Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการจัดการเรียนรู้ วิชา พลังงาน ทรัพยากร และสิ่งแวดล้อม

แผนการจัดการเรียนรู้ วิชา พลังงาน ทรัพยากร และสิ่งแวดล้อม

Published by Oranut, 2021-11-27 14:45:54

Description: รวมไฟล์แผนการสอนพลังงาน 2_64 โดยครูอรนุช กอสวัสดิ์พัฒน์ประกอบด้วย 12หน่วยการเรียนรู้

Search

Read the Text Version

51 ขั้นสรุปและการประยกุ ต์ 20.สรุปความสมั พนั ธ์ของพลังงาน ทรัพยากรธรรมชาติและส่งิ แวดลอ้ ม โดยการถามตอบ 21.ผู้เรยี นทำกจิ กรรมใบงาน และแบบประเมนิ ผลการเรียนรู้ 22.ประเมนิ ผู้เรยี นตามแบบฟอร์มต่อไปนี้ แบบประเมินประสบการณพ์ ้ืนฐาน ชอื่ ผเู้ รียน ประสบการณ์พ้ืนฐานการเรยี นรู้ วิธีการเรียนรู้ ความรู้ ทักษะ ผลงาน 1. 2. 3. 4. 5. 6. สอ่ื และแหล่งการเรยี นรู้ 1.หนงั สือเรียน วิชาพลงั งาน ทรพั ยากรและสง่ิ แวดล้อม ของสำนกั พิมพเ์ อมพนั ธ์ 2.สอื่ Power Point, วีดีทัศน์ 3.กิจกรรมการเรียนการสอน 4.รูปภาพประกอบ 5.แบบประเมนิ ผลการเรียนรู้ 7.หลักฐานการเรยี นรู้ 1.บันทกึ การสอนของผสู้ อน 2.ใบเช็ครายชอ่ื 3.แผนจัดการเรยี นรู้ 4.การตรวจประเมนิ ผลงาน 8.การวัดและประเมินผล 8.1 วธิ ีการ 1. สงั เกตพฤติกรรมรายบคุ คล 2. ประเมินพฤติกรรมการเข้ารว่ มกิจกรรมกลุ่ม 3. สงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ ร่วมกิจกรรมกลมุ่ 4 ตรวจกจิ กรรมสง่ เสริมคุณธรรมนำความรู้ 5. ตรวจแบบประเมนิ ผลการเรียนรู้ แบบฝกึ ปฏบิ ตั ิ 6. ตรวจกจิ กรรมใบงาน 7. การสังเกตและประเมินพฤติกรรมด้านคุณธรรม จริยธรรม ค่านยิ ม และคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์

52 8.2 เคร่อื งมอื 1. แบบสงั เกตพฤติกรรมรายบุคคล 2. แบบประเมินพฤตกิ รรมการเข้ารว่ มกิจกรรมกลุม่ (โดยครู) 3. แบบสังเกตพฤติกรรมการเข้ารว่ มกจิ กรรมกลุ่ม (โดยผู้เรยี น) 4. แบบประเมินผลการเรียนรู้ และแบบฝกึ ปฏบิ ตั ิ 5. แบบประเมินกจิ กรรมใบงาน 6. แบบประเมินคุณธรรม จรยิ ธรรม คา่ นิยม และคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ โดยครแู ละผู้เรียนร่วมกนั ประเมิน 8.3 เกณฑ์ 1. เกณฑผ์ ่านการสังเกตพฤติกรรมรายบุคคล ต้องไม่มีช่องปรับปรงุ 2. เกณฑ์ผา่ นการประเมนิ พฤติกรรมการเขา้ รว่ มกิจกรรมกล่มุ คอื ปานกลาง (50 % ข้นึ ไป) 3. เกณฑผ์ า่ นการสังเกตพฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกิจกรรมกลมุ่ คือ ปานกลาง (50% ขนึ้ ไป) 4. แบบประเมินผลการเรยี นรมู้ เี กณฑผ์ า่ น และแบบฝึกปฏิบัติ 50% 5. แบบประเมินกิจกรรมใบงานมีเกณฑผ์ ่าน 50% 6. แบบประเมนิ คุณธรรม จริยธรรม คา่ นิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ คะแนนข้นึ อยู่ กับการประเมินตามสภาพจรงิ 9.บันทกึ ผลหลงั การจัดการเรยี นรู้ 9.1 ข้อสรุปหลงั การจัดการเรยี นรู้ .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. 9.2 ปัญหาที่พบ .............................................................................................. .................................................... .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. ............................................................................................................................... ................... 9.3 แนวทางแก้ปญั หา ............................................................................................................ ...................................... .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. ..................................................................................................................................................

ใบความร้ทู ี่ .....3........... 53 หลักสูตร ประกาศนียบัตรวิชาชีพ หนว่ ยท่ี 3 รหัส 20001-1002 พลังงาน ทรพั ยากร และสิ่งแวดลอ้ ม สอนคร้งั ที.่ .....3 ชอ่ื เรอื่ ง ความสัมพนั ธข์ องพลงั งานทรพั ยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม เวลา......2............ชม. 1. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1.บอกความหมายและประเภทของสงิ่ แวดลอ้ ม และทรัพยากรธรรมชาติ 2.อธิบายประโยชน์และความสำคญั ของส่งิ แวดลอ้ มและทรัพยากรธรรมชาติ 3.อธบิ ายทรพั ยากรท่ีมนุษยน์ ำมาใชป้ ระโยชน์ 4.วเิ คราะหป์ ญั หาการทำลายส่ิงแวดล้อม และทรัพยากรธรรมชาติ 2. สมรรถนะ 1.นกั เรียนสามารถวิเคราะหแ์ ละบอกความหมายและประเภทของส่งิ แวดล้อม และทรัพยากรธรรมชาติ ได้ 2.นักเรยี นสามารถอธิบายประโยชน์และความสำคัญของสง่ิ แวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ได้ 3.นกั เรียนสามารถอธบิ ายทรัพยากรที่มนษุ ยน์ ำมาใชป้ ระโยชน์ ได้ 4.นักเรียนสามารถวเิ คราะห์ปัญหาการทำลายสง่ิ แวดล้อม และทรัพยากรธรรมชาติได้ 3. เน้อื หาสาระ ความสัมพนั ธข์ องสง่ิ แวดลอ้ มในระบบนิเวศ ส่ิงแวดล้อมมีความสำคัญต่อการดำรงชวี ติ เพราะมนุษย์เป็นส่วนหนง่ึ ของระบบนิเวศต้องอาศยั อยู่ และมีกิจกรรมในระบบนเิ วศ อยู่ในระบบท้งั หว่ งโซอ่ าหาร และสายใยอาหาร ระบบนิเวศ ในภาษาอังกฤษ ใช้คำว่า Ecosystem หมายถึง ระบบความสัมพันธ์ที่ ประกอบด้วยส่ิงที่มีชีวติ ทุกชนิด และสิ่งไม่มีชีวิต ซึ่งอยู่รวมกันในพื้นที่แห่งใดแห่งหนึ่ง อาจเป็นพื้นที่ขนาดเลก็ หรือ ใหญ่ก็ได้ จะต้องมีความสัมพันธ์ และมีการเปลี่ยนสสารและพลังงาน ระหว่างหน่วยที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตในระบบ นิเวศน้นั ดว้ ย ระบบนิเวศมีส่วนประกอบหลายอย่าง เช่น อุณหภูมิ แสงสว่าง พืช สัตว์ ดิน น้ำ ฯลฯ ซ่ึง สามารถสรุปไดค้ วามหมายสั้น ๆ ก็คือ ระบบนิเวศ = กลุ่มสงิ่ มชี ีวิต + แหลง่ ท่ีอยู่ 1 คำศพั ทท์ ใี่ ช้กันในระบบนิเวศ ชุมชน (Community) หมายถึง กลุ่มของสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่แห่งใดแห่ง หนงึ่ เชน่ ในหมบู่ า้ น บนภูเขา สิง่ มชี ีวิตเหล่านม้ี บี ทบาทต่าง ๆ กัน และมคี วามสมั พนั ธก์ บั สง่ิ มชี วี ิตอื่น ๆ

54 ประชากร (Population) หมายถึง กลุ่มของสิ่งมีชีวิตกลุ่มเดียวกันที่อาศัยอยู่ในพื้นท่ีเดียวกันใน ระยะเวลาหนึ่ง เช่น ประชากรนกบนภูเขียว ประชากรปลาในแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งองค์ประกอบของประชากร คอื การเกิด การตาย การย้ายถ่ิน ความหนาแนน่ การกระจาย ที่อยู่อาศัย (Habitat) หมายถึง สถานที่เฉพาะในธรรมชาติที่จะพบพืชหรือสัตว์แต่ละชนิด ซึ่ง มกั จะรวมถึงสงิ่ มีชวี ติ และไมม่ ชี วี ติ ทุกชนิดเข้าด้วยกนั ห่วงโซ่อาหาร (Food chain) หมายถึง กระบวนการถ่ายทอดพลังงานในรูปสารอาหารจากผู้ผลติ ไปสูผ่ ู้บริโภค โดยการกินต่อกันเปน็ ทอด ๆ หรอื ตามลำดับ การถ่ายทอดพลังงาน (Energy flow) หมายถึง กระบวนการถ่ายทอดพลังงานจากดวงอาทิตย์ไป ยังผู้ผลิต จากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภค อันดับที่ 1 อันดับที่ 2…. ตามลำดับ และจากผู้ผลิตและผู้บริโภคไปยังผู้ย่อย สลายในระบบนิเวศ โลกนิเวศ (Biosphere) หมายถึง บริเวณพื้นโลกที่สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ทั้งบนบก ในดิน ในน้ำ ใน อากาศ ซ่งึ เป็นระบบนเิ วศทใ่ี หญ่ทีส่ ุด หรอื รวมระบบนเิ วศตา่ ง ๆ ไว้ทั้งหมด 2 องคป์ ระกอบของระบบนิเวศ องค์ประกอบภายในระบบนิเวศ แบ่งเป็นส่วนประกอบใหญ่ ๆ ได้ 2 ส่วนคือ องค์ประกอบที่ไม่มีชีวิต และองคป์ ระกอบทม่ี ชี ีวติ 2.1 องคป์ ระกอบท่ีไม่มชี วี ิต (Abiotic Components) ไดแ้ ก่ส่วนประกอบดงั ตอ่ ไปนี้ (1) ดวงอาทิตย์ เป็นแหล่งกำเนิดของพลังงานให้แก่ระบบนิเวศ ซึ่งเป็นปัจจัย สำคัญที่ทำให้สิ่งมีชีวิตทุกชนิดในระบบนิเวศสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ โดยผู้ผลิตหรือผู้ที่สามารถรับเอาพลังงานจาก แสงอาทติ ย์ แลว้ ผ่านกระบวนการสังเคราะหแ์ สงเปลย่ี นรูปของพลังงานแสงเป็นพลังงานเคมี บางสว่ นของพลงั งาน นี้ พืชนำไปใช้เพื่อการเจริญเติบโต เพื่อการขยายพันธุ์ บางส่วนจะถ่ายทอดไปยังสัตว์ ซึ่งเป็นผู้บริโภค และ บางส่วนเป็นพลังงานความร้อนทไ่ี มไ่ ด้นำมาใช้ประโยชน์ และ คายออกมาสูส่ ภาพแวดล้อมภายนอก (2) อนินทรียสาร ได้แก่ คาร์บอน ไนโตรเจน ออกซิเจน ฟอสฟอรัส คาร์บอนไดออกไซด์ น้ำ เป็นต้น สารเหล่านี้เป็นองค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต และเกี่ยวข้องกับการหมุนเวียนของแร่ ธาตุในวฏั จักร (3) อินทรียสาร ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน ฮิวมัส เป็นต้น สารอินทรีย์ เหล่านีจ้ ำเปน็ ตอ่ การดำรงชวี ติ ทำหนา้ ทเ่ี ปน็ ตวั เกีย่ วโยงระหวา่ งสงิ่ มชี ีวติ และไม่มชี ีวิต (4) สภาพแวดล้อมทางกายภาพ ไดแ้ ก่ แสง อณุ หภูมิ อากาศ ความช้นื สภาพความ เปน็ กรดเป็นด่าง ความเค็ม เป็นตน้ 2.2 องคป์ ระกอบทมี่ ชี ีวิต (Biotic Components) สามารถจำแนกได้ตามบทบาท หนา้ ที่ไดด้ ังน้ี

55 (1) ผผู้ ลติ (Producer) ในระบบนิเวศ ผูผ้ ลติ ที่สำคญั ที่สดุ คอื พืช เนือ่ งจากพชื สามารถสร้างอาหารเองได้ ด้วยวิธีการสังเคราะห์แสง โดยคลอโรฟิลล์ในพืชจะนำพลังงานแสงอาทิตย์ มาใช้ร่วมกับ น้ำและคาร์บอนไดออกไซด์ ทำให้เกิดปฏิกิรยิ าเคมี กลายเป็นสารประกอบคาร์โบไฮเดรตขึ้น ดงั สมการ พลงั งานแสง 6CO2 + 6H2O -------------- > C6H12O6 + 6O2 คลอโรฟลิ ล์ พลงั งานแสง ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ + น้ำ -------------- > นำ้ ตาลกลโู คส + ก๊าซออกซิเจน คลอโรฟิลล์ จึงจัดว่าพืชเป็นผู้ผลิตรายใหญ่และสำคัญที่สุด นอกจากนี้ก็ยังมี แบคทีเรียบางชนิดที่สามารถสร้างอาหาร เองได้ ด้วยวธิ กี ารเดียวกนั ซงึ่ ส่วนใหญม่ กั จะมีสเี ขยี วดว้ ยเช่นกัน ไม่สามารถสร้างอาหารเลี้ยงตัวเองได้ (2) ผู้บริโภค (Consumer) ได้แก่สัตวท์ ่ีบริโภค ตอ้ งอาศัยพืช ผบู้ รโิ ภคแบง่ ออกเป็น 3 กลมุ่ คอื ก. พวกที่กินพืชเป็นอาหารโดยตรง เรียกว่า เฮอร์บิวอร์ (Herbivores) หรือ ไพรมารี คอนซมู เมอร์ (Primary Consumer) ไดแ้ ก่ ช้าง มา้ โค กระบอื แพะ และ แกะ เปน็ ต้น ข. พวกที่กินสัตว์เป็นอาหาร สัตว์พวกนี้จะไม่กินพืชโดยตรง แต่อาศัยพลังงาน จากพชื ทางอ้อม โดยกนิ เน้อื จากสัตว์กินพืชอีกทอดหนึ่งเรียกว่า คาร์นิวอร์ (Carnivores) หรือ เซกกอนดารี คอน ซมู เมอร์ (Secondary Consumer) เชน่ เสือ สิงโต สุนัขจ้งิ จอก เปน็ ต้น ค. พวกที่กินทั้งพืชและสัตว์เป็นอาหาร เรียกว่า โอมนิวอร์ (Omnivores) เช่น มนุษย์ สุนขั แมว เป็นตน้ (3) ผยู้ ่อยสลาย (Decomposer) หมายถึง ส่ิงมีชวี ติ ท่ีไม่สามารถสรา้ งอาหารได้ เอง แต่จะได้อาหารโดยการผลิตเอนไซม์ออกมา เพื่อย่อยสลายซากของสิ่งมีชีวิต ของเสีย กากอาหาร ให้ กลายเป็นสารทม่ี ีโมเลกุลขนาดเล็กลง แล้วจงึ ดูดซมึ อาหารไปใช้บางสว่ น ส่วนท่ีเหลือจะปลดปล่อยออกสู่ระบบนิเวศ ซงึ่ ผผู้ ลิตสามารถเอาไปใชส้ ร้างอาหารต่อไป ผู้ย่อยสลายทส่ี ำคัญ คือ แบคทเี รีย เหด็ รา ผู้ย่อยสลายจึงเป็นส่วน สำคญั ทท่ี ำใหส้ ารอาหารในวฏั จักรหมุนเวยี นได้ 3 หน้าท่ี หรอื กจิ กรรมในระบบนเิ วศ หน้าทีห่ รือกิจกรรมในระบบนเิ วศ ทส่ี ำคญั คือ การถ่ายทอดพลงั งานและการ ถา่ ยเทอาหาร 3.1 การถ่ายทอดพลังงาน กิจกรรมของสิ่งมชี ีวติ ในโลกไดร้ บั พลังงานจากแสงอาทติ ย์ และธาตุอาหารตา่ ง ๆ ในดิน พลังงานจากดวง อาทิตย์เข้าสู่ระบบนิเวศในรปู ของแสง พืชใบเขียวมีหน้าที่ตรึงพลังงานจากแสงอาทิตย์มาแปรสภาพเป็นอินทรยี สาร และสัตว์ก็ได้ใช้พลังงานนั้นโดยการบริโภคพืชนั่นเอง ส่วนแบคทีเรียจะเป็นผู้ย่อยสลาย กาก ของเสีย และซาก สงิ่ มีชีวิต ซ่งึ ในทสี่ ดุ พลังงานจะถูกปลดปลอ่ ยออกไปจากระบบนิเวศในรูปของพลงั งาน ความร้อน ส่วนธาตุ อาหารจะกลับไปสะสมอยใู่ นดิน และพรอ้ มที่จะเป็นประโยชน์แกพ่ ืชตอ่ ไป

56 3.2 การถ่ายเทอาหาร การถ่ายเทอาหารในระบบนิเวศ ก็คือ การถ่ายเทพลังงานนั่นเอง การถ่ายเทอาหารจะเริ่มจากผู้ผลิตไปสู่ ผบู้ รโิ ภค เชน่ เดยี วกับการถ่ายทอดพลังงาน สำหรบั การถา่ ยเทอาหารนี้ เรยี กว่า ห่วงโซ่อาหาร (food chain) หว่ งโซ่อาหาร สามารถแบ่งไดเ้ ปน็ 3 ประเภท คือ (1) ห่วงโซ่อาหารแบบจับกิน (Grazing food chain) เป็นห่วงโซ่อาหารที่เริ่มต้นจากพืช ไปยัง สตั ว์กินพชื และสตั วก์ ินสัตว์ ตามลำดับ เชน่ แพลงตอนพืช → แพลงตอนสัตว์ → ลกู ปลา → ปลาใหญ่ → นก → มนุษย์ หรือ หญา้ → กวาง → สงิ โต (2) ห่วงโซ่อาหารแบบกินเศษอินทรีย์ (Detritus food chain) เป็นห่วงโซ่อาหารทีเ่ ร่ิมจากซาก เศษอินทรยี ์ซงึ่ ถกู สลายตัวดว้ ยจลุ นิ ทรีย์ หรือผยู้ ่อยสลาย และจะถกู กินโดยสัตว์ และผลู้ ่าอืน่ ๆ ต่อไป เชน่ เศษใบไม้ → ป,ู กุ้ง, หอย → ปลา → นก (ทีย่ อ่ ยสลายโดยจลุ ินทรยี ์) (3) ห่วงโซ่อาหารแบบปรสิต (Parasite chain) เป็นห่วงโซ่อาหารที่เริ่มจากผู้ถูกอาศัย ซึ่งเป็น สตั ว์ตัวใหญ่กวา่ ไปยังสัตวต์ วั เลก็ หรอื ผู้อาศัยลำดับต่อ ๆ ไป เชน่ นก → ไรนก → โปรโตซัว → แบคทีเรีย → ไวรสั เครอื ขา่ ยอาหาร (Food Web) ในระบบนเิ วศ การกนิ อาหารของส่งมีชวี ิตจะมลี กั ษณะซบั ซ้อนกว่าห่วงโซ่อาหาร เนอ่ื งจากส่ิงมีชวี ิตชนิดนั้น ๆ สามารถบริโภคอาหารได้หลายชนิด และสัตว์บางชนิดก็อาจเป็นเหยื่อของสิ่งมีชีวิตได้หลายชนิดด้วยเช่นกัน ดังนั้น ความสัมพันธ์ในระบบนิเวศจึงเปรียบเสมือนห่วงโซ่อาหารหลาย ๆ ห่วงโซ่อาหาร มาสัมพันธ์โยงใยซึ่งกัน และกัน และมีความซบั ซ้อนมาก ๆ ในระบบนเิ วศ ซงึ่ สง่ ผลใหร้ ะบบนิเวศน้นั อยไู่ ด้อยา่ งดี เชน่ คนบริโภคปลา ผัก หมู นก และนกอาจจะบริโภคตั๊กแตน เมล็ดข้าว แมลงอื่น ๆ และนกอาจเป็นอาหารของคน งู สัตว์ป่าอื่น ๆ ต่อไป การรักษาความสมดุลของระบบนเิ วศ ระบบนิเวศใด ๆ ยอ่ มมกี ารเปลยี่ นแปลงตามธรรมชาติ การเปล่ียนแปลงแบบค่อยเปน็ ค่อยไปตามธรรมชาติ ก่อให้เกิดอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมน้อยมาก ต่างจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากฝีมือของมนุษย์เอง มนุษย์ได้ใช้ เทคโนโลยีสมัยใหม่ ประกอบกับความเห็นแก่ตัว ละขาดจิตสำนึกในการอนุรกั ษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ ม จึงทำให้ทรัพยากรธรรมชาติถูกทำลายอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบทำให้ระบบนิเวศเสียความสมดุล ซึ่งก่อให้เกิด อันตรายต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมอย่างยิ่ง ดังนั้น เราจึงควรหาวิธีดำเนินการเพื่อให้ระบบนิเวศอยู่ในภาวะสมดุล หรือเสยี สมดลุ ให้น้อยท่ีสุด การดำเนินการรักษาสมดุลของระบบนิเวศ มีท้งั มาตรการระยะยาว และมาตรการทั่ว ๆ ไป

57 สำหรับมาตรการระยะยาว ในการดำเนนิ การรกั ษาสมดลุ ของระบบนิเวศมดี ังน้ี 1) ควบคุมจำนวนประชากร ซึ่งเป็นปัญหาหลักในการพัฒนา เพราะถ้าประชากรมากเกินไป หรือเกินความสมดุลแล้ว การพัฒนาหรือการอนุรักษ์ก็จะประสบความสำเร็จได้ยาก เนื่องจากยิ่งประชากรมาก เทา่ ใด การใชท้ รพั ยากรก็จะเพม่ิ มากข้ึนเท่านนั้ ดงั นั้นจึงควรมีการควบคมุ ประชากรให้เหมาะสม 2) การทำการเกษตร ควรใช้วิธีปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์แบบผสมผสาน จะช่วยให้ระบบนิเวศมี เสถียรภาพดีกว่าการปลูกพืชชนิดใดชนิดหนึ่งเพียงอย่างเดียว เนื่องจากพืชต่างชนิดกันอาจให้แร่ธาตุแก่ดินหรือ ต้องการแร่ธาตุแตกต่างกัน และพืชต่างชนิดกันอาจจะมีแมลงศัตรูพืชต่างกัน พืชบางชนิดยังสามารถควบคุมแมลง ศัตรูพืชได้อีกด้วย เช่น เกษตรกรอาจปลูกมะเขือเทศ สลับแถวกับกระเทียม แมลงศัตรูของมะเขือเทศ ก็จะไม่มา รบกวนมะเขือเทศ เนื่องจากกลิ่นกระเทียมเป็นตัวขับไล่แมลงศัตรูของมะเขือเทศนั่นเอง วิธีการปลูกพืชหลาย ๆ ชนิดรว่ มกัน จงึ ทำใหผ้ ลผลติ เพิม่ ขน้ึ และสามารถรักษาดลุ ยภาพของสง่ิ แวดลอ้ มได้ดขี ึ้น 3) ด้านการใชค้ วามรทู้ างวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยใี ห้เหมาะสม เช่น การใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ ยาฆ่าแมลง ควรมีการแนะนำและควบคุมวิธีการให้สารเคมีต่าง ๆ ให้ถูกต้องและ ปริมาณเหมาะสม เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อสง่ิ แวดล้อมนอ้ ยท่สี ุด 4) รัฐควรกำหนดนโยบายการใช้ที่ดินที่ถูกต้อง เหมาะสม และสามารถปฏิบัติได้ ทุกครั้งที่มี การกำหนดนโยบายการใช้ที่ดิน ควรคำนึงถึงระบบนิเวศด้วย ต้องพัฒนาโดยให้ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ และ ส่ิงแวดล้อมนอ้ ยทสี่ ดุ มาตรการการรกั ษาสมดลุ นเิ วศ สำหรบั มาตรการทัว่ ๆ ไป ที่ควรปฏิบตั ิในการรกั ษาความสมดุลของระบบนเิ วศ ได้แก่ 1) ใช้ทรพั ยากรทกุ อย่างอย่างประหยดั เช่น ดิน นำ้ ปา่ ไม้ แรธ่ าตุ และเชื้อเพลิง 2) การนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ ◼ Reuse เช่น การใช้ถงุ พลาสตกิ ทใี่ ส่ของ หรอื ขวดน้ำพลาสตกิ ใชแ้ ล้ว นำมาใชซ้ ้ำอกี ◼ Recycle เช่น การหลอมเศษแกว้ เพ่อื ทำแก้วใหม่ ๆ การหลอมเศษเหล็กและนำเหล็กมาทำ กนั ชนรถยนต์ เปน็ ต้น ◼ Repair เช่น ซอ่ มแซมเกา้ อ้ชี ำรดุ ใหก้ ลบั มาใชไ้ ด้ดังเดมิ 3) การใช้สิ่งอื่นทดแทน โดยใช้สิ่งที่หาง่ายหรือมีมาก ทดแทนสิ่งที่หาได้ยาก หรือมีน้อยกว่า เช่น การสร้างบา้ นโดยใช้ปนู แทนไม้ 4) การป้องกันสิ่งที่ใช้แล้วมิใหเ้ ป็นพิษ ไม่ให้เกิดความเสื่อมโทรม เสียหาย หรือถูกทำลาย เชน่ การรณรงค์ไม่ใช้วัสดุโฟม เพราะโฟมมีสารประกอบ CFC (Chloro Fluoro Carbon) ซึ่งเป็นอันตรายต่อช้ัน โอโซน ทำให้เกดิ ชอ่ งโหว่ในชน้ั โอโซน เปน็ ต้น 5) การปรบั ปรงุ คุณภาพให้ดขี ้นึ เช่น การปรบั ปรุงดินเคม็ ให้สามารถเพาะปลกู ได้ 6) การสรา้ งจิตสำนึกใหป้ ระชาชน ระลึกว่าตนเป็นสว่ นหนงึ่ ของธรรมชาติ จะตอ้ งชว่ ยกันรักษา ธรรมชาติไว้ เพ่ือให้ทกุ คนสามารถดำรงชวี ิตอยูไ่ ด้ ท้งั ในปจั จบุ ันและอนาคต สรปุ พลังงานและสิ่งแวดล้อมที่มีมากมายหลายชนิดเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด โดยเฉพาะมนุษย์ จะพบว่าในกิจวัตรประจำวันของมนุษย์เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับพลังงานและสิ่งแวดล้อมต่างๆ ทั้งที่ มองเห็นและมองไม่เห็น แตก่ ส็ ามารถนำมาใชใ้ ห้เกิดประโยชน์ได้ อาทิ เช่น พลงั งานต่าง ๆเช่น พลงั งานความร้อน

58 แสง เสียง และแม่เหล็กไฟฟ้า จึงถือเป็นหน้าที่ของคนในชุมชน ท้องถิ่น ในการที่จะต้องตรวจสอบดูแลและ ช่วยกันอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมให้มีสภาพที่ดี สามารถใช้งานได้นานๆ ในส่วนตัวทุกคนก็สามารถช่วย ส่งเสริมและอนุรักษ์พลังงานและส่ิงแวดล้อมได้อยู่ตลอดเวลา แม้ขณะดำเนินกจิ กรรมในการดำรงชีวิตก็สามารถช่วย อนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมได้ ไม่ว่าจะเป็นการการปิดไฟทุกครั้งเมื่อเลกิ ใช้งาน การทิ้งขยะในที่ที่จัดให้ การ ขับรถด้วยความเรว็ ทีพ่ อดี การไม่ตัดไม้ทำลายป่า เป็นต้น 4. แบบฝึกหัด/แบบทดสอบ ขอ้ สอบประจำหนว่ ยท่ี 3 เรือ่ ง ความสมั พันธ์ของพลงั งานทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม วชิ า พลังงาน ทรัพยากรและส่ิงแวดล้อม รหสั 20001-1002 ระดับ ปวช. คำช้แี จง: 1 ขอ้ สอบมจี ำนวน 10 ข้อ 2. ใหน้ กั เรยี นเขียนเคร่ืองหมาย X ขอ้ ท่เี ห็นว่าถูกต้องท่ีสดุ เพยี งข้อเดียวลงในกระดาษคำตอบ 1. ผู้ทส่ี ามารถบรโิ ภคได้ทั้งพืชและสตั วค์ อื กลุ่มใด 5. ถา้ มนุษยไ์ มเ่ ข้าไปเกยี่ วข้อง ระบบนเิ วศใดเป็น ก. มนุษย์ สนุ ขั แมว ระบบท่มี ีความคงทน ไมเ่ ส่ือสลายไปไดง้ ่าย ๆ ข. สุนัข แมว กระตา่ ย ก. ระบบนิเวศเขตขั้วโลกเหนอื ค. เสือ ช้าง สนุ ขั จง้ิ จอก ข. ระบบนเิ วศในปา่ ดงดบิ ช้าง มา้ วัว ควาย ค. ระบบนเิ วศท่ที ะเลทราย 2. การหลอมเศษเหล็กและนำเหลก็ มาทำกันชน ง. ระบบนิเวศในเขตป่าสงวน รถยนต์ หมายถงึ ข้อใด 6. ความเสือ่ มโทรมของสิ่งแวดล้อมในปจั จุบัน ส่วน ก. Reuse ใหญเ่ กิดจากสาเหตใุ ดมากที่สดุ ข. Recycle ก. ลมพายุ ค. Repair ข. การกระทำของมนุษย์ ง. Reject ค. แผ่นดนิ ไหว 3. ขอ้ ใดกล่าวผิดไปจากความจริง ง. ภูเขาไฟระเบดิ ก. ในระบบนเิ วศหนงึ่ ๆ จะมีการแลกเปล่ียน 7. ขอ้ ใดคือสาเหตุอนั ดบั แรกท่ีทำใหร้ ะบบนิเวศเสยี สสาร และพลงั งานเป็นวฎั จกั ร ความสมดลุ ข. ส่งิ มีชวี ติ ในระบบนิเวศจะพงึ่ พาอาศยั ซึ่งกัน ก. การขยายตัวของสังคมเมือง และกนั ข. การเพิ่มของประชากร ค. ระบบนเิ วศจะมโี ครงสร้างทป่ี ิดและสามารถ ค. การเกษตรสมยั ใหม่ท่ใี ช้สารเคมี ควบคุมตนเองได้ การใช้พลังงานฟุม่ เฟือย ง. ระบบนเิ วศทใ่ี หญ่ที่สดุ คือโลกของเรา เรียกว่า จากคำตอบต่อไปน้ี ให้ตอบคำถามข้อ 8-10 “ชวี าลยั ” ก. เศษใบไม้ ปู ปลา 4. ข้อใด ไมใ่ ช่ สาเหตุท่ีทำให้เกิดผลกระทบ จาก ข. นก ไรนก โปรโตซวั การสังเคราะหส์ ารใหม่ ค. สิงโต กวาง หญ้ก ก. ยาฆ่าแมลง ง. ลูกปลา ปลาใหญ่ คน ข. อตุ สาหกรรมตู้เย็น 8.ขอ้ ใดคือห่วงโซ่อาหารแบบปรสิต ค. อุตสาหกรรมเหมอื งแร่ 9.ข้อใดคอื หว่ งโซ่อาหารแบบกินเศษอินทรีย์ ง. ปยุ๋ เคมี 10.ขอ้ ใดคือหว่ งโซ่อาหารแบบจับกิน

ใบงาน ท่ี ........ 3........ 59 หลักสตู ร ประกาศนียบัตรวิชาชพี หนว่ ยท่ี 3 รหัส 20001-1002 พลังงาน ทรพั ยากรและส่ิงแวดล้อม สอนคร้งั ท.่ี ...3..... ชื่องาน........ความสมั พนั ธข์ องพลงั งานทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม เวลา.........2.........ชม. 1. จุดประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม 1. อธิบายความสมั พนั ธ์ระหวา่ งจำนวนส่ิงมีชวี ติ (สตั ว์) กบั ทรัพยากรธรรมชาติได้ 2. อธบิ ายความสำคัญของระบบนเิ วศได้ 2. สมรรถนะ 1. ผู้เรยี นสามารถอธบิ ายความสัมพนั ธร์ ะหว่างจำนวนสิ่งมีชีวติ (สตั ว์) กับทรัพยากรธรรมชาตไิ ด้ 2. ผู้เรยี นสามารถอธิบายถงึ ความจำเป็นของพลังงานและสงิ่ แวดลอ้ มในการดำรงชวี ติ ได้ 3. เคร่ืองมือ วัสดุ และอุปกรณ์ นกั เรยี นท้งั ห้อง แบง่ ออกเป็น 2 กลมุ่ 4. คำแนะนำ - 5. ขอ้ ควรระวัง ระวงั ไม่ให้นักเรยี นว่งิ ชนกนั 6. ลำดับขนั้ การปฏิบตั ิงาน 1. กติกาการเล่นดงั น้ี คือ ใหน้ ักศึกษายนื เรียงแถว ตรง 1 แถว แล้วนับ 1-4 2. แลว้ ใหน้ กั ศกึ ษาแบง่ เปน็ สองกลุ่ม กลมุ่ ท่ี 1 คอื กวาง (เฉพาะหมายเลข 1) ครจู ดจำนวนกวาง กล่มุ ท่ี 2 คอื น้ำ อาหาร และ ท่ีอยูอ่ าศยั (หมายเลข 2,3 และ 4) 3. ใหท้ งั้ สองกล่มุ ยืนขนานกันคนละดา้ นแล้วหันหลงั ให้กนั 4. ดา้ นกลุ่มที่ 2 (เลข 2,3 และ 4) ใครอยากเปน็ น้ำ ให้ทำมือปิดปาก ใครอยากเปน็ อาหาร ให้ทำมือกมุ ทอ้ ง ใครอยากที่อยอู่ าศัย ให้ทำสามเหล่ียมเหนือหัว กลุ่มที่ 1 (กวาง) ก็เช่นเดียวกัน ต้องการ น้ำ หรือ อาหาร หรือที่อยู่อาศัยก็ให้ทำท่าตามนั้น ไม่จำเป็นต้อง ทำท่าเหมือนกัน แต่ขณะที่ทำต้องหันหลังให้กัน ครูยืนอยู่ตรงกลางระหว่างแถว เมื่อทำท่าทุกคนแล้วให้กวาง (กลุ่มที่ 1) หันกลับไปหากลุ่มที่ 2 ถ้าคนใดในกลุ่ม 2 ทำท่าเหมือนตน ให้ดึงกลับมาเป็นกวางได้ 1 คน แต่ถ้าไม่มี ใครทำท่าเหมือนตนเองเลย กวางก็ไมส่ ามารถกลับมาได้ ตอ้ งไปเข้ากลุ่ม 2 คอื น้ำ อาหาร และท่ีอยอู่ าศยั แทน แล้ว ทำแบบเดมิ อีก จดจำนวนกวางทกุ ครง้ั จำนวนกวางจะเพิ่มขึ้นจนสูงสุด แล้วต่ำลง เป็นวงจรของสิ่งมีชีวิต เมื่อมีน้ำ อาหาร ที่อยู่อาศัยมาก กวางก็ จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่เมื่อ น้ำ อาหาร และที่อยู่อาศัยลดลง เนื่องจากจำนวนกวางเพิ่มขึ้น ก็จะทำใหกวางลดลง จะ เปน็ เช่นนไ้ี ปเรื่อย ๆ นำขอ้ มลู มา plot graph ใหน้ ักศกึ ษาดู ถามว่าทำไมจงึ เปน็ เช่นน้ี

60 7. ผลการศึกษา - ดจู ากกิจกรรมทนี่ ักเรียนทำ และสรปุ เร่ืองระบบนเิ วศไดถ้ ูกตอ้ ง 8. สรปุ และวิจารณ์ผล ....................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... 9. การประเมนิ ผล 1. สังเกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล 2. ประเมนิ พฤติกรรมการเข้ารว่ มกจิ กรรมกลุม่ 3. สังเกตพฤติกรรมการเข้ารว่ มกิจกรรมกลมุ่ 4 ตรวจกจิ กรรมสง่ เสริมคุณธรรมนำความรู้ 5. ตรวจแบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ แบบฝกึ ปฏบิ ตั ิ 6. ตรวจกจิ กรรมใบงาน 7. การสังเกตและประเมินพฤติกรรมด้านคุณธรรม จริยธรรม คา่ นิยม และคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ 10. เอกสารอ้างอิง /เอกสารค้นควา้ เพิ่มเติม หนังสือเรยี นวชิ า พลังงาน ทรัพยากรและสิง่ แวดลอ้ มสำนกั พมิ พ์เอมพันธ์ รหสั 20001-1002 และ อนิ เทอรเ์ นต็

61 แผนการจดั การเรียนรู้ หนว่ ยท่ี 4 สอนครงั้ ที่ 4 (7-8) หลักสูตร ประกาศนยี บตั รวิชาชพี ท-ป-น 2-0-2 รหสั 20001-1002 พลงั งาน ทรัพยากรและสงิ่ แวดล้อม ทฤษฎี 2 ชม. ช่ือหน่วยการเรียนรู้ พลังงานกบั การดำรงชีวิต 1. สาระสำคัญ มนุษยต์ อ้ งพ่ึงพาพลงั งาน เพราะพลงั งานมีความสำคัญสำหรับการเจรญิ เติบโต และเป็นปัจจัยพืน้ ฐานท่ีสําคญั ในชวี ิตประจําวันของมนษุ ย์ไม่ว่าจะเป็นด้านการพัฒนาเศรษฐกจิ การสาธารณสุข การขนส่ง การสอื่ สาร ตลอดจนสง่ิ อาํ นวยความสะดวกในชวี ิตประจาํ วัน ปัจจบุ ันมนษุ ย์มีการใช้พลังงานมากกว่าในอดตีมาก โดยเฉพาะประเทศท่ีมี ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในขณะทที่ ว่ั โลกกาํ ลังประสบปัญหาการขาดแคลนพลงั งาน นอกจากนกี้ ารผลติ และการ ใช้พลงั งานก็ยังมผี ลกระทบต่อส่ิงแวดล้อมด้วย 2. สมรรถนะประจำหน่วย 1.นักเรียนสามารถเปรยี บเทยี บการใชพ้ ลังงานในอดีตกับปจั จบุ นั ได้ 2 นักเรยี นสามารถวเิ คราะห์ความสำคญั ของพลังงานท่ีมตี ่อการดำรงชีวิตได้ 3.นักเรียนสามารถบอกความเป็นมาของการใชพ้ ลังงาน ในประเทศไทยได้ 4.นักเรยี นสามารถวิเคราะหค์ วามจำเปน็ ในการใช้พลงั งานเพื่อพัฒนาประเทศด้านต่างๆ ได้ 5.นักเรยี นสามารถวิเคราะห์จำนวนเครอื่ งใชไ้ ฟฟา้ ในบ้าน ระยะเวลาการใช้งาน จำนวนพลังงานไฟฟา้ ท่ใี ชแ้ ละ คา่ ใชจ้ า่ ยได้ 3. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1.เปรยี บเทียบการใช้พลังงานในอดีตกับปัจจุบนั ได้ 2 วิเคราะหค์ วามสำคญั ของพลงั งานท่มี ีตอ่ การดำรงชีวิตได้ 3.บอกความเป็นมาของการใชพ้ ลังงาน ในประเทศไทยได้ 4.วิเคราะห์ความจำเป็นในการใช้พลังงานเพื่อพัฒนาประเทศด้านต่างๆ ได้ 5.วเิ คราะหจ์ ำนวนเคร่ืองใช้ไฟฟา้ ในบ้าน ระยะเวลาการใชง้ าน จำนวนพลงั งานไฟฟ้าท่ีใชแ้ ละค่าใช้จา่ ยได้ 6. มีการพฒั นาคุณธรรม จริยธรรม คา่ นยิ ม และคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ของผู้สำเรจ็ การศกึ ษา สำนกั งาน คณะกรรมการการอาชีวศึกษา ทคี่ รูสามารถสังเกตได้ขณะทำการสอนในเรอ่ื ง 6.1 ความมมี นุษยสัมพนั ธ์ 6.2 ความมีวนิ ัย 6.3 ความรบั ผดิ ชอบ 6.4 ความซือ่ สตั ยส์ จุ รติ 6.5 ความเชอื่ ม่ันในตนเอง 6.6 การประหยดั 6.7 ความสนใจใฝร่ ู้ 6.8 การละเว้นสิง่ เสพตดิ และการพนัน 6.9 ความรกั สามคั คี 6.10 ความกตญั ญกู ตเวที 6.11 แตง่ กายตามขอ้ ตกลง ตรงเวลา รักษาสง่ิ แวดล้อม ใจอาสา 4. สาระการเรยี นรู้ 1.การใชพ้ ลังงานในอดตี 2.ววิ ัฒนาการการใชพ้ ลังงานของมนุษย์ 3.ความเป็นมาของการใช้พลังงานในประเทศไทย

62 4.การนำพลงั งานมาใช้เพ่ือพัฒนาประเทศ 5. กิจกรรมการเรยี นรู้ (สปั ดาหท์ ่ี...4........) ขั้นนำเขา้ สบู่ ทเรยี น 1.ครใู ช้เทคนิคการสอนแบบซิปปาโมเดล (CIPPA MODEL) โดยการทบทวนความรเู้ ดิมจากสปั ดาห์ท่ผี ่านมา โดยดงึ ความรเู้ ดมิ ของผ้เู รียนในเรือ่ งทจี่ ะเรียน เพื่อชว่ ยใหผ้ เู้ รียนมคี วามพร้อมในการเช่ือมโยงความร้ใู หม่กบั ความรู้ เดิมของตน ผู้สอนใชก้ ารสนทนาซักถามใหผ้ เู้ รยี นเล่าประสบการณเ์ ดิม 2.ครูและผู้เรียนสนทนาว่าแตเ่ ดมิ มนุษย์มเี พยี งอาหารเท่าน้ันท่ีเป็นแหล่งพลงั งาน โดยปรมิ าณที่ตาละคน ไดร้ บั ในแต่ละวัน เทียบเท่ากับความร้อนเพยี ง 2,000 กโิ ลแคลอรี ขน้ั สอน 3.ครใู ช้เทคนิควิธสี อนแบบ Jigsaw เป็นการจัดการเรียนรโู้ ดยใช้เทคนิคจิกซอว์ เปน็ การจดั กระบวนการ เรยี นรทู้ ่ีใช้แนวคิดการต่อภาพ โดยแบง่ ผู้เรยี นเป็นกลุ่ม ทกุ กลุ่มจะได้รบั มอบหมายให้ทำกิจกรรมเดยี วกันเรื่อง 1.การใชพ้ ลงั งานในอดีต 2.ววิ ฒั นาการการใชพ้ ลงั งานของมนุษย์ 3.ความเปน็ มาของการใชพ้ ลงั งานในประเทศไทย 4.การนำพลังงานมาใชเ้ พอื่ พัฒนาประเทศ 4.ครใู ช้เทคนิควธิ สี อนแบบ Discussion Method การจัดการเรียนรูแ้ บบอภปิ รายววิ ัฒนาการการใช้พลงั งาน ของมนษุ ย์ ซง่ึ มวี ิวัฒนาการการค้นพบพลงั งานกับการนํามาใช้นั้น มคี วามเป็นมาควบคู่กับความเจรญิ ก้าวหน้าของ อารยธรรมมนษุ ย์ นักวิทยาศาสตร์ไดแ้ บง่ ยุคสมยั ของความเจริญทางอารยธรรมของมนษุ ย์ตาม ววิ ัฒนาการในการใช้ พลงั งาน ดังน้ี 5.ครูใช้สอื่ วิดีทศั น์ เพ่อื อธิบายความเปน็ มาของการใช้พลงั งานในประเทศไทย และการนำพลงั งานมาใช้ เพือ่ พฒั นาประเทศ 6 ครูใชเ้ ทคนิคการสอนแบบ Demonstration Method เพือ่ อธบิ ายและสาธิต ถา่ ยทอดความเป็นมาของการ ใชพ้ ลงั งานในประเทศไท และการนำพลงั งานมาใช้เพ่อื พัฒนาประเทศโดยเปดิ วดี ีทศั น์ให้ดปู ระกอบ 7.ผู้เรยี นเปรียบเทียบการใช้พลงั งานในอดตี กบั ปัจจุบนั

63 8.ผู้เรยี นสํารวจว่าใช้พลังงานสาํ หรับทํากจิ กรรมใดบ้างในชวี ิตประจาํ วัน โดยสาํ รวจมา 7 รายการ พร้อมระบุ รายละเอยี ดทีเ่ กยี่ วข้องตามตัวอย่างทก่ี ําหนดให้ 9.ผเู้ รียนปฏบิ ัติกิจกรรม ดังน้ี 9.1 รวมรายการอุปกรณ์ไฟฟ้าท่ีใชในบ้าน โดยระบจุ าํ นวนที่มีระยะเวลาการใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าใน 1 วนั 9.2 ศกึ ษาตารางแสดงความส้ินเปลอื งไฟฟ้าของเคร่ืองใช้ไฟฟ้า 9.3 วเิ คราะห์จาํ นวนหน่วยไฟฟ้าท่ใี ช้ของอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้านใน 1 วนั ตามข้อ 9.1 โดยใช้สตู รการ คํานวณทกี่ ําหนดให้ 9.4 วเิ คราะห์หาคา่ ใช้จา่ ย (ค่าไฟฟ้า) ของอปุ กรณ์ภายในบ้านแตล่ ะชนิดต่อวนั โดยใช้สตู รการคาํ นวณที่ กําหนดให้ 9.5 วเิ คราะห์หาจาํ นวนหน่วยทใี่ ช้และคา่ ใช้จา่ ย หน่วยไฟฟ้า (คา่ ไฟฟ้า) ทใี่ ช้ของบ้านต่อเดือนแล้วนาํ ไป เปรยี บเทียบกับใบเสร็จรบั เงินค่าไฟฟ้าของการไฟฟ้าประจําเดือน 10.ครใู ห้ความรู้เพิม่ เติมในการทำบญั ชีรายรบั -รายจา่ ย ซ่ึงเป็นการจดบันทึกเหตกุ ารณ์ต่าง ๆ เก่ียวกบั การเงนิ หรือบางสว่ นเกย่ี วข้องกับการเงิน โดยผา่ นการวิเคราะห์ จัดประเภทและบนั ทกึ ไว้ในแบบฟอร์มท่ีกำหนด เพ่ือแสดง ฐานะการเงนิ และผลการดำเนินงานของตนเองหรือครอบครัวในช่วงระยะเวลาหน่ึง เป็นวิธีตรวจสอบการใชจ้ ่ายของ ครอบครัวว่ามีรายจา่ ยสมดลุ กับรายรับ และใช้จา่ ยอย่างมเี หตุผลตามความจำเปน็ พอเหมาะกับสภาพครอบครัว หรอื ไม่ หากสามารถปรบั เปลย่ี นพฤติกรรมการบรโิ ภค เพือ่ ลดรายจ่ายท่ไี ม่จำเปน็ เกนิ ตนได้ จะช่วยให้มเี งินเก็บออม เพ่ือเปน็ รากฐานสรา้ งภูมิคุ้มกันทีดีในชีวิตได้ ขั้นสรุปและการประยกุ ต์ 11.ครแู ละผูเ้ รียนสรปุ เน้ือหาพลังงานกับการดำรงชีวติ โดยการถามตอบ 12.ผ้เู รยี นทำกจิ กรรมใบงาน แบบประเมินผลการเรยี นรู้ และประเมินผู้เรยี นตามแบบฟอรม์ ดงั ต่อไปน้ี ชอ่ื ผู้เรียน ประสบการณพ์ ้นื ฐานการเรียนรู้ วธิ ีการเรยี นรู้ ความรู้ ทกั ษะ ผลงาน 1. 2. 3. 4. 5. 6. สอ่ื และแหล่งการเรยี นรู้ 1.หนงั สอื เรียน วิชาพลังงาน ทรพั ยากรและสง่ิ แวดล้อม ของสำนกั พิมพ์เอมพันธ์ 2.สือ่ Power Point, วดี ีทศั น์ 3.กิจกรรมการเรยี นการสอน 4.รปู ภาพประกอบ 5.แบบประเมินผลการเรียนรู้

64 7.หลักฐานการเรยี นรู้ 1.บันทกึ การสอนของผู้สอน 2.ใบเชค็ รายชอื่ 3.แผนจัดการเรยี นรู้ 4.การตรวจประเมินผลงาน 8.การวัดและประเมินผล 8.1 วธิ กี าร 1. สงั เกตพฤตกิ รรมรายบุคคล 2. ประเมินพฤติกรรมการเขา้ รว่ มกิจกรรมกลมุ่ 3. สังเกตพฤตกิ รรมการเข้าร่วมกิจกรรมกลมุ่ 4 ตรวจกิจกรรมสง่ เสริมคุณธรรมนำความรู้ 5. ตรวจแบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ แบบฝึกปฏิบัติ 6. ตรวจกิจกรรมใบงาน 7. การสังเกตและประเมนิ พฤติกรรมด้านคุณธรรม จริยธรรม คา่ นิยม และคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ 8.2 เครือ่ งมือ 1. แบบสงั เกตพฤติกรรมรายบคุ คล 2. แบบประเมินพฤติกรรมการเข้าร่วมกจิ กรรมกลุ่ม (โดยครู) 3. แบบสังเกตพฤติกรรมการเข้าร่วมกจิ กรรมกลุ่ม (โดยผู้เรยี น) 4. แบบประเมินผลการเรียนรู้ และแบบฝกึ ปฏบิ ัติ 5. แบบประเมนิ กิจกรรมใบงาน 6. แบบประเมนิ คุณธรรม จริยธรรม ค่านยิ ม และคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ โดยครแู ละผู้เรียนรว่ มกัน ประเมิน 8.3 เกณฑ์ 1. เกณฑผ์ ่านการสังเกตพฤตกิ รรมรายบุคคล ต้องไม่มชี ่องปรบั ปรุง 2. เกณฑผ์ ่านการประเมินพฤติกรรมการเขา้ ร่วมกิจกรรมกลุ่ม คอื ปานกลาง (50 % ข้ึนไป) 3. เกณฑ์ผ่านการสงั เกตพฤตกิ รรมการเข้ารว่ มกิจกรรมกลุ่ม คือ ปานกลาง (50% ขน้ึ ไป) 4. แบบประเมนิ ผลการเรยี นรมู้ เี กณฑผ์ า่ น และแบบฝึกปฏิบัติ 50% 5. แบบประเมนิ กิจกรรมใบงานมีเกณฑ์ผา่ น 50% 6. แบบประเมินคุณธรรม จริยธรรม คา่ นยิ ม และคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ คะแนนข้นึ อยู่ กับการประเมินตามสภาพจริง

65 9.บันทึกผลหลงั การจัดการเรียนรู้ 9.1 ข้อสรุปหลงั การจัดการเรยี นรู้ .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. 9.2 ปัญหาทพ่ี บ .............................................................................................. .................................................... .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. ............................................................................................................................... ................... 9.3 แนวทางแก้ปัญหา ............................................................................................................ ...................................... .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. ........................................................................................................................................... .......

66 ใบความรูท้ ี่ .....4........... หน่วยที่ 4 หลักสตู ร ประกาศนียบตั รวิชาชพี สอนครง้ั ท.ี่ .....4 เวลา......2............ชม. รหัส 20001-1002 พลงั งาน ทรัพยากร และสิง่ แวดล้อม ช่ือเรอื่ ง พลังงานกับการดำรงชวี ติ 1. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1.บอกความหมายและประเภทของสิง่ แวดล้อม และทรัพยากรธรรมชาติ 2.อธบิ ายประโยชน์และความสำคัญของสง่ิ แวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ 3.อธบิ ายทรพั ยากรท่มี นุษย์นำมาใช้ประโยชน์ 4.วเิ คราะห์ปัญหาการทำลายส่งิ แวดลอ้ ม และทรพั ยากรธรรมชาติ 2. สมรรถนะ 1.นักเรยี นสามารถวิเคราะห์และบอกความหมายและประเภทของส่ิงแวดล้อม และทรพั ยากรธรรมชาติ ได้ 2.นักเรียนสามารถอธบิ ายประโยชน์และความสำคัญของสิ่งแวดลอ้ มและทรัพยากรธรรมชาติ ได้ 3.นกั เรียนสามารถอธิบายทรัพยากรที่มนษุ ย์นำมาใชป้ ระโยชน์ ได้ 4.นักเรียนสามารถวเิ คราะหป์ ัญหาการทำลายสิง่ แวดล้อม และทรพั ยากรธรรมชาติได้ 3. เน้ือหาสาระ ความหมายของพลงั งานและส่ิงแวดลอ้ ม พลังงาน หมายถึง ความสามารถของสงิ่ ใดสิ่งหนึ่งท่ีจะทำงานได้ งาน (Work) เปน็ ผลของการกระทำ ของแรงเปน็ เหตุใหส้ ่ิงน้ันเคลื่อนที่ เช่น เปลวไฟทเ่ี ผากาน้ำจะเปลี่ยนน้ำให้เป็นไอนำ้ และแรงดันไอน้ำจะดันฝากาน้ำ เผยอขึ้นได้ งานเช่นนี้ เรียกว่า พลังงาน รถไฟเคลื่อนที่ได้เพราะมีพลังงานมนุษย์เดินได้เพราะพลังงาน พลังงาน สามารถแปรรูปไปเป็นงานได้ เช่น พลังงานความร้อน ทำให้น้ำกลายเป็นไอและไอนี้ไปช่วยให้เครื่องจักรไอน้ำ ทำงานได้ พลังงานไฟฟา้ ใชใ้ นการปัน่ มอเตอร์ พลังงานอะตอมใช้ในการขับเคลอ่ื นเรือรบและเรือรบดำน้ำ ประเภทของพลังงาน พลงั งานแบง่ ออกเปน็ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คอื 1 พลังงานใช้แล้วหมด หรือที่นักวิชาการเรียกกันว่า พลังงานสิ้นเปลือง หรือพลังงานฟอสซิล ได้แก่ นำ้ มนั รวมทัง้ หินน้ำมนั ทรายน้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ ทเี่ รียกวา่ ใชแ้ ล้วหมดกเ็ พราะหามาทดแทนไม่ทัน การใช้ พลังงานพวกนี้ปกติแล้วจะอยู่ใต้ดิน ถ้าไม่ขุดขึ้นมาใช้ตอนนี้ ก็เก็บไว้ให้ลูกหลานใช้ได้ในอนาคต บางทีจึง เรยี กว่าพลังงานสำรอง 2 พลังงานใชไ้ มห่ มด หรอื พลังงานหมุนเวียน ไดแ้ ก่ ไม้ กระดาษ ฟนื แกลบ กาก (ชาน)อ้อย ชวี มวล (เชน่ มูลสตั ว์ และกา๊ ซชีวภาพ) น้ำ (จากเขือ่ นไหลมาหมนุ กังหันปัน่ ไฟ) แสงอาทติ ย์ (ใช้เซลลแ์ สงอาทติ ยผ์ ลติ ไฟฟ้าได้) ลม (หมุนกังหันลมผลิตไฟฟ้า) และคลื่น (กระแทกให้กังหันหมุนปั่นไฟ) และที่ว่าใช้ไม่หมดก็เพราะ สามารถหามาทดแทนได้ เช่น ปลูกป่าเอาไม้มาทำฟืน หรือปล่อยน้ำจากเขื่อนมาปั่นไฟ แล้วไหลลงทะเลกลาง เป็นไอและเป็นฝนตกลงมาส่โู ลกอกี หรอื แสงอาทิตยท์ ีไ่ ดร้ ับจากดวงอาทติ ยอ์ ย่างไม่มวี ันหมดสิน้ ความสำคัญของพลังงาน มนษุ ยน์ ำพลงั งานมาใช้ในการดำรงชีวิตตั้งแตส่ มยั โบราณ เรม่ิ จากการใช้ไฟฟ้าที่เกิดจากการเสียดสี ของไมห้ รอื หนิ เพ่ือให้เกิดความอบอุ่น แสงสว่างและการหุงต้มอาหาร มนษุ ยเ์ ริม่ รู้จักทำกังหนั วิดน้ำ ทำกังหันลมมา

67 เพื่อยกของหนักและบดเมล็ดธัญพืช พลังงานเป็นปัจจัยสำคัญ ในการส่งเสริมสวัสดิภาพและความผาสุกของ ประชาชนแต่ละประเทศทั่วโลก พลังงานมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับความมั่นคงของประเทศทั้งทางการเมือง การทหาร การเศรษฐกิจและสังคม ปัจจุบันมีการใช้พลังงานมากขึ้น ในการพัฒนาเศรษฐกิจทุกสาขา เช่น อุตสาหกรรม การคมนาคมขนส่ง การไฟฟา้ เปน็ ตน้ ความหมายของสิ่งแวดล้อม สงิ่ แวดล้อม (Environment) หมายถงึ ทุกส่ิงทกุ อย่างที่อยลู่ อ้ มรอบตวั เรา ทงั้ ท่ีมชี ีวิต และไมม่ ชี วี ิต แบ่งเปน็ ส่ิงแวดล้อมที่เกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ และส่ิงแวดลอ้ มท่มี นุษยส์ รา้ งขึน้ 1) สิ่งแวดลอ้ มทเ่ี กิดขน้ึ เองตามธรรมชาติ ยงั แบ่งออกเป็นสิ่งแวดล้อมที่มีชีวิต ได้แก่ คน สัตว์ พชื หรือเรยี กวา่ ส่งิ แวดลอ้ มระบบชวี ภาพ และส่งิ แวดล้อมที่ไม่มีชวี ติ ไดแ้ ก่ นำ้ ภูเขา หิน ดิน แรธ่ าตุ 2) สิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สรา้ งข้นึ แบ่งเป็นสง่ิ แวดลอ้ มทางกายภาพ หรอื สิ่งแวดลอ้ มท่ีสามารถจับ ตอ้ งได้ เช่น บา้ น อาคารทอ่ี ยู่อาศยั ถนนหนทาง โรงงานอตุ สาหกรรม ส่งิ กอ่ สร้าง สงิ่ ประดิษฐต์ ่าง ๆ และ สิ่งแวดล้อมทางสังคม เป็นส่ิงแวดลอ้ มที่ไมส่ ามารถมองเห็นได้ แตส่ ร้างขน้ึ เพ่ือความเป็นระเบยี บทางสังคม หรอื สร้างข้นึ เพ่ือใชใ้ นการอยู่ร่วมกันในสังคม เชน่ ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี วัฒนธรรม ศาสนา กฎหมาย การศกึ ษา และความเช่ือตา่ ง ๆ ฯลฯ ความสัมพันธข์ องพลงั งานและสง่ิ แวดล้อมกบั การดำรงชวี ติ ของมนษุ ย์ 1 พลังงานกบั การดำรงชีวติ ของมนษุ ย์ - พลังงานไฟฟา้ ไฟฟ้าคือพลังงานรูปแบบหนึ่ง ซึ่งถูกแปรรูปเพื่อจัดส่งไปยังที่ต่าง ๆ โดยใช้สายไฟฟ้าเป็นตัว นำไป พลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานที่สำคัญและมนุษย์นำมาใช้มากที่สุด นับแต่ ทอมัส แอลวา เอดิสัน ประดิษฐ์ หลอดไฟสำเร็จเมื่อปี พ.ศ. 2422 แล้ว ไฟฟ้าก็นับเป็นปัจจัยท่ีสำคัญในการดำรงชีวิตของคนโดยเฉพาะสังคมใน เมือง การติดตอ่ สือ่ สาร การคมนาคมขนส่ง การใหค้ วามรู้ การศึกษา การขยายตัวทางเศรษฐกจิ การเพมิ่ ผลผลิต การค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แหล่งบันเทิง การผลิตสนิ ค้าและการขายสินค้า เหล่านี้ต้องอาศยั พลังงานไฟฟ้าทง้ั ส้ิน สิ่งอำนวยความสะดวกที่เราใช้สอยในชีวิตประจำวัน ล้วนต้องการพลังงานในการทำงาน เช่น หลอดไฟก็ต้องการไฟฟ้าเพื่อส่องสว่าง รถยนต์ก็ต้องการน้ำมันเพื่อการขับเคลือ่ น แม้แต่รถจักรยานยังตอ้ งการแรง ถีบ แต่การจะส่งพลังงานต่อไปยังพื้นที่ห่างไกล การจะนำไปส่งให้อย่างง่ายที่สุดคือ การแปลงพลังงานอื่น ๆ เป็น พลังงานไฟฟ้า และส่งไปตามสายไฟฟ้า นอกจากนี้เทคโนโลยีด้านเครื่องใชไ้ ฟฟ้าได้มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ดังที่ เห็นได้รอบตัวในทุกวันนี้ เครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ใช้เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าไปเป็นพลังงานรูปอื่น เพื่อทำกิจกรรมใน ชีวติ ประจำวนั การผลิตไฟฟ้าในปัจจุบนั และอนาคต การผลิตไฟฟ้าในปัจจุบันเป็นการผลิตร่วมกันของโรงไฟฟ้าประเภทต่าง ๆ เชื่อมโยงระบบส่งไฟฟ้า ด้วยสายส่งไฟฟ้า โดยมีศูนย์ควบคุมระบบกำลังไฟฟ้า คอยควบคุมระบบการผลิตและส่งจ่ายกระแสไฟฟ้า ทำให้ สามารถเสริมกำลังผลิตแก่กันได้ โดยในการผลิตพลังงานไฟฟ้าของประเทศไทยในปี 2550 จะใช้เชื้อเพลิงจากก๊าซ

68 ธรรมชาติมากที่สุด รองลงมาคือลิกไนต์ ถ่านหิน พลังน้ำ รับซื้อจากต่างประเทศ น้ำมันเตา และพลังงาน หมุนเวียน ตามลำดบั สำหรับในอนาคต ความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศไทยยังคงเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากอุตสาหกรรม ภายในประเทศกำลังเจริญก้าวหน้าประกอบกับรฐั บาลมนี โยบายแน่นอนที่จะขยายการพฒั นาไฟฟา้ ไปสชู่ นบท กฟผ. จึงต้องมีการวางแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าครอบคลุมระยะเวลา 17 ปี โดยแบ่งออกเป็นแผนหลักและแผน ทางเลือกทดแทน แล้วพิจารณาปรับเปลี่ยนแผนไปตามสภาพการณ์ในช่วงเวลานั้น ๆ นอกจากนี้ กฟผ. ได้ศึกษา และวิจัยพลังงานตามธรรมชาติอื่น ๆ มาทดแทน เช่น ลม แสงอาทิตย์ ความร้อนใต้พิภพ สำหรับการผลิตไฟฟา้ ในอนาคตอีกด้วย - พลงั งานเช้อื เพลิงสำหรบั ยานพาหนะ พลงั งานเช้ือเพลงิ ท่ไี ด้ใช้เปน็ น้ำมันเชื้อเพลิงชนิดตา่ ง ๆ เตมิ ยานพาหนะไดแ้ ตกตา่ งกันไป ดังน้ี 1. ก๊าซปิโตรเลียมเหลว หรอื แอลพจี ี ใช้สำหรบั รถยนต์ 2. น้ำมันเบนซิน (ก๊าซโซลีน) น้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์เบนซิน เช่น รถยนต์ส่วน บุคคล รถจกั รยานยนต์ 3. น้ำมันเครื่องบนิ ใชส้ ำหรบั เครือ่ งบินใบพดั เครอ่ื งบินไอพ่น 4. นำ้ มันดีเซล น้ำมนั เชอ้ื เพลิงสำหรบั เครอ่ื งยนต์ดเี ซล แบง่ เป็น 2 ประเภท คอื 1) น้ำมันดีเซลหมนุ เร็ว หรือ น้ำมันโซล่า ใช้สำหรบั เครื่องยนต์ดีเซลรอบหมุนเร็วที่ใช้กบั ยานยนต์ เช่น รถยนต์ รถบรรทกุ เรือประมง รถแทรกเตอร์ และเครอ่ื งจกั รกลหนกั 2) น้ำมันดีเซลหมุนช้า หรือ น้ำมันขี้โล้ สำหรับเครื่องยนต์ดเี ซลรอบหมุนปานกลางหรอื รอบหมนุ ชา้ เชน่ เครื่องยนต์ดีเซลขับสง่ กำลัง ติดตั้งอยู่กบั ทีต่ ามโรงงานตา่ ง ๆ 5. ไบโอดีเซล เป็นเช้ือเพลงิ ดีเซลทางเลือกที่ผลิตจากแหลง่ ทรพั ยากรหมุนเวียน เช่น น้ำมนั พืช ไขมันสัตว์ หรือสาหร่าย มีคุณสมบัติการเผาไหม้เหมือนกับดีเซลจากปิโตรเลียมมาก สามารถใช้แทนกันได้ สามารถยอยสลายได้เอง ตามกระบวนการชีวภาพในธรรมชาติ และไม่เปน็ พษิ 6. น้ำมันแก๊สโซฮอล์ หรือที่นิยมเรยี กว่า E10 คือ น้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์ ที่เกิดจาก การผสมระหวา่ ง นำ้ มนั เบนซนิ 90% กบั แอลกอฮอล์ 10% 7. น้ำมันเตา นำมาใช้เปน็ เชื้อเพลิงสำหรับเรือและอุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังสามารถใช้กับ เครื่องยนต์ดีเซลรอบปานกลาง น้ำมันเตาช่วยลดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ จากการเผาไหม้ที่ออกสู่บรรยากาศของ โรงงานอุตสาหกรรม - พลงั งานเพื่อการประกอบอาหาร 1. การประกอบอาหาร ในการประกอบอาหารจำเป็นต้องทำให้อาหารนั้นสุกเสียก่อน โดยใช้พลังงานความร้อน พลังงานความร้อนที่ใช้ในอดีตมักใช้วัสดุจากธรรมชาติ เช่น ฟืน ถ่านไม้ แกลบ เป็นต้น แต่ในปัจจุบันนิยมใช้ พลังงานความร้อนที่ได้มากจากเชื้อเพลิงฟอสซิล นั่นคือ ก๊าซหุงต้มในครัวเรือน หรือที่เรียกว่า ก๊าซปิโตรเลียม เหลว หรือ ก๊าซแอลพีจี (liquefied Petroleun Gas-LPG) 2. ก๊าซหงุ ตม้

69 เป็นก๊าซที่ได้จากกระบวนการแยกแก๊สธรรมชาติและขบวนการกลั่นน้ำมัน เป็น สารประกอบพวกไฮโดรคารบ์ อน ประกอบด้วยแกส๊ โพรเพน และบิวเทน เป็นสว่ นประกอบหลัก มีคุณสมบัติหนัก กว่าอากาศประมาณ 1.5-2 เท่า ไม่มีสี ไม่เป็นพิษ จึงต้องเติมกลิ่นเหม็น (Ethyl Mercaptan) ลงไปเพื่อให้รู้ว่า กา๊ ซรั่ว ซ่ึงอาจทำให้ติดไฟไดแ้ ละขยายตัวเมือ่ อณุ หภมู สิ ูง กา๊ ซ 1 ลิตร หนกั ประมาณ 0.5 กโิ ลกรัม เมอื่ เผาไหม้จะ มมี ลภาวะต่ำกว่าน้ำมัน ก๊าซหุงต้มมีค่าความร้อนสูง เป็นเชื้อเพลิงที่สะอาดมีการเผาไหม้ที่สมบูรณ์ การใช้งาน สะดวกไมต่ อ้ งการอปุ กรณท์ ยี่ งุ่ ยากเมื่อเทียบกบั เชือ้ เพลิงอ่นื ๆ ควบคุมความรอ้ นได้งา่ ย คา่ ใชจ้ า่ ยในการใช้งาน และ บำรุงรักษาน้อยมาก จึงนยิ มนำมาใช้งานประกอบอาหาร หงุ ต้มในครัวเรอื น งานอตุ สาหกรรม โดยใชก้ า๊ ซร้อนจาก การเผาไหม้ของก๊าซหุงต้มไปใช้งานถ่ายความร้อนโดยตรงกันมาก เช่น งานโลหะเชื่อมบัดกรี และในปัจจุบันนิยม นำมาใชเ้ ป็นเชอื้ เพลงิ ในรถยนต์ เนอ่ื งจากมรี าคาถูกและเปน็ มิตรตอ่ ส่ิงแวดล้อม การจัดหา การใชแ้ ละการสง่ ออกกา๊ ซ LPG กา๊ ซแอลพีจี ถกู นำมาใชใ้ นครัวเรอื นมากทีส่ ุด รองลงมาคือ อุตสาหกรรม รถยนต์ และปิโตรเคมี ตามลำดบั และมอี ัตราการใชเ้ พ่ิมข้นึ อย่างตอ่ เน่อื ง หนว่ ย : ลา้ นกโิ ลกรัม ลา้ นกโิ ลกรมั 2546 2547 2548 2549 2550 อัตราเพิ่ม (%) ครวั เรือน 2547 2548 2549 2550 อุตสาหกรรม 1,502 1,513 1,604 1,721 1,223 0.7 6.0 7.3 9.4 รถยนต์ ปิโตรเลยี ม 435 441 450 511 385 1.4 2.0 13.6 15.3 รวม 210 225 303 459 373 7.1 34.7 51.6 31.8 การผลิต การสง่ ออก 405 425 567 521 388 4.9 33.4 -8.0 8.7 2,551 2,604 2,923 3,212 2,369 2.1 12.3 9.9 13.2 3,337 3,565 3,884 3,904 2,745 6.8 8.9 0.3 3.5 770 890 948 576 229 15.6 6.5 -39.2 -46.7 ผลกระทบของการใชพ้ ลงั งานต่อการดำรงชวี ิต ประชากรมนุษย์ที่เพ่ิมข้ึนอย่างรวดเรว็ ประกอบกบั กิจกรรมตา่ ง ๆ ในการดำรงชวี ิตของมนุษย์ ก่อให้เกิด การรบกวนต่อวัฏจักรของสสารที่หมุนเวียนอยู่ในระบบนิเวศ ซึ่งอาจจะเป็นระบบนิเวศขนาดเล็ก จนถึงระบบ นิเวศของโลก ประเทศไทยก็เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศของโลก ระบบนิเวศที่เปลี่ยนแปลงไป มีผลมาจาก ประชากรในประเทศมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว การใช้พลังงานจากถ่านหินและน้ำมันก็มากขึ้นเป็นเงาตาม ตัว การทำลายทรัพยากรป่าไม้เพื่อการขยายพื้นที่ทำการเกษตรก็เพิ่มมากขึ้น และการสังเคราะห์สารเคมีต่าง ๆ มาใช้ในการผลิตทั้งการเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมอย่างมากมาย สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศเป็น ผลกระทบมาจากหัวขอ้ ทีจ่ ะกลา่ วดงั ต่อไปน้ี

70 1 ผลกระทบจากการใชพ้ ลังงานจากถ่านหิน น้ำมนั และการทำลาย ทรพั ยากรปา่ ไม้ ถ่านหินและน้ำมันเกิดจากซากของสิ่งมีชีวิตท่ีทับถมกัน ภายใต้ภาวะความดันทีส่ ูงมาก ซึ่งเข้าใจ ว่าเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก ที่ทำให้ส่วนของซากสิ่งมีชีวิตไม่สามารถที่จะย่อยสลายได้ตาม ธรรมชาติ สิ่งมีชีวิตที่ทับถมกันเป็นเวลานานราว 200-300 ล้านปี โดยไม่มีการย่อยสลาย ทำให้สิ่งมีชีวิตเหล่านั้น กลายเปน็ น้ำมัน ในยุคปฏิวัติอตุ สาหกรรม ปลายศตวรรษท่ี 18 มนุษย์ได้คน้ พบถ่านหินและน้ำมันเชื้อเพลิง และได้ นำมาใช้ประโยชน์ในด้านอุตสาหกรรม ด้านยานยนต์ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้ถ่านหินและน้ำมันเชื้อเพลิงอย่าง มหาศาล จนมาถึงปจั จุบนั นี้ และไมม่ ีทา่ ทวี ่ามนษุ ยจ์ ะใช้ถา่ นหนิ และนำ้ มนั ลดลง การเพ่มิ อัตราการใชถ้ า่ นหินและ น้ำมันเชื้อเพลิง ทำให้เกิดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมากสู่บรรยากาศ ซึ่งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มี คุณสมบัติที่ไม่ไวต่อปฏิกิริยากับสารชนิดอื่น ๆ ทำให้คงตัวอยู่ได้ในบรรยากาศ นอกจากบางส่วนที่จะละลายไปกับ น้ำ แต่สว่ นใหญ่จะถกู ใช้ไปในกระบวนการสงั เคราะหแ์ สง การสังเคราะห์แสงในพน้ื ทตี่ า่ ง ๆ ท่วั โลก ข้ึนอยู่กบั สภาพพืน้ ท่ี สภาพตน้ ไม้ ปา่ ไม้ ความหนาแน่น ของป่าไม้ในแต่ละแหง่ ถ้าเปน็ ป่าดิบช้นื หรือป่าชายเลน ประสทิ ธิภาพในการสงั เคราะห์แสงจะดีท่ีสุด เน่ืองจาก พื้นที่ในเขตร้อนมีแสงแดดจัดและมีพืชอยู่หนาแน่น ขึ้นเป็นชั้น ๆ ทำให้มีพื้นที่สีเขียว หรือคลอโรฟิลล์ที่จะจับ พลังงาน จากแสงอาทิตย์ได้จำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ได้ทำลายป่าดิบชื้น ป่าชายเลนลงไปจำนวนมาก ประสิทธิภาพในการสังเคราะห์แสงของพ้ืนผิวโลกก็ลดลง ทำให้อัตราการใช้ก๊าซคาร์บอน-ไดออกไซด์ลดลงไปด้วย จึงส่งผลให้มีการสะสมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศเพิ่มมากขึ้น ซึ่งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มีคุณสมบัติใน การปล่อยให้รังสีคลื่นสั้น คือ แสงสว่างและ รังสีอัลตราไวโอเลต จากดวงอาทิตย์ผ่านมายังพื้นโลกได้ แต่เม่ือ พลังงานแสงและรังสีอัลตราไวโอเลต เปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนสะท้อนกลับออกไปจากพื้นโลก จะถูกก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ดดู ซับ และกั้นรังสีความรอ้ นไว้ ทำให้อุณหภูมขิ องโลกเพิม่ สงู ข้ึน เมื่อต้นไม้ ป่าไม้น้อยลง การ ใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อการสังเคราะห์ก็ลดลง และก๊าซออกซิเจนที่ได้จากการสังเคราะห์แสงก็ย่อมลดลงไป ดว้ ยเช่นกนั สำหรับการใช้ถ่านหนิ และน้ำมันเชื้อเพลิงนัน้ นอกจากจะมีผลต่อการใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ใน บรรยากาศแล้ว ยังก่อใหเ้ กิดก๊าซพษิ ตา่ ง ๆ อีกด้วย เช่น ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ไนโตรเจนไดออกไซด์ แต่ก๊าซพิษ เหล่านีม้ กั จะมอี ันตรายในระยะเวลาอันสั้น เนอื่ งจากก๊าซเหล่านี้มคี วามไวตอ่ การทำปฏกิ ริ ิยากับสารอนื่ ๆ และละลาย น้ำได้ดี จึงถูกกำจัดออกไปจากชั้นบรรยากาศได้เร็ว แต่อย่างไรก็ตาม ถ้ามนุษย์ได้รับสารพิษเหล่านี้เป็นประจำ และ ตอ่ เนื่อง ก็อาจส่งผลให้เป็นอนั ตรายตอ่ สขุ ภาพได้ 2 ผลกระทบจากการขยายพ้นื ที่ทำการเกษตร การขยายพืน้ ท่ีการเกษตรเป็นจำนวนมากและรวดเร็ว ก่อให้เกดิ การทำลายพืน้ ทปี่ ่า สัตวป์ ่า และ พนั ธไ์ุ มต้ ่าง ๆ ทำใหส้ ญู เสียพ้ืนทตี่ น้ นำ้ ลำธาร และส่งผลถึงการหมนุ เวยี นธาตอุ าหารในดิน เน่อื งจากในระบบนิเวศ ป่าธรรมชาติ เมื่อมีซากของ สิ่งมีชีวิต เช่น ซากพืชซากสัตว์ กิ่งไม้ ใบไม้ เมื่ออยู่ในดิน จะเกิดการย่อยสลาย กลายเปน็ แรธ่ าตุ ฮิวมสั ซ่ึงเปน็ อาหารของพืชต่อไป แตก่ ารเกษตรสมัยใหมน่ ั้น ไม่ได้รอกระบวนการทางธรรมชาติ เพื่อให้มีการย่อยสลายซากพืชซากสัตว์ แต่จะใช้วิธีการนำผลผลิตออกจากพื้นที่ และกำจัดซาก ต่าง ๆ ออกจาก พื้นที่ด้วย จึงไม่มีกระบวนการคืนธาตุอาหารลงสู่ดิน เมื่อทำการเกษตรซ้ำ ๆ เดิมอยู่ตลอดปี จึงทำให้ดิน เสื่อมสภาพลงอย่างรวดเร็ว เพราะมแี ต่กระบวนการใช้ธาตุอาหาร กระบวนการหมุนเวยี นของธาตุอาหารในดินจึง ถกู รบกวน สง่ ผลกระทบตอ่ พืชซง่ึ เป็นผผู้ ลิตในระบบนิเวศน้ัน ๆ

71 3 ผลกระทบจากการใชส้ ารประกอบทีส่ ังเคราะหข์ นึ้ มาใหม่ การเกษตรในปัจจุบัน นอกจากจะไม่รอเวลาให้เกิดกระบวนการหมุนเวียนธาตุอาหารตาม ธรรมชาติแล้ว ยังจะต้องใช้สารสังเคราะห์อื่น ๆ เข้ามาช่วยในการเกษตรอีกด้วย เช่น การใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ การใช้ยาฆ่าแมลง ยาปราบศัตรูพืช โดยเฉพาะเขตที่มีการเพาะปลูกตลอดปี การใช้ยาฆ่าแมลงอยา่ งต่อเนือ่ ง ทำ ให้แมลงมีโอกาสดื้อยา ซึ่งเกษตรกรจะต้องใช้ยาฆ่าแมลงในจำนวนมากขึ้นทุกปี หรือใช้ยาที่มีความเข้มข้นมากข้ึน การควบคมุ ประชากรแมลงดว้ ยวิธนี ี้ ทำให้ศัตรขู องแมลง เชน่ นก ถูกควบคุมปรมิ าณไปดว้ ย เมื่อนกไปกินแมลง นกจะได้รับสารพิษและอาจตายได้ มนุษย์ก็เช่นเดียวกัน เป็นผู้บริโภคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของระบบนิเวศก็ย่อมได้รับ ผลกระทบเชน่ เดยี วกนั สำหรับสาร CFC หรือ คลอโรฟลูออโรคาร์บอน เป็นสารสังเคราะห์ที่มนุษย์นำมาใช้ใน อุตสาหกรรมกระป๋องสเปรย์ ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ และ โฟม สารตัวนี้เป็นก๊าซเฉือ่ ย มีความคงตัวสูงมาก ไม่ ทำปฏกิ ริ ิยากับสารอ่นื ๆ จะลอ่ งลอยอย่ใู นบรรยากาศได้เป็นเวลานาน และสามารถท่ีจะลอยไปถงึ บรรยากาศช้ันของ โอโซน (O3) ซึ่งห่อหุ้มโลกอยู่ โอโซนเป็นสารที่ไวต่อปฏิกิริยากับสารคลอโรฟลูออโรคาร์บอน ทำให้ โอโซน (O3) กลายเป็น ออกซิเจน (O2) และชน้ั โอโซน(O3) จะเบาบางลง เป็นเหตใุ หป้ รมิ าณรงั สจี ากดวงอาทิตยส์ ามารถผ่าน ชั้นโอโซนมายังโลกได้มากขึ้น ซึ่งความแรงของรังสีจะเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ในโซ่อาหาร อันตรายต่อ สายตาและผิวหนังของมนุษย์ และส่งผลให้ปริมาณความร้อนบนพื้นโลกเพิ่มขึ้นด้วย นอกจากนี้ยังมีการใช้สารเคมี สังเคราะห์อกี หลายชนดิ ท่ีผยู้ ่อยสลายสารอินทรยี ์ไมส่ ามารถทำหนา้ ท่ยี ่อยสลายได้ เช่น พลาสติก โฟม ดงั น้ัน เม่ือ มสี ารเหล่านจ้ี ำนวนมากขนึ้ และไมส่ ามารถย่อยสลาย กจ็ ะตกค้างอยู่ในส่ิงแวดล้อมท่ีมนษุ ย์อาศัยอยู่ หรือคืนกลับสู่ ระบบของสิง่ มชี ีวติ นนั่ เอง

72 4. แบบฝกึ หัด/แบบทดสอบ ขอ้ สอบประจำหน่วยที่ 4 เรอื่ ง พลงั งานกับการดำรงชวี ติ วชิ า พลังงาน ทรัพยากรและส่งิ แวดล้อม รหสั 20001-1002 ระดับ ปวช. คำชแี้ จง: 1 ข้อสอบมจี ำนวน 10 ข้อ 2. ให้นกั เรียนเขียนเครื่องหมาย X ข้อทเ่ี ห็นว่าถูกต้องที่สดุ เพยี งข้อเดยี วลงในกระดาษคำตอบ 1. พลังงาน หมายถึง ข้อใด 5. พลังงานสำหรบั ยานพาหนะ ปัจจบุ ันนยิ มนำ ก. ทรพั ยากรธรรมชาติทม่ี ีอยู่ในธรรมชาติ เอทานอลมาผสม 10% ลงในนำ้ มันเบนซนิ ข. ทรพั ยากรท่ีมนษุ ยส์ ร้างขึน้ เรยี กวา่ อะไร ค. ความสามารถในการทำงาน ก. ไบโอดเี ซล ง. เทคโนโลยที ่ีทำให้เกดิ การสรา้ งงาน ข. กา๊ ซโซฮอล์ 2. ขอ้ ใดกล่าวถึงสง่ิ แวดล้อมผิด ค. ปาลม์ ดเี ซล ก. สง่ิ แวดลอ้ มมีท้ังทเ่ี ป็นรปู ธรรมและนามธรรม ง. กา๊ ซโซลีน ข. ส่ิงแวดล้อม หมายถึง สิ่งต่างๆ มอี ยู่รอบตัว 6. ก๊าซหงุ ต้มในครวั เรือนคือกา๊ ซชนิดใด เรา ก. ก๊าซ NGV ค. สง่ิ แวดลอ้ มรวมถึงทัง้ มชี วี ิตและไม่มีชวี ิต ข. กา๊ ซ CNG ง. ศาสนา และวฒั นธรรมไม่จดั วา่ เป็น ค. กา๊ ซ LPG สงิ่ แวดลอ้ ม ง. ก๊าซโซลีน 3. สิ่งแวดล้อมทางสงั คม มขี ้ึนเพือ่ อะไร 7. ขอ้ ใดถือเปน็ ยุคแรกที่เป็นจุดเรม่ิ ต้นของการ ก. ความเปน็ ระเบยี บของถนน บา้ น เปลีย่ นแปลงทางสิ่งแวดล้อมมากทส่ี ุด ข. เพ่ือใช้ในการอยู่ร่วมกันในสังคม ก. ยุคก่อนประวตั ิศาสตร์ ค. เพอื่ อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ข. ยุคปฏวิ ตั ิอุตสาหกรรม ง. เพ่อื รักษาทรัพยากรส้ินเปลอื งให้ได้นาน ค. ยคุ ปัจจบุ ัน ทีส่ ดุ ในระบบนิเวศได้ ง. ยคุ เทคโนโลยี 4. ประเทศไทยใช้เช้อื เพลงิ จากอะไรในการผลติ 8. ข้อใดไม่ใช่ผลกระทบที่เกิดจากการใช้พลงั งานใน พลงั งานไฟฟา้ ในปจั จุบัน การ ก. ถ่านหิน ดำรงชวี ิตของมนุษย์ ข. พลงั นำ้ ก. คณุ ภาพชวี ติ ประชากรตำ่ ค. พลงั งานแสงอาทติ ย์ ข. ราคาของพลังงานมีราคาตำ่ ง. ก๊าซธรรมชาติ ค. เกดิ ภาวะโลกรอ้ นกระจายไปทั่วโลก ง. เกิดมลพิษทางอากาศจากโรงงาน อุตสาหกรรม

73 9. ขอ้ ใด ไม่ใช่ สาเหตุที่ทำให้เกดิ ผลกระทบ จากการ 10. ความเสอ่ื มโทรมของส่งิ แวดล้อมในปัจจุบนั สว่ น สงั เคราะห์สารใหม่ ใหญ่เกดิ จากสาเหตใุ ดมากทีส่ ุด จ. ยาฆา่ แมลง จ. ลมพายุ ฉ. อตุ สาหกรรมตเู้ ย็น ฉ. การกระทำของมนษุ ย์ ช. อตุ สาหกรรมเหมืองแร่ ช. แผน่ ดนิ ไหว ซ. ป๋ยุ เคมี ซ. ภเู ขาไฟระเบิด

ใบงาน ท่ี ........ 4........ 74 หลกั สูตร ประกาศนยี บัตรวชิ าชีพ หนว่ ยท่ี 4 รหัส 20001-1002 พลงั งาน ทรพั ยากรและส่ิงแวดล้อม สอนครั้งท่ี...4..... ช่ืองาน........พลังงานกบั การดำรงชีวติ เวลา.........2.........ชม. 1. จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม 1. วิเคราะห์หาคา่ ใช้จ่าย (ค่าไฟฟ้า) ของอปุ กรณ์ภายในบ้านแตล่ ะชนดิ ต่อวนั โดยใช้สตู รการคํานวณที่ กาํ หนดให้ ได้ 2. วเิ คราะห์หาจํานวนหน่วยทใ่ี ช้และคา่ ใช้จา่ ย หน่วยไฟฟ้า (คา่ ไฟฟ้า) ที่ใช้ของบ้านต่อเดือนแล้วนําไป เปรยี บเทยี บกบั ใบเสร็จรับเงนิ ค่าไฟฟ้าของการไฟฟ้าประจําเดอื น ได้ 2. สมรรถนะ 3. เครอื่ งมือ วสั ดุ และอุปกรณ์ นักเรยี นทั้งห้อง แบ่งกล่มุ ๆ ละ 4-5 คน 4. คำแนะนำ -ควรใช้กระดาษปรู๊ฟขนาดใหญ่ เพื่อใหน้ กั เรยี นได้ทำการคำนวณร่วมกัน 5. ขอ้ ควรระวัง - อยา่ ใหน้ ักเรยี นที่คดิ ได้ คดิ เพียงคนเดียว 6. ลำดับข้ันการปฏิบตั งิ าน 1. ให้นกั เรยี นแบง่ กล่มุ เกง่ คละอ่อน เรือ่ งการคำนวณ 2. ใหโ้ จทย์คา่ ไฟฟา้ 3. ใหค้ ำนวณค่าไฟฟ้า ตามกฎเกณฑ์ของไฟฟา้ สว่ นภูมิภาค 4. ใหน้ กั เรยี นเก่งอธิบายนกั เรียนที่อ่อนการคำนวณ 5. ให้นำเสนอผลงานทั้งกลุ่ม 7. ผลการศึกษา - ดูจากผลการคำนวณ และการนำเสนอของทุกกล่มุ ทุกคน 8. สรปุ และวิจารณ์ผล ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................

75 9. การประเมนิ ผล 1. สังเกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล 2. ประเมินพฤติกรรมการเขา้ ร่วมกจิ กรรมกลุ่ม 3. สังเกตพฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกิจกรรมกลุ่ม 4 ตรวจกจิ กรรมส่งเสรมิ คุณธรรมนำความรู้ 5. ตรวจแบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ แบบฝกึ ปฏบิ ัติ 6. ตรวจกจิ กรรมใบงาน 7. การสังเกตและประเมนิ พฤติกรรมดา้ นคณุ ธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ 10. เอกสารอ้างอิง /เอกสารคน้ คว้าเพิ่มเตมิ หนังสอื เรยี นวชิ า พลงั งาน ทรัพยากรและส่ิงแวดล้อมสำนกั พิมพเ์ อมพนั ธ์ รหัส 20001-1002 และ อินเทอรเ์ นต็

76 แผนการจดั การเรียนรู้ หนว่ ยท่ี 5 หลกั สตู ร ประกาศนียบตั รวชิ าชพี สอนครั้งท่ี 5 (9-10) รหัส 20001-1002 พลังงาน ทรพั ยากรและส่ิงแวดล้อม ท-ป-น 2-0-2 ชอื่ หน่วยการเรียนรู้ ผลกระทบจากการผลิตและการใช้พลังงาน ทฤษฎี 2 ชม. 1. สาระสำคญั ปจั จบุ นั มีการใช้พลังงาน และการผลิตพลังงานหลายรูปแบบ แต่ทนี่ ิยมใช้กันมากคอื เช้ือเพลงิ จากฟอสซิล เชน่ ถ่านหิน น้ำมนั กา๊ ซธรรมชาติ เป็นต้น การเผาไหมเ้ ช้ือเพลิงจากฟอสซลิ จะทำให้มีสารพิษจากการเผาไหม้ เชือ้ เพลงิ เกดิ ข้นึ นอกจากนี้การขยายตัวทางเศรษฐกิจยงั ทำให้มีการใช้พลังงาน และผลติ พลงั งานมากข้นึ จงึ ก่อให้เกิดปญั หาความเสอื่ มโทรมต่อสภาพแวดล้อม 2. สมรรถนะประจำหนว่ ย 1.นักเรียนสามารถเปรียบเทยี บการใช้พลงั งานในอดตี กับปัจจุบันได้ 2 นกั เรยี นสามารถวิเคราะห์ความสำคัญของพลังงานท่ีมีตอ่ การดำรงชวี ติ ได้ 3.นักเรียนสามารถบอกความเป็นมาของการใช้พลังงาน ในประเทศไทยได้ 4.นักเรียนสามารถวิเคราะห์ความจำเปน็ ในการใช้พลงั งานเพอื่ พัฒนาประเทศด้านตา่ งๆ ได้ 5.นกั เรียนสามารถวเิ คราะหจ์ ำนวนเคร่ืองใช้ไฟฟา้ ในบ้าน ระยะเวลาการใช้งาน จำนวนพลงั งานไฟฟา้ ท่ใี ชแ้ ละ คา่ ใชจ้ ่ายได้ 3. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 1 อธิบายปัญหาการผลติ และการใชพ้ ลังงานจากกรณตี ัวอย่างได้ 2.วิเคราะหส์ าเหตุของปญั หาการผลติ และการใช้พลงั งานจากกรณตี ัวอย่างได้ 3.วิเคราะห์ผลกระทบของการผลิตและการใชพ้ ลงั งานจากกรณีตัวอย่างได้ 4.เสนอแนะแนวทางแกไ้ ขปัญหาการผลิต และการใชพ้ ลังงานจากกรณตี วั อยา่ งได้ 6.วิเคราะหผ์ ลกระทบจากการใชพ้ ลังงาน และเสนอแนวทางแกไ้ ขปญั หาได้ 7.ตระหนกั ถงึ ผลกระทบจากการใช้พลงั งานในชีวติ ประจำวัน 8. มีการพัฒนาคณุ ธรรม จรยิ ธรรม คา่ นิยม และคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงคข์ องผู้สำเรจ็ การศกึ ษา สำนกั งาน คณะกรรมการการอาชีวศกึ ษา ท่คี รสู ามารถสังเกตได้ขณะทำการสอนในเร่อื ง 8.1 ความมมี นษุ ยสัมพันธ์ 8.2 ความมีวนิ ัย 8.3 ความรบั ผิดชอบ 8.4 ความซ่ือสตั ยส์ จุ ริต 8.5 ความเชอ่ื ม่นั ในตนเอง 8.6 การประหยดั 8.7 ความสนใจใฝร่ ู้ 8.8 การละเว้นสิง่ เสพตดิ และการพนัน 8.9 ความรกั สามัคคี 8.10 ความกตญั ญกู ตเวที 8.11 แต่งกายตามข้อตกลง ตรงเวลา รกั ษาสิ่งแวดล้อม ใจอาสา

77 4. สาระการเรยี นรู้ 1.ปัญหาสิง่ แวดลอ้ มจากภาคผลติ ไฟฟ้า 2.ปัญหาสิง่ แวดลอ้ มจากภาคอุตสาหกรรม 3.ปัญหาสิง่ แวดลอ้ มจากภาคคมนาคมขนส่ง 5. กจิ กรรมการเรียนรู้ (สัปดาหท์ ี่...5........) ข้นั นำเข้าสู่บทเรียน 1.ครแู ละผ้เู รยี นกล่าวถึงปัญหาความเสอ่ื มโทรมของส่ิงแวดล้อมทางธรรมชาติ เช่น ป่าไม้ ดนิ น้ํา แร่ธาตุ สัตวแ์ ละพืช ซ่ึงปญั หาดนิ นาํ้ และป่าไม้ นับเปน็ ปญั หาทสี่ ำคญั เพราะสง่ ผลกระทบไปยงั สิง่ แวดลอ้ ม อื่นๆ ปัญหาส่ิงแวดลอ้ มยังรวมถึงปัญหาความเสอื่ มโทรมของระบบนิเวศตามธรรมชาติ ปัญหามลพษิ ตลอดจนปญั หา การเปล่ียนแปลงของสิ่งแวดล้อมด้านวัฒนธรรม 2.ผู้เรยี นยกตวั อย่างปัญหาคสง่ิ แวดล้อมดา้ นต่างๆ ทเี่ คยพบเห็นมาในการดำเนนิ ชีวิต 3.ผเู้ รียนแสดงความคดิ เห็นเกี่ยวกับการแก้ปัญหาส่ิงแวดลอ้ ม 4.ครแู ละผ้เู รียนสนทนาวา่ การพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ เป็นสาเหตุทาํ ให้เกิดความต้องการ ใช้พลังงานเพิม่ มากขน้ึ การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องของเทคโนโลยกี ารผลติ และการบรโิ ภค ผนวกกับ ความกา้ วหน้าของการสอื่ สารยุคปัจจบุ นั ทาํ ให้การบริโภคและการผลติ ต้องใช้ทรพั ยากรเป็นจํานวนมาก เพ่ือ ตอบสนองต่อความต้องการที่ไม่สิ้นสุด ขน้ั สอน 5.ครแู ละผูเ้ รยี นใชส้ ื่อวดี ทิ ัศนเ์ พือ่ ใหผ้ ู้เรียนได้ศึกษาหาความรเู้ รือ่ งปัญหาจากส่งิ แวดล้อม ได้แก่ 1.ปัญหาสง่ิ แวดล้อมจากภาคผลติ ไฟฟ้า 2.ปัญหาส่งิ แวดล้อมจากภาคอตุ สาหกรรม 3.ปัญหาสิ่งแวดล้อมจากภาคคมนาคมขนส่ง 6.ครใู ช้ส่อื Power Point ประกอบการอธิบายปญั หาสง่ิ แวดล้อมจากภาคผลิตไฟฟ้า พลังงานทใ่ี ช้กนั มากใน แตล่ ะประเทศ คือ พลังงานไฟฟ้า การผลิตพลงั งานไฟฟ้ามีกระบวนการ ผลิตซึง่ ใช้เชื้อเพลงิ ทีส่ าํ คญั ๆ ได้แก่ ถ่านหิน นา้ํ มนั ดิบ ก๊าซธรรมชาติ ไฟฟ้าพลังน้ํ และนิวเคลียร์ รวมท้งั อธบิ ายถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทีเ่ กดิ ขน้ึ 7.ครูใชส้ ่ือ Power Point ประกอบการอธบิ ายปัญหาส่งิ แวดลอ้ มจากภาคอตุ สาหกรรม โดยการผลิต และ การใช้พลงั งานในโรงงานก่อให้เกดิ มลพิษ และของเสยี ปลดปล่อยออกมา ซ่งึ อาจ ส่งผลกระทบต่อสังคม และชมุ ชนที่ อาศัยอยู่ใกล้เคียงกับโรงงาน ได้แก่ นาํ้ ทงิ้ ขยะหรอกื ากของเสีย และมลพิษทางอากาศ 8.ครแู ละผู้เรียนใชเ้ ทคนิคการสอนแบบ Role Playing การจัดการเรียนรแู้ บบแสดงบทบาทสมมุติ คือ กระบวนการท่ผี ู้สอนกำหนดหัวข้อเร่อื งปญั หาสิ่งแวดลอ้ มจากภาคคมนาคมขนสง่ ให้คล้ายกบั สภาพความเป็นจริง แลว้ ให้ผเู้ รยี นสวมบทบาท หรอื แสดงบทบาทนน้ั ตามความรู้สึกนกึ คิดและประสบการณ์ของผู้เรียนที่คิดว่าควรจะเป็น ภายหลงั ของการแสดงบทบาทสมมุติจะต้องมกี ารอภปิ รายเกีย่ วกับผลทเี่ กดิ จากปัญหาส่ิงแวดล้อม

78 ปญั หาและผลกระทบจากการคมนาคมขนส่งมาจากกา๊ ซเสีย ไอเสีย และฝุ่นละอองท่ีปล่อยออกมาจาก เครอื่ งยนต์ ก๊าซเสียบางส่วน และฝุ่นละอองท่เี กิดขน้ึ เป็นผลมาจากการเผาไหม้ทีไ่ มส่ มบูรณ์ โดยทวั่ ไปเขม่าฝุ่น ละอองมีขนาดเลก็ มาก (เล็กกว่า 10 ไมครอน หรอื PM 10) เม่ือสดู ลมหายใจเข้าไป จะเป็นอนั ตรายต่อปอดของ มนษุ ย์ซ่งึ มีผลต่อชวี ิตและสุขภาพ ปัญหาดังกล่าวมแี นวโน้มจะเปน็ อันตรายมากสาํ หรบั ชุมชนเมืองใหญ่ทม่ี ีการจราจร ตดิ ขดั มากๆ 9.ครูเปดิ วีดีโอเรอ่ื งฝนกรด (Acid Rain) และสภาวะโลกร้อน (Global Warming) ให้ผเู้ รยี นได้เรียนรู้ และ ช้ใี ห้เหน็ ปัญหาทเ่ี กิดขน้ึ และผลกระทบโดยรอบๆ 10.ผู้เรียนวเิ คราะห์ข่าวจากกรณีศกึ ษาที่กำหนดให้ แลว้ เขียนสาเหตุการเกดิ ปัญหา ผลกระทบ และแนวทาง แก้ไข โดยเขียนเปน็ แผนภมู ิก้างปลา 11.ผู้เรียนแบ่งเปน็ กลุ่ม แต่ละกลุ่มรว่ มกนั สงั เกตสภาพการจราจรบริเวณหน้าสถานศึกษา โดยใช้เวลา 15 นาที แล้วบนั ทึกผลการสังเกตลงในตารางทก่ี ำหนดให้ จากนั้นร่วมกนั อภิปรายวา่ สภาพการจราจรหน้าสถานศึกษาเป็น ปญั หาทจ่ี ำเป็นต้องแก้ไข หรอื ไม่ และควรจะแก้ไขอย่างไร 12.ผู้เรยี นพิจารณาว่าในแต่ละวนั ผู้เรียนใช้พลังงานเพือ่ ทําอะไรบ้าง พลงั งานเหล่านั้น มีผลกระทบต่อ สภาพแวดล้อมอย่างไร และเสนอแนวทางใช้พลงั งานอื่นๆ มาทดแทน 13.ผู้เรยี นทำกิจกรรมใบงาน 14.ครเู สนอแนะและเปน็ ทีป่ รึกษาในการนำเอาแนวปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง ซง่ึ ในกระบวนการทำงานทุก ประเภทน้ัน จะต้องเนน้ สัจจะซึ่งเปน็ ตัวคุณธรรม จริยธรรม เน้นความซ่อื สตั ย์สจุ ริต เนน้ ให้ช่วยกนั คดิ ชว่ ยกันทำ เนน้ ให้รูจ้ กั ความพอดี พอประมาณ มีเหตผุ ล ท้ังหมดนี้คือ หลักปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง และสามารถนำไปประยกุ ต์ใช้ กับการดำเนนิ ชีวิตของทุกคนได้ ขั้นสรปุ และการประยกุ ต์ 15.ครูและผ้เู รียนสรุปเนอื้ หาพลังงานเป็นสิง่ จําเป็นสาํ หรับมนษุ ย์ และเปน็ ปจั จัยพื้นฐานในการดาํ รงชีวิต ประเทศไทยมแี หล่งพลงั งานหลายประเภท แต่มีปริมาณน้อยเมอ่ื เทียบกับประเทศอน่ื ๆ พลงั งานหลัก ท่ีใช้คือ นํา้ มัน ทงั้ เพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้า การคมนาคมขนส่ง ตลอดจนเป็นวัตถดุ ิบในการผลิตภาค อุตสาหกรรม การผลติ และการ ใช้พลงั งานได้ส่งผลกระทบต่อสงิ่ แวดล้อม ทั้งการทําลายป่าไมจ้ ากการสร้างเข่ือน การเกิดมลพษิ ทางอากาศจากการ ใช้เช้ือเพลิงฟอสซิล มลพิษทางน้ำจากโรงงานอตุสาหกรรม รวมท้ังการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศจากการเกิด ปรากฏการณเ์ รือนกระจกโอโซนท่ีลดลง และ การเกิดฝนกรด 16.ผเู้ รยี นทำกิจกรรม และแบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ 17.ผู้เรยี นร่วมกนั ประเมนิ โดยพิจารณาจากข้อมลู ความรู้ การใหเ้ หตุผล และความพร้อมในการนำเสนอ

79 ช่ือผเู้ รียน ประสบการณ์พืน้ ฐานการเรยี นรู้ วิธีการเรยี นรู้ ความรู้ ทักษะ ผลงาน 1. 2. 3. 4. 6. ส่ือและแหล่งการเรียนรู้ 1.หนังสอื เรียน วิชาพลังงาน ทรพั ยากรและสงิ่ แวดล้อม ของสำนักพิมพ์เอมพนั ธ์ 2.สอ่ื Power Point, วีดที ัศน์ 3.กจิ กรรมการเรียนการสอน 4.รปู ภาพประกอบ 5.แบบประเมินผลการเรยี นรู้ 7.หลักฐานการเรียนรู้ 1.บนั ทึกการสอนของผู้สอน 2.ใบเช็ครายชอื่ 3.แผนจดั การเรียนรู้ 4.การตรวจประเมนิ ผลงาน 8.การวดั และประเมนิ ผล 8.1 วธิ กี าร 1. สงั เกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล 2. ประเมินพฤติกรรมการเข้าร่วมกจิ กรรมกลุ่ม 3. สงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ ร่วมกิจกรรมกลุม่ 4 ตรวจกจิ กรรมส่งเสรมิ คุณธรรมนำความรู้ 5. ตรวจแบบประเมินผลการเรยี นรู้ แบบฝกึ ปฏิบัติ 6. ตรวจกิจกรรมใบงาน 7. การสังเกตและประเมนิ พฤติกรรมด้านคุณธรรม จรยิ ธรรม ค่านยิ ม และคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ 8.2 เครอื่ งมือ 1. แบบสังเกตพฤติกรรมรายบคุ คล 2. แบบประเมนิ พฤตกิ รรมการเข้ารว่ มกิจกรรมกลุม่ (โดยครู) 3. แบบสังเกตพฤติกรรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลุ่ม (โดยผู้เรยี น) 4. แบบประเมนิ ผลการเรียนรู้ และแบบฝกึ ปฏิบัติ 5. แบบประเมนิ กิจกรรมใบงาน

80 6. แบบประเมินคุณธรรม จริยธรรม คา่ นยิ ม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ โดยครแู ละผู้เรยี นร่วมกนั ประเมิน 8.3 เกณฑ์ 1. เกณฑผ์ า่ นการสังเกตพฤติกรรมรายบคุ คล ต้องไม่มีช่องปรบั ปรงุ 2. เกณฑผ์ ่านการประเมินพฤติกรรมการเขา้ ร่วมกิจกรรมกลุ่ม คอื ปานกลาง (50 % ขึน้ ไป) 3. เกณฑผ์ า่ นการสงั เกตพฤติกรรมการเข้ารว่ มกจิ กรรมกลุ่ม คือ ปานกลาง (50% ข้นึ ไป) 4. แบบประเมินผลการเรียนรู้มเี กณฑผ์ า่ น และแบบฝกึ ปฏิบัติ 50% 5. แบบประเมนิ กจิ กรรมใบงานมีเกณฑผ์ า่ น 50% 6. แบบประเมินคุณธรรม จริยธรรม คา่ นยิ ม และคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ คะแนนขึน้ อยู่ กบั การประเมินตามสภาพจรงิ 9.บันทกึ ผลหลังการจดั การเรยี นรู้ 9.1 ข้อสรุปหลงั การจดั การเรยี นรู้ .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. 9.2 ปัญหาทพ่ี บ .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. 9.3 แนวทางแก้ปญั หา ............................................................................................................................. ..................... .................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ..................... .................................................................................................................................................. ............................................................................................................. ..................................... ........................................................................................................................................... .......

81 ใบความรู้ที่ .....5........... หนว่ ยท่ี 5 หลกั สตู ร ประกาศนยี บตั รวิชาชพี สอนครัง้ ท.่ี .....5 เวลา......2............ชม. รหสั 20001-1002 พลงั งาน ทรพั ยากร และสิ่งแวดล้อม ชอื่ เรือ่ ง ผลกระทบจากการผลติ และการใชพ้ ลังงาน 1. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1. ผู้เรียนเขา้ ใจการเกิดปัญหาส่ิงแวดลอ้ มจากภาคตา่ ง ๆ 2. ผูเ้ รียนเขา้ ใจรายละเอียดปัญหามลพิษ 2. สมรรถนะ 1. อธบิ ายปญั หาสง่ิ แวดล้อมจากภาคผลติ ไฟฟ้าได้ 2. อธิบายปัญหาสงิ่ แวดล้อมจากอุตสาหกรรมได้ 3. อธบิ ายปัญหาสิ่งแวดลอ้ มจากภาคคมนาคมขนส่งได้ 4. อธบิ ายปญั หามลพิษสิ่งแวดล้อมได้ 5. มคี วามตระหนกั ในการใชพ้ ลงั งานอยา่ งประหยดั 3. เนือ้ หาสาระ ผลกระทบจากการผลติ และการใช้พลงั งาน 1. ปัญหาสิง่ แวดลอ้ มจากภาคผลิตไฟฟ้า พลังงานท่ีใชก้ นั มากในแต่ละประเทศ คือ พลังงานไฟฟา้ การผลติ พลงั งานไฟฟา้ มีกระบวนการผลิต ซึง่ ใช้ เชื้อเพลงิ ที่สำคญั ๆ ดงั น้ี ⬧ ถา่ นหนิ ถ่านหินที่นำมาเป็นเชื้อเพลิงผลิตพลังงานไฟฟ้าอาจก่อให้เกิดปัญหา และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม มากหรอื นอ้ ยแตกต่างกนั ไปตามประเภทของถา่ นหนิ ลักษณะภูมปิ ระเทศและส่ิงแวดลอ้ ม สำหรับประเทศไทยมีการ นำถา่ นหินลิกไนต์ซ่งึ มคี ณุ ภาพต่ำมาใช้ ผลกระทบท่เี กิดเร่มิ ตั้งแตก่ ระบวนการทำเหมืองแรแ่ ละแตง่ แรส่ รปุ ได้ดังน้ี ผลกระบทจากกระบวนการผลิต ถ่านหินเป็นสนิ แรท่ ีอ่ ย่ใู ต้ผิวโลก เกิดจากการทบั ถมของซากพชื และ ซากสัตว์ที่ตายสะสมกนั มานับล้านปี ดังนั้นการนำถ่านหินมาใช้จึงต้องมีการขุดเจาะพื้นผวิ ดนิ เพื่อเปดิ หน้าดิน เป็น การทำลายทรพั ยากรอน่ื ๆ เชน่ ปา่ ไม้ สัตว์ปา่ ดนิ เป็นต้น ผลกระทบจากการใช้ประโยชน์ การนำถ่านหินมาใช้เป็นเชื้อเพลิง ทำให้เกิดปัญหาแก๊สซัลเฟอร์ได ออกไซด์ แก๊สนี้เมื่ออยู่ในบรรยากาศจะรวมตัวกับไอน้ำและน้ำฝน กลายเป็นฝนกรด เป็นอันตรายต่อสิ่งก่อสร้าง พน้ื ดิน แหลง่ น้ำ และประชาชนท่ีอาศยั อยูบ่ รเิ วณนั้น ⬧ นำ้ มนั ดบิ การใช้พลังงานของโลก จะใช้น้ำมันซึ่งเปน็ แหล่งพลังงานทีม่ ีปริมาณมากเป็นอันดับ 2 รองจากถ่านหิน แหลง่ น้ำมนั ดิบขนาดใหญ่จะอยใู่ นตะวนั ออกกลาง สำหรับประเทศไทยแหลง่ น้ำมันดบิ มนี ้อย โดยที่แหล่งสิริกิต์ิผลิต

82 ได้เพียงร้อยละ 3 ของความต้องการใช้ในประเทศ น้ำมันดิบส่วนใหญท่ ี่ใช้ในประเทศนำเข้ามาจากตา่ งประเทศทำ ให้สญู เสยี เงินตราตา่ งประเทศเปน็ จำนวนมาก ผลกระทบจากการผลิต การขุดเจาะบ่อน้ำมันก่อให้เกิดปัญหาเช่นเดียวกับการขุดถ่านหินแต่ใช้พื้นที่ นอ้ ยกว่า การขนถา่ ยน้ำมันบริเวณแท่นขดุ เจาะทงั้ บนบก และทางทะเลอาจมปี ัญหาการรวั่ ไหล หรือการฟุ้งกระจาย ของละอองหยดน้ำมัน และการนำน้ำมันดิบมาแปรรูปเป็นน้ำมันสำเร็จรูปในโรงกลนั่ นำ้ มนั กอ็ าจก่อปัญหาคล้ายกับ ถา่ นหนิ กลา่ วคอื การเผาไหมเ้ ชอ้ื เพลงิ จะทำใหเ้ กิดเขมา่ ควัน แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ และซลั เฟอรไ์ ดออกไซด์ ⬧ แก๊สธรรมชาติ แก๊สธรรมชาติเป็นแหล่งพลังงานที่มีการขุดเจาะมาใช้ประโยชน์มากกว่า 10 ปีแล้ว แหล่งใหญ่อยู่ใน อ่าวไทย แต่ปริมาณที่มีในประเทศไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ จึงต้องมีการซื้อจากพม่า มาเลเซีย และ อนิ โดนีเซยี ในระยะตอ่ ไป ผลกระทบจากการผลิต แท่นขุดเจาะน้ำมันส่วนใหญ่อยู่กลางทะเล ปัญหาท่ีต้องระวังคือการเดินเรือ หรือการทำประมง เพราะระยะรัศมี 500 เมตร รอบแท่นเจาะจะมีแก๊สฟุ้งกระจายสามารถติดไฟได้ นอกจากนี้ การทำประมงทิ้งสมอบากอวนผ่านแนวท่อแก๊สอาจทำให้ท่อรั่วหรือขาดจากกันได้ จะทำให้แก๊สรั่วออก และ ขยายตัวเป็นไอพุ่งขึ้นสู่ผิวน้ำอย่างรวดเร็ว ฟองแก๊สสามารถทำให้เรือประมงพลิกคว่ำได้ และหากมีประกายไฟจะ เกิดอนั ตรายจากไฟไหม้ได้ ผลกระทบจากการใช้ประโยชน์ การเผาไหม้ของแก๊สธรรมชาติจะมีมลพิษน้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับ ถา่ นหิน และนำ้ มนั บางคร้ังเรยี กวา่ พลงั งานสะอาด (Clean Energy) ⬧ ไฟฟ้าพลังน้ำ การผลติ ไฟฟ้าโดยใช้พลังงานจากน้ำทีเ่ ก็บกักอยู่ในอ่างเก็บน้ำหรือเข่ือน อาศัยการปล่อยให้น้ำไหลออก ผ่านกังหัน (Turbine) เพื่อให้ไปขับเคลื่อนเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (Generator) ดังนั้นการผลิตไฟฟ้าจากน้ำ จึง จำเป็นต้องมีการสรา้ งเขือ่ นสำหรบั เก็บกักน้ำ ซงึ่ ก่อใหเ้ กิดผลกระทบตอ่ สงิ่ แวดล้อมได้ ผลกระทบจากการผลิต จากความต้องการใช้พื้นที่เก็บกักน้ำเป็นจำนวนมากอาจทำให้ต้องเสียพื้นที่ เพาะปลูกเป็นจำนวนมาก หรือต้องมีการย้ายถิ่นฐานที่อยู่อาศัยของชาวบ้านบริเวณดังกล่าว รวมทั้งเกิดผลกระทบ ต่อปา่ ไม้หรอื สัตว์ปา่ ทีอ่ าศัยอยู่บริเวณนัน้ ⬧ นิวเคลยี ร์ พลังงานนิวเคลียร์ เป็นพลงั งานที่มีศักยภาพในการใช้เป็นพลังงานทดแทนในการผลิตไฟฟา้ พลังงานวิ เคลียร์ได้มาจากปฏิกิริยาการแตกตัว (Nuclear Fission) ซึ่งจะมีกากของเสียเป็นสารกัมมันตภาพรังสีที่กำลัง สลายตัวหรือจัดเรียงตัวใหม่ และมีการปลดปล่อยรังสีประเภทต่าง ๆ ออกมาทำให้เกิดอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต และ สิ่งแวดล้อม การใช้พลังงานนิวเคลียร์จึงแพร่หลายเฉพาะในประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีซึ่งมีขีด ความสามารถในการจดั การกับปญั หาและความเส่ยี ง สำหรับประเทศไทยปจั จุบัน มีการนำสารกัมมนั ตรังสมี าใช้ในด้านการแพทย์ (การผลติ เวชภัณฑ์ปลอด เช้อื ) การเกษตร (การถนอมอาหาร) และดา้ นอุตสาหกรรม (การตรวจสอบการเชอ่ื มโลหะ)

83 ผลกระทบของสารกัมมันตรังสีต่อสิ่งมีชีวิต การทำปฏิกิริยานิวเคลียร์จะมีการปลดปล่อยรังสีประเภท ตา่ ง ๆ ออกมา ประกอบด้วย รังสแี กมมาท่ีมีอำนาจทะลุทะลวงสูงสุดต้องใช้คอนกรีตหนา ๆ กัน้ ขวางจึงจะหยุดรังสี น้ไี ด้ สว่ นรังสีเบตา และรงั สแี อลฟามอี ำนาจในการทะลุทะลวงตำ่ มากอาจใช้แผน่ ไม้ และแผน่ กระดาษกน้ั ไม่ให้ผ่าน ได้ รังสีที่มีอำนาจทะลุทะลวงต่ำ ได้แก่ เบตา และแอลฟา จะเป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์มากกว่า เนื่องจาก รงั สีทัง้ สองจะถูกกั้นหรือหยดุ ยง้ั ด้วยเซลล์หรือเน้ือเยื่อในร่างกาย ทำให้เกดิ การถ่ายเทพลังงาน และการแยกตัวเป็น อนั ตรายได้ ส่วนรงั สีแกมมามีอำนาจทะลทุ ะลวงสงู จะผ่านร่างกายไปได้ และปลอ่ ยพลังงานในเนอ้ื เยื่อน้อยกว่า ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การใช้พลังงานนิวเคลียร์ อาจทำให้สารกัมมันตรังสีเล็ดลอดออกสู่ สง่ิ แวดล้อม โดยตดิ ออกมากับอากาศเสยี และน้ำทิง้ จากการทำงานของระบบ ผลกระทบจากกากของเสีย กากแร่กัมมันตรังสี หลังการใช้งานแล้วจะต้องมีวิธีการกักเก็บไว้จนกว่า ปรมิ าณรังสีจะมคี า่ ลดลงในระดับท่ีไม่เป็นอนั ตราย แลว้ จงึ นำไปกำจัดดว้ ยวิธีปกติ ผลกระทบจากการรั่วไหลของรังสีระหว่างดำเนินการ โดยปกติโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จะมีระบบป้องกัน อันตรายโดยการตรวจวัดปริมาณรังสใี นสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ โรงงานเป็นประจำแต่ก็อาจเกิดปัญหาได้ถ้าไม่ระมัดระวงั เช่น การระเบดิ ของโรงไฟฟ้านิวเคลียรเ์ มอื งเชอรโ์ นบิล ประเทศรัสเซีย เมอื่ วนั ท่ี 26 เมษายน พ.ศ. 2528 2. ปญั หาสิง่ แวดลอ้ มจากอุตสาหกรรม การผลิตและการใชพ้ ลังงานในโรงงานก่อให้เกดิ มลพิษ และของเสยี ปลดปลอ่ ยออกมา ซึ่งอาจส่งผลกระทบ ต่อสังคม และชุมชนที่อาศัยอยู่ใกลเ้ คียงกับโรงงาน สรุปไดด้ ังน้ี น้ำทิ้ง น้ำทิ้งจากโรงงานมีทั้งน้ำที่ระบายทิ้งจากหม้อไอน้ำ หอหล่อเย็น (Cooling Tower) น้ำเสียจาก กระบวนการผลิต และระบบการหล่อเย็นอื่น ๆ น้ำดังกล่าวจะมีสิ่งสกปรก มลพิษสารแขวนลอย หรือของเสีย ปะปนอยู่อาจกอ่ ใหเ้ กดิ ผลกระทบต่อส่งิ แวดลอ้ ม ขยะหรือกากของเสีย ขยะจากโรงงานอุตสาหกรรมมีทั้งขยะที่มีอันตรายและไม่มีอันตรายซึ่งจะต้องมีการ กำจัดโดยกระบวนการเผา แยกขยะนำกลับมาใช้ใหม่ หรือบำบัดความเป็นพิษของกากของเสียนั้นก่อนนำไปสู่ กระบวนการกำขจดั ปกติหรือการฝงั กลบในพน้ื ดิน มลพิษทางอากาศ อากาศท่ีปลอ่ ยทิ้งจากปลอ่ ยโรงงานอุตสาหกรรมส่วนใหญเ่ ป็นแก๊สที่เกดิ จากการเผาไหม้ เชื้อเพลิงในกระบวนการผลิต แก๊สเหล่านี้ส่วนมากเป็นแก๊สเรือนกระจกซึ่งได้แก่ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ แก๊ส ไนโตรเจน รวมท้งั ฝนุ่ ละอองทเี่ ปน็ ขีเ้ ถา้ 3. ปัญหาสิ่งแวดล้อมจากภาคคมนาคมขนส่ง ปัญหาและผลกระทบจากการคมนาคมขนส่งมาจากแก๊สเสีย ไอเสีย และฝุ่นละอองที่ปล่อยออกมาจาก เครื่องยนต์ แก๊สเสียบางส่วน และฝุ่นละอองที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ โดยทั่วไปเขม่าฝุ่น ละอองมีขนาดเล็กมาก (เล็กกว่า 10 ไมครอน หรือ PM 10) เมื่อสูดลมหายใจเข้าไปจะเป็นอันตรายต่อปอดของ มนษุ ย์ซงึ่ มผี ลตอ่ ชีวิตและสุขภาพ ปญั หาดังกลา่ วมีแนวโน้มจะเป็นอันตรายมากสำหรบั ชมุ ชนเมืองใหญ่ท่มี ีการจราจร ติดขัดมาก ๆ การเกิดรูรั่วของชั้นโอโซชั้น (Ozone Depletion) รูรั่วในชั้นโอโซนเกิดขึ้นเนื่องจากสารคลอโรฟลูโอโร คาร์บอน (CFCs) ซึ่งเป็นสารที่ใช้ในการทำความเย็น เช่น ใช้ในการทำตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ และในการอัด

84 ความดันในกระป๋องสเปรยต์ ่าง ๆ และสารฮาลอน (Halon) สารจำพวกนี้เมื่อปล่อยออกไปในบรรยากาศนี้จะมีแกส๊ โอโซน (O3) ซ่ึงทำหนา้ ท่เี ป็นตวั กั้นรงั สีอลั ตราไวโอเลตบี (UVB) ที่แผก่ ระจายมายังโลกไม่ให้มีปริมาณมากเกินไปจน เป็นอันตรายต่อมนุษย์ได้ โดยปกติถ้าผิวหนังมนุษย์ได้รับรังสี UVB มากเกินไปอาจทำให้เกิดโรคมะเร็วผิวหนังได้ เมือ่ สารจำพวก CFCs ปะปนอยใู่ นชัน้ สตาร์โทสเฟียร์ รังสอี ลั ตราไวโอเลตจะกระตุ้นให้อะตอมคลอรีนแตกตัวออกมา จากสาร CFCs ซง่ึ อะตอมคลอรนี น้จี ะจบั ตวั กบั ออกซเิ จนอะตอมในโอโซนทำใหโ้ อโซนถูกทำลายลง เนื่องจากแก๊สโอโซนเป็นตัวกรองรังสี UVB ซึ่งเป็นรังสีที่เป็นอันตรายต่อผิวหนังมนุษย์ ยิ่งแก๊สโอโซนถูก ทำลายมากเท่าไร ก็แสดงว่าสิ่งมีชีวิตบนโลกจะได้รับความเสี่ยงจากอันตรายของรังสี UVB มากขึ้น ดังนั้นปัญหา การเกิดรูร่ัวของช้นั โอโซนนี้ จงึ จำเปน็ ต้องมีการป้องกนั โดยการลดการใชส้ าร CFCs ฝนกรด (Acid Rain) คือ ฝนหรือหิมะที่ตกลงมาโดยมีสภาพเป็นกรดจากสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ สารน้ี เกิดจากการเผาไหม้ถ่านหินที่มีส่วกอบของกำมะถัน (ซัลเฟอร์) จากโรงไฟฟ้าและสารไนโตรเจนออกไซด์ ซึ่งเกิด จากการเผาไหมเ้ ชื้อเพลงิ โดยเฉพาะการเผาไหมเ้ ช้ือเพลิงในรถยนต์ เมอื่ ซลั เฟอรไ์ ดออกไซด์ และไนโตรเจนอกไซด์ ลอยขึ้นสู่อากาศก็จะรวมตัวกบั ไอน้ำกลายเป็นกรดซลั ฟรู ิก และกรด ไนตริก ตกลงมาเป็นฝนท่ีมีสภาพเป็นกรด เป็นอันตรายตอ่ โลหะ สิง่ ก่อสร้าง พชื และมนษุ ย์ สภาวะโลกร้อน (Global warming) เป็นสภาวะที่มีแก๊สบางชนิดสะสมอยู่ในบรรยากาศโลกเป็นจำนวน มาก ทำให้รังสีความร้อนที่แผ่จากโลกไม่สามารถกระจายออกไปนอกบรรยากาศได้ ทำให้สภาพภูมิอากาศโดยรวม ของโลกมีความร้อนสะสมอยู่มาก เป็นผลให้อุณหภูมิของอากาศในโลกสูงขึ้นเรื่อย ๆ ปรากฏการณ์นี้มีลักษณะ เชน่ เดียวกบั การรกั ษาความร้อนภายในเร่ืองเพาะชำกระจก (Greenhouse) ทางการเกษตร มลพษิ สง่ิ แวดลอ้ ม มลพิษทางน้ำ มลพษิ ทางนำ้ หรือ น้ำเสยี หมายถึง คุณภาพน้ำท่ีมคี ุณสมบัติเปลย่ี นแปลงไปจากธรรมชาติ เน่ืองจากมี สารพิษหรือสิ่งแปลกปลอมที่ไม่พึงปรารถนาปนเปื้อน ทำให้น้ำนั้นขาดคุณภาพ ไม่เหมาะต่อการนำมาใช้ประโยชน์ และยงั เป็นอนั ตรายตอ่ สุขภาพของมนุษย์และสิง่ แวดลอ้ มทีม่ ีชีวติ อีกด้วย น้ำเสีย หรือ น้ำโสโครก (Sewage or Waste Water) หมายถึง น้ำที่ใช้แล้วในกิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชน จากอาคารบา้ นเรือน สถานประกอบการตา่ ง ๆ ตลอดจนนำ้ ท้งิ จากโรงงานอตุ สาหกรรม 1.)ประเภทของมลพษิ ทางนำ้ (กรมส่งเสรมิ คุณภาพสงิ่ แวดลอ้ ม, 2536) 1.1.) น้ำเน่า ได้แก่ นำ้ ทม่ี ปี ริมาณออกซิเจนละลายอยตู่ ำ่ มสี ีดำคล้ำ และอาจสง่ กลน่ิ เหม็น เนื่องจากมีสารอินทรีย์ต่าง ๆ ปนเปื้อนอยู่ในน้ำจำนวนมาก สารต่าง ๆ เหล่านี้จะเกิดการย่อยส ลายได้ โดยอาศัย จลุ นิ ทรียท์ ่ีใช้ออกซเิ จน (Aerobic bacteria) ซ่ึงจุลินทรยี ์หรอื แบคทีเรียเหล่าน้ี ขณะทำการยอ่ ยสลายสารอินทรีย์จะ ใช้ออกซิเจนที่ละลายในน้ำ เมื่อออกซิเจนในแหล่งน้ำหมดไป จะทำให้แบคทีเรียที่ไม่ใช้ออกซิเจน (Anaerobic bacteria) เจริญเติบโตและเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว จนทำให้เกิดน้ำเน่า มีกลิ่นเหม็น เป็นอันตรายต่อการบริโภค การประมง และทำให้สญู เสยี คุณคา่ ทางด้านการพกั ผ่อนหย่อนใจ

85 1.2)น้ำเป็นพิษ ได้แก่ น้ำที่มีสารพิษเจือปนในระดับที่เป็นอันตรายต่อชีวิตมนุษย์และสัตว์น้ำ เช่น สารประกอบของปรอท ตะกั่ว สารหนู แคดเมี่ยม เป็นต้น ส่วนใหญ่มาจากโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ตวั อยา่ งของสารพิษทไ่ี หลลงสู่แหล่งนำ้ และเป็นอนั ตรายตอ่ มนษุ ย์ 1.3) น้ำที่มีเชื้อโรค ได้แก่ น้ำที่มีเชื้อแบคทีเรยี ไวรัส ฯลฯ เป็นเชื้อที่ทำให้เกิดโรคอหิวาต์ บิด ไทฟอยด์ การตรวจคุณภาพน้ำเพื่อหาปริมาณสิ่งสกปรกในน้ำ นิยมใช้ตรวจหา แบคทีเรีย ในกลุ่ม Coliform group ได้แก่ Escherichia coli ( หรอื E.coli) ซึ่งพบมากในสิ่งแวดล้อม และพบในอจุ จาระของสัตว์เลือดอุน่ 1.4) น้ำขุ่นขน้ ได้แก่ น้ำทม่ี ีตะกอนดิน ทราย เจือปนเปน็ จำนวนมาก อาจเกิดจากการ ทำเหมอื งแร่ การพงั ทลายของดนิ จำนวน 1.5) น้ำร้อน ได้แก่น้ำทม่ี ีอุณหภูมิสูงกว่าน้ำในธรรมชาติ ส่วนใหญเ่ กิดจากระบบหล่อเย็น จากโรงงานอุตสาหกรรม ที่ถ่ายเทลงสู่แม่น้ำ เช่น โรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าจากน้ำมัน หรือถ่านหิน โรงง านถลุง เหล็ก เป็นต้น ความร้อนนี้เป็นอันตรายต่อการดำรงชีวิตของสัตว์น้ำ และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ โดยตรง และยังส่งผลให้ ปรมิ าณออกซิเจนในน้ำลดลงด้วย 1.6) น้ำที่มีกัมมันตรังสี น้ำที่มีกัมมันตภาพรังสีปน ส่วนใหญ่มักจะมาจากโรงพยาบาล เหมอื งแร่เช้อื เพลงิ ปรมาณู และกระบวนการผลิต หรอื โรงงานปรมาณู 1.7) นำ้ กร่อย เป็นนำ้ จืดท่ีเสอ่ื มคุณภาพ เนอื่ งจากการละลายของเกลอื ในดนิ หรือนำ้ ทะเล ไหลเข้ามาเจอื ปน เมอื่ นำมาต้มจะทำใหห้ มอ้ เกดิ ตะกรัน 1.8) น้ำที่มีคราบน้ำมัน ได้แก่น้ำที่มีน้ำมัน หรือไขมันเจือปนอยู่ น้ำมันจะมีน้ำหนักเบา กวา่ นำ้ จะลอยเป็นฝาอยู่เหนือผวิ น้ำ ทำให้แสงแดดไมส่ ามารถส่องลงไปในน้ำได้ พชื ใต้น้ำจงึ ไม่สามารถสังเคราะห์ แสงทำใหเ้ กดิ คาร์บอนไดออกไซด์จากการหายใจเพมิ่ มากขึ้น ทำให้น้ำบรเิ วณน้ันเนา่ เสียได้ 2.) สาเหตขุ องน้ำเสีย มลพษิ ทางน้ำเกิดข้ึนได้จากหลายสาเหตุ ส่วนใหญเ่ กดิ จากมนุษย์ท้ังทางตรงและทางอ้อม ซึ่งพอ สรปุ ไดด้ งั น้ี 2.1) สิ่งสกปรกจากอาคารบ้านเรือน ชุมชน มนุษย์ใช้น้ำเพื่ออุปโภคบริโภค น้ำที่ผ่าน การซักล้าง อาบน้ำ หรือทำความสะอาด จะกลายเปน็ น้ำ ส่งิ เหล่านเี้ ปน็ สาเหตทุ ำให้น้ำมอี อกซเิ จนลดน้อยลง และนำ้ เนา่ เสียในทส่ี ดุ 2.2) จากการทำเกษตรกรรม ปศุสัตว์ การใช้สารเคมี ทั้งปุ๋ยและยากำจัดศัตรูพืช ยา กำจดั วชั พชื ซง่ึ เมอื่ มีการชะล้างจะไหลลงสู่แหลง่ นำ้ เป็นอนั ตรายได้ การเลีย้ งสัตว์ มีการ ชะลา้ งส่งิ โสโครกในคอก สัตวส์ แู่ หลง่ น้ำ จะส่งผลกระทบต่อคณุ ภาพของน้ำ และน้ำเน่าเสยี ได้ 2.3) จากโรงงานอุตสาหกรรม ปริมาณน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมส่วนใหญ่มีสารเคมี ปนเปอื้ นมาดว้ ย และเป็นสารเคมีท่ีเป็นอนั ตรายตอ่ สง่ิ แวดล้อม ตอ่ การดำรงชพี 2.4) จากกัมมันตภาพรังสี ส่วนใหญ่จากสถานพยาบาล ที่ปนมากับสิ่งปฏิกูล เช่น อุจจาระ ปัสสาวะ น้ำยาล้างฟิล์มเอกซ์เรย์ เมื่อสะสมในแหล่งน้ำจำนวนมาก จะทำให้แหล่งน้ำบริเวณน้ันเกิด มลพิษ อันตรายตอ่ มนษุ ย์และส่ิงมชี วี ติ 3.) การวเิ คราะห์ลกั ษณะของน้ำเสยี น้ำเสยี มอี งคป์ ระกอบทแี่ ตกตา่ งไปจากนำ้ ดี ซ่ึงสามารถวเิ คราะหไ์ ด้ดังน้ี

86 3.1)ปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้ำ (dissolved oxygen content) ออกซิเจนจะ ละลายนำ้ ไดด้ ีหรือไม่ ขน้ึ อย่กู ับอุณหภูมิและความเค็มของน้ำ ดงั น้ัน น้ำเสยี ทีม่ ณี หภูมิสงู เม่อื ปลอ่ ยทิ้งลงแม่น้ำจะทำ ให้ออกซิเจนที่ละลายในลดลงตามสัดส่วนส่วนของอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น ตามปกติออกซิเจนที่ละลายอิ่มตัวมาตรฐาน ภายใต้ความดันปกติ ออกซิเจนจะละลายในนำ้ ได้ถงึ 16.4 มลิ ลกิ รมั ตอ่ ลิตร ท่ีอุณหภมู ิ 0 องศาเซนเซียส และถึง 7 มิลลิกรัมต่อลิตร ที่อุณหภูมิ 35 องศา เซนเซียส ซึ่งโดยปกติ ปลามีความต้องการออกซิเจนที่ละลายในน้ำ อย่างน้อย 5 มิลลิกรัมต่อลิตร และถ้าเป็นปลาที่สามารถทนต่อปริมาณออกซิเจนที่ละลายอยู่ในน้ำต่ำ ๆ ได้ ก็ไม่ สามารถมีชีวิตอยไู่ ด้ ถ้าปรมิ าณออกซิเจนตำ่ กว่า 2 มลิ ลิกรมั ตอ่ ลติ ร 3. 2) ความขนุ่ (turbidity) ความขนุ่ ของน้ำเกิดจากสารที่แขวนลอยหรือตะกอนเบาท่ีอยู่ ในนำ้ ไปขดั ขวางทางเดนิ ของแสง ทำใหแ้ สงไมอ่ าจทะลผุ า่ นได้ ทำให้เหน็ วา่ นำ้ ขุ่น 3.3) สี (color) สีในน้ำ โดยทั่วไปเกิดจากสารประกอบอินทรีย์ของพืช เกิดจากพืชที่ หมักหมมกัน รวมทัง้ สีทีเ่ กิดจากการทิ้งน้ำเสยี จากอตุ สาหกรรม บ้านเรอื น ชุมชน ต่าง ๆ สีที่เกิดขึ้น อาจเป็น สีชา สีเหลือง สนี ำ้ ตาล ฯลฯ น้ำท่ีมีสีทำใหข้ าดความนา่ ดื่ม สขี องนำ้ เป็นตวั ดชั นชี ้ีคุณภาพของนำ้ ไดเ้ ช่นกัน 3. 4) มาตรฐานทางแบคทเี รยี (bacteria standard) วิธีการตรวจหาแบคทีเรียทำไดย้ าก มาก แตท่ นี่ ิยมตรวจหา คือ แบคทเี รีย ทชี่ อ่ื E - coli (โคลิฟอรม์ ) ซง่ึ ทำได้งา่ ย ถ้าตรวจพบ E - coli แสดงว่า น้ำ นั้นถูกเจอื ปนด้วยปฏิกูล อุจจาระ และมีโอกาสที่จะมเี ชื้อแบคทเี รียที่ทำให้เกิดโรคไดม้ ากขึ้น แต่ถ้าไม่พบ E - coli ก็ยังสรปุ ไมไ่ ดว้ ่า ไมม่ ีแบคทเี รียท่ที ำใหเ้ กดิ โรคในน้ำนน้ั ดังนั้นการตรวจพบ E - coli ซึ่งมีมากในอจุ จาระ ของสัตว์เลือดอุ่น จึงเป็นเครือ่ งชี้ว่าน้ำนั้นได้รบั ความสกปรกประเภทอุจจาระ จึงทำให้ตรวจเช็คถงึ ความปลอดภัยได้ มากขึ้น 3.5) ความกระด้าง (hardness) ความกระด้างของน้ำ เป็นสภาพน้ำที่ไม่เกิดฟองสบู่ และ ทำให้น้ำเกิดตะกอนเมื่อต้มน้ำ หรือเกิดตะกรันในหม้อน้ำของโรงงานอุตสาหกรรม ความกระด้างมีผลเสียต่อ เศรษฐกิจ คือ ต้องใช้สบู่ในปริมาณมากขึ้นในการชะล้าง จึงจะเกิดฟอง และเสียเชื้อเพลิงในกา รต้มน้ำมากข้ึน เนื่องจากเกิดตะกรันสารที่ทำให้เกิดความกระด้างของน้ำ ได้แก่ ไอออนของแมกนีเซียม แมงกานีส แคลเซียม เป็นต้น 3.6) ค่า พี เอช (pH) ค่าพี เอช ใช้เป็นมาตรฐานในการวัดความเข้มของปฏิกิริยาของ กรด หรือ อัลคาไลน์ (ด่าง) ของน้ำ น้ำที่มี pH เหมาะสม มีค่าอยู่ระหว่าง 6-8 น้ำดื่ม ควรมีค่า pH 6.8-7.3 ถ้า นำ้ ท่ีมีค่า pH สูงเกินกว่า 8 ถือว่าน้ำนัน้ เปน็ ดา่ ง และถา้ คา่ pH ต่ำกว่า 6 แสดงว่านำ้ น้นั เป็น กรด มลพษิ ทางอากาศ ในบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลกนี้ เป็นอากาศที่ประกอบด้วย ออกซิเจนประมาณ 21 % ไนโตรเจน 78 % คารบ์ อนไดออกไซด์ 0.03 % และที่เหลือเป็นกา๊ ซอ่ืน ซง่ึ ปริมาณหรอื อัตราสว่ นดังกล่าวนี้ เป็นอัตราส่วนของ อากาศท่ีเหมาะสมแกก่ ารหายใจของมนุษย์ มลพิษทางอากาศ (Air Pollution) หมายถึง ภาวะของอากาศที่เจือปนด้วยสารพิษในปริมาณที่ อาจเป็นอันตรายต่อ มนุษย์ สัตว์ พืช และทรัพย์สิน สิ่งเจือปนเหล่านี้ ได้แก่ เศษผง ฝุ่นละออง เขม่า ควัน ออกไซด์ของคาร์บอน ออกไซด์ของกำมะถัน ออกไซด์ของไนโตรเจน ไฮโดรคาร์บอน สารปรอท ตะกั่ว กมั มนั ตภาพรังสี

87 1) แหลง่ กำเนิดมลพิษทางอากาศ มลพิษทางอากาศมแี หลง่ กำเนดิ 2 แหล่งใหญ่ ๆ คือ 1.1) มลพษิ ทีเ่ กิดขึ้นตามธรรมชาติ ไดแ้ ก่ ฝุ่นละออง ลมพายุ ควนั จากไฟไหม้ป่า เถ้าจากภูเขา ไฟระเบิด แผ่นดนิ ไหว กา๊ ซท่ีเกดิ จากการเน่าเหม็นของสารอนิ ทรีย์ และส่งิ ปฏกิ ลู อากาศเสียท่ีเกิดจาก ธรรมชาติจะมปี ริมาณนอ้ ย สง่ ผลกระทบตอ่ มนุษย์นอ้ ยมาก 1.2) มลพิษทเี่ กดิ ขึ้นจากการกระทำของมนุษย์ เป็นสาเหตใุ หญ่ทที่ ำ ให้เกิดมลพษิ ในอากาศขึ้นอย่างมากมาย ซึ่งกจิ กรรมของมนุษยท์ ่ีทำให้อากาศเสียมดี ังน้ี 1.2.1 ) การคมนาคมขนส่ง เกิดจากยานพาหนะทข่ี บั เคลอื่ นด้วยเคร่อื งยนต์ เช่น รถยนต์ เรือยนต์ เครื่องบิน ก๊าซพิษจากท่อไอเสียได้แก่ คาร์บอนไดออกไซด์ คาร์บอน มอนอกไซด์ ไฮโดรคาร์บอน ออกไซด์ของไนโตรเจน ออกไซด์ของกำมะถัน จากการสำรวจในเมืองใหญ่ ๆ ทั่วโลก เช่น กรงุ เทพฯ โตเกียว นวิ ยอรค์ พบว่าอากาศเสยี ส่วนใหญเ่ กดิ จากยานพาหนะ ประเภทรถยนตถ์ งึ รอ้ ยละ 85 % 1.2.2) โรงงานอตุ สาหกรรม ซึง่ จะปลอ่ ยมลพษิ ออกสู่บรรยากาศหลายชนิด เชน่ - โรงงานผลติ ปนู ซเี มนต์ โรงโม่หนิ ทำใหเ้ กิดฝนุ่ ละออง - โรงงานผลติ ปุ๋ยฟอสเฟต ทำให้เกดิ ก๊าซฟลูออไรด์ ซ่ึงเป็นก๊าซพษิ - โรงงานผลติ แบตเตอร่ี ทำให้เกดิ ไอของตะก่วั เมือ่ มีการหลอมตะกั่ว - โรงงานผลติ พลังงานไฟฟ้าดว้ ยถา่ นหนิ ลิกไนต์ ทำให้เกิดกา๊ ซ ซัลเฟอรไ์ ดออกไซด์ ก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ และหมอกควัน - โรงงานทม่ี ีหมอ้ นำ้ ซง่ึ ใช้นำ้ มนั เตาเป็นเช้อื เพลงิ มีสารกำมะถันเจือปนอยใู่ น นำ้ มันเตา ทำให้เกดิ ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ 1.2.3) เกดิ จากกิจกรรมทางด้านการเกษตร เช่น การพ่นยาปราบศัตรูพชื ซึง่ กอ่ ใหเ้ กิดมลพษิ ในอากาศการเผาตอซัง การเผาต้นออ้ ย เพอื่ ให้เก็บได้งา่ ยขึ้น จะทำให้เกิดฝนุ่ ควัน และสารพวก ไฮโดรคาร์บอน 1.2.4) เกิดจากขยะมูลฝอย และการเผาขยะ กองขยะมูลฝอยและมูลสัตว์ เมื่อทับ ถมกันเป็นเวลานาน ๆ ทำให้เกิดก๊าซไนตรัสออกไซด์ ฯลฯ และส่งกลิ่นเหม็นรบกวนได้ การเผาขยะในเตาเผา จะ ทำให้เกิดพวกสารประกอบอัลดไี ฮน์ ไนโตรเจนออกไซด์ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ แอมโมเนยี คารบ์ อนมอนอกไซด์ 1.2.5) เกิดจากการระเหยของก๊าซบางชนิด เช่น การพ่นสีรถยนต์ หรือน้ำมัน เชื้อเพลงิ 2.) องคป์ ระกอบของอากาศเสีย อากาศเสียประกอบด้วยส่วนประกอบหลายชนดิ ดังนี้ 2.1) ประเภทที่เปน็ ของแข็งขนาดเล็ก ลอยอยใู่ นอากาศ เช่น ฝุน่ ละออง เขม่า จุลนิ ทรยี ์ ซ่ึงเป็นอนั ตรายตอ่ ระบบทางเดินหายใจ 2.2) ประเภทที่เป็นแก๊ส ทม่ี คี าร์บอนเปน็ องค์ประกอบ เศษละอองของ คาร์บอน คือ เศษถ่านเล็ก ๆ จากท่อไอเสีย ปล่องควันโรงงานอุตสาหกรรม เมื่อลอยปะทะสารพิษในอากาศจะดูด พิษไว้ เม่อื พิษเข้าสูป่ อด จะไปทำลายระบบทางเดินหายใจได้ สารประกอบคาร์บอน ได้แก่

88 2.2.1) แคดเม่ียม พบมาในโรงงานถลุงเหลก็ หรือโรงงานหลอมโลหะ ตะก่ัว สังกะสี พษิ จากแคดเมีย่ มทำให้เกดิ โรคหวั ใจ ทำลายไต และทำใหก้ ระดูกผุ 2.2.2) ตะกัว่ ละอองตะก่ัวถา้ เขา้ สู่ลมหายใจแลว้ มผี ลทำลายประสาท กลาง ทำลายกระดูก เม็ดเลือดขาว ไต และการสร้างเม็ดเลือดแดง พิษของตะกั่ว ทำให้อาเจียน ท้องผูก ปวด ท้อง โลหิตจาง และระบบประสาทถกู ทำลาย นอกจากจะพบสารตะกว่ั ในทอ่ ไอเสยี รถยนต์แลว้ ยงั พบในสีทาบ้าน และฝุ่นตามมาตรฐานสากล สารตะกั่วควรมีในบรรยากาศไม่เกิน 2 ไมโครกรัม ต่อ 1 ลูกบาศก์เมตร แต่ในที่จราจร คับคง่ั ในเมืองใหญ่ พบวา่ มีสารตะกั่วถึง 100 กว่าไมโครกรมั ตอ่ 1 ลกู บาศก์เมตร 2.2.3) สารกมั มันตรังสี อาจเกดิ จากแหล่งธรรมชาติ การทดลอง ระเบิดปรมาณู เตาปฏิกรณ์ปรมาณู และจากเศษวัสดุของเสียที่มีกัมมันตรังสีอยู่ สารกัมมันตรังสีมีความคงทน และตกค้างเป็นเวลายาวนาน เป็น 100 หรือ 1000 ปีได้ สารกัมมันตรังสีเพียงน้อยนิดก็สามารถเป็นอันตรายต่อ มนษุ ย์ ทำใหเ้ คืองตา ทำใหจ้ มูก มือ และคอ บวม อาเจยี น และโครโมโซมผิดปกติ 2.2.4) ปรอท สว่ นใหญ่สารปรอทจะถูกปล่อยจากโรงงานทต่ี อ้ งใชป้ รอทหรือ สารประกอบของปรอท โรงงานทำสกั หลาด โรงงานผลิตเครอื่ งสำอาง เปน็ ตน้ ไอของปรอททป่ี ะปนในอากาศเข้า ส่รู า่ งกายทางลมหายใจและผวิ หนัง ทำใหเ้ กดิ อาการหนาวสั่น เปน็ ไข้แน่นหนา้ อก และอาจถกู ตายได้ มลพษิ ทางเสียง เสียง หรือการได้ยิน เป็นการรับรู้สิ่งแวดล้อมที่สำคัญอย่างหนึ่งของมนุษย์ เสียงที่ดังตาม ธรรมชาติมักจะไม่ก่อใหเ้ กิดปัญหาอะไร เชน่ เสียงน้ำตก เสยี งนกรอ้ ง เปน็ ต้นแต่เสียงจากกจิ กรรมของมนุษย์ เสียง ที่เกิดขึ้นในเมืองใหญ่ ๆ ในโรงงานอุตสาหกรรม เป็นเสียงท่ีอึกทึกทำใหป้ ระสาทหูทำงานหนักตลอดเวลา เมื่อได้รับ ติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ จะทำให้ประสาทตึงเครียด จิตใจขาดสมาธิ และเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ จึงเรียกว่า เป็นมลพิษทางเสียง เนื่องจากเสียงมีทั้งเสียงสูงและต่ำ ซึ่งเกิดจากความถี่ของคลื่นเสียง ซึ่งมีหน่วยเป็นเฮิรตซ์ หู ของคนเราจะได้ยินอยู่ในระดับ 20-20,000 เฮิรตซ์ ถ้าคนสูงอายุอาจจะได้ยินเสียงที่มีความถี่ไม่เกิน 10,000 เฮิรตซ์ โดยปกติเสียงพูดมีช่วงความถี่อยู่ระหว่าง 300 - 5,000 เฮิรตซ์ และช่วงหูเรามีความไวมากที่สุด คือ ระหว่าง 2,000 - 5,000 เฮริ ตซ์ ชว่ งความถ่ีท่ีหมู นุษย์มีความไวทีส่ ดุ นี้ เปน็ ชว่ งทม่ี ีอันตรายหากขนาดของเสียงมากเกินไป สำหรับขนาดของเสียง หรือความดังของเสียง หน่วยที่ใช้วัดคือเดซิเบล โดยวิธีการเปรียบเทียบ ความดงั หรอื ความเขม้ ของเสยี งจาก 2 แหลง่ ดว้ ยกัน ซึง่ สามารถทำความเขา้ ใจเกี่ยวกบั หนว่ ยเดซิเบลไดง้ า่ ย ๆ คือ 10 เดซิเบล มีความเข้มเปน็ 10 เทา่ ของ 0 เดซิเบล 20 เดซิเบล มีความเข้มเป็น 100 เท่าของ 0 เดซเิ บล (คอื 10X10) 30 เดซิเบล มีความเข้มเป็น 1,000 เท่าของ 0 เดซิเบล (คือ 10X10X10) ขนาดของเสียงจาก กจิ กรรมตา่ ง ๆ มดี ังน้ี 10 เดซิเบล เสียงกระซิบแผ่ว ๆ 20 เดซเิ บล เสยี งสนทนาเบา ๆ 30 เดซิเบล เสยี งสนทนาตามปกติ 40 เดซเิ บล เสยี งการจราจรเบา ๆ 50 เดซเิ บล เสียงพิมพด์ ีดและสนทนาดงั ๆ

89 60 เดซเิ บล เสียงเสียงในสำนกั งานท่ีว่นุ วาย 70 -90 เดซเิ บล เสียงการจราจรตามปกติ เสียงรถไฟ เสียงขดุ เจาะถนน 100 เดซเิ บล เสียงเครอ่ื งบนิ ขน้ึ 140 เดซิเบล อันตรายจากมลพษิ ทางเสียง มลพิษทางเสียง หมายถึง สภาพแวดลอ้ มที่มเี สียงดงั เกนิ ค่ามาตรฐานทีก่ รมควบคุมมลพิษ กำหนดอันก่อให้เกิดความรำคาญสร้างความรบกวน ทำใหเ้ กดิ ความเครยี ดทั้งทางร่างกายและจติ ใจ ทำใหต้ กใจและ อาจเป็นอนั ตรายต่อสุขภาพอนามัยได้ เสียงทีไ่ ดย้ นิ ทุกวันนี้ ชว่ ยให้มนุษย์สามารถดำเนินกิจกรรมและแสวงหาความ เพลิดเพลนิ ในชีวิต เสยี งทเ่ี กดิ ข้ึนก่อใหเ้ กดิ ระดับความดังทีต่ า่ งกนั ซง่ึ บางระดับอาจเป็นอันตรายตอ่ สุขภาพได้ เสียงรบกวน หมายถึง ระดับเสยี งที่ผู้ฟังไมต่ ้องการจะได้ยินเพราะสามารถกระทบต่ออารมณ์ ความรู้สึกได้ แม้จะไม่เกินเกณฑ์ ที่เป็นอันตราย แต่ก็เป็นเสียงรบกวนที่มีผลต่อผู้ฟังได้ การใช้ความรู้สึกทำวัดได้ยากว่าเป็นเสียง รบกวนหรือไม่เช่น เสียงดนตรีที่ดังมาก ในสถานที่เต้นรำ ไม่ทำให้ผู้ที่เข้าไปเที่ยวรู้สึกว่าถูกรบกวน แต่ในสถานที่ ตอ้ งการความสงบ เชน่ หอ้ งสมดุ เสยี งพดู คยุ ตามปกตทิ มี่ คี วามดงั ประมาณ 60 เดซิเบลเอ กถ็ อื วา่ เป็นเสียงรบกวนได้ ผลกระทบทีเ่ กิดจากมลพิษทางเสียง เสียงที่เป็นอันตรายนั้น องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ว่า หมายถึง เสียงที่ดังเกิน 85 เดซิเบลเอ ที่ทุก ความถี่ ส่วนใหญ่พบวา่ โรงงานอุตสาหกรรมมีระดับเสยี งที่ดังเกินมากกว่า 85 เดซเิ บลเอ เป็นจำนวนมากซึ่งสามารถ ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพทางกายและจิตใจของมนุษย์ได้ แต่นอกเหนือจากมนุษย์ มลพิษทางเสียงยัง ก่อให้เกิดผลกระทบอกี มากมายหลายด้าน ได้แก่ 1) ผลกระทบต่อมนุษย์ ระดับเสียงที่ปลอดภัยในการได้ยินตอ้ งมีความดังไม่เกิน 85 เดซิเบลเอ แต่ถา้ สัมผสั วนั ละหลายๆ ชัว่ โมง จะทำให้ประสาทหูเส่ือมได้ เสยี งท่ดี งั เกนิ ความจำเป็นก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ อนามัยของคน คอื 1. ทำใหเ้ กดิ ความรำคาญ รู้สกึ หงดุ หงดิ ไม่สบายใจ เกดิ ความเครียดทางประสาท 2. รบกวนต่อการพกั ผ่อนนอนหลับ และการติดตอ่ สอื่ สาร 3. ทำให้ขาดสมาธิ ประสทิ ธิภาพการทำงานลดลง 4. มผี ลตอ่ สุขภาพรา่ งกาย ความเครียด และอาจก่อใหเ้ กดิ อาการป่วยทางกาย เชน่ โรคกระเพาะ โรค ความดนั สูง 5. การได้รบั ฟังเสียงดังเกินกว่ากำหนดเป็นระยะนานเกินอาจทำใหส้ ญู เสยี การไดย้ นิ 2) ผลกระทบตอ่ สงิ่ แวดล้อม ทำใหก้ ระจกแตก โบราณวตั ถุพงั ทลาย เสยี งจากเครอ่ื งบนิ ไอพ่นทำ ให้เกิดเสียงอัตราโซนิกส์ มีผลทำให้บรรยากาศแปรปรวน ดินฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลง มีผลต่อการเจริญพันธุ์ของ สัตว์ เสียงที่มีความถี่สูงระหว่าง 15,000-20,000 เฮิรตซ์ ผ่านลงในน้ำ จะทำให้แบคทีเรียสลายตัว สัตว์น้ำซึ่ง ไดแ้ ก่ กบและปลา จะตายภายในไม่กนี่ าที

90 ขยะมลู ฝอย ประเภทของขยะมูลฝอย ขยะมูลฝอยสามารถจำแนกตามลกั ษณะออกไดเ้ ปน็ 3 ประเภท คอื 1) ขยะเปียก (garbage) หมายถึงขยะที่มีความชื้นผสมอยู่ไม่ต่ำกว่า ร้อยละ 50 ได้แก่ พวกเศษอาหาร ผักผลไม้ ขยะประเภทนี้จะทำให้เกิดกลิ่น เนื่องจากเป็นขยะที่ประกอบไปด้วยสารอินทรีย์ จุลชีพ สามารถย่อยสลายได้ง่าย จึงมีการย่อยสลายและก่อให้เกิดกลิ่นเหม็น นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรค จาก แบคทเี รีย และจากสัตวเ์ ลก็ ๆ จำพวกแมลง หนู ไปอาศัยและกินด้วย 2) ขยะแห้ง (rubbish) เป็นขยะที่มีความช้ืนน้อยมาก หรือไม่มีเลย เช่น เศษแก้ว เศษ โลหะ เศษผ้า เศษถ้วยชาม เศษยาง เศษกระดาษฯลฯ ขยะประเภทนี้จะไม่ส่งกลิ่นเหม็น และไม่เป็นอันตรายต่อ สุขภาพ 3) ขยะอันตราย เป็นขยะที่อันตรายตอ่ มนุษย์และส่ิงแวดล้อม เพราะมีสารพิษหรือเชอื้ โรคปนเปื้อนอยู่ ได้แก่ กากสารพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม หลอดไฟฟลูออเรสเซนส์ ถ่านไฟฉาย และขยะติด เชือ้ จากโรงพยาบาล เขม็ ฉีดยา เป็นต้น ผลกระทบจากขยะมลู ฝอย 1) เป็นแหล่งเพาะพันธุ์เชื้อโรค ในขยะเปียก และขยะจากโรงพยาบาล มีเชื้อโรค แบคทเี รีย ทีเ่ ป็นอันตรายตอ่ สงิ่ มีชวี ิตอื่น แหล่งขยะเปียกจึงกลายเปน็ แหลง่ เพาะพนั ธุเ์ ชอ้ื โรคเหล่าน้ีเป็นอย่างดี 2) ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ ขยะทำให้เกิดกลิน่ เหมน็ ฟุ้งกระจาย ในบริเวณใกลเ้ คยี ง และถ้าเผาขยะโดยไม่ถูกสุขลักษณะด้วยแล้ว ถ้าเป็นขยะที่มีสารพิษ การเผาจะทำให้สารพิษนั้นกระจายขึ้นมาใน อากาศ เปน็ อันตรายตอ่ สุขภาพอยา่ งยงิ่ 3) กอ่ ใหเ้ กิดมลพิษทางนำ้ ขยะถูกท้ิงลงในแม่นำ้ ทำให้น้ำเน่าเสีย ออกซิเจนในนำ้ ลดลง สัตวน์ ้ำไม่สามารถอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำนั้นได้ ถา้ เป็นขยะที่มสี ารพิษ จะทำให้สัตวน์ ำ้ ตายได้ 4) ทำให้แหล่งน้ำตนื้ เขิน 5) เปน็ อนั ตรายตอ่ สุขภาพ ถ้าเป็นขยะเปยี ก จะสง่ กลิน่ เหมน็ รบกวน สรา้ งความรำคาญ และเป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่ถ้าเป็นขยะที่มสี ารพิษ จะก่อใหเ้ กดิ อนั ตรายถึงชวี ิตได้ 6) ทำให้สูญเสยี ทางเศรษฐกจิ เนอ่ื งจาก ขยะทำให้เกิดมลพิษ 4. แบบฝกึ หดั /แบบทดสอบ ข้อสอบประจำหน่วยที่ 5 เร่ือง ผลกระทบจากการผลติ และการใช้พลงั งาน วชิ า พลังงาน ทรพั ยากรและสิ่งแวดล้อม รหัส 20001-1002 ระดับ ปวช. คำช้แี จง: 1 ขอ้ สอบมีจำนวน 10 ข้อ 2. ให้นักเรียนเขียนเครื่องหมาย X ข้อทเ่ี หน็ ว่าถูกตอ้ งท่ีสดุ เพียงข้อเดยี วลงในกระดาษคำตอบ

1. ในปัจจุบนั ประเทศไทย ยังไม่ได้ใชป้ ระโยชนจ์ าก 91 พลังงานนวิ เคลียรใ์ นด้านใด ก. การแพทย์ 5. สารกมั มันตรงั สี ชนิดใดเป็นอนั ตรายต่อเซลลม์ นุษย์ ข. อุตสาหกรรม ก. รังสแี กมมา เพราะมีอำนาจทะลทุ ะลวงสงู สดุ ค. เกษตรกรรม ข. รังสแี กมมา เพราะมีการถ่ายเทพลังงานบน ง. โรงไฟฟ้า เนอื้ เย่อื ค. รงั สีเบาและแอลฟา เราะมอี ำนาจทะลุทะลวง 2. โรงไฟฟ้าแมเ่ มาะ จ. ลำปาง ใชถ้ า่ นหินเพ่ือการผลิต กระแสไฟฟ้า ก่อให้เกดิ มลพษิ ด้านใดมากท่สี ุด ตำ่ ก. มลพษิ ทางดิน ง. รงั สีเบตาและแอลฟา เพราะมีอำนาจทะลุ ข. มลพิษทางน้ำ ค. มลพษิ ทางอากาศ ทะลวง ง. มลพษิ ทางทศั นียภาพ สงู จึงทำลายเนอ้ื เยื่อได้ 3. พลังงานท่ใี ชใ้ นการผลติ กระแสไฟฟ้า ชนดิ ใดจัดว่า 6. พลังงานชนดิ ใดทำให้เกดิ ฝนกรด เปน็ พลังงานสะอาด ก. ถ่านหนิ ก. นำ้ มนั ข. ก๊าซธรรมชาติ ข. กา๊ ซธรรมชาติ ค. แกส๊ ธรรมชาติ ค. นวิ เคลยี ร์ ง. พลงั งานน้ำ ง. ถา่ นหิน 7. เหตุใดโรงงานอุตสาหกรรม เมอ่ื จะปล่อยนำ้ ท้ิงจึงตอ้ ง 4. การใช้พลังงานชนดิ ใดทก่ี ่อใหเ้ กดิ ผลกระทบกับพืน้ ที่ ผา่ นหอหล่อเยน็ ก่อนท้งั สู่สง่ิ แวดลอ้ ม ป่าไม้มากท่ีสดุ ก. เพื่อใหเ้ ครื่องจักรเยน็ ตวั ลง ก. พลังนำ้ ข. เพื่อใหน้ ำ้ ท่ีจะท้ิงเย็นลงก่อนสู่ส่ิงแวดลอ้ ม ข. ถ่านหิน ค. เพ่อื เพิ่มอุณหภูมิให้กับน้ำเยน็ ที่จะทิ้งสู่ ค. นำ้ มัน ส่ิงแวดลอ้ ม ง. ก๊าซธรรมชาติ ง. เพอื่ ลดส่งิ สกปรกกอ่ นปล่อยน้ำสู่สิง่ แวดลอ้ ม 8. ในการคมนาคม ถ้าการสันดาปไม่สมบูรณ์ทำใหเ้ กิด กา๊ ซชนิดใด ก. ซัลเฟอร์ ข. ในตรสั ออกไซด์ ค. คาร์บอนไดออกไซด์ ง. คารบ์ อนมอนออกไซด์

92 9. น้ำเสียจากครวั จะเปน็ นำ้ เสียประเภทใด ควรกำจดั 10. เพราะเหตุใดจงึ ต้องมีการพักนำ้ หล่อเยน็ ก่อนปล่อยลง ดว้ ยวิธีใด สแู่ ม่น้ำ ก. เป็นน้ำที่มคี วามขนุ่ มาก ควรใช้วธิ กี ารกรอง ก. น้ำจะไดต้ กตะกอน มเี ฉพาะนำ้ ใสลู่แมน่ ้ำ ข. เปน็ นำ้ ท่ีมสี ารพิษสูง ตอ้ งใชว้ ธิ ีตกตะกอน ข. สารพิษจะไดเ้ จือจางลง กอ่ นลงสแู่ มน่ ำ้ ค. เป็นนำ้ ท่มี ีความกระด้างมาก ควรใช้สารส้มแกวง่ ค. น้ำจะมสี ีจางลงก่อนลงสแู่ มน่ ำ้ กอ่ น ง. น้ำจะได้ปรับอุณหภูมลิ ง ก่อนลงสู่แมน่ ำ้ ง. เป็นน้ำท่ีมไี ขมนั มาก ควรตกั ไขมันทล่ี อยเปน็ ฝา แขง็ อยู่บริเวณผวิ หน้าท้ิงไปก่อน

ใบงาน ท่ี ........ 5........ 93 หลักสูตร ประกาศนียบตั รวิชาชีพ หนว่ ยที่ 5 รหสั 20001-1002 พลังงาน ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม สอนครัง้ ท.่ี ..5.... ชอ่ื งาน........ผลกระทบจากการผลิตและการใช้พลังงาน เวลา.........2.........ชม. 1. จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม หลังจากทำกจิ กรรมนเ้ี สรจ็ แล้ว นักเรยี นจะสามารถ อธิบายเร่ือง ผลกระทบและการป้องกนั แก้ไขปัญหาด้าน พลงั งานและสิง่ แวดลอ้ มได้ 2. สมรรถนะ เหน็ ความสำคญั ของผลกระทบและการปอ้ งกนั แกไ้ ขปัญหาดา้ นพลงั งานและส่งิ แวดลอ้ ม 3. เครื่องมือ วสั ดุ และอปุ กรณ์ เครอ่ื งมอื วสั ดุ-อปุ กรณ์ เอกสาร สถานการณ์พลงั งานโลก (ถงึ เวลากา้ วใหพ้ ้นยคุ ฟอสซลิ หรอื ยัง) จากการประเมินของ EIA (Energy Information Administration) ระบุวา่ การใชพ้ ลังงานของ โลกมแี นวโนม้ เพิ่มขน้ึ เรือ่ ยๆ โดยเฉพาะตัง้ แตป่ ี 2544 ไปจนถึงปี 2568 แนวโน้มการใช้พลังงานจะ เพมิ่ ขึน้ รอ้ ยละ 54 แหล่งพลังงานที่ใช้ 3 อนั ดบั แรก ได้แก่ น้ำมัน กา๊ ซธรรมชาติ และถ่านหนิ EIA ประเมนิ สถานการณ์อกี ว่า น้ำมันยังคงเปน็ แหลง่ พลังงานท่ีมีการใชส้ ูงสุด และมีอัตราการ ใช้เพิ่มขึ้นทุกปี ปลี ะประมาณรอ้ ยละ 1.9 โดยในปี 2544 มีปริมาณการใชอ้ ยู่ 77 บารเ์ รลตอ่ วัน และจะเพิ่มขึ้นเปน็ 121 บารเ์ รลตอ่ วนั ในปี 2568 ก๊าซธรรมชาติเป็นแหล่งพลงั งานที่มกี ารใช้เพม่ิ ขึน้ ค่อนขา้ งรวดเร็ว โดยจากปี 2544 ถงึ ปี 2568 ปริมาณการใชก้ ๊าซธรรมชาติจะเพิ่มสงู ถึงประมาณร้อยละ 62 ถา่ นหนิ เดมิ เปน็ แหลง่ พลงั งานท่ีมีการใชม้ ากกว่าก๊าซธรรมชาติ แมจ้ ะมีแนวโน้มการใช้เพิม่ ขน้ึ แตเ่ มือ่ หลังจากปี 2553 ไปแล้ว อตั ราการใชพ้ ลังงานจากถา่ นหนิ จะน้อยกว่าก๊าซธรรมชาติรอ้ ย ละ 12

94 ท่ีสำคัญ หากโลกมกี ารใช้พลงั งานในระดับทเี่ ป็นอยู่ และไม่มกี ารคน้ พบเพิ่มเติมแล้ว คาดว่า โลกจะมแี หล่งสำรองน้ำมนั ใช้ไปได้อีกประมาณ 42 ปี ก๊าซธรรมชาติอีกประมาณ 64 ปี และถ่าน หินอีกประมาณ 220 ปีเท่านั้น (ข้อมลู จากบริษัทนำ้ มนั บีพี ปี ค.ศ. 2009) ในขณะที่แหล่งพลังงานฟอสซลิ ค่อยๆ หดหาย ก็มกี ารทำนายปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึง่ เปน็ สาเหตขุ องปัญหาภาวะโลกร้อน พบว่าถบี ตัวสูงข้ึนเร่ือยๆ โดยขอ้ มลู ปี 2544 มปี รมิ าณกา๊ ซ คาร์บอนไดออกไซด์เกดิ ขึ้น 23.9 พันล้านเมตรกิ ตัน ซงึ่ จะเพ่มิ ขึน้ เป็น 27.7 พันลา้ นเมตริกตันใน ปี 2553 และ37.1 พนั ล้านเมตริกตันในปี 2568 ถึงเวลาท่โี ลกต้องพยายามอยา่ งแขง็ ขนั เพ่ือก้าวให้พน้ ยุคพลงั งานฟอสซิลแล้วหรอื ยงั ? ทม่ี าของข้อมูล: Energy Information Administration(2004) International Energy Outlook 2004 On-line หมายเหตุ: EIA เปน็ หนว่ ยงานทีจ่ ัดตั้งข้นึ โดยสหรฐั อเมริการว่ มกับสมาชกิ กลุ่มประเทศอุตสาหกรรม 26 ประเทศ และ เอกสาร ชัยพร เซียนพาณชิ นกั วิจยั Siam Intelligence Unit สถานการณ์ด้านพลังงานของประเทศไทย การ ใช้พลงั งานในประเทศไทยจำเปน็ ต้องพ่ึงพาจากเชื้อเพลิงประเภทฟอสซิลเปน็ หลกั ไมว่ า่ จะเป็นนำ้ มนั หรือก๊าซธรรมชาติ เพอื่ นำมาใช้ผลติ กระแสไฟฟา้ ใชใ้ นภาคขนสง่ รวมไปถงึ ภาคการ อตุ สาหกรรม รปู แบบการใช้พลงั งานแบ่งได้เปน็ สองสว่ นคือ พลังงานไฟฟ้า และพลังงานเชื้อเพลงิ ภาพจากเว็บไซตค์ ณะกรรมการกำกบั กจิ การพลังงาน ทศิ ทางพลงั งานไฟฟา้ การผลิตไฟฟ้าของไทยท่ีผา่ นมาใช้กา๊ ซธรรมชาติเป็นเช้อื เพลงิ หลกั โดยมสี ดั ส่วนถึงรอ้ ยละ 72 ซ่งึ นับว่าสงู มาก และทำให้ไทยต้องพ่ึงพากา๊ ซธรรมชาติอย่างมนี ยั ยะสำคญั แหล่งที่มาของก๊าซ ธรรมชาติมาจากอ่าวไทยเปน็ หลกั นอกจากนี้ยงั มแี หลง่ ก๊าซธรรมชาตจิ ากประเทศเพ่อื นบา้ น ทง้ั พมา่ (แหล่งยาดานา) มาเลเซีย (แหล่ง JDA) และในอนาคตอาจมาจากพน้ื ที่ทบั ซ้อนระหว่างไทย- กมั พูชาดว้ ยอกี แหลง่ หน่ึง

95 แต่สถานการณ์พลงั งานในระดับโลกจะตา่ งไปจากประเทศไทย เพราะประเทศตา่ งๆ นิยมใช้ ถา่ นหนิ เพม่ิ ขนึ้ เน่ืองจากมีราคาถูกกวา่ กา๊ ซธรรมชาติ และมีปริมาณสำรองมากกวา่ มาก นอกจากน้ีการนำก๊าชธรรมชาตมิ าเผาเพ่ือผลติ ไฟฟ้ายงั ถูกมองว่า “เสยี เปลา่ ” ในเชงิ เศรษฐกิจ เพราะสามารถนำไปแปรรูปเพมิ่ มูลค่าได้อกี เป็นอันมาก อยา่ งไรกต็ าม การผลิตไฟฟ้าของประเทศ ไทยยังใชถ้ ่านหนิ และพลังงานนำ้ เปน็ สดั ส่วนท่ีนอ้ ย เมอ่ื เทียบกบั กา๊ ซธรรมชาติ นอกจากน้ีไทยยงั ต้องซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพ่ือนบา้ นเข้ามาอีกสว่ นหนงึ่ โดยเฉพาะพลังงาน ไฟฟ้าจากเข่อื นในประเทศลาวทีม่ สี ัมพันธภาพท่ดี ีตอ่ กนั ในภาพรวมแลว้ ความสามารถในการผลติ กระแสไฟฟ้าของไทยยังเพียงพอต่อการใชง้ านภายในประเทศอยู่ แต่ประเทศไทยไมไ่ ด้ลงทนุ สรา้ ง โรงงานไฟฟ้าขนาดใหญ่มานานแลว้ รวมท้ังเขอ่ื นเพอื่ ผลิตไฟฟ้าที่อาจเรยี กไดว้ า่ หยดุ สรา้ งไปโดย สิน้ เชงิ ดงั นั้นถ้าตอ้ งการรักษาสถานะความมั่นคงของพลังงานเอาไว้ในอนาคต การซ้ือพลงั งานจาก เพือ่ นบา้ น และการหนั ไปใช้วัตถุดิบประเภทอนื่ ๆ จึงกลายเป็นตัวเลือกท่ีไม่อาจเลี่ยงได้ ทศิ ทางพลังงานเชื้อเพลงิ ภาคขนส่งของไทยยงั คงใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลงิ หลกั ถึงแม้วา่ ระยะหลงั จะมกี ารตนื่ ตัวเร่ือง พลังงานทดแทนมากขึ้น โดยนำเชอ้ื เพลงชีวภาพ (biofuel) กลุ่มเอทานอลจากวัตถดุ ิบทาง การเกษตรมาเป็นส่วนประกอบของน้ำมันสำเร็จรูปทง้ั เบนซนิ และดเี ซล แตป่ ระเทศไทยก็ยังตอ้ ง พง่ึ พาการนำเข้านำ้ มันจากตา่ งประเทศอยูด่ ี โดยสดั สว่ นของพลังงานในกล่มุ นำ้ มนั อยู่ท่ีร้อยละ 39 ของพลังงานทั้งประเทศ และตอ้ งนำเข้าสูงถึงร้อยละ 80 ของปริมาณพลังงานนำเขา้ ทั้งหมด อัตราการใชพ้ ลังงานเชือ้ เพลิงของไทยไมเ่ คยลดลงเลย และเม่ือไทยต้องนำเข้าพลังงาน เช้ือเพลงิ จากภายนอก พอมปี ัญหาราคาพลังงานในตลาดโลกสงู ขน้ึ ประเทศไทยก็จะพบความ ยากลำบากทางเศรษฐกิจเสมอมา (ราคานำ้ มนั ทส่ี งู ขึน้ เกดิ จากการผลติ นำ้ มันของโลกในเวลาน้ไี ด้ เลยจดุ สงู สุด ของการผลติ ทงั้ โลกไปแลว้ นั่นหมายความวา่ การผลิตในอนาคตจะสามารถผลติ ได้ น้อยลง ถา้ ไมส่ ามารถเปิดแหล่งพลงั งานใหม่ได้ นอกจากน้ียังมปี ัจจัยดา้ นเก็งกำไรอีกสว่ นหนึง่ ) เสถยี รภาพความมนั่ คงทางพลงั งานเช้อื เพลิงของไทยจึงแขวนอยบู่ นเสน้ ดา้ ย และกำลัง กลายเป็นปญั หาความมน่ั คงทางพลังงานท่จี ำเปน็ ต้องไดร้ ับการติดตามและ ประเมินผลอย่าง ใกล้ชิด แผนภาพท่ี 1: ปริมาณการบริโภคพลงั งานข้นั สดุ ท้าย 5 ปีย้อนหลงั (ข้อมูลจาก EPPO) แผนภาพท่ี 2: ปรมิ าณการบริโภคพลงั งานไฟฟ้าต่อปี 5 ปีย้อนหลงั (ข้อมลู จาก EPPO) อนาคตด้านพลังงานของประเทศไทย วิกฤติการณร์ าคานำ้ มนั ข้ึนในปี 2551 ทร่ี าคาน้ำมันทะยานขึ้นไปสงู เกอื บถงึ 150 เหรียญ สหรฐั /บาร์เรล กลายเปน็ จุดเปล่ยี นที่สำคญั ของการกำหนดนโยบายพลงั งานของไทย เพราะราคา พลงั งานทีส่ งู ย่อมสง่ ผลกระทบต่อภาคเศรษฐกจิ และส่งผลใหค้ วามม่ันคงทางเศรษฐกิจของ ประเทศตำ่ ลง เน่ืองจากต้องพ่ึงพาพลังงานจากต่างประเทศสงู มาก

96 นอกจากนนั้ ปัจจยั ทวี่ ่าไทยยังต้องพึ่งพาพลังงานไฟฟ้าจากประเทศเพ่ือนบ้านกถ็ ือเปน็ ปจั จัยเสี่ยงในดา้ นความมัน่ คงพลังงานอีกประการหนึ่ง ซึ่งแนวโนม้ การนำเขา้ พลังงานไฟฟา้ ก็ไม่มีที ทา่ วา่ จะนอ้ ยลงในอนาคตอันใกล้ ดไู ดจ้ ากแผนพัฒนาพฒั นากำลังผลิตไฟฟา้ ของประเทศไทย พ.ศ. 2553-2573 (PDP2010) จะเพิม่ สดั ส่วนการซื้อไฟฟ้าจากเพอ่ื นบา้ นเป็นร้อยละ 25 ของกำลงั การ ผลิตไฟฟ้าท้งั หมด “พลงั งานทดแทน” จึงกลายเปน็ คำตอบสำคญั ตอ่ ความมั่นคงทางพลังงานของไทย โดยแผน PDP2010 ของกระทรวงพลงั งานได้เพ่มิ สัดส่วนของพลังงานทดแทนขน้ึ มาเปน็ ร้อยละ 20 ของ กำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด และช่วงทผี่ า่ นมา เช้ือเพลิงชวี ภาพในกลุ่มของ LPG, NGV, แกส๊ โซฮอล์หรือนำ้ มันไบโอดเี ซล ก็ได้รบั ความนยิ มในกลมุ่ ผู้ใชร้ ถยนต์มากข้นึ เทคโนโลยีพลงั งาน ทดแทนชนิดใหม่ๆ อยา่ ง พลังงานความรอ้ นร่วมจากชวี มวล กา๊ ซชวี ภาพ หรือแม้แตข่ ยะ กม็ ี อนาคตท่สี ดใส และสมควรได้รับการผลกั ดนั จากภาครฐั และภาคเอกชนอย่างจริงจัง แตพ่ ลังงานทดแทนยังมขี ้อจำกดั ด้านเทคโนโลยี และขอ้ จำกดั ด้านภมู ศิ าสตร์-ภมู ิอากาศของ ประเทศไทย ทำให้ตวั เลือกของพลงั งานทดแทนชนิดต่างๆ มีไม่มากอยา่ งที่ควรจะเปน็ ตัวอยา่ งเช่นกรณีของพลงั งานแสงอาทิตย์ ท่ีพบปัญหาเมฆมากหรอื ฝนตกในบรเิ วณกว้างทำใหไ้ ม่มี แสงอาทติ ย์ตอ่ เน่ืองมากพอ สำหรบั การผลติ กระแสไฟฟา้ และวัสดอุ ุปกรณ์ในการผลติ พลังงานยงั มรี าคาสงู อยู่ ทำใหป้ ระเทศไทยยงั มีข้อจำกัดในการลงทนุ กับโครงการพลังงานทดแทนขนาดใหญ่ ลกั ษณะนี้ ขอ้ จำกัดเหลา่ นีท้ ำให้หลายฝา่ ยตอ้ งมองไปถงึ พลงั งานทางเลอื กอีกอย่างคือ “พลงั งาน นวิ เคลยี ร์” ซึ่งยังไม่ได้ขอ้ ยุติว่าควรจะเดินหนา้ หรือไม่ เพราะเหตุการณโ์ รงไฟฟ้านวิ เคลยี ร์เชอร์โน บิลยังอยใู่ นความทรงจำของประชาชน และกรณโี รงไฟฟ้านิวเคลยี รฟ์ ุกชุ มิ ะที่เกิดซ้ำในปี 2554 ย่งิ ทำให้ประชาชนหลายฝา่ ยยงั วติ กกงั วล อยา่ งไรก็ตาม เราควรพิจารณาข้อมูลทีว่ ่าประเทศเพ่อื น บา้ นของไทยกลบั เรง่ การเกิดโครงการโรง ไฟฟ้านิวเคลยี รต์ ่อไป ไม่วา่ จะเป็นเวยี ดนามทช่ี ัดเจนแล้ว ว่าสรา้ งแน่นอน (อย่หู ่างจากไทยไปราว 900 กิโลเมตร) และพม่า กมั พชู า อินโดนีเซยี ท่ียงั อย่ใู น ขัน้ เตรียมการ ทศิ ทางของพลงั งานไทยในระยะยาวจึงประสบความผนั ผวนอยา่ งมาก ไทยจะต้อง พยายามลดสัดสว่ นพลงั งานจากเช้ือเพลงิ ฟอซซลิ ลง พยายามใชพ้ ลังงานทดแทนมากข้ึน ลงทุนใน เทคโนโลยผี ลติ พลงั งานแบบใหม่ๆ และสดุ ท้ายแล้วพลังงานนิวเคลียรท์ ี่ต้นทุนต่ำแต่ความขัดแยง้ สูง อาจเปน็ สิ่งท่หี ลีกเลีย่ งไม่ได้ เอกสารอ้างอิง http://ton4aliving.blogspot.com/2011/10/blog-post_05.html

97 4.คำแนะนำ - 5. ขอ้ ควรระวัง - อยา่ ให้นักเรียนท่ีคิดได้ คดิ เพยี งคนเดยี ว 6. ลำดบั ขั้นการปฏบิ ัติงาน 1. แบ่งนักเรยี นเป็นกลุ่มละ 5 คน เพือ่ ระดมสมอง 2. ใหน้ กั เรียนแต่ละกลมุ่ เลือกว่า จะศกึ ษาพลังงานทดแทนใดทเี่ หมาะสมในการทดแทนพลังงานฟอสซลิ 3. นักเรยี นแต่ละกล่มุ ค้นคว้า 4. นักเรียนนำเสนอผลงาน รวมทกุ กลมุ่ ประมาณ 20 นาที 5. ครูและนักเรียนร่วมกนั สรุป 7. ผลการศกึ ษา 1. เน้ือหาทนี่ ำเสนอ 2. วธิ กี ารนำเสนอ 8. สรปุ และวิจารณ์ผล ....................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... 9. การประเมินผล 1. สังเกตพฤติกรรมรายบคุ คล 2. ประเมินพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรมกลมุ่ 3. สังเกตพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม 4 ตรวจกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมนำความรู้ 5. ตรวจแบบประเมนิ ผลการเรียนรู้ แบบฝกึ ปฏบิ ัติ 6. ตรวจกิจกรรมใบงาน 7. การสงั เกตและประเมนิ พฤติกรรมดา้ นคณุ ธรรม จริยธรรม คา่ นิยม และคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ 10. เอกสารอา้ งอิง /เอกสารค้นคว้าเพ่ิมเติม หนังสอื เรยี นวชิ า พลงั งาน ทรัพยากรและสงิ่ แวดล้อมสำนกั พิมพเ์ อมพนั ธ์ รหัส 20001-1002 และ อินเทอร์เน็ต

98 แผนการจัดการเรียนรู้ หนว่ ยที่ 6 หลักสตู ร ประกาศนียบัตรวิชาชพี สอนคร้งั ที่ 6-7 (11-14) รหัส 20001-1002 พลงั งาน ทรัพยากรและสง่ิ แวดล้อม ท-ป-น 2-0-2 ช่ือหนว่ ยการเรยี นรู้ ปญั หาจากการใชพ้ ลังงาน: สภาวะโลกรอ้ น ทฤษฎี 2 ชม. 1. สาระสำคญั ปรากฏการณ์ทป่ี ระเทศไทยประสบกับฤดรู ้อนท่ียาวนานข้นึ หรือสภาพภมู ิอากาศท่เี ปลย่ี นแปลงไปจากเดมิ ใน อกี หลายๆ ประเทศท่ัวโลก แสดงให้เหน็ ว่าภาวะการเปล่ียนแปลงสภาพภูมอิ ากาศไมใ่ ชเ่ ร่ือไกลตัวอีกต่อไป ทุกวันนี้ โลกกำลงั ร้อนขนึ้ อย่างรวดเร็ว และมแี นวโน้มว่าจะร้อนขนึ้ เร่อื ยๆ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาถอื ว่าเป็นทศวรรษทร่ี ้อน ท่สี ุดในรอบพนั ปี หลักฐานทางวิทยาศาสตร์จากทั่วโลกยืนยันได้ว่าปัญหาการเปล่ยี นแปลงสภาพภมู ิอากาศเกดิ จาก กิจกรรมตา่ งๆ ของมนุษย์ไมว่ ่าจะเป็นการใช้พลังงานจากฟอสซิล การตดั ไมท้ ำลายป่า การผลิตในภาคอตสุ าหกรรม และเกษตรกรรม ปัญหาดังกล่าวก่อให้เกิดผลกระทบมากมายในแทบทุกพ้นื ท่ีทั่วโลก รวมท้ังประเทศไทย 2. สมรรถนะประจำหน่วย 1.นกั เรียนสามารถบอกความหมายของสภาวะโลกร้อนได้ 2.นกั เรียนสามารถอธบิ ายกา๊ ซเรือนกระจกได้ 3.นกั เรยี นสามารถสรปุ กลุ่มกิจกรรมท่ีทำใหเ้ กดิ สภาวะโลกร้อนได้ 3. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1.บอกความหมายของสภาวะโลกรอ้ นได้ 2.อธิบายกา๊ ซเรือนกระจกได้ 3.สรปุ กลมุ่ กิจกรรมท่ที ำให้เกิดสภาวะโลกร้อนได้ 4.วิเคราะหผ์ ลกระทบและเสนอแนวทางป้องกนั แก้ไข 5.ผลกระทบจากสภาวะโลกร้อนโดยใช้วธิ คี ิดแบบหมวกหกใบได้ 5.อธบิ ายการเกิดปรากฏการณ์เรือนกระจกโดยกา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซด์ได้ 6.เปรยี บเทยี บความแตกตา่ งของอุณหภูมภิ ายในและภายนอกเรือนกระจกได้ 7. มกี ารพัฒนาคุณธรรม จรยิ ธรรม คา่ นยิ ม และคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ของผู้สำเร็จการศกึ ษา สำนักงาน คณะกรรมการการอาชีวศกึ ษา ท่คี รูสามารถสงั เกตไดข้ ณะทำการสอนในเรอ่ื ง 7.1 ความมมี นุษยสมั พันธ์ 7.2 ความมีวนิ ัย 7.3 ความรับผดิ ชอบ 7.4 ความซือ่ สัตย์สุจรติ 7.5 ความเชือ่ ม่ันในตนเอง 7.6 การประหยัด 7.7 ความสนใจใฝ่รู้ 7.8 การละเว้นสิ่งเสพตดิ และการพนนั 7.9 ความรกั สามัคคี 7.10 ความกตัญญกู ตเวที 7.11 แตง่ กายตามข้อตกลง ตรงเวลา รักษาสิง่ แวดลอ้ ม ใจอาสา

99 4. สาระการเรียนรู้ 1.ความหมายของสภาวะโลกรอ้ น 2.กา๊ ซเรอื นกระจก 3.กลุ่มธรุ กิจกรรมทท่ที ำใหเ้ กิดสภาวะโลกร้อนในประเทศไทย 5. กิจกรรมการเรยี นรู้ (สัปดาห์ท่ี...6........) ขนั้ นำเข้าสบู่ ทเรียน 1.ครสู นทนากับผเู้ รยี นวา่ โลกมชี ัน้ บรรยากาศห่อหุ้มอยู่โดยรอบหลายช้นั ชั้นบรรยากาศแต่ละชน้ั จะทําหน้าที่ คล้ายหลงั คา ซ่งึ เปน็ กระจกคอยรับแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านมายังโลก แสงบางส่วนจะถูกสะท้อนกลบั ออกไปยังนอกโลก และบางส่วนจะส่องทะลุผ่านเขา้ มายงั พนื้ ผิวโลก เป็นความร้อนที่ถูกกักเกบ็ ไว้ภายในทําให้โลกมี อุณหภูมิพอเหมาะ กับการดาํ รงชวี ติ ของสง่ิ มีชีวิต ปัจจบุ ันชนั้ บรรยากาศแต่ละช้นั กําลังถูกมนุษยท์ าํ ลาย และก่อให้เกิดผลกระทบต่อโลก อย่างมากมาย ที่เหน็ ไดช้ ัดเจนคอื การเปล่ียนแปลงอุณหภูมิของโลก ซึ่งสูงขนึ้ อย่างรุนแรงเรียกว่าปรากฏการณ์เรอื น กระจก หรือกรนีเฮาส์ เอฟเฟกต์ (Greenhouse Effect) ปจั จยั สําคญั ทที่ ําให้โลกร้อนขนึ้ คือกจิ กรรมต่างๆ ของมนุษย์ โดยเฉพาะกิจกรรมที่ทาํ ให้ปริมาณก๊าซเรอื นกระจก (Greenhouse Gases) ในบรรยากาศเพ่ิมมากขนึ้ 2.ครแู ละผู้เรยี นเลา่ ประสบการณเ์ กี่ยวกบั สถานการณ์กา๊ ซเรือนกระจก 3.ผ้เู รยี นยกตวั อย่างกิจกรรม หรอื การป้องกนั สถานการณ์ก๊าซเรือนกระจก ขั้นสอน 4.ครใู ช้ส่ือ Power Point เพื่ออธบิ ายความหมายของสภาวะโลกรอ้ น (Global Warming) หมายถึง การท่ี ชั้นบรรยากาศตัง้ แต่ผวิ โลกขนึ้ ไปมี อุณหภมู สิ ูงข้ึน เน่ืองจากการเปล่ียนแปลงลักษณะของสภาพภูมอิ ากาศ เช่น อุณหภูมิ ฝน ลม เป็นต้น ซ่ึงส่งผลกระทบต่อสิ่งมชี วี ติ และทําให้ระบบนเิ วศมีการเปลยี่ นแปลง 5.ครใู ชเ้ ทคนคิ วธิ ีการจดั การเรยี นรู้แบบร่วมมอื (Cooperative Learning) หมายถึงกระบวนการเรียนรทู้ ่จี ัด ให้ผูเ้ รียนได้ร่วมมือและชว่ ยเหลือกันในการเรียนรโู้ ดยแบง่ กลมุ่ ผู้เรียนทม่ี ีความสามารถต่างกันออกเป็นกลุม่ เล็ก ซง่ึ เป็นลกั ษณะการรวมกลมุ่ อย่างมโี ครงสรา้ งที่ชดั เจน มีการทำงานรว่ มกนั มีการแลกเปลีย่ นความคิดเหน็ มีการ ชว่ ยเหลอื พง่ึ พาอาศัยซง่ึ กันและกัน มคี วามรับผิดชอบร่วมกันทงั้ ในส่วนตนและส่วนรวมเพ่อื ให้ตนเองและสมาชิกทุก คนในกล่มุ ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ดังนี้ 1) แบ่งผเู้ รยี นเปน็ กลุ่มๆ ละ 3-4 คน 2) ผเู้ รยี นระดมสมองเร่ือง ความหมายของสภาวะโลกรอ้ น ก๊าซเรือนกระจก กลุ่มธรุ กจิ กรรมททท่ี ำให้เกดิ สภาวะโลกร้อนในประเทศไทย 3) นำเสนอหน้าช้นั เรยี น 6.ครูและผเู้ รียนใชเ้ ทคนิคการสอนแบบ Demonstration Method การจัดการเรียนรู้แบบสาธติ ผลทเ่ี กดิ จากปญั หาสิง่ แวดลอ้ ม โดยเปดิ วีดีโอให้ผ้เู รยี นดูเพื่อประกอบการศึกษา เรอ่ื งกา๊ ซเรอื นกระจก ซง่ึ ทำให้เกิดสภาวะโลก

100 รอ้ น ได้แก่ ก๊าซคารบ์ อนไดออกไซด์ (Carbon Dioxide: CO2) เป็นกา๊ ซที่ไม่มีกล่นิ ใช้อัดลงในนํ้าด่มื เพ่ือให้เกิดฟอง ซ่า เช่น โซดา น้ําอัดลม และยังนําไปใช้ในอตุ สาหกรรมอนื่ ๆ อีกหลายประเภท 7.ครูและผ้เู รยี นใชเ้ ทคนิคการสอนแบบ Integration การจัดการเรียนรแู้ บบบูรณาการ หมายถงึ การเรียนรู้ ทีเ่ ช่อื มโยงศาสตรห์ รือเน้อื หาสาขาวชิ าต่าง ๆ ทม่ี คี วามสัมพนั ธเ์ ก่ียวขอ้ งกันมาผสมผสานเขา้ ด้วยกัน เพื่อใหเ้ กดิ ความร้ทู ่ีมีความหมาย มีความหลากหลายและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงในชวี ติ ประจำวนั เรอื่ งกลุม่ ธุรกจิ กรรมทที่ทำใหเ้ กดิ สภาวะโลกรอ้ นในประเทศไทย 8.ผู้เรียนปฏิบัติกจิ กรรม ดงั ต่อไปน้ี 8.1 ผู้เรยี นเตรียมอปุ กรณ์และดาํ เนนิ กจิ กรรมตามที่กาํ หนดแล้วบันทกึ ผลลงในแบบบนั ทึกผลการทดลอง 8.2 อปุ กรณ์ได้แก่ 1) ขวดนํา้ อัดลมแบบพลาสติกขนาด 2 ลติ ร 2 ใบ 2) เทอร์โมมิเตอร์ 2 อัน (หากเป็น Bitherm Thermometer จะอ่านง่ายขน้ึ ) 3) สปอตไลต์ขนาด 150 วตั ต์ พร้อมขาต้ัง (กรณีไม่ใช้แสงอาทิตย์) 4) น้าํ อดั ลมสีดาํ หรือสีทบึ ขนาด 1 ลติ ร 2 ขวด 8.3 วธิ ีดาํ เนินกจิ กรรม 1) เปิดขวดนำ้ อดั ลม 1 ขวด ทง้ิ ไว้ 1 วนั กอ่ นทำการทดลอง เพอื่ ปล่อยใหก้ ๊าคาร์บอนไดออกไซด์ ออกไปใหห้ มด แตย่ งั ไม่ต้องเปดิ อกี ขวดทเ่ี หลือ โดยนำนำ้ อัดลมท้งั สองขวดควรต้งั ทิ้งไว้ ณ อุณหภูมห้อง 2) นําขวดพลาสติกน้าํ อัดลมเปล่าขนาด 2 ลติ ร มาตัดด้านปากขวดออก โดยให้มีขนาดความสงู ที่ เหลอื ของขวด 20 เซนตเิ มตร หรอื 8 นิ้ว 3) ใช้ปากกาเมจิกทาํ เครื่องหมายระดับของน้ําอัดลมทีจ่ ะเตมิ ลงไปไว้ท่ีขา้ งขวดท้ังสอง โดยใช้ไม้ บรรทัดวดั จากก้นขวดข้นึ มา 8 เซนตเิ มตร หรอื 3.5 นวิ้ 4) เจาะรดู า้ นขา้ งของแต่ละขวดเพ่อื ใช้สำหรับเสียบเทอร์โมมเิ ตอร์ โดยวัดความสูงจากระดบั ที่ จะเติม นาํ้ ขน้ึ มา 5) เซนติเมตร หรือ 2 นิว้ โดยให้ขนาดรูทเ่ี จาะเหมาะกับขนาดเส้นรอบวงของเทอร์โมมเิ ตอร์ 5) จากนั้นเติมนํ้าอดั ลมท่ีเปิดท้ิงไว้แล้ว 1 คนื ลงในขวดพลาสติกเปล่าใบที่ 1 และเปิดนาํ้ อดั ลม ที่ เหลอื อีกขวดเติมลงขวดพลาสติกใบท่ี 2 จนมีระดับนา้ํ ถงึ เครือ่ งหมายที่ขีดไว้ (โดยยังไมต่ ้องเสียบ เทอร์โมมเิ ตอร์เข้าไปในรูท่ีเจาะในข้ันตอนนี้ เพราะอาจทาํ ให้อณุ หภูมิคลาดเคลื่อนจากการกระจายของ ละอองนา้ํ จากน้ําอัดลมทเ่ี ปิดใหม่) 6) ต้ังขวดทง้ั สองทิ้งไวป้ ระมาณ 30-60 นาที เพือ่ ให้ก๊าซคารบ์ อนไดออกไซดค่อยๆ กระจายออก จากนา้ํ อัดลม มาแทนที่อากาศเหนือนา้ํ อดั ลมภายในขวดในปรมิ าณมากพอ (เนื่องจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จะหนกั กว่าอากาศ กา๊ ซน้ีจงึ จะกระจายอยู่ภายในขวด) ผู้เรียนสามารถทดสอบโดย การใส่เศษกระดาษเล็กๆ ลงไป หากเศษกระดาษลอยออก แสดงว่ามีปริมาณกา๊ ซคาร์บอนไดออกไซด์ มากเพยี งพอแล้ว