เสภาเรอื่ งขุนชา้ งขนุ แผนมีผแู้ ตง่ หลายคน พระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลศิ หล้านภาลยั ทรง พระราชนพิ นธร์ ่วมกบั กวีแหง่ ราชสานัก พระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงพระราชนิพนธต์ อน พลายแก้วเปน็ ชู้กับนางพิม ตอนขุนแผนข้ึนเรือนของขุนช้างและเข้าห้องนางแก้วกิริยา และตอนนางวัน ทองหึงกับนางลาวทอง พระบาทสมเด็จพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งทรงดารงพระ อสิ ริยยศเป็นกรมหมน่ื เจษฎาบดนิ ทรท์ รงพระราชนพิ นธต์ อนขุนช้างขอนางพิม และตอนขนุ แผนพานางวนั ทองหนี สุนทรภแู่ ตง่ ตอนกาเนิดพลายงาม นอกจากนั้นยงั มกี วีอน่ื ๆ ช่วยกันแต่งอกี มาก ผแู้ ตง่ กวหี ลายทา่ น ลกั ษณะการแตง่ กลอนแปด วัตถุประสงคใ์ นการแต่ง ใช้ขบั เสภา เนื้อเรื่องย่อ กล่าวถึงครอบครัวของขุนไกรพลพ่ายรับราชการทหาร มีภรรยา ชื่อ นางทองประศรี มีลูกชายด้วยกันชื่อ พลายแก้ว ครอบครัวของขุนศรีวิชัย เศรษฐีใหญ่ของเมือง สุพรรณบุรี รับราชการเป็นนายกองกรมช้างนอก ภรรยาช่ือ นางเทพทอง มีลูกชายช่ือ ขุนช้าง ซ่ึง หัวลา้ นมาแตก่ าเนดิ และครอบครัวของพนั ศรโยธา เป็นพ่อค้า ภรรยาชอ่ื ศรปี ระจนั มลี กู สาวรปู รา่ ง หน้าตางดงามชื่อ นางพมิ พลิ าไลย วันหน่ึงสมเด็จพระพันวษา มีความประสงค์จะล่าควายป่า จึงสั่งให้ขุนไกรปลูก พลบั พลาและต้อนควายเตรียมไว้ แต่ควายปา่ เหล่าน้ันแตกตื่นไม่ยอมเข้าคอก ขุนไกรจึงใช้หอกแทง ควายตายไปมากมาย ที่รอดชีวิตก็หนีเข้าป่าไป สมเด็จพระพันวษาโกรธมากส่ังให้ประหารชีวิตขุน ไกรเสีย นางทองประศรีรู้ข่าวรีบพาพลายแก้วหนีไปอยู่ที่เมืองกาญจนบุรี ทางเมืองสุพรรณบุรี มี พวกโจรจันศรขึ้นปล้นบ้านของขุนศรีวิชัยและฆ่าขุนศรีวิชัยตาย ส่วนพันศรโยธาเดินทางไปค้าขาย ตา่ งเมือง พอกลบั มาถึงบ้านกเ็ ป็นไข้ป่าตาย เม่ือพลายแก้วอายุได้ ๑๕ ปี ก็บวชเณรเรียนวิชาอยู่ท่ีวัดส้มใหญ่ แล้วย้ายไปเรียน ต่อท่ีวัดป่าเลไลย ต่อมาท่ีวัดป่าเลไลยจัดให้มีเทศน์มหาชาติ เณรพลายแก้วเทศน์กัณฑ์มัทรี ซ่ึงนาง พิมพิลาไลยเป็นเจ้าของกัณฑ์เทศน์ นางพิมเล่ือมใสมากจนเปล้ืองผ้าสไบบูชากัณฑ์เทศ์ ขุนช้างเห็น เช่นนั้นก็เปล้ืองผ้าห่มของตนวางเคียงกับผ้าสไบของนางพิม อธิฐานขอให้ได้นางเป็นภรรยา ทาให้ นางพมิ โกรธ ตอ่ มาเณรพลายแก้วก็สกึ แล้วใหน้ างทองประศรมี าสขู่ อนางพมิ และแตง่ งานกัน ทางกรงุ ศรอี ยธุ ยาได้ข่าววา่ กองทัพเชียงใหม่ตีได้เมืองเชียงทอง ซ่ึงเป็นเมืองขึ้นของ กรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระพันวษาถามหาเชื้อสายของขุนไกร ขุนช้างซ่ึงเข้าไปรับราชการอยู่จึงเล่า เรื่องราวความเก่งกล้าสามาราถของพลายแก้ว เพื่อหวังจะพรากพลายแก้วไปให้ห่างไกลนางพิม สมเด็จพระพนั วษาจงึ ให้ไปตามตวั มาแล้วแต่งตง้ั ให้เป็นแม่ทัพไปรบกับเมืองเชียงใหม่และได้ชัยชนะ ๑๕๑
นายบ้านแสนคาแมนแห่งหมู่บ้านจอมทอง เห็นว่าพลายแก้วกับพวกทหารไม่ได้เบียดเบียนให้ ชาวบ้านเดอื ดรอ้ นจงึ ยกนางลาวทองลกู สาวของตนให้เปน็ ภรรยาของพลายแก้ว ส่วนนางพิมพิลาไลย เม่ือสามีจากไปทัพได้ไม่นานก็ป่วยหนักรักษาเท่าไรก็ไม่หาย ขรวั ตาจวู ดั ปา่ เลไลยแนะนาให้เปลยี่ นช่อื เปน็ วันทอง อาการไขจ้ งึ หาย ขุนช้างทาอุบายนาหม้อใหมใ่ ส่ กระดกู ไปใหน้ างศรปี ระจนั กบั นางวนั ทองดวู า่ พลายแก้วตายแลว้ และขูว่ า่ นางวนั ทองจะตอ้ งถกู คุมตวั ไวเ้ ป็นม่ายหลวงตามกฎหมาย นางวันทองไม่เชอ่ื แต่นางศรปี ระจนั คดิ วา่ จริง ประกอบกับเห็นว่าขุน ชา้ งเป็นเศรษฐีจึงบังคบั ใหน้ างวันทองแต่งงานกบั ขุนช้าง นางวนั ทองจาต้องตามใจแม่แต่นางไม่ยอม เข้าหอ ขณะน้นั พลายแก้วกลบั มาถึงกรุงศรีอยุธยาและไดบ้ รรดาศกั ดิเ์ ป็นแผนแสนสะท้าน จากนั้นก็ พานางลาวทองกลบั สุพรรณบุรีนางวนั ทองเห็นขุนแผนพาภรรยาใหม่มาด้วยก็โกรธด่าทอโต้ตอบกับ นางลาวทองและลืมตวั พดู กา้ วรา้ วขนุ แผน ทาใหข้ นุ แผนโมโหพานางลาวทองไปอยทู่ ีก่ าญจนบรุ ี ส่วน นางวนั ทองและลืมตัวพดู ก้าวร้าวขนุ แผน ทาให้ขุนแผนโมโหพานางลาวทองไปอยู่ท่ีกาญจนบุรี ส่วน นางวนั ทองก็ตกเปน็ ภรรยาของขุนช้างอยา่ งจาใจ ต่อมาขุนช้างและขุนแผนเข้าไปรับราชการอบรมในวังและได้มหาดเล็กเวรทั้งสอง คน วนั หน่งึ นางทองประศรีให้คนมาสง่ ข่าวว่า นางลาวทองปว่ ยหนกั ขนุ แผนจึงฝากเวรไว้กับขุนช้าง แล้วไปดูอาการของนางลาวทอง ตอนเช้าสมเด็จพระพันวษาถามถึงขุนแผน ขุนช้างบอกว่าขุนแผน ปนี กาแพงวังหนไี ปหาดภรรยา สมเด็จพระพนั วษาโกรธจงึ สัง่ ให้นาตวั นางลาวทองมากกั ไวใ้ นวัง ส่วน ขุนแผนให้ไปตระเวนดา่ นหา้ มเขา้ วงั อกี ทาให้ขนุ แผนแคน้ ขุนช้างมากคดิ ช่วงชงิ นางวันทองกลับคนื มา จงึ ออกหาของวเิ ศษ ๓ อย่าง คือ ดาบวเิ ศษ กมุ ารทอง และม้าฝีเท้าดี ขุนแผนเดินทางไปถึงซ่องโจร ของหมื่นหาญกส็ มคั รเขา้ เป็นสมนุ วันหนง่ึ ไดช้ ว่ ยชวี ติ หม่นื หาญใหร้ อดพน้ จากการถกู ววั แดงขวดิ ตาย หม่ืนหาญจึงยกนางบวั คลี่ลูกสาวของตนใหเ้ ปน็ ภรรยาของขนุ แผน ตอ่ มาหมน่ื หาญเห็นขุนแผนมวี ชิ าอาคมเหนือกวา่ ตนกค็ ิดกาจัด โดยสั่งให้นางบัวคลี่ วางยาพิษฆา่ ขุนแผน แต่โหงพรายมาบอกใหข้ นุ แผนรตู้ ัว คืนนัน้ พอนางบัวคลี่นอนหลับ ขุนแผนก็ผ่า ท้องนางควักเอาเด็กไปทาพิธีปลุกเสกเป็นกุมารทอง ต่อจากน้ันก็ทาพิธีตีดาบฟ้าฟ้ืนและไปซื้อม้า ลกั ษณะดไี ด้ตวั หนง่ึ ชื่อ มา้ สีหมอก แล้วขุนแผนก็ไปท่ีบ้านของขุนช้างสะกดคนให้หลับหมดแล้วขึ้น ไปบนบา้ นแต่เข้าหอ้ งผดิ จึงพบนางแกว้ กริ ยิ าและไดน้ างเป็นภรรยา จากนั้นก็ไปปลุกนางวันทองพา ขึ้นมา้ หนีเข้าปา่ ไป ขุนชา้ งไปฟ้องสมเดจ็ พระพนั วษา พระองคใ์ ห้ทหารตามจับขนุ แผน แต่ถูกขนุ แผน ฆา่ ตายไปหลายคน ขนุ แผนกบั นางวนั ทองหลบซ่อนอยใู่ นปา่ จนนางต้ังทอ้ งจึงพากนั ออกมามอบตัวสู้ คดีกับขุนช้างจนชนะคดี ขุนแผนนางวันทอง และนางแก้วกิริยาจึงอยู่ร่วมกันด้วยความสุข แต่ ขุนแผนนึกถึงนางลาวทองจึงขอร้องจมื่นศรีเสาวรักษ์ให้ขอตัวนางจากสมเด็จพระพันวษาทาให้ พระองค์โกรธวา่ ขุนแผนกาเริบจึงสั่งจาคกุ ขุนแผนไว้ นางแก้วกิรยิ าตามไปปรนนบิ ตั ขิ ุนแผนดว้ ย สว่ น ๑๕๒
นางวันทองพักอยู่ที่บ้านของหมื่นศรี ขุนช้างจึงพาพรรคพวกมาฉุดนางวันทองไปเป็นภรรยาอีก ต่อมานางกค็ ลอดลูกชาย แลว้ ตั้งช่อื ใหว้ ่าพลายงาม ขุนชา้ งรวู้ า่ ไม่ใชล่ กู ของตนกเ็ กลียดชัง วันหน่งึ จงึ หลอกพาเข้าไปในป่าทุบตีจนสลบแล้วเอาท่อนไม้ทับไว้ โหงพรายของขุนแผนมาช่วยได้ทัน นางวัน ทองจึงใหล้ ูกไปอยูก่ บั นางทองประศรที ีก่ าญจนบุรพี ลายงามไดร้ า่ เรยี นวชิ าของพอ่ เชี่ยวชาญ ขุนแผน จึงพาไปฝากไวก้ บั หมืน่ ศรี เพอื่ หาโอกาสใหเ้ ขา้ รับราชการ ทางฝ่ายพระเจ้าเชียงอินทร์ เจ้าเมืองเชียงใหม่ ให้ทหารไปชิงตัวนางสร้อยทองธิดา พระเจา้ ล้านช้างระหวา่ งทเ่ี ดินทางไปยังกรุงศรีอยุธยา เพราะพระเจ้าล้านช้างต้องการเป็นไมตรีด้วย จึงส่งธิดามาถวายตัวแล้วพระเจ้าเชียงอินทร์ยังส่งหนังสือท้าทายสมเด็จพระพันวษาอีกด้วย พลาย งามได้โอกาสจึงอาสาออกไปรบ และขอให้ปล่อยขุนแผนออกจากคุกด้วย เพ่ือจะได้ช่วยกันทาศึก ขุนแผนจึงพ้นโทษ ในขณะท่ีกาลังเตรียมทัพนางแก้วกิริยาก็คลอดลูกเป็นชาย ขุนแผนตั้งชื่อว่า พลายชุมพล แล้วขุนแผนกับพลายงามก็คุมทัพมุ่งสู่เชียงใหม่ ขุนแผนได้แวะเย่ียมพระพิจิตรกับนาง บษุ บาซงึ่ เคยให้ความช่วยเหลือ เมื่อครั้งขุนแผนกับนางวันทองเขา้ มอบตัว พลายงามจึงได้พบนางศรี มาลาและไดน้ างเป็นภรรยา จากน้ันก็คุมทัพไปรบกับเชียงใหม่ได้ชัยชนะ ครั้นกลับถึงกรุงศรีอยุธยา ขนุ แผนไดเ้ ปน็ พระสรุ ินฤาไชย เจา้ เมืองกาญจนบุรี พลายงามไดเ้ ป็นจมืน่ ไวยวรนาถ และสมเด็จพระ พันวษาก็ยกนางสร้อยฟ้าธดิ าของพระเจ้าเชยี งอินทร์ให้แต่งงานกับพระไวยพร้อม ๆ กบั นางศรมี าลา พระไวยอยากให้แม่มาอยกู่ บั ตนและคืนดกี ับพอ่ จึงไปลักพานางวันทองมาขุนช้างเคือง มากไปฟ้องสมเด็จพระพันวษา จึงมีการไต่สวนคดีกันอีกคร้ังหนึ่ง ในท่ีสุดสมเด็จพระพันวษาก็ถาม ความสมคั รใจของนางวา่ จะเลือกอยู่กับใคร นางตดั สนิ ใจไม่ได้ สมเด็จพระพันวษาหาวา่ นางเป็นหญงิ สองใจจึงส่ังให้นาตัวไปประหารชีวิต พระไวยพยายามอ้อนวอนขออภัยโทษได้ แต่ไปห้ามการ ประหารไม่ทนั ครอบครัวของพระไวยไม่ราบรื่นนัก เพราะนางสร้อยฟ้าไม่พอใจที่พระไวยและนาง ทองประศรรี กั นางศรมี าลามากกว่านาง จงึ มักจะมกี ารทะเลาะวิวาทกันอยเู่ สมอ นางสร้อยฟ้าเจ็บใจ จึงให้เถรขวาดทาเสน่ห์ให้พระไวยหลงรักนาง แล้วนางสร้อยฟ้าก็หาเรื่องใส่ความให้พระไวยตีนาง มาลา พลายชุมพลเข้าไปห้ามก็ถูกตีไปด้วย พลายชุมพลน้อยใจจึงหนีออกจากบ้านไปหาพ่อแม่ที่ กาญจนบุรีเล่าเรื่องให้ฟัง แล้วหนีต่อไปหายายที่สุโขทัย ได้บวชเณรและเล่าเรียนอยู่ที่น้ัน ฝ่าย ขุนแผนรีบไปทบ่ี า้ นของพระไวย แล้วเสกกระจกมนต์ให้ดูว่าถูกทาเสน่ห์ แต่พระไวยไม่เช่ือหาว่าพ่อ เล่นกลให้ดู และพูดลาเลิกบุญคุณที่ช่วยพ่อออกมาจากคุกขุนแผนแค้นมากประกาศตัดพ่อตัดลูก แล้วกลับกาญจนบุรีทันที พลายชุมพลเรียนวิชาสาเร็จแล้วก็นัดหมายกับขุนแผนจแก้แค้นพระไวย โดยพลายชุม พลสกึ จากเณรปลอมเป็นมอญ ใชช้ ่ือ สมิงมตั รา ยกกองทพั หุ่นหญา้ เสกมาถึงสุพรรณบุรี สมเด็จพระ พันวษา ให้ขุนแผนยกทัพไปต้านศึก ขุนแผนแกล้งแพ้ให้ถูกจับได้พระไวยจึงต้องยกทัพไปและต่อสู้ ๑๕๓
กับพลายชุมพล ระหว่างท่ีกาลังต่อสู้กัน ขุนแผนบอกให้พลายชุมพลจับตัวพระไวยไว้ พระไวยเห็น พ่อก็ตกใจหนีกับไปฟ้องสมเด็จพระพันวษาพระองศ์จึงให้นางศรีมาลาไปรับตัวขุนแผนกับพลายชุม พลเข้าวัง พลายชุมพลอาสาจับเสน่ห์ โดยขอหมื่นศรีไปเป็นพยานด้วย พลายชุมพลจับตัวเถรขวาด กับเณรจิ๋วไว้ แล้วขุดรูปปั้นลงอาคมท่ีฝ่ังไส้ใต้ดินขึ้นมาได้เสน่ห์จึงคลาย ตกดึกเถรขวาดกับเณรจิ๋ว สะเดาะโซ่ตรวนหนไี ป ในการไต่สวนคดนี างสร้อยฟ้า ไมย่ อมรบั ว่าเปน็ คนทาเสนห่ ์ และใสร่ ้ายว่านาง ศรีมาลาเป็นชู้กับพลายชุมพล พอนางจับได้พลายชุมพลก็หนีไปยุยงขุนแผน ในท่ีสุดก็มีการพิสูจน์ ความบริสุทธ์ิโดยการลุยไฟนางสร้อยฟ้าแพ้ถูกไฟลวกจนพุพอง ส่วนนางศรีมาลาไม่เป็นอะไรเลย สมเด็จพระพันวษาส่ังประหารนางสร้อยฟ้า แต่นางศรีมาลาช่วยขออภัยโทษให้ จึงเพียงถูกเนรเทศ กลบั ไปอยทู่ เ่ี ชียงใหม่เชน่ เดมิ ระหวา่ งเดนิ ทางกพ็ บเถรขวาดกบั เณรจ๋วิ จึงเดินทางไปดว้ ยกนั กลบั ถึง เชียงใหม่ได้ไม่นานกนางก็ให้กาเนิดลูกชาย ช่ือ พลายยง ส่วนนางศรีมาลาก็คลอดลูกชายเช่นกัน ขุนแผนตั้งชื่อให้ว่า พลายเพชร พระเจ้าเชียงอินทร์ ต้ังเถรขวาด เป็นพระสังฆราชเพื่อตอบแทน ความดีความชอบท่ีพานางสร้อยฟ้าท่ีกลับบ้านเมืองได้อย่างปลอดภัย แต่เถรขวาดยังแค้นพลายชุม พล จึงเดินทางมาที่กรุงศรีอยุธยา แปลงเป็นจระเข้อาละวาดฆ่าคนและสัตว์เลี้ยงไปมากมาย พลาย ชุมพลจงึ อาสาออกปราบจระเขจ้ นสาเร็จ ไดตัวเถรขวาดมาประหารชีวิต พลายชุมพลได้บรรดาศักดิ์ เปน็ หลวงนายฤทธ์ิ นบั จากน้นั เป็นต้นมาทุกคนอยูก่ ันอย่างมคี วามสขุ ตวั อยา่ ง ขุนแผนปลกุ กุมารทอง วางย่ามเปดิ กลักแลว้ ชักชดุ ตีเหลก็ ไฟจุดเทยี นข้นึ แดงรา่ เอาไมช้ ยั พฤกษพ์ ระยายา ปักเปน็ ขาพาดกนั กมุ ารวาง ยันตน์ ารายณแ์ ผลงฤทธป์ิ ดิ ศรษี ะ เอายันตร์ าชะปะพน้ื ล่าง ยันตน์ ารายณฉ์ ีกอกปกปดิ กลาง ลงยนั ต์นางพระธรณที ่ีพนื้ ดนิ เอาไมร้ ักปกั เสาข้นึ สท่ี ิศ ยันต์ปดิ ปกั ธงวงสายสิญจน์ ลงเพดานยนั ต์สงั วาลอัมมรนิ ทร์ กพ็ รอ้ มส้นิ ในตาราถูกทา่ ทาง เอาไม้มะริดกนั เกราเถากันภัย ก่อชุดจุดไฟใส่พ้ืนล่าง ต้งั จิตสนทิ ดไี ว้ท่ีทาง ภาวนานงั่ ย่างกมุ ารทอง ตัวอย่าง ขุนแผนตดี าบฟา้ ฟนื้ จะจดั แจงตีดาบไว้ปราบศกึ ตรองตรึกหาเหล็กไวห้ นักหนา ไดเ้ สร็จสมอารมณ์ตามตารา ท่านวางไวใ้ นมหาศาสตราคม เอาเหล็กยอดพระเจดียม์ หาธาตุ ยอดปราสาททวารามาประสม ๑๕๔
เหล็กขนนั ผพี รายตายทงั้ กลม เหลก็ ตรึงโลงตรึงปั้นลมสลักเพชร หอกสมั ฤทธิก์ รชิ ทองแดงพระแสงหัก เหลก็ ปฏักสลกั ประตูตะปูเห็ด พรอ้ มเหลก็ เบญจพรรณกัลเมด็ เหลก็ บา้ นพรอ้ มเสรจ็ ทกุ สง่ิ แแท้ เอาเหลก็ ไหลหลอ่ บ่อพระแสง เหล็กกาแพงนา้ พี้ท้งั เหล็กแร่ ทองคาสมั ฤทธ์นิ ากอแจ เงินท่แี ท้ชาติเหล็กทองแดงดง เอามาสุมคมุ ควบเขา้ เป็นแท่ง เผาใหแ้ ดงตแี ผแ่ ช่ยาผง ไว้สามวันซัดเหล็กนั้นเล็กลง ยงั คงแตพ่ องามตามตารา ซัดเหลก็ ครบเสร็จถงึ เจ็ดครง้ั พอกระทง่ั ฤกษเ์ ข้าเสารส์ บิ ห้า กต็ ดั ไม้ปลกู ศาลข้ึนเพียงตา แล้วจดั หาสารพดั เคร่อื งบตั รพลี คุณค่า เสภาขุนช้างขุนแผนสามารถฉายภาพสังคมและวัฒนธรรมสมัย รัตนโกสินทร์ตอนต้นได้เป็นอย่างดี ผู้อ่านสามารถมองเห็นวิถีชีวิตของคนยุคนั้นได้ต้ังแต่เกิดจนถึง เสียชีวิต และยังสะท้อนการเมืองการปกครองในยุคนั้นด้วย เสภาเรื่องน้ียังมีความดีเด่นในด้าน เน้ือความทสี่ นุกสนาน และสานวนกลอนไพเราะ นิยมนามาขับเสภา โดยก่อนสมัยรัชกาลท่ี ๒ ขับ อยา่ งเล่านิทาน ไมม่ ปี พี่ าทย์ ขับกันสองคนขึ้นไป โดยผลัดกันขับแต่งกลอนสดขับ มาในรัชกาลท่ี ๒ มกี ารใช้ปี่พาทย์ คนขบั กบั ขบั คนเดยี วผลัดกบั วงปี่พาทย์ ต่อมาในสมัยรัชกาลท่ี ๔ มีเสภาคู่ปี่พาทย์ เรือ่ ยมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ หมอสมิธตีพิมพ์ขับเสภาข้ึนเป็นคร้ังแรก ในปี จ.ศ.๑๒๓๔ หรือ พ.ศ. ๒๔๑๕ วรรณคดสี โมสรในรชั กาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ยกย่องวรรณคดีเร่ือง ขุนชา้ งขุนแผนวา่ เป็นยอดแห่งกลอนเสภา ๕.๓.๕ นริ าศ ๙ เร่ือง นิราศ ๙ เร่ืองของสุนทรภู่ เป็นนิราศที่ได้รับความนิยมและแพร่หลายมาจนถึง ปัจจุบัน สุนทรภู่แต่งนิราศโดยใช้คาประพันธ์ประเภทกลอนนิราศ ๘ เร่ือง อีกเรื่องใช้โคลง ท้ัง ๙ เรอื่ งมปี ระวัตคิ รา่ ว ๆ (ศลิ ปากร, กรม, ๒๕๔๓) ดังน้ี นิราศเมืองแกลง แต่งเม่ือ พ.ศ.๒๓๔๙ เป็นนิราศเรื่องแรกของสุนทรภู่ คราวสุนทรภู่เดินทางไปหาบิดาท่ีบ้านกรา่ อาเภอแกลง จงั หวดั ระยอง นิราศพระบาท แต่งปลายปี ๒๓๕๐ ขณะเป็นมหาดเล็กคราวตามเสร็จ พระองคเ์ จ้าปฐมวงศ์ พระโอรสองคน์ อ้ ยของกรมพระราชวังหลงั ไปนมสั การพระพทุ ธบาท สระบรุ ี นิราศภูเขาทอง แต่งเม่ือ พ.ศ. ๒๓๗๑ คราวขึ้นไปอยุธยา นมัสการเจดีย์ ภูเขาทอง โดยเดินทางทางเรือ ๑๕๕
นิราศวัดเจ้าฟ้า แต่งเมื่อสุนทรภู่ยังเป็นพระภิกษุอยุ่ คราวไปวัดเจ้าฟ้า อากาศ แขวงจังหวัดอยธุ ยา ในปี พ.ศ.๒๓๗๕ แต่แต่งใหเ้ ป็นสานวนเณรพดั ผู้บตุ ร นริ าศอิเหนา แต่งถวายพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เข้าลักขณานุคุณ ใน คราวฝากตวั พึ่งพระบารมีอยใู่ นเวลานนั้ โคลงนริ าศสุพรรณ แต่งคราวไปเมอื งสุรรณ ในปี ๒๓๘๔ ราพันพิลาป แต่งข้ึนตามความฝันของสุนทรภู่ในขณะยังบวชอยู่ ณ วัด เทพธดิ าราม น่าจะประมาณปี พ.ศ. ๒๓๘๕ นิราศพระประธม แต่งในคราวไปนมัสการพระปฐมเจดีย์ ในปี พ.ศ.๒๓๘๕ หลงั จากลาสกิ ขาบทแลว้ นิราศเมืองเพชร แต่งคราวอาสาพระป่ินเกล้า ฯ ไปหาของต้องประสงค์ท่ี เมอื งพรบิ พรหี รือเพชรบรุ ี (แตไ่ ม่ปรากฏวา่ เป็นของอะไร) ผแู้ ต่ง สนุ ทรภู่ ลกั ษณะการแต่ง นริ าศ ๘ เรื่อง แต่งเป็นกลอนเพลงยาว มีนิราศสุพรรณเรื่อง เดียวท่ีแตง่ เป็นโคลงส่ีสภุ าพ วตั ถปุ ระสงคใ์ นการแต่ง พรรณนาอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดท่ีต้องออกเดินทาง จากท่ีหนึง่ อกี ทห่ี นงึ่ แต่นิราศอเิ หนาเป็นนิราศท่ีสมมุตขิ น้ึ เนอ้ื เร่ืองยอ่ เน้อื หานริ าศ ๙ เรื่อง (นามานุกรมวรรณคดีไทย, ออนไลน์) มดี งั นี้ นิราศเมืองแกลง เป็นนิราศคากลอนเร่ืองแรกของสุนทรภู่ มีความ ยาว ๒๔๘ บท เล่าเรื่องการเดินทางไปหาบิดาที่วัดป่า ตาบลบ้านกร่า อาเภอแกลง จังหวัดระยอง เมอื่ กลางเดือน ๗ พ.ศ. ๒๓๕๐ สุนทรภู่แตง่ นริ าศเรื่องน้ีเมื่ออายุย่าง ๒๒ ปี ขณะนั้นยังเป็นโสด แต่ลอบรักอยกู่ ับแมจ่ นั เมื่อความทราบถงึ กรมพระราชวังหลังจึงถูกลงโทษจาคุกท้ังสองคน เม่ือพ้น โทษสุนทรภู่ออกเดินทางไปเย่ียมบิดาท่ีบวชอยู่ท่ีเมืองแกลง และอาจตั้งใจท่ีจะบวชด้วยเพราะอายุ ครบบวชอีกทง้ั เป็นการล้างอัปมงคลทถ่ี กู จองจาแต่บังเอญิ ปว่ ย นริ าศพระบาท เนอ้ื หากลา่ วถึงการเดินทางไปนมัสการรอยพระพุทธบาทท่ี จังหวัดสระบุรีและมีบทราพันถึงนางอันเป็นที่รักตามขนบวรรณคดีนิราศ โคลงนิราศพระพุทธบาท เรื่องเริ่มด้วยคาราพันถึงหญิงคนรักแล้วเล่าการเดินทางผ่านวัดตองปุซึ่งมีชาวมอญอาศัยอยู่จานวน มาก ผ่านบ้านกระทุ่ม หนองคนที บางโขมด และบ้านแม่ลา ตอนท้ายกวีกล่าวถึงคุณสมบัติ ๓ ประการท่ีสตรีใช้พิฆาตบุรุษคือดวงเนตร เสียงเสนาะ และรูปโฉมว่าเหมือนศร ๓ เล่มที่พระราม แผลงไปสงั หารอสูร ๑๕๖
นิราศภูเขาทอง เน้ือหากล่าวถึงสุนทรภู่เดินทางเพ่ือไปนมัสการพระเจดีย์ ภูเขาทอง วัดภูเขา ท่ีอยุธยา โดยเดินทางทางเรือพร้อมกับพัดบุตรชายท่ีเกิดจากนางจันภรรยาคน แรกของสุนทรภู่ ในเดือน ๑๑ ช่วงออกพรรษาและรับกฐินแล้ว จากวัดราชบูรณะล่องเรือผ่าน สถานที่ต่าง ๆ จนถึงสถานที่ปลายทางคือพระเจ ดีย์ภูเขาทอง วัดภูเขาทอง จังหวั ด พระนครศรีอยุธยา สุนทรภู่ได้ไปกราบนมัสการพระบรมธาตุท่ีบรรจุในพระเจดีย์ภูเขาทอง ณ ท่ีนี้ สนุ ทรภู่พบพระธาตใุ นเกสรดอกบัวจงึ อัญเชิญใส่ขวดแกว้ นามาวางไว้ทหี่ วั นอนเพ่ือบูชา แต่เม่ือถึงรุ่ง เชา้ พระธาตุกลับหายไป ทาให้สนุ ทรภ่เู สยี ใจมาก หลงั จากนัน้ จงึ เดินทางกลับกรงุ เทพฯ และขึ้นบกท่ี ท่าน้าวดั อรณุ ราชวราราม นิราศเมอื งเพชร เลา่ เรอ่ื งการเดนิ ทางไปเพชรบุรีประมาณเดือนย่ีหรือเดือน สามในปีพ.ศ. ๒๓๘๔ ขณะน้ันสุนทรภู่มีอายุได้ ๔๖ ปี มีบุตรชายช่ือพัดและนิลรวมทั้งลูกศิษย์ ติดตามไปด้วย สุนทรภู่ได้อาสาไปทากิจธุระถวายเจ้านายพระองค์หนึ่ง ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็น พระองค์เจ้าลักขณานุคุณ เข้าใจว่าสุนทรภู่แต่งนิราศเร่ืองน้ีในขณะท่ีเป็นภิกษุ เน่ืองจากมีข้อความ หลายตอนกล่าวถึงการอทุ ิศส่วนกุศลใหแ้ กผ่ ู้อนื่ เชน่ เมอ่ื ผา่ นบา้ นหม่อมบุนนาคกล่าวว่า “ยังยากไร้ ไม่มีของสนองคุณ ขอแบ่งบุญให้ท่านท่ัวทุกตัวคน” หรือเม่ือไปเย่ียมภรรยาของขุนแพ่งก็กล่าวว่า “ไดส้ วดบังสกุ ลุ แบ่งบุญไป ใหท้ า่ นได้สู่สวรรค์ชนั้ วมิ าน” นริ าศวดั เจา้ ฟ้า เลา่ เรอ่ื งว่า กวีเดินทางพร้อมนอ้ ง บิดา และศิษย์ของบิดา รวม ๔ คน ออกจากวัดพระเชตพุ นวิมลมังคลารามในตอนเยน็ ระหว่างทางกวีบรรยายสถานทที่ ่ีผ่าน เชน่ วดั ระฆงั โฆสติ ารามวรมหาวหิ าร ปากง่ามบางกอกนอ้ ย บางขุนพรหม บางจาก บางพลู บาง อ้อ บางซ่อน บางแก้ว ฯลฯ จากนั้นเข้าสู่ปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี กวีเล่าว่ามีชาวมอญต้ัง บา้ นเรอื นอยจู่ านวนมากครั้นไปถงึ บา้ นลาวเหน็ ชาวลาวเจาะหูยานใหญ่ต่างกับพวกลาวในกรุงเทพฯ ท่ีสวมซิ่นและสาอางมากกว่า ในคืนแรกกวีพักที่วัดมอญเชิงรากซึ่งมีบรรยากาศน่ากลัว รุ่งเช้าจึง เดินทางตอ่ เมอ่ื ไปถงึ สามโคกจังหวัดปทุมธานี บิดาได้เล่านิทานบอกท่ีมาของเมืองสามโคก เมื่อถึง วัดพนัญเชิงวรวิหาร จังหวัดพระนครศรอี ยุธยา บิดาเล่าว่าพระใหญ่ซ่ึงเป็นที่นับถือของชาวไทยและ ชาวจีนบริเวณน้ันมีความศักดิ์สิทธิ์มาก หากบ้านเมืองเดือดร้อนองค์พระจะพังทรุด หากบ้านเมือง ร่มเย็นพระพักตร์จะอ่ิมงาม จากนั้นกวีข้ึนฝั่งท่ีศาลาท่าน้าวัดโสมนัสเพ่ือหาดอกไม้บูชาพระแล้วลง เรือเข้าสู่คลองสวนพลูซึ่งร่มร่ืนมาก ท้ังหมดค้างคืนท่ีวัดใหญ่ชัยมงคล ในคืนน้ันมีการทาพิธีจับแร่ ปรอทโดยใชน้ า้ ผ้ึง บิดาสามารถจับแรป่ รอทได้ ๓ องค์ แต่คร้ันรุ่งสางแรป่ รอทท้ังสามก็หนีไป บิดา จึงเดนิ ทางตามลายแทงไปหายาอายุวัฒนะท่วี ัดเจ้าฟา้ อากาศนาถนรนิ ทร์ ยานั้นอยใู่ นตุ่มฝั่งไว้ใตฐ้ าน พระในโบสถ์ เมื่อถึงวดั ในยามคา่ บิดาเรมิ่ ทาพธิ ีเพอื่ ขดุ ยาอายุวฒั นะ เกิดลมพัดแรง ฝนตกหนกั ไม่ ๑๕๗
สามารถทาพิธีต่อไปได้ คร้ันรุ่งสางย่าม ผ้าห่ม และตาราถูกลมพัดหายไป บิดาจึงเลิกคิดจะขุดยา อายุวัฒนะเพราะเกรงอาเพศ ทงั้ หมดเดนิ ทางกลับกรุงเทพฯ นิราศอเิ หนา เร่ืองเริม่ เมอื่ นางบษุ บาถูกลมหอบไป อเิ หนาราพันถงึ นางด้วย ความเศร้าโศก คร้ันตามหานางไม่พบอิเหนาก็กลับวัง แล้วตรอมใจจนซูบผอม กระท่ังผ่านไป ๗ เดือน อิเหนาจงึ ไปสวดมนต์บนภเู ขาเพอื่ ใหจ้ ติ ใจสงบแตก่ ็ไมเ่ ป็นผล โคลงนิราศสุพรรณ เน้ือหาส่วนใหญ่ของนิราศสุพรรณพรรณนาสภาพภูมิ ประเทศและสถานท่ีต่างๆ ตามเส้นทางที่ผ่านไป โดยแทรกบทคร่าครวญและชีวิตความเป็นมาของ กวีตลอดจนนิทานชาวบ้านและตานานสถานทไ่ี ว้ด้วย วัตถุประสงคใ์ นการแตง่ การเดินทางครั้งน้ีเพ่ือ ไปค้นหาแร่ปรอทในป่า แต่พบอุปสรรคต่างๆ มากมาย ในท่ีสุดกวีต้องเดินทางกลับโดยไม่ได้แร่ ปรอทและยาอายุวัฒนะตามท่ตี ้องการ ราพันพิลาป มีเนื้อความเล่าเรื่องราวความหลังอันระทมทุกข์ของสุนทรภู่ นบั ตัง้ แต่ออกจากราชการตง้ั แตต่ ้นสมัยรัชกาลที่ ๓ ในปีพ.ศ. ๒๓๖๗ จนได้มาอยู่วัดเทพธิดารามซ่ึง ขณะนน้ั พระภปู่ ระสบกับความทุกขย์ ากตา่ ง ๆ นานา เช่น อัตคัดขัดสนเร่ืองข้าวของเครื่องใช้ มีแต่ เสื่อขาด ๆ และไม่มมี ้งุ กันยงุ และขาดไฟท่ีเคยมีใชใ้ นเวลาคา่ คนื นอกจากน้ยี งั มีศัตรูทั้งในวังและใน วัด ด้วยความลาบากดังกล่าวพระภู่จึงคิดท่ีจะออกเดินทางไปยังท่ีต่าง ๆ เพื่อแสวงหาแร่ปรอทที่ สามารถแปรให้เป็นทองได้ จะได้มั่งมีเงินทอง ต่อมาพระภู่ตั้งจิตปรารถนาท่ีจะหลับและฝันไป ท้ัง ขอให้ความฝนั ดงั กลา่ วช่วยบอกเหตุดรี า้ ยให้แก่พระภดู่ ้วย หลงั จากนนั้ ก็กลา่ วเร่อื งราวตามความฝัน วา่ พระภู่ว่ายน้าอย่างเดียวดายในท้องทะเล แล้วมี “นารีรุ่น” ช่วยพาพระภู่มาอยู่ท่ีวัดแห่งหนึ่ง ได้ พบนางฟ้าหลายองค์ นางฟ้าท่ีสวยท่ีสุดทรงมงกุฎ พระธิดาได้นิมนต์พระภู่ให้ไปอยู่ยังสวรรค์ หลังจากนั้นนางฟ้าเหล่าน้ันก็เหาะลอยหายลับไป ทาให้พระภู่เศร้าใจที่ไม่อาจติดตามนางไปได้ ขณะนั้นมี “นางเมขลา” ถอื ดวงแก้วมาหาพระภู่ และรับปากกับพระภู่ว่าจะช่วยให้สมหวัง ต่อมา พระภู่ตื่นจากฝันและสงสัยว่านางฟ้าท่ีมาเข้าฝันคือใคร ต่อจากนั้นก็เป็นการราพันถึงวัตถุและ สถานที่ในวดั เทพธิดารามดว้ ยความอาลยั นริ าศพระประธม เร่มิ บทนริ าศด้วยการครวญถึงนางทต่ี อ้ งห่างไกลกัน แล้ว จึงบรรยายและพรรณนาการเดินทางเพ่ือไปนมัสการพระประธม(พระปฐมเจดีย์) และพระประโทน โคลงนิราศเร่ืองนี้มีความเด่นด้านวรรณศิลป์ ท้ังยังมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เป็น แหล่งข้อมลู ด้านภมู ศิ าสตร์ท้องถิ่น ตานานสถานท่ี ภาษา วรรณคดี วิถีชีวิต ความคิดความเช่ือ ซึ่ง กวถี ่ายทอดเร่ืองราวท่ีพบเห็นตามรายทาง ได้สัมพันธ์กันอย่างกลมกลืนกับการแสดงความรู้สึกนึก คิด เช่ือมโยงกับการราพนั ถึงนางผู้เป็นท่ีรกั ๑๕๘
คุณค่า นิราศของสุนทรภู่นับว่ายอดเย่ียมในด้านการประพันธ์ ใช้ถ้อยคาโวหาร ไพเราะคมคาย มักใช้คาง่ายหากแต่สะเทือนอารมณ์ แสดงความอาลัยรักได้อย่างลึกซึ้ง ใช้ความ เปรียบไดอ้ ย่างดี เชน่ ในนิราศพระบาท ถงึ เกาะเกดิ เกิดเกาะข้ึนกลางน้า เหมอื นเกิดกรรมเกดิ ราชการหลวง จึงเกดิ โศกขดั ขวางขึ้นกลางทรวง จะตักตวงไวก้ ็เตบิ กวา่ เกาะดิน ราพึงพายตามสายกระแสเชี่ยว ยิ่งแสนเปลี่ยวเปล่าในฤทัยถวิล สกั คร่หู นึ่งก็มาถึงบางเกาะอิน กระแสสนิ ธุ์สายชลเปน็ วนวัง อนั เทจ็ จริงสิ่งนี้ไมร่ ้แู น่ ไดย้ นิ แต่ยุบลแตห่ นหลัง ว่าทีเ่ กาะบางอออินเปน็ ถน่ิ วงั กษัตรยิ ์ครง้ั ครองศรอี ยธุ ยา พาสนมออกมาชมคณานก กเ็ รอ้ื รกร้ังรา้ งเป็นทางป่า อนั คาแจ้งกบั เราแกล้งสงั เกตตา กเ็ ห็นนา่ ที่จะแนก่ ระแสความ แตเ่ ด๋ยี วนม้ี ีไมก้ ต็ ายโกรน๋ ทัง้ เกดิ โจรจระเข้ให้คนขาม โอฉ้ ะนีแ้ กว้ พ่ีเจา้ มาตาม จะวอนถามย่านนา้ พ่รี า่ ไป กลอนนิราศของสุนทรภู่ยังพรรณนาส่ิงที่ได้พบเห็นโดยทาให้ผู้อ่านเกิดจินตภาพได้ อย่างดี เชน่ ในนริ าศภูเขาทอง ถึงบ้านงวิ้ เห็นแต่ง้ิวละลิ่วสงู ไม่มฝี ูงสัตวส์ งิ ก่งิ พฤกษา ดว้ ยหนามดกรกดาษระดะตา นกึ กน็ ่ากลวั หนามนกึ ขามขามใจ ง้วิ นรกสบิ หกองคลุ ีแหลม ดงั ขวากแซมเส้ียมแซกแตกไสว ใครทาชูค้ ูท่ า่ นครั้นบรรลยั ก็ตอ้ งไปปีนต้นน่าขนพอง เราเกิดมาอายุเพียงนแี้ ล้ว ยังคลาดแคล้วครองตัวไม่มัวหมอง ทกุ วันนี้วปิ ริตผิดทานอง เจียนจะต้องปนี บ้างหรอื อยา่ งไร นริ าศของสนุ ภรภู่ยงั ทาให้เห็นภูมิศาสตร์ตามสถานที่ที่สุนทรภู่เดินทางไป ท้ังยังสอดแทรก คตธิ รรมในการใชช้ วี ิตด้วย ๕.๓.๖ พระอภยั มณี พระอภัยมณเี ปน็ นิทานคากลอนเรือ่ งยาวท่ีได้รับความนยิ มอย่างมาก สนั นิษฐานกัน ว่าสุนทรภู่แต่งในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และคงจะแต่งเสร็จในรัชกาล พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจ้าอยู่หวั สนุ ทรภูใ่ ช้ความคดิ จติ นาการสร้างเรอื่ งราวของตวั ละครและ ๑๕๙
เหตุการณค์ ลา้ ยกบั การผจญภัย ตัวละครมีความแปลกประหลาดจากการรับรู้ของผอู้ า่ นและขนบวร รณคดไี ทย ชลดา เรอื งรักษ์ลิขิต (๒๕๔๘) กล่าวถึงการแต่งพระอภัยมณีของสุนทรภู่ไว้ว่า “สุนทรภู่ มไิ ดน้ าเนื้อหาจากชาดกหรือนิทานพื้นเมืองมาแต่งเหมือนกวีท่ัวไป แต่ปรุงแต่งเนื้อหาของเร่ืองพระ อภัยมณขี น้ึ ใหม่ โดยคดั สรรข้อมลู ทไ่ี ด้จากแหลง่ ตา่ ง ๆ บ้างมาจากจินตนาการของสุนทรภู่เอง บ้าง มาจากเรือ่ งทไี่ ด้อ่านได้ฟังมา และบา้ งมาจากเหตุการณท์ ่ไี ดพ้ บเห็นในสังคมไทย ดา้ นตัวละครนั้นก็มี ตวั ละครหลากหลายชาตพิ นั ธ์ุ ตัวละครส่วนใหญม่ เี อกลกั ษณข์ องตนเอง” การแต่งเร่ืองพระอภัยมณีนี้ สุนทรภู่ยังน่าจะได้รับอิทธิพลจากวรรณคดีต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิง่ วรรณคดีจีน มาผสมผสานสร้างสรรค์เป็นเรื่องพระอภัยมณี ดงั เช่น อทิ ธพิ ลจาก เร่ืองสามก๊ก ตอนอุบายเผาเรือ ที่ปรากฏในตอนนางละเวงวัณฬาทาอุบายเผากองทัพเรือของพระ อภยั มณีทีย่ กไปตเี มืองใหม่ จนกองทัพของพระอภัยมณตี ้องถอยร่นไมเ่ ปน็ ขบวน เหตุการณ์ในตอนนี้ คล้ายกับเหตุการณ์ในสามก๊ก ตอนโจโฉแตกทัพเรือ เพราะอุบายของจิวยี่และขงเบ้ง หรืออิทธิพล จากเร่ืองไซฮ่ัน ซึ่งเป็นเรือ่ งท่ีกรมพระราชวงั หลงั อานวยการแปล สุนทรภู่น่าจะนาเพลงปขี่ องเตียงเห ลียงสร้างใหพ้ ระอภยั มณมี ีวชิ าเปา่ ปี่ โดยทงั้ พระอภัยมณแี ละเตียงเหลียงต่างความสามารถเป่าปี่ให้ คนฟังเกิดอารมณ์ความรู้สึกได้ตามปรารถนา ดังเช่น ตอนพระอภัยมณีเป่าป่ียุติทัพของนางละเวง วัฒฬา เน่ืองจากฝ่ายเมืองผลึกกาลังเพลี่ยงพล้า เพราะศรีสุวรรณและสินสมุทต่างติดรถกลของนาง ละเวงวัณฬา พระอภัยมณีได้เป่าปี่ให้หยุดทัพ เช่นเดียวกับเตียงเหลียง เตียงเหลียงมีความ เช่ยี วชาญในการเป่าปี่ จงึ อาสาพระเจา้ ฮัน่ อ๋องไปเปา่ ปบ่ี นภูเขาเพ่ือให้ทหารของพระเจ้าฌอ้ ปาออ๋ งท่ี ฟังเพลงปี่เกิดความเศร้าสลดใจ กลัวตายและคิดถึงบ้าน จะได้ชวนกันหนีทัพกลับไป (ร่ืนฤทัย สัจจพันธ,์ุ ๒๕๕๘, หน้า ๑๔๑) ผู้แตง่ สนุ ทรภู่ ลักษณะการแต่ง กลอนแปด วตั ถุประสงคใ์ นการแต่ง สันนิษฐานกันวัตถุประสงค์ในการแต่งนั้นตอนต้นเรื่อง คงแต่งเพื่อขายฝีปากเล้ียงตัวในเวลาที่ติดคุก ตอนต่อมาแต่งถวายพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ และ กรมหมน่ื อปั สรสุดาเทพ เพ่ือสนองคณุ ทใ่ี หก้ ารอุปการะ เนื้อเร่ืองย่อ กรุงรัตนามีท้าวสุทัศน์และพระนางประทุมเกสรเป็นผู้ครองเมือง ทั้งสองมีพระโอรสสององค์ คือ พระอภัยมณีและศรีสุวรรณ และส่งให้ทั้งสองไปเรียนศิลปวิทยา พระอภัยมณีจบวิชาป่ี ส่วนศรีสุวรรณจบวิชากระบ่ีกระบอง เมื่อสาเร็จวิชาแล้ว ท้ังสองได้กลับคืนสู่ พระนคร เม่ือพระบดิ าทราบว่าบุตรทั้งสองเรียนวิชาทไี่ มค่ ูค่ วรแก่การเปน็ กษัตรยิ ์ จงึ ทรงกรวิ้ และขับ ไลท่ งั้ สองออกจากพระนคร ทั้งสองเดินทางไปจนถึงชายทะเล ได้พบกับพราหมณ์ ๓ คน คือ โมรา สานนท์ และวิเชียร ท้ังหมดผูกสมัครเป็นมิตรกัน จากน้ันพระอภัยมณีได้เป่าปี่ให้คนท้ังหมดฟัง จน ๑๖๐
เคลิบเคล้ิมหลับไป เพลงป่ีดังไกลไปถึงนางผีเส้ือสมุทรที่อาศัยอยู่กลางทะเล เม่ือนางผีเส้ือสมุทรได้ ฟงั เสยี งปก่ี ต็ ามเสยี งมาจนพบและตกหลมุ รักพระอภยั มณี นางจงึ ลกั พาตัวพระอภัยมณีให้กลับไปอยู่ บนเกาะกับนาง นางผีเส้ือสมุทรจาแลงกายเป็นหญิงหน้าตาสวยงาม และแม้พระอภัยจะรู้ท้ังรู้ว่า นางงามผู้นี้คือนางยักษ์ แต่ไม่อาจจะหนีไปไหนได้ ทั้งสองจึงอยู่กินกันจนให้กาเนิดบุตรชายร่วมกัน ชื่อว่า สินสมุทร ด้านศรีสุวรรณกับสามพราหมณ์ เมื่อต่ืนจากการหลับใหลแล้วไม่พบพระอภัยมณี เท่ยี วคน้ หาจนไปถึงเมอื งรมจกั รทงั้ สรี่ ่วมกันสศู้ กึ ปอ้ งกันเมอื ง และได้พบกับนางเกษราผเู้ ป็นธดิ าของ เจ้าเมือง ศรีสวุ รรณจึงไดอ้ ภเิ ษกกับนางเกษรา และให้กาเนิดพระธดิ าชื่อว่า นางอรณุ รัศมี วันหนึ่งสินสมุทรออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกจนพบเจอกับพ่อเงือกแม่เงือกคู่หนึ่ง สินสมุทรจึงจับตัวเงือกคู่นั้นมาให้พ่อดู พ่อเงือกและแม่เงือกวอนขอให้พระอภัยไว้ชีวิตและยื่นขอ เสนอว่าจะพาตัวพระอภัย หนี พระอภยั เห็นดว้ ยกับความคิดนี้ จึงออกอุบายใหน้ างผีเสื้อไปถอื ศีลบน เขา ๓วนั ๓ คนื ระหว่างท่ีนางผีเส้อื สมุทรไมอ่ ยู่ พระอภัยกพ็ าสินสมุทรหลบหนี พ่อเงือกแม่เงือกพา พระอภัยและสนิ สมทุ รหนมี าจนเกือบถงึ เกาะแกว้ พิสดาร กพ็ อดกี บั ที่นางผีเสื้อรตู้ วั และตดิ ตามมาทัน เมื่อตามมาทันนางผีเส้ือก็ฆ่าพ่อเงือกแม่เงือกทิ้ง ส่วนนางเงือกผู้เป็นลูกก็พาพระอภัยกับสินสมุทร หนีตอ่ ไปอกี จนถึงเกาะแก้ว พิสดาร บนเกาะแหง่ น้ี เป็นที่อยู่ของพระฤๅษผี มู้ ฤี ทธมิ์ าก นางผเี ส้ือจึงไม่ กล้าจะทาอะไร และปลอ่ ยให้ทงั้ หมดอาศัยอยู่บนเกาะแก้วพิสดารอย่างปลอดภัย ฝ่ายพระอภัยก็ได้ นางเงือกเปน็ ภรยิ า เมืองผลึก มีท้าวสิลราชกับพระนางมณฑาเป็นผู้ครองเมือง ท้ังสองมีพระธิดา ช่ือว่า นางสุวรรณมาลี ซ่ึงทรงเป็นคู่หมั้นอยู่กับอุศเรน เจ้าชายแห่งเมืองลังกา วันหนึ่งนางสุวรรณ มาลีเกดิ นมิ ติ ฝัน โหรจงึ ได้ทานายวา่ นางนัน้ จะตอ้ งออกทะเล จึงจะไดพ้ บลาภก้อนใหญ่ ทง้ั หมดเชื่อ ในคาทานายและมุ่งหน้าเดินเรือเท่ียวท่องไป ระหว่างอยู่กลางทะเล เกิดมีพายุลูกใหญ่พัดเรือไปถึง เกาะนาควารนิ คาทานายของปูเ่ จ้าทาให้ท้าวสิลราชพากองเรือมุ่งหน้าไปยังเกาะแก้วพิสดาร จนได้ พบกับพระอภัยมณี ท้าว สลิ ราชทรงรับพระอภยั มณกี ับสินสมทุ รข้นึ เรือไปดว้ ยกนั เพือ่ กลับบ้านเมือง แตเ่ ม่อื เรือแลน่ ออกจากเกาะ นางผเี สอื้ สมุทรออกมาอาละวาดจนเรอื แตก ทา้ วสลิ ราชกับบริวารสว่ น ใหญ่ส้ินชีพกลางทะเล เหลือเพยี งแต่สินสมทุ รทพี่ านางสวุ รรณมาลหี นไี ปได้ สว่ นพระอภยั มณไี ด้เป่า ป่ีสังหารนางยักษ์จนส้ินใจกลางทะเล ท้ังหมดแตกกระจายพลัดพรายไปคนละทิศละทาง ฝ่ายพระ อภัยมณีได้รับความช่วยเหลือจากอุศเรน ผู้เป็นคู่หม้ันของนางสุวรรณมาลี ส่วนสินสมุทรกับนาง สุวรรณมาลีก็ได้โจรสุหร่ังผู้เป็นโจรสลัดในน่านน้านั้น ช่วยชีวิตไว้ได้ แต่แล้วโจรก็ยังเป็นโจร โจร สหุ รัง่ คดิ ทาร้ายสินสมุทร สนิ สมุทรจึงสังหารโจรแลว้ ครอบครองเรือมาเป็นของตนเอง สนิ สมุทรออก เรอื ไปจนพบศรสี ุวรรณท่ีกาลังล่องเรือเท่ียวตามหาพี่ชาย ทั้งหมดจึงเดินทางต่อไปด้วยกันจนมาพบ กบั พระอภัยมณีและอศุ เรน สนิ สมทุ รร้สู กึ รักนางสวุ รรณมาลแี ละอยากใหม้ าเปน็ แม่ จงึ เกดิ เหตุววิ าท ๑๖๑
กับอุศเรน พระอภัยมณีจึงหนีไปเมืองผลึกพร้อมนางสุวรรณมาลีและได้ขึ้นครองเมืองแทนท้าวสิล ราช ฝ่ายอุศเรนก็รู้สึกแค้นใจ จึงมุ่งหน้ากลับเมืองลังกาเพ่ือยกทัพมาตีเมืองผลึก แต่แล้วแพ้อุบาย ของนางวาลีจนตอ้ งสน้ิ ชวี ิต นางละเวงวณั ฬาผู้น้องสาวจึงคิดจะแก้แค้นให้พ่ีชาย จึงออกอุบายใช้รูป ของตนทาเสน่ห์ แล้วส่งไปหัวเมืองต่าง ๆ เพื่อยกทัพมาตีเมืองผลึก ฝ่ายนางเงือกที่อาศัยอยู่ที่เกาะ แก้วพิสดาร ก็ให้กาเนิดบุตรช่ือว่า สุดสาคร เด็กคนน้ีเป็นเด็กที่ฉลาดและแข็งแรงมาก วันหนึ่งสุด สาครจบั มา้ นิลมงั กรมาได้ พระฤๅษจี งึ สอนวิชาและเล่าเรื่องพระอภัยมณีผู้เป็นพ่อของเด็กน้อยให้ฟัง เมื่อสุดสาครรู้เร่ืองพ่อขอตน ก็กราบลาพระฤาษีเพื่อออกเดินทางตามหาพ่อ สุดสาครเดินทางไป จนถึงเมืองการเวก ระหว่างทางก็ถกู ชีเปลือยหลอกขโมยไม้เท้าและม้านิลมังกรท่ีพระฤาษีมอบไว้ให้ คกู่ ายไป แต่พระฤๅษีเข้ามาชว่ ยไวไ้ ด้ทัน จนชิงเอาไม้เท้าและม้านิลมังกรกลับคืนมาได้ สุดสาครเดิน ทางเข้าสู่เมืองการเวก เมื่อกษัตริย์ผู้เป็นเจ้าเมืองเห็นก็รู้สึกรักใคร่เอ็นดู จึงรับอุปการะเล้ียงดูเป็น โอรสบุญธรรม สุดสาคร อยู่ด้วยกันกับนางเสาวคนธ์และหัสไชยผู้เป็นพระธิดาและพระโอรสของ กษัตรยิ จ์ น เติบใหญ่ สุดสาครจึงคิดจะออกตามหาพ่อ เจ้าเมืองการเวกจึงแจงหากองเรือให้ และให้ นางเสาวคนธ์และหัสไชยติดตามไปด้วย ทั้งหมดล่องเรือไปจนถึงเมืองผลึก ซึ่งขณะน้ันกาลังถูกทัพ ลังกาและทัพพันธมติ รลอ้ มเมอื งไวอ้ ยู่ พระ อภยั มณี ศรสี ุวรรณ สนิ สมุทร และสุดสาคร จึงช่วยกันสู่ รบจนสามารถเอาชนะทัพอื่นๆได้ ฝ่ายพระอภัยมณีเม่ือได้รูปวาดของนางละเวงที่ลงเสน่ห์เอาไว้ ก็ เกิดตอ้ งมนตข์ องนางละเวงเสยี เอง ทาใหพ้ ระอภัยยกทัพตามไปตีเมอื งลังกาดว้ ย แต่รบกนั เทา่ ใดกไ็ ม่ มีฝ่ายไหนแพช้ นะเสยี ที ตอ่ มาพระอภัยมณีลอบตดิ รถนางละเวงเขา้ ไปในวงั แตเ่ มอ่ื นางละเวงได้พบหนา้ พระ อภัย กร็ สู้ ึกฆา่ ไม่ลง แตก่ ลับหลงรักจนตกเป็นสามีภรรยากัน ส่วนบริวารอื่นของนางละเวง ไม่ว่าจะ เป็น นางยพุ าผกา ราภาสะหรี และสลุ าลีวัน ก็ใชเ้ สนห่ ์กบั พระอภยั มณี ศรีสุวรรณ สนิ สมทุ ร และสุด สาคร จนให้ทั้งหมดหลงมัวเมา จนไม่ยอมกลับเมืองผลึก นางสุวรรณมาลี นางอรุณรัศมี และนาง เสาวคนธ์เห็นท่าไมด่ ี จึงมาตามทกุ คนใหก้ ลับ แต่ด้วยมนต์เสน่ห์จึงทาให้พวกเขาไม่ยอมกลับ นางๆ ทง้ั หลายจึงไปขอใหห้ ัสไชยมาชว่ ยแกเ้ สนห่ ์ทีล่ งุ และเหล่าพี่หลงอยู่จนสาเร็จ กษัตริย์ ท้ังหมดจึงยอม สงบศึกกันแต่โดยดี แต่นางเสาวคนธ์ก็ยังคงโกรธสุดสาคร จึงหนีไปเมืองวาหุโลม สุดสาครจึงต้อง ติดตามไป จนภายหลงั กไ็ ดอ้ ภิเษกสมรสกัน ดา้ นกรงุ รตั นา เมอื่ ท้าวสุทัศน์ส้ินพระชนม์ พระอภัยมณีกับเหล่ากษัตริย์จึงเดินทาง กลับไปทาศพ มังคลาผู้เป็นบุตรของพระอภัยมณีกับนางละเวงจึงได้ขึ้นครองเมืองลังกา แต่ก็ถูก บาทหลวงยุแหย่ให้เกิดความแค้นเคืองเหล่ากษัตริย์ มังคลาจึงจับตัวนางสุวรรณมาลีและพระญาติ มาขังไว้ ฝา่ ยหัสไชยกบั สดุ สาครเม่อื ทราบข่าว ก็ยกทัพมาช่วย แต่ก็ไม่สาเร็จ แม้แต่นางละเวงผู้เป็น มารดาเองกไ็ มส่ ามารถห้ามปรามได้ พระอภยั มณีกับศรีสุวรรณจึงต้องยกทัพตามมาจนสู้รบได้รับชัย ๑๖๒
ชนะเม่อื ศกึ สงบลง พระอภัยมณีไดอ้ ภเิ ษก โอรสทั้งหลายให้ครองเมอื งตา่ ง ๆ จากนัน้ จงึ ลาบวช โดย มีนางสุวรรณมาลแี ละนางละเวงตามไปปรนนบิ ัตพิ ัดวดี ้วย ทง้ั สามบาเพญ็ ตนอยใู่ นศีลในธรรมรว่ มกัน อย่างสงบสุข ตวั อย่าง ตอนฤาษเี กาะแกว้ พสิ ดารสอนทพั ผ่ายพระอภัยมณีกับนางละเวง คือรปู รสกล่นิ เสยี งไม่เท่ยี งแท้ ยอ่ มเฒา่ แก่เกิดโรคโศกสงสาร ความตายหน่งึ พงึ เห็นเป็นประธาน หลังนพิ พานพน้ ทุกขสนุกสบาย ซง่ึ บ้านเมอื งเคอื งเขญ็ ถงึ เช่นน้ี เพราะโลกีย์ตัณหาพาฉิบหาย อนั ศีลห้าว่าอยา่ ทาใหจ้ าตาย จะตกอบายภมู ิขุมนรก ตวั อย่าง ตอนนางผเี ส้อื ลกั พระอภยั มณี แสนสงสารพระอภยั ใจจะขาด กลัวอานาจนางยกั ขินศี รี สลบล้มมไิ ด้สมประฤๅดี อย่บู นที่แผน่ ผาศลิ าลาย ฯ เห็นภวู นาถนง่ิ ไปก็ใจหาย อสุรีผีเสือ้ แสนสวาท ราพณร์ า้ ยลูบตอ้ งประคององค์ เออพอ่ คณุ ทนู หัวผัวข้าตาย ยงั ไมด่ ับชนมช์ ีพเป็นผุยผง เห็นอนุ่ อยู่รู้วา่ สลบหลับ ดว้ ยรูปทรงอปั ลกั ษณ์เปน็ ยักษม์ าร พอ่ ทนู หวั กลัวนอ้ งน้มี ั่นคง ให้ผาดผดุ ทรวดทรงส่งสัณฐาน จาจะแสรง้ แปลงร่างเปน็ นางมนุษย์ จะเกยี้ วพานรกั ใคร่ดังใจจง เห็นพระองคท์ รงโฉมประโลมลาน สกนธก์ ายดังกินนรนวลหง แล้วอา่ นเวทเพศยกั ษก์ ็สูญหาย เขา้ แอบองค์นวดฟั้นค้นั ประคอง ฯ เอาธารามาชโลมพระโฉมยง ตัวอย่าง ตอนสุดสาครจบั ม้านิลมังกร อยู่วันหนงึ่ ถงึ เวลาสิทธาเฒ่า สารวมเขา้ นง่ั ฌานกุมารหนี ลงเล่นน้าปลา้ ปลาในวารี แล้วขึ้นขี่ขบั ขวางไปกลางชล พอพบม้าหน้าเหมือนมงั กรร้าย แตก่ ีบกายน้นั เปน็ ม้านา่ ฉงน หางเหมอื นอย่างหางนาคปากคารน กายพิกลกายาดดู านลิ กมุ าราถาโถมเขา้ โจมจบั มังกรรบั รบประจญั ไมผ่ นั ผิน เขา้ คาบคอหน่อกษตั ริยจ์ ะกัดกนิ กมุ ารด้ินโดดขึน้ น่ังหลงั อาชา มา้ สะบัดพลัดหลุดยงั ยุดหาง ดกู ลงิ้ กลางเกลยี วคลืน่ ลืน่ ถลา ตลบเล้ยี วเรียวแรงแผลงศกั ดา เสียงชลาเลื่อนลั่นสนน่ั ดงั ๑๖๓
จนค่าพลบรบรดุ ไม่หยุดหยอ่ น สดุ สาครภาวนาคาถาขลัง ถงึ สินธพขบขยา้ ด้วยกาลัง ไม่เข้าหนงั แน่นเหนยี วคงเข้ยี วงา แต่มดื มัวกลบั ป่ไู มอ่ ยูร่ บ แฉลบหลบข้ึนตลิง่ วง่ิ ถลา ถงึ โยคีดใี จไหวว้ ันทา บอกเจา้ ตาตามจริงทกุ ส่งิ อนั ไปเทยี่ วเลน่ เห็นอ้ายอะไรมริ ู้ ดาทง้ั ตวั หวั หูมนั ดขู ัน ข้าเข้าจับกลับขบตอ้ งรบกัน แต่กลางวนั จนเดย๋ี วนีฉ้ นั หนมี า คณุ คา่ เร่อื งพระอภัยมณีเป็นวรรณคดีชนิ้ เอก สนุ ทรภู่แต่งเป็นนิทานคากลอนท่ี มีความยาวถึง ๖๔ ตอน มเี น้ือหาสนุกสนาน ตืน่ เต้น เรื่องดาเนินกระชับ ไม่ยืดเยื้อ การแต่งยังมี ลักษณะเปน็ เอกลักษณ์ คอื แทรกเรอื่ งนน้ั เรื่องนต้ี ลอดเวลา เท่ากบั เป็นการเพิ่มเสนห่ ์ให้กบั วรรณคดี (ทศพร วงศร์ ัตน์, ๒๕๕๐, หน้า ๙) สุนทรภู่ยังพรรณนาเรื่องได้อย่างชัดเจน สามารถแสดงอุปนิสัย ใจคอของตัวละครได้อย่างแจ่มชัด เชน่ พระอภัยมณเี ปน็ คนใจอ่อน ศรีสวุ รรณมคี วามสุขุม อุศเรน มีความทะนงองอาจ เปน็ ตน้ เรอ่ื งพระอภยั มณยี ังมีคติสอนใจแทรกอยู่ตลอดเร่ือง ซึ่งน่าจะมาจาก ประสบการณ์ของสุนทรภู่ ไม่ว่าจะเป็นเร่ืองความรัก เช่น พระอภัยมณีตอน พระอภัยหนีนางผีเสื้อ สะท้อนให้เหน็ ถงึ อานภุ าพของความรักทอ่ี าจทาลายหรือสรา้ งสรรคก์ ไ็ ด้ หรอื ความรักระหว่างแมก่ บั ลูก พี่กับน้อง การหลงใหลรูปกายภายนอก เช่นพระอภัยมณีหลงรักนางผีเสื้อสมุทรจากเพียงรูป กายภายนอกจนนามาสู่เร่ืองราวต่าง ๆ มากมาย ความโดดเด่นของเรื่องพระอภัยมณีอีกประการ หน่ึงคือ การสะท้อนความคิดและจินตนาการของสุนทรภู่ที่ล้าหน้าเกินยุคสมัย โดยเฉพาะเรื่องทาง วิทยาศาสตร์ ดังจะเห็นว่า ในเรื่องมีการกล่าวถึงเรือขนาดใหญ่ ท่ีว่า “เรือขนาดใหญ่อย่างเรือโจร สุหรงั่ ” หรือ กลดนตรี ซึ่งปจั จบุ ันคือจานเสยี ง ซึง่ ในสมยั น้นั ยังไมม่ ี ความดีเด่นของเร่ืองพระอภัยมณียังทาให้ เทียนวรรณ หรือ ต.ว.ส. วรรณาโภ นักคิดนัก วิจารณ์ในช่วงรัชกาลที่ ๕ ได้วิจารณ์เรื่องพระอภัยมณี ลงในหนังสือตุลวิภาคพจนกิจเป็นตอน ๆ ติดตอ่ กนั หลายฉบบั โดยวิจารณใ์ นทานองว่า เปน็ เร่อื งสมเหตสุ มผล ตวั ละครสมจรงิ มีลกั ษณะนิสยั เหมอื นคนธรรมดา เป็นเร่อื งที่มปี ระโยชน์ให้ความรู้ ชื่อตัวละครสอดคลอ้ งกับอุปนสิ ยั เนือ้ หาตา่ ง ๆ ไปจากเรือ่ งจักร ๆ วงศ์ ๆ ท่ัวไป คือ ตัวละครเอกไม่มีฤทธ์ิ เหาะไม่ได้ ไม่มีอาวุธวิเศษ เนรมิตไม่ได้ ตัวละครหญิงไมเ่ สยี พรหมจรรย์ แม้อยูใ่ นทีร่ โหฐาน ตัวละครหญิงมีปัญญา สามารถเอาตัวรอดด้วย อบุ าย ตัวละครมอี ปุ นิสยั คงที่ตลอดเร่อื ง (ร่นื ฤทัย สจั จพนั ธ์ุ, ๒๕๕๘, หน้า ๑๓๓) ๕.๓.๗ กลอนสภุ าษิต ๓ เรื่อง สุภาษิต ๓ เรื่อง ของสุนทรภู่ คือสวัสดิรักษา เพลงยาวถวายโอวาท และสุภาษิต สอนหญิง ท้ัง ๓ เรื่องมีลักษณะเป็นคาสอนหญิง ในด้านการวางตัว ครองตนของหญิงท่ีดี สวัสดิ ๑๖๔
รักษาแตง่ เมอื่ ปลายรัชกาลท่ี ๒ ชว่ งปี พ.ศ.๒๓๖๔ – ๒๓๖๗ ของเดิมแต่งเป็นคาฉันท์ เพลงยาว ถวายโอวาท แต่งระหว่างท่ีสุนทรภู่เป็นพระ ในช่วงปี พ.ศ.๒๓๗๒ ก่อนออกเดินทางไปอยู่หัวเมือง ส่วนสุภาษิตสอนหญิง แต่งช่วงปี พ.ศ. ๒๓๘๐ – ๒๓๘๓ สุนทรภู่แต่งในเวลาตกยาก หลังจากสึก ออกมาเป็นคฤหสั ถ์แลว้ ผูแ้ ตง่ สุนทรภู่ ลกั ษณะการแต่ง กลอน วตั ถุประสงคใ์ นการแต่ง สวัสดิรักษา เขียนขึ้นเพ่ือถวายสมเด็จเจ้าฟ้าอาภรณ์ในรัชกาลที่ ๒ ด้วย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงมอบสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ให้เป็นศิษย์ใน สานกั สนุ ทรภู่ เพลงยาวถวายโอวาท เขียนข้ึนเพื่อเป็นคาทูลลาและให้โอวาทสมเด็จ เจ้าฟา้ ฯ กรมพระยาบาราบปรปกั ษ์ และเจา้ ฟา้ ปิว๋ ซ่งึ เปน็ ศิษยข์ องสุนทรภู่ทั้ง ๒ พระองค์ สุภาษิตสอนหญิง เขียนข้ึนเพื่อสอนสตรีท่ัวไป ไม่ได้ให้แก่ใครเป็นการ เฉพาะ เชือ่ กนั วา่ สุนทรภแู่ ต่งเรื่องน้ีเพอื่ หาเงนิ ในยามตกยาก เน้ือเรือ่ งยอ่ สวัสดิรกั ษา กล่าวถึงกิจวัตรอนั ถึงปฏิบัติสาหรับผ้หู วังความสวสั ดมิ งคล เพลงยาวถวายโอวาท เนื้อความเป็นข้อความสั่งสอนของครูให้ไว้แก่ศิษย์ แทรกด้วยบทอาลยั ทีต่ ้องจากกนั สภุ าษติ สอนหญงิ เนือ้ หากล่าวการประพฤติปฏิบัติของกุลสตรี ตัวอยา่ ง สวสั ดิรกั ษา อน่ึงภษู าผา้ ทรงณรงค์รบ ให้มีครบเคร่ืองเสร็จทัง้ เจ็ดสี วันอาทติ ย์สทิ ธิโชคโฉลกดี เอาเครอื่ งสีแดงทรงเปน็ มงคล เครื่องวนั จันทรน์ ้ันควรสนี วลขาว จะยืนยาวชันษาสถาผล อังคารมว่ งชว่ งงามสีครามปน เปน็ มงคลขตั ติยาเข้าราวี เครอื่ งวันพธุ สดุ ดดี ว้ ยสีแสด กับเหลอื บแปดปนประดับสลบั สี วนั พฤหัสจัดเครื่องเขียวเหลอื งดี วันศกุ รส์ ีเมฆหมอกออกสงคราม วันเสาร์ทรงดาจึงล้าเลศิ แสนประเสริฐเสีย้ นศกึ จะนึกขาม หนึ่งพาชีข่ขี ับประดบั งาม ใหต้ ้องตามสีสนั จงึ กันภยั ฯ ๑๖๕
ตวั อยา่ ง เพลงยาวถวายโอวาท อนั ความคิดวทิ ยาเหมือนอาวธุ ประเสรฐิ สดุ ซ่อนใสเ่ สยี ในฝกั สงวนคมสมนกึ ในฮกึ ฮกั จึงค่อยชกั เชือดฟันให้บรรลัย จับให้มัน่ คั้นหมายใหว้ ายวอด ช่วยให้รอดรกั ให้ชดิ พสิ มัย ตัดให้ขาดปรารถนาหาสงิ่ ใด เพยี รจงไดด้ ังประสงคท์ ่ีตรงตี ธรรมดาว่ากษตั ริยอ์ ตั เิ รก เป็นองค์เอกอานาจดังราชสหี ์ เสยี งสังหารผลาญสัตวใ์ นปถั พี เหตุเพราะมีลมปากนน้ั มากนกั เหมอื นหน่อเน้อื เชอื้ วงศ์ทอ่ี งอาจ ยอ่ มเปรื่องปราชญ์ปรากฏเพราะยศศักด์ิ ผ้ใู หญ่นอ้ ยพลอยมาสามภิ ักด์ิ ไดพ้ รอ้ มพรกั ท้งั ปัญญาบารมี ตัวอยา่ ง สุภาษิตสอนหญงิ ขอเจรญิ เรื่องตารบั ฉบับสอน ชาวประชาราษฎรสิน้ ทงั้ หลาย อนั ความชั่วอย่าให้มวั มีระคาย จะสืบสายสุริย์วงศเ์ ปน็ มงคล ผใู้ ดเกดิ เปน็ สตรอี นั มีศกั ดิ์ บารุงรกั กายไว้ใหเ้ ปน็ ผล สงวนงามตามระบอบใหช้ อบกล จึงจะพ้นภัยพาลการนินทา เป็นสาวแซ่แร่รวยสวยสะอาด กห็ มายมาดเหมอื นมณอี นั มคี ่า แมน้ แตกร้าวรานร่อยถอยราคา จะพลอยพาหอมหายจากกายนาง อันตัวตา่ แลว้ อยา่ ทาให้กายสูง ดูเยย่ี งยูงแววยังมีท่วี งหาง คอ่ ยเสง่ียมเจยี มใจจะไว้วาง ให้ตอ้ งอยา่ งกริ ยิ าเปน็ นารี ฯ คณุ ค่า สุภาษิตท้ัง ๓ เรื่อง มีลักษณะเป็นคาสอนหญิงในด้านต่าง ๆ สุนทรภู่ คงจะแต่งขึน้ จากประสบการณ์ ความเชือ่ และคาสอนทตี่ กทอดกันมา ลกั ษณะเดน่ ของวรรณคดีเร่ือง น้ี คอื สนุ ทรภไู่ ม่ได้บรรยายการสอนโดยไร้รสหรือความงามทางวรรณศิลป์ จะเห็นว่า มีการใช้ความ เปรยี บ ใช้ถ้อยคาโวหารที่ทาใหผ้ ู้อ่านผูฟ้ งั เกดิ จนิ ตภาพและคล้อยตามไดอ้ ยา่ งดี ๕.๓.๘ กาพย์พระไชยสุรยิ า กาพย์พระไชยสุริยา เป็นนิทานสาหรับสอนการเขียนอ่าน เช่ือว่าสุนทรภู่ประพันธ์ ข้ึนในราวปี พ.ศ. ๒๓๘๓ - ๒๓๘๕ ช่วงรัชกาลที่ ๓ เข้าใจว่าจะแต่งสาหรับเป็นแบบสอนอ่าน คาเทียบให้ศิษย์ของท่านเล่าเรียนศึกษา ต่อมาในรัชกาลท่ี ๕ พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย ๑๖๖
อาจารยางกูร) นาเอากาพย์พระไชยสุริยามาบรรจุไว้ในมูลบทบรรพกิจแบบเรียนหลวงเป็นตอนๆ ต้ังแต่ แม่ ก กา ไปจนจบ แม่ เกย ด้วย ผแู้ ต่ง สุนทรภู่ ลักษณะการแต่ง กาพย์ ๓ ชนิด ได้แก่ กาพย์ยานี ๑๑ กาพย์ฉบัง ๑๖ และ กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ วัตถุประสงค์ในการแต่ง สาหรับใช้เป็นบทเรียนเขียนอ่านของพระโอรส ใน พระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลิศหล้านภาลัย เนื้อเรื่องย่อ เร่ืองกาพย์พระไชยสุริยาเป็นบทสอนอ่าน โดยสอนผ่านโครงเร่ือง นทิ าน คือ เจ้าไชยสรุ ยิ าและพระมเหสีหนีออกจากเมืองท่ีเป็นกลียุค มาพบทางสว่างบาเพ็ญพรตใน ป่าตลอดพระชนม์ชีพ เนื้อหาเริ่มด้วยบทประฌามบทไหว้คุณพระรัตนตรัย คุณบิดามารดา คุณครูบาอาจารย์ และส่ิงศักด์ิสิทธิ์ท้ังหลายเพื่อช่วยให้เกิดสิริมงคลแก่กวีและงานประพันธ์ของกวี จากน้ันเร่ิมบทอ่านเรียงลาดับการสะกดคาต้ังแต่ แม่ ก กา ตามด้วย แม่กน, แม่กง, แม่กก, แม่กด, แม่กบ, แมก่ ม และแม่เกย ตามลาดับ ตัวอยา่ ง สอนเร่ืองแม่ กน โดยใชก้ าพยส์ ุรางคนางค์ ๒๘ ก กา ว่าปน ๏ ขนึ้ ใหม่ใน กน เอ็นดูภธู ร ระคนกันไป มณฑลต้นไทร มานอนในไพร แทนไพชยนต์สถาน วนั ทาสามี ๏ สว่ นสุมาลี เฝา้ อยู่ดแู ล เทวีอยู่งาน ให้พระภูบาล เหมอื นแตก่ อ่ นกาล สาราญวญิ ญาณ์ เข็ญใจไม้ขอน ๏ พระชวนนวลนอน ภธู รสอนมนต์ เหมอื นหมอนแม่นา เยน็ คา่ ร่าว่า ให้บ่นภาวนา กันปา่ ภัยพาล มดี ารากร ๏ วันนน้ั จนั ทร เหน็ สิ้นดนิ ฟ้า เปน็ บริวาร มาลีคลีบ่ าน ในปา่ ทา่ ธาร ใบกา้ นอรชร ๑๖๗
คุณค่า กาพย์พระไชยสุริยาเป็นหนึ่งในแบบเรียนสอนอ่านในสมัยรัตนโกสินทร์ นอกเหนือจากจนิ ดามณที ีต่ กทอดมาแต่สมยั อยธุ ยา สนุ ทรภูใ่ ช้ถอ้ ยคางา่ ย ๆ เข้าใจไดช้ ัดเจนในการ พรรณนาเรือ่ งราวและแทรกการสอน แม้เปน็ วรรณคดสี าหรบั ใชฝ้ กึ อา่ นเขยี นแต่ยงั คงขนบวรรณคดี ไทยไว้ เช่น มีการพรรณนาแบบ “เขา้ แบบ” คอื การชมความงามของสง่ิ ตา่ ง ๆ ในเรื่องนี้สุนทรภู่ชม ธรรมชาติโดยมุ่งความไพเราะในการเล่นคาสัมผัสและให้ถูกต้องตามฉันทลักษณ์ เรื่องกาพย์พระ ไชยสุริยายังสะท้อนให้เห็นความสามารถและความรอบรู้ของสุนทรภู่ได้เป็นอย่างดี ดังเช่น ตอน เหตุการร์น้าท่วมโลก สุนทรภู่กล่าวถึงนกท่ีอยากทราบความกว้างใหญ่ของทะเล ซ่ึงคล้ายได้ข้อมูล จากตานานของชาวตะวันตกที่ระหว่างน้าลด มีการส่งนกไปสารวจว่าพื้นดินแห้งแล้วหรือยัง นกที่ สุนทรภู่กล่าวถึงชื่อ พระยาสาภาที ซ่ึงน่าจะได้เค้ามาจาก สัมพาที ซ่ึงเป็นพระยานกในเรื่อง รามเกียรติ์ พระยานกนี้เป็นผู้บินพาหนุมานไปดูท่ีต้ังกรุงลงกาซึ่งอยู่กลางทะเล (โชติรส มณีใส, ๒๕๕๙, หน้า ๑๕๑) ๕.๓.๙ โคลงนิราศนรินทร์ โคลงนิราศนรินทร์ ถือว่าเป็นวรรณคดีชิ้นเอก มีลีลาและความไพเราะเฉก เช่นเดียวกับโคลงกาสรวลศรีปราญช์ในสมัยอยุธยา เชื่อกันว่า ผู้แต่งคือ นายนรินทร์ธิเบศร์ (อิน) แต่งเมอ่ื ตราเสด็จพระบวรราชเจา้ มหาเสนานุกรักษ์คราวเสด็จยกทัพหลวงไปปราบพม่า ซึ่งยกมาตี เมอื งถลางและเมอื งถลางและเมืองชมุ พร ในปีมะเสง็ พ.ศ. ๒๓๕๒ (เสนีย์ วิลาวรรณ, ๒๕๔๗, หน้า ๘๓) ผู้แตง่ นายนรินทร์ธเิ บศร์ (อนิ ) ลกั ษณะการแตง่ รา่ ยสภุ าพ ๑ บท โคลงส่ีสภุ าพ ๑๔๓ บท วัตถุประสงค์ในการแต่ง สันนิษฐานว่ามีวัตถุประสงค์ ๒ ประการ คือ เพื่อ แสดงความอาลยั ในการจากหญิงท่ีรัก ซ่งึ อาจมีจรงิ หรืออาจจินตนาการข้ึนเองก็ได้ และเพื่อฝากชื่อ ในวงกวี เชอื่ กนั ว่าอาจจะแข่งขนั กับกาสรวลศรปี ราชญ์ เนอ้ื เรอื่ งยอ่ เริม่ ตน้ ยอพระเกียรต์ิกษตั ริย์ บรรยายความรุ่งเรืองของบ้านเมือง และพระพุทธศาสนา แล้วจึงเริ่มราพึงราพันถึงนางอันเป็นที่รักท่ีต้องจากมาตลอดการเดินทาง กวี เดินทางทางเรือออกจากปากคลองผดุงกรุงเกษม ตอนวัดเทวราชกุญชร แล้วตัดข้ามฟากแม่น้า เจ้าพระยา ทางฝ่งั ธนบุรี เข้าคลองบางกอกใหญ่ ถงึ ตาบลบางขุนเทียน ข้ามแมน่ า้ ท่าจีน ผ่านจังหวัด สมุทรสาคร เข้าคลองสามสิบสองคด เข้าแม่น้าแม่กลอง ผ่านจังหวัดสมุทรสงคราม ออกปากแม่น้า แม่กลอง ออกส่ทู ะเล ถึงบ้านแหลมจังหวดั เพชรบุรี เลย้ี วเขา้ คลอง ถึงเมืองเพชรบุรี และเดินทางบก ๑๖๘
ต่อมาถึงเมืองกาเนิดนพคุณหรือบางสะพาน และวกข้ึนไปจนถึงเมืองตะนาวศรี เป็นสิ้นสุดการ เดนิ ทางของนายนรินทร์อนิ โคลงบทสดุ ทา้ ยบอกนามผ้แู ตง่ ไว้ ตวั อย่าง การพรรณนาความรุ่งเรอื งของบ้านเมอื ง อยุธยายศล่มแลว้ ลอยสวรรค์ ลงฤๅ สิงหาสนป์ รางค์รัตน์บรร เจิดหล้า บญุ เพรงพระหากสรรค์ ศาสน์ร่งุ เรอื งแฮ บงั อบายเบิกฟ้า ฝึกฟน้ื ใจเมือง ฯ พันแสง เรืองเรืองไตรรตั น์พน้ คา่ เชา้ รนิ รสพระธรรมแสดง เสียดยอด เจดียร์ ะดะแซง แก่นหลา้ หลากสวรรค์ ฯ ยลย่ิงแสงแกว้ เกา้ ตวั อยา่ ง บทฝากนาง โฉมควรจักฝากฟา้ ฤๅดนิ ดฤี ๅ เกรงเทพไท้ธรณินทร์ ลอบกล้า ฝากลมเลอื่ นโฉมบนิ บนเลา่ นะแม่ ลมจะชายชกั ช้า ชอกเน้อื เรยี มสงวน ฯ ลักษมี เล่านา ฝากอมุ าสมรแม่แล้ เกลือกใกล้ ทราบสยมภวู จกั รี โลกลว่ ง แลว้ แม่ เรยี มคดิ จบจนตรี ย่ิงดว้ ยใครครอง ฯ โฉมฝากใจแม่ได้ คุณค่า โคลงนิราศนรินทร์มีความดีเด่นในด้านการสรรคา กวีสรรคาเหมาะกับ เนื้อเรอื่ ง เล่นเสยี งสัมผสั ทง้ั สัมผัสสระและสมั ผสั อักษรภายในวรรคและระหว่างวรรค ทาให้เวลาอา่ น มีเสียงเสนาะหูและอ่อนหวาน มีการใช้คาซ้าเพื่อย้าความหมาย หลายครั้งซ้าเสียงเดียวกันแต่ ความหมายแตกตา่ งกัน กวียังใช้ภาพพจน์อย่างแพรวพราว โคลงนิราศนรินทร์สะท้อนลักษณะยุค สมัยของตนมากกว่ามุ่งที่จะลอกเลียนแบบงานเก่า ดังจะเห็นว่า บทคร่าครวญของนิราศนรินทร์มี ลักษณะออ่ นหวานมากกว่ากาสรวล ไม่มีนัยของปรัชญาและความลึกลับของอานาจธรรมชาติและ เทพอันเนื่องด้วยธรรมชาติและความแปลกแยกต่อธรรมชาติมากเท่าทวาทศมาส (ดวงมน จิตรจ์ านงค,์ ๒๕๔๐, หน้า ๑๕๗) ๑๖๙
๕.๔ กวีและวรรณคดีสาคัญสมยั รัชกาลท่ี ๓ กวีและวรรณคดที ่สี าคัญในรัชกาลท่ี ๓ มดี งั นี้ พระบาทสมเดจ็ พระน่ังเกลา้ เจา้ อยูห่ วั มบี ทพระราชนพิ นธ์ ได้แก่ ๑) เพลงยาวเรอื่ งพระราชปรารภการจารกึ ความรบู้ นแผ่นศิลาและเรอื่ งปลงสงั ขาร ๒) โคลงยอพระเกียรติรัชกาลที่ ๒ ๓) โคลงฤาษดี ดั ตนบางบท ๔) เพลงยาวต่าง ๆ เช่น เพลงยางปลงสังขาร เพลงยาวกลบท ๕) พระบรมราโชวาทและพระราชกระแสรับส่งั ตา่ ง ๆ ๖) พระราชปุจฉาและพระราชปรารภต่าง ๆ ๗) ประกาศหา้ มสูบฝิ่น ๘) นทิ านแทรกในเรื่องนางนพมาศ ๙) เสภาขนุ ชา้ งขุนแผน ตอน ขนุ ชา้ งขอนางพิมและขุนช้างตามนางวนั ทอง สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศกั ดพิ ลเสพ ไดแ้ ก่ ๑) บทละครนอกเรือ่ งพระลอนรลกั ษณ์ ๒) เพลงยาวกรมศักดิ์ สมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานชุ ิตชิโนรส ๑) ลลิ ติ ตะเลงพ่าย ๒) สมทุ รโฆษคาฉันท์ (ตอนปลาย) ๓) ร่ายยาวมหาเวสสนั ดรชาดก ๔) สรรพสทิ ธ์คิ าฉันท์ ๕) กฤษณาสอนนอ้ งคาฉันท์ ๖) ลลิ ติ กระบวนพยุหยาตราเสด็จทางชลมารคและสถลมารค ๗) โคลงดน้ั เรื่องปฏสิ งั ขรณว์ ัดพระเชตุพนฯ ๘) เพลงยาวเจ้าพระ ๙) กาพยข์ บั ไม้กลอ่ มชา้ งพงั ๑๐) พระปฐมสมโพธกิ ถา ๑๑) ตาราฉันทม์ าตราพฤติและวรรณพฤติ ๑๒) พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยุธยา ๑๓) คาฤษฎี ๑๔) ฉันทก์ ล่อมช้างพัง ๑๗๐
๑๕) จักรทปี นีตาราโหราศาสตร์ สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร ได้แก่ ๑) โคลงโลกนิติ ๒) โคลงนริ าศเสดจ็ ไปทพั เวยี งจนั ทร์ ๓) ฉนั ทด์ ษุ ฎสี งั เวยต่าง ๆ ๔) โคลงจารึกวัดพระเชตุพน ฯ บางบท พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนทิ ได้แก่ ๑) โคลงนริ าศพระประธม ๒) โคลงจินดามณี ๓) โคลงนริ าศสพุ รรณ ๔) กลอนกลบทสิงโตเล่นหาง พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมหมน่ื ไกรสรวชิ ติ ได้แก่ ๑) โคลงฤาษดี ัดตนบางบท ๒) โคลงกลบทกบเตน้ ไต่รยางค์ ๓) เพลงยาวกลบท ๔) โคลงภาพเร่อื งรามเกียรติ์ ๕) โคลงภาพตา่ งภาษา พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหลวงภูวเนตรนรินทรฤทธิ์ ได้แก่ ๑) โคลงนริ าศฉะเชิงเทรา ๒) โคลงฤาษดี ัดตน ๓) บทละครเรอ่ื งคาวี กรมหลวงนรินทรเทวี ได้แก่ จดหมายเหตุความทรงจาของกรมหลวงนรินทรเ์ ทวี พระพธิ ิธสาลี (อ้น) ได้แก่ โคลงนิราศพระพพิ ิธสาลีไปชุมพรและไชยา พระมหามนตรี(ทรพั ย)์ ไดแ้ ก่ ๑) บทละครเร่ืองระเด่นลันได ๒) เพลงยาวว่ากระทบพระยามหาเทพ (ทองปาน) ๓) โคลงฤาษีดดั ตน พระเทพโมลี (ผ้ึง) ได้แก่ ๑) ปฐมมาลา ๒) โคลงกลบทตรพี จนบท ๑๗๑
๓) โคลงนริ าศตลาดเกรยี บ หมน่ื พรหมสมพตั สร (นายม)ี ไดแ้ ก่ ๑) นริ าศถลาง ๒) นิราศเดอื น ๓) นิราศพระแทน่ ดงรัง ๔) นิราศสุพรรณ ๕) เพลงยาวสรรเสริญพระเกรี ยรตพิ ระบาทสมเด็จพระน่ังเกลา้ เจา้ อยู่หัว ๖) ทศมูลเสอื โค ๗) สุบนิ ก.กา คุณพุ่ม (บษุ บาทา่ เรือจา้ ง) ๑) บทสักวา ๒) เพลงยาวเฉลิมพระเกียรติ และเพลงยาวฉลองสระบางโขมด ๓) นริ าศวงั บางยี่ขนั คณุ สวุ รรณ ๑) บทละครเรือ่ งพระมเหลเถไถ ๒) บทละครเรอื่ งอณุ รุทรอ้ ยเรอ่ื ง ๓) เพลงยาวจดหมายเหตุเรื่องกรมหมื่นอปั สรสดุ าเทพประชวร ๔) เพลงยาวเรื่องหมอ่ มเป็ดสวรรค์ ในที่น้ี จะขอยกเฉพาะเรอ่ื งทสี่ าคญั ในสมยั รชั กาลท่ี ๓ เพยี งบางเรือ่ งโดยสงั เขป ดงั น้ี ๕.๔.๑ บทละครเร่อื งสังข์ศลิ ป์ไชย บทละครเรื่องสังข์ศิลป์ไชยน้ี เป็นละครนอก มีมาแต่สมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ คร้ังกรุงศรีอยุธยาแลว้ เนื้อเรอ่ื งมีความสนุกสนาน รชั กาลที่ ๓ ทรงนามาชาระใหม่ ผแู้ ต่ง พระบาทสมเด็จพระน่งั เกลา้ เจ้าอยู่หัว ลกั ษณะการแต่ง กลอนบทละคร วตั ถุประสงคใ์ นการแตง่ ใชเ้ ล่นบทละครนอก เน้ือเรื่องย่อ เริ่มเร่ืองต้ังแต่ตอนพระศรีสันท์และพวกอีก ๕ คน ผลักพระสังข์ ศิลป์ชัยตกเหว นางเกสรสุมณฑาและนางศรีสพุ รรณรู้เลห่ ์กลของโอรสทงั้ หกคน จึงตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าพระสังข์ศลิ ป์ชยั ปลอดภยั ให้ผ้าสไบของนางเกสรสุมณฑาและช้องของนางศรีสุพรรณที่ปักเป็นธง ๑๗๒
ไว้นน้ั จงมีคนนากลบั มาคนื นาง แลว้ โอรสทงั้ หกก็พานางเกสรสุมณฑาและนางศรสี ุพรรณเข้าเฝ้าท้าว เสนากฎุ สว่ นพระสงั ข์ศิลป์ชัยรอดชวี ติ ไดเ้ พราะพระอินทรม์ าช่วย นายสาเภาเรือผ่านมาทางน้ันเห็นสไบและช้องที่มีราคาสูงท้ิงไว้ จึงเก็บข้ึนมา นาย สาเภาเดินเรือถึงปัญจาลนครขณะท่ีท้าวเสนากุฎจัดงานฉลองต้อนรับการกลับมาของน้องสาวและ หลาน นายสาเภาจึงนาสไบและช้องข้ึนถวาย ท้าวเสนากุฎเห็นสไบและช้องงามมีค่าจึงมอบให้แก่ นางเกสรสุมณฑาและนางศรสี พุ รรณ ทัง้ สองเห็นเป็นไปตามอธิษฐานจึงทูลความจริงให้ท้าวเสนากุฎ ทรงทราบ แต่โอรสทั้งหกก็อ้างว่านางทั้งสองโกรธที่พวกตนฆ่าท้าวกุมภัณฑ์ ท้าวเสนากุฎไม่รู้จะทา ประการใด จงึ ยอมพานางเกสรสมุ ณฑาและนางศรีสุพรรณออกประพาสปา่ ตามท่ีนางต้องการ ในเวลาเดียวกันน้ัน เทวดาดลใจให้พระสังข์ศิลป์ชัยเสด็จประพาสป่าในทิศทาง เดียวกับทพี่ ระราชบดิ าประทับแรม จงึ พบกับนางเกสรสุมณฑา นางศรีสุพรรณและท้าวเสนากุฎ เม่อื ทา้ วเสนากุฎทราบความจริงก็แค้นนางทั้งหกและโอรสจึงส่ังลงโทษประหาร แต่พระสังข์ศิลป์ชัยขอ ชีวิตนางท้ังหกและโอรสไว้ ท้าวเสนากุฎจึงให้คนท้ังหมดเป็นข้ารับใช้พระสังข์ศิลป์ชัย ท้าวเสนากุฎ รบั นางปทมุ และนางไกรสรกลับไปบา้ นเมอื ง บทพระราชนพิ นธส์ ้นิ สดุ เพยี งเท่านี้ ตวั อย่าง ตอนสงั ข์ศิลป์ไชยพลดั ตกเหว เม่อื น้ัน ศรสี ันท์ครน้ั เหน็ พระสังข์หลง พาเท่ียวเลี้ยวเลยี บเวยี นวง พบเหวดงั ประสงค์จานงนกึ หยบิ ศิลามาทง้ิ ลงไปดู เอียงหูคอยฟงั ไมด่ งั กึก ชะโงกตามลงไปใจทึกทกึ แลฦกเปนหมอกมืดมัว จึงร้องเรียกพระสังขศ์ ิลปไ์ ชย มาดเู หวใหญม่ ใิ ชช่ ั่ว ว่าพลางพรั่งพร้อมเขา้ ล้อมตวั อยา่ กลวั เลยพี่อยู่นีแ่ ลว้ ทาชโ้ี ว้ชี้เวด้ ้วยเล่ห์กล ลางคนหลอกลวงว่าดวงแกว้ ตรงมอื นั่นแนแ่ ลแววแวว เหน็ แล้วฤๅยังถอยหลังไย ตา่ งเข้ายนื เคียงเมียงเขม้น คร้ังเห็นงวยงงหลงใหล จึงผลักพระสงั ขศ์ ิลป์ไชย ตกลอยลงไปในเหวนนั้ คุณคา่ สงั ข์ศลิ ปไ์ ชย เปน็ วรรณคดีท่ีรชั กาลที่ ๓ พระราชนิพนธ์เป็นเรื่องยาวท่ีสุด ในกระบวนกลอน ถือว่าเป็นพระปรีชาสามารถด้านการแต่งคาประพันธ์ช้ินสาคัญ ตอนท่ีทรงพระ ราชนิพนธ์คือตอนสังข์ศิลป์ไชยพลัดตกเหวน้ัน นับว่ามีความสนุกสนานอย่างยิ่ง รัชกาลท่ี ๓ เลือกใช้สานวนภาษางา่ ย ๆ ใช้บทเจรจาสมจรงิ ชวนฟงั สมกับเป็นบทละครนอก ๑๗๓
๕.๔.๒ ลลิ ิตตะเลงพา่ ย ลิลิตตะเลงพ่าย เป็นวรรณคดีสดุดีวีรกรรมของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชท่ีทรงมี ชัยชนะพระมหาอุปราชของพม่าในสงครามยุทธหัตถีอย่างกล้าหาญ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรม พระปรมานุชิตชิโนรสทรงนพิ นธข์ นึ้ ในวาระงานพระราชพธิ ีฉลองตกึ วดั พระเชตุพนวิมลมังคลารามใน สมัยรัชกาลที่ ๓ สันนิษฐานว่า นิพนธ์ในราวปี พ.ศ. ๒๓๗๕ คาว่า ตะเลง ในท่ีน้ีหมายถึง พม่า เข้าใจว่าทรงนาเคา้ เรอื่ งมาจากพงศาวดารแล้วเพ่มิ เนอื้ หาบางตอนลงไป ผแู้ ต่ง สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานชุ ติ ชโิ นรส และพระเจา้ บรมวงศ์ เธอ กรมหม่นื ภบู าลบริรกั ษ์ ลักษณะการแต่ง ลิลิตสุภาพ ประกอบด้วยร่ายและโคลง แต่งสลับกันไป จานวน ๔๓๙ บท วัตถุประสงค์ในการแต่ง บันทึกประวัติศาสตร์และยอพระเกียรติสมเด็จพระ นเรศวรมหาราช เนื้อเรื่องย่อ เร่ิมต้นด้วยการชมพระบารมีและพระบรมเดชานุภาพของสมเด็จ พระนเรศวรมหาราช แล้วดาเนนิ ความตามประวตั ิศาสตร์ว่า พระเจา้ หงสาวดีนันทบเุ รงทรงทราบว่า สมเด็จพระมหาธรรมราชา เสด็จสวรรคต สมเด็จพระนเรศวรได้ครองราชสมบัติ พระองค์จึงตรัส ปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่ากรุงศรีอยุธยาผลัดเปลี่ยนกษัตริย์ สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกา ทศรถ พระพ่ีน้องท้ังสองอาจรบพุ่งชิงความเป็นใหญ่กัน ยังไม่รู้เหตุผลประการใด ควรส่งทัพไป ดินแดนอยธุ ยา เปน็ การเตือนสงครามไว้กอ่ น ถา้ เหตุการณ์เมืองอยุธยาไม่ปกตสิ ุขกใ็ ห้โจมตีทันที ขุน นางท้ังหลายก็เห็นชอบตามพระราชดารินั้น พระเจ้าหงสาวดีจึงตรัสให้ พระมหาอุปราชเตรียมทัพ รว่ มกับพระมหาราชเจ้านครเชยี งใหม่ แตพ่ ระมหาอปุ ราชากราบทูลพระบิดาวา่ โหรทายวา่ ชนั ษาของ พระองคร์ า้ ยนัก สมเด็จพระเจ้าหงสาวดีตรัสว่าพระมหาธรรมราชาไม่เสียแรงมีโอรสล้วนแต่ เชี่ยวชาญกล้าหาญในศึกมิเคยย่อท้อการสงคราม ไม่เคยพักให้พระราชบิดาใช้เลยต้องห้ามเสียอีก ผดิ กับพระองค์ และให้พระมหาอปุ ราชาไปเอาภสั ตราภรณ์สตรีมาทรงเสีย พระมหาอุปราชาทรงอับ อายและหวาดกลัวพระราชอาญาของพระบิดายิ่งนัก จึงเตรียมจัดทัพหลวงและทัพหัวเมืองต่างๆ เพ่ือยกมาตอี ยธุ ยา ขณะน้ันสมเด็จพระนเรศวรเตรียมทัพจะไปตีกัมพูชาเป็นการแก้แค้นท่ีถือโอกาส รุกรานอยุธยาหลายคร้ังระหว่างท่ีอยุธยาติดศึกกับพม่า พอสมเด็จพระนเรศวรทรงทราบข่าวศึกก็ ทรงถอนกาลงั ไปสู้รบกบั พม่าทันที ทัพหนา้ ยกลว่ งหน้าไปต้ังทต่ี าบลหนองสาหรา่ ย ฝา่ ยพระมหาอุปราชาทรงคมุ ทัพมากับพระเจ้าเชียงใหม่ร้ีพลรบ ๕ แสน เข้ามาทาง ดา่ นเจดยี ์สามองค์ ทรงชมไม้ ชมนก ชมเขา และคร่าครวญถึงพระสนมกานลั มาตลอดจนผ่านไทรโย ๑๗๔
คลากระเพิน และเข้ายดึ เมืองกาญจนบรุ ไี ด้โดยสะดวก ต่อจากนัน้ ก็เคล่ือนพลผ่านพนมทวนเกิดลาง ร้ายลมเวรัมภาพัดฉัตรหัก ทรงต้ังค่ายหลวงท่ีตาบลตระพังตรุ ฝ่ายสมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จ พระเอกาทศรถทรงเคล่ือนพยุหยาตราทางชลมารค ไปข้ึนบกที่ปากโมก บังเกิดศุภนิมิต ต่อจากน้ัน ทรงกรีฑาทัพทางบกไปตั้งค่ายที่ตาบลหนองสาหร่าย เมื่อทรงทราบว่าพม่าส่งทหารมาลาดตะเวน ทรงแน่พระทยั ว่าพมา่ จะตอ้ งโจมตกี รงุ ศรีอยุธยาเป็นแน่ จึงรับสั่งให้ทัพหน้าเข้าปะทะข้าศึกแล้ว ล่า ถอยเพอื่ ลวงขา้ ศกึ ใหป้ ระมาท แลว้ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชกับสมเด็จพระเอกาทศรถทรงนาทัพ หลวงออกมาช่วย ช้างพระที่นั่งลองเชือกตกมันกลับเขาไปในหมู่ข้าศึกแม่ทัพนายกองตามไม่ทัน สมเด็จพระนเรศวรมหาราชตรัสท้าพระมหาอุปราชาทายุทธหัตถีและทรงได้รับชัยชนะ โดยทรงใช้ พระแสงของ้าวฟันพระมหาอุปราชาขาดคาคอช้าง พระแสงของ้าวนั้นได้รับการขนานนามใน ภายหลังว่า พระแสงของ้าวเจ้าพระยาแสนพลพ่าย ทางด้านสมเด็จพระเอกาทศรถได้ทรงกระทา ยุทธหัตถีมีชัยชนะแก่มังจาชโร เม่ือกองทัพพม่าแตกพ่ายไปแล้วสมเด็จพระนเรศวรมาหาราชรับสั่ง ให้สร้างสถูปเจดีย์เพ่ือเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระมหาอุปราชา เสด็จแล้วจึงเลิกทัพกลับกรุงศรี อยุธยา ตวั อยา่ ง ตอนสมเด็จพระนเรศวรทรงปรารภเรอ่ื งตีเมืองเขมร ปางน้นั นฤเบศเบือ้ ง บรู พา ภพแฮ เฉลิมพิภพอโยธยา ยิ่งผู้ พระเดชดั่งรามรา- ฆพเขน่ เข็ญเฮย ออกอเรนทร์ร่ัวรู้ เรง่ รา้ วราญสมร โรงธาร ท่านฤๅ ภธู รสถิตท้อง มาศแต้ม เถลงิ ภิมขุ พิมาน กราบแนน่ เนืองนา มนตรชี ลุ ีกราน โอษฐเ์ ออื้ นปราศรัย บดั บดีศวรแย้ม ทวยชน แก่ท้าว ไต่ถามถึงทุกขถ์ ้อย ใดเยีย่ ง ยกุ ดิ์นา ต่างสนองเสนอกล ราษฎร์ร้อนห่อนมี พระดดั คดผี ล การยทุ ธ์ เยน็ อุระฤๅร้าว แผ่นโพน้ ดมโชค ชัยนา นฤบดีดารสั ด้วย แนน่ ัน้ วันเมอื ซงึ่ จกั ยอกัมพุช พลบกยกเอาอุต- นับดฤษถีนีโ้ นน้ ๑๗๕
ตัวอย่าง ตอนสมเด็จพระนเรศวรมหาราชใช้พระแสงของ้าวฟันพระมหาอุปราชท่ี อังสะขวาขาดสะพายแลง่ เบื้องนั้นนฤนาถผู้ สยามินทร์ เบืย่ งพระมาลาผนิ ห่อนพ้อง ศัตราวธุ อรนิ ทร์ ฤาถูก องคเ์ อย เพราะพระหตั ถห์ ากปอ้ ง ปัดดว้ ยขอทรง ทวารัติ บดั มงคลพ่าหไ์ ท้ ตกใต้ แว้งเหวี่ยงเบ่ียงเศยี รสะบัด คอคช เศกิ แฮ อกุ คลกุ พลกุ เงยงดั ท่วงทอ้ ทีถอย เบนบา่ ยหงายแหงนให้ ในรณ พ่ายฟ้อน พลอยพลา้ เพลียกถา้ ทา่ น เผด็จคู่ เข็ญแฮ บดั ราชฟาดแสงพล ขาดด้าวโดยขวา พระเดชพระแสดงดล ยลสยบ ถนดั พระอังสาข้อน ทา่ วด้ิน สงั เวช อุรารานร้าวแยก สูฟ้ า้ เสวยสวรรค์ เอนพระองค์ลงทบ เหนือคอคชซอนซบ วายชวิ าตม์สุดสนิ้ คุณค่า ลิลิตตะเลงพ่ายเป็นวรรณคดีเป็นวรรณคดียอพระเกียรติเรื่องสาคัญ สันนิษฐานกันว่าได้แบบอย่างการแต่งมาจากลิลิตยวนพ่าย วรรณคดีสมัยอยุธยาตอนต้น ท่ีกวีแต่ง เพ่ือสดุดีวีรกรรมของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถท่ีทรงรบชนะพระเจ้าติโลกราชแห่งเชียงใหม่ วรรณคดเี ร่ืองนส้ี ะท้อนใหเ้ ห็นความยิง่ ใหญ่ของสงครามยุทธหัตถี พระปรีชาสามารถ ความเสียสละ และความกล้าหาญของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทั้งยังให้ความรู้ทางประวัติศาสตร์สงคราม ระหวา่ งไทยกับพมา่ ด้วย ด้านการแต่งและการใช้ภาษานั้น จะเห็นว่ากวียังคงขนบการแต่งวรรณคดีไทย คือ ขน้ึ ตน้ ด้วยบทสดุดี แล้วจงึ เข้าสเู่ น้ือเร่ือง กวีเลอื กดาเนินเรือ่ งไปตามลาดบั เวลาซ่งึ ทาให้ผูอ้ า่ นเข้าใจ เนือ้ เรือ่ งไดง้ า่ ยขน้ึ อกี ทั้งยงั ใช้ถอ้ ยคาสานวนอยา่ งงามพรอ้ มทัง้ รสคาและรสความ เชน่ การเล่นคา และการใช้โวหารพรรณนาท่ีทาให้ผู้อ่านเกิดจินตภาพ การพรรณนาฉากอย่างสมจริงทาให้ผู้อ่านมี ๑๗๖
อารมณร์ ่วมและเกดิ ความร้สู กึ คล้อยตาม ท่ีนา่ สนใจคือ กวียังแทรกบทนริ าศครา่ ครวญถงึ นางไวด้ ว้ ย ซงึ่ เป็นลักษณะแปลกใหม่เพราะไม่เคยมีวรรณคดียอพระเกียรติเรื่องใดมีลักษณะเช่นนี้มาก่อน อาจ กลา่ วได้วา่ เปน็ การแหวกขนบการแต่งวรรณคดยี อพระเกียรตกิ ว็ ่าได้ อย่างไรก็ดี บทนิราศท่ีแทรก นน้ั ไมม่ ใี นพงศาวดาร เป็นส่ิงท่ีกวีเติมแต่งขึ้นมาเอง โดยกวีเลือกใช้บทนิราศกับพระมหาอุปราชท่ี ทรงคร่าครวญถึงนางอันเป็นที่รัก ซ่ึงอาจตีความได้หลายนัย นัยหน่ึงอาจสื่อให้เห็นความอ่อนแอ หรือความไมส่ ง่างามเหมาะสมของพระมหาอปุ ราช ซ่งึ เป็นภาพด้านตรงข้ามกับสมเด็จพระนเรศวร มหาราชท่ีกวีให้ภาพความเข็มแข็งและเสียสละ อีกนัยหนึ่งน้ัน อาจทาให้ผู้อ่านเห็นมิติความเป็น มนุษยท์ ่มี ีอารมณค์ วามรสู้ กึ ต่าง ๆ เกดิ ขึน้ ได้ในทุกยาม แม้จะเป็นยามสงครามก็ตาม การแทรกบท นิราศยังอาจทาให้ผู้อ่านรู้สึกสงสาร เห็นใจพระมหาอุปราช ขณะเดียวกันอาจทาให้รู้สึกถึงความ เสยี สละของพระองคไ์ ด้เชน่ กัน ๕.๔.๓ พระปฐมสมโพธิกถา ปฐมสมโพธิกถา หมายถึง เรื่องราวที่เก่ียวกับการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เดิมมีผู้ แต่งไวเ้ ปน็ ภาษาบาลี ไม่ทราบแนช่ ดั ว่าเปน็ ของผู้ใด ตอ่ มาจงึ มีผูแ้ ปลไว้เปน็ ภาษาไทย สมยั รัชกาล ที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีรับส่ังให้กรมหม่ืนไกรสรวิชิต กราบทูลอาราธนา สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส เม่ือยังเป็นกรมหมื่นนุชิตชิโนรสให้ทรงชาระ เรอ่ื งนี้ จนกระทง่ั สาเร็จบริบรู ณ์ในวนั แรม ๔ คา่ เดอื น ๗ พทุ ธศักราช ๒๓๘๘ ผแู้ ตง่ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชติ ชโิ นรส และพระเจา้ บรมวงศ์ เธอ กรมหมืน่ ภูบาลบริรกั ษ์ ลกั ษณะการแตง่ ใช้ร้อยแก้วมีภาษาบาลแี ทรกอย่บู ้าง วตั ถุประสงคใ์ นการแต่ง เพอ่ื สนองราชประสงค์แหง่ พระบาทสมเดจ็ พระนัง่ เกล้า เจ้าอยู่หัวในอันที่จะธารงพระพุทธศาสนาไว้ให้เป็นปึกแผ่น ดวงมน จิตร์จานงค์ (๒๕๔๐, หน้า ๑๘๖) กล่าวว่า “จุดมุ่งหมายของปฐมสมโพธิกถา มิใช่การเล่าเร่ืองพระพุทธประวัติ แต่เป็นการให้ ความรับรู้ต่อความหมายอันลึกซ้ึงของพระพุทธประวัติ ผ่านกระบวนการตัดสินใจและพฤติกรรม ตา่ งๆ ของพระพทุ ธเจ้า” เนื้อเรอื่ งย่อ พระปฐมสมโพธิกถาแบ่งเนื้อหาออกเป็นตอน ๆ เรียกว่า ปริเฉท มี ทง้ั หมด ๒๙ ปรเิ ฉท กลา่ วถึงศักยวงศ์หรอื ศากยวงศ์และโกลิยวงศ์ การสร้างกรุงกบิลพัสด์ุ เริ่มจาก พระเจ้ามหาสมมตเิ ทวราชเป็นกษัตรยิ พ์ ระองค์แรก และมีกษัตริย์สืบสันติวงศ์เร่ือยมาจนถึงพระเจ้า ศรหี นุ มโี อรสชอ่ื สุทโธทนะ ได้อภิเษกกับพระนางสริ มิ หามายาธิดาพระเจ้าชนาธิปราชแห่งโกลิยวงศ์ ตอ่ มาพระเจา้ สุทโธทนะได้ครองราชสมบตั ิ พระโพธิสตั ว์จุติจากสวรรค์ช้ันดุสิตลงมาปฏิสนธิในพระ ครรภ์ของพระนางสิริมหามายาเม่ือครบทศมาสได้ประสูติ ณ สวนลุมพินี ได้รับขนานนามว่า พระ ๑๗๗
สทิ ธัตถะและพระอังครี ส หลังจากประสูติได้ ๗ วนั พระนางสริ ิมหามายาได้ทิวงคต พระนางปิขาบดี เป็นผู้เล้ียงดูพระสิทธัตถะจนเจริญวัย พระเจ้าสุทโธทนะกาหนดให้กระทาพิธีแบบพราหมณ์คือ ได้ เชิญพราหมณ์มาทานายลักษณะของพระกุมาร จากน้ันได้โปรดขุดสระในพระราชนิเวศน์ และให้ สร้างปราสาทข้ึน ๓ องค์ สาหรับให้ประทับใน ๓ ฤดู ต่อมาเจ้าชายได้อภิเษกสมรสกับพระนาง พิมพา เมอ่ื พระชนมายุ ๑๖ พรรษา ได้มีโอรสองค์หน่ึงชื่อว่า ราหุล เจ้าชายสิทธัตถะทรงสาราญใน เพศฆราวาสจนพระชนม์ได้ ๒๙ พรรษา จงึ ได้เสดจ็ ออกเพอ่ื บรรพชา เพราะไดท้ อดพระเนตรเห็นคน แก่ คนเจ็บ คนตาย และบรรพชติ อกี อยา่ งหนึ่งเพราะได้ทอดพระเนตรเห็นนางระบาและหญิงที่เล่น ดนตรีนอนหลับมีอาการน่าสังเวช ทาให้เบื่อหน่ายในกามคุณ จึงได้เสด็จไปด้วยพาหนะคือม้าชื่อ กัณฐกะ พร้อมด้วยนายฉันนะ ทรงตัดพระเมาลีและอธิษฐานบรรพชาท่ีฝ่ังแม่น้าโขงอโนมา พระ โพธิสัตว์ทรงบาเพ็ญเพียรเพ่ือบรรลุสัจธรรมเป็นเวลา ๖ ปี จึงได้สาเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลังจากนั้นได้ทรงเผยแพร่พระสัทธธรรมที่ทรงค้นพบและวางรากฐานพระพุทธศาสนา เป็นเวลา ๔๕ ปี จงึ เสดจ็ ดับขนั ธปรินพิ พาน ณ กรุงกสุ นิ ารา เมื่อพระชนมายุ ๘๐ พรรษา เมื่อถวายพระเพลิง พระพุทธสรรี ะแล้ว โทณพราหมณไ์ ดบ้ างพระบรมธาตุแกก่ ษัตริย์ต่างๆ เพือ่ อนั เชญิ ไปประดษิ ฐาน ณ ท่อี นั ควร สาหรบั ประชาชนได้สกั การบชู า ในปริเฉทท่ี ๒๘ ไดก้ ล่าวว่า พระมหากัสสปเถระได้ปรกึ ษา กบั พระเจ้าอชาตศตั รู เพ่ือนาพระบรมธาตุจาก ๖ แห่งมารวมกันเก็บไว้และสร้างสถูปครอบ ล่วงมา ๒๑๘ ปี พระเจ้าอโศกมหาราชทรงเล่ือมใสพระพุทธศาสนาเป็นอันมาก ได้รับสั่งให้นาพระบรมธาตุ มาสกั การะแลว้ ใหน้ าไปประดิษฐานในพระเจดีย์ทุกๆ นครในชมพูทวีปและได้จัดงานฉลองพระบรม ธาตุ แตเ่ กรงภยั จากพระยามาร ที่ประชมุ สงฆ์จงึ ใหไ้ ปนิมนต์พระอปุ คตุ เถระซ่งึ อยทู่ ี่ทอ้ งทะเลมาชว่ ย ปอ้ งกัน พระยามารพยายามทาลายพิธี แต่พระอุปคุตสามารถป้องกันไว้ได้ พระเจ้าอโศกโปรดให้พ นะมหินทราชโอรสและพระสังฆมิตตาราชธิดาอุปสมบทเป็นพระภิกษุและภิกษุณี ภายหลังได้บรรลุ เป็นพระอรหันต์ ในปริเฉทสุดท้ายได้กล่าวถึงอันตรธาน ๕ ประการคือ ปริยัติอันตรธานปฏิบัติ อันตรธาน ปฏิเวธอนั ตรธาน ลงิ คอันตรธาน และธาตุอันตรธาน ธาตุอันตรธาน คือ เม่ือไม่มีใครบูชา พระบรมธาตุอันประดิษฐานอยู่ตามท่ีต่างๆ พระธาตุทั้งหลายก็จะมาประชุมกัน ณ ที่พระพุทธเจ้า ตรัสรู้ และเกดิ เปน็ ไฟไหมพ้ ระธาตุสิ้นไป ตวั อยา่ ง ปรจิ เฉทท่ี ๑ ววิ าหมงคลปรวิ รรต อันน้ีเป็นเร่ืองอุบัติแห่งกรุงกบิลพัสดุ์มหานครโดยนัยพรรณนามานี้ ลาดับน้ัน อมาตย์ทงั้ ๘ จงึ ปรกึ ษากันว่าพระราชกมุ ารทง้ั หลายนี้ก็ทรงเจริญวยั วัฒนา ถา้ อยู่ในสานัก พระราชบดิ าก็จะกระทาอาวาหววิ าหมงคลการก็กาลบัดนี้ เราท้งั หลายเป็นผู้ใหญ่ทรงพระ กรุณาโปรดให้มาทานบุ ารงุ บรริ กั ษ์พระราชกมุ าร แลการอันน้กี เ็ ป็นภารธุระของเราควรจะ ๑๗๘
จัดแจงจึงจะชอบก็ชวนกันเข้าไปกราบบังคมทูลปรึกษาว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะไปขอพระ ราชธิดาแห่งกษัตริย์เมืองอื่นมาอภิเษกกับด้วยพระองค์ เมื่อพระราชกุมารท้ังหลายทรง สดบั ดงั นนั้ จึงตรสั ตอบวา่ เรามไิ ดเ้ หน็ นางขตั ตยิ ราชธิดาแห่งกษัตรยิ ท์ ้งั หลายอ่ืน ซึ่งจะเป็น บรมขัตติยาสัมภินชาติชาตรีอันประเสริฐเสมอเหมือนด้วยเรา อน่ึงขัตตยิราชกุมาร ท้ังหลายอน่ื นัน้ เล่า กม็ ไิ ดอ้ สัมภนิ พงศ์กษัตริย์ชาติชาตรีเสมอเหมือนด้วยเชษฐกนิษฐภคินี โดยแท้ เบื้องว่าจะอภิเษกสังวาสกับด้วยขัตติยราชสกูลท้ังหลายอื่น เกรงว่าราชบุตรธิดา ของเราซ่ึงจะบังเกิดนั้นจะไม่เป็นขัตติยชาติอันบริสุทธ์ิ ฝ่ายข้างบิดาบ้างฝ่ายข้างมารดา บ้างก็จะถึงซึ่งชาติสัมเภทเส่ือมเสียขัตติยวงศ์ไป เพราะเหตุน้ันเราท้ังหลายชอบใจจะ อภิเษกสังวาสกับด้วยพระกนิษฐราชภคินีแห่งเรา ขัตติยวงศ์ของเราจึงจะบริสุทธ์ิขัตติ ยาสัมภินชาติโดยแท้ และพระราชกุมารท้ังหลายจึงตั้งไว้ซึ่งเชษฐภคินี องค์เดียวน้ันในที่ เป็นราชมารดาแล้วก็กระทาสกสกสังวาส กับด้วยพระกนิษฐภคินีท้ัง ๔ นางน้ันเป็นคู่ ๆ กัน ด้วยกลัวชาติสัมเภท จนเจริญด้วยพระราชบุตร พระราชธิดาเป็นอันมาก เหตุดังน้ัน กษัตริย์ทงั้ หลายในกรุงกบลิ พสั ดุน์ น้ั จึงได้นามกรปรากฏว่าศักยราชตระกูลเพราะทาสกสก สังวาสในราชวงศ์แห่งตนๆ อันนี้เป็นเร่ืองต้นอุบัติเหตุแห่งศักยราชตระกูล จับเดิมแต่น้ัน มา กษัตริยศ์ ักยราชทงั้ หลายไดเ้ สวยราชสมบตั สิ ืบพระวงศต์ อ่ ๆ กันมาเปน็ หลายช่ัวกษัตริย์ เปน็ อันมากตราบเทา่ ถึงพระเจ้าสีวริ าช พระเจา้ สญชัยราชแลพระเจ้าเวสสันตรราชครง้ั น้นั เปล่ียนนามพระนครชื่อกรุงเชตุดรแลสมเด็จพระเวสสันตรราชได้เสวยราชสมบัติดารงใน ทศพธิ ราชธรรม ทรงบรจิ าคพระยาเศวตปจั จัยนาคกับทั้งเครอ่ื งคชาภรณอ์ ันมีราคาได้ ๒๔ แสนกหาปณะดารงพระชนม์ตราบเท่าทิวงคต จุติข้ึนไปบังเกิดในดุสิตเทวโลกจึงพระชาลี ราชโอรสได้ราชาภิเษกกับด้วยนางกัณหาชินากนิษฐภคินี ได้เสวยราชสมบัติสืบกันมา มี พระราชโอรสทรงพระนามพระสีวีวาหนราช พระสีวีวาหนราชมีพระราชโอรส ทรงพระ นามพระสีหัสสรราช พระสีหัสสรราชได้เสวยราชสมบัติสืบพระวงศ์เป็นลาดับมาเป็นอัน มาก นับเป็นกษตั รยิ ์ ๑๖๑,๐๐๐ พระองค์ จงึ ถึงพระเจ้าไชยเสนราช พระเจ้าไชยเสนราชมี พระราชบตุ รทรงพระนามพระเจ้าสหี หนรุ าชได้เสวยราชสมบัติสืบกันมา คร้ังนั้นนามพระ นครกลับเรียกกรุงกบิลพัสด์ุดุจนามเดิม แลพระเจ้าสีหหนุราชน้ันมีพระราชโอรส ๓ พระองค์ ทรงพระนามพระสริ ิสุทโธทนราชกุมาร ๑ พระสุกโกทนราชกุมาร ๑ อมิตโตทน ราชกุมาร ๑ มพี ระราชธิดา ๒ พระองค์ ทรงพระนามนางอมิตา ๑ นางปมิตา ๑ ในกาล นั้นสมเด็จพระเจา้ กรงุ สหี หนรุ าชมพี ระหฤทัยปรารถนาจะราชาภเิ ษกพระสิรสิ ุทโธทนเชษฐ ราชโอรสผู้ใหญ่ซึ่งทรงพระวัยวัฒนาการประดิษฐานไว้ในเศวตราชาฉัตรเสวยมไหศวริย ๑๗๙
สมบัติแทนพระองค์ ทรงพระดาริว่า ควรจะให้สืบแสวงหาซึ่งนางขัตติยราชธิดาอันอุดม วงศท์ รงซง่ึ บวรรูปสิริโสภาคยแ์ ลบรบิ ูรณ์ คุณค่า เรื่องพระปฐมสมโพธิกถาให้ความรู้เกี่ยวกับพุทธประวัติอย่างละเอียด โดยเน้นในแงอ่ ทิ ธฤิ ทธ์ปิ าฏิหารยิ แ์ ละบุคลาธิษฐานเพ่ือให้ผู้อ่านเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในองค์พระ ศาสดาหรือพระพุทธศาสนา วรรณคดีเรื่องน้ียังแสดงถึงหลักคาสอนต่าง ๆ ในพระพุทธศาสนา ซ่ึงศาสนิกชนพึงนาไปปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ในชีวิตจริง เช่น คาสอนเร่ืองอริยสัจ ๔ การเจริญ สมาธิภาวนา การทาสังฆทาน เป็นต้น ยังเป็นวรรณคดีท่ีมีคุณค่าทางวรรณศิลป์ มีความดีเด่น ทางดา้ นเสยี ง คา ความหมาย จินตนาการ และอารมณส์ ะเทอื นใจ มีลักษณะเชิงกวีนิพนธ์ คือใช้ องคป์ ระกอบของภาษานับต้ังแต่เสียง คา กลุ่มคา และประโยค เป็นวัสดุสร้างแรงกระทบอารมณ์ท่ี เร้าการรับรู้ของผู้อ่านอย่างท่ีไม่ปรากฏในการส่ือสารตามปกติ (ดวงมน จิตร์จานงค์, ๒๕๔๐, หน้า ๑๘๕ – ๑๘๖) ๕.๔.๔ โคลงโลกนติ ิ โคลงโลกนิตเิ ป็นโคลงสภุ าษิต จัดอยู่ในวรรณกรรมประเภทคาสอน คาว่า โลกนิติ แปลวา่ ระเบยี บแบบแผนแห่งโลก บ้างเรยี กวา่ โลกนิตคิ าโคลง โคลงโลกนิติสานวนเก่าเช่ือกันว่า มีมาต้ังแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา โดยนักปราชญ์ในสมัยนั้นได้คัดเลือกหาคาถาสุภาษิตภาษาบาลีและ ภาษาสันสกฤตที่ปรากฏในคัมภีร์ต่าง ๆ เช่น คัมภีร์โลกนัย คัมภีร์โลกนิติ ธรรมบท พระไตรปิฎก เป็นตน้ มาถอดความแล้วเรยี บเรยี งแตง่ เป็นคาโคลง รวมเรยี กวา่ โคลงโลกนิติ เม่ือพระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อย่หู ัวทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหป้ ฏสิ ังขรณ์ วดั พระเชตพุ นวมิ ลมังคลาราม จงึ ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ให้ สมเดจ็ พระเจา้ น้องยาเธอ กรมขนุ เดชอดิศร (ต่อมาได้ดารงพระยศเป็นสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร) ทรงชาระ โคลงโลกนิติสานวนเก่าให้ประณีตไพเราะยิ่งข้ึน เพื่อจารึกไว้ในคราวเดียวกันด้วย ซึ่งทาให้โคลงโลก นิติแพร่หลายในเวลาต่อมา ต่อมาใน ปี พ.ศ. ๒๔๖๐ หอพระสมุดวชิรญาณสาหรับพระนคร รวบรวมโคลงโลกนิติ ท้ังของเก่าและท่ีชาระใหม่พิมพ์ข้ึนคร้ังหน่ึง และให้ชื่อว่า “ประชุมโคลงโลก นติ ิ” มีคาถาบาลีและสันสกฤต เท่าที่ค้นพบพิมพ์กากับไว้ข้างต้นของโคลงภาษิตน้ันด้วย และต่อมา ไดพ้ ิมพอ์ ีกหลายคร้งั โคลงโลกนติ ิทีป่ รากฏต้นฉบับในสมุดไทยมีจานวนท้ังส้ิน ๔๐๘ บท แต่ท่ีจารึกไว้ใน วดั พระเชตุพน ฯ แผน่ ละบท มี ๔๓๕ แผน่ (รวมโคลงนา ๒ บท) คาดวา่ มโี คลงท่ีแต่งเพ่ิมเติมเพื่อให้ พอดีกบั พ้ืนทจี่ ารึก ผูแ้ ตง่ สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาเดชาดศิ ร ทรงชาระ ๑๘๐
ลกั ษณะการแตง่ โคลงส่ีสภุ าพ บางโคลงมคี าถาบาลีวางไว้เปน็ แม่บท วัตถปุ ระสงคใ์ นการแตง่ เพอ่ื เปน็ คตสิ อนใจ และรัชกาลที่ ๓ มพี ระราชประสงค์ ให้ประชาชนไดอ้ ่าน เนื้อเร่ืองย่อ เริ่มต้นสดุดีพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่า ทรงแสดงโอวาทประดับพระองค์และยังทรงเมตตาประชาชน จากน้ัน จะแยกโคลงออกเป็นชุด ๆ แต่ละชุดมสี ว่ นประกอบดังนี้ ตวั เลขลาดบั กากบั ชุด คาถา โดยชดุ ทม่ี คี าถา จะเขียนคาถาไวท้ ีต่ ้นบท พรอ้ มชือ่ คมั ภีร์อันเป็นท่ีมาของคาถานั้น ถ้าโคลงชุดน้ีไม่มีคาถา จะเขียนว่า ยังไม่พบคาถา อ้างอิง ท้ายคาถา (ถ้ามีคาถา) แหล่งท่ีมา เช่น คัมภีร์โลกนิติ คัมภีร์ธรรมนีติ คัมภีร์ราชนีติ หิโตปเทศ ธรรมบท พระไตรปฎิ ก ถ้าไมพ่ บทม่ี าของคมั ภรี ์ จะเขียนวา่ ไมป่ รากฏทมี่ า ตัวอย่าง โคลงโลกนิติตอนต้น ที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร ทรงเริม่ ต้นด้วยการสดุดพี ระบาทสมเด็จพระน่งั เกล้าเจา้ อยูห่ วั และบอกความเปน็ มาของโคลงว่าเปน็ สุภาษิตทม่ี มี ายาวนาน ๏ อัญขยมบรมนเรศเรอ้ื ง รามวงศ์ พระผ่านแผน่ ไผททรง สบื ไท้ แสวงยง่ิ สงิ่ สดับองค์ โอวาท หวังประชาชนให้ อ่านแจง้ คาโคลง นมนาน ครรโลงโลกนิตนิ ี้ เก่าพรอ้ ง มแี ตโ่ บราณกาล สอนจิต เปน็ สภุ สติ สาร เวย่ี ไว้ในกรรณ กลด่งั สรอ้ ยสอดคล้อง ตัวอย่างเปรียบเทียบโคลงโลกนิติ สานวนเก่าและสานวนสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรม พระยาเดชาดศิ ร ทีท่ รงปรับใหถ้ อ้ ยคามีความไพเราะและยงั ไดค้ วามครบถว้ น สานวนเกา่ ใบคา ปลาร้าหมุ้ หอ่ ด้วย คละคลงุ้ คบเพอื่ น พาลนา คาตดิ แปดเหมน็ ปลา เนื่องร้ายเสมอกนั คือคนผู้ดหี า ความช่วั ปนปานฟุ้ง ๑๘๑
สานวนสมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาเดชาดศิ ร ปลาร้าพันห่อด้วย ใบคา ใบกเ็ หม็นคาวปลา คละคลงุ้ คือคนหมไู่ ปหา คบเพือ่ น พาลนา ได้แต่รา้ ยร้ายฟงุ้ เฟอ่ื งใหเ้ สียพงศ์ ตัวอย่าง โคลงโลกนิตทิ ่ีเปน็ โคลงกระทู้ เพื่อนกิน สนิ ทรัพย์แล้ว แหนงหนี หางาย หลายหมืน่ มี มากได้ เพอ่ื นตาย ถา่ ยแทนชี- วาอาตม์ หายาก ฝากผีไข้ ยากแท้จกั หา คณุ คา่ โคลงโลกนิติมุง่ สอนแนวทางการดาเนนิ ชีวิต ให้คตสิ อนใจ โดยใช้สานวน ภาษาเชิงเปรียบเทียบ สาธกความจริงแท้ของชีวิตให้ผู้อ่านเกิดความตระหนักรู้และคล้อยตาม กวี มกั นาธรรมชาติและสิง่ ใกล้ตวั มาใช้เป็นความเปรยี บ ทาให้เข้าใจง่าย ทั้งยังใช้คู่เปรียบตรงข้าม ทา ใหเ้ ห็นความหมายท่ีแตกต่างกนั อย่างเด่นชัด บางบทยงั เป็นโคลงกระทดู้ ้วย ๕.๔.๕ บทละครเรื่องระเด่นลนั ได ระเด่นลันได เป็นวรรณคดีสาคัญในสมัยรัชกาลที่ ๓ สันนิษฐานกันว่า พระมหา มนตรี (ทรัพย์) ได้เค้าโครงเร่ืองมาจากชีวิตจริงของแขกขอทานช่ือ ลันได อาศัยอยู่ใกล้โบสถ์ พราหมณ์ บริเวณหน้าวัดสุทัศนเทพวราราม ต่อมาแขกขอทานเกิดวิวาทกับแขกเลี้ยงวัวด้วยเรื่อง แย่งหญิงสาว ผู้คนต่างเห็นเป็นเร่ืองขบขัน พระมหามนตรี (ทรัพย์) ทราบเร่ืองจึงนามาแต่งเป็น กลอนบทละคร ท่ีกล่าวกนั ว่าเปน็ กลอนละครเพราะว่ามคี านาเมอ่ื นั้น บดั นัน้ แตท่ ้ังนไ้ี มม่ ีหน้าพาทย์ หรือเพลงกากับให้ครบถ้วนตามแบบละครท่ัวไป เรื่องนี้ค้นพบเม่ือพระมหามนตรี (ทรัพย์) ถึงแก่ กรรมแล้ว ผแู้ ต่ง พระมหามนตรี (ทรพั ย)์ ลกั ษณะการแตง่ กลอนบทละคร วัตถุประสงค์ในการแต่ง เช่ือกันว่า พระมหามนตรี (ทรัพย์) ต้องการอวดฝีมือ ตน นอกเหนือไปจากกลอนกลบทกบเต้นสามตอนและโคลงฤาษีดัดตน และอาจต้องการล้อเรื่อง อเิ หนา ๑๘๒
เนื้อเร่ืองย่อ ระเด่นลันไดเป็นแขกขอทานเท่ียวสีซอขอข้าวกินตามตลาดเสา ชิงช้า หนา้ โบสถ์พราหมณ์ สวมกางเกงขาด ๆ สวมประคาดีควายสะพายยาม ถือกระบองกันหมา แล้วเท่ียวสซี อไปตามทางเหมอื นอย่างเคยจนมาถงึ เมอื งหน่ึงซึ่งใหญก่ ว้าง วนั หน่ึงเดินทางมาถึงริมหวั ป้อม พบนางประแดะภรรยาของท้าวประดู่ ระเด่นลันไดสีซอและร้องเพลงให้ฟัง นางประแดะ ถูกใจจึงให้ข้าวกล้องและปลาสลิดแห้ง ระเด่นลันไดเก้ียวพาราสีและให้สัญญาว่าตอนดึกจะเข้าหา ขอให้นางประแดะเปดิ ประตูไว้คอยทา่ สว่ นท้าวประดกู่ ลบั จากเล้ียงวัว เห็นข้าวกล้องพร่องไปและ ปลาสลิดแห้งหายไปหมดซักไซ้ได้ความว่าให้ระเด่นลันไดไป ท้าวประดู่โกรธจึงทุบตีและขับไล่นาง ครั้นตกดึกระเด่นลันไดลอบเข้าไปหานางประแดะในห้องพบท้าวประดู่ ต่างฝ่ายต่างเล้าโลมกัน เพราะคดิ วา่ อีกฝา่ ยหนึง่ เปน็ นางประแดะ เม่อื รู้วา่ ผิดตวั จึงรอ้ งเอะอะขึ้น ระเด่นลนั ไดหนมี าถึงร้าน ริมถนน พบนางประแดะน่ังร้องไห้จึงพานางไปอยู่ด้วย ต่อมานางกระแอแม่ค้าขายข้าวเหนียวชาว ทวายคนรกั ของระเด่นลันไดคิดถึงระเด่นลันไดจึงไปหา นางกระแอแอบเห็นระเด่นลันไดอยู่กับนาง ประแดะก็หงึ หวงจึงแกลง้ ทาเป็นทวงค่าขา้ วเหนยี ว ระเด่นลนั ไดปลอบโยน ตัวอย่าง ตอนชมนางประแดะ ๏ เมอื่ นัน้ พระสุวรรณลนั ไดเรืองศรี เหลียวพบสบเนตรนางตานี ภูมีพศิ พักตรล์ ักขณา ฯ ๒ คา ฯ งามละมา้ ยคล้ายอฐู กะกลาปา๋ ๏สูงระหงทรงเพรยี วเรยี วรดู ทงั้ สองแก้มกลั ยาดงั ลกู ยอ พศิ แต่หวั ตลอดเท้าขาวแตต่ า จมกู ละม้ายคล้ายพรา้ ขอ ค้ิวกง่ เหมอื นกงเขาดีดฝา้ ย ลาคอโตตนั สั้นกลม หูกลวงดวงพกั ตร์หกั งอ โคนเห่ียวแหง้ รวบเหมือนบวบตม้ สองเตา้ ห้อยตุงดังถุงตะเคยี ว มันน่าเชยนา่ ชมนางเทวี ฯ ๖ คา ฯ เสวยสลายาจุกพระโอษฐ์อม ตัวอยา่ ง ตอนทา้ วประดเู่ ค้นความจริงจากนางประแดะ ๏ เมือ่ น้นั ทา้ วประดเู ดือดนักชักพระแสง ถ้าบอกจริงใหก้ อู ีหูแหวง่ จะงดไวไ้ ม่แทงอยา่ งแย่งยุด กูก็เคยเก้ยี วช้รู มู้ ารยา มใิ ชม่ งึ โสดามหาอดุ มันเป็นถงึ เพยี งนก้ี พ็ ริ ุธ ถึงดานา้ ร้อยผดุ ไมเ่ ชอ่ื ใจ ยงั จะท้าพสิ จู นร์ ดู ลอง พ่อจะถองใหย้ บั จนตับไหล เหน็ ว่ากูหลงรกั แลว้ หนกั ไป เอออะไรน่หี วานา้ หนา้ มึง ๑๘๓
หาเอาใหมใ่ หด้ กี ว่านี้อีก ผดิ กเ็ สียเงินปลีกสองสลึง กาลังกร้ิวโกรธาหนา้ ตงึ ถบี ผงึ ถูกตะโพกโขยกไป ฯ ๘ คา ฯ โอด คุณค่า เร่ืองละเด่นลันไดเป็นวรรณคดีที่มีความแปลกใหม่โดยเฉพาะในด้าน เนื้อหาที่ล้อเลยี นเรอื่ งอิเหนา จนอาจกลา่ วได้ว่า เป็นวรรณคดีย่วั ลอ้ เรอ่ื งแรกของไทย กวีใชถ้ อ้ ยคา สานวนล้อเลียนบทละครเร่ืองอิเหนา พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย อย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากปรากฏคาว่า “ระเด่น” “วงศ์อสัญแดหวา” “ตุนาหงัน” ตลอดจนการใช้ คาราชาศัพท์อ่ืน ๆ ทั้งที่ตัวละครในเรื่องเป็นเพียงสามัญชน พระมหามนตรี (ทรัพย์) กาหนดให้ตัว ละครและฉากตา่ ง ๆ ใหต้ รงกันขา้ ม ทาใหผ้ ู้อ่านร้สู ึกถึงการเสยี ดสีและขบขันไปพรอ้ มกนั ๕.๔.๖ นริ าศเดือน นิราศเดือนเป็นร้อยกรองเชิงนิราศ นายมีหรือหม่ืนพหรมสมพัตสร เกิดในสมัย รัชกาลที่ ๑ เป็นศิษย์คนหนึ่งของสุนทรภู่ ท่ีได้รับยกย่องว่าแต่งกลอนได้ดีเด่นใกล้เคียงกับสุนทรภู่ มากท่ีสุด มักมีผู้ต้ังข้อสังเกตว่าความคิดและสานวนโวหารของนายมีเป็นทานองเดียวกับสุนทรภู่ และดเี ดน่ ใกล้เคยี งกบั สุนทรภู่ ผลงานบางเรอ่ื งมผี ู้เขา้ ใจผดิ ว่าเป็นผลงานของสนุ ทรภู่ก็มี ผแู้ ตง่ นายมี หรอื หมื่นพรหมสมพัตสร ลักษณะการแตง่ กลอนสุภาพ วัตถุประสงค์ในการแต่ง เพื่อคร่าครวญถึงนางอันเป็นท่รี กั และบนั ทึกเหตุการณ์ เนื้อเรื่องย่อ เนื้อเรื่องกล่าวถึงความโศกเศร้าของกวีท่ีไม่สมหวังในรัก โดยกล่าว เชื่อมโยงความรู้สึกของกวีที่มีต่อนางท่ีรักกับวัฒนธรรมประเพณีที่ปฏิบัติกันในแต่ละเดือน รวมทั้ง เหตุการณ์ที่กวีได้เข้าไปเกี่ยวข้อง เริ่มต้ังแต่เดือนห้าเรียงลาดับตามเดือนไปจนถึงเดือนส่ีเป็น ครบรอบปีหน่ึง ในเดือนห้าเป็นปีใหม่ไทยในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ มีประเพณีสาคัญคือ ประเพณี สงกรานต์ เป็นต้น ตัวอย่าง งานสงกรานตใ์ นเดือนห้า โอฤ้ ดูเดือนห้าหน้าคมิ หนั ต์ พวกมนษุ ย์สดุ สขุ สนุกครนั ไดด้ ูกันพิศวงเมอื่ สงกรานต์ ทงั้ ผ้ดู ีเขญ็ ใจใสอ่ งั คาส อภิวาทพุทธรปู ในวหิ าร ล้วนแต่งตวั ทว่ั กนั วนั สงกรานต์ ดูสคราญเพริศพร้ิงท้งั หญงิ ชาย ทีเ่ ฒ่าแก่แมห่ มา้ ยไม่ใคร่เท่ียว สู้อดเปร้ยี วกนิ หวานลกู หลานหลาย ท่ีกาดดั ขัดสีสวยทัง้ กาย เที่ยวถวายนา้ หอมน้อมศรัทธา ๑๘๔
บา้ งก็มที สี่ วาดิม์ าดพระสงฆ์ ตา่ งจานงนกึ กาดดั ขัดสิกขา ได้แต่เพียงพดู กันจานรรจา นานนานมากลับไปแล้วใจตรอม ฯ คณุ ค่า นริ าศเดือนมีลกั ษณะแตกตา่ งจากนริ าศโดยท่วั ไป คอื กวีไม่ไดเ้ ดนิ ทางจาก คนรัก จึงพรรณนาคร่าครวญถึงคนรักโดยยึดเวลาเป็นสาคัญ ซึ่งนับว่าเป็นลักษณะแปลกใหม่ นิราศเดือนยงั ใหค้ วามรู้เก่ยี วกบั ขนบธรรมเนียมประเพณีแต่ละเดือน รวมถึงแนวทางข้อคิดเห็น การ วิพากษ์วจิ ารณ์สังคมตามทศั นะของกวตี ลอดให้คติในการดาเนินชวี ติ อีกดว้ ย ๕.๔.๗ บทสักวา บทสักวาของคุณพุ่ม หรือที่รู้จักกันในนาม บุษบาท่าเรือจ้าง เป็นกวีหญิงในสมัย รชั กาลที่ ๓ ตามประวัตินั้น คุณพุ่มเป็นธิดาพระยาราชมนตรี (ภู่) ซ่ึงเป็นข้าหลวงเดิมของรัชกาลที่ ๓ เมือ่ เจริญวัยคณุ พุ่มถวายตวั เป็นข้าราชการฝา่ ยใน ตาแหนง่ พนักงานพระแสงจนเป็นที่โปรดปราน แต่อยู่ไม่นานก็กราบถวายบังคมลาออก โดยอาศัยอยู่ที่แพหน้าบ้านท่านบิดา เหนือวังท่าพระ ใกล้ ทา่ เรอื จา้ ง เม่อื สนิ้ บุญของบิดา คณุ พมุ่ มฐี านะยากจนลงตอ้ งเขยี นกลอนขาย นับเป็นกวีหญิงคนแรก ทห่ี าเล้ยี งชีพด้วยการเขียนกลอนขาย ในสมัยรัชกาลท่ี ๔ คุณพุ่มได้อาศัยพึ่งบุญบารมีพระเจ้าบรม วงศเ์ ธอ กรมหม่ืนมเหศวรศวิ วลิ าส และพระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมหม่นื วษิ ณนุ าถนภิ าธร เมือ่ พระองค์ ท่านทัง้ สองสิ้นพระชนม์ คุณพุ่มไดไ้ ปอาศัยอยู่กับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านารีรัตนา ต่อมา ในสมยั รชั กาลท่ี ๕ คุณพุ่มไดเ้ ข้ารับราชการใน สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาสุดารัตนราช ประยูร พระราชธดิ าในรัชกาลท่ี ๓ ซึง่ เป็นผู้ทานุบารุงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมา ต้ังแตย่ ังทรงพระเยาว์ และทรงชบุ เลี้ยงคุณพุ่มจนตลอดชวี ิต โดยคณุ พ่มุ ทาหนา้ ท่ีผบู้ อกสักวา ผู้แตง่ คณุ พุ่ม (บุษบาทา่ เรือจ้าง) ลักษณะการแตง่ กลอนสักวา วตั ถุประสงคใ์ นการแต่ง เพ่ือใช้เล่นสักวา เนอ้ื เรอ่ื งยอ่ คณุ พุ่มแต่งและตอ่ บทสักวาหลายเรอื่ ง ตามทไ่ี ดร้ บั หน้าที่ เช่น เพลง ยาวโต้ตอบกับสามชาย กล่าวไว้แล้วในพระประวัติของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงศาธิราช สนิท ซ่ึงเล่นเป็นสังคามาระตา (ในเร่ืองอิเหนา) เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ เล่นเป็นอิเหนา ส่วน คณุ พมุ่ เล่นเป็นมะเดหวี เพลงยาวบวงสรวงฉลองสระบางโขมด ในสมัยรัชกาลที่ ๔ คุณพุ่มได้อาศัยพึ่งบุญ บารมีของ พระองค์ชายนพวงศ์ (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหม่ืนมเหศวรศิววิลาส) และ พระองค์ เจา้ ชายสุประดิษฐ์ (พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหมื่นวิษณุนาถนิภาธร) พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จ ๑๘๕
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับพระราชทานเงินปี ในช่วงนี้คุณพุ่มได้ขุดสระสร้างให้เป็น สาธารณประโยชน์ไวท้ ่ีบางโขมด บรเิ วณทางขึน้ พระพุทธบาทสระบรุ ี เมอื่ มกี ารฉลองคุณพุม่ จึงเขียน เพลงยาวบวงสรวงฉลองสระบางโขมด ปิดไว้ที่ศาลาริมสระน้ัน มีผู้คัดลอกจดจากัน ต่อ ๆ มา เพลงยาวเฉลิมพระเกียรติ พระองค์เจ้าหญิงนารีรัตนาทรงแนะให้คุณพุ่มแต่งเพ่ิมเฉลิม พระเกยี รติ พระบาทสมเด็จพระนงั่ เกล้าเจ้าอยหู่ ัว และ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั โดย แต่งเป็นเพลงกลอนเพลงยาว ๒๒ คากลอน เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๔๑๑ ซ่ึงเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระจอม เกลา้ เจ้าอยู่หวั เสดจ็ สวรรคต นาขึ้นทลู เกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็น ทพ่ี ระทบั พระราชหฤทัย ไดร้ ับพระราชทานรางวัล ผลงานชิ้นนี้มีประวัติคณุ พ่มุ แทรกอยู่ด้วย ผลงานเบ็ดเตล็ดอ่ืน ๆ ได้แก่ บทสักวาต่าง ๆ ของคุณพุ่ม และสักวาเล่นที่ท้อง พรหมมาศ สักวาท่ีเล่นถวายหน้าพระที่น่ังพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในปี พ.ศ. ๒๔๑๕ สักวาทเี่ ล่นในสระพระราชวงั บางปะอนิ ในปี พ.ศ. ๒๔๒๐ เพลงยาวเจา้ สัวปกุ เป็นตน้ ตัวอย่าง บทสักวาของคุณพุ่มที่สระพระราชวังบางปะอิน เม่ือ พ.ศ. ๒๔๒๐ วงอาลกั ษณ์ของกรมหลวงบดนิ ทร์ ฯ ไดโ้ ต้สกั วากบั คณุ พุ่ม สกั วาใชจ่ ะยอพูดผลอพรอด ไมท่ ้ิงทอดหา่ งเหสเน่หา คารมอ่นื ดน่ื ไปไม่นาพา ฝีปากปา้ ฟงั แลว้ กร่ิมอม่ิ อารมณ์ อนั จะทาใจดว่ นหาควรไม่ ไม่ยอ้ นยอกบอกแจง้ แสลงลม ข้างนา่ ไปเดอื นปียงั มีถม แม้นเกรียมกรมทกุ ข์ตรอมมักผอมเอย (คุณพมุ่ ตอบ) สักวาอยา่ พไิ รเลยไม่เช่ือ ฉันกเ็ หมอื นกบั เกลือท่านรมิ กับพิมเสน เปน็ กาฝากรากก่ิงแอบอิงเอน มิใชเ่ กณฑเ์ กสรกลีบบบี ระบม สรุ ยิ นั จันทรีเลื่อนลลี าศ ศกั ราชเดอื นปวี ่ามถี ม ยิ่งแกว่ ันฉันยง่ิ งอมเกรียมกรอมตรม ไม่ยอมงมโงโ่ งกเศร้าโศกเอย คณุ คา่ คุณพุม่ มผี ลงานการแตง่ งานร้อยกรองท่ีโดดเดน่ คือ บทสักวาและเพลง ยาว เป็นกวีหญิงท่ีฝีปากกล้า ได้มีโอกาสเล่นสักวาถวายหน้าพระท่ีน่ังเน่ืองในโอกาสต่าง ๆ หลาย คร้งั และเปน็ ผู้ทม่ี ชี ือ่ เสียงเปน็ ที่ยอมรบั อย่างกว้างขวางดา้ นการเลน่ กลอนสักวา ต้ังแต่ในสมยั รชั กาล ท่ี ๓ จนถึงในสมัยรัชกาลที่ ๕ บทสักวาของคุณพุ่มให้ความรู้ทางด้านอักษรศาสตร์ และ ขนบธรรมเนยี มการเล่นสักวาของไทยดว้ ย ๑๘๖
๕.๔.๘ บทละครเรือ่ งพระมะเหลเถไถ เรื่องพระมะเหลเถไถ เป็นวรรณคดีที่แต่งในสมัยรัชกาลที่ ๔ โดยคุณสุวรรณ กวีหญิง คุณสุวรรณรับราชการฝ่ายในอยู่ท่ีตาหนักพระเจ้าลูกเธอกรมหม่ืนอัปสรสุดาเทพ ต่อมา เม่อื กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพส้ินพระชนม์ลงในปี พ.ศ. ๒๓๘๘ ยังเป็นผลให้ข้าหลวงในพระตาหนัก ต้องย้ายออกจากพระตาหนักแดงตามธรรมเนียม ขณะน้ันคุณสุวรรณอายุได้ ๓๖ ปี แต่ไม่ปรากฏ ทางานในตาแหนง่ ใด พานักอยูใ่ นเรือนนอกในฝ่ายใน ยงั คงไดร้ ับพระราชทานเบ้ยี หวัดรายปีอยู่ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพ กล่าวว่า เร่ืองพระมะเหล เถไถน้ี คุณสุวรรณแต่งขึ้นตามจินตนาการ มีความแปลกที่แต่งขึ้นเป็นภาษาบ้าง ไม่เป็นภาษาบ้าง ปะปนกันไปแต่ตน้ จนปลาย แตส่ ามารถเข้าใจความไดต้ ลอดเรื่อง (ศิลปากร, กรม, ๒๕๑๔, หน้าคานา) เม่ือแต่งเรื่องน้ี คุณสุวรรณถูก ว่าแต่งเม่ือ “เสียจริต” หรือ “มีสติฟุ้งซ่านผิดปกติ” เพราะเป็นเรื่อง แปลกในวงการกวียุคนน้ั ผู้แตง่ คุณสวุ รรณ ลกั ษณะการแตง่ กลอนแปด วัตถุประสงคใ์ นการแตง่ สันนิษฐานกนั หลายประการว่าอาจแต่งเพ่ือล้อเลียน เรือ่ งอิเหนา หรอื เพื่อประชดผู้แต่งกลอนที่มุ่งแต่สัมผัสโดยไม่คานึงถึงเนื้อความ หรือแต่งเพ่ือความ รกั ในรอ้ ยกรองกเ็ ป็นได้ เน้ือเรื่องย่อ เนื้อความกล่าวถึงพระมะเหลเถไถประทับอยู่ในวัง วันหน่ึงลาบิดา มารดาคือท้าวโปลาและนางตาลาไปประพาสป่าและประทับแรมในป่าคืนนั้นพระอินทร์เล็งทิพย เนตรเห็นว่าเหมาะสมที่จะเป็นคู่ครองกับนางตะแลงแกง ธิดาท้าวมะไลทีแห่งเมืองมะไลทอง จึง เหาะไปอุ้มนางจากปราสาทมาอยู่ร่วมกบั พระมะเหลเถไถที่พลับพลา รุ่งเช้าพระมะเหลเถไถพานาง ตะแลงแกงพร้อมไพร่พลเดินทางกลับเมือง ระหว่างทางพบยักษ์ชื่อท้าวมะลาก๋อยซึ่งทาผิดเพราะ ลอบชมนางฟ้า พระอิศวรจึงลงโทษตัดตัวจนขาดและให้เท่ียวจับสัตว์ป่ากินเป็นอาหาร เม่ือเห็น พระมะเหลเถไถ ท้าวมะลาก๋อยคิดจะจบั กิน ทัง้ สองจงึ ต่อสูก้ ัน ตัวอยา่ ง ชว่ งตน้ เร่อื ง เม่อื นนั้ พระมะเหลเถไถมะไหลถา สถิตยังแทน่ ทองกะโปลา สุขาปาลากะเปเล วันหนง่ึ พระจงึ มะหลึกตึก มะเหลไถไพรพรึกมะรึกเข แล้วจะไปเทย่ี วชมมะลมเต มะโลโตโปเปมะลตู ู ตรแิ ล้วพระมะเหลจึงเป๋ปะ มะเลไตไคลคละมะหรจู ู๋ จรจรัลตันตัดพลัดพลู ไปสปู่ ราสาทท้าวโปลา ๑๘๗
ครน้ั ถึงจึงเข้าตะหลดุ ตดุ กม้ เกลา้ เค้าคุดกะหลาต๋า มะเหลไถกราบไหว้ท้ังสองรา จงึ แจ้งกจิ จามะเลาเตา ดว้ ยบดั น้ตี วั ข้ามะเหลเถ ไมส่ บายถ่ายเทกะเหงาเกา๋ จะขอลาสองราหนา้ เงา้ เค้า เที่ยวมะไลไปเปา่ พนาวัน ตัวอยา่ ง บทชมธรรมชาติ พระชมเขาเนาเนินกะหรกกก รุกขชาตดิ าษดกมะโหลโต๋ มะลาตนั สาระพันกะลนั โป กะลาปยี โี่ ถมะโยตัน มะโยตงิ ปริงปรางลางสาบ ลางสาดหาดหาบมะหลนั ปนั๋ มะลันปสี เี สยี ดประเหยยี ดกัน ประยงคแ์ ก้วแถวพนั มะลันดา มาลีดวงพวงชอ่ มะลอชร มาลีชาดมาดซ้อนมะรอนฉา มะรนิ ชิงจิงจ้อมะยอตา มะยมเต็มเข็มลามะกาโล มะกาลิงปงิ ปมุ่ กะทุม่ ทอ้ น กะทิงถนิ กล่ินขจรมะลอนโหว มะลิวันมนั โมกกะโหลกโก กุหลาบแกมแนมโยทกาลี กาหลงชงโคมะโยแป๋ว มะโยปมนมแมวมะแลวฉี มะลัยฉาวสาวหยุดมะลดุ ลี มะลิลาสารภมี ะลโี ช คุณค่า เรื่องพระมะเหลเถไถ แม้จะมีการใช้ภาษาที่แปลกประหลาด แต่ก็สร้าง ชอ่ื เสยี งแกค่ ณุ สุวรรณเปน็ อย่างมาก จนทาใหเ้ ปน็ ที่ร้จู กั ทั้งในหมูห่ ญิงชาววงั และชนชั้นสูงท่ัวไป เชอื่ กนั วา่ บทละครเรอ่ื งน้ยี ังเปน็ วรรณคดีที่ลอ้ เลียนวรรณคดีแบบฉบบั โดยเฉพาะบทละครใน ดงั จะเห็น ว่า คุณสุวรรณเลือกใช้คาท่ีไม่มีความหมายในภาษาไทยมาใส่เป็นจานวนมาก แต่ผู้อ่านยังสามารถ เข้าใจเน้ือเร่ืองได้ตลอด ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์ นิราศ พระมะเหลเถไถ เพ่ือล้อบทละครเรือ่ งนี้ ๕.๔.๙ บทละครเร่ืองอณุ รุทรอ้ ยเรือ่ ง อณุ รทุ ร้อยเรือ่ งเปน็ วรรณคดขี นาดสั้น แตง่ โดย คุณสวุ รรณ สันนิษฐานว่าแม้กวีจะ แต่งให้เป็นกลอนบทละครแต่คงไม่ได้ต้ังใจที่จะใช้เล่นละครจริงๆ หากเพ่ือให้เกิดความขบขันเสีย มากกว่า โครงเร่ืองเป็นนิทานจักร ๆ วงศ์ ๆ ท่ีนาตัวละคร และเร่ืองราวจากวรรณคดีเรื่องต่าง ๆ มาร้อยโยงเป็นเร่ืองเดียวกัน เวลาที่แต่งน้ันไม่ปรากฏชัดแน่นอน แต่เชื่อกันว่าน่าจะแต่งในสมัย รัชกาลท่ี ๔ ช่วงต้นรัชกาล เหตุท่ีเรียกวรรณคดีเรื่องน้ี ว่า อุณรุทร้อยเรื่อง เพราะวรรณคดีเร่ืองน้ี ๑๘๘
ข้ึนต้นด้วยตัวละครชื่อ อุณรุท และมีการเอ่ยถึงตัวละครจากวรรณคดีเรื่องต่าง ๆ จานวนมาก โดยมากเป็นตัวละครจากเร่ืองที่คุ้นเคยกันดีในเวลาน้ัน เช่น อุณรุทจากเร่ืองอุณรุท นางจันทีจาก เร่ืองสังขท์อง อิเหนาจากเรื่องอิเหนา สุวรรณมาลีจากเรื่องพระอภัยมณี อินทรชิตจากเร่ือง รามเกียรติ์ สุวรรณหงษจ์ ากเรื่องสวุ รรณหงส์ เปน็ ตน้ ผ้แู ต่ง คุณสวุ รรณ ลกั ษณะการแตง่ กลอนบทละคร วัตถุประสงค์ในการแต่ง สันนิษฐานกันว่าน่าจะแต่งเพื่อความสนุก มิได้นามา แสดงละครจรงิ ๆ เน้ือเร่ืองย่อ เร่ิมด้วยพระอุณรุทซึ่งมีชายาช่ือนางจันทีแค้นใจท่ีอิเหนากับนาง สุวรรณมาลีนานางจันสุดาไปให้แก่พระสมุทจึงยกทัพไปรบ ต่อจากน้ันมีบทพรรณนาการรบ การ แปลงกาย การเกี้ยวพาราสี บทโกรธ บทโศกคร่าครวญ บทต่อว่าเยาะเย้ย เร่ืองจบลงท่ีวายุบุตร ต้องศรพระรามแล้วปากท้ังสิบรอ้ งส่งั เสียผเู้ ป็นลกู ตัวอยา่ ง เร่อื งอณุ รุทช่วงตน้ เรือ่ ง เม่ือนั้น พระอุณรุทผู้รงุ่ รัศมี สมส่อู ยูด่ ว้ ยนางจนั ที ภูมีตรีตรกึ นึกใน แคน้ ดว้ ยอิเหนากเุ รปัน กบั สวุ รรณมาลศี ีรใส เอานางจนั สุดายาใจ ไปยกใหพ้ ระสมุทบตุ รระตู เสียดายวงศ์อสัญแดหวา พระราชาเคอื งแคน้ แสนอดสู เหม่เหมอ่ สุรินดหู มิน่ กู จะไดด้ ูฤทธ์ิกันในวันน้ี ฯ ส่งั ทา้ วสันนรุ าชเรืองศรี ดาริพลางทางมพี จนารถ จงจดั พลมนตรอี ย่านาน ฯ กบั ทงั้ ตามะหงงเสนี กมุ ภกรรฐ์คานบั รับบรรหาร รบั สัง่ แล้วคลานออกมา ฯ เมอ่ื นัน้ พรหมทตั ธิราชเป็นกองหน้า กับพระคาวปี รีชาชาญ ปกี ขวาอินทรชิตฤทธิรงค์ กะเกณฑ์ใหพ้ ระสุวรรณหงษ์ เกณฑห์ มู่จตั รุ งค์องอาจ แลว้ โบกธงสญั ญาคลาไคล ฯ ปีกซา้ ยชณุ รัตนร์ าชา กองหลวงล้วนสนั ทดั จดั เจน คมุ พวงพหลรณรงค์ ๑๘๙
คณุ ค่า อุณรทุ รอ้ ยเรือ่ งเปน็ วรรณคดีทมี่ ลี ักษณะแปลกไปจากวรรณคดีเรอ่ื งอื่น เนื่องจากกวีนาเอาตัวละครจากวรรณคดีเร่ืองต่าง ๆ มาเชื่อมร้อยให้เป็นเร่ืองเดียวกัน ท้ังยังใช้ สานวนภาษาไพเราะ คมคาย แสดงความสามารถทางกวขี องผู้แต่งได้อยา่ งดี ๕.๕ ลกั ษณะสาคญั ของวรรณคดสี มยั กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ พ.ศ. ๒๓๒๕ – ๒๓๙๔ วรรณคดสี มัยรัตนโกสินทร์ พ.ศ.๒๓๒๕ – ๒๓๙๔ หรืออาจเรียกว่า รัตนโกสินทร์ตอนต้นน้ี สะท้อนการฟื้นฟูวัฒนธรรมในการสถาปนาอาณาจักรใหม่ โดยส่วนใหญ่เป็นงานที่ยังคงใช้เค้าโครง เร่ืองแบบเดิม แต่ไม่เรียกว่างานลอกเลียนของเก่า เพราะแม้ว่ามีโครงเร่ืองไม่ต่างจากเดิม แต่ ก็มี การศกึ ษาที่ยนื ยันได้ว่ากวีสมัยรัตนโกสินทร์สร้างสรรค์ผลงานข้ึนตามทัศนะและเน้ือหาทางอารมณ์ ของตนเอง (ดวงมน จติ ร์จานงค์, ๒๕๔๐, หนา้ ๑) โดยในสมัยรัชกาลที่ ๑ อาจกล่าวได้ว่า เป็นสมัย แห่งการฟน้ื ฟูวรรณคดี พระมหากษัตริยท์ รงเปน็ ผ้นู าในการกวี ทรงพระราชนิพนธ์เอง สนับสนุน ให้กวอี น่ื แต่ง และทรงอุปถัมภ์กวีในราชสานัก ทรงฟื้นฟูวรรณคดีที่สูญหายหรือไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ และสร้างสรรค์ใหม่เป็นจานวนมาก ทาให้ปรากฏวรรณคดีในยุคต้นนี้จานวนมาก วรรณคดีสมัย รัตนโกสินทรต์ อนต้นได้รับอิทธิพลจากวรรณกรรมของประเทศต่าง ๆ ทางตะวันออกหลายชาติ ท้ัง อนิ เดยี เปอร์เซยี ชวา-มลายู มอญ และจนี การรับอทิ ธิพลจะมลี ักษณะของการนาเคา้ เร่ืองมาผูกข้ึน ใหม่ นอกจากนี้ ยงั ฟน้ื ฟดู ้านการละครและศิลปกรรม ต่อมาในสมัยรัชกาลท่ี ๒ บ้านเมืองมีความสงบเรียบร้อย พระมหากษัตริย์ยังคงเป็นองค์ อุปถัมภก ส่งเสริมการแต่งวรรณคดี ท้ังท่ีพระราชนิพนธ์เองและให้ผู้อื่นแต่ง รัชสมัยนี้เป็นยุคสมัย แห่งการปรับปรุงซ่อมแซมวรรณคดีให้มีความงามพร้อมในทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการ ละคร ดังจะเห็นว่ามีงานพระราชนิพนธ์เรอ่ื งอิเหนาท่ีเหมาะสมกับการแสดงมากกว่าอิเหนาฉบับอื่น ๆ อาจกล่าวได้ว่า ในสมัยน้ีเป็นยุคทองของละครรา นอกจากน้ี ยังมีการฟ้ืนฟูการแต่งวรรณคดี ประเภทกาพย์เหเ่ รือและคาพากยโ์ ขนข้ึนอกี คร้งั ด้วย สมัยรัชกาลที่ ๓ ทรงส่งเสริมงานทางวิชาการดังจะเห็นจากการจารึกความรู้ต่าง ๆ ที่วัด พระเชตุพนวิมลมังคลาราม อันเป็นสรรพความรู้ท่ีครอบคลุมทั้งวรรณกรรม ตารายา โคลงกลบท หรือเพลงยาวกลบท อย่างไรก็ดี การสร้างสรรค์วรรณคดีในสมัยน้ีปรากฏอยู่ไม่น้อยเช่นกัน ดังจะ เห็นวา่ มีวรรณดคีนิทานนิยาย เช่น สมุทรโฆษคาฉันท์ สรรพสิทธิ์คาฉันท์ และท่ีโดดเด่นคือ นิราศ ของสนุ ทรภู่ท่ีแต่งไว้ในสมัยนจ้ี านวนมาก และกลายเป็นตน้ แบบของวรรณคดนี ริ าศมาจนถงึ ปัจจบุ ัน เป็นที่น่าสังเกตว่า ในยุคต้นรัตนโกสินทร์นี้ปรากฏวรรณคดีประเภทย่ัวล้อขึ้นเป็นครั้งแรก คือเรื่องระเด่นลันได ที่ล้อเรื่องอิเหนา ซ่ึงนับว่าเป็นปรากฏการณ์ทางวรรณคดีอันสาคัญ เพราะ วรรณคดีมกั ถูกมองเป็นของสูงหรือเป็นของราชสานัก จึงไม่มีใครกล้าแต่งล้อเลียน นอกจากเรื่องน้ี ๑๙๐
แล้ว ยังมีวรรณคดีในลักษณะยั่วล้อหรือกระทบกระเทียบบุคคลในยุคนี้อีก เช่น เพลงยาวว่าพระ มหาเทพหรอื เพลงยาวแต่งว่าจมื่นราชามาตย์ กลอนเพลงยาวเรือ่ งหม่อมเป็ดสวรรค์ เป็นตน้ ท้ังน้ี อาจจาแนกกลุม่ วรรณคดสี มยั รัตนโกสนิ ทร์ตอนตน้ มเี น้อื เร่อื งทั้งทางโลกและทางธรรม แบ่งได้เปน็ ๖ กล่มุ ใหญ่ ดังน้ี ๔.๕.๑ วรรณคดีศาสนา ช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้นนี้ ปรากฏวรรณคดีศาสนาจานวนมาก ในสมัยรัชกาลที่ ๑ ทรงมีพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ชาระพระไตรปิฎก ในปี พ.ศ. ๒๓๓๑ เพ่ือ บรู ณะพระคัมภรี ์สาคัญทางพระพุทธศาสนาให้เป็นหลักของบ้านเมือง ต่อมาในรัลกาลที่ ๒ และ ๓ ยงั มีการสร้างวรรณคดศี าสนาอกี จานวนมาก โดยไดอ้ ิทธิพลจากคมั ภีร์ในพทุ ธศาสนา ทงั้ พุทธประวัติ ชาดก และแนวคิด เช่น ไตรภูมิโลกวินิจฉัย ของ พระยาธรรมปรีชา (แก้ว) ร่ายยาวมหาเวสสันดร ชาดกกัณฑ์กุมารและกัณฑ์มัทรี ของ เจ้าพระยาพระคลัง (หน) ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดกและ พระปฐมสมโพธิกถา พระนิพนธ์ของสมเด็จ ฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส จะสังเกตว่า วรรณคดี ศาสนาสว่ นใหญย่ งั คงสืบทอดมาจากสมยั อยธุ ยา ไม่วา่ จะเป็นมหาชาติ หรอื ไตรภมู กิ ถา และในสมัย นี้นิยมแต่งวรรณคดศี าสนาในรปู แบบร้อยแก้ว มีเร่ืองสาคญั ท่ีแต่งขนึ้ ใหม่ เชน่ พระปฐมสมโพธิกถา ซ่ึงแต่งเป็นร้อยแก้วได้อย่างวิจิตร เนื้อหากล่าวถึงประวัติของพระพุทธเจ้าอย่างละเอียด รัตนพิม พวงศห์ รอื ตานานพระแก้วมรกต ของพระยาธรรมปรีชา (แกว้ ) และเรอ่ื งสังคีติยวงส์ ท่ีสมเด็จพระวัน รัตแตง่ เปน็ ภาษาบาลีเลา่ การสงั คายนาพระไตรปิฎกตั้งแต่พระพุทธเจ้าปรินิพานเป็นต้นมา ต่างแต่ง ดว้ ยรอ้ ยแกว้ ทั้งสิน้ ๔.๕.๒ วรรณคดีคาสอนหรือตารา ช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้นน้ีปรากฏวรรณคดีคาสอนอยู่ จานวนมาก ซึ่งมีเนือ้ หาคาสอนหลากหลาย เช่น กฤษณาสอนน้องคาฉันท์ พระนิพนธ์ของสมเด็จ ฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส โคลงโลกนิติ พระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาเดชาดิศร ฉันท์มาตรา พฤติ และวรรณพฤติ พระนิพนธ์ของสมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส เพลงยาวถวายโอวาท สวัสดริ กั ษา และสุภาษิตสอนหญิงของสุนทรภู่ จะเห็นว่า ส่วนใหญ่จะสอนเร่ืองการประพฤติปฏิบัติ ตน การดาเนินชวี ิต และการแตง่ คาประพันธ์ เป็นท่นี า่ สังเกตว่า เนอื้ หาของคาสอนไม่ใช่มงุ่ สอนการ เป็นข้าราชการท่ีดีหรือการเป็นกษัตริย์ท่ีดีดังเช่นเร่ืองโคลงทศรถสอนพระราม โคลงพาลีสอนน้อง หรือโคลงราชสวัสด์ิในสมยั อยธุ ยา แตเ่ ปน็ คาสอนท่มี ุ่งสอนคนทัว่ ไป เป็นแนวทางในการวางตัวและ การดาเนินชีวิต นอกจากนี้ น่าสนใจว่า ยังปรากฏคาสอนเฉพาะเพศเกิดข้ึนด้วย คือเรื่องสุภาษิต สอนหญงิ ท่มี ุง่ สอนผูห้ ญงิ ในเรอ่ื งการประพฤติปฏบิ ตั ิตัวโดยเฉพาะ ๔.๕.๓ วรรณคดีนิทานนิยาย ในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้นปรากฏวรรณคดีนิทานนิยาย จานวนมาก เชน่ บทละครเรอื่ งรามเกียรต์ิ พระราชนิพนธ์ในรัชกาลท่ี ๑ บทละครเร่ืองรามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์ในรัชกาลท่ี ๒ บทละครเรื่องอิเหนา พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๑ บทละครเร่ือง ๑๙๑
อิเหนา พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๒ บทละครเรื่องอุณรุท พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๑ ลิลิต เพชรมงกฎุ ของ เจ้าพระยาพระคลัง (หน) สรรพสทิ ธคิ าฉันท์ พระนิพนธ์ สมเดจ็ ฯ กรมพระปรมานุ ชิตชิโนรส พระอภัยมณี ของ สุนทรภู่ เสภาขุนช้างขุนแผน ซึ่งแต่งแต่สมัยรัชกาลท่ี ๒ และมา สมบูรณ์ในสมัยรชั กาลท่ี ๓ เปน็ ตน้ จะเหน็ ว่าวรรณคดีนทิ านนิยายน้มี ีเนื้อหาทีห่ ลากหลาย และกวี นาเค้าเรือ่ งมาจากทัง้ ทางอินเดยี และจินตนาการข้นึ เอง ๔.๕.๔ วรรณคดยี อพระเกยี รติ ลักษณะของวรรณคดใี นชว่ งตน้ นย้ี งั คงปรากฏวรรณคดยี อ เกียรติอยู่ ซ่ึงน่าจะได้รับอิทธิพลจากวรรณคดียอพระเกียรติในยุคก่อน โดยมีเนื้อหาทั้งยอพระ เกียรติกษัตริย์ในอดีตและปัจจุบัน เช่น ในสมัยรัชกาลท่ี ๑ ปรากฏโคลงสรรเสริญพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ของพระชานิโวหาร ในสมัยรัชกาลที่ ๒ มีวรรณคดียอ พระเกียรติของกรมหม่ืนเจษฎาบดินทร์ ได้แก่ โคลงยอพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศ หลา้ นภาลัย ทก่ี ลา่ วถึงเหตุการณพ์ ระราชพธิ ีปราบดาภเิ ษกพระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย ในเชิงสรรเสริญพระเกียรติ และยังปรากฏงานของพระยาตรังคภูมิบาล เรื่องโคลงด้ันเฉลิมพระ เกียรติพระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลศิ หลา้ นภาลัย ทีก่ ลา่ วพระราชพิธีราชาภเิ ษก พธิ โี สกนั ต์ พระราช พธิ สี ิบสองเดือน และการเอาใจใส่ดูแลราษฎรของรชั กาลที่ ๒ ไว้ ในสมัยรัชกาลที่ ๓ มีงานของกรม พระปรมานุชิตชิโนรส เรื่อง ลิลิตตะเลงพ่าย ยอพระเกียรติสมเด็จพระนเรศวรมหาราชที่ชนะพระ มหาอุปราชแห่งพม่า มีวรรณคดีเพลงยาวสรรเสริญพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้า เจ้าอยูห่ ัว ของนายมี (หมื่นพรหมสมพตั สร) เลา่ ถึงการท่ีทรงบาเพญ็ พระราชกุศลด้วยประการต่าง ๆ ซ่ึงนายมีได้บันทึกไว้ด้วย จะเห็นว่าวรรณคดียอพระเกียรติในช่วงต้นน้ี เป็นงานคล้ายวรรณคดียุค ก่อน เพียงแตกต่างกันไปในรายละเอียด อย่างไรก็ดี น่าสังเกตว่า ส่วนใหญ่นิยมแต่งเป็นโคลง ซ่ึง เข้าใจว่านา่ จะได้รับอิทธิพลการแต่งจากยคุ ก่อนทีน่ ยิ มแต่งยอพระเกียรตดิ ว้ ยโคลง ๔.๕.๕ วรรณคดีจากพงศาวดารต่างชาติ ช่วงสมัยน้ี มีความนิยมแปลวรรณคดีต่างชาติ อย่างมาก เริ่มเห็นได้ชัดหลังจากเจ้าพระยาพระคลัง (หน) แปลเรื่อง สามก๊ก จากนั้นมีผู้แปล วรรณคดีต่อมาอีกหลายเรื่อง เช่นเรื่อง ไซฮั่น ของ กรมพระราชวังหลัง และยังมีเร่ืองสาคัญคือ ราชาธิราช ของ เจ้าพระยาพระคลัง (หน) ซึง่ แตง่ ข้ึนจากเปน็ พงศาวดารมอญด้วย ๔.๕.๖ วรรณคดีนริ าศ ปรากฏข้ึนจานวนมาก โดยเฉพาะจากฝมี ือของสุนทรภู่ ซ่ึงได้พัฒนา วรรณคดีนิราศจนเป็นแบบเฉพาะ สุนทรภู่ใช้ประสบการณ์ของตนและมุมมองต่อโลกผสมผสาน ถา่ ยทอดเป็นเนอื้ หาในนริ าศไดอ้ ยา่ งแนบเนียน เชน่ นิราศพระบาท นริ าศภูเขาทอง ฯลฯ วรรณคดีดังกล่าวข้างต้นล้วนเป็นวรรณคดีเร่ืองสาคัญและมีอิทธิพลต่อวรรณคดีในยุคหลัง รวมท้ังมคี วามสาคญั ในดา้ นวรรณคดีศกึ ษาต่อมาจนถงึ ปจั จุบนั ดว้ ย ๑๙๒
ดา้ นรปู แบบการประพันธ์ ในสมัยต้นมีวรรณคดีทั้งร้อยกรองและร้อยแก้ว เป็นที่น่าสังเกต วา่ วรรณคดีไทยสมัยรตั นโกสินทรต์ อนตน้ สืบทอดรปู แบบการแตง่ วรรณคดีมาจากสมัยอยุธยา เช่น สักวา ดอกสร้อย เสภา และบทละคร แต่ท้ังน้ี มีการปรับปรุงแก้ไขของเดิมให้ดีขึ้น โดยกลอนและ โคลงเจริญถึงขีดสุด ในช่วงรัชกาลท่ี ๑ นิยมแต่งกลอนแบบกลอนเพลงยาวคือ ขึ้นต้นที่วรรครับ และแตง่ ด้วยกลอน ๘ ซ่งึ นิยมแตง่ กนั มาก่อนตง้ั แต่สมัยอยธุ ยา ดังเชน่ เรื่อง สมบตั อิ มรนิ ทร์คากลอน ซงึ่ เป็นนทิ านคากลอนเรื่องแรก ลลี าของกลอนมลี ักษณะเดยี วกบั สมยั กรุงศรีอยธุ ยา คือไมเ่ นน้ สัมผัส ในทเ่ี ปน็ สัมผสั สระ จานวนคาไมแ่ นน่ อน ต่อมาในสมัยรัชกาลท่ี ๒ กลอนและรัชกาลท่ี ๓ สุนทรภู่ ได้พัฒนากลอนใหม้ ีลกั ษณะพเิ ศษคอื เน้นการสัมผัสในอย่างเคร่งครัด ทาให้เวลาอ่านมีความไพเราะ ราบรื่น กลายเปน็ ลกั ษณะเฉพาะของกลอนสนุ ทรภู่ ท้ังน้ี สุนทรภู่น่าจะปรับปรุงจากลักษณะกลอน กลบทมธุรวาที โดยปรับให้มีสัมผัสพยัญชนะและสัมผัสสระและมีสัมผัส ๔ ตาแหน่งในทุกวรรค (ดวงมน จติ ร์จานงค์, ๒๕๔๐, หนา้ ๑๘๐ – ๑๘๑) สมัยรัชกาลท่ี ๑ มีกลอนบทละคร ๔ เรื่อง ได้แก่ รามเกียรติ์ อุณรุท อิเหนา และดาหลัง ซึง่ เป็นงานพระราชนพิ นธใ์ นรัชกาลท่ี ๑ ทงั้ หมด สานวนการแต่งยังไม่ดีเลิศเท่ากับสมัยรัชกาลท่ี ๒ ทง้ั นี้ สนั นิษฐานวา่ รัชกาลที่ ๑ พระราชนิพนธ์โดยมงุ่ ให้เป็นเร่ืองสมบูรณ์เป็นสาคัญ ในสมัยรัชกาล ที่ ๒ กลอนบทละครยังได้รับการพัฒนาให้เหมาะสมกับการแสดงละคร และงานส่วนใหญ่มีความ ดเี ดน่ ทางด้านวรรณศลิ ป์ กวีไดแ้ สดงฝมี อื และพัฒนามีความงามพรอ้ ม สามารถนาไปแสดงได้ ทัง้ นี้ อาจเป็นด้วยรชั กาลที่ ๒ ทรงเป็นองค์อุปถมั ภกและโปรดงานกวี ดังจะเหน็ ไดจ้ ากกลอนบทละครใน เร่ืองอิเหนาพระราชนพิ นธ์ของรชั กาลท่ี ๒ ท่ีทรงเกลาจนงดงามสอดรับกับการแสดงละคร จนได้รบั การยกยอ่ งจากวรรณคดีสโมสรว่าเป็นยอดของกลอนบทละคร จะเห็นว่า ในสมัยต้นน้ี กลอนได้รับ การพัฒนาจนถงึ ขดี สุด จะเห็นว่ามกี ารแตง่ วรรณคดที ่ใี ชก้ ลอนจานวนมาก และทีส่ าคัญคือนยิ มแตง่ กลอนแบบกลบท ซึ่งเป็นความท้าทายความสามารถของกวีอย่างมากด้วย สาหรับคาประพันธ์ ประเภทอ่นื เชน่ คาฉันทน์ นั้ คอ่ นขา้ งเคร่งครัด ครุลหุ และสมั ผัสมากกว่าสมยั อยุธยา งานรอ้ ยแก้วในสมยั นี้ มีลกั ษณะการประพันธ์ท่ีสืบต่อจากสมัยอยุธยาส่วนหนึ่ง คือร้อยแก้ว ท่ีมีการประดับตกแต่งถ้อยคาเชิงกวีนิพนธ์ โดยเฉพาะการใช้สัมผัสระหว่างวรรคและสัมผัสภายใน วรรค คล้ายร่ายยาว แต่มีอิสระมากกว่าและมีเน้ือความทั้งการแสดงเหตุผลและเร้าการรับรู้ทาง อารมณ์ เช่นเร่ืองปฐมสมโพธิกถา ร้อยแก้วอีกประเภทหนึ่งคือร้อยแก้วเชิงความเรียง ท่ีมุ่งบันทึก ข้อเทจ็ จรงิ และเหตุการณ์สาคญั มกั มถี อ้ ยคากระชับ ใช้ประโยคขนาดส้ันและมกี ารบรรยายมากกว่า พรรณนา มีการใช้เหตุผลสูงกว่ากระตุ้นอารมณ์ แต่มีพลังทางสุนทรียภาพด้วยความเรียบกระชับ ชัดเจนของภาษา และมีลักษณะทางกวีนิพนธ์ได้เหมือนกัน เช่น สามก๊ก (ดวงมน จิตรจานงค์, ๒๕๔๐, หน้า ๑๙๑) ๑๙๓
สรุป ในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้นน้ี มีกวีและวรรณคดีเกิดขึ้นเป็นจานวนมาก มีท้ังกวีที่เป็น พระมหากษัตริย์ เจ้านาย ขุนนาง พระ และมีท้ังกวีหญิงและกวีชาย วรรณคดีในสมัยนี้มีข้อท่ีน่า สังเกตอยู่หลายประการ ทีส่ าคญั เชน่ มีวรรณคดปี ระเภทยั่วล้อเกิดข้นึ ซง่ึ ไมเ่ คยมีมากอ่ น กวีหญิง ในยคุ น้ีมีความสามารถด้านวรรณคดีไม่แพ้ชาย และวรรณคดีการละครรุ่งเรืองถึงขีดสุด เหตุท่ีเป็น เชน่ น้ีน่าจะมาจากพระมหากษตั รยิ ์เป็นองค์อปุ ถมั ภ์กวีและส่งเสริมงานวรรณคดีจงึ มกี วแี ละวรรณคดี ทมี่ เี นอ้ื และรปู แบบการประพันธ์หลากหลายขึน้ อย่างมาก คาถามท้ายบท ๑. ลกั ษณะของวรรณคดสี มัยรัตนโกสนิ ทรต์ อนต้นเป็นอย่างไร ๒. กฎหมายตราสามดวงมีความสาคัญตอ่ สังคมอย่างไร ๓. เรือ่ งสามก๊กมีความเปน็ มาอย่างไร และใครเป็นผู้แปล ๔. ใครเป็นผู้แต่งเร่ืองราชาธิราช และแตง่ เพื่ออะไร ๕. เหตใุ ดวรรณคดสี โมสรจงึ ยกย่องบทละครเร่ืองอเิ หนาวา่ เปน็ ยอดของละครรา ๖. เหตใุ ดจงึ มีผ้กู ล่าววา่ วดั พระเชตุพน ฯ เป็นเสมอื นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย ๗. วรรณคดเี รื่องพระปฐมสมโพธกิ ถามีความดเี ดน่ อย่างไร ๘. วรรณคดีเร่อื งใดทจ่ี ดั เปน็ วรรณคดยี ่วั ล้อเรือ่ งแรกของไทย และยั่วล้อเร่ืองอะไร ๙. กวีทา่ นใดที่มีผีปากในเชงิ สกั วาเป็นเลศิ ๑๐. วรรณคดเี รอื่ งพระมะเหลเถไถมคี วามแตกตา่ งจากวรรณคดเี รือ่ งอื่นอยา่ งไร ๑๙๔
รายการอ้างองิ ชลดา เรืองรักษ์ลิขิต. พระอภัยมณี: มณีแห่งวรรณคดีไทย. วารสารราชบัณฑิตยสถาน. ๓๐ (๓) ๒๕๔๘: ๗๖๔ – ๗๘๕. โชติรส มณีใส. (๒๕๕๙). เทียนทอทอง: รวมบทความพินิจวรรณกรรมทรงคุณค่าในแวดวง วรรณคดีไทย. กรุงเทพ ฯ: พี.เอ.ลฟี วง่ิ . ดวงมน จติ ร์จานงค์. (๒๕๔๐). คุณค่าและลักษณะเดน่ ของวรรณคดีไทยสมยั รัตนโกสินทรต์ อนต้น. กรงุ เทพ ฯ : สานกั พมิ พ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. ดารงราชานุภาพ, สมเดจ็ กรมพระยา. (๒๕๐๖). ตานานเรื่องสามก๊ก. พระนคร: คลังวทิ ยา. ทศพร วงศ์รตั น.์ (๒๕๕๐). พระอภยั มณมี าจากไหน. กรงุ เทพมหานคร: คอมฟอรม์ . บญุ หลง ศรีกนก. นามานกุ รมวรรณคดีไทยเร่อื ง กากีคากลอน, สบื คน้ เมื่อ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๐, จาก http://www.sac.or.th/databases/thailitdir/detail.php?meta_id=๒๑ พระราชพงศาวดารกรงุ รตั นโกสินทร์ฉบับหอสมุดแห่งชาติ รัชกาลที่ ๑ – รัชกาลที่ ๒. (๒๕๐๕). พระนคร: คลงั วทิ ยา. ไพเราะ มากรกั ษา. (๒๕๔๘). พฒั นาการวรรณคดีไทย. มปท. ยุพร แสงทักษิณ. (๒๕๕๙). “วรรณคดีสมยั กรงุ ธนบุรี – กรงุ รตั นโกสินทร์ พ.ศ.๒๓๙๔”, ใน เอกสาร การสอนชุดวิชา วรรณคดีไทย หน่วยที่ ๑-๗. นนทบุรี: สานักพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัย ธรรมธริ าช. รนื่ ฤทยั สัจจพันธุ์. (๒๕๕๘). ข้ามชาติ ขา้ มศาสตร์ ขา้ มศลิ ป์. กรงุ เทพมหานคร: แสงดาว. วิพุธ โสภวงศ์. นามานุกรมวรรณคดีไทยเร่ือง ไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา, สืบค้นเมื่อ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๐, จาก http://www.sac.or.th/databases/thailitdir/detail.php?meta_id=๗๕) ศลิ ปากร, กรม. (๒๕๔๓). ชีวติ และงานของสุนทรภ:ู่ ฉบับกรมศลิ ปากรตรวจสอบชาระใหม่. พิมพ์ คร้งั ท่ี ๑๕. กรุงเทพ ฯ : องค์การค้าของคุรุสภา. สุวดี ภู่ประดิษฐ์. นามานุกรมวรรณคดีไทย เร่ืองราชาธิราช. สืบค้นเม่ือ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๐, จาก http://www.sac.or.th/databases/thailitdir/detail.php?meta_id=๑๙๙) เสนีย์ วิลาวรรณ. (๒๕๑๗). ประวตั ิวรรณคดีและการประพันธ.์ กรุงเทพมหานคร: วัฒนาพานิช. เสนีย์ วิลาวรรณ. (๒๕๔๗). ประวัติวรรณคดีไทยสมัยกรุงธนบุรี รัตนโกสินทร์. กรุงเทพมหานคร: วัฒนาพานิช. แสงโสม เกษมศรี และวิมล พงศ์พิพัฒน์. (๒๕๒๓). ประวัติศาสตร์สมัยรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ ๑ – รัชกาลท่ี ๒ (พ.ศ.๒๓๒๕ – พ.ศ.๒๓๙๔). พิมพ์คร้ังท่ี ๒. กรุงเทพมหานคร: สานัก เลขาธิการคณะรฐั มนตรี. ๑๙๕
แผนบริหารการสอนประจาบท หวั ข้อเน้ือหาประจาบท บทที่ ๖ วรรณคดีสมยั กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ พ.ศ. ๒๓๙๔ – ๒๔๖๘ ๖.๑ ภมู หิ ลงั ทางสังคมและวัฒนธรรมโดยสังเขป ๖.๒ กวีและวรรณคดสี มยั กรุงรตั นโกสินทร์ ๖.๓ ลกั ษณะสาคัญของวรรณคดีสมัยกรงุ รัตนโกสินทร์ พ.ศ. ๒๓๙๔ – ๒๔๖๘ วัตถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม เมอ่ื ศึกษาบทท่ี ๖ แล้ว นกั ศกึ ษาสามารถ ๑. อธิบายบริบททางสังคมและวัฒนธรรมสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ. ๒๓๙๔ – ๒๔๖๘ ๒. บอกกวแี ละวรรณคดที ่ีปรากฏในสมยั กรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ. ๒๓๙๔ – ๒๔๖๘ ๓. อธิบายลักษณะสาคัญของวรรณคดีสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ. ๒๓๙๔ – ๒๔๖๘ ๔. วิเคราะห์วรรณคดสี มยั กรงุ รตั นโกสินทร์ พ.ศ. ๒๓๙๔ – ๒๔๖๘ ได้ วธิ สี อนและกจิ กรรมการเรียนการสอนประจาบท ๑. วธิ ีสอน การบรรยาย อภิปรายกลมุ่ ใชส้ ่อื อิเล็กทรอนกิ สป์ ระกอบการสอน ๒. กิจกรรมการเรยี นการสอนมีดังน้ี ๒.๑ กิจกรรมก่อนเรียน นักศึกษาอ่านเอกสารประกอบการสอนล่วงหน้า เตรียม รายงานหนา้ ชน้ั และอ่านวรรณคดีตอ่ ไปน้ลี ่วงหน้า ๒.๑.๑ นิราศลอนดอน ๒.๑.๒ จดหมายเหตรุ าชทูตไทยไปลอนดอน ๒.๑.๓ ประกาศรัชกาลที่ ๔ ๒.๑.๔ เงาะปา่ ๒.๑.๕ พระราชพิธสี บิ สองเดือน ๒.๑.๖ บทละครประเภทต่าง ๆ ๒.๒ กิจกรรมระหว่างเรียน นักศึกษาฟงั บรรยาย รายงานหน้าช้ัน ร่วมกันอภิปราย วรรณคดีทใ่ี ห้อา่ นล่วงหน้า ๑๙๖
๒.๓ กิจกรรมหลังเรียน นักศึกษาตอบคาถามท้ายบท และเตรียมอ่านหนังสือบท ตอ่ ไปล่วงหน้า นกั ศึกษาทบทวนความรจู้ ากคลปิ การสอนทบี่ ันทกึ ไว้ในเว็บไซตผ์ ้สู อน สอ่ื การเรยี นการสอนประจาบท ๑. เอกสารประกอบการสอน ๒. สื่ออเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ อาทิ พาวเวอร์พอยท์ วีดิทศั น์ ๓. ตวั บทวรรณคดีไทย การวดั และการประเมนิ ผล ๑. สังเกตความสนใจและมสี ว่ นร่วมในชั้นเรียน ๒. การถาม-ตอบ ๓. การสอบกลางภาค ๑๙๗
บทท่ี ๖ วรรณคดสี มยั กรงุ รตั นโกสินทร์ พ.ศ. ๒๓๙๔ – ๒๔๖๘ วรรณคดีสมยั กรุงรตั นโกสินทร์ พ.ศ. ๒๓๙๔ – ๒๔๖๘ คือวรรณคดีท่ีอยู่ในช่วงรัชกาลท่ี ๔ – รชั กาลท่ี ๖ ซงึ่ เปน็ ชว่ งท่ีอิทธิพลตะวันตกเร่ิมเข้ามาอย่างชัดเจน วรรณคดีไทยได้รับอิทธิพลจาก ตะวันตกอย่างมากเชน่ กัน ดงั จะเหน็ วา่ มรี ปู แบบการประพันธแ์ ละเนือ้ หาของวรรณคดีแตกต่างจาก สมยั รตั นโกสนิ ทร์ตอนตน้ อย่างไรกด็ ี แม้จะมรี ูปแบบการประพันธ์แบบใหมเ่ กดิ ขน้ึ แตย่ งั มีวรรณคดี ส่วนหน่ึงท่ียังคงขนบการแต่งวรรณคดีไทยเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างย่ิงในสมัยรัชกาลท่ี ๖ ที่พระองค์ ทรงเปน็ ปราชญ์ทางด้านอักษรศาสตร์ ทรงงานพระราชนิพนธ์วรรณกรรมทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง ไวเ้ ปน็ จานวนมาก และยงั ทรงฟื้นฟูวรรณคดีตามขนบวรรณคดีไทย สง่ ผลให้เจา้ นายและกวสี รา้ งงาน ตามขนบวรรณคดีไทยตามไปด้วย ๖.๑ ภูมหิ ลังทางสังคมและวฒั นธรรมโดยสังเขป พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ อย่หู วั มพี ระนามเดิมว่า สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎ เป็นพระราช โอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี (เจา้ ฟา้ หญงิ บญุ รอด) ในสมยั รชั กาลท่ี ๔ เปน็ สมัยทไ่ี ทยเปดิ ประเทศให้ชาวตะวันตกนาครสิ ต์ศาสนา เขา้ มาเผยแผ่ พรอ้ มทง้ั นาความรแู้ ละวิชาการ ทางตะวันตกเข้ามาเผยแพร่อย่างกว้างขวาง ใน พ.ศ. ๒๓๙๘ ได้มีการทาสนธิสัญญาเบาว์ริงกับอังกฤษและกับอีกหลายชาติในเวลาต่อมา มีการกาหนด อัตราภาษีสินค้าขาเข้าร้อยละ ๓ รวมท้ังให้สิทธิเสรีภาพนอกอาณาเขตแก่คนในบังคับต่างชาติด้วย สนธสิ ญั ญาน้สี ง่ ผลให้เศรษฐกจิ ขยายตัวมากขึน้ สมัยนี้ การเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศดาเนินไปอย่างรุดหน้า โดยใน พ.ศ. ๒๔๐๐ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงส่งราชทูตไปเจริญทางพระราชไมตรีกับสมเด็จพระราชินี นาถวิกตอเรีย แห่งประเทศอังกฤษ และปี พ.ศ. ๒๔๐๔ กับจักรพรรดินโปเลียนที่ ๓ แห่งประเทศ ฝร่ังเศส อย่างไรก็ดี ในสมัยนี้ไทยต้องยอมเสียดินแดนบางส่วนที่เป็นเขมรส่วนนอกให้กับฝรั่งเศส เม่อื พ.ศ. ๒๔๑๐ ดว้ ย ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซ่ึงเป็นรัชกาลท่ี ๕ แห่งราชวงค์ จักรี สมยั นปี้ ระเทศมีการเปลี่ยนแปลงทกุ ด้าน ทาให้ประเทศเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ทรงเป็น พระราชโอรสองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระนางเธอ พระองค์เจ้า ราเพยภมราภิรมย์ (สมเด็จพระเทพศิรินทรา บรมราชินี) สมเด็จพระราชบิดาทรงอบรมส่ังสอน ๑๙๘
วชิ าการด้านการปกครอง และโบราณราชประเพณี ส่วนวิชาภาษาอังกฤษทรงศึกษากับนางแอนนา เลียวโนเวนส์ ครูสตรีชาวอังกฤษและหมอจนั ดเล มชิ ชนั นารีอเมริกนั สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ทรง ได้รับสถาปนาเปน็ กรมขนุ พินิตประชานาถใน พ.ศ. ๒๔๑๐ รัชกาลท่ี ๕ ทรงเปน็ พระมหากษตั ริยไ์ ทยพระองคแ์ รก ทีเ่ สดจ็ ประพาสต่างประเทศ พระองค์ ได้เสด็จประพาสทั้งประเทศบริเวณประเทศไทยอย่าง เช่น สิงคโปร์ ชวา อินเดีย และประเทศ ตะวันตก เหตุผลที่เสด็จประพาสก็เพ่ือศึกษากิจการบ้านเมือง และวิธีการปกครองของประเทศ แล้ว นาปรับใช้กับประเทศให้ทันสมัยก้าวหน้าทันตามอารยประเทศ โดยในตอนปลายรัชกาลได้เสด็จ ประพาสยโุ รปถงึ ๒ คร้ัง เมือ่ พ.ศ. ๒๔๔๐ และ พ.ศ. ๒๔๕๐ เพือ่ เสริมสร้างความสัมพันธ์โดยตรงกับ ประมุขของประเทศต่างๆ และเพอ่ื ประโยชน์ทางดา้ นการเมืองระหวา่ งประเทศ ในดา้ นการปกครอง ทรงปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน ใน พ.ศ. ๒๔๓๕ โดยในส่วนกลาง โปรดให้จัดตงั้ กระทรวง มีเสนาบดีรับผิดชอบงานของแต่ละกระทรวง ขึ้นตรงต่อพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว ในส่วนภูมิภาคให้จัดการปกครองเป็นแบบมณฑลเทศาภิบาล ใน พ.ศ. ๒๔๓๗ มีข้าหลวง เทศาภิบาลของแต่ละมณฑล ควบคมุ ดแู ลขึน้ ตรงตอ่ กระทรวงมหาดไทย ใน พ.ศ. ๒๔๒๙ ทรงยกเลกิ ตาแหน่ง กรมพระราชวังบวรสถานมงคล และโปรดเกล้า ฯ ให้ แต่งต้ังตาแหน่ง สมเด็จพระบรม โอรสาธิราช สยามมกฎุ ราชกุมาร ขนึ้ แทน ตามแบบอยา่ งของประเทศตะวนั ตก รัชกาลที่ ๕ โปรดให้ยกเลิกระบบไพร่ ส่งผลให้ชายฉกรรจ์ไม่ต้องรับใช้มูลนายหรือเป็น แรงงานให้แก่รัฐ โดยเปลีย่ นเปน็ การเปน็ ทหาร ๒ ปี เม่ืออายุครบ ๑๘ ปี ผใู้ ดไม่ตอ้ งการเป็นทหาร ให้ เสยี เงนิ \"ค่าราชการ\" คนละไม่เกนิ ๖ บาท อีกท้ังยังทรงให้เลิกทาส พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอย่หู วั โดยทรงดาเนินการอย่างเป็นข้ันตอนเพ่ือมิให้เกิดความยุ่งยากและสับสน ในสังคม โดยเริ่ม จากการปลดปล่อยลูกทาสท่ีเกิดในปีทรงครองราชย์ คือ พ.ศ. ๒๔๑๑ เม่ืออายุครบ ๒๐ ปี ให้เป็นไท และลกู ทาสท่เี กิดในปตี อ่ ๆ มากจ็ ะเป็นไทตามลาดับ จนถึง พ.ศ. ๒๔๔๘ จึงมีการประกาศให้ลูกทาส ท้งั หมดเปน็ ไท และห้ามการซื้อขายทาสอีกต่อไป สาหรับทาสที่มีอยู่ก็ให้ลดค่าตัวลงเดือนละ ๔ บาท เพื่อให้สามารถไถ่ตวั ได้ง่ายข้นึ ในด้านการศึกษา รัชกาลที่ ๕ ได้โปรดให้มีการต้ังโรงเรียนหลวง ในพระบรมมหาราชวัง และโรงเรียนหลวงสาหรับราษฎรทั่วไป ต่อมาได้ขยายออกไปเป็นโรงเรียนหลวง ตามต่างจังหวัด นอกจากนี้ ยังโปรดเกลา้ ฯ ใหต้ ั้งโรงเรยี นสาหรับวิชาชีพต่าง ๆ ขึ้น เช่น โรงเรียนนายร้อยทหารบก เพื่อผลิตนายทหารอาชีพ โรงเรียนทาแผนท่ีเพื่อผลิตผู้มีความรู้ในด้านการทาแผนที่ โรงเรียนราช แพทยาลัย เพื่อผลิตแพทย์ สาหรับโรงพยาบาลท่ีสร้างขึ้นใหม่ คือ ศิริราชพยาบาล โรงเรียนฝึกหัด อาจารย์ เพอ่ื ผลิตครู ออกไปทาการสอนตามโรงเรียนที่ต้ังขึ้นในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โรงเรียน ๑๙๙
มหาดเล็ก เพ่ือฝกึ หดั บุคคลที่จะเขา้ รับราชการในกระทรวงตา่ ง ๆ และ โรงเรียนกฎหมาย เพ่อื ฝึกหดั ผ้ทู ี่จะออกไปทาหนา้ ท่ี เป็นผูพ้ ิพากษาและนกั กฎหมายในหนว่ ยงานตา่ ง ๆ นอกจากน้ี รัชกาลที่ ๕ ยังทรงส่งพระราชโอรสหลายพระองค์ไปศึกษาวิชาการแขนงต่างๆ ในทวปี ยุโรป อาทิ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ กรมขุนเทพทวาราวดี สมเด็จเจ้า ฟา้ ฯ กรมหลวงพษิ ณโุ ลกประชานาถ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนเพชรบูรณ์อินทราชัย โดยทรงส่งไป รุ่นแรกใน พ.ศ. ๒๔๒๘ โปรดเกล้า ฯ ให้คัดเลือกลูกผู้ดีไทยรวมทั้งเชื้อพระวงศ์ประมาณ ๒๐ คน ส่งไปเรียนภาษาอังกฤษที่สิงคโปร์อีกชุดหน่ึง อีกทั้งยังโปรดเกล้า ฯ ตั้งทุนเล่าเรียนหลวง และทุน รฐั บาลตามความตอ้ งการของกระทรวงต่าง ๆ เพ่ือส่งเจ้านาย ขา้ ราชการ และสามญั ชนผู้มีความรู้ไป ศกึ ษาตอ่ ตา่ งประเทศอีกดว้ ย จากพระปรชี าสามารถและพระปรีชาญาณอนั กวา้ งไกล ทาให้ประเทศ เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ทาให้ราษฎรอยู่ดีกินดี มีความสงบสุข ทาให้พระองค์ได้รับพระราช สมญั ญาว่า พระปยิ มหาราช ซงึ่ หมายถงึ พระมหากษตั รยิ ท์ ่เี ป็นทร่ี กั ยิง่ ของปวงชน ในด้านสังคม ทรงโปรดปรับปรุงเปล่ียนแปลงวัฒนธรรมประเพณีบางอย่างในราชสานักให้ เป็นไปตามสากลนิยม เช่น ให้ยกเลกิ ประเพณีการหมอบคลานเปล่ียนเป็นยืนแทน รวมท้ังให้ยกเลิก การโกนผม เมื่อพระมหากษัตริย์สวรรคต ในด้านการแต่งกาย โปรดเกล้า ฯ ให้ผู้ชายไทยในราช สานักเลิกไว้ผมทรงมหาดไทย เปล่ียนเป็นไว้ผมตัดยาวทั้งศีรษะ ส่วนผู้หญิงให้เลิกไว้ผมปีก เปลี่ยนเป็นไว้ผมตัดยาวทรงดอกกระทุ่ม มีการสวมเส้ือ ที่ดัดแปลงมาจากเสื้อนอกของชาวยุโรป เรียกว่า เส้ือราชปะแตน และข้าราชการทหารให้แต่งเคร่ืองแบบนุ่งกางเกงอย่างทหารยุโรป แทน การนุ่งโจงกระเบนแบบเก่าในการเข้าเฝา้ ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสานต่อพระราชภารกิจของ พระราชบดิ า ทรงเจรญิ สมั พนั ธไมตรีกบั ตา่ งประเทศ และฟ้ืนฟูและสร้างสรรค์วรรณคดีหลากหลาย ประเภทดว้ ยพระราชนยิ มส่วนพระองค์ ทาใหส้ มยั นวี้ รรณคดรี งุ่ เรอื งอย่างมาก ความสามารถในการ ปกครองประเทศและความสามารถในเชิงกวี และเป็นปราชญในเชิงอักษรศาสตร์ของรัชกาลที่ ๖ น้ี ทาให้พระองค์ได้รับพระราชสมัญญา ว่า สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า หมายถึง พระมหากษัตริย์ผู้ ยิ่งใหญ่ ผู้ทรงเปน็ นกั ปราชญท์ เ่ี ป่ียมไปดว้ ยพระสติปัญญาและพระปรชี าชาญ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระนามเดิมว่า สมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ เป็น พระราชโอรสองค์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระอัครราชเทวี (สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้า ฯ สถาปนาสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ กรมขุน เทพทวาราวดี ข้ึนเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมารขณะมีพระชนมายุ ๑๔ พรรษา พระองค์ทรงเป็นสยามมกุฎราชกุมารพระองค์แรกท่ีสาเร็จการศึกษาจากต่างประเทศคือประเทศ ๒๐๐
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251