- 147 - การป้องปรามดว้ ยอาวุธนิวเคลยี ร์เป็นส่ิงทีผ่ ดิ ศีลธรรม 5.2.2 การระเบิดของอาวธุ นิวเคลยี ร์โดยอุบตั ิเหตุ ในเมือ่ โรงไฟฟ้าพลงั ปรมาณูซ่ึงไดร้ ับการ ออกแบบป้องกนั อบุ ตั ิเหตุไวเ้ ป็นอยา่ งดียงั เกิดอุบตั ิเหตุระเบิดข้ึนได้ ดงั ท่ีเกิดข้ึนกบั โรงไฟฟ้าพลงั ปรมาณูของสหภาพโซเวียตทเ่ี มืองเชอร์โนบิล และโรงไฟฟ้าพลงั ปรมาณูของสหรัฐอเมริกาเองก็มี อุบัติเหตุเกิดการร่ัวไหลของรังสีปรมาณูข้ึนหลายแห่ง ฝ่ ายที่คัดดา้ นยุทธศาสตร์การป้องปราม ดว้ ยอาวุธนิวเคลียร์จึงอา้ งว่าอาวุธนิวเคลียร์ซ่ึงแมจ้ ะมีระบบป้องกนั อุบตั ิเหตุดีเพียงใด ก็อาจมีการ ผดิ พลาดระเบิดข้ึนได้ บางคนก็อา้ งว่าเม่อื คลงั แสงอาวธุ ธรรมดาซ่ึงก็มีระบบป้องกนั อบุ ตั ิเหตอุ ยา่ งดี ก็ยงั เคยมีความผิดพลาดระเบิดข้ึนแลว้ จริงอยู่แมอ้ าวธุ นิวเคลียร์จะมีระบบป้องกนั อุบตั ิเหตุอยา่ งดี แตค่ วามผิดพลาดกย็ อ่ มเกิดข้ึนไดเ้ สมอ น่ียงั ไม่ตอ้ งพูดถึงการกระทาของผูก้ ่อการร้ายท่ีจงใจแอบเขา้ ไปก่อเหตุ และถ้าความผิดพลาดเกิดข้ึนไม่ว่าจะเกิดจากความบกพร่องทางเทคนิคหรือความ บกพร่องของมนุษยก์ ็ตาม แลว้ เกิดการยิงอาวุธนิวเคลียร์เขา้ ใส่ฝ่ ายตรงข้าม โดยที่ผูม้ ีอานาจไม่ได้ อนุมตั กิ ารยงิ น้นั กอ็ าจเป็นเหตุใหเ้ กิดสงครามนิวเคลียร์โดยไม่ไดต้ ้งั ใจได้ 5.2.3 การแพร่กระจายของอาวุธนิวเคลยี ร์ ยุทธศาสตร์การป้องปรามดว้ ยอาวุธนิวเคลียร์ ถา้ ได้รับการยอมรับว่าเป็ นยุทธศาสตร์อันชอบธรรมในการป้องกันประเทศ ย่อมเป็ นตัวเร่งและ สนับสนุนการแพร่กระจายของอาวุธนิวเคลียร์ซ่ึงมีอนั ตรายต่อโลก ท้งั น้ีเพราะเม่ือฝ่ ายหน่ึงคิดว่า การมีอาวุธนิวเคลียร์ไวป้ ้องกนั ประเทศเป็นนโยบายอนั ชอบธรรม ก็เร่งทมุ่ เทความพยายามหาอาวุธ นิวเคลียร์เอามาครอบครอง เพ่ือให้เกิดความมัน่ ใจว่าฝ่ ายตนมีอานาจทางทหารเหนือกว่าฝ่ ายตรง ขา้ มอีกฝ่ ายหน่ึงท่ีอาจจะไม่เคยคิดอยากมีอาวุธนิวเคลียร์ก็จาเป็นตอ้ งพยายามหามาไวค้ รอบครอง เพ่ือให้มีดุลอานาจทางทหารเท่ากันหรือดีกว่าอีกฝ่ าย ในที่สุดก็เป็ นการส่งเสริมการแข่งขันการ สะสมอาวุธนิวเคลียร์ และเม่ือประเทศต่างๆ มีอาวุธนิวเคลียร์มากประเทศข้ึน โอกาสที่อาวุธ นิวเคลยี ร์จะตกไปอยใู่ นมอื ของกลุ่มผูก้ ่อการร้ายหรือรฐั ท่สี นบั สนุนการก่อการร้ายกย็ อ่ มมีมากข้ึน
- 149 - บทท่ี 7 การแก้ไขความขัดแย้ง ความสัมพนั ธ์ระหว่างการกาเนิดของความขัดแย้งและแนวทางแก้ไข ถา้ เราสังเกตตัวเราเองและสภาพแวดล้อมรอบตัวเรานับต้ังแต่อยู่ในระยะใกล้ๆ ตวั คือ ภายในครอบครวั ภายในละแวกบา้ นท่ีเราอาศยั อยู่ ภายในเมอื ง ภายในประเทศของเรา จนกระทง่ั ถึง ส่วนที่อยไู่ กลตวั คือ ภายในโลกเราโดยรวม เราจะพบว่าเราตอ้ งเผชิญกบั ความขดั แยง้ ตา่ งๆ อยเู่ สมอ ทุกระดบั นบั ต้งั แต่ตื่นนอนข้นึ มา เช่น ความขดั แยง้ ภายในจิตใจเราเองระหว่างความตอ้ งการพกั ผอ่ น ตามใจปรารถนากับความจาเป็ นท่ีต้องจากัดความตอ้ งการน้ัน เพราะต้องไปประกอบอาชีพเพ่ือ ความอยรู่ อดของตนเองและครอบครัว หรือความขดั แยง้ ตา่ งๆ ระหว่างสามีกบั ภรรยา บุตรกบั บิดา มารดา ความกบั เพ่ือนบา้ นในการใช้สาธารณสมบตั ริ ่วมกนั ความขดั แยง้ ภายในชุมชนระหว่างผนู้ ับ ถือศาสนานิกายต่างกัน ความขัดแยง้ ทางเศรษฐกิจระหว่างนายจ้างกบั ลูกจ้างในประเด็นค่าจ้าง แรงงาน ความขดั แยง้ ทางการคา้ ระหว่างสหรัฐอเมริกา กบั ประเทศไทยเรื่องลิขสิทธ์ิสินคา้ เป็นตน้ เราทราบว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวคือ ความขัดแยง้ เพราะคู่ของความขัดแยง้ ได้แสดง พฤติกรรมเป็นปรปักษ์กนั ออกมา เช่น ความหงุดหงดิ กบั ตนเองเม่ือทาตามใจปรารถนาไม่ได้ การ ประทุษร้ายผู้อ่ืนโดยวาจาหรือโดยพละกาลัง การแสวงหาพรรคพวกและยกพวกเข้าประหัต ประหารกนั การสะสมอาวุธเพราะหวาดระแวงการคุกคามจากผูอ้ ื่น การทาสงครามนานาประเภท ฯลฯ อย่างไรก็ตามมนุษยเ์ ราก็เห็นพอ้ งกันว่าพฤติกรรมชนิดท่ีก่อให้เกิดการทาลายล้างเหล่าน้ี คือ การทาลายสันติภาพ จึงได้พยายามหาวิธีการและมาตรการต่างๆ มาแก้ไขบรรเทา หรือยตุ ิความ ขดั แยง้ น้ันเสียพร้อมๆ กบั แสวงหาลู่ทางที่จะดารงสันติภาพอย่างถาวรให้ได้ แต่การที่จะบรรลุผล ดงั กล่าว เราจาเป็นตอ้ งเขา้ ใจประเภทต่างๆ ของความขดั แยง้ ให้ชดั เจนเสียกอ่ นวา่ มีอะไรบา้ ง เพอื่ จะ ไดท้ ราบถึงสาเหตุอนั จะนาไปสู่การหาทางแกไ้ ขหรือยตุ ิปัญหาความขดั แยง้ ไดต้ รงเป้าหมายมากข้ึน เราอาจจาแนกประเภทของความขดั แยง้ ไดอ้ ยา่ งกวา้ งๆ โดยอาศยั คาจากดั ความจากสารานุกรมทาง สังคมศาสตร์ (Encyclopedia of Social Science) เป็นแนวทางไดด้ งั น้ี 1. ความขัดแย้งภายใน (Inner Conflict) หรือความขดั แยง้ ภายในตนเอง (Self Conflict) อนั เป็นความขดั แยง้ ระหวา่ งตวั บคุ คลกบั ค่านิยมของสังคมท่ีบุคคลน้นั สังกดั อยู่ เช่น บางสังคมนิยมการ ฟ่ มุ เฟื อยจบั จ่ายใชส้ อยเป็นหลกั เรียกไดว้ ่าเป็นสังคมบริโภค บุคคลที่มีความมกั นอ้ ยมีความสมถะ ในการดารงชีวิตก็จะเกิดความขดั แยง้ กับตนเองหรือขดั แยง้ กบั สังคมน้ันข้ึนมา มคี วามไม่พึงพอใจ ต่อสภาพรอบขา้ ง
- 150 - 2. ความขัดแย้งทางสังคม (Social Conflict) เป็ นความขัดแย้งระหว่างบุคคลกับบุคคล บคุ คลกบั กลมุ่ กลมุ่ กบั กลมุ่ ประเทศกบั ประเทศ กล่มุ ประเทศกบั กลุ่มประเทศเป็นหลกั อนั มสี าเหตุ มาจากประเด็นต่างๆ อาจเป็ นสาเหตุทางด้านเศรษฐกิจ อุดมการณ์ทางการเมือง ลทั ธิทางศาสนา ผลประโยชน์ทางดา้ นอานาจ ฯลฯ เช่น ความขัดแยง้ ระหว่างผูน้ าทางทหารกับสมาชิกสภาผูแ้ ทน ราษฎรในเรื่องบทบาทการพฒั นาประชาธิปไตย ความขดั แยง้ ระหว่างขบวนการโจรแบ่งแยกกับ กลุ่มผูร้ ักษากฎหมายบา้ นเมืองในเร่ืองทางการเมือง ความขดั แยง้ ระหว่างประเทศอิสราเอลกบั กลุ่ม ประเทศอาหรบั ในเรื่องขบวนการปลดปลอ่ ยปาเลสไตน์ เหลา่ น้ี คือ ตวั อยา่ งท่เี ห็นๆ กนั อยู่ ความขดั แยง้ ทางสังคมมีระดบั ของการก่อผลกระทบกบั หน่วยอ่ืนๆ ทางสังคมกวา้ งขวาง กว่าความขัดแยง้ ภายในตัวบุคคล และในการพิจารณาแก้ไขความขดั แยง้ ทางสังคมน้ีก็อาจแบ่ง ขอบเขตการพิจารณาออกเป็ น 2 ระดับ คือ จะแบ่งออกเป็ นทางแก้ไขความขัดแยง้ ภายในรัฐและ ระหว่างรัฐท้งั ๆ ท่ีการแบ่งแยกน้ีอาจกระทาไม่ได้ในบางกรณีก็ตาม แต่เพื่อเป็ นการปูทางให้เกิด ความเขา้ ใจต่อวิธีการแกไ้ ขความขดั แยง้ ซ่ึงแต่ละวิธีจะเกี่ยวขอ้ งกบั ขอบเขตของปัญหาบา้ ง จึงได้ แบ่งไว้คร่าวๆ ทานองเดียวกับการพิจารณาระดบั ความขัดแยง้ การพิจารณาหาทางแก้ไขความ ขดั แยง้ ก็จาเป็นตอ้ งสรุปเหตแุ ห่งความขดั แยง้ ไวช้ ้ันหน่ึง อนั จะทาให้การหาทางแกไ้ ขความขดั แยง้ สอดคลอ้ งกบั เหตุมากข้ึน นักสังคมศาสตร์และนกั จิตวิทยาสังคมส่วนใหญ่ไดห้ ากาเนิดแห่งความ ขดั แยง้ ไว้ รวมท้งั ไดร้ ะบุถึงผลของความขดั แยง้ คือ ความรุนแรงในรูปแบบต่างๆ รวมท้งั สงคราม และการใชเ้ คร่ืองมือสาแดงความรุนแรงอยา่ งมากที่สุดเท่าท่ีเคยปรากฏในประวตั ิศาสตร์มนุษยชาติ สามารถพิจารณาปรากฏการณค์ วามขดั แยง้ ท้งั หลายตามแงม่ ุม ดงั ตอ่ ไปน้ี คือ 1. ความขัดแย้งทางสังคมอย่างเรื้อรัง (Protracted Social Conflict) ไดแ้ ก่ ความขัดแยง้ เกี่ยวกับการยอมรับในเอกลักษณ์ (Identity) สถานภาพ (Status) ค่านิยม (Value) ท้ังทางด้าน การเมอื ง เศรษฐกิจ และสังคม เช่น ความขดั แยง้ ดา้ นการยอมรับสถานภาพระหว่างชาวกรุงกบั ชาว
- 151 - ชนบท ความขัดแยง้ ระหว่างนายทุนกบั ผูใ้ ช้แรงงานทางอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการกาหนดค่าจา้ ง แรงงานช้ันต่า ความขดั แยง้ ระหว่างแนวทางการพฒั นาแบบทุนนิยมท่ีเร่งการทาประเทศให้เป็ น แบบตะวนั ตกกบั การพัฒนาแบบพ่ึงตนเองโดยอาศยั เทคโนโลยีพ้ืนบ้านน้ีวิธีของความขัดแยง้ ประเภทน้ีบางกรณีจะเกิดข้ึนอย่ภู ายในรฐั เช่น ความขดั แยง้ ระหวา่ งรัฐอาร์เมเนียกบั สหภาพโซเวียต หรือระหว่างชนกลุ่มนอ้ ยกบั สหภาพพม่า และในบางกรณีก็เป็นเร่ืองระหว่างรัฐ เช่น ระหว่างอิรัก กบั อิหร่านซ่ึงต่างนิกายทางศาสนากนั รวมท้งั ในหลายกรณีท่ีอาจไดร้ ับอิทธิพลหรือการแทรกแซง จากรัฐอ่ืนได้ และจะมีลกั ษณะยืดเยื้อเพราะเป็นเรื่องของการสร้างการยอมรับความแตกต่างของกนั และกนั ใหไ้ ด้ อนั เป็นเร่ืองละเอียดออ่ นเป็นพิเศษ 2. ความขัดแย้งด้านอานาจ (Conflict of Power) เป็ นความขัดแยง้ อันเกิดจากการแย่งชิง เพื่อเข้าครอบครองสิ่งที่มีอยู่อย่างจากัด เช่น ทรัพยากรธรรมชาติ ดินแดนประชากร หรือความ ตอ้ งการขยายอานาจทตี่ นมีอยู่ออกไป เช่น การขยายอานาจทางการทหาร จึงทาให้เกิดความขดั แยง้ กบั อีกฝ่ายหน่ึงซ่ึงมีความประสงคอ์ ยา่ งเดียวกนั เพราะฉะน้นั การท่ฝี ่ ายใดบรรลุวตั ถุประสงคน์ ้ีไดก้ ็ เท่ากบั ความสูญเสียของอีกฝ่ ายหน่ึง ดงั น้ันความขดั แยง้ ลกั ษณะน้ีจึงเป็นเรื่องที่ประนีประนอมกนั ไดย้ าก จึงมกั ใชค้ วามรุนแรงเพื่อใหค้ ู่ของความขดั แยง้ เกิดความจานน หรือไดร้ ับความเสียหาย หรือ เป็นการกาจดั คู่ของความขดั แยง้ ใหห้ มดสิ้นไป เช่น การทาสงคราม เป็นตน้ ความขดั แยง้ ท้งั 2 แง่มุมน้ีอาจเกิดข้ึนร่วมกนั หรือต่อเน่ืองกนั ในกรณีใดกรณีหน่ึงก็ได้ เช่น ความขัดแยง้ ทางสังคมอาจนาไปสู่การต่อสู้ทางการทหารเม่ือเกิดการเข้าครอบครองอานาจโดย เด็ดขาด และใช้อานาจน้นั บงั คบั ผูแ้ พใ้ ห้ยอมรับค่านิยมของผูช้ นะก็ได้ เช่น ความขดั แยง้ ภายในรัฐ อหิ ร่านสมยั พระเจา้ ซาร์กบั ฝ่ ายผนู้ าทางศาสนาจนกระทง่ั เกิดการยืดอานาจของผูน้ าทางศาสนาแลว้ นาค่านิยมท่ีผนู้ าใหมเ่ ห็นว่าเหมาะสมมาถือปฏิบตั ิ เป็นตน้ ความแตกตา่ งในการแกไ้ ขความขดั แยง้ นอกจากจะผนั แปรไปตามลกั ษณะของความขดั แยง้ สถานการณ์ท่ีกาลังเกิดความขัดแยง้ แล้วยงั ผนั แปรไปตามสายสกุลทางความคิดของผูเ้ สนอแนว ทางแกไ้ ขเหล่าน้นั รวมท้งั ความคาดหวงั ตอ่ ผลของการแกไ้ ขความขดั แยง้ ดว้ ยว่า ตอ้ งการใหเ้ กิดการ สร้างสันติภาพ (Peace Making) อยา่ งถาวร หรือต้องการเพียงรักษาสันติภาพ (Peace Keeping) ท่ีมี อยู่มิให้เสื่อมลง เราควรทาความเข้าใจกนั ไวก้ ่อนว่า การสร้างสันติภาพน้ันมุ่งถึงการแก้ไขความ ขดั แยง้ เฉพาะประเด็นท่ีเห็นว่าเป็ นเหตุของการเกิดความขดั แยง้ น้ันๆ เช่น ถ้าเห็นว่าความขดั แยง้ ระหว่างนายจา้ งกับลูกจา้ งในเร่ืองค่าจา้ งแรงงานน้ันแท้จริงแลว้ อยทู่ ี่การสร้างความพอใจร่วมกนั ระหว่างท้งั 2 ฝ่ าย ท้งั ทางดา้ นตน้ ทุนการผลิตและความอยรู่ อดตามสมควร ก็มุ่งแกต้ รงจุดน้ีแทนท่ี จะถือเอาฝ่ายใดฝ่ ายใดฝ่ายหน่ึงเป็นหลกั ซ่ึงเป็นเหตใุ ห้เกิดการไดเ้ ปรียบเสียเปรียบกนั ทางเศรษฐกิจ ข้ึนมา การสร้างสันติภาพถาวรน้ันจะเป็ นส่ิงที่มุ่งสู่การแก้ไขความขัดแยง้ ทางสังคมอย่างเร้ือรัง
- 152 - มากกว่าจะเป็นการยตุ ิความขดั แยง้ หรือจากดั ขอบเขตความขดั แย้งไว้ ดงั น้ัน การสร้างสันตภิ าพจึง เป็ นกระบวนการจัดการให้เกิดการพบกัน ยอมรับกันระหว่างคู่ของความขัดแย้งอย่างมี ประสิทธิภาพ ส่วนการรักษาสันติภาพน้ันมาถึงวิธีการแกป้ ัญหาหรือเทคนิคการแกป้ ัญหา ซ่ึงมกั จะ มุ่งสู่การระงบั ความขดั แยง้ ดา้ นอานาจท้งั ทางการเมืองและเศรษฐกิจ โดยอาศยั การสร้างสถาบนั เข้า ควบคุมพฤติกรรมการวางกฎระเบยี บ การแบง่ ปันอานาจและผลประโยชน์ พัฒนาการของการแก้ไขความขัดแย้ง การศึกษาถึงการแก้ใขความขัดแยง้ คือ การศึกษาถึงการเข้าแทรกแซงความสัมพันธ์ ระหว่างคู่ของความขดั แยง้ เช่น ระหว่างกลุ่มบุคคลกบั กลุ่มบุคคล ระหว่างรฐั กบั ประชาชนภายใน รฐั หรือระหว่างรัฐกบั รัฐ การแกไ้ ขดงั กล่าวมิควรกระทาไปบนพ้ืนฐานของการลองผิดลองถูก แต่ ควรจะกระทาดว้ ยความชานาญในการคาดการณ์ ผลท่ีจะเกิดข้ึนตามมา นอกเหนือจากการมีศิลปะ ช้ันเชิงด้านการผลักดันปัญหาให้หมดสิ้นไปหรือถอยห่างออกไปเมื่อเป็ นเช่นน้ี การสารวจ วิวฒั นาการการแกป้ ัญหาท่ีเกิดข้ึนมาแลว้ จะเป็ นการให้ประสบการณ์เพื่อนามาใชใ้ นการวางแนว ทางแกไ้ ขความขดั แยง้ ใหร้ ัดกมุ ยิ่งข้ึน ถา้ เรายอ้ นดูประวตั ิศาสตร์มนุษยชาติต้งั แต่อดีตกาลเราจะเห็นวิวฒั นาการของการก่อต้งั ชุมชน ก่อต้งั รัฐข้ึนมาเม่ือชุมชนเจริญข้ึน มีความสลบั ซับซ้อนมากข้ึน ก็เกิดความขดั แยง้ ภายใน ชุมชนอันเนื่องมาจากความรู้สึกไดเ้ ปรียบเสียเปรียบกันระหว่างคนกลุ่มต่างๆ เพ่ือให้ชุมชนหรือ สังคมดารงอยไู่ ดจ้ ึงตอ้ งมกี ารตกลงแบง่ อานาจหนา้ ที่กนั และกนั ข้ึน เช่น ผปู้ กครองมีหนา้ ที่ทางการ ปกครองป้องกนั ชุมชน ส่วนคนอ่ืนๆ ทาหน้าที่ทางการผลิต เช่น ชาวไร่ ชาวนา ทาการเพาะปลูก เล้ียงสตั ว์ และให้ผลผลติ แกผ่ ูป้ กครองท่ีตอ้ งทาหนา้ ท่ีอืน่ แทนการผลติ ความสมั พนั ธ์เช่นน้ีกอ่ ใหเ้ กิด การเอารัดเอาเปรียบระหว่างกลุ่มคนข้ึนมา เมื่อแต่ละกลุ่มไม่ทาหน้าที่ของตนอย่างแทจ้ ริง เช่น ผูป้ กครองมิได้ทาหน้าท่ีผูป้ กครองแต่ฉกฉวยสิทธิความเป็ นผูป้ กครองเรียกเก็บผลผลิตจนมาก เกินไปในความขดั แยง้ เช่นน้ีจึงตอ้ งมีขอ้ ตกลงทแ่ี น่นอนใหเ้ ป็นท่ียอมรับกนั ระหวา่ งภาระหนา้ ท่ีและ ความรับผิดชอบที่บุคคลในชุมชนควรมีร่วมกนั อยา่ งเป็นธรรมเพ่ือความสงบของชุมชน เกิดเป็ น วฒั นธรรมของการมีลาดบั ช้ันในสังคม และยอมรับกฎเกณฑป์ ระพฤติปฏิบตั ิ ทาให้สังคมมีความ สงบสุขไดเ้ ป็นระยะ นบั วา่ เป็นการระงบั ความขดั แยง้ ไดอ้ ย่างหน่ึง ในเชิงของการรักษาสนั ติภาพให้ ดารงอยู่ ตามวิวฒั นาการของสังคมน้ีเอง ทาให้เราไดเ้ ห็นความพยายามของการสร้างสันติภาพใน ชุมชนข้ึนมา นอกจากการวางกฎระเบียบเพ่อื ถอื ปฏบิ ตั ใิ หส้ ังคมอยใู่ นความสงบเรียบร้อยอนั เป็นตน้ เค้าของการกาหนดกฎหมายภายในสังคมแล้วยงั มีการต้ังสถาบันท่ีดูแลรักษากฎระเบียบอีกดว้ ย
- 153 - อยา่ งไรก็ตาม มนุษยไ์ ดเ้ รียนรู้ว่ากฎระเบียบต่างๆ น้นั ข้ึนอย่กู บั อานาจของผูว้ างกฎ ผูร้ ักษากฎ ถา้ ผู้ วางกฎและผูร้ กั ษากฎไมม่ ีคณุ ธรรม วางกฎดว้ ยความมงุ่ หวงั ท่ีจะรกั ษาผลประโยชนข์ องตนเป็นทตี่ ้งั มิช้ามินานก็จะเกิดความขดั แยง้ ข้ึนมาอีก มนุษยจ์ ึงใฝ่ ฝันที่จะสร้างสันติภาพถาวรตามอุดมคติของ ตน ดงั น้ันสิ่งท่ีเกิดข้ึนก็คือ กฎหมายของชุมชนต่างๆ แนวการปกครองนครรัฐของกรีก กฎหมาย โบราณของตะวนั ออกกลาง แนวทางการปกครองประเทศและความสัมพนั ธร์ ะหว่างบุคคลในสังคม ของขงจื่อ สานกั นิติธรรมนิยมของจีนโบราณพระธรรมศาสตร์ของอนิ เดียโบราณ กฎหมายตราสาม ดวงของไทย ฯลฯ อนั เป็นระเบียบปฏบิ ตั ิในการควบคุมการแบ่งสรรอานาจ หนา้ ท่ี และบทบาทของ คนในสังคม รวมท้งั ส่ิงที่เกิดข้ึนควบคู่กนั คือ ความมงุ่ หวงั ในการสร้างสนั ติภาพถาวรวา่ สังคมน้ันๆ ค วรมี ก ารก ากับ ก ารใช้อ าน าจอ ย่างไ ร บุ ค ค ล แต่ ล ะ สถ า น ภา พค วรมี บ ท บ าท อ ย่า งไ รที่ จะส ร้ า ง สนั ติภาพภายในชุมชนน้นั ๆ ความมงุ่ หวงั เช่นน้ีก่อให้เกิดความคิดเร่ืองอุตมรัฐ (Utopian State) ของ นักป ราชญ์ ชาติต่างๆ ความ คิดเร่ื อ งจักรพ รรดิผู้ทรงคุณ ธรรม (Sage Emperor) ของจีน ทศพิธราชธรรมของกษตั ริยไ์ ทย ฯลฯ เหล่าน้ีลว้ นเป็นไปเพื่อมิให้เกิดการเอารดั เอาเปรียบกนั ข้ึนอนั จะเป็นพ้นื ฐานของการสร้างสันตภิ าพ ถึงกระน้ันก็ดี ความพยายามสร้างสันติภาพในลักษณะของการสร้างกฎระเบียบข้ึนน้ันก็ มิไดเ้ ป็นความยินยอมพร้อมใจของทุกฝ่ายที่เกี่ยวขอ้ งอยา่ งแทจ้ ริง บางคร้ังผปู้ กครองกเ็ ป็นผวู้ างกฎ ไวต้ ามอาเภอใจของพวกเขาเพ่ือดารงรูปแบบการปกครองท่ีเอ้ือประโยชน์ต่อเขา เพื่อรักษาอานาจ ของพวกเขาเหล่าน้ีเป็ นตน้ บรรดาราษฎรผูเ้ ป็นชาวบา้ นยอมรับในกฎต่างๆ เพราะความไม่รู้ เพราะ สภาพสังคมท่ีทาให้เขายงั ไม่ตอ้ งเก่ียวขอ้ งกับผูป้ กครองในเรื่องทางเศรษฐกิจสังคมเท่าใดนัก คน สมยั ก่อนยงั ไม่ตอ้ งการสวสั ดิการจากรัฐ สังคมยงั เป็นแบบพ่ึงตนเองไดส้ มั พนั ธภาพทางการเมืองจึง มักเป็ นแบบศักดินา สัมพันธภาพทางเศรษฐกิจเป็ นแบบมีความผูกพันทางใจร่วมอยู่ (moral economy) ดงั น้นั ความขดั แยง้ ในสังคมจึงมกั เป็นความขดั แยง้ ระหวา่ งผปู้ กครองกบั ผปู้ กครอง และ ระหว่างราษฎรกบั ราษฎร ในประเด็นของการแยง่ ชิงอานาจทางการเมืองของกนั และกนั ดงั ท่ีเราเห็น จากประวตั ศิ าสตร์ของแทบทุกประเทศสาหรับกรณีแรก และการวิวาทแยง่ ชิงท่ีทามาหากินระหวา่ ง กนั และกนั สาหรับกรณีหลงั ซ่ึงตามสภาพเช่นน้ี การใชค้ วามรุนแรงจึงเป็นเร่ืองหลีกไม่พน้ สาหรับ กรณีแรก เพราะยงั ไมม่ ีสถาบนั ใดข้นึ มาทาหนา้ ที่จดั การความขดั แยง้ เช่นน้ี อานาจของผชู้ นะจึงเป็ น ธรรมแต่สาหรับกรณีหลงั นอกจากการใชค้ วามรุนแรงจดั การกนั เองแลว้ ยงั อาจอาศยั สถาบนั และ กฎระเบียบท่ีตกลงกนั ในสังคมมาเป็นเกณฑ์แกไ้ ขความขดั แยง้ ได้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในสมยั โบราณน้ันโครงสร้างทางเศรษฐกิจสังคมอยา่ งง่ายๆ ประกอบกบั การขาดโอกาสในการรับรู้ของคน ทเี่ ป็นราษฎรทาให้ความขดั แยง้ ระหวา่ งผูป้ กครองกบั ผูอ้ ยใู่ ตป้ กครองไม่ค่อยเกิดข้ึนบอ่ ยนัก จนกว่า จะมกี ารสร้างความรู้สึกของการไดเ้ ปรียบเสียเปรียบเกิดข้ึนจึงจะทาให้ผูอ้ ยู่ใตป้ กครองเกิดความไม่
- 154 - พอใจและขัดแย้งต่อต้านผู้ปกครอง ดังเช่น กบฏชาวนาหลายสิ บคร้ังในประเทศจีนสมัย สมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นตน้ เมอ่ื ความสมั พนั ธท์ างการเมืองเศรษฐกิจ และสังคมระหว่างคนกลุ่มต่างๆ สลบั ซบั ซ้อนมาก ข้ึน ตามวิวฒั นาการของสังคมซ่ึงควบคู่กนั มากบั วิวฒั นาการของระบบเศรษฐกิจ ระบบเศรษฐกิจ กา้ วพน้ แบบด้งั เดิมมาสู่ระบบทุนนิยมท่ตี อ้ งการการสะสมทุน และผลกาไรของผูล้ งทุนมากที่สุด จึง เกิดการสร้างระเบียบทางสังคมท่ีให้ประโยชน์แก่เจา้ ของทุนมากข้ึน ที่เป็ นเช่นน้ีไดเ้ พราะผูม้ ีทุน มกั จะเป็นผมู้ อี านาจทางการเมืองหรือเกี่ยวพนั กบั ผมู้ อี านาจทางการมือง เช่น เป็นเครือญาติหรือเป็น ผเู้ ก้ือหนุน ผูม้ ีอานาจทางการเมืองในทางเศรษฐกิจ เช่น พวกพ่อคา้ ในองั กฤษให้ภาษีตอบแทนแก่ กษตั ริย์ เป็นตน้ การเอารัดเอาเปรียบกนั ทางเศรษฐกิจจึงมีมากข้ึน และส่งผลกระทบถึงความดอ้ ย โอกาสทางสังคมของผูม้ ีฐานะต่อทางเศรษฐกิจตามมากฎระเบียบต่างๆ บางคร้ังจึงเป็ นการสร้าง ความไม่ชอบธรรมแก่คนหมู่มาก ทาความไม่พึงพอใจและขดั แยง้ กันอย่างเร้ือรัง ผูม้ ีอานาจทาง การเมืองและเศรษฐกิจมคี วามพยายามที่จะรักษาสถานะเดิมของตนไว้ ผูเ้ สียเปรียบรู้สึกหมดความ อดทนหรือรู้สึกว่าภาวะที่ตนเผชิญอยู่น้ันยากที่จะทนทานต่อไป กฎระเบียบท่ีเกิดข้ึนมามิได้มี รากฐานอยู่ท่ีความเห็นพอ้ งตอ้ งกนั หรือการสร้างความพอใจร่วมกนั ความขดั แยง้ ที่เกิดข้นึ ลกั ษณะ น้ีจึงมกั จะหาทางแกไ้ ขไดย้ ากนอกจากการใช้ความรุนแรงในรูปแบบหรือในเน้ือหาเขา้ แกไ้ ขเปล่ียน โครงสร้างความสัมพนั ธ์ใหม่ ดงั ที่ปรากฏเป็นการปฏวิ ตั ฝิ ร่ังเศส การปฏวิ ตั ิรัสเซีย และการปฏวิ ตั จิ ีน โดยว่าโครงสร้างความสัมพนั ธ์ทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ระหว่างคนกลุ่มต่างๆ ที่จดั ข้ึน ใหม่น้ีจะลดความไดเ้ ปรียบเสียเปรียบระหว่างกนั ลง ทาให้เกิดความพอใจถว้ นหน้าอนั เป็นรากฐาน ของสันติภาพถาวร ความพยายามแกไ้ ขความขัดแยง้ ในสังคมก็ยงั ดาเนินอยู่จนทุกวนั น้ีดว้ ยวธิ ีการที่ รุนแรงในรูปแบบและเน้ือหา คือ การปฏิวตั ิหรือวิธีการค่อยเป็ นค่อยไปอย่างไม่รุนแรง เพื่อปรับ ไปสู่การเปล่ียนแปลงโครงสร้างความสัมพนั ธ์ร่วมกนั ระหว่างกลุ่มต่างๆ เช่น วิธีการอหิงสา การ สร้างความตระหนกั ในสิทธิมนุษยชนของกนั และกนั ท้งั หมดที่กลา่ วมาขา้ งตน้ คือ การแกไ้ ขความ ขดั แยง้ ในระดบั ภายในรัฐ อยา่ งไรก็ตามสาระในชุดวิชาน้ีส่วนหน่ึงจะเป็ นการแกไ้ ขความขดั แยง้ ระหวา่ งรัฐตอ่ รฐั ถา้ จะพิจารณาความขดั แยง้ ระหวา่ งรฐั จะเห็นไดว้ ่านบั ต้งั แต่มนุษยต์ ้งั ชุมชนไดส้ าเร็จ และมี บนั ทึกประวตั ิศาสตร์เป็ นหลักฐานให้เราสืบหาพฤติกรรมของมนุษย์ เช่น รูปสลกั หิน จารึกตัว อกั ษรบนกระดาษ บนหินตามผนงั ในถ้า ในโบสถ์ การสร้างกาแพงเมือง กาแพงประเทศส่ิงเหล่าน้ี ได้สะท้อนให้เราเห็นการใช้ความรุนแรง คือ สงครามเป็ นตัวแก้ไขปัญ หา ใช้กาลังเข้า ประหัตประหารกนั ระหว่างกลุ่มชน ระหว่างรฐั จะเห็นไดว้ ่าความขดั แยง้ สมยั กอ่ นเป็นเรื่องของการ แย่งชิงเข้าครอบครองสิ่งท่ีมีอยู่อย่างจากัด แบ่งกันครอบครองไม่ได้ เช่น ดินแดนที่ต้งั ของรัฐ
- 155 - จกั รวรรดิจีนไดส้ ร้างสิ่งมหัศจรรยข์ องโลกคือกาแพงเมืองจีน เพ่ือป้องกนั การรุกรานของพวกมอง โกลจากทะเลทรายทางตะวันตกเฉียงเหนือเพ่ือเข้ามายึดครองประเทศจีน ประเทศสยามสมัย รัตนโกสินทร์ตอนตน้ ขุดคูและสร้างกาแพงเมืองพร้อมท้งั ป้อมค่ายเชิงเทินเพ่ือกนั การรุกรานของ พม่าท่ีจะเข้ากวาดต้อนทรัพยส์ ินและผูค้ นไปเป็ นสมบัติของรัฐเขา จอมจักรพรรดินโปเลียนทา สงครามในยุโรปเพ่ือขยายอาณาจักรฝรั่งเศส นักรัฐศาสตร์ผูม้ ีชื่อเสียงท่านหน่ึง ช่ือควินชี่ไรท์ (Quincy Wright)ไดท้ าการศึกษาเร่ืองความขดั แยง้ ต่างๆ ระหว่างสตั วก์ บั สตั ว์ คนกบั คน ต้งั แตด่ ึกดา บรรพล์ งมาและเขียนเป็นตาราช่ือการศึกษาเร่ืองสงคราม (The Study of War) แลว้ สรุปบนพ้ืนฐาน ของกรอบความคิดที่ว่า สงคราม คือ เครื่องมือยุติความขัดแยง้ อันเกิดจากการแข่งขันกันเข้า ครอบครองสิ่งใดสิงหน่ึง เช่นเดียวกบั วิวฒั นาการของความสัมพนั ธ์ระหวา่ งกลุ่มชนในสังคมภายในรฐั ความสัมพนั ธ์ ระหว่างรัฐหรือที่เราเรียกกันว่าความสัมพนั ธ์ระหว่างประเทศในชุมชนนานาชาติ (international community) หรือบนโลกก็มีการหาทางแกไ้ ขความขดั แยง้ ท่ีดีกว่าการทาสงครามข้ึน เมื่อโลกเผชิญ กบั ความขดั แยง้ ระหวา่ งกลุ่มประเทศคร้ังย่ิงใหญ่คือ สงครามโลกคร้ังที่ 1 จึงไดเ้ กิดการต้งั องคก์ าร สันนิบาตชาติ (League of Nations) เพ่ือเป็นสถาบนั รักษาสันติภาพภายในโลก แต่หลงั จากการต้งั องค์การน้ีไดเ้ พียงสิบปี เท่าน้ันเอง ก็เกิดความขดั แยง้ ระหว่างกลุ่มอีกในเรื่องการยอมรับสถานภาพ ทางเช้ือชาติ เช่น เยอรมนีสมยั ฮิตเลอร์พยายามเชิดชูเช้ือชาติอารยนั และทาลายลา้ งคนเช้ือชาตยิ วิ โดย ถอื ว่าอารยนั เป็นเผ่าพนั ธุ์บริสุทธ์ิและเป็นอจั ฉริยะเกิดความขดั แยง้ ระหว่างฐานะทางเศรษฐกิจและ การเมืองระหวา่ งประเทศ คอื กลุ่มอกั ษะอนั ประกอบดว้ ยเยอรมนี อิตาลี และญี่ป่ ุน ซ่ึงรู้สึกวา่ ถกู ลด ฐานะกบั กลุ่มสมั พนั ธมติ รความขดั แยง้ ต่างๆ เหล่าน้ีขยายตวั ออกไปจนเกิดเป็นสงครามโลกคร้ังท่ี 2 และก่อนสงครามโลกคร้งั ที่ 2 จะสิ้นสุดลงกไ็ ดม้ กี ารร่างกฎบตั รสหประชาชาตขิ ้นึ ทนี่ ครซานฟราน ซีสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อแกไ้ ขความขดั แยง้ ท่ีเกิดข้ึนมาแลว้ และวางกฎเกณฑเ์ พื่อป้องกนั ไม่ให้เกิดข้ึนอีกในอนาคต โดยต้งั องคก์ ารสหประชาชาติและหน่วยงานต่างๆ ในเครือขา่ ยทาหนา้ ท่ี เป็ นองค์กรรักษากฎและควบคุมดูแลให้มีการปฏิบตั ิตามกฎข้อตกลงระหว่างนานาประเทศตาม ประเด็นตา่ งๆ เช่น กรณีพิพาทเร่ืองดินแดน เรื่องอาณานิคม ฯลฯ โดยมคี วามหวงั ว่าองคก์ ารระหวา่ ง ประเทศเช่นน้ีจะกากบั พฤตกิ รรมของรฐั ตา่ งๆ ให้ดาเนินไปในวถิ ขี องสันตภิ าพ ความคิดในการจดั ต้งั องค์การสหประชาชาติจึงเป็ นความคิดท่ีให้องค์การน้ีเป็ นหน่วยงาน กลางมีอานาจท่จี ะรักษาสนั ติภาพเอาไว้ โดยมีปทสั ถานทางกฎหมายระหว่างประเทศเป็นเกณฑก์ าร พิจารณาว่าการกระทาใดเป็ นการล่วงละเมิด มีคณะรัฐมนตรีความม่ันคง (The Security Council) เป็นหน่วยคอยบงั คบั ให้มีการปฏิบตั ิตามขอ้ ตดั สินรัฐสมาชิกแสดงความยอมรับฐานะขององค์การ ดว้ ยการเสียค่าบารุงและปฏิบตั ิตามกฎระเบียบขอ้ ตกลงต่างๆ เพ่ือบรรลุวตั ถุประสงค์ขององค์การ
- 156 - โดยหวงั ว่าการมีหน่วยงานท่ีทรงอานาจและการใชอ้ านาจทางกฎหมายบงั คบั ปฏิบตั ิคงจะพ้นการ สร้างความมน่ั คงและให้ประโยชน์ร่วมกนั แก่บรรดาสมาชิก อย่างไรก็ตามสงครามและข้อพิพาท ระหว่างประเทศท่ีเพิ่มมากข้ึนหลงั การจดั ต้งั องค์การสหประชาชาติ โดยเฉพาะการเกิดขบวนการ ทางการเมืองระหว่างประเทศ เช่น ขบวนการปลดปล่อยปาเลสไตน์ (Palestine Liberation Organization P.L.O.) ขบวนการกู้ชาติต่างๆ ในลาตินอเมริกา ขบวนการปฏิวตั ิของชาวไอริช (IRA) ขบวนการแบง่ แยกดินแดนในแคนาดา (The Que-becois) ฯลฯ เหล่าน้ีสะทอ้ นปัญหาประการ หน่ึงว่า การแกไ้ ขความขดั แยง้ โดยอาศยั อานาจทีป่ ราศจากสิทธิธรรมคือไม่เป็นที่ยอมรบั ของท้งั สอง ฝ่ายที่เก่ียวขอ้ งน้นั มิใช่การแกไ้ ขความขดั แยง้ ทแี่ ทจ้ ริง หรือแมใ้ นกรณีท่ีองค์การสหประชาชาติเขา้ ไปเก่ียวขอ้ งไดโ้ ดยท่ีคกู่ รณียนิ ยอม เช่นกรณีการให้เอกราชของประเทศนามิเบีย ซ่ึงหน่วยงานระดบั ภูมิภาคของสหประชาชาติรับผิดชอบอยู่ คือ องค์การเอกภาพแอฟริกา (Organization of African Unity) อนั มีอานาจทางกฎหมายอยา่ งเต็มที่ ก็ไมป่ ระสบความสาเร็จมากนักในการหาทางแกไ้ ขขอ้ ขดั แยง้ ปัญหาระหว่างรฐั ทเี่ กิดข้ึนสะทอ้ นให้เห็นถงึ ความลม้ เหลวระหว่างอุดมการณ์กบั การปฏบิ ตั ิ น้ันก็คือ การละเลยถึงการพิจารณาว่าทาไมแต่ละประเทศท่ีก่อสงครามโลกคร้ังท่ี 2 จึงไม่เคารพ กฎระเบียบที่วางไวท้ าไมประเทศสมาชิกองค์การสหประชาชาติจึงไม่ยอมทาตามมติขอ้ ตกลงบาง ประการ มีการหาคาตอบออกมาจากประสบการณ์ของความขดั แยง้ ในวงอุตสาหกรรม (ดงั ท่ีปรากฏ ในเร่ือง 2.3.1) ว่าทางออกท่ีดีก็คือ จะตอ้ งมีปฏิสัมพนั ธ์ตอบโตก้ นั ระหว่างฝ่ ายจดั การและคนงาน เพ่ือสร้างความร่วมมือและเพิ่มผลผลิต คาตอบน้ีมีพ้ืนฐานสอดคลอ้ งกบั ทฤษฎีการตดั สินใจโดย อาศยั กระบวนการตอบโตซ้ ่ึงกนั และกนั ระหว่างทุกฝ่ ายที่เกี่ยวขอ้ งกบั การตดั สินใจกาหนดนโยบาย เพ่ือสร้างความเขา้ ใจร่วมกนั ดังน้ันจึงมีข้อเสนอว่า การแก้ไขความขัดแยง้ น้ันควรกระทาไปใน ลกั ษณะของการพูดคุยตอบโตแ้ ลกเปล่ียนขอ้ คิดเห็นต่อปัญหาและทางเลือกในการแกไ้ ขปัญหาอนั จะให้ความพึงพอใจแก่ทกุ ฝ่ ายมากกว่าการอาศยั อานาจตามสถานภาพท่ีไม่เท่าเทียมกนั ระหวา่ งรัฐ ต่างๆ หรืออานาจทางกฎหมายจากศูนยก์ ลางอานาจมาบงั คบั ใช้ เพราะจะทาให้เกิดการจายอมและ จานวนมากกว่าการพร้อมใจกนั ยอมรับซ่ึงเป็นการระงบั ความขดั แยง้ เท่าน้นั อยา่ งไรก็ตาม ทุกวนั น้ี เราก็ยงั หาขอ้ ยตุ ไิ ม่ไดว้ ่าวิธีการสร้างสันติภาพหรือวิธีการระงบั ขอ้ ขดั แยง้ อยา่ งใดจะมีประสิทธิภาพ ในการแกไ้ ขความขดั แยง้ เร้ือรังและความขดั แยง้ เรื่องอานาจ ต้ังในระดับรัฐและระดบั ระหว่างรัฐ การที่ยงั หาขอ้ สรุปลงตวั ไม่ได้น้ีเองทาให้เกิดทฤษฎีหรือแนวความคิดหลากหลายว่าดว้ ยการแกไ้ ข ความขดั แยง้
- 157 - Palestine Liberation Organization P.L.O. แนวความคดิ ว่าด้วยการแก้ไขความขัดแย้ง แนวความคิดในที่น้ีหมายความถึง ข้อสรุปความอย่างกวา้ งๆ อนั เกิดจากการค้นควา้ หา คาตอบในเร่ืองใดเร่ืองหน่ึงข้ึนมาอย่างต่อเน่ือง และไดข้ ้อสรุปท่ีมีความคลาดเคลื่อนน้อย จน สามารถนาไปใช้เป็นแนวทางคิดหาคาอธิบายปรากฏการณ์ที่เกี่ยวขอ้ งกบั ขอ้ สรุปน้ันไดอ้ ยา่ งเป็ น สากล และถา้ ขอ้ สรุปดงั กล่าวไดร้ ับการพิสูจน์ถงึ ความเที่ยงแทใ้ นการอธิบายความจนเป็นที่ยอมรับ กนั ทวั่ ไปแลว้ เรากอ็ าจเรียกไดว้ ่าเป็นทฤษฎี ทฤษฎีจึงมไี วเ้ พ่ือใชอ้ ธิบายคาดคะเนว่าอะไรจะเกิดข้ึน ในบางกรณีการจะไดม้ าซ่ึงทฤษฎีน้นั เกิดจากการสังเกตพฤติกรรมของสิ่งท่ีเราสนใจมาเป็นเวลาช้า นานจนเกิดคาตอบข้ึน เช่น ทฤษฎีทางเรขาคณิตว่าด้วยเส้นตรง ไม่ว่าเราจะนาข้ออธิบายเร่ือง เส้นตรงที่ประเทศไหนก็ย่อมไดค้ วามอยา่ งเดียวกัน หรือทฤษฎีว่าด้วยส่ิงมีชีวิตตอ้ งการอาหาร ก็ เพราะเราสังเกตเห็นว่าตน้ ไม้ตอ้ งอาศยั น้าจึงจะไม่ตาย สัตวต์ อ้ งกินพืชหรือสัตวด์ ว้ ยกนั เพ่ือให้ไม่ ตายเช่นเดียวกับคน ท้ังตน้ ไม้ สัตว์ และคนตอ้ งการอาหารแต่ละประเภทจึงจะไม่ตาย เราจึงได้ ขอ้ สรุปความกวา้ งๆ วา่ สิ่งมีชีวติ ตอ้ งการอาหารเพือ่ การยงั ชีพ ท่ีเรียกวา่ ขอ้ สรุปกวา้ งๆ เพราะเรารวม คุณสมบตั ิของตน้ ไม้ สัตว์ และคนไวใ้ นคาว่าส่ิงมีชีวิตท่ีตอ้ งหายใจ มีการเจริญเติบโต และเรารวม ประเภทต่างๆ ของสิ่งท่ีร่างกายรับเขา้ ไปเพอ่ื เกิดความเจริญเติบโตว่าอาหาร เราสามารถนาขอ้ สรุปน้ี ไปใชอ้ ธิบายปรากฏการณ์ของตน้ ไมท้ ี่แห้งเหี่ยว คน และสัตวท์ ่ีผอมโซไดว้ ่าเป็นเพราะขาดอาหาร และเราอาจคาดคะเนไดว้ ่าถา้ ภาวะการขาดอาหารน้ีดารงต่อไปอีกระยะหน่ึง สิ่งมชี ีวิตจะสิ้นชีวติ ใน กรณีการศึกษาเรื่องการแกไ้ ขความขดั แยง้ น้ัน บางทีเราไม่อาจพูดไดว้ ่ามีทฤษฎีว่าด้วยการแก้ไข ความขัดแยง้ ทฤษฎีน้ันทฤษฎีน้ีท้ังน้ีเพราะบางข้อสรุปยังไม่ปรากฏผลชัดเจนว่าจะอธิบาย
- 158 - ปรากฏการณ์ไดอ้ ยา่ งแจ่มชัด ครอบคลุมกรณีได้กวา้ งขวาง จึงขอใช้คาว่าแนวความคิดไปพลางๆ ก่อน เราไดข้ อ้ สงั เกตวา่ ลกั ษณะทว่ั ๆไปของความขดั แยง้ เป็นอยา่ งไร เราไดข้ อ้ สงั เกตเก่ียวกบั การ ดาเนินการหาทางแกไ้ ขความขดั แยง้ มาโดยลาดบั จะเห็นไดว้ ่า ความพยายามแกไ้ ขความขดั แยง้ น้นั สะท้อนแนวความคิดอยู่ 2 แนวทาง แนวทางหน่ึง คือ การยุติปัญหาโดยการนาขอ้ ทางกฎหมาย กฎระเบียบของสังคมมาประยุกต์ใชแ้ มก้ ระทงั่ การใชอ้ านาจเพื่อให้เกิดการยอมรับขอ้ ยุติน้ันๆ อนั เป็นแนวทางของการรักษาสันติภาพ กบั อีกแนวทางหน่ึงที่พยายามหาเหตุที่เป็ นรากเหงา้ หรือเป็ น ธรรม ชาติ ข อ งค วา ม ขัดแย้งข อ งแต่ล ะ ก รณี ห าค วาม สั ม พัน ธ์ระ ห ว่างเห ตุ แล ะ ตัวปั ญ ห ากับ สภาพแวดลอ้ มของปัญหา จนกระท่ังแน่ชัดว่าอะไรเป็ นดา้ นหลกั ดา้ นรอง เป็นเงื่อนไข แลว้ จึงหา วิธีการแก้ไขโดยให้เกิดการยอมรับขอ้ ตกลงของกันและกนั โดยคานึงถึงการสร้างความเข้าใจ ร่วมกนั ระหว่างคู่ของความขดั แยง้ เป็นหลกั อนั เป็นแนวทางของการสร้างสันติภาพถาวร แนวคิดท้งั สองแนวคิดน้ีจะสัมพนั ธก์ บั ลกั ษณะของกาเนิดความขดั แยง้ ซ่ึงแตกต่างกนั ไปตามการพิจารณาของ นกั วชิ าการ ถา้ เราหาทางแกไ้ ขความขดั แยง้ จากแนวคิดท่ีว่า ความขดั แยง้ มีกาเนิดมาจากผลประโยชน์ หรืออานาจทม่ี ีอยอู่ ยา่ งจากดั ซ่ึงพฒั นามาจากสกลุ พนั ธกิจนิยมทีเ่ ห็นวา่ การตกลงหาขอ้ ยุติกนั ไม่ได้ ในเร่ืองของผลประโยชนแ์ ละอานาจน้ันเป็นเพราะกลไกหรือวิธีการแบ่งสรรปันส่วนผลประโยชน์ น้ันบกพร่อง หรือขาดสถาบนั ดาเนินกลไกและวิธีการเหล่าน้ัน นกั วิชาการตามแนวคิดน้ีจึงเสนอ กลไกตา่ งๆ เช่น ระเบียบ ขอ้ กาหนด ขอ้ ตกลง กฎหมาย สัญญา สนธิสัญญาข้ึน มีวธิ ีการต่างๆ เช่น การเจรจาการต่อรองรวมท้ังการต้งั สถาบนั ข้ึนดูแลให้กลไกต่างๆ ดาเนินไปตามประเด็นของข้อ ขดั แยง้ และแจกแจงผลประโยชน์ เช่น คณะมนตรีความมนั่ คงแห่งองค์การสหประชาชาติ คอยดูแล
