Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วัฒนธรรมน่ารู้ มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม

วัฒนธรรมน่ารู้ มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม

Published by rattana.b6134112, 2021-11-12 03:36:09

Description: รวบรวมข้อมูลความรู้เกี่ยวกับมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมทั้ง 6 สาขา คือ สาขาวรรณกรรมพื้นบ้านและภาษา สาขาศิลปะการแสดง สาขาแนวปฏิบัติทางสังคม พิธีกรรม ประเพณี และงานเทศกาล สาขาความรู้และการปฏิบัติเกี่ยวกับธรรมชาติและจักรวาล สาขางานช่างฝีมือดั้งเดิม และสาขาการเล่นพื้นบ้าน กีฬาพื้นบ้าน และศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว แล้วนำมาจัดทำอินโฟกราฟิกในหัวข้อวัฒนธรรมน่ารู้ 42 เรื่อง เพื่อเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ และรวบรวมอินโฟกราฟิกวัฒนธรรมน่ารู้มาจัดทำเป็นหนังสือ เพื่อประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจ รวมทั้งเป็นข้อมูลเบื้องต้นในการนำไปสู่การสืบค้นข้อมูลในเชิงลึกต่อไป

Search

Read the Text Version

วัฒนธรรมน่ารู้ มรดกภมู ิปัญญาทางวัฒนธรรม ผู้เรียบเรียง : รตั นา เจนหัตถ์ นักศึกษา ช้ันปีที่ 4 หลักสูตรสารสนเทศศึกษา บรรณาธิการ สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะเทคโนโลยีสังคม พิมพ์คร้ังท่ี 1 มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีสุรนารี จัดพมิ พ์โดย : ขัตตยิ า ทองทา บรรณารักษ์ชานาญการ หวั หนา้ ห้องสมดุ วัฒนธรรม : พฤศจกิ ายน 2564 : ห้องสมุดวฒั นธรรม กรมสง่ เสรมิ วฒั นธรรม ชั้น 3 อาคารนิทรรศการและบริการทางการศึกษา เลขที่ 14 ถนนเทียมร่วมมิตร แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรงุ เทพฯ 10310 โทร. 0-2247-0028 ตอ่ 4311, 4312

คานา หนังสือวัฒนธรรมน่ารู้ มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมเล่มน้ี ได้จัดทาข้ึนเพื่อ ประกอบการทาโครงงานการจัดทาเน้ือหามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมและรูปแบบการ เผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ ในรายวิชาสหกิจศึกษา หลักสูตรสารสนเทศศึกษา สาขาวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศ คณะเทคโนโลยีสังคม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี โดยรวบรวม ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมทั้ง 6 สาขา คือ สาขาวรรณกรรม พ้ืนบา้ นและภาษา สาขาศิลปะการแสดง สาขาแนวปฏิบัติทางสังคม พิธีกรรม ประเพณี และ งานเทศกาล สาขาความรู้และการปฏิบัติเกี่ยวกับธรรมชาติและจักรวาล สาขางานช่างฝีมือ ดั้งเดิม และสาขาการเล่นพื้นบ้าน กีฬาพ้ืนบ้าน และศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว แล้วนามา จดั ทาอนิ โฟกราฟกิ ในหัวขอ้ วัฒนธรรมน่ารู้ 42 เรื่อง เพ่อื เผยแพร่ทางสื่อสงั คมออนไลน์ และ รวบรวมอินโฟกราฟิกวัฒนธรรมน่ารู้มาจัดทาเป็นหนังสือ เพื่อประโยชน์แก่ผู้ท่ีสนใจ รวมท้ัง เปน็ ข้อมลู เบ้ืองต้นในการนาไปสกู่ ารสืบคน้ ขอ้ มูลในเชิงลึกต่อไป

ขอขอบพระคุณหัวหน้าห้องสมดุ วัฒนธรรม กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ท่ีให้การสนับสนุน ในการจัดทาเน้ือหามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมให้สาเร็จลุล่วงไปด้วยดี และหวังว่า หนงั สอื เลม่ นจี้ ะเป็นประโยชนต์ อ่ ผู้ทส่ี นใจไม่มากกน็ อ้ ย ผู้เรียบเรียง 6 พฤศจิกายน 2564

สารบัญ 1 2 ความหมายของคาวา่ “มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม” ลกั ษณะของมรดกภูมิปญั ญาทางวัฒนธรรม 3 มรดกภมู ิปญั ญาทางวัฒนธรรม 6 7 สาขาวรรณกรรมพืน้ บา้ นและภาษา 9 วฒั นธรรมนา่ รู้ วรรณกรรมพื้นบ้านและภาษา 12 ผีอนี ากภาคจบ ก่อนจะเปน็ ถนนพระรามที่ 4 แบฟตู

ตุงลา้ นนา แดศ่ รทั ธาและความดีงาม 15 ปาจิตต – อรพิม 18 ปราสาทเขาพนมรุ้ง 21 เส่ยี ว 24 มรดกภูมิปญั ญาทางวฒั นธรรม สาขาศลิ ปะการแสดง 27 วฒั นธรรมน่ารู้ ศลิ ปะการแสดง 29 นาฏกรรมกบั การสือ่ ความและอนาคต 30 วฒั นธรรมไม้ไผ่ : เสยี งของไม้ไผ่ 33 มโนราห์ 36 ดนตรีของกลุ่มชาติพนั ธ์ุมอญในภาคกลาง 39 ชฎา 42

รดั เกล้ายอด 45 ลเิ กอสี าน 48 มรดกภมู ิปญั ญาทางวัฒนธรรม สาขาแนวปฏิบัตทิ างสงั คม พธิ ีกรรม ประเพณี และงานเทศกาล 51 วัฒนธรรมนา่ รู้ แนวปฏบิ ตั ิทางสังคม พธิ ีกรรม ประเพณี และงานเทศกาล 53 ประเพณพี ิธกี รรมท่เี ปลย่ี นไป 54 มารยาทยุคเก่าแบบไทยแท้ 57 อมุ้ พระดาน้า 60 ธรรมเนียมและความเชื่อในพระราชสานักฝ่ายใน 63 คาว่าขนั หมากและเรือ่ งทองหมั้น 66 เทศกาลทอดกฐิน 69

