Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พัฒนาการของวรรณคดีไทย

พัฒนาการของวรรณคดีไทย

Published by Anas Dahaleng, 2023-02-17 09:03:03

Description: พัฒนาการของวรรณคดีไทย

Search

Read the Text Version

คาถามทา้ ยบท ๑. กวีและวรรณคดีสมยั สุโขทัยที่สาคญั มใี ครและเรอ่ื งใดบ้าง ๒. วรรณคดสี มัยสุโขทยั นิยมใหค้ าประพนั ธป์ ระเภทใด ๓. จงเลือกวรรณคดีสมัยสุโขทยั ๒ เรอื่ ง และอธิบายเชงิ ประวัติ ๔. ลักษณะสาคญั ของวรรณคดีสมยั สโุ ขทยั เป็นอย่างไร ๕. ไตรภูมพิ ระร่วงมีอทิ ธิพลต่อความคดิ จติ ใจคนอยา่ งไร ๖. ศิลาจารึกหลกั ที่ ๑ มเี นื้อหาเก่ียวกบั อะไร ๗. สุภาษติ พระร่วงมลี ักษณะการใชภ้ าษาอยา่ งไร ๘. จงอธิบายการใช้ภาษาในวรรณคดีสมยั อยธุ ยาท่ีว่า “ใช้คาน้อยแตก่ ินความมาก” ๙. ลักษณะการใชภ้ าษาในไตรภมู พิ ระรว่ งเป็นอยา่ งไร ๑๐. เหตใุ ดจงึ มีผ้กู ลา่ ววา่ ไตรภูมพิ ระรว่ งเปน็ ดงั วิทยานิพนธ์เล่มแรก ๕๑

รายการอ้างองิ ฉันทชิ ย์ กระแสสนิ ธุ์. (๒๕๑๓). กวโี วหาร โบราณคดี. พระนคร: กา้ วหน้า. ประเสริฐ ณ นคร. (๒๕๒๗). “ลายสอื ไทย” ใน รวมบทความเร่ืองภาษาและอกั ษรไทย. พระนคร. พระวรเวทย์พสิ ฐิ . (๒๔๙๖). วรรณคดีไทย. พระนคร: คณะอกั ษรศาสตร จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั . ไพเราะ มากรักษา. (๒๕๔๘). พฒั นาการวรรณคดไี ทย. มปท. สิทธา พินิจภูวดล และปรียา หิรัญประดิษฐ์. (๒๕๕๙). “วรรณคดีสมัยสุโขทัย – อยุธยา พ.ศ. ๒๑๗๒ ใน เอกสารการสอนชุดวิชา วรรณคดีไทย หน่วยท่ี ๑-๗. นนทบุรี: สานักพิมพ์ มหาวทิ ยาลยั สุโขทัยธรรมธิราช. ๕๒

แผนบรหิ ารการสอนประจาบท หัวขอ้ เนือ้ หาประจาบท บทที่ ๓ วรรณคดสี มัยอยุธยา พ.ศ. ๑๘๙๓ – ๒๓๑๐ ๓.๑ ภมู ิหลงั ทางสงั คมและวัฒนธรรมโดยสงั เขป ๓.๒ กวแี ละวรรณคดีสาคญั สมัยอยธุ ยาตอนตน้ ๓.๓ กวแี ละวรรณคดสี าคญั สมัยอยธุ ยาตอนกลาง ๓.๔ กวแี ละวรรณคดีสาคญั สมัยอยุธยาตอนปลาย ๓.๕ ลกั ษณะสาคญั ของวรรณคดสี มยั อยธุ ยา พ.ศ. ๑๘๙๓ – ๒๓๑๐ วัตถุประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม เม่ือศกึ ษาบทท่ี ๓ แล้ว นกั ศึกษาสามารถ ๑. อธิบายบรบิ ททางสงั คมและวฒั นธรรมสมยั อยุธยาได้ ๒. บอกกวีและวรรณคดีทป่ี รากฏในสมัยอยธุ ยาในแต่ละช่วงได้ ๓. อธิบายลกั ษณะสาคญั ของวรรณคดสี มัยอยุธยาในแต่ละช่วงได้ ๔. วิเคราะหว์ รรณคดีสาคญั สมัยอยธุ ยาได้ วธิ ีสอนและกิจกรรมการเรียนการสอนประจาบท ๑. วธิ ีสอน การบรรยาย อภิปรายกลมุ่ ใช้สือ่ อิเลก็ ทรอนิกสป์ ระกอบการสอน ๒. กจิ กรรมการเรียนการสอนมดี งั นี้ ๒.๑ กิจกรรมก่อนเรียน นกั ศกึ ษาอา่ นเอกสารประกอบการสอนลว่ งหนา้ และอ่าน วรรณคดดี ังตอ่ ไปนีล้ ว่ งหนา้ ๒.๑.๑ มหาชาตคิ าหลวง ๒.๑.๒ ลลิ ติ พระลอ ๒.๑.๓ คาฉนั ท์ดุษฎสี ังเวชกล่อมช้าง ๒.๑.๔ จินดามณี ๒.๑.๕ พระมาลัยคาหลวง ๒.๑.๖ กาพย์หอ่ โคลงนริ าศธารโศก ๒.๒ กจิ กรรมระหว่างเรยี น นักศกึ ษาฟังบรรยาย ร่วมกันอภิปรายตัวบทวรรณคดี สาคัญบางเร่อื ง ๒.๓ กจิ กรรมหลังเรียน นักศึกษาตอบคาถามท้ายบท และเตรียมอ่านหนังสือบท ตอ่ ไปลว่ งหนา้ นักศกึ ษาทบทวนความรจู้ ากคลปิ การสอนที่บันทกึ ไวใ้ นเว็บไซตผ์ ูส้ อน ๕๓

สื่อการเรียนการสอนประจาบท ๑. เอกสารประกอบการสอน ๒. สื่ออิเลก็ ทรอนกิ ส์ อาทิ พาวเวอรพ์ อยท์ วีดทิ ศั น์ ๓. ตวั บทวรรณคดีไทย การวัดและการประเมินผล ๑. สงั เกตความสนใจและมสี ่วนรว่ มในช้ันเรียน ๒. การถาม-ตอบ ร่วมอภิปราย ๓. การสอบกลางภาค ๕๔

บทที่ ๓ วรรณคดสี มยั อยุธยา พ.ศ. ๑๘๙๓ – ๒๓๑๐ วรรณคดีสมยั อยุธยา ระหวา่ งปี พ.ศ. ๑๘๙๓ – ๒๓๑๐ รวมเวลา ๔๑๗ ปี ครอบคลมุ ตัง้ แต่ สมัยอยุธยาตอนต้น ตอนกลาง ถึงตอนปลาย วรรณคดีในสมัยนี้มีความรุ่งเรืองอย่างมาก เน้ือหา และรูปแบบการประพันธ์มหี ลากหลายมากกว่าสมัยสุโขทัย มีเน้ือหาทั้งท่ีเป็นนิทานนิยาย ศาสนา คาสอน พิธีกรรม แบบเรียน และการแสดง หลายเร่ืองเป็นวรรณคดีเร่ืองยาวท่ีกวีต้องใช้ความ อตุ สาหะในการแต่ง ไม่ว่าจะเป็นลิลิตยวนพ่าย สมุทรโฆษคาฉันท์ หรือมหาชาติคาหลวง ในด้าน รปู แบบคาประพันธน์ น้ั หลังจากได้รบั อิทธิพลการแตง่ คาประพันธ์จากอินเดีย ทาให้กวีไทยเร่ิมแต่ง คาประพันธ์ประเภทฉันท์และกาพย์ขึ้น และพัฒนาข้ึนมาจนถึงขีดสุดในสมัยอยุธยาตอนกลางและ ตอนปลาย ในสมัอยุธยาตอนปลายปรากฏรูปแบบคาประพันธ์ครบทุกประเภท ได้แก่ โคลง ฉันท์ กาพย์ รา่ ยและกลอน ๓.๑ ภูมิหลังทางสงั คมและวัฒนธรรมโดยสังเขป กรงุ ศรอี ยุธยาก่อต้งั ขึ้นบรเิ วณทีร่ าบล่มุ แม่น้าเจา้ พระยาตอนล่าง เป็นที่ราบลุ่มอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การเกษตร ตัวเมืองมีลักษณะเป็นเกาะ มีแม่น้าล้อมรอบ ๓ สาย คือ แม่น้าป่าสัก แม่น้า ลพบุรี และแม่น้าเจ้าพระยา สามารถติดต่อค้าขายกับหัวเมืองใกล้เคียงได้ง่าย เรือสินค้าสามารถ แลน่ จากปากแม่น้าเจ้าพระยาเข้ามาถึงพระนครได้เนื่องจากอยู่ไม่ไกลจากทะเล สมัยกรุงศรีอยุธยา การตดิ ตอ่ คา้ ขายกบั ตา่ งประเทศจึงขยายตวั อย่างกว้างขวาง กรุงศรีอยุธยาก่อต้ังกรุงเม่ือราวปี พ.ศ. ๑๘๙๓ จนถึง ปี พ.ศ. ๒๓๑๐ การปกครองในสมัย อยุธยาเป็นแบบ \"สมมตเิ ทพ\" หรือ \"เทวราชา\" เน่ืองจากไดร้ ับอทิ ธิพลจากขอม การปกครองในราช ธานเี ปน็ ๔ ฝา่ ย หรือ จตุสดมภ์ คือ เวยี ง วงั คลงั นา พระมหากษัตริยน์ บั ถือพระพทุ ธศาสนานิกาย เถรวาท ลทั ธิลงั กาวงศ์ สังคมสมัยน้ี จัดเปน็ สงั คมแบบศักดินา คอื มีการแบง่ ชนชั้น โดยกาหนดสิทธิ หน้าท่ี ความรบั ผดิ ชอบ และฐานะของชนช้นั ต่าง ๆ ในสงั คมไว้ แบ่งออกกวา้ ง ๆ เปน็ ๓ กลมุ่ ได้แก่ ชนชั้นผู้ปกครอง พระสงฆ์ และ ชนช้ันผู้ถูกปกครอง โดยชนช้ันปกครองมีพระมหากษัตริย์อยู่ใน ระดบั สูงสุด รองลงมาเป็นเจ้านายและขุนนาง ซึ่งเรียกว่า \"มูลนาย\" มีศักดินาสูงกว่า ๔๐๐ ไร่ ส่วน ชนช้ันผู้ถูกปกครองคือ ผู้ท่ีมีศักดินาต่ากว่า ๔๐๐ ไร่ รวมถึงไพร่และทาส ผู้ที่เป็นไพร่จะต้องขึ้น ทะเบียนสงั กดั มูลนาย และมีหน้าที่ปฏิบัติราชการ ด้วยการให้แรงงานแก่รัฐ รับใช้มูลนาย และเป็น ไพรพ่ ลในกองทัพเวลาเกิดศึกสงคราม หากเป็นทาสจะต้องทางานให้แก่นายเงินของตนเท่าน้ัน ๕๕

เมอื่ ส้นิ รัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแล้ว สมเด็จพระรามาธิปดีที่ ๒ เสวยราชย์ต่อมา เป็นเวลาถึง ๔๐ ปี (พ.ศ.๒๐๓๒-๒๐๗๒) บ้านเมืองสงบสุขและศิลปกรรมเจริญมากสันนิษฐานว่า วรรณคดีสาคญั บางเรอื่ งเกิดขึน้ ในช่วงเวลานหี้ ลงั จากวรรณคดไี ดว้ า่ งเวน้ ไปเปน็ เวลานานเกอื บรอ้ ยปี เนือ่ งจากบา้ นเมอื งไมป่ กติ ต้องทาสงครามกับพม่า เริ่มแต่รัชกาลสมเด็จพระไชยราชาธิราช จนเสีย กรงุ แก่พม่าในรชั กาลสมเด็จพระมหินทราธริ าชถึงสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกู้เอกราชได้ก็ต้อง ทาสงครามขับเค่ียวกบั พม่าและเขมรตลอดรชั กาล นอกจากน้ี เมื่อส้ินรัชกาลสมเด็จพระเอกาทศรถก็ เกดิ ความไม่สงบสุขภายใน หฃงั จากสน้ิ รชั กาลสมเด็จพระเอกาทศรถแล้ว สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ข้ึนครองราชย์ต่อ พระองค์ทรงเอาพระใส่ในพระพุทธศาสนา และพระราชนิพนธ์กาพย์มหาชาติ นับเป็นวรรณคดีเรื่องแรกในสมัยอยุธยาตอนปลาย เม่ือส้ินรัชกาลสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมแล้ว บา้ นเมืองเกดิ ความวุ่นวายภายในอีก สมเด็จพระเจ้าปราสาททองจึงทรงปราบดาภิเภกเป็นกษัตริย์ ต่อ ในรชั กาลสมเดจ็ พระเจา้ ปราสาททองวรรณคดีไทยเกิดขนึ้ ไมม่ ากนกั รัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้รับยกย่องว่าเป็นยุคทองแห่งวรรณคดี เพราะมี นักปราชญ์ราชกวีและวรรณคดีเกิดขึ้นมากมายในเวลาเพียงรัชกาลเดียวน้ี นับแต่องค์ประมุข คือ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช จนถึงบุคคลชั้นผู้น้อยทั้งชายหญิง เช่น นายประตู ต่างพากันสนใจ วรรณคดีและสามารถสร้างสรรค์วรรณคดีสาคัญหลายเร่ือง ราชสานักของสมเด็จพระนารายณ์ มหาราชเป็นท่ีประชุมกวีนักปราชญ์ โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นองค์อุปถัมภ์ สมเด็จพระนารายณ์ มหาราช เสวยราชย์ระหว่าง พ.ศ.๒๑๙๙ ถึง พ.ศ.๒๒๓๑ พระองค์ทรงมีพระปรีชาสามารถในการ ปกครอง และทรงปราดเปรอ่ื งในการกวี กรุงศรอี ยุธยาจงึ มคี วามเจริญรุ่งเรืองสูงสุดอีกช่วงเวลาหนึ่ง มีการทาสงคราม รบชนะเชยี งใหม่ เม่ือ พ.ศ.๒๒๐๕ ต่อจากนัน้ บา้ นเมอื งก็สงบราบคาบตลอดรชั กาล ทรงมเี วลาทะนบุ ารุงบา้ นเมือง ศาสนา ศิลปะ และวฒั นธรรมให้เจรญิ รงุ่ เรอื ง ด้านความสัมพันธ์กับ ต่างประเทศได้มีชนชาติต่างศาสนาเข้ามาค้าขายและเผยแพร่ศาสนามากเป็นพิเศษ เช่น ฮอลันดา อังกฤษ และฝรั่งเศส สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงส่งราชทูตไปเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับพระเจ้า หลยุ สท์ ่ี ๑๔ ของฝรงั่ เศส และทรงแต่งตั้งชาวกรีกผู้หน่ึงเป็นเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ มีตาแหน่งเป็นท่ี ปรกึ ษาราชการแผ่นดิน ทรงสนพระทยั ความเจริญอยา่ งยโุ รป เช่น โปรด ฯ ให้มปี ระปาท่ีพระราชวัง ลพบรุ ี คณะสอนศาสนาคริสต์ ก็ได้รับพระราชทานเสรีภาพละพระบรมราชานุเคราะห์ ให้เผยแพร่ ศาสนาคริสต์ได้อย่างกว้างขวาง โดยต้ังโรงพยาบาลรักษาคนไข้ และต้ังโรงเรียนสอนหนังสือแก่ เด็กไทยควบคู่กับศาสนาคริสต์ การเกี่ยวข้องกับฝร่ังเศสดังกล่าวมีส่วนทาให้คนไทยตื่นตัว กระตอื รือรน้ หันมาสนใจหนังสอื ไทยพทุ ธศาสนาของตนเองมากข้นึ หนังสือเรียนภาษาไทยเล่มแรก คือ จินดามณี เกดิ ขน้ึ ในช่วงเวลาน้ี ๕๖

เมือ่ สน้ิ รชั กาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กรุงศรีอยุธยาเริ่มระส่าระสาย เน่ืองจากการชิง ราชสมบตั ิ เกิดกบฏและเกิดสงครามกับนครศรีธรรมราชและกัมพูชาจึงทาให้วรรณคดีชะงักงันเป็น เวลาเกอื บครงึ่ ศตวรรษ ต่อมาไดม้ โี อกาสรงุ่ เรอื งขนึ้ ระยะหนึ่ง เมอื่ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศได้ ครองราชสมบัติทั้งน้ี เพราะพระมหากษัตริย์พระองค์น้ีเอาพระทัยใส่ในการศึกษาเล่าเรียนของ กุลบุตรเป็นพิเศษผู้ถวายตัวเข้ารับราชกาลจะต้องมีวิชาความรู้ชั้นสามัญและบวชเรียนใน พระพุทธศาสนามาก่อนทรงสนับสนุนงานวรรณคดีอย่างจริงจัง รัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรม โกศ ซ่ึงมีเวลา ๒๖ ปี มีความเจริญทางวรรณคดีเท่าเทียมกันกับยุคทองของวรรณคดี กวีมีท้ัง บรรพชิตและฆราวาสชายและหญิง เจ้านายและสามัญชน กรุงศรีอยุธยามพี ระมหากษตั รยิ ์ปกครองอาณาจักร รวม ๓๓ พระองค์ จาก ๕ ราชวงศ์ คือ ราชวงศ์อ่ทู อง ราชวงศ์สุพรรณภูมิ ราชวงศ์สุโขทยั ราชวงศ์ปราสาททอง และ ราชวงศ์บ้านพลูหลวง โดยมพี ระมหาษัตรยิ ป์ กครองเรยี งตามลาดับ ดังนี้ ๑. สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (อู่ทอง ) ผู้เปน็ ปฐมกษตั ริย์ของกรุงศรอี ยธุ ยา ๒. สมเด็จพระราเมศวร เปน็ พระโอรสของสมเด็จพระรามาธบิ ดที ่ี ๑ (อูท่ อง) ๓. สมเด็จพระบรมราชาธิราชท่ี ๑ (ขุนหลวงพ่องั่ว) หรือ ขุนหลวงพะง่ัว เป็นพระ เชษฐาของพระมเหสี สมเด็จพระรามาธบิ ดีที่ ๑ (อทู่ อง) ๔. สมเดจ็ พระเจ้าทองลนั เปน็ พระโอรสของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ (พะงั่ว) เมอื่ เสด็จขึ้นครองราชย์ พระชนมายุ ๑๕ พรรษา ครองราชยไ์ ด้เพยี ง ๗ วัน ๕. สมเด็จพระรามราชาธิราช เป็นพระโอรสของสมเดจ็ พระราเมศวร ๖. สมเดจ็ พระนครินทราธิราช หรือ สมเด็จพระอนิ ทราชา (เจ้านครอินทร์)เป็นพระ นดั ดาของสมเดจ็ พระบรมราชาธริ าชที่ ๑ (พะงัว่ ) ๗. สมเด็จพระบรมราชาธิราชท่ี ๒ (เจ้าสามพระยา ) เป็นพระโอรสองค์ที่ ๓ ของ สมเด็จพระนครินทราธิราช ๘. สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พระราเมศวร) เป็นพระโอรสของสมเด็จพระบรม ราชาธริ าชท่ี ๒ พระชนนีเปน็ พระธดิ าของพระมหาธรรมราชาท่ี ๓ แห่งราชวงศ์พระรว่ ง ๙. สมเดจ็ พระบรมราชาธริ าชที่ ๓ เป็นพระโอรสของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ๑๐. สมเดจ็ พระรามาธิบดที ี่ ๒ (พระเชษฐา) เป็นพระโอรสของสมเด็จพระบรมไตร โลกนาถ แตต่ ่างพระชนนีกับสมเด็จพระบรมราชาธิราชท่ี ๓ ๑๑. สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๔ (หน่อพุทธางกูร หรือ พระอาทิตยวงศ์) เป็น พระโอรสของสมเดจ็ พระรามาธิบดีท่ี ๒ ๕๗

๑๒. พระรัษฎาธริ าช เป็นพระโอรสของสมเดจ็ พระบรมราชาธิราชท่ี ๔ เม่อื เสด็จขึ้น ครองราชย์ มีพระชนมายุเพียง ๕ พรรษา ครองราชย์ได้เพยี ง ๕ เดือน ๑๓. สมเดจ็ พระไชยราชาธิราช เป็นพระโอรสของสมเด็จพระรามาธบิ ดที ี่ ๒ ๑๔. พระยอดฟ้า (พระแก้วฟ้า)เป็นพระโอรสของสมเด็จพระไชยราชาธิราชที่เกิด จากท้าวศรสี ุดาจนั ทร์ ๑๕. สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ หรือ พระเฑียรราชา เป็นเชื้อพระวงศ์ราชวงศ์ สุพรรณภูมิ ๑๖. สมเด็จพระมหินทราธิราช เป็นพระโอรสของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิและ สมเดจ็ พระสุรโิ ยทัย ๑๗. สมเดจ็ พระมหาธรรมราชาธริ าช ทรงมเี ชือ้ สายราชวงศ์พระรว่ งแห่งกรุงสโุ ขทยั ๑๘. สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช เป็นพระโอรสของสมเดจ็ พระมหาธรรมราชาธริ าช และพระวิสุทธิกษตั รี (พระธดิ าของสมเดจ็ พระมหาจักรพรรดิ และสมเด็จพระสุรโิ ยทยั ) ๑๙. สมเด็จพระเอกาทศรถ เป็นพระอนุชาของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ร่วม พระชนกและพระชนนีเดียวกนั ๒๐. พระศรีเสาวภาคย์ เป็นพระโอรสของสมเด็จพระเอกาทศรถ ครองราชสมบัติ เพียง ๑ ปี ๒ เดอื น ๒๑. สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม เปน็ พระโอรสของสมเด็จพระเอกาทศรถ ๒๒. สมเดจ็ พระเชษฐาธริ าช เปน็ พระโอรสของสมเดจ็ พระเจ้าทรงธรรม ๒๓. พระอาทิตยวงศ์ ครองราชเม่ือพระชนมายุ ๙ พรรษา พระอนุชาของสมเด็จ พระเชษฐาธิราช ๒๔. สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ได้ปราบดาภิเษก เป็นกษตั รยิ ์ เดิมทรงเป็น เจา้ พระยากลาโหมสุรยิ วงศ์ ๒๕. สมเด็จเจ้าฟ้าไชย เป็นพระโอรสของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ครองราชย์ สมบัตไิ ดเ้ พียง ๕ วนั ๒๖. สมเด็จพระศรีสุธรรมราชา เป็นพระอนุชาของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ครองราชสมบัติได้เพยี ง ๒ เดือน ๒๗. สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช เปน็ พระโอรสของสมเดจ็ พระเจา้ ปราสาททอง ๒๘. สมเด็จพระเพทราชา ได้ก่อการยึดอานาจใน พ.ศ. ๒๒๓๑ แล้วข้ึนครองราช สมบัติ ทรงสถาปนาราชวงศใ์ หม่ คือ ราชวงศ์บา้ นพลหู ลวง ๕๘

๒๙. สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๘ (พระเจ้าเสือ) พระนามเดิม ว่า หลวงสรศักดิ์ เป็น พระโอรสของสมเดจ็ พระเพทราชา ๓๐. สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๙ (สมเด็จพระเจ้าท้ายสระ) เป็นพระโอรสของพระเจ้า เสอื ๓๑. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระนามเดิมว่า เจ้าฟ้าพร เป็นพระอนุชาของ สมเด็จพระเจา้ ท้ายสระ ๓๒. สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร (ขุนหลวงหาวัด) เป็นพระโอรสของสมเด็จพระ เจา้ อยหู่ วั บรมโกศ ๓๓. สมเด็จพระที่น่ังสุรยิ าศนอ์ มรนิ ทร์ (สมเดจ็ พระเจ้าเอกทศั ) พระเชษฐาของเจ้า ฟ้าอทุ ุมพร แม้กรงุ ศรีอยธุ ยาจะมีความร่งุ เรืองยาวนาน แต่มวี รรณคดีท่ีตกทอดมายังปัจจุบันไม่ มากนัก ทั้งน้ีอาจเป็นเพราะการศึกสงคราม และความวุ่นวายในบ้านเมือง ดังจะเห็นว่า รัชสมัยท่ี ปรากฏหลกั ฐานทางวรรณคดีและเหลอื มาจนถึงปจั จุบันมีเพียง ๕ รัชสมัย ได้แก่ รัชสมัยของสมเดจ็ พระรามาธิบดีท่ี ๑ (พระเจา้ อูท่ อง) รชั สมยั ของพระบรมไตรโลกนาถ รัชสมัยของพระเจา้ ทรงธรรม รชั สมัยของพระนารายณม์ หาราช รัชสมัยของสมเด็จพระเจา้ อยูห่ วั บรมโกศ ท้ังนี้ หากแบ่งยคุ ของวรรณคดีในสมยั อยุธยา อาจแบ่งได้ ๓ สมัย โดยบางช่วงเวลา อาจไม่มวี รรณคดปี รากฏเป็นหลักฐานมาจนถึงปัจจุบัน ผู้เขียนจะข้ามช่วงเวลาดังกล่าวไป เช่น ช่วง ระหว่างปี พ.ศ.๒๐๗๓ – ๒๑๖๒ ซึ่งมีเวลาเกือบร้อยปี หรือช่วงระหว่างปี พ.ศ.๒๒๓๒ –๒๒๗๔ มี เวลา ๔๒ ปี ยุคสมยั ของวรรณคดีจงึ อาจแบง่ ได้ ดงั นี้ วรรณคดีสมัยอยุธยาตอนต้น (พ.ศ. ๑๘๙๓ – ๒๐๗๒) ต้ังแต่สมัยพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจา้ อทู่ อง) ถึงพระรามาธบิ ดีท่ี ๒ ซ่งึ ยาวนานมาก แตม่ วี รรณคดปี รากฏเป็นหลักฐานมาจนถึง ปจั จบุ นั ไมม่ ากนกั สว่ นใหญอ่ ยู่ในสมยั ของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ วรรณคดีสมัยอยุธยาตอนกลาง (พ.ศ. ๒๑๓๓-๒๒๓๑) โดยเร่ิมต้ังแต่รัชสมัยของ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช จนถึงรัชสมัยสมเด็จพระนาราย์มหาราช (หลังจากนั้นวรรณคดีได้ วา่ งเวน้ ไป ๔๕ ปี) ช่วงนมี้ วี รรณคดีปรากฏอยู่ ๓ รัชสมัย คือ ในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในรัชสมัยสมเดจ็ พระเจา้ ทรงธรรม และในรชั สมยั สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ๕๙

วรรณคดีสมัยอยุธยาตอนปลาย (พ.ศ. ๒๒๗๕ – ๒๓๑๐) ต้ังแต่สมัยสมเด็จพระ เจา้ อย่หู วั บรมโกศถงึ สมเด็จพระเจ้าเอกทศั น์ วรรณคดรี ุง่ เรอื งมากในสมยั สมเด็จพระเจา้ อยู่หวั บรมโกศ ๓.๒ กวแี ละวรรณคดีสาคัญสมยั อยุธยาตอนต้น กวแี ละวรรณคดีสาคัญในสมยั อยุธยาตอนต้นท่ปี รากฏหลักฐานมาจนถงึ ปจั จุบนั มีดังนี้ วรรณคดใี นรัชสมัยสมเดจ็ พระรามาธปิ ดที ี่ ๑ ไดแ้ ก่ ลิลติ โองการแข่งนา้ วรรณคดีในรัชสมัยสมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ ไดแ้ ก่ ๑) มหาชาติคาหลวง ๒) ลิลติ ยวนพ่าย วรรณคดใี นรชั สมยั ของสมเด็จพระรามาธบิ ดีท่ี ๒ (พระเชษฐา) ได้แก่ ๑) ลลิ ติ พระลอ ๒) โคลงนิราศหริภุญชยั ๓) โคลงทวาทศมาส ๔) โคลงกาสรวล ในทนี่ ี้ จะอธิบายวรรณคดีในสมัยอยุธยาตอนตน้ ตามลาดับต่อไปนี้ ๓.๒.๑ ลลิ ิตโองการแชง่ นา้ ลลิ ติ โองการแชง่ นา้ หรอื โองการแชง่ นา้ หรือประกาศแชง่ นา้ โคลงหา้ ต้นฉบับเดมิ ท่ี เหลืออยู่เขียนด้วยอักษรขอม เน่ืองจากได้รับวัฒนธรรมขอมและพราหมณ์เป็นอันมาก จึงมีการ ถ่ายทอดพิธีถือน้าพระพิพัฒน์สัตยาหรือพิธีศรีสัจจปานกาลมาจากพราหมณ์ เพ่ือสร้างความ จงรักภักดีในคราวสร้างกรุงศรีอยุธยา วรรณคดีเล่มนี้นับว่าเป็นวรรณคดีท่ีแต่งเป็นร้อยกรองอย่าง สมบูรณ์แบบ ต้นฉบับท่ีถอดเป็นอักษรไทยจัดเป็นวรรคตอนคาประพันธ์ไว้ค่อนข้างสับสน ต่อมา พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เจา้ อย่หู ัว ทรงสอบทานและพระราชวนิ จิ ฉยั เรยี บเรียงวรรคตอนใหม่ ผู้แตง่ สมเด็จพระเจา้ บรมวงค์เธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่า อาจแตง่ ในสมยั สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ผู้แต่งจะต้องเป็นผู้รู้พิธีพราหมณ์ และรู้วิธีประพันธ์ของ ไทยเปน็ อย่างดี ท้งั น้อี าจเป็นพราหมณใ์ นราชสานักก็ได้ ลักษณะการแต่ง มีลักษณะเป็นลิลิต คือ มีร่ายกับโคลงสลับกัน ร่ายเป็นร่าย โบราณ ส่วนโคลงเป็นโคลงแบบโคลงห้าหรือมณฑกคติ ถ้อยคา ถ้อยคาที่ใช้ส่วนมากเป็นคาไทย โบราณ นอกจากนน้ั ยังมีคาเขมร และบาลี สันสกฤต ปนอยู่ดว้ ย คาสันสกฤตมีมากกว่าคาบาลี ๖๐

วตั ถุประสงคใ์ นการแตง่ เพ่ือใช้อ่านในพิธีถือพระพิพัฒน์สัตยาหรือพิธีศรีสัจปาน กาล ซง่ึ กระทาตง้ั แต่รัชกาลสมเด็จพระเจา้ อู่ทองสืบตอ่ กนั มาจนเลกิ ไปเมือ่ ประเทศไทยเปลี่ยนแปลง การปกครองมาเปน็ ระบบประชาธปิ ไตย ใน พ.ศ.๒๔๗๕ เน้อื เรื่องยอ่ เรม่ิ ตน้ ด้วยรา่ ยดั้นโบราณ ๓ บท เปน็ บทสรรเสรญิ พระนารายณ์ พระ อิศวร พระพรหมตามลาดบั ต่อจากนัน้ บรรยายดว้ ยโคลงหา้ และรา่ ยด้ันโบราณสลับกนั กลา่ วถึงไฟ ไหม้โลกเมือ่ สิน้ กลั ป์แล้วพระพรหมสร้างโลกใหม่ เกิดมนุษย์ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ การกาหนดวัน เดือน ปี และการเร่ิมีพระราชาธิบดีในหมู่คน แล้วอัญเชิญพระกรรมบดีปู่เจ้ามาร่วมเพ่ือความ ศักด์ิสิทธิ์ ตอนต่อไปเป็นการอ้อนวอนให้ส่ิงศักด์ิสิทธ์ิเรืองอานาจมี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เทพยาดา อสูร ภูตปีศาจ ตลอดจนสัตว์มีเขี้เล็บเป็นพยาน ลงโทษผู้คิดคดกบฏต่อพระเจ้าแผ่นดิน สว่ นผซู้ ่อื ตรงภกั ดี ขอใหม้ ีความสุขและลาภยศ ตอนจบเป็นร่ายยอพระเกียรตพิ ระเจา้ แผน่ ดิน ตัวอย่างตอนสรรเสรญิ พระนารายณ์ โอมสิทธสิ ธิสรวงศรแี กลว้ แผ้วฤตยู เอางปู นแทน่ แกวน่ กลืนฟ้ากลนื ดิน บนิ เอาครฑุ มาขี่ สถ่ี อื สงั ข์จกั รคธารณี ภีรุอวตาร อสรุ แลงลาญทัก ทัคนยี จรนาย ฯ แทง พระแสงศรปลัยวาด ฯ คณุ คา่ ลลิ ิตโองการแชง่ สะท้อนอิทธิพลของวัฒนธรรมเขมร และพราหมณอ์ ย่าง ชดั เจน สมเด็จพระเจ้าอู่ทองทรงรับการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และพระราชพิธีศรี สจั ปานจากเขมรมาใช้ เพ่อื ความมัน่ คงของบ้านเมืองในระยะท่ีเพ่ิงก่อสร้างราชอาณาจักร โดยลิลิต โองการแช่งน้าเขียนข้ึนเพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมเพ่ือแสดงความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ซ่ึง พิธกี รรมน้ียงั คงปฏบิ ัติสบื เนอื่ งมาจากถงึ สมยั รตั นโกสนิ ทร์ ลิลิตโองการแช่งน้า ยังสะท้อนลักษณะการใช้ถ้อยคาสานวนท่ีเฉพาะ คือใช้คาท่ี เข้าใจยาก และเป็นคาห้วนหนักแน่น เพ่ือให้เกิดความน่าเคารพยาเกรง ความพรรณนาบางตอน ละเอยี ดละออ นอกจากนี้ยังใช้รูปแบบคาประพันธ์ประเภทโคลงห้าและร่ายด้ัน ซึ่งมีจังหวะลีลาไม่ ราบร่ืน ช่วยเพิ่มความเข้มขลังในขณะทาพิธีดว้ ย ๓.๒.๒ มหาชาติคาหลวง มหาชาติคาหลวงเปน็ หนงั สอื มหาชาตฉิ บบั ภาษาไทย และเป็นประเภทคาหลวงเรอื่ ง แรก โดยสอดคล้องกบั ลกั ษณะของวรรณคดีประเภทคาหลวงที่สาคญั ๓ ลกั ษณะ ได้แก่ ลกั ษณะที่ หน่ึง เป็นพระราชนิพนธ์ของพระเจ้าแผ่นดิน หรือเจ้านายช้ันสูง ลักษณะท่ีสอง เป็นเรื่องเกี่ยวกับ พระศาสนาและศีลธรรม และลกั ษณะท่สี าม นยิ มใชค้ าประพันธ์หลายประเภท ๖๑

ดา้ นผแู้ ต่งและปีที่แต่งมหาชาตคิ าหลวงนน้ั ปรากฏหลกั ฐานในเรอื่ งพงศาวดารฉบับ คาหลวงกล่าวยืนยันปีท่ีแต่งไว้ตรงกัน มหาชาติคาหลวงในสมัยอยุธยาน้ีหายไป ๖ กัณฑ์ ต่อมา พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงมีพระบรมราชโองการให้พระราชาคณะและ นักปราชญร์ าชบณั ฑติ แต่งซอ่ มใหค้ รอบ ๑๓ กัณฑ์ เม่อื จลุ ศกั ราช ๑๑๗๖ พทุ ธศกั ราช ๒๓๔๗ กัณฑ์ ท่ีแตง่ เพ่ิมภายหลงั ไดแ้ ก่ กัณฑห์ ิมพานต์ ทานกัณฑ์ จุลพน มัทรี สกั กบรรพ และฉกษตั รยิ ์ ผู้แต่ง สันนิษฐานว่าสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถโปรด ฯ ให้นักปราชญ์ราช บัณฑิตชว่ ยกนั แตง่ เมอ่ื จลุ ศักราช ๘๔๔ หรอื พ.ศ. ๒๐๒๕ ลักษณะการแต่ง แต่งด้วยคาประพนั ธ์หลายอยา่ ง คอื โคลง ร่าง กาพย์ และฉันท์ มภี าษาบาลี แทรกตลอดเรือ่ ง วัตถุประสงค์ในการแต่ง เพื่อใช้อ่านหรือสวดในวันสาคัญทางศาสนา เช่น วัน เขา้ พรรษา เนอื้ เร่อื งยอ่ มที ั้งหมด ๑๓ กณั ฑ์ สรุปเนอ้ื หาโดยสังเขปได้ดังน้ี กณั ฑท์ ศพร เร่ิมต้ังแต่พระพทุ ธเจ้าตรสั รู้ แล้วเสด็จไปเทศนาโปรดพระเจ้าพิมพิสาร ตอ่ จากนั้นเสด็จไปโปรดพุทธบิดา และพระประยรู ญาตทิ ่ีกรุงกบิลพัสด์ุ เกิดฝนโบกขพรรษ พระสงฆ์ สาวกกราบทูลอาราธนาให้ทรงแสดงเรื่องพระเวสสันชาดก เร่ิมตั้งแต่เมื่อกัปท่ี ๙๘ นับเป็นแต่ ปัจจุบนั พระนางผสุ ดซี ่งึ จะทรงเป็นพระมารดาของพระเวสสันดร ทรงอธิฐานขอเป็นมารดาของผู้มี ใจบุญ จบลงตอนพระนางได้รบั พระ ๑๐ ประการจากพระอนิ ทร์ กัณฑ์หิมพานต์ พระเวสสันดรทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสัญญชัยกับพระ นาวผุสดี แห่งแคว้นสวี รี าษฎร์ประสูตติ รอกพอ่ คา้ เมื่อพระเวสสันดรได้เวนราชสมบตั จิ ากพระมารดา ได้พระราชทานชา้ งปจั จยั นาคแกก่ ษตั ริย์แห่งแควน้ กลงิ รางราษฎร์ ประชาชนไมพ่ อใจ พระเวสสนั ดร จงึ ถูกเนรเทศไปอยปู่ า่ หิมพานต์ กัณฑ์ทานกัณฑ์ ก่อนเสด็จไปอยู่ป่า พระเวสสันดรได้พระราชทานสัตตดกทาน คือ ชา้ ง ม้า รถ ทาสชาย ทาสหญิง โคนม และนางสนม อย่าง ๗๐๐ กัณฑ์วนประเวสน์ พระเวสสันดรทรงพาพระนางมัทรีพระชายา พระชาลีและพระ กนั หาพระโอรสพระธิดา เสด็จจากเมอื งผ่านแคว้นเจตราษฏร์จนเสด็จถึงเขาวงกตในป่าหิมพานต์ กัณฑ์ชูชก ชชู กพราหมณข์ อทานได้นางอมติ ดาเป็นภรรยา นางใชใ้ ห้ไปขอสองกุมาร ชูชกเดินทางไปสืบข่าวในแคว้นสีวีราษฏร์ สามารถหลบหลีกการทาร้ายของชาวเมือง พบเจตบุตร ลวงเจตบุตร ให้บอกทางไปยังเขาวงกต กัณฑ์จุลพน ชูชกเดินทางผ่านป่าตามเส้นทางตามที่เจตบุตรแนะจนถึงทีอยู่ของ อัจจตุ ฤษี ๖๒

กัณฑ์มหาพน ชูชกลวงอัจจุจฤษี ให้บอกทางผ่านป่าใหญ่ไปยังท่ีประทับของพระ เวสสนั ดร กัณฑก์ มุ าร ชชู กทูลขอสองกมุ าร ทบุ ตสี องกมุ ารเฉพาะพรพกั ตร์พระเวสสันดร แล้ว พาออกเดนิ ทาง กัณฑ์มทั รี พระนางมัทรเี สดจ็ กลบั มาจากหาผลไมท้ ีป่ า่ ออกติดตามสองกุมารตลอก คืน จนถึงทางวิสัญญีเฉพาะพระพักตร์พระเวสสันดร เม่ือทรงพื้นแล้ว พระเวสสันดรเล่าความจริง เกีย่ วกับสองกุมาร พระนางทรงอนโุ มทนาด้วย กัณฑ์สักกบรรพ พระอินทร์ทรงเกรงว่าจะผู้ท่ีมาพระนางมัทรีไปเสีย ทรงเปลงเป็น พราหมณช์ รามาทลู ของพระนางมทั รีแล้วฝากไว้ทพี่ ระเวสสนั ดร กัณฑ์มหาราช ชูชกเดินทางเข้าแคว้นสีวีราษฎร์ พระเจ้าสญชัยทรงไถ่สองกุมาร ชู ชกได้รบั พระราชทานเลี้ยง และถึงแก่กรรมด้วยการบรโิ ภคอาหารมากเกินควร กัณฑฉ์ กษัตรยิ ์ พระเจ้าสัญญชัย พระนางผุสดี พระชาลี และพระกันหาเสด็จไปทูล เชญิ พระเวสสันดรและพระนางมทั รีกลบั เมอื่ กษัตริยห์ กพระองค์ ทรงพบกนั กท็ รงวสิ ัญญี ฝนโบกข พรรษตก จึงทรงฟ้ืนข้นึ กัณฑ์นครกัณฑ์ กษัตริย์ทั้งหกพระองค์เสด็จกลับพระนคร พระเวสสันดรได้ ครองราชยด์ ังเดมิ บา้ นเมืองสมบูรณพ์ ูนสุข คุณค่า มหาชาติคาหลวงเป็นวรรณคดีเก่ียวกับศาสนาโดยตรง เป็นหนังสือ มหาชาติฉบับภาษาไทยเล่มแรก ที่ปรากฏหลักฐานเหลืออยู่ มีใจความใกล้เคียงกับข้อความที่แต่ง เป็นภาษาบาลี แสดงถงึ ความสามารถในการแปลและเรียบเรียงขอ้ ความ อยา่ งไรก็ดี การแทรกบาลี ลงไวย้ ืดยาวและมบี ทแปลภาษาไทยส้ัน ทาให้ฟังยากจนต้องมีการแต่งกาพย์มหาชาติข้ึนใหม่ในสมัย สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม มหาชาติคาหลวงทั้งของเดิมและที่แต่งซ่อมใหม่ในรัชกาลท่ี ๒ น้ี นกั ปราชญร์ าชบณั ฑติ ท่เี ปน็ กวหี ลายทา่ นช่วยกันแตง่ จึงมีสานวนโวหารและถ้อยคาไพเราะ แทรกไว้ ด้วยรสวรรณคดีหลายประการ เช่น ความโศก ความอาลัยรัก ความน้อยใจ และความงามของ ธรรมชาติ เป็นต้น นอกจากน้ียังให้ความรู้ทางด้านภาษา ทาให้ทราบคาโบราณ คาแผลง และ ภาษาตา่ งประเทศ เช่น สนั สกฤต เขมร เป็นตน้ มหาชาติคาหลวงแสดงถึงความเลื่อมใสในพุทธศาสนา และความเชื่อในบุญกุศลที่ เกดิ จากฟังเทศนเ์ รอื่ งมหาชาตขิ องคนไทยสืบตอ่ มาจากสุโขทัย นอกจากน้ียังแสดงให้เห็นว่าสมเด็จ พระบรมไตรโลกนาถมีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างย่ิง การโปรดเกล้า ฯ ให้ประชุม นักปราชญ์ราชบัณฑิตแต่งมหาชาติคาหลวง อาจเทียบได้กับพญาลิไททรงพระราชนิพนธ์ไตรภูมิ พระรว่ ง ๖๓

๓.๒.๓ ลิลติ ยวนพ่าย ลิลิตยวนพ่ายเป็นวรรณคดีประเภทยอพระเกียรติ หรือสดุดีวีรกรรมของ พระมหากษตั ริย์ โดยยอพระเกียรติสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถที่ทรงรบชนะพระเจ้าติโลกราช เจ้า เมอื งเชียงใหม่ ใน พ.ศ.๒๐๑๗ ความสามารถและชัยชนะในการศึกษาสงครามคร้ังน้ีเป็นเหตุให้เกิด การสดุดีวีรกรรมของพระมหากษัตริย์และแต่งลิลิตยวนพ่าย โดยคาว่า ยวน หมายถึง ไทยล้านนา หรอื ในทน่ี ีค้ อื เมืองเชียงใหม่ ผแู้ ต่ง ไม่ปรากฏนามผแู้ ต่ง ลักษณะการแต่ง แต่งเป็นลิลิตด้ัน ประกอบด้วยร่ายดั้นโคลงด้ันบาทกุญชรแต่ง สลับกนั ไป วตั ถุประสงค์ในการแต่ง เพ่ือยอพระเกียรติของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ และ สดุดชี ยั ชนะที่มีตอ่ เชียงใหม่ เนื้อเร่ืองย่อ ตอนต้นกล่าวนมัสการพระพุทธเจ้าและนาหัวข้อธรรมมาแจกแจง ทานองยกยอ่ งสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถวา่ ทรงคุณธรรมข้อนัน้ ๆ กล่าวถึงพระราชประวัติ ตั้งแต่ ประสูติจนได้ราชสมบัติ ต่อมาเจ้าเมืองเชียงชื่น(เชลียง)เอาใจออกหาง นาทัพเชียงใหม่มาตีเมือง ชัยนาท แต่ถูกสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถตีแตกกลับไป และยึดเมืองสุโขทัยคืนมาได้ แล้วประทับ อยเู่ มอื งพิษณุโลก เสด็จออกบวชช่ัวระยะหน่ึง ต่อจากน้ันกล่าวถึงการทาสงครามกับเชียงใหม่อย่าง ละเอยี ด แลว้ บรรยายเหตกุ ารณ์ทางเชียงใหม่ วา่ พระเจ้าตโิ ลกราชเสยี พระจริต ประหารชวี ิต หนาน บญุ เรืองราชบตุ ร และหมืน่ ด้งนครเจ้าเมืองเชียงช่ืน ภรรยาหม่ืนด้งนครไม่พอใจเลยมีสารมาพึ่งพระ บรมโพธสิ มภารของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถและขอกองทัพไปช่วย พระเจ้าติโลกราชทรงยกทัพ มาป้องกนั เมอื งเชียงชน่ื เสรจ็ แล้วเสดจ็ กลบั ไปรักษาเมอื งเชียงใหม่ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรง กรีธาทัพหลวงข้ึนไปรบตีเชียงใหม่ จนพ่ายและได้เมืองเชียงชื่น ตอนสุดท้ายสรรเสริญพระบารมี สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถอีกครัง้ หนึ่ง ตวั อย่างข้อความบางตอน กล่าวถึงการแต่งยวนพา่ ย สารสยามภาคพรอ้ ง กลกานท นี้ฤาคือคู่มาลาสวรรค ชอ่ ช้อย เบญญาพิศาลแสดง เดอมกยรติพระฤา คือคุไ่ หมแส้งรอ้ ย กง่ึ กลาง คุณคา่ ลิลติ ยวนพา่ ย มีลกั ษณะเป็นวรรณคดีเฉลิมพระเกียรติพระมหากษัตริย์ แต่งข้ึนเนื่องจากความสดุดีในพระปรีชาสามารถของพระบรมไตรโลกนาถ มีคุณค่าทาง ๖๔

ประวัติศาสตร์สมัยกรุงศรีอยุธยาต้อนต้นอย่างยิ่ง เพราะบรรยายเรื่องราวต่าง ๆ ไว้อย่างละเอียด เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ท่ีน่าเชื่อถือ ลิลิตยวนพ่ายยังมีลักษณะดีเด่นเพราะใช้ถ้อยคา ไพเราะ ใช้โวหารพรรณนาท่ีก่อให้เกิดจินตภาพ ให้อารมณ์ชื่นชมยินดีในบุญญาธิการของพระเจ้า แผน่ ดิน และความรุ่งเรอื งของบ้านเมือง มกั ใช้ถอ้ ยคาโบราณและคาสนั สกฤต ทาให้กวภี ายหลังถอื เป็นแบบอย่าง เช่น สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสทรงนิพนธ์ลิลิตตะเลงพ่าย เพื่อสดดุ วี รี กรรมของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ๓.๒.๔ ลิลิตพระลอ ลิลติ พระลอเปน็ นิยายทเ่ี ชือ่ ว่ามเี คา้ โครงเรอื่ งจรงิ จากตานานทางล้านนา โดยเชื่อกนั ว่า เมืองสรองน่าจะตั้งอยู่ที่อาเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ ส่วนเมืองสรวงน่าจะอยู่ในอาเภอแจ้ห่ม จังหวัดลาปาง วรรณคดีเร่ืองนี้ได้รับการยกย่องจากวรรณคดีสโมสรว่าเป็นยอดของวรรณคดี ประเภทลิลิต โดยพิจาณาจากโครงเร่ืองที่น่าต่ืนเต้น มีบทสะเทือนใจบทรัก และความสยดสยอง การใช้ถ้อยคาและโวหารยอดเยย่ี ม มขี อ้ สนั นษิ ฐานเกี่ยวกับผูแ้ ต่งและระยะเวลาในการแต่งลิลิตพระลอมากมาย แต่ยัง ไม่ไดข้ อ้ สรปุ ท่ีชัดเจน เมอ่ื พิจารณาจากร่ายบทนาเรอ่ี ง ซง่ึ กล่าวสดุดีพระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยา ท่ีทรงมีชัยแก่ชาวลานนาที่ว่า \"ฝ่ายช้างยวนแพ้พ่าย ฝ่ายช้างลาวประลัย ฝ่ายช้างไทยชัเยศคืนยัง ประเทศพิศาล\" พอสันนิษฐานได้ว่าช่วงเวลาที่แต่งลิลิตพระลอ จะต้องอยู่ภายหลังการชนะศึก เชียงใหม่ครงั้ ใดคร้งั หนึ่ง อาจเป็นรชั กาลสมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ.๒๐๑๗) หรอื สมเด็จพระ นารายณ์มหาราช (พ.ศ.๒๒๐๕)อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาถึงลักษณะคาประพันธ์ ลิลิตพระลอแต่ง โดยใช้รปู แบบลลิ ติ ซ่งึ เปน็ ลกั ษณะคาประพันธ์ท่ีนิยมใช้ในสมัยอยธุ ยาตอนต้น เช่น ลิลิตโองการแช่ง น้า ลิลิตยวนพ่าย ส่วนในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชมักแต่งโคลงฉันท์เป็นส่วนมาก เช่น โคลงเฉลิมพระเกีรยติสมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมุทรโฆษคาฉันท์ และอนิรุทธ์คาฉันท์ ลิลิต พระลอยังใชภ้ าษาเก่ากว่าภาษาในสมัยสมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช เช่น คา \"ช่ินแล\"และคา \"แว่น\" ซึ่งเป็นคาท่ีมีใช้ในมหาชาติคาหลวงสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ นอกจากนี้หนังสือจินดามณี ของพระโหราธิบดี สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้ยกโคลงในลิลิตพระลอเป็นตัวอย่างโคลงส่ี สุภาพ จากเหตุผลดังกล่าวจึงสันนิษฐานกันว่า ลิลิตพระลอ จะต้องแต่งก่อนสมัยสมเด็จพระ นารายณ์มหาราช สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดารงราชานุภาพ ทรงพิจารณาโคลงท่ีบอกผู้แต่งในสองบท ท้ายเรื่องที่ข้ึนต้นว่า \"จบเสร็จมหาราชเจ้า นิพนธ์\" และ \"จบเสร็จเยาวราช บรรจง\" ทรง สันนิษฐานว่าลิลิตพระลออาจแต่งถวายพระเจ้าแผ่นดิน ในขณะที่ผู้แต่งยังเป็นพระมหาอุปราช ตอ่ มาพระมหาอุปราชพระองค์นั้นได้รับรัชทายาทเป็นพระเจ้าแผ่นดินในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ๖๕

อาจเป็นสมเด็จพระบรมราชาธิปดีที่ ๓ สมเด็จพระรามาธิปดีที่ ๒ หรือ สมเด็จพระบรมราชาหน่อ พุทธางกรู ก็ได้ (พระวรเวทย์พสิ ิฐ, ๒๕๔๕, หนา้ ๒๑) ผู้แต่ง ไม่ปรากฏว่าผใู้ ดแตง่ ลักษณะการแต่ง เป็นคาประพันธ์ประเภทลิลิตสุภาพ ประกอบด้วยร่ายสุภาพ และโคลงสุภาพเป็นส่วนใหญ่ บางโคลงมีลักษณะคล้ายโคลงด้ันและโคลงโบราณ และร่ายบางบท เปน็ รา่ ยโบราณและรา่ ยดั้น วตั ถปุ ระสงค์ในการแต่ง แต่งถวายพระเจ้าแผ่นดิน เพ่ือให้เป็นที่สาราญพระราช หฤทัย เนอ้ื เรอื่ งย่อ เมืองสรวงและเมืองสรองเป็นศัตรูกัน พระลอกษัตริย์เมืองสรวงทรง พระสิริโฉมยิ่ง จนเป็นท่ีต้องพระทัยพระเพ่ือนพระแพงราชธิดาของท้าวพิชัยพิษณุกร กษัตริย์แห่ง เมืองสรอง นางรืน่ นางโรย พระพเ่ี ล้ยี ง ไดข้ อให้ปเู จ้าสมงิ พรายช่วยทาเสน่ห์ให้พระลอเสด็จมาเมือง สรวง เม่ือพระลอต้องเสน่ห์ได้ตรัสลาพระนางบุญเหลือพระราชมารดา และนางลักษณวดี มเหสี เสดจ็ ไปเมืองสรองพรอ้ มกับนายแกว้ นายขวัญ พระพี่เลยี้ ง เมื่อเดินทางมาถึงแม่น้ากาหลง พระลอ ทรงเส่ียงน้าว่าตนจะเป็นอย่างไร ปรากฎว่าเป็นรางร้าย แต่พระลอทรงตัดสินใจเดินทางต่อไปยัง เมอื งพระเพ่ือนพระแพง โดยมีไก่ผขี องปเู จา้ สมิงพรายล่อพระลอกับนายขวัญและนายแก้วไปจนถึง สวนหลวง นางร่ืนนางโรยออกอุบายลอบนาพระลอกับนายแก้วและนายขวัญไปไว้ในตาหนักของ พระเพื่อนพระแพง ท้าวพิชยั พษิ ณกุ รทรงทราบเรือ่ งก็ทรงพระเมตตารับส่ังจะจดั การอภเิ ษกพระลอ กบั พระเพ่ือนและพระแพงให้ แต่พระเจ้ายา่ เลี้ยงของพระเพอ่ื นพระแพงยังคงผูกใจเจ็บจากเรื่องราว ในอดีตระหว่างสองเมือง จึงอ้างรับสั่งท้าวพิชัยพิษณุกรตรัสส่ังใช้ให้ทหารไปรุมจับพระลอ พระ เพื่อนพระแพงและพระพี่เล้ียงท้ังสี่ช่วยกันต่อสู้จนส้ินชีวิตท้ังหมด เม่ือท้าวพิชัยพิษณุกรทรงทราบ จงึ พิโรธพระเจา้ ย่าและทหารอย่างมาก รับสั่งใหป้ ระหารชวี ติ ทุกคน พระนางบญุ เหลือทรงสง่ ทตู มา ร่วมงานพระศพกษตั ริย์สาม ในทสี่ ุดเมืองสรวงและเมืองสรองกลบั มไี มตรตี ่อกัน ตวั อย่าง บทโศก เชน่ ตอนพระนางบญุ เหลอื ทรงราพันเม่ือพระลอทลู ลาเไปเมอื งสรอง คงชีพหวังได้พึง่ ภูมี พอ่ แล ม้วยชพี หวังฝากผี พ่อได้ ดังฤาพ่อจักลี- ลาจาก อกนา ผีแมต่ ายจักได้ ฝากใหใ้ ครเผา ตวั อย่างบทพรรณนาความรกั เชน่ บทพรรณนาความรักของพระลอท่ีคร่าครวญถึง แม่ขณะเดินทางมาถงึ แม่นา้ กาหลง ๖๖

ร้อยชู้ฤาเท่าเน้ือ เมยี ตน เมียแลพ่ นั ฤาดล แม่ได้ ทรงครรภ์คลอดเป็นคน ฤาง่า เลยนา เลียงยากนักท้าวไท้ ธิราชผู้มคี ุณ คณุ ค่า ลิลิตพระลอได้เค้าเร่ืองมาจากนิทานพ้ืนเมือง แสดงถึงสภาพความเป็นไป ของสังคมในเวลาน้ันอย่างเดน่ หลายประการ อาทิ ดา้ นการปกครอง คือ เปน็ เมอื งเลก็ ๆ ต้ังเปน็ อิสระ แกก่ นั และการปกครองแบบสมบูรณาญาสทิ ธิราชย์ ดา้ นความเช่ือ เช่นเช่ือเร่ืองภูตผีปีศาจ เสน่ห์ยา แฝด โชค ลาง ความฝัน และความชอ่ื สัตย์จงรกั ภกั ดตี อ่ พระเจา้ แผน่ ดนิ พระพี่เลย้ี งท้งั ๔ ดงั ปรากฏใน สุภาษิตพระรว่ ง ทวี่ า่ \"อาสาเจา้ จนตัวตาย\" นอกจากน้ี ยังทาใหเ้ ห็นสภาพสังคมท่ัวไป เช่น การใช้ช้าง ทาสงครามและเปน็ พาหนะ ความนยิ มและขับรอ้ ง และการบรรจพุ ระศพกษตั รยิ ล์ งโลงทอง ด้านการแต่ง จะสังเกตได้ว่า โคลงหรือรายในลิลิตพระลอหลายบทยังไม่เป็น ลกั ษณะของรายสุภาพหรอื โคลงสภุ าพทม่ี แี บบแผยน หรือฉันทลักษณ์ท่ีเคร่งครัดในเรื่องคาเอกและ คาโท หรือจานวนคาในแตล่ ะวรรคเหมือนดงั ท่ีปรากฏในตาราฉนั ทลกั ษณ์สมยั ปัจจุบนั ทั้งนี้อาจเป็น เพราะยังอยู่ในช่วงของการทดลองแต่งหารูปแบบท่ีเหมาะสม และยังไม่มีการตราเป็นกฎเกณฑ์ที่ แน่นอนขึ้น (ชลดา เรืองรักษ์ลิขิต, ๒๕๔๔, หน้า ๙) อย่างไรก็ดี มีคาประพันธ์บทถือเป็นว่าเป็นบท ครูด้วย เช่น พระโหราธิบดี กวีในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้ยกโคลงที่แต่งถูกแผนบังคับ และมคี วามไพเราะไปไวเ้ ปน็ แบบอยา่ งโคลงสสี่ ุภาพในหนงั สอื จนิ ดามณี ซ่งึ โคลงบทนเ้ี ปน็ ตอนที่พระ เพอ่ื นพระแพงตรสั แกพ่ ระพ่ีเลยี้ งหลงั จากไดย้ นิ เสียงขบั ซอยอโฉมพระลอ เสียงฦาเสยี งเลา่ อ้าง อันใด พ่ีเอย เสยี งยอ่ มยอยศใคร ทว่ั หล้า สองขือพ่หี ลบั ใหล ลืมตนื่ ฦาพ่ี สองพ่ีคิดเองอ้า อยา่ ได้ถามเผือ ๓.๒.๕ โคลงนริ าศหริภญุ ชยั โคลงนิราศหริภุญชยั นับเป็นโคลงนิราศเรื่องแรกในวรรณคดไี ทย กรมพระยาดารง ราชานุภาพ ทรงสันนษิ ฐานไว้วา่ แต่งขนึ้ ประมาณสามร้อยปเี ศษแลว้ คอื แต่งในปี พ.ศ. ๒๑๘๐ หรือ ก่อนนั้นข้ึนไป (ดารงราชนุภาพ, สมเด็จ ฯ กรมพระยา, ออนไลน์) ประเสริฐ ณ นคร ได้ศึกษา โคลงเร่ืองนี้โดยเทียบกับต้นฉบับภาษาไทยเหนือท่ีเชียงใหม่และลงความว่าจะแต่งขึ้นในสมัย พ.ศ. ๖๗

๒๐๖๐ ตรงกับรัชกาลสมเด็จพระรามาธิปดีท่ี ๒ ซ่ึงเป็นเวลาท่ีพระแก้วมรกตยังอยู่ที่เจดีย์เชียงใหม่ เนื่องจากนิราศเร่อื งนี้ กลา่ วถึงพระแกว้ มรกตไว้ดว้ ย (ไพเราะ มากรักษา, ๒๕๔๘, หน้า ๖๕) การศึกษาโครงนิราศหริภุญชัยมีอุปสรรคในการศึกษาหลายอย่าง เช่น ศัพท์ส่วน ใหญเ่ ปน็ ศพั ทโ์ บราณถิ่นพายพั แม้ถิ่นพายัพจะคงใช้ภาษาไทยโบราณมาจนบัดน้ี แต่หนังสือเล่มนี้มี ศัพท์เป็นจานวนมาก ซ่ึงคนท่ัวๆ ไปลืมความหมายเสียหมด ชื่อโบราณสถาน วัดวาอารามต่าง ๆ ในเรื่อง บางวัดรา้ งไป บางวัดเปลีย่ นชื่อไป ผูอ้ ่านส่วนมากไมท่ ราบ มศี พั ท์บาลสี นั สกฤตจานวนมาก ปะปนอยูด่ ว้ ย ผู้แต่ง สันนิษฐานกันว่าผู้แต่งอาจชื่อ ทิพ แต่งไว้เป็นภาษาไทยเหนือ ต่อมามีผู้ ถอดออกมาเปน็ ภาษาไทยกลาง ลกั ษณะการแตง่ เดมิ แต่งไวเ้ ป็นโคลงไทยเหนอื ต่อมามผี ู้ถอดเป็นโคลงสุภาพ วัตถุประสงค์ในการแต่ง เพื่อบรรยายความรู้สึกที่ต้องจากหญิงรักไปนมัสการ พระธาตหุ ริภญชัยที่เมืองหริภญุ ชยั (ลาพนู ) เน้ือเรื่องย่อ กล่าวถึงการเดินทางไปนมัสการพระธาตุหริภญชัยท่ีเมืองหริภุญชัย (ลาพูน) ก่อนออกเดินทางไปนมัสการลาพระพุทธสิหิงค์ขอพรพระมังราชหรือพระมังรายซึ่งสถิต ณ ศาลาเทพารักษ์ นมัสการลาพระแก้วมรกต เม่ือเดินทางพบส่ิงใดหรือตาบลใดก็พรรณนาคร่าครวญ ราพันรักไปตลอดจนถึงเมืองหริภุญชัยได้นมัสการพระธาตุ สมความต้ังใจ บรรยายพระธาตุ งาน สมโภชพระธาตุ ตอนสุดท้ายลาพระธาตุกลับเชยี งใหม่ คณุ ค่า วรรณคดเี ร่ืองนี้เปน็ หลักฐานยืนยนั ถงึ ทีต่ ้ังปูชนยี สถาน และโบราณวัตถุที่ เชยี งใหม่และลาพูน กล่าวถึงการเล่นมหรสพต่าง ๆ ในสมัยโบราณ และวรรณคดีเร่ืองอ่ืน ๆ เช่น สุ ธนู สมุทรโฆษ พระรถเมรี เป็นต้น สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพ ได้ทรง อธิบายเกี่ยวกับความสาคัญของโคลงหริภุญชัย ไว้ในฉบับพิมพ์ พ.ศ.๒๔๖๗ ว่า \"อาจเป็นต้น แบบอยา่ งของนิราศที่แต่งเป็นโคลงและกลอนกันในกรุงศรีอยุธยาตลอดมาจนกรุงรัตนโกสินทร์ ถ้า มิได้เป็นแบบอย่างก็เปน็ นริ าศชนั้ เก่าท่ีสุด\" ซึ่งสะท้อนให้เห็นคุณค่าและอิทธิพลของวรรณคดีเรื่องนี้ ตอ่ วรรณคดใี นยุคหลงั ๓.๒.๖ โคลงทวาทศมาส โคลงทวาทศมาส หมายถึง โคลงสิบสองเดือน โดยมาจากรากศัพท์ว่า “ทวา-ทศ มาส” แปลตามศพั ทว์ ่า “๑๒ เดือน” จัดเปน็ โคลงโบราณ ผูแ้ ตง่ ในทา้ ยเรอ่ื งบอก ผแู้ ต่งไว้ ตามโคลงบททีว่ ่า ๖๘

การกลอนน้ตี ้งั อาทิ กวี หน่ึงนา เยาวราชสามนต์ไตร แผ่นหลา้ ขนุ พรหมมนตรศี รี กวีราช สารประเสรฐิ ฦๅช้า ชว่ ยแกล้งเกลากลอน อย่างไรก็ดี ยังมีข้อถกเถียงไม่เป็นท่ียุติถึงเร่ืองผู้แต่งและสมัยท่ีแต่ง และมีข้อ สันนิษฐานผู้แต่งต่างกันไป เช่น ผู้รู้บางท่านสันนิษฐานว่าผู้แต่ง คือ ขุนศรีกวีราช ขุนพรหมมนตรี และขุนสารประเสริฐ บางท่านว่า พระเยาวราชนิพนธ์ โดยมีขุนพรหมมนตรี ขุนศรีกวีราช และขุน สารประเสรฐิ เป็นผชู้ ่วยแกเ้ กลาสานวน บา้ งกว็ า่ ขุนพรหมมนตรี ขุนศรกี วรี าช และขนุ สารประเสริฐ เป็นผ้ชู ่วยกันนพิ นธ์ เพอื่ ถวายสมเด็จพระยุพราช ส่วนสมัยที่แต่งน้ัน อาจจะเป็นสมัยสมเด็จพระบรม ไตรโลกนาถ หรือสมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช (สิทธา พินิจภูวดล และปรียา หิรัญประดิษฐ์, ๒๕๕๙, หน้า ๒-๕๑) ลักษณะการแต่ง โคลงดั้นวริ ธิ มาลี ข้ึนดว้ ยร่ายดัน้ ๑ บท โคลงอีก ๒๕๘ บท จบ ลงด้วยร่ายดน้ั ๑ บท รวมท้ังสิน้ ๒๖๐ บท วัตถุประสงค์ในการแต่ง มีผู้สันนิษฐานว่าคงแต่งขึ้นเพ่ือเฉลิมพระเกียรติ พระมหากษตั ริย์ มไิ ดจ้ ากนางจรงิ เนอ้ื เร่อื งยอ่ ตอนต้นบทประนามบท สรรเสริญเทพเจ้า และพระเจ้าแผ่นดิน ชม ความงามของนางและกล่าวถึงการท่ีต้องจากมา กล่าวถึงบุคคลในวรรณคดี เช่น พระอนิรุทธ์ พระ สมุทรโฆษ พระสธุ นู พระสูตรธนู แลว้ แสดงความน้อยใจทีต่ นไมอ่ าจไปอยูร่ ่วมกบั นางอีกอย่างบุคคล เหล่าน้ัน จากน้ันนาเหตุการณ์ต่าง ๆ และลมฟ้าอากาศในรอบปีหนึ่ง ๆ ตั้งแต่เดือน ๕ ถึง เดือน ๔ มาพรรณนา เดือนใดมีพิธีอะไรก็นามากล่าวไว้ละเอียดละออ เช่น เดือนสิบเอ็ดมีพิธีอาศวยุช เดือน สิบสองมีพิธีจองเปรียงลอยพระประทีป เดือนย่ีประกอบพิธีตรียัมปวาย และเดือนสี่กระทาพิธีตรุษ เป็นต้น ต่อจากน้ันถามข่าวคราวของนางจาก ปี เดือน วัน และยาม ขอพระเทพเจ้าให้ได้พบนาง ตอนสดุ ทา้ ยกล่าวสรรเสริญพระบารมพี ระเจา้ แผน่ ดนิ ตัวอย่างการพรรณนาความตามเดือน เดอื นหา้ ทรวงธร ฤดูเดอื นเจตรรอ้ น ด่วนน้อง อรนทิ ร หายแม่ ทุกยา่ ยามโครดวง ไปค่ นื จารจาเราจร อินทรพรหมยมป้อง ๖๙

เดือนหก ฤาวาย เดอื นหกรยมรา่ ไห้ ท่องหลา้ วอนวา่ ยามยอ่ มชนบทถอื แลน่ ตาม ธงธวัชโบกโบยปลาย คดิ ว่ากรกลกกข้า คุณค่า โคลงทวาทศมาส ให้ความรู้เก่ียวกับขนบประเพณีและความเป็นอยู่ของ อยุธยา มีแนวการบรรยายความร่าอาลัยถึงนางอันเป็นท่ีรักอย่างละเอียดลึกซึ้งกว่าวรรณคดีเรื่อง อ่ืน ท่ีน่าสังเกตคือโคลงเร่ืองเป็นทานองนิราศ แต่ไม่มีการเดินทางไปที่ใด ใช้เวลาเป็นเครื่องมือ พรรณนาถงึ นางแทนสถานท่ี เป็นพน้ื ฐานให้กวรี นุ่ หลังไว้เป็นแบบอยา่ ง เช่น พระยาตรงั นายนรนิ ทร์ ธเิ บศร์ (อนิ ) วรรณคดเี รอ่ื งน้ีจึงมคี วามแปลกใหม่จากวรรณคดีเร่ืองก่อน ๆ โคลงทวาทศมาส ยัง เป็นท่ีนิยมแต่งตามกันมาโดยเฉพาะกระบวนการพรรณนาแสดงความรักความอาลัย การ เปรียบเทียบคู่พระคู่นางในวรรณคดีประเภทที่มีเค้าจากชาดก เช่น สมุทโฆษชาดก สุธนชาดก ฯลฯ (สุภา ฟักข้อง, ๒๕๓๐) ๓.๒.๖ โคลงกาสรวล โคลงกาสรวล เป็นโคลงเก่าแก่ เชอื่ ว่าอาจแต่งสมยั เดยี วกบั โคลงนริ าศหริภญุ ชัยและ โคลงทวาทศมาส จัดเป็นโคลงต้นแบบของการแสดงความเศร้าโศกอาลัย และมีอิทธิพลต่อการแต่ง โคลงในยุคต่อมา คาว่า “กาสรวล” เป็นภาษาเขมร แปลว่า ร้องไห้ หมายถึงบทประพันธ์ท่ีเขียน ทานองครา่ ครวญถึงนางทร่ี ัก ในการที่ต้องจากสถานที่ไป บางคนเรียกว่า โคลงกาสรวลศรีปราชญ์ เพราะเช่ือว่าศรีปราชญ์เป็นคนแต่ง เหตุท่ีเชื่อว่า เพราะปรากฏว่าออกชื่อผู้แต่งว่า “ศรี” ไว้หลาย ตอน ผแู้ ต่ง ยังไมท่ ราบแน่ชดั ว่าผู้ใดแต่ง ลักษณะการแต่ง แต่งด้วยโคลงตั้งบาทกุญชร บทแรกเป็นร่ายด้ัน มีร่าย ๑ บท โคลงดน้ั ๑๒๙ บท วตั ถุประสงค์ในการแตง่ เพ่อื แสดงความอาลัยคนรกั เน้ือเรื่องย่อ เร่ิมด้วยร่ายสดุดีกรุงศรีอยุธยาว่ารุ่งเรืองงดงาม เป็นศูนย์กลางแห่ง พุทธศาสนา ราษฎรสมบรู ณ์พูนสขุ ต่อจากนนั้ กล่าวถงึ การที่ตอ้ งจากนาง แสดงความหว่ งใย ไมแ่ น่ใจ ว่าควรจะฝากนางไว้กับผู้ใด เดินทางผ่านตาบลหน่ึง ๆ ก็ราพันเปรียบเทียบชื่อตาบลเข้ากับความ อาลัยท่ีมีต่อนาง ตาบลท่ีผ่าน เช่น บางกะจะ เกาะเรียน ด่านขนอน บางไทรนาง บางขดาน ย่านขวาง ราชคราม ทุง่ พญาเมอื ง ทะเลเชิงราก นอกจากน้ไี ดน้ าบคุ คลในวรรณคดีมาเปรียบเทียบ ๗๐

กับเหตุการณ์ในชีวิตของตน เกิดความทุกข์ระทมที่ยังไม่ได้พบนางอีกอย่างบุคคลในวรรณคดี เหลา่ น้ัน โดยกลา่ วถึง พระรามกบั นางสีดา พระสูตรธนู(สุธนู)กับนางจิราประภา และ พระสมุทร โฆษกับนางพษิ ทุมดวี า่ ต่างได้อยู่ร่วมกนั อกี ภายหลังทีต่ ้องจากกันชั่วเวลาหน่ึง การพรรณนาสถานท่ี ส้นิ สุดลงโดยท่ีไมถ่ ึงนครศรีธรรมราช คุณค่า โคลงกาสรวลใช้คาท่ีเป็นภาษาโบราณ ภาษาถ่ิน ภาษาบาลี ภาษา สนั สกฤตและภาษาเขมรอยูม่ าก โคลงกาสรวลแสดงให้เห็นความวจิ ิตตระการตาของปราสาทราชวัง และวดั วาอารามของกรุงศรีอยุธยา ความเป็นอยู่ของประชาชนในด้านการแต่งกาย อาหารการกิน การเลน่ รื่นเรงิ และสภาพภูมิศาสตร์ตามเส้นทางการเดินทางของกวี ๓.๓ กวแี ละวรรณคดีสาคญั สมยั อยุธยาตอนกลาง กวีและวรรณคดีสาคัญในสมัยอยธุ ยาตอนกลาง ทีป่ รากฏหลักฐานมาจนถงึ ปจั จุบนั มีดังนี้ พระเจา้ ทรงธรรม ไดแ้ ก่ กาพย์มหาชาติ สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช ไดแ้ ก่ ๑) โคลงสุภาษิต ๓ เร่ือง ได้แก่ โคลงพาลีสอนน้อง โคลงทศรถสอน พระราม และโคลงราชสวัสดิ์ ๒) สมทุ รโฆษคาฉนั ทต์ อนกลาง ๓) บทพระราชนพิ นธ์โคลงโตต้ อบกบั กวีอ่ืนๆ พระมหาราชครู ได้แก่ ๑) เสือโคคาฉนั ท์ ๒) สมุทรโฆษคาฉนั ท์ตอนตน้ พระโหราธบิ ดี ไดแ้ ก่ ๑) จินดามณี ๒) พงศาวดารกรุงศรอี ยธุ ยาฉบบั หลวงประเสรฐิ อักษรนติ ิ ศรปี ราชญ์ ได้แก่ ๑) อนริ ทุ ธคาฉันท์ ๒) โคลงเบด็ เตล็ด พระศรีมโหสถ ไดแ้ ก่ ๑) กาพย์ห่อโคลง ๒) โคลงเฉลิมพระเกียรตสิ มเด็จพระนารายณม์ หาราช ๓) โคลงอกั ษรสามหมู่ ๔) โคลงนิราศนครสวรรค์ ๗๑

ขนุ เทพกระวี ได้แก่ คาฉนั ทด์ ษุ ฎสี งั เวยกลอ่ มช้าง ในทน่ี ี้ จะขอยกวรรณคดีสาคญั ในสมยั อยุธยาตอนกลางบางเร่อื งมาอธิบาย ดังนี้ ๓.๓.๑ กาพยม์ หาชาติ กาพย์มหาชาติ เปน็ วรรณคดเี กา่ แกเ่ ลม่ หนึ่ง ทแี่ ตง่ ขน้ึ เมื่อครัง้ กรงุ ศรีอยธุ ยาเปน็ ราช ธานี กรมพระยาดารงราชานุภาพทรงสันนษิ ฐานวา่ กาพย์มหาชาตนิ ่าจะแต่งขนึ้ ในสมัยพระเจ้าทรง ธรรม มีประชมุ นักปราชญ์ราชบัณฑิตรว่ มกนั แต่งข้ึน ในช่วง พ.ศ. ๒๑๔๕ - ๒๑๗๐ เน้ือหา ภาษา และคาประพันธ์ เนื้อหาของกาพย์มหาชาตินั้น เป็นการเล่าเรื่องมหาชาติหรือเรื่องมหาเวสสันดร ชาดก กาพยม์ หาชาติท่ีเหลอื ตกทอดมาจนปัจจบุ ันมีไมค่ รบทั้ง ๑๓ กัณฑ์ เพราะสูญหายไประหว่าง เสยี กรงุ ศรอี ยุธยาครง้ั ที่ ๒ เหลอื เพียง ๓ กณั ฑ์ คอื กัณฑ์วนปเวสน์ กัณฑ์กมุ าร และกัณฑ์สกั รบรรพ ผูแ้ ตง่ ไมป่ รากฏชื่อผูแ้ ตง่ แตส่ ันนษิ ฐานว่าเปน็ พระเจา้ ทรงธรรม ลักษณะการแต่ง ร่ายโบราณ แตง่ โดยยกคาถาภาษาบาลีขน้ึ มาประโยคหนง่ึ แล้ว แตง่ ภาษาไทยเล่าสลบั กนั ไปจนจบเรอ่ื ง โดยคาแปลภาษาไทยมีลักษณะอธิบายความอย่างละเอียด พศิ ดารกวา่ มหาชาติคาหลวง วัตถปุ ระสงค์ในการแต่ง ใช้เทศน์ใหอ้ บุ าสกอุบาสกิ าฟงั เนอ้ื เรอื่ งย่อ เป็นการเลา่ เรื่องมหาชาติ เนอ้ื หาดาเนินเชน่ เดียวกบั มหาชาติคาหลวง ตัวอยา่ ง กณั ฑว์ นประเวศน์ *เต จตั ต์ าโร ขัตต์ ยิ า* อันว่าพระบรมกษัตริย์ท้ังส่ีศรีสุริยวงศ์ เม่ือเสด็จบทจรประสงค์สู่ เขาคิริยวงกฎ มิได้แจ้งทางที่กาหนดดาเนินไพร ด้วยความเข็ญใจก็จาเป็น ปติปเถ ทอดพระเนตรเห็นมหาชน อันเดินทวนทางถนนน้ันมา ก็ตรัสถามถึงมรคาเขาคันธ มาทน์ ...\" คุณค่า กาพย์มหาชาติมีถ้อยคาไพเราะ สละสลวย เข้าใจง่าย เนื่องจากคาแปลท่ี พศิ ดารมุ่งใหป้ ระชาชนเข้าใจและซาบซง้ึ ในเนอื้ เรอ่ื ง ๓.๓.๒ สมุทรโฆษคาฉนั ท์ สมุทรโฆษคาฉันท์ เป็นวรรณคดีท่ีได้รับการยกย่องจากวรรณคดีสโมสรว่าเป็นยอด ในกระบวนคาฉนั ท์ ผู้แต่ง สมุทรโฆษคาฉันท์มีผู้แต่งสามท่าน ซึ่งแต่งในยุคสมัยต่างกัน (เปล้ือง ณ นคร, ๒๕๔๕, หน้า ๑๐๓ – ๑๑๔) ดังนี้ ๗๒

๑. พระมหาราชครู แต่งขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ แต่แต่งต้ังแต่ ปี พ.ศ. ใดไมป่ รากฏ คาดวา่ นา่ จะอยูใ่ นราว พ.ศ. ๒๒๐๐ ทา่ นได้แตง่ ไว้ ๑๒๕๒ บท นับตงั้ แตต่ น้ จนถึง ตอน พระสมุทรโฆษพานางพินทุมดีไปไว้บนศาลเทพารักษ์ เนื่องจากพระมหาราชครูถึงแก่ อนิจกรรมเสยี ก่อน โดยบทสดุ ทา้ ยจบลงด้วยฉันท์ ทว่ี า่ พระเสด็จดว้ ยน้องลีลาส ลุอาศรมอาส- นเทพลบตุ รอนั บนฯ ๒. สมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระราชนิพนธ์ด้วยพระองค์เอง ๒๐๕ บท แต่ไมจ่ บเรอ่ื ง ก็สวรรคตเสยี กอ่ น ทรงแต่งตัง้ แต่ตอน \"พระสมุทรโฆษและนางพินทุมดีไปใช้บน\" (แก้บน) จนถึง ตอนที่พิทยาธรสองตนรบกัน (ตนหนึ่งตกลงไปในสวน) แต่ยังรบไม่จบ ทรงแต่ง จนถึงสทั ทุลวกิ กฬี ิตฉนั ท์ ๑๙ ทีว่ ่า แต่นี้พ่อี นุช(ะ)ถงึ แก่กรรม(ะ)พกิ ล เรียมฤๅจะยากยล พธู ตนกูตายกจ็ ะตายผู้เดียวใครจะแลดู โอ้แกว้ กบั ตนกู ฤเห็น ฯ ๓. พระมหาสมณเจา้ กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส ในสมัยรัชกาลที่ ๓ แหง่ กรุงรัตนโกสนิ ทรน์ พิ นธต์ อ่ จากนน้ั จนจบเรอื่ ง นับได้ ๘๖๑ บท หลังจากทค่ี า้ งอยู่นานถงึ ๑๖๐ ปี (นบั จากสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเสดจ็ สวรรคต เมื่อ พ.ศ. ๒๒๓๑) เนอื่ งจากไม่มีผู้ใดกล้าแต่งต่อ โดยได้ทรงพระนพิ นธเ์ ป็นสองชว่ ง และสุดทา้ ยกจ็ บเร่อื ง เม่ือ พ.ศ. ๒๓๙๒ (จ.ศ. ๑๒๑๑) ลกั ษณะการแตง่ แต่งเปน็ คาฉันท์ มีความยาวของเน้ือเร่อื ง ๒๑๒๘ บท (นับรวม แถลงทา้ ยเร่ือง ๒๑ บท) กบั โคลงทา้ ยเรอื่ งอีก ๔ บท วัตถุประสงค์ในการแต่ง เพ่ือใช้เล่นหนัง เม่ือคราวฉลองพระชนมายุครบ เบญจเพส สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราชพระราชนิพนธ์ต่อเพราะเสยี ดายที่เร่อื งแตง่ ไม่จบ ดา้ นกรม สมเดจ็ พระปรมานุชิตชิโนรสแต่งตอ่ เพราะละอายท่จี ะมีคาตาหนวิ ่าไทยไร้กวี เน้ือเรอ่ื งยอ่ ดัดแปลงมาจากสมุทรโฆษชาดก ในปัญญาสชาดก (ชาดกท่ีมไิ ด้มีอยู่ ในพระไตรปิฎก) แต่เน้ือหาตอนที่พระราชครูแต่งนั้น แตกต่างไปจากชาดกอยู่บ้าง ทว่าเม่ือสมเด็จ พระมหาสมณเจ้า ฯ ทรงนิพนธ์ พระองค์ได้ดาเนินตามปัญญาสชาดกจนจบเร่ือง มีเนื้อหาโดยย่อ ดังนี้ พระสมทุ รโฆษเป็นโอรสของพระเจา้ พินททุ ตั และนางเทพยธิดาผ้คู รองกรุงพรหมบุรี มีชายาชื่อนางสรุ สดุ า วันหน่งึ ทรงได้ขา่ วจากนายพรานวา่ พบโขลงชา้ งป่า จึงไปคล้องชา้ งในป่า เวลา เยน็ เสด็จไปพักใต้รม่ โพธ์ริ มิ สระ พระโพธ์ิเทพารกั ษ์อุ้มพระสมุทรโฆษไปสมนางพินทุมดีราชธิดาท้าว ๗๓

สหี นรคปุ ตแ์ ละนางกนกพดีท่ีเมอื งรมยนครชั่วคืนหนงึ่ ครน้ั เช้าก็อุ้มกลับมาส่งในป่า พระสมุทรโฆษ ต่ืนบรรทมมีความอาลัยนาง เสด็จออกตามหาแต่ไม่พบจึงตัดใจเสด็จกลับเมือง ก่อนเข้าเมืองจึงได้ พบพราหมณ์สี่นายจากเมืองรมยนครมาประกาศข่าวสยุมพรนางพินทุมดี ฝ่ายนางพินทุมดีต่ืน บรรทมไม่พบพระสมทุ รโฆษ ก็ทรงโศกาดูรขอรอ้ งใหน้ างธารีพาพระสมทุ รโฆษมาหานาง ครัน้ นางธา รไี ปทลู ความ พระสมุทรโฆษกท็ รงสงั่ ให้จดั กองทพั ยกตามไปรมยนครกองทัพน้ันไปถึงเมืองพร้อมกับ ทัพกษตั ริย์อน่ื ๆ ที่มารว่ มงานสยมุ พรนางพนิ ทมุ ดี เมื่อถึงวันสยุมพร พระสมุทรโฆษทรงยกศรสาเร็จ เพยี งพระองคเ์ ดียวไดน้ างเป็นคู่ แต่กษตั ริยอ์ น่ื แค้นใจจึงเกิดศกึ ชงิ นางข้นึ ในทสี่ ุดพระสมทุ รโฆษชนะ ศึก ท้าวสีหนรคุปต์จึงจัดการอภิเษกให้ ต่อมาหนึ่งปี พิทยาธรช่ือรณาภิมุข อุ้มเมียเหาะมาพบร ณ บุตรพิทยาธรอีกตนหนึ่ง รณบุตรเห็นเมียรณาภิมุขเข้าก็ชอบใจ เข้าทาร้ายรณาภิมุขแล้วชิงนางไป รณาภิมขุ หลน่ ลงมาในราชอุทยานนอนครา่ ครวญอยู่ (เรอื่ งท่แี ต่งสมยั อยุธยามเี นือ้ เรือ่ งเพียงเทา่ น้ี) เนื้อเรื่องที่เป็นพระนิพนธ์สมเด็จ ฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส เร่ิมด้วยพระสมุทร โฆษเสดจ็ มาพบรณาภมิ ขุ จงึ มอบพระขรรคว์ ิเศษทช่ี ่วยใหเ้ หาะเหินไดแ้ ก่พระสมุทรโฆษ ก่อนท่ีจะทูล ลากลับป่าหิมพานต์ พระสมุทรโฆษจึงชวนนางพินทุมดีเสด็จประพาสป่าหิมพานต์ วันหนึ่งพิทยาธร ตนหนง่ึ ลอบลักพระขรรค์และเหาะหนีไป เม่ือต่ืนบรรทมท้ังสองพระองค์ก็ทรงโทมนัส เกาะขอนไม้ แต่ขอนไม้ขาด ท้ังสองพระองค์จึงพลัดพรากจากกันไป นางพินทุมดีขึ้นฝั่งได้ก่อน ไปอาศัยอยู่กับ หญิงชราผูห้ น่งึ ในเมืองมัทราษฐ นางมอบแหวนเพชรให้หญิงนั้นไปขายได้ทองห้าเล่มเกวียนมาสร้าง ศาลาแจกทานใหเ้ ป็นทพี่ งึ่ ของสมณพราหมณ์ทเ่ี ดินทางผ่าน จ้างช่างวาดเขียนภาพเป็นเรื่องของนาง กับพระสมุทรโฆษต้ังแต่ต้นจนถึงตอนที่พลัดพรากจากกันประดับไว้ท่ีศาลานั้นด้วย และจ้างคนให้ คอยสังเกตอาการของผทู้ ีม่ าชมภาพเหลา่ นน้ั แลว้ มารายงานนางเปน็ ประจา ฝา่ ยพระสมทุ รโฆษ ทรง ลอยคออยกู่ ลางนา้ ถงึ ๗ วนั นางมณีเมขลามาพบและชว่ ยเหลือให้ข้ึนฝัง่ ได้ แลว้ นางจงึ ไปรายงานแก่ พระอินทร์ พระอินทร์ทรงทราบก็กริ้วบัญชาให้พิทยาธรนาพระขรรค์ไปคืน พระสมุทรโฆษจึงได้ อาศัยฤทธพิ์ ระขรรคน์ ั้นเหาะไปตามหานางพนิ ทมุ ดี จนถงึ เมืองมัทราชฐ ทรงแปลงกายเปน็ พราหมณ์ ไปพัก ณ ศาลาที่นางสร้างไว้ และไดเ้ ห็นภาพ ทาใหส้ ะเทอื นพระทยั จนทรงพระกรรแสงแลว้ ทรงพระ สรวล ผู้เฝ้านาความไปรายงานนางพินทุมดี นางจึงรีบเสด็จมาหาพระสมุทรโฆษ ท้ังสองพระองค์ ทรงยินดที ่ีไดพ้ บกัน ตอ่ มาก็ทรงชวนกนั เหาะกลบั ไปถึงเมืองรมยนครในเวลาเชา้ ท้าวสีหนรคุปต์และ นางกนกพดีเสด็จออกมารับ จากนั้นท้ังท้าวพินทุทัตและท้าวสีหนรคุปต์ทรงมอบราชสมบัติให้พระ สมทุ รโฆษครอบครอง แล้วทั้งสององค์ก็ออกบรรพชาเป็นฤาษีจนส้ินชนมายุไปบังเกิดในพรหมโลก (สุมาลี วรี ะวงศ์, ออนไลน์) ๗๔

คณุ คา่ สมุทรโฆษคาฉนั ทเ์ ปน็ วรรณกรรมช้นิ แรก ๆ ของไทย ทมี่ ขี นบการเล่าเรื่อง ทลี่ ะเอียด คล้ายกับบทละคร มีการเล่าเร่ืองโดยสังเขปไว้ในตอนต้น เล่าเร่ืองเบิกโรงที่เล่น ก่อนเล่า เรื่องจรงิ โดยเฉพาะการเล่นเบิกโรงนั้น บ่งบอกถึงประวัติการละเล่นของไทยได้เป็นดี เช่น การเล่น หัวลา้ นชนกัน เลน่ ชวาแทงหอก เล่นจระเขก้ ดั กัน เป็นตน้ สมุทรโฆษคาฉันท์ ยังเป็นวรรณกรรมคา สอน ท่นี านิทานองิ ธรรม มาแตง่ ดว้ ยถอ้ ยคาอันไพเราะ ใช้อ่านเพ่อื ความเพลดิ เพลนิ และมีคตธิ รรม ๓.๓.๓ โคลงสุภาษติ ๓ เร่อื ง โคลงสุภาษิต ๓ เร่ือง ได้แก่ โคลงพาลีสอนน้อง โคลงทศรถสอนพระราม และ โคลงราชสวัสดิ์ เป็นวรรณคดีประเภทคาสอน โดยสอนแตกต่างกันไป กวีนาเค้ามูลมาจาก รามเกยี รต์ิ คมั ภีรข์ องพราหมณบ์ ้าง พทุ ธศาสนาบ้าง ผแู้ ตง่ สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช ลกั ษณะการแตง่ โคลงส่สี ุภาพ โดยโคลงทศรถสอนพระรามมีจานวน ๑๒ บท โคลงพาลสี อนน้องมจี านวนโคลง ๓๒ บท และโคลงราชสวัสดมิ์ จี านวนโคลง ๖๓ บท วัตถุประสงค์ในการแต่ง โคลงทศรถสอนพระราม เพื่อสั่งสอนกษัตริย์ผู้ปกครอง ประเทศ โคลงพาลสี อนนอ้ ง เพ่ือสัง่ สอนข้าราชการ สว่ นโคลงราชสวัสด์ิ เพ่ือสั่งสอนข้าราชการ ความละเอียดกว่าโคลงพาลสี อนนอ้ ง เน้อื เรือ่ งย่อ โคลงทศรถสอนพระราม เนื้อหาเก่ียวกับการส่ังสอนกษัตริย์ผู้ปกครอง ประเทศ เป็นการแสดงหลักในการปกครองบ้านเมือง โดยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงใช้ตัว ละครจากรามเกียรติ์ คือ ท้าวทศรถ พระราชบิดาของพระรามสอนพระรามเกี่ยวกับการปกครอง บา้ นเมือง โคลงพาลีสอนน้อง เน้ือหาเก่ียวกับการสั่งสอนข้าราชการ เป็นหลัก สาหรับการเป็นข้าราชการ โดยใช้พาลี คือตัวละครลิงในเร่อื งรามเกียรต์ิ เปน็ เจา้ เมอื งขดี ขนิ เม่ือรู้ว่า ตนจะตายเกิดสานึกผิด จึงเรียกสุครีพ ผู้เป็นน้องชายและองคตลูกชายมาสั่งสอนเร่ืองการปฏิบัติ ราชการกบั พระราม เช่น ตอ้ งจงรกั ภกั ดี ไมย่ ักยอกของหลวง เป็นตน้ โคลงราชสวสั ดิ์ เนอื้ หาเก่ยี วกบั การสัง่ สอนข้าราชการผู้ใหญ่ ทรงนาหลกั พระพุทธศาสนามาส่ังสอนข้าราชการหลายเรื่อง เช่น กิริยามารยาท การแต่งกายเข้าเฝ้า การไม่ ยักยอกของหลวง ฯลฯ เป็นต้น (เสรีย์ วิลาวรรณ, ๒๕๔๗, หนา้ ๑๑๑) ตวั อย่าง โคลงพาลีสอนนอ้ ง พาลสี อนสุครพี และองคตเร่อื งความซ่ือสัตย์ ๗๕

เฝ้าแหนแสนเสน่หด์ ้วย ใจจง ธิบดินทร์ปิน่ รฆวงศ์ กา่ ยเกลา้ อย่าคิดจะนทิ รปลง ยาวยืด ว่าสนกุ สุขเกษมเชา้ คา่ คยุ้ ตะกยุ นอน เรืองราม หน่งึ คอยชะลอยเลห่ ์ไท้ ถ่ถี ้อย สิงหนาทอาจไถ่ถาม ตามสัตย์ ทูลพดิ กิจกลความ เนื่องเนือ้ คดตี รง อย่าขานการเบาน้อย โอองค์ นอบนอ้ ม เฝ้าไทอย่าได้อา่ ผดุงอาตม์ อยา่ งแต่งแน่งนอ้ งผจง อยา่ ได้สามผลาม ทีท่ างกลางโรงปลง ณ โรงคัลบนั โดยด้อม คุณคา่ วรรณคดีเรื่องน้ีให้แบบอย่างการปฏิบัติตนของกษัตริย์และข้าราชการ แสดงคา่ นิยมในการเคารพยกย่องกษัตรยิ ์ โคลงพาลสี อนน้องยงั เป็นหลกั ปฏิบัตขิ องฝ่ายชาย เพ่ือให้ เขา้ คกู่ ับกฤษณาสอนน้องคาฉนั ท์ ซง่ึ เปน็ หลักปฏิบัตขิ องฝา่ ยหญิงด้วย ๓.๓.๔ เสือโคคาฉนั ท์ เสือโคคาฉันท์เป็นวรรณคดีคาฉันท์เรื่องแรก นาเค้าเรื่องมาจากปัญญาสชาดก ท่ีมี เนื้อความสาคัญเร่อื งความซื่อสตั ย์ ผ้แู ตง่ พระมหาราชครู ลกั ษณะการแตง่ คาฉันทแ์ ละมกี าพย์ฉบงั และกาพย์สรุ างคนางค์ปนอยู่ด้วย วัตถุประสงค์ในการแต่ง เช่ือกันว่า เพ่ือทดลองใช้ฉันท์แต่งเร่ืองนิทาน โดยมี แกน่ เรอ่ื งเปน็ คติสอนเร่ืองความซื่อสตั ย์ เน้ือเร่ืองย่อ เริ่มด้วยบทไหว้ครู ไหว้เทวดา และสรรเสริญพระเกียรติกษัตริย์ แล้วดาเนินเรื่องว่าเสือแม่ลูกอ่อนและโคนมแม่ลูกอ่อนอยู่ในป่าแห่งหน่ึง วันหนึ่งแม่เสือออกไปหา อาหาร ลูกโคสงสารจึงบอกแม่ให้นมแก่ลูกเสือ ลูกเสือและลูกโคจึงเร่ิมรักกันอย่างพ่ีน้อง แม่เสือ สาบานว่าจะไมท่ าลูกโค แต่แม่เสอื ไมร่ กั ษาคาสัตย์กินแม่โคเสีย ลูกเสือและลูกโคจึงช่วยกันประหาร แม่เสอื แล้วชวนกนั ไปหากินจนพบพระฤๅษีพระฤๅษีเมตตาชุบให้เป็นคน ลูกเสือเป็นพ่ีได้ช่ือว่า พหล วิไชย ลกู โคเปน็ น้องชือ่ วา่ คาวี พระฤๅษีอวยพรและมอบพระขรรค์วิเศษให้ ทั้งสองจึงลาฤๅษีไปเมือง มคธ พระคาวไี ด้ฆ่ายกั ษท์ ี่คอยทาร้ายชาวเมืองน้ันตาย ได้นางสุรสุดา ราชธิดาท้าวมคธ แต่พระคาวี ๗๖

ถวายแดพ่ ระพช่ี ายแล้วออกเดนิ ทางตอ่ ไป ต่างฝ่ายต่างเส่ียงบัวคนละดอก เม่ือไปถึงดมืองร้างเมือง หน่ึงพบกลองใหญ่ตีไม่ดัง ผ่าดูพบนางจันทราผู้ผมหอมธิดาท้าวมัทธราชและนางแก้วเกษร แห่งรม นคร ไดท้ ราบความจากนางว่านกอนิ ทรยี ใ์ หญ่ค่หู นงึ่ บินมากินชาวเมืองตลอดจนพ่อแม่ นางรอดชีวิต ได้ก็เพราะกลองใบนั้น พระคาวีปราบนกอินทรีด้วยพระขรรค์วิเศษและได้นางจันทรเป็นชายา วัน หน่ึงนางจันทรลงสรงในแม่น้า ใส่ผมหอมในผอบแล้วลอยน้าไป ท้าวยศภูมิ ผู้ครองเมืองพันธวิไสย เก็บได้ หลงใหลผมหอมนั้น นางทาสีอาสานานางมาถวาย โดยออกอุบายลวงถามความลับเกี่ยวกับ พระขรรค์จากนางจันทร คร้ันทราบว่าพระคาวีถอดพระชนม์ไว้ในพระขรรค์ จึงนาพระขรรค์ไปเผา ไฟ พระคาวีสลบไป แล้วนางทาสีพานางจันทรไปถวายท้าวยศภูมิ แต่ไม่อาจเข้าใกล้นางได้เพราะ ร้อนเป็นไฟ ด้วยอานาจความภักดีท่ีมีต่อพระคาวี เม่ือพระพหลวิไชยเห็นบัวอธิษฐานเป็นลางร้ายจึง ตามหาร่างพระคาวี และพบพระขรรค์ในกองไฟ มาชาระล้างวางบนองค์พระคาวี พระคาวีพื้นข้ึน แล้ว พากันออกตามหานางจันทรถึงเมืองท้าวยศภูมิ พระพหลวิไชยแปลงเป็นพระฤๅษีอาสาชุบท้าว ยศภูมิให้เป็นหนุ่มแล้วฆ่าเสียเอาพระคาวีออกมาแทนอ้างว่าชุบตัวเป็นหนุ่มได้สาเร็จ พระคาวีได้ อภเิ ษกสมรสกบั นางจนั ทรและไดค้ รองเมอื งพันธไสยสบื มา ตวั อยา่ ง ตอนต้นเรอื่ ง พระฤาษถี ามความเปน็ มาของลกู เสอื ลูกโค โปฎกท้งั สองเสอื โค จรอารัญโญ ประเทศมรรคาบหงึ แถวสถานสานึง โดยบัญชรศรี คลา้ ยคลา้ ยลลี าลถุ ึง นามาสู่สม สานักนกั สิทธิฤๅษี ออกไปดว้ ยพลัน เวลาท่านทอดทฤษฎี อรัญญกิ าอาศรม จึ่งเห็นลกู เสือโคคม สิเนหเต้าตามกนั ดาบศก็ดาลอัศจรรย์ กถ็ ามท้งั สองจตั ุบท คณุ ค่า เสือโคคาฉันท์ เป็นวรรณคดคี าฉนั ท์เรื่องยาวเร่ืองแรก เรื่องน้ีใช้ถ้อยคา สานวนเข้าใจง่าย แม้จะเป็นคาฉันท์ เป็นอิทธิพลให้พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยพระ ราชนพิ นธเ์ ร่ืองคาวี เปน็ บทละคร โดยมเี นื้อความตอ่ จากเรอ่ื งเสอื โคคาฉนั ท์ ๗๗

๓.๓.๕ จนิ ดามณี จินดามณี เชื่อกันว่าเป็นแบบเรียนภาษาไทยเล่มแรก ใช้กันมาตั้งแต่สมัยอยุธยา จนถึงรัตนโกสินทร์รชั กาลท่ี ๕ คาว่า จินดามณี มคี วามหมายว่า แก้วสารพัดนกึ ผู้แตง่ พระโหราธิบดี ลักษณะการแต่ง เปน็ ร้อยแกว้ มตี วั อย่างคาประพันธ์ต่าง ๆ วตั ถุประสงคใ์ นการแตง่ สมเดจ็ พระนารายณโ์ ปรดให้นกั ปราชญ์แตง่ หนงั สือเรยี น ภาษาไทยเพือ่ ไมใ่ ห้เด็กไทยหนั ไปเรียนและไปนบั ถอื ศาสนาครสิ ต์ เนื้อเรื่องย่อ กล่าวถึงอักษรศัพท์ ครอบคลุมเรื่องการใช้สระ พยัญชนะ วรรณยกุ ต์ การแจกลูก การผนั อักษร คาศพั ท์ทีม่ ักเขียนผิด ความหมายของศัพท์ที่ยืมมาจากภาษา บาลี-สนั สกฤต และเขมร ตวั อยา่ งคาท่ใี ช้ ส, ศ, ษ ตัวอย่างคาที่ใช้ไม้ม้วน ไม้มลาย เป็นต้น ด้านบท ประพันธร์ อ้ ยกรอง ได้อธบิ ายโคลง ฉนั ท์ กาพย์ กลอนประเภทต่าง ๆ และกลบท ปรากฏกลบท อยู่ ๖๐ ชนดิ รวมทั้งยกตัวอย่างฉนั ทลกั ษณน์ น้ั ๆ ประกอบดว้ ย ตัวอย่าง สอนเรือ่ งคาท่ีใช้ ส สรรเพชสทั ธรรมแลสง- ฆ ปรเสรฐิ แกน่ สาร สบสตู รสดับนิแลสงั หา- รแลแพสยสตั ยา ดแิ ลสวั ดโิ สภา โกสมุ ภเกสรสมบดั สรุ สทิ ธสิ มภาร เสาสูรยสวรรคแลสุรา ตวั อย่าง สอนเรื่องคาทีใ่ ช้ ศ ไพศาลขศขิ รพิเศศ และศบั ทศรัทธา ศัตรูแลสขุ ศุทธอา ศรภขไศยรัศมี อาศรมศิลแลศวิ า ศรโคตรเศรษฐี อากาศแลพศิ มสลุ ยศศกั ดิอัศวา คุณค่า จินดามณี วรรณคดีแบบเรียนเล่มแรกของไทย แม้จะแต่งข้ึนในสมัยอยุธยา ตอนกลางโดยพระโหราธิบดี ในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แต่ยังคงใช้เป็นแบบเรียน มาจนถึงสมยั รัตนโกสนิ ทร์ มีอิทธิพลทาให้หนงั สอื แบบเรียนไทยในยุคต่อมาหลายเล่มใช้ช่ือตามว่า \"จินดามณี\" เชน่ จนิ ดามณฉี บับความแปลก จินดามณคี ร้ังแผ่นดินพระเจ้าบรมโกศ จินดามณีฉบับ กรมหลวงวงษาธิราชสนิท จินดามณีฉบับพิมพ์ของหมอสมิท และจินดามณีฉบับพิมพ์ของหมอ บรัดเลย์ ๗๘

๓.๓.๖ อนริ ทุ ธคาฉนั ท์ อนิรุทธคาฉันท์ ได้เค้าโครงเรื่องมาจากคัมภีย์มหาภารตะ มีโครงเรื่องสนุกสนาน ได้รับความนิยมควบคู่กับรามเกียรต์ิ เนื้อเรื่องตลอดจนช่ือตัวละครและสถานท่ีมักกล่าวถึงถูกต้อง ตรงกนั กบั ทป่ี รากฏในคัมภรี ์วิษณปุ ุราณะ เรื่องน้ีเช่อื กันว่าเปน็ งานของศรีปราชญ์ แต่งเพอื่ ต้องการ ลบล้างคาสบประมาทของบิดาว่าแต่งคาฉันท์ท่ียากและประณีตไม่ได้ แต่งได้แต่คาโคลง (กุหลาบ มลั ลกิ ะมาส, ๒๕๑๗, หน้า ๘๖) ผแู้ ต่ง ศรีปราชญ์ บตุ รของพระโหราธบิ ดี ลกั ษณะการแตง่ คาฉนั ทแ์ ละคากาพย์ มีรา่ ยปนอยบู่ า้ ง วัตถุประสงค์ในการแต่ง เชื่อกันว่าศรีปราชญ์แต่งแข่งกับเร่ืองสมุทรโฆษคาฉันท์ เพ่ือแสดงความสามารถแตง่ ฉนั ท์เป็นเรื่องยาว เน้ือเร่ืองย่อ เรื่องอนิรุทธได้มาจากคัมภีร์วิษณุปุราณะและมหาภารตะ มีเน้ือ เรื่องคล้ายสมุทรโฆษ คือมีการอุ้มสมระหว่างพระอนิรุทธกับนางอุษา ซึ่งเป็นธิดายักษ์ โดยพระไทร (สมุทรโฆษอมุ้ สมโดยเทวดาท่ีสถติ อยทู่ ่ตี ้นโพธิ์) หลังจากอมุ้ สมทั้งสองต้องพรากจากกัน แต่ในที่สุด ไดพ้ บกนั และครองรกั กันสืบมา ตัวอย่าง ตอนพระอนริ ุทธเขา้ ประพาสป่า บัดน้ันสมเดจ็ หลาน กฤษณเทพจักรี ราลกึ พนาลี สุขรมยกรฑี า อยั กาธิเบศร์ลา เสด็จไปบงั คมพระ พนพฤกษศขี ร จกั ไปพนาทวา คชสีหองคอ์ ร สตั วสมสกอหลาย เถอ่ื นถา้ พนาลี กรบุษปเรืองราย กวางทรายรมั่งมร ภุมรภี มรมวั มัจฉว่ายหว่ันเห็นตัว ชมสระสโรชา กระฉองชลธพี ราย ขจรคนธอบอาย มังกรพิมทองคล้าย ฉนองเฉนียรแลแหวกบัว คณุ คา่ อนริ ทุ ธคาฉันท์ มกี ระบวนคาดีเดน่ กวยี คุ หลงั ใช้เปน็ แบบอย่างในการแต่ง ฉันท์ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ยังทรงใช้ท่วงทานองแต่งของอนิรุทธ์คาฉันท์ในการนิพนธ์สมุทร โฆษคาฉันท์ตอนจบ เช่นบทชมจตุรงคเสนา เรื่องนี้ยังมีลักษณะแหวกธรรมเนียมนิยมคือไม่มีบท ไหว้ครู กรมพระยาดารงราชานุภาพ (อนริ ทุ ธคาฉนั ท์, ๒๔๖๗, หนา้ คานา) ทรงสนั นิษฐานวา่ ๗๙

“พระมหาราชครูเป็นกวีมีชื่อเสียงเป็นคนสาคัญในรัชกาลสมเด็จพระนารายน์ มหาราช แต่งหนงั สือเร่ืองสมทุ โฆษข้นึ เป็นคาฉนั ท์ ศรปี ราชญ์เป็นบตุ รมีอุปนสิ ยั เป็นอนชุ าตในทางกวี อยู่ เห็นบดิ าแตง่ ฉนั ทก์ ล็ องแตง่ บา้ ง เมื่อบดิ าเห็นกล่าวบรภิ าษวา่ ยังหนา้ ศรปี ราชญเ์ ผยอจะแตง่ ฉันท์ กบั เขาดว้ ย ศรีปราชญ์ขัดใจจึงพยายามแต่งฉันท์อนิรุทธเรื่องนี้จนสาเร็จ แต่ไม่แต่งคานมัสการตาม ประเพณีแต่งบทกลอนเป็นเรื่องราวซึ่งกวีอ่ืน ๆ ประพฤติกันเป็นแบบแผนมาแต่ก่อน เพราะไม่ อยากจะกลา่ วคาเคารพบดิ า หนังสือฉันท์อนริ ทุ ธเร่อื งนี้จึงมิไดม้ ีคานมัสการข้างตน้ ” ความดีเด่นของเร่ืองอนิรุทธคาฉันท์ยังมักนาไปเปรียบเทียบกับเร่ืองอุณรุทในสมัย รัชกาลท่ี ๑ ด้วย ๓.๓.๗ กาพยห์ ่อโคลง กาพย์ห่อโคลง ต้นฉบับเป็นสมุดดาเขียนเส้นรง เป็นวรรณคดีที่ใช้รูปแบบคา ประพันธ์ที่แปลกใหม่ แต่งเป็นเร่ืองราว และเป็นแบบอย่างการแต่งกาพย์ห่อโคลงในยุคต่อมา เช่น กาพย์ห่อโคลงของเจา้ ฟ้ากงุ้ ผู้แตง่ พระศรมี โหสถ ลักษณะการแต่ง กาพย์ยานีสลับกับโคลงสี่สุภาพบท เน้ือความกาพย์กับโคลง คล้ายคลึงกัน วัตถปุ ระสงคใ์ นการแต่ง บรรยายสภาพความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมประเพณี ในเชิงสดุดชี มบ้านเมืองสมัยสมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช เน้ือเรือ่ งย่อ บรรยายถงึ ชีวิตความเปน็ อยู่ ความเจรญิ รุ่งเรอื ง การรื่นเริงของชาว อยุธยา เม่ือมีมหรสพหนุ่มสาวพากันแต่งตัวสวยงามออกเที่ยวเตร่และเก้ียวพาราสีกัน โดยรวม กล่าวถงึ วิถชี วี ติ ของชาวอยุธยาในสมัยสมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช เนอ้ื หาตอนปลายอาจหายไป ตัวอย่าง บทเกยี้ วพาราสี ฉาบฉมอมชราบชู บนิ ว่วี ่สู ่ภู มุ รี โกสมุ หมุ้ อบั ศรี วารีเพรยี วเหี่ยวดูดาย บนิ บน ฉาบฉมอมอ้มู โอช ร่อนไม้ สมสภู่ ูมรรี น โรยร่วง โกมทุ อุดดมคนธ เปลี่ยวแลว้ ดดู าย เห่ียวหายมลายรศไร้ ๘๐

ทรามสงวนด่วนเดาถนดั บดุจสตั ว์กัดกลิน่ อาย รกั แกว้ แลว้ ฤาคลาย บผายจากพรากนฤมล อารมณ์ ทรามสงวนดว่ นขึ้งขุ่น ชราบเหล้น ใช่สตั วลัดแลงชม สมอยู่ รักแล้วแก้วเกลียวกลม หา่ งรา้ งถึงยาม บบา่ ยคลายคลาเวน้ เช้อื ชาตรีถถ่ี นอมขน เสยี ชนมสู่อยปู่ ลดไป ตัวเรียมเทียมจามรี สงวนขน ข้องหนามทา่ มกลางคน ไล่ลอ้ ม น้องนาฏ เรยี มเทยี มจามรรี ู้ ออกพน้ คงคืน ข้องหนามทา่ มกลางคน เสยี ชีวิตรบคดิ ตน อยูเ่ ปลอ้ื งเคืองคนออ้ ม คุณค่า กาพย์ห่อโคลงฉบับน้ีถือว่าเป็นฉบับครู เป็นตัวอย่างของกวีรุ่นหลังในการ แตง่ กาพยห์ อ่ โคลงขนาดยาว มสี านวนโวหารทไี่ พเราะ เนื้อหาทาให้ไดท้ ราบถึงสภาพบ้านเมืองสมัย สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราชอยา่ งดี ๓.๓.๘ โคลงอกั ษรสามหมู่ โคลงอักษรสามหมู่ แสดงถึงความสามารถในการใช้คาของกวี มีลักษณะเป็นโคลง กลบท เชื่อกันว่า บางส่วนหายไปเพราะเนื้อเร่ืองไม่ติดติดกัน มีเหลืออยู่ ๒๙ บท บางตาราเรียกว่า “โคลงตรีพิธประดับ” ผู้แต่ง พระศรีมโหสถ ลกั ษณะการแต่ง โคลงกลบท โดยเลน่ กับเสยี งวรรณยกุ ต์ และอักษร วัตถุประสงค์ในการแต่ง มุ่งให้เกิดความไพเราะในรสของคาและการเล่นเสียง เพื่อแสดงฝมี อื ในการแต่งคาประพนั ธ์ เน้อื เรอ่ื งยอ่ เนือ้ ความไมต่ ดิ ต่อกนั ตอนต้นเปน็ เรอื่ งการรบทีเ่ ชยี งใหม่ ตอนหลงั ชมนกชมไม้ ชมธรรมชาติ ตัวอย่าง โคลงอักษรสามหมู่ พลพฤนทจ์ นจน่ จ้น ทวนทวิ เหินโหโ่ ยธากริว กรว่ิ กร้ิว ๘๑

พัวพ้องพ่องพองปลิว เปลววาบ โอโอ่โอ้ฬารหล้วิ ลีล่ า้ ฦๅหาย ศรแผลง เสนาสูสู่สู้ แยง่ แย้ง ยิ่งคา่ ยทลายเมืองแยง ฤทธิร์ บี รุกรน้ รน่ รนแรง รวบเร้าเอามา ลวงล่วงล้วงวงั แว้ง คุณค่า โคลงอักษรสามหมู่เป็นวรรณคดีเล่มแรกที่แต่งเป็นกลบทตลอดทั้งเรื่อง แม้จะมีการเลน่ เสียงและอักษร แต่โดยรวมแล้วยังสื่อความได้ โชติรส มณีใส (๒๕๕๙, หน้า ๓๔๔) กลา่ วถงึ ความดเี ด่นของโคลงอกั ษรสามหมู่ไว้ว่า “วรรณกรรมเร่ืองนี้นับว่ามีคุณสมบัติเด่นทางด้าน ศิลปะแห่งฉันทลกั ษณถ์ ึง ๓ ประการ กลา่ วคอื เป็นวรรณกรรมเรอ่ื งแรกท่แี ต่งด้วยกลบทตลอดเรื่อง ใช้กลบทเพียงชนิดเดียว และใช้กลบทชนิดบังคับวรรณยุกต์ซ่ึงปรากฏอย่างต่อเน่ืองจริงจังเป็นครั้ง แรก” จะเหน็ ว่า กวจี ะต้องมคี วามสามารถในเชงิ กวแี ละแม่นยาฉนั ทลกั ษณ์อย่างย่ิง ๓.๓.๙ คาฉันทด์ ุษฎสี งั เวยกล่อมช้าง คาฉันท์ดุษฎีสังเวยกล่อมช้างของขุนเทพกระวีน้ี ถือว่าเป็นคาฉันท์กล่อมช้างท่ี เกา่ แกท่ ส่ี ุด สนั นิษฐานว่า ขุนเทพกระวี แตง่ ฉนั ท์เรื่องน้ีในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เพราะ ปรากฏว่าในรัชกาลของพระองค์ได้ช้างเผือกมาสู่พระบรมโพธิสมภารมาหน่ึงเชือก ช่ือว่า “พระ บรมคเชนทรฉัททันต์” และมีงานสมโภชเป็นงานใหญ่ ฉันท์ของขุนเทพกระวีนี้ มีศัพท์เขมรและศัพท์โบราณอยู่มาก นายธนิต อยู่โพธิ์ กลา่ วไวว้ า่ ฉันท์กล่อมช้างมีความหลายตอน ตอนหนึ่งๆ เรียกว่า “ลา” ฉันท์กล่อมช้างจบหนึ่งมี ๔ ลาคือ ลา ๑ ขอพร ลา ๒ ลาไพร ลา ๓ ชมเมือง ลา ๔ สอนชา้ ง ฉันท์กล่อมช้างในสมัยรัตนโกสินทร์ ต้ังแต่รัชกาลที่ ๑ เป็นต้นมา มีกาพย์ขับไม้ เพ่ิมขนึ้ จึงเปน็ ๕ ตอน ๆ หน่งึ เรยี กว่า “แผดหนง่ึ ” (อา่ นว่า ผะแด ภาษาเขมร แปลวา่ ดา) จงึ เปน็ แผด ๑ ขอพร แผด ๒ ชมไพร แผด ๓ ชมเมือง ๘๒

แผด ๔ สอนชา้ ง แผด ๕ คชาภรณ์ (กล่าวถึงเคร่ืองประดับช้าง) (กุหลาบ มัลลิกะมาศ, ๒๕๑๗, หน้า ๘๒-๘๓) ผแู้ ตง่ ขนุ เทพกระวี ลกั ษณะการแตง่ คาฉนั ท์ กาพยย์ านี และกาพยฉ์ บงั วัตถปุ ระสงค์ในการแตง่ ใชส้ วดกลอ่ มในงานพธิ ีสมโภชชา้ งพระทนี่ ่ัง เนื้อเรื่องย่อ นมัสการเทพเจ้าตามลัทธิศาสนาพราหมณ์ไหว้เทพเจ้า ๓ องค์ คือ พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหม บางสานวนมเี ทพเจ้าเพ่ิมเติม คือ พระพนัสบดี อันเป็นเจ้า ป่าเข้าไปแทรกของขุนเทพกระวี มีลาขอช้าง และลาไพร ซ่ึงส่วนมากข้ึนด้นด้วย “อย่าพ่อ” หรือ “อย่าแม่” สุดแต่ว่าช้างสาคัญจะเป็นช้างพัง ช้างพลาย ลาชมเมืองคือกล่าวชมว่า บ้านเมืองน่าอยู่ กวา่ ป่า ลาสอนช้าง เปน็ ตอนสอนอยา่ งปลอบประโลมว่าอย่าดุรา้ ย จงเชื่อและรกั หมอครวญ ตวั อยา่ งกล่อมชา้ ง ฉันท์ ๑๒ พระพนมครบโคม นบุ พติ รศอขจี สดับศพั ทปกั ษี บบิ าเรอหสบไถง เผลียงอรบุ านักขยล ดารนลศัพทรไน ภรู โคกเรไร ไชยนุชกาเชวง เราะหพนเราะหพาทย เราะหพิศณุเสนงไชย เราะหเสนงสครใด บิบาเรอหนุดสั ผธม คุณค่า ฉันท์ดุษฎีสังเวยกล่อมช้างนับเป็นฉันท์กล่อมช้างเล่มแรกของวรรณคดี ประเภทน้ี การกล่อมช้างเราได้จากเขมร เขมรได้จากพราหมณ์อีกทีหนึ่ง ฉันท์กล่อมช้างของขุนเทพ กระวี จึงมีภาษาเขมรปนอยู่มาก ทาให้เข้าใจความหมายได้ยาก (เปล้ือง ณ นคร, ๒๕๔๕, หน้า ๑๓๙-๑๔๐) ๓.๔ กวแี ละวรรณคดีสาคัญสมยั อยุธยาตอนปลาย กวีและวรรณคดีสาคญั ในสมัยอยธุ ยาตอนกลาง ท่ีปรากฏหลักฐานมาจนถงึ ปัจจุบัน มีดงั น้ี สมเด็จพระเจ้าอยหู่ วั บรมโกศ ได้แก่ โคลงชะลอพระพุทธไสยาสน์ เจ้าฟ้าอภัย ได้แก่ โคลงนริ าศเจา้ ฟ้าอภยั เจ้าฟ้าธรรมธเิ บศรไชยเชษฐ์สรุ ิยวงศ์ (เจ้าฟา้ กุ้ง) ไดแ้ ก่ ๑) นันโทปนันทสตู รคาหลวง ๘๓

๒) พระมาลยั คาหลวง ๓) กาพยเ์ ห่เรอื ๔) กาพย์หอ่ โคลงประพาสธารทองแดง ๕) กาพยห์ อ่ โคลงนริ าศธารโศก ๖) เพลงยาวเจา้ ฟ้าธรรมธิเบศร เจา้ ฟา้ กุณฑล ได้แก่ บทละครเรอ่ื งดาหลงั เจา้ ฟา้ มงกุฎ ได้แก่ บทละครเร่อื งอิเหนา พระมหานาควดั ทา่ ทราย ไดแ้ ก่ ๑) ปุณโณวาทคาฉนั ท์ ๒) โคลงนิราศพระบาท หลวงศรีปรชี า ไดแ้ ก่ กลบทสิริวิบุลกิติ ไม่ทราบผแู้ ตง่ ได้แก่ บทละครนอก ๑๔ เรื่อง ในทน่ี ี้ จะขออธิบายวรรณคดสี าคัญในสมยั น้ีเพียงบางเร่ืองโดยสังเขป ดงั นี้ ๓.๔.๑ โคลงชะลอพระพุทธไสยาสน์ โคลงชะลอพระพทุ ธไสยาสน์ จัดเปน็ วรรณคดียอพระเกยี รติ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บรมโกศทรงพระราชนิพนธ์ ในขณะทท่ี รงเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในรัชกาลสมเด็จพระ เจ้าอย่หู ัวทา้ ยสระ (ปรียา หริ ญั ประดษิ ฐ,์ ๒๕๕๙, หน้า ๓-๓๕) ผู้แต่ง สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั บรมโกศ ลกั ษณะการแตง่ โคลงสสี่ ภุ าพจานวน ๖๙ บท วตั ถปุ ระสงคใ์ นการแต่ง บันทึกเหตุการณ์และวิธีการท่ีสามารถชะลอพระพุทธ ไสยาสน์ เน้ือเร่อื งย่อ กลา่ วถึงเหตกุ ารณ์วา่ นา้ ไดก้ ัดเซาะเข่ือนด้านตะวนั ออกเข้ามาจนเขา้ พระวหิ ารพระพทุ ธไสยาสน์ ซง่ึ เป็นทีเ่ คารพของประชาชน ทางวัดเองแก้ไขไม่ได้ผล พระอธิการจึง รอ้ งเรยี นมายังพระมหากษัตริย์ จงึ มีดารัสสง่ั ใหพ้ ระราชสงครามจัดการชลอพระใหพ้ ้นน้า ตัวอย่างตอนชะลอพระพุทธไสยาสน์ ขอพรพระพุทธรูปเรอื้ ง จอมตรยิ ์ ขอจงภดุ าธาร ทรงทวปี อนั ผจญพลมารดาล พา่ ยแพ้ เรอื งฤทธิปลิดไปลแ่ ปล้ ปราบทา้ วทกุ สถาน ๘๔

เชอื กใหญใ่ ส่รอกรอ้ ย เรยี งกระสนั กวา้ นชอ่ ชลอผันขัน ยึดยื้อ ลวดหนังรงั้ พัลวัน พวนเพิ่ม โห่โหมประโคมอึงอ้ือ ลากเลา้ ประโคมไป คุณค่า วรรณคดีเร่ืองน้ี เป็นวรรณคดีเร่ืองแรกที่กล่าวถึงการชะลอพระ โดยใช้ รูปแบบร้อยกรองบันทึกประวัติศาสตร์ทางศาสนา ใช้ภาษาโดดเด่น คาโคลงนับว่ามีสานวนโวหาร เชิงกวีท่ีดี กวีใช้คาส่ืออารมณ์ความรู้สึก ทาให้เกิดจินตภาพ นอกจากน้ี ยังสะท้อนให้เห็นความ เล่อื มใสในพระพทุ ธศาสนาของคนยุคนด้ี ้วย ๓.๔.๒ นันโทปนันทสูตรคาหลวง นนั โทปนันทสตู รคาหลวง เป็นหนังสือทแ่ี ต่งขน้ึ ในสมัยอยธุ ยา เมอื่ ราว พ.ศ. ๒๒๗๙ เปน็ วรรณกรรมทางพระพทุ ธศาสนา ที่ทรงแปลมาจากเรื่องนันโทปนันทปกรณัม ในคัมภีร์ฑีฆนิกาย สีลขนั ธ์นอกสังคายนา ซ่ึงพระมหาพุทธสิริเถระ ภิกษุชาวลังการจนาไว้เป็นภาษาบาลี เจ้าฟ้าธรรม ธเิ บศรไชยเชษฐสรุ ิยวงษหรือเจา้ ฟา้ กุ้ง ทรงนิพนธเ์ รื่องนนั โทปนันทสตู รคาหลวง ขณะทีท่ รงผนวชอยู่ ณ วดั โคกแสง มพี ระนามฉายาว่า “สิรปิ าโล” โดยทรงเลียนแบบมหาชาตคิ าหลวง ซง่ึ มอี ายเุ ก่ากวา่ ผแู้ ต่ง เจา้ ฟา้ ธรรมธิเบศร์ ลกั ษณะการแตง่ ร่ายยาว ต้ังคาบาลแี ลว้ แปลเป็นภาษาไทยสลับกนั ไปในรปู ของ คาหลวง ตอนทา้ ยเป็นโคลงกระทู้ ๒ บท วัตถุประสงค์ในการแต่ง มีข้อสันนิษฐานหลายอย่าง เช่น นิพนธ์เพื่อแสดงถึง ความสานึกผิดท่ีทรงใช้ดาบฟันพระภิกษุเจ้าฟ้านเรนทรพิทักษ์ เพ่ือสรรเสริญพระเดชานุภาพ พระพุทธเจ้าเพอ่ื เผยแผค่ าสง่ั สอนทางพระพุทธศาสนา และก่อใหเ้ กิดศรัทธาในพทุ ธศาสนา เนือ้ เรอื่ งย่อ เร่ิมต้นนมัสการพระรัตนตรัย บอกนามผู้แต่งว่า “สิริปาโล” จากนั้น กล่าวถึงเน้ือเรื่องความโดยสรุปว่า พระพุทธเจ้าประทับท่ีเชตวันมหาวิหาร เศรษฐีอนาถบิณฑิก อาราธนาไปรับบิณฑบาตร พระพุทธเจ้าทรงทราบด้วยญาณว่า พระยานาค ช่ือนันโทปะนันทะ ประกอบด้วยทิฐิ พระพุทธเจ้าทรงต้องการจะทรมานคือทาให้เลิกยึดถือในความถือม่ันเดิม ให้อยู่ ในสมั มนาทฐิ จิ ึงโปรดใหพ้ ระโมคคัลลาน์เป็นผู้ทรมาน ส่วนพระองค์และพระอรหันต์ ๕๐ รูป เหาะ ข้ามเศยี รพระยานาคไป พระยานาคโกรธแค้นมากจงึ ไปยังเขาพระสุเมรุเนรมิตกายให้ใหญ่โตบดบัง ไปถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แต่พระโมคคัลลาน์แสดงฤทธ์ิให้อัศจรรย์ย่ิงกว่า จนในที่สุดพระยานาค ยอมรบั วา่ ตนพ่ายแพ้ พระโมคคลั ลาน์จึงนาตวั ไปเฝ้าพระพุทธเจา้ พระพุทธเจา้ ประทานศีลใหร้ ักษา ๘๕

แล้วจึงเสด็จไปรับบาตรทบ่ี ้านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ตามที่ทรงรับนิมนต์ไว้ ตอนท้ายเรื่องบอกนามผู้ แตง่ อกี ครง้ั ตัวอยา่ ง ตอนพญานาคนันโทปนันทด์ ูหมนิ่ พระพุทธองค์ แม้ในกาลวันน้ัน อันว่า นันโทปนันทนาคราช ก็กล่าวคาวิปลาศนาน กอปรด้วย มฤจฉาทฤษฎีเป็น วลีลามกย่ิงนัก กมีลักษณะดั่งนี้ อันว่าพวกชีสรมณ อันโกนสีสะ เหล่าน้ีไส้ ย่อมเทาไปสู่เทวา อันอยู่ดาวดึงษาสถาน กมาเหนือพิมานแห่งเรา แม้น จกลบั เทาเมืองชน กข้ามไปเบื้องบนปราสาท แห่งอาตมน้ีหลายวาร ตั้งแต่กาลวันน้ี ไป อาตมบมิให้สรมณา สู่เทวาโลกาทั้งหลาย อันเรียรายรัชทุลี อันมีในฝ่าบาทา แห่งสรมณาอนั อาเกียรณ แลไปเหนอื เศียรแหง่ อาตมภาพน้ี แล คุณค่า นนั โทปนันทสตู รคาหลวง เปน็ เรื่องแสดงความศรัทธาในพระพุทธศาสนา ภาษาท่ีใชเ้ ปน็ คาศัพทส์ ูง เปน็ ภาษาบาลี สันสกฤต เขมร และมีการแผลงคาอย่างไพเราะ เป็นเร่ือง แต่งดใี นเชิงกวีและกาพย์ถ้อยคา ผ้แู ต่งมคี วามรอบรู้ทางอักษรศาสตร์เป็นอย่างดี แต่เน้ือเร่ืองไม่ได้ รับความนยิ มเท่ามหาชาติ หรือแพรห่ ลายเท่า ทาให้ประชาชนนิยมน้อยกว่ามหาชาติคาหลวง (สุภา ฟกั ข้อง, ๒๕๓๐) ๓.๔.๓ พระมาลยั คาหลวง พระมาลัยคาหลวง เปน็ วรรณคดีศาสนาอีกเรื่องท่ีเจ้าฟ้ากุ้งนิพนธ์ วรรณคดีเร่ืองนี้ มีเค้าเดิมเป็นภาษาบาลี ชื่อ “มาเลยยฺสูตร” เข้าใจว่าภิกษุชาวลังกาเป็นผู้แต่ง ต่อมาภิกษุชาว เชียงใหม่ชื่อ “พุทธวิลาส” นามาแต่งขยายความให้พิสดาร เรียกช่ือใหม่ว่า “ฎีกามาลัย” เป็น วรรณกรรมพุทธศาสนามหายาน พระมาลัยคาหลวง เป็นวรรณคดีท่ีมีเนื้อหาคล้ายกับไตรภูมิพระ รว่ ง เพราะกล่าวถงึ สวรรค์ นรก บาปบุญ (ปรยี า หิรญั ประดษิ ฐ,์ ๒๕๕๙, หนา้ ๓-๓๘) ผแู้ ตง่ เจ้าฟ้าธรรมธเิ บศร์ ลักษณะการแต่ง ใช้ร่ายสุภาพ บางตอนคล้ายกาพย์บาลี มีคาถาส้ัน ๆ แทรกไว้ หน้าบท ทานองแต่ง คล้ายกาพยม์ หาชาติ ตอนท้ายเป็นโคลงส่ีสุภาพ วตั ถปุ ระสงค์ในการแต่ง เพือ่ ให้เกิดอานิสงสไ์ ดพ้ บพระศรอี าริยเมตไตรย เน้ือเร่ืองย่อ เร่ิมต้นนมสั การพระรัตนตรยั พระมาลัยเถระเสด็จจากการไปโปรด สัตว์นรก ต่อมาได้พบชายยากจนคนหน่ึงถวายดอกบัว ๓ ดอก ทรงรับไว้แล้วตรึกตรองดูว่า จะนา ดอกบัวน้ีไปเป็นพุทธบูชาที่ใดจึงจะเหมาะ ในที่สุด ก็ตกลงเหาะไปบนสวรรค์ นาดอกบัวไปผูกพระ จุฬามณีเจดีย์ ไดพ้ บพระอินทร์ จงึ ตรสั ถามพระอนิ ทร์ว่า ผมู้ บี ญุ ญาธิการแล้ว เหตใุ ดจงึ ยังบชู าเจดีย์ ๘๖

นอ้ี ยู่ พระอนิ ทร์ทรงตอบ เพ่อื บาเพ็ญความดใี ห้ย่ิงขนึ้ ไป แล้วตรสั เลา่ ถึงเทวดาทั้งหมด ที่ได้ทาความ ดีอันใดไว้บ้าง จึงได้มาเสวยสุขในสวรรค์ ครั้นแล้ว พระศรีอาริยเมตไตรยก็ได้เสด็จมายังบริเวณน้ัน การทาสกั การะพระเจดยี ์ได้โปรดเทศนาและได้สง่ ข้อความให้ประกาศแก่ชาวโลกว่า ผู้ใดใคร่เกิดทัน ศาสนาของพระองค์ ให้มาทาความดีต่าง ๆ เป็นต้นว่า ให้ฟังเทศมหาชาติคาถาพันให้จบในวัน เดียวกนั เป็นต้น พระมาลัยไดส้ ดบั พระธรรมเทศนาแลว้ ก็นาขอ้ ความมาแถลงแก่ชาวชมพูทวีป ฝา่ ย ชายที่ถวายดอกบัว เมอื่ สิ้นชวี ิตไปเกดิ บนสวรรค์ช้ันดาวดงึ ส์ ช่ือ “อบุ ลเทวันทร์” จะมีดอกบวั รองรับ ทกุ กา้ วทย่ี ่างไป ตวั อยา่ ง ตอน พระอินทรก์ ลา่ วตอบพระมาลยั เรื่องทาบญุ ภนฺเต เทวราชาก็บัณฑูร ว่าอรมสุรสรพสรรพ์ มาช่วยกันก่อเก้ือ กุศลเพื่อ ปรารถนาใน ภพหน้าสืบสกนธ์ ให้ได้ช้ันบนย่ิงขึ้น กว่าพ้ืนชั้นน้ี อินทร์จึงช้ีกุศล เทพลางตนบาเพ็ญ เม่ือยังเป็นมนุสฺสา ทากุศลน้อยนัก ครั้นดลอรรถเทวฐาน อยุมินานม้วยมุด ผลบุญสุดสิ้นไป ขออุปไมยถวายบพิตร ยังมีทลิทหน่ึงเล่า มีแต่ ข้าวเปลือกปิด ทนานหน่ึงนิดเดียวไซร้ มิได้ไถหว่านพืชน์ ให้ยาวยืดสืบสร้าง บดั เปล้ืองปล่าวเปล่าหมด ชายรันทดทวยถวลิ มทิ ากสนิ วานชิ ไซร้ ทรัพย์จะสืบส้อง สุดแต่จะพ้องพร่าสิ้น ดุจเทวินทร์บุญน้อย สุดส้ินสร้อยเศร้าโศก ด้วยวิโยคสุขา มอี ุปมาดั่งชายน้ัน ตัวอย่าง ตอนกล่าวถึงความสุขของมนุษย์ และความอุดมของธัญญาหารสมัย พระศรีอารยิ ์ว่า ฝ่ายฝุงมนุษย์หรรษา ภิรมยานิจกาล ชวนกันผสานดุริยวงค์ โพนเพลงพลางพิณ พาทย์ ฆ้องกลองฆาฏครนื้ เครง คีตบรรเลงเพลงไฉน ปี่แก้วไวเสยี งแว่ว ดีดถงึ แล้ว ดนตรี ทกุ ราตรีทิวาวาร ระเบงบรรพ์รารอ่ น โคลงกาพย์กลอนทานุก เล่นเป็นสุข นิรันดร์ อีกธัญโภชนสาลี ตกปัถพีเมล็ดเดียว ออกขึ้นเขียวชอ่า แตกพันลาหลาย หน่อ เนื่องเป็นกลถึงพัน ต้นหนึ่งน้ันพันรวง ได้เมล็ดตวงธัญญัน สองทะนานพัน พูนเพ็ญ คุณค่า วรรณคดีเรือ่ งน้ีสะทอ้ นใหเ้ หน็ อทิ ธพิ ลในเรอื่ งความเชอื่ ในโลกยคุ พระศรอี า ริย์ ช่วยส่งเสริมในเรื่องการฟังเทศน์มหาชาติ เพราะเนื้อความกล่าวไว้ว่า “หากผู้ใดปรารถนาจะไป เกิดในยุคพระศรีอาริยเมตไตรย จะต้องฟังเทศน์มหาชาติให้จบในวันเดียว” การฟังเทศน์มหาชาติ ให้จบวันดียวจะได้พบพระศรีอาริย์ คงมาจากเร่ืองพระมาลัยคาหลวง วรรณคดีเร่ืองน้ี สนับสนุน ๘๗

ความเชือ่ เรอื่ งโลกนโี้ ลกหนา้ การเร่งสะสมบญุ บารมีเพื่อจะได้ไปเกิดและเสวยสุขในยุคพระศรีอาริย์ ซ่ึงเป็นโลกในอุดมคติ ปราศจากความทุกข์ทั้งปวง มนุษย์จึงทาบุญกุศลต่าง ๆ เช่น ทาทาน สร้าง อโุ บสถ สรา้ งพระพุทธรปู ฯลฯ ดา้ นการใช้ภาษา พระมาลยั คาหลวงใช้ถ้อยคาสานวนง่าย ราบเรียบ และอ่านง่ายกว่านันโทปนันทสูตรคาหลวง คนจึงนิยมและรู้จักมากกว่านันโทปนันทสูตรคาหลวง (สุภา ฟักขอ้ ง, ๒๕๓๐) ๓.๔.๔ กาพยเ์ ห่เรอื กาพย์เห่เรือเป็นวรรณคดีท่ีใช้ในงานพิธี ในการเสด็จโดยกระบวนเรือหลวง หรือ กระบวนพยุหยาตราชลมารค เจา้ ฟ้ากงุ้ นพิ นธ์ไวใ้ นรัชกาลพระเจ้าอยหู่ วั บรมโกศ ผแู้ ต่ง เจา้ ฟ้าธรรมธเิ บศร์ ลักษณะคาประพันธ์ แต่งเป็นกาพย์ห่อโคลง มีโคลงส่ีสุภาพนา ๑ บท เรียกว่าเกร่นิ เห่ และตามดว้ ยกาพยย์ านี ๑๑ พรรณนาเนื้อความโดยไมจ่ ากดั จานวนบท จุดประสงค์ในการแต่ง ใช้เห่เรือเล่นในคราวพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเสด็จพระราช ดาเนนิ ทางชลมารคไปนมัสการและสมโภชพระพุทธบาท จังหวดั สระบรุ ี เน้ือเร่อื งย่อ กล่าวถึงขบวนพยหุ ยาตราทางชลมารค มที ง้ั หมด ๔ ตอน คือ ๑) เห่ชมเรือกระยวน ซงึ่ ประกอบด้วยเรือพระท่ีนั่งก่ิง และเรือที่มีโขนเรือ เป็นรูปสตั ว์ต่าง ๆ คือ เรอื ครฑุ ยุดนาค เรือไกรสรมขุ เรือสมรรถชัย เรือสุวรรณหงษ์ เรือชัย เรือคช สหี ์ เรอื ม้า เรือสงิ ห์ เรอื นาคา (วาสกุ รี) เรือมังกร เรอื เลยี งผา เรืออนิ ทรี ๒) เหช่ มปลา กล่าวพรรณนาชมปลาต่าง ๆ เช่น ปลานวลจนั ทร์ คางเบือน ตะเพียน กระแห แก้มช้า ๓) เหช่ มไม้ เม่ือเรอื แล่นเลยี บชายฝ่ัง ชมไม้ที่เหน็ ตามชายฝ่ัง เช่น นางแย้ม จาปา ประยงค์ พดุ จีบ พกิ ุล สุกรม สายหยดุ พุทธชาด ๔) เห่ชมนก เมื่อใกล้พลบค่าเห็นนกบินกลับรัง ก็ชมนกต่าง ๆ เช่น นกยูง สร้อยทอง สาลิกา นางนวล แก้ว ไก่ฟ้า แขกเต้า จบลงด้วยบทเห่ครวญ เป็นการคร่าครวญ คิดถึง นางที่เป็นทร่ี ักในยามค่าคนื ตัวอย่าง บทชมไม้ เรอื ชายชมม่ิงไม้ ริมทา่ ไสวหลากหลายพรรณ เพลด็ ดอกออกแกมกัน สง่ กลนิ่ เกลย้ี งเพยี งกลน่ิ สมร บานแสล้มแยม้ เกสร ชมดวงพวงนางแยม้ แย้มโอษฐย้ิมพรม้ิ พรายงาม คดิ ความยามบังอร ๘๘

จาปาหนาแน่นเน่อื ง คลี่กลีบเหลืองเรอื งอร่าม คิดคนงึ ถงึ นงราม ผวิ เหลืองกว่าจาปาทอง ระยา้ ยอ้ ยห้อยพวงกรอง ประยงคท์ รงพวงห้อย เจ้าแขวนไวใ้ หเ้ รียมชม เหมือนอบุ ะนวลลออง พกิ ลุ แกมแซมสกุ รม เหมือนกล่นิ น้องตอ้ งติดใจ พดุ จบี กลีบแสลม้ หอมชวยรวยตามลม คณุ ค่า กาพยเ์ ห่เรือของเจ้าฟา้ ธรรมธิเบศร์เป็นกาพย์เห่ที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่ค้นพบ มีความดีเด่นในด้านการใช้ภาษาที่ทาให้เกิดจินตภาพ ให้อารมณ์ความรู้สึก การใช้การอุปมา และ การเล่นคา กาพย์เห่เรือนี้ ยังมีลักษณะเด่นตรงที่กวีใช้ธรรมชาติเป็นตัวดาเนินเรื่องหลักในการ กล่าวครา่ ครวญถึงนาง ในทุกบทจะกลา่ วถงึ ธรรมชาติและเชื่อมโยงกับการคร่าครวญ กวียังจัดแบ่ง เน้ือหาตามประเภทหรือชนิดของธรรมชาติท่ีเหมือนกันให้เรียงบทต่อเนื่องกัน เช่น บทชมนกก็จะ กล่าวถงึ แต่นก บทชมไม้จะกล่าวถงึ แตพ่ ันธไ์ุ ม้ ซ่งึ เป็นลักษณะเดน่ ของวรรณคดีเรือ่ งน้ี และยงั ทาให้ เห็นถึงความรู้ของกวีและความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติในสมัยน้ันด้วย นอกจากน้ี เน้ือหายัง สะท้อนให้เห็นประเพณีการเห่เรือ ให้ความรู้เร่ืองขบวนพยุหยาตราทางชลมารค วิถีชีวิตคนไทยที่ สญั จรทางนา้ ตลอดจนค่านิยม ความเชอื่ ต่าง ๆ กาพย์เห่เรือของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ ยังมีอิทธิพลทาให้เกิดกาพย์เห่เรือในยุคต่อ ๆ มา เช่น กาพย์เห่เรือพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย หรือที่รู้จักกันคือ กาพย์เห่ชมเคร่ืองคาวหวาน กาพย์เห่เรือพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยหู่ วั (ชมสวน ชมนก ชมไม้ และชมโฉม) กาพย์เห่เรือ พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระ มงกุฎเกล้าเจ้าอยหู่ วั (ชมเรือ ชมพระนคร ชมปลา เหค่ รวญ) เป็นตน้ ๓.๔.๕ กาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดง กาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดง เป็นบทนิพนธ์ของเจ้าฟ้ากุ้ง เม่ือครั้งตาม เสด็จสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศไปมนัสการพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี คาว่า ธารทองแดง เป็นชื่อลาน้าท่ีเขาพระพุทธบาท ที่อยู่ในบริ เวณพระพุทธบาท เป็นที่รื่นรมย์ด้วยธรรมชาติ มีสัตว์ และพรรณไม้ตา่ ง ๆ มากมาย และเป็นทม่ี าของช่ือวรรณคดดี ว้ ย ผ้แู ต่ง เจา้ ฟ้าธรรมธิเบศร์ ลกั ษณะการแตง่ กาพย์ยานแี ละโคลงสี่สภุ าพรวม ๑๐๘ คู่ และโคลงปิดทา้ ยมี ๒ บท จดุ ประสงค์ในการแต่ง เพือ่ ใหเ้ กิดความเพลิดเพลนิ ในขณะเดนิ ทาง ๘๙

เน้ือเร่ืองย่อ พรรณนาถึงขบวนเสด็จ สภาพภูมิประเทศ โดยพรรณนาสิ่งท่ีได้ พบเหน็ จากการเสด็จทางสถลมารค ตั้งแต่ทา่ เจา้ สนุกถงึ ธารทองแดง ตวั อยา่ งการพรรณนาความงามไกฟ่ า้ ไกฟ่ า้ อ้าสดแสง หวั สกุ แดงแทงเดอื ยแนม ปีกหางตา่ งสแี กม สีแต้มต่างอยา่ งวาดเขียน ปากแหลม ไก่ฟ้าหน้าก่ากล้า เน่ืองแขง้ หัวแดงเดอื ยแนม ลายลวด ปีกหางต่างสีแกม แตง่ แต้มขีดเขียน ตัวด่างอย่างคนแกลง้ ตวั อย่างการพรรณนาถงึ นกแก้ว นกแก้วแจ้วเสยี งใส คลอไคลค้ ่หู มสู่ าลิกา นกต้ัวผวั เมียคลา ฝา่ แขกเต้าเหล่าโนรี เรห่ า นกแกว้ แจ้วร่รี อ้ ง แวดเคลา้ ใกล้คหู่ ม่สู าลิกา สมสู่ นกต้วั ผัวเมยี มา พวกพ้องโนรี สัตวาฝา่ แขกเตา้ คุณค่า วรรณคดีเร่ืองน้ีใช้รูปแบบคาประพันธ์ที่แสดงถึงความสามารถของกวี เนื่องจากเป็นกาพย์ห่อโคลง เนื้อหาทั้งสองส่วนต้องคล้ายคลึงกัน อีกท้ังยังโดดเด่นเร่ืองการใช้คา เล่นคาและสรรคาที่ไพเราะ ใช้โวหารทาให้เกิดจินตภาพ และทาให้ทราบถึงธรรมชาติของสัตว์ สะทอ้ นความอุดมสมบูรณข์ องป่าไมแ้ ละสัตวป์ า่ ๓.๔.๖ กาพยห์ อ่ โคลงนริ าศธารโศก กาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศก เป็นพระนิพนธ์ของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ นิพนธ์คราว เดียวกับ กาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดง เมื่อครั้งตามเสด็จสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศไป นมัสการและสมโภชรอยพระทุทธบาท จังหวัดสระบุรี เดิมเรียกกาพย์ห่อโคลงน้ีว่า นิราศพระบาท ต่อมาเปลยี่ นเป็น กาพย์หอ่ โคลงนิราศธารโศก เพอื่ ให้คลอ้ งกบั กาพยห์ ่อโคลงนริ าศธารทองแดง ผู้แต่ง เจา้ ฟ้าธรรมธิเบศร์ ๙๐

ลักษณะการแต่ง รูปแบบคาประพันธ์เป็นกาพย์ห่อโคลงจานวน ๑๕๒ บท ขน้ึ ตน้ ดว้ ยโคลง ๔ สภุ าพ ๒ บท กลา่ วถึงนามกวีผทู้ รง นิพนธ์ จุดประสงค์ในการแต่ง บันทึกการเดินทาง ราพันถึงหญิงที่รัก สถานท่ี และ สภาพแวดลอ้ ม เนื้อเรื่องย่อ เรมิ่ ตน้ ด้วยการพรรณนาความงามแตล่ ะส่วนของนาง ได้แก่ ผม ไร ผม ผิว หน้าผาก ค้ิว ดวงตา จมูก ริมฝีปาก ฟัน หู คอ บ่า ทรวงอก แขน น้ิว เอว ท้อง ขา ปลีน่อง เท้า จากนน้ั กวีพรรณนาถึงความรกั ท่ีมีตอ่ นาง ความคิดถึงที่ต้องพลัดพรากจากกัน โดยพรรณนาไป ตามลาดับเวลาต้ังแต่เช้าไปจนค่า คร่าครวญตามลาดับวัน เดือน ฤดูกาล และ ปี ราพันตั้งแต่เวลา เช้าย่าฆอ้ งจบถึงตสี ิบเอ็ด จากวันอาทติ ย์ถึงวันเสาร์ เดือนห้าถึงเดือนสี่ ฤดูคิมหันต์ถึงเหมันต์ และปี ชวดถึงปีกุน ลักษณะการคร่าครวญผ่านเวลาเช่นนี้คล้ายคลึงกับการคร่าครวญในโคลงทวาทศมาส ตอ่ จากนั้น กวกี ลา่ วถงึ ขบวนเสดจ็ พยุหยาตราทางสถลมารคไปนมัสการรอยพระพุทธบาท บรรยาย รายละเอียดในขบวน ประกอบด้วยเครื่องสูง เหล่าสาวสนม บรรยายความงดงามของธรรมชาติ ระหวา่ งทาง พืชพรรณไม้ สัตวช์ นดิ ตา่ ง ๆ ตัวอย่างการชมดวงเนตรและจมูกของนางอันเป็นทีร่ กั ชมน้องสองไนยนา แลมาชายละลายอารมณ์ เพราพริ้มยิ้มตาคม เป็นมนั เคลอื บเหลือบแลงาม พศิ น้องสองเนตรพร้มิ เพราคม ขนเนตรงามสวยสม สง่ั ด้วย เมียงมา่ ยชายเชยชม แสนลาภ เป็นโทษหรือเกรงม้วย เษกซรอ้ งมองดู ฯ นาสาอ่าแลเลศิ งามประเสริฐเกิดด้วยบุญ เหมือนของามลมนุ ลม่อมเจา้ เพราเพรศิ จริง นาสกิ แลเลศิ ลา้ ใครปนุ งามแง่แทเ้ ท่ียงบุญ เลอื่ งหล้า คอื ของอสวยสนุ ทเรศ เพราเพรศิ พรง้ิ จริงเจ้า อ่าพ้นฝงู หญิง ฯ คุณคา่ วรรณคดีเรื่องนม้ี คี วามแปลกใหม่ตรงท่ีแม้จะเป็นวรรณคดีประเภทนิราศ และมีบทราพึงราพันถึงการจากนางอันเป็นที่รัก แต่มิได้พลัดพรากจากนางจริง เป็นการแต่งตาม ๙๑

ขนบวรรณคดีเท่าน้นั โดยกวีได้ระบุอย่างชัดเจนในตอนท้ายเร่ือง วรรณคดีเร่ืองนี้โดดเด่นในด้าน การใช้คา และความเปรยี บเป็นเลิศด้วย ๓.๔.๗ บทละครเรอ่ื งดาหลงั (อิเหนาใหญ่) และอเิ หนา (อเิ หนาเล็ก) ดาหลัง มาจากคาวา่ ดะลงั เปน็ ภาษาชวาแปลวา่ หนงั ในทีน่ ีค้ อื หนงั ตะลงุ ดาหลัง และอิเหนาเป็นงานนิพนธ์ของเจ้าฟ้ากุณฑลและเจ้าฟ้ามงกุฎ พระธิดาพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ สันนิษฐานกันว่า ท้ัง ๒ พระองค์ได้เค้าเร่ืองมาจากนางเชลยชาวชวาปัตตานีท่ีเล่าเรื่องนิยาย พงศาวดารชวาให้ฟัง ทาให้นิพนธ์ดาหลังกับอิเหนาขึ้นคนละเร่ือง แต่ทั้งสองเร่ืองสูญหายไป ต่อมา พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้พระราชนิพนธ์ข้ึนใหม่ทั้งดาหลังและอิเหนา โดยอาศัย เค้าเร่ืองเดิมแต่สมยั อยุธยา มีหลกั ฐานวา่ ในวรรณคดเี รื่อง บณุ โณวาทคาฉนั ท์ ของพระมหานาค วดั ทา่ ทราย ซึง่ แต่งในรัชกาลพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศว่ามหรสพท่ีเล่นในงานพระพุทธบาทสระบุรีน้ัน มีเรื่องอิเหนา ด้วย โดยเน้ือเร่ืองตรงกับอิเหนาเล็กในตอนลักบุษบาไปไว้ในถ้า ซึ่งไม่ปรากฏในเร่ืองอิเหนาใหญ่ นอกจากน้ี ในงานพระราชนิพนธ์บทละครอิเหนา ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า นภาลยั ทรงกลา่ วถึงอิเหนาในสมัยอยุธยาซ่ึงเข้าใจว่าเป็นอิเหนาของเจ้าฟ้ากุณฑลและเจ้าฟ้ามงกุฎ เน่ืองจากมีคาว่ากวีสตรี ซึ่งสันนิษฐานได้ว่า ทั้งสองเร่ืองคงแต่งในสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ช่วง ปลายอยธุ ยา ดังตัวอย่าง อันอเิ หนาเอามาทาเป็นคารอ้ ง สาหรบั งานการฉลองกองกศุ ล ครงั้ กรุงเกา่ เจ้าสตรีเธอนิพนธ์ แต่เร่อื งตน้ ตกหายพลดั พรายไป เหตุที่เรียก ดาหลัง ว่า อิเหนาใหญ่ และอิเหนา ว่า อิเหนาเล็ก สันนิษฐานกันว่า เรยี กตามผทู้ รงนพิ นธ์ คือ เจ้าฟา้ พระองคใ์ หญ่ และเจ้าฟ้าพระองคเ์ ล็ก ผ้แู ต่ง เจ้าฟา้ กุณฑล นพิ นธเ์ ร่อื งดาหลัง และเจ้าฟา้ มงกุฎนิพนธ์เรอ่ื งอิเหนา ลกั ษณะการแตง่ กลอนบทละคร จุดประสงค์ในการแต่ง ใช้แสดงละครในถวายพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เนอื้ เร่ืองย่อ ดาหลงั และอเิ หนามโี ครงเร่ืองคล้ายกัน ต้นฉบับดาหลังขาดหายไม่ สมบูรณ์ เน่ืองด้วยคราวเสียกรุง มีเพียงตอนสั้น ๆ เพียงตอนที่ว่า “ท้าวกาหลังทรงทราบว่า มีสา ประหมงั กหุ นิงหายไป” ส่วนอิเหนา มีเนื้อความแบ่งเป็น ๖ ตอนใหญ่ ไม่ติดต่อกัน (เอกรัตน์ อุดม พร, ๒๕๔๔, หนา้ ๑๓๑-๑๓๒) ได้แก่ ตอนตง้ั วงศเ์ ทวี จนถึงอิเหนาไปเมืองหมนั หยาครงั้ แรก ๙๒

ตอนเขา้ หอ้ งจนิ ตรหรา ไมย่ อมอภเิ ษกกบั บุษบา ตอนวหิ ยาสะกาเทย่ี วปา่ ได้รปู นางบุษบา ตอนศึกกะหมงั กุหนงิ ตอนอิเหนาปลอมเปน็ ปันหยตี ามบุษบา ตอนย่าหรันไปเมืองมะงาดา จนถึงระเด่นดาระหวันตามย่าหรันมาถึงเมือง กาหลัง คุณค่า ดาหลังและอิเหนามีโครงเร่ืองสนุกสนาน อย่างไรก็ดี หากเปรียบเทียบ ระหว่าง กนั แลว้ อเิ หนาไดร้ ับความนิยมและคนไทยรู้จักกันแพรห่ ลายมากกว่า เนอ่ื งจากมีท้องเรื่อง เข้าใจง่ายไม่ยุ่งยาก ไม่ยืดยาว ซื่อตัวละครยังจาได้ง่ายกว่าดาหลัง ท้ังเหตุการณ์และพฤติกรรมตัว ละครในดาหลังยังซ้า ๆ กัน ทาให้อ่านแล้วเกิดความสับสน ความนิยมในเรื่องอิเหนาทาให้ในยุค ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้นาอิเหนาครั้งกรุงเก่ามาเป็นต้นแบบพระราช นิพนธ์อเิ หนา ซ่ีงจะเหน็ วา่ ทรงพระราชนพิ นธไ์ ดอ้ ย่างงดงามและสอดคลอ้ งกบั การแสดงละคร ก่อน หนา้ น้ัน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระราชนิพนธ์เร่ืองดาหลังด้วย แต่ไม่เป็นที่รู้จัก มากนัก ๓.๔.๗ บุณโณวาทคาฉนั ท์ บุณโณวาทคาฉันท์ เป็นวรรณคดีท่ีมีเนื้อหาเกี่ยวกับตานานพระพุทธบาทตาม คัมภีร์ในพุทธศาสนา และงานสมโภชรอยพระพุทธบาท สันนิษฐานว่าแต่งข้ึนในสมัยอยุธยาตอน ปลาย โดยพระมหานาค ซ่ึงบวชอยู่วัดท่าทราย ในพระนครศรีอยุธยา แต่งเมื่อในรัชกาลพระเจ้า บรมโกศ หนงั สอื เร่ืองน้ีนบั ถอื กนั มาวา่ แต่งดี พรรณนาว่าดว้ ยลกั ษณะการสมโภชพระพุทธบาท ตาม ราชประเพณีครั้งกรุงศรีอยธุ ยาเปน็ ราชธานีไดอ้ ยา่ งถว้ นถี่ ท่ีมาของเรื่องน่าจะมาจากปณุ โณวาทสูตร ซ่ึงเป็นพระสูตรหนึ่งในพระสุตตันตปิฎก แสดงเรื่องราวที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมและสนทนากับพระปุณณเถระซึ่งจะจาริกไปจา พรรษาในหมู่บ้านสุนาปรันตชนบท เน้ือความใบปุณโณวาทสูตรน้ันกล่าวถึงแต่เพียงหัวข้อธรรม ท่ีมี ความหมายลึกซ้ึง ต่อมาพระพุทธโฆสเถระจึงได้แต่งอรรถกถาปุณโณวาทสูตรเพื่ออธิบายข้อธรรมใน คมั ภรี ์ปณุ โณวาทสูตร รวมทั้งกล่าวถึงประวัตขิ องพระปุณณเถระไว้ด้วย ซึ่งคัมภีร์ปุณโณวาทสูตรและ อรรถกถาปุณโณวาทสูตรนี้น่าจะเป็นที่มาของบุณโณวาทคาฉันท์ (ดารงราชานุภาพ, กรมพระยา, ออนไลน์) บุณโณวาทคาฉันท์แต่งข้ึนเม่ือปีใดไม่มีระบุไว้แน่ชัด แต่ในพระราชพงศาวดารกรุง ศรีอยุธยามีบันทึกเหตุการณ์ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศว่า มีการสมโภชพระพุทธบาท ขึน้ เม่ือ พ.ศ. ๒๒๙๓ เพราะฉะนน้ั บุณโณวาทคาฉันทจ์ งึ นา่ จะแต่งขึ้นราว พ.ศ. ๒๒๙๓ - ๒๓๐๑ ๙๓

ผแู้ ตง่ พระมหานาค วดั ทา่ ทราย ลกั ษณะการแตง่ ฉันทแ์ ละกาพยป์ ระเภทตา่ ง ๆ วัตถุประสงค์ในการแต่ง เพื่อพรรณนาความรู้สึก และส่ิงที่พบเห็นในโอกาสท่ีได้ ไปนมัสการพระพุทธบาทสระบุรรี ะหว่างท่มี กี ารสมโภชคร้ังสาคัญในรชั กาพระเจ้าอยหู่ ัวบรมโกศ เน้ือเร่ืองย่อ เนื้อหาเริ่มด้วยคานมัสการไหว้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และ เทพเจ้าสาคัญ ได้แก่ พระอิศวร (พระสวยมภู) พระนารายณ์ (พระกฤษณะ) พระพรหม พระอินทร์ พระอาทิตย์ เทพประจาทิศต่าง ๆ รวมท้ังพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา และกล่าวว่าจะขอ ดาเนินเรื่องตาม “บุณโณวาทสูตร” โดยกล่าวถึงตานานพระพุทธบาท พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรง โปรดให้ทามณฑปสวมพระบาท เน้ือความพรรณนาอาณาบริเวณพระพุทธบาท และการสมโภช พระพุทธบาท ตอนท้ายเรื่อง มีบทปณิธานของกวีว่า ขอให้วรรณคดีเร่ืองน้ีจงปรากฏในแผ่นดิน ขอให้ปราศจากความทุกข์ ปราศจากโรคและภัย และกวีอธิษฐานว่าเมื่อสิ้นชีวิตแล้วขอให้ได้เข้าถึง พระนิพพาน ตอ่ จากนั้นเป็นโคลงท้ายเรื่อง ซึง่ ระบุช่อื ผ้แู ตง่ ไว้ชัดเจน ตวั อย่าง การกลา่ วถึงพระมณฑปที่กษตั ริญท์ รงสรา้ งไว้ ปางป่นิ ธเรศตรี ศรเสวยสวรรยา อยุธเยศมหา นครราชธานี ทราบกจิ กลรอย พุทธบาทชินศรี มีราชฤไทยทวี กศุ ลม่งุ ผดงุ การ รดบั เปนพระมณฑป วรรัตโนฬาร เพียงวชิ ยันตพ์ มิ าน อมรเทพปนู กัน สฤษฎสิ วมพระพุทธบาทมนุ นิ าถจอมธรรม์ ยงั ยอดศขิ รบรร พตพิศโพรงพราย ห้ายอดยเยี่ยมเมฆ จรสั ดวงวิเชยี รฉาย ชวลติ พรรณราย รยับโชติสรุ ยิ งค์ คณุ คา่ บุณโณวาทคาฉนั ท์ เปน็ วรรณคดีฉนั ท์เรอ่ื งเดียวในสมัยอยุธยาตอนปลาย ท่ีวรรณคดีท่สี ะทอ้ นข้อมูลด้านภมู ิศาสตร์และประวัตศิ าสตร์ และเป็นวรรณคดีสาคัญท่ีบันทึกข้อมูล ดา้ นสังคมวฒั นธรรมสมัยอยุธยาไว้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะข้อมูลด้านมหรสพและการละเล่นในงาน สมโภช วรรณคดีเรื่องน้ปี รากฏประเภทของการแสดงและการละเล่นในสมัยอยุธยาไว้หลากหลาย มี ทงั้ ละครในเรือ่ งอิเหนา การแสดงหุ่น โมงครุ่ม ระบา โขน ไต่ลวด ฯลฯ บุณโณวาทคาฉันท์ ยังเป็น วรรณคดีที่มีคุณค่าด้านวรรณศิลป์ มีการใช้กวีโวหารซี่งทาให้เกิดจินตภาพอย่างเด่นชัด เช่น บท ๙๔

พรรณนาความย่ิงใหญข่ องขบวนพยหุ ยาตรา บทพรรณนาความงามของพระมณฑปและรมณียสถาน รอบพระพทุ ธบาท ทัศนียภาพอันงดงามของธรรมชาติ เป็นต้น ในสมัยนั้นกวีนิยมใช้สานวนไพเราะ แตไ่ มส่ จู้ ะเครง่ ครดั ฉันทลกั ษณน์ ัก กวพี รรณนาโดยละเอยี ด เห็นภาพพจน์ได้ชัดเจน ๓.๔.๘ กลบทศิรวิ ิบุลกิติ์ วรรณคดเี ร่อื งนีน้ ับเป็นหนังสือกลอนเรอ่ื งแรก ในสมัยศรีอยุธยา ทแ่ี ต่งเปน็ เร่ืองราว และเหลอื อยบู่ ริบูรณ์ ผแู้ ตง่ หลวงศรปี รีชา (เซ่ง) ลกั ษณะการแต่ง กลอนกลบท รวม ๘๖ ชนดิ วตั ถุประสงค์ในการแต่ง แต่งเพื่อเป็นอานสิ งสใ์ ห้สาเรจ็ อรหนั ต์ เน้ือเรื่องย่อ เป็นการนาเร่ืองราวในชาดกมาแต่งเป็นกลอนกลบท คือสิริวิบุล ยกิติชาดก ชาดกในลาดับในลาดับท่ี ๕ ในปัญญาสชาดก เนื้อเร่ืองว่าด้วย ท้าวยศกิติ แห่งนครจัม บาก มพี ระมเหสีทรงพระนามวา่ นางสิรมิ ดี เม่อื ทรงพระครรภ์ทรงพระสุบินวา่ ดาบสเหาะนาแก้วมา ให้ โหรทานายวา่ จะได้พระโอรส แต่พระสวามีจะต้องพลดั พลาดจากเมือง ต่อมาท้าวพาลราชยกทัพ มาล้อมเมืองจัมบาก ท้าวยศกิติ ทรงเชื่อมั่นในผลแห่งธรรม จึงลอบหนีออกจากเมือง พร้อมด้วย มเหสีแล้วผนวชเป็นดาบสอยู่ที่เขาวิบุลบรรพต พรานป่าซึ่งท้าวยศกิติทรงช่วยชีวิตนากองทัพของ ทา้ วพาลราชมาจับท้าวยศกิติไปขงั ไว้ในเมอื งหลายปี นางสิริมดีประสูติพระโอรสทรงพระนามว่า สิริ วิบุลกิติ เม่ือพระกุมารทรงพระเจริญวัยได้ทูลลาพระมารดาไปช่วยพระบิดาโดยทรงยอมรั บโทษ ประหารแทนพระบดิ า ทา้ วพาลราชรบั สงั่ ให้ลงโทษด้วยวธิ ีต่าง ๆ สิริวิบลุ กิติ มิได้เป็นอันตราย ท้าว พาลราชจึงตั้งใจจะประหารด้วยตนเอง แต่ถูกธรณีสูบเสียก่อน สิริวิบุลกิติจึงได้ราชสมบัติของพระ บดิ ากลบั คืนมา รบั ส่งั ใหไ้ ปรบั พระมารดากลบั คืนมา แตพ่ ระมารดาสนิ้ พระชนม์เสยี กอ่ น ตัวอยา่ ง กลบทกวางเดินดง ลกู เอ๋ยแม่จะจดั เอานกแก้ว นกเอย๋ บนิ มาแล้วมาเล้ยี งสมร ยูงเอ๋ยมาเปน็ เพื่อนพ่อนอ้ ยนอน ยางเอย๋ มาเยีย่ มรอ้ นทีเ่ รยี มครวญ นกเอ๋ยนามชอื่ ว่านกโนรี เรว็ เอย๋ รบี มาน่ีมาแนบสงวน กระเหวา่ เอ๋ยแอบกระเวยี นกระเวนรวน นกเอ๋ยช่างชูนวลนา่ ชวนชม ๙๕

คุณค่า กลบทศิริวิบุลกิต์ิเป็นวรรณคดีท่ีแต่งเป็นกลบทเร่ืองยาวเร่ืองแรก กวีใช้ กลบทแตล่ ะชนดิ อยา่ งสอดคลอ้ งและเหมาะสมแก่เรือ่ ง ซ่งึ แสดงความสามารถของผูแ้ ต่ง กลบทเรื่อง น้ียังมีอทิ ธพิ ลต่อวรรณคดีท่ีแต่งเป็นกลบทในยคุ ตอ่ มาดว้ ย ๓.๔.๙ บทละครนอก บทละครนอกที่สันนิษฐานว่าแต่งในยุคนี้มี ๑๔ เรื่อง ส่วนใหญ่มีเค้าเร่ืองมาจาก ปญั ญาสชาดก และนิทานพืน้ เมอื ง ไดแ้ ก่ ๑. การะเกษ ๒. คาวี ๓. ไชยทัต ๔. พกิ ุลทอง ๕. พิมพ์สวรรค์ ๖. พิณสุรียวงศ์ ๗. นางมโนหร์ า ๘. โมง่ ป่า ๙. มณพี ไิ ชย ๑๐. สังข์ศลิ ปไ์ ชย ๑๑. สุวรรณศิลป์ ๑๒. สุวรรณหงส์ ๑๓. สังขท์ อง ๑๔. โสวตั ละครนอกทั้ง ๑๔ เรื่องนี้ ที่มีเค้าเรื่องมาจากปัญญาสชาดก ได้แก่ สังข์ทอง ได้เค้า เร่ืองมาจากสวุ รรณสงั ขชาดก เรื่องคาวี ได้เค้าเร่ืองมาจากพหลาคาวีชาดก ส่วนเร่ืองอ่ืน ๆ มาจาก นทิ านพ้นื เมอื ง ผูแ้ ต่ง ไมท่ ราบแน่ชดั วา่ เป็นผู้ใด ลกั ษณะการแต่ง กลอนบทละคร มีลกั ษณะคล้ายกาพย์ วตั ถปุ ระสงคใ์ นการแต่ง ใชเ้ ลน่ ละครนอก เนือ้ เรอื่ งย่อ บทละครนอกทง้ั ๑๔ เรือ่ ง มโี ครงเร่อื งซา้ ๆ สว่ นใหญ่เป็นเรอ่ื งของ ลูกกษัตริยร์ ูปงามทตี่ อ้ งออกจากบา้ นจากเมอื ง มีคนรกั แล้วพลัดพรากจากคนรกั ไดร้ า่ เรยี นวชิ าหรือ ได้ของวิเศษ ต้องรอนแรมอยู่ในป่า ผจญอันตรายต่าง ๆ เช่น ยักษ์ ภูตผีปีศาจ แต่พระเอก สามารถปราบได้หมด ทา้ ยเรือ่ ง ไดพ้ บกับคนรัก และกลับมาครองเมอื ง เรอื่ งจบด้วยความสุข ตัวอย่างจากเรอื่ งนางมโนหร์ า ตอนพรานบุญกล่าวลักษณะดชี วั่ ของสตรี เมื่อกินรีลง เลน่ นา้ (เปล้ือง ณ นคร, ๒๕๔๕, หนา้ ๒๐๓) ว่า บัดน้ัน นายบญุ ขนุ พรานหฤสา เพ่อื นจึงจดั แลงแฝงป่า ลอ่ คอออกมาจากโพรงไม้ ลากถุงลากไส้ จึงสงั่ อา้ ยนาคนาคา ถัดจากน้นั อ้ายนาคเอ๋ย เขาเรียกสะสานทานภริยา ผกั ลมุ่ หนา้ รา ไรหน้ามนั ทูนเพลงิ รูปรา่ งม่ทู ู่เหมอื นหมู่ปา่ นมมันยานอย่เู ลงิ้ เติง้ ผกั ลุ่มทมุ เพลงิ นาคเอยจะคล้องเอาไปไหน ๙๖

คุณค่า บทละครนอกท้ัง ๑๔ เรื่อง เป็นต้นเค้าของการแต่งบทละครนอกในสมัย ต่อมา โดยเฉพาะคาวี มณีพิไชย สังข์ทอง ไกรทอง ไชยเชษฐ สังข์ศิลป์ไชย ได้รับกา รปรับปรุง ซ่อมแซมในสมัยรัตนโกสินทร์จนจบบริบูรณ์ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย นอกจากละครนอกท้งั ๑๔ เรือ่ งท่เี ชอ่ื ว่าแต่งในสมัยอยธุ ยาแลว้ ยังมอี ีก ๕ เร่ือง ท่ีไม่แน่ใจว่าแต่งใน สมยั อยุธยาหรอื ไม่ ไดแ้ ก่ ไกรทอง โคบตุ ร ไชยเชษฐ พระรถ และศลิ ปส์ ุริวงศ์ ๓.๕ ลักษณะสาคญั ของวรรณคดีสมยั อยุธยา พ.ศ. ๑๘๙๓ – ๒๓๑๐ ลักษณะสาคญั ของวรรณคดีสมัยอยุธยา แบ่งตามสมยั สรุปได้ดงั น้ี ๓.๕.๑ ลักษณะวรรณคดีสมัยอยุธยาตอนต้น ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนา พิธีกรรม และพระมหากษตั ริยจ์ ึงมีเนอ้ื หาคลา้ ยวรรณคดสี มยั สโุ ขทยั ส่วนลักษณะการแตง่ ค่อนข้างแตกตา่ งกบั วรรณคดสี โุ ขทัย โดยวรรณคดีในสมัยนแ้ี ต่งด้วยรอ้ ยกรองทงั้ สิน้ มคี าประพันธ์ที่ใช้เกือบทุกชนิด คือ โคลง รา่ ย กาพย์ และฉันท์ ขาดแต่กลอน สว่ นใหญแ่ ตง่ เป็นประเภทลิลิต มีการใช้คาบาลี สันสกฤต และเขมรเข้ามาปะปนในคาไทยมากขึ้น วรรณคดีสาคัญในสมัยน้ีได้แก่ ลิลิตโองการแช่งน้า ลิลิต ยวนพา่ ย และมหาชาตคิ าหลวง กุหลาบ มลั ลิกะมาส (๒๕๔๒ : ๖๔ – ๖๕) ได้สรุปรูปแบบและลักษณะของวรรณกรรมสมัย อยธุ ยาตอนตน้ ไว้ดงั นี้ ๑) จานวนวรรณคดีมี ๔ เรือ่ ง คอื ลิลิตโองการแช่งน้า ลิลิตยวนพ่าย มหาชาติคา หลวง ลิลิตพระลอ (หรืออาจเป็น ๗ เรื่องโดยเข้าใจว่ามีวรรณคดีอื่นในสมัยนี้ อีก ๓ เรื่อง คือ โคลง กาสรวล โคลงทวาทศมาศ และโคลงหรภิ ญุ ไชย) ๒) ลักษณะการแต่งเป็นร้องกรองทั้งหมด โดยแยกเป็นลิลิต ๓ เร่ือง คาหลวง ๑ เรอื่ ง และนริ าศ ๓ เรื่อง ซึ่งในสมัยน้ีกวีจะนิยมแต่งคาประพันธ์ประเภทลิลิต ร่ายด้ัน และโครงดั้น มากทีส่ ุด ๓) เน้ือเรื่องแบ่งเป็น ๔ ประเภท คือ บทประกอบพิธี ได้แก่ โองการแช่งน้า บทสดุดแี ละเล่าเรือ่ ง ไดแ้ ก่ ลิลิตยวนพ่าย ศาสนา ไดแ้ ก่ มหาชาติคาหลวง และบันเทิง ได้แก่ ลิลิต พระลอ ๔) ผแู้ ต่งคอื พระมหากษตั รยิ ์ ชนชัน้ สงู ท่มี ีการศึกษา หรอื บุคคลในราชสานัก และ ไม่ปรากฎชื่อผ้แู ต่งชดั เจน ๕) เปน็ สมัยท่เี ริ่มมวี รรณคดเี พอ่ื การบันเทงิ ใจเปน็ เรอื่ งแรกในสมัยอยุธยาตอนต้น คือ ลิลติ พระลอ ๓.๕.๒ ลักษณะวรรณคดีสมัยอยุธยาตอนกลาง สมัยนี้เป็น “ยุคทองของวรรณคดี” มี กวีและวรรณคดีเกดิ ขึ้นมากมาย ลกั ษณะคาประพนั ธ์นยิ มใช้คอื โคลง ซงึ่ อาจกลา่ วได้ว่านิยมที่สุด รอง ๙๗

มาคือ ฉันท์และกาพย์ห่อโคลง โคลงในสมัยน้ีมีต้ังแต่โคลงสี่สุภาพจนถึงโคลงกลบท ซึ่งนับว่าแต่งยาก การแต่งโคลงอาจมีร่ายปนอยู่ด้วย คาฉันท์น้ันนิยมแต่งในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชดังจะเห็น ว่ามีวรรณคดีคาฉันท์จานวนมากกว่าในรัชสมัยอื่น ในอยุธยาตอนกลางน้ีไม่ปรากฏคาประพันธ์ ประเภทกลอน ร้อยแก้วมีไม่มาก ส่วนใหญ่เป็นพงศาวดาร เช่น พระราชพงศาวดารฉบับหลวง ประเสริฐ จนิ ดามณีมีปรากฏรูปแบบคาประพนั ธป์ ะปนกนั ท้ังร้อยแกว้ และร้อยกรอง ดา้ นเนอื้ หาของวรรณคดใี นสมัยนี้ พบวา่ มเี นื้อหาหลายประเภท ปรียา หิรัญประดิษฐ์ (๒๕๕๙, หน้า ๓-๒๔ – ๓-๒๕) กล่าวถึงเนอื้ หาของวรรณคดีในสมยั นไี้ วด้ งั น้ี ๑) เน้อื หาที่เกี่ยวกับพธิ กี รรม เช่นคาฉันทด์ ุษฎสังเวยกล่อมชา้ ง ของขนุ เทพกระวี ๒) เนื้อหาเก่ียวกับการสดุดีพระมหากษัตริย์ เช่น โคลงยอพระเกียรติสมเด็จพระ นารายณ์มหาราช ของพระศรีมโหสถ ๓) เน้อื หาเกย่ี วกับคาสอน เชน่ โคลงทศรถสอนพระราม โคลงพาลีสอนน้อง โคลง ราชสวัสด์ิ ๔) เน้ือหาท่ีนามาจากนิทานนิยาย โดยนาเรื่องมาจากชาดก เช่น สมุทรโฆษคา ฉันท์ เสอื โคคาฉนั ท์ อนริ ุทธคาฉนั ท์ ๕) เน้อื หาทพ่ี รรณนาอารมณ์ เชน่ โคลงนริ าศนครสวรรค์ ๖) เน้ือหาทเ่ี ป็นตาราแบบเรียน ไดแ้ ก่ จินดามณี จะเห็นว่า เนื้อหาของวรรณคดีสมัยอยุธยาตอนกลางน้ีมีความหลากหลายมากกว่า สมยั อยุธยาตอนตน้ ๓.๕.๓ ลักษณะวรรณคดีสมัยอยุธยาตอนปลาย สมัยอยุธยาตอนปลายมีวรรณคดีและ กวีเกดิ ขึ้นเปน็ จานวนมาก พระมหากษัตริย์ทางอุปถัมภ์กวีและจัดให้ประชุมนักปราชญ์ราชบัณฑิต หลายครง้ั ในสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระองค์ทรงทานบุ ารงุ การศึกษาและวรรณคดี แม้จะมี วรรณคดนี ้อยกวา่ อยุธยาตอนกลางกต็ าม แตส่ มยั น้ีมีวรรณคดเี กดิ ขึน้ ทุกประเภท ไมว่ ่าจะเปน็ กาพย์ กลอน โคลง ฉันท์ และมีบทละครเกิดขึ้นใหม่ วรรณคดีประเภทกาพย์และกลอนเจริญถึงขีดสุด วรรณคดคี ากาพย์ เช่น กาพย์หอ่ โคลง มมี าตัง้ แตส่ มยั อยธุ ยาตอนกลางแล้วน้ันมาเจริญสูงสุดในสมัย อยุธยาตอนปลาย ดังจะเห็นว่ามีกาพย์ห่อโคลงอยู่หลายเร่ืองของเจ้าฟ้ากุ้ง คาประพันธ์ท่ีรุ่งเรือง มากอีกประเภทหน่งึ คือ คากลอน ซง่ึ ในสมยั น้มี กี ลอนกลบทเกิดข้ึน ส่วนวรรณคดีประเภทคาฉันท์มี ปรากฏเพียง ๒ เรือ่ ง มกี วีหญงิ เกดิ ขึ้น กวีเป็นทงั้ คฤหัสถแ์ ละบรรพชิต วรรณคดีท่ีเกิดขึ้นใหม่ในสมัยน้ีคือ กลอนเพลง กลอนบทละคร กลอนกลบท และ กาพยเ์ ห่เรอื วรรณคดจี งึ มเี น้ือหาและรปู แบบท่ีแตกตา่ งกัน กล่าวสรปุ เน้อื หาของวรรณคดีในสมัยน้ี ดังนี้ ๙๘

๑) เนอื้ หาเกย่ี วกบั ศาสนา เชน่ บณุ โณวาทคาฉนั ท์ นนั โทปนันทสูตรคาหลวง พระ มาลยั คาหลวง ๒) เนื้อหาเกี่ยวกบั ประวัตศิ าสตร์ ไดแ้ ก่ โคลงชะลอพระพุทธไสยาสน์ ๓) เน้ือหาเกี่ยวกับนิทานนิยาย ได้แก่ บทละครต่าง ๆ ได้แก่ ดาหลัง อิเหนา และ บทละครนอก ๑๔ เร่ือง ๔) เนื้อหาเก่ียวกับการแสดงความรู้สึกของกวี เช่น กาพย์เห่เรือ โคลงนิราศพระ บาท กาพย์หอ่ โคลง โคลงนริ าศเจา้ ฟ้าอภยั ๕) เนื้อหาเบ็ดเตล็ด เช่น เพลงยาวเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ กาพย์ห่อโคลงประพาสธาร ทองแดง สรปุ วรรณคดีในสมัยอยุธยานี้มีความหลากหลายทั้งเน้ือหาและรูปแบบ หลายเล่มสะท้อนการ สรา้ งสรรคว์ รรณคดีทีแ่ ปลกใหม่ไปจากเดมิ โดยเฉพาะในด้านรูปแบบการประพันธ์ อยา่ งเช่น เกดิ คา ประพนั ธป์ ระเภทกลอน และกลอนกลบท หรือการเลน่ รูปแบบคาประพันธป์ ระเภทโคลง มีโคลงกล บทและโคลงอกั ษรสามหมู่ ในด้านเนอื้ หาน้ัน บางส่วนยังคงสืบทอดจากเดมิ คอื วรรณคดคี าสอนและ ยอพระเกียรตพิ ระมหากษัตริย์ และบางส่วนสร้างสรรค์ข้ึนมาใหม่ ดงั จะเหน็ วา่ มบี ทละครนอก และ วรรณคดที ่นี าเนื้อหามาจากตา่ งชาติ เชน่ อิเหนา และดาหลัง เป็นตน้ คาถามทา้ ยบท ๑. ลักษณะสาคัญของวรรณคดีสมยั อยุธยาเป็นอยา่ งไร ๒. จงยกตวั อยา่ งวรรณคดีสมัยอยธุ ยาอยา่ งนอ้ ย ๕ เร่ืองและอธบิ ายวรรณคดีเชงิ ประวัติ ๓. วรรณคดสี มัยอยธุ ยาตอนกลางนยิ มใช้คาประพนั ธ์ประเภทใด ๔. วรรณคดีเรอ่ื งใดทเ่ี ป็นวรรณคดที างศาสนาในสมยั อยธุ ยาตอนปลาย ๕. วรรณคดีเร่ืองใดที่ใช้กลอนกลบทแต่ง และวรรณคดีเรื่องดังกล่าวมีอิทธิพลต่อการแต่ง วรรณคดีในยุคตอ่ มาอย่างไร ๖. วรรณคดเี รื่องพระมาลยั คาหลวงมีอิทธพิ ลต่อวฒั นธรรมและประเพณีไทยอย่างไร ๗. บทละครนอกครัง้ กรุงศรอี ยธุ ยามที ัง้ หมดกเ่ี ร่อื ง เร่อื งอะไรบา้ ง ๘. เหตใุ ดเรอ่ื งดาหลังจงึ ได้รับความนยิ มน้อยกว่าเร่ืองอิเหนา ๙. จงอธบิ ายความสาคญั ของจนิ ดามณีและอทิ ธิพลของจนิ ดามณตี อ่ แบบเรยี นในยคุ ต่อมา ๑๐. นักศกึ ษาคิดวา่ กวที า่ นใดในสมยั อยธุ ยาท่มี ผี ลงานโดดเด่นที่สดุ จงยกตัวอยา่ งวรรณคดี และอภปิ ราย ๙๙

รายการอ้างอิง กหุ ลาบ มลั ลกิ ะมาส. (๒๕๑๗). วรรณกรรมไทย. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพส์ ว่ นท้องถิ่น. ชลดา เรอื งรกั ษล์ ขิ ติ . (๒๕๔๔). อา่ นลลิ ติ พระลอ ฉบบั วิเคราะหแ์ ละถอดความ. กรงุ เทพมหานคร: สานักพมิ พแ์ หง่ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . โชติรส มณีใส. (๒๕๕๙). เทียนทอทอง: รวมบทความพินิจวรรณกรรมทรงคุณค่าในแวดวง วรรณคดีไทย. กรุงเทพ ฯ: พี.เอ.ลฟี วิ่ง. ดารงราชานภุ าพ, กรมพระยา, “คาอธิบายบุณโณวาทคาฉันท์” ใน ประชุมวรรณคดีเรื่องพระพุทธ บาท, สืบค้นเมื่อ ๑ กันยายน ๒๕๖๐, จาก http://vajirayana.org/ประชุมวรรณคดี เรอื่ ง-พระพทุ ธบาท/คาอธบิ าย-บณุ โณวาทคาฉันท์ ดารงราชานภุ าพ, สมเดจ็ ฯ กรมพระยา. “อธิบายความเบ้ืองตน้ ” ใน โคลงนิราศหริภุญชัย. สืบค้น เมื่อ ๑ กันยายน ๒๕๖๐, จาก http://vajirayana.org/โคลงนิราศหริภุญชัย/อธิบาย ความเบื้องตน้ ปรียา หิรัญประดิษฐ์. (๒๕๕๙). “วรรณคดีสมัยอยุธยา พ.ศ.๒๑๗๒ – ๒๓๑๐”, ใน เอกสารการ สอนชุดวิชา วรรณคดีไทย หน่วยท่ี ๑-๗. นนทบุรี: สานักพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัย ธรรมธิราช. เปล้ือง ณ นคร. (๒๕๔๕). ประวัติวรรณคดีไทย. พิมพ์ครั้งท่ี ๑๓. กรุงเทพมหานคร: ไทยวัฒนา พานชิ . ไพเราะ มากรกั ษา. (๒๕๔๘). พัฒนาการวรรณคดไี ทย. มปท. วรเวทยพ์ สิ ิฐ, พระ. (๒๕๔๕). คู่มอื ลิลิตพระลอ. กรงุ เทพมหานคร: องคก์ ารค้าครุ สุ ภา. ศรีปราชญ์. (๒๕๒๒). อนริ ุทธค์ าฉนั ท์. พิมพค์ รัง้ ท่ี ๔: กรงุ เทพมหานคร โรงพมิ พก์ ารศาสนา. สิทธา พินิจภูวดล และปรียา หิรัญประดิษฐ์. (๒๕๕๙). “วรรณคดีสมัยสุโขทัย – อยุธยา พ.ศ. ๒๑๗๒”, ใน เอกสารการสอนชุดวิชา วรรณคดีไทย หน่วยท่ี ๑-๗. นนทบุรี: สานกั พมิ พ์มหาวิทยาลัยสุโขทยั ธรรมธริ าช. สุภา ฟักข้อง. (๒๕๓๐). วรรณคดีไทยก่อนรับอิทธิพลจากตะวันตก. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ กรมการศาสนา. สุมาลี วีระวงศ์. นามานกุ รมวรรณดคีไทยเรอ่ื ง สมทุ รโฆษคาฉนั ท์. สบื คน้ เมือ่ ๕ กนั ยายน ๒๕๖๐, จากhttp://www.sac.or.th/databases/thailitdir/detail.php?meta_id=๒๓๙ เสรยี ์ วลิ าวรรณ. (๒๕๔๗). ประวตั ิวรรณคดีสมัยสุโขทัย อยุธยา. กรงุ เทพมหานคร: วฒั นาพานชิ . เอกรัตน์ อุดมพร. (๒๕๔๔). วรรณคดสี มัยอยธุ ยา. กรงุ เทพมหานคร: พฒั นาศกึ ษา. ๑๐๐


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook