Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึก

ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึก

Published by suklittha24, 2020-08-10 04:35:39

Description: ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึก : Nervous System and Sense Organ

Search

Read the Text Version

เปรยี บเทียบเซลลร์ บั แสงในชนั เรตินา ข้อเปรยี บ Rod cell Cone cell 1.รูปรำ่ ง 2.ชนิด รูปแทง่ ทรงกระบอก รูปกรวย 3.ภำพท่ีเหน็ มีเพียง 1 ชนิด (ไวตอ่ แสงสี มี 3 ชนิด (นำ้ เงิน เขียว แดง) 4.แสงท่ีรบั เขียวแยกสไี มไ่ ด)้ 5.สำรเคมีท่ีเป็น ขำว-ดำ ไมเ่ หน็ รำยละเอียด ภำพสแี ละเหน็ รำยละเอียด องคป์ ระกอบ ใชแ้ สงสลวั (ไวตอ่ กำรรบั แสง ตอ้ งใชแ้ สงจำ้ (ไวตอ่ แสงนอ้ ย สวำ่ งแมอ้ ยใู่ นท่ีท่ีมีแสงนอ้ ย) กวำ่ ) โรดอปซิน (rhodopsin) ไอโอดอปซนิ (iodopsin) 10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 151

 โฟเวยี (Fovea)  จดุ บอด (blind spot) - เป็นจดุ ท่ีเหน็ ภำพชดั เจนท่ีสดุ เน่ืองจำกมี - ไม่มีทงั้ rod cell และ cone cell เซลลร์ ูปกรวยมำกมำย แสงสวำ่ งจงึ ตกลงบน อย่เู ลยเน่ืองจำกเป็นท่ีอยขู่ อง เซลลร์ ูปกรวยไดโ้ ดยตรง สว่ นนีเ้ รำใชห้ ำ เสน้ ประสำทตำ จึงมองไม่เหน็ อะไรเลยท่ี รำยละเอียดในเวลำกลำงวนั แตใ่ นเวลำ จดุ นี้ กลำงคนื จะมองไมเ่ ห็น 10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 152

10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 153

ระบบดวงตาของสตั ว์ • นยั นต์ ำของคนเรำมีจดุ บอด แตก่ ำรท่ีเรำไม่รูส้ กึ เพรำะคนมองสิ่งตำ่ งๆ โดยใชร้ ะบบ 2 ตำ (binocular vision) แสงอำจตกท่ีจดุ บอดของนยั นต์ ำขำ้ งหน่งึ สว่ นอีกขำ้ งอำจตก ตรงท่ีมองไดช้ ดั เจน • สำหรบั พวกนกและสัตวเ์ ลีย้ งลูกด้วยนำ้ นมบำงชนิด ใชก้ ำรมองดว้ ยระบบตำเดยี ว (monocular vision) จดุ บอดจงึ มีควำมสำคญั มำก เพรำะอำจทำใหม้ องไมเ่ หน็ ใน ขณะนนั้ ซง่ึ สตั วก์ ลมุ่ นีจ้ ะแกป้ ัญหำโดยกำรเหลอื กตำหรอื เอียงหวั ไปมำ 10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 154

การมองเหน็ ภาพของเหยย่ี ว (Hawk) ควำมแมน่ ยำในกำรรบั ภำพมีควำมสำคญั มำกตอ่ พวกล่ำเหย่ือท่ีใช้ 1 mi = 1.61 km สำยตำ เชน่ เหยย่ี ว มีโฟเวยี (fovea) ขนำดใหญ่ในลกู ตำขำ้ งละ 2 แหง่ สำมำรถมองเห็นขนของหนบู นพืน้ ดินขณะอย่หู ่ำงเป็นไมลไ์ ด้ อยำ่ งชดั เจน 10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 155

การมองเหน็ ภาพของงดู นิ ตำงดู นิ ขนำดเลก็ มำกอย่ใู ตเ้ กลด็ ทำหนำ้ ท่ี เพียงรบั แสงเทำ่ นนั้ บำงชนิดมองไมเ่ ห็นเลย จงึ มีช่ือสำมญั ว่ำ Blind snake หรอื งตู ำบอดน่นั เอง 10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 156

เกรด็ ความรเู้ พ่ิมเตมิ  ตำของมนุษย์ สำมำรถจบั ภำพกำรเคล่อื นไหว ของวตั ถทุ ่ีมีควำมถ่ีประมำณ 40-50 รอบ/วินำที (เห็นภำพยนตรเ์ ป็นภำพตอ่ เน่ืองไม่ขำดตอน)  ตำของแมลง สำมำรถจบั ภำพท่ีเคล่อื นท่ีดว้ ยควำมถ่ีถึง 265 รอบ/วินำที ซง่ึ มีประโยชนใ์ น กำรหำเหย่ือและหนีศตั รู 10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 157

การเหน็ ภาพและเห็นสตี า่ งๆ ของตา • max คล่ืนแสงสีน้ำเงนิ 430 nm • max คล่ืนแสงสีเขยี ว 535 nm • max คลื่นแสงสีแดง 575 nm ตำของมนษุ ยจ์ ะถกู เรำ้ ไดจ้ ำกคล่นื แสงในชว่ งจำกดั spectrum ท่ีตำสำมำรถมองเห็นได้ (visible spectrum) อย่ใู นช่วง 723-397 มิลลิไมครอน 10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 158

เซลลร์ ูปกรวยแตล่ ะชนิดมีควำมไวต่อ แสงเฉพำะอย่ำงเป็นพิเศษ • ถำ้ เซลลร์ ูปกรวยแม่สใี ดถกู กระตนุ้ เพียงชนิดเดยี ว ระบบประสำทก็จะ แปลวำ่ เห็นภำพสีนนั้ • ถำ้ กระตนุ้ พรอ้ มๆ กนั ทงั้ 3 ชนิด และในควำมเขม้ เท่ำๆ กนั ก็จะเห็น เป็นสขี ำว • ถ้ำคู่สใี ดถกู เร้ำ สที แ่ี ปลออกมำจะเป็ นสผี สม • ถำ้ แสงหำยไปหรือไม่ถูกเร้ำ ระบบประสำทจะแปลว่ำเหน็ สีดำ 10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 159

ตาบอดสี (color blindness)  เกิดจำกเซลลร์ ูปกรวยแม่สชี นิดใด ชนิดหนง่ึ เสยี ไป (ถำ้ red cone เสยี ไปก็จะตำบอดสแี ดง) สว่ น ใหญ่มกั เกิดจำกกรรมพนั ธุ์  ทดสอบได้โดยใช้แผ่นทดสอบตำบอดสี โดยคนตำปกตจิ ะอ่ำนได้ตัวเลขหนึ่ง แตค่ นตำบอดสีจะอำ่ นไดเ้ ป็ นเลขอนื่ ทำใหแ้ ยกควำมแตกตำ่ งได้ 10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 160

การเปลยี่ นแปลงของโรดอปซินในเซลลร์ ปู แทง่ - เย่อื หมุ้ เซลลร์ ูปแทง่ มีสารสีม่วงแดงชื่อ โรดอปซิน(rhodopsin) ประกอบด้วย opsin + retinol ซง่ึ ไวต่อแสง - ถา้ มแี สง=> retinol จะไมเ่ กาะกับ opsin ทาใหก้ ระแสประสาทส่งไปตาม เสน้ ประสาทสมองค่ทู ี่ 2 ใหแ้ ปลเป็นภาพ แต่ถา้ ไมม่ ีแสง => opsin และ retinol จะรวมตัวกันเป็น rhodopsin ใหม่ การเปลยี่ นแปลงของไอโอดอปซนิ ในเซลลร์ ปู กรวย 10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 161

• คนท่ีตำไดร้ บั แสงสวำ่ งจำ้ เป็นเวลำนำน กำรรบั ภำพจะเส่อื มลง รูส้ กึ ตำพรำ่ เพรำะสำรโรดอปซนิ สลำยตวั ตวั มำกกว่ำ กำรสรำ้ ง • ตอ้ งพกั สำยตำโดยกำรหลบั ตำหรอื อย่ใู นท่ีมืดสกั ครู่ เพ่ือใหม้ ีกำรสงั เครำะหโ์ รดอปซินมำกกวำ่ กำรทำลำย 10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 162

 มมุ ..ดแู ล ใสใ่ จ หว่ งใยสขุ ภาพ.. - สำยตำเอียง (Astigmatism) เกิดจำกกระจกตำไม่เรียบจึง ทำใหม้ ีจดุ รวมแสงไมเ่ ป็นจดุ รวมภำพ จงึ มวั และไมช่ ดั ในแนวใดแนว หนง่ึ แกไ้ ขโดยใชเ้ ลนสท์ รงกระบอกหรอื เลนสก์ ำบกลว้ ย 10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 163

10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 164

 มมุ ..ดแู ล ใสใ่ จ หว่ งใยสุขภาพ.. - สำยตำสั้น (Myopia หรอื Nearsighted) เกิดจำกกระบอกตำยำวรกี ว่ำปกติ หรอื เลนสต์ ำมีผิว นนู หรอื โคง้ เกินไป แกไ้ ขโดยใชแ้ วน่ ซง่ึ ทำดว้ ยเลนสเ์ วำ้ - สำยตำยำว (Hypermetropia หรอื Farsighted) เกิดจำกกระบอกตำสนั้ กว่ำปกติ หรอื เลนสต์ ำแบนเกินไป มกั เกิดกบั คนสงู อำยุ แกไ้ ขโดยใชแ้ ว่นซง่ึ ทำดว้ ยเลนสน์ นู 10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 165

 มุม..ดแู ล ใส่ใจ ห่วงใยสุขภาพ.. - ตำแดง (Conjunctivitis) อำจเกิดจำกเย่ือตำ ม่ำนตำหรอื กระจกตำอกั เสบโดยเชือ้ ไวรสั ทำใหเ้ ย่ือตำขำวมีสีแดงเพรำะเสน้ เลอื ดฝอยขยำยตวั - ตำเข (Strabismus) คอื อำกำรท่ีตำ 2 ขำ้ งไม่อย่ใู นแนวตรงแตต่ ำดำจะเฉียงเขำ้ หำหวั ตำหรอื เฉียงออกทำงดำ้ นหำงตำ ตอ้ งปรกึ ษำจกั ษุแพทย์ - ตำบอดกลำงคนื (Nyctalopia) เกิดจำกรำ่ งกำยขำดวิตำมิน A จงึ ทำใหโ้ รดอปซินต่ำ พลงั งำนแสงสลวั ไมส่ ำมำรถทำใหเ้ กิดกำรสลำยโรดอปซินในเซลลร์ ูปแทง่ จึงไม่เกิดกระแส ประสำทสง่ ไปยงั สมอง 10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 166

 มมุ ..ดแู ล ใส่ใจ ห่วงใยสขุ ภาพ.. ตอ้ เนือ้ ต้อหนิ - ตอ้ กระจก เกิดจำกเลนสใ์ นลกู ตำข่นุ - ตอ้ เนือ้ เกิดจำกมีเนือ้ เย่ือมำสะสม ขำวเหมือนจำวมะพรำ้ ว (จดุ ขำวตรงตำ บนกระจกตำ ตอ้ งรอใหเ้ ป็นมำกแพทย์ ดำ) เป็นกนั มำกเม่ืออำยมุ ำกขนึ้ รกั ษำ จึงจะผำ่ ตดั ออกให้ (ตอ้ งลอกออก โดยกำรผำ่ ตดั ตลอดชีวติ ) - ตอ้ หนิ เกิดจำกควำมผิดปกตขิ องกำรไหลเวียนของนำ้ เลยี้ งภำยในชอ่ งลกู ตำจงึ ทำใหค้ วำมดนั ลกู ตำ สงู 30-70 มม./ปรอท (ปกติท่ี 15-20 มม./ปรอท) ทำใหป้ วดลกู ตำมำก ประสำทตำอำจถกู ควำม ดนั ของนำ้ ดนั จนฝ่อสลำยไปซง่ึ ทำใหต้ ำบอด เป็นตอ้ ท่ีอนั ตรำยท่ีสดุ * ตอ้ หนิ เป็ นตอ้ ทที่ ำใหต้ ำบอดถำวร 10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 167

10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 168

สรปุ นยั นต์ ำเป็นอวยั วะท่ีสำคญั และมีคณุ คำ่ ตอ่ เรำทกุ คน จงึ ควรถนอมนยั นต์ ำ โดยเฉพำะคนท่ีใชส้ ำยตำมำกๆ หรอื ทำงำนประเภทท่ีใชแ้ สงจำ้ มำกๆ เช่น - พิธีกรรำยกำรทีวี - ผใู้ ชค้ อมพวิ เตอร์ - ช่ำงเช่ือม ซง่ึ มีอนั ตรำยตอ่ นยั นต์ ำ ดงั นนั้ จงึ ควรหำวิธีปอ้ งกนั หรอื หลีกเล่ยี งอนั ตรำย ดงั กลำ่ ว เพ่ือถนอมนยั นต์ ำไวใ้ หใ้ ชง้ ำนไดอ้ ยำ่ งมีประสทิ ธิภำพ และนำนท่ีสดุ 10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 169

BIOLOGY Sense Organs 2 อวัยวะรบั ความรู้สึก ตอนที่ 2 …หูกบั การได้ยิน 10/08/63 ครสู กุ ฤตา โสมล กล่มุ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ว30244 ชีววิทยา4 170 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล

หูกบั การไดย้ นิ • หเู ป็นอวยั วะรบั ควำมรูส้ กึ ท่ีทำหนำ้ ท่ีทงั้ กำรไดย้ ินและกำรทรงตวั • หขู องเรำแบง่ เป็น 3 สว่ น คือ - หสู ว่ นนอก (outer ear) - หสู ว่ นกลำง (middle ear) - หสู ว่ นใน (inner ear) 10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 171

การทางานของหู หู =ไดย้ ินเสียงและการทรงตวั มี 3 สว่ นคอื  หชู ัน้ นอก: มใี บหู (รับเสียง) รหู ู +แกว้ หู (นาเสียงเข้าไปและสง่ ตอ่ ไปยงั หชู น้ั กลาง)  หชู ั้นกลาง:มกี ระดูก 3 ช้ิน(ส่งคล่ืนเขา้ ไปยงั หูชน้ั ใน)  หูชัน้ ใน: cochlea (อวัยวะรบั เสยี ง) และ semicircular canal (การทรงตวั ) เมือ่ คลื่นเสียงผ่านเข้าไปจนถึง cochlea กจ็ ะทาใหข้ องเหลวภายในสั่นสะเทอื น กระตนุ้ อวัยวะรับเสยี งใหส้ ่งสญั ญาณ ไปตาม CN คู่ท่ี 8 เพ่ือสง่ เข้าสสู่ มองต่อไป 10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 172

10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 173

1 หสู ่วนนอก (External ear) • ประกอบดว้ ย 1. ใบหู (pinna) เป็นแผน่ กระดกู ออ่ นท่ีถกู คลมุ ดว้ ยผวิ หนงั ทำหนำ้ ท่ีรบั คล่นื เสียงจำกภำยนอก 2. รูหู (ear canal หรอื auditory canal) เป็นทอ่ ขดรูปตวั S เรม่ิ จำกรู หไู ปสนิ้ สดุ ท่ีเย่ือแกว้ หู (ear drum หรอื tympanic membrane) ซง่ึ เป็นเย่ือบำง อยตู่ รงรอยตอ่ ระหวำ่ งหสู ว่ นนอกกบั หสู ว่ นกลำง ทำหนำ้ ท่ีรบั คล่นื เสียงและเป็นชอ่ งใหค้ ล่นื เสยี งผำ่ น • นอกจำกนีภ้ ำยในรูหยู งั มตี ่อมสร้ำงขหี้ ู (ceruminous gland) 10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 174

2 หสู ว่ นกลาง (Middle ear) -เป็นช่องกลวงตอ่ จำกแกว้ หู -มีทอ่ เลก็ ๆ ช่ือ Eustachian tube ซง่ึ ตดิ ตอ่ กบั คอหอย (pharynx) ทำหน้ำทปี่ รับ ควำมดนั อำกำศข้ำงนอกและหสู ่วนกลำงให้ เทำ่ กัน เป็นกำรปอ้ งกนั กำรฉีกขำดของแกว้ หู (ถำ้ ระดบั ควำมดนั ไม่เท่ำกนั เรำจะรูส้ กึ หอู ือ้ เพรำะเย่ือแกว้ หสู ่นั สะเทือน ถำ้ ส่นั สะเทือนมำก เรำจะรูส้ กึ ปวดหู แกโ้ ดยอำ้ ปำกช่วั ขณะหน่งึ ) • หตู อนกลำงมีกระดกู หู 3 ชิน้ วำงตอ่ เน่ืองกนั (สตั วม์ ีกระดกู สนั หลงั ชนิดอ่ืนมีเพียงชิน้ เดียว) คอื กระดกู คอ้ น (malleus) กระดกู ท่งั (incus) และกระดกู โกลน (stapes) ซง่ึ ทำ หนำ้ ท่ีสง่ และขยำยคล่นื เสียงใหม้ ีควำมส่นั สะเทือนหรอื ควำมดงั มำกขนึ้ จำกนนั้ จงึ ผำ่ นเขำ้ oval window (หนำ้ ตำ่ งร)ี ซง่ึ มีผนงั ท่ียืดหย่นุ ไดเ้ พ่ือเขำ้ สคู่ อเคลีย (cochlea) • คล่นื เสยี งท่ีเกิดจำกกำรส่นั สะเทือนของกระดกู หู 3 ชิน้ จะสง่ ผ่ำนเขำ้ สหู่ สู ว่ นใน โดยมีควำมถ่ี 10/08/63 ของคล่นื เสยี งสงู กวำ่ ท่ีหตู อนนอก 22 เทำ่ จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 175

10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 176

3 หสู ว่ นใน (Internal ear) หสู ว่ นในประกอบดว้ ยโครงสรำ้ ง 2 ชดุ ดงั นี้ 1. ชุดที่ใช้ฟังเสียง อยู่ทำงด้ำนหน้ำ เป็นท่อม้วนตัวคลำ้ ยก้นหอยเรียกว่ำ คอเคลีย (cochlea) ภำยในมีของเหลว(perilymph) อยู่ เม่ือคล่ืนเสียงผ่ำนเข้ำมำถึง คอเคลียจะทำใหข้ องเหลวในคอเคลียส่นั สะเทือน ซ่งึ เปล่ียนสญั ญำณเสียงเป็นกระแส ประสำทสง่ ตอ่ ไปยงั CN8 ไปยงั cerebrum เพ่ือแปลควำมหมำยในกำรไดย้ นิ 10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 177

10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 178

 คอเคลีย (cochlea) เป็นระบบท่อท่มี ว้ นตวั คลำ้ ยกบั กน้ หอย ถำ้ ตดั ตำมขวำงจะพบว่ำมี 3 ชอ่ งตดิ ตอ่ กนั คอื ชอ่ งบน (scala vestibuli) ชอ่ งกลำง (scala media) และชอ่ งลำ่ ง (scala tympani)  ระหวำ่ งช่องกลำงกบั ชอ่ งในมีเย่ือกนั้ เรยี กวำ่ basilar membrane ซง่ึ ผิวจะมีเซลลท์ ำหนำ้ ท่รี บั เสียง เรยี กวำ่ อวยั วะของคอรต์ ิ (organ of Corti) ซง่ึ มปี ระมำณ 24,000 เซลลใ์ นทอ่ คอเคลียอนั หนึ่งๆ  ในอวยั วะของคอรต์ ิ (organ of Corti) จะมเี ซลลท์ ่ไี วตอ่ เสยี งเรยี กวำ่ hair cell ซง่ึ ทำใหเ้ กิดกระแส ประสำทเม่อื ถกู เรำ้ ดว้ ยเสยี ง สง่ ไปตำม auditory nerve (CN8) เพ่ือตอ่ ไปยงั สมอง 10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 179

• เม่ือคล่นื เสยี งมำกระทบแกว้ หู จะมีควำมส่นั สะเทือนผ่ำนกระดกู คอ้ น ท่งั โกลน เขำ้ สู่ scala vestibule ทำงเย่ือหนำ้ ตำ่ งรี (oval window) ทำใหข้ องเหลวภำยใน ท่อส่นั สะเทือนทำใหไ้ ปดนั ของเหลวใน scala media ทำใหค้ วำมดนั ในคอเคลยี สงู ขนึ้ ดนั หนำ้ ตำ่ งกลม (round window) ใหโ้ ป่งออกมำขำ้ งนอก • เม่ือเย่ือเบซิลำรถ์ กู ทำใหส้ ่นั สะเทือน จะมีผลไปกระตนุ้ ปลำยขนของ hair cell เกิด คล่นื ประสำทซง่ึ เป็นสญั ญำณไฟฟำ้ เคมีมีกำรถ่ำยทอดตอ่ ไปตำมเสน้ ประสำทสมองคทู่ ่ี 8 จนถงึ สมองบรเิ วณขมบั ซง่ึ จะรบั และแปลคล่นื เสยี งนนั้ ๆ ออกมำวำ่ เป็นอะไร  เม่ือกอ้ นหนิ ปนู (statolith) เลก็ ๆ เคล่อื นท่ีจะทำใหเ้ กิดคล่นื ของนำ้ endolymph ซง่ึ จะไปกระทบ hair cell เกิดกำรสง่ กระแสประสำทตอ่ ไปยงั เสน้ ประสำทสมองคทู่ ่ี 8 (auditory nerve) 10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 180

3 หสู ว่ นใน (Internal ear) 2. ชุดท่ีใช้ในกำรทรงตัว อยู่ดำ้ นหลงั มีลกั ษณะเป็นหลอดคร่งึ วงกลม 3 หลอดตงั้ ฉำกกัน เรยี กวำ่ semicircular canal ภำยในหลอดมีนำ้ (endolymph) และกอ้ นหินปนู statolith หรือ otolithทำหนำ้ ท่ีเก่ียวกับกำรทรงตัวของร่ำงกำย ท่ีโคนหลอดมีส่วนท่ี โป่ งพองออกมำเรียกว่ำ ampulla ภำยในมีเซลลร์ บั ควำมรูส้ ึกท่ีมีลกั ษณะเป็นขน(hair cell) ซ่ึงไวต่อกำรไหลของของเหลวภำยในหลอด ขณะเคล่ือนไหวจะกระตุน้ เซลลท์ ่ีรับรู้ เก่ียวกบั กำรทรงตวั ใหส้ ง่ กระแสประสำทไปยงั CN8แลว้ ไปยงั cerebellum เพ่อื ควบคมุ กำรทรงตวั ตอ่ ไป 10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 181

สรปุ ส่วนท่ีทาหนา้ ทีใ่ นการรบั ฟงั เสียง -ประกอบดว้ ยทอ่ คอเคลยี (cochlea) ซง่ึ มีกำรขดเป็นกน้ หอย ภำยในมี ของเหลวท่ีจะเกิดกำรส่นั สะเทือนเม่ือมีกำรเปล่ยี นแปลงของแรงกลขนึ้ ทำ ใหข้ องเหลวภำยในเกิดกำรหมนุ เวียนและทำใหเ้ ซลลร์ บั ควำมรูส้ ึกชนิดท่ีมี ขน (hair cell) ท่ีอยภู่ ำยใน organ of Corti เกิด กำรเปล่ยี นแปลงและสง่ สญั ญำณประสำทไปยงั สมองได้ ลำดบั ขัน้ ตอน เสียง แก้วหู (ส่ันสะเทอื นกระดกู หู (เคลือ่ นไหวOval window (เคลื่อนไหว) CN8  Round window (เคล่อื นไหว)  Basilar membrane (เคล่ือนไหว) 10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 182

สรปุ สว่ นท่ที าหนา้ ที่ในการทรงตวั -ประกอบดว้ ยทอ่ semicircular canal ซง่ึ เป็นทอ่ ครง่ึ วงกลม 3 ทอ่ ท่ี เรยี งตวั ตงั้ ฉำกกนั ภำยในมีของเหลวท่ีเรยี กวำ่ endolymph อยู่ เม่ือ รำ่ งกำยเกิดกำรเปล่ยี นแปลงตำแหน่ง สว่ นของ endolymph จะเกิดกำร เคล่อื นไหว และทำใหเ้ ซลลข์ นรบั ควำมรูส้ กึ (hair cell) ท่ีอยภู่ ำยในโครงสรำ้ งกระเปำะ (ampulla) เกิดกำรโบกพดั ขนึ้ ทำใหเ้ กิดกำรสง่ กระแสประสำทไปยงั สมองได้ * เส้นประสำทสมองคูท่ ี่ 8 (auditory nerve) - ทำหน้ำทเี่ กยี่ วข้องกบั กำรได้ยนิ และกำรทรงตวั 10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 183

10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 184

10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 185

10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 186

ความถีข่ องเสยี ง (Hz) 10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 187

10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 188

ความดังของเสียง (dB) 10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 189

ความดงั ของเสียง • ควำมดงั ของเสียงต่ำสดุ ท่ีหขู องคนสำมำรถรบั ไดค้ ือ 0 dB (เดซิเบล) และสงู สดุ คือ 120 dB • ควำมสำมำรถในกำรไดย้ ินคล่นื เสยี งในระดบั ควำมถ่ีตำ่ งกนั นีข้ นึ้ อยู่กบั คณุ ภำพของ hair cell • ตำมระบบรำยงำนขององค์กำรพิทักษ์ส่ิงแวดล้อมแห่งสหรัฐอเมริกำ (EPA) รำยงำนว่ำ ผทู้ ่ีไดร้ บั เสยี งดงั ตลอด 24 ช่วั โมงเกิน 70 dB จะทำใหเ้ กิดอำกำรหู ตงึ ในเวลำ 40 ปี • องคก์ ำรอนำมยั โลก (WHO) ไดก้ ำหนดค่ำควำมดงั มำตรฐำนของเสียงไม่เกิน 85 dB ท่ีทกุ ๆ ควำมถ่ีวนั ละ 8 ช่วั โมงหรอื ดงั เกิน 100 dB ท่ีทกุ ควำมถ่ี 1 ช่วั โมง จะมีผลทำให้หูหนวกได้ อำจทำให้เกิดอำรมณ์เครียด เหน่ือยง่ำย เวียนศีรษะ หวั ใจเตน้ เรว็ เกิดเป็นโรคจิตได้ 10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 190

การได้ยินของสตั ว์ - กบ ยงั มีสว่ นของคอเคลียเจรญิ ไมด่ ี - สตั วเ์ ลอื้ ยคลำนเจรญิ ดีขนึ้ แตย่ งั มีขนำดเลก็ อยู่ - งู มีคอเคลยี รบั ฟังเสียงซง่ึ มำจำกพืน้ ดิน เสยี งท่ีมำจำกอำกำศยงั รบั ฟังไมไ่ ด้ เพรำะไมม่ ีแกว้ หู ดงั นนั้ เสยี งจงึ ผำ่ นทำงกะโหลกศรี ษะเขำ้ สคู่ อเคลยี - ในสตั วม์ ีกระดกู สนั หลงั ชนั้ ต่ำ เช่น ปลำ ท่อคอเคลยี ยงั ไม่เจรญิ แตจ่ ะมีลกั ษณะ เหมือนเปลือกหอยฝำเดยี ว แตป่ ลำมีเส้น ข้ำงลำตัว (lateral line) สำหรบั ตอบ รบั คล่นื เสียงและกำรส่นั สะเทือนท่ีมี ควำมถ่ีต่ำ 10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 191

10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 192

10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 193

- คำ้ งคำว มีใบหขู นำดใหญ่ สำมำรถรบั คล่นื เสียงซ่งึ มี ควำมถ่ีสงู ถึง 1 แสนรอบ/วนิ ำที ซง่ึ หขู องคนเรำไมไ่ ดย้ ิน โดยคำ้ งคำวจะปลอ่ ยเสยี ง ultrasound ออกไปและ สะทอ้ นกลบั มำทำใหท้ รำบถึงส่ิงกีดขวำงหรอื อำหำรว่ำอยู่ ท่ีใดขณะบนิ หรอื กลำ่ วไดว้ ำ่ คำ้ งคำวใชเ้ สียงหำสถำนท่ี (Echolocation) และทำหนำ้ ท่ีแทนตำ 10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 194

ตวั อยา่ งการใชป้ ระโยชน์จาก Echolocation 10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 195

10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 196

10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 197

10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 198

10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 199

10/08/63 จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล 200


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook