แผนกำรจดั กำรเรียนรู้ท่ี 22 ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4-6 กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ เวลา 9 ช่วั โมง หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 3 ปรากฏการณท์ างธรณีวทิ ยา เวลา 1 ช่ัวโมง เรอ่ื ง ภเู ขาไฟ ภาคเรยี นท่ี 2/2558 สอนวนั ท่ี………เดือน………………………พ.ศ…………ชั้น........... โรงเรยี นบา้ นพณิ โท ครูผสู้ อน ............................................................................. สำระที่ 6 : กระบวนกำรเปลี่ยนแปลงของโลก มำตรฐำน ว 6.1 เข้าใจกระบวนการต่างๆทเี่ กิดขน้ึ บนผิวโลกและภายในโลก ความสัมพันธ์ของกระบวนการต่างๆที่มีผล ตอ่ การเปล่ียนแปลงภมู อิ ากาศ ภมู ปิ ระเทศและสัณฐานของโลก มกี ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ และจติ วทิ ยาศาสตร์ ส่ือสารส่งิ ท่ีเรยี นรแู้ ละนาความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์ 1.สำระสำคญั ภเู ขาไฟปะทเุ ปน็ ภัยพิบัติทางธรรมชาตทิ ี่แสดงวา่ ใต้ผิวโลกลงไปมีความร้อนสะสมอยู่มาก โดยเฉพาะท่เี รียนวา่ “จุดร้อน” ณ บรเิ วณนีม้ ีหนิ หลอมละลายเรียกวา่ แมกมา และเมื่อถูกพ่นขนึ้ มาตามรอยแตกหรือปล่องภูเขาไฟเรียกว่า “ลาวา” นกั ธรณวี ทิ ยาคาดว่ามีการสะสมของความร้อนอย่างมากบริเวณนัน้ ทาใหม้ แี มกมา ไอนา้ และแกส๊ สะสมตัวอยู่ มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก่อใหเ้ กดิ ความดนั ความรอ้ นสูง เมอื่ ถงึ จุดหน่ึงมันจะปะทุออกมา อตั ราความรนุ แรงของการปะทุขึ้นอยู่ กับความรนุ แรง รวมทั้งความดันของไอและความหนดื ของลาวา ถ้าลาวาขน้ มากๆ อตั ราความรุนแรงของการปะทจุ ะ รนุ แรงมากตามไปด้วย เมือ่ ภเู ขาไฟปะทุ นอกจากมีลาวาท่ีไหลออกมาแล้วยังมีแก๊ส ไอน้า ฝ่นุ ผงเถา้ ถา่ นต่างๆออกมาด้วย พวกไอนา้ จะควบแนน่ กลายเปน็ น้า นาเอาฝนุ่ ละอองเถ้าต่างๆทต่ี กลงมาดว้ ย ไหลบา่ กลายเปน็ โคลนท่วมในบรเิ วณเชิง เขาตา่ ลงไป ย่ิงถา้ ภูเขาไฟน้ันมหี ิมะปกคลมุ อยู่ มนั จะละลายหมิ ะ นาโคลนมาเปน็ จานวนมากได้ เศษหินขนาดใหญ่ท่ี ออกมาจานวนมากเรียกว่า “ลาวา บอมบ์” ภมู ลิ ักษณภ์ ูเขาไฟ เชน่ ภูเขาไฟรปู โล่ ภูเขาไฟรปู กรวย โดมภูเขาไฟ แคลดีรา การปะทุของภูเขาไฟมีทง้ั ประโยชนแ์ ละโทษ 2.ตัวชี้วัด / จดุ ประสงคก์ ำรเรยี นรู้ 1. แสดงความคิดเหน็ วธิ ีการป้องกนั และเตือนภัย ผลกระทบทีเ่ กดิ จากภเู ขาไฟปะทุได้ (ว 6.1 ม.4-6/4 และ ว 8.1 ม.4- 6/9,10) 2. บอกความสาคญั และยกตวั อย่างผลกระทบท่เี กดิ จากภูเขาไฟปะทุได้(ว 6.1 ม.4-6/4 และ ว 8.1 ม.4-6/3,11) 3. เขยี นแผนภาพแสดงจินตนาการผลกระทบทีเ่ กิดจากภเู ขาไฟปะทุที่มผี ลต่อส่งิ มีชวี ิตและส่งิ แวดลอ้ มได้(ว 6.1 ม.4-6/4 และ ว 8.1 ม.4-6/6) 4. ส่ือสารผลการสืบคน้ เกยี่ วกับประโยชน์และโทษจากภเู ขาไฟปะทุได้ดว้ ยวิธกี ารท่เี หมาะสม (ว 6.1 ม.4-6/4 และ ว 8.1 ม.4-6/9) 5. ตระหนกั ถงึ ความสาคัญของการนาความรู้ทางธรณีไปใช้ในชีวติ ประจาวันอย่างมีคุณธรรมและผลกระทบต่อสงิ่ แวดล้อม (ว 6.1 ม.4-6/4 และ ว 8.1 ม.4-6/10)
3.สำระกำรเรียนรู้ 1. ภเู ขาไฟปะทุ 2. สาเหตุท่ที าให้เกิดภูเขาไฟ 3. ประเภทของภูเขาไฟ 4. อทิ ธพิ ลของภเู ขาไฟท่ีส่งผลกระทบต่อโลก 4.กระบวนกำรจัดกำรเรียนรู้ กจิ กรรมนาสกู่ ารเรียน 1. ขนั้ การสร้างแรงจงู ใจ ครใู ห้นกั เรียนดูวีดีทัศน์ของการเกดิ เหตุการณ์ภเู ขาไฟปะททุ ี่เกดิ ขึ้นในภูมภิ าคต่างๆทั่วโลก ซง่ึ เปน็ เหตใุ หเ้ กดิ ความ สญู เสยี ตอ่ ชวี ิตทรพั ยส์ นิ และสภาพแวดล้อม จากนนั้ ครูและนกั เรียนร่วมกนั สนทนากับเหตกุ ารณ์ท่ีเกดิ ขนึ้ วา่ มสี าเหตมุ าจาก อะไร เกดิ ยังไง เกิดบริเวณใด รุนแรงขนาดไหน และจะป้องกนั ยงั ไง ให้นกั เรยี นได้แสดงความคดิ เหน็ รว่ มกัน 2. ขัน้ การแสวงหาความรู้ ใหน้ กั เรียนศึกษาคน้ คว้าข้อมูลจากใบความรู้ แล้วให้นกั เรียนเข้าหอ้ งคอมพวิ เตอรเ์ พื่อสืบค้นขอ้ มลู เพ่ิมเตมิ ในเรื่อง ของภูเขาไฟปะทุท่เี กดิ ข้ึนในภูมิภาคตา่ งๆท่ัวโลก ท้งั ทเ่ี ป็นส่ือมัลติมเี ดียและสื่อท่ัวๆไป เมื่อนกั เรียนศึกษาแลว้ ให้บนั ทึกไฟล์ มัลตมิ เี ดยี มาสง่ ครู 3. ขนั้ การสรา้ งองค์ความรู้ ครูบรรยายเร่อื งภเู ขาไฟปะทุ โดยใชโ้ ปรแกรมนาเสนอ power point โดยนาไฟล์มัลติมีเดียที่นกั เรียนนามาส่งครู เปดิ ประกอบการบรรยายด้วย ให้นักเรยี นจดบนั ทกึ สาระสาคญั ลงบนสมุด พรอ้ มทง้ั สรุปองค์ความรู้ท่นี ักเรียนได้เปน็ mind mapping ลงในใบงาน 4. ขน้ั การนาไปใช้ ให้นกั เรียนแบง่ กล่มุ ๆละ 4 คน เพ่ือปฏบิ ัตกิ ารทดลองในกจิ กรรม เรือ่ งภูเขาไฟเกิดข้ึนได้อย่างไร ให้นักเรยี นแตล่ ะ กล่มุ สรปุ ผลการทดลองแลว้ ออกมานาเสนอผลงานหนา้ ชนั้ เรยี น 5. ขัน้ ทบทวนความรู้ ใหน้ ักเรียนในห้องร่วมกนั อภปิ รายถึงการเกิดภูเขาไฟปะทุ เพื่อเพม่ิ เติมข้อมลู ในส่วนทข่ี าด ประกอบกับการ เชอื่ มโยงขอ้ มลู ข่าวสารทเี่ ก่ียวขอ้ งมาเลา่ ใหน้ กั เรียนฟังเพอ่ื ใหน้ ักเรยี นมคี วามเขา้ ใจมากขึ้น จากนัน้ ใหแ้ บบฝกึ หดั นักเรียน ไปทาเปน็ การบา้ นจานวน 10 ข้อ 5. สื่อกำรเรียนรู้ 1. งานนาเสนอ power point เรือ่ ง ภเู ขาไฟปะทุ 2. ใบงาน mind mapping 3. ใบกจิ กรรม ภเู ขาไฟเกิดข้นึ ไดอ้ ย่างไร 4. ใบความรู้ ภเู ขาไฟปะทุ 5. แบบฝกึ หดั
แผนกำรจดั กำรเรียนรู้ท่ี 23 ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4-6 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ เวลา 9 ช่วั โมง หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 3 ปรากฏการณท์ างธรณีวทิ ยา เวลา 1 ช่ัวโมง เรอ่ื ง ภเู ขาไฟ ภาคเรียนท่ี 2/2558 สอนวนั ท่ี………เดือน………………………พ.ศ…………ชั้น........... โรงเรยี นบา้ นพณิ โท ครูผสู้ อน ............................................................................. สำระที่ 6 : กระบวนกำรเปลีย่ นแปลงของโลก มำตรฐำน ว 6.1 เขา้ ใจกระบวนการต่างๆทเี่ กิดขน้ึ บนผิวโลกและภายในโลก ความสัมพันธ์ของกระบวนการต่างๆที่มีผล ตอ่ การเปล่ียนแปลงภมู อิ ากาศ ภูมปิ ระเทศและสัณฐานของโลก มกี ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ และจติ วทิ ยาศาสตร์ ส่ือสารส่งิ ท่ีเรยี นรแู้ ละนาความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ 1.สำระสำคญั ภเู ขาไฟปะทเุ ปน็ ภยั พิบัติทางธรรมชาตทิ ี่แสดงวา่ ใต้ผิวโลกลงไปมีความร้อนสะสมอยู่มาก โดยเฉพาะท่เี รียนวา่ “จุดร้อน” ณ บรเิ วณนีม้ หี นิ หลอมละลายเรียกวา่ แมกมา และเมื่อถูกพ่นขนึ้ มาตามรอยแตกหรือปล่องภเู ขาไฟเรียกว่า “ลาวา” นกั ธรณวี ทิ ยาคาดวา่ มีการสะสมของความร้อนอยา่ งมากบรเิ วณนัน้ ทาให้มแี มกมา ไอนา้ และแก๊ส สะสมตัวอยู่ มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก่อใหเ้ กดิ ความดนั ความรอ้ นสูง เมอื่ ถงึ จุดหน่ึงมันจะปะทุออกมา อตั ราความรนุ แรงของการปะทุขึ้นอยู่ กับความรนุ แรง รวมทง้ั ความดนั ของไอและความหนดื ของลาวา ถ้าลาวาขน้ มากๆ อตั ราความรุนแรงของการปะทจุ ะ รนุ แรงมากตามไปด้วย เมื่อภูเขาไฟปะทุ นอกจากมีลาวาที่ไหลออกมาแล้วยงั มีแกส๊ ไอน้า ฝ่นุ ผงเถา้ ถา่ นต่างๆออกมาด้วย พวกไอนา้ จะควบแน่นกลายเปน็ นา้ นาเอาฝนุ่ ละอองเถ้าต่างๆทต่ี กลงมาดว้ ย ไหลบา่ กลายเปน็ โคลนท่วมในบรเิ วณเชิง เขาตา่ ลงไป ย่ิงถา้ ภูเขาไฟน้ันมีหิมะปกคลมุ อยู่ มนั จะละลายหมิ ะ นาโคลนมาเปน็ จานวนมากได้ เศษหินขนาดใหญ่ท่ี ออกมาจานวนมากเรียกว่า “ลาวา บอมบ์” ภมู ลิ ักษณภ์ ูเขาไฟ เชน่ ภูเขาไฟรปู โล่ ภเู ขาไฟรปู กรวย โดมภเู ขาไฟ แคลดีรา การปะทุของภูเขาไฟมีทง้ั ประโยชนแ์ ละโทษ 2.ตัวชี้วัด / จดุ ประสงคก์ ำรเรยี นรู้ 1. แสดงความคิดเหน็ วธิ ีการป้องกนั และเตือนภัย ผลกระทบทีเ่ กดิ จากภเู ขาไฟปะทุได้ (ว 6.1 ม.4-6/4 และ ว 8.1 ม.4- 6/9,10) 2. บอกความสาคญั และยกตัวอย่างผลกระทบท่เี กดิ จากภูเขาไฟปะทุได้(ว 6.1 ม.4-6/4 และ ว 8.1 ม.4-6/3,11) 3. เขยี นแผนภาพแสดงจินตนาการผลกระทบทีเ่ กิดจากภเู ขาไฟปะทุทีม่ ผี ลต่อสง่ิ มชี วี ิตและส่งิ แวดลอ้ มได้(ว 6.1 ม.4-6/4 และ ว 8.1 ม.4-6/6) 4. ส่ือสารผลการสืบคน้ เกย่ี วกับประโยชน์และโทษจากภูเขาไฟปะทุได้ดว้ ยวิธกี ารทเี่ หมาะสม (ว 6.1 ม.4-6/4 และ ว 8.1 ม.4-6/9) 5. ตระหนกั ถงึ ความสาคญั ของการนาความรู้ทางธรณีไปใช้ในชีวติ ประจาวันอย่างมีคุณธรรมและผลกระทบต่อสงิ่ แวดล้อม (ว 6.1 ม.4-6/4 และ ว 8.1 ม.4-6/10)
3.สำระกำรเรียนรู้ 1. ภเู ขาไฟปะทุ 2. สาเหตุท่ที าให้เกิดภูเขาไฟ 3. ประเภทของภูเขาไฟ 4. อทิ ธพิ ลของภเู ขาไฟท่ีส่งผลกระทบต่อโลก 4.กระบวนกำรจัดกำรเรียนรู้ กจิ กรรมนาสกู่ ารเรียน 1. ขนั้ การสร้างแรงจงู ใจ ครใู ห้นกั เรียนดวู ีดีทัศน์ของการเกดิ เหตุการณ์ภเู ขาไฟปะททุ ี่เกดิ ขึ้นในภูมภิ าคต่างๆทั่วโลก ซง่ึ เปน็ เหตใุ หเ้ กดิ ความ สญู เสียตอ่ ชวี ิตทรพั ยส์ นิ และสภาพแวดล้อม จากนนั้ ครูและนกั เรียนร่วมกนั สนทนากับเหตกุ ารณ์ท่ีเกดิ ขนึ้ วา่ มสี าเหตมุ าจาก อะไร เกดิ ยังไง เกิดบรเิ วณใด รุนแรงขนาดไหน และจะป้องกนั ยังไง ให้นกั เรยี นได้แสดงความคดิ เหน็ รว่ มกัน 2. ขัน้ การแสวงหาความรู้ ใหน้ กั เรียนศึกษาคน้ คว้าข้อมูลจากใบความรู้ แล้วให้นกั เรียนเข้าหอ้ งคอมพวิ เตอรเ์ พื่อสืบค้นขอ้ มลู เพ่ิมเตมิ ในเรื่อง ของภูเขาไฟปะทุท่เี กดิ ข้นึ ในภูมิภาคต่างๆท่ัวโลก ท้งั ทเ่ี ป็นส่ือมัลติมเี ดียและสื่อท่ัวๆไป เมื่อนกั เรียนศึกษาแลว้ ให้บนั ทึกไฟล์ มัลตมิ เี ดยี มาสง่ ครู 3. ขนั้ การสรา้ งองค์ความรู้ ครูบรรยายเร่อื งภเู ขาไฟปะทุ โดยใชโ้ ปรแกรมนาเสนอ power point โดยนาไฟล์มัลติมีเดียที่นกั เรียนนามาส่งครู เปดิ ประกอบการบรรยายด้วย ให้นักเรียนจดบนั ทกึ สาระสาคญั ลงบนสมุด พรอ้ มทง้ั สรุปองค์ความรู้ท่นี ักเรียนได้เปน็ mind mapping ลงในใบงาน 4. ขน้ั การนาไปใช้ ให้นกั เรียนแบง่ กล่มุ ๆละ 4 คน เพ่ือปฏบิ ัตกิ ารทดลองในกจิ กรรม เรือ่ งภูเขาไฟเกิดข้ึนได้อย่างไร ให้นักเรยี นแตล่ ะ กล่มุ สรปุ ผลการทดลองแลว้ ออกมานาเสนอผลงานหนา้ ชนั้ เรยี น 5. ขัน้ ทบทวนความรู้ ใหน้ ักเรียนในหอ้ งร่วมกนั อภปิ รายถึงการเกิดภูเขาไฟปะทุ เพื่อเพม่ิ เติมข้อมลู ในส่วนท่ีขาด ประกอบกับการ เช่อื มโยงขอ้ มลู ข่าวสารทเี่ ก่ียวขอ้ งมาเล่าใหน้ กั เรียนฟังเพอ่ื ใหน้ ักเรยี นมคี วามเขา้ ใจมากขึ้น จากนัน้ ใหแ้ บบฝกึ หดั นักเรียน ไปทาเปน็ การบา้ นจานวน 10 ข้อ 5. สื่อกำรเรียนรู้ 1. งานนาเสนอ power point เรือ่ ง ภเู ขาไฟปะทุ 2. ใบงาน mind mapping 3. ใบกจิ กรรม ภเู ขาไฟเกิดข้นึ ไดอ้ ย่างไร 4. ใบความรู้ ภเู ขาไฟปะทุ 5. แบบฝกึ หดั
แผนกำรจัดกำรเรียนรทู้ ่ี 24 ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4-6 กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ เวลา 9 ชว่ั โมง หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 ปรากฏการณ์ทางธรณวี ทิ ยา เวลา 1 ชวั่ โมง เรื่อง ภเู ขาไฟ ภาคเรียนท่ี 2/2558 สอนวันที่………เดอื น………………………พ.ศ…………ช้ัน........... โรงเรียนบา้ นพณิ โท ครูผสู้ อน ............................................................................. สำระท่ี 6 : กระบวนกำรเปล่ยี นแปลงของโลก มำตรฐำน ว 6.1 เข้าใจกระบวนการต่างๆทเ่ี กดิ ข้นึ บนผิวโลกและภายในโลก ความสมั พันธ์ของกระบวนการต่างๆที่มีผล ต่อการเปลย่ี นแปลงภูมอิ ากาศ ภมู ิประเทศและสัณฐานของโลก มกี ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ และจติ วิทยาศาสตร์ สือ่ สารสิ่งทเ่ี รียนร้แู ละนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ 1.สำระสำคญั ภเู ขาไฟปะทเุ ปน็ ภยั พบิ ตั ทิ างธรรมชาติทแี่ สดงวา่ ใตผ้ ิวโลกลงไปมีความร้อนสะสมอยู่มาก โดยเฉพาะทเี่ รียนวา่ “จดุ รอ้ น” ณ บรเิ วณนีม้ หี ินหลอมละลายเรียกวา่ แมกมา และเม่ือถกู พน่ ขึ้นมาตามรอยแตกหรือปล่องภเู ขาไฟเรียกว่า “ลาวา” นกั ธรณีวิทยาคาดวา่ มีการสะสมของความร้อนอย่างมากบริเวณน้ัน ทาใหม้ แี มกมา ไอนา้ และแก๊ส สะสมตัวอยู่ มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งกอ่ ให้เกิดความดนั ความรอ้ นสงู เมอ่ื ถึงจุดหนึง่ มนั จะปะทุออกมา อัตราความรนุ แรงของการปะทุขึ้นอยู่ กบั ความรนุ แรง รวมทั้งความดนั ของไอและความหนืดของลาวา ถ้าลาวาขน้ มากๆ อตั ราความรุนแรงของการปะทจุ ะ รนุ แรงมากตามไปด้วย เมอ่ื ภูเขาไฟปะทุ นอกจากมลี าวาทีไ่ หลออกมาแล้วยงั มีแก๊ส ไอนา้ ฝุ่นผงเถา้ ถา่ นตา่ งๆออกมาด้วย พวกไอนา้ จะควบแน่นกลายเป็นนา้ นาเอาฝนุ่ ละอองเถ้าต่างๆท่ตี กลงมาดว้ ย ไหลบา่ กลายเป็นโคลนทว่ มในบริเวณเชงิ เขาต่าลงไป ย่งิ ถ้าภูเขาไฟน้ันมีหิมะปกคลุมอยู่ มนั จะละลายหมิ ะ นาโคลนมาเปน็ จานวนมากได้ เศษหนิ ขนาดใหญ่ท่ี ออกมาจานวนมากเรยี กว่า “ลาวา บอมบ์” ภูมิลกั ษณภ์ ูเขาไฟ เช่น ภูเขาไฟรูปโล่ ภเู ขาไฟรูปกรวย โดมภูเขาไฟ แคลดีรา การปะทขุ องภเู ขาไฟมีทัง้ ประโยชนแ์ ละโทษ 2.ตวั ชี้วดั / จดุ ประสงคก์ ำรเรยี นรู้ 1. แสดงความคดิ เหน็ วิธีการป้องกนั และเตือนภัย ผลกระทบทเี่ กดิ จากภูเขาไฟปะทุได้ (ว 6.1 ม.4-6/4 และ ว 8.1 ม.4- 6/9,10) 2. บอกความสาคญั และยกตัวอยา่ งผลกระทบทีเ่ กิดจากภเู ขาไฟปะทุได้(ว 6.1 ม.4-6/4 และ ว 8.1 ม.4-6/3,11) 3. เขยี นแผนภาพแสดงจนิ ตนาการผลกระทบที่เกดิ จากภเู ขาไฟปะทุทมี่ ผี ลตอ่ สง่ิ มชี ีวติ และส่ิงแวดล้อมได้(ว 6.1 ม.4-6/4 และ ว 8.1 ม.4-6/6) 4. สื่อสารผลการสืบค้นเก่ยี วกับประโยชนแ์ ละโทษจากภูเขาไฟปะทุไดด้ ้วยวธิ กี ารที่เหมาะสม (ว 6.1 ม.4-6/4 และ ว 8.1 ม.4-6/9) 5. ตระหนักถึงความสาคัญของการนาความรู้ทางธรณีไปใชใ้ นชวี ติ ประจาวนั อยา่ งมีคณุ ธรรมและผลกระทบต่อสงิ่ แวดล้อม (ว 6.1 ม.4-6/4 และ ว 8.1 ม.4-6/10)
3.สำระกำรเรยี นรู้ 1. ภเู ขาไฟปะทุ 2. สาเหตุท่ที าใหเ้ กิดภูเขาไฟ 3. ประเภทของภเู ขาไฟ 4. อทิ ธิพลของภูเขาไฟท่ีส่งผลกระทบต่อโลก 4.กระบวนกำรจดั กำรเรียนรู้ กจิ กรรมนาสกู่ ารเรียน 1. ขนั้ การสรา้ งแรงจงู ใจ ครใู หน้ ักเรียนดวู ีดีทัศน์ของการเกดิ เหตุการณ์ภเู ขาไฟปะททุ ี่เกดิ ขึ้นในภูมภิ าคต่างๆทั่วโลก ซง่ึ เปน็ เหตใุ หเ้ กดิ ความ สญู เสยี ตอ่ ชวี ิตทรัพยส์ นิ และสภาพแวดล้อม จากนนั้ ครูและนกั เรียนร่วมกนั สนทนากับเหตกุ ารณ์ท่ีเกดิ ขนึ้ วา่ มสี าเหตมุ าจาก อะไร เกดิ ยังไง เกิดบริเวณใด รุนแรงขนาดไหน และจะป้องกนั ยังไง ให้นกั เรยี นได้แสดงความคดิ เหน็ รว่ มกัน 2. ขัน้ การแสวงหาความรู้ ใหน้ กั เรยี นศึกษาคน้ คว้าข้อมูลจากใบความรู้ แล้วให้นักเรียนเข้าหอ้ งคอมพวิ เตอรเ์ พื่อสืบค้นขอ้ มลู เพิ่มเตมิ ในเรื่อง ของภูเขาไฟปะทุท่เี กิดข้นึ ในภูมิภาคตา่ งๆท่ัวโลก ท้งั ทเ่ี ป็นส่ือมัลติมเี ดียและสื่อท่ัวๆไป เมื่อนกั เรียนศึกษาแลว้ ให้บนั ทึกไฟล์ มัลตมิ เี ดยี มาส่งครู 3. ขนั้ การสร้างองค์ความรู้ ครูบรรยายเร่อื งภเู ขาไฟปะทุ โดยใช้โปรแกรมนาเสนอ power point โดยนาไฟล์มัลติมีเดียที่นกั เรียนนามาส่งครู เปดิ ประกอบการบรรยายด้วย ให้นักเรยี นจดบนั ทกึ สาระสาคญั ลงบนสมุด พรอ้ มทง้ั สรุปองค์ความรู้ท่นี ักเรียนได้เปน็ mind mapping ลงในใบงาน 4. ขน้ั การนาไปใช้ ให้นกั เรยี นแบง่ กล่มุ ๆละ 4 คน เพ่ือปฏบิ ัติการทดลองในกจิ กรรม เรือ่ งภูเขาไฟเกิดข้ึนได้อย่างไร ให้นักเรยี นแตล่ ะ กล่มุ สรปุ ผลการทดลองแลว้ ออกมานาเสนอผลงานหนา้ ชนั้ เรยี น 5. ขัน้ ทบทวนความรู้ ใหน้ ักเรียนในหอ้ งร่วมกันอภปิ รายถึงการเกิดภูเขาไฟปะทุ เพื่อเพม่ิ เติมข้อมลู ในส่วนทข่ี าด ประกอบกับการ เชอื่ มโยงขอ้ มูลข่าวสารทเี่ ก่ียวขอ้ งมาเลา่ ใหน้ กั เรียนฟังเพอ่ื ใหน้ ักเรยี นมคี วามเขา้ ใจมากขึ้น จากนัน้ ใหแ้ บบฝกึ หัด นักเรียน ไปทาเปน็ การบ้านจานวน 10 ข้อ 5. สื่อกำรเรียนรู้ 1. งานนาเสนอ power point เรือ่ ง ภเู ขาไฟปะทุ 2. ใบงาน mind mapping 3. ใบกจิ กรรม ภเู ขาไฟเกิดข้นึ ไดอ้ ย่างไร 4. ใบความรู้ ภเู ขาไฟปะทุ 5. แบบฝกึ หดั
แผนกำรจดั กำรเรียนรู้ที่ 25 ชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 4-6 กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ เวลา 6 ชวั่ โมง หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 4 ธรณปี ระวตั ิ เวลา 1 ชั่วโมง เรอ่ื ง อายุทางธรณวี ิทยา ภาคเรียนท่ี 2/2558 สอนวันท่ี………เดอื น………………………พ.ศ…………ชนั้ ........... โรงเรยี นบา้ นพณิ โท ครูผูส้ อน ............................................................................. สำระท่ี 6 : กระบวนกำรเปล่ยี นแปลงของโลก มำตรฐำน ว 6.1 เข้าใจกระบวนการต่างๆทีเ่ กดิ ขึน้ บนผิวโลกและภายในโลก ความสัมพันธข์ องกระบวนการต่างๆที่มีผล ต่อการเปล่ยี นแปลงภมู อิ ากาศ ภูมปิ ระเทศและสัณฐานของโลก มีกระบวนการสบื เสาะหาความรู้ และจติ วทิ ยาศาสตร์ ส่ือสารสิง่ ที่เรยี นรู้และนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ 1.สำระสำคัญ ความเป็นมาของโลก สามารถศกึ ษาได้จากชน้ั หนิ ซากดกึ ดาบรรพ์ และตารางธรณีกาล 2.ตัวชี้วัด / จุดประสงค์กำรเรียนรู้ 1. อธบิ ายการหาอายุเปรยี บเทียบ และอายสุ ัมบรู ณ์ได้ 2. อธบิ ายกระบวนการเกิดซากดกึ ดาบรรพ์ และซากดึกดาบรรพด์ ัชนี ทใี่ ช้เปน็ ตัวเทียบหาอายุของ ชัน้ หนิ ได้ 3.สำระกำรเรยี นรู้ 1. สภาพเหตุการณ์ทเี่ กดิ ขน้ึ ในอดีตของโลกสามารถอธบิ ายได้จากรอ่ งรอยต่างๆ ท่ีปรากฏเป็นหลกั ฐานอยบู่ นหนิ 2. ขอ้ มลู ทางธรณวี ิทยาทใ่ี ช้อธบิ ายความเป็นมาของโลก ได้แก่ ซากดึกดาบรรพ์ ชนดิ ของหิน โครงสร้างทางธรณวี ิทยา และการลาดับช้นั หนิ 3.ประวัตคิ วามเป็นมาของพนื้ ท่ีไดจ้ ากการลาดบั ช้ันหินตามอายกุ ารเกดิ ของหินจากอายุมากขึน้ ไปสู่หนิ ทีม่ ีอายนุ อ้ ย ตาม มาตราธรณกี าล 4. การเปลยี่ นแปลงต่างๆ ท่เี กดิ ข้ึนตงั้ แต่อดีตจนถงึ ปัจจบุ ันจะบอกถึงววิ ฒั นาการของการเปลีย่ นแปลงของเปลือกโลก ซึง่ จะให้ประโยชนท์ ัง้ ทางดา้ นววิ ัฒนาการและการสารวจคน้ หาทรัพยากรธรณี 4.กระบวนกำรจดั กำรเรยี นรู้ 1. ครูใหน้ กั เรยี นดูภาพ หรือสื่อมลั ตมิ ีเดยี หรือ CD-Rom เก่ียวกับลกั ษณะของช้นั ดนิ ชั้นหนิ โครงสร้างทางธรณีวทิ ยา และการขดุ คน้ พบซากดกึ ดาบรรพ์ แลว้ ตัง้ ประเด็นคาถาม เช่น ชัน้ ดิน ช้นั หินทีด่ ูจากภาพมีลกั ษณะเด่นอย่างไร นกั เรยี นคดิ วา่ ในอดีตพ้ืนท่ที ี่มีซากดึกดาบรรพข์ องสตั วแ์ ละพืช มีลกั ษณะเหมือนกับท่ีเป็นอยูใ่ นปัจจุบนั หรอื ไม่ หรอื มีลกั ษณะแบบใด ทาอย่างไรจงึ จะทราบว่า ชั้นดนิ หรอื ชนั้ หิน หรอื ซากดึกดาบรรพเ์ หลา่ น้ีมีอายเุ ท่าใด
2. นกั เรยี นช่วยกันตอบคาถามและแสดงความคิดเห็น โดยครูยังไม่เน้นคาตอบท่ีถูกต้อง จัดการเรยี นรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรู้ ซ่งึ มีขั้นตอนดังนี้ 1) ขัน้ สร้ำงควำมสนใจ (1) ครูให้นักเรียนสรา้ งสถานการณ์จาลอง ดงั น้ี สารวจเหตุการณ์ 45 เหตกุ ารณ์ ทีเ่ กดิ ขน้ึ จริงในชวี ิตประจาวันของนักเรยี น อาจจะเป็นเหตุการณ์ทเี่ กดิ ขึน้ วันน้ี เม่อื วานนี้ สัปดาหท์ ีผ่ ่านมา เดือนท่ผี ่านมา หรือปีที่ผา่ นมา แล้วลาดบั เหตกุ ารณ์ ก่อนหลัง แตย่ งั ไม่ระบุวนั ท่ีเกิดเหตกุ ารณ์ น้ัน ๆ เลา่ เหตุการณ์ทีเ่ กิดขน้ึ ของแต่ละคนใหส้ มาชิกในกลุม่ ฟัง แลว้ เรยี บเรียงเหตกุ ารณต์ ่าง ๆ ทเี่ กดิ ขน้ึ ตามลาดบั กอ่ นหลัง โดยไม่จาเปน็ ต้องใช้วนั ทีเ่ กิดเหตุการณ์จรงิ เรียงลาดับก็ได้ บันทึกข้อมลู ลงในตาราง พิจารณาอายุของสมาชิกในกลมุ่ วา่ ใครมีอายุมากทสี่ ุด นากระดาษทีเ่ ตรยี มไวม้ าเขยี นเส้นตรง แลว้ แบ่งออกเปน็ ช่วงเทา่ ๆ กนั ให้มจี านวนช่วงเทา่ กับอายขุ องสมาชกิ คนที่มีอายมุ ากท่ีสุด นาเหตกุ ารณ์ของสมาชิกกลุ่มแต่ละคนทร่ี วบรวมไว้ เขียนลงในช่วงทแ่ี บง่ ไว้ ตามลาดับก่อนหลงั (2) เม่ือนักเรียนสรา้ งสถานการณเ์ สร็จแล้ว ครูนาแผนภาพมาตราธรณกี าลมาให้นกั เรยี นดู หรอื ใหด้ ูในหนงั สอื เรียน แลว้ ให้นกั เรียนเปรียบเทยี บวิธดี าเนนิ การของนักเรยี นกบั การสรา้ งมาตราธรณีกาลวา่ มีส่วนใดบา้ งท่มี ีความเหมือน หรอื แตกต่างจากมาตราธรณีกาลในลักษณะใด (ท้ังสองอย่างมคี วามเหมือนในการปฏบิ ตั ิโดยใช้ลาดับเปรยี บเทยี บของ เหตกุ ารณ์ แต่มคี วามแตกตา่ งกันที่ระยะเวลาเรม่ิ ตน้ และการกาหนดระยะเวลา) (3) ครูและนักเรยี นรว่ มกันอภิปรายจากแนวคาตอบของนักเรยี น เพอ่ื เช่ือมโยงไปสู่การเรียนร้เู รื่องอายุทาง ธรณวี ิทยา 2) ข้ันสำรวจและค้นหำ (1) นกั เรียนศกึ ษาอายุทางธรณีวิทยาและซากดึกดาบรรพ์ จากใบความรหู้ รือในหนังสือเรียน โดยครชู ว่ ยเชอื่ มโยง ความรใู้ หมจ่ ากบทเรียนกับความรูเ้ ดิมทีเ่ รียนรู้มาแล้ว ดว้ ยการใชค้ าถามนากระตุ้นใหน้ ักเรียนตอบจากความรูแ้ ละ ประสบการณ์ของนกั เรยี น (2) นักเรียนแบ่งกลุ่ม แตล่ ะกลุ่มศึกษากจิ กรรม สารวจซากดกึ ดาบรรพ์ และปฏบิ ตั ิกิจกรรมตามขนั้ ตอนทว่ี างแผน ไว้ ดังนี้ ในกรณีทสี่ ำมำรถออกภำคสนำม ครนู านักเรียนออกนอกสถานที่ ถ้าโรงเรียนอยใู่ กล้แหล่งท่ีพบซากดึกดาบรรพ์ เชน่ ซากไดโนเสาร์ ซากพชื และ ซากสตั วท์ ะเลตา่ ง ๆ สารวจซากดกึ ดาบรรพ์ โดยใชแ้ วน่ ขยายสังเกตลักษณะของซากดกึ ดาบรรพ์ แล้ววาดภาพและบันทึก รายละเอยี ดทพ่ี บลงในสมดุ หรือแบบบันทึก หาชนิดและอายขุ องซากดึกดาบรรพน์ ัน้ เทยี บเคยี งกับตารางมาตราธรณกี าลท่เี ตรียมมา บนั ทึกลกั ษณะภูมิประเทศที่พบซากดกึ ดาบรรพ์ เพ่ือใช้เป็นขอ้ มูลสาหรับการอภิปราย ส่ิงแวดล้อมและเหตุการณ์ที่เกิดขนึ้ ในอดตี
หมำยเหตุ นักเรยี นไมค่ วรเก็บซากดกึ ดาบรรพ์หรือกะเทาะซากออกจากแหล่งท่ซี ากดึกดาบรรพ์ฝังตัวอยู่ ควรใช้ วิธกี ารถ่ายภาพหรือวาดภาพ ในกรณที ่ไี ม่สำมำรถออกภำคสนำม ทาการสืบคน้ และรวบรวมข้อมลู เกยี่ วกบั ซากดึกดาบรรพ์และบริเวณที่ค้นพบ จากเวบ็ ไซตข์ องกรมทรพั ยากร ธรณี หรือชมวดี ทิ ศั น์ หรอื ดภู าพซากจากแหล่งการเรียนรอู้ ่ืน ๆ ทีน่ ักเรยี นคน้ คว้ามา นาข้อมลู ที่สืบคน้ ได้มาร่วมกันอภิปรายและสรุปเกีย่ วกบั ซากดกึ ดาบรรพ์และบริเวณที่ค้นพบ นาเสนอผลการอภปิ รายและข้อสรปุ ของกล่มุ หนา้ ชั้นเรียน จัดทาเป็นรายงานและจัดป้ายนเิ ทศแสดงผลงาน 3) ขัน้ อธิบำยและลงข้อสรปุ (1) นักเรยี นแต่ละกลมุ่ ร่วมกันอภปิ รายผลของการปฏิบตั กิ จิ กรรม แลว้ ส่งตวั แทนออกมานาเสนอหนา้ ชน้ั เรยี น (2) ครูและนกั เรยี นรว่ มกันอภิปรายผลจากการปฏิบัตกิ ิจกรรม โดยใชแ้ นวคาถาม เช่น นักเรยี นจะหาอายุของซากดึกดาบรรพ์ไดโ้ ดยวธิ ีใด (ถา่ ยภาพหรอื วาดภาพซากดกึ ดาบรรพ์ท่ีสารวจพบ แล้ว นามาหาชนิดและอายขุ องซากดกึ ดาบรรพ์ โดยการเทยี บเคียงกับตารางธรณีกาล) ภูมิประเทศและสิ่งแวดล้อมบรเิ วณที่คน้ พบซากดกึ ดาบรรพม์ ีลักษณะอยา่ งไร (พจิ ารณาจากคาตอบนกั เรยี น) นกั เรียนเหน็ ด้วยหรอื ไมว่ ่า ซากดึกดาบรรพใ์ ช้บอกสภาพแวดลอ้ มและสภาพภมู อิ ากาศใน อดตี อธิบายเหตุผลประกอบ (เห็นดว้ ย เนอื่ งจากการดารงอยู่ของส่ิงมชี ีวิตจะมีความสัมพันธก์ ับปัจจัยแวดลอ้ มต่าง ๆ เช่น ชนดิ และสมบัติของตะกอน อุณหภูมิ ปรมิ าณออกซเิ จนและแสงสวา่ ง ตัวอยา่ งเช่น ถ้าพบซากปะการังในหนิ ปูน ก็จะ สามารถบอกไดว้ า่ บรเิ วณนัน้ เคยเป็นทะเลมาก่อน) ประโยชน์ของการศกึ ษาซากดกึ ดาบรรพ์คอื อะไร (ทาให้เราเห็นการเปล่ียนแปลงของสง่ิ มชี ีวติ จากสมยั ดกึ ดา บรรพจ์ นถึงปจั จบุ ัน และได้ข้อสรปุ วา่ สิง่ มีชีวติ ต่าง ๆ ไดเ้ กิดขนึ้ บนโลกมานานแล้ว และมีวิวัฒนาการตลอดเวลา) (3) ครแู ละนกั เรียนรว่ มกันสรุปผลจากการปฏบิ ัตกิ จิ กรรม โดยให้ได้ข้อสรปุ วา่ ซากดึกดาบรรพ์เป็นซากหรือ ร่องรอยของพชื และสัตวท์ ่ีถกู ทบั ถมและฝังตัวอยู่ในชน้ั หินจนกระทั่งกลายเปน็ หิน ถ้าเราสามารถนาซากดกึ ดาบรรพน์ ้ันมา หาอายสุ ัมบูรณห์ รือหาอายเุ ปรยี บเทียบกบั ซากดึกดาบรรพ์ดชั นไี ด้ เรากส็ ามารถท่ีจะเทยี บความสมั พนั ธห์ าอายขุ องชน้ั หิน ท่พี บซากดกึ ดาบรรพน์ ัน้ หรืออายขุ องหนิ บรเิ วณใกล้เคยี งได้ นอกจากนี้ซากดกึ ดาบรรพ์แตล่ ะชนิดสามารถบอกสภาพ สิ่งแวดลอ้ มในอดีต ทซ่ี ากดึกดาบรรพช์ นดิ น้นั ดารงชีวติ อยู่ได้ ถึงแมว้ า่ ในปจั จบุ นั พ้นื ท่บี ริเวณดังกลา่ วไดเ้ ปล่ยี นแปลงไป แล้วกต็ าม แต่รอ่ งรอยท่บี ันทึกอยูใ่ นหินบริเวณน้ันสามารถเปน็ กญุ แจไขไปสู่อดีตได้ ทาให้เราสามารถทราบได้ว่าสิง่ มีชีวิต สมัยน้นั มกี ารดารงชวี ติ ในลักษณะใด มสี ภาพภมู อิ ากาศแบบใด รอ้ น อบอ่นุ หรอื หนาว
4) ข้ันขยำยควำมรู้ (1) ครูอธบิ ายเพิ่มเตมิ เกยี่ วกับอายทุ างธรณวี ทิ ยา โดยใหน้ กั เรียนดูตารางเปรยี บเทียบความแตกตา่ งของการ กาหนดอายุเปรยี บเทียบกับการกาหนดอายุสัมบรู ณป์ ระกอบ (2) นกั เรียนแบ่งกลุ่ม ปฏบิ ตั ิกิจกรรม สร้างแบบจาลองซากดกึ ดาบรรพ์ ตามข้นั ตอนในหนงั สอื เรียน ดงั น้ี นากระดาษชาระ (แผ่นขนาดใหญ่) จานวน 4–5 แผน่ วางซ้อนกนั จากน้นั นาโซเดียมไบ-คาร์บอเนต (ผงฟู) โรย ลงบนผิวหน้าของกระดาษชาระ นาลาต้น ใบไม้ ดอกไม้ หรือสว่ นอ่ืน ๆ ของตน้ ไม้ท่ีเตรยี มมา วางราบเรียงกนั บนผงโซเดยี มไบคารบ์ อเนต ดงั รปู นาผงโซเดยี มไบคารบ์ อเนตโรยลงบนลาต้น ใบไม้ ดอกไม้ หรอื สว่ นอื่น ๆ ของต้นไม้ โดยโรยเพยี งบาง ๆ แล้วนา กระดาษชาระ 4–5 แผน่ ปดิ คลมุ ขา้ งบนสว่ นของต้นไม้อกี ชน้ั หนง่ึ นาหนังสอื ปกแข็งทเ่ี ตรยี มไว้วางทับลงบนกระดาษชาระ จากน้นั ทง้ิ ไวป้ ระมาณ 2–3 วนั จงึ นาหนังสอื ปกแขง็ ออกจากกองกระดาษชาระ (3) ครแู ละนักเรยี นรว่ มกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม (4) ครูอธิบายเพิ่มเตมิ เกย่ี วกับกระบวนการเกิดซากดกึ ดาบรรพ์ โดยใช้แผนภาพทเี่ ตรียมมาหรอื ใหน้ ักเรยี นดจู าก ในหนงั สือเรียน และอธบิ ายเพ่มิ เติมเก่ียวกับมาตราธรณีกาลกบั ลาดบั เหตกุ ารณ์และเวลาทางธรณวี ทิ ยา (5) นกั เรยี นศึกษา สืบคน้ ข้อมูลเกีย่ วกบั ซากดึกดาบรรพท์ ี่ถูกคน้ พบในประเทศไทย จัดทาเปน็ รายงานและปา้ ย นิเทศเพื่อให้ความรู้ (6) นกั เรยี นค้นคว้าบทความหรือคาศัพทภ์ าษาต่างประเทศเก่ียวกบั อายุทางธรณีวิทยาและซากดึกดาบรรพ์ จาก หนงั สือภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เนต็ และนาเสนอให้เพ่อื นในห้องเรียนฟัง แลว้ บันทึกลงในสมุด (7) นักเรียนคน้ หาคาศัพท์สาคญั เพ่ิมเติมจากพจนานุกรมศัพท์ธรณวี ทิ ยา (ฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน) 5) ข้ันประเมิน (1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพจิ ารณาวา่ จากหวั ข้อทเ่ี รยี นมาและการปฏบิ ตั ิกิจกรรม มีจุดใดบา้ งท่ยี งั ไม่เข้าใจหรือ ยงั มขี ้อสงสัย ถา้ มีครชู ่วยอธิบายเพม่ิ เติมใหน้ กั เรียนเขา้ ใจ (2) นกั เรียนรว่ มกันประเมินการปฏบิ ตั กิ จิ กรรมกลุม่ ว่ามีปัญหาหรอื อุปสรรคใด และไดม้ ีการแก้ไขอยา่ งไรบ้าง (3) นักเรียนรว่ มกนั แสดงความคดิ เหน็ เกีย่ วกบั ประโยชนท์ ไ่ี ดร้ บั จากการปฏิบตั ิกจิ กรรม และการนาความรู้ท่ีไดไ้ ป ใช้ประโยชน์ (4) ครูทดสอบความเขา้ ใจของนักเรยี นโดยการใหต้ อบคาถาม เชน่ อายทุ างธรณวี ิทยาคืออะไร แบง่ ออกเปน็ กแี่ บบ อะไรบ้าง ซากดกึ ดาบรรพ์ส่วนใหญพ่ บในหินชนิดใด ซากดึกดาบรรพด์ ชั นีมีลักษณะสาคัญอยา่ งไร ยกตัวอยา่ งซากดึกดาบรรพ์ทีค่ ้นพบในประเทศไทย นกั ธรณีวิทยามักจะพบซากดกึ ดาบรรพ์ของสตั ว์ทะเลมากกว่าสตั ว์ชนิดอืน่ เพราะอะไร
สรุป ครูและนกั เรียนรว่ มกันสรปุ เกี่ยวกบั อายุทางธรณวี ิทยาและซากดกึ ดาบรรพ์ โดยร่วมกันเขยี นเป็นแผนท่คี วามคิด หรอื ผังมโนทัศน์ 5. ส่อื กำรเรยี นรู้ 1.ใบงาน เรอื่ ง วัฏจักรของหิน 2.ใบงาน เร่ือง ซากดึกดาบรรพ์ 3.ใบงาน เรื่อง อายุของโลกทางธรณีวิทยา 4.ใบงาน เรอ่ื ง ยุคต่างๆ ของโลก
แผนกำรจดั กำรเรยี นรทู้ ี่ 26 ชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 4-6 กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ เวลา 6 ช่ัวโมง หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 ธรณีประวตั ิ เวลา 1 ช่วั โมง เร่ือง ซากดึกดาบรรพ์ ภาคเรียนท่ี 2/2558 สอนวนั ที่………เดือน………………………พ.ศ…………ชั้น........... โรงเรยี นบา้ นพณิ โท ครูผ้สู อน ............................................................................. สำระท่ี 6 : กระบวนกำรเปลี่ยนแปลงของโลก มำตรฐำน ว 6.1 เขา้ ใจกระบวนการตา่ งๆท่ีเกิดขึน้ บนผิวโลกและภายในโลก ความสัมพันธ์ของกระบวนการตา่ งๆที่มีผล ต่อการเปล่ยี นแปลงภูมิอากาศ ภูมิประเทศและสัณฐานของโลก มกี ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ และจติ วทิ ยาศาสตร์ ส่ือสารส่ิงทเี่ รยี นรแู้ ละนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ 1.สำระสำคัญ ความเปน็ มาของโลก สามารถศึกษาได้จากชัน้ หิน ซากดกึ ดาบรรพ์ และตารางธรณกี าล 2.ตัวชี้วัด / จุดประสงคก์ ำรเรียนรู้ 1. อธิบายการหาอายุเปรยี บเทยี บ และอายสุ มั บรู ณ์ได้ 2. อธบิ ายกระบวนการเกดิ ซากดึกดาบรรพ์ และซากดึกดาบรรพ์ดัชนี ท่ีใช้เป็นตัวเทยี บหาอายุของ ชั้นหินได้ 3.สำระกำรเรียนรู้ 1. สภาพเหตกุ ารณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตของโลกสามารถอธิบายได้จากรอ่ งรอยต่างๆ ทป่ี รากฏเป็นหลกั ฐานอย่บู นหนิ 2. ข้อมลู ทางธรณวี ทิ ยาทีใ่ ช้อธบิ ายความเปน็ มาของโลก ไดแ้ ก่ ซากดกึ ดาบรรพ์ ชนดิ ของหิน โครงสรา้ งทางธรณีวิทยา และการลาดับชนั้ หนิ 3.ประวตั ิความเป็นมาของพ้ืนทไี่ ดจ้ ากการลาดบั ชนั้ หนิ ตามอายกุ ารเกิดของหินจากอายุมากขึ้นไปสหู่ นิ ที่มีอายนุ ้อย ตาม มาตราธรณกี าล 4. การเปล่ียนแปลงต่างๆ ทเ่ี กดิ ขึ้นตงั้ แต่อดีตจนถงึ ปจั จบุ นั จะบอกถึงววิ ฒั นาการของการเปล่ยี นแปลงของเปลอื กโลก ซึ่ง จะให้ประโยชนท์ งั้ ทางดา้ นวิวฒั นาการและการสารวจค้นหาทรพั ยากรธรณี 4.กระบวนกำรจัดกำรเรยี นรู้ 1. ครูให้นกั เรียนดภู าพ หรือส่อื มัลติมเี ดีย หรือ CD-Rom เกย่ี วกบั ลักษณะของชนั้ ดนิ ชั้นหิน โครงสร้างทางธรณีวทิ ยา และการขุดค้นพบซากดึกดาบรรพ์ แลว้ ตง้ั ประเด็นคาถาม เชน่ ช้ันดิน ชน้ั หินที่ดจู ากภาพมีลักษณะเด่นอย่างไร นักเรียนคิดวา่ ในอดีตพื้นทีท่ ่ีมซี ากดึกดาบรรพ์ของสัตวแ์ ละพืช มีลกั ษณะเหมือนกับท่ีเป็นอยู่ในปัจจบุ ันหรือไม่ หรอื มีลักษณะแบบใด ทาอย่างไรจึงจะทราบวา่ ชัน้ ดนิ หรือชั้นหนิ หรือซากดึกดาบรรพ์เหลา่ นม้ี อี ายเุ ท่าใด
2. นกั เรยี นช่วยกันตอบคาถามและแสดงความคิดเหน็ โดยครูยงั ไมเ่ นน้ คาตอบที่ถกู ต้อง จัดการเรยี นรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรู้ ซ่ึงมีข้ันตอนดงั นี้ 1) ขัน้ สร้ำงควำมสนใจ (1) ครูให้นักเรียนสรา้ งสถานการณ์จาลอง ดงั น้ี สารวจเหตุการณ์ 45 เหตกุ ารณ์ ที่เกิดขน้ึ จรงิ ในชีวิตประจาวันของนักเรยี น อาจจะเป็นเหตกุ ารณท์ ่ีเกิดขึน้ วันน้ี เม่อื วานนี้ สัปดาหท์ ีผ่ ่านมา เดือนท่ผี ่านมา หรือปีทีผ่ ่านมา แล้วลาดับเหตุการณ์ ก่อนหลัง แตย่ งั ไม่ระบุวนั ทเี่ กิดเหตกุ ารณ์ น้ัน ๆ เลา่ เหตุการณ์ทีเ่ กิดขน้ึ ของแต่ละคนให้สมาชกิ ในกลุ่มฟัง แล้วเรียบเรียงเหตกุ ารณต์ ่าง ๆ ท่เี กิดขน้ึ ตามลาดบั กอ่ นหลัง โดยไม่จาเปน็ ต้องใช้วนั ทีเ่ กิดเหตุการณจ์ ริงเรยี งลาดับกไ็ ด้ บันทกึ ข้อมูลลงในตาราง พิจารณาอายุของสมาชิกในกลมุ่ วา่ ใครมีอายมุ ากที่สุด นากระดาษท่ีเตรยี มไว้มาเขียนเส้นตรง แลว้ แบง่ ออกเปน็ ช่วงเทา่ ๆ กนั ให้มีจานวนช่วงเทา่ กับอายขุ องสมาชกิ คนท่ีมอี ายุมากท่ีสดุ นาเหตกุ ารณ์ของสมาชิกกลุ่มแต่ละคนที่รวบรวมไว้ เขยี นลงในช่วงทีแ่ บง่ ไว้ ตามลาดับก่อนหลงั (2) เม่ือนักเรียนสรา้ งสถานการณเ์ สร็จแลว้ ครูนาแผนภาพมาตราธรณีกาลมาให้นักเรยี นดู หรือใหด้ ใู นหนังสอื เรียน แลว้ ให้นกั เรียนเปรียบเทยี บวิธดี าเนนิ การของนกั เรยี นกบั การสร้างมาตราธรณีกาลว่า มีสว่ นใดบ้างท่มี ีความเหมือน หรอื แตกต่างจากมาตราธรณีกาลในลักษณะใด (ทง้ั สองอย่างมีความเหมือนในการปฏิบัติโดยใชล้ าดบั เปรยี บเทียบของ เหตกุ ารณ์ แต่มคี วามแตกตา่ งกันที่ระยะเวลาเร่ิมต้น และการกาหนดระยะเวลา) (3) ครูและนักเรยี นรว่ มกันอภิปรายจากแนวคาตอบของนักเรียน เพ่อื เชื่อมโยงไปสู่การเรียนร้เู รื่องอายุทาง ธรณวี ิทยา 2) ข้ันสำรวจและค้นหำ (1) นกั เรียนศกึ ษาอายุทางธรณีวิทยาและซากดึกดาบรรพ์ จากใบความรู้หรือในหนังสือเรียน โดยครชู ว่ ยเชอื่ มโยง ความรใู้ หมจ่ ากบทเรียนกับความรูเ้ ดิมทีเ่ รียนรู้มาแล้ว ด้วยการใชค้ าถามนากระตนุ้ ให้นักเรียนตอบจากความรูแ้ ละ ประสบการณ์ของนกั เรยี น (2) นักเรียนแบ่งกลุ่ม แตล่ ะกลุ่มศึกษากจิ กรรม สารวจซากดึกดาบรรพ์ และปฏิบัตกิ ิจกรรมตามขัน้ ตอนทว่ี างแผน ไว้ ดังนี้ ในกรณีทสี่ ำมำรถออกภำคสนำม ครนู านักเรียนออกนอกสถานที่ ถ้าโรงเรยี นอยใู่ กล้แหล่งท่ีพบซากดึกดาบรรพ์ เชน่ ซากไดโนเสาร์ ซากพชื และ ซากสตั วท์ ะเลตา่ ง ๆ สารวจซากดกึ ดาบรรพ์ โดยใชแ้ วน่ ขยายสงั เกตลักษณะของซากดกึ ดาบรรพ์ แลว้ วาดภาพและบันทึก รายละเอยี ดทพ่ี บลงในสมดุ หรือแบบบันทึก หาชนิดและอายขุ องซากดึกดาบรรพน์ น้ั เทียบเคียงกับตารางมาตราธรณีกาลท่เี ตรียมมา บนั ทึกลกั ษณะภูมิประเทศที่พบซากดึกดาบรรพ์ เพ่ือใชเ้ ป็นข้อมลู สาหรับการอภิปราย ส่ิงแวดล้อมและเหตุการณ์ที่เกิดขนึ้ ในอดตี
หมำยเหตุ นกั เรียนไมค่ วรเก็บซากดกึ ดาบรรพ์หรือกะเทาะซากออกจากแหล่งท่ซี ากดึกดาบรรพ์ฝงั ตัวอยู่ ควรใช้ วิธกี ารถา่ ยภาพหรือวาดภาพ ในกรณที ไ่ี ม่สำมำรถออกภำคสนำม ทาการสบื คน้ และรวบรวมข้อมูลเกยี่ วกบั ซากดึกดาบรรพ์และบรเิ วณท่ีค้นพบ จากเวบ็ ไซตข์ องกรมทรพั ยากร ธรณี หรอื ชมวดี ทิ ัศน์ หรือดภู าพซากจากแหล่งการเรยี นรอู้ ื่น ๆ ที่นกั เรยี นค้นควา้ มา นาขอ้ มูลที่สบื คน้ ได้มารว่ มกันอภปิ รายและสรุปเกีย่ วกบั ซากดึกดาบรรพ์และบริเวณที่ค้นพบ นาเสนอผลการอภปิ รายและข้อสรุปของกลุ่มหนา้ ชน้ั เรียน จัดทาเป็นรายงานและจดั ป้ายนิเทศแสดงผลงาน 3) ขั้นอธิบำยและลงข้อสรุป (1) นักเรยี นแตล่ ะกลุ่มรว่ มกนั อภปิ รายผลของการปฏบิ ตั ิกิจกรรม แลว้ ส่งตัวแทนออกมานาเสนอหนา้ ช้ันเรียน (2) ครแู ละนักเรียนรว่ มกันอภิปรายผลจากการปฏิบตั กิ ิจกรรม โดยใชแ้ นวคาถาม เชน่ นกั เรียนจะหาอายุของซากดึกดาบรรพ์ได้โดยวธิ ีใด (ถ่ายภาพหรือวาดภาพซากดึกดาบรรพท์ สี่ ารวจพบ แล้ว นามาหาชนดิ และอายุของซากดกึ ดาบรรพ์ โดยการเทียบเคียงกับตารางธรณีกาล) ภูมิประเทศและสงิ่ แวดล้อมบริเวณทค่ี น้ พบซากดึกดาบรรพ์มลี กั ษณะอย่างไร (พิจารณาจากคาตอบนักเรยี น) นักเรียนเหน็ ด้วยหรือไม่ว่า ซากดึกดาบรรพ์ใช้บอกสภาพแวดลอ้ มและสภาพภูมอิ ากาศใน อดีต อธบิ ายเหตุผลประกอบ (เหน็ ด้วย เน่ืองจากการดารงอยูข่ องส่ิงมชี วี ติ จะมีความสัมพันธก์ ับปัจจัยแวดลอ้ มตา่ ง ๆ เชน่ ชนดิ และสมบตั ิของตะกอน อุณหภูมิ ปริมาณออกซิเจนและแสงสวา่ ง ตวั อย่างเชน่ ถา้ พบซากปะการังในหินปนู ก็จะ สามารถบอกได้วา่ บรเิ วณนัน้ เคยเปน็ ทะเลมาก่อน) ประโยชน์ของการศึกษาซากดกึ ดาบรรพ์คอื อะไร (ทาให้เราเหน็ การเปลี่ยนแปลงของสิ่งมชี ีวิตจากสมัยดึกดา บรรพจ์ นถึงปัจจุบัน และได้ข้อสรปุ วา่ สิง่ มีชวี ติ ตา่ ง ๆ ได้เกิดข้ึนบนโลกมานานแลว้ และมีวิวฒั นาการตลอดเวลา) (3) ครูและนักเรยี นรว่ มกนั สรุปผลจากการปฏบิ ัติกจิ กรรม โดยใหไ้ ดข้ ้อสรปุ ว่า ซากดึกดาบรรพเ์ ป็นซากหรือ ร่องรอยของพืชและสัตวท์ ่ีถกู ทับถมและฝังตัวอยู่ในชนั้ หินจนกระทั่งกลายเป็นหิน ถา้ เราสามารถนาซากดกึ ดาบรรพน์ ้ันมา หาอายุสัมบรู ณห์ รือหาอายุเปรยี บเทยี บกับซากดึกดาบรรพ์ดัชนีได้ เราก็สามารถทจ่ี ะเทียบความสัมพนั ธห์ าอายขุ องชัน้ หิน ทพ่ี บซากดกึ ดาบรรพ์น้นั หรืออายุของหนิ บรเิ วณใกล้เคียงได้ นอกจากนซี้ ากดึกดาบรรพ์แต่ละชนดิ สามารถบอกสภาพ สง่ิ แวดล้อมในอดตี ทีซ่ ากดึกดาบรรพ์ชนดิ น้นั ดารงชวี ิตอยู่ได้ ถึงแม้วา่ ในปัจจุบนั พ้นื ทบ่ี ริเวณดังกล่าวได้เปลยี่ นแปลงไป แล้วกต็ าม แต่ร่องรอยทีบ่ ันทึกอยใู่ นหินบรเิ วณนัน้ สามารถเป็นกญุ แจไขไปสู่อดีตได้ ทาให้เราสามารถทราบไดว้ ่าสง่ิ มชี วี ิต สมยั น้ันมีการดารงชีวิตในลกั ษณะใด มสี ภาพภมู อิ ากาศแบบใด ร้อน อบอนุ่ หรือหนาว 4) ข้นั ขยำยควำมรู้ (1) ครูอธบิ ายเพ่ิมเติมเก่ยี วกับอายทุ างธรณวี ทิ ยา โดยให้นกั เรยี นดตู ารางเปรียบเทยี บความแตกตา่ งของการ กาหนดอายุเปรียบเทยี บกบั การกาหนดอายสุ ัมบรู ณ์ประกอบ (2) นกั เรยี นแบง่ กลุม่ ปฏบิ ัติกิจกรรม สรา้ งแบบจาลองซากดกึ ดาบรรพ์ ตามข้ันตอนในหนังสอื เรียน ดงั น้ี นากระดาษชาระ (แผน่ ขนาดใหญ่) จานวน 4–5 แผ่น วางซอ้ นกนั จากนั้นนาโซเดยี มไบ-คาร์บอเนต (ผงฟ)ู โรย ลงบนผวิ หน้าของกระดาษชาระ
นาลาตน้ ใบไม้ ดอกไม้ หรือสว่ นอ่ืน ๆ ของตน้ ไมท้ ่ีเตรยี มมา วางราบเรยี งกนั บนผงโซเดยี มไบคารบ์ อเนต ดงั รูป นาผงโซเดียมไบคาร์บอเนตโรยลงบนลาตน้ ใบไม้ ดอกไม้ หรอื สว่ นอื่น ๆ ของต้นไม้ โดยโรยเพียงบาง ๆ แล้วนา กระดาษชาระ 4–5 แผน่ ปิดคลุมข้างบนสว่ นของต้นไม้อกี ช้ันหนึ่ง นาหนงั สือปกแขง็ ทเี่ ตรยี มไว้วางทับลงบนกระดาษชาระ จากนัน้ ทิ้งไว้ประมาณ 2–3 วันจึงนาหนังสือปกแขง็ ออกจากกองกระดาษชาระ (3) ครแู ละนักเรียนรว่ มกนั อภิปรายผลจากการปฏิบตั ิกิจกรรม (4) ครูอธิบายเพิ่มเตมิ เก่ยี วกับกระบวนการเกิดซากดกึ ดาบรรพ์ โดยใชแ้ ผนภาพท่เี ตรยี มมาหรอื ใหน้ กั เรยี นดจู าก ในหนังสอื เรยี น และอธบิ ายเพ่มิ เติมเกีย่ วกับมาตราธรณกี าลกับลาดบั เหตกุ ารณแ์ ละเวลาทางธรณีวิทยา (5) นักเรียนศึกษา สืบคน้ ข้อมูลเก่ยี วกับซากดึกดาบรรพท์ ี่ถูกค้นพบในประเทศไทย จดั ทาเปน็ รายงานและปา้ ย นเิ ทศเพื่อให้ความรู้ (6) นกั เรียนคน้ คว้าบทความหรือคาศัพทภ์ าษาต่างประเทศเก่ียวกับอายุทางธรณีวิทยาและซากดกึ ดาบรรพ์ จาก หนงั สอื ภาษาต่างประเทศหรอื อินเทอรเ์ น็ต และนาเสนอให้เพ่ือนในห้องเรียนฟงั แล้วบนั ทึกลงในสมดุ (7) นกั เรยี นคน้ หาคาศพั ท์สาคญั เพิ่มเตมิ จากพจนานุกรมศัพท์ธรณีวิทยา (ฉบับราชบณั ฑิตยสถาน) 5) ขั้นประเมนิ (1) ครใู หน้ ักเรยี นแต่ละคนพจิ ารณาว่า จากหวั ข้อทเ่ี รยี นมาและการปฏิบตั ิกิจกรรม มีจดุ ใดบา้ งทีย่ ังไม่เข้าใจหรือ ยงั มขี ้อสงสัย ถา้ มคี รูชว่ ยอธิบายเพิม่ เติมใหน้ ักเรยี นเข้าใจ (2) นกั เรียนรว่ มกันประเมนิ การปฏิบตั กิ ิจกรรมกลุม่ วา่ มปี ัญหาหรอื อปุ สรรคใด และไดม้ ีการแก้ไขอย่างไรบ้าง (3) นักเรยี นรว่ มกนั แสดงความคิดเหน็ เก่ยี วกบั ประโยชน์ที่ไดร้ บั จากการปฏบิ ัติกจิ กรรม และการนาความรู้ท่ีได้ไป ใชป้ ระโยชน์ (4) ครทู ดสอบความเข้าใจของนักเรยี นโดยการใหต้ อบคาถาม เช่น อายทุ างธรณีวิทยาคืออะไร แบง่ ออกเป็นก่แี บบ อะไรบ้าง ซากดกึ ดาบรรพส์ ว่ นใหญ่พบในหนิ ชนดิ ใด ซากดึกดาบรรพ์ดชั นีมลี กั ษณะสาคัญอย่างไร ยกตวั อย่างซากดกึ ดาบรรพ์ทค่ี ้นพบในประเทศไทย นักธรณวี ิทยามักจะพบซากดึกดาบรรพ์ของสัตวท์ ะเลมากกวา่ สตั ว์ชนดิ อ่นื เพราะอะไร
สรุป ครูและนกั เรียนรว่ มกันสรปุ เกี่ยวกบั อายุทางธรณวี ิทยาและซากดกึ ดาบรรพ์ โดยร่วมกันเขยี นเป็นแผนท่คี วามคิด หรอื ผังมโนทัศน์ 5. ส่อื กำรเรยี นรู้ 1.ใบงาน เรอื่ ง วัฏจักรของหิน 2.ใบงาน เร่ือง ซากดึกดาบรรพ์ 3.ใบงาน เรื่อง อายุของโลกทางธรณีวิทยา 4.ใบงาน เรอ่ื ง ยุคต่างๆ ของโลก
แผนกำรจดั กำรเรยี นรทู้ ่ี 27 ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4-6 กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ เวลา 6 ช่ัวโมง หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 4 ธรณีประวตั ิ เวลา 1 ชั่วโมง เรอื่ ง ซากดึกดาบรรพ์ ภาคเรียนท่ี 2/2558 สอนวนั ที่………เดอื น………………………พ.ศ…………ช้นั ........... โรงเรยี นบา้ นพณิ โท ครูผูส้ อน ............................................................................. สำระที่ 6 : กระบวนกำรเปลย่ี นแปลงของโลก มำตรฐำน ว 6.1 เขา้ ใจกระบวนการต่างๆทเ่ี กดิ ข้นึ บนผิวโลกและภายในโลก ความสมั พันธ์ของกระบวนการตา่ งๆที่มีผล ตอ่ การเปล่ียนแปลงภมู อิ ากาศ ภูมปิ ระเทศและสัณฐานของโลก มีกระบวนการสบื เสาะหาความรู้ และจติ วิทยาศาสตร์ สอ่ื สารสิ่งทเ่ี รียนร้แู ละนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ 1.สำระสำคัญ ความเป็นมาของโลก สามารถศกึ ษาได้จากชั้นหิน ซากดกึ ดาบรรพ์ และตารางธรณีกาล 2.ตวั ชี้วดั / จดุ ประสงค์กำรเรยี นรู้ 1. อธบิ ายการหาอายเุ ปรยี บเทยี บ และอายุสมั บรู ณ์ได้ 2. อธิบายกระบวนการเกดิ ซากดึกดาบรรพ์ และซากดึกดาบรรพด์ ชั นี ท่ีใช้เป็นตัวเทียบหาอายุของ ชน้ั หนิ ได้ 3.สำระกำรเรยี นรู้ 1. สภาพเหตกุ ารณ์ท่เี กิดขึ้นในอดตี ของโลกสามารถอธบิ ายได้จากรอ่ งรอยตา่ งๆ ท่ีปรากฏเปน็ หลกั ฐานอยบู่ นหนิ 2. ขอ้ มลู ทางธรณวี ทิ ยาทีใ่ ช้อธิบายความเป็นมาของโลก ไดแ้ ก่ ซากดึกดาบรรพ์ ชนดิ ของหิน โครงสร้างทางธรณวี ทิ ยา และการลาดับช้ันหิน 3.ประวัติความเป็นมาของพ้ืนที่ไดจ้ ากการลาดับช้ันหนิ ตามอายกุ ารเกิดของหนิ จากอายุมากขึน้ ไปสหู่ นิ ทีม่ ีอายนุ อ้ ย ตาม มาตราธรณกี าล 4. การเปล่ียนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นตงั้ แต่อดีตจนถงึ ปจั จบุ ันจะบอกถึงวิวฒั นาการของการเปล่ยี นแปลงของเปลือกโลก ซึง่ จะให้ประโยชน์ทั้งทางดา้ นววิ ัฒนาการและการสารวจค้นหาทรัพยากรธรณี 4.กระบวนกำรจัดกำรเรยี นรู้ 1. ครใู หน้ ักเรยี นดูภาพ หรือส่ือมัลตมิ ีเดยี หรือ CD-Rom เกีย่ วกับลกั ษณะของชั้นดิน ชัน้ หิน โครงสร้างทางธรณวี ทิ ยา และการขุดค้นพบซากดกึ ดาบรรพ์ แลว้ ตัง้ ประเด็นคาถาม เชน่ ชน้ั ดนิ ชนั้ หินที่ดูจากภาพมีลกั ษณะเด่นอย่างไร นกั เรียนคิดวา่ ในอดีตพ้ืนท่ีที่มีซากดึกดาบรรพ์ของสตั วแ์ ละพชื มลี ักษณะเหมือนกบั ทเ่ี ป็นอยูใ่ นปัจจุบันหรอื ไม่ หรือมลี ักษณะแบบใด ทาอยา่ งไรจึงจะทราบว่า ชั้นดนิ หรือชั้นหิน หรือซากดึกดาบรรพเ์ หล่านมี้ อี ายเุ ท่าใด
2. นกั เรยี นช่วยกันตอบคาถามและแสดงความคิดเห็น โดยครูยงั ไมเ่ น้นคาตอบที่ถกู ต้อง จัดการเรยี นรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรู้ ซง่ึ มีขั้นตอนดังน้ี 1) ขัน้ สร้ำงควำมสนใจ (1) ครูให้นักเรยี นสรา้ งสถานการณ์จาลอง ดงั น้ี สารวจเหตุการณ์ 45 เหตกุ ารณ์ ท่ีเกิดขึน้ จริงในชวี ติ ประจาวนั ของนักเรียน อาจจะเป็นเหตุการณท์ ีเ่ กดิ ข้ึนวันน้ี เม่อื วานนี้ สัปดาหท์ ีผ่ ่านมา เดือนท่ผี ่านมา หรือปที ผ่ี ่านมา แลว้ ลาดบั เหตุการณ์ ก่อนหลงั แตย่ ังไมร่ ะบุวันทเี่ กิดเหตุการณ์ น้ัน ๆ เลา่ เหตุการณ์ทีเ่ กิดขน้ึ ของแต่ละคนให้สมาชกิ ในกลุ่มฟัง แล้วเรยี บเรียงเหตุการณ์ตา่ ง ๆ ที่เกดิ ขึน้ ตามลาดบั กอ่ นหลัง โดยไม่จาเปน็ ต้องใช้วนั ที่เกิดเหตกุ ารณจ์ รงิ เรยี งลาดบั ก็ได้ บันทึกข้อมลู ลงในตาราง พิจารณาอายุของสมาชิกในกลมุ่ ว่าใครมีอายมุ ากที่สดุ นากระดาษทเ่ี ตรียมไว้มาเขียนเส้นตรง แลว้ แบง่ ออกเปน็ ช่วงเทา่ ๆ กนั ให้มจี านวนช่วงเทา่ กับอายขุ องสมาชิกคนท่ีมีอายุมากทีส่ ุด นาเหตกุ ารณ์ของสมาชิกกลุ่มแตล่ ะคนทร่ี วบรวมไว้ เขยี นลงในชว่ งทแ่ี บง่ ไว้ ตามลาดับกอ่ นหลัง (2) เม่ือนักเรียนสรา้ งสถานการณเ์ สรจ็ แล้ว ครนู าแผนภาพมาตราธรณีกาลมาให้นกั เรียนดู หรือให้ดใู นหนังสือ เรียน แลว้ ให้นกั เรียนเปรียบเทยี บวิธดี าเนนิ การของนักเรียนกบั การสรา้ งมาตราธรณีกาลวา่ มสี ่วนใดบ้างที่มีความเหมือน หรอื แตกต่างจากมาตราธรณีกาลในลักษณะใด (ท้ังสองอย่างมีความเหมือนในการปฏิบตั ิโดยใชล้ าดบั เปรียบเทยี บของ เหตกุ ารณ์ แต่มคี วามแตกตา่ งกันที่ระยะเวลาเร่มิ ตน้ และการกาหนดระยะเวลา) (3) ครูและนักเรียนรว่ มกันอภิปรายจากแนวคาตอบของนักเรยี น เพอ่ื เชือ่ มโยงไปสกู่ ารเรียนรเู้ ร่อื งอายุทาง ธรณวี ิทยา 2) ข้ันสำรวจและค้นหำ (1) นกั เรียนศกึ ษาอายุทางธรณีวิทยาและซากดึกดาบรรพ์ จากใบความร้หู รือในหนังสือเรียน โดยครชู ่วยเชอ่ื มโยง ความรใู้ หมจ่ ากบทเรียนกับความรูเ้ ดิมทีเ่ รียนรู้มาแล้ว ด้วยการใช้คาถามนากระตนุ้ ใหน้ กั เรียนตอบจากความรู้และ ประสบการณ์ของนกั เรยี น (2) นักเรียนแบ่งกลุ่ม แตล่ ะกลุ่มศกึ ษากจิ กรรม สารวจซากดกึ ดาบรรพ์ และปฏบิ ตั กิ ิจกรรมตามขัน้ ตอนทว่ี างแผน ไว้ ดังนี้ ในกรณีทสี่ ำมำรถออกภำคสนำม ครนู านักเรียนออกนอกสถานท่ี ถา้ โรงเรยี นอย่ใู กล้แหลง่ ที่พบซากดึกดาบรรพ์ เชน่ ซากไดโนเสาร์ ซากพชื และ ซากสตั วท์ ะเลตา่ ง ๆ สารวจซากดกึ ดาบรรพ์ โดยใชแ้ วน่ ขยายสังเกตลักษณะของซากดกึ ดาบรรพ์ แล้ววาดภาพและบันทึก รายละเอยี ดทพ่ี บลงในสมดุ หรือแบบบันทึก หาชนิดและอายขุ องซากดึกดาบรรพน์ น้ั เทยี บเคยี งกับตารางมาตราธรณีกาลทเี่ ตรยี มมา บนั ทึกลกั ษณะภูมิประเทศที่พบซากดกึ ดาบรรพ์ เพ่ือใช้เป็นขอ้ มลู สาหรับการอภิปราย ส่ิงแวดล้อมและเหตุการณ์ที่เกิดขนึ้ ในอดตี
หมำยเหตุ นักเรียนไมค่ วรเก็บซากดกึ ดาบรรพห์ รือกะเทาะซากออกจากแหล่งที่ซากดึกดาบรรพฝ์ ังตัวอยู่ ควรใช้ วิธกี ารถา่ ยภาพหรือวาดภาพ ในกรณีทไ่ี ม่สำมำรถออกภำคสนำม ทาการสบื ค้นและรวบรวมข้อมลู เกยี่ วกับซากดึกดาบรรพ์และบรเิ วณท่ีคน้ พบ จากเวบ็ ไซต์ของกรมทรัพยากร ธรณี หรอื ชมวดี ิทัศน์ หรือดภู าพซากจากแหล่งการเรยี นร้อู ื่น ๆ ทนี่ กั เรยี นค้นควา้ มา นาขอ้ มูลที่สบื คน้ ได้มารว่ มกันอภปิ รายและสรุปเกีย่ วกบั ซากดึกดาบรรพแ์ ละบรเิ วณท่ีค้นพบ นาเสนอผลการอภิปรายและข้อสรุปของกลุ่มหนา้ ชน้ั เรียน จัดทาเป็นรายงานและจัดป้ายนเิ ทศแสดงผลงาน 3) ขั้นอธิบำยและลงข้อสรุป (1) นักเรยี นแต่ละกลุ่มรว่ มกนั อภปิ รายผลของการปฏบิ ตั กิ ิจกรรม แล้วส่งตวั แทนออกมานาเสนอหนา้ ช้นั เรียน (2) ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกันอภิปรายผลจากการปฏิบตั กิ ิจกรรม โดยใช้แนวคาถาม เช่น นกั เรียนจะหาอายุของซากดึกดาบรรพ์ได้โดยวิธีใด (ถ่ายภาพหรือวาดภาพซากดึกดาบรรพ์ทีส่ ารวจพบ แลว้ นามาหาชนดิ และอายขุ องซากดกึ ดาบรรพ์ โดยการเทียบเคียงกับตารางธรณีกาล) ภูมิประเทศและสงิ่ แวดล้อมบรเิ วณทค่ี น้ พบซากดึกดาบรรพ์มลี กั ษณะอย่างไร (พจิ ารณาจากคาตอบนักเรียน) นักเรียนเห็นดว้ ยหรือไม่ว่า ซากดึกดาบรรพ์ใช้บอกสภาพแวดลอ้ มและสภาพภมู ิอากาศใน อดีต อธบิ ายเหตผุ ลประกอบ (เหน็ ด้วย เน่ืองจากการดารงอยูข่ องส่ิงมชี วี ติ จะมคี วามสัมพันธก์ บั ปัจจยั แวดลอ้ มต่าง ๆ เชน่ ชนดิ และสมบตั ิของตะกอน อุณหภูมิ ปรมิ าณออกซเิ จนและแสงสวา่ ง ตวั อย่างเช่น ถ้าพบซากปะการังในหนิ ปนู ก็จะ สามารถบอกได้ว่าบรเิ วณน้นั เคยเปน็ ทะเลมาก่อน) ประโยชน์ของการศกึ ษาซากดกึ ดาบรรพ์คอื อะไร (ทาใหเ้ ราเหน็ การเปลี่ยนแปลงของสงิ่ มชี วี ิตจากสมัยดึกดา บรรพจ์ นถึงปัจจุบัน และได้ข้อสรปุ วา่ สิง่ มีชวี ติ ตา่ ง ๆ ได้เกิดข้ึนบนโลกมานานแล้ว และมีวิวฒั นาการตลอดเวลา) (3) ครูและนักเรยี นรว่ มกนั สรุปผลจากการปฏบิ ัติกจิ กรรม โดยให้ไดข้ ้อสรุปว่า ซากดึกดาบรรพ์เปน็ ซากหรือ ร่องรอยของพืชและสัตวท์ ่ีถกู ทับถมและฝงั ตัวอยู่ในชนั้ หินจนกระท่ังกลายเป็นหิน ถ้าเราสามารถนาซากดึกดาบรรพน์ ้ันมา หาอายุสัมบรู ณ์หรือหาอายุเปรยี บเทยี บกบั ซากดึกดาบรรพ์ดัชนไี ด้ เราก็สามารถที่จะเทียบความสัมพันธห์ าอายขุ องชัน้ หิน ทพ่ี บซากดกึ ดาบรรพ์น้นั หรืออายุของหนิ บรเิ วณใกล้เคียงได้ นอกจากนซี้ ากดกึ ดาบรรพ์แตล่ ะชนดิ สามารถบอกสภาพ สง่ิ แวดล้อมในอดีต ทีซ่ ากดึกดาบรรพ์ชนดิ น้นั ดารงชวี ิตอยู่ได้ ถึงแม้วา่ ในปจั จบุ นั พืน้ ที่บริเวณดงั กล่าวได้เปล่ียนแปลงไป แล้วกต็ าม แต่ร่องรอยทีบ่ นั ทึกอยใู่ นหินบรเิ วณนนั้ สามารถเป็นกญุ แจไขไปสู่อดตี ได้ ทาให้เราสามารถทราบไดว้ า่ ส่ิงมชี วี ิต สมยั น้ันมกี ารดารงชีวติ ในลักษณะใด มสี ภาพภมู อิ ากาศแบบใด ร้อน อบอนุ่ หรอื หนาว 4) ข้นั ขยำยควำมรู้ (1) ครูอธบิ ายเพ่ิมเติมเก่ยี วกับอายทุ างธรณวี ทิ ยา โดยให้นกั เรยี นดตู ารางเปรยี บเทยี บความแตกตา่ งของการ กาหนดอายุเปรยี บเทยี บกับการกาหนดอายสุ ัมบรู ณ์ประกอบ (2) นกั เรยี นแบ่งกลุม่ ปฏบิ ัติกิจกรรม สรา้ งแบบจาลองซากดกึ ดาบรรพ์ ตามขนั้ ตอนในหนงั สอื เรยี น ดงั นี้ นากระดาษชาระ (แผน่ ขนาดใหญ่) จานวน 4–5 แผ่น วางซอ้ นกัน จากนั้นนาโซเดยี มไบ-คารบ์ อเนต (ผงฟ)ู โรย ลงบนผวิ หน้าของกระดาษชาระ
นาลาตน้ ใบไม้ ดอกไม้ หรือสว่ นอน่ื ๆ ของตน้ ไม้ที่เตรยี มมา วางราบเรยี งกนั บนผงโซเดียมไบคาร์บอเนต ดังรปู นาผงโซเดยี มไบคาร์บอเนตโรยลงบนลาต้น ใบไม้ ดอกไม้ หรือส่วนอ่ืน ๆ ของต้นไม้ โดยโรยเพยี งบาง ๆ แลว้ นา กระดาษชาระ 4–5 แผ่น ปดิ คลมุ ข้างบนส่วนของต้นไม้อีกชั้นหน่ึง นาหนังสอื ปกแข็งที่เตรียมไว้วางทับลงบนกระดาษชาระ จากนน้ั ทิ้งไวป้ ระมาณ 2–3 วนั จงึ นาหนังสอื ปกแขง็ ออกจากกองกระดาษชาระ (3) ครแู ละนกั เรยี นร่วมกนั อภิปรายผลจากการปฏบิ ตั ิกิจกรรม (4) ครูอธิบายเพ่ิมเตมิ เกย่ี วกับกระบวนการเกดิ ซากดึกดาบรรพ์ โดยใชแ้ ผนภาพทเี่ ตรียมมาหรือใหน้ ักเรยี นดูจาก ในหนงั สือเรยี น และอธิบายเพิ่มเติมเก่ยี วกับมาตราธรณีกาลกับลาดับเหตกุ ารณ์และเวลาทางธรณีวทิ ยา (5) นกั เรยี นศกึ ษา สบื ค้นข้อมูลเกยี่ วกับซากดึกดาบรรพ์ท่ีถูกค้นพบในประเทศไทย จดั ทาเป็นรายงานและป้าย นเิ ทศเพื่อให้ความรู้ (6) นกั เรียนค้นควา้ บทความหรอื คาศัพท์ภาษาต่างประเทศเกย่ี วกับอายุทางธรณวี ทิ ยาและซากดึกดาบรรพ์ จาก หนังสอื ภาษาต่างประเทศหรืออนิ เทอร์เนต็ และนาเสนอให้เพ่อื นในห้องเรียนฟงั แล้วบันทึกลงในสมดุ (7) นักเรียนค้นหาคาศัพท์สาคัญเพ่ิมเติมจากพจนานุกรมศัพท์ธรณีวิทยา (ฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน) 5) ขั้นประเมนิ (1) ครูใหน้ ักเรยี นแตล่ ะคนพจิ ารณาวา่ จากหวั ข้อท่เี รียนมาและการปฏบิ ัติกิจกรรม มจี ุดใดบ้างทีย่ ังไม่เข้าใจหรือ ยังมีข้อสงสัย ถา้ มคี รชู ่วยอธิบายเพมิ่ เติมใหน้ กั เรียนเขา้ ใจ (2) นักเรียนรว่ มกนั ประเมินการปฏิบัตกิ ิจกรรมกลุม่ ว่ามปี ญั หาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแกไ้ ขอย่างไรบ้าง (3) นักเรยี นรว่ มกันแสดงความคิดเหน็ เก่ยี วกบั ประโยชน์ทไ่ี ดร้ ับจากการปฏบิ ตั ิกจิ กรรม และการนาความรทู้ ี่ได้ไป ใชป้ ระโยชน์ (4) ครทู ดสอบความเขา้ ใจของนกั เรยี นโดยการให้ตอบคาถาม เชน่ อายุทางธรณวี ทิ ยาคอื อะไร แบง่ ออกเป็นกี่แบบ อะไรบ้าง ซากดกึ ดาบรรพ์สว่ นใหญพ่ บในหินชนิดใด ซากดกึ ดาบรรพด์ ชั นีมีลกั ษณะสาคัญอยา่ งไร ยกตวั อย่างซากดกึ ดาบรรพ์ทค่ี น้ พบในประเทศไทย นักธรณวี ิทยามักจะพบซากดกึ ดาบรรพ์ของสัตวท์ ะเลมากกวา่ สัตวช์ นดิ อืน่ เพราะอะไร สรุป ครูและนกั เรยี นรว่ มกนั สรปุ เกี่ยวกบั อายทุ างธรณวี ทิ ยาและซากดึกดาบรรพ์ โดยร่วมกันเขยี นเป็นแผนทค่ี วามคดิ หรือผงั มโนทัศน์ 5. ส่ือกำรเรียนรู้ 1.ใบงาน เรอื่ ง วัฏจักรของหิน 2.ใบงาน เรอ่ื ง ซากดึกดาบรรพ์
3.ใบงาน เรอ่ื ง อายุของโลกทางธรณวี ิทยา 4.ใบงาน เรือ่ ง ยคุ ตา่ งๆ ของโลก
แผนกำรจัดกำรเรยี นรทู้ ี่ 28 ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 กล่มุ สาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ เวลา 6 ชว่ั โมง หน่วยการเรียนรูท้ ่ี 4 ธรณปี ระวตั ิ เวลา 1 ช่ัวโมง เร่ือง การลาดบั ช้นั หนิ ภาคเรียนท่ี 2/2558 สอนวันที่………เดอื น………………………พ.ศ…………ชั้น........... โรงเรยี นบ้านพิณโท ครูผสู้ อน ............................................................................. สำระท่ี 6 : กระบวนกำรเปลยี่ นแปลงของโลก มำตรฐำน ว 6.1 เข้าใจกระบวนการตา่ งๆที่เกิดข้นึ บนผวิ โลกและภายในโลก ความสมั พันธ์ของกระบวนการตา่ งๆท่ีมีผล ตอ่ การเปลยี่ นแปลงภมู อิ ากาศ ภมู ปิ ระเทศและสัณฐานของโลก มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ และจติ วิทยาศาสตร์ ส่ือสารส่ิงท่ีเรยี นรแู้ ละนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ 1.สำระสำคญั ความเป็นมาของโลก สามารถศึกษาได้จากชัน้ หนิ ซากดึกดาบรรพ์ และตารางธรณกี าล 2.ตัวช้ีวัด / จดุ ประสงค์กำรเรยี นรู้ 1. อธบิ ายการลาดับชนั้ หินและความสมั พนั ธ์ระหว่างชน้ั หนิ กับลักษณะภมู ิประเทศได้ 2. อธิบายลักษณะโครงสร้างทางธรณีวทิ ยาได้ 3. อธิบายการใช้ประโยชน์ของขอ้ มูลทางธรณวี ิทยาดา้ นต่าง ๆ ได้ 3.สำระกำรเรยี นรู้ 1. สภาพเหตกุ ารณ์ทเ่ี กิดข้นึ ในอดตี ของโลกสามารถอธบิ ายได้จากรอ่ งรอยต่างๆ ที่ปรากฏเปน็ หลักฐานอยู่บนหิน 2. ขอ้ มูลทางธรณีวทิ ยาท่ีใช้อธิบายความเป็นมาของโลก ไดแ้ ก่ ซากดึกดาบรรพ์ ชนดิ ของหิน โครงสร้างทางธรณวี ิทยา และการลาดบั ชั้นหิน 3.ประวตั ิความเป็นมาของพนื้ ทไ่ี ด้จากการลาดับช้ันหนิ ตามอายุการเกดิ ของหนิ จากอายุมากขึน้ ไปสู่หนิ ทม่ี ีอายุน้อย ตาม มาตราธรณีกาล 4. การเปลีย่ นแปลงต่างๆ ท่ีเกดิ ขึน้ ต้ังแตอ่ ดีตจนถงึ ปจั จุบันจะบอกถงึ วิวฒั นาการของการเปล่ยี นแปลงของเปลือกโลก ซงึ่ จะให้ประโยชน์ทั้งทางดา้ นวิวัฒนาการและการสารวจค้นหาทรพั ยากรธรณี 4.กระบวนกำรจดั กำรเรียนรู้ 1. ครทู บทวนความรู้เดิมของนักเรยี น เร่ืองหิน โดยใช้แนวคาถาม เช่น หินแบง่ ออกเปน็ กช่ี นิด อะไรบ้าง (หนิ ตะกอน หินอคั นี หินแปร) หนิ ตะกอนเกิดข้ึนได้อย่างไร (เกดิ จากการสะสมและทับถมของเศษหนิ ดนิ ทราย ทแี่ ตกหลดุ หรือถูกชะละลาย ออกมาจากหินเดมิ อื่น ๆ พอนานเข้าได้ถกู กดทบั อดั ตัวกันแนน่ โดยมักจะมีตัวเชือ่ มประสาน และได้กลายเป็นหนิ ในท่ีสดุ หรือเกิดจากการตกตะกอนโดยปฏิกริ ิยาเคม)ี หนิ อคั นีเกดิ จากอะไร (เกิดจากการเยน็ ตวั ของหินหนืดหรือแมกมา)
หินชนดิ ตา่ ง ๆ ท่เี ปน็ สว่ นประกอบของเปลอื กโลก ช่วยอธิบายความเป็นมาหรือเหตกุ ารณ์ต่าง ๆ อดีตได้หรือไม่ ลกั ษณะใด 2. ครูและนักเรียนรว่ มกนั อภิปรายจากแนวคาตอบของนักเรียน จัดการเรียนร้โู ดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ซงึ่ มีขั้นตอนดงั น้ี 1) ข้นั สรำ้ งควำมสนใจ (1) ครใู หน้ ักเรยี นดูภาพการลาดับชน้ั หนิ ที่ชัดเจน และชน้ั หินที่มีการเปลีย่ นแปลงโครงสรา้ งในลกั ษณะต่าง ๆ แล้ว ตั้งประเด็นคาถาม เช่น ทาไมชัน้ หนิ แตล่ ะแหลง่ ในภาพมลี ักษณะเด่นอย่างไร การเปลีย่ นแปลงโครงสร้างหนิ เกิดจากอะไร (การเปลี่ยนแปลงของเปลอื กโลก) ชนั้ หินที่มลี กั ษณะแตกต่างกันนี้ สามารถอธิบายเหตกุ ารณ์ในอดีตไดห้ รือไม่ ลกั ษณะใด หนิ ชนิดใดมีการลาดับช้ันที่ชัดเจน (หนิ ตะกอน) (2) นกั เรยี นช่วยกนั ตอบคาถามและแสดงความคิดเหน็ โดยครูยังไมเ่ นน้ คาตอบท่ีถูกต้อง 2) ขนั้ สำรวจและค้นหำ (1) นกั เรียนศึกษาการลาดับช้ันหินและโครงสร้างทางธรณวี ิทยา จากใบความรู้หรือในหนังสือเรียน โดยครชู ่วย เช่อื มโยงความรู้ใหมจ่ ากบทเรียนกับความรูเ้ ดิมทเี่ รยี นรู้มาแลว้ ด้วยการใช้คาถามนากระตุ้นใหน้ กั เรยี นตอบจากความร้แู ละ ประสบการณ์ของนกั เรยี น (2) นกั เรยี นแบ่งกลมุ่ แตล่ ะกลุ่มศึกษากิจกรรม สารวจลาดับชัน้ ของหนิ และปฏบิ ตั ิกิจกรรมตามขนั้ ตอนที่ วางแผนไว้ ดังน้ี ในกรณีท่ีสำมำรถออกภำคสนำม ครนู านักเรียนออกนอกสถานท่ี สารวจบรเิ วณตา่ ง ๆ เชน่ ภเู ขา หน้าตดั ของถนน รอยเลื่อน รอยแยก ร่องรอย การไหลของน้า และร่องรอยของสิง่ มีชวี ติ หรือซากดึกดาบรรพใ์ นชนั้ หินแตล่ ะช้ัน ที่อยใู่ นท้องถนิ่ หรือบริเวณใกล้โรงเรียน ใชแ้ ว่นขยายสังเกตลกั ษณะของเน้อื หนิ ในแตล่ ะชั้น นาหนิ มาทดสอบปฏกิ ิรยิ ากับกรดเกลือเจอื จาง บันทกึ ข้อมูลในแบบบันทึก วาดภาพชน้ั หนิ และบันทึกรายละเอยี ดท่ีพบลงในสมดุ หรือแบบบนั ทึก บันทกึ ลักษณะภูมิประเทศท่ีทาการสังเกตเนื้อหนิ และลาดับชัน้ ของหิน เพ่ือใช้เป็นข้อมลู สาหรับการอภปิ ราย สิ่งแวดลอ้ มและเหตุการณท์ ่ีเกิดขึ้นในอดีต สบื ค้นขอ้ มลู เกี่ยวกบั ลกั ษณะของช้ันหิน ลาดับเหตุการณ์ของการเกิดหินแตล่ ะชน้ั รวมทง้ั ความสัมพนั ธ์ระหว่าง ความเป็นมาของชัน้ หินกับลกั ษณะภูมิประเทศในปจั จุบัน นาเสนอผลการอภปิ รายและข้อสรุปของกลมุ่ หน้าช้ันเรยี น และ/หรือจัดทาเปน็ รายงาน ในกรณีทไี่ มส่ ำมำรถออกภำคสนำม
ทาการสบื คน้ และรวบรวมข้อมูลเกีย่ วกบั ลักษณะของหิน ชน้ั หิน ลาดบั เหตกุ ารณ์การเกิดหนิ แตล่ ะชัน้ รวมท้งั ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งความเป็นมาของชนั้ หินกบั ลักษณะภูมิประเทศในปจั จุบนั จากเวบ็ ไซตข์ องกรมทรพั ยากรธรณี และ/ หรอื ชมวดี ทิ ัศน์ และ/หรือดูภาพการจดั เรยี งลาดับช้ันของหินจากแหลง่ การเรยี นรู้ท่ีนักเรียนค้นควา้ นาข้อมูลท่ีได้จากการสบื คน้ มารว่ มกนั อภปิ รายและสรปุ เกย่ี วกบั ลักษณะของเนือ้ หนิ การจดั เรียงลาดับชน้ั และบรเิ วณทีพ่ บหนิ นาเสนอผลการอภปิ รายและข้อสรุปของกล่มุ หน้าชั้นเรียน และ/หรอื จดั ทาเปน็ รายงาน (3) นักเรียนปฏบิ ัติกิจกรรม สืบค้นข้อมูลธรณีประวัตจิ ากการเกิดของช้นั หนิ แบบภาคตดั ขวาง ซ่งึ มขี ้นั ตอน ดงั นี้ ศึกษาธรณีประวัติจากการเกดิ ของชั้นหินแบบภาคตดั ขวางทแ่ี สดงดังรูป โดยละเอยี ด ตอบคาถามโดยใช้ความรเู้ ก่ียวกับโลก โดยใช้ข้อมูลจากตารางมาตราธรณีกาล เพื่ออธิบายความสมั พันธร์ ะหว่าง ช้นั หินที่แสดงไว้ ดงั รูป 3) ข้นั อธบิ ำยและลงข้อสรุป (1) นกั เรยี นแตล่ ะกลุ่มร่วมกนั อภิปรายผลของการปฏบิ ัตกิ จิ กรรม แลว้ สง่ ตวั แทนออกมานาเสนอหน้าชน้ั เรยี น (2) ครแู ละนักเรียนรว่ มกนั อภิปรายผลจากการปฏิบตั กิ ิจกรรม (สารวจลาดับชั้นของหนิ ) โดยใชแ้ นวคาถาม เช่น นกั เรียนพบรอ่ งรอยอะไรบา้ งจากการสังเกตหนิ แต่ละช้ัน (พิจารณาจากคาตอบนักเรียน) จากลกั ษณะและร่องรอยในเนอ้ื หินที่สารวจพบ ถ้านกั เรียนตอ้ งการอธบิ ายเหตุการณใ์ นอดตี ของพ้นื ทนี่ ้ัน ขอ้ สันนษิ ฐานท่ีควรตั้งให้สัมพนั ธก์ ับข้อมลู คืออะไร (พจิ ารณาจากคาตอบนักเรียน) ถา้ พื้นท่ีทนี่ กั เรยี นสารวจเป็นหนิ ตะกอนและมซี ากดึกดาบรรพ์ถกู ทบั ถมอย่ดู ว้ ย จะสามารถ
หาอายุของหนิ บริเวณนนั้ ด้วยวธิ กี ารใด (หาอายุของหินโดยวธิ ีการหาอายเุ ปรียบเทียบ โดยอาศยั ข้อมูลจากซากดึกดาบรรพ์ ทท่ี ราบอายุ ลกั ษณะการลาดับชน้ั ของหนิ แล้วนาไปเปรยี บเทียบกบั ตารางมาตราธรณีกาล ก็จะสามารถบอกอายุของหิน ได)้ ถา้ พื้นท่ีท่นี กั เรียนสารวจเป็นหินแกรนติ จะสามารถหาอายขุ องหินบรเิ วณนัน้ ดว้ ยวิธกี ารใด (หาอายุสัมบรู ณข์ องหินแกรนิต จากธาตกุ มั มนั ตรังสที ่ีอยใู่ นหนิ แกรนติ น้ัน) กจิ กรรมสืบคน้ ขอ้ มูลธรณปี ระวัติจากการเกิดของช้ันหินแบบภาคตัดขวาง ช้ันหิน A เกดิ ในมหายคุ และยคุ ใด และชั้นหิน A เป็นหนิ จาพวกใด (ชน้ั หิน A เกิดในมหายุคพาลีโอโซอิก ยุคเพน ซิลเวเนยี น ชั้นหนิ A เป็นหินตะกอน) การทบั ถมของช้นั หิน 2 ช้ัน ช้ันใดทเ่ี กิดความขาดชว่ งของช้นั ธรณี (ชั้นหนิ C และ G) มหายุคใดทีช่ ้นั หนิ D ก่อรูปข้นึ มากที่สุด อธบิ ายเหตผุ ลประกอบ (มหายุคซโี นโซอกิ เนือ่ งจากช้ันหนิ D ตดั ผ่าน ชนั้ หนิ J ซ่ึงเปน็ ยคุ หลังมหายุคมีโซโซอิก ทาให้ช้ันหิน D มีอายุน้อยกวา่ 70 ลา้ นปี แมว้ า่ จะมีการเปลย่ี นแปลงในชนั้ หิน D ในยุคครเี ทเชยี ส แต่หินเหล่าน้ีคล้ายกบั ว่าเพ่ิงเกดิ ในมหายุคซโี นโซอิกน่ันเอง ซากดกึ ดาบรรพ์สว่ นใหญ่ท่ีพบในชั้นหนิ H ได้แก่อะไร (นกยุคแรก โดยชน้ั หิน H สว่ นใหญค่ ล้ายกบั หินในยุคจู แรสซกิ ซ่ึงเปน็ ช่วงเวลาทีน่ กตัวแรกเพง่ิ อุบัตขิ ้ึน) (3) ครูและนกั เรยี นรว่ มกันสรุปผลจากการปฏบิ ตั กิ จิ กรรม (สารวจลาดบั ช้นั ของหิน) โดยให้ได้ข้อสรปุ ว่า จากการ สารวจลักษณะของหิน พบว่าหินต่าง ๆ มีการวางตัวในแนวระดบั หรือแนวด่งิ หรือคดโค้งไปมา และในบางครงั้ อาจพบรอ่ ง นา้ ไหล รอยตอ่ การสะสมตะกอนในที่โลง่ หรือใต้น้า หรอื แต่ละชนั้ เป็นหินตา่ งชนดิ กัน ซง่ึ สามารถจินตนาการได้อย่าง หลากหลาย ตวั อยา่ งเช่น อาจจะกล่าวไดว้ า่ บรเิ วณทที่ าการสารวจน้ี เคยมนี ้าไหลผา่ นระยะหนงึ่ จากนัน้ กลายเปน็ ที่โลง่ มี การสะสมตะกอนดินและทรายระยะหนึง่ ดว้ ย 4) ขนั้ ขยำยควำมรู้ (1) ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเกิดรอยช้ันไมต่ ่อเน่ืองในชั้นหิน โดยให้นักเรียนดภู าพในหนงั สือเรยี นประกอบ (2) ครูใหน้ ักเรียนช่วยกันบอกประโยชนข์ องข้อมูลทางธรณีวิทยา (3) นกั เรียนแบ่งกลุม่ ปฏบิ ัติกิจกรรม สบื ค้นข้อมูลประโยชน์ของข้อมูลทางธรณวี ิทยา ตามข้ันตอนในหนังสอื เรียน ดังนี้ สืบค้นขอ้ มลู และรวบรวมขอ้ มลู เก่ยี วกบั ประโยชน์ของการศึกษาด้านธรณีวิทยาจากเอกสาร หนงั สือ วารสาร หนังสือพิมพ์ หรือเว็บไซต์ ตามประเดน็ ต่าง ๆ ดงั น้ี การใช้ประโยชนข์ อ้ มูลธรณีวทิ ยาดา้ นการพฒั นาโครงสร้างพน้ื ฐาน เช่น สร้างถนน เส้นทางเดนิ เรือ สนามบนิ ทา่ เรือนา้ ลกึ เขอ่ื น และนิคมอตุ สาหกรรม เป็นตน้ การใช้ประโยชนข์ อ้ มลู ธรณีวทิ ยาดา้ นการบรรเทาธรณพี บิ ัติ เชน่ นา้ ทว่ ม แผน่ ดนิ ถลม่ แผน่ ดินไหว การกดั เซาะ และแผน่ ดนิ ทรุด เป็นตน้ การใช้ประโยชน์ขอ้ มลู ธรณวี ทิ ยาด้านการเลือกพ้ืนท่ีกาจัดขยะ
การใชป้ ระโยชนข์ ้อมลู ธรณวี ิทยาสาหรับการวางแผนการใช้ประโยชนจ์ ากพนื้ ท่ี การใช้ประโยชน์ขอ้ มูลธรณีวิทยาเพื่อการพัฒนาแหลง่ ทอ่ งเทยี่ วธรรมชาติ การใชป้ ระโยชน์ข้อมลู ธรณีวิทยาเพื่อแก้ไขความเชือ่ ท่ีผิดบางประการ ร่วมกนั อภปิ รายเกี่ยวกับประโยชนท์ ไ่ี ดร้ ับจากข้อมลู ที่สบื ค้น รวบรวมขอ้ มลู ทไี่ ดจ้ ากการสืบค้น นาเสนอในรปู ปา้ ยนเิ ทศ จัดนทิ รรศการ หรือรายงาน (4) ครแู ละนกั เรยี นร่วมกนั อภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม (5) นักเรียนคน้ หาคาศัพทส์ าคัญเพ่ิมเติมจากพจนานุกรมศัพทธ์ รณีวิทยา (ฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน) 5) ข้นั ประเมนิ (1) ครูใหน้ ักเรียนแตล่ ะคนพจิ ารณาว่า จากหัวข้อทเี่ รียนมาและการปฏิบตั ิกิจกรรม มจี ดุ ใดบา้ งที่ยงั ไม่เข้าใจหรือ ยงั มขี ้อสงสัย ถา้ มี ครูชว่ ยอธิบายเพิม่ เติมใหน้ กั เรยี นเข้าใจ (2) นักเรียนรว่ มกนั ประเมินการปฏิบตั ิกิจกรรมกลุ่มวา่ มปี ญั หาหรอื อุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอยา่ งไรบ้าง (3) นักเรยี นร่วมกนั แสดงความคดิ เห็นเก่ยี วกับประโยชนท์ ี่ได้รบั จากการปฏบิ ัติกิจกรรม และการนาความรูท้ ี่ไดไ้ ป ใชป้ ระโยชน์ (4) ครทู ดสอบความเข้าใจของนกั เรียนโดยการให้ตอบคาถาม เช่น กฎการลาดับชน้ั อธิบายอายุของหนิ อย่างไร โครงสรา้ งทางธรณีวิทยาหมายถงึ อะไร รอยช้นั ไม่ตอ่ เนื่องมีกระบวนการเกิดอยา่ งไร โครงสร้างทุติยภมู ิคอื อะไร ยกตวั อย่างการใชป้ ระโยชน์จากข้อมูลทางธรณีวทิ ยา สรุป 1. ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกนั สรุปเกยี่ วกับการลาดับช้ันหิน โครงสร้างทางธรณีวทิ ยา และการใช้ประโยชน์จากขอ้ มูลทางธรณีวทิ ยา โดยรว่ มกันเขยี นเป็นแผนที่ความคดิ หรือผงั มโนทัศน์ 2. ครูดาเนินการทดสอบหลังเรยี น โดยใหน้ กั เรียนทาแบบทดสอบหลงั เรยี นเพ่ือวดั ความก้าวหน้า/ผลสมั ฤทธ์ิ ทางการเรียน 5. สือ่ กำรเรียนรู้ 1.ใบงาน เรอ่ื ง วฏั จกั รของหิน 2.ใบงาน เร่อื ง ซากดึกดาบรรพ์ 3.ใบงาน เรื่อง อายขุ องโลกทางธรณวี ทิ ยา 4.ใบงาน เรื่อง ยุคต่างๆ ของโลก
แผนกำรจดั กำรเรยี นรทู้ ี่ 29 ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 4-6 กล่มุ สาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ เวลา 6 ชัว่ โมง หน่วยการเรียนรูท้ ่ี 4 ธรณีประวตั ิ เวลา 1 ชว่ั โมง เร่ือง การลาดบั ช้นั หนิ ภาคเรยี นที่ 2/2558 สอนวันที่………เดอื น………………………พ.ศ…………ชน้ั ........... โรงเรยี นบา้ นพณิ โท ครูผสู้ อน ............................................................................. สำระท่ี 6 : กระบวนกำรเปลีย่ นแปลงของโลก มำตรฐำน ว 6.1 เข้าใจกระบวนการตา่ งๆที่เกิดขน้ึ บนผวิ โลกและภายในโลก ความสมั พันธ์ของกระบวนการต่างๆที่มีผล ตอ่ การเปลยี่ นแปลงภมู ิอากาศ ภูมปิ ระเทศและสัณฐานของโลก มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ ส่ือสารส่ิงท่ีเรยี นรแู้ ละนาความรูไ้ ปใช้ประโยชน์ 1.สำระสำคญั ความเป็นมาของโลก สามารถศึกษาได้จากช้ันหิน ซากดกึ ดาบรรพ์ และตารางธรณกี าล 2.ตัวช้ีวัด / จดุ ประสงคก์ ำรเรียนรู้ 1. อธบิ ายการลาดับชนั้ หนิ และความสมั พันธร์ ะหวา่ งช้นั หินกับลักษณะภมู ปิ ระเทศได้ 2. อธิบายลักษณะโครงสร้างทางธรณีวทิ ยาได้ 3. อธิบายการใช้ประโยชน์ของข้อมูลทางธรณีวิทยาด้านตา่ ง ๆ ได้ 3.สำระกำรเรยี นรู้ 1. สภาพเหตกุ ารณ์ทเ่ี กดิ ข้ึนในอดีตของโลกสามารถอธบิ ายได้จากรอ่ งรอยต่างๆ ที่ปรากฏเปน็ หลักฐานอยบู่ นหนิ 2. ขอ้ มูลทางธรณีวทิ ยาทีใ่ ช้อธิบายความเป็นมาของโลก ได้แก่ ซากดึกดาบรรพ์ ชนดิ ของหิน โครงสร้างทางธรณวี ิทยา และการลาดบั ชั้นหิน 3.ประวตั ิความเป็นมาของพ้นื ทไี่ ด้จากการลาดับชน้ั หนิ ตามอายุการเกดิ ของหนิ จากอายุมากขึน้ ไปสหู่ นิ ท่มี ีอายนุ ้อย ตาม มาตราธรณีกาล 4. การเปลีย่ นแปลงต่างๆ ทเี่ กิดขึ้นต้งั แตอ่ ดีตจนถึงปจั จบุ นั จะบอกถงึ วิวฒั นาการของการเปล่ยี นแปลงของเปลือกโลก ซง่ึ จะให้ประโยชน์ทั้งทางดา้ นวิวัฒนาการและการสารวจคน้ หาทรพั ยากรธรณี 4.กระบวนกำรจดั กำรเรียนรู้ 1. ครทู บทวนความรู้เดิมของนกั เรียน เร่ืองหิน โดยใชแ้ นวคาถาม เช่น หินแบง่ ออกเป็นกชี่ นิด อะไรบ้าง (หนิ ตะกอน หินอัคนี หินแปร) หนิ ตะกอนเกดิ ขนึ้ ได้อยา่ งไร (เกิดจากการสะสมและทับถมของเศษหนิ ดนิ ทราย ทแี่ ตกหลุดหรือถูกชะละลาย ออกมาจากหินเดมิ อื่น ๆ พอนานเข้าได้ถกู กดทบั อดั ตวั กันแนน่ โดยมกั จะมีตัวเชือ่ มประสาน และได้กลายเป็นหินในท่ีสดุ หรือเกิดจากการตกตะกอนโดยปฏกิ ริ ิยาเคมี) หนิ อคั นีเกดิ จากอะไร (เกิดจากการเยน็ ตวั ของหินหนดื หรือแมกมา)
หินชนดิ ตา่ ง ๆ ท่เี ปน็ สว่ นประกอบของเปลอื กโลก ช่วยอธบิ ายความเป็นมาหรือเหตกุ ารณ์ตา่ ง ๆ อดีตได้หรือไม่ ลกั ษณะใด 2. ครูและนักเรียนรว่ มกนั อภิปรายจากแนวคาตอบของนักเรยี น จัดการเรียนร้โู ดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ซงึ่ มีขั้นตอนดังน้ี 1) ข้นั สรำ้ งควำมสนใจ (1) ครใู หน้ ักเรียนดูภาพการลาดบั ชน้ั หนิ ที่ชัดเจน และช้นั หินท่มี กี ารเปลีย่ นแปลงโครงสร้างในลักษณะต่าง ๆ แล้ว ตั้งประเด็นคาถาม เช่น ทาไมชัน้ หนิ แตล่ ะแหลง่ ในภาพมลี ักษณะเดน่ อย่างไร การเปลีย่ นแปลงโครงสร้างหนิ เกิดจากอะไร (การเปล่ยี นแปลงของเปลือกโลก) ชนั้ หินที่มลี กั ษณะแตกต่างกันนี้ สามารถอธิบายเหตุการณ์ในอดีตไดห้ รือไม่ ลกั ษณะใด หนิ ชนิดใดมกี ารลาดับช้ันที่ชัดเจน (หนิ ตะกอน) (2) นกั เรยี นช่วยกนั ตอบคาถามและแสดงความคิดเหน็ โดยครยู งั ไมเ่ นน้ คาตอบที่ถูกต้อง 2) ขนั้ สำรวจและค้นหำ (1) นกั เรียนศึกษาการลาดับช้ันหินและโครงสร้างทางธรณวี ทิ ยา จากใบความร้หู รือในหนังสือเรียน โดยครูช่วย เช่อื มโยงความรู้ใหมจ่ ากบทเรียนกับความรูเ้ ดิมท่เี รยี นรู้มาแลว้ ด้วยการใช้คาถามนากระตุ้นให้นกั เรยี นตอบจากความรู้และ ประสบการณ์ของนกั เรยี น (2) นกั เรยี นแบ่งกลมุ่ แตล่ ะกลุ่มศึกษากิจกรรม สารวจลาดับชนั้ ของหิน และปฏบิ ตั ิกจิ กรรมตามขนั้ ตอนที่ วางแผนไว้ ดังน้ี ในกรณีท่ีสำมำรถออกภำคสนำม ครนู านักเรียนออกนอกสถานท่ี สารวจบรเิ วณตา่ ง ๆ เช่น ภูเขา หนา้ ตดั ของถนน รอยเล่ือน รอยแยก รอ่ งรอย การไหลของน้า และร่องรอยของสิง่ มีชวี ติ หรือซากดึกดาบรรพใ์ นชั้นหนิ แต่ละชนั้ ท่ีอยใู่ นท้องถิน่ หรือบรเิ วณใกล้โรงเรยี น ใชแ้ ว่นขยายสังเกตลกั ษณะของเน้อื หนิ ในแตล่ ะชั้น นาหนิ มาทดสอบปฏกิ ิรยิ ากับกรดเกลือเจอื จาง บันทกึ ขอ้ มูลในแบบบันทึก วาดภาพชน้ั หนิ และบันทึกรายละเอยี ดท่ีพบลงในสมดุ หรือแบบบนั ทึก บันทกึ ลักษณะภูมิประเทศท่ีทาการสังเกตเนอื้ หนิ และลาดับชนั้ ของหิน เพ่ือใช้เป็นข้อมลู สาหรบั การอภปิ ราย สิ่งแวดลอ้ มและเหตุการณท์ ่ีเกิดขึ้นในอดีต สบื ค้นขอ้ มลู เกี่ยวกบั ลกั ษณะของช้ันหนิ ลาดับเหตุการณ์ของการเกิดหนิ แตล่ ะชน้ั รวมทั้งความสมั พนั ธร์ ะหว่าง ความเป็นมาของชัน้ หินกับลกั ษณะภูมิประเทศในปจั จุบัน นาเสนอผลการอภปิ รายและข้อสรุปของกลุม่ หน้าช้ันเรียน และ/หรอื จัดทาเป็นรายงาน ในกรณีทไี่ มส่ ำมำรถออกภำคสนำม
ทาการสืบค้นและรวบรวมข้อมูลเก่ยี วกบั ลักษณะของหนิ ช้นั หนิ ลาดับเหตกุ ารณ์การเกิดหนิ แตล่ ะชัน้ รวมท้งั ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งความเป็นมาของชัน้ หนิ กับลกั ษณะภมู ิประเทศในปจั จุบัน จากเว็บไซต์ของกรมทรพั ยากรธรณี และ/ หรอื ชมวดี ทิ ัศน์ และ/หรือดูภาพการจัดเรียงลาดับชั้นของหินจากแหล่งการเรยี นรู้ที่นักเรียนค้นควา้ นาข้อมลู ที่ไดจ้ ากการสบื คน้ มาร่วมกนั อภิปรายและสรุปเกี่ยวกบั ลักษณะของเนอ้ื หนิ การจดั เรียงลาดบั ช้นั และบริเวณที่พบหิน นาเสนอผลการอภิปรายและข้อสรุปของกลมุ่ หน้าชั้นเรียน และ/หรือจดั ทาเป็นรายงาน (3) นกั เรยี นปฏบิ ัติกจิ กรรม สืบค้นขอ้ มลู ธรณีประวัติจากการเกิดของชนั้ หนิ แบบภาคตัดขวาง ซ่งึ มขี ้นั ตอน ดงั นี้ ศึกษาธรณีประวตั จิ ากการเกิดของช้นั หินแบบภาคตดั ขวางที่แสดงดงั รปู โดยละเอยี ด ตอบคาถามโดยใชค้ วามรูเ้ กี่ยวกบั โลก โดยใช้ข้อมลู จากตารางมาตราธรณีกาล เพื่ออธิบายความสมั พันธร์ ะหว่าง ช้นั หินที่แสดงไว้ ดงั รปู 3) ข้นั อธบิ ำยและลงข้อสรปุ (1) นักเรยี นแตล่ ะกลุม่ รว่ มกันอภิปรายผลของการปฏิบัติกจิ กรรม แลว้ ส่งตัวแทนออกมานาเสนอหน้าชน้ั เรยี น (2) ครูและนกั เรียนรว่ มกันอภิปรายผลจากการปฏบิ ตั กิ ิจกรรม (สารวจลาดับชน้ั ของหนิ ) โดยใช้แนวคาถาม เช่น นกั เรียนพบรอ่ งรอยอะไรบา้ งจากการสังเกตหนิ แต่ละชน้ั (พจิ ารณาจากคาตอบนักเรยี น) จากลักษณะและร่องรอยในเน้อื หินทส่ี ารวจพบ ถา้ นักเรียนตอ้ งการอธิบายเหตุการณ์ในอดตี ของพ้นื ทนี่ ้ัน ข้อสนั นิษฐานท่ีควรตง้ั ให้สัมพันธก์ ับข้อมลู คืออะไร (พิจารณาจากคาตอบนักเรยี น) ถา้ พน้ื ที่ทนี่ กั เรียนสารวจเป็นหินตะกอนและมีซากดึกดาบรรพ์ถูกทบั ถมอย่ดู ้วย จะสามารถ
หาอายุของหนิ บริเวณนั้นด้วยวธิ กี ารใด (หาอายุของหนิ โดยวธิ กี ารหาอายุเปรียบเทียบ โดยอาศยั ข้อมูลจากซากดึกดาบรรพ์ ทท่ี ราบอายุ ลกั ษณะการลาดับชน้ั ของหิน แลว้ นาไปเปรียบเทยี บกับตารางมาตราธรณีกาล ก็จะสามารถบอกอายุของหิน ได)้ ถา้ พื้นท่ีท่นี กั เรียนสารวจเป็นหนิ แกรนติ จะสามารถหาอายุของหินบริเวณนัน้ ดว้ ยวิธีการใด (หาอายุสัมบรู ณข์ องหินแกรนิต จากธาตุกมั มนั ตรงั สีท่ีอยูใ่ นหนิ แกรนิตนัน้ ) กจิ กรรมสืบคน้ ขอ้ มูลธรณปี ระวตั จิ ากการเกิดของชั้นหนิ แบบภาคตดั ขวาง ช้ันหิน A เกิดในมหายคุ และยคุ ใด และชั้นหิน A เปน็ หนิ จาพวกใด (ชนั้ หนิ A เกิดในมหายคุ พาลีโอโซอิก ยุคเพน ซิลเวเนยี น ชั้นหนิ A เปน็ หินตะกอน) การทบั ถมของช้นั หิน 2 ชัน้ ชัน้ ใดที่เกดิ ความขาดชว่ งของชน้ั ธรณี (ชั้นหนิ C และ G) มหายุคใดทีช่ ้นั หนิ D กอ่ รูปข้ึนมากท่สี ดุ อธบิ ายเหตุผลประกอบ (มหายุคซโี นโซอกิ เน่ืองจากช้นั หิน D ตัดผ่าน ชนั้ หนิ J ซ่ึงเปน็ ยคุ หลังมหายุคมีโซโซอิก ทาใหช้ ั้นหนิ D มอี ายุน้อยกว่า 70 ลา้ นปี แมว้ า่ จะมีการเปล่ียนแปลงในชนั้ หิน D ในยุคครีเทเชยี ส แต่หินเหล่าน้ีคล้ายกับวา่ เพิ่งเกดิ ในมหายุคซีโนโซอกิ นนั่ เอง ซากดกึ ดาบรรพ์สว่ นใหญท่ ่ีพบในชน้ั หนิ H ได้แก่อะไร (นกยคุ แรก โดยช้นั หิน H สว่ นใหญ่คลา้ ยกับหินในยุคจู แรสซกิ ซ่ึงเปน็ ช่วงเวลาทีน่ กตัวแรกเพิง่ อบุ ตั ิขน้ึ ) (3) ครูและนกั เรยี นรว่ มกันสรปุ ผลจากการปฏบิ ตั ิกจิ กรรม (สารวจลาดบั ช้นั ของหิน) โดยใหไ้ ดข้ ้อสรุปว่า จากการ สารวจลักษณะของหิน พบว่าหินต่าง ๆ มกี ารวางตวั ในแนวระดบั หรือแนวด่งิ หรอื คดโค้งไปมา และในบางครงั้ อาจพบรอ่ ง นา้ ไหล รอยตอ่ การสะสมตะกอนในทโี่ ลง่ หรอื ใต้น้า หรอื แต่ละช้ันเป็นหินตา่ งชนิดกนั ซ่งึ สามารถจนิ ตนาการได้อยา่ ง หลากหลาย ตวั อยา่ งเช่น อาจจะกล่าวได้วา่ บรเิ วณทีท่ าการสารวจนี้ เคยมนี ้าไหลผา่ นระยะหน่ึง จากนนั้ กลายเปน็ ทีโ่ ลง่ มี การสะสมตะกอนดินและทรายระยะหน่ึงด้วย 4) ขนั้ ขยำยควำมรู้ (1) ครูอธิบายเพิ่มเตมิ เกี่ยวกับการเกิดรอยช้นั ไมต่ ่อเน่ืองในชั้นหิน โดยให้นกั เรยี นดภู าพในหนังสอื เรยี นประกอบ (2) ครูใหน้ ักเรียนช่วยกันบอกประโยชน์ของข้อมลู ทางธรณีวิทยา (3) นกั เรียนแบง่ กลุม่ ปฏิบัติกิจกรรม สบื ค้นข้อมูลประโยชน์ของข้อมูลทางธรณวี ิทยา ตามขน้ั ตอนในหนังสอื เรียน ดังนี้ สืบค้นขอ้ มลู และรวบรวมข้อมูลเก่ยี วกบั ประโยชน์ของการศกึ ษาด้านธรณวี ทิ ยาจากเอกสาร หนังสือ วารสาร หนังสือพิมพ์ หรือเว็บไซต์ ตามประเด็นต่าง ๆ ดังน้ี การใช้ประโยชน์ข้อมลู ธรณวี ทิ ยาดา้ นการพฒั นาโครงสรา้ งพื้นฐาน เช่น สร้างถนน เส้นทางเดนิ เรือ สนามบนิ ทา่ เรือนา้ ลกึ เขอ่ื น และนิคมอตุ สาหกรรม เปน็ ต้น การใช้ประโยชนข์ ้อมลู ธรณวี ทิ ยาดา้ นการบรรเทาธรณีพบิ ัติ เชน่ นา้ ทว่ ม แผน่ ดนิ ถลม่ แผ่นดินไหว การกดั เซาะ และแผน่ ดนิ ทรุด เปน็ ตน้ การใช้ประโยชน์ขอ้ มลู ธรณวี ทิ ยาดา้ นการเลือกพ้นื ที่กาจัดขยะ
การใช้ประโยชน์ข้อมลู ธรณีวทิ ยาสาหรับการวางแผนการใชป้ ระโยชน์จากพน้ื ที่ การใช้ประโยชนข์ อ้ มูลธรณีวิทยาเพื่อการพฒั นาแหลง่ ท่องเท่ยี วธรรมชาติ การใชป้ ระโยชน์ข้อมูลธรณีวิทยาเพื่อแก้ไขความเชอื่ ท่ีผิดบางประการ ร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับประโยชน์ทไ่ี ดร้ ับจากขอ้ มลู ทสี่ บื ค้น รวบรวมขอ้ มูลท่ีไดจ้ ากการสบื คน้ นาเสนอในรูปปา้ ยนเิ ทศ จดั นิทรรศการ หรอื รายงาน (4) ครแู ละนกั เรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏบิ ัติกิจกรรม (5) นกั เรียนค้นหาคาศัพทส์ าคญั เพ่ิมเติมจากพจนานุกรมศัพทธ์ รณีวิทยา (ฉบับราชบัณฑิตยสถาน) 5) ขน้ั ประเมนิ (1) ครใู หน้ ักเรียนแตล่ ะคนพจิ ารณาว่า จากหัวข้อที่เรียนมาและการปฏิบัติกจิ กรรม มจี ุดใดบา้ งที่ยังไม่เข้าใจหรือ ยงั มขี ้อสงสัย ถ้ามี ครชู ่วยอธิบายเพ่มิ เติมให้นกั เรยี นเข้าใจ (2) นักเรยี นร่วมกันประเมนิ การปฏิบตั ิกิจกรรมกลมุ่ ว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และไดม้ ีการแก้ไขอย่างไรบ้าง (3) นักเรยี นรว่ มกันแสดงความคดิ เหน็ เกีย่ วกับประโยชน์ท่ีได้รบั จากการปฏิบัติกจิ กรรม และการนาความรทู้ ่ีได้ไป ใชป้ ระโยชน์ (4) ครูทดสอบความเข้าใจของนกั เรยี นโดยการให้ตอบคาถาม เช่น กฎการลาดบั ชนั้ อธิบายอายุของหนิ อยา่ งไร โครงสรา้ งทางธรณวี ทิ ยาหมายถงึ อะไร รอยชัน้ ไม่ตอ่ เน่ืองมีกระบวนการเกิดอย่างไร โครงสรา้ งทุติยภูมิคอื อะไร ยกตวั อยา่ งการใช้ประโยชน์จากข้อมูลทางธรณวี ิทยา สรปุ 1. ครูและนกั เรยี นร่วมกนั สรุปเก่ยี วกบั การลาดับชนั้ หนิ โครงสร้างทางธรณวี ิทยา และการใช้ประโยชน์จากข้อมลู ทางธรณีวิทยา โดยรว่ มกนั เขยี นเป็นแผนที่ความคดิ หรือผงั มโนทัศน์ 2. ครดู าเนนิ การทดสอบหลังเรยี น โดยให้นักเรยี นทาแบบทดสอบหลังเรยี นเพื่อวัดความก้าวหน้า/ผลสมั ฤทธ์ิ ทางการเรียน 5. สือ่ กำรเรียนรู้ 1.ใบงาน เรือ่ ง วัฏจกั รของหิน 2.ใบงาน เรื่อง ซากดึกดาบรรพ์ 3.ใบงาน เรื่อง อายขุ องโลกทางธรณีวทิ ยา 4.ใบงาน เรื่อง ยุคต่างๆ ของโลก
แผนกำรจัดกำรเรยี นร้ทู ่ี 30 ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 4-6 กลมุ่ สาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ เวลา 6 ชว่ั โมง หน่วยการเรียนรูท้ ่ี 4 ธรณปี ระวตั ิ เวลา 1 ช่ัวโมง เรื่อง การลาดบั ชน้ั หิน ภาคเรยี นที่ 2/2558 สอนวนั ท่ี………เดอื น………………………พ.ศ…………ชัน้ ........... โรงเรียนบ้านพณิ โท ครูผ้สู อน ............................................................................. สำระท่ี 6 : กระบวนกำรเปลยี่ นแปลงของโลก มำตรฐำน ว 6.1 เข้าใจกระบวนการตา่ งๆทเ่ี กดิ ขึน้ บนผิวโลกและภายในโลก ความสมั พันธข์ องกระบวนการต่างๆที่มีผล ต่อการเปล่ียนแปลงภมู อิ ากาศ ภูมิประเทศและสัณฐานของโลก มกี ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ และจติ วทิ ยาศาสตร์ สื่อสารสิ่งท่เี รียนรู้และนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ 1.สำระสำคัญ ความเปน็ มาของโลก สามารถศกึ ษาได้จากชน้ั หนิ ซากดกึ ดาบรรพ์ และตารางธรณีกาล 2.ตวั ชี้วดั / จดุ ประสงค์กำรเรียนรู้ 1. อธบิ ายการลาดับชนั้ หินและความสัมพนั ธ์ระหว่างชัน้ หนิ กับลกั ษณะภูมปิ ระเทศได้ 2. อธิบายลักษณะโครงสร้างทางธรณวี ิทยาได้ 3. อธบิ ายการใชป้ ระโยชนข์ องขอ้ มูลทางธรณวี ทิ ยาด้านต่าง ๆ ได้ 3.สำระกำรเรยี นรู้ 1. สภาพเหตุการณ์ท่ีเกิดข้นึ ในอดตี ของโลกสามารถอธบิ ายได้จากรอ่ งรอยตา่ งๆ ทปี่ รากฏเปน็ หลกั ฐานอยู่บนหิน 2. ข้อมลู ทางธรณวี ทิ ยาทใ่ี ช้อธิบายความเป็นมาของโลก ไดแ้ ก่ ซากดกึ ดาบรรพ์ ชนิดของหิน โครงสรา้ งทางธรณีวทิ ยา และการลาดับชั้นหิน 3.ประวตั ิความเป็นมาของพน้ื ที่ไดจ้ ากการลาดับชนั้ หนิ ตามอายุการเกิดของหินจากอายุมากขึ้นไปสู่หินท่มี ีอายนุ ้อย ตาม มาตราธรณีกาล 4. การเปล่ยี นแปลงตา่ งๆ ท่ีเกิดขนึ้ ต้งั แตอ่ ดีตจนถงึ ปจั จบุ นั จะบอกถึงวิวัฒนาการของการเปลีย่ นแปลงของเปลือกโลก ซึ่ง จะใหป้ ระโยชนท์ ้ังทางดา้ นวิวัฒนาการและการสารวจค้นหาทรัพยากรธรณี 4.กระบวนกำรจดั กำรเรียนรู้ 1. ครูทบทวนความรู้เดิมของนกั เรยี น เรอ่ื งหิน โดยใช้แนวคาถาม เชน่ หินแบ่งออกเปน็ กี่ชนิด อะไรบ้าง (หินตะกอน หินอัคนี หินแปร) หนิ ตะกอนเกิดขึ้นได้อย่างไร (เกดิ จากการสะสมและทับถมของเศษหิน ดิน ทราย ท่แี ตกหลุดหรือถูกชะละลาย ออกมาจากหินเดิมอนื่ ๆ พอนานเขา้ ได้ถูกกดทบั อัดตวั กนั แนน่ โดยมกั จะมตี วั เชื่อมประสาน และได้กลายเป็นหินในท่ีสดุ หรอื เกดิ จากการตกตะกอนโดยปฏกิ ิรยิ าเคม)ี หินอัคนีเกิดจากอะไร (เกิดจากการเยน็ ตัวของหนิ หนดื หรือแมกมา)
หินชนดิ ตา่ ง ๆ ท่เี ปน็ สว่ นประกอบของเปลอื กโลก ช่วยอธบิ ายความเปน็ มาหรือเหตกุ ารณ์ต่าง ๆ อดีตได้หรือไม่ ลกั ษณะใด 2. ครูและนักเรียนรว่ มกนั อภิปรายจากแนวคาตอบของนักเรียน จัดการเรียนร้โู ดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ซงึ่ มีขั้นตอนดงั น้ี 1) ข้นั สรำ้ งควำมสนใจ (1) ครใู หน้ ักเรยี นดูภาพการลาดบั ชน้ั หนิ ที่ชัดเจน และชน้ั หนิ ท่ีมีการเปล่ียนแปลงโครงสรา้ งในลกั ษณะต่าง ๆ แล้ว ตั้งประเด็นคาถาม เช่น ทาไมชัน้ หนิ แตล่ ะแหลง่ ในภาพมลี ักษณะเดน่ อย่างไร การเปลีย่ นแปลงโครงสร้างหนิ เกิดจากอะไร (การเปลยี่ นแปลงของเปลอื กโลก) ชนั้ หินที่มลี กั ษณะแตกต่างกันนี้ สามารถอธบิ ายเหตกุ ารณใ์ นอดีตไดห้ รือไม่ ลกั ษณะใด หนิ ชนิดใดมกี ารลาดับช้ันที่ชัดเจน (หนิ ตะกอน) (2) นกั เรยี นช่วยกนั ตอบคาถามและแสดงความคิดเห็น โดยครยู ังไม่เน้นคาตอบที่ถูกต้อง 2) ขนั้ สำรวจและค้นหำ (1) นกั เรียนศึกษาการลาดับช้ันหินและโครงสร้างทางธรณีวทิ ยา จากใบความรู้หรอื ในหนังสือเรียน โดยครูช่วย เช่อื มโยงความรู้ใหมจ่ ากบทเรียนกับความรเู้ ดิมท่เี รียนรู้มาแลว้ ด้วยการใชค้ าถามนากระตุ้นให้นกั เรยี นตอบจากความรแู้ ละ ประสบการณ์ของนกั เรยี น (2) นกั เรยี นแบ่งกลมุ่ แตล่ ะกลุ่มศึกษากิจกรรม สารวจลาดบั ชัน้ ของหิน และปฏิบตั ิกจิ กรรมตามขน้ั ตอนที่ วางแผนไว้ ดังน้ี ในกรณีท่ีสำมำรถออกภำคสนำม ครนู านักเรียนออกนอกสถานท่ี สารวจบรเิ วณตา่ ง ๆ เชน่ ภเู ขา หนา้ ตดั ของถนน รอยเลื่อน รอยแยก ร่องรอย การไหลของน้า และร่องรอยของสิง่ มีชวี ติ หรือซากดึกดาบรรพใ์ นชั้นหินแต่ละชน้ั ที่อยใู่ นท้องถิน่ หรือบริเวณใกลโ้ รงเรยี น ใชแ้ ว่นขยายสังเกตลกั ษณะของเน้อื หนิ ในแตล่ ะชั้น นาหนิ มาทดสอบปฏกิ ิรยิ ากับกรดเกลือเจอื จาง บันทกึ ข้อมูลในแบบบันทึก วาดภาพชน้ั หนิ และบันทึกรายละเอยี ดท่ีพบลงในสมดุ หรือแบบบันทึก บันทกึ ลักษณะภูมิประเทศท่ีทาการสังเกตเนอื้ หนิ และลาดับชนั้ ของหิน เพ่ือใชเ้ ป็นข้อมลู สาหรับการอภปิ ราย สิ่งแวดลอ้ มและเหตุการณท์ ่ีเกิดขึ้นในอดีต สบื ค้นขอ้ มลู เกีย่ วกบั ลกั ษณะของช้ันหนิ ลาดับเหตุการณ์ของการเกดิ หินแตล่ ะชน้ั รวมทง้ั ความสมั พนั ธ์ระหว่าง ความเป็นมาของชัน้ หินกับลกั ษณะภูมิประเทศในปจั จุบัน นาเสนอผลการอภปิ รายและข้อสรุปของกลมุ่ หน้าช้ันเรียน และ/หรอื จดั ทาเป็นรายงาน ในกรณีทไี่ มส่ ำมำรถออกภำคสนำม
ทาการสบื คน้ และรวบรวมข้อมูลเกีย่ วกบั ลักษณะของหิน ชน้ั หนิ ลาดบั เหตกุ ารณ์การเกิดหนิ แตล่ ะชัน้ รวมท้งั ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งความเป็นมาของชนั้ หินกับลักษณะภมู ิประเทศในปัจจบุ นั จากเว็บไซตข์ องกรมทรพั ยากรธรณี และ/ หรอื ชมวดี ทิ ัศน์ และ/หรือดูภาพการจดั เรยี งลาดบั ชั้นของหินจากแหล่งการเรียนรู้ท่ีนกั เรียนค้นควา้ นาข้อมูลท่ีได้จากการสบื คน้ มารว่ มกนั อภิปรายและสรปุ เก่ียวกบั ลกั ษณะของเนือ้ หิน การจดั เรียงลาดับช้ัน และบรเิ วณทีพ่ บหนิ นาเสนอผลการอภปิ รายและข้อสรปุ ของกลุ่มหน้าชั้นเรยี น และ/หรือจัดทาเป็นรายงาน (3) นักเรียนปฏบิ ัติกิจกรรม สืบค้นข้อมลู ธรณปี ระวตั ิจากการเกดิ ของช้นั หนิ แบบภาคตัดขวาง ซ่งึ มขี ้นั ตอน ดงั นี้ ศึกษาธรณีประวัติจากการเกดิ ของช้นั หินแบบภาคตดั ขวางทแี่ สดงดังรปู โดยละเอยี ด ตอบคาถามโดยใช้ความรู้เก่ียวกับโลก โดยใช้ขอ้ มูลจากตารางมาตราธรณีกาล เพื่ออธิบายความสมั พันธ์ระหว่าง ชัน้ หินที่แสดงไว้ ดงั รูป 3) ข้นั อธบิ ำยและลงข้อสรุป (1) นกั เรยี นแตล่ ะกลุ่มร่วมกนั อภิปรายผลของการปฏบิ ัตกิ ิจกรรม แล้วสง่ ตวั แทนออกมานาเสนอหน้าชั้นเรยี น (2) ครแู ละนักเรียนรว่ มกนั อภิปรายผลจากการปฏบิ ตั กิ จิ กรรม (สารวจลาดับชัน้ ของหนิ ) โดยใชแ้ นวคาถาม เช่น นกั เรียนพบรอ่ งรอยอะไรบา้ งจากการสังเกตหนิ แต่ละช้ัน (พจิ ารณาจากคาตอบนักเรียน) จากลกั ษณะและร่องรอยในเนอ้ื หนิ ทีส่ ารวจพบ ถา้ นกั เรียนต้องการอธิบายเหตุการณ์ในอดตี ของพ้นื ทนี่ ้ัน ขอ้ สันนษิ ฐานท่ีควรตั้งใหส้ มั พนั ธ์กับข้อมูลคืออะไร (พจิ ารณาจากคาตอบนักเรียน) ถา้ พื้นท่ีทนี่ กั เรยี นสารวจเป็นหนิ ตะกอนและมีซากดกึ ดาบรรพ์ถกู ทับถมอย่ดู ว้ ย จะสามารถ
หาอายุของหนิ บริเวณน้ันด้วยวธิ กี ารใด (หาอายุของหนิ โดยวธิ กี ารหาอายเุ ปรียบเทียบ โดยอาศยั ข้อมูลจากซากดึกดาบรรพ์ ทท่ี ราบอายุ ลกั ษณะการลาดับชน้ั ของหนิ แล้วนาไปเปรียบเทยี บกบั ตารางมาตราธรณีกาล ก็จะสามารถบอกอายุของหิน ได)้ ถา้ พื้นท่ีท่นี กั เรียนสารวจเป็นหินแกรนติ จะสามารถหาอายุของหินบรเิ วณนัน้ ดว้ ยวิธกี ารใด (หาอายุสัมบรู ณข์ องหินแกรนิต จากธาตกุ มั มันตรังสที ่ีอยู่ในหนิ แกรนิตน้ัน) กิจกรรมสืบคน้ ขอ้ มูลธรณปี ระวัติจากการเกิดของชั้นหนิ แบบภาคตดั ขวาง ช้ันหิน A เกิดในมหายคุ และยคุ ใด และชั้นหิน A เปน็ หนิ จาพวกใด (ชน้ั หนิ A เกิดในมหายุคพาลโี อโซอิก ยุคเพน ซิลเวเนยี น ชั้นหนิ A เป็นหินตะกอน) การทบั ถมของช้นั หิน 2 ชัน้ ช้ันใดทเี่ กดิ ความขาดช่วงของชั้นธรณี (ชั้นหนิ C และ G) มหายุคใดทีช่ ้ันหนิ D ก่อรูปข้นึ มากทสี่ ุด อธบิ ายเหตุผลประกอบ (มหายุคซโี นโซอกิ เนือ่ งจากชนั้ หิน D ตัดผ่าน ชนั้ หนิ J ซ่ึงเปน็ ยคุ หลังมหายุคมีโซโซอิก ทาให้ช้ันหิน D มอี ายุน้อยกวา่ 70 ล้านปี แมว้ า่ จะมีการเปลย่ี นแปลงในชนั้ หิน D ในยุคครเี ทเชยี ส แต่หินเหล่าน้ีคล้ายกับว่าเพ่ิงเกิดในมหายุคซโี นโซอิกนัน่ เอง ซากดกึ ดาบรรพ์สว่ นใหญ่ท่ีพบในชน้ั หนิ H ไดแ้ ก่อะไร (นกยุคแรก โดยช้นั หิน H สว่ นใหญค่ ลา้ ยกบั หนิ ในยุคจู แรสซกิ ซ่งึ เปน็ ช่วงเวลาทีน่ กตัวแรกเพง่ิ อุบัติขน้ึ ) (3) ครูและนกั เรียนรว่ มกนั สรุปผลจากการปฏิบัตกิ ิจกรรม (สารวจลาดบั ช้นั ของหิน) โดยให้ได้ข้อสรปุ ว่า จากการ สารวจลักษณะของหิน พบว่าหินต่าง ๆ มีการวางตัวในแนวระดบั หรือแนวด่งิ หรือคดโค้งไปมา และในบางครัง้ อาจพบรอ่ ง นา้ ไหล รอยตอ่ การสะสมตะกอนในที่โลง่ หรือใตน้ ้า หรอื แต่ละชนั้ เป็นหินตา่ งชนดิ กนั ซง่ึ สามารถจินตนาการได้อยา่ ง หลากหลาย ตวั อยา่ งเช่น อาจจะกลา่ วไดว้ า่ บรเิ วณท่ีทาการสารวจน้ี เคยมนี ้าไหลผา่ นระยะหนึง่ จากนน้ั กลายเปน็ ทโ่ี ลง่ มี การสะสมตะกอนดินและทรายระยะหนึง่ ดว้ ย 4) ขนั้ ขยำยควำมรู้ (1) ครูอธิบายเพ่ิมเติมเกี่ยวกับการเกดิ รอยช้ันไม่ต่อเน่ืองในชั้นหนิ โดยให้นกั เรียนดภู าพในหนงั สอื เรียนประกอบ (2) ครูใหน้ ักเรียนช่วยกันบอกประโยชนข์ องข้อมูลทางธรณีวิทยา (3) นกั เรียนแบ่งกลุม่ ปฏิบัติกิจกรรม สืบคน้ ข้อมลู ประโยชน์ของข้อมลู ทางธรณวี ิทยา ตามข้ันตอนในหนงั สือเรียน ดังนี้ สืบค้นขอ้ มลู และรวบรวมข้อมลู เก่ยี วกบั ประโยชน์ของการศึกษาด้านธรณวี ทิ ยาจากเอกสาร หนงั สือ วารสาร หนังสือพิมพ์ หรือเว็บไซต์ ตามประเด็นต่าง ๆ ดังน้ี การใช้ประโยชนข์ อ้ มูลธรณีวทิ ยาดา้ นการพฒั นาโครงสร้างพืน้ ฐาน เช่น สร้างถนน เส้นทางเดินเรือ สนามบนิ ทา่ เรือนา้ ลกึ เขอ่ื น และนคิ มอตุ สาหกรรม เปน็ ตน้ การใช้ประโยชนข์ อ้ มลู ธรณีวทิ ยาดา้ นการบรรเทาธรณพี บิ ัติ เชน่ นา้ ทว่ ม แผน่ ดนิ ถลม่ แผน่ ดนิ ไหว การกดั เซาะ และแผน่ ดนิ ทรุด เป็นตน้ การใช้ประโยชน์ขอ้ มลู ธรณวี ทิ ยาด้านการเลือกพ้นื ที่กาจดั ขยะ
การใช้ประโยชน์ข้อมลู ธรณีวทิ ยาสาหรับการวางแผนการใชป้ ระโยชน์จากพนื้ ที่ การใช้ประโยชนข์ อ้ มูลธรณีวิทยาเพื่อการพฒั นาแหลง่ ท่องเท่ียวธรรมชาติ การใชป้ ระโยชน์ข้อมูลธรณีวิทยาเพื่อแก้ไขความเชอื่ ท่ีผิดบางประการ ร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับประโยชน์ทไ่ี ดร้ ับจากขอ้ มลู ทสี่ บื ค้น รวบรวมขอ้ มูลท่ีไดจ้ ากการสบื คน้ นาเสนอในรูปปา้ ยนเิ ทศ จดั นิทรรศการ หรอื รายงาน (4) ครแู ละนกั เรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏบิ ัติกิจกรรม (5) นกั เรียนค้นหาคาศัพทส์ าคญั เพิ่มเติมจากพจนานุกรมศัพทธ์ รณีวทิ ยา (ฉบับราชบัณฑิตยสถาน) 5) ขน้ั ประเมนิ (1) ครใู หน้ ักเรียนแตล่ ะคนพจิ ารณาว่า จากหัวข้อที่เรียนมาและการปฏิบัติกจิ กรรม มจี ุดใดบา้ งท่ียังไม่เข้าใจหรือ ยงั มขี ้อสงสัย ถ้ามี ครชู ่วยอธิบายเพ่มิ เติมให้นกั เรยี นเข้าใจ (2) นักเรยี นร่วมกันประเมนิ การปฏิบตั ิกิจกรรมกลมุ่ ว่ามีปัญหาหรืออปุ สรรคใด และไดม้ ีการแก้ไขอย่างไรบ้าง (3) นักเรยี นรว่ มกันแสดงความคดิ เหน็ เกีย่ วกับประโยชน์ท่ีได้รบั จากการปฏิบัติกิจกรรม และการนาความรทู้ ่ีได้ไป ใชป้ ระโยชน์ (4) ครูทดสอบความเข้าใจของนกั เรยี นโดยการให้ตอบคาถาม เช่น กฎการลาดบั ชนั้ อธิบายอายุของหนิ อยา่ งไร โครงสรา้ งทางธรณวี ทิ ยาหมายถึงอะไร รอยชัน้ ไม่ตอ่ เน่ืองมีกระบวนการเกิดอย่างไร โครงสรา้ งทุติยภูมิคอื อะไร ยกตวั อยา่ งการใช้ประโยชน์จากข้อมูลทางธรณวี ิทยา สรปุ 1. ครูและนกั เรยี นร่วมกันสรุปเก่ยี วกบั การลาดับชนั้ หนิ โครงสร้างทางธรณวี ิทยา และการใช้ประโยชน์จากข้อมลู ทางธรณีวิทยา โดยรว่ มกนั เขยี นเป็นแผนที่ความคดิ หรือผังมโนทัศน์ 2. ครดู าเนนิ การทดสอบหลังเรยี น โดยให้นักเรยี นทาแบบทดสอบหลังเรยี นเพ่ือวัดความก้าวหนา้ /ผลสมั ฤทธ์ิ ทางการเรียน 5. สือ่ กำรเรียนรู้ 1.ใบงาน เรือ่ ง วัฏจกั รของหิน 2.ใบงาน เรื่อง ซากดึกดาบรรพ์ 3.ใบงาน เรื่อง อายขุ องโลกทางธรณีวทิ ยา 4.ใบงาน เรื่อง ยุคต่างๆ ของโลก
แผนกำรจดั กำรเรยี นร้ทู ่ี 31 ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 4-6 กล่มุ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ เวลา 6 ช่ัวโมง หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 5 เอกภพ เวลา 1 ช่วั โมง เร่ือง บทนาและเอกภพวทิ ยาในอดตี ภาคเรยี นท่ี 2/2558 สอนวันที่………เดอื น………………………พ.ศ…………ชั้น........... โรงเรยี นบา้ นพณิ โท ครูผู้สอน ............................................................................. สำระที่ 7 : ดำรำศำสตร์และอวกำศ มำตรฐำนกำรเรยี นรู้ ว 7.1 : เข้าใจความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งพลงั งานกับการดารงชีวิต การเปล่ียนรปู พลังงาน ปฏสิ ัมพนั ธ์ ระหว่างสารและพลงั งาน ผลของการใชพ้ ลังงานตอ่ ชวี ิตและส่ิงแวดลอ้ ม มกี ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ สือ่ สารท่เี รยี นรู้ และนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ 1.สำระสำคัญ กาเนิดเอกภพ/วิวฒั นาการของเอกภพ กาเนิดกาแลก็ ซี องค์ประกอบและชนดิ ของกาแล็กซที างช้างเผอื ก กาเนิดและ วิวัฒนาการของระบบสุริยะ 2.ตัวชี้วัด / จุดประสงคก์ ำรเรียนรู้ 1. อภิปรายและนาเสนอขอ้ มูลเกี่ยวกับความสาคัญของการศกึ ษาดาราศาสตร์ได้ 2. อธิบายการกาเนิดของเอกภพได้ 3.สำระกำรเรียนรู้ เอกภพกาเนดิ ณ จุดทีเ่ รยี กว่าบิกแบง เป็นจุดท่ีพลงั งานเร่ิมเปล่ียนเป็นสสารเกิดอนุภาคควารก์ อเิ ล็กตรอน นิวทริ โน พรอ้ มปฏอิ นภุ าค เม่ืออุณหภมู ขิ องเอกภพลดตา่ ลง ควาร์ก จะรวมตัวกนั เป็นอนุภาคพน้ื ฐาน คือโปรตอน และ นิวตรอน ต่อมาโปรตอนและนวิ ตรอนรวมตวั กันเป็นนวิ เคลียสของฮเี ลียม และเกดิ เป็นอะตอมของไฮโดรเจนและฮีเลยี ม อะตอมของไฮโดรเจนและฮีเลยี มซึ่งเป็นองคป์ ระกอบส่วนใหญ่ของเนบวิ ลาด้งั เดิมกระจายอยู่เป็นหย่อมๆ กลายเป็น กาแล็กซี ภายในกาแล็กซเี กิดเปน็ ดาวฤกษ์ ระบบดาวฤกษ์ 4.กระบวนกำรจัดกำรเรียนรู้ 1. ครูกระต้นุ ความสนใจนักเรียน โดยตง้ั ประเดน็ คาถาม เช่น เมอ่ื เอย่ ถงึ ดาราศาสตร์ นกั เรยี นนึกถงึ อะไรบ้าง ดาราศาสตร์มคี วามสาคัญและเกีย่ วข้องกับนักเรยี นในลักษณะใด ทาไมเราจึงต้องเรียนดาราศาสตร์ 2. นักเรยี นชว่ ยกนั ตอบคาถามและแสดงความคิดเหน็ หรือให้นกั เรียนเขยี นคาตอบลงในสมุด โดยครยู ังไมเ่ นน้ คาตอบทถี่ ูกต้อง จดั การเรยี นรโู้ ดยใช้กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ ซึ่งมีขั้นตอนดังน้ี 1) ขั้นสร้ำงควำมสนใจ
(1) ครูให้นักเรยี นดูภาพหรือส่ือมลั ติมเี ดียเก่ยี วกับเอกภพ แลว้ ตั้งประเดน็ คาถาม เชน่ เอกภพคืออะไร มอี ะไรอยใู่ นเอกภพบา้ ง นกั ดาราศาสตรศ์ ึกษาเอกภพด้วยวธิ ใี ดบ้าง โลกทเี่ ราอาศยั อยู่นี้ อย่สู ว่ นใดของเอกภพ (2) นกั เรยี นชว่ ยกันตอบคาถามและแสดงความคิดเห็น (3) ครแู ละนักเรียนรว่ มกนั อภิปรายจากแนวคาตอบของนักเรียน เพ่อื เชือ่ มโยงไปสู่การเรียนรเู้ รอื่ งเอกภพ 2) ขั้นสำรวจและคน้ หำ (1) นกั เรียนศึกษาความสาคญั ของดาราศาสตร์ จากใบความรู้หรอื ในหนังสือเรยี น โดยครชู ่วยเชื่อมโยงความรใู้ หม่ จากบทเรียนกบั ความร้เู ดิมท่ีเรยี นรู้มาแลว้ ดว้ ยการใชค้ าถามนากระตุ้นใหน้ กั เรยี นตอบจากความรูแ้ ละประสบการณ์ของ นักเรียน (2) นกั เรยี นแบ่งกลุ่ม แตล่ ะกล่มุ ศึกษากิจกรรม สืบค้นข้อมูลความสาคญั ของการศึกษาดาราศาสตร์ และปฏบิ ตั ิ กิจกรรมตามขั้นตอนท่ีวางแผนไว้ ดงั น้ี ทาการสืบคน้ และรวบรวมข้อมูลในหวั ข้อ “ดาราศาสตร์มีความสาคญั และส่งผลต่อส่ิงมีชีวติ และการดารงชีวิต ของมนษุ ย์บนโลกในด้านใดบ้าง” นาขอ้ มูลท่ีได้จากการสืบค้นมาเขียนเปน็ ผงั มโนทัศน์ (concept map) ร่วมกนั อภปิ รายลงขอ้ สรปุ และนาเสนอผลการอภิปรายและข้อสรปุ ของกลมุ่ หนา้ ชั้นเรียนและ/หรอื จดั ทาเป็น รายงาน หมำยเหตุ ครูอาจใหน้ ักเรียนแตล่ ะคนนาหัวข้อท่ีไดจ้ ากผงั มโนทศั น์มาเขียนเรยี งความเป็นการบา้ น โดยใช้ความรู้ และจนิ ตนาการของตนเองประกอบ จากนั้นนามาเสนอและแลกเปลี่ยนกับ เพ่ือน ๆ ในชน้ั เรยี น (3) นกั เรียนศึกษากาเนดิ เอกภพในหนังสือเรียน จากใบความรู้หรือในหนงั สือเรยี น แล้วแบง่ กลุ่ม ปฏบิ ตั กิ ิจกรรม สร้างแบบจาลองเอกภพกาลังขยายตัว ตามขัน้ ตอนท่ีได้วางแผนไว้ ดงั นี้ นาลกู โป่งท่เี ตรียมไวม้ าเป่าจนมีขนาดใหญ่พอสมควร จากน้ันใชย้ างรดั ของรดั ไม่ให้ลมออกจากลกู โปง่ ใช้สายวัดทาการวดั ขนาดเส้นผา่ นศูนยก์ ลางของลกู โป่ง นาปากกาเคมสี ดี าทาจดุ ขนาดใหญพ่ อประมาณใหท้ ่วั ผิวลูกโปง่ ใช้ปากกาเคมีสแี ดงทาวงกลมล้อมรอบจดุ จดุ หน่งึ ไว้ จากนั้นเลือกจดุ 6 จุด ที่อยูใ่ กล้ และไกลจากจุดท่ีทาวงกลมไว้ พรอ้ มทั้งเขยี นเลข 1–6 กากับไว้ ดงั รปู วดั ระยะทางจากจดุ ท่ีเลือกทั้ง 6 จุด ถึงจุดท่ไี ด้ทาวงกลมลอ้ มรอบไว้ แลว้ บนั ทึกระยะทางทไ่ี ดล้ งในคอลัมน์ท่ี 2 ของตารางบันทึกผล (ดตู ารางบนั ทึกผลในหนังสือเรียนประกอบ) แกะยางรัดลูกโปง่ ออก แลว้ ทาการเปา่ จนกระทงั่ ลกู โป่งมเี ส้นผา่ นศนู ยก์ ลางประมาณ 2 เท่าของลูกโป่งที่เป่าครั้ง แรก จากนนั้ ใช้ยางรัดลูกโป่งใหแ้ นน่ วัดระยะทางจากจุดทเ่ี ลือกทั้ง 6 จดุ ถึงจุดที่ไดท้ าวงกลมล้อมรอบไวอ้ ีกครั้งหน่ึง แล้ว
บันทกึ ระยะทางท่ีไดล้ งในคอลัมนท์ ่ี 3 ของตารางบนั ทกึ ผล นาค่าระยะทางในคอลัมนท์ ่ี 3 ตง้ั แล้วลบดว้ ยระยะทางในคอลมั นท์ ่ี 2 จากนัน้ บันทึก ผลลงในคอลัมน์ที่ 4 ของตารางบนั ทกึ ผล นาคา่ ระยะทางในคอลัมนท์ ่ี 3 ตง้ั แล้วหารดว้ ยระยะทางในคอลมั น์ที่ 2 จากน้นั บนั ทึกผลลงในคอลมั น์ที่ 5 ของ ตารางบนั ทึกผล 3) ขั้นอธิบำยและลงข้อสรปุ (1) นักเรียนแตล่ ะกลุ่มร่วมกนั อภิปรายผลของการปฏิบัติกิจกรรม แล้วสง่ ตวั แทนออกมานาเสนอหนา้ ชน้ั เรียน (2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใชแ้ นวคาถาม เช่น กจิ กรรม สบื ค้นข้อมลู ความสาคญั ของการศกึ ษาดาราศาสตร์ มนุษยเ์ รม่ิ ศึกษาเกี่ยวกับดาราศาสตรเ์ มื่อใด (เรม่ิ ศกึ ษาตง้ั แตย่ ุคก่อนประวตั ศิ าสตร์) ดาราศาสตร์เป็นวิชาทีศ่ กึ ษาเกีย่ วกบั อะไร (ศึกษาเกี่ยวกับเอกภพ เทหวตั ถุต่าง ๆ บนทอ้ งฟ้า โลกท่ีเราอาศัยอยู่ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนเอกภพ และเทคโนโลยอี วกาศ) การศกึ ษาดาราศาสตร์ในอดีตเกีย่ วขอ้ งกับอะไร (ศาสนาและเทพนยิ าย) ดาราศาสตร์มคี วามสาคญั ต่อมนษุ ย์ด้านใดบา้ ง (มคี วามสาคญั ต่อการกาหนดทิศทางบนโลก การกาหนดเวลา และฤดูกาล ช่วยให้มนุษย์ปรับวถิ ีการดารงชีวติ ใหส้ อดคลอ้ งกับฤดูกาลต่าง ๆ) กิจกรรม สร้างแบบจาลองเอกภพกาลงั ขยายตวั กจิ กรรมน้มี จี ุดประสงค์อะไร (เพอ่ื ให้นกั เรียนมีความรู้ความเขา้ ใจและสาธติ เกย่ี วกับการขยายตวั ของเอกภพได)้ วัตถปุ ระสงค์ของการกาหนดจดุ อา้ งองิ (จุดทใ่ี ช้ปากกาเคมีสแี ดงทาวงกลมลอ้ มรอบ) และ การเลอื กจุดต่าง ๆ บนลูกโปง่ อกี 6 จดุ คอื อะไร (เพื่อใช้จดุ เหลา่ น้เี ปน็ เปา้ หมายของการสังเกตขณะที่เป่าลกู โป่งให้ ขยายตวั ) ถา้ กาหนดให้ลูกโป่งท่เี ปา่ ลมแทนการขยายตวั ของเอกภพแล้ว ระยะทางท่ีเปลยี่ นแปลงของ กาแลกซีต่าง ๆ ขน้ึ อยู่กบั ความใกล้–ไกลของกาแลกซีกับระยะทางเร่ิมแรกหรือไม่ เพราะ เหตุใด (เปรียบเทยี บระยะทางในคอลัมนท์ ี่ 2 กบั 4) (ระยะทางท่เี ปล่ยี นแปลงไปเท่ากับระยะทางเร่มิ แรกของจดุ แตล่ ะจดุ ) ปจั จยั ทเี่ ป็นผลเนอื่ งจากการเปล่ียนแปลงระยะทางข้ึนอยู่กบั ความใกล้–ไกลของกาแลกซีกบั ระยะทางเรม่ิ แรกหรอื ไม่ เพราะเหตุใด (เปรียบเทียบระยะทางในคอลัมนท์ ่ี 2 กบั 5) (ปจั จยั ของการเปล่ียนแปลงไม่ข้ึนอยู่ กบั ระยะทางเร่ิมแรก แต่จะมีคา่ คงท่ี) (3) ครแู ละนกั เรียนรว่ มกันสรปุ ผลจากการปฏิบตั ิกจิ กรรม โดยใหไ้ ดข้ ้อสรปุ ว่า กจิ กรรม สบื ค้นข้อมลู ความสาคญั ของการศึกษาดาราศาสตร์ ความสาคญั ของดาราศาสตร์ สามารถสรุปได้ตามประเดน็ ตอ่ ไปน้ี 1) สามารถใชก้ าหนดทิศบนโลกเพื่อประโยชน์ ในการนาทาง 2) สามารถใชก้ าหนดเวลาบนโลก และใช้ในการทาปฏทิ นิ ทง้ั ทางจนั ทรคติและสรุ ิยคติ 3) เพอ่ื ให้มนุษย์ สามารถปรับสภาวะการดาเนินชีวติ ให้เหมาะสมกับฤดกู าล
4) นาความรู้ที่ไดจ้ ากการศึกษาดา้ นนี้มาอธบิ ายปรากฏการณต์ ่าง ๆ บนโลก เช่น การเกิดสเปกตรัมของแสง การ เกดิ ปฏกิ ิรยิ าเทอรโ์ มนิวเคลียร์ 5) ชว่ ยขยายความรูข้ องมนุษยเ์ กีย่ วกับกาเนิดของโลกและตวั เรา กจิ กรรม สรา้ งแบบจาลองเอกภพกาลงั ขยายตวั ระยะทางท่เี ปลี่ยนแปลงของกาแลกซ่ี (ระยะหา่ งจากจุดอา้ งองิ ถึงจุดทเ่ี ลือกไว้ 6 จุด) ไม่ขน้ึ อยูก่ ับความใกล้–ไกล ของการแลกซ่ีกับระยะทางเร่ิมแรก แสดงวา่ ไม่มปี จั จยั ที่ทาให้เกิดการเปล่ยี นแปลงของระยะห่าง เนือ่ งจากค่าที่ไดเ้ ปน็ คา่ คงที่ (ระยะทางทเี่ ปลี่ยนแปลงลบดว้ ยระยะทางเริม่ แรก) 4) ขั้นขยำยควำมรู้ (1) ครูอธิบายเพิ่มเติมเกย่ี วกบั ทฤษฎีบกิ แบง โดยใชแ้ ผนภาพในหนังสือเรยี นหรือแผนภาพท่ีครูทาขึน้ เพอ่ื ให้ นักเรยี นเขา้ ใจยง่ิ ข้นึ (2) ให้นักเรียนดสู ือ่ มลั ติมีเดีย หรอื CD-Rom เกยี่ วกับกาเนิดเอกภพ และรว่ มกันอภิปรายจากส่ิงที่ไดเ้ รียนรู้ (3) นกั เรียนคน้ คว้าบทความหรือคาศัพทภ์ าษาต่างประเทศเกี่ยวกบั กาเนดิ เอกภพ จากหนังสือภาษาตา่ งประเทศ หรืออินเทอรเ์ นต็ และนาเสนอใหเ้ พ่ือนในห้องเรียนฟัง แล้วบันทกึ ลงในสมุด 5) ขั้นประเมิน (1) ครใู ห้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหวั ข้อท่เี รยี นมาและการปฏิบัติกจิ กรรม มจี ดุ ใดบ้างท่ยี ังไมเ่ ข้าใจหรอื ยงั มีข้อสงสยั ถ้ามี ครชู ว่ ยอธิบายเพ่มิ เติมให้นกั เรียนเขา้ ใจ (2) นกั เรยี นรว่ มกันประเมินการปฏิบตั ิกจิ กรรมกลมุ่ วา่ มีปญั หาหรืออปุ สรรคใด และได้มีการแก้ไขอยา่ งไรบา้ ง (3) นกั เรยี นรว่ มกันแสดงความคดิ เห็นเก่ียวกบั ประโยชน์ทไี่ ดร้ ับจากการปฏบิ ตั ิกจิ กรรม และการนาความร้ทู ี่ได้ไป ใชป้ ระโยชน์ (4) ครูทดสอบความเขา้ ใจของนักเรียนโดยการใหต้ อบคาถาม เชน่ เอกภพมจี ดุ กาเนดิ อยา่ งไร เหตุผลทสี่ นบั สนนุ ให้ทฤษฎีบิกแบงมีความนา่ เชอื่ ในการอธบิ ายเกีย่ วกบั กาเนดิ เอกภพคืออะไร คาวา่ “เอกภพกาลังขยายตัว” หมายถึงอะไร เพราะเหตใุ ดเราจึงต้องศึกษาเร่ืองกาเนดิ ของเอกภพ ข้ันสรปุ ครแู ละนกั เรียนรว่ มกนั สรุปเกี่ยวกบั ความสาคัญของดาราศาสตร์และกาเนิดเอกภพ โดยรว่ มกันเขียนเปน็ แผนที่ ความคดิ หรือผงั มโนทศั น์ 5. สื่อกำรเรียนรู้ 1.ใบงาน เรอื่ ง กาเนิดเอกภพ 2.ใบงาน เรือ่ ง วิวฒั นาการเอกภพ 3.ใบงาน เร่อื ง กาเนิดกาแล็กซี และองคป์ ระกอบของกาแล็กซี 4.ใบงาน เร่ือง ชนิดของกาแล็กซี 5.ใบงาน เร่อื ง ทางชา้ งเผือก และกาแลก็ ซีทางช้างเผือก
แผนกำรจดั กำรเรียนรทู้ ี่ 32 ช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 4-6 กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ เวลา 6 ช่ัวโมง หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 5 เอกภพ เวลา 1 ชั่วโมง เรอ่ื ง กาเนิดเอกภพ ภาคเรยี นท่ี 2/2558 สอนวันท่ี………เดอื น………………………พ.ศ…………ชน้ั ........... โรงเรียนบ้านพิณโท ครูผู้สอน ............................................................................. สำระที่ 7 : ดำรำศำสตร์และอวกำศ มำตรฐำนกำรเรียนรู้ ว 7.1 : เข้าใจความสัมพันธร์ ะหว่างพลังงานกับการดารงชวี ติ การเปลย่ี นรปู พลังงาน ปฏิสมั พันธ์ ระหวา่ งสารและพลังงาน ผลของการใชพ้ ลงั งานตอ่ ชีวติ และสิ่งแวดล้อม มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ สอื่ สารท่เี รียนรู้ และนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ 1.สำระสำคญั กาเนดิ เอกภพ/ววิ ฒั นาการของเอกภพ กาเนิดกาแลก็ ซี องค์ประกอบและชนดิ ของกาแล็กซีทางชา้ งเผือก กาเนดิ และ วิวฒั นาการของระบบสรุ ิยะ 2.ตัวชี้วัด / จดุ ประสงค์กำรเรยี นรู้ 1. อภิปรายและนาเสนอขอ้ มูลเก่ยี วกับความสาคัญของการศกึ ษาดาราศาสตร์ได้ 2. อธิบายการกาเนิดของเอกภพได้ 3.สำระกำรเรียนรู้ เอกภพกาเนิด ณ จดุ ที่เรยี กว่าบิกแบง เป็นจดุ ที่พลังงานเริ่มเปลยี่ นเปน็ สสารเกดิ อนุภาคควารก์ อิเลก็ ตรอน นวิ ทริ โน พร้อมปฏอิ นุภาค เมื่ออุณหภมู ิของเอกภพลดต่าลง ควารก์ จะรวมตัวกนั เป็นอนภุ าคพืน้ ฐาน คือโปรตอน และ นิวตรอน ตอ่ มาโปรตอนและนวิ ตรอนรวมตัวกนั เป็นนวิ เคลียสของฮเี ลียม และเกดิ เปน็ อะตอมของไฮโดรเจนและฮีเลยี ม อะตอมของไฮโดรเจนและฮเี ลยี มซง่ึ เป็นองค์ประกอบส่วนใหญ่ของเนบวิ ลาด้งั เดมิ กระจายอยู่เปน็ หย่อมๆ กลายเปน็ กาแล็กซี ภายในกาแล็กซีเกิดเป็นดาวฤกษ์ ระบบดาวฤกษ์ 4.กระบวนกำรจดั กำรเรียนรู้ 1. ครกู ระตุ้นความสนใจนักเรียน โดยตงั้ ประเดน็ คาถาม เช่น เมอ่ื เอย่ ถงึ ดาราศาสตร์ นักเรยี นนกึ ถงึ อะไรบ้าง ดาราศาสตรม์ ีความสาคญั และเกี่ยวข้องกบั นักเรียนในลักษณะใด ทาไมเราจงึ ต้องเรียนดาราศาสตร์ 2. นกั เรยี นช่วยกนั ตอบคาถามและแสดงความคิดเหน็ หรอื ให้นักเรยี นเขยี นคาตอบลงในสมุด โดยครยู งั ไมเ่ นน้ คาตอบท่ีถูกต้อง จัดการเรยี นรูโ้ ดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ซงึ่ มีขั้นตอนดังนี้ 1) ขน้ั สรำ้ งควำมสนใจ
(1) ครูให้นักเรยี นดูภาพหรอื สื่อมลั ติมีเดียเก่ยี วกับเอกภพ แลว้ ตง้ั ประเดน็ คาถาม เช่น เอกภพคืออะไร มอี ะไรอยใู่ นเอกภพบา้ ง นกั ดาราศาสตรศ์ ึกษาเอกภพดว้ ยวธิ ีใดบา้ ง โลกทเี่ ราอาศยั อยู่นี้ อยู่สว่ นใดของเอกภพ (2) นกั เรยี นชว่ ยกันตอบคาถามและแสดงความคิดเห็น (3) ครแู ละนักเรียนรว่ มกันอภิปรายจากแนวคาตอบของนักเรียน เพอ่ื เชือ่ มโยงไปสู่การเรียนรเู้ รอื่ งเอกภพ 2) ขั้นสำรวจและคน้ หำ (1) นกั เรียนศึกษาความสาคญั ของดาราศาสตร์ จากใบความรู้หรอื ในหนงั สอื เรียน โดยครูช่วยเชือ่ มโยงความรใู้ หม่ จากบทเรียนกบั ความร้เู ดิมท่ีเรียนรูม้ าแล้ว ดว้ ยการใช้คาถามนากระต้นุ ให้นกั เรียนตอบจากความรแู้ ละประสบการณ์ของ นักเรียน (2) นกั เรยี นแบง่ กลุ่ม แตล่ ะกล่มุ ศึกษากิจกรรม สืบค้นข้อมูลความสาคญั ของการศึกษาดาราศาสตร์ และปฏิบตั ิ กิจกรรมตามขั้นตอนท่ีวางแผนไว้ ดังนี้ ทาการสืบคน้ และรวบรวมข้อมลู ในหวั ข้อ “ดาราศาสตร์มีความสาคญั และส่งผลต่อส่งิ มีชีวติ และการดารงชวี ติ ของมนษุ ย์บนโลกในด้านใดบ้าง” นาขอ้ มูลท่ีได้จากการสืบค้นมาเขียนเปน็ ผงั มโนทัศน์ (concept map) ร่วมกนั อภปิ รายลงขอ้ สรปุ และนาเสนอผลการอภิปรายและข้อสรุปของกลมุ่ หนา้ ช้ันเรียนและ/หรือจัดทาเปน็ รายงาน หมำยเหตุ ครูอาจใหน้ ักเรยี นแต่ละคนนาหัวข้อท่ีไดจ้ ากผงั มโนทศั นม์ าเขียนเรยี งความเป็นการบา้ น โดยใชค้ วามรู้ และจนิ ตนาการของตนเองประกอบ จากนนั้ นามาเสนอและแลกเปลีย่ นกับ เพ่ือน ๆ ในชัน้ เรียน (3) นกั เรียนศึกษากาเนดิ เอกภพในหนังสือเรียน จากใบความรู้หรือในหนงั สือเรียน แลว้ แบ่งกลุ่ม ปฏบิ ตั กิ จิ กรรม สรา้ งแบบจาลองเอกภพกาลังขยายตวั ตามขัน้ ตอนท่ีไดว้ างแผนไว้ ดังนี้ นาลกู โป่งท่เี ตรียมไวม้ าเปา่ จนมีขนาดใหญ่พอสมควร จากนน้ั ใช้ยางรัดของรดั ไม่ให้ลมออกจากลกู โป่ง ใช้สายวัดทาการวดั ขนาดเส้นผา่ นศูนยก์ ลางของลกู โป่ง นาปากกาเคมสี ีดาทาจุดขนาดใหญพ่ อประมาณใหท้ ่วั ผิวลกู โปง่ ใช้ปากกาเคมีสแี ดงทาวงกลมล้อมรอบจดุ จดุ หน่งึ ไว้ จากน้ันเลือกจดุ 6 จุด ทีอ่ ยู่ใกล้ และไกลจากจุดท่ีทาวงกลมไว้ พรอ้ มทั้งเขียนเลข 1–6 กากับไว้ ดงั รปู วดั ระยะทางจากจดุ ท่ีเลือกท้ัง 6 จุด ถงึ จุดท่ไี ด้ทาวงกลมลอ้ มรอบไว้ แลว้ บนั ทกึ ระยะทางท่ไี ด้ลงในคอลัมนท์ ่ี 2 ของตารางบันทึกผล (ดตู ารางบนั ทกึ ผลในหนังสือเรียนประกอบ) แกะยางรัดลูกโปง่ ออก แลว้ ทาการเปา่ จนกระทงั่ ลูกโป่งมเี ส้นผา่ นศูนยก์ ลางประมาณ 2 เทา่ ของลูกโป่งที่เป่าคร้ัง แรก จากนนั้ ใช้ยางรัดลูกโป่งใหแ้ น่น วัดระยะทางจากจุดทเ่ี ลือกท้ัง 6 จดุ ถงึ จุดที่ไดท้ าวงกลมล้อมรอบไว้อีกครั้งหนึ่ง แลว้
บันทกึ ระยะทางท่ีไดล้ งในคอลมั น์ท่ี 3 ของตารางบันทกึ ผล นาค่าระยะทางในคอลัมนท์ ี่ 3 ตง้ั แล้วลบด้วยระยะทางในคอลัมน์ที่ 2 จากนัน้ บนั ทึก ผลลงในคอลัมน์ที่ 4 ของตารางบนั ทึกผล นาคา่ ระยะทางในคอลัมน์ท่ี 3 ตง้ั แล้วหารด้วยระยะทางในคอลัมนท์ ี่ 2 จากนน้ั บนั ทึกผลลงในคอลมั น์ที่ 5 ของ ตารางบนั ทึกผล 3) ขั้นอธิบำยและลงข้อสรปุ (1) นักเรียนแตล่ ะกล่มุ รว่ มกันอภปิ รายผลของการปฏิบัตกิ จิ กรรม แล้วสง่ ตวั แทนออกมานาเสนอหนา้ ชน้ั เรียน (2) ครูและนักเรียนรว่ มกันอภิปรายผลจากการปฏิบตั ิกิจกรรม โดยใชแ้ นวคาถาม เช่น กจิ กรรม สบื ค้นข้อมลู ความสาคญั ของการศกึ ษาดาราศาสตร์ มนุษยเ์ รม่ิ ศึกษาเกี่ยวกับดาราศาสตร์เม่ือใด (เรม่ิ ศึกษาต้งั แตย่ คุ ก่อนประวตั ศิ าสตร์) ดาราศาสตร์เป็นวิชาทศี่ กึ ษาเกย่ี วกบั อะไร (ศกึ ษาเกี่ยวกับเอกภพ เทหวตั ถุต่าง ๆ บนทอ้ งฟ้า โลกท่ีเราอาศัยอยู่ ปรากฏการณ์ตา่ ง ๆ ที่เกิดขึ้นบนเอกภพ และเทคโนโลยอี วกาศ) การศกึ ษาดาราศาสตร์ในอดีตเก่ยี วข้องกับอะไร (ศาสนาและเทพนยิ าย) ดาราศาสตร์มคี วามสาคญั ต่อมนุษยด์ ้านใดบา้ ง (มีความสาคัญต่อการกาหนดทศิ ทางบนโลก การกาหนดเวลา และฤดูกาล ช่วยให้มนุษย์ปรับวถิ ีการดารงชีวิตใหส้ อดคลอ้ งกับฤดูกาลต่าง ๆ) กิจกรรม สร้างแบบจาลองเอกภพกาลงั ขยายตัว กจิ กรรมน้มี จี ุดประสงค์อะไร (เพือ่ ให้นักเรียนมีความรู้ความเขา้ ใจและสาธิตเกยี่ วกับการขยายตวั ของเอกภพได)้ วัตถปุ ระสงค์ของการกาหนดจดุ อ้างอิง (จดุ ทใ่ี ชป้ ากกาเคมีสีแดงทาวงกลมลอ้ มรอบ) และ การเลอื กจุดต่าง ๆ บนลูกโปง่ อีก 6 จุด คืออะไร (เพ่ือใชจ้ ดุ เหลา่ นเี้ ปน็ เป้าหมายของการสังเกตขณะที่เป่าลกู โป่งให้ ขยายตวั ) ถา้ กาหนดให้ลูกโปง่ ท่ีเปา่ ลมแทนการขยายตัวของเอกภพแลว้ ระยะทางทเี่ ปล่ียนแปลงของ กาแลกซีต่าง ๆ ขน้ึ อยู่กบั ความใกล้–ไกลของกาแลกซีกับระยะทางเร่ิมแรกหรือไม่ เพราะ เหตุใด (เปรียบเทยี บระยะทางในคอลัมนท์ ่ี 2 กับ 4) (ระยะทางท่เี ปล่ียนแปลงไปเท่ากับระยะทางเร่มิ แรกของจดุ แตล่ ะจดุ ) ปจั จยั ทเี่ ป็นผลเนอื่ งจากการเปล่ียนแปลงระยะทางข้ึนอยู่กับความใกล้–ไกลของกาแลกซีกบั ระยะทางเรม่ิ แรกหรอื ไม่ เพราะเหตใุ ด (เปรียบเทียบระยะทางในคอลมั น์ที่ 2 กบั 5) (ปจั จัยของการเปล่ียนแปลงไม่ข้ึนอยู่ กบั ระยะทางเร่ิมแรก แต่จะมีค่าคงท่ี) (3) ครแู ละนกั เรียนร่วมกนั สรปุ ผลจากการปฏบิ ัตกิ ิจกรรม โดยใหไ้ ดข้ ้อสรปุ ว่า กจิ กรรม สบื ค้นข้อมูลความสาคญั ของการศึกษาดาราศาสตร์ ความสาคญั ของดาราศาสตร์ สามารถสรุปได้ตามประเด็นตอ่ ไปนี้ 1) สามารถใชก้ าหนดทิศบนโลกเพื่อประโยชน์ ในการนาทาง 2) สามารถใชก้ าหนดเวลาบนโลก และใชใ้ นการทาปฏทิ ินทง้ั ทางจนั ทรคติและสรุ ิยคติ 3) เพอ่ื ให้มนุษย์ สามารถปรับสภาวะการดาเนินชวี ติ ใหเ้ หมาะสมกับฤดูกาล
4) นาความรูท้ ี่ไดจ้ ากการศกึ ษาดา้ นนี้มาอธิบายปรากฏการณต์ ่าง ๆ บนโลก เช่น การเกิดสเปกตรัมของแสง การ เกดิ ปฏกิ ิรยิ าเทอรโ์ มนิวเคลียร์ 5) ชว่ ยขยายความรูข้ องมนุษยเ์ กยี่ วกับกาเนิดของโลกและตวั เรา กิจกรรม สรา้ งแบบจาลองเอกภพกาลังขยายตวั ระยะทางท่เี ปลย่ี นแปลงของกาแลกซี่ (ระยะหา่ งจากจุดอ้างองิ ถึงจุดทเ่ี ลือกไว้ 6 จุด) ไม่ขน้ึ อยูก่ ับความใกล้–ไกล ของการแลกซ่ีกับระยะทางเร่ิมแรก แสดงว่าไม่มปี จั จัยที่ทาให้เกิดการเปล่ยี นแปลงของระยะห่าง เนือ่ งจากค่าทีไ่ ดเ้ ปน็ คา่ คงที่ (ระยะทางทเี่ ปลี่ยนแปลงลบดว้ ยระยะทางเริม่ แรก) 4) ขั้นขยำยควำมรู้ (1) ครูอธิบายเพิ่มเติมเก่ียวกบั ทฤษฎีบิกแบง โดยใชแ้ ผนภาพในหนังสือเรยี นหรือแผนภาพท่ีครูทาขึน้ เพอ่ื ให้ นักเรยี นเขา้ ใจยง่ิ ข้นึ (2) ให้นักเรียนดสู ื่อมลั ติมีเดีย หรือ CD-Rom เกยี่ วกับกาเนิดเอกภพ และรว่ มกันอภิปรายจากส่ิงที่ไดเ้ รียนรู้ (3) นกั เรียนคน้ คว้าบทความหรือคาศัพท์ภาษาต่างประเทศเกี่ยวกบั กาเนดิ เอกภพ จากหนังสอื ภาษาตา่ งประเทศ หรืออินเทอร์เนต็ และนาเสนอใหเ้ พ่ือนในห้องเรียนฟงั แล้วบันทกึ ลงในสมุด 5) ขัน้ ประเมิน (1) ครใู ห้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาวา่ จากหัวข้อท่เี รยี นมาและการปฏิบัติกจิ กรรม มจี ดุ ใดบ้างท่ยี ังไม่เข้าใจหรอื ยงั มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูชว่ ยอธิบายเพม่ิ เติมให้นกั เรยี นเขา้ ใจ (2) นกั เรยี นรว่ มกนั ประเมินการปฏบิ ตั กิ ิจกรรมกลมุ่ วา่ มีปญั หาหรืออปุ สรรคใด และได้มีการแก้ไขอยา่ งไรบา้ ง (3) นกั เรยี นรว่ มกนั แสดงความคดิ เหน็ เก่ียวกบั ประโยชน์ทีไ่ ดร้ ับจากการปฏบิ ตั ิกจิ กรรม และการนาความร้ทู ี่ได้ไป ใชป้ ระโยชน์ (4) ครูทดสอบความเขา้ ใจของนกั เรียนโดยการใหต้ อบคาถาม เชน่ เอกภพมจี ดุ กาเนิดอยา่ งไร เหตุผลทสี่ นบั สนนุ ให้ทฤษฎีบกิ แบงมีความนา่ เชอื่ ในการอธบิ ายเกีย่ วกบั กาเนดิ เอกภพคืออะไร คาวา่ “เอกภพกาลังขยายตัว” หมายถึงอะไร เพราะเหตใุ ดเราจงึ ต้องศึกษาเรอื่ งกาเนิดของเอกภพ ข้ันสรปุ ครแู ละนกั เรียนรว่ มกนั สรุปเกี่ยวกับความสาคัญของดาราศาสตร์และกาเนิดเอกภพ โดยรว่ มกนั เขียนเปน็ แผนที่ ความคดิ หรือผงั มโนทศั น์ 5. สื่อกำรเรียนรู้ 1.ใบงาน เร่ือง กาเนิดเอกภพ 2.ใบงาน เร่อื ง วิวฒั นาการเอกภพ 3.ใบงาน เรอ่ื ง กาเนิดกาแล็กซี และองค์ประกอบของกาแล็กซี 4.ใบงาน เร่ือง ชนิดของกาแล็กซี 5.ใบงาน เร่ือง ทางชา้ งเผือก และกาแลก็ ซีทางช้างเผอื ก
แผนกำรจดั กำรเรียนรทู้ ี่ 33 ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 4-6 กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ เวลา 6 ช่ัวโมง หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 5 เอกภพ เวลา 1 ชวั่ โมง เรอ่ื ง กาเนิดเอกภพ ภาคเรียนที่ 2/2558 สอนวันท่ี………เดอื น………………………พ.ศ…………ชน้ั ........... โรงเรียนบ้านพณิ โท ครูผ้สู อน ............................................................................. สำระที่ 7 : ดำรำศำสตร์และอวกำศ มำตรฐำนกำรเรียนรู้ ว 7.1 : เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานกับการดารงชวี ติ การเปลี่ยนรปู พลังงาน ปฏิสมั พันธ์ ระหวา่ งสารและพลังงาน ผลของการใชพ้ ลงั งานตอ่ ชวี ติ และสิ่งแวดลอ้ ม มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ สอื่ สารท่เี รยี นรู้ และนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ 1.สำระสำคญั กาเนดิ เอกภพ/ววิ ฒั นาการของเอกภพ กาเนิดกาแลก็ ซี องค์ประกอบและชนดิ ของกาแล็กซีทางชา้ งเผือก กาเนิดและ วิวฒั นาการของระบบสรุ ิยะ 2.ตวั ชี้วัด / จดุ ประสงค์กำรเรยี นรู้ 1. อภิปรายและนาเสนอขอ้ มูลเก่ยี วกับความสาคัญของการศกึ ษาดาราศาสตร์ได้ 2. อธิบายการกาเนิดของเอกภพได้ 3.สำระกำรเรียนรู้ เอกภพกาเนิด ณ จดุ ทีเ่ รยี กว่าบิกแบง เป็นจดุ ที่พลังงานเริ่มเปล่ียนเปน็ สสารเกิดอนุภาคควารก์ อิเลก็ ตรอน นวิ ทริ โน พรอ้ มปฏอิ นุภาค เมื่ออุณหภมู ิของเอกภพลดต่าลง ควารก์ จะรวมตัวกนั เป็นอนภุ าคพืน้ ฐาน คือโปรตอน และ นิวตรอน ตอ่ มาโปรตอนและนวิ ตรอนรวมตัวกนั เป็นนวิ เคลียสของฮเี ลียม และเกดิ เปน็ อะตอมของไฮโดรเจนและฮีเลยี ม อะตอมของไฮโดรเจนและฮีเลยี มซ่งึ เปน็ องค์ประกอบส่วนใหญ่ของเนบวิ ลาด้งั เดมิ กระจายอยู่เปน็ หย่อมๆ กลายเป็น กาแล็กซี ภายในกาแล็กซีเกิดเป็นดาวฤกษ์ ระบบดาวฤกษ์ 4.กระบวนกำรจดั กำรเรียนรู้ 1. ครกู ระตุ้นความสนใจนักเรียน โดยตงั้ ประเดน็ คาถาม เช่น เมอ่ื เอย่ ถงึ ดาราศาสตร์ นักเรยี นนกึ ถงึ อะไรบ้าง ดาราศาสตรม์ ีความสาคัญและเกยี่ วข้องกบั นักเรียนในลักษณะใด ทาไมเราจงึ ต้องเรียนดาราศาสตร์ 2. นกั เรยี นช่วยกนั ตอบคาถามและแสดงความคิดเหน็ หรอื ให้นักเรยี นเขยี นคาตอบลงในสมุด โดยครยู ังไมเ่ นน้ คาตอบท่ีถูกต้อง จัดการเรยี นรูโ้ ดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ซึ่งมีขั้นตอนดังน้ี 1) ขน้ั สรำ้ งควำมสนใจ
(1) ครูใหน้ ักเรียนดูภาพหรอื ส่ือมลั ตมิ ีเดียเก่ยี วกับเอกภพ แล้วตั้งประเดน็ คาถาม เช่น เอกภพคืออะไร มอี ะไรอยใู่ นเอกภพบา้ ง นกั ดาราศาสตร์ศึกษาเอกภพด้วยวธิ ใี ดบ้าง โลกทเ่ี ราอาศยั อยู่นี้ อยู่ส่วนใดของเอกภพ (2) นักเรยี นชว่ ยกนั ตอบคาถามและแสดงความคิดเหน็ (3) ครแู ละนักเรยี นรว่ มกนั อภิปรายจากแนวคาตอบของนักเรียน เพอ่ื เชือ่ มโยงไปสู่การเรียนรเู้ ร่อื งเอกภพ 2) ขัน้ สำรวจและค้นหำ (1) นกั เรียนศึกษาความสาคัญของดาราศาสตร์ จากใบความรูห้ รอื ในหนงั สอื เรียน โดยครชู ่วยเช่อื มโยงความรู้ใหม่ จากบทเรียนกับความร้เู ดิมท่เี รียนรมู้ าแลว้ ดว้ ยการใชค้ าถามนากระตุน้ ให้นกั เรียนตอบจากความรู้และประสบการณ์ของ นักเรียน (2) นกั เรียนแบง่ กลุม่ แตล่ ะกล่มุ ศึกษากจิ กรรม สืบคน้ ข้อมูลความสาคญั ของการศึกษาดาราศาสตร์ และปฏบิ ตั ิ กิจกรรมตามข้นั ตอนท่ีวางแผนไว้ ดังน้ี ทาการสืบค้นและรวบรวมข้อมูลในหวั ข้อ “ดาราศาสตร์มีความสาคญั และส่งผลต่อส่งิ มีชีวิตและการดารงชีวิต ของมนษุ ยบ์ นโลกในดา้ นใดบ้าง” นาข้อมูลที่ได้จากการสบื ค้นมาเขียนเปน็ ผงั มโนทัศน์ (concept map) รว่ มกนั อภปิ รายลงขอ้ สรุป และนาเสนอผลการอภิปรายและขอ้ สรุปของกลมุ่ หนา้ ช้ันเรียนและ/หรอื จดั ทาเปน็ รายงาน หมำยเหตุ ครูอาจให้นักเรยี นแตล่ ะคนนาหัวข้อท่ีไดจ้ ากผงั มโนทศั นม์ าเขยี นเรยี งความเป็นการบา้ น โดยใช้ความรู้ และจนิ ตนาการของตนเองประกอบ จากนั้นนามาเสนอและแลกเปลยี่ นกบั เพ่ือน ๆ ในชนั้ เรียน (3) นกั เรยี นศึกษากาเนดิ เอกภพในหนังสือเรียน จากใบความรู้หรือในหนังสือเรียน แลว้ แบง่ กลมุ่ ปฏบิ ตั กิ จิ กรรม สรา้ งแบบจาลองเอกภพกาลังขยายตัว ตามขนั้ ตอนท่ีไดว้ างแผนไว้ ดงั น้ี นาลกู โป่งท่ีเตรียมไวม้ าเป่าจนมีขนาดใหญ่พอสมควร จากนั้นใช้ยางรัดของรดั ไมใ่ ห้ลมออกจากลูกโปง่ ใช้สายวัดทาการวัดขนาดเส้นผา่ นศูนยก์ ลางของลูกโป่ง นาปากกาเคมสี ีดาทาจุดขนาดใหญพ่ อประมาณใหท้ ่วั ผวิ ลกู โปง่ ใช้ปากกาเคมีสีแดงทาวงกลมล้อมรอบจุดจดุ หน่งึ ไว้ จากน้ันเลือกจดุ 6 จุด ทีอ่ ยใู่ กล้ และไกลจากจุดท่ีทาวงกลมไว้ พร้อมท้ังเขยี นเลข 1–6 กากับไว้ ดังรปู วดั ระยะทางจากจดุ ทเี่ ลือกทั้ง 6 จุด ถงึ จุดท่ไี ด้ทาวงกลมลอ้ มรอบไว้ แล้วบนั ทกึ ระยะทางที่ไดล้ งในคอลัมน์ท่ี 2 ของตารางบันทึกผล (ดตู ารางบันทกึ ผลในหนงั สือเรยี นประกอบ) แกะยางรัดลูกโปง่ ออก แล้วทาการเปา่ จนกระทงั่ ลูกโปง่ มีเส้นผา่ นศูนยก์ ลางประมาณ 2 เท่าของลูกโปง่ ที่เป่าคร้ัง แรก จากนนั้ ใช้ยางรัดลูกโปง่ ให้แนน่ วัดระยะทางจากจุดท่ีเลือกทั้ง 6 จดุ ถงึ จดุ ที่ไดท้ าวงกลมลอ้ มรอบไว้อีกคร้ังหนึ่ง แลว้
บันทกึ ระยะทางท่ีไดล้ งในคอลัมนท์ ่ี 3 ของตารางบันทกึ ผล นาคา่ ระยะทางในคอลัมนท์ ่ี 3 ตง้ั แล้วลบดว้ ยระยะทางในคอลัมน์ที่ 2 จากนัน้ บันทึก ผลลงในคอลัมน์ที่ 4 ของตารางบนั ทกึ ผล นาคา่ ระยะทางในคอลัมนท์ ่ี 3 ตง้ั แล้วหารดว้ ยระยะทางในคอลัมนท์ ี่ 2 จากน้นั บนั ทึกผลลงในคอลมั น์ที่ 5 ของ ตารางบนั ทึกผล 3) ขั้นอธิบำยและลงข้อสรปุ (1) นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกนั อภิปรายผลของการปฏิบัตกิ จิ กรรม แล้วสง่ ตวั แทนออกมานาเสนอหนา้ ชน้ั เรียน (2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏบิ ตั ิกิจกรรม โดยใชแ้ นวคาถาม เช่น กจิ กรรม สบื ค้นข้อมลู ความสาคญั ของการศกึ ษาดาราศาสตร์ มนุษยเ์ รม่ิ ศึกษาเกี่ยวกับดาราศาสตรเ์ มื่อใด (เรม่ิ ศึกษาต้งั แต่ยคุ ก่อนประวตั ศิ าสตร์) ดาราศาสตรเ์ ป็นวิชาทีศ่ กึ ษาเกีย่ วกบั อะไร (ศึกษาเกี่ยวกับเอกภพ เทหวตั ถุต่าง ๆ บนทอ้ งฟ้า โลกท่ีเราอาศัยอยู่ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนเอกภพ และเทคโนโลยอี วกาศ) การศกึ ษาดาราศาสตร์ในอดีตเกยี่ วขอ้ งกับอะไร (ศาสนาและเทพนยิ าย) ดาราศาสตร์มคี วามสาคญั ต่อมนษุ ย์ด้านใดบา้ ง (มีความสาคญั ต่อการกาหนดทิศทางบนโลก การกาหนดเวลา และฤดูกาล ช่วยให้มนุษย์ปรับวถิ ีการดารงชวี ติ ใหส้ อดคลอ้ งกับฤดูกาลต่าง ๆ) กิจกรรม สร้างแบบจาลองเอกภพกาลงั ขยายตวั กจิ กรรมน้มี จี ุดประสงค์อะไร (เพอื่ ให้นกั เรียนมีความรู้ความเขา้ ใจและสาธติ เกย่ี วกับการขยายตวั ของเอกภพได)้ วัตถุประสงค์ของการกาหนดจดุ อ้างองิ (จุดทใ่ี ชป้ ากกาเคมีสแี ดงทาวงกลมลอ้ มรอบ) และ การเลอื กจุดต่าง ๆ บนลูกโปง่ อกี 6 จดุ คอื อะไร (เพื่อใช้จดุ เหลา่ นเี้ ปน็ เป้าหมายของการสังเกตขณะที่เป่าลกู โป่งให้ ขยายตวั ) ถา้ กาหนดให้ลูกโป่งท่เี ปา่ ลมแทนการขยายตวั ของเอกภพแล้ว ระยะทางท่ีเปลยี่ นแปลงของ กาแลกซีต่าง ๆ ขน้ึ อยู่กบั ความใกล้–ไกลของกาแลกซีกับระยะทางเร่ิมแรกหรือไม่ เพราะ เหตุใด (เปรียบเทยี บระยะทางในคอลัมนท์ ่ี 2 กบั 4) (ระยะทางท่เี ปล่ียนแปลงไปเท่ากับระยะทางเร่มิ แรกของจดุ แตล่ ะจดุ ) ปจั จัยทเี่ ป็นผลเนอื่ งจากการเปลย่ี นแปลงระยะทางข้ึนอยู่กับความใกล้–ไกลของกาแลกซีกบั ระยะทางเรม่ิ แรกหรอื ไม่ เพราะเหตุใด (เปรียบเทียบระยะทางในคอลมั น์ที่ 2 กบั 5) (ปจั จยั ของการเปล่ียนแปลงไม่ข้ึนอยู่ กบั ระยะทางเร่ิมแรก แต่จะมีคา่ คงท่ี) (3) ครูและนักเรียนรว่ มกนั สรปุ ผลจากการปฏิบตั กิ จิ กรรม โดยให้ไดข้ ้อสรปุ ว่า กจิ กรรม สบื ค้นข้อมลู ความสาคัญของการศึกษาดาราศาสตร์ ความสาคญั ของดาราศาสตร์ สามารถสรุปได้ตามประเดน็ ต่อไปนี้ 1) สามารถใชก้ าหนดทิศบนโลกเพื่อประโยชน์ ในการนาทาง 2) สามารถใชก้ าหนดเวลาบนโลก และใช้ในการทาปฏทิ ินทั้งทางจนั ทรคติและสรุ ิยคติ 3) เพอ่ื ให้มนุษย์ สามารถปรับสภาวะการดาเนินชีวติ ให้เหมาะสมกับฤดกู าล
4) นาความรูท้ ี่ไดจ้ ากการศึกษาดา้ นนี้มาอธบิ ายปรากฏการณต์ ่าง ๆ บนโลก เช่น การเกิดสเปกตรัมของแสง การ เกดิ ปฏกิ ิรยิ าเทอรโ์ มนิวเคลียร์ 5) ชว่ ยขยายความรูข้ องมนุษยเ์ กี่ยวกับกาเนิดของโลกและตวั เรา กิจกรรม สรา้ งแบบจาลองเอกภพกาลังขยายตวั ระยะทางท่เี ปลี่ยนแปลงของกาแลกซี่ (ระยะหา่ งจากจุดอา้ งองิ ถึงจุดทเ่ี ลือกไว้ 6 จุด) ไม่ขน้ึ อยูก่ ับความใกล้–ไกล ของการแลกซี่กับระยะทางเริ่มแรก แสดงวา่ ไม่มปี จั จยั ที่ทาให้เกิดการเปล่ยี นแปลงของระยะห่าง เนือ่ งจากค่าทีไ่ ดเ้ ปน็ คา่ คงที่ (ระยะทางทเี่ ปลี่ยนแปลงลบดว้ ยระยะทางเริม่ แรก) 4) ขนั้ ขยำยควำมรู้ (1) ครูอธิบายเพิ่มเติมเกย่ี วกบั ทฤษฎีบิกแบง โดยใชแ้ ผนภาพในหนังสือเรยี นหรือแผนภาพท่ีครูทาขึน้ เพอ่ื ให้ นักเรยี นเขา้ ใจยง่ิ ข้นึ (2) ให้นักเรียนดสู อื่ มลั ติมีเดีย หรอื CD-Rom เกยี่ วกับกาเนิดเอกภพ และรว่ มกันอภิปรายจากส่ิงที่ไดเ้ รียนรู้ (3) นกั เรยี นคน้ คว้าบทความหรือคาศัพท์ภาษาต่างประเทศเกี่ยวกบั กาเนดิ เอกภพ จากหนังสอื ภาษาตา่ งประเทศ หรืออินเทอร์เนต็ และนาเสนอให้เพ่ือนในห้องเรียนฟงั แล้วบันทึกลงในสมุด 5) ข้ันประเมิน (1) ครใู ห้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาวา่ จากหวั ข้อท่เี รยี นมาและการปฏิบัติกจิ กรรม มจี ดุ ใดบ้างท่ยี ังไม่เข้าใจหรอื ยงั มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูชว่ ยอธิบายเพ่มิ เติมให้นกั เรียนเขา้ ใจ (2) นกั เรยี นรว่ มกนั ประเมินการปฏบิ ตั กิ ิจกรรมกลมุ่ วา่ มีปญั หาหรืออปุ สรรคใด และได้มีการแก้ไขอยา่ งไรบา้ ง (3) นกั เรยี นรว่ มกนั แสดงความคดิ เห็นเก่ียวกบั ประโยชน์ทีไ่ ดร้ ับจากการปฏบิ ตั ิกิจกรรม และการนาความร้ทู ี่ได้ไป ใชป้ ระโยชน์ (4) ครูทดสอบความเขา้ ใจของนกั เรียนโดยการใหต้ อบคาถาม เชน่ เอกภพมจี ดุ กาเนดิ อยา่ งไร เหตุผลทสี่ นบั สนนุ ให้ทฤษฎีบิกแบงมีความนา่ เชอื่ ในการอธบิ ายเกีย่ วกบั กาเนดิ เอกภพคืออะไร คาวา่ “เอกภพกาลังขยายตัว” หมายถงึ อะไร เพราะเหตใุ ดเราจึงต้องศึกษาเร่ืองกาเนดิ ของเอกภพ ข้ันสรปุ ครแู ละนกั เรียนรว่ มกนั สรุปเกี่ยวกบั ความสาคัญของดาราศาสตร์และกาเนิดเอกภพ โดยรว่ มกนั เขียนเปน็ แผนที่ ความคดิ หรือผงั มโนทศั น์ 5. สื่อกำรเรียนรู้ 1.ใบงาน เร่ือง กาเนิดเอกภพ 2.ใบงาน เร่อื ง วิวฒั นาการเอกภพ 3.ใบงาน เรอ่ื ง กาเนิดกาแล็กซี และองคป์ ระกอบของกาแล็กซี 4.ใบงาน เร่ือง ชนิดของกาแล็กซี 5.ใบงาน เร่ือง ทางชา้ งเผือก และกาแลก็ ซีทางช้างเผอื ก
แผนกำรจัดกำรเรยี นร้ทู ่ี 34 ชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 4-6 กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ เวลา 6 ชั่วโมง หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 5 เอกภพ เวลา 1 ชั่วโมง เรอ่ื ง กาแล็กซี่ ภาคเรียนท่ี 2/2558 สอนวันที่………เดือน………………………พ.ศ…………ชัน้ ........... โรงเรียนบา้ นพณิ โท ครูผูส้ อน ............................................................................. สำระท่ี 7 : ดำรำศำสตร์และอวกำศ มำตรฐำนกำรเรียนรู้ ว 7.1 : เข้าใจความสมั พันธร์ ะหว่างพลงั งานกบั การดารงชวี ิต การเปล่ียนรูปพลงั งาน ปฏิสัมพันธ์ ระหว่างสารและพลงั งาน ผลของการใชพ้ ลงั งานตอ่ ชวี ติ และสง่ิ แวดลอ้ ม มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ สื่อสารทีเ่ รยี นรู้ และนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ 1.สำระสำคัญ กาเนิดเอกภพ/วิวฒั นาการของเอกภพ กาเนิดกาแล็กซี องค์ประกอบและชนิดของกาแล็กซีทางชา้ งเผือก กาเนดิ และ ววิ ัฒนาการของระบบสรุ ิยะ 2.ตัวชี้วดั / จดุ ประสงคก์ ำรเรียนรู้ 1. อธิบายความหมายและบอกประเภทของกาแล็กซีได้ 2. สืบค้นขอ้ มูลและอธบิ ายการเกดิ ส่วนประกอบ และรปู ร่างของกาแล็กซีแตล่ ะประเภทได้ 3.สำระกำรเรียนรู้ เอกภพกาเนดิ ณ จดุ ท่ีเรยี กว่าบิกแบง เป็นจดุ ท่ีพลังงานเร่ิมเปล่ยี นเป็นสสารเกดิ อนุภาคควาร์ก อเิ ลก็ ตรอน นวิ ทริ โน พร้อมปฏิอนุภาค เมื่ออุณหภมู ิของเอกภพลดต่าลง ควาร์ก จะรวมตัวกนั เปน็ อนภุ าคพน้ื ฐาน คือโปรตอน และ นิวตรอน ตอ่ มาโปรตอนและนิวตรอนรวมตวั กนั เป็นนิวเคลียสของฮีเลยี ม และเกิดเป็นอะตอมของไฮโดรเจนและฮเี ลยี ม อะตอมของไฮโดรเจนและฮเี ลียมซึ่งเป็นองคป์ ระกอบส่วนใหญข่ องเนบวิ ลาดัง้ เดมิ กระจายอย่เู ป็นหยอ่ มๆ กลายเป็น กาแล็กซี ภายในกาแลก็ ซีเกดิ เป็นดาวฤกษ์ ระบบดาวฤกษ์ 4.กระบวนกำรจัดกำรเรยี นรู้ 1. ครูทบทวนความรู้เดิมของนกั เรียนเก่ียวกบั กาเนิดเอกภพโดยใชแ้ นวคาถาม เช่น หลังจากเกดิ บิกแบงแล้ว ตอ่ มามสี ่ิงใด เกดิ ขึ้นในเอกภพ (หลงั จากเกิดบกิ แบงประมาณ 1,000 ล้านปี มกี าแลก็ ซีเกดิ ขน้ึ ในเอกภพ) 2. ครูตง้ั ประเด็นคาถาม เชน่ นกั เรยี นรูจ้ ักกาแล็กซีหรือไม่ คืออะไร มสี งิ่ ใดอยูภ่ ายในกาแล็กซบี ้าง มนุษย์เราอาศยั อยู่ในกาแล็กซใี ด 3. ครูและนกั เรียนรว่ มกนั อภิปรายจากแนวคาตอบของนักเรียน จัดการเรียนรโู้ ดยใช้กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ ซ่งึ มีขั้นตอนดังน้ี
1) ข้ันสรำ้ งควำมสนใจ (1) ครูถามนกั เรียนว่า เคยสงั เกตท้องฟา้ ทมี่ ืดสนทิ หรือไม่ นอกจากจะเหน็ ดวงดาวอยู่เตม็ ท้องฟ้าแล้ว ยังมองเหน็ ทางสีขาวพาดผา่ นเปน็ ทางยาวบนท้องฟ้า สิง่ น้ันคอื อะไร (ทางช้างเผือก) (2) ครูใหน้ ักเรยี นดสู ือ่ มลั ตมิ เี ดีย หรอื CD-Rom ทีแ่ สดงให้เห็นกาแล็กซีต่าง ๆ ในท้องฟา้ แลว้ ตง้ั ประเด็นคาถาม เช่น กาแลก็ ซใี นท้องฟา้ มรี ูปร่างเหมือนหรือแตกต่างกนั ทาไมดวงดาวจงึ อยู่รวมกนั ในกาแล็กซี นกั เรยี นเคยไดย้ ินกาแล็กซีทางช้างเผือกหรือไม่ มลี ักษณะอยา่ งไร (3) นกั เรยี นชว่ ยกันตอบคาถามและแสดงความคิดเหน็ โดยครยู ังไมเ่ น้นคาตอบที่ถกู ต้อง 2) ขั้นสำรวจและคน้ หำ (1) นกั เรยี นศกึ ษาความหมายและประเภทของกาแล็กซี จากใบความรหู้ รือในหนงั สือเรียน โดยครชู ว่ ยเชอื่ มโยง ความรู้ใหม่จากบทเรียนกับความรู้เดมิ ที่เรยี นรู้มาแล้ว ดว้ ยการใชค้ าถามนากระตนุ้ ใหน้ ักเรียนตอบจากความรู้และ ประสบการณ์ของนักเรียน (2) นักเรียนแบ่งกลมุ่ แต่ละกลุม่ ศึกษากิจกรรม สืบค้นข้อมูลกาแล็กซี และปฏิบัติกจิ กรรมตามข้ันตอนทว่ี างแผน ไว้ ดงั นี้ ศึกษาข้อมูลเก่ียวกบั กาแลก็ ซใี นประเด็นตอ่ ไปน้ี กาแล็กซีทเ่ี รารจู้ ัก (กาเนดิ และวิวฒั นาการของกาแลก็ ซี ส่วนประกอบของกาแล็กซี ประเภทของ กาแล็กซี) กาแล็กซีทางช้างเผือก กาแลก็ ซีเพื่อนบา้ นของเรา นาขอ้ มูลท่ีได้จากการสืบค้นมาร่วมกนั อภิปราย นาเสนอในรปู ของรายงาน และจดั ทาป้ายนเิ ทศแสดงผลงานของ กลมุ่ 3) ขั้นอธบิ ำยและลงข้อสรปุ (1) นกั เรยี นแต่ละกลุ่มร่วมกันอภิปรายผลของการปฏบิ ตั กิ ิจกรรม แลว้ ส่งตวั แทนออกมานาเสนอหน้าชนั้ เรยี น (2) ครแู ละนักเรยี นร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏบิ ตั กิ จิ กรรม โดยใช้แนวคาถาม เช่น กาแลก็ ซี คือ อะไร (ระบบดาวฤกษน์ ับแสนลา้ นดวงอยู่รวมกนั ดว้ ยแรงโน้มถ่วงระหว่างดาวฤกษ์กบั ดาวฤกษ์ และระหวา่ งดาวฤกษ์กบั หลุมดาที่มีมวลมหาศาลซึ่งอยู่กลางของกาแล็กซี และมีเนบิวลาซง่ึ เปน็ กล่มุ แกส๊ และฝุน่ ละอองซ่ึง เกาะกลุ่มอยู่ในที่วา่ งระหว่างดาวฤกษ์ เนบวิ ลาหลายแห่งมวี ิวฒั นาการเปน็ ดาวฤกษต์ อ่ ไป) ภายในกาแลก็ ซีประกอบด้วยอะไรบา้ ง (ดาวฤกษ์ หลุมดา เนบิวลา กล่มุ แกส๊ และฝ่นุ ละออง) กาแล็กซีมกี ีป่ ระเภท อะไรบ้าง (กาแล็กซีมี 3 ประเภท ได้แก่ กาแล็กซรี ูปไข่ กาแลก็ ซีรูปกังหัน และกาแลก็ ซีไร้ รูปรา่ ง) กาแล็กซีทางช้างเผอื กเปน็ กาแล็กซีประเภทใด (รูปกังหนั ธรรมดา)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203