มารยาทในศาสนสถานหรือปูชนียสถาน 72 มรดกภมู ิปญั ญาทางวฒั นธรรม สาขาความรแู้ ละการปฏบิ ัติเกีย่ วกับธรรมชาตแิ ละจักรวาล 74 วัฒนธรรมน่ารู้ ความรู้และการปฏบิ ตั ิเกีย่ วกับธรรมชาตแิ ละจักรวาล 77 ต้มยากุ้งมาจากไหน 78 กระชาย ขิง กระเทียม 81 โหราศาสตร์ทาให้คนเรางมงายในเรือ่ งลีล้ ับและยดึ ติดพิธกี รรม ? 84 การนวดในท่านอนควา่ 87 แมวไทย 90 ข้าวหลาม 93 สมนุ ไพรต่างชนิด (แต่รสเดียวกนั ) ที่ใช้รกั ษาโรคเดยี วกนั ได้ 96

มรดกภมู ิปัญญาทางวัฒนธรรม สาขางานชา่ งฝมี ือด้งั เดมิ 99 วฒั นธรรมนา่ รู้ งานชา่ งฝมี ือดั้งเดมิ 102 ศิลปหตั ถกรรมพื้นบ้าน : กาเนิดและลกั ษณะเฉพาะ 103 บ้านบาตร แหล่งหตั ถกรรมในเมืองหลวง 106 วิวัฒนาการของเครือ่ งประดับในสมัยรัตนโกสินทร์ 109 การแทงหยวก 112 ผ้าทอยกดอกลายดอกพกิ ลุ 115 เครือ่ งป้นั ดินเผาในวฒั นธรรมบ้านเชียง 118 งานเครือ่ งรัก 121 มรดกภูมิปัญญาทางวฒั นธรรม สาขาการเลน่ พื้นบ้าน กฬี าพืน้ บ้าน และศิลปะการต่อส้ปู ้องกันตัว 124

วัฒนธรรมน่ารู้ 126 การเล่นพื้นบ้าน กีฬาพน้ื บ้าน และศิลปะการตอ่ ส้ปู ้องกันตวั 127 วฒั นธรรมการเล่นและของเลน่ พื้นบ้าน 130 ส่งิ ที่ควรรเู้ พือ่ ปกป้องการปะทะและการจู่โจม 133 ตีจ่ บั 136 ไมโ้ กง๋ เกง๋ 139 ซดั ต้ม 142 หนอนเลขแปด 145 แข่งเรือ 148 บรรณานกุ รม

ความหมายของคาว่า “มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม” หมายถึง การปฏิบัติ การแสดงออก ความรู้ ทักษะ ตลอดจนเคร่ืองมือ วัตถุ สิ่งประดิษฐ์ และพื้นที่ทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวเนื่องกับสิ่งเหล่านั้น ซึ่งชุมชน กลุ่มชน หรือ ในบางกรณีปัจเจกบุคคลยอมรับว่า เป็นส่วนหนึ่งของมรดกทางวัฒนธรรมของตน มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมซึ่งถ่ายทอดจากคนรุ่นหน่ึงไปยังคนอีกรุ่นหน่ึงน้ี เป็นส่ิง ซึ่งชุมชนและกลุ่มชนสร้างข้ึนมาอย่างสม่าเสมอ เพ่ือตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมของตน เป็นปฏิสัมพันธ์ของพวกเขาท่ีมีต่อธรรมชาตแิ ละประวัติศาสตร์ของตน และทาให้คนเหล่าน้ัน เกิดความภูมิใจในตัวตนและความรู้สึกสืบเน่ืองก่อให้เกิดความเคารพต่อความหลากหลาย ทางวัฒนธรรม และการคิดสรา้ งสรรคข์ องมนุษย์ ห้องสมดุ วัฒนธรรม | 1

ลกั ษณะของมรดกภมู ิปัญญาทางวัฒนธรรม มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม จาแนกออกเป็น 6 สาขา ดังน้ี 1. วรรณกรรมพ้ืนบา้ นและภาษา 2. ศิลปะการแสดง 3. แนวปฏิบัติทางสงั คม พิธกี รรม ประเพณี และงานเทศกาล 4. ความรู้และการปฏิบัติเกย่ี วกับธรรมชาติและจักรวาล 5. งานช่างฝีมือด้ังเดิม 6. การเลน่ พ้ืนบ้าน กฬี าพ้ืนบา้ น และศิลปะการต่อสู้ป้องกนั ตัว ห้องสมดุ วัฒนธรรม | 2

มรดกภมู ิปญั ญาทางวัฒนธรรม สาขาวรรณกรรมพื้นบา้ นและภาษา “วรรณกรรมพื้นบ้าน” หมายถึง เร่ืองราวท่ีถ่ายทอดอยู่ในวิถีชีวิตชาวบ้าน ด้วยวิธีการบอกเล่า เขยี นเปน็ ลายลักษณ์อกั ษร หรือเปน็ ภาพ วรรณกรรมพื้นบา้ น แบ่งออกเป็น 7 ประเภท ดังตอ่ ไปนี้ 1. นิทานพื้นบ้าน หมายถึง เร่ืองเล่าพ้ืนบ้านท่ีสืบทอดกันมา เช่น นิทานจักรๆ วงศ์ๆ นิทานประจาถิ่น นิทานคติ นิทานอธิบายเหตุ นิทานเร่ืองสัตว์ นิทานเร่ืองผี นิทานมุขตลก นทิ านเร่อื งโม้ นทิ านลกู โซ่ หรือเรือ่ งเลา่ อื่นทม่ี ีลกั ษณะเป็นนทิ านพ้นื บา้ น 2. ตานานพื้นบ้าน หมายถึง เร่ืองเล่าท่ีมีความสัมพันธ์กับความเชื่อ ส่ิงศักด์ิสิทธ์ิ พิธีกรรม ศาสนา และประวัตศิ าสตร์ในท้องถิน่ ห้องสมดุ วฒั นธรรม | 3

3. บทร้องพ้ืนบ้าน หมายถึง คาร้องท่ีสืบทอดกันมาในแต่ละโอกาส เช่น บทกล่อมเด็ก บทร้องเล่น บทเกี้ยวพาราสี บทร้องเพลงพื้นบ้าน บทจ๊อย คาเซิ้ง หรือคาร้องอน่ื ท่ีมีลักษณะ เปน็ บทรอ้ งพืน้ บ้าน 4. บทสวดหรอื บทกลา่ วในพิธกี รรม หมายถึง คาสวดท่ีใช้ประกอบในพิธีกรรม เช่น คาบชู า คาสมา คาเวนทาน คาให้พร คาอธิษฐาน คาถา บททาขวัญ บทอานิสงส์ บทประกอบ การรกั ษาโรคพื้นบา้ น หรือคาสวดอืน่ ท่มี ีลกั ษณะเปน็ บทสวดหรือบทกล่าวในพธิ กี รรม 5. สานวน ภาษติ หมายถึง คาพดู หรอื คากลา่ วทม่ี ีสัมผัสคลอ้ งจองกัน เพือ่ ความสนกุ สนาน หรือใช้ในการสั่งสอน เช่น โวหาร คาคม คาพังเพย คาอุปมาอุปไมย คาผวน หรือคาพูดหรือ คากล่าวอน่ื ที่มีลกั ษณะเปน็ สานวน ภาษติ 6. ปริศนาคาทาย หมายถึง ข้อความท่ีต้ังเป็นคาถาม เพ่ือให้ผู้ตอบได้ทายหรือตอบ ปญั หา เชน่ คาทาย ปญั หาเชาวน์ ผะหมี หรือขอ้ ความอื่นทม่ี ีลักษณะเปน็ ปรศิ นาคาทาย 7. ตารา หมายถึง องคค์ วามรู้ทีม่ ีการเขยี นบันทึกในเอกสารโบราณ เช่น ตาราโหราศาสตร์ ตาราดลู ักษณะคนและสตั ว์ ตารายา หรือองค์ความรู้อน่ื ที่มีลักษณะเป็นตารา ห้องสมุดวัฒนธรรม | 4

“ภาษา” หมายถึง เครื่องมือที่ใช้สื่อสารในวิถีชีวิตของแต่ละกลุ่มชน ซึ่งสะท้อนโลกทัศน์ ภูมิปัญญา และวัฒนธรรมของแตล่ ะกลุ่มชน ทง้ั เสยี งพูด ตัวอกั ษร หรือสัญลกั ษณ์ “ภาษา” แบ่งออกเปน็ 4 ประเภท ดงั ต่อไปนี้ 1. ภาษาไทย หมายถึง ภาษาประจาชาติ หรือภาษาราชการทใ่ี ช้ในประเทศไทย 2. ภาษาถิ่น หมายถึง ภาษาไทยท่ีใช้ส่ือสารในแต่ละภูมิภาค ได้แก่ ภาษาไทยถิ่นกลาง ภาษาไทยถิน่ อสี าน ภาษาไทยถิ่นเหนอื และภาษาไทยถิน่ ใต้ 3. ภาษาชาตพิ นั ธ์ุ หมายถึง ภาษาทใ่ี ช้สอ่ื สารในชมุ ชนท้องถิ่นของประเทศไทย เชน่ ภาษา เขมรถิ่นไทย ภาษาม้ง ภาษาชอง ภาษามอแกน ภาษาล้ือ ภาษาญอ้ ภาษาพวน หรือภาษาอ่ืน ท่มี ีลักษณะเปน็ ภาษาชาติพนั ธ์ุ 4. ภาษาสัญลักษณ์ หมายถึง ภาษาท่ีใช้ติดต่อส่ือสารด้วยภาษามือ ภาษาท่าทาง อักษร หรือสญั ลกั ษณ์อน่ื ที่ใช้ในการติดตอ่ สอ่ื สาร ห้องสมุดวฒั นธรรม | 5

ห้องสมดุ วัฒนธรรม | 6

ผอี ีนากภาคจบ (ตานานพื้นบ้าน) ภาคจบน้มี าจากฉบับบทกลอนสานวนโรงพิมพ์ไทยประดษิ ฐ์ พ.ศ. 2481 โดยเปน็ เรอ่ื งเกี่ยวกับ ผีนางนาก เมื่อนางนากไดอ้ อกตามหานายมาก แลว้ พบว่าอยู่ที่วัดมหาบุศย์ ไดย้ ินเสยี งพระสวด จึงอ้อนวอนให้นายมากออกมาหาตน แต่นายมากไม่ยอมออกไปหาและกล่าวว่า “นากเป็นผี พีเ่ ป็นคน จะอยู่ร่วมกันไดอ้ ย่างไร” เมือ่ พระอาจารย์ปราบนางนากไม่ได้ และนางนากก็สุดแสนจะ แคน้ เคอื งจนกลายเป็นเปรต ทาให้ชาวบา้ นหวาดกลวั และไม่กลา้ อยู่บ้านตัวเองจนตอ้ งไปอาศยั กุฏิวัด เณรนอ้ ยผู้มีวชิ าไดท้ ราบขา่ วว่าชาวบา้ นเดือดร้อน เพราะผีนางนาก จึงร่ายมนตร์เรียกให้นางนาก ลงหม้อและเอายนั ตป์ ิดปากหม้อแนน่ สนิท แลว้ กพ็ ายเรอื จากไปจนลบั ตา ขอ้ มลู : เอนก นาวิกมลู . แกะรอยเรือ่ งเกา่ . แสงแดด. 2536. ห้องสมดุ วฒั นธรรม | 7

ห้องสมดุ วัฒนธรรม | 8

ก่อนจะเปน็ ถนนพระรามที่ 4 (ตารา) “ถนนตรง ถนนวัวลาพอง ถนนหัวลาโพง ถนนพระรามท่ี 4” ทั้งหมดน้ีเป็นชื่อถนน สายเดียวกัน เริ่มต้นสร้างเมื่อ พ.ศ. 2400 สมัยรัชกาลท่ี 4 โดยในปีนั้นชาวต่างประเทศ จะเข้ามาทาการค้าขายในกรุงเทพฯ แต่มีเส้นทางการเดินเรือท่ีลาบาก จึงขอให้รัฐบาล ขดุ คลองลัดตงั้ แต่บางนาถึงคลองผดุงกรงุ เกษม เพ่อื จะขอลงไปตง้ั ห้างร้านซ้ือขายสินค้าใหม่ และเมื่อถึงฤดูน้าหลากแล้วเชี่ยวมาก กว่าจะแล่นเรือข้ึนมาถึงกรุงเทพฯ ก็เสียเวลาไปหลายวัน ในหลวงรัชกาลท่ี 4 ได้ปรึกษากับคณะเสนาบดีและมีความเห็นพ้องกัน ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ขุดคลอง เมื่อขุดเสร็จ พวกชาวต่างชาติก็ไม่ได้ย้ายไปอยู่ท่ีบางนา ตามเหตุผลท่ีกล่าวไว้ และดินจากการขุดคลองก็ถมเป็นถนน โดยมีชื่อว่า คลองถนนตรง ต่อมามีประกาศของ กระทรวงนครบาลสมัยรัชกาลท่ี 6 ประกาศเร่ืองการเปลี่ยนชื่อถนนเป็น “ถนนพระรามที่ 4” เพอ่ื ราลกึ ถึงรัชกาลท่ี 4 ผู้ทรงโปรดให้ขดุ คลองสายนี้ ห้องสมดุ วฒั นธรรม | 9

คลองหัวลาโพงทีเ่ ริ่มตน้ จากคลองผดุงกรุงเกษม ผ่านหน้าสถานรี ถไฟหวั ลาโพงเลียบคถู่ นนพระรามที่ 4 ท่มี า : ศนู ย์กลางข้อมูลชุมชนคลองเตยเพ่อื การเรียนรู้ ขอ้ มูล : เอนก นาวิกมูล. เกรด็ สนุกเมืองสยาม. โรงพิมพ์ไทยวฒั นาพานิช. 2545. ห้องสมดุ วฒั นธรรม | 10

ห้องสมดุ วัฒนธรรม | 11

แบฟตู (ตารา) คนไทยในสมัยโบราณไม่สวมรองเท้า แม้แต่ในปัจจุบันตามชนบทก็มักจะเห็น คนไม่สวมรองเท้า เน่ืองจากเมืองไทยเป็นเมืองเกษตรกรรม อาชีพส่วนใหญ่คือ การทานา การไม่สวมรองเท้าจึงเหมาะกับการลุยน้าลุยโคลนในท้องนา และการเดินทางไปมาในอดีต สว่ นมากจะใช้เรือเป็นพาหนะ เพราะสะดวกรวดเรว็ กว่าทางบก การไม่สวมรองเท้า จึงเหมาะ แก่การข้ึน-ลงเรือ หรือแม้แต่พวกข้าราชการ ทหาร และพลตระเวน (ตารวจ) ก็ไม่สวม รองเท้า นอกจากพวกท่ีอยู่ในเมืองหรือพวกท่ีได้รับการศึกษาเล่าเรียน และพวกข้าราชการ บางคนเทา่ นั้นทเ่ี ริม่ สวมรองเทา้ การท่ีคนไทยเริ่มสวมรองเท้า มาจากการได้รับอารยธรรมจากประเทศตะวันตก สืบเน่ืองมาจากการท่ีพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ทาสัญญา ทางพระราชไมตรีกบั ฝรง่ั ผู้ทีร่ บั อารยธรรมกค็ อื เจ้านาย ซึ่งได้เห็นพระบรมฉายาลักษณ์และ ห้องสมุดวฒั นธรรม | 12

ภาพถ่ายต่างๆ ในสมัยนั้น เช่น ทรงเคร่ืองแบบทหารตะวันตก ทรงฉลองพระบาท เมื่อข้าราชบริพารและราษฎรเห็นเจ้านายทรงแต่งพระองค์แบบตะวันตก ต่างก็พากัน เลียนแบบ และเมื่อสมัยรัชกาลท่ี 5 สินค้าต่างๆ ของฝร่ังเริ่มมีขายในเมืองไทยมากข้ึน จึงมีการส่ังรองเท้าจากต่างประเทศเข้ามาขาย เน่ืองจากไม่ได้เป็นท่นี ิยม แต่เมื่อคนนิยมสวม รองเท้ามากข้ึน จึงได้มีการตั้งรา้ นตัดเยบ็ รองเทา้ ขึน้ มา พลตระเวนสมยั รัชกาลที่ 5 ไม่สวมรองเทา้ ขอ้ มูล : เทพชู ทบั ทอง. เล่าเรื่องไทยๆ เล่ม 4. ทพิ ยพร. 2536. ห้องสมุดวฒั นธรรม | 13

ห้องสมดุ วัฒนธรรม | 14

ตุงลา้ นนา แดศ่ รัทธาและความดีงาม (ตานานพื้นบ้าน) ตุง หรือ ธง เป็นเอกลักษณ์ของชนเผ่าไทหรือไต โดยเฉพาะในดินแดนล้านนา และเป็นสัญลักษณ์ของความดีงาม ความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาท่ีมีมาช้านาน มักจะ พบเห็นตุงได้ตามขบวนแห่ประเพณีต่างๆ หรือประเพณีป๋ีใหม่เมือง (สงกรานต์) จะมีการนา ตุงช่อรูปสามเหล่ียมมาปักบนกองเจดีย์ทราย เพราะคนไทยในสมัยโบราณมีความเชื่อว่า ผู้ท่ีถวายทานตุงเป็นพุทธบูชา เมื่อตายไปจะไม่ตกนรก จะได้ไปเกิดบนสวรรค์ หรือหากได้ กลับมาเกิดบนโลกมนุษย์อีกครั้ง ก็จะมีความรุ่งเรืองและประสบความสาเร็จในหน้าท่ี การงาน คนไทจึงได้ประดิษฐ์ตุงจากวัสดุหลายชนิด นับตั้งแต่ตุงท่ีเป็นกระดาษ ผ้า ไม้ รวมไปถึงตุงท่ีทาจากโลหะ การทาตุงเป็นรูปทรงต่างๆ ข้ึนอยู่กับวัตถุประสงค์ท่ีแตกต่างกัน อาจทาข้ึนเพื่อใช้ในการเฉลิมฉลองศาสนสถาน เช่น ปูชนียสถานสาคัญของล้านนาคือ พระธาตดุ อยตงุ จังหวดั เชียงราย ท่สี รา้ งขึน้ โดยกษตั ริย์แห่งราชวงศส์ งิ หนวัติ ในการก่อสร้าง ห้องสมุดวฒั นธรรม | 15

สถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ได้นาตุงตะขาบไปปักไว้บนยอดดอย จึงเป็นท่ีมาของชื่อ พระธาตุดอยตุง หรือดอยธง อันเป็นท่ีสักการะของพระมหากษัตริย์และประชาชน แสดงให้เห็นถึงคติความเชื่อท่ีมีมาแต่โบราณ และได้พัฒนามาเป็นแขนงหน่ึงใน งานศิลปหัตถกรรม ท่ีเกิดจากความรักและความศรัทธาในพระพุทธศาสนาของคนไท บนแผ่นดนิ ล้านนา ตุงหรือธงของชาวลา้ นนา ในขบวนแห่งานประเพณีตา่ งๆ ของชาวเหนือ ขอ้ มูล : ธรี ภาพ โลหิตกุล. กวา่ จะรคู้ า่ ...คนไทในอษุ าคเนย์. ประพนั ธ์สาสน.์ 2544. ห้องสมุดวฒั นธรรม | 16

ห้องสมดุ วัฒนธรรม | 17

ปาจิตต - อรพิม (นิทานพื้นบ้าน) พระปาจิตตออกเดินทางจากนครธม เมืองหลวงแห่งราชอาณาจักรขอมไปจนถึง บ้านสัมฤทธ์ิ เมืองพิมาย เพื่อไปตามหาเน้ือคู่ท่ียังไม่เกิดและผู้ท่ีตั้งครรภ์นั้นเป็นชาวนา เมือ่ ทอ้ งแก่จะมีเมฆคอยบังแดดให้อยู่ตลอด ตามคาทานายโหรหลวง พระปาจิตตที่ปลอมตัว เป็นชาวบ้านพบเห็นนางบัว หญิงท้องแก่ท่ีกาลังดานาและมีเมฆคอยบังแดดให้อยู่ตลอด จึงเข้าไปตีสนิทและเสนอตัวช่วยทางาน จนนางบัวคลอดบุตรออกมาเป็นหญิง จึงได้ต้ังชื่อวา่ อรพิม พระปาจิตตและนางบัวช่วยกันเล้ียงดูอรพิมอย่างทะนุถนอม จนกระทั่งนางอรพิม อายุ 16 ปี พระปาจิตตเห็นว่าถึงเวลาเหมาะสมแล้ว จึงเปิดเผยถึงฐานะท่ีแท้จริงให้อรพิม และนางบัวรู้ พร้อมท้ังบอกว่าจะเดินทางกลับนครธม เพ่ือนาขันหมากมาสู่ขอตามประเพณี แต่ความงามของนางอรพิมได้เล่ืองลือไปถึงหูของท้าวพรหมทัต เจ้าผู้ครองเมืองพิมาย จึงจับตัวนางอรพิมไปเข้าพิธีอภิเษกสมรส ระหว่างท่ีพระปาจิตตกาลังนาขันหมากมาสู่ขอ ห้องสมุดวัฒนธรรม | 18

นางอรพิม ก็ได้ทราบว่านางอรพิมถูกท้าวพรหมทัตบังคับไปเป็นพระมเหสี จึงปลอมตัวเป็น พี่ชายเข้าไปในปราสาทท้าวพรหมทัตเพื่อขอเข้าพบนางอรพิมและฆ่าท้าวพรหมทัต จนพา นางอรพิมหนีออกมาได้ ทั้งสองจึงออกเดินทางเพื่อกลับนครธม พบเห็นสามเณรกาลัง พายเรือ แต่สามเณรหลงรักนางอรพิม จึงออกอุบายว่า เรือน่ังได้ทีละคน พระปาจิตตจึง บอกให้สามเณรไปส่งนางอรพิมก่อนแล้วค่อยมารับตน ระหว่างทางนางอรพิมเห็นท่าไม่ดี จึงออกอุบายว่า อยากจะกินผลมะเด่ือริมฝ่ัง เมื่อสามเณรจอดเรือ นางอรพิมจึงลวงให้ สามเณรข้ึนต้นมะเด่ือแล้วตัดกอหนามมาสะไว้ท่ีโคนต้น และได้พายเรือกลับไปหา พระปาจิตตแต่ก็ไม่พบ นางอรพิมจึงปลอมเป็นชายเพ่ือบวชเป็นพระภิกษุ และได้สร้างศาลา พร้อมกับเขียนเร่ืองราวของตนกับพระปาจิตตไว้ท่ีผนัง เมื่อพระปาจิตตมาพบ นางอรพิม จึงสึกจากพระแล้วเดินทางกลับนครธมกับพระปาจิตต ท้ังคู่จึงได้อภิเษกสมรส แล้วครองคู่ อยู่ดว้ ยกันอย่างมีความสุข ขอ้ มลู : มาลยั (จุฑารัตน์). นิทานพืน้ บ้าน เลม่ 3. มังกรการพมิ พ์. 2547. ห้องสมุดวัฒนธรรม | 19

ห้องสมดุ วัฒนธรรม | 20

ปราสาทเขาพนมรุง้ (ตานานพื้นบ้าน) ปราสาทเขาพนมรุ้งตงั้ อยู่บนยอดเขาพนมรุ้ง ซึ่งเป็นภูเขาไฟท่ีดับแล้ว ในปัจจุบนั ตั้งอยู่ใน เขตอาเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดบุรีรัมย์ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือใกล้กับชายแดน ไทย-กัมพูชา โดยคาว่า “พนมรุ้ง” มาจากคาว่า “วฺน รุง” ตามจารึกภาษาเขมรและจารึก ภาษาสันสกฤตท่ีพบในปราสาทเขาพนมรุ้ง มีความหมายว่า ภูเขาใหญ่ สร้างข้ึนในช่วง พุทธศตวรรษท่ี 15-17 เพื่อนับถือบูชาพระศิวะ เทพเจ้าสูงสุดในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย โดยพระเจ้านเรนทราทิตย์ ผู้เป็นญาติกับพระเจ้าสูรยวรมันท่ี 2 ซึ่งทรงสร้างนครวัด ในประเทศกัมพูชา การก่อสร้างปราสาทเขาพนมรุ้ง ใช้วัสดุหลัก 3 ชนิด คือ อิฐ ศิลาทราย ศิลาแลง และใช้ไม้ เป็นวัสดุรองในการก่อสร้าง ปัจจุบันไม่พบชิ้นส่วนของไม้ท่ีใช้ก่อสร้าง เนื่องจากมีสภาพชารุด ทรดุ โทรม หลงั คาพังทลาย ทาให้นา้ ฝนไหลซึมเขา้ มาภายในอาคารตลอด จึงไม่อาจคงสภาพอยู่ได้ ห้องสมดุ วัฒนธรรม | 21

จนกระท่ังปัจจุบัน ทาให้มีการบูรณะปราสาทเขาพนมรุ้งด้วยวิธีอนัสติโลซิส เป็นการร้ือโบราณสถาน ท่พี งั ทลายลงมาแล้วประกอบขนึ้ ใหม่ เพอ่ื ให้มีรปู รา่ งเหมือนของเดิม ฐานปราสาทอิฐสองหลงั และปราสาทประธาน ขอ้ มลู : สรุ ิยวุฒิ สขุ สวัสด์.ิ ปราสาทเขาพนมร้งุ . เรือนบญุ . 2549. ห้องสมุดวฒั นธรรม | 22

ห้องสมดุ วัฒนธรรม | 23

เสีย่ ว (ภาษาถิน่ ) คาว่า “เส่ียว” หมายถึง วัยรุ่นท่ีมีอายุรุ่น เดียวกันหรือมีอายหุ ่างกันไม่เกิน 1-2 ปี อาจจะมี ความหมายใกล้เคยี งกับคาว่าเพ่ือน แต่ในลา้ นนา มีความหมายท่ีลึกซึ้งมากกว่าน้ัน โดยคาว่า “เส่ียว” หมายถึง พวก หากมีหลายคนก็เรียกว่า พรรคพวก อีกทั้งล้านนาในอดีตความเป็นเส่ียว กันนั้น หมู่บ้านหน่ึงก็มักจะมีคนอายุใกล้เคียงกัน ประมาณ 5-6 คนเท่าน้ัน และถ้ามีนิสัยใจคอ เหมือนกันหรือคล้ายกัน จนสนิทชิดเชื้อกัน ชาว ลา้ นนาจึงเรียกว่า “มนั เปน็ เสย่ี วกั๋น” ห้องสมุดวัฒนธรรม | 24

นอกจากน้ีคาว่า “พวก” ก็มีนัยหรือมีความหมายว่า “พ” คือ พึ่งพากัน ช่วยเหลือกัน เมื่อยามทุกขย์ าก สว่ น “ว” คอื ไว้วางใจ เพราะคนเราจะคบหากนั ตอ้ งมีความเชื่อใจ รู้นสิ ยั ใจคอกัน เป็นอย่างดี และ “ก” คือ เกรงใจ ถึงแม้จะสนิทกันแค่ไหน ก็ต้องมีความเกรงใจ ต้องเคารพ ความเป็นสว่ นตัวของผู้อืน่ ขอ้ มลู : สมทบ พาจรทศิ . คาเมืองฮาเฮ. ดวงกมลพบั ลิชชิง่ . 2555. ห้องสมุดวัฒนธรรม | 25

ห้องสมดุ วัฒนธรรม | 26

มรดกภูมิปญั ญาทางวฒั นธรรม สาขาศลิ ปะการแสดง “ศิลปะการแสดง” หมายถึง การแสดงดนตรี การขับร้อง การรา การเต้น และละครท่ีแสดง เป็นเร่ืองราว ทั้งท่ีเป็นการแสดงตามขนบแบบแผน หรือมีการประยุกต์เปล่ียนแปลง การ แสดงทีเ่ กิดขึน้ นนั้ เป็นการแสดงสดต่อหน้าผู้ชม และมีจดุ มุ่งหมายเพอ่ื ความงามความบันเทงิ หรือเป็นงานแสดงท่กี ่อให้เกิดการคดิ วิพากษ์ นาสกู่ ารพัฒนาและเปลย่ี นแปลงสังคม ศิลปะการแสดง แบ่งออกเปน็ 2 ประเภท ดงั ตอ่ ไปนี้ 1. ดนตรีและเพลงร้อง หมายถึง เสียงท่ีเกิดจากเคร่ืองดนตรีและการขับร้องที่ประกอบ กันเป็นทานองเพลง ทาให้เกิดอารมณ์ ความรู้สึก และจินตนาการ เพ่ือบรรเลง ขับกล่อม ประกอบพิธีกรรมและประกอบการแสดง ดนตรีและเพลงร้อง แบง่ ออกเป็น ดนตรีและเพลงร้อง ห้องสมดุ วัฒนธรรม | 27

ในพิธีกรรม ดนตรีและเพลงร้องในการแสดง ดนตรีและเพลงร้องเพ่ือการประกวดประชัน ดนตรีและเพลงร้องเพ่อื ความรน่ื เริง 2. นาฏศิลป์และการละคร หมายถึง การแสดงท่ีใช้ร่างกาย ท่วงท่าการเคล่ือนไหว ท่าเต้น ท่ารา การเชิด อาจสอดคล้องหรือสัมพันธ์กับการพากย์ เจรจาการใช้เสียงดนตรี บทร้อง บทละคร และอุปกรณ์ประกอบการแสดง ซึ่งส่ือถึงอารมณ์ ความรู้สึก และเร่ืองราว อาจ แสดงร่วมกับดนตรีและการขับร้องหรือไม่ก็ได้ นาฏศิลป์และการละคร แบ่งออกเป็น นาฏศิลป์และการละครในพิธีกรรม นาฏศิลป์และการละครท่ีเป็นเร่ืองราวและแสดงเป็นชุด แต่ไม่เป็นเรือ่ งราว ห้องสมดุ วัฒนธรรม | 28

ห้องสมดุ วัฒนธรรม | 29

นาฏกรรมกบั การสื่อความและอนาคต (นาฏศิลป์และการละคร) การส่ือความของนาฏกรรมอาจเปรียบเทียบได้กับภาษา แต่อาศัยร่างกาย, จังหวะ, ทานอง และ/หรอื ถ้อยคาท่เี รียกว่าเน้ือร้อง โดยมีการแบ่งนาฏกรรมไทยตามประเภทการส่ือ ความให้แก่ผู้รับสาร ดงั น้ี 1. นาฏกรรมท่ีส่ือความแก่ผู้ชม หรือเรียกอีกอย่างว่า นาฏกรรมเชิงละคร มีผู้ชม นบั ตงั้ แต่พระเจา้ แผ่นดิน สามญั ชน รวมไปถึง ผี หรอื เทพ เชน่ การราแก้บน และนาฏกรรมน้ี สามารถเอาภาษามาทดแทนความหมายทป่ี รากฏในการรา่ ยราได้มาก 2. นาฏกรรมท่ีส่ือความแก่ผู้ท่ีร่วมแสดงนาฏกรรม มักปรากฏในนาฏกรรมท่ีประกอบ เพลงพืน้ บ้าน ซึ่งไม่ไดเ้ ป็นการรา่ ยราให้ผู้ชม แต่เป็นการรา่ ยราให้ครู่ าของตน ความทีส่ อ่ื ผ่าน นาฏกรรมประเภทน้จี ะส่อื ออกมาทางความรู้สึก ห้องสมุดวัฒนธรรม | 30

3. นาฏกรรมท่ีส่ือความแก่กลุ่ม เป็นการร่ายราท่ีไม่มีข้อกาหนดตายตัวบังคับ การเคล่ือนไหวในการร่ายรา เปรียบเสมือนการแสดงคอนเสิร์ตท่ีนักร้องสะกดให้ผู้ฟัง ร่วมเต้นรากบั ตนอย่างสดุ เหวี่ยง ซึง่ เป็นการสอ่ื โดยใช้ความรู้สึก นาฏกรรมไทยดูเหมือนจะมีอนาคตท่ีมืดมน เพราะรากฐานทางสังคมของนาฏกรรม ไทยได้เปล่ยี นไปแล้ว จากการไดร้ ับอิทธพิ ลการเตน้ ราแบบตะวันตก และไม่สามารถขยายตัว เอาเทคนคิ อ่ืนๆ มาเป็นส่วนหนึง่ ของนาฏกรรมได้ แต่นาฏกรรมไทยกลายเป็นส่วนสาคัญของ สัญลักษณ์แห่งชาติและประจาถิ่น โดยมีองค์กรรองรับอย่างเป็นทางการแก่นาฏกรรม เช่น กรมศิลปากร ขอ้ มลู : นธิ ิ เอียวศรีวงศ์. โขน, คาราบาว, นา้ เนา่ และหนังไทย วา่ ดว้ ยเพลง, ภาษา และ นานามหรสพ. มติชน. 2557. ห้องสมดุ วัฒนธรรม | 31

ห้องสมดุ วัฒนธรรม | 32

วัฒนธรรมไม้ไผ่ : เสียงของไม้ไผ่ (ดนตรีและเพลงรอ้ ง) ไม้ไผ่เป็นไม้พื้นเมืองท่ีข้ึนอยู่ในภูมิประเทศเขตร้อนชื้น ไม้ไผ่มีหลายชนิด ชนิดท่ีมีหนาม และไม่มีหนาม และยังมีชนิดเน้ืออ่อน เน้ือแข็ง กระบอกเล็ก และกระบอกใหญ่ ซึ่งเป็นส่ิงท่ี ก่อให้เกิดเสยี งธรรมชาตจิ ากไม้ไผ่ทใ่ี ห้ความรู้สึกที่เงียบสงบ มีความกงั วานในระยะสน้ั ๆ เป็น เสียงทีม่ ีความนุ่มนวล พล้ิวไหว แผ่วเบา เสียงจะไม่มีความหนกั แนน่ จึงไม่มีการนาเสยี งไม้ไผ่ ไปประกอบพิธีกรรม เน่ืองจากมนุษย์ต้องการความเชื่อม่ัน จึงต้องการเสียงท่ีหนักแน่น ชัดเจน เช่น เสียงกลอง ตะโพน เป็นต้น และเป็นเสียงของชาวบ้านท่ีมีความเป็นท้องถิ่นนิยม เพราะว่ามนุษย์นาเอาไม้ไผ่จากธรรมชาติมาประดิษฐ์เป็นเคร่ืองดนตรี ซึ่งจะพบเห็นได้มาก ในดนตรีประเภท ตี เขย่า และเป่า แต่เสียงจากธรรมชาติน้ีมีข้อจากัด ในยุคเกษตรกรรมไม้ไผ่เป็นเสียงท่ีเกิดจาก ธรรมชาติ มีเพียงเสยี งเดียว ข้ึนอยู่กับขนาดของไม้ไผ่ที่ได้ และยังเป็นวสั ดุส้ินเปลือง เพราะมี ห้องสมดุ วฒั นธรรม | 33

อายุการใช้งานในระยะสั้น ชารุดง่าย ยากแก่การรักษา ต่อมาในโลกอุตสาหกรรมและ เทคโนโลยีสามารถควบคุมคุณภาพของไม้ไผ่ได้ แม้จะนาไปทาเคร่ืองดนตรีไม่ได้ ก็สามารถ นาไปทาเป็นชิ้นส่วนเคร่ืองดนตรี รวมไปถึงการควบคุมคุณภาพของเสียง เมื่อผสมผสาน เขา้ กบั ไม้เนือ้ แขง็ โลหะ จึงก่อให้เกิดเสยี งใหม่ๆ ข้นึ มา เครอ่ื งดนตรที ีท่ าด้วยไม้ไผ่ ขอ้ มูล : สกุ รี เจรญิ สุข. ดนตรีชาวสยาม (Music of Siam). Dr. Sax. 2538. ห้องสมดุ วัฒนธรรม | 34

ห้องสมดุ วัฒนธรรม | 35

มโนราห์ (นาฏศิลป์และการละคร) มโนราห์หรอื โนรา เป็นศิลปะการแสดงของภาคใต้ที่ไดร้ ับการสันนิษฐานว่ามีอทิ ธิพลมา จากการร่ายราของอินเดีย โนรามีท้ังการร้อง การรา บางส่วนเล่นเป็นเร่ืองบทละคร แฝงคติ ความเชื่อและพิธีกรรมต่างๆ ซึง่ ทาให้เกิดแนวคิด แนวทางการปฏิบัติตน และทาให้เกิดความ สนกุ สนาน การแต่งกายของโนราในยุคแรกๆ จะแต่งกายอย่างง่าย โดยเอาของพ้ืนบ้านมาเป็น เคร่ืองประดับ เช่น เอาเปลือกหอยมาร้อยเป็นลูกปัด ยุคต่อมามีการเปล่ียนเป็นลักษณะ เคร่ืองทรงกษัตริย์มีลักษณะท่ีสวยงาม เช่น เทริด ทางหงส์ ผ้านุ่ง ห้อยหน้า ห้อยข้าง กาไลมือ กาไลเท้า เลบ็ สงั วาล ทับทรวง ปีกนกนางแอ่น สนบั เพลามีเชิง และลูกปดั ห้องสมดุ วฒั นธรรม | 36

เคร่ืองดนตรีท่ีใช้ประกอบการแสดงมีอยู่ 6 ชิ้น คือ กลอง ทับ ปี่ โหม่ง ฉาบ ฉิ่ง กรับ แต่ปัจจุบันผู้ชมนิยมการแสดงดนตรีลูกทุ่งและดนตรีสตริงสมัยใหม่ จึงมีการนาเคร่ืองดนตรี สากลมาประสม องค์ประกอบหลักของการแสดงโนรา ประกอบไปด้วย 1. การทาบท คอื การตีความบทร้องเปน็ ท่ารา โดยคาร้องจะต้องไพเราะ ชดั เจน เร้าใจ และท่าราจะต้องมีความถูกต้องตามแบบฉบับ 2. การแสดงโนราบางครั้งอาจแสดงเฉพาะโอกาส เช่น ราในพิธีไหว้ครู จึงต้องฝึกรา เฉพาะอย่างไว้ 3. การเล่นเป็นเร่ือง มักแสดงเร่ืองที่รู้จักกันดี จะเน้นท่ีการขับบทกลอนแบบโนราให้ได้ เนอื้ ความตามท้องเร่อื ง และเนน้ การเลน่ ตลก ขอ้ มูล : ประชิด สกุณะพัฒน์. มรดกทางวฒั นธรรมภาคใต.้ แสงดาว. 2551. ห้องสมุดวฒั นธรรม | 37

ห้องสมดุ วัฒนธรรม | 38

ดนตรขี องกล่มุ ชาติพนั ธ์มุ อญในภาคกลาง (ดนตรีและเพลงรอ้ ง) กลุ่มชาติพันธุ์มอญมีความเจริญรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมมาช้านาน ภายหลังมอญตกอยู่ ภายใต้การปกครองของพม่า จึงอพยพเข้าสู่ประเทศไทยเป็นระยะๆ มีการกระจัดกระจายตง้ั ถิ่นฐานตามลุ่มแม่น้าท่าจีนและลุ่มแม่น้าแม่กลอง โดยกลุ่มชาติพันธ์ุมอญมีการจัดงาน ประเพณีท่ีมีส่วนสาคัญในการสืบทอดวัฒนธรรม รวมทั้งดนตรีท่ีเป็นส่วนหน่ึงใน งาน ประเพณี เช่น ก่อนเทศกาลทอดกฐิน กลุ่มคนมอญบ้านเกาะเกร็ด อาเภอปากเกร็ด จังหวัด นนทบุรี จะรวมกลุ่มกันลงเรือลาใหญ่ออกเรี่ยไรข้าวของ บอกบุญชาวบ้าน กลางลาเรือก็จะ มีเคร่ืองดนตรีมอญ ได้แก่ ซอ จะเข้ ขลุ่ย ฉิ่ง ระนาด กลอง (เปิงมาง) บรรเลงประกอบการ ขับร้องเชิญชวนให้เจ้าของบ้านทาบุญและร้องเพลงให้พรแก่เจ้าของบ้าน นอกจากน้ี ดนตรีมอญยังมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้านท่วงทานอง และวัตถุประสงค์ในการบรรเลง วงดนตรีมอญแบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท คอื ปพี่ าทย์มอญ และมโหรีมอญ ห้องสมดุ วฒั นธรรม | 39


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook