภเู ขาและหุบเขา ทำใหอ้ ุณหภมู ิของบริเวณพ้ืนที่สูงหรือ ยอดเขาที่ต่ำหรือหุบเขา ความหนาแน่นของอากาศในพื้นที่สูงจึงน้อยกว่าและลอยตัวสงู ขึน้ ฉะนั้นอากาศจากพื้นที่ ต่ำหรือหุบเขาจงึ พดั ข้ึนไปแทนที่ เราเรยี กวา่ ลมหบุ เขา (valley wind or valley breeze) ตามปกติแล้วลม ภูเขา (พดั ลง) ย่อมมีความแรงกวา่ ลมหุบเขา (พัดขน้ึ ) หลกั การทำงานและประเภทของ กังหนั ลม กังหันลม คือ เครื่องจักรกลอย่างหนึ่งที่สามารถรับพลังงานจลน์จากการเคลื่อนที่ของลมให้เป็น พลงั งานกลได้ จากนน้ั ก็นำพลังงานกลมาใชป้ ระโยชนโ์ ดยตรง เชน่ การบดสเี มลด็ พืช การสูบนำ้ หรอื ในปัจจบุ นั ใช้ ผลิตเปน็ พลังงานไฟฟ้า หลักการทำงานของพลังงานลมคือ เมอ่ื ลมพัดมาปะทะกับใบพดของกังหันลม กังหันลมจะ ทำหน้าทเ่ี ปลีย่ นพลังงานลมที่อยู่ในรูปของพลงั งานจลน์ ไปเปน็ พลงั งานกลโดยการหมุนของใบพัด แรงจากการหมุน ของใบพัดน้จี ะถกู ส่งผ่านแกนหมุนทำให้เฟืองเกยี รท์ ่ตี ิดอยู่กบั แกนหมุนเกิดการหมุนตามไปด้วย พลังงานกลทีไ่ ด้จาก การหมนุ ของเฟืองเกียร์เมอ่ื ไปต่อกบั เคร่ืองกำเนดิ ไฟฟ้า ก็จะผลติ ไฟฟ้าได้ ถา้ ในกรณกี งั หันลมสูบน้ำหรือสีข้าว ก็

152 สามารถนำเอาพลังงานกลจากการหมุนของเฟืองเกียร์นี้ไปประยุกต์ใช้ได้ดดยตรง การพัฒนากังหันลมเพื่อใช้ ประโยชนม์ มี านานต้งั แต่สมยั อียิปตโ์ บราณตอ่ เนือ่ งมาจนถึงปจั จุบนั กงั หันลมทส่ี ามารถใช้งานได้จรงิ ได้ถือกำเนิด ขึ้นมาเมื่อ ศตวรรษที่ 12 โดยกังหันลมดังกล่าวถูกนำไปใช้ในทวีปยุโรป จนกระทั่งในศตวรรษที่ 14 มีการใช้ กังหันลมสำหรับสูบนำ้ ในประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยมีการปรับปรุงและพัฒนารูปแบบกงั หันลมแตกต่างไปจากอดตี มากและสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนมีชื่อเสียงไปทั่วโลก ในชื่อว่าดัทช์วินด์มิลล์ และเทคโนโลยี ทางด้านกังหันลมก็ไดร้ ับการพัฒนามาอย่างต่อเน่ือง การออกแบบกังหนั ลมจะต้องอาศัยความรู้ทางด้านพลศาสตร์ ของลม และหลักวิศวกรรมศาสตรใ์ นแขนงต่าง ๆ เพือ่ ให้ได้กำลังงาน พลังงาน และประสิทธภิ าพสงู 1) รูปแบบเทคโนโลยกี ังหนั ลม a. กงั หนั ลมแนวแกนต้ัง (Vertical Axis Turbine : VAWT) เป็นกงั หันลมที่มีแกนหมนุ และใบพัดตงั้ ฉากกับการเคล่ือนทีข่ องลมในแนวราบ b. กังหันลมในแกนนอน (Horizontal Axis Wine Turbine : HAWT) เปน็ กงั หนั ที่มแี กน หมุนขนานกบั การเคล่ือนที่ของลมในแนวราบ โดยมีใบพัดเปน็ ตัวตัง้ ฉากรับแรงลม 2) ประเภทของกังหันลม กังหนั ลมเพอื่ สูบน้ำ (wind turbine for dumping) เปน็ กังหันลมที่รับพลังงานจลน์จากการ เคลื่อนที่ของลม และเปลี่ยนให้เป็นพลังงานกลเพื่อใช้ในการชักหรือสบู น้ำจากที่ต่ำขึ้นที่สูง วัตถุประสงค์เพื่อนำน้ำ ไปใช้ในการเกษตร การทำนาเกลือ การอุปโภคและการบริโภค ปัจจุบันกังหันเพื่อสูบน้ำ มีอยู่ 2 แบบ คือ แบบระหัด และแบบสบู ชกั กังหันลมเพื่อผลิตไฟฟ้า (wind turbine for electric) เป็นกังหันลมที่รับพลังงานจลน์จากการ เคลื่อนที่ของลม และเปลี่ยนให้เป็นพลังงานกลจากการหมุนของใบพัดกังหัน จากนั้นนำพลังงานกลมาผลิตเป็ น พลังงานไฟฟ้า ปัจจุบันประเทศไทยมีการนำมาใช้งานด้านอำนวยความสะดวกในการผลิตไฟฟ้าตามบ้านพักอาศัย โดยใช้ทั้งกังหันลมขนาดเล็ก (small wind turbine) และกังหันลมขนาดใหญ่ (large wine turbine) ใน ส่วนของการผลติ พลังงานไฟฟ้าด้วยกังหันลมเพื่อจำหน่ายยงั ไม่มี แต่มโี ครงการติดตงั้ เคร่อื งกังหันลมผลติ ไฟฟ้าขนาด 1.5 เมกกะวตั ต์ บรเิ วณพืน้ ที่อำเภอหวั ไทร จังหวดั นครศรธี รรมราช เพอื่ เป็นโครงการนำร่องในการจัดสร้างแหล่ง ผลติ พลังงานไฟฟา้ ดว้ ยกังหนั ลมเพ่อื จำหน่าย ประเทศไทยกับการใชพ้ ลังงานลม ถึงแม้การศึกษาศักยภาพพลังงานลมในประเทศไทยค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับที่อื่น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า พลงั งานลมท่มี ีอยู่ไมส่ ามารถใช้ได้ จากผลการศกึ ษาเปรียบเทียบต้นทนุ ในการลงทุนระหวา่ งพลงั งานจากระบบเซลล์ แสงอาทิตย์กบั พลังงานลมพบวา่ การผลิตฟ้าจากพลงั งานลมมตี น้ ทุนถูกกว่าประมาณ 8-10 เทา่ และยง่ิ ถ้าสมารถ ผลิตใบพดั ของกงั หันลมไดเ้ องจะถูกกวา่ ถงึ 10 เท่า ในปัจจุบันประเทศไทยมีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมและจ่ายเข้าระบบสายส่งในปริมาณที่น้อยมากหาก เทียบกับแหล่งพลังงานอื่น ๆ โดยมีการติดตั้งกังหันลมผลิตไฟฟ้าขนาด 150 กิโลวัตต์ ซึ่งผลิตโดยบริษัทนอร์ดแทงก์ ประเทศเดนมาร์ก ในพนื้ ทีส่ ถานีผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนของการไฟฟา้ ฝ่ายผลติ ณ แหลมพรหมเทพ จังหวัด ภูเกต็ ตัง้ แต่ปี พ.ศ. 2539 เพอื่ สาธิตการผลติ ไฟฟา้ จากกงั หันลมร่วมกับแผงเซลล์แสงอาทติ ยข์ นาด 10 กิโลวตั ต์

153 โดยจา่ ยไฟเข้าระบบสายส่งของการไฟฟ้าส่วนภมู ภิ าค จนถงึ ปัจจุบนั ระบบยังสามารถทำงานไดด้ ีอยู่ กังหันลมสามารถ ผลิตไฟฟ้าป้อนเข้าสายส่งได้ประมาณ 200,000 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตมีโครงการที่จะติดตั้ง กังหันลมผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นที่แหลมพรหมเทพ โดยจะติดตั้งกังหันลมนาด 600 กิโลวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะ สามารถผลิตไฟฟ้าได้ประมาณปีละ 840,000 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี ปัจจุบันโครงการดังกล่าวกำลังอยู่ระหว่างการ ดำเนินงาน การประยุกต์นำพลังงานลมมาใช้ประโยชน์ในประโยชน์ในประเทศไทยมี 3 รูปแบบคือ ใช้เพื่อสูบน้ำ ผลิต กระแสไฟฟ้า และระบายอากาศจากหลังคา การนำพลงั งานลมมาใช้เพื่อสูบน้ำในประเทศไทยได้มีการใช้กันอย่างแพร่หลายการใชง้ านสว่ นใหญ่ใช้ในการ ประปา การเกษตร และการสูบน้ำทาเกลือ กังหันลมเพื่อการสบู น้ำท่ีใชง้ านภายในประเทศมี 3 แบบคือ กังหันลมใบ เรือ กังหันลมใบพัด และกังหันลมหลายใบ กังหันลมสองชนิดแรกทำจากวัสดุจำพวกไม้ เสื่อลำแพน ผ้าใบ และ สังกะสี มีความเหมาะสมการยกน้ำที่ระดับไม่เกิน 2 เมตร เกษตรกรสามารถสร้างเองได้ ราคาไม่รวมเครื่องสูบน้ำ ประมาณ 10,000 บาท ส่วนกังหันลมหลายใบจะใช้ในการสูบนำ้ จากบ่อลกึ เพอ่ื ใชใ้ นการอุปโภคบรโิ ภคราคาจะสูงกว่า สองแบบแรก ถ้าเป็นแบบที่ผลิตในประเทศราคาจะสงู กว่าประมาณ 4 เท่า เครอื่ งสบู น้ำท่ใี ชก้ บั กังหันลมมี 2 แบบ คือ แบบระหดั และแบบสบู ชัก แบบระหัดทำจากโลหะใชร้ ่วมกับกังหันแบบใบเรือและใบพัดเพื่อวิดน้ำเข้านาเกลือและนา ข้าว แบบสูบชักทำจากโลหะใช้ร่วมกับกังหันลมแบบหลายใบ (สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ง ชาติ, 2540 : 3) คา่ ใชจ้ ่ายในการสบู นำ้ จากกังหันลมประมาณ 85-90 สตางค์ต่อลูกบาศกเ์ มตร (คิดระยะเวลาอายกุ ารใช้งานของกังหัน ลม 20 ปี) เมือ่ เปรียบเทียบกบั การสูบน้ำด้วยไฟฟ้าราคาประมาณ 6-10 บาทต่อลกู บาศก์เมตร ซึ่งจะเห็นว่าการนำ พลังงานลมมาใชเ้ พือ่ การสบู น้ำทคี วามเหมาะสมทางเศรษฐศาสตรม์ ากกว่าสูบน้ำดว้ ยกระแสไฟฟา้ การนำพลังงานลมมาผลิตกระแสไฟฟ้าในประเทศไทยมีการใช้ใน 2 ลักษณะคือเป็นแบบติดตั้งอิสระ(stand alone) และแบบต่อเข้าระบบสายส่ง หน่วยงานที่ดำเนินการและศึกษาทางด้านนี้ ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่ง ประเทศไทย การไฟฟ้าส่วนภูมภิ าคและสถาบันการศกึ ษาภายในประเทศได้รว่ มมือทำการวจิ ัยและพัฒนานำพลังงาน ลมมาผลิตกระแสไฟฟ้าตั้งแต่ปี พ.ศ.2533 ซึ่งได้มีการวิจัยกังหันลมทั้งแบบแกนนอนและแกนตั้ง การไฟฟ้าฝ่ายผลิต แห่งประเทศไทยได้ติดตั้งกังหันลมเพื่อสาธิตการผลิตกระแสไฟฟ้า จำนวน 7 ชุด มีกำลังผลิตรวมประมาณ 190 กิโลวัตต์ ที่สถานีพลังงานทดแทนแหลมพรหมเทพ จังหวัดภูเก็ต กังหันลมที่ใหญ่ที่สุดที่ติดตั้งมีขนาด 150 กิโลวัตต์ ขนาดเส้นผ่านศูนยก์ ลางใบพัด 25 เมตร เสาสูง 31 เมตร เริ่มทำงานที่ค่าความเร็วลมเฉลีย่ 4 เมตรต่อวินาที สำหรับ การดำเนินงานของการไฟฟ้าสว่ นภูมภิ าคยังอยูใ่ นระหว่างดำเนินการเพือ่ จ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับหมู่บ้านบนเกาะโดย ใชร้ ะบบผสมผสานระหวา่ งพลังงานลม พลังงานแสงอาทติ ย์และเครื่องกำเนนิ ไฟฟา้ เซลติดตั้งเป็นระบบต่อเข้ากับสาย ส่ง การนำพลังงานลมมาใช้เพื่อระบายอากาศจากหลังคา เพื่อใช้ในการระบายอากาศจากอาคารโรงงาน บา้ นพกั อาศยั ตัวกงั หันเป็นโรเตอร์แกนตง้ั มเี กล็ดโคง้ รับลม นำ้ หนักเบาทำดว้ ยแผน่ อะลมู ิเนียม แผน่ เหลก็ ไร้สนิมหรือ แผ่นเหล็กชุบสังกะสี ได้มีการติดตั้งและใช้งานกันอย่างแพร่หลายเป็นการปรับปรุงเทคโนโลยีนำมาใช้กับ ชวี ติ ประจำวัน

154 ผลกระทบจากการใช้กงั หันลม 1. ด้านพื้นที่ กังหันลมจะต้องติดตั้งอยู่ห่างกันห้าถึงสบิ เท่าของความสูงกังหัน เพื่อที่กระแสลม จะได้ลด ความปั่นป่วนหลังจากที่ผ่านกังหันลมตัวอื่นมา อย่างไรก็ตามพื้นที่ติดตั้งจริงของกังหันลมใช้เพียง 1 เปอร์เซ็นของ พืน้ ท่ที ้ังหมด ซ่งึ จะเปน็ ส่วนของเสาและฐานรากและเสน้ ทางสำหรบั การเข้าไปตดิ ตงั้ และดูแลรักษา กังหันลมขนาด ใหญ่ซึ่งมีความสูงของเสากังหันมาก จะต้องติดตั้งอยู่ห่างกันเป็นระยะทางไกล ตัวอย่างเช่น กังหันลมผลิตไฟฟ้า ขนาดระดับเมกะวัตต์ ต้องการระยะห่างระหว่างกันถึง 0.5-1 กิโลเมตร ดังนั้นเมื่อพิจารณาโดยละเอียดแล้วจะ พบว่าการตดิ ตั้งกังหนั ลมจะไมส่ ่งผลกระทบต่อการใช้ประโยชน์จากพื้นท่ีต่าง ๆ อาทิ เช่นพื้นท่ีทางการเกษตร พ้ืนที่ อุตสาหกรรม หรือแม้แต่พื้นที่ป่าธรรมชาติ ประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวยังคงสามารถใช้ประโยชน์จากที่ดินได้อย่าง ปกติ 2. ด้านทัศนะวิสัย สำหรับผลกระทบทางด้านสายตา หรือการมองเห็นของระบบกังหันลมผลิตไฟฟ้านั้น ยังไม่ได้มีการประเมินผลออกมาอย่างชัดเจน กังหันลมขนาดใหญ่จะมีความสูงมากกว่า 50 เมตรขึ้นไป ทำให้ สามารถมองเห็นได้จากระยะไกล กังหันลมที่ติดตัง้ ตามทุ่งหญา้ สร้างความสวยงาม สรา้ งจนิ ตนาการ และความคิด ต่าง ๆ ให้กับผู้พบเห็น กังหันลมสามารถใช้เปน็ สือ่ การเรียนรู้หลักการทางอากาศพลศาสตร์ ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคญั ตอ่ เทคโนโลยกี ารบินหรอื อากาศยานได้ 3. ด้านเสียง เสียงของกังหนั ลมเกิดจากการหมนุ ของปลายใบพัดตัดกบั อากาศ จากการที่ใบพัดหมุนผา่ น เสากังหัน จากความป่ันปว่ นของลมบริเวณใบกงั หนั ลม และจากตัวเครื่องจักรกลภายในตวั กงั หันลมโดยเฉพาะส่วน ของเกียร์ เสียงดังของกังหันลมผลิตไฟฟ้าเป็นตัวแปรที่สำคัญประการหนึ่งที่แสดงถึงประสิทธิภาพของกังหันลม ดังนั้นทางบริษัทผู้ผลิตกงั หันลมจึงพยายามพฒั นาเทคโนโลยีตา่ ง ๆ เพือ่ ลดผลกระทบจากเสียงของกงั หนั ลมในช่วงห้า ปที ผี่ ่านมา ระดับของเสียงในบริเวณอาคาร บ้านเรอื นหรือทีพ่ ักอาศยั ทจ่ี ะเป็นอันตรายต่อมนุษยอ์ ยู่ท่ไี ม่เกิน 40 เด ซเิ บล ที่ระยะห่างไมเ่ กิน 250 เมตร 4. นก มผี ลการศึกษาจากหลายแห่งที่ขัดแย้งกนั สำหรับสาเหตกุ ารตายของนกจากการบินชนกังหันลมที่ กำลงั หมนุ อยู่ แตห่ ากพจิ ารณาแลว้ ความถ่ขี องเหตุการณด์ ังกลา่ วอาจจะเกดิ ขึ้นได้ใกล้เคียงหรอื นอ้ ยกว่าการที่นกบิน ชนรถ หน้าต่างของอาคาร หรือสายไฟฟ้าแรงสูง ซึ่งเหตุการณ์เหล่านีเ้ กิดขึน้ อยู่เสมอ ๆ ยกเว้นในบางกรณีจำนวน การตายของนกในพื้นที่ติดตั้งกังหันลมอาจสูง อันเนื่องมาจากมีฝูงนกที่อพยพย้ายถิ่นฐานในบางฤดูกาลผ่านพื้นที่ ดังกล่าวในเวลากลางคืน หรือพืน้ ที่นั้นเป็นแหลง่ หาอาหารของนกนักล่าบางชนิด นอกจากนี้แล้วจากการศึกษาของ ผู้เชี่ยวชาญ บางคนพบว่าในบริเวณพื้นที่ติดตั้งกังหันลม กลับมีอัตราการผสมพันธุ์ของเกสรดอกไม้ที่ สูงมาก เน่ืองจากการปน่ั ปว่ นของกระแสลมในบรเิ วณน้ัน 5. คลื่นสนามแม่เหล็ก สัญญาณโทรทัศน์ คลื่นวิทยุ และเรดาร์ อาจถูกรบกรวนได้จากการหมุนของ กังหันลมซึ่งอาจสร้างคลื่นรบกวนสญั ญาณเหล่าน้ีโดยเฉพาะเรดาร์ซึ่งมีความสำคัญต่อทางการทหาร ในปัจจุบันยัง ไม่พบว่ามีรายงานการถูกรบกรวนจากกังหันลม ในทางตรงข้ามกังหันลมยังได้รับการยอมรับจากการทหารและมี พื้นที่ทางการทหารหลายแห่งโดยเฉพาะสนามบินบางแห่ง มีกังหันลมติดตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียง แต่ก็ไม่พบว่ามี ความผดิ ปกตใิ ด ๆ กบั ระบบเรดาร์

155 6. ความยั่งยืน ปัจจุบันกระแสในเรื่องความยั่งยืน และเทคโนโลยีที่ปลอดมลพิษกำลังเป็นที่สนใจของ นักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย นักการเมือง การทำงานของกังหันลมผลิตไฟฟ้าไม่ก่อให้เกิดมลพิษ สามารถใช้เป็น เทคโนโลยีหนึ่ง เพื่อการผลิตไฟฟ้าทดแทนการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ และนิวเคลียร์ ดังนั้น เทคโนโลยีกงั หนั ลมจงึ เปน็ อีกทางเลอื กหนึง่ ของการพฒั นาอยา่ งยัง่ ยนื ผลกระทบตอ่ สง่ิ แวดลอ้ มจากการใช้พลังงานลม การนำพลังงานลมมาใช้ประโยชน์นอกจากจะมขี ้อดใี นแง่ต่าง ๆ เนื่องจากพลงั งานลมไม่มีปญั หาในเรื่องการ ปล่อยก๊าซพิษ ฝนกรด หรือมลพิษจากการแผ่รังสีแล้ว ยังช่วยลดปริมาณการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงบรรพชีวิน รวมทั้งการนำพลังงานหมุนเวียนบางอย่างด้วย แต่การนำพลังงานลมมาใช้ไม่ว่าจะเพื่อการสูบน้ำหรือผลิต กระแสไฟฟ้ากต็ าม มผี ลกระทบตอ่ สิ่งแวดลอ้ มในด้านต่าง ๆ สรุปได้ดงั นี้ 1. เสียงรบกวน (noise pollution) กังหันลมที่หมุนด้วยความเร็วสูงจะทำให้เกิดเสียงดังรบกวนบริเวณ ใกล้เคียง ซึ่งเสียงดังเกิดเนื่องจาก 2 สาเหตุคือ เสียงจากเครื่องมือที่ผลิตไฟฟ้าซึ่งเรียกว่า เสียงจากเครื่องกล (mechanical noise) และอกี สว่ นหนึ่งเกิดจากกระแสลมกระทบใบพัด ซง่ึ เรียกว่าเสยี งจากการเคล่ือนทขี่ องอากาศ (aerodynamic noise) 2. รบกวนสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (electromagnetic interference) การใช้พลังงานลมส่ง ผลกระทบต่อการส่งและรบั สญั ญาณคล่นื แม่เหล็กไฟฟ้า ถ้าวสั ดทุ ่ีใช้ทำกงั หนั เปน็ โลหะ 3. รบกรวนต่อการบินและการนำสัญญาณ (interference with aviation and navigation) กงั หันลมที่ ตงั้ อยู่ใกล้บริเวณสนามบินจะรบกวนต่อการบินและสัญญาณเรดาร์ ภาพที่ 3.6 แสดงการรบกวนสัญญาณวิทยุจาก กังหันลม พลงั งานชีวมวล (Biomass Energy) ชีวมวล คอื สารทุกรปู แบบท่ไี ดจ้ ากสง่ิ มชี ีวิต ประกอบด้วยไม้ และถา่ นหิน ชานอ้อย แกลบ และ ของเหลอื ทางการเกษตรอื่น ๆ อุตสาหกรรมการเกษตรที่ใช้ชวี มวลเหลือจากกระบวนการผลิตมาใช้เป็นเช้ือเพลิงใน การผลิตไฟฟ้า และความร้อนร่วม (Cogeneration) ได้แก่ โรงงาน น้ำตาล ซึ่งใช้ชานอ้อย ใบอ้อย และยอด ออ้ ยมาเปน็ เชอ้ื เพลงิ โรงสขี า้ ว ซงึ่ ใชแ้ กลบเป็นเชอ้ื เพลงิ โรงงานนำ้ มันปาลม์ ซ่งึ สามารถใช้กาบ และกะลาผลปาล์ม รวมทั้งทะลายผลปาล์มมาเป็นเชื้อเพลิงร่วมผลิตความร้อน และไฟฟ้าใช้ในโรงงาน และยังสามารถนำมูลสัตว์จาก การทำฟาร์มปศุสัตว์ตลอดจนน้ำเสียที่ทิ้งจากโรงงาน และอุตสาหกรรมบางประเภท เช่น อุตสาหกรรมอาหาร และขยะมูลฝอยมาผลิตแก๊สชีวมวลได้โดยผ่านกระบวนการย่อยสลายสารอินทรีย์ในสภาพไร้อากาศ (Anaerobic Digestion) ซึ่งจะได้แก๊สมีเทนที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าได้ นอกจากนี้ยังมีการนำชีวมวลชนิดต่าง ๆ มา ใช้เป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้ามากขึ้น เช่น มันสำปะหลังซึ่งมีปริมาณล้นตลาด หรือการปลูกไม้โตเร็ว เช่น กระถิน ยักษ์ กระถินณรงค์ ยูคาลิปตสั ในที่ดินเสอื่ มโทรมมาเปน็ เช้อื เพลิง หากจะพูดถึงแหลง่ ท่ีมาของพลังงานชีวมวล จะ พบว่า พลังงานชีวมวลเกิดจากการที่พืชใช้แสงจากดวงอาทิตย์เป็นพลังานในกระบวนการสร้างอาหารเรียกว่า กระบวนการสังเคราะห์แสง โดยอาศัยสารคลอโรฟิลล์ (Cholorophyll) บนพืชสีเขียว ซึ่งจะดูดแก๊ส คารบ์ อนไดออกไซด์ (CO ) จากดนิ อากาศและนำ้ (H O) มาทำปฏิกริ ิยากนั แล้วผลิตไดเ้ ป็นสารประกอบกลุ่ม 22 หนึ่ง อย่ใู นรูปของคาร์โบไฮเดรต (Carbohydrate) เชน่ นำ้ ตาล แป้ง เซลลูโลส เปน็ ต้น พลงั งานแสงอาทิตย์ จะถูกสะสมในรูปของพันธเคมี เมื่อเกิดห่วงโซ่อาหาร (กินกันเป็นทอด ๆ) ของสิ่งมีชีวิต ทำให้มีการถ่ ายทอด

156 พลังงานเคมจี ากพชื ไปสูส่ ัตว์และสิง่ มชี วี ติ อ่ืน ๆ โดยสรุป คือ การทำงานของสิง่ มีชวี ติ โดยพ้ืนฐานอาศัยพลังงานจาก ดวงอาทติ ย์ เมอื่ สง่ิ มีชีวติ เจรญิ เติบโตกเ็ ป็นแหลง่ สะสมพลงั งานต่อไป แหลง่ ท่ีมาของพลงั งานชีวมวล แหลง่ ทีม่ าของพลังงานชวี มวล แบง่ ไดด้ ังนี้ 1. พืชผลทางการเกษตร (agricultural crops) เช่น อ้อย มันสำปะหลัง ข้าวโพด ข้าวฟ่างหวาน ซง่ึ เปน็ แหล่งของคาร์โบไฮเดรต แป้ง และนำ้ ตาล รวมถงึ พชื นำ้ มันตา่ ง ๆ ทีส่ ามารถนำนำ้ มนั มาใชเ้ ป็นพลังงานได้ 2. เศษวสั ดเุ หลอื ทง้ิ จากการเกษตร (agricultural residues) เชน่ ฟางข้าว เศษลำตน้ ขา้ วโพด ซังข้าวโพด เหง้ามันสำปะหลงั 3. ไม้และเศษไม้ (wood and wood residues) เช่น ไม้โตเร็ว ยูคาลิปตัส กระถินณรงค์ เศษไม้ จากโรงงานผลิตเครอื่ งเรอื นและโรงงานผลติ เยอื่ กระดาษ 4. ของเหลือจากอุตสาหกรรมและชุมชน (waste streams) เช่น กากน้ำตาลและชานอ้อยจากโรงงาน นำ้ ตาล แกลบ ข้เี ลอ่ื ย เส้นใยปาลม์ และกะลาปาล์ม 5. ชีวมวลทีไ่ ด้จากสัตว์ ไดแ้ ก่ มูลสัตว์ เช่น มลู วัว ควาย เปด็ ไก่ หมู่ เปน็ ตน้ กระบวนการแปรรูปชีวมวลเพ่อื ผลติ พลงั งาน การแปรรูปชวี มวลเพื่อผลิตพลังงาน คือกระบวนการทีจ่ ะนำพลังงานจากชีวมวลมาใช้ประโยชน์ โดยทำให้ เกิดการแตกตัวของอินทรียสารที่อยู่ในชีวมวล และผลิตพลังงานออกมาเทคโนโลยที ี่ใช้ในการแปรรูป ชีวมวลเพอ่ื ผลิตพลังงานแบ่งเป็น 2 กระบวนการ คือ กระบวนการแปรรูปทางเคมีความร้อน และกระบวนการแปรรูปทาง ชวี เคมี ซึ่งแตล่ ะกระบวนการจะมวี ธิ กี ารหลายรปู แบบ และให้ผลิตภัณฑอ์ อกมาในรูปแบบทีแ่ ตกตา่ งกนั 1. กระบวนการแปรรูปทางเคมีความร้อน กระบวนการแปรรูปทางเคมคี วามร้อน (thermo chemical conversion) เปน็ กระบวนการ เปลี่ยนรูปชีวมวลเพือ่ ให้ได้เชื้อเพลิงชีวมวลที่มคี ุณภาพสูงขึ้น โดยเริ่มจากวิธที ี่งา่ ยท่ีสุดคือการเผาไหม้โดยตรง การ ย่อยสลายด้วยความร้อน และการแปรรูปเป็นก๊าซชีวมวล วิธีการที่แตกต่างกันจะให้ผลิตภัณฑ์ออกมาแตกต่างกัน ซ่ึงอาจอยใู่ นรูปของของแขง็ ของเหลว หรือกา๊ ซแลว้ แตก่ รณไี ป 1.1 การเผาไหม้โดยตรง การเผาไหมโ้ ดยตรง (direct combustion) เป็นกระบวนการการแปรรูปชวี มวลโดยใชค้ วาม ร้อนในที่ที่มีอากาศ เพื่อให้เกิดการสันดาปอย่างสมบูรณ์ สารอินทรีย์ในชีวมวลจะถูกเปลี่ยนเป็นก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ น้ำ และให้พลังงานออกมา วิธีนี้เป็นวิธีที่นิยมใช้ในชนบทในรูปแบบของการใช้ฟนื และถ่านไม้ เปน็ เชือ้ เพลิงในการหุงต้ม ประสิทธภิ าพของการเผาไหม้ขน้ึ อยู่กับองค์ประกอบต่าง ๆ เชน่ ปรมิ าณความชื้นของชีว มวล เตาเผา ปริมาณอากาศที่ใช้ในการเผาไหม้ และอุณหภูมิในการเผาไหม้ เนื่องจากเชื้อเพลิงที่มีความชื้นสูง พลังงานส่วนหนึ่งจะสญู เสียไปในการระเหยน้ำ ทำให้ประสทิ ธิภาพในการเผาไหม้ตำ่ ค่าพลังงานเฉล่ียของเชื้อเพลงิ ประเภทต่างๆ แสดงในตาราง

157 ตาราง คา่ พลังงานเฉลย่ี ของเช้ือเพลงิ ประเภทต่าง ๆ เชื้อเพลงิ ค่าพลงั งาน ไม้ (ความชื้น 20%) จิกะจลู ต่อตัน จิกะจลู ต่อลูกบาศกเ์ มตร กระดาษ มูลสตั ว์ (แหง้ ) 15 10 ฟาง ออ้ ย 17 9 ขยะ หญา้ (สด) 16 4 นำ้ มันปโิ ตรเลียม ถา่ นหนิ 14 1.4 กา๊ ซธรรมชาติ 14 10 9 1.5 43 42 34 28 50 55 0.04 ท่มี า : Boyle, 1996: 143. (อ้างใน วรนชุ แจง้ สวา่ ง, 2551) ถา้ วิเคราะห์การเผาไหม้ของเชื้อเพลงิ ประเภทต่าง ๆ จากตารางท่ี 2.2 จะเหน็ ไดว้ ่าไมต้ ากแหง้ (air-dried wood) ที่มคี วามชนื้ ประมาณร้อยละ 20 ให้พลงั งานออกมา 10 จกิ ะจูลตอ่ ลูกบาศก์เมตร (10 ลา้ นกโิ ลจลู ) ถ้า เปรียบเทียบพลังงานดังกลา่ วกบั การต้มน้ำ 1 ลิตรให้มีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1 องศาเซลเซียส ต้องการพลังงานความ ร้อน 4.2 กิโลจูล ถ้าต้มน้ำจนเดือดจะตอ้ งใช้พลังงานความรอ้ น 420 กิโลจูล ซึ่งคิดเป็นพลังงานจากไม้ตากแหง้ เพียง 42 ลกู บาศกเ์ ซนติเมตร แต่ในทางปฏบิ ตั ิต้องใช้ไมต้ ากแห้งในการตม้ น้ำปริมาณนี้มากกว่าที่คำนวณไว้ถึง 50 เท่า นั่นก็หมายความว่าประสิทธิภาพในการเผาไหม้โดยตรงนี้ต่ำมาก ซึ่งอาจจะน้อยกว่าร้อยละ 2 และ ประสิทธภิ าพในการเผาไหม้ขึน้ อยู่กบั ปรมิ าณความช้ืนในเช้ือเพลิง 1.2 การยอ่ ยสลายด้วยความรอ้ น การย่อยสลายชีวมวลด้วยความร้อนหรือที่เรียกว่า กระบวนการไพโรไลซิส (pyrolysis) นั้นเป็น กระบวนการย่อยสลายชีวมวลโดยใช้ความร้อนในท่มี ีอากาศปริมาณจำกัด ซึง่ จะเปลี่ยนชีวมวลให้เป็นเช้ือเพลิงในรูป ของของแข็ง ของเหลว และก๊าซ การย่อยสลายด้วยความร้อนเป็นการเกิดปฏิกิริยาเคมีแบบย้อนกลับไม่ได้ (irreversible chemical process) โดยความร้อนที่ใช้มีอุณหภูมิตั้งแต่ 150 องศาเซลเซียสขึ้นไป และจะต้อง ป้อนอากาศในปริมาณที่จำกัดก๊าซที่ได้จากกระบวนการนี้ ได้แก่ ก๊าซไฮโดรเจน (H2) ก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ (CO) คาร์บอนไดออกไซด์ (CH2) และเกิดสารประกอบไฮโดรคาร์บอนอื่น ๆ อีกเล็กน้อย ของแข็งที่เหลือจาก กระบวนการนี้ได้แก่ ถ่าน และขี้เถา้ (ash) สำหรับส่วนท่ีเป็นของเหลว ได้แก่ น้ำมนั นำ้ และน้ำมันดนิ (tar) การย่อยสลายด้วยความร้อนแบบดั้งเดิม (conventional pyrolysis) เป็นกระบวนการเกิดขึ้นที่อุณหภูมิ ต่ำกวา่ 600 องศาเซลเซียส เช่น กระบวนการเผาถ่าน ซึ่งกค็ อื การย่อยสลายไม้ดว้ ยความร้อน เป็นวิธีที่ทำกันมา แต่โบราณ ก๊าซและไอที่ได้จากกระบวนการจะระเหยไปปริมาณอัตราส่วนอากาศต่อเชื้อเพลิงในการเผาไหม้เป็นตัว แปรทส่ี ำคญั และมผี ลตอ่ ทงั้ อุณหภูมิและผลิตภณั ฑท์ ี่ได้ กระบวนการย่อยสลายของไม้แห้ง 1,000 กโิ ลกรัม จะให้ ผลิตภณั ฑด์ งั ตารางที่ 2.3

158 ตาราง ผลิตภณั ฑท์ ไี่ ดจ้ ากกระบวนการย่อยสลายด้วยความรอ้ นของไมแ้ หง้ 1,000 กโิ ลกรัม ผลิตภัณฑ์ต่อไมแ้ ห้ง 1,000 กิโลกรัม ถ่าน 300 กิโลกรัม เมทิลแอลกอฮอล์ 14 ลติ ร เอสเทอร์ 8 ลิตร น้ำมันจากไม้ และน้ำมันดิบ 76 ลติ ร เศษไม้ 30 กโิ ลกรัม กา๊ ซ 140 ลกู บาศกเ์ มตร กรดน้ำส้ม 53 ลิตร แอซีโตน 3 ลติ ร น้ำมนั จากควัน 12 ลติ ร ท่มี า : Twidell, and Weir, 1986: 296. (อ้างใน : วรนุช แจ้งสวา่ ง, 2551) 1.3 กระบวนการแปรรูปเป็นกา๊ ซชีวมวล กระบวนการแปรรูปชีวมวลเป็นก๊าซชีวมวล หรือเรียกว่ากระบวนการแปรสภาพเป็นก๊าซ (gasification) เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางเคมีโดยการสลายคาร์บอนในเชื้อเพลิงแข็งให้เป็นก๊าซ โดยการเผาชีวมวลใน อุปกรณ์ท่ีควบคุมปริมาณอากาศท่ีใช้ในการเผาไหม้ ก๊าซทีไ่ ด้จากกระบวนการนี้เรียกว่า กา๊ ซ ชีวมวลหรือโพรดิว เซอร์ก๊าซ ซงึ่ จะนำไปใชเ้ ป็นเช้อื เพลงิ ของเคร่ืองยนตส์ ันดาปภายใน หรอื เปน็ เชอ้ื เพลงิ ให้ความรอ้ น ก๊าซชีวมวลท่ีได้ ประกอบไปด้วยกา๊ ซไฮโดรเจน และคาร์บอนมอนอกไซดเ์ ปน็ ส่วนใหญ่ นอกจากน้กี ็มีกา๊ ซมเี ทน คารบ์ อนไดออกไซด์ และไอน้ำ กระบวนการแปรรูปชีวมวลเป็นก๊าซชีวมวลเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องมาจากกระบวนการย่อยสลายชีว มวลด้วยความร้อน แต่จะเกิดที่อุณหภูมิสูงตั้งแต่ 600 องศาเซลเซียสขึ้นไป (รัตนชัย ไพรินทร์, 2541 : 28-31) การผลติ ก๊าซชวี มวลข้ึนอยู่กับองค์ประกอบในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ปฏิกิรยิ าเคมที ่เี กดิ ในแตล่ ะช้ันของเตาเผา สารต้ังต้น ในการผลิตก๊าซชีวมวล และลกั ษณะของเตาที่ใชใ้ นการผลิตก๊าซชีวมวล 2. กระบวนการแปรรปู ทางชวี เคมี กระบวนการแปรรปู ทางชวี เคมี (biochemical conversion) เป็นกระบวนการทีเ่ ปลี่ยนชีวมวลให้ เป็นพลังงานโดยผ่านกระบวนการทางชีวเคมีซึ่งต้องอาศัยจุลชวี ะในการผลิตแบ่งออกเป็น 2 กระบวนการคือ การ ย่อยสลายในที่ไม่มีอากาศ ผลผลิตที่ได้จะเป็นก๊าซที่เรียกว่า ก๊าซชีวภาพ และการหมักผลผลิตที่ได้จะเป็น แอลกอฮอล์ 2.1 กระบวนการย่อยสลายในท่ไี มม่ ีอากาศ กระบวนการย่อยสลายในทไ่ี ม่มอี ากาศ (anaerobic digestion) เป็นกระบวนการยอ่ ย สารอินทรีย์ของ ชีวมวล โดยกระบวนการชีวเคมีในที่ที่ไม่มีอากาศให้ผลิตภัณฑ์เป็นก๊าซ เรียกว่า ก๊าซชีวภาพ (biogas) เป็นกา๊ ซผสมระหว่างมเี ทน (CH4) และคารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2) และอาจมกี า๊ ซอน่ื ปนอยบู่ ้างเล็กน้อย เช่น ไฮโดรเจนซลั ไฟด์ (H2S) ไฮโดรเจน (H2) และไนโตรเจน (N2) ค่าความร้อนของกา๊ ซชีวภาพที่ได้จะขึ้นอยู่กับ ปริมาณของก๊าซมีเทนในก๊าซผสม ก๊าซมีเทนที่พบในก๊าซชีวภาพเป็นชนิดเดียวกับที่พบในก๊าซธรรมชาติ ในก๊าซ

159 ธรรมชาติมีก๊าซมีเทนร้อยละ 80 ในก๊าซชีวภาพมีมีเทนร้อยละ 50-75 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของสารอินทรีย์ และ สภาวะแวดลอ้ มที่เกดิ ยอ่ ยสลาย คา่ ความรอ้ นของก๊าซชีวภาพขนึ้ อยูก่ ับปริมาณกา๊ ซมีเทน ในการเกดิ กา๊ ซชีวภาพตอ้ งมอี งคป์ ระกอบที่สำคญั คือ ชีวมวล จลุ ินทรีย์ และสภาวะแวดล้อมที่ เหมาะสม ชีวมวลที่ใช้ในกระบวนการผลติ ก๊าซชวี ภาพ ได้แก่ มลู สัตวแ์ ละของเสียจากโรงงานอตุ สาหกรรม จุลนิ ทรีย์ที่ ใช้ในกระบวนการย่อยสลายจะเป็นแบคทีเรียหลาย ๆ ชนิดที่ใช้ในการย่อยสารประกอบโมเลกุลใหญ่ให้เป็นโมเลกุล เลก็ และกรดอนิ ทรียแ์ ล้วเกิดกา๊ ซชีวภาพ 2.2 กระบวนการหมักเพ่ือผลิตแอลกอฮอล์ กระบวนการหมกั เพือ่ ผลิตแอลอฮอล์ (alcoholic fermentation) คอื การแตกตวั ของสาร ประเภทไฮโดรคาร์บอนเป็นเอทิลแอลกอฮอล์ (เอทานอล) และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เอทานอลที่เกิดขึ้นสามารถ นำมาใชเ้ ปน็ พลังงานไดโ้ ดยผสมกับก๊าซโซลนี รอ้ ยละ 10 ต่อ 90 หรอื 20 ตอ่ 80 กา๊ ซทไี่ ด้เรยี กว่า ก๊าซโซฮอล์ กระบวนการผลิตเอทานอลจากวสั ดกุ ารเกษตรโดยผ่านการหมักประกอบไปดว้ ยกระบวนการ หมกั 4 ขัน้ ตอน สรุปได้ดงั นี้ (1) การจัดหาวตั ถดุ บิ ในการผลิต วตั ถุดิบท่ีมีแปง้ หรือน้ำตาลเปน็ องคป์ ระกอบ พวกทีม่ แี ป้ง เป็นองค์ประกอบ เช่น มันสำปะหลัง ข้าว ข้าวโพด พวกที่มีน้ำตาลเป็นองค์ประกอบ เช่น อ้อย ข้าวฟ่างหวาน กากน้ำตาล โดยถ้าวัตถดุ ิบเปน็ นำ้ ตาลสามารถใช้ในการหมักไดท้ ันที แตถ่ า้ เป็นแป้งต้องเปลย่ี นเปน็ นำ้ ตาลเสยี ก่อน (2) กระบวนการหมัก กระบวนการหมักจะตอ้ งใขย้ สี ตซ์ ึ่งเป็นจุลินทรียพ์ วกหนง่ึ ใสล่ งไปในถัง หมักโดยไม่ต้องมีอากาศ ยีสต์จะผลิตเอทานอลออกมา กระบวนการหมักใช้เวลา 1-2 วัน ซึ่งจะได้เอทานอลมีความ เข้มข้นร้อยละ 80 (3) กระบวนการกล่ัน เอทานอลทไ่ี ดจ้ ากการหมัก เมอ่ื ตอ้ งการนำไปใชเ้ ป็นเชอื้ เพลงิ จะต้องไม่ มนี ำ้ ปนอยู่ ในการหมกั จะไดเ้ อทานอลที่มีความเข้มขน้ เพียงร้อยละ 8-10 ดังนั้นจะต้องทำให้เอทานอลมีความเข้มข้น มากข้ึน โดยการกล่ันลำดบั ส่วนเอานำ้ ออก เมอื่ นำเอานอลที่มีนำ้ ปนอยู่ไปกลัน่ เม่อื ถึงอณุ หภูมิจุดเดือดของเอทานอล ที่ 78 องศาเซลเซียส เอทานอลจะเดือดกลายเป็นไอแยกออกจากนำ้ แล้วจึงนำไอของเอทานอลไปคบแน่นที่อุณหภูมิ ตำ่ กวา่ 78 องศาเซลเซยี ส กจ็ ะได้เอทานอลท่ีมคี วามเขม้ ข้นสงู (4) การกำจดั ของเสยี หลังจากท่ีแยกเอทานอลออกไปกลน่ั แล้ว จะเหลอื สว่ นของสารละลายท่ี เรยี กว่า น้ำกากสา่ ซง่ึ จะมนี ำ้ ตาล สารอินทรยี ์ และเซลล์ของยีสต์ปนอยูม่ ากมายก่อนที่จะปลอ่ ยท้ิงลงสู่แม่น้ำลำคลอง ตอ้ งมกี ารบำบัดเสียก่อน เอทานอลท่ีได้จากการหมกั ชวี มวลประเภทต่าง ๆ มีปรมิ าณแตกต่างกันขนึ้ กับชนิดของชีวมวล ดังตาราง ตาราง แสดงปรมิ าณเอทานอลทไี่ ด้จากการหมักชีวมวลชนิดตา่ ง ๆ ชีวมวล ลิตรต่อตนั อ้อย 70 ข้าวโพด 360 มันสำปะหลัง 180 มนั ฝร่งั 120 ไม้ 160 ท่ีมา : Boyle , 1996: 154. (อ้างในวรนชุ แจง้ สว่าง , 2551)

160 พลังงานจากขยะ ขยะคือของเหลือใช้หรือของที่ไม่ต้องการ อาจได้มาจากกระบวนการผลิตและบริโภคของมนุษย์ ขยะ ก่อใหเ้ กดิ ปญั หาในเร่ืองการกำจัดและสุขอนามัยเป็นอยา่ งย่ิงโดยเฉพาะในเขตเมืองใหญ่ปริมาณขยะเพ่ิมมากขึ้นอย่าง รวดเร็วจนไม่สามารถกำจัดให้หมดได้ในเวลาอันสั้น สถานที่ที่จะใช้ฝั่งกลบขยะที่ไม่เพียงพอ สิ่งที่สำคัญคือขยะ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างยิ่ง มนุษย์พยายามที่จะนำขยะมาใช้ให้เกิดประโยชน์ใน หลาย ๆ ลกั ษณะเช่น การขยะทำปุ๋ย การคดั แยกขยะหมุนเวียนกลบั มาใช้ใหม่ รวมท้งั มกี ารพัฒนาใช้ขยะเปน็ แหล่งพลังงานใน การให้ความร้อนเพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้า และผลิตก๊าซชีวภาพจากขยะเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงพลังงาน การนำขยะไป ผลิตเป็นพลังงานนับเป็นทางเลือกหนึ่งที่เหมาะสมในการกำจัดขยะ เพราะนอกจากจะได้ประโยชน์โดยตรงจากการ กำจัดขยะแลว้ ยงั ไดพ้ ลงั งานออกมาใช้เปน็ ผลพลอยไดอ้ ีกดว้ ย ขยะจากแหลง่ ชุมชนและภาคอตุ สาหกรรมจัดแบ่งได้เป็น 2 ลักษณคอื ขยะทสี่ ามารถนำกลับมาใช้ใหมไ่ ด้ แต่ ไม่สามารถย่อยสลายหรือเผาได้ สามารถนำไปปรบั รุงสภาพหรือแปรรูปนำมาใชใ้ หม่ได้ เชน่ เศษเหลก็ พลาสติก แก้ว กระดาษ โฟม เป็นต้น และขยะที่ไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้แต่สามารถย่อยสลายได้ ได้แก่ขยะจากชุมชนและ ภาคการเกษตร การผลิตพลังงานจากขยะในที่นี้จะหมายถึงการผลิตพลังงานจากขยะชุมชน โดยที่ขยะมูลฝอยชุมชน หมายถึง ขยะมูลฝอยที่เกิดจากกิจกรรมต่าง ๆ ในชุมชน เช่น บ้านพักอาศัย ธุรกิจร้านค้า สถานประกอบการ ตลาดสด สถาบันต่าง ๆ รวมท้งั เศษวสั ดุก่อสร้างทั้งน้ไี มร่ วมของเสียอนั ตรายและมูลฝอยติดเช้ือ การผลิตพลังงานจากขยะชมุ ชนสามารถแบง่ ออกได้เป็น 3 วธิ ี คอื กระบวนการทใ่ี ช้ความรอ้ น (thermal conversion process) กระบวนการทางชีวเคมี (biochemical conversion process) และกระบวนการทาง กายภาพ (physical conversion process) การเลือกใช้กระบวนการใดในการผลิตพลังงานจากขยะนั้นขึ้นกับ ปัจจัยหลาย ๆ อยา่ ง ๆ เช่น องค์ประกอบของเช้ือเพลิง การยอมรับของชุมชน การลงทุน และเทคโนโลยี เปน็ ต้น จากข้อมูลในปี พ.ศ. 2548 ปริมาณขยะชุมชนในประเทศไทย มีประมาณ 39,956 ตัน ซึ่งถ้านำขยะ ปริมาณดังกล่าวมาผลิตพลังงาน จะสามารถผลิตพลังงานได้เท่ากับ 27.7 ล้านเมกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี (สำนักงาน เลขาธิการวุฒิสภา, 2550 ) ดังจะเห็นได้ว่าประเทศไทยมีศักยภาพเบื้องต้นในการที่จะผลิตพลังงานจากขยะ ซ่ึง กระทรวงพลังงานได้กำหนดนโยบาย ในการที่จะสนับสนุนการใช้ขยะชุมชนเพื่อผลิตพลังงานที่สอดคล้องกับ ยุทธศาสตร์พลังงานของประเทศไทยโดยกำหนดเป้าหมายที่จะติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากขยะชุมชนให้ได้ประมาณ 100 เมกะวตั ต์ ภายใน พ.ศ. 2554 ผลกระทบตอ่ สงิ่ แวดล้อมจากการดำเนินกิจกรรมของโรงไฟฟ้าขยะ การดำเนินกิจกรรมของโรงไฟฟ้าขยะก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่สำคัญใน 3 ประการคือ มลพิษ ทางอากาศ มลพิษทางน้ำและกากของเสยี (การไฟฟ้าสว่ นภมู ิภาค, 2538) 1) มลพิษทางอากาศโรงไฟฟ้าขยะโดยทั่วไปจะก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศในเรื่องของกลิ่น ซึ่งทำให้เกิด ความรำคาญและกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชนใกล้เคียงสำหรับปัญหาเรื่องมลพิษทางอากาศที่เกิดจาก กระบวนการทางความรอ้ น เชน่ การเผาไหม้ และ การเกิดกา๊ ซเชือ้ เพลงิ ก่อใหเ้ กิดมลพิษทางอากาศท่ีสำคญั ๆ ไดแ้ ก่

161 ฝุ่นละออง ก๊าซชัลเฟอร์ไดออกไซด์ ก๊าซไนโตรเจน ไดออกไซด์และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ดังนั้นจึงควรมี การติดตั้งระบบ บำบัดอนุภาคฝุ่นที่นิยมใช้ เช่นแบบถุงกรอง (bag filter) แบบไฟฟ้าสถิต (electrostatic precipitator) หรือแบบเครื่องแยกแรงเหวี่ยง (centrifugal separator) ปัจจุบันประเทศไทยยังมิได้กำหนด มาตรฐานพิษทางอากาศจากไฟฟ้าขยะ แต่ทั้งนี้อาจใช้มาตรฐานมลพิษอากาศจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน และน้ำมันเป็น เกณฑ์ในการพจิ ารณา 2) มลพิษทางน้ำ โรงไฟฟ้าขยะก่อให้เกิดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำเสียซึ่งเกิดจากกองขยะ น้ำชะขยะที่เกิด จากก๊าซหลุมขยะ และน้ำเสียที่เกิดขึ้นจากโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนจากขยะ ในช่วงระหว่างการดำเนินการ ก่อสร้างและในช่วงการเดินเครือ่ งไฟฟ้าซึ่งมีผลกระทบต่อสงิ่ แวดล้อม 3) กากของเสีย กากาของเสียท่ีเกิดขึ้นจากไฟฟ้าขยะพลังความร้อนจากขยะจะเป็นเถ้าและฝุ่น ซึ่งจะเกิดข้ึน ในชว่ งการกอ่ สร้างและการเดนิ เครอ่ื งไฟฟ้า 2) การผลติ กระแสไฟฟ้าจากมลู สัตว์ กรมพฒั นาและส่งเสริมพลังงานไดด้ ำเนินการให้การสนับสนุนจัดสร้าง บ่อหมักก๊าซชีวภาพแบบรางขนาด 200 ลูกบาศก์เมตร ให้แก่ฟาร์มสุกรเอราวัณฟาร์ม อำเภอพนมสารคาม จังหวัด ฉะเชิงเทรา เพื่อนำมูลสุกรและน้ำเสียจากการชำระล้างทำความสะอาดคอก นำมาผ่านกระบวนการย่อยสลายโดย ไม่ใช่ออกซิเจน เกิดก๊าซชีวภาพแล้วนำก๊าซทีไ่ ด้มาผลิตกระแสไฟฟ้า ก๊าซชีวภาพที่ผลิตได้ประมาณ 80 ลูกบาศก์ เมตรต่อวัน โดยมีองค์ประกอบของก๊าซมีเทนประมาณร้อยละ 50-70 ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ ร้อยละ 30-40 และก๊าซอื่นๆ ประมาณร้อยละ 5 ระบบดังกล่าวผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 18 กิโลวัตต์ คิดเป็นกำลังไฟฟ้าที่ ผลิตได้ 100 กิโลวัตต์-ชว่ั โมงต่อวนั และทโ่ี รงสขี ้าวเลี้ยงหมู ท่ตี ำบลศรีบัวบาน อำเภอเมือง จงั หวัดลำพูน เล้ียง หมูประมาณ 150 ตัว ได้สร้างบ่อก๊าซขนาด 50 ลูกบาศก์เมตร แบบโดมใต้ดิน ก๊าซชีวภาพที่ผลิตได้สามารถ นำมาสีข้าวไดว้ นั ละ 5 ช่ัวโมง กากท่ีล้นออกมานำมาเปน็ ปยุ๋ เปน็ ต้น ผลกระทบต่อสิง่ แวดล้อมจากการใชพ้ ลังงานชีวมวล การใช้ชีวมวลเพื่อผลิตพลงั งาน ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้อาจอยู่ในรูปของเช้ือเพลิงแข็ง เชื้อเพลิงเหลว หรือก๊าซ ดังรายละเอียดของเทคโนโลยแี ละกระบวนการที่ได้กลา่ วมาแลว้ ข้างตน้ อาจมีผลกระทบตอ่ ส่งิ แวดลอ้ มในด้านต่าง ๆ สรปุ ได้ดงั น้ี 1. ผลกระทบต่อพื้นที่ป่าไม้ การผลิตพลังงานจากชีวมวลมีผลกระทบโดยรวมต่อระบบป่าไม้ในด้านต่าง ๆ เชน่ การปลกู พืชพลังงานมีผลกระทบต่อพ้ืนท่ีป่าไม้ ในด้านการใช้พ้ืนที่ให้เหมาะสมและเกิดผลกระทบต่อแร่ธาตุใน ดินทำให้ดนิ บรเิ วณนั้นเส่ือโทรม มผี ลกระทบตอ่ ระบบนิเวศวทิ ยาของปา่ และชีวิตสตั ว์ป่า 2. ผลกระทบต่อพื้นที่การเกษตร การผลิตพลังงานจากชีวมวลมีผลกระทบโดยรวมต่อพื้นที่การเกษตรใน ด้านต่าง ๆ เช่น ผลกระทบต่อพื้นที่การเกษตรในการปลูกพืชพลังงานจะทำให้พื้นที่ปลูกพืชผลทางการเกษตรลดลง และมีผลตอ่ อาหารและแรธ่ าตใุ นดิน 3. ผลกระทบเนอื่ งจากของเสยี จากมูลสัตว์ การผลิตกา๊ ซชีวภาพจากมูลสตั ว์ เมอ่ื กระบวนการเสร็จสิ้นแล้ว น้ำเสยี สว่ นหนึง่ จะถูกปล่อยลงไปในดินหรือแหล่งน้ำธรรมชาติทำใหเ้ กิดกลิน่ และมลพษิ ทางน้ำ ดงั น้ันก่อนการปล่อย นำ้ เสียจากขบวนการจำเป็นต้องปรับสภาพนำ้ เสยี ก่อน

162 4. แบบฝึกหัด/แบบทดสอบ ข้อสอบประจำหนว่ ยที่ 8 เร่อื ง เรื่อง พลงั งานทดแทน วิชา พลังงาน ทรพั ยากรและสิง่ แวดล้อม รหสั 20001-1002 ระดับ ปวช. คำชี้แจง: 1 ข้อสอบมีจำนวน 15 ข้อ x 4 เรอื่ ง =60 ข้อ 2. ให้นักเรยี น x ข้อท่ีถกู ต้องลงในกระดาษคำตอบ แบบทดสอบ พลังงานทดแทน (พลังงานจากนำ้ ) 1. ความหมายของพลงั งานทดแทนคือข้อใด 5.ขอ้ ใดไม่ใช่พลังงานทดแทน ก. พลงั งานสะอาดทใี่ ชแ้ ลว้ ไม่หมาดไป ใช้แทน ก. พลังงานชวี มวล พลังงานจากฟอสซลิ ข. พลงั งานจากคลื่น ข. พลังงานจากฟอสซลิ ที่ทับถมกนั เปน็ เวลานาน ค. พลังงานนิวเคลียร์ ค. พลังงานจากสารกัมมนั ตรังสี แร่นวิ เคลียร์ ง. ความรอ้ นใต้พภิ พ ง. พลังงานจำพวก หินนำ้ มัน ปิโตรเลียม 6. พลงั งานน้ำสว่ นใหญใ่ นปัจจบุ ันใชจ้ ากแหลง่ พลงั งานใด 2. สาเหตสุ ำคญั ขอ้ ใดทำใหป้ ระเทศไทยสนใจศึกษา ก. พลงั งานนำ้ ขึ้นนำ้ ลง พลังงานทดแทน ข. พลงั งานคล่นื จากมหาสมุทร ก. การใชน้ ำ้ มนั ทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ค. พลังงานจากกระแสน้ำในมหาสมุทร ข. นำ้ มันมรี าคาแพง ง. พลังงานนำ้ จากการสรา้ งเขอ่ื น ค. ต้องการพัฒนาเทคโนโลยี ง. ต้องการแข่งขันต้องประเทศ 7. พลงั งานนำ้ ชนดิ ใดที่ใช้ แอมโมเนยี เหลวในการ ควบแน่น จากไอมาเปน็ ของเหลวมาผลิตกระแสไฟฟา้ 3. ปจั จัยหลกั ทจี่ ะพจิ ารณาเลือกใช้พลงั งานทดแทนชนดิ ใด ก. การใชค้ วามแตกตา่ งของอุณหภูมริ ะหวา่ งน้ำท่ี นนั้ ขึน้ อยกู่ ับอะไร อบอุน่ และนำ้ ลึกที่เย็นกวา่ ก. ขนาดของการตดิ ตั้ง ข. การใชพ้ ลงั งานจากกระแสนำ้ ในมหาสมุทร ข. ราคาของพลงั งาน เคลือ่ นที่ ค. สิ่งอำนวยความสะดวก ค. การใชพ้ ลังงานคล่ืนในสมุทรโดยใช้ทุ่นลอย ง. สภาพแวดลอ้ มของแต่ละพนื้ ท่ี ง. การใช้พลงั งานน้ำข้นึ น้ำลง 4. สาเหตทุ พี่ ลงั งานทดแทนเริ่มมกี ารส่งเสรมิ ให้มีการผลิต คืออะไร ก. เปน็ พลงั งานสะอาด ไม่เป็นพษิ ต่อสิ่งแวดล้อม ข. ราคาถกู ค. ใชไ้ ด้ง่าย ง. หาไดโ้ ดยท่ัวไป

163 8. เพราะเหตใุ ดโรงงานไฟฟ้าพลงั งานนำ้ จึงมุกอยูใ่ กล้ 12. โรงไฟฟ้าชนดิ ใดทใี่ ช้ช่วงการเปล่ยี นระดับน้ำมาผลิต น้ำตกหรือเข่อื น กระแสไฟฟ้า ก. เพราะมปี ริมาณน้ำจำนวนมาก ก. โรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบด้ังเดิม ข. เพราะมผี คู้ นอาศยั อยู่มาก ข. โรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบน้ำขึน้ น้ำลง ค. เพราะต้องอาศยั แรงดันน้ำจากท่สี งู สทู่ ่ีตำ่ ค. โรงไฟฟา้ พลังน้ำแบบสูงกลบั ง. เพราะสามารถเคลอ่ื นยา้ ยวัสดุไดง้ ่าย ง. โรงไฟฟา้ พลงั น้ำในกระแสมหาสมทุ ร 9. การเปลีย่ นแปลงพลงั งานศักยโ์ น้มถ่วงใหเ้ ปน็ พลงั งานกล 13. การผลติ ไฟฟา้ พลังน้ำจากเขอื่ นกอ่ ให้เกิดผลกระทบต่อ คอื ข้อใด ส่ิงแวดลอ้ มอยา่ งไร ก. พลังงานนำ้ ก. มลพษิ ทางดนิ ข. พลังงานลม ข. มลพษิ ทางน้ำ ค. พลังงานแสงอาทิตย์ ค. ปา่ ไม้ถูกทำลาย ง. พลงั งานนิวเคลยี ร์ ง. มลพษิ ทางอากาศ 10. ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศแบบใดทีเ่ หมาะสมสำหรับการ 14. ข้อดีของโรงไฟฟา้ พลังงานนำ้ คอื ขอ้ ใด สรา้ งเขื่อน ก. โรงไฟฟา้ พลังงานนำ้ สามารถเดินเคร่ืองได้รวดเรว็ ก. ป่าชายเลน ตา่ งโรงไฟฟ้าพลังงานฟอสซิล ข. เทือกเขา ข. โรงไฟฟา้ พลังน้ำใช้ตน้ ทนุ การสร้างตำ่ ค. ทงุ่ นา ค. โรงไฟฟา้ พลงั นำ้ มีค่าบำรงุ รักษาต่ำ ง. ทรี่ าบลมุ่ แมน่ ำ้ ง. พลังงานนำ้ มีทุกฤดูกาล น้ำหน้าแล้วและหนา้ ฝน 11. โรงไฟฟ้าชนิดใดทนี่ ยิ มใชเ้ ดนิ เครื่องกำเนดิ ไฟฟ้าช่อง ในเขอื่ นทกุ ชนดิ ท่ีมีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดไดอ้ ย่างมปี ระสิทธภิ าพ 15. ขอ้ เสียของการสร้างโรงไฟฟา้ พลงั งานนำ้ เม่อื ก. โรงไฟฟา้ พลังน้ำแบบดั้งเดมิ เปรยี บเทียบกับโรงไฟฟ้าความรอ้ นคอื ขอ้ ใด ข. โรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบน้ำข้ึนน้ำลง ก. คา่ เช้อื เพลิงมากกว่า ค. โรงไฟฟ้าพลังนำ้ แบบสงู กลบั ข. อายุการใชง้ านสนั้ กว่า ง. โรงไฟฟ้าพลังน้ำในกระแสมหาสมทุ ร ค. คา่ ดำเนินการสูงกว่า ง. สง่ ผลกระทบตอ่ สัตวป์ า่ มากกว่า

164 แบบทดสอบ พลังงานทดแทน (พลังงานแสงอาทิตย์) 1. พลงั งานท่ีโลกไดร้ ับจากแสงอาทติ ย์ ได้แก่ พลงั งาน 5. ในกรณีการนำพลังงานแสงอาทติ ย์มาใช้ ในลักษณะ อะไรบ้าง เปล่ียนรปู เปน็ พลงั งานความรอ้ นโดยให้แสงอาทติ ย์ ก. พลังงานความร้อนและพลงั งานลม ส่องผ่านแผ่นรบั แสงมาตกกระทบยงั พ้ืนสีดำ ทำให้ ข. พลังงานความร้อนและแสงสวา่ ง ความรอ้ นเพิม่ ข้ึนเหนอื บรเิ วณนนั้ นยิ มนำมาใช้ ค. พลังงานลมและแสงสว่าง ประโยชนด์ า้ นใด ง. พลังงานนวิ เคลียร์และพลังงานไฟฟา้ ก. ผลติ กระแสไฟฟา้ 2. ข้อจำกดั การใชป้ ระโยชนข์ องพลังงานแสงอาทติ ย์ คือ ข. ใชใ้ นระบบสื่อสาร อะไร ค. ระบบสูบนำ้ ก. แสงอาทิตยจ์ ะมีเฉพาะเวลากลางวัน ง. อบแหง้ พชื ผลทางการเกษตร ข. แสงอาทติ ยม์ ีปริมาณน้อย 6. จุดประสงค์แรกของการผลิตไฟฟา้ โดยเซลล์ ค. แสงอาทิตย์มตี ลอด 24 ชั่วโมง แสงอาทิตย์ คืออะไร ง. แสงอาทติ ย์มคี วามรอ้ นน้อย ก. ใช้ในเหมืองแร่ 3. ปริมาณแสงอาทิตยจ์ ะมากทสี่ ุดเมอ่ื ตกกระทบพนื้ ท่ีเปน็ ข. ใช้ในโครงการอวกาศ มุมเท่าไร ค. ใช้ในบ้านพกั อาศัย ก. 90 องศา ง. ใชใ้ นโรงงานอุตสาหกรรม ข. 45 องศา 7. สารกง่ึ ตัวนำที่นิยมมาใช้เป็นอุปกรณ์สำหรบั การเปลี่ยน ค. 60 องศา พลังงานแสงให้เปน็ พลงั งานไฟฟา้ เนื่องจากมรี าคาถูก ง. 0 องศา ท่สี ดุ และมีมากท่ีสดุ คือสารตวั ใด 4. Solar Cell คืออะไร ก. แกลเลย่ี ม อาร์เซไนด์ ก. อปุ กรณแ์ ปลงพลังงานไฟฟา้ เปน็ พลังงาน ข. แคดเม่ียม แสงอาทิตย์ ค. แคลเซี่ยม ข. อปุ กรณ์แปลงพลงั งานแสงอาทติ ย์เป็นพลังงานลม ง. ซลิ คิ อน ค. อปุ กรณแ์ ปลงพลงั งานแสงอาทิตย์เป็นพลังงาน 8. ในพื้นทชี่ นบทที่ห่างไกล ถ้าจะผลติ กระแสไฟฟา้ ด้วย ไฟฟ้า แสงอาทติ ยค์ วรตดิ ต้ังด้วยชนิดใด ง. อปุ กรณแ์ ปลงพลังงานลมเป็นพลังงานไฟฟา้ ก. ชนิดตดิ ตง้ั อสิ ระ ข. ชนิดตอ่ เช่อื มระบบสายส่ง ค. แบบผสมผสาน ง. แบบเป็นสถานี

165 9. การผลิตไฟฟา้ ดว้ ยเซลล์แสงอาทติ ยช์ นดิ ต่อเชือ่ มระบบ 13. พน้ื ทใี่ ดในประเทศไทยท่ีได้รบั รังสีจากดวงอาทติ ย์ สายสง่ ระบบจะถกู ออกแบบมาอยา่ งไร สูงสดุ เฉล่ยี ทง้ั ปี ก. เปลย่ี นระบบไฟฟา้ กระแสสลบั ใหเ้ ปน็ กระแสตรง ก. ภายใต้ ข. เปลี่ยนระบบไฟฟ้ากระแสตรงให้เป็นกระแสสลับ ข. ภาคกลาง ค. เปลีย่ นประจุบวก ให้เป็นประจุลบ ค. ภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ ง. เปลี่ยนประจลุ บให้เปน็ ประจุบวก ง. ภาคเหนอื 10. ประเทศไทยมีการนำเซลล์แสงอาทิตย์ไปใช้ 14. ขอ้ ใดกลา่ วไม่ถกู ต้อง สำหรบั การใช้พลงั งาน ประโยชนใ์ นกิจกรรมใดมากทสี่ ุด แสงอาทติ ย์ ก. ระบบสูบน้ำ ก. ค่าบำรุงรักษาน้อยมาก ข. กลน่ั น้ำ ข. คา่ ใช้จา่ ยในการตดิ ตงั้ ถกู มาก ค. อบและตากผลิตทางการเกษตร ค. ผลติ ไฟฟ้าได้แม้แสงแดดออ่ นหรือมเี มฆ ง. ผลติ ไฟฟา้ ง. ไม่กอ่ ให้เกิดมลภาวะเป็นผลติ จากกระบวนการ 11. ประเทศไทยได้รับรังสีดวงอาทติ ยส์ งู สดุ ระหวา่ งเดือน ใด ผลิต ก. มกราคม - กุมภาพนั ธ์ 15. ขอ้ เสยี ของการใช้พลงั งานแสงอาทิตย์คือข้อใด ข. เมษายน – พฤษภาคม ค. กรกฎาคม – สิงหาคม ก. อาจเกดิ การรว่ั ในระหวา่ งประจแุ บตเตอร่ีได้ ง. ตุลาคม - พฤศจกิ ายน ข. ผลิตไดเ้ ฉพาะประเทศแถบเส้นศนู ย์สูตร 12. ในประเทศไทยระบบใดยัง ไมไ่ ดใ้ ชป้ ระโยชนจ์ าก ค. ประสิทธภิ าพไม่คงที่ ง. คา่ บำรุงรกั ษาแพง เซลลแ์ สงอาทิตย์ ก. ระบบผลติ ปิโตรเลียม ข. ระบบสือ่ สารโทรคมนาคม ค. ระบบประจุแบตเตอรี่ ง. ระบบสบู น้ำ

166 แบบทดสอบ พลังงานทดแทน (พลังงานลม) 1. พลังงานลมเกดิ ขึน้ ไดอ้ ย่างไร 6. ขอ้ ใดคือกังหนั ลมเพือ่ สบู น้ำ ก. เกดิ จากความแตกต่างของอณุ หภูมิ 2 บริเวณ ก. พลังงานน้ำ พลังงานไฟฟ้า ข. เกิดจากการเคล่อื นที่ของภูเขานำ้ แข็ง ข. พลงั งานไฟฟา้ พลงั งานความร้อน ค. เกดิ จากการเผาปา่ ค. พลงั งานกล พลังงานจลน์ ง. เกดิ จากการละลายของน้ำแข็งขวั้ โลก ง. พลงั งานจลน์ พลงั งานกล 2. ปัจจัยทไ่ี ม่มีผลต่อการเกดิ ลมคือข้อใด 7. ขอ้ ใดคือกงั หันลมเพื่อผลติ ไฟฟา้ ก. โลกหมนุ รอบตัวเอง ก. พลงั งานน้ำ พลังงานไฟฟ้า ข. ความดนั บรรยากาศ พลงั งานความร้อน ค. ความแตกต่างของอุณหภมู ิ ข. พลงั งานไฟฟา้ พลังงานความร้อน ง. ขนาดของกงั หันลม พลังงานไฟฟ้า 3. เหตใุ ดพลังงานลมจงึ ไมส่ ามารถนำมาใช้งานดา้ น ค. พลังงานกล พลังงานจลน์ พลังงานในประเทศไทยได้เตม็ ที่ พลังงานไฟฟ้า ก. ราคาแพง ง. พลังงานจลน์ พลงั งานกล ข. เทคโนโลยสี งู พลังงานไฟฟ้า ค. ผู้ชำนาญการน้อย 8. ประเทศใดใชพ้ ลังงานลมเป็นหลกั ในการผลิตพลงั งาน ง. สภาพลมนอ้ ยและไมแ่ น่นอน ไฟฟา้ 4. ลมประจำฤดขู องไทย เรียกว่าลมอะไร ก. ประเทศญ่ปี นุ่ ก. ลมบก ข. ประเทศแอฟริกา ข. ลมมรสุม ค. ประเทศไทย ค. ลมพายุ ง. ประเทศเนเธอรแ์ ลนด์ ง. ลมทะเล 9. กังหนั ลมชนดิ ใดมีแกนหมุนและใบพัดต้งั ฉากกับการ 5. ข้อใดกลา่ วผดิ เคล่ือนที่ของลมในแนวราบ ก. ลมบกเกดิ ข้นึ เวลากลางวัน ก. กงั หนั ลมในแกนนอน ข. ตามปกตแิ ลว้ ลมภเู ขาจะพดั แรงกว่าลมหบุ เขา ข. กังหันลมแกนตั้ง ค. ลมมรสมุ ตะวันตกเฉียงใต้คือลมมรสุมฤดูร้อน ค. กงั หันลมขนาดเลก็ ง. ลมทะเลพดั จากทะเลเขา้ สฝู่ ัง่ ง. กังหนั ลมขนาดใหญ่

167 10. บริเวณใดของประเทศไทยทเ่ี ป็นสถานที่ทดลองการ 13. กงั หันลมแบบใดในประเทศไทยทท่ี ำจากไม้รว่ มกับ ผลติ ไฟฟา้ จากกงั หนั ลม กังหนั ลมแบบเรอื ใบและใบพดั เพ่อื วดิ นำ้ เขา้ นาเกลอื ก. แหลมตะลุมพุก ข. แหลมสิงห์ ก. แบบระหัด ค. แหลมพรหมเทพ ข. แบบสูบชกั ง. แหลมแทน่ ค. แบบแกนต้งั ง. แบบสายส่ง 11. พลังงานลมในประเทศไทยนำมาใชใ้ นลกั ษณะใด 14. ข้อใดคือผลเสยี ของพลงั งานท่ใี ช้กังหันลม ก. สบู นำ้ ก. รบกวนต่อการบนิ และการนำสัญญาณ ข. ผลิตกระแสไฟฟา้ ข. ใช้พ้ืนทีจ่ ำนวนมาก พน้ื ที่ระหวา่ งติดตัง้ กังกนั ลม ค. ระบายอากาศจากหลงั คา ง. ถกู ทกุ ข้อ ไม่สามารถใช้งานได้ ค. เปน็ มลภาวะทางสายตา 12. การใชพ้ ลงั งานลมในปจั จุบันใช้ผสมผสานกับ ง. เปน็ สาเหตกุ ารตายของนกมากกวา่ สาเหตุอื่น พลังงานใด จึงผลติ กระแสไฟฟา้ ไดด้ ีข้นึ 15. กงั หันลมมีข้อดีคอื อะไร ก. แม้มสี ่ิงกดี ขวางกท็ ำงานได้ ก. พลังงานน้ำ ข. เสียงเงยี บ ไม่รบกวนผู้ท่ีอยู่ใกล้ ข. พลงั งานนิวเคลียร์ ค. ใชไ้ ด้ทุกท่ี ทุกแรงลม ค. พลังงานชีวภาพ ง. เป็นเทคโนโลยีปลอดมลพิษ ง. พลังงานแสงอาทติ ย์

168 แบบทดสอบ พลงั งานทดแทน (พลังงานชีวมวล) 1. คำว่าชวี มวล หมายถงึ อะไร 6. การเผาถ่านเป็นกระบวนการแปรรูปแบบใด ก. ส่ิงทเ่ี หลอื จากการผลติ ไฟฟ้า ก. ทางชวี วิทยา ข. สารทกุ ชนดิ ที่ได้จากสิ่งมีชีวิต ข. ทางชีวเคมี ค. สง่ิ ทไ่ี ด้จากภเู ขาไฟระเบดิ ค. ทางเคมคี วามร้อน ง. สารท่ีได้จากการเผาไหม้ในรถยนต์ ง. ทางเคมฟี สิ ิกส์ 2. คนในชนบทใชเ้ ชื้อเพลิงชนิดใดมากทส่ี ดุ 7. กระบวนยอ่ ยสลายด้วยความรอ้ นในการแปรรูปเป็น ก. ถา่ นหิน กา๊ ซชีวมวลตอ้ งใช้อณุ หภมู ิตั้งแต่เท่าใด ข. ชวี มวล ก. 150 องศาเซลเซียส ค. แกส๊ ข. 300 องศาเซลเซียส ง. นำ้ มนั กา๊ ด ค. 600 องศาเซลเซยี ส 3. ข้อใด ไมใ่ ช่ ชีวมวล ง. 1,000 องศาเซลเซียส ก. นำ้ 8. กระบวนการหมักเพื่อผลิตแอลกอฮอล์จากวตั ถุดบิ ข. แกลบ ประเภทแปง้ และนำ้ ตาลจะได้สารในข้อใด ค. มลู ววั ก. เอทานอล ง. ขยะ ข. เมทิลแอลกอฮอล์ 4. ของเหลอื จากอุสาหกรรมหรือโรงงานทำพลังงาน ค. ไบโอดเี ซล ชวี มวล คอื ข้อใด ง. ดเี ซลปาล์ม ก. อ้อย 9. ในกระบวนการย่อยสลายในที่ไม่มีอากาศองค์ประกอบ ข. เหงา้ มนั สำปะหลัง ไม่มีความจำเป็น ค. มูลหมู ก. ชวี มวล ง. กากน้ำตาล ข. จุลนิ ทรยี ์ 5. กระบวนการแปรรปู ชวี มวลเพื่อผลิตพลงั งานดว้ ยวิธี ค. ออกซิเจน ยอ่ ยสสารด้วยความร้อน จะได้กา๊ ซใดมาเป็นพลงั งาน ง. สภาวะแวดล้อมทเี่ หมาะสม ก. อเี ทน 10. ผลผลิตจากกระบวนการย่อยในท่ีไม่มีอากาศเรยี กวา่ ข. มีเทน อะไร ค. โพรเพน ก. กา๊ ซชวี ภาพ ง. บิวเทน ข. กา๊ ซโอโซน ค. กา๊ ซเรือนกระจก ง. ก๊าซคารบ์ อนมอนออกไซด์

169 11. วัตถดุ ิบที่เหมาะสมสำหรับการหมกั เพื่อผลติ 14. มลพษิ จากการดำเนินกิจกรรมของโรงไฟฟ้าขยะคือ แอลกอฮอลค์ ือข้อใด ข้อใด ก. ปาลม์ มะพร้าว ก. กา๊ ซโอโซน ข. ออ้ ย มนั สำปะหลัง ขา้ วโพด ข. กา๊ ซซลั เฟอร์ไดออกไซด์ ค. สบู่ดำ เมล็ดเรพ ค. กรดชลั ฟรู กิ ง. ฟา้ ทะลายโจร ลกู ใต้ใบ พั่วพวย ง. กรดเกลือ 12. การหมักชีวมวลชนดิ ใดให้ปรมิ าณเอทานอลสูงสดุ 15. ข้อใด ไม่ใช่ ผลกระทบจากการใช้พลงั งานชวี มวล ก. ข้าวโพด ก. กระทบต่อพื้นทปี่ า่ ไม้ ข. อ้อย ข. กระทบต่อแหลง่ น้ำธรรมชาติ ค. มนั สำปะหลงั ค. กระทบตอ่ แร่ธาตุในดนิ ง. มนั ฝรง่ั ง. กระทบตอ่ ประเทศผู้ค้านำ้ มนั 13. ขยะที่ไม่สามารถนำกลบั ไปแปรรูปใช้ใหม่ได้ ไดแ้ ก่ ขอ้ ใด ก. เหลก็ ข. แก้ว ค. โฟม ง. ชานออ้ ย .

170 ใบงาน ที่ ........ 8.1....... หนว่ ยที่ 8 หลกั สตู ร ประกาศนยี บตั รวิชาชีพ สอนครั้งท.่ี ..9 เวลา.........2 ชม. รหัส 20001-1002 พลังงาน ทรพั ยากรและสงิ่ แวดล้อม ช่ืองาน........ พลงั งานนำ้ 1. จุดประสงค์เชงิ พฤติกรรม หลังจากทำกจิ กรรมนี้เสรจ็ แล้ว . 1. อธบิ ายเง่ือนไขการผลิตกระแสไฟฟา้ จากพลังน้ำได้ 2. ตดั สนิ ใจใชพ้ ลงั งานทางเลอื กไดถ้ ูกต้องจากทรัพยากรธรรมชาติทีม่ ีเพือ่ สรา้ งชมุ ชนทย่ี ่ังยืน 2. สมรรถนะ สามารถใช้เหตผุ ลในการตัดสนิ ใจการสรา้ งหมู่บา้ น และใช้พลังงานนำ้ ได้ 3. เคร่อื งมือ วัสดุ และอปุ กรณ์ 1. แผนท่ีขนาด A4 (แสดงข้อมลู ตา่ ง ๆ เช่น ภเู ขา แหลง่ น้ำ ถนน ปา่ ไม้ เมือง ฯลฯ) 1. สเี มจกิ 2. ดนิ สอ 3. ยางลบ 4. แผน่ ใส 5. ปากกาเขียนแผ่นใส 4.คำแนะนำ ให้คำแนะนำเกี่ยวกับความจำเป็นในการใช้นำ้ ในหมู่บา้ น 5. ขอ้ ควรระวัง - ควรกระตุน้ ให้นักเรยี นทำงานเป็นกลุ่ม 6. ลำดับขน้ั การปฏิบตั งิ าน 1. แบง่ นกั เรียนเป็นกลุม่ ละ 5 คน เพอ่ื ระดมสมอง 2. รับแผนทขี่ นาด A4 จากครู 3. นักศกึ ษาแต่ละกลุม่ ออกแบบชมุ ชนยั่งยืน โดยคำนึงถึงการใช้พลังงานจากทรัพยากรทม่ี ใี นชมุ ชน และกำหนดส่งิ ปลูกสรา้ ง ไมเ่ กิน 30 หน่วย (Units) โดยคำนงึ ถงึ ความย่ังยนื (sustainability) ของ ชมุ ชน เม่อื ออกแบบเสร็จเรยี บร้อย จงึ วาดลงบนแผ่นใส (ใช้เวลาประมาณ 40 นาที) 4. นักศกึ ษานำเสนอผลงาน รวมทุกกลุ่มประมาณ 20 นาที 5. ครแู ละนักศึกษาร่วมกันสรุป

171 7. ผลการศึกษา 1. ประเมนิ จากรูปแบบการเลือกพ้นื ทีส่ ร้างท่ีพกั อาศัย 2. วธิ กี ารนำเสนอ 8. สรปุ และวิจารณผ์ ล ....................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... 9. การประเมินผล 1. สงั เกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล 2. ประเมนิ พฤติกรรมการเขา้ ร่วมกจิ กรรมกลุ่ม 3. สงั เกตพฤติกรรมการเขา้ ร่วมกิจกรรมกลุ่ม 4 ตรวจกิจกรรมสง่ เสรมิ คุณธรรมนำความรู้ 5. ตรวจแบบประเมนิ ผลการเรียนรู้ แบบฝกึ ปฏิบตั ิ 6. ตรวจกิจกรรมใบงาน 7. การสังเกตและประเมนิ พฤติกรรมดา้ นคุณธรรม จริยธรรม คา่ นิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 10. เอกสารอา้ งอิง /เอกสารค้นคว้าเพิม่ เตมิ หนังสือเรยี นวชิ า พลงั งาน ทรัพยากรและสิง่ แวดลอ้ มสำนกั พิมพเ์ อมพนั ธ์ รหัส 20001-1002 และ อนิ เทอร์เน็ต

172 ใบงาน ที่ ........ 8.2........ หนว่ ยท่ี 8 หลักสตู ร ประกาศนียบัตรวชิ าชพี สอนครัง้ ท.่ี ..10 เวลา.........2 ชม. รหสั 20001-1002 พลังงาน ทรัพยากรและสิง่ แวดล้อม ชื่องาน........ กังหันลม 1. จุดประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม หลังจากทำกจิ กรรมน้เี สรจ็ แล้ว . ผู้เรียนได้นำสงิ่ ท่ีศึกษาฝึกทักษะการพัฒนาพลงั งานมาใชใ้ นชีวิตประจำวนั ได้ 2. สมรรถนะ สามารถนำพลังงานแสงอาทติ ยไ์ ปใชจ้ รงิ ได้ 3. เคร่ืองมือ วสั ดุ และอปุ กรณ์ 1. เอกสารตำราเรยี นและอนิ เตอร์เน็ต 2. อุปกรณ์สำหรบั สร้างสง่ิ ประดิษฐ์ เชน่ คอ้ น ตะปู เศษไม้ เศษเหลก็ เศษวสั ดุตา่ ง ๆ แผน่ อลมู เิ นียม กระจก ฯลฯ 4.คำแนะนำ - 5. ขอ้ ควรระวัง - ควรกระตุน้ ให้นักเรียนทำงานเปน็ กลุ่ม 6. ลำดบั ข้นั การปฏบิ ตั ิงาน 11. แบ่งนักเรยี นเปน็ กลุม่ ละ 5 คน เพ่อื ระดมสมอง 12. ศึกษาขอ้ มลู เรอื่ งพลังงานแสงอาทติ ยแ์ ละการนำพลังงานแสงอาทติ ย์ไปใช้ประโยชน์ในชีวติ ประจำวนั จากเอกสาร ตำราเรียนและอินเตอรเ์ นต็ 13. ใหน้ กั เรยี นนำความรเู้ รื่องพลงั งานแสงอาทิตยท์ ี่ไดศ้ ึกษา มาประดษิ ฐ์ชนิ้ งานทีส่ ามารถใช้ประโยชน์ใน ชีวิตประจำวนั ได้ 1 ชนิด เชน่ เตาพลงั งานแสงอาทิตย์ เตาอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์ หม้อหงุ ข้าว พลังงานแสงอาทิตย์ เปน็ ตน้ 4. นกั ศกึ ษานำเสนอผลงาน 5. ครแู ละนกั ศึกษารว่ มกันสรุป 7. ผลการศึกษา 1. ประเมินจากนำความรู้เรื่องพลังงานแสงอาทิตย์ท่ีได้ศกึ ษา มาประดษิ ฐช์ ้นิ งานทีส่ ามารถใชป้ ระโยชนใ์ น ชวี ิตประจำวันได้ 2. วิธกี ารนำเสนอ 8. สรปุ และวจิ ารณผ์ ล ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................

173 9. การประเมนิ ผล 1. สงั เกตพฤติกรรมรายบุคคล 2. ประเมนิ พฤติกรรมการเข้ารว่ มกิจกรรมกลุม่ 3. สงั เกตพฤติกรรมการเขา้ รว่ มกิจกรรมกลมุ่ 4 ตรวจกจิ กรรมส่งเสรมิ คุณธรรมนำความรู้ 5. ตรวจแบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ แบบฝึกปฏิบตั ิ 6. ตรวจกจิ กรรมใบงาน 7. การสงั เกตและประเมินพฤติกรรมดา้ นคณุ ธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ 10. เอกสารอ้างอิง /เอกสารค้นคว้าเพมิ่ เติม หนงั สือเรยี นวิชา พลังงาน ทรัพยากรและสิง่ แวดลอ้ มสำนกั พิมพ์เอมพนั ธ์ รหัส 20001-1002 และ อนิ เทอรเ์ น็ต

174 ใบงาน ที่ ........ 8.3........ หน่วยท่ี 8 หลักสูตร ประกาศนยี บตั รวชิ าชพี สอนครัง้ ท.ี่ .. 11 เวลา........2 ชม. รหัส 20001-1002 พลงั งาน ทรัพยากรและส่ิงแวดล้อม ช่ืองาน........ กังหันลม 1. จุดประสงค์เชงิ พฤติกรรม หลังจากทำกิจกรรมนีเ้ สรจ็ แล้ว . ผ้เู รยี นมีความเขา้ ใจการทำงานและข้อดีขอ้ เสียของกังหันลมแต่ละชนดิ 2. สมรรถนะ 1. แยกแยะขนิดของกงั หนั ลม 2. บอกข้อดีข้อเสียของกงั หนั ลมแตล่ ะชนดิ ได้ 3. เครอ่ื งมือ วัสดุ และอุปกรณ์ 1. แผนท่ีขนาด A4 2. .สเี มจกิ 3. ดนิ สอ 4. ยางลบ 4.คำแนะนำ- 5. ข้อควรระวัง - ควรกระตุ้นให้นักเรียนทำงานเปน็ กลุ่ม 6. ลำดบั ขน้ั การปฏิบตั งิ าน 2. แบ่งนกั เรียนเปน็ กลุม่ ละ 5 คน เพือ่ ระดมสมอง 3. รบั แผนทีข่ นาด A4 จากครู 4. นกั ศกึ ษาแต่ละกล่มุ ค้นควา้ เรื่อง กังหันลมชนิดตา่ ง ๆ และบอกข้อดี ข้อเสยี ของกังหนั ลมแต่ละชนิดได้ 4. นกั ศึกษานำเสนอผลงาน รวมทุกกลุ่มประมาณ 20 นาที 5. ครูและนกั ศกึ ษาร่วมกนั สรุป 7. ผลการศึกษา 1. ประเมินจากรปู แบบของกังหนั ลม เน้อื หา และการทำงานร่วมกันพลงั งานอ่ืน ๆ ของกังหันลม 2. วธิ ีการนำเสนอ 8. สรปุ และวจิ ารณผ์ ล ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................

175 9. การประเมนิ ผล 1. สงั เกตพฤติกรรมรายบุคคล 2. ประเมนิ พฤติกรรมการเขา้ รว่ มกิจกรรมกลุม่ 3. สงั เกตพฤติกรรมการเขา้ รว่ มกิจกรรมกลมุ่ 4 ตรวจกจิ กรรมส่งเสรมิ คุณธรรมนำความรู้ 5. ตรวจแบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ แบบฝึกปฏิบตั ิ 6. ตรวจกจิ กรรมใบงาน 7. การสงั เกตและประเมินพฤติกรรมด้านคณุ ธรรม จริยธรรม คา่ นิยม และคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ 10. เอกสารอ้างอิง /เอกสารค้นคว้าเพมิ่ เติม หนงั สือเรยี นวิชา พลังงาน ทรัพยากรและสิง่ แวดลอ้ มสำนกั พิมพ์เอมพนั ธ์ รหัส 20001-1002 และ อนิ เทอรเ์ น็ต

แผนการจดั การเรียนรู้ 176 หลกั สตู ร ประกาศนยี บัตรวิชาชีพ หน่วยที่ 9 รหสั 20001-1002 พลงั งาน ทรัพยากรและส่ิงแวดล้อม สอนครัง้ ท่ี 12 (23-24) ชอ่ื หน่วยการเรยี นรู้ นโยบายพลงั งาน ท-ป-น 2-0-2 ทฤษฎี 2 ชม. 1. สาระสำคัญ นโยบายพลงั งานของประเทศไทยอยู่บนพื้นฐานของแนวคิดการพฒั นาทีย่ ั่งยนื (sustainable development) โดยการกำหนดนโยบายเป็นการพิจารณากระบวนการบรหิ ารจดั การเพ่ือพฒั นาระบบพลังงานของประเทศให้เกิด ความสมดุลระหว่างความต้องการใช้พลังงาน (Demand Side) กบั การจัดหาพลังงาน (Supply Side) ซง่ึ แนวทางใน การดาํ เนนิ นโยบายจะทําให้เกิดความม่นั คงดา้ นพลังงาน ลดการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศ เกดิ การอนรุ กั ษ์ พลังงาน และการใช้พลงั งานอย่างมปี ระสิทธิภาพ อันจะนำไปสู่การพฒั นาพลงั งานทยี่ ั่งยืนต่อไป 2. สมรรถนะประจำหนว่ ย 1.นักเรยี นสามารถบอกสถานการณ์พลังงานของประเทศไทยได้ 2.นกั เรยี นสามารถอธบิ ายนโยบายพลังงานของประเทศไทยได้ 3.นกั เรยี นสามารถวิเคราะหน์ โยบายประหยดั พลงั งานได้ 4.นกั เรียนสามารถตระหนักในความสำคัญของการอนรุ ักษ์พลงั งาน 5.นักเรียนสามารถเสนอแนวทางในการชว่ ยใหแ้ ผนอนรุ ักษ์พลังงานสัมฤทธิผลได้ 6.นักเรยี นสามารถวิเคราะห์แผนบูรณาการพลังงาน 21 ปี (พ.ศ. 2558-2579) ได้ 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1.บอกสถานการณ์พลงั งานของประเทศไทยได้ 2.อธบิ ายนโยบายพลังงานของประเทศไทยได้ 3.วิเคราะหน์ โยบายประหยัดพลังงานได้ 4.ตระหนกั ในความสำคญั ของการอนุรักษ์พลังงาน 5.เสนอแนวทางในการช่วยให้แผนอนรุ ักษ์พลังงานสัมฤทธผิ ลได้ 6.วิเคราะห์แผนบรู ณาการพลังงาน 21 ปี (พ.ศ. 2558-2579) ได้ 7. มีการพฒั นาคณุ ธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอนั พึงประสงคข์ องผู้สำเรจ็ การศกึ ษา สำนักงาน คณะกรรมการการอาชีวศกึ ษา ท่ีครสู ามารถสงั เกตได้ขณะทำการสอนในเร่ือง 7.1 ความมีมนุษยสมั พนั ธ์ 7.2 ความมีวนิ ัย 7.3 ความรับผดิ ชอบ 7.4 ความซอ่ื สัตย์สจุ ริต 7.5 ความเชื่อมน่ั ในตนเอง 7.6 การประหยัด 7.7 ความสนใจใฝ่รู้ 7.8 การละเวน้ ส่ิงเสพตดิ และการพนนั 7.9 ความรักสามัคคี 7.10 ความกตัญญูกตเวที 7.11 แตง่ กายตามข้อตกลง ตรงเวลา รกั ษาส่งิ แวดล้อม ใจอาสา

177 4. สาระการเรยี นรู้ 1.สถานการณ์พลังงานของประเทศไทย 2.นโยบายพลงั งานของประเทศไทย นโยบายพลังงาน 4.0 3.นโยบายประหยดั พลังงาน 4.แผนอนรุ ักษ์พลังงาน 20 ปี (พ.ศ. 2554-2573) 5.แผนบูรณาการพลงั งาน 21 ปี (พ.ศ. 2558-2579) 5. กจิ กรรมการเรยี นรู้ (สัปดาห์ที่...12........) ข้ันนำเข้าสู่บทเรียน 1.ครสู นทนากบั ผู้เรียนว่าประเทศไทยมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นลําดับท่สี องในภูมภิ าคเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ ความตอ้ งการพลังงานส่วนใหญ่รวมศูนย์อยู่ในพน้ื ทบ่ี รเิ วณกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ประเทศไทยยังเป็นฐาน การผลติ อตุ สาหกรรมหนักจำนวนมาก และมีนักท่องเทยี่ วจำนวนมากในหลายจังหวัดทวั่ ประเทศ ประเทศไทยเติบโต อย่างรวดเร็วและมีจาํ นวนชนชน้ั กลางเพิม่ ขนึ้ ด้วยเหตนุ ้ปี ระเทศไทยจงึ เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ซึ่งจะ ส่งผลต่อรูปแบบของการใช้พลงั งานของประเทศในอนาคต 2.ผู้เรียนยกตัวอย่างการจัดทำโครงการรณรงค์สง่ เสริมตา่ งๆ ทีเ่ กีย่ วกบั การประหยดั พลงั งาน ขน้ั สอน 3.ผู้เรยี นแบ่ง 4 กลุม่ เพ่ือศึกษานโยบายพลงั งาน ดังน้ี กลุ่มที่ 1 สถานการณ์พลงั งานของประเทศไทย กลมุ่ ที่ 2 นโยบายพลงั งานของประเทศไทย นโยบายพลังงาน 4.0 กลุ่มที่ 3 นโยบายประหยัดพลังงาน กลุ่มที่ 4 แผนอนุรกั ษ์พลงั งาน 20 ปี (พ.ศ. 2554-2573) กลุ่มท่ี 5 แผนบรู ณาการพลงั งาน 21 ปี (พ.ศ. 2558-2579) โดยจัดทำลงในกระดาษ คล้ายกระดาษวาดแบบเส้ือบางๆ สีขาว ขนาดใหญ่พอควร วาดภาพและ ระบายสใี ห้สวยงาม และให้ตวั แทนกลมุ่ ออกมานำเสนอหนา้ ชั้นเรยี น 4.ครแู ละผเู้ รียนใช้เทคนิคการสอนแบบ Discussion Method เป็นการจดั การเรยี นรู้แบบอภิปราย เกยี่ วกับนโยบายพลังงาน พร้อมสอื่ Power Point ประกอบ 5.ผู้เรียนแบ่งเป็นกลมุ่ ละ 5-6 คน ศกึ ษานโยบายพลังงาน แลว้ เลือกทำโครงการที่สนใจ ดังนี้ -กำหนดชื่อโครงการมา 1 โครงการ -รายละเอยี ดโครงการ -ข้อบกพรอ่ ง/ปญั หาของการจัดการพลงั งาน -แนวทางในการประหยัดพลังงาน -ข้ันตอนในการจดั ทำโครงการ 6.ครูใช้เทคนิควธิ กี ารจดั การเรยี นรู้แบบร่วมมอื (Cooperative Learning) หมายถึงกระบวนการ เรยี นรทู้ จี่ ัดให้ผเู้ รยี นได้ร่วมมือและชว่ ยเหลอื กนั ในการเรียนรโู้ ดยแบง่ กลุ่มผ้เู รียนทีม่ ีความสามารถต่างกันออกเปน็

178 กลมุ่ เลก็ ซ่งึ เป็นลักษณะการรวมกล่มุ อยา่ งมีโครงสร้างทช่ี ัดเจน มีการทำงานรว่ มกัน มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นมี การชว่ ยเหลอื พ่ึงพาอาศัยซึง่ กันและกนั มีความรบั ผิดชอบร่วมกนั ทั้งในสว่ นตนและส่วนรวมเพ่ือใหต้ นเองและสมาชิก ทุกคนในกลมุ่ ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายทีก่ ำหนดไว้ ดงั น้ี 1) แบง่ ผเู้ รียนเป็นกลุ่มๆ ละ 5-6 คน 2) สืบค้นข้อมูลในหัวข้อ 1.สถานการณ์พลังงานของประเทศไทย 2.นโยบายพลงั งานของประเทศไทย นโยบายพลงั งาน 4.0 3.นโยบายประหยดั พลังงาน 4.แผนอนรุ ักษ์พลังงาน 20 ปี (พ.ศ. 2554-2573) 5.แผนบรู ณาการพลงั งาน 21 ปี (พ.ศ. 2558-2579) 3) นำข้อมูลท่ีไดม้ าอภิปรายร่วมกัน นำเสนอและแลกเปลย่ี นเรียนรู้ 7.ครใู หค้ วามรู้เพมิ่ เติมในการทำบญั ชีรายรบั -รายจ่าย ซ่ึงเปน็ การจดบนั ทึกเหตกุ ารณต์ ่าง ๆ เกยี่ วกบั การเงนิ หรือบางส่วนเก่ียวข้องกับการเงิน โดยผ่านการวิเคราะห์ จัดประเภทและบันทึกไว้ในแบบฟอรม์ ท่ีกำหนด เพอื่ แสดงฐานะการเงนิ และผลการดำเนนิ งานของตนเองหรือครอบครัวในชว่ งระยะเวลาหนงึ่ เป็นวิธีช่วยตรวจสอบการใช้ จ่ายของครอบครวั ว่ามรี ายจ่ายสมดลุ กับรายรบั และใชจ้ า่ ยอยา่ งมีเหตุผลตามความจำเป็น พอเหมาะกบั สภาพ ครอบครวั หรือไม่ หากสามารถปรับเปลีย่ นพฤตกิ รรมการบริโภค เพ่ือลดรายจา่ ยท่ีไม่จำเป็นเกนิ ตนได้ จะช่วยให้มีเงิน เก็บออมเพอ่ื เป็นรากฐานสรา้ งภมู คิ มุ้ กันทดี ใี นชวี ิตได้ ข้นั สรุปและการประยกุ ต์ 8.ครใู ช้คำถามหรอื กำหนดปัญหาโดยให้ผู้เรียนระดมสมองชว่ ยกันคิดหาคำตอบแล้วอธิบายคำตอบใหเ้ พ่ือน ทุกคนในกลุ่มของตนเองเข้าใจ 9.ครแู ละผเู้ รยี นสรปุ เน้อื หานโยบายพลังงาน โดยการถามตอบ และทำกิจกรรม 10.ผู้เรยี นตอบคำถาม ทำกจิ กรรมใบงาน และทำแบบประเมนิ ผลการเรียนรู้ 6. สอื่ และแหล่งการเรยี นรู้ 1.หนังสอื เรียน วชิ าพลงั งาน ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ของสำนักพิมพ์เอมพนั ธ์ 2.ส่อื Power Point, วดี ที ัศน์ 3.กจิ กรรมการเรยี นการสอน 4.รปู ภาพประกอบ 5.แบบประเมนิ ผลการเรียนรู้ 7.หลักฐานการเรียนรู้ 1.บนั ทกึ การสอนของผูส้ อน 2.ใบเช็ครายช่ือ 3.แผนจัดการเรียนรู้ 4.การตรวจประเมนิ ผลงาน

179 8.การวัดและประเมินผล 8.1 วธิ ีการ 1. สงั เกตพฤติกรรมรายบคุ คล 2. ประเมนิ พฤติกรรมการเข้ารว่ มกจิ กรรมกลมุ่ 3. สงั เกตพฤติกรรมการเขา้ ร่วมกิจกรรมกลมุ่ 4 ตรวจกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมนำความรู้ 5. ตรวจแบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ แบบฝึกปฏิบตั ิ 6. ตรวจกจิ กรรมใบงาน 7. การสังเกตและประเมนิ พฤติกรรมด้านคุณธรรม จรยิ ธรรม ค่านยิ ม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 8.2 เคร่ืองมอื 1. แบบสังเกตพฤติกรรมรายบุคคล 2. แบบประเมินพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม (โดยครู) 3. แบบสงั เกตพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม (โดยผู้เรยี น) 4. แบบประเมนิ ผลการเรียนรู้ และแบบฝึกปฏิบตั ิ 5. แบบประเมนิ กิจกรรมใบงาน 6. แบบประเมินคุณธรรม จรยิ ธรรม คา่ นิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ โดยครแู ละผู้เรียนร่วมกนั ประเมิน 8.3 เกณฑ์ 1. เกณฑผ์ า่ นการสังเกตพฤติกรรมรายบุคคล ต้องไม่มีช่องปรับปรุง 2. เกณฑผ์ ่านการประเมินพฤติกรรมการเขา้ รว่ มกิจกรรมกลุ่ม คือ ปานกลาง (50 % ขนึ้ ไป) 3. เกณฑผ์ า่ นการสังเกตพฤตกิ รรมการเข้ารว่ มกิจกรรมกลุม่ คือ ปานกลาง (50% ขึน้ ไป) 4. แบบประเมินผลการเรียนรมู้ เี กณฑผ์ ่าน และแบบฝกึ ปฏิบัติ 50% 5. แบบประเมนิ กิจกรรมใบงานมีเกณฑผ์ ่าน 50% 6. แบบประเมินคุณธรรม จริยธรรม คา่ นยิ ม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ คะแนนข้นึ อยู่ กับการประเมินตามสภาพจริง

180 9.บนั ทกึ ผลหลงั การจดั การเรยี นรู้ 9.1 ข้อสรปุ หลงั การจัดการเรียนรู้ .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. 9.2 ปัญหาท่พี บ .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. 9.3 แนวทางแก้ปัญหา ............................................................................................................ ...................................... .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. ........................................................................................................................................... .......

ใบความรู้ที่ .....9 181 หลักสตู ร ประกาศนยี บตั รวชิ าชพี หน่วยท่ี 9 รหัส 20001-1002 พลงั งาน ทรัพยากร และส่งิ แวดลอ้ ม สอนครงั้ ที่ 12 ชอ่ื เรอ่ื ง เร่ือง นโยบายพลังงาน เวลา......2............ชม. 2. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. ผู้เรียนเข้าใจนโยบายพลงั งาน 2. ผูเ้ รยี นเขา้ ใจแผนยทุ ธศาสตรก์ ารอนรุ ักษ์พลังงานของประเทศไทย 2. สมรรถนะ 1.อธิบายนโยบายพลังงานในภาพรวมได้ 2.วเิ คราะหน์ โยบายและแผนพัฒนาพลังงานของประเทศทั้งระยะสนั้ และระยะยาวได้ 3.อธิบายนโยบายพลงั งานสำหรับการนำเขา้ พลงั งานได้ 4.เสนอแนวทางในการช่วยใหแ้ ผนยทุ ธศาสตร์การอนรุ ักษ์พลังงานของประเทศไทยสมั ฤทธ์ิ ผลได้ 5.ตระหนกั ในความสำคัญของการอนรุ ักษ์พลังงาน 3. เนื้อหาสาระ 1. หลกั การในการกำหนดนโยบายพลงั งาน การกำหนดนโยบายพลังงานของประเทศไทยเปน็ การกำหนดกรอบและแนวทางในการดำเนินงานดา้ น พลงั งานของประเทศ ซง่ึ การกำหนดนโยบายพลงั งานนัน้ อาศยั กรอบแนวคดิ ของการพัฒนาทยี่ ่ังยืนทจ่ี ะทำให้เกิด ความม่ันคงดา้ นพลงั งาน ลดการพึ่งพาพลงั งานจากตา่ งประเทศ เกดิ การอนรุ ักษ์พลงั งานและการใช้พลงั งานอย่างมี ประสิทธภิ าพ รวมท้ังเกิดความสมดลุ ต่อระบบเศรษฐกิจ สงั คม เกดิ การอนุรักษส์ ิง่ แวดล้อมด้วย โดยการกำหนด นโยบายพลังงานของประเทศไทย ได้คำนึงถึงหลักการดงั นี้ (1) การมีสว่ นรว่ มของภาครัฐและภาคประชาชนในการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการด้านพลังงาน โดยเป็นการทำงานในลักษณะบรู ณาการ (2) มีนโยบายและการกำกบั ดูแลทช่ี ดั เจน เชอื่ ถอื ได้ เพราะโครงการด้านพลงั งานเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ ต้องใชเ้ งนิ ลงทนุ สูง และใชร้ ะยะเวลาในการดำเนนิ งาน (3) นโยบายด้านพลังงานควรยดึ ม่ันในการแขง่ ขนั ของระบบการค้าเสรี ทใ่ี ห้ความเปน็ ธรรมกับทุกฝา่ ย (4) ทุกสว่ นทเี่ กย่ี วข้องไมว่ ่าจะเป็นผู้ผลิต ผูจ้ ำหน่าย และผู้ใช้ต้องร่วมกันรับผดิ ชอบผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อม ทางธรรมชาตแิ ละทางสงั คม (5) มีระบบข้อมูลสารสนเทศท่ีสมบรู ณ์ เพื่อใชป้ ระกอบการกำหนดนโยบาย

182 นโยบายดา้ นพลงั งาน การกำหนดนโยบายด้านพลังงาน ได้แก่ เป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน การตรวจสอบและ วิเคราะห์การอนุรักษ์พลังงาน วิธีปฏิบัติในการอนุรักษ์พลังงาน การกำหนดระดับการใช้พลังงานในเครื่องจักรและ อุปกรณ์ รวมทั้งการจัดตั้งกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อให้การอุดหนุนช่วยเหลือในการอนุรักษ์ พลงั งานเป็นต้น นโยบายว่าด้วยพลังงานของไทย สามารถสรุปได้ 4 ประการคือ 1. ตอ้ งจัดหาพลังงานใหพ้ อใช้ มีคุณภาพ มีความมนั่ คง และราคาไม่แพง และตอ้ งให้มกี ารกระจายแหลง่ และชนดิ ของพลังงานไดห้ ลากหลาย 2. ชกั จงู ใหป้ ระชาชนและโรงงานประหยัดพลงั งาน ถา้ จะใช้ก็ใหใ้ ช้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ และอาจมีมาตรการ บงั คบั ให้ประหยดั ด้วย โดยออกเปน็ กฎหมาย 3. ส่งเสริมใหบ้ ริษทั เอกชน มาร่วมผลติ พลังงานเพื่อลดภาระของรัฐ ทำให้เกิดการแข่งขนั มากขึ้น ผู้ซ้ือมี ทางเลือกมากขนึ้ ได้บริการที่ดขี ึน้ และราคาเปน็ ธรรม 4. ตอ้ งมผี ลกระทบต่อส่งิ แวดลอ้ มน้อย เชื้อเพลงิ ใดท่ีมมี ลพิษมาก ต้องมมี าตรการกำจัดออกให้ปลอดภัย ก่อนท่ีจะปลอ่ ยทิ้ง แนวทางการดำเนนิ งานแผนยุทธศาสตร์การอนรุ กั ษ์พลงั งานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวนั ท่ี 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2545 ในชว่ งปี พ.ศ. 2545-2554 ซึง่ มีสาระสำคัญ คอื 1. ด้านการอนรุ ักษ์พลังงาน ประกอบด้วยการอนุรกั ษพ์ ลงั งานในโรงงาน/อาคาร และที่อยอู่ าศัย มุ่งสง่ เสรมิ การฝกึ อบรมทักษะ และการใหค้ วามรเู้ รอ่ื งการอนุรักษพ์ ลงั งาน การพัฒนา 2. บุคลากรอนุรกั ษ์พลังงานในสาขาขนส่ง ม่งุ เนน้ การเพ่ิมประสิทธิภาพการจดั การจราจร และ การขนสง่ คน และสินคา้ ตามขั้นตอนการดำเนินงานตาม พ.ร.บ.การส่งเสริมการอนุรกั ษพ์ ลงั งาน พ.ศ. 2535 3. ด้านการใชพ้ ลังงานหมุนเวยี น มุ่งสนับสนนุ ให้ทุนการศึกษา ทุนวิจัย และทุนพัฒนา นักวิจัยใน แตล่ ะเทคโนโลยี และเรง่ สร้างเครือข่ายการทำงานรว่ มกันระหวา่ งหน่วยงานภาครฐั เอกชน นักวชิ าการ และผู้แทน ประชาชน และใหบ้ ริการข้อมูลในดา้ นพลงั งานหมนุ เวียน 4. ด้านการพฒั นาบคุ ลากร เพ่ือเพ่ิมจำนวน และคณุ ภาพของบคุ ลากรให้เพียงพอในการนำ เป้าหมายของแผนอนุรกั ษ์พลังงานไปสกู่ ารปฏิบตั ิ โดยมุ่งดำเนินการให้เกิดองค์ความรูด้ ้านการอนรุ ักษ์พลงั งาน และ การใช้พลงั งานหมนุ เวยี น 5. ด้านการประชาสัมพันธ์ ดำเนินการประชาสมั พนั ธใ์ ห้ประชาชนทว่ั ไปทราบถึงความสำคญั และ ผลกระทบของการใชพ้ ลงั งานอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพท่ีมีต่อเศรษฐศาสตร์ สังคมและสิ่งแวดลอ้ ม พรอ้ มท้งั เผยแพร่วิธีการประหยดั พลงั งานท่ีทำได้ง่ายในชีวติ ประจำวัน 2. นโยบายและแผนพัฒนาพลังงานของประเทศ ดว้ ยคณะกรรมการนโยบายพลังงานแหง่ ชาติ เมื่อวันท่ี 6 พฤศจกิ ายน 2549 และคณะรฐั มนตรีเมื่อวันท่ี 21 พฤศจิกายน 2549 ได้มมี ติเห็นชอบนโยบายและแผนพัฒนาพลังงานของประเทศ โดยมีสาระสำคญั ดังนี้

183 ระยะสน้ั เร่มิ ดำเนนิ การทันทภี ายในรฐั บาลพลเอกสรุ ยทุ ธ์ จุลานนท์ 1. ปรบั โครงสรา้ งการบรหิ ารกิจการพลงั งานใหเ้ หมาะสมเพอ่ื ให้การบรหิ ารจัดการพลงั งานของประเทศมี ประสิทธิภาพสูงสุด • ยกรา่ งและเร่งดำเนนิ การเพื่อให้มพี ระราชบญั ญตั ิประกอบกจิ การพลงั งาน เพื่อแยกงานนโยบาย และการกำกบั ดูแลออกจากกันใหม้ คี วามชัดเจน โดยให้การกำกบั ดูแลกิจการพลงั งานครอบคลมุ ถึง กจิ การไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติ และมกี ารจัดตง้ั องค์กรอิสระกำกบั ดูแล • เสนอการแกไ้ ขพระราชกฤษฎีกา กำหนดอำนาจ สทิ ธิและประโยชนข์ อง บรษิ ัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พ.ศ. 2544 เพื่อโอนอำนาจรัฐใหม้ าอยภู่ ายใต้การกำกับดูแลของรฐั • เรง่ ผลกั ดัน ปรับปรุง แก้ไข กฎหมายดา้ นพลังงานอ่ืนๆ เช่น พ.ร.บ. ปิโตรเลยี ม พ.ศ. 2515 และ พ.ร.บ. เพอื่ ส่งเสรมิ การอนุรกั ษพ์ ลงั งาน พ.ศ. 2535 เปน็ ต้น ทั้งน้ี เพือ่ แกป้ ัญหาและอุปสรรค ตลอดจนทำให้เกิดความคลอ่ งตัวในการดำเนินการด้านพลังงาน 2. การจัดหาพลังงาน เพ่ือให้พลงั งานมีความเพียงพอและม่ันคง • เรง่ รัดและสง่ เสริมการสำรวจและพัฒนาแหล่งเชอื้ เพลงิ พลังงาน o ส่งเสริมการสำรวจพฒั นาแหล่งเชอ้ื เพลิงปิโตรเลียมทง้ั ในประเทศและเขตพ้นื ท่ที ับซ้อนกับ ประเทศเพ่ือนบ้าน ▪ เรง่ จดั หากา๊ ซธรรมชาตใิ นอ่าวไทยเพิม่ เตมิ จากแหลง่ ยูโนแคล แหล่งอาทติ ย์ แหล่งบงกช แหล่งไพลนิ และแหลง่ กา๊ ซในเขตพ้ืนทพ่ี ฒั นาร่วมไทย-มาเลเซีย (JDA) ▪ พัฒนาโครงขา่ ยทอ่ กา๊ ซธรรมชาติกับประเทศเพือ่ นบ้าน ได้แก่ สหภาพพมา่ แหล่ง M7/M9 และ A1 และประเทศอนิ โดนีเซยี แหลง่ นาทนู ่า และหรอื LNG จาก ต่างประเทศ ▪ เรง่ รดั การเจรจาตกลงเกยี่ วกับการพัฒนาทรัพยากรปโิ ตรเลยี มในเขตไหล่ทวปี ทบั ซอ้ นไทย - กมั พูชา o สง่ เสรมิ บทบาทของ ปตท.สผ. ในการสำรวจพฒั นาแหลง่ ปิโตรเลียมทง้ั ในประเทศและ ต่างประเทศ • ปรบั ปรงุ แผนพฒั นากำลงั การผลติ ไฟฟ้าของประเทศ o ปรบั ค่าพยากรณ์ไฟฟา้ ให้เหมาะสมและสอดคลอ้ งกบั ภาวะเศรษฐกิจ เพื่อให้การลงทุนด้าน กิจการไฟฟ้าเปน็ ไปอยา่ งเหมาะสมและเพียงพอต่อความต้องการใช้ o ส่งเสริมบทบาทของภาคเอกชนใหม้ ีสว่ นรว่ มในการผลิตไฟฟ้าเพิ่มข้นึ โดยเร่งรดั การออก ประกาศเชญิ ชวนการรบั ซ้อื ไฟฟา้ จากผผู้ ลิตไฟฟา้ รายใหญ่ (IPP)

184 o กระจายแหล่งและชนดิ เชอื้ เพลิงท่ีใชใ้ นการผลติ ไฟฟ้า รวมถึงการรับซ้ือไฟฟ้าจากประเทศ เพือ่ นบา้ น เพ่ือความมนั่ คงด้านพลงั งาน เสถียรภาพของราคาโดยคำนึงถึงต้นทุนการผลิต ผลกระทบสิง่ แวดล้อม และประโยชนต์ ่อผ้บู ริโภค 3. สง่ เสริมใหม้ ีการใช้พลงั งานอย่างประหยดั และมีประสิทธภิ าพ • กำหนดเปา้ หมายและเร่งดำเนินการอนุรักษ์พลงั งานทง้ั ภาครฐั เอกชน และประชาชน เพ่ือให้ เกดิ ผลในทางปฏิบตั ิอย่างจริงจังและต่อเน่อื ง และปลกู ฝังให้เกดิ การใช้พลังงานอยา่ งรู้คุณคา่ เชน่ การเลอื กซื้ออปุ กรณท์ ่ีติดฉลากแสดงประสิทธภิ าพการใช้พลงั งาน เปน็ ตน้ • จัดตง้ั องคก์ รหลักในการผลักดันและการบริหารจัดการดา้ นการใชพ้ ลงั งาน (National Demand Side Management Office) เพื่อให้การดำเนินการสง่ เสริมการประหยัดพลงั งานเปน็ ไปอย่าง คลอ่ งตัว มีประสิทธภิ าพ มีความต่อเนื่อง • เร่งดำเนนิ การกำหนดมาตรฐานการประหยัดพลงั งานของอุปกรณ์ เคร่ืองจักร และเคร่ืองยนตท์ ่ีใช้ พลงั งาน รวมทงั้ ดำเนนิ การติดฉลากอุปกรณ์ที่ได้กำหนดมาตรฐานไวแ้ ลว้ • ส่งเสรมิ การใชร้ ะบบขนสง่ มวลชนใหม้ ากขึ้น โดยจดั เตรยี มพืน้ ที่จอดรถในลักษณะ Park & Ride และอำนวยความสะดวก โดยเตรยี ม Feeder ให้บรกิ ารเดนิ ทางเข้าสู่เมือง • สนับสนนุ ใหม้ กี ารรับซ้ือไฟฟ้าจากผผู้ ลิตไฟฟ้าด้วยระบบผลิตไฟฟ้า และความร้อนรว่ มกัน (Cogeneration) ซ่ึงเปน็ ระบบการผลิตไฟฟา้ ทม่ี ีประสทิ ธิภาพ โดยผ่านระเบยี บการรบั ซื้อไฟฟา้ จาก ผู้ผลติ ไฟฟา้ ขนาดเล็ก (SPP) และระเบียบการรบั ซ้ือไฟฟ้าจากผ้ผู ลติ ไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) ใน ปรมิ าณท่ีเหมาะสม • รเิ รม่ิ มาตรการประหยดั พลงั งานในภาคขนส่ง ไดแ้ ก่ การพัฒนาระบบขนสง่ มวลชน ระบบ Logistics และการพัฒนายานยนตป์ ระหยดั พลงั งาน เปน็ ต้น 4. ส่งเสริมพลังงานทดแทนที่เหมาะสมกับประเทศ เพอ่ื กระจายชนดิ เช้อื เพลงิ และลดการพึง่ พาการนำเข้าพลงั งาน • สง่ เสริมการใช้กา๊ ซธรรมชาติ (NGV) กา๊ ซโซฮอล์ (Gasohol) และไบโอดเี ซล (Biodiesel) ทดแทน น้ำมันเชือ้ เพลงิ ในภาคขนส่ง ตามความเหมาะสมกับศักยภาพด้านการพฒั นาพลังงานทดแทนของ ประเทศ • สนบั สนุนใหม้ กี ารรบั ซ้ือไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวยี น เช่น วสั ดุเหลอื ใชจ้ ากการเกษตร ของเสียจาก อุตสาหกรรม กา๊ ซชีวภาพ ขยะ ลม พลังงานแสงอาทติ ย์ ในสดั สว่ นและราคาที่เหมาะสม โดย เร่ง ออกประกาศขยายปรมิ าณการรับซอ้ื ไฟฟ้าจากผผู้ ลติ ขนาดเลก็ มาก (VSPP) และการกำหนดราคา รบั ซอ้ื ไฟฟ้าส่วนเพิม่ จากราคาตามระเบยี บ • จดั ต้ังองคก์ ารมหาชนเพ่ือดำเนนิ การสง่ เสรมิ การใช้พลงั งานหมนุ เวียนในชุมชนใหเ้ กดิ ขน้ึ อยา่ ง จริงจงั และย่ังยืน เน่ืองจากการดำเนนิ การจะเป็นไปอย่างคลอ่ งตัวและมีประสิทธภิ าพ • สนบั สนนุ การศึกษาวจิ ยั และพัฒนาพลงั งานทดแทนเชิงนโยบาย เพ่ือหาแนวทางท่เี หมาะสม ในการ พฒั นาพลงั งานทดแทนของประเทศ

185 • เผยแพรใ่ ห้ความรู้เพ่ือใหป้ ระชาชนรู้จักและมนั่ ใจการเลือกใช้เชื้อเพลงิ อนื่ เชน่ NGV ก๊าซโซฮอล์ และไบโอดเี ซล รวมทง้ั ประชาสมั พันธ์เพ่ือสร้างความรู้ ความเขา้ ใจเก่ียวกบั ความจำเป็นในการ สง่ เสริม และพัฒนาพลังงานทางเลือกอน่ื ๆ เช่น ถา่ นหิน และอ่นื ๆ 5. กำหนดโครงสรา้ งราคาพลงั งาน เพ่ือให้การกำหนดราคาพลงั งานโปร่งใส เปน็ ธรรม และสะท้อนตน้ ทุนที่แทจ้ ริง • กำกบั ดูแลให้การกำหนดราคาน้ำมันเชอ้ื เพลงิ เปน็ ไปตามกลไกตลาดท่ีเสรี โปร่งใส และเป็นธรรม • เรง่ ดำเนินการเพอ่ื ลดภาระหน้ีสินกองทุนน้ำมันเชอ้ื เพลิงและวางกรอบแนวทางการใชง้ บประมาณ ของกองทนุ น้ำมันเชื้อเพลงิ ในอนาคต • ปรบั โครงสร้างราคาและการชดเชยก๊าซหงุ ต้ม (LPG) เพ่ือให้ราคาสะท้อนตน้ ทุน และลดการ บิดเบือนของการใชก้ า๊ ซหุงตม้ ท่ีไมเ่ หมาะสม • ปรบั วิธีการคำนวณค่า Ft ใหม้ คี วามเหมาะสมและเปน็ ธรรมยิง่ ขน้ึ โดยให้มีการส่งผ่านต้นทุนคา่ เชอ้ื เพลิง และคา่ ซ้ือไฟฟา้ ภายใต้การดำเนนิ งานทมี่ ปี ระสิทธิภาพ • กำกบั ดูแลอตั ราค่าตอบแทนในการจดั หา ค่าผา่ นท่อ และการจำหนา่ ยก๊าซธรรมชาติ ให้มีความ ชดั เจน โปรง่ ใส และเป็นธรรมต่อผู้บรโิ ภค • ติดตามและกำกับดูแลราคาพลงั งานทดแทน (NGV, Gasohol, Biodisel) ใหส้ ะทอ้ นต้นทุนและเป็น ธรรมแก่ผู้บริโภค 6. กำหนดมาตรการดา้ นพลังงานสะอาด เพื่อลดผลกระทบส่ิงแวดล้อมท่ีเกดิ ขน้ึ จากการประกอบกจิ การพลังงานใน รปู แบบตา่ งๆ • กำหนดมาตรฐานคุณภาพน้ำมนั สำเรจ็ รูปใหส้ ูงขึน้ อย่างเหมาะสม เพอ่ื ให้สอดคล้องกบั การจัดการ ดา้ นสง่ิ แวดล้อมของประเทศ • ให้ความสำคญั ในการลดผลกระทบดา้ นส่ิงแวดลอ้ มจากการพฒั นาธรุ กจิ พลงั งาน โดยให้ ผูผ้ ลติ ผู้ จำหนา่ ย และผู้ใช้ร่วมรับผิดชอบคา่ ใช้จ่ายในการป้องกนั และแก้ไขปัญหาส่งิ แวดล้อม • ปฏบิ ัตติ ามพนั ธกรณีด้านส่ิงแวดลอ้ มทีใ่ ห้สตั ยาบันไว้กบั มติ รประเทศ • รว่ มมือกับนานาประเทศในการดำเนนิ การด้านส่ิงแวดล้อมที่เกี่ยวขอ้ งกบั การประกอบกจิ การ พลังงาน เพื่อให้เกิดการพฒั นาพลังงานอย่างย่งั ยืน • เร่งผลกั ดันกลไกการพัฒนาท่ีสะอาด (CDM) เพ่ือส่งเสริมใหเ้ กิดการใช้พลังงานอย่างมี ประสทิ ธภิ าพ และชว่ ยให้มีการใช้พลังงานหมุนเวียนเพม่ิ ขึ้น 7. สง่ เสริมให้ภาคเอกชนและประชาชนมสี ว่ นร่วมในการกำหนดนโยบาย เพื่อความเข้าใจและรว่ มมือกันพัฒนา พลงั งานของประเทศ • สง่ เสรมิ การมีสว่ นร่วมในการกำหนดนโยบายและมาตรการด้านพลงั งาน เพอ่ื ให้การพัฒนาพลังงาน เป็นการพฒั นาอยา่ งยั่งยืน

186 • ส่งเสรมิ การมสี ่วนรว่ มในการพฒั นาพลังงานชุมชน เชน่ การผลิตไฟฟ้าและไบโอดีเซลชุมชน อันเปน็ การสอดคล้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจแบบพอเพียง ระยะยาว : เร่ิมดำเนนิ การศึกษา วิจยั เพ่อื วางรากฐานการบรหิ ารจดั การพลังงานแบบยั่งยนื และ สอดคล้องตามหลักปรัชญา เศรษฐกิจพอเพยี ง โดยจะดำเนินการในเร่อื งตา่ งๆ ดงั น้ี 8. จดั หาพลังงาน • กำหนดมาตรการที่ก่อให้เกดิ การพฒั นาและจัดหาพลงั งานของประเทศทีท่ ำให้เกิดความม่ันคง มีใช้ อยา่ งพอเพียงและทวั่ ถึง และลดการนำเขา้ พลงั งานจากตา่ งประเทศ • สนับสนุนส่งเสรมิ การใช้พลงั งานทดแทน และศึกษาวิจยั พัฒนาพลังงานทางเลอื กอ่นื ๆ 9. พัฒนาพลังงานแบบย่ังยืน • ใหค้ วามสำคัญในการนำเทคโนโลยสี มยั ใหม่มาใช้ในการพัฒนาพลงั งาน ควบคู่ไปกบั ลดผลกระทบ ด้านสิง่ แวดล้อมจากการพฒั นาธุรกจิ พลงั งาน • ปฏิบัติตามพนั ธกรณดี า้ นส่ิงแวดลอ้ มทใ่ี หส้ ัตยาบันไว้กบั มติ รประเทศ • ใหผ้ ู้ผลติ ผูจ้ ำหน่าย และผ้ใู ชเ้ ข้ามามสี ว่ นรว่ มในการรับผดิ ชอบผลกระทบด้านส่งิ แวดลอ้ ม • ใหป้ ระชาชนมสี ่วนรว่ มในการบรหิ ารจดั การพลงั งาน 10 ใชพ้ ลงั งานอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ • สนบั สนุนหนว่ ยงานอน่ื ในการพัฒนาโครงการทส่ี ่งผลในการลดใช้พลงั งาน โดยเฉพาะนำ้ มัน ได้แก่ การพฒั นาระบบขนสง่ มวลชน ระบบ Logistics การพัฒนายานยนต์ประหยดั พลงั งาน เป็นต้น 11. สง่ เสริมการแขง่ ขนั ในธรุ กิจพลงั งาน ส่งเสรมิ การแขง่ ขนั ในธุรกจิ พลงั งานเพื่อให้เกิดประสทิ ธิภาพและความเป็นธรรม โดยมีระบบ กำกับดแู ลการประกอบกิจการที่มปี ระสทิ ธิภาพและสร้างความเปน็ ธรรมให้แก่ผ้บู รโิ ภค 3. นโยบายพลงั งานสำหรบั การนำเข้าพลังงาน ความมั่นคงด้านพลงั งาน หรอื Energy Security ไดก้ ลายมาเป็น สัญญาณเตอื น สำหรบั ผู้ กำหนด นโยบายพลังงาน ของแต่ละประเทศ โดยเฉพาะประเทศผู้นำเข้าพลังงาน อาจกล่าวได้ว่า นับตั้งแต่เกิด วกิ ฤตการณ์น้ำมันเม่ือปี พ.ศ. 2516 หลายๆ ประเทศได้ให้ความสำคญั กบั แนวคิดเรื่อง ความม่ันคงด้านพลังงาน เพิ่ม มากขึ้นเร่อื ยๆ อยา่ งไรก็ตาม สำหรับบางประเทศถือว่า เปน็ ประเด็นปัญหาในชว่ งส้นั ๆ ท่เี กิดวิกฤตเท่านั้น แต่สำหรับ

187 บางประเทศ กลายเป็นปัญหา ในการจัดการพลังงาน ให้เป็นไปอย่างยั่งยืน ความหมายของความมั่นคง ทางด้าน พลังงาน จงึ แตกตา่ งกนั ออกไป ในปจั จบุ ันไมใ่ ชป่ ระเทศ ผู้นำเขา้ พลงั งาน เพียงฝ่ายเดยี ว ที่จะตอ้ งคำนงึ ถึง การจัดหา พลังงาน เพื่อความมั่นคงเท่านั้น แม้แต่ประเทศผู้ส่งออกพลังงาน หลายๆ ประเทศก็เริ่มห่วงใยถึงอนาคตว่า สักวัน หนึ่งประเทศของตน อาจกลายเป็นประเทศผู้นำเข้าพลังงานก็ได้ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องมีความร่วมมือ ทั้งจาก ภาครัฐบาลและเอกชน ในระดับประเทศ รวมไปถึงความร่วมมือ ระหว่างประเทศ ในระดับภูมิภาค เพื่อช่วยเหลือ และเสริมสร้างความมน่ั คง ดา้ นพลงั งานซง่ึ กันและกนั ประเทศไทยประสบปัญหาวิกฤตการณ์น้ำมันในปี พ.ศ. 2516 เช่นเดียวกันประเทศนำเข้าพลังงานอื่นๆ วิกฤตการณ์ในครั้งนั้นได้ก่อให้เกิดภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศ รัฐบาลจึงได้ออกพระราชกำหนด แก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 ขึ้น โดยให้อำนาจนายกรัฐมนตรีในการกำหนด มาตรการเกี่ยวกับการแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งในช่วงนั้นได้มีการกำหนดมาตรการ อย่างเข้มงวดเพื่อลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงลง เช่น การกำหนดเวลาปิด-เปิดโรงงาน โรงภาพยนตร์ สถานบันเทิง สถานบริการตา่ งๆ เปน็ ตน้ จนกระทง่ั สถานการณก์ ลับคนื สสู่ ภาวะปกติ ในช่วงปี พ.ศ. 2523 – 2527 เป็นช่วงที่ประเทศไทยพึ่งพาการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศใน สัดส่วนท่ี สูงถึงร้อยละ 90 ของความต้องการพลังงานทัง้ หมดของประเทศ ดว้ ยเหตนุ ้รี ฐั บาลจึงเรง่ รัดให้มีการสำรวจและพัฒนา แหล่งพลงั งานในประเทศข้ึนมาใช้ประโยชน์ แต่เน่ืองจากประเทศไทยมีแหล่งสำรองพลังงานไมม่ ากนกั จึงยงั ต้องพึ่งพา พลังงานจากต่างประเทศ อย่างไรกต็ าม ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคม แห่งชาตฉิ บับที่ 6 พ.ศ. 2529 – 2533 รัฐได้กำหนดเป้าหมายในการลดสัดส่วนการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศลง ให้เหลือเพียงร้อยละ 65.5 ในปี พ.ศ. 2539 ในขณะเดียวกันก็ได้กำหนดมาตรการให้มีการใช้พลังงานอย่างประหยดั มีประสิทธภิ าพ และสอดคล้องกับการ รักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ต่อมาเมื่อเกิดวิกฤตการณ์น้ำมันในกลางปี พ.ศ. 2533 ทำให้รัฐต้องเร่งดำเนินมาตรการ ประหยดั พลงั งานอย่างจริงจัง และไดม้ กี ารยกรา่ งกฎหมายเก่ียวกบั การอนรุ กั ษ์พลงั งานข้นึ ตลอดระยะเวลาที่ผา่ นมา งานด้านพลังงานกระจดั กระจายอยูใ่ นหน่วยงานต่างๆ หลายแห่ง อีกทั้งกฎหมาย ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั พลงั งานมีหลายฉบับ จึงทำให้การบรหิ ารพลังงานของรัฐขาดเอกภาพ ดังนั้น เพอื่ ให้การบรหิ ารงานด้าน พลังงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2529 ให้มีการจัดตั้ง คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติขึ้น โดยใช้ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายการบริหารงาน พลงั งานแห่งชาติ พ.ศ. 2529 เพอื่ กำหนดนโยบายและมาตรการต่างๆ ทางด้านพลังงาน การ บรหิ ารงานด้านพลังงาน ของประเทศจึงดำเนินการในรูปของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ซึ่งต่อมา ได้มีการตราพระราชบัญญัติ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พ.ศ. 2535 และได้มีการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงาน แหง่ ชาติข้ึน เปน็ สำนกั เลขานกุ ารของคณะกรรมการนโยบายพลงั งานแห่งชาติ หลังจากที่มีการประกาศใช้พระราชบญั ญัติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในเดือนกุมภาพนั ธ์ 2535 ก็ได้มกี ารประกาศใชพ้ ระราชบัญญัติการสง่ เสรมิ การอนรุ กั ษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 เม่ือเดือนเมษายน 2535 โดย มีวตั ถุประสงค์เพ่ือส่งเสรมิ ให้เกิดวนิ ยั ในการอนุรักษ์พลงั งาน และใหม้ ีการดำเนินการลงทุนในการอนรุ ักษพ์ ลงั งานใน โรงงานและอาคาร โดยใช้มาตรการบังคบั ใหป้ ฏบิ ตั ติ ามบทบัญญัตขิ องกฎหมาย ในขณะเดียวกนั กม็ ีมาตรการจูงใจ

188 โดยกำหนดใหม้ ีการจัดตง้ั กองทนุ เพ่ือส่งเสริมการอนรุ ักษพ์ ลังงาน เพื่อให้การสนับสนนุ ทางการเงินใน ลักษณะของเงนิ ทนุ หมนุ เวียน เงนิ ช่วยเหลือ หรือ เงินอุดหนุนสำหรบั การดำเนินการอนุรักษ์พลังงานของสว่ นราชการ รฐั วิสาหกจิ และภาคเอกชน ตลอดจนเป็นเงนิ ช่วยเหลอื เงินอุดหนุนแกส่ ่วนราชการและรัฐวสิ าหกิจ หรือองค์กร เอกชน และสถาบนั การศึกษา การวจิ ยั การสาธติ การฝกึ อบรม และเรือ่ งอื่นๆ ที่เกย่ี วข้องกบั การอนุรกั ษ์พลงั งาน การ แกไ้ ขปญั หาส่งิ แวดล้อม และการกำหนดนโยบายและการวางแผนพลงั งาน ในปี พ.ศ. 2540 เศรษฐกจิ ไทยต้องเผชญิ กับปัญหาถงึ ขั้นวกิ ฤต ส่งผลใหเ้ ศรษฐกิจชะลอตัวลงอยา่ งมาก มีผล ใหค้ วามตอ้ งการพลังงานเชิงพาณิชย์เพิ่มขนึ้ เพียงร้อยละ 4.9 ภาวะวิกฤตเศรษฐกจิ ไดต้ ่อเนอ่ื งมาจนถึงปี พ.ศ. 2541 สง่ ผลใหค้ วามต้องการพลงั งานเชิงพาณชิ ย์ลดลงถึงร้อยละ 7.3 และสัดสว่ นการพง่ึ พาพลงั งานจากตา่ งประเทศลดลง เหลือร้อยละ 57.1 ในปี พ.ศ. 2541 ภาวะเศรษฐกจิ ของไทยเร่ิมส่งสัญญาณฟน้ื ตัวต้ังแต่ ไตรมาสทสี่ องของปี พ.ศ. 2542 สง่ ผลใหค้ วามต้องการพลงั งานเชงิ พาณชิ ย์ของประเทศเริ่มปรบั ตวั สูงขนึ้ อย่างไรกต็ าม ในปเี ดียวกนั นัน้ ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ราคาน้ำมนั ท่เี พ่มิ สูงข้นึ อย่างมาก อันเปน็ ผลมาจากความร่วมมือในการ ลดปรมิ าณการผลิตของกลุม่ โอเปค ในขณะที่ความต้องการใชน้ ำ้ มันในตลาดโลก ไดป้ รบั ตัวสูงขึ้น รฐั จงึ มนี โยบายให้มี การปรบั เปลย่ี นการใชน้ ำ้ มันมาเป็นก๊าซธรรมชาติมากขน้ึ และ เร่งรัดการดำเนนิ การตามมาตรการอนุรกั ษ์พลังงาน ให้ เปน็ รปู ธรรมมากขึ้น เนื่องจากประเทศไทยอยู่ในสถานะ เปน็ ประเทศผู้นำเข้าพลงั งาน ดงั นน้ั ความมั่นคงด้านพลังงาน (Energy Security) จงึ เปน็ พนื้ ฐานท่ีสำคัญต่อนโยบายเศรษฐกิจของประเทศ การเกิดวกิ ฤตการณ์น้ำมนั และวิกฤตการณร์ าคา นำ้ มนั เป็นบทเรียนท่สี ำคญั ที่ประเทศไทยต้องให้ความสำคัญต่อการพฒั นาพลังงานของประเทศ ให้เปน็ ไปอย่างยัง่ ยืน มาตรการในการอนุรกั ษ์พลงั งานและการใช้พลงั งานอย่างมีประสทิ ธิภาพ รวมทั้งการปรับเปลย่ี นพลังงานโดยลดการ ใช้นำ้ มนั ลง และเปลย่ี นมาใช้ก๊าซธรรมชาตแิ ละพลงั งานหมุนเวียนให้มากขึ้น จะมสี ่วนชว่ ยเสรมิ การแก้ไขปญั หาการ พฒั นาพลงั งานของประเทศ ให้เปน็ ไปอยา่ งย่ังยืนได้มาก อย่างไรก็ตาม การพ่งึ พาพลังงานต้องให้ความสำคญั กบั การ กระจายชนิดและแหลง่ ของพลังงาน เพราะการพึง่ พาพลงั งานชนิดเดยี วมากเกินไปจะก่อใหเ้ กิดความเส่ียง โดยเฉพาะ เชอ้ื เพลงิ ท่ีใชใ้ นการผลิตไฟฟา้ ถ่านหนิ เปน็ ทางเลอื กเช้ือเพลิงอกี ชนิดหนงึ่ ที่มีปรมิ าณสำรองมาก มคี วามม่นั คง ราคา ต่ำและมีเสถียรภาพมากกว่าน้ำมนั และก๊าซธรรมชาติ แม้วา่ ถา่ นหินจะเปน็ เช้ือเพลงิ ทสี่ ะอาดน้อยกวา่ ก๊าซธรรมชาติ แตม่ เี ทคโนโลยสี ะอาด (Clean Coal Technology) ที่ไดร้ บั การพัฒนาอยา่ ง ต่อเนื่องและมีประสทิ ธภิ าพสูง สามารถ แก้ไขปัญหามลพษิ ได้ในระดบั ท่ีนา่ พอใจ ถ่านหนิ จึงควรเป็นทางเลือกทส่ี ำคัญในอนาคต ส่วนปัญหาสงิ่ แวดล้อมท่ีเกดิ จากการผลิตและการใช้พลังงาน จะยง่ิ มีความสำคัญมากข้ึนในอนาคต ทง้ั ใน ระดับโลกและในระดบั ประเทศ ประเด็นสง่ิ แวดล้อมในระดับโลก หลายๆ ประเทศจะให้ความสำคญั กับการลดปัญหา กา๊ ซเรอื นกระจกมากข้ึน สว่ นปญั หาในประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งสร้างความรคู้ วามเข้าใจ ให้กบั ประชาชนมากขึน้ ใน ประเดน็ การพฒั นาโครงสรา้ งพืน้ ฐานด้านพลังงาน และการเลอื กใช้ถา่ นหินเปน็ เชือ้ เพลงิ ในการผลติ ไฟฟา้ รวมทั้งให้ ประชาชนเข้ามามสี ่วนร่วมรบั รู้นโยบายพลังงานตง้ั แต่เรม่ิ แรกกอ่ นทจ่ี ะมกี ารตัดสินใจโดยรฐั บาล

189 4. แนวทางในการชว่ ยใหแ้ ผนยุทธศาสตรก์ ารอนรุ กั ษ์พลงั งานของประเทศไทยสมั ฤทธผิ ล แนวนโยบายการพัฒนาพลงั งานในอนาคต จึงเนน้ นโยบายหลกั ๆ 4 ประการ ซึง่ สอดคลอ้ งกับ สถานการณ์พลงั งานของโลกและแนวนโยบายพลังงานของประเทศนำเขา้ พลงั งานอ่นื ๆ ดังน้ีคือ 1. นโยบายความมัน่ คงดา้ นพลังงาน เน้นการจัดหาพลังงานให้เพียงพอกบั ความต้องการของประเทศ โดย สง่ เสริมให้มีการสำรวจและพัฒนาแหลง่ พลังงานภายในประเทศ และแสวงหาแหล่งพลังงานจากภายนอกประเทศเพอื่ พัฒนาขึน้ มาใช้ประโยชน์ โดยมีหลักการดังน้ี • ต้องมีแหลง่ สำรองพลงั งานท่ีมีปรมิ าณเพียงพอ และแนน่ อน เพอ่ื ความมนั่ คงในการจัดหา • ตอ้ งมีการกระจายแหล่งของพลังงานและชนดิ ของพลงั งานเพอ่ื ลดความเส่ยี ง โดยหลกี เลี่ยงการพึ่งพาจาก แหลง่ เดียวหรือชนดิ เดียว • ตอ้ งมรี าคาท่เี หมาะสม เพ่ือให้ตน้ ทนุ การผลิตตำ่ • ตอ้ งเปน็ พลงั งานท่ีสะอาด ก่อให้เกิดมลพิษน้อย หรอื อาจจะเป็นพลงั งานท่ีไมส่ ะอาด แตม่ ีเทคโนโลยีท่ี ควบคุมมลพษิ ได้ • ตอ้ งใช้ทรัพยากรพลังงานภายในประเทศ ท่ีมีอยอู่ ย่างจำกัด ให้เกิดประโยชนส์ ูงสุด เหมาะสมกบั คณุ คา่ ของ ทรพั ยากร 2. นโยบายด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน ให้ความสำคัญกับการดำเนินการอนุรักษ์ พลังงานให้บังเกิดผลเป็นรูปธรรมเพื่อส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ ซึ่งนอกจากจะ ช่วยลดต้นทุนทางด้านเชื้อเพลิงในกิจกรรมการผลิตแล้วยังช่วยลดการลงทุนในการจัดหาพลังงานอีกด้วย โดยใช้ มาตรการจูงใจผ่านกลไกของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ควบคู่กับมาตรการบังคับผ่านกลไกของ กฎหมาย และการใช้กลไกตลาดเพื่อให้ราคาสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ซึ่งจะช่วยให้มีการใช้พลังงานอย่างมี ประสิทธิภาพ นอกจากนี้ จะต้องมกี ารส่งเสรมิ และกำหนดเปา้ หมายให้มีการใช้พลังงานหมุนเวยี นเพ่ิมขึ้นอย่างชัดเจน และขยายขอบเขตให้กว้างขวางขึ้น ซึ่งได้แก่ แสงแดด ก๊าซชีวภาพ และเศษวัสดุเหลือใชก้ ารเกษตร เป็นต้น เพื่อให้มี การใช้ประโยชนจ์ ากพลังงานในประเทศใหเ้ ป็นไปอย่างยัง่ ยนื 3. นโยบายราคาและการปฏริ ปู ตลาดพลังงาน เป็นการสง่ เสริมให้มีการแข่งขันและเพิ่มบทบาทของ ภาคเอกชนในกิจการพลังงาน ทง้ั ด้านไฟฟ้าและกา๊ ซธรรมชาติ โดยเฉพาะการดำเนินการปรับโครงสร้าง และแปรรูป กิจการพลงั งาน ต้องดำเนินการอย่างต่อเนอ่ื ง ใหเ้ ปน็ ไปตามกรอบของแผนแมบ่ ทการปฏิรูปรฐั วสิ าหกิจสาขาพลังงาน ซึ่งไดร้ ับความเห็นชอบจากคณะรฐั มนตรเี ม่ือวันที่ 1 กันยายน 2541 โดยในอนาคตจะมีการเปิดให้บุคคลทส่ี าม สามารถใชร้ ะบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติได้ และจะมีการจัดตัง้ ตลาดกลางซ้ือขายไฟฟา้ เพื่อใหก้ ิจการพลังงานมี ประสทิ ธิภาพมากขึน้ สง่ ผลให้ผ้บู ริโภคมที างเลอื กทจ่ี ะไดร้ ับบรกิ ารทีด่ ี มคี ุณภาพ และมรี าคาท่ี เปน็ ธรรม รวมทงั้ ยัง ชว่ ยลดภาระการลงทุนของภาครฐั ลง

190 4. นโยบายด้านส่ิงแวดล้อมพลังงาน ใหค้ วามสำคญั กบั การป้องกันและแก้ไขปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อม ท่ี เกิดจากการผลิตและใช้พลังงาน โดยส่งเสริมให้มีการใช้เชือ้ เพลิงที่มีผลกระทบต่อสภาวะแวดลอ้ มน้อย และส่งเสริม ให้มกี ารควบคมุ มลพษิ โดยใช้เทคโนโลยคี วบคมุ มลพิษ ทมี่ ปี ระสิทธิภาพ และอยภู่ ายใตม้ าตรฐานที่ เหมาะสม รวมทงั้ มกี ารกำหนดมาตรการตา่ งๆ เพอื่ ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แนวนโยบายดังกล่าวข้างต้นเป็นแนวนโยบายหลักๆ โดยในส่วนของการกำหนดมาตรการหรือกลยุทธ์ จะมี การปรับเปลย่ี นเป็นระยะ เพ่อื ใหส้ อดคล้องกับสถานการณ์ทเ่ี ปลยี่ นแปลงไป นอกจากนี้ ประเทศไทยก็เป็นสมาชิกใน กลุ่มเอเปค (APEC) และกลุ่มอาเซียน (ASEAN) แนวนโยบายหลัก ๆ ด้านพลังงาน ก็จะสอดคล้องไป ในทิศทาง เดียวกันกับประเทศสมาชิก และเนื่องจากประเทศนำเข้าพลังงาน มักจะได้รับผลกระทบจากวกิ ฤตการณ์ น้ำมันและ ราคานำ้ มนั ดังน้ัน ความมนั่ คงดา้ นพลังงาน (Energy Security) จึงเปน็ ประเดน็ สำคญั เป็นอันดับแรกและในการท่ีจะ ลดความเสี่ยงลง หลายๆ ประเทศจะพยายามพึ่งพาตนเองให้มากที่สุด แต่เนื่องจากประเทศไทยมีแหล่งสำรอง พลังงานน้อยมาก ดังนั้น วิธีการที่ดีที่สุดก็คือ การใช้พลังงานให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดที่สุด ใน ขณะเดียวกันการพึ่งพาพลังงานจากภายนอกประเทศ ก็จำเป็นต้องให้มีการกระจาย ทั้งชนิดและแหล่งของพลังงาน เพื่อให้มคี วามเส่ยี งน้อยทีส่ ดุ ตาราง เปรียบเทียบอตั ราการใช้พลังงานตอ่ จำนวนประชากรในปี พ.ศ. 2538 ประเทศ ความตอ้ งการใชพ้ ลังงาน จำนวนประชากร อัตราการใช้พลงั งาน (ลา้ นตนั ) (ลา้ นคน) (ตนั /คน) สหรฐั อเมรกิ า 2,105 263 8.00 ญี่ปุ่น 488 126 3.87 ไทย 48 59 0.83 ฟิลปิ ปินส์ 23 69 0.33 สวติ เซอร์แลนด์* 21 7 3.00 * ใช้ข้อมลู ปี พ.ศ. 2539 ทมี่ า : http://www.eppo.go.th/doc/gov-policy-2549/energy-policy-2549.html จากนโยบายพลังงานของประเทศนำเข้าพลงั งานทใ่ี ชเ้ ปน็ ตวั อย่างขา้ งตน้ จะเหน็ ได้วา่ ความม่ันคงด้าน พลังงาน (Energy Security) เป็นประเด็นนโยบายท่มี คี วามสำคัญเปน็ อยา่ งยง่ิ เพราะการทป่ี ระเทศต้อง พ่ึงพาผอู้ ื่น ย่อมมีความเสีย่ งต่อการเกิดภาวะขาดแคลนพลงั งานได้เสมอ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ เมอ่ื เกิดวิกฤตการณ์พลงั งานอย่างเชน่ ในอดตี ทผี่ า่ นมา ดงั น้นั ทุกประเทศจึงใหค้ วามสำคัญกบั การดำเนนิ การอนุรักษ์พลงั งาน อยา่ งจรงิ จังเพ่ือใหม้ กี ารใช้ พลงั งานอย่างประหยัดและมีประสทิ ธิภาพ และหากประเทศใดพอมแี หล่งพลังงานสำรองในประเทศอยบู่ ้าง ก็จะ เรง่ รัดให้มกี ารสำรวจ และพัฒนา ขนึ้ มาใช้ประโยชน์ เพ่อื ให้มีการพ่ึงพาทรัพยากรภายในประเทศ ให้มากที่สดุ รวมทั้ง มกี ารส่งเสรมิ การวจิ ยั และพฒั นา พลงั งานหมุนเวียน ข้ึนมาใชป้ ระโยชน์ เพอื่ ชว่ ยให้ต้นทนุ การผลิต สามารถแข่งขนั กับ พลงั งานจากฟอสซลิ ไดใ้ นอนาคต ในขณะเดียวกัน การพ่ึงพาพลังงาน กเ็ น้นการกระจายชนดิ และแหลง่ ของพลังงาน เพื่อลดความเส่ียงลง

191 แนวความคดิ เร่ืองความม่ันคงด้านพลังงานในปัจจบุ นั นอกจากจะเก่ียวขอ้ งกับความเจริญเติบโต ทาง เศรษฐกจิ ของประเทศแล้วยงั เกี่ยวข้องกับการจัดการความเสียหายทางด้านสิ่งแวดล้อมควบคูก่ ันไปด้วย เนื่องจากการ พัฒนาและใช้ประโยชนจ์ ากพลงั งานโดยคำนึงถงึ การรกั ษาสภาพแวดลอ้ มย่อมจะส่งผลให้การพัฒนาเปน็ ไปอยา่ ง ย่ังยนื โดยเฉพาะประเทศอตุ สาหกรรมซึง่ มีพนั ธกรณีตามพธิ สี ารเกยี วโต ทจ่ี ะต้องจำกดั หรอื ลดปริมาณการปลอ่ ยกา๊ ซ คาร์บอนไดออกไซด์ ใหเ้ ป็นไปตามเป้าหมาย และถึงแม้สหรัฐอเมรกิ าจะไมย่ นิ ยอมปฏิบตั ิตามพนั ธกรณีก็ตาม แต่ แนวโน้มของการใช้พลังงานจะมุ่งไปส่เู ช้อื เพลิงทีส่ ะอาด หรอื การใช้เทคโนโลยีทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพในการเผาไหม้ท่ดี ีข้นึ ในประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สวิตเซอรแ์ ลนด์ สหรัฐอเมรกิ า และญป่ี ุ่น จึงพึง่ พาโรงไฟฟา้ นิวเคลยี ร์เปน็ หลักในการผลติ ไฟฟา้ เน่ืองจากเป็นโรงไฟฟ้าท่ีปลอดมลสารที่เกิดจากการเผาไหม้ อย่างไรกต็ าม ประเทศท่ใี ช้โรงไฟฟา้ นิวเคลยี รก์ ็ จำเป็นต้องให้ความสำคัญกบั การกำจัดกากนวิ เคลียรแ์ ละการป้องกนั อนั ตราย ทอี่ าจจะเกดิ ข้นึ จากโรงไฟฟ้านวิ เคลียร์ ให้มากข้นึ นอกจากการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้านิวเคลยี รแ์ ลว้ ประเทศสว่ นใหญซ่ ึ่งรวมถึงประเทศไทยมแี นวโน้มทจ่ี ะ พง่ึ พากา๊ ซธรรมชาตเิ ปน็ เชื้อเพลงิ ในการผลติ ไฟฟ้ามากข้ึนดว้ ย เพอื่ ลดผลกระทบทเ่ี กดิ จากวิกฤตการณน์ ้ำมันและ วกิ ฤตการณ์ราคานำ้ มนั ท่ีมีแนวโน้มเพิ่มสงู ขน้ึ อยา่ งไรก็ตาม ราคากา๊ ซธรรมชาติก็ยังคงต้ององิ กบั ราคา เช้อื เพลิงที่ แขง่ ขนั กนั ได้ ในประเทศที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลงิ หลกั ในการผลิตไฟฟา้ กา๊ ซธรรมชาติก็จะต้องแข่งขนั กบั ถา่ นหิน ซง่ึ ถ่านหินจะมเี สถยี รภาพทางด้านราคา ดงั น้นั ต้นทุนเช้ือเพลงิ ก็จะมคี วามผนั ผวนนอ้ ยลง ส่วนประเทศไทยใชก้ ๊าซ ธรรมชาติเป็นเช้ือเพลิงหลกั ในการผลิตไฟฟา้ และยงั ไม่มีโรงไฟฟา้ ท่ีใชถ้ ่านหนิ เป็นเชื้อเพลิง (ยกเว้นโรงไฟฟา้ แมเ่ มาะ) ราคากา๊ ซธรรมชาตจิ งึ ต้องแข่งขันกับน้ำมนั เตา ดังนั้น เม่ือราคาน้ำมันสงู ขน้ึ ก็จะมผี ลใหร้ าคาก๊าซธรรมชาตสิ ูงตามไป ด้วย การกระจายชนดิ และแหลง่ ของเช้ือเพลิงให้มคี วามหลากหลายมากข้นึ จะช่วยลดความผันผวน ของต้นทนุ เช้อื เพลิงลงได้ รวมทงั้ ยังชว่ ยลดความเสี่ยง ในกรณที ี่ไม่สามารถพ่ึงพาเช้ือเพลิง ชนดิ ใดชนิดหน่ึงหรอื จากแหลง่ ใด แหลง่ หนงึ่ ได้ นอกจากน้ี แนวโนม้ ระบบเศรษฐกจิ โลกมีการเปดิ เสรมี ากขนึ้ เพอ่ื ใหม้ กี ารขยายตลาดการคา้ และบริการ ออกไปทวั่ โลก จึงส่งผลใหม้ ีการรวมกลุ่มทางเศรษฐกจิ ในระดบั ภมู ิภาคและอนภุ ูมภิ าคเพ่ิมข้นึ เรื่อยๆ เพื่อร่วมมือกนั พัฒนาขดี ความสามารถในการแขง่ ขันในตลาดโลก เชน่ กลุ่มเอเปค กลุ่มอาเซียน กลุ่มประชาคมยุโรป เปน็ ต้น การเปิด เสรีตลาดพลงั งานก็เป็นส่วนหนง่ึ ของการขยายตลาดการคา้ และบรกิ าร ในขณะเดียวกันก็เปน็ ส่วนหนง่ึ ในการ เสริมสรา้ งความมั่นคงดา้ นพลังงานของกลุ่มองคก์ รท่ีมีความรว่ มมือกัน ดงั นน้ั แนวโน้มการเปดิ เสรตี ลาดพลงั งานจึง เป็นไปในทิศทางเดียวกันเปน็ ส่วนใหญ่ โดยสรปุ แล้ว นโยบายพลงั งานของประเทศนำเข้าพลงั งาน จะมีความสอดคล้อง และเป็นไปในทิศทาง เดียวกัน นั่นกค็ ือ การให้ความสำคญั กบั ความมั่นคงด้านพลังงาน การอนุรักษ์พลงั งานและการใช้พลงั งานอย่างมี ประสิทธภิ าพ การสง่ เสรมิ การแข่งขนั และการปกปอ้ งดูแลทางดา้ นส่งิ แวดล้อม

192 4. แบบฝึกหดั /แบบทดสอบ ข้อสอบประจำหน่วยท่ี 9 เรอ่ื ง เร่ือง นโยบายพลงั งาน วชิ า พลังงาน ทรพั ยากรและส่งิ แวดล้อม รหัส 20001-1002 ระดับ ปวช. คำช้ีแจง: 1 ขอ้ สอบมีจำนวน 10 ข้อ 2. ใหน้ กั เรยี น x ข้อท่ีถูกต้องลงในกระดาษคำตอบ แบบทดสอบ นโยบายพลงั งาน 1. หลกั การกำหนดนโยบายพลงั งาน ผทู้ ่ตี อ้ งรบั ผิดชอบ 4. การทำแผนประหยัดและเพม่ิ ประสทิ ธิภาพการใช้ ผลกระทบต่อสง่ิ แวดลอ้ มทางธรรมชาตแิ ละทางสงั คม พลังงาน ตามแผนยทุ ธศาสตร์การอนรุ กั ษพ์ ลังงาน คอื ใคร (พ.ศ.2545-2554) มุ่งเน้นดา้ นใดเปน็ หลัก ก. ผผู้ ลิต และผจู้ ำหนา่ ย ก. ด้านการเกษตร ข. ผู้จำหนา่ ย และผู้ใช้ ข. ด้านการขนส่ง ค. ผ้ใู ช้ ผูผ้ ลิตและผจู้ ำหน่าย ค. ดา้ นท่ีพักอาศยั ง. ผผู้ ลิตเทา่ น้ัน ง. ดา้ นพลังงานทดแทน 2. ข้อใดกล่าว ผิด เกยี่ วกับหลกั การกำหนดนโยบาย 5. ในปี 2549 มีนโยบายและแผนพัฒนาพลงั งานของ พลงั งาน ประเทศ ไดพ้ ฒั นาโครงข่ายท่อกา๊ ซธรรมชาตกิ ับ ก. เปน็ ระบบผูกขาด ของรัฐไม่ใหม้ ีการแข่งขัน ประเทศใด ข. มีการกำกับดูแลทีช่ ัดเจน และเช่อื ถือได้ ก. ลาว ข. กมั พูชา ค. ทั้งภาครฐั และภาคเอกชนตอ้ งมสี ่วนรว่ ม ค. สหภาพพม่า ง. อนิ เดยี ง. มีระบบสารสนเทศ 6. การเรง่ รดั การเจรจาเก่ียวกับการพัฒนาทรพั ยากร 3. ขอ้ ใด ไมใ่ ช่ นโยบายพลังงานไทย ปิโตรเลยี มทที่ บั ซ้อนกบั ประเทศใด ก. ส่งเสรมิ ให้ประชาชนมสี ว่ นร่วมพฒั นาพลังงาน ก. ลาว ข. กมั พูชา ข. พัฒนากฎหมายท่ีเกีย่ วข้องกบั กจิ การพลงั งาน ค. สหภาพพม่า ง. อินเดยี ค. คุม้ ครองผู้บรโิ ภคใหม้ ีความปลอดภยั จาก 7. เหตใุ ดจำต้องปรบั โครงสรา้ งราคา และชดเชยกา๊ ซหุง ผลกระทบสิง่ แวดล้อม ตม้ (LPG) ง. สนับสนนุ ใหต้ า่ งชาติมาลงทุนผลิตพลงั งานใน ก. เพือ่ ลดภาวะหนก้ี องทุนนำ้ มันเชือ้ เพลงิ ประเทศไทย ข. เพอ่ื ใหร้ าคาเป็นไปตามตลาดทีเ่ สรี ค. เพอ่ื จำหนา่ ยก๊าซดว้ ยความโปรง่ ใส ง. เพอ่ื ให้ราคาสะท้อนตน้ ทนุ และลดการบดิ เบือน ของการใช้ก๊าซหุงตม้ ที่ไม่เหมาะสม

193 8. นโยบายและแผนพัฒนาพลงั งานระยะสนั้ คือข้อใด 10. ประเทศไทยมกี ารนำเขา้ พลงั งานเชงิ พาณิชย์ในปี พ.ศ. ก. กำหนดโครงสร้างราคาพลงั งาน 2540 ลดลงเนอ่ื งจากสาเหตใุ ด ข. จดั หาพลงั งาน ก. ภาษีมูลคา่ เพิม่ สูงข้นึ ค. พฒั นาพลังงานแบบยั่งยนื ข. ภาษีสรรพากรทำใหร้ าคานำ้ มนั แพง ง. สง่ เสริมการ ค. ไทยเผชญิ กบั ปัญหาวกิ ฤติเศรษฐกิจแขง่ ขันใน 9. การพงึ่ พาพลังงานจากต่างประเทศ มีผลต่อความมนั่ คง ธุรกิจพลังงาน ของประเทศดังน้ัน นโยบายพลังงานเพื่อลดการนำ ง. ขณะนัน้ ประเทศไทย ยังไมเ่ ขา้ กลุ่มเอเปค พลงั งานของประเทศไทยทำได้โดยวิธีใด ก. สนับสนนุ การใชพ้ ลังงานนิวเคลยี ร์ ข. สนับสนุนการใชพ้ ลงั งานทดแทน ค. ใชถ้ า่ นหินมาเป็นพลังงานเพ่มิ ขึน้ ง. เพ่มิ ภาษีน้ำมนั เพือ่ ให้การนำเข้าลดลง

194 ใบงาน ท่ี ........ 9....... หนว่ ยที่ 9 หลกั สูตร ประกาศนียบัตรวชิ าชีพ สอนครั้งท.่ี ..12 เวลา.........2 ชม. รหัส 20001-1002 พลังงาน ทรพั ยากรและสงิ่ แวดล้อม ชื่องาน........ นโยบายพลังงาน 1. จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม หลังจากทำกจิ กรรมนเี้ สร็จแล้ว . นกั เรียนจะสามารถอธิบายเร่ือง นโยบายพลงั งานไทยได้ 2. สมรรถนะ วเิ คราะห์สง่ิ ที่ควรแก้ไขนโยบายพลังงานไทยได้ 3. เครือ่ งมือ วสั ดุ และอุปกรณ์ (เอกสาร) เนือ้ หาสาระ นโยบายพลงั งาน ชัยวัฒน์ วนิชวัฒนะ ขอ้ เทจ็ จรงิ ด้านพลงั งานของประเทศไทยคือ ใชก้ ันอยา่ งไมบ่ นั ยะบันยัง ใช้กนั อย่างไม่ลืมหลู ืมตา ใชก้ ันมากจน ตอ้ งนำเขา้ เพ่ิมขึ้นทุกปี ใช้กนั มากจนทรัพยากรทมี่ ีอยใู่ นบ้านกำลงั จะหมด ความจรงิ คอื ประเทศไทยฝากลมหายใจด้านพลงั งานเอาไว้กับต่างประเทศ ทุกวันนม้ี สี ัดสว่ นการนำเข้าน้ำมันสงู ถึง 80% ของปรมิ าณการใชท้ ้ังหมด โดยมีการใช้น้ำมนั ดีเซลวันละเกอื บ 60 ลา้ นลติ ร แก๊สโซฮอล์วนั ละประมาณ 12 ลา้ นลติ ร น้ำบันเบนซิน 91 วนั ละ 8.6 ล้านลิตร ก๊าซ LPG วนั ละ 20,000 ตนั การนำเขา้ พลังงานในปี 2555 มีมลู ค่ารวม 1.45 ล้านลา้ นบาท ปี 2556 เพมิ่ ขึน้ เปน็ 1.6 ลา้ นลา้ นบาท และปี 2557 คาดว่าจะขยบั ขึ้นเปน็ 1.7 ลา้ นล้านบาท ส่ิงทน่ี ่าเปน็ ห่วงคือ \"กา๊ ซธรรมชาต\"ิ ในอ่าวไทยซง่ึ เคยโชตชิ ่วงชัชวาลหล่อเลีย้ งระบบเศรษฐกิจและชวี ิตคนไทย มาแล้ว 30 ปี บัดน้มี กี ารคาดหมายว่าปริมาณสำรองที่พสิ จู น์แลว้ ทเี่ หลืออย่ปู ระมาณ 10 ลา้ นล้านลูกบาศก์ฟตุ เมื่อ คำนวณกับปรมิ าณการใชอ้ ยา่ งฟุ่มเฟือยในปัจจบุ ัน 4,500 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน จะพอใชไ้ ดอ้ กี เพยี ง 6-7 ปเี ท่านนั้ แตห่ ากมองโลกสวยวา่ ยังมีปรมิ าณสำรองทค่ี าดวา่ จะพบอีกประมาณ 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต ก็อาจจะยืดอายุ มีทรัพยากรดา้ นพลงั งานใหเ้ ผาผลาญกนั ต่อไปอกี ประมาณ 12-13 ปี จากนัน้ กจ็ ะเป็นยุคของการนำเขา้ 100% ย้อนกลับไปหลายๆ ปที ีผ่ ่านมา ในยคุ รัฐบาลท่ชี อบใช้นโยบายประชานยิ ม ทั้งสมยั รฐั บาลประชาธปิ ตั ย์ และ รฐั บาลเพอื่ ไทย ต่างก็พยายามเอาใจชาวบ้านดว้ ยการตรึงราคาพลงั งาน ท้ังน้ำมนั และก๊าซ โดยเฉพาะในช่วงทีเ่ กดิ วกิ ฤตทิ างเศรษฐกจิ ซึ่งสง่ ผลกระทบต่อการครองชีพ เอกสารอ้างอิง http://www.thanonline.com/ วันอาทิตย์ที่ 08 มถิ นุ ายน 2014 เวลา 13:00 น

195 4.คำแนะนำ - 5. ข้อควรระวัง - ควรกระตุ้นใหน้ ักเรยี นทำงานเปน็ กลุ่ม 6. ลำดับข้ันการปฏิบตั ิงาน 7. ผลการศกึ ษา 8. สรปุ และวจิ ารณ์ผล ....................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... 9. การประเมนิ ผล 1. สังเกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล 2. ประเมินพฤติกรรมการเข้ารว่ มกิจกรรมกลุ่ม 3. สังเกตพฤตกิ รรมการเข้าร่วมกิจกรรมกล่มุ 4 ตรวจกจิ กรรมส่งเสริมคุณธรรมนำความรู้ 5. ตรวจแบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ แบบฝกึ ปฏิบัติ 6. ตรวจกิจกรรมใบงาน 7. การสงั เกตและประเมนิ พฤติกรรมดา้ นคุณธรรม จริยธรรม คา่ นิยม และคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ 10. เอกสารอา้ งอิง /เอกสารคน้ ควา้ เพิม่ เตมิ หนังสอื เรยี นวชิ า พลงั งาน ทรัพยากรและสง่ิ แวดลอ้ มสำนกั พิมพเ์ อมพันธ์ รหัส 20001-1002 และ อินเทอร์เน็ต

196 แผนการจัดการเรียนรู้ หนว่ ยที่ 10 หลกั สตู ร ประกาศนยี บตั รวิชาชพี สอนครงั้ ท่ี 13 (25-26) รหัส 20001-1002 พลังงาน ทรัพยากรและสง่ิ แวดล้อม ท-ป-น 2-0-2 ช่อื หน่วยการเรยี นรู้ กฎหมายการอนรุ ักษ์พลังงาน ทฤษฎี 2 ชม. 1. สาระสำคัญ ความต้องการใช้พลงั งานเพ่ือตอบสนองการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศได้เพม่ิ ขึ้นใน อัตราที่สูง เปน็ ภาระแกป่ ระเทศในการลงทนุ จัดหาพลงั งานทง้ั ในและนอกประเทศไวใ้ ช้ตามความต้องการทเี่ พ่มิ ขนึ้ และปจั จบุ ันการดําเนนิ การอนรุ กั ษพ์ ลังงานเพ่ือให้มกี ารผลิตและการใชพ้ ลังงานอยา่ งประหยดั ตลอดจนการผลติ เครือ่ งจักรและอปุ กรณ์ทมี่ ปี ระสทิ ธิภาพ ยังไม่สามารถทำใหก้ ารอนรุ ักษพ์ ลังงานบรรลุเป้าหมายได้ จึงมีมาตรการ ใน การกาํ กับดูแล สง่ เสรมิ และช่วยเหลือเกย่ี วกบั การใชพ้ ลังงาน โดยกำหนดนโยบายอนุรกั ษพ์ ลังงาน เป้าหมาย และ แผนอนรุ ักษ์พลงั งาน การตรวจสอบ และการอนุรกั ษ์พลงั งาน วธิ ปี ฏิบตั ิในการอนรุ กั ษ์พลังงาน และการกำหนด ระดับการใช้พลงั งานในเครอ่ื งจกั ร และอปุ กรณ์ รวมท้ังได้มีการตราพระราชบญั ญัติการส่งเสริมการอนรุ ักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 2. สมรรถนะประจำหน่วย 1.นักเรียนสามารถบอกความเป็นมาของกฎหมายอนรุ กั ษ์พลังงานได้ 2.นกั เรยี นสามารถอธิบายกฎหมายอนุรกั ษ์พลังงานได้ 3.นกั เรียนสามารถสรปุ สาระสำคัญเกี่ยวกับกฎหมายอนุรักษ์พลงั งานได้ 4.นกั เรียนสามารถวิเคราะหข์ ่าวเก่ียวกับกฎหมายอนุรักษ์พลงั งานได้ 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1.บอกความเป็นมาของกฎหมายอนรุ กั ษ์พลงั งานได้ 2.อธิบายกฎหมายอนุรักษพ์ ลังงานได้ 3.สรปุ สาระสำคัญเกี่ยวกบั กฎหมายอนุรักษพ์ ลังงานได้ 4.วเิ คราะห์ขา่ วเกย่ี วกบั กฎหมายอนรุ ักษพ์ ลงั งานได้ 5. มีการพฒั นาคุณธรรม จริยธรรม คา่ นยิ ม และคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงคข์ องผู้สำเร็จการศกึ ษา สำนกั งาน คณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา ทค่ี รูสามารถสังเกตไดข้ ณะทำการสอนในเรือ่ ง 5.1 ความมมี นุษยสัมพันธ์ 5.2 ความมวี นิ ัย 5.3 ความรบั ผดิ ชอบ 5.4 ความซอ่ื สัตย์สจุ ริต 5.5 ความเชอ่ื มั่นในตนเอง 5.6 การประหยัด 5.7 ความสนใจใฝ่รู้ 5.8 การละเว้นสง่ิ เสพตดิ และการพนนั 5.9 ความรักสามัคคี 5.10 ความกตญั ญูกตเวที 5.11 แต่งกายตามข้อตกลง ตรงเวลา รักษาส่งิ แวดล้อม ใจอาสา 4. สาระการเรยี นรู้ 1.ความเป็นมา

197 2.กฎหมายอนรุ กั ษ์พลงั งาน 3.ข้อกำหนดอาคารควบคุม 4.หน้าท่ีและขน้ั ตอนการอนรุ ักษ์พลังงานของอาคารควบคุม 5.คา่ ธรรมเนียมพิเศษการใช้ไฟฟา้ 6.บทกำหนดโทษสำหรับผฝู้ า่ ฝนื กฎหมายอนรุ กั ษพ์ ลงั งาน 5. กจิ กรรมการเรยี นรู้ (สปั ดาห์ที่...13........) ขน้ั นำเข้าสบู่ ทเรยี น 1.ครูใชเ้ ทคนคิ การสอนแบบซิปปาโมเดล (CIPPA MODEL) โดยการทบทวนความรเู้ ดิมจากสัปดาหท์ ผ่ี ่านมา โดยดงึ ความรูเ้ ดมิ ของผเู้ รียนในเร่ืองท่จี ะเรยี น เพื่อช่วยใหผ้ เู้ รยี นมีความพร้อมในการเช่ือมโยงความร้ใู หม่กับความรู้ เดิมของตน ผ้สู อนใช้การสนทนาซกั ถามใหผ้ ู้เรยี นเล่าประสบการณเ์ ดิม 2.ครแู ละผู้เรยี นกล่าวถงึ ความเป็นมา โดยกรมพัฒนาพลงั งานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ไดต้ อบสนอง นโยบายของรฐั บาลในการ สงวนรักษาพลงั งานของชาติโดยรบั หน้าท่คี วบคุมดูแลและกํากับการผลติ และการใช้ พลังงาน ตลอดจนสง่ เสริมให้คนไทยใช้พลงั งานอยา่ งประหยดั และมปี ระสทิ ธภิ าพ เพื่อช่วยลดคา่ ใชจ้ า่ ยจากการใช้ พลงั งานอยา่ งสิ้นเปลอื ง ลดการลงทนุ ในการจัดหาแหลง่ พลังานใหม่ และลดการเสยี ดุลการค้าระหว่างประเทศ รวมทงั้ ป้องกันผลกระทบต่อสภาวะแวดลอ้ มทอาี่ จเกิดขึ้นจากการผลิตและการใช้พลังงาน และเพื่อเปน็ การส่งเสรมิ การอนรุ ักษ์พลงั งานแก่ภาคเอกชนกรมพฒั นาพลงั งานทดแทนและอนุรกั ษ์พลงั งานจึงได้ยกรา่ งกฎหมายสง่ เสริมการ อนรุ ักษ์พลังงานขึน้ ในปี พ.ศ. 2535 ข้ันสอน 3.ครใู ช้แผนภาพ และส่ือ Power Point อธิบายกฎหมายอนุรกั ษพ์ ลงั งาน โดยยกตัวอยา่ งกรณศี ึกษาประกอบ เพอ่ื ใหผ้ ู้เรยี นสรปุ แตล่ ะหวั ข้อได้ถูกตอ้ ง และสามารถนำไปวิเคราะหใ์ ช้ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม 4.ครูใชส้ ่ือ Power Point และสื่อวดี ิทัศน์ ประกอบการอธิบายขอ้ กำหนดอาคารควบคมุ ตามโครงสร้าง กฎหมายอนรุ ักษ์พลังงานในส่วนของอาคารควบคุม 5.ครใู ช้เทคนคิ การสอนแบบบรรยาย และสาธิตดว้ ยสื่อ Power Point เพื่อประกอบการอธบิ ายหนา้ ที่และ ขน้ั ตอนการอนรุ ักษ์พลงั งานของอาคารควบคุม 6.ครใู ช้เทคนคิ การสอนแบบ Small Group Discussion การจัดการเรียนรูโ้ ดยใชก้ ารอภิปรายกลมุ่ ย่อย คอื กระบวนการเรยี นรู้ท่ผี ู้สอนจัดกลมุ่ ผู้เรยี นออกเปน็ กลมุ่ ยอ่ ยประมาณ 4 – 8 คน ใหผ้ ู้เรยี นในกลมุ่ มีโอกาสสนทนา แลกเปลี่ยนขอ้ มลู ความคดิ เห็น ประสบการณ์ในเร่ืองคา่ ธรรมเนยี มพิเศษการใช้ไฟฟ้า และบทกำหนดโทษสำหรบั ผู้ฝ่าฝนื กฎหมายอนุรักษ์พลงั งาน 7.ผูเ้ รยี นสรุปสาระสาํ คญั เกย่ี วกบั กฎหมายอนุรกั ษ์พลงั งาน โดยเขยี นเป็นแผนท่ีความคิด 8.ผ้เู รยี นอ่านขา่ ว “เตรยี มออกกฎหมายคุมโรงงาน SME ใหม้ ีมาตรการประหยัดพลงั งาน” แลว้ วเิ คราะหข์ า่ วตาม หวั ขอ้ ท่กี ําหนดให้

198 9.ผู้เรยี นทำกิจกรรม และใบงาน 10.ครูแนะนำให้ผเู้ รียนควรการทำบัญชดี ้วยความละเอยี ดรอบคอบ มีความเพียรพยายามในการนำความรู้ ไปใช้ให้ประสบความสำเร็จ และมคี วามระมดั ระวังข้อผดิ พลาดที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในระหว่างการทำงาน หรือหลงั จาก ปฏบิ ตั ิหน้าทีด่ ้วยความรบั ผดิ ชอบ ซึง่ เปน็ การสร้างภูมิค้มุ กันท่ีดีในตวั เองตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ดงั นนั้ ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง จงึ เปน็ หลกั การดำเนนิ ชีวิต การทำงาน การบรหิ าร การพัฒนา รวมถงึ การดำเนนิ กิจกรรมในด้านตา่ งๆ ของมนุษย์ ท่เี นน้ แนวทางสายกลางยึดหลักความพอประมาณ ความมีเหตุผล และมีภูมิคุม้ กนั ทด่ี ี ภายใตเ้ งอื่ นไขความรอบรู้ รอบคอบ ระมดั ระวงั และเงื่อนไขคณุ ธรรม ความซื่อสัตย์สุจรติ ความเพยี ร ขยนั อดทน และการแบ่งปนั ขัน้ สรุปและการประยุกต์ 11.ครูและผู้เรียนสรุปเนื้อหาที่เรียนโดยการถาม ตอบ อ่านกรณีศึกษาแล้ววิเคราะห์ รวมทั้งให้สรุปข่าว เก่ยี วกบั การใชพ้ ลังงานในปจั จุบัน 12.ผู้เรียนตอบคำถาม ทำกิจกรรมใบงาน และแบบประเมินผลการเรยี นรู้ 13.ประเมินผเู้ รยี นตามแบบฟอรม์ ต่อไปนี้ ชือ่ ผเู้ รียน ประสบการณ์พน้ื ฐานการเรยี นรู้ วิธกี ารเรยี นรู้ ความรู้ ทกั ษะ ผลงาน 1. 2. 3. 4. 5. 6. สื่อและแหล่งการเรียนรู้ 1.หนงั สอื เรยี น วชิ าพลงั งาน ทรัพยากรและสง่ิ แวดล้อม ของสำนกั พิมพเ์ อมพันธ์ 2.สอื่ Power Point, วดี ีทศั น์ 3.กิจกรรมการเรยี นการสอน 4.รูปภาพประกอบ 5.แบบประเมินผลการเรียนรู้ 7.หลักฐานการเรียนรู้ 1.บนั ทึกการสอนของผ้สู อน 2.ใบเช็ครายชอื่ 3.แผนจัดการเรียนรู้ 4.การตรวจประเมนิ ผลงาน

199 8.การวดั และประเมนิ ผล 8.1 วธิ ีการ 1. สังเกตพฤติกรรมรายบคุ คล 2. ประเมนิ พฤติกรรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลุ่ม 3. สังเกตพฤตกิ รรมการเข้าร่วมกิจกรรมกล่มุ 4 ตรวจกจิ กรรมสง่ เสริมคุณธรรมนำความรู้ 5. ตรวจแบบประเมนิ ผลการเรียนรู้ แบบฝึกปฏบิ ตั ิ 6. ตรวจกจิ กรรมใบงาน 7. การสังเกตและประเมนิ พฤติกรรมด้านคุณธรรม จริยธรรม คา่ นยิ ม และคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ 8.2 เคร่ืองมอื 1. แบบสังเกตพฤติกรรมรายบคุ คล 2. แบบประเมินพฤตกิ รรมการเข้ารว่ มกจิ กรรมกลุ่ม (โดยครู) 3. แบบสังเกตพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม (โดยผู้เรยี น) 4. แบบประเมนิ ผลการเรียนรู้ และแบบฝึกปฏิบัติ 5. แบบประเมินกิจกรรมใบงาน 6. แบบประเมนิ คุณธรรม จริยธรรม ค่านยิ ม และคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ โดยครแู ละผู้เรยี นร่วมกนั ประเมิน 8.3 เกณฑ์ 1. เกณฑ์ผา่ นการสงั เกตพฤตกิ รรมรายบุคคล ต้องไมม่ ชี อ่ งปรบั ปรุง 2. เกณฑ์ผ่านการประเมินพฤติกรรมการเขา้ รว่ มกิจกรรมกลุ่ม คอื ปานกลาง (50 % ข้ึนไป) 3. เกณฑผ์ ่านการสงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลุ่ม คือ ปานกลาง (50% ข้นึ ไป) 4. แบบประเมนิ ผลการเรียนรู้มเี กณฑ์ผา่ น และแบบฝกึ ปฏบิ ตั ิ 50% 5. แบบประเมินกิจกรรมใบงานมีเกณฑผ์ า่ น 50% 6. แบบประเมินคุณธรรม จริยธรรม คา่ นยิ ม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ คะแนนขึ้นอยู่ กบั การประเมนิ ตามสภาพจรงิ 9.บนั ทึกผลหลังการจดั การเรียนรู้ 9.1 ข้อสรุปหลังการจัดการเรียนรู้ ................................................................................................... ............................................... ............................................................................................................................. ..................... .................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ..................... .................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. .....................

200 9.2 ปัญหาทพ่ี บ ............................................................................................................................. ..................... .............................................................................................. .................................................... ............................................................................................................................. ..................... .................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ..................... ............................................................................................................................................... ... 9.3 แนวทางแก้ปัญหา ............................................................................................................ ...................................... ............................................................................................................................. ..................... .................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ..................... .................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. .....................