- 159 - กลไกการยตุ ิความขดั แยง้ ดา้ นอานาจระหว่างรัฐองค์การประชาคมยโุ รป คอยแจกแจงผลประโยชน์ ทางเศรษฐกิจศาลสถิตยตุ ิธรรมดูแลยุติความขดั แยง้ ระหว่างบุคคลกบั บุคคล หรือกับกลุ่มสังคม สถาบันตารวจดูแลความขัดแยง้ ระหว่างบุคคลด้านอานาจ เป็ นต้น แนวความคิดน้ีครอบงา นกั วิชาการอย่ชู า้ นาน และมีอิทธิพลมากระหวา่ ง พ.ศ.2500 - 2510 โดยเฉพาะในประเทศไทยท่ีเห็น ว่าความขดั แยง้ ระหว่างคนไทยท่ีต่างความคิดในการแกป้ ัญหาสังคมน้ันเป็ นเพราะความกดดนั ที่ บคุ คลเหล่าน้นั ไดร้ บั ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจไม่พอเพียง เช่น เป็ นคนยากจนเพราะไม่มีสถาบนั แกไ้ ขปัญหาจึงมีการต้งั กระทรวงการพฒั นาแห่งชาติเพ่ือกระจายผลทางเศรษฐกิจให้ทวั่ ถึงหรือถา้ ในวงการความขัดแยง้ ระหว่างประเทศก็ถือว่าระยะน้ีเป็ นการแข่งขันสร้างสมอานาจของรัฐ มหาอานาจจึงทาให้เกิดความขดั แยง้ ระหว่างมหาอานาจอยา่ งรุนแรงอยา่ งไรก็ตามสภาพความเป็น จริงท่ปี รากฏข้นึ ตามมากค็ อื ท้งั ๆ ทีก่ ลไกและสถาบนั ท้งั ภายในรฐั และระหว่างรัฐอยา่ งมากมาย และ กลไกต่างๆ น้ันต่างก็ปราศจากข้อบกพร่องในตัวของมันเอง แต่วิธีการดาเนินกลไกของสถาบนั ตา่ งๆ กลบั ไม่ไดร้ ับการยอมรับจากค่กู รณีบา้ งและกลบั เกิดความขดั แยง้ มากข้ึนระหว่างผูม้ ีสถานะ หรืออานาจต่างกนั ภายในรัฐ เช่น ระหว่างรัฐบาลกบั ชาวนาและกรรมกรหรือระหว่างรฐั เล็กๆ กบั รัฐ มหาอานาจแทนทจี่ ะเป็ นระหว่างกลุ่มทอ่ี ยใู่ นระนาบแห่งอานาจระดบั เดียวกนั จึงเกิดเป็นคาถามข้ึน ว่า ความขดั แยง้ น้ันเป็นเรื่องของการแยง่ ชิงอานาจและผลประโยชน์ระหว่างสองกลุ่มสังคมจริงๆ หรือ และความขดั แยง้ เหลา่ น้นั เกิดข้นึ มาไดอ้ ยา่ งไร ไดม้ ีความพยายามดดั แปลงกรอบความคดิ เร่ืองอานาจมาตอบปัญหาขา้ งตน้ โดยมองวา่ การ แจกแจงอานาจน้ันจะตอ้ งใหก้ บั คนแต่ละคนและกลุ่มกอ้ นของผคู้ นเหลา่ น้นั มใิ ช่ให้แต่รฐั บาลหรือ เฉพาะชนช้นั นาน้นั ก็ดูอานาจและผลประโยชน์จะตอ้ งตกอยกู่ บั คนทุกคน ทุกกล่มุ ภายในสงั คม และ ทุกระดบั สงั คม ท้งั น้ีเพราะคนทกุ กลุ่มต่างมีความตอ้ งการตามความจาเป็น (need) และจะกระทาทุก อย่างเพ่ือให้ไดต้ ามความตอ้ งการน้นั ๆ โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงถา้ เป็ นความตอ้ งการช้นั พ้ืนฐาน กลุ่มจะ ยอมไม่กระทาอะไรก็ต่อเม่ือการกระทาตามความตอ้ งการน้ันขดั กบั สัมพนั ธภาพกบั กลุ่มอ่ืนท่ีเขา ตอ้ งการรักษาไว้ เช่น กลุ่มผูเ้ คร่งศลี ธรรมจะไม่ยอมลกั ขโมยเพื่อบาบดั ความหิวเพราะการลกั ขโมย จะทาลายความสัมพนั ธ์ดา้ นศีลธรรมระหวา่ งคนภายในกลุ่ม และทาลายความสมั พนั ธ์ดา้ นกฎหมาย ระหว่างกลุ่มกบั กลุ่มอื่นในสังคม เช่น กลุ่มผูร้ ักษากฎหมาย กลุ่มเจ้าของทรัพยส์ ิน อยา่ งไรก็ตาม มนุษยก์ ม็ ีความจาเป็นตอ้ งแสวงหาส่ิงท่ีเขาตอ้ งการทางสงั คมบางประการ หรือจาเป็นตอ้ งรักษาไว้ ดว้ ยวธิ ีการตา่ งๆ โดยยอมเสียสัมพนั ธภาพบางประการ ดงั ทเ่ี ราเห็นจากประวตั ิศาสตร์ว่าคู่แห่งความ ขดั แยง้ ใชค้ วามรุนแรงเพ่ือเขา้ ครอบดรองหรือแยง่ ชิงสิ่งทีต่ นเห็นว่าจาเป็นโดยอาศยั เหตุผลต่างๆ มา สนับสนุนพฤติกรรมของตนมากกว่าจะคานึงถึงสัมพนั ธภาพดา้ นค่านิยม วฒั นธรรมท่ีมักร่วมกนั เพราะฉะน้นั ตามแนวความคิดน้ีการใชค้ วามรุนแรงเพ่อื ยตุ ิความขดั แยง้ กย็ งั เป็นหนทางอยู่
- 160 - จากแนวความคิดข้างตน้ น้ี ผูท้ ี่ต้องการสร้างสันติภาพเห็นว่ามิใช่ทางออกที่ดีหรือมิใช่ ทางแกไ้ ขความขดั แยง้ ที่แทจ้ ริง เพราะมิไดเ้ ป็นการยินยอมตกลงเห็นพอ้ งกนั ในพ้ืนฐานของปัญหา ซ่ึงในที่สุดแล้วความไม่พอใจของฝ่ ายสูญเสียอาจนาไปสู่ความขัดแย้งรอบใหม่ได้ จึงเกิด แนวความคิดท่ีจะสร้างสันติภาพข้ึนมาอีกคร้ังหน่ึงเม่ือประมาณ พ.ศ. 2520 เป็นตน้ มา ดว้ ยการเร่ิม แยกความหมายความตอ้ งการตามความจาเป็นออกจากคาว่าผลประโยชน์ ความตอ้ งการตามความ จาเป็ นน้นั กินความถงึ ความอยรู่ อดของมนุษย์ ความมีชีวิตอยู่ รวมกบั ความตอ้ งการดา้ นการยอมรับ คุณค่าเฉพาะของแต่ละกลุ่ม คือเอกลกั ษณ์ (identity) ของกลุ่ม อนั หมายถึงวฒั นธรรม อุดมการณ์ ค่านิยม วิถีการดาเนินชีวิต ส่วนผลประโยชน์น้ันคือ สิ่งที่กลุ่มคาดว่าจะได้รับตอบแทนจากการ กระทาอยา่ งใดหรือส่ิงหน่ึงสิ่งใด เช่น ผลประโยชน์จากการค้า การลงทุนหรือผลประโยชน์ตาม บทบาทท่ีแสดงตามสถานภาพ การท่ีกล่มุ สังคมกลุ่มหน่ึงปฏิเสธความตอ้ งการตามความจาเป็นของ อีกกลุ่มหน่ึง ไม่ยอมรับคุณค่าเฉพาะของเขาเหล่าน้ีคือการทาให้คนกลุ่มน้ันตกอยู่ในภาวะไม่เท่า เทียมกนั กบั ตน เป็นความดอ้ ยพฒั นาของคนกลุ่มน้นั เช่น ชนช้นั นาในสงั คมไทยปฏิเสธเพลงลูกทุ่ง ของคนชนบท ปฏเิ สธวิถีการบริโภคของคนชนบทไม่เห็นความจาเป็นของการใหก้ ารรักษาพยาบาล ที่ทนั สมยั หรือการให้โอกาสและสถานการศึกษา ไม่สามารถให้ความคุม้ ครองทรัพยส์ ินและชีวิต อย่างทัดเทียมคนกลุ่มอ่ืนก็เท่ากับให้คนชนบทอย่ใู นภาวะดอ้ ยกว่า ภาวการณ์เช่นน้ีเองทาให้เกิด ความขดั แยง้ ทางสังคมอย่างเร้ือรังดารงอย่ภู ายในรัฐ และถา้ มองถึงระดบั ระหว่างรัฐ เราจะเห็นว่า การทีร่ ฐั มหาอานาจพยายามพฒั นาใหร้ ัฐเล็กๆ มรี ูปแบบการผลิต การบริโภคเหมือนกบั ตน ก็เท่ากบั การไมย่ อมรับวฒั นธรรมการผลิตและการบริโภคของรัฐเหล่าน้นั และถา้ การบงั คบั เช่นน้ีเป็นไปเพ่ือ ผลประโยชน์ทางการค้าหรืออานาจทางการเมืองด้วยแล้ว ความขดั แยง้ ก็จะดารงอยู่จึงไม่ใช่การ สร้างสันติภาพท่ีแท้จริง น้นั ก็คือผูท้ ี่มองแนวทางการสร้างสันติภาพเห็นว่าความขัดแยง้ ทางสังคม
- 161 - อยา่ งเร้ือรังจะตอ้ งไดร้ บั การพจิ ารณาแกไ้ ขมากกว่าความขดั แยง้ เรื่องอานาจเพราะเป็นความขดั แยง้ ท่ี ฝังรากลกึ และเป็นการเพาะเช้ือไปสู่ความรุนแรง ทางออกก็คือจะตอ้ งมีการนาค่านิยมอนั สอดคลอ้ งกับความต้องการตามความจาเป็ นของ กลุ่มต่างๆ มาแลกเปลีย่ นความรับรู้ของกนั และกนั อนั จะทาให้เกิดการยอมรับซ่ึงกนั และกนั ตามมา นักวิชาการหลายท่านตามแนวทางการสร้างสันติภาพเห็นว่าการไดเ้ ปรียบเสียเปรียบระหว่างกลุ่ม คนในสังคมน้นั เกิดข้ึนจากความไม่รับรู้ของกนั และกนั มากกว่าการมจี ิตใจจอ้ งจะเอาเปรียบกนั และ กนั ความไมร่ ับรู้น้นั เกิดจากโครงสร้างทางสงั คมเดิมซ่ึงบคุ คลเหล่าน้นั ตกอยภู่ ายใตม้ นั คือ ต้งั แต่เกิด มาก็เป็นอยา่ งน้ีอยแู่ ลว้ เช่น รวยอยแู่ ลว้ หรือจนอยแู่ ลว้ จึงไม่เห็นว่าเป็นเรื่องผิดปกตวิ ิสัยหรือเกิดมา จากเหตุอื่นใด บุคคลที่เกิดมาภายใตส้ ังคมวฒั นธรรมแบบศกั ดินายอ่ มเห็นว่าการประพฤติปฏิบตั ิ ตามแบบฉบบั ของคนระดบั สูงของสงั คม คือ คา่ นิยมท่ีควรเอาอยา่ งในขณะที่ชนช้นั นาก็เห็นว่า การ รักษาสภาพแวดลอ้ มของความเป็ นชนช้ันนาคือความถูกตอ้ ง เพราะโครงสร้างสังคมเป็ นอย่างน้ัน ดงั น้ัน จึงเกิดแนวความคิดที่จะผสมผสานความคิดเร่ืองการเปล่ียนแปลงโครงสร้างสังคมบางส่วน และความคิดเร่ืองการรกั ษาอุดมการณแ์ ละสถาบนั เดิมทางสังคมบางส่วนเขา้ ดว้ ยกนั เพือ่ ใหเ้ กิดการ รบั รู้ซ่ึงกนั และกนั เกิดการแลกเปล่ียนแบง่ ปันค่านิยมของกนั และกนั อนั จะนาไปสู่ความยอมรับซ่ึง กนั และสังคมจะไดเ้ กิดสันติภาพตามมา การจะทาเช่นน้ีได้โครงสร้างทางการเมืองจะต้องเป็ น ประชาธิปไตย มีการกระจายอานาจการตัดสินใจให้บุคคลทุกระดับในสังคมด้วยการให้สิทธิ เสรีภาพตามกระบวนการเลือกต้งั คือ มีสิทธิเสรีภาพในการยึดถือและแสดงออกซ่ึงอุดมการณ์ท่ี แตกต่างกนั สถาบนั รัฐสภาจะเป็นหน่วยของการแลกเปลี่ยนพบปะระหว่างตวั แทนของบุคคลท่ีมี ค่านิยมต่างกนั สถาบนั การศึกษาจะเป็นหน่วยของการให้ความรู้ ความเขา้ ใจต่อค่านิยมหลายหลาก และกระตุน้ ให้เกิดการรักษาสิทธิและเคารพสิทธิของกนั และกนั บทบาทเช่นน้ีจะตอ้ งเป็นบทบาท ของสื่อมวลชนท้งั ของรัฐบาลและของเอกชนอีกดว้ ย สถาบนั ยุติธรรมจะทาหน้าที่พิทกั ษ์สิทธิช้ัน พ้ืนฐานของคนในสังคม สถาบันทางเศรษฐกิจและการบริ หารจะต้องทาหน้าท่ีแจกแจง ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้ทั่วถึงตามรูปแบบต่างๆ ฯลฯ ถ้าจะพูดอย่างรวมๆ ก็คือการปรับ โครงสร้างและกลไกของสังคมบางประการเพ่ือให้การพฒั นาอย่างแทจ้ ริง เป็นโครงสร้างที่มีการ กระจายอานาจและอาศยั ความร่วมมือระหวา่ งหน่วยงานตา่ งๆ แทนทจ่ี ะเป็นการสั่งการลงมาโดยชน ช้นั นาทางการปกครองน้นั หมายถึง การจดั สรรอานาจทุกๆ ดา้ นไปสู่รูปแบบของความร่วมมือกนั ในการตดั สินใจแนวคิดน้ีคือ แนวโนม้ ของการอภิวฒั น์สังคมส่วนหน่ึง (speialtyolution) นกั คิดใน แนวทางน้ีมีความเช่ือในการเปล่ียนแปลงอย่างไม่รุนแรง ใชว้ ิธีการประนีประนอมแทนการปฏิวตั ิ สงั คมแบบถอนรากถอนโคน (the socialrevolution) แนวความคิดขา้ งตน้ ยงั นาไปสู่การผสมผสานระดบั ของการวิเคราะห์ขอบเขตของความ
- 162 - ขดั แยง้ ระหว่างรัฐและภายในรัฐเขา้ ดว้ ยกัน นกั วชิ าการทเี่ สนอแนวความคิดล่าสุดน้ีตา่ งเห็นพอ้ งกนั ว่ารากเหงา้ ของความขดั แยง้ ระหว่างรัฐน้นั มาจากขบวนการเคล่ือนไหวภายในรัฐเพื่อหาทางตอบ แห่งความตอ้ งการตามความจาเป็ นของผูค้ นและการขาดแคลนส่ิงสนองความตอ้ งการตามความ จาเป็ นบางประการภายในรัฐ เช่น ความจาเป็ นทางเศรษฐกิจน้นั มีเหตุมาจากความร่วมมือระหว่าง คนในรัฐกบั รัฐอื่นๆ เช่น การเขา้ มาลงทุนของบรรษทั ขา้ มชาติที่ก่อให้เกิดการใชท้ ี่ดินทานาไปเป็น ที่ต้ังโรงงานและชาวนาไปเป็ นกรรมกรไร้ฝี มือ ค่าจ้างแรงงานราคาถูก ทาให้โครงสร้างทาง เศรษฐกิจเปลี่ยนจากการเกษตรไปเป็ นอุตสาหกรรมในขณะที่โครงสร้างทางรายไดย้ งั คงอยู่เกิด ปัญหาการขาดแคลนเงินทองเพอ่ื ใชย้ งั ชีพ และทาให้ปัญหาทางเศรษฐกิจภายในรัฐเร้ือรังตอ่ ไป หรือ ความแตกต่างทางอุดมการณ์ภายในรัฐทาให้รัฐอ่ืนๆ เข้ามาสนับสนุน เช่น สหรัฐอเมริกาเข้า สนบั สนุนกลุ่มหน่ึงในลาตินอเมริกา ในขณะเดียวกันสหภาพโซเวยี ตก็เขา้ สนบั สนุนอีกกลุ่มหน่ึ ง ทาให้การยอมรับทางการเมอื งระหว่างกนั และกนั ยืดเยอื้ ออกไป เพราะฉะน้นั การแกไ้ ขความขดั แยง้ โดยแยกระดบั ออกจากกนั จึงไมส่ มจริงเท่าใดนกั อยา่ งไรก็ตามในการศึกษาชุดวิชาน้ีจาเป็ นตอ้ งแยก ออกมาเป็นระดบั ต่างๆ รวมท้ังแยกการศึกษาระดบั ระหว่างการสร้างสันติภาพออกจากการรักษา สันติภาพเพ่ือความสะดวกของผูศ้ ึกษาเป็ นหลัก และเนื่องจากหน่วยต่างๆ หลายหน่วยได้เสนอ วิธีการและกระบวนการสร้างสันติภาพภายในรัฐแลว้ ตอนต่อไปของหน่วยน้ีจะเนน้ เฉพาะสถาบนั และวิธีการควบคุมความขดั แยง้ โดยเฉพาะระดบั ระหวา่ งประเทศ เพอื่ รกั ษาสนั ติภาพเป็นหลกั
- 163 - บทท่ี 8 การควบคุมความขัดแย้งระหว่างรัฐ สถาบนั ควบคมุ ความขดั แย้งระหว่างรัฐ การจดั ต้งั สถาบนั ในรูปของหน่วยงานหรือท่ีเราเรียกว่าองคก์ ารระหว่างประเทศน้ันเกิดข้ึน จากสภาพระหว่างรัฐท่ีมีลักษณะเป็ นอนาธิปโตย (Anarchy) คือ รัฐทุกรัฐต่างมีอธิปไตยอันเป็ น อานาจสูงสุด ทาให้รัฐทุกรัฐมีสถานะเท่าเทียมกนั มีอานาจอิสระท่ีจะทาอะไรตามใจชอบไดไ้ ม่มี ใครจะควบคมุ กนั และกนั เพราะการควบคุมกนั หมายถึง การล่วงละเมิดอธิปไตยของรฐั อ่ืน แต่ใน ความจริงของการเมืองระหว่างประเทศน้ัน รัฐทุกรฐั มีสถานะไม่เท่ากนั สืบเน่ืองจากพ้ืนฐานฐานะ อานาจ เช่น ขนาดของประเทศ จานวนประชากร ทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพของประชากร ภายในประเทศ กาลงั ทพั สถานท่ีต้งั ของประเทศ เหล่าน้ีลว้ นแตกตา่ งกนั เปิ ดโอกาสให้รฐั ทีม่ ีความ เขม้ แข็งกวา่ สามารถรุกรานรัฐที่เลก็ กว่าเพื่อแยง่ ชิงปัจจยั พ้ืนฐานอานาจมาเสริมสร้างอานาจของตน ใหม้ ากข้นึ กว่าเดิม เกิดการแข่งขนั อานาจกนั และกนั ระหว่างรฐั ทเ่ี ป็นมหาอานาจอีกดว้ ย ดงั ที่เป็นมา ตามประวตั ิศาสตร์ ท้ังน้ีเพราะไม่มีสถาบนั ท่ีทาหน้าที่ควบคุมพฤติกรรมหรือถา้ มีก็อาจทาหนา้ ท่ี บกพร่อง ดงั น้นั ความขดั แยง้ จึงเกิดข้ึนเพราะสิ่งท่ีเป็ นพ้ืนฐานฐานะอานาจน้ันเมื่ออยู่อยา่ งจากัด ความจากดั เช่นน้ีเองทาให้ความรุนแรงในการแยง่ ชิงเป็นเรื่องทีห่ ลีกเลย่ี งไมไ่ ด้ สถาบนั ท่ีทาหน้าที่ควบคุมความขดั แยง้ ระหว่างรัฐจะคอยสร้างขอ้ ยุติ (Settlement) ให้กับ รัฐที่มีขอ้ ขดั แยง้ กนั ไม่ว่าผลความขดั แยง้ น้ันเก่ียวขอ้ งกบั การแพ้ - ชนะหรือผลของความขดั แยง้ น้ัน ออกมาในรูปของการประนีประนอม นอกจากน้ียงั ทาหนา้ ที่ในการดูแลมิให้มกี ารประพฤติปฏิบตั ิ ในทิศทางท่ีจะก่อให้เกิดการขยายขอบเขตความขดั แยง้ โดยอาศยั บทลงโทษต่างๆ ที่ไดต้ ราข้ึนไว้ น้นั ก็คือ การยอมรบั กนั ในรัฐสมาชิกว่าค่านิยมของแต่ละคน แตล่ ะกลมุ่ จะตอ้ งสอดคลอ้ งกบั คา่ นิยม ท่ีสถาบนั กาหนดข้นึ มาเม่อื เป็นเช่นน้ี สถาบนั หรือองคก์ ารระหว่างประเทศจึงมีสิทธิที่จะคาดหวงั ว่า รัฐต่างๆ จะเคารพเชื่อฟังสถาบันและปฏิบัติตามหน้าท่ีต่างๆ ที่สถาบันกาหนดข้ึน รัฐใดที่ทา พฤติกรรมเบี่ยงเบนออกจากกฎเกณฑอ์ นั เป็นค่านิยมของสถาบนั ก็จะถกู พิจารณาเป็นกรณีๆไป จะ เห็นไดว้ ่าสถาบนั องค์การระหว่างประเทศจะมีสิทธิธรรมท่ีจะควบคุมและได้รับการยอมรับจาก นานาประเทศ เม่ือรัฐต่างๆ ทาพฤติกรรมเบ่ียงเบนข้ึนมา เช่น ใชก้ าลงั เขา้ รุกรานแยง่ ชิงดินแดนของผูอ้ ื่น เข้าแทรกแซงกิจการภายในรัฐผู้อื่น โดยใช้กาลังดังการรุกรานของสหภาพโซเวียตต่อเชโก สโลวะเกียใน พ.ศ. 2511 หรือต่ออฟั กานิสถานใน พ.ศ. 2521 หรือการรุกรานของเวียดนามต่อ กมั พูชาเหล่าน้ี องคก์ ารท่ที าหนา้ ทท่ี างดา้ นการควบคมุ ความมนั่ คงจะตอ้ งรกั ษาคา่ นิยมของสถาบนั ที่
- 164 - ตราไวเ้ ป็ นกฎในกรณีน้ีก็คือ กฎบตั รของคณะมนตรีความมนั่ คงแห่งองคก์ ารสหประชาชาติโดยการ บงั คบั ควบคุมให้ยตุ ิการกระทาดงั กลา่ ว ถา้ การควบคุมดงั กล่าวเป็นผลสาเร็จก็เท่ากบั ว่า มกี ารจดั สรร ผลประโยชน์ดา้ นความมนั่ คงให้ไดด้ ุลยภาพกระบวนการของการจดั สรรผลประโยชน์ดงั กล่าวจึง ตอ้ งอาศยั การหาขอ้ ยตุ ิทางนิติศาสตร์การไกลเ่ กลี่ย การผกู ไมตรี และการให้ความช่วยเหลอื มาเป็น เคร่ืองมือ การจะทาตามเคร่ืองมือดงั กลา่ วไดก้ ็จะเกิดจากการตดั สินใจในลกั ษณะเป็นปฏิกิริยาตอบ โตส้ ิ่งท่ีเกิดข้ึนมาแลว้ และจะตอ้ งอาศยั ลกั ษณะของการมีลาดบั ข้นั อาวุโสลาดบั สถานภาพระหว่าง รัฐครอบงาอยคู่ อื มีการใหอ้ านาจการตดั สินใจส่วนใหญไ่ วก้ บั รัฐใหญ่ องคก์ ารระหวา่ งประเทศทีเ่ ป็นสถาบนั รวมของค่านิยมของรฐั ต่างๆ ทเ่ี ห็นชดั เป็นรูปธรรมก็ คือ องค์การสหประชาชาติ ที่เรียกว่าเป็นสถาบนั รวมของค่านิยมของรัฐตา่ งๆ เพราะรัฐต่างๆ ไดล้ ง นามยอมรับในกฎบตั รท่ีร่างข้ึน และสมคั รเขา้ เป็ นสมาชิกขององค์การเท่ากบั ว่ายอมข้ึนตอ่ ค่านิยม ขององค์การ องค์การระหว่างประเทศเช่นน้ี เรียกว่าเป็ นองค์การระหว่างรัฐบาล (Intergovern- mental Organizations = IGOS) การยอมรับบทบาทขององคก์ ารระหว่างประเทศจะมีขอบเขตมาก นอ้ ยแค่ไหนข้นึ อยกู่ บั จานวนสมาชิกและความกวา้ งขวางของวตั ถปุ ระสงคว์ า่ ครอบคลมุ ไปแค่ไหน สันนิบาตชาติและองคก์ ารสหประชาชาติเป็นองคก์ ารที่มีสมาชิกมากท่ีสุดและการเขา้ เป็นสมาชิก น้นั เกิดจากความสมคั รใจของรัฐสมาชิกเอง องค์การน้ีมีหน้าที่รอบดา้ นท้งั ทางการเมืองเศรษฐกิจ การพฒั นาการทหารวฒั นธรรมและอ่ืนๆ หน่วยงานย่อยในองค์การจะทาหน้าท่ีเฉพาะดา้ นไป เช่น คณะมนตรีความมั่นคงจะทาหน้าที่ควบคุมการแบ่งสรร อานาจทางการเมืองมิให้มีการแสวงหา อานาจกนั และกนั องคก์ ารอาหารและการเกษตรจะทาหนา้ ท่ีกระจายผลประโยชนท์ างเศรษฐกิจและ ความกา้ วหน้าทางเทคโนโลยีการเกษตรจากประเทศท่ีมีมากกว่าไปสู่ประเทศที่มีน้อยกว่าด้วย กระบวนการการให้ความช่ วยเหลือดังที่เรารู้ จักกัน ใน นามของความร่ วมมือระหว่างป ระเท ศ องคก์ ารแรงงานระหว่างประเทศ (International Labor Organization) จะใหค้ วามดแู ลต่อกรรมกรใน ประเทศต่างๆ มิให้ถูกเอารัดเอาเปรียบ องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่ง สหประชาชาติ(UNESCO) จะทาหน้าท่ีสร้างเสริมวฒั นธรรมของกนั และกันให้เกิดความเขา้ ใจต่อ กนั ฯลฯ
- 165 - เพ่ีอบรรลุวตั ถุประสงค์ของการแก้ไขความขัดแย้งด้วยการแบ่งปันอานาจในองค์การ ระหว่างประเทศจะตอ้ งใช้ยทุ ธศาสตร์ต่างๆ เขา้ ช่วย อยา่ งไรก็ตาม เครื่องมอื ทีน่ ามาใชเ้ หล่าน้ีแมจ้ ะ กาหนดขอบเขตการใชส้ อยใหเ้ ฉพาะเจาะจงลงไป แต่จะตอ้ งระลึกไวเ้ สมอว่าในทางปฏิบตั ิจริงอาจ ไม่บงั เกิดผลตามตอ้ งการได้ การจาแนกประเด็นเพื่อหาเคร่ืองมอื ท่ีเหมาะสมจึงเป็นเรื่องที่ควรระวงั และจะตอ้ งพิจารณาควบค่กู บั ธรรมนูญขององคก์ ารที่วางไวด้ ว้ ยเครื่องมือเหล่าน้ี ไดแ้ ก่ 1. การใช้สิทธิเขตอานาจเหนืออาณาเขต (Territorial Jurisdiction) เป็ นการให้อานาจของ องคก์ ารระหว่างประเทศที่จะเขา้ ไปจดั การกรณีพิพาทเร่ืองดินแดนระหว่างรัฐได้ท้งั ๆ ที่ตามหลกั อานาจอธิปไตยแลว้ รัฐบาลของรัฐน้ันๆเป็ นผูค้ รอบครองอานาจสูงสุดเหนือเขตแดนรัฐของตน อานาจจากภายนอกจะมาล่วงละเมดิ มไิ ด้ วธิ ีการเช่นน้ีใชห้ าขอ้ ยตุ คิ วามขดั แยง้ ระหว่างรัฐอนั เกิดจาก เร่ืองดินแดน เช่น กรณีความขดั แยง้ ระหวา่ งอิสราเอลกบั ปาเลสไตนท์ ี่ชาวปาเลสไตนพ์ ยายามต้งั ถ่ิน ฐานในดินแดนที่อิสราเอลยึดครองอยู่ปัจจุบัน หรือความขัดแยง้ ภายในดินแดนอันเก่ียวพนั กับ อานาจอธิปไตยเหนือดินแดน เช่น การเรียกร้องการแยกตวั ของนามิเบียออกจากสหภาพแอฟริกาใต้ เป็นตน้ เพราะฉะน้นั คู่ของความขดั แยง้ อาจเป็นระหวา่ งรฐั หรือระหวา่ งรฐั กบั กลุม่ ชนกไ็ ด้ 2. การตราข้อบัญญัติกฎหมายการบริหารงานระหว่างประเทศ (Legislative Enactment) เป็ นการให้อานาจทางการบริหารแก่องค์การระหว่างประเทศ เพื่อมิให้การบริหารงานภายในเกิด อปุ สรรคขดั แยง้ กบั การบริหารงานของรัฐท่เี ขา้ ไปเก่ียวขอ้ งดว้ ย ซ่ึงไดแ้ ก่ 2.1 การตราขอ้ บญั ญตั ิว่าดว้ ยโครงสร้าง การจดั การและนโยบายขององค์การเป็ น ความรับผิดชอบดา้ นงบประมาณของรัฐสมาชิก สถานท่ีต้งั การขอความร่วมมือจากหน่วยงาน ภายในรฐั ที่องคก์ ารน้นั ต้งั อยู่
- 166 - 2.2 การแจกจ่ายสิทธิและหนา้ ทใี่ ห้องคก์ าร ซ่ึงกระทาโดย 2.2.1 สนธิสัญญา ท่ีรฐั ต่างๆ ตกลงยินยอมรับสิทธิและหนา้ ที่ขององคก์ าร รวมท้งั ยนิ ยอมรับภาระหนา้ ทท่ี ีอ่ งคก์ ารมอบหมายใหด้ ว้ ย 2.2.2 มติ ที่องคก์ ารใหอ้ อกมา 3. การวินิจฉัยความ (Adjudication) เป็นการนาขอ้ กฎหมายมาแกไ้ ขขอ้ ขดั แยง้ ระหว่างรัฐ ต่อรัฐเท่าน้ัน โดยนาคดีข้ึนสู่ศาลโลกจะต้องเป็ นคดีท่ีมิใช่เก่ียวกบั อาชญากรรม เช่น คดีพิพาท กรรมสิทธ์ิเขาพระวิหารระหว่างไทยกบั กมั พูชา มิใช่คดีอาชญากรรมสงครามโลกคร้งั ท่สี องท่จี ะนา ญปี่ ่ ุนหรือเยอรมนีมาฟ้องร้องวา่ เป็นผกู้ อ่ เหตุ เป็นตน้ 4. การไกล่เกล่ีย (Mediation) แทนที่จะใช้ขอ้ วินิจฉัยตดั สินกรณีพิพาทองคก์ ารระหว่างประ เทศอาจใช้การไกล่เกลี่ยแทน เพื่อทาให้เร่ืองไม่รุนแรง อย่างไรก็ตาม วิธีการน้ีมักไม่ประสบ ผลสาเร็จเท่าใดนักท้งั น้ีเพราะองค์การระหว่างประเทศที่ทาหน้าท่ีน้ีไม่มีอิทธิพลทางการเมืองมาก เพยี งพอ 5. การบีบบงั คบั (Coercion) เมื่อการกระทาต่างๆไม่ไดผ้ ลแลว้ องค์การระหว่างประเทศมกั ใชก้ ารบีบบงั คบั ให้ยตุ ิการขดั แยง้ การบีบบงั คบั จะกระทาไดโ้ ดย 5.1 มาตรการตามขอ้ ตกลงกฎระเบียบที่มีอยรู่ ะหว่างรัฐ เช่น เม่อื มีการสะสมอาวุธ ระหว่างรฐั ต่างๆเพราะความหวาดระแวงซ่ึงกนั และกนั ก็จะอา้ งกฎระเบียบว่าดว้ ยการสะสมอาวุธมา บงั คบั ให้ลดหรือเลิกการกระทาน้นั ๆ 5.2 มาตรการตามกฎบัตรขององค์การ เช่น การอ้างกฎบัตรสหประชาชาติเข้า บงั คบั ให้ยตุ ิความขดั แยง้ หรืออา้ งกฎบตั ร เพ่ือส่งกองกาลงั เขา้ ไปรักษาความสงบตามบริเวณที่เป็น กรณีพิพาทขดั แยง้ 5.3 มาตรการบังคบั (Sanction) ท้ังทางเศรษฐกิจและการทหาร เช่น การห้ามขน ถ่ายสินคา้ การงดให้ความช่วยเหลือรัฐทีล่ ะเมดิ 6. การให้ประโยชน์ตอบแทน (Rendering of Benefits) เป็นการให้ผลประโยชน์ตอบแทน แก่รัฐต่างๆที่กระทาพฤติกรรมไปในทิศทางที่ไม่สร้างความขัดแยง้ และจะยุติหรือคัดทอน ผลประโยชน์น้ีเม่ือรัฐไม่กระทาพฤติกรรมดังกล่าว กิจการท่ีให้ประโยชน์ตอบแทนซ่ึงองค์การ ระหว่างประเทศสามารถนามาใช้เป็ นเครื่องมือต่อรองไดก้ ็คือ กิจการทางด้านเศรษฐกิจ กิจการ ทางดา้ นสังคม อนั เป็นกิจการท่ีเก้ือหนุนการพฒั นาของรัฐต่างๆ การให้ประโยชน์ตอบแทนจึงเป็ น เร่ืองพวั พนั กบั การควบคุมพฤติกรรมอยา่ งกลายๆ แต่มิใช่การควบคมุ ทางกฎหมาย จะเห็นไดว้ า่ องคก์ ารทจ่ี ะใชย้ ทุ ธศาสตร์ต่างๆ เหล่าน้ีไดจ้ ะตอ้ งเป็นองคก์ ารที่ทาหนา้ ทีห่ ลาย ดา้ นและตอ้ งมขี อบเขตของความร่วมมืออยา่ งกวา้ งขวาง ลกั ษณะของการใชย้ ทุ ธศาสตร์น้นั สะทอ้ น
- 167 - ถึงความพยายามที่จะแก้ไขความขัดแยง้ อนั เกิดจากเร่ืองอานาจในเชิงการหาข้อยุติรวมท้ังความ พยายามสร้างการพฒั นาเพ่ือกระจายผลทางเศรษฐกิจและสังคมสู่รัฐในชุมชนนานาชาติ ท้งั น้ีมใิ ช่ใน รูปแบบของการสร้างระบบพนั ธมิตร แต่ในรูปแบบของการสร้างความมั่นคงร่วมกัน (Collect Security) ดว้ ยพ้ืนฐานของการมีขอ้ ผูกมดั ร่วมกนั จากบรรดารัฐต่างๆที่เห็นว่าสันติภาพ เป็ นส่ิงที่ จะต้องกระทาร่วมกันแบ่งแยกกันทามิได้ การสร้างความมั่นคงร่วมกนั จะเป็ นเครื่องค้าประกัน สนั ติภาพของกลุ่มรัฐเหล่าน้ี โดยการให้องค์การมีอานาจสูงสุดและครอบงาขอบเขตของปัญหาไว้ อย่างกวา้ งขวาง เพราะฉะน้ันองคก์ ารระหว่างประเทศจึงเป็นสถาบนั ที่จะควบคุมความขดั แยง้ หรือ รกั ษาสนั ติภาพท่มี ีแนวโนม้ จะเช่ือว่า การควบคุมความขดั แยง้ หรือการรกั ษาสันติภาพจะกระทาได้ หรือมิได้เมื่อทุกฝ่ ายไดร้ ับส่ิงที่ต้องการคืออานาจทางเศรษฐกิจการเมือง เพราะสิ่งเหล่าน้ีเป็ นจุด กาเนิดของความขดั แยง้ ในความเป็ นจริง องค์การระหว่างประเทศตามลักษณะน้ี คือ สันนิบาตชาติและองค์การ สหประชาชาติไม่อาจยตุ ิความขดั แยง้ หรือสร้างสันติภาพไดใ้ นทุกกรณี โดยเฉพาะถา้ กรณีความ ขดั แยง้ น้นั เป็นเรื่องของการสร้างสมหรือรกั ษาอานาจ ท้งั น้ีเพราะเร่ืองอานาจน้นั มคี วามคลมุ เครืออยู่ ในตวั เอง ยากแก่การจะตกลงวา่ การแบ่งสันปันส่วนอานาจดว้ ยความเป็นธรรมอยตู่ รงจุดใด ดงั น้นั จึงมีรฐั ท่ีไม่ปฏบิ ตั ิตามมตขิ ององคก์ ารสหประชาชาติอยเู่ สมอนอกจากน้ีองค์การระหวา่ งประเทศจะ แสดงบทบาทให้รัฐคู่พิพาทยอมรับขอ้ ยุติและปฏิบตั ิตามขอ้ ยุติไดก้ ็ต่อเม่ือรัฐน้ันๆ มีขอ้ จากดั ทาง อานาจการเมืองระหว่างประเทศหรือขาดฐานสนับสนุนจากมหาอานาจ หรือมีระบบเศรษฐกิจที่ เล้ียงตวั เองไม่ได้ ถา้ ไม่อยตู่ ามเงื่อนไขน้ีแลว้ โอกาสที่องค์การจะใช้ยุทธศาสตร์ต่างๆ เพื่อต่อรอง หรือบีบบังคับให้เกิดการกระทาที่ยุติความขดั แยง้ ก็น้อยลง ดงั กรณีสันนิบาตชาติประสบความ ลม้ เหลวในการยบั ย้งั อิตาลีมิให้รุกรานเอธิโอเปี ย เมือ่ พ.ศ. 2478 หรือกรณีแอฟริกาใตไ้ มย่ อมปฏิบตั ิ ตามมติของคณะมนตรีความมน่ั คงแห่งองค์การสหประชาชาติเกี่ยวกบั การให้เอกราชแก่นามิเบีย เป็นตน้ นอกจากน้ีการที่คณะมนตรีความมน่ั คงแห่งองคก์ ารสหประชาชาตซิ ่ึงเป็นหน่วยงานหลกั ใน การแกไ้ ขความขดั แยง้ แต่สมาชิกถาวรประจาคณะมนตรีเองต่างเป็นคหู่ ลกั แห่งความขดั แยง้ ระหว่าง ประเทศอยา่ งเร้ือรัง น่ันก็คือ สหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต และสาธารณรัฐประชาชนจีนที่มีความ ขดั แยง้ ในเร่ืองการแย่งชิงอานาจของกนั และกนั มาโดยตลอดนับต้งั แต่สงครามโลกคร้ังที่ 2 สิ้นสุด ลงก็ทาให้การแกไ้ ขความขดั แยง้ ระหว่างประเทศไม่ประสบผลสาเร็จหลายๆ กรณี ถ้าประเทศ มหาอานาจเหล่าน้ีเขา้ ไปมีบทบาทเกี่ยวขอ้ ง ดงั น้ันความสาเร็จของการยตุ ิความขดั แยง้ โดยองคก์ าร ระหว่างประเทศจึงมอิ าจนามากล่าวอา้ งไดม้ ากนกั นอกจากองคก์ ารระหว่างประเทศทที่ าหนา้ ท่ีสนองวตั ถปุ ระสงคอ์ ยา่ งกวา้ งๆ และมีสมาชิก อยา่ งกวา้ งขวางไม่จากดั ภูมภิ าคและอุดมการณ์ทางการเมืองแลว้ ยงั มีองค์การระหว่างประเทศที่ทา
- 168 - หน้าที่เฉพาะ ด้านการแบ่งสรรอานาจทางการเมืองของภูมิภาค โดยการผนึกกาลงั กนั เพ่ือทดั ทาน อานาจของอีกฝ่ายหน่ึงดว้ ย แนวความคดิ ขององคก์ ารเหลา่ น้ีก็คอื ความขดั แยง้ จะยตุ หิ รือไม่ขยายตวั ถา้ เหตุแห่งความขดั แยง้ อนั ไดแ้ ก่ อานาจน้นั อยใู่ นสภาวะไดด้ ุลยภาพ การจะอยใู่ นสภาวะดลุ ยภาพก็ คือ การมีฐานะอานาจทดั เทียมกนั พอที่จะป้องปราม (Deterrence) การรุกรานของอีกฝ่ ายหน่ึงเพื่อ การมีอานาจมากกว่าได้ การป้องปรามน้ันกค็ ือ การสร้างความพร้อมในการตา้ นทานให้ผอู้ ่ืนรบั รู้ทา ให้เขาต้องไตร่ตรอง ใคร่ครวญ ถา้ เขาจะใช้ความรุนแรง เม่ือเป็ นเช่นน้ีเช่ือกันว่าจะทาให้ความ ขดั แยง้ ไม่ลุกลามขยายตวั องค์การในลกั ษณะน้ีก็คือ องคก์ ารสนธิสญั ญาความร่วมมือระหว่างประ เทศแอตแลนติกเหนือ หรือที่รู้จกั กนั ในนามของนาโต้ (North Unity)Atlantic Treaty Organization NATO) ซ่ึงเป็นความร่วมมือกนั ระหว่างสหรัฐอเมริกา และกลุ่มประเทศในยุโรปตะวนั ตก เพ่ือทดั ทานการขยายอานาจทางการทหารซ่ึงสหภาพโซเวียตองค์การสนธิสัญญาวอร์ซอ (The Warsaw Pact) ซ่ึงเป็ นความร่วมมือทางทหารระหว่างสหภาพโซเวียตกับกลุ่มประเทศในยุโรปตะวนั ออก เพื่อทดั ทานการขยายอานาจของสหรัฐอเมริกา องค์การเอกภาพแอฟริกา (Organization of African Unity) เป็ นการร่วมมือเพ่ือสร้างอานาจต่อรองทางการเมืองของกลุ่มประเทศในแอฟริกา องค์การ สหภาพอาหรับ(Organization of Arab Onion) องค์การนานารัฐอเมริกา(Organization of American States) เป็นตน้ องคก์ ารเหล่าน้ีมิไดเ้ ป็นโยงใยขององคก์ ารสหประชาชาติ สถาบนั แบ่งปันผลประโยชน์ทางเศรษฐกจิ ระหว่างรัฐ ในเร่ืองท่ีผ่านมาทาให้เห็นได้ว่า อานาจทางการเมืองเป็ นเร่ืองท่ีคลุมเครือยากแก่การ แบ่งแยกในเชิงปริมาณให้เกิดดุลยภาพระหว่างรัฐอยา่ งแทจ้ ริง สาหรับอานาจทางเศรษฐกิจน้ันดู เหมือนว่าจะมีตัวบ่งช้ีฐานะอานาจได้ชัดเจนกว่า เช่น รายได้ประชาชาติ วิถีทางการบริโภค ความสามารถทางการผลิต ระดบั การออมทรัพย์ ทรัพยากรธรรมชาติคุณภาพของทรัพยากรบุคคล เหล่าน้ีเป็ นตน้ ท้ังอานาจเศรษฐกิจยงั เป็ นตวั สร้างอรรถาธิบายที่สอดคล้องกับความเป็ นจริงของ ความขดั แยง้ ระหว่างรัฐใหญ่กับรัฐเล็กนบั ต้งั แต่หลงั สงครามโลกคร้ังท่ี 2 เป็ นตน้ มา ไดม้ ากกว่า ความขัดแยง้ เรื่องอานาจ นักวิชาการจานวนมากเห็นว่าความขัดแยง้ เช่นน้ีเกิดข้ึนจากประวัติ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต้งั แต่สมยั ล่าอาณานิคมท่ีประเทศเล็กๆ ตกเป็ นอาณานิคมของ ประเทศใหญ่ๆ เพราะความดอ้ ยสมรรถนะทางการป้องกนั ประเทศ และเม่ือไดร้ ับเอกราชแลว้ ประ เทศเหล่าน้ีส่วนใหญ่ก็ยงั ดารงความยากจน ความไม่รู้หนังสือ ความขาดแคลนเทคโนโลยีทางการ ผลิต การมีสุขภาพอนามยั เลว น้ันก็คือบุคลิกภาพของความเป็ นประเทศดอ้ ยพฒั นาภาวะเช่นน้ีถูก มองวา่ เป็นเพราะลกั ษณะความสัมพนั ธ์แบบเมอื งแมก่ บั อาณานิคม โดยแทจ้ ริงน้นั ยงั ไมห่ มดสิ้นไป ประเทศท่ีเป็นเมืองแม่ในอดีตยงั ไดร้ ับผลประโยชน์ในทางเศรษฐกิจทางออ้ มอยปู่ ระเทศอดีตอาณา
- 169 - นิคมก็ยงั เสียเปรียบอยโู่ ดยการมีฐานะเป็ นแหล่งผลิต แหล่งแรงงานราคาถูก แหล่งระบายมลภาวะ เป็ นพิษทางการผลิต และแหล่งทรัพยากรราคาถูก ดว้ ยเหตุน้ีจึงทาให้เกิดความไม่เท่าเทียมกนั ใน โครงสร้างของระบบเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ประเทศอตุ สาหกรรมจะมีฐานะทางเศรษฐกิจสูงใน ขณะท่ีประเทศเกษตรกรรมจะมีฐานะทางเศรษฐกิจตกต่า จึงเกิดความขดั แยง้ ระหว่างกันและกัน ข้ึนมา อย่างไรก็ตาม นักวิชาการอีกพวกหน่ึงก็เห็นว่า ความขดั แยง้ ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ มนั่ คงและยากจนน้ันเกิดจากการขาดแคลนเศรษฐทรัพยท์ จ่ี ะแจกแจง (Distribution) ให้เท่าเทียมกนั เกิดจากการขาดสถาบนั และกลไกท่ีจะแจกแจงอย่างมปี ระสิทธิภาพมากกว่าการตกทอดสภาวะเอา รัดเอาเปรียบกันอย่างจริงจงั ท้ังน้ีเพราะตามหลักเศรษฐศาสตร์น้ัน ไม่มีใครครอบครองปัจจัย ทางการผลติ ทุกอยา่ งไดเ้ ต็มเป่ี ยม บางรัฐมีบางอยา่ งแต่ขาดแคลนบางอยา่ งซ่ึงอีกรัฐมอี ยเู่ หลือเฟือ จึง ไมม่ ีการไดเ้ ปรียบเสียเปรียบกนั มากนกั ความสมั พนั ธ์ทางเศรษฐกิจจึงเป็นไปในลกั ษณะพ่งึ พาอาศยั กนั (Interdependence) มากกวา่ การหาทางแกไ้ ขความขดั แยง้ ทางเศรษฐกิจก็จะผันแปรไปตามกรอบความคิดในการมอง เหตุของความขดั แยง้ เช่นกนั กรอบความคิดแบบพนั ธกิจนิยมที่เนน้ ถึงการสร้างสถาบนั และกลไก ข้ึนมาแบ่งส่วนและกากบั ผลประโยชน์บางเศรษฐกิจระหว่างรัฐ อนั จะทาให้ความขดั แยง้ หมดไป ถา้ การแบ่งสรรน้นั ทากนั อยา่ งมปี ระสิทธิภาพกาเนิดของสถาบนั ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่ทา หน้าที่กากบั ความขัดแยง้ น้ีจึงมีรากฐานที่มาทางความคิดเช่นเดียวกับองค์การระหว่างประเทศ ทว่ั ๆไป ตามความจริงแลว้ สถาบนั กากบั ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจน้ีก็คือ องค์การระหวา่ งประเทศ อกี รูปหน่ึงที่มีขอบเขตของสมาชิกท้งั ประเภทเฉพาะภูมิภาคและประเภททว่ั ไป แตท่ าหนา้ ท่ีเจาะจง เฉพาะการแจกแจงอานาจทางเศรษฐกิจเท่าน้ันบรรดาสมาชิกต่างยอมสละอานาจอิสระทาง เศรษฐกิจบางประการให้กบั องคก์ ารเพ่ือผลประโยชน์ส่วนใหญ่ร่วมกนั ของมวลสมาชิก สถาบนั ทเ่ี กิดข้ึนตามความคิดขา้ งตน้ ไดแ้ ก่ ขอ้ ตกลงเกี่ยวกบั พกิ ดั ภาษีศุลกากรและการคา้ หรือท่ีเรียกกันส้ันๆ ว่า แกต(General Agreement on Tariffs and Trade -GATT) ท่ีกระทาข้ึนเม่ือ ค.ศ.1947 อนั เป็นกลไกที่จะควบคมุ การคา้ ระหว่างรัฐสมาชิกดว้ ยความมงุ่ หวงั ท่ีจะสร้างเสริมความ เติบโตทางการคา้ และเศรษฐกิจของโลก โดยการลดอุปสรรคทางการคา้ บนพ้ืนฐานของการไม่กีด กนั ซ่ึงกนั และกนั เพราะฉะน้ันรัฐสมาชิกต่างไม่ต้ังกาแพงภาษีกีดกันสินค้าเข้าระหว่างกนั เพื่อมุ่ง คมุ้ ครองสินคา้ ของตนแต่ฝ่ ายเดียว การช่วยเหลือซ่ึงกนั และกนั ทางการคา้ จะทาให้รัฐเติบโตข้ึนมา ดว้ ยกันได้ เพราะฉะน้ันความเหลื่อมล้าบางเศรษฐกิจการค้าจะลดน้อยลง ถ้ารัฐไหนถูกกีดกันก็ สามารถร้องอุทธรณต์ อ่ แกตให้บงั คบั รัฐคกู่ รณีลดหยอ่ นขอ้ จากดั ทางการคา้ ลง นอกจากการต้ังสถาบันเพ่ือจัดระเบียบทางการค้าระหว่างประเทศแล้วยงั มีการจัดต้ัง สถาบนั ทที่ าหนา้ ที่แจกจ่ายผลไดท้ างเศรษฐกิจข้นึ ตามมาใน พ.ศ. 2491อกี ดว้ ย สถาบนั น้นั กค็ ือ กอง
- 170 - เงินทุนระหว่างประเทศ(International Monetary Fund IMF) โดยมีวตั ถุประสงค์เพื่อเสริมสร้าง เสถยี รภาพของระบบการหมนุ เวียนทางการเงินระหว่างประเทศ กองเงินทุนระหวา่ งประเทศจะเป็น แหล่งช่วยสร้างความสาเร็จให้กบั งานของแกตดว้ ยการให้การแลกเปล่ียนเงินตราต่างประเทศอย่าง พอเพียงและให้การหมุนเวียนเงนิ ทุนเพื่อรองรับการยกั ยา้ ยถ่ายเททางการคา้ งานของแกตและกอง เงินทุนระหว่างประเทศไดร้ บั การเก้ือหนุนให้แข็งแกร่งย่ิงข้ึนดว้ ยการจดั ต้งั ธนาคารเพ่ือการบูรณะ และพฒั นาระหว่างประเทศ (International Bank for Reconstruction and Development IBRD) เพ่ือ เป็นช่องทางในการป้องกนั ผลต่อเนื่องทางเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศดอ้ ยพฒั นาท่ีมีความ ขมขน่ื ต่อประเทศพฒั นาแลว้ สร้างความขดั แยง้ หรือความรุนแรงข้ึนมา International Monetary Fund IMF International Bank for Reconstruction and Development IBRD ความพยายามจัดต้งั สถาบันเพ่ือทาหน้าท่ีลดช่องว่างทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศเช่นน้ี สะทอ้ นถงึ ปรชั ญาของการจดั ระเบยี บเศรษฐกิจระหวา่ งประเทศวา่ องิ อยบู่ นหลกั เศรษฐกิจเสรีนิยมที่ ให้มีการค้าและการลงทุนอยา่ งเสรี โดยเชื่อว่ากลไกตลาดจะทาหน้าที่ปรับราคาและรายไดข้ อง สินคา้ ตามความตอ้ งการ และความสามารถทางการผลิตของเจา้ ของสินคา้ นอกจากน้ีการให้ความ ช่วยเหลือทางการเงิน เช่น การให้กู้ยืมเงินเพื่อการพฒั นา การให้ความช่วยเหลือทางวิชาการ หรือ การให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่า จะเป็ นตัวช่วยให้ประเทศด้อยพฒั นามีปัจจัยทางการผลิตที่ สาคญั คือ ทุนได้มากข้ึน ทาให้ประสิทธิผลทางการผลิตสูงข้ึน เม่ือมีการผลิตสูงข้ึน ผลผลิตจะ จาหน่ายไดม้ ากทาใหร้ ายไดข้ องคนในชาติตามมา ความขมข่ืนจากการมีฐานะทางเศรษฐกิจตกต่าก็ จะลดลงความขดั แยง้ กจ็ ะบรรเทาเบาบางลงตามลาดบั อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่าการจดั ระเบียบทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศตามแนวความคิด พนั ธกิจนิยมดงั กล่าวมิไดท้ าให้เกิดความเท่าเทียมกนั ทางเศรษฐกิจแต่ประการใดจะยงั เกิดความ แตกต่างระหว่างกันออกไปอยา่ งมากกว่าเก่า ท้ังน้ีเพราะการแจกแจงผลไดท้ างเศรษฐกิจการให้
- 171 - สินเชื่อและบริการอยูภ่ ายใตก้ ารตดั สินใจของประเทศมง่ั คง่ั ซ่ึงเป็ นประเทศส่วนนอ้ ยแต่มีอภิสิทธ์ิ เหนือประเทศส่วนใหญท่ ีย่ ากจน ความไมเ่ ท่าเทียมกนั ดงั กล่าวจะเห็นไดจ้ ากประเด็นตอ่ ไปน้ี 1. ความไม่เท่าเทียมกันในการแจกแจงเงินสารองระหว่างประเทศ (The distribution of International Reserves)จากการที่กลุ่มประเทศมงั่ คงั่ ใชฐ้ านะทางเศรษฐกิจของตนสร้างความเชื่อถือ (Credit) เพื่อกยู้ มื เงินจากกองเงนิ ทุนระหว่างประเทศไดส้ ะดวกกวา่ ประเทศกาลงั พฒั นาท่ีขาดฐานะ ทางเศรษฐกิจมาสร้างความเชื่อถือไดเ้ ม่ือหัวใจของระบบเศรษฐกิจอยู่ท่ีการให้สินเชื่อ และความ เช่ือถือเช่นน้ี ประเทศยากจนก็ไม่อาจเข้าร่วมในของการตัดสินใจทางการเงินไดเ้ หมือนกบั คน ยากจนท่ีไมอ่ าจกูเ้ งินธนาคารไดง้ ่ายๆ เพราะไม่มีอะไรค้าประกนั การกู้ 2. ความไม่เท่าเทียมกนั ในการแจกแจงมูลค่าเพิ่ม(Value Added) ของผลิตภณั ฑท์ ่ีคา้ ขาย กนั ระหว่างประเทศกาลงั พฒั นากับประเทศพฒั นาแลว้ สินคา้ ของประเทศกาลงั พฒั นาเมื่อออกสู่ ตลาดจะมรี าคาเพม่ิ มากข้ึนตามข้นั ตอนการผลติ จนกระทง่ั ราคาสูง เมือ่ การผลติ ข้นั สุดทา้ ยจบลง แต่ ประเทศกาลงั พฒั นาจะมีส่วนแบ่งในราคาน้ันน้อยมาก เพราะจะไดร้ ับประมาณค่าแรงที่ทาลงไป เท่าน้ัน ประเทศพัฒนาที่นาวัตถุดิบไปผลิตจะคิดผลตอบแทนทางด้านการประกอบการ กระบวนการผลติ การตลาด ฯลฯ จนทาให้ไดร้ บั ผลตอบแทนตามข้นั ตอนการผลิตเมื่อถงึ ข้นั สุดทา้ ย สูงข้นึ 3. การต้ังกาแพงกีดกันทางการค้า (The Protective wall) คือ การที่ประเทศพัฒนาแล้ว ป้องกนั มิให้ประเทศกาลงั พฒั นาไดร้ ับส่วนแบ่งความมงั่ คง่ั ของเศรษฐกิจโลก โดยการทาให้กลไก ตลาดเสริมเสรี เช่น การต้งั กาแพงภาษี การให้เงินอุดหนุน การผลิตพืชผลแก่เกษตรกรในประเทศ ของตน เพื่อไม่ไห้สินคา้ ทางการเกษตรของประเทศกาลงั พฒั นาเขา้ สู่ตลาดการแขง่ ขนั ในราคาต่าได้ เพราะต้นทุนการผลิตสูงกว่า ดังเช่น กรณีท่ีสหรัฐอเมริกาใช้ ฟาร์ม แอกต์ (Farm Acts) เป็ น เคร่ืองมอื กีดกนั การส่งสินคา้ เกษตรจากประเทศไทยไปยงั สหรัฐอเมริกา 4. ความสัมพนั ธ์ที่ไม่เท่าเทียมกนั ระหว่างบรรษทั ข้ามชาติ (Multinational Corporations) กบั ประเทศกาลงั พฒั นาบรรษทั ขา้ มชาติ คือ บรรษทั ของประเทศที่พฒั นาแลว้ เขา้ ไปดาเนินกิจการ ทางการผลิต การลงทุนทางการผลิตในหลายๆประเทศ เช่น บริษทั ของญ่ีป่ ุนเขา้ ไปลงทุนทาการ ผลิตรถยนตใ์ นประเทศไทย หรือเขา้ ไปลงทนุ ทาการผลิตสินคา้ อุตสาหกรรมอน่ื ๆ ในมาเลเซีย เป็น ตน้ สัญญาที่ทากันระหว่างบรรษทั ขา้ มชาติกับประเทศกาลังพฒั นาจะเป็ นสัญญาที่ไม่เป็ นธรรม ทางการแจกแจงผลประโยชน์ เช่น ไดร้ ับการยกเวน้ ภาษีในระยะแรกสามารถขนกาไรกลบั ประเทศ ในรูปต่างๆ เป็นผกู้ าหนดราคาสินคา้ และจา้ งในตลาดทตี่ นไปต้งั อยู่ 5. ความไม่เท่าเทียมกนั ของอานาจการตดั สินใจทางเศรษฐกิจโลกประเทศกาลงั พฒั นาไม่มี ส่วนในการกาหนดทศิ ทางเศรษฐกิจโลก เพราะอานาจการตดั สินใจอยใู่ นกลุ่มประเทศอุตสาหกรรม
- 172 - ท้งั น้ัน ไม่ว่าจะเป็นการออกเสียงในกองเงนิ ทุนระหวา่ งประเทศ หรือในการประชุมกลุ่มประเทศผู้ ย่ิงใหญท่ างอตุ สาหกรรม ฯลฯ ทาให้ประเทศกาลงั พฒั นาไมม่ โี อกาสกาหนดชะตากรรมของตน 6. การครอบงาทางปัญญา เน่ืองจากโครงสร้างของความสัมพนั ธ์ระหว่างประเทศกาลัง พฒั นาและประเทศท่ีพฒั นาแลว้ มีลกั ษณะเป็นลาดบั ข้นั เหมือนความสมั พนั ธร์ ะหว่างชนช้นั ล่างกบั ชนช้นั นาในสังคมศกั ดินาความสัมพนั ธ์แบบน้ีก่อให้เกิดการครอบงาทางค่านิยม มีการยอมรับวิถี ชีวิตของชนช้ันสูง คือ ความถูกตอ้ งควรแก่การเลียนแบบเช่นเดียวกบั การยอมรับว่าวิถีทางการ พฒั นาระบบเศรษฐกิจของประเทศท่ีพฒั นาทางอุตสาหกรรมโดยบรรดาประเทศท่ีกาลังพฒั นา ท้งั หลายเป็นการรบั รูปแบบเขา้ มาโดยมิไดค้ านึงถึงพ้นื ฐานของการเกิดค่านิยมเช่นน้ีวา่ ต่างกบั ตนเอง อย่างไร ดังน้ันเราจึงเห็นสภาพของประเทศกาลังพัฒนาที่มีความทันสมัยด้านวัตถุ แต่ไม่มี ความเจริญของตนเอง การครอบงาน้ียงั กระทาไดด้ ว้ ยการขยายค่านิยมของประเทศอุตสาหกรรม ผ่านส่ือต่างๆ เน่ืองจากความกา้ วหน้าทางเทคโนโลยีของตน ประเทศอุตสาหกรรมก็สามารถขยาย ค่านิยมของตนออกมาทว่ั โลกจึงเป็นการครอบงากนั ได้ ความไม่เท่าเทียมกนั ตามประเด็นต่างๆ เป็นเรื่องของผลประโยชน์และค่านิยมผสมผสาน กนั อยู่ และทาให้เกิดความขัดแยง้ กันระหว่างรัฐดาเนินมาอย่างเร้ือรังและมากข้ึนทุกที่ องค์การ ระหว่างประเทศที่กระทาหนา้ ท่ีอยกู่ ็มิอาจทาให้ความขัดแยง้ ทุเลาลงได้ แมจ้ ะมีการจดั ต้งั สถาบนั ทางเศรษฐกิจระหวา่ งประเทศกาลงั พฒั นาในเอเชียอาคเนยข์ ้นึ มา คือ อาเซียน (ASEAN) เพอื่ ตอ่ รอง ทางเศรษฐกิจกบั มหาอานาจ แต่บทบาทท่ีอาเซียนกระทาน้ันหนักไปทางการเมืองในภูมิภาคเอเชีย ตะวนั ออกเฉียงใต้มากกว่าจะเป็ นเรื่องทางเศรษฐกิจ นอกจากน้ีการแข่งขนั ทางเศรษฐกิจกันเอง ระหว่างประเทศสมาชิกก็ทาให้บทบาทร่วมทางเศรษฐกิจไร้ความหมาย ดังน้ัน การจดั ต้งั สถาบัน ทางเศรษฐกิจเพื่อการแบ่งปันผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศจึงกลับกลายมาเป็ น เคร่ืองมือในการพลิกแพลงการรักษาผลประโยชน์ของประเทศมหาอานาจมากกว่าตามกลไกของ การลงทุน การให้สินเชื่อการแข่งขันกนั ทางการคา้ และการตัดสินใจในเรื่องต่างๆขององค์การ ระหว่างประเทศทางเศรษฐกิจ ดังน้ันจึงมีผูเ้ กิดความคิดที่จะขัดระเบียบทางเศรษฐกิจระหว่าง ประเทศข้ึนมาใหม่ (New-International Economic Order = NIEO)โดยมุ่งการแก้ไขความไม่เป็ น ธรรมของประเทศกาลงั พฒั นาดว้ ยกลไกทางการเมอื งแทนการจดั ต้งั องคก์ ารทางเศรษฐกิจ น้ันกค็ ือ การมุ่งสร้างความแข็งแกร่งทางการเมืองของประเทศกาลงั พฒั นาให้มีอานาจในการตัดสินใจใน สถาบันทางเศรษฐกิจมากข้ึน ด้วยความหวงั ว่าการโยกยา้ ยศูนยอ์ านาจการตดั สินใจจะทาให้การ ควบคุมกลไกทางเศรษฐกิจโลกเปล่ียนไป
- 173 - การควบคุมความขดั แย้งระหว่างรัฐ : ล่ทู างสาหรับอนาคต ความลม้ เหลวของการต้งั สถาบนั ควบคุมความขดั แยง้ ระหว่างรัฐท้งั ทางการเมืองและทาง เศรษฐกิจ สะท้อนให้เห็นถึงรากเหง้าของความขัดแยง้ ว่าอยู่บนพ้ืนฐานของการไม่ยอมรับใน สถานภาพ ค่านิยม และเอกลักษณ์ของกันและกนั ระหว่างรัฐต่างๆ การแข่งขนั กันสะสมอาวุธ ยุทธศาสตร์กาเนิดมาจากความไม่ยอมรับความต่างอุดมการณ์ทางการเมืองและระบบเศรษฐกิจ ระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต การสะสมอาวุธดงั กล่าวมิใช่หนทางแกไ้ ขความขดั แยง้ แตก่ ลบั ทาให้ความขดั แยง้ ผนั แปรไปเป็นความขดั แยง้ ดา้ นอานาจควบคู่กบั ดา้ นอุดมการณ์ดว้ ย การ ไม่ยอมรับสถานภาพของประเทศกาลงั พฒั นาดว้ ยการวางอานาจการตัดสินใจแจกแจงแบ่งสรร ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและเง่อื นไขของการแบ่งปันผลประโยชน์เหล่าน้นั ให้ตกอยใู่ นมือของ ประเทศมหาอานาจทางเศรษฐกิจทาให้ความขดั แยง้ ระหว่างประเทศเหลา่ น้ีเร้ือรงั ในขณะเดียวกนั ก็ เปิ ดโอกาสให้คู่แข่งความขดั แยง้ ดา้ นอานาจถือโอกาสเขา้ แทรกแซงดว้ ยการเขา้ สนบั สนุนฝ่ ายตรง ขา้ มของตน เช่น สหภาพโซเวียตเขา้ สนบั สนุนบางประเทศในลาตินอเมริกาต่อตา้ นสหรัฐอเมริกา รวมท้งั เปิ ดโอกาสให้เข้าแทรกแซงการเมืองภายในประเทศในลักษณะเดียวกันด้วย ทาให้ความ ขดั แยง้ ระหว่างรฐั กบั ความขดั แยง้ ภายในรฐั แยกจากกนั ไมอ่ อกดว้ ยเหตนุ ้ี ความขดั แยง้ ระหว่างรัฐและความขดั แยง้ ภายในรัฐยงั แยกจากกนั ไม่ออกดว้ ยเหตทุ างกลไก เศรษฐกิจ บทบาทของรัฐมหาอานาจในระบบเศรษฐกิจระหว่างประเทศไดก้ ่อให้เกิดผลสะเทือนต่อ ระบบเศรษฐกิจภายในรัฐ การควบคุมทิศทางการพฒั นาประเทศ โดยการควบคุมการจัดการ โครงการพฒั นาให้สนองต่อผลประโยชนข์ องประเทศพฒั นา เช่น ตามโครงการเงินกู้เพอื่ การพฒั นา มกั จะมกี ารระบใุ ห้มีการใชบ้ ริษทั ท่ีปรึกษา วสั ดอุ ปกรณ์ ของประเทศเจา้ ของทุน หรืออานาจในการ
- 174 - อนุมัติโครงการกู้อยู่ในมือของประเทศเจา้ ของทุนท้ังหลายแทนท่ีจะเป็ นขององค์การระหว่าง ประเทศอย่างแทจ้ ริง เป็นต้น หรือบทบาทของบรรษทั ขา้ มชาติที่มาลงทุนในประเทศกาลงั พฒั นา โครงการอาศยั นกั การเมอื งภายในประเทศเป็นผูอ้ นุมตั ิกฎหมายท่ใี ห้ประโยชนแ์ กเ่ จา้ ของทนุ ที่จะตกั ตวงผลไดภ้ ายในประเทศร่วมกบั ชนช้นั นาภายในประเทศ ดงั น้นั ผลการพฒั นาในประเทศจึงตกอยู่ กบั ต่างชาติและชนช้ันนามากกว่าจะตกอยู่กบั คนส่วนล่าง ท้งั น้ีเพราะชนช้ันนาในประเทศกาลัง พฒั นาน้นั เป็นผูค้ ุมอานาจทางเศรษฐกิจและการเมอื งพร้อมๆ กนั ทาให้คนช้นั ลา่ งมีความขดั แยง้ กบั ชนช้ันนาท้งั ภายในรัฐและระหว่างรัฐ ดว้ ยเหตุน้ีความขดั แยง้ ท่ีเร้ือรังจึงมีเหตุท้งั ทางเศรษฐกิจและ การเมืองผสมผสานกนั ยากแก่การแกไ้ ขดว้ ยวิธียตุ ิขอ้ ขดั แยง้ ตามยุทธศาสตร์ขององคก์ ารระหว่าง ประเทศแต่ประการเดียว ในขณะเดียวกนั เหตุแห่งความขดั แยง้ ก็คือ ระดบั การพฒั นาที่แตกต่างกนั ถา้ ยงั มีความแตกต่างกนั มากตามกลไกของการไดเ้ ปรียบเสียเปรียบกนั มากตราบน้นั ความขดั แยง้ ก็ ยงั ดารงอยู่ วฒุ ิภาวะทางการเมอื งของชนช้นั ล่างภายในรัฐจะช่วยทาใหเ้ กิดความเขา้ ใจตอ่ โครงสร้าง ท่ีทาให้เกิดปัญหา ทาให้เกิดความเขา้ ใจกลไกทางการเมืองและเศรษฐกิจท่ีสลบั ซับซ้อน อนั ทาให้ เกิดภาวะด้อยพัฒนาของตนภายในรัฐทาให้เกิดการแสวงหากระบวนการท่ีเหมาะสมในการ แกป้ ัญหาภายในรัฐ วุฒิภาวะทางการเมืองของประเทศกาลงั พฒั นาเหลา่ น้ีร่วมกนั จะเป็ นแรงกระตุน้ สร้างอานาจทางการต่อรองท้งั ทางการเมอื งและเศรษฐกิจได้ การจะทาไดเ้ ช่นน้ี รฐั ควรเขา้ มามบี ทบาทในการเปลี่ยนแปลงค่านิยมขององคก์ รต่างๆ ไปสู่ ทิศทางของการลดช่องวา่ งทางเศรษฐกิจและสังคม โดยไมก่ ระทบกระเทือนโครงสร้างอยา่ งรุนแรง เช่น การเรียกร้องให้มีการคืนกาไรของภาคเอกชนสู่ประชาชนดว้ ยรูปแบบของการสวสั ดิการและ บริการสงั คม การเขา้ มาเป็นตวั กลางในการตอ่ รอง การแจกแจงผลประโยชนท์ างเศรษฐกิจ การออก กฎหมายประกนั สังคม การกาหนดค่าจา้ งแรงงานข้นั ต่าให้เหมาะสมกบั สภาพการครองชีพ การให้ การศึกษาฟรีในภาคบังคบั การให้เสรีภาพช้ันพ้ืนฐานแก่คนในรัฐ การให้ความคุม้ ครองสิทธิแก่ กรรมกร เด็กและสตรีฯลฯ เป็นการแจกจ่ายผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้ทุกคนไดร้ ับโอกาสน้ีแต่ มิใช่การสร้างความเท่าเทียมกนั ทางตวั เงินหรือรายได้ เม่ือเป็ นเช่นน้ีก็คือการเปลี่ยนแปลงกรอบ ความคิดเร่ืองการพฒั นาน้ันเอง การพฒั นาจะต้องมิใช่การเพ่ิมพูนรายได้ วตั ถุของคนภายในรัฐ เท่าน้ัน แต่จะตอ้ งหมายถงึ การไดร้ บั โอกาสท่ีจะมีความคิดริเร่ิมของตนเอง มีความสามารถคิดคน้ สิ่งต่างๆ ที่เหมาะสมกบั ฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมของตน มีเทคโนโลยีที่เหมาะสมของตนเอง พ่ึงพาตนเองได้ มีค่านิยมของการพ่ึงพาตนเองเป็นหลกั และเม่ือภายในรัฐบรรลุผลดงั กล่าว การ ยกระดบั อานาจต่อรองภายนอกรัฐกจ็ ะเกิดข้นึ
- 175 - กระบวนการแก้ไขและควบคมุ ความขัดแย้งระหว่างรัฐ กระบวนการแกไ้ ขความขดั แยง้ น้ันต่างจากสถาบันควบคุมความขัดแยง้ หรือแกไ้ ขความ ขดั แยง้ ตรงที่วา่ สถาบนั น้นั เป็นองคก์ ารร้องรบั การดาเนินงาน แต่การดาเนินงานน้นั จะตอ้ งมีวิธีการ ต่างๆ ท่ีกระทาอย่างต่อเน่ืองเพ่ือให้บรรลุเป้าหมายท่ีองค์การวางไวใ้ ห้มากที่สุด วิธีการต่างๆท่ี ดาเนินมาอยา่ งต่อเน่ืองน้ีเราเรียกว่ากระบวนการ กระบวนการแก้ไขความขัดแยง้ เป็ นกระบวนการที่ใช้ได้ท้งั ระดับภายในรัฐและระดับ ระหว่างรัฐ ท้งั น้ีเพราะไม่ว่าจะเป็ นความขดั แยง้ ระดบั ใดก็ตาม ต่างก็มคี ู่ของความขดั แยง้ มีเหตุของ ความขัดแย้งท้ังสิ้นความแตกต่างของระดับเป็ นเพียงความแตกต่างในขอบเขตและความ สลบั ซับซ้อนของปัญหาเท่าน้ัน ตามปกติเมอ่ื เราคิดถงึ การแกไ้ ขความขดั แยง้ เรามกั คดิ ถงึ ผลลพั ธว์ ่า จะตอ้ งมีฝ่ ายหน่ึงไดเ้ ปรียบและอีกฝ่ายหน่ึงเสียเปรียบจากกระบวนการน้ี ดงั ท่ีไดก้ ล่าวมาไวห้ ลายที่ ในหน่วยน้ีว่า สภาพผลลัพธ์ดังกล่าวมิอาจทาให้ความขัดแยง้ สิ้นสลายโดยเด็ดขาด เพราะฝ่ าย เสียเปรียบย่อมจะเกิดความไม่พึงพอใจและอาจหาทางแกแ้ ค้นได้ เพราะฉะน้ันการแก้ไขความ ขดั แยง้ เพอ่ื หวงั ผลเป็นการสร้างสันติภาพจึงควรจะเป็นการแกไ้ ขให้เกิดความพงึ พอใจแกค่ ู่กรณี ซ่ึง หมายถึงว่าผลลัพธ์ที่ออกมาจะสนองตอบต่อความต้องการตามความจาเป็ น (Needs) และต่อ ผลประโยชน์ (Interests) ของทุกฝ่าย การที่จะทาได้ผลน้ันมิใช่อาศัยการอา้ งกฎระเบียบ การไกล่เกลี่ย การสมยอม หรือการ ต่อรองตามบทบาทของสถาบนั ต่างๆ เข้ามาตดั สินแต่อย่างเดียว ประวตั ิศาสตร์ช้ีให้เห็นถึงความ ลม้ เหลวของการดาเนินการเช่นน้ีท้งั ระดบั ภายในรัฐและระดบั ระหว่างรัฐ แต่เราควรมีวิธีการของ การแกป้ ัญหาตามแนวความคิดท่ีเริ่มจากการเห็นพอ้ งตอ้ งกนั ว่าอะไรคือประเด็น (Issue) ที่แทจ้ ริง ของปัญหา เช่น ความขดั แยง้ ระหว่างนายจา้ งกบั กรรมกรน้ันประเด็นปัญหาคือ ค่าแรงข้นั ต่าหรือ ความตอ้ งการตามความจาเป็ นที่ไม่ตรงกันระหว่างท้ัง 2 ฝ่ าย หรือความรู้สึกเอารัดเอาเปรียบกนั หรือความรู้สึกดถู ูกดหู มิ่นกนั ฯลฯแตล่ ะฝ่ ายต่างตีความตอ้ งการตามความจาเป็ นและผลประโยชน์ ต่างกนั มีลกั ษณะเฉพาะตวั ตามวฒั นธรรมแวดลอ้ มเฉพาะกลุ่ม เพราะฉะน้ันควรมีการแตกปัญหา ออกเป็ นประเด็นต่างๆ ประเด็นเหล่าน้ันต้องเป็ นประเด็นตามการรับรู้ของคู่กรณี มิใช่เป็ นการ กาหนดข้ึนของสถาบนั หรือบุคคลท่ีเขา้ มาเป็นฝ่ ายท่ีสาม การกาหนดประเด็นเช่นน้ีจะตอ้ งแยกให้ ออกระหว่างกลวิธีกบั เป้าหมายของประเด็น เช่น การเรียกร้องดินแดนเป็ นกลวิธีเพื่อบรรลุเป้า หมายความมน่ั คง ดว้ ยความเป็นจริงแลว้ ความขดั แยง้ ทม่ี ีอยทู่ ุกวนั น้ีจานวนมากมใิ ช่เป็นประเด็นทางดา้ นวตั ถุ มอิ าจแบ่งปันได้ แต่ประเดน็ ส่วนใหญ่มกั เป็นความตอ้ งการทางสังคมท่จี าเป็นข้ึน เป็นความตอ้ งการ โดยทั่วไปเป็ นสากล เช่น เอกลกั ษณ์ การยอมรับ การเขา้ ควบคุมโดยให้ผูถ้ ูกควบคุมมีส่วนร่วม
- 176 - ความมน่ั คง คนกล่มุ หน่ึงมีความรู้สึกเก่ียวกบั ความมน่ั คง คนกลุม่ อนื่ ๆ ก็มีความรู้สึกน้ี คนกลมุ่ นอ้ ย มีประสบการณ์เกี่ยวกบั เอกลกั ษณ์เร่ืองเช้ือสายชาตพิ นั ธุ์ คนกลุ่มอ่ืนๆ ก็มีเช่นกนั ถา้ ความตอ้ งการ ทางสงั คมเป็นส่ิงท่ีทุกคนมีอย่ทู กุ ฝ่ายที่เกี่ยวขอ้ งกบั ความขดั แยง้ ก็ควรเขา้ ใจว่าฝ่ ายที่ตรงขา้ มกบั ตน ยอ่ มตอ้ งการบรรลุความตอ้ งการทางสังคมเช่นกนั การจะกระทาเช่นน้ีไดข้ ้ึนอยกู่ บั การปฏิบตั ิจริงๆ ทางการเมืองว่าดว้ ยการยอมรับความแตกต่างของกนั และกนั เพื่อนาไปสู่การแกป้ ัญหาที่เป็นความ ขดั แยง้ ทางสงั คมอยา่ งเร้ือรงั การแก้ปัญหาความขดั แยง้ ทางสังคมอย่างเร้ือรังจึงเป็ นความพยายามในการแกไ้ ขความ ขดั แยง้ ดว้ ยความยินยอมพร้อมใจของทุกฝ่ ายมากกว่าการยุติปัญหาดว้ ยการบีบบงั คบั ด้วยพ้ืนฐาน ความคิดว่าทุกฝ่ ายตอ้ งการมีการเปลีย่ นแปลง มีปฏิกิริยาในด้านต่างๆ อยูเ่ สมอ แต่มิใช่เพื่อสู่การแพ้ ชนะ ฝ่ ายท่ีสามที่เขา้ รับหน้าที่ในการแกไ้ ขจะตอ้ งกระตุน้ ให้ท้งั คู่มองไปถึงสัมพนั ธภาพที่ยอมรับ กนั ไดใ้ นอนาคต แทนท่ีจะมองยอ้ นไปหาอดีตท่ีเป็นปัญหากนั มา การทาเช่นน้ีคือการร่วมกนั มองสู่ เป้าหมายใหม่ท่ีสูงส่งกว่าเดิม เป็ นเป้าหมายที่ท้ังสองต่างก็ปรารถนาและจะบรรลุได้ด้วยความ ร่วมมือกนั การวางเป้าหมายร่วมกนั ทีละข้นั ตอนก็จะเป็นการดึงค่ขู ดั แยง้ เขา้ สู่สมั พนั ธภาพทค่ี ่อยๆ กระเต้ืองข้ึน เนื่องจากต่างไดร้ ับผลประโยชน์ท่ีต้องการ เม่ือเป็ นแบบน้ีการแกป้ ัญหาจึงเป็ นเร่ือง ของการตัดสินใจไปแต่ละข้ันตอน ฝ่ ายที่สามจะตอ้ งรับภาระในการทาให้ผูค้ นท่ัวไปเข้าใจถึง กระบวนการตดั สินใจของแต่ละฝ่ าย การนารายละเอียดข้อปลีกย่อยของขอ้ ตกลงท่ีกระทาแต่ละ ข้นั ตอนมาแลกเปลีย่ นใหแ้ ตล่ ะฝ่ายเขา้ ใจกนั ให้ไดน้ ้นั ฝ่ายที่สามจะตอ้ งดาเนินตามข้นั ตอนของการ เจรจา (Negotiation) อนั ต่างจากการต่อรอง (Bargaining) ส่วนกระบวนการยตุ ิหรือควบคุมความขดั แยง้ ทางดา้ นอานาจน้ันมีพ้ืนฐานอยบู่ นการไกล่ เกลี่ยผลประโยชน์ซ่ึงตอ้ งอาศยั ศิลปะของการสร้างความพึงพอใจอยา่ งสูงสุดเท่าที่จะทาไดพ้ ร้อมๆ กบั รักษาหน้าของคู่กรณีด้วย ความขดั แยง้ เช่นน้ีมีเหตุมาจากความขาดแคลนทางวตั ถุ ดังน้ันส่ิง สนองตอบความต้องการจึงมีอยู่อย่างจากัดเพราะฉะน้ันกระบวนการยุติความขัดแย้งจึงเป็ น กระบวนการแบ่งปันของท่ีมีอย่อู ย่างจากดั ตามระเบียบขอ้ บังคบั ทางกฎหมายหรือตามอานาจการ ต่อรอง (Bargaining Power) ที่คู่ขดั แยง้ มีอยู่ส่วนใหญ่แลว้ อาศยั สถาบนั ทางกฎหมายเขา้ ทาหน้าท่ี แบ่งปันน้ี ผลมกั ออกมาเป็ นความล้มเหลวในข้นั สุดทา้ ย โดยเฉพาะเมื่อเป็ นความขดั แยง้ ระหว่าง ประเทศหรือขอ้ โตแ้ ยง้ ในวงการอุตสาหกรรมซ่ึงพวั พนั อยู่กบั เรื่องผลประโยชน์ ค่กู รณีมกั ปฏเิ สธคา ตดั สินของศาล และหันไปใช้กระบวนการท่ีมีความเป็ นทางการน้อยกว่า เช่น การไกล่เกลี่ย การ ประนีประนอมยอมความ เป็นตน้ กระบวนการเช่นน้ีสร้างความเสียหายให้ท้งั คอู่ ยเู่ สมอ ความลม้ เหลวของการยตุ ิขอ้ ขดั แยง้ อยทู่ ค่ี ูก่ รณีไมเ่ ต็มใจมอบอานาจการตดั สินใจใหก้ บั ฝ่าย ท่ีสาม กระบวนการยุติขอ้ ขดั แยง้ ควรจะดาเนินไปในลกั ษณะท่ีทุกฝ่ ายที่เกี่ยวขอ้ งตอ้ งเขา้ มามีส่วน
- 177 - ร่วมในการตดั สินใจอยา่ งมากจนกระทง่ั บรรลุขอ้ ต่อรองข้นั สุดทา้ ย กระบวนการยุติความขัดแยง้ โดยทวั่ ๆ ไปมกั ไม่เปิ ดโอกาสให้คู่กรณีเขา้ ไปมีส่วนร่วมในการตดั สินใจหรือควบคุมผลลพั ธ์ เช่น ในศาล ค่แู ห่งความขดั แยง้ ก็ตอ้ งมีตวั แทน เช่น ทนายความที่ปรึกษาทางกฎหมาย และการตดั สินก็ กระทาโดยผพู้ ิพากษาหรือในการไกลเ่ กลี่ยก็ตาม คู่กรณีมกั ไม่ค่อยไดพ้ บกนั กลบั กลายเป็นว่า ผไู้ กล่ เกลี่ยตา่ งหากท่ีแสดงบทบาทของการเสนอแนะขอ้ ประนีประนอม ไม่ว่าจะเป็ นการแก้ไขความขัดแยง้ หรือการยุติความขัดแยง้ ก็ตาม ต่างตอ้ งเกี่ยวข้องกับ บทบาทของฝ่ ายที่สามท้ังสิ้น ฝ่ ายท่ีสามท่ีดีน้ันควรจะเป็นผูร้ ับรู้ข้อมูลของเรื่องอย่างดีเพ่ือให้เห็น แจง้ ถึงรูปแบบพฤติกรรมของคู่กรณี เข้าใจถึงทฤษฎีว่าดว้ ยพฤติกรรม แรงจูงใจและเป้าหมายของ มนุษย์ ค่านิยมทางการเมืองท่ีผูกติดอยู่กบั สถานภาพและบทบาท เพราะฉะน้ันฝ่ ายท่ีสามจึงตอ้ งมี ประสบการณ์ท้งั ทางทฤษฎีและทางปฏิบตั ิ มิใช่เป็ นเพียงนักการฑูตผูค้ ร่าหวอด หรือนักกฎหมาย ฝีปากกลา้ เท่าน้นั และจะตอ้ งเป็นผมู้ ีอคติตอ่ คกู่ รณีนอ้ ยทีส่ ุด คอื ไมค่ วรมกั คุน้ กบั ฝ่ายหน่ึงฝ่ายใดจน เกิดความลาเอยี งโดยไม่รู้ตวั วิธีการที่ฝ่ายท่ีสามใชใ้ นการแกไ้ ขความขดั แยง้ คือ การเจรจาและท่ีใช้ ในการยตุ ิหรือควบคมุ ความขดั แยง้ คอื การตอ่ รอง การเจรจา ตามแนวความคิดว่าดว้ ยการดาเนินงานให้บรรลุวตั ถุประสงค์ตามนโยบายต่างประเทศที่ กาหนดไว้ของแต่ละรัฐถือว่า การเจรจาเป็ นวิธีการหน่ึ งซ่ึงแสดงให้เห็นถึงการที่รัฐหน่ึงมี ความสามารถในการโนม้ น้าวใจให้อีกรัฐหน่ึงกระทาตามความตอ้ งการของตนได้ โดยปราศจาก การให้ขอ้ สัญญาใดๆ เป็ นส่ิงตอบแทน หรือไม่ตอ้ งใชก้ าลงั ทหารหรือกาลงั ทรัพยเ์ ข้าคุกคาม บีบ บงั คบั แตป่ ระการใด การพจิ ารณาตามแนวความคิดน้ีละเลยความจริงขอ้ หน่ึงว่า การโนม้ นา้ วใจหรือ การชักชวน (Persuasion) จะเป็ นผลต่อเมื่ออีกรัฐหน่ึงเห็นคุณค่า เห็นประโยชน์ของการชักชวน เช่นกนั มิฉะน้ันแลว้ การโนม้ นา้ วดงั กล่าวก็ไร้ผล ดงั น้ันการเจรจาจึงควรเป็ นการเริ่มตน้ การลดทิฐิ ใช้เหตุผลยอมรับฟังกนั และกันด้วยการหวงั ผลประโยชน์ร่วมกันหรือการมีค่านิยมท่ีพอ้ งต้องกัน เป็ นที่ต้งั ผูท้ ี่ทาหน้าที่ในการเจรจา คือ ผูแ้ ทนของรัฐที่ขัดแยง้ กัน ซ่ึงอาจไดแ้ ก่ฝ่ ายที่สามท่ีท้งั คู่ ยอมรับในความเป็ นกลางหรือนักการฑูตของรัฐน้ันๆ หรือผูน้ ารัฐเองก็ได้ อันเรียกไดว้ ่าเป็ นผู้ อานวยความสะดวก (Facilitators) หรือนักการทูต (Diplomats) หรือฝ่ ายที่สาม (Third Party) การ เจรจาจะเร่ิมกระบวนการเมอ่ื บคุ คลเหล่าน้ีตกลงกาหนดวา่ ฝ่ายใดและประเด็นใดบา้ งท่ีเป็นสาระของ ความขัดแยง้ พึงระลึกไวว้ ่า ความขัดแยง้ ระหว่างรัฐน้ันมิใช่เป็ นเร่ืองเฉพาะคู่กรณีเท่าน้ัน แต่ยงั เกี่ยวข้องกบั รัฐอ่ืนๆดว้ ย เพราะรัฐต่างมีปฏิสัมพนั ธ์กับรัฐอ่ืนๆ ที่อยู่นอกวงความขดั แยง้ โดยตรง เพราะฉะน้นั บางคร้ังจาเป็นทีจ่ ะตอ้ งนาฝ่ ายทจี่ ะไดร้ ับผลกระทบมาร่วมเจรจาดว้ ย ขอ้ ตกลงระหวา่ ง คกู่ รณีจะตอ้ งไดร้ บั การยอมรับจากฝ่ายอื่นๆ ทเ่ี ก่ียวขอ้ ง
- 178 - ข้นั ต่อมาก็คือ การเช้ือเชิญทุกฝ่ ายที่เกี่ยวขอ้ งหรือท่ีจะไดร้ ับผลกระทบจากประเด็นปัญหา มากทสี่ ุดเขา้ มาร่วมอภิปราย ขณะเดียวกนั กจ็ ะตอ้ งดาเนินการสร้างความมน่ั ใจตอ่ ฝ่ ายตา่ งๆ วา่ จะไม่ มีการละเลยทรรศนะและผลประโยชน์ของพวกเขา การเช้ือเชิญน้ีมกั ประสบผลสาเร็จ ถา้ องคก์ าร ระหว่างประเทศที่ไดร้ ับการยอมรับกนั โดยทวั่ ไปเขา้ มารับหน้าท่ีน้ี เช่นเดียวกนั ทร่ี ัฐมหาอานาจก็มี บทบาทในการกระตุ้นการเจรจา ท้ังน้ีเพราะว่าเป็ นความขัดแย้งในแวดวงผลประโยชน์ของ มหาอานาจแลว้ มกั จะมีผลต่อความสัมพนั ธข์ องรัฐมหาอานาจดว้ ย ความสัมพนั ธ์ระหว่างรฐั ทุกรัฐ ต่างมีผลกระทบตอ่ การเปลี่ยนแปลงภายในรฐั และต่อความสัมพนั ธ์ระหวา่ งรฐั ท้งั สิ้น รัฐตอ้ งการให้ การเปลี่ยนแปลงเป็ นไปอยา่ งราบรื่นมากกว่าจะทาให้เกิดความขดั แยง้ ระหว่างมหาอานาจบางฝ่ าย ออกนอกแวดวงของความขดั แยง้ ดา้ นผลประโยชน์ ตามกระบวนการแกไ้ ขความขดั แยง้ เช่นน้ีการ พ่ึงพาอาศัยบทบาทของนักวิชาการ และบรรดาท่ีปรึ กษาจะทาให้เกิดความร่ วมมือกันและรักษา ความลบั ไวไ้ ด้ เมอื่ จดั ต้งั ผูร้ บั หนา้ ทีด่ าเนินการเจรจาแลว้ ฝ่ายท่ีสามหรือผูอ้ านวยความสะดวกก็จะตอ้ งหา สถานท่ีซ่ึงเป็นที่ยอมรับกนั ทุกฝ่ายให้เป็นเวทีพบปะกนั การเจรจาจึงเป็นการพบปะกนั โดยตรงของ คแู่ ห่งความขดั แยง้ จากจุดเร่ิมตน้ ท่ีมีความคาดหวงั ร่วมกนั การอภิปรายแลกเปล่ยี นความคิดเห็นกนั ระหว่างคู่กรณีจะเป็นการสร้างความเขา้ ใจระหว่างกนั มากข้ึน เมื่อเป็นเช่นน้ีโอกาสที่จะยอมรับใน กนั และกนั จะมากข้ึนดว้ ย นอกจากการอภปิ รายแลว้ ผเู้ ป็นตวั แทนคู่แห่งความขดั แยง้ จะตอ้ งแสวงหา ขอ้ มูลของแต่ละฝ่ ายให้พร้อม เพื่อเป็ นพ้ืนฐานของการเสนอข้อคิดเห็นและเป็ นพ้ืนฐานของการ เขา้ ใจเหตุแห่งความขดั แยง้ ให้ถ่องแท้ ปัจจบุ นั น้ีความกา้ วหนา้ ทางดา้ นวิทยาการ การติดต่อส่ือสาร เช่น โทรศพั ท์ โทรทศั น์ หนังสือพิมพ์ ไดท้ าให้ภาระของการหาขอ้ มูลบางส่วนดว้ ยตนเองของท้งั สองฝ่ ายลดน้อยลงและสิ้นเปลืองเวลาน้อยลง อย่างไรก็ตามความก้าวหน้าเช่นน้ีก็อาจสร้าง ผลกระทบท้งั ทางบวกและทางลบต่อผลของการเจรจาไดเ้ ช่นกนั กล่าวคือ การแพร่หลายของขอ้ มูล ทาให้ประชาชนหรือกลุ่มของท้งั 2 ฝ่ ายไดร้ ับรู้เรื่องราวและมีความคิดเห็นต่อประเด็นความขัดแยง้ ความคิดเห็นของคนเหล่าน้ันท่ีแสดงออกมา คือ ส่ิงท่ีเราเรียกว่า มติมหาชน (Public Opinion) เป็ น การท่ีประชาชนเขา้ มามีส่วนร่วมในกระบวนการตดั สินใจวา่ แตล่ ะฝ่ ายควรกาหนดทิศทางของการ เจรจาไปทางใดเท่ากบั เป็ นประโยชน์แก่แต่ละฝ่ าย แต่ขณะเดียวกันมติมหาชนท่ีเป็ นตวั สาแดง ความรู้สึกของแต่ละฝ่ ายน้ันอาจทาให้การเจรจาแปรสภาพเป็ นการต่อรอง ถา้ มติน้ันยึดถือเอา ผลประโยชน์เป็นพ้ืนฐาน อนั เป็ นการดึงเอาการเจรจาเขา้ สู่การใช้อารมณ์และความรู้สึกดา้ นกาไร- ขาดทุนหรือ แพ-้ ชนะ มากกวา่ จะเป็นการใชเ้ หตุผล ดงั น้ัน ความสาเร็จของการเจรจาจึงอยู่ที่ผูแ้ ทน หรือผูอ้ านวยความสะดวกหรือฝ่ ายที่สาม จะสามารถสร้างความสมานฉันทท์ ้งั ทางดา้ นผลประโยชน์ ค่านิยม ความตอ้ งการตามความจาเป็ น
- 179 - เพราะฉะน้ันถา้ พ้ืนฐานของการเจรจามิไดเ้ ร่ิมตน้ ดว้ ยความเห็นร่วมกนั ตรงจุดน้ี การเจรจากจ็ ะไม่มี ความจริงใจตอ่ กนั นอกจากความพยายามหาทางเอารดั เอาเปรียบกัน จากผลของการเจรจามีผแู้ สดง ความคิดเห็นว่า ความลม้ เหลวของการเจรจาท่ีมีมากข้ึนในศตวรรษที่ 20 เมื่อเปรียบเทียบกบั สมยั ศตวรรษที่ 19 น้นั เป็นเพราะนกั การฑูตยคุ หลงั น้ีมาจากภูมิหลงั ทางสงั คมทแี่ ตกต่างกนั มีความเขา้ ใจ ในภาษาทีใ่ ชแ้ ตกต่างกนั ตามสภาพทางวฒั นธรรม มีการใชช้ ีวิตที่แตกตา่ งกนั และไม่มคี วามคุน้ เคย กนั เป็นการส่วนตวั แต่ในสมยั ศตวรรษท่ี 19 ซ่ึงเพ่ิงเกิดกระแสชาตินิยมน้นั เหล่านกั การฑตู เป็นผมู้ า จากตระกูลขุนนางใชช้ ีวิตตามราชสานักยุโรปที่มีขา้ ราชการและขา้ ราชบริพารหลายชาติปะปนกนั จึงมกั มีความเขา้ ใจวฒั นธรรมและมีค่านิยมส่วนตวั ร่วมกนั รวมท้งั การผา่ นสานกั ศกึ ษาเดียวกนั เป็ น ส่วนใหญ่ มีความมกั คุน้ กนั มาก่อน ส่ิงเหล่าน้ีทาให้นกั การฑตู มคี า่ นิยมร่วมกนั คือ มดี ุลยพนิ ิจอิสระ รกั ษาหน้าท้งั ของตนเองและของผอู้ ่ืน มคี วามประนีประนอมสูง พยายามหลีกเลี่ยงการกระทาแบบ หยาบคาย เป็นความพยายามท่ีจะเขา้ ใจผอู้ ่ืน ทาให้ความสาเร็จทางการเจรจามสี ูง ขณะท่ียคุ ต่อๆมา ขาดจริยธรรมดงั กล่าวเป็นผลให้การเจรจาทางการฑูตไม่บรรลุวตั ถุประสงค์อยเู่ น่ืองๆ นอกจากน้ี การที่บรรดานักการเมืองและประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมรับรู้ในกระบวนการเจรจา และการ ตดั สินใจกาหนดผลการเจรจา ทาให้ความลบั ในการเจรจา การกาหนดสถานที่การเจรจารั่วไหล ประเทศท่ีถูกกาหนดให้เป็ นสถานที่พบปะกันของทุกฝ่ ายท่ีเกี่ยวข้องก็ได้รับแรงกดดันจาก ประชาชนของตนไมใ่ หเ้ ขา้ ไปยงุ่ เกี่ยวเพราะไม่อยากใหค้ วามขดั แยง้ เขา้ มาถึงตวั สิ่งท่ีควรคานึงถึงเม่ือการเจรจาประสบผลสาเร็จแลว้ ก็คือ การใช้การเจรจาหลงั จากน้ันมา สานต่อความเขา้ ใจต่อกนั ให้โอกาสกนั และกนั รักษาผลประโยชน์และค่านิยมกนั ร่วมกนั ไวใ้ ห้ได้ การกระทาดงั กล่าวจะเป็นการเสริมสร้างสนั ตภิ าพอยา่ งแทจ้ ริง กรณีตวั อยา่ งของการเจรจาเพ่ือแกไ้ ข ความขดั แยง้ ในปัจจุบนั น้ีก็คือ การเจรจาจากดั อาวุธทางยทุ ธศาสตร์(Strategic Arms Limitation Talk - SALT)และการเจรจาลดอาวุธทางยุทธศาสตร์ (Strategic Arms Reduction Talk = START) ที่ท้ัง สหรัฐอเมริกา และสหภาพโซเวียตต่างมีผลประโยชน์ร่วมกัน คือ ความต้องการความม่ันคง ปลอดภยั จากอาวธุ ยทุ ธศาสตร์ของกนั และกนั ความหวงั ร่วมกนั อยวู่ ่าการทาลายลา้ งกนั เพื่อครอบครองสถานะของความเป็นมหาอานาจ แต่เพียงผูเ้ ดียวน้ัน มิไดม้ ีความหมายอะไรแก่ผูช้ นะ นอกจากความหายนะของผูแ้ พแ้ ละผูช้ นะอีก ดว้ ย ความตอ้ งการรกั ษาผลประโยชน์ร่วมกนั น้ีผลกั ดนั ให้มีการเจรจาทางการฑูตระหว่างเอกอคั ร ราชฑูตท้งั 2 ประเทศ เพื่อแผว้ ถางทางให้เกิดการเจรจาโดยตรงระหว่างประมุขของท้งั 2 ประเทศ นับว่าเป็ นการพบกันโดยตรงระหว่างคู่กรณีโดยไม่ผ่านฝ่ ายท่ีสามหรืออีกตวั อย่างหน่ึง คือ การ ประชุมสุดยอด (Summit Meeting) ระหว่างผูน้ าประเทศสมาชิกอาเซียนในลกั ษณะทวิภาคี เพ่ือ แกไ้ ขความขดั แยง้ ระหวา่ งกนั ในปัญหาดินแดน เช่น ระหวา่ งมาเลเซียกบั อินโดนีเซีย ฟิลิปปิ นส์กบั
- 180 - สิงคโปร์ทลี ะคู่กรณีจนกระทงั่ เกิดความเขา้ ใจกนั ทาให้ปัญหาเบาบางลง ดงั น้นั การเจรจาจึงเป็ นการ แกไ้ ขความขดั แยง้ แมจ้ ะไม่หมดสิ้นไปจนกระทงั่ เกิดสันตภิ าพถาวรไดก้ ต็ าม แตก่ ารเจรจาก็ไม่ทาให้ สงครามเกิดข้ึนโดยง่ายไดเ้ ช่นกนั และถา้ การเจรจากนั โดยตรงไม่เป็ นผลบทบาทของฝ่ ายท่ีสามที่ เป็นกลางก็อาจมีส่วนช่วยให้สถานการณ์ดีข้ึนโดยวิธีต่างๆ เช่น ไกล่เกล่ียหรือเสนอขอ้ วินิจฉัยได้ การเจรจาจึงเป็นการแกไ้ ขความขดั แยง้ ดว้ ยวิธีการไมร่ ุนแรง Strategic Arms Limitation Talk - SALT การต่อรอง กระบวนการตอ่ รองกเ็ ช่นเดียวกบั กระบวนการเจรจาคู่กรณีจะตอ้ งพร้อมที่จะเผชิญประเด็น ความขดั แยง้ ดว้ ยความรู้สึกนับถือซ่ึงกนั และกนั และเปิ ดการติดตอ่ ส่ือสารกนั บนพ้ืนฐานของความ เป็นจริงมากกวา่ ความพยายามสร้างเงื่อนไขให้เป็นท่พี อใจเพ่ือการกาหนดกระบวนการต่อรอง การ ต่อรองมกั เกี่ยวขอ้ งกบั ความขดั แยง้ เร่ืองผลประโยชน์ เพราะฉะน้นั การต่อรองกนั ตามประเดน็ ความ ขดั แยง้ จึงเสมือนการเล่นเกมกนั ระหว่างคคู่ วามขดั แยง้ เม่อื เป็นเรื่องเกมคมุ เชิงกนั เช่นน้ี คู่กรณีก็จะ พยายามควานหาว่าจะใชว้ ิธีการใดมาเปลี่ยนทรรศนะของฝ่ ายตรงขา้ มให้ได้ รวมท้งั จะตอ้ งเรียนรู้ว่า คู่กรณีมีทรรศนะต่อโลกอย่างไรเพื่อท่ีจะได้หยิบยื่นข้อเสนอที่ดึงดูดใจและยอมรับกันไดข้ ้ึนมา ดงั น้นั การต่อรองจึงมีการแลกเปล่ียน แบ่งปันผลประโยชน์ต่อกนั ระหว่างคู่กรณีเพ่ือให้หมดความ ขดั แยง้ หรือยุติความขดั แยง้ การต่อรองผลประโยชน์กนั จึงข้ึนอย่กู บั การคาดการณ์ซ่ึงกนั และกนั ว่า
- 181 - ผลประโยชน์ของตนเก่ียวพนั กนั อย่างไรบา้ ง เช่น ประเทศ ก. อยู่ประชิดกับประเทศ ข. ซ่ึงไม่มี ทางออกทะเลและมีอุดมการณ์ทางการเมืองตรงข้ามกับประเทศ ก. รวมท้ังสามารถดึงความ ช่วยเหลือทางการทหารจากมหาอานาจทร่ี ่วมอดุ มการณ์มาช่วยยามเกิดศกึ สงครามได้ แต่เน่ืองจากมี ทรัพยากรนอ้ ยและมเี ทคโนโลยี รวมท้งั เส้นทางลาเลียงสินคา้ ลาบากประเทศ ข. จึงตอ้ งพ่งึ พาเคร่ือง อุปโภคบริโภคจากประเทศ ก. ต่อมาท้งั คู่มีปัญหาการล่วงล้าดินแดนเพราะความไม่ชดั เจนทางดา้ น แผนท่ีปักปันเขตแดนจึงเกิดการสู้รบกนั ข้ึน ประเทศ ก. มีท่าทีเพลี่ยงพล้าทางการทหาร ขณะท่ี ประเทศ ข. เร่ิมต้นมีปัญหาทางความอดอยาก ประเทศ ก. ขอยุติการรบ ต่อมาท้งั คู่สามารถเจรจา สันติภาพกนั ได้ เนื่องจากท้งั คู่มีความคาดหวงั ต่อผลประโยชน์ที่ตนจะไดร้ ับจากการเจรจาต่อรอง ประเทศ ก. ขอให้ไม่มีการแพร่อุดมการณ์และการคุกคามทางการทหาร ประเทศ ข.ขอให้มีการ ลงทุนจากประเทศ ก. เพ่ือพฒั นาเศรษฐกิจของตน ท้งั คู่ตกลงร่วมมือกนั ได้ ความขดั แยง้ ยตุ ิลงโดย ไมม่ ีการพูดถงึ ปัญหาการปักปันเขตแดนตอ่ ไป จะเห็นได้ว่า แนวความคิดเรื่องการต่อรองมีพ้ืนฐานมาจากการเล่นเกมเดาใจกนั มีความ คาดหวงั ต่อท่าทีของกันและกนั ความคาดหวงั น้ีเองที่ทาให้ผูแ้ ทนการเจรจาต่อรองหรือฝ่ ายท่ีสาม สามารถคาดคะเนผลลพั ธไ์ ด้ นอกจากน้ีความคิดเร่ืองการต่อรองยงั มีพ้ืนฐานอยวู่ ่า ความขดั แยง้ ทุก กรณีต้องมีทางออกของมนั เองในท่ีสุด อยา่ งไรก็ตาม การคาดคะเนผลลพั ธ์ก็อาจไม่เป็นไปตามท่ี คาดการณ์ไวก้ ็ได้ ถา้ หากเราไม่สามารถเขา้ ใจค่านิยมของคู่กรณีอยา่ งแทจ้ ริง ดงั เช่นความลม้ เหลว ของสหรัฐอเมริกาในการจูงใจให้เวียดนามเหนือเห็นดีเห็นงามกบั การยุติการรบ พร้อมท้งั หยิบย่ืน ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจให้เป็ นข้อแลกเปลี่ยน แต่ทางเวียดนามเหนือไม่ยินดีกบั ขอ้ เสนอการตอ่ รองจึงไมป่ ระสบผล การต่อรองจะบงั เกิดผลดีในบางคร้ังเมื่อมีการแตกประเด็นความขัดแยง้ ออกเป็ นประเด็น ย่อยๆ (Fractionation) โดยไม่นาประเด็นย่อยๆน้ีไปเช่ือมต่อกบั ประเด็นใหญ่ ลกั ษณะเช่นน้ีทาให้ ค่กู รณีเห็นทางแกป้ ัญหาโดยสันติ การแกป้ ัญหาทีละประเด็นทาให้คูก่ รณีต่างเรียนรู้กนั เพ่ือให้ความ ร่วมมือระหว่างกนั มากข้ึน จนทา้ ยที่สุดก็สามารถแกป้ ัญหาโดยไม่ตอ้ งยงุ่ เกี่ยวกบั ประเด็นหลกั เลย กรณีตวั อย่างของการเจรจาตอ่ รองเช่นน้ี คือ การแกไ้ ขความขดั แยง้ ระหว่างอิสราเอลกบั อียิปต์ โดย การดาเนินงานของอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศและนกั วชิ าการดา้ นความสัมพนั ธ์ระหว่างประเทศที่มี ช่ือเสียงของสหรัฐอเมริกา คือ นายเฮนร่ี คีสซิงเจอร์(Henry Kissinger) ท่ีเริ่มตน้ ดว้ ยการแตกปัญหา เพ่อื ดึงคู่กรณีออกจากการเผชิญหนา้ กนั ทางการทหาร แลว้ เริ่มจบั ประเด็นเพื่อหาขอ้ ยตุ ทิ ีละประเด็น จนกระท้งั เกิดการเยือนประเทศท้งั สองโดยผูน้ าท้งั สองฝ่ าย และการเซ็นสัญญาสันติภาพระหว่าง อียิปตก์ บั อิสราเอลแมว้ ่าประเด็นหลกั คือ เรื่องการยึดครองดินแดนปาเลสไตน์ที่กลุม่ อาหรับโกรธ แคน้ อิสราเอลจะยงั ไมไ่ ดร้ บั การแกไ้ ขก็ตาม อยา่ งนอ้ ยทส่ี ุดการกระทาคร้ังน้นั ก็ทาให้การเผชิญหน้า
- 182 - กนั ทางการทหารของท้งั สองประเทศหมดไป มผี ูเ้ สนอความคิดว่า การตอ่ รองมิใช่เป็นเรื่องของการไดเ้ ปรียบเสียเปรียบกนั อยา่ งเดด็ ขาด (Zero-sum game) แต่เป็นเรื่องไดม้ ากไดน้ อ้ ย ความขดั แยง้ ที่เกิดข้นึ เป็นเร่ืองปกติวสิ ัยเป็นพฤตกิ รรม ที่เกิดข้ึนได้ แมก้ ระท้งั ในหมู่เพอื่ นฝงู หรือพนั ธมิตรกนั ดงั น้นั การต่อรองจึงเป็นกระบวนการท่ีตอ้ ง ดาเนินไปอยู่ตลอดเวลา เป็ นกระบวนการปฎิสัมพันธ์ตอบโต้ระหว่างคู่แข่งความขัดแยง้ เป็ น กระบวนการที่ทาให้ผูศ้ ึกษาเร่ืองความขดั แยง้ ได้เรียนรู้ว่าคู่แห่งความขัดแยง้ หาทางออกให้กับ ปัญหาของตนอย่างไร ถ้าคู่แห่งความขดั แยง้ มีสถานะอานาจต่างกนั วิธีการท่ีรัฐใหญ่กว่าใช้ใน กระบวนการต่อรองมีอยู่ 2 ลกั ษณะ คือ การใหส้ ่ิงจูงใจอนั เปรียบเสมอื นการใหร้ างวลั แก่คู่แห่งความ ขดั แยง้ เพื่อตอบแทนการเปลี่ยนพฤตกิ รรมความขัดแยง้ และการบีบบงั คบั การคุกคามคู่แห่งความ ขัดแยง้ อันเปรียบเสมือนการลงโทษ เคร่ืองมือท่ีใช้ให้รางวลั และลงโทษน้ีจาแนกออกได้เป็ น เคร่ืองมือทางเศรษฐกิจและเครื่องมือทางการทหารรัฐใหญ่ๆ สามารถใช้เคร่ืองมอื เหล่าน้ีไดเ้ พราะมี ขีดความสามารถทางเศรษฐกิจและการทหารมากเพียงพอ หรือมากกวา่ เมอ่ื เปรียบเทียบกบั คู่ขดั แยง้ เครื่องมือทางเศรษฐกิจท่ีใชต้ อ่ รองในลกั ษณะการให้รางวลั ไดแ้ ก่ (1) การให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ (Foreign aid) อนั ประกอบด้วย การให้เปล่า (Grant-in-aid) การให้กูย้ ืม (Loan) และการให้ความช่วยเหลือทางวิชาการเพ่ือการพฒั นาเศรษฐกิจ (Technical Assistance) ปัจจุบนั น้ีมกั ให้กนั ในรูปของการกยู้ ืมและการใหค้ วามช่วยเหลอื (2) การให้สิทธิพเิ ศษทางการคา้ การบริการ และทรัพยากร เช่น การยกเลิกกาแพงภาษี เพอื่ ใหส้ ินคา้ ออกจากประเทศหน่ึงเขา้ ประเทศตนอยา่ งเตม็ ท่ี (3) การให้ส่วนแบ่งการนาเขา้ (Quota)เป็ นการแจกแจงสัดส่วนสินคา้ บางประเภทให้ เข้าป ระ เท ศต น ไ ด้ใน จาน วน ที่ ไ ม่มี ก ารเสี ยเป รี ยบ กัน ระ ห ว่างป ระ เท ศ ต่างๆ แล ะ ไ ม่ ท าร้ า ย อตุ สาหกรรมภายในประเทศของตน (4) การให้สิทธิชาติที่ได้รับอนุเคราะห์อย่างยิ่ง (Most-Favored Nation= M F N ) คือ การให้ความเท่าเทียมกนั ในการละเวน้ ภาษี หรือให้สิทธิพิเศษทางการคา้ แก่ประเทศใดก็จะตอ้ งให้ สิทธิน้ีแก่ค่คู า้ ของประเทศน้นั ๆ ดว้ ย เคร่ืองมือทางเศรษฐกิจเช่นน้ี อาจนามาใช้ในการลงโทษได้เช่นกนั โดยงดการให้ความ ช่วยเหลือทางเศรษฐกิจการกีดกนั ทางการคา้ (Protectionism) โดยการต้งั กาแพงภาษีหรือการบีบ บังคับให้จดทะเบียนสิ ทธิบัตรสิ นค้าบางประเทศ การตัดส่วนแบ่งการนาเข้าสิ นค้า เช่น สหรัฐอเมริกาตดั ส่วนแบ่งการนาเขา้ ส่ิงทอของประเทศไทย เป็ นตน้ การไม่ยอมให้มีการขนถ่าย สินคา้ ณ ท่าเทียบเรือ (Embargo) การรวมหัวกันไม่ซ้ือสินคา้ (Boycott) และการตอบโต้โดยไม่ ติดตอ่ ดว้ ย (Sanction) สาหรับสามประการสุดทา้ ยน้ีรัฐเล็กๆ อาจรวมตวั กนั ใชเ้ ป็นเคร่ืองมอื ต่อรอง
- 183 - กบั รฐั ใหญๆ่ ได้ เป็นการประทว้ งโดยไมใ่ ชค้ วามรุนแรงตามรูปแบบ อยา่ งไรก็ตาม การจะใชเ้ คร่ืองมอื ทางเศรษฐกิจต่อรองกนั อยา่ งไดผ้ ลน้นั รัฐคู่ขดั แยง้ จะตอ้ ง มกี ารพ่ึงพาอาศยั กนั ทางเศรษฐกิจอยมู่ าก และไมอ่ าจหาสินคา้ และบริการอน่ื ทดแทนกนั ได้ แตถ่ า้ รัฐ ใหญ่พยายามใช้วิธีการบีบบงั คบั ทางเศรษฐกิจแล้วปรากฏว่ารัฐเล็กๆ สามารถคิดคน้ หาสินคา้ อื่น ทดแทน หรือสามารถคิดประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆ ข้ึนมาแทน หรือพยายามวางระบบเศรษฐกิจแบบ พ่ึงตนเองได้ วิธีการทางเศรษฐกิจก็ไร้ผล ดงั ท่ีประเทศโลกเสรีเคยปิ ดล้อมประเทศสาธารณรัฐ ประชาชนจีน แตจ่ ีนกลบั พยายามพ่งึ ตนเองจนประสบความสาเร็จ เป็นตน้ นอกจากน้ีตามความเป็น จริงทุกวนั น้ีรฐั ต่างๆ ในโลกต่างพยายามมีปฏิสมั พนั ธต์ ิดต่อกนั อยแู่ ลว้ การกีดกนั ของประเทศหน่ึง ก็บีบให้อีกประเทศหน่ึงหันไปหาประเทศอื่นได้ เช่น ประเทศไทยใช้นโยบายต่างประเทศแบบ หลายทิศทาง (Omnidirection) คือ การค้าขายกบั ทุกรัฐโดยไม่เอาอุดมการณ์ทางการเมืองเข้ามา เกี่ยวขอ้ ง ส่วนเคร่ืองมือทางการทหารน้ันก็ละมา้ ยคลา้ ยคลึงกบั เครื่องมือทางเศรษฐกิจบางอย่าง คือ การให้ความช่วยเหลือทางการทหาร (Military aid) ซ่ึงเปรียบเสมือนรางวลั อนั แบ่งออกไดเ้ ป็นการ ใหก้ ูย้ มื ทางการซ้ืออาวุธ เช่น การจดั ต้งั คลงั อาวุธสารองระหว่างประเทศ การใหค้ วามช่วยเหลอื ทาง วิชาการ เช่น การให้การฝึ กอบรมเจา้ หน้าท่ีทางการทหาร การสร้างระบบพนั ธมิตรทางการทหาร เป็นตน้ ประเทศที่เลก็ กวา่ มกั มปี ัญหาเก่ียวกบั ความมนั่ คงและขาดแคลนทรัพยากรและเทคโนโลยีที่ จะเสริมสร้างความมน่ั คง จึงเป็นการเปิ ดโอกาสใหป้ ระเทศท่ีมีขีดความสามารถทางดา้ นน้ีเหนือกว่า นามาใช้เป็ นเครื่องมือต่อรองได้ เครื่องมือทางการทหารอาจใช้เพ่ือการลงโทษได้เช่นเดียวกับ เคร่ืองมือทางเศรษฐกิจ คือ ยตุ ิการให้ความช่วยเหลือหรือลดปริมาณความช่วยเหลือลง นอกจากน้ี เครื่องมอื ทางการทหารยงั ถูกนามาใชเ้ ป็นบทลงโทษเพ่ือป้องกนั ความขดั แยง้ หรือเพอ่ื ขจดั อุปสรรค ปัญหาท่ีขัดขวางวตั ถุประสงค์ของอีกรัฐหน่ึงได้ การลงโทษทางการทหารนอกจากการตัดความ ช่วยเหลอื แลว้ ยงั ไดแ้ ก่ การคุกคามวา่ จะใชก้ าลงั อาวธุ เขา้ แกป้ ัญหา หรือการใชก้ าลงั จริงๆ คือ การทา สงครามอกี ดว้ ย การใช้กาลังจะเกิดข้ึนเม่ือการเจรจาและการต่อรองไม่ประสบผลสาเร็จจะเห็นได้ว่า กระบวนการเจรจาและกระบวนการต่อรองมีความเกี่ยวเน่ืองกนั อยู่ ปกติการแกไ้ ขความขดั แยง้ จะ เริ่มตน้ ดว้ ยการเจรจา ถา้ การเจรจาไม่ประสบผลสาเร็จเพราะท้งั คู่ต่างไม่สามารถเขา้ ใจกนั ไดห้ รือ เป็นเพราะประเดน็ ของความขดั แยง้ เป็นเรื่องของผลประโยชนท์ จ่ี ะตอ้ งพยายามครอบครองกนั ไวใ้ ห้ มากที่สุด จึงจะตอ้ งต่อรองกนั เพ่ือให้เห็นประโยชน์ร่วมกนั จากการยตุ ิความขดั แยง้ แต่ถา้ การเจรจา และการต่อรองในทางบวกโดยการจูงใจหรือหยบิ ยืน่ ผลประโยชนแ์ ลกเปล่ยี นกนั ไม่อาจนาไปสู่การ ตกลงกนั ได้ การต่อรองก็จะเป็นไปในทางลบก็คือ การลงโทษ การคุกคาม ตามลาดบั และทา้ ยท่ีสุด
- 184 - คือ การทาสงครามอนั เป็ นความรุนแรงท่ีก่อให้เกิดความเสียหายแก่คู่กรณี ถือกันว่าสงครามคือ ความลม้ เหลวทางการตดิ ต่อแกไ้ ขความขดั แยง้ ระหวา่ งประเทศ
- 207 - หน่วยท่ี 9 กฎหมายและองค์การระหว่างประเทศกับการแก้ไขความขัดแย้ง กฎหมายระหว่างประเทศกับการแก้ไขความขัดแย้งและความรุนแรง แนวคิดเกย่ี วกบั กฎหมายระหว่างประเทศในการแก้ไขความขัดแย้งและความรุนแรง สังคมระหวา่ งประเทศก็เหมือนกบั สังคมภายในประเทศทีป่ ระกอบไปดว้ ยสมาชิกของ สังคม สมาชิกของสังคมภายในประเทศ ไดแ้ ก่ ประชาชน กลุ่มผลประโยชน์สถาบนั ของรฐั และของ เอกชนตา่ งๆ ชวนสมาชิกของสงั คมระหว่างประเทศน้นั ประกอบไปดว้ ยรฐั ต่างๆ ท้งั เล็กและใหญ่ มี ศกั ยภาพทางเศรษฐกิจและการทหารทแี่ ตกต่างกนั มีระดบั ของการพฒั นาทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และวทิ ยาการทไี่ ม่เทา่ เทยี มกนั นอกจากน้นั ในสังคมระหวา่ งประเทศก็ยงั มอี งคก์ าร ระหว่างประเทศ บรรษทั ขา้ มชาติ และหน่วยงานเอกชนอีกดว้ ย รฐั องคก์ ารระหว่างประเทศ บรรษทั ขา้ มชาติ และหน่วยงานเอกชนเหลา่ น้ีตา่ งมคี วามสมั พนั ธซ์ ่ึงกนั และกนั และใน ความสัมพนั ธ์ดงั กลา่ วกเ็ ป็นเรื่องของการดาเนินการเพ่ือจดั สรรแบ่งปันสิ่งท่มี คี ุณค่าทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ในสงั คมระหวา่ งประเทศให้แก่สมาชิก การจดั สรรแบ่งปันส่ิงที่มีคุณคา่ ต่างๆ ดงั กล่าวอาจนามาซ่ึงความขดั แยง้ และติดตามมาโดยการใชค้ วามรุนแรงในการแกไ้ ขปัญหาที่ เกิดข้นึ ท้งั น้ีเพราะสมาชิกของสังคมระหวา่ งประเทศโดยเฉพาะอยา่ งยิ่งรฐั ต่างก็มงุ่ แสวงหา ประโยชนส์ ูงสุด เมอ่ื รัฐเหล่าน้ีไมส่ ามารถตกลงกนั ไดใ้ นเรื่องใดๆ กย็ อ่ มเกิดความขดั แยง้ ข้ึน ดงั น้นั เพอ่ื ป้องกนั และแกไ้ ขความขดั แยง้ และความรุนแรงทีอ่ าจเกิดข้ึน สังคมระหว่างประเทศจึงตอ้ งมี กฎหมายระหว่างประเทศเป็นสิ่งกาหนดแบบแผนการประพฤติปฏบิ ตั ขิ องสมาชิก เพือ่ ใหเ้ กิด ระเบยี บและความสงบเรียบร้อยในสังคมระหว่างประเทศ เช่นเดียวกบั ท่ีมีกฎหมายสาหรับสังคม ภายในรัฐ โดยทวั่ ไป กฎหมายระหว่างประเทศมจี ดุ มงุ่ หมายท่จี ะรักษาสันติภาพและความสงบ เรียบร้อยในสังคมระหวา่ งประเทศ ตลอดจนส่งเสริมความร่วมมือทางดา้ นการเมือง เศรษฐกิจ และ สังคม เพ่ือผลประโยชนข์ องส่วนรวมกฎหมายระหว่างประเทศจึงตอ้ งต้งั อยบู่ นพ้ืนฐานของความ เสมอภาคและความเป็นธรรมในสงั คมระหวา่ งประเทศโดยยอมรบั หลกั การที่ไม่ว่าจะเป็นรัฐเล็ก หรือใหญ่ มีประชากรมากหรือนอ้ ย มีศกั ยภาพทางทหารและเศรษฐกิจสูงหรือต่า รฐั ตา่ งๆ กย็ อ่ มมี อานาจอธิปไตยเหนือดินแดนของตนอยา่ งเต็มที่ ไม่มีรฐั ใดมีอานาจบงั คบั บญั ชาเหนือรัฐอ่ืนได้ เวน้ แต่จะไดร้ บั ความยนิ ยอมจากรัฐผถู้ ูกใชอ้ านาจบงั คบั เอง แต่ในความเป็นจริงนบั ต้งั แต่อดีตจนถึง ปัจจบุ นั จะเห็นไดว้ ่า มหาอานาจซ่ึงมีศกั ยภาพทางทหารเศรษฐกิจ และการเมืองสูง มกั จะใชอ้ านาจ บบี บงั คบั ท้งั ทางตรงและทางออ้ มใหร้ ฐั ท่เี ลก็ กวา่ กระทาการใดๆ เพ่ือผลประโยชน์ของมหาอานาจ
- 208 - น้นั ยง่ิ รัฐตา่ งๆ ตอ้ งพ่ึงพากนั มากข้นึ เพียงใด รัฐทเ่ี ป็นฝ่ ายไดเ้ ปรียบยิง่ สามารถตอ่ รองเพอ่ื กาหนด ลกั ษณะความสัมพนั ธใ์ ห้เป็นประโยชนแ์ กฝ่ ่ ายตนไดม้ ากเพยี งน้นั สนธิสญั ญาทท่ี าการระหวา่ งรัฐ จึงมกั ไม่มคี วามเทา่ เทยี มกนั มหาอานาจตา่ งกต็ อ้ งการสร้างกฎหมายระหว่างประเทศ เพ่ือเป็น เคร่ืองมือแสวงหาประโยชน์ เช่น ความพยายามของมหาอานาจทางทะเล โดยเฉพาะองั กฤษ และ สหรัฐอเมริกาท่พี ยายามจะทาความตกลงเพ่ือจากดั กาลงั กองทพั เรือของประเทศต่างๆ ระหวา่ งปี ค.ศ.1921 ถงึ ปี ค.ศ.1935 โดยกาหนดอตั ราส่วนให้สิทธิแกม่ หาอานาจมกี าลงั ทางทะเลไดม้ ากกวา่ ประเทศอืน่ ๆ คอื สหรัฐอเมริกา องั กฤษ และญีป่ ่นุ มไี ด้ 10:10:7 ส่วน แลว้ ประเทศอืน่ ๆ มีกาลงั ได้ นอ้ ยลง โดยอา้ งว่าเพอ่ื รกั ษาสันติภาพและความมนั่ คงระหว่างประเทศ เป็นตน้ ส่วนบรรดาประเทศเลก็ ๆ ต่างก็ตอ้ งการรวมตวั กนั เพอ่ื สร้างกฎหมายไวป้ ้องกนั การถกู เอา รดั เอาเปรียบ เช่น มีขอ้ ตกลงระหวา่ งประเทศเกี่ยวกบั ผลิตภณั ฑข์ ้นั ปฐม มีการประชุม สหประชาชาติว่าดว้ ยการคา้ และการพฒั นา ซ่ึงประเทศกาลงั พฒั นาทเ่ี ป็นสมาชิกของสหประชาชาติ ไดก้ าหนดข้ึนเพื่อป้องกนั ผลประโยชน์ทางดา้ นการคา้ และอตุ สาหกรรมของประเทศในโลกทส่ี าม เป็นตน้ แมใ้ นบางคร้งั กฎหมายจะวางแนวทางปฏบิ ตั ทิ ี่ถกู ตอ้ งและยตุ ิธรรมในความสมั พนั ธ์ ระหว่างประเทศ แต่กป็ รากฏวา่ มีรฐั ต่างๆ ปฏเิ สธที่จะดาเนินนโยบายตามกฎหมายระหว่างประเทศ น้นั ๆ เนื่องจากขดั ต่อการแสวงหาผลประโยชนข์ องรัฐ ยง่ิ กว่าน้นั ความขดั แยง้ ทางดา้ นอดุ มการณ์ ทางการเมืองระหวา่ งกลุ่มประเทศทนุ นิยมกบั กลมุ่ ประเทศสงั คมนิยม ก็มผี ลต่อการบงั คบั ใช้ กฎหมายระหว่างประเทศเช่นกนั นอกจากน้นั กฎหมายระหว่างประเทศซ่ึงมุ่งรกั ษาสันตภิ าพและความมนั่ คงระหว่าง ประเทศ ยงั มหี ลกั การทไ่ี ม่ยอมรบั การใชก้ าลงั ในความสัมพนั ธ์ระหว่างประเทศไม่ว่าจะเป็นการ คกุ คามท่ีจะใชก้ าลงั หรือการรุกรานเพอื่ อา้ งสิทธิหรือพิทกั ษผ์ ลประโยชนข์ องรฐั ตลอดจนการ แกไ้ ขขอ้ ขดั แยง้ ต่างๆ ท้งั น้ีเพราะการใชค้ วามรุนแรงในการดาเนินความสัมพนั ธ์ระหว่างประเทศ ไมว่ ่าจะเพ่ือการแกไ้ ขปัญหาใดๆ กต็ าม กลบั จะเป็นการขยายขอบเขตของความขดั แยง้ ยงิ่ ข้ึนไปอกี จนอาจกลายเป็นสงครามใหญไ่ ด้ แมก้ ารใชก้ าลงั จะสามารถระงบั ขอ้ ขดั แยง้ ไดส้ าเร็จแต่ก็อาจจะไม่ สามารถสร้างบรรยากาศของความสมั พนั ธ์ระหวา่ งประเทศใหก้ ลบั สู่สภาวะปกตไิ ด้ เพราะฝ่ายที่ พา่ ยแพห้ รือเสียเปรียบในการแกไ้ ขปัญหาการถูกบงั คบั ดว้ ยกาลงั ยอ่ มไมพ่ อใจ และอาจหาหนทางที่ จะดาเนินการใดๆ เพ่ือไดส้ ่ิงท่สี ูญเสียกลบั คืนมา ซ่ึงรวมท้งั วิธีการใชค้ วามรุนแรงดว้ ย กฎบตั ร สหประชาชาติ ขอ้ 2 วรรค 3 และวรรค 4 ไดก้ าหนดให้รกั สมาชิกระงบั กรณีพิพาทระหวา่ งประเทศ โดยสนั ตวิ ิธี และงดเวน้ จากการคกุ คาม และการใชก้ าลงั ตอกบูรณภาพแห่งดินแดนหรือเอกราชทาง การเมืองของรฐั ใดๆ การรกั ษาสันตภิ าพในความสัมพนั ธร์ ะหว่างประเทศจะตอ้ งเริ่มจากเจตจานงที่ ดีของรฐั ทใ่ี ฝ่หาสันติภาพม่งุ ส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและสังคมระหว่างกนั กฎหมาย
- 209 - ระหว่างประเทศซ่ึงเป็นกฎเกณฑก์ ารประพฤตปิ ฏบิ ตั ขิ องรฐั และขนบธรรมเนียมระหว่างประเทศ เป็นผลผลิตทเ่ี กิดข้นึ จากเจตจานงดงั กลา่ ว ในรูปของขอ้ ตกลงระหวา่ งประเทศหรือสนธิสญั ญาตา่ งๆ กฎหมายระหวา่ งประเทศจะมีบทบาทในการรักษาสนั ติภาพและความมน่ั คงระหวา่ งประเทศได้ อยา่ งแทจ้ ริงก็ต่อเม่อื รัฐต่างๆ เคารพและยินยอมพร้อมใจทจี่ ะปฏิบตั ิตามกฎเกณฑแ์ ละ ขนบธรรมเนียมตา่ งๆ เหล่าน้ี ความหมาย ทม่ี า และลักษณะของกฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายระหว่างประเทศ หมายถึง บรรดาหลกั การกฎขอ้ บงั คบั และจารีตประเพณีซ่ึง กาหนดระเบียบแบบแผนการประพฤตปิ ฏิบตั ิ ตลอดจนสิทธิและหนา้ ท่ขี องรฐั องคก์ ารระหวา่ ง ประเทศ หน่วยงานเอกชนและปัจเจกชนในความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งกนั ภายในสงั คมระหว่างประเทศ กฎหมายระหว่างประเทศจะไม่หยดุ นิ่งอยกู่ บั ที่ แต่จะมีววิ ฒั นาการอยตู่ ลอดเวลาตามสภาพของ สังคมระหว่างประเทศท่ีเปล่ียนแปลงไป ลกั ษณะของกฎหมายระหวา่ งประเทศจึงสะทอ้ นใหเ้ ห็นถงึ สภาพและโครงสร้างของสงั คมระหวา่ งประเทศในยคุ ตา่ งๆ วา่ ความสมั พนั ธ์ระหว่างประเทศในแต่ ละยคุ มีความร่วมมอื และมีความขดั แยง้ กนั เพยี งใด สถานภาพของบรรดาสมาชิกในสงั คมระหว่าง ประเทศเป็นอยา่ งไร กฎหมายระหวา่ งประเทศไดม้ มี าต้งั แตส่ มยั โบราณก่อนคริสตศ์ กั ราช ในดินแดนทีเ่ ป็น แหลง่ กาเนิดของอารยธรรมของโลก เช่น ในดินแดนแถบตะวนั ออกกลางบริเวณแมน่ ้าไทกรีส-ยู เฟติส ดินแดนอินเดีย ดินแดนจีน เป็นตน้ ดินแดนเหลา่ น้ีประกอบดว้ ยอาณาจกั รตา่ งๆ ท่ีมกี ารติดตอ่ สมั พนั ธ์กนั ท้งั ในลกั ษณะสนั ตแิ ละสงคราม ดงั น้นั จึงไดเ้ กิดมีขอ้ ตกลงระหวา่ งอาณาจกั รท้งั หลาย
- 210 - ในรูปของสนธิสัญญาและจารีตประเพณี เพอื่ เป็นแนวปฏบิ ตั ใิ นความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งกนั เช่น การ ให้เอกสิทธ์ิและความคุม้ กนั แก่ทูตและคณะทูตทส่ี ่งไปเจรจาหรือเจริญสมั พนั ธไมตรียงั อาณาจกั ร อื่น การระงบั ขอ้ พพิ าทระหว่างอาณาจกั รโดยการไกลเ่ กล่ียหรือโดยการใชอ้ นุญาโตตุลาการการทา สงคราม การกาหนดเสน้ เขตแดน การทาสนธิสัญญาพนั ธมิตร ตลอดจนการคา้ เป็นตน้ อยา่ งไรก็ ตามขอ้ ตกลงดงั กล่าวมกั จะเป็นขอ้ ตกลงทวิภาคี (ระหวา่ ง 2 ฝ่าย) มากกวา่ ขอ้ ตกลงพหุภาคี (ระหวา่ งหลายฝ่าย) ทใ่ี ชส้ าหรบั สงั คมระหวา่ งประเทศทว่ั ไป และคกู่ รณีที่ทาขอ้ ตกลงกนั ก็มกั จะมี ความเสมอภาคกนั ในสมยั นครรัฐกรีก ซ่ึงดินแดนกรีกประกอบดว้ ยนครรัฐเลก็ ๆ ทีเ่ ป็นอิสระต่อกนั แต่อยู่ ภายใตว้ ฒั นธรรมเดียวกนั น้นั กฎระเบียบแบบแผนของความสมั พนั ธ์ระหว่างนครรัฐมีท่มี าจาก จารีตประเพณี ความเชื่อ หลกั ปฏบิ ตั ขิ องศาสนา และหลกั ศีลธรรม ขอ้ ตกลงทกี่ าหนดความสัมพนั ธ์ จะเป็นเรื่องเกี่ยวกบั การทูต การระงบั ขอ้ พิพาทโดยสันตวิ ธิ ี ข้นั ตอนการทาสงคราม เช่น ตอ้ ง ประกาศสงครามก่อน ตอ้ งไมล่ ่วงเกินผสู้ ่งสารในยามสงคราม การจบั นกั โทษสงครามไปเป็นทาส เป็นตน้ ตลอดจนการร่วมมอื เป็นพนั ธมติ รทางทหา โดยเสมอภาคและเทา่ เทยี มกนั กฎ ระเบียบแบบ แผนของความสัมพนั ธน์ ้ีนอกจากจะใชก้ บั บรรดานครรฐั กรีกดว้ ยกนั แลว้ ยงั ใช้ระหว่างนครรัฐกรีก กบั นครรัฐและอาณาจกั รขา้ งเคยี งดว้ ย ในสมยั จกั รวรรดิโรมนั กรุงโรมสามารถขยายอาณาเขตครอบครองดินแดนในทวีปยโุ รป และแอฟริกาเหนือ และเอเชียบริเวณตะวนั ออกกลาง ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งกรุงโรมกบั ดินแดน เหล่าน้ีจึงไมใ่ ช่ความสัมพนั ธ์ที่อยบู่ นหลกั ของความเสมอภาคกนั แตเ่ ป็นลกั ษณะของจกั รวรรดินิยม กบั ดินแดนภายใตก้ ารปกครอง กรุงโรมมีกฎหมาย 2 แบบ คือ ยสู ซิวเิ ล (lus civile) ซ่ึงใชบ้ งั คบั เฉพาะชาวโรมนั และยสู เจนติอุม (lus gentium) ซ่ึงใชบ้ งั คบั ระหว่างชาวต่างชาติดว้ ยกนั และ ระหวา่ งชาวโรมนั กบั ชาวต่างชาติ บทบญั ญตั ิส่วนใหญ่เป็นเรื่องท่ีเก่ียวกบั การคา้ และยสู เจนติอุม ในภาษาละตนิ น้ีต่อมาไดใ้ ชใ้ นความหมายของกฎหมายระหวา่ งประเทศ
- 211 - ต่อมาเมอื่ ถึงยคุ กลางของยโุ รป ดินแดนในทวปี ยุโรปไดแ้ บ่งแยกออกเป็นแควน้ ตา่ งๆ มเี จา้ ผคู้ รองแควน้ ท่ีเป็นอิสระตอ่ กนั แตม่ จี ุดร่วมกนั คอื ยโุ รปเกือบท้งั หมดเป็นดินแดนของชาวคริสตซ์ ่ึง มอี งคก์ รทางศาสนา ณ กรุงวาติกนั เป็นผมู้ อี านาจท้งั ทางโลกและทางธรรม กฎหมายระหว่าง ประเทศในยคุ น้ีจึงไดร้ บั อิทธิพลจากคริสตศ์ าสนาอยา่ งมาก เช่น การทาสงครามระหว่างชาวคริสต์ เป็นสิ่งทไี่ มช่ อบดว้ ยกฎหมาย แต่การทาสงครามกบั รัฐตา่ งศาสนาไมถ่ กู ศาสนจกั รประณาม เป็นตน้ การทาสงครามตอ้ งมีการประกาศก่อน มีการชดใชค้ ่าปฏกิ รรมสงคราม แตย่ งั ไม่มกี ฎเกณฑก์ ารทา สงครามทแี่ น่ชดั กรุงวาติกนั ในยคุ ฟ้ืนฟูศิลปวิทยา (Renaissance) ของยโุ รป อิทธิพลของคริสตศ์ าสนาเริ่มเส่ือม ใน ขณะเดียวกนั อานาจของกษตั ริยห์ ลายองคใ์ นยโุ รปเร่ิมเขม้ แข็งข้นึ สามารถรวบรวมเอาแควน้ ตา่ งๆ มาไวใ้ นอาณาจกั รได้ การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชยเ์ กิดข้นึ ทว่ั ไป รัฐต่างๆ เนน้ ความสาคญั ของอานาจอธิปไตย ซ่ึงมีกษตั ริยเ์ ป็นองคอ์ ธิปัตย์ โดยไม่ยอมรับการบงั คบั หรือการสั่ง การจากภายนอกรัฐ แนวความคดิ ดงั กลา่ วไดม้ ีอทิ ธิพลตอ่ หลกั การการละเมิดมไิ ดต้ ่ออานาจ อธิปไตยของรัฐโดยกฎหมายระหวา่ งประเทศในเวลาตอ่ มา ในยคุ น้ีมีนกั กฎหมายระหวา่ งประเทศ เกิดข้ึนหลายคน ผทู้ ่ีมชี ่ือเสียงว่าเป็นบดิ าของกฎหมายระหวา่ งประเทศ คือ ฮิวโก โกรตอิ สุ (Hugo Grotius) ชาวเนเธอร์แลนด์ ไดเ้ ขยี นหนงั สือชื่อ “กฎหมายวา่ ดว้ ยสงครามและสันติภาพ” (De Jure Belli ac Pacis) ในปี ค.ศ.1625 สาระสาคญั ของหนงั สือดงั กล่าวคือ การยอมรับกฎธรรมชาติวา่ เป็น ที่มาของกฎหมายระหว่างประเทศ นอกเหนือจากจารีตประเพณีและสนธิสัญญาต่างๆ โกรติอสุ พยายามจะแยกแยะระหว่างสงครามท่ถี ูกตอ้ งและสงครามท่ไี มถ่ กู ตอ้ ง มกี ารกลา่ วถึงสิทธิและ เสรีภาพของปัจเจกชน การรักษาความเป็นกลาง ความคดิ เก่ียวกบั สันติภาพและความจาเป็นในการ จดั ประชุมระหว่างผนู้ ารัฐเป็นระยะๆ ในยคุ น้ีกฎหมายการคา้ ทางทะเลไดร้ บั การพฒั นาข้ึน นอกจาก การผกู อานาจทางทะเลของสเปนและโปรตเุ กสทมี่ มี าหลายศตวรรษไดส้ ิ้นสุดลง
- 212 - ฮิวโก โกรตอิ สุ (Hugo Grotius) ชาวเนเธอร์แลนด์ ได้เขียนหนังสือชื่อ “กฎหมายว่าด้วยสงครามและ สันตภิ าพ” (De Jure Belli ac Pacis) ในปี ค.ศ.1625 ระหว่างคริสตศ์ ตวรรษที่ 17-19 นกั กฎหมายและนกั ปรัชญาชาติตา่ งๆ ในยโุ รปหลายคนได้ ให้ความสาคญั แก่จารีตประเพณีและสนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าเป็นท่ีมาทสี่ าคญั ทส่ี ุดของ กฎหมายระหวา่ งประเทศ โดยให้เหตุผลวา่ ถา้ ไมม่ ีจารีตประเพณีและสนธิสัญญาระหว่างประเทศ แลว้ ก็ไมม่ ีอะไรทจี่ ะเป็นกฎหมายระหว่างประเทศกฎหมายการพดู ทพี่ ฒั นาอยา่ งสมบรู ณ์ใน คริสตศ์ ตวรรษท่ี 18 ก็มที มี่ าจากจารีตประเพณีท่ียึดถือปฏบิ ตั กิ นั มาแตด่ ้งั เดิมในคริสตศ์ ตวรรษที่ 19 ไดม้ กี ารร่วมมอื ระหว่างรฐั ตา่ งๆ จดั ต้งั องคก์ รระหวา่ งประเทศทางดา้ นเศรษฐกิจและสังคมมากมาย องคก์ รเหล่าน้ีไดก้ าหนดกฎเกณฑเ์ พือ่ เป็นแบบแผนในการประพฤติปฏิบตั ขิ องรฐั ตา่ งๆ เช่น คณะกรรมาธิการแม่น้าไรน์ (Rhine River Commission) และคณะกรรมาธิการแมน่ ้าดานูบ (Danube River Commission) ไดว้ างกฎเกณฑก์ ารเดินเรือเพอ่ื ประโยชน์ของรัฐชายฝั่ง และอานวยความ สะดวกในการคมนาคมแก่เรือต่างชาติ เป็นตน้ แตบ่ างคร้ังองคก์ ารระหวา่ งประเทศก็ไมส่ ามารถ กาหนดกฎเกณฑใ์ ดๆ เน่ืองจากรฐั ต่างๆ ทเ่ี ป็นสมาชิกต่างถือหลกั อานาจอธิปไตยของตนเองเพ่อื รกั ษาผลประโยชน์ของรัฐโดยไมย่ อมรบั กฎเกณฑใ์ ดๆ ทีจ่ ะเป็นการเสียเปรียบ เช่น สหภาพ ไปรษณียส์ ากล (Universal Postal Union) ตอ้ งทาสนธิสญั ญาทวิภาคเี ก่ียวกบั การสื่อสารระหวา่ ง ประเทศกบั รัฐต่างๆ มากมาย แทนท่ีจะมีอนุสญั ญาท่ใี ชก้ บั รัฐสมาชิกทุกรัฐเพียงฉบบั เดียว กฎหมายระหว่างประเทศไดพ้ ฒั นาอยา่ งมากในคริสตศ์ ตวรรษที่ 20 ในการประชุม สนั ติภาพ ณ กรุงเฮก เม่อื ปี ค.ศ.1899 ไดม้ กี ารลงนามในปฏิญญาเกี่ยวกบั กฎเกณฑก์ ารทาสงคราม 3 ฉบบั โดยชาตติ า่ งๆ 26 ชาติ และมกี ารจดั ต้งั ศาลประจาแห่งอนุญาโตตุลาการ (Permanent Court of Arbitration) ในปี ค.ศ.1907 การประชุมสนั ติภาพ ณ กรุงเฮก คร้งั ท่ี 2 ก็ไดม้ ีการลงนามในอนุสญั ญา
- 213 - เก่ียวกบั กฎเกณฑใ์ นการทาสงครามอกี 8 ฉบบั และในปี ค.ศ.1921 ก็ไดจ้ ดั ต้งั ศาลยตุ ิธรรมประจา ระหว่างประเทศ (Permanent Court of International Justice) ข้นึ เพือ่ ระงบั กรณีพพิ าทระหว่าง ประเทศโดยทางศาล Permanent Court of International Justice ในปี ค.ศ.1919 ไดม้ กี ารจดั ต้งั สนั นิบาตชาตซิ ่ึงเป็นองคก์ ารระหว่างประเทศทางการเมอื ง ระดบั โลกองคก์ ารแรก สนั นิบาตชาตมิ กี ตกิ าสัญญาซ่ึงเป็นธรรมนูญขององคก์ ารที่ผกู พนั ธ์รฐั สมาชิกให้ยอมรับพนั ธกรณีตา่ งๆ เพ่อื ธารงรักษาสันตภิ าพและความมนั่ คงระหว่างประเทศ ตลอดจนส่งเสริมความร่วมมอื ระหวา่ งประเทศในดา้ นต่างๆ กตกิ าสญั ญาไดม้ ีขอ้ ตกลงว่ารัฐสมาชิก ของสนั นิบาตชาติจะเคารพกฎหมายระหวา่ งประเทศและสนธิสญั ญาสนั ติภาพ เมอ่ื สันนิบาตชาติ ยตุ กิ ารดาเนินงานสหประชาชาติซ่ึงเป็นองคก์ ารระหวา่ งประเทศระดบั โลกองคก์ ารใหม่ก็ไดท้ า หนา้ ท่ีในการธารงรกั ษาสันตภิ าพและความมนั่ คงระหวา่ งประเทศสืบตอ่ มา โดยเป็นศนู ยก์ ลางแห่ง ความร่วมมอื ทางดา้ นการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของบรรดารฐั สมาชิก กฎบตั รสหประชาชาตไิ ด้ เป็นหลกั การพ้ืนฐานแห่งการอยรู่ ่วมกนั โดยสันติของประเทศต่างๆ ในโลก ในปัจจุบนั ความร่วมมอื ระหวา่ งประเทศในดา้ นตา่ งๆ เกิดข้นึ มากมาย ท่รี ่วมมือกนั ทางดา้ นเศรษฐกิจ สังคม และการเมอื ง ไดท้ าการตกลงกนั ในลกั ษณะต่างๆ เช่น ขอ้ ตกลง สนธิสัญญา อนุสัญญา เป็นตน้ ซ่ึงมที ้งั รูปแบบของการตกลงระหวา่ งประเทศธรรมดา และการ จดั ต้งั เป็นองคก์ ารระหวา่ งประเทศเฉพาะดา้ นหรือระดบั ภมู ิภาคการตกลงในลกั ษณะตา่ งๆ ดงั กลา่ ว จะเป็นกฎเกณฑท์ ีผ่ กู มดั รฐั คตู่ กลงหรือสมาชิกขององคก์ ารระหว่างประเทศใหต้ อ้ งปฏบิ ตั ติ าม
- 214 - ในกรณีทร่ี ฐั ตา่ งๆ ไม่ปฏบิ ตั ิตามขอ้ ผกู มดั ในสนธิสญั ญาระหวา่ งประเทศ หรือเกิดมกี รณี พิพาทระหวา่ งรัฐคกู่ รณีอาจนาเรื่องราวข้นึ เสนอตอ่ ศาลยตุ ธิ รรมระหว่างประเทศได้ และคาพิพากษา ของศาลยตุ ิธรรมระหว่างประเทศจะกลายเป็นบรรทดั ฐานในการพิจารณาพพิ ากษากรณีพพิ าทอ่ืนๆ ต่อไป จากววิ ฒั นาการของกฎหมายระหว่างประเทศท่กี ล่าวมาน้ี จึงสามารถสรุปไดว้ ่ากฎหมาย ระหว่างประเทศมที ่ีมาจาก 1. จารีตประเพณีระหวา่ งประเทศซ่ึงประพฤติปฏิบตั ิกนั มาเป็นเวลานานจนเป็นท่ยี อมรับ โดยทว่ั ไป 2. หลกั การทวั่ ไปของกฎหมายซ่ึงเป็นทยี่ อมรับโดยอารยประเทศ 3. สนธิสัญญาระหว่างประเทศ ท้งั ท่ีทาข้นึ เฉพาะคกู่ รณีและท่ีทาข้นึ เป็นการทวั่ ไป 4. คาพพิ ากษาของศาลยตุ ิธรรมระหว่างประเทศกฎหมายระหว่างประเทศจะมีผลบงั คบั ใช้ ต่อรัฐต่างๆ ไดก้ ็ต่อเม่อื รัฐท่ีเกี่ยวขอ้ งไดย้ อมรับทจี่ ะปฏบิ ตั ิตาม เพราะไม่มอี งคก์ รใดทจี่ ะมอี านาจ บงั คบั หลดุ ตารวจโลกให้รักต่างๆ ตอ้ งปฏบิ ตั ิตามกฎหมายระหวา่ งประเทศ ท้งั น้ีเน่ืองจากหลกั การ ท่วี า่ เขตอานาจภายในของรฐั จะถกู แทรกแซงจากภายนอกไมไ่ ด้ แตห่ ลกั การอานาจอธิปไตย ดงั กล่าวขดั กบั หลกั กฎหมายทว่ี ่า กฎหมายตอ้ งมผี ลบงั คบั ใช้ หากฝ่าฝืนจะตอ้ งไดร้ บั การลงโทษ กฎหมายระหวา่ งประเทศจึงเป็นท่ถี กเถียงกนั ว่ามีสถานภาพเป็นกฎหมาย หรือเป็นเพยี งหลกั ศีลธรรมระหวา่ งประเทศ อยา่ งไรก็ตาม นานาอารยประเทศตา่ งยอมรบั กนั ในปัจจบุ นั วา่ กฎหมาย ระหว่างประเทศเป็นกฎหมาย เนื่องจากรฐั ต่างๆ ท่เี กี่ยวขอ้ งไดแ้ สดงเจตจานงทจี่ ะอยภู่ ายใตก้ าร บงั คบั ของกฎหมายระหวา่ งประเทศ โดยใชอ้ านาจอธิปไตยและกาหนดกฎหมายและกฎระเบียบ ขอ้ บงั คบั ภายในประเทศให้สอดคลอ้ งกบั หลกั การของกฎหมายระหวา่ งประเทศ กฎหมายระหว่างประเทศและองค์กรตุลาการกับการรักษาสันตภิ าพและความม่ันคงระหว่าง ประเทศ ในสมยั ท่ียงั ไม่มกี ารจดั ต้งั องคก์ ารระหวา่ งประเทศน้นั บรรดารฐั ทม่ี คี วามสัมพนั ธก์ นั มกั จะ มีการทาสนธิสัญญาทวิภาคีเพ่ือตกลงกนั หรือร่วมมือกนั ในเร่ืองตา่ งๆ ในบางคร้ังก็อาจจะมี สนธิสัญญาพหุภาคีในกลุ่มรัฐท่เี ป็นพนั ธมติ รกนั สนธิสญั ญาเหล่าน้ีจึงเป็นหลกั เกณฑห์ รือขอ้ บงั คบั ทกี่ าหนดความสมั พนั ธ์ระหว่างรฐั คภู่ าคี ท้งั น้ีเพื่อกาหนดสิทธิหนา้ ทแ่ี ละผลประโยชนข์ องแตล่ ะรฐั อนั เป็นการป้องกนั ไม่ให้เกิดขอ้ ขดั แยง้ ข้ึนในความสัมพนั ธ์ระหว่างกนั สนธิสญั ญาซ่ึงเป็นกฎหมาย ระหวา่ งประเทศน้ีจึงมีลกั ษณะเป็นกฎหมายท่ีใชเ้ ฉพาะคู่กรณี และเฉพาะในภูมภิ าคไมไ่ ดเ้ ป็นการ ทว่ั ไป การทาสนธิสญั ญาของแตล่ ะรฐั ตา่ งกม็ ่งุ ทจ่ี ะพิทกั ษผ์ ลประโยชนข์ องตนให้มากทส่ี ุดโดยการ
- 215 - อา้ งและสงวนอานาจอธิปไตยของตนในการดาเนินความสัมพนั ธ์กบั รฐั อ่นื ๆ ท้งั น้ีเพอ่ื ป้องกนั การ แทรกแซงและการใชอ้ านาจบงั คบั บญั ชาจากรัฐอ่ืน ถา้ รัฐยอมรับปฏบิ ตั ิตามขอ้ ผูกมดั ใดๆ ใน สนธิสญั ญาหรือขนบธรรมเนียมประเพณีระหวา่ งประเทศ กห็ มายความวา่ รฐั ไดย้ ินยอมจากดั อานาจ ของตนเอง ดงั น้นั เม่ือเกิดกรณีพพิ าทระหว่างรัฐภาคีสนธิสญั ญา รฐั คู่กรณีมกั จะคานึงถงึ ผลประโยชน์ของตนก่อน และถา้ สนธิสญั ญาเอ้ืออานวยตอ่ การดาเนินการที่จะเป็นประโยชน์ต่อฝ่าย ตนแลว้ รฐั น้นั จึงจะยนิ ยอมปฏิบตั ติ าม จึงทาใหก้ ฎหมายระหวา่ งประเทศไม่สามารถแกไ้ ขขอ้ ขดั แยง้ และความรุนแรงทเ่ี กิดข้นึ อยา่ งไดผ้ ลมากนกั ต่อมาเม่อื มอี งคก์ ารระหวา่ งประเทศเกิดข้ึน ตราสารก่อต้งั องคก์ ารหรือธรรมนูญของ องคก์ ารจะแสดงเจตนาอารมณ์ว่า องคก์ ารมีวตั ถปุ ระสงค์ หลกั การและการดาเนินงานอยา่ งไร ขอ้ มติทเี่ กิดจากการประชุมขององคก์ ารจะมีผลตามกฎหมายและผูกพนั รัฐสมาชิกเพยี งใด รัฐที่เขา้ ร่วม เป็นสมาชิกยอ่ มทจ่ี ะตอ้ งยอมรบั พนั ธกรณีต่างๆ ในธรรมนูญขององคก์ าร เพือ่ ทจี่ ะสามารถร่วมมอื กนั ดาเนินงานใหบ้ รรลุวตั ถปุ ระสงคข์ ององคก์ ารไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพธรรมนูญขององคก์ ารและ ขอ้ มตติ ่างๆ ขององคก์ ารจึงเป็นกฎหมายระหว่างประเทศทีม่ ีขอบข่ายกวา้ งขวางครอบคลมุ สมาชิก หลายประเทศ การทร่ี ฐั ต่างๆ ยดึ ถือกฎเกณฑข์ อ้ บงั คบั เดียวกนั เป็นแนวปฏิบตั ิในการดาเนิน ความสมั พนั ธก์ บั ตา่ งประเทศ และกาหนดนโยบายภายในประเทศให้สอดคลอ้ งกบั หลกั เกณฑข์ อง สงั คมระหว่างประเทศยอ่ มลดความขดั แยง้ ทางกฎหมายระหวา่ งรฐั ท่อี าจเกิดข้ึนได้ และเมอ่ื เกิด ความขดั แยง้ ทางกฎหมายหรือทางการเมอื งระหว่างรฐั สมาชิกขององคก์ ารข้นึ การยอมรับกฎหมาย เดียวกนั กจ็ ะช่วยให้สามารถหาทางยตุ ิขอ้ ขดั แยง้ ไดส้ ะดวกและประสบผลสาเร็จงา่ ยข้นึ อยา่ งไรก็ตาม กฎหมายระหวา่ งประเทศกย็ งั ไมไ่ ดร้ ับการพฒั นาอยา่ งเต็มที่ เน่ืองจากขาด องคก์ รดาเนินการทีม่ ปี ระสิทธิภาพเหมือน กบั องคก์ รดา้ นกฎหมายภายในรัฐต่างๆ แมว้ า่ กฎหมาย ระหวา่ งประเทศจะไดร้ บั การพฒั นาให้กวา้ งขวางครอบคลมุ ดา้ นต่างๆ มากข้นึ โดยมีต้งั แต่กฎหมาย ทวี่ า่ ดว้ ยการกาเนิดของรัฐ การเปลี่ยนแปลงของรัฐ การรบั รองรัฐ อานาจรัฐ เขตแดนของรฐั การสืบ สิทธิของรฐั และความรับผดิ ชอบระหว่างประเทศของรฐั กฎหมายทวี่ ่าดว้ ยการก่อต้งั การ ดาเนินงาน อานาจหนา้ ทีแ่ ละเอกสิทธ์ิ และความคุม้ กนั ขององคก์ รระหวา่ งประเทศ กฎหมายท่ีว่า ดว้ ยความสัมพนั ธท์ างการทูตและกงสุล กฎหมายทีว่ า่ ดว้ ยการขจดั ขอ้ พิพาททางการเมืองและทาง กฎหมายระหวา่ งประเทศ กฎหมายที่ว่าดว้ ยการใชก้ าลงั และการทาสงคราม กฎหมายว่าดว้ ยทะเล หลวงกฎหมายวา่ ดว้ ยสิทธิมนุษยชน กฎหมายแรงงาน ตลอดจนกฎหมายที่วา่ ดว้ ยการพฒั นาและ ความร่วมมือระหว่างรฐั เช่น กฎหมายระหวา่ งประเทศเกี่ยวกบั โทรคมนาคม ความร่วมมอื ทาง เทคโนโลยี การเงนิ และการลงทุน และกฎหมายเกี่ยวกบั การใชอ้ วกาศอยา่ งสนั ติ เป็นตน้ แตก่ าร ละเมดิ กฎหมายเหล่าน้ีก็ยงั เกิดข้นึ อยบู่ ่อยคร้ังโดยท่ีไมม่ กี ารดาเนินการใดๆ
- 216 - การริเริ่มจดั ต้งั องคก์ รตุลาการระหว่างประเทศเพื่อทาหนา้ ทร่ี ะงบั ขอ้ พพิ าทระหวา่ งประเทศ มีข้นึ ในการประชุมสนั ตภิ าพท่ีกรุงเฮกในปี ค.ศ.1899 โดยเรียกวา่ “ศาลยตุ ิธรรมประจาระหวา่ ง ประเทศ” หรือทร่ี ู้จกั กนั ทวั่ ไปว่า “ศาลโลก” อนั ประกอบไปดว้ ยผพู้ ิพากษาทีเ่ ป็นคนสญั ชาตติ า่ งๆ จานวน 15 คน ซ่ึงคณะมนตรีและสมชั ชาของสนั นิบาตชาติเป็นผคู้ ดั เลือกจากบญั ชีรายช่ือ ผเู้ ชี่ยวชาญทางกฎหมายทีน่ านาประเทศเสนอไว้ ผพู้ ิพากษาจะพิจารณาคดีขอ้ พิพาทระหวา่ งรัฐ ปัญหาเก่ียวกบั กฎหมายระหว่างประเทศและการตคี วามในสนธิสญั ญาต่างๆ อยา่ งไรก็ตามอานาจ ของศาลยตุ ิธรรมประจาระหวา่ งประเทศไม่ไดค้ รอบคลมุ รฐั ทุกรัฐ แต่ข้นึ อยกู่ บั ความยินยอมของแต่ ละรฐั ท่จี ะรบั อานาจของศาลดงั กลา่ ว ดงั น้นั เมื่อเกิดกรณีพพิ าท รฐั ท่ียอมรบั อานาจศาลยตุ ธิ รรม ประจาระหวา่ งประเทศ มกั จะเป็นรฐั เลก็ ๆ หรือรัฐทีอ่ อ่ นแอ ขาดศกั ยภาพดา้ นตา่ งๆ และตกอยใู่ น ฐานะเสียเปรียบในกรณีพพิ าท ในขณะทร่ี ัฐใหญ่หรือมหาอานาจซ่ึงเป็นฝ่ายไดเ้ ปรียบในกรณีพิพาท ตอ้ งการแกไ้ ขขอ้ พพิ าทโดยลาพงั ดว้ ยศกั ยภาพท้งั หลายที่มีอยู่ แต่ศาลยตุ ธิ รรมประจาระหวา่ ง ประเทศยอ่ มดาเนินการเพ่อื ใหเ้ กิดความยตุ ธิ รรมและความถกู ตอ้ ง บ่อยคร้ังทรี่ ฐั ผไู้ ดเ้ ปรียบในกรณี พิพาทเมอื่ ยอมรับอานาจศาลและศาลฯ กลบั ตอ้ งเป็นฝ่ายสูญเสียผลประโยชน์ International Court of Justice, The Hague, Netherlands ศาลยตุ ธิ รรมประจาระหวา่ งประเทศยงั คงอยตู่ ่อมาจนกระทง่ั สิ้นสุดสงครามโลกคร้งั ที่ 2 ในปี ค.ศ.1945 โดยไม่ไดย้ กเลกิ แต่สันนิบาตชาตซิ ่ึงเป็นองคก์ ารที่มีอานาจหนา้ ทีค่ ดั เลอื กและ แตง่ ต้งั ผูพ้ ิพากษาไดห้ ยดุ ดาเนินการไปต้งั แต่เมื่อเริ่มสงครามโลกคร้งั ท่ี 2 ในปี ค.ศ.1939 บรรดา ประเทศฝ่ายสัมพนั ธมติ รผกู้ ่อต้งั สหประชาชาติจึงไดต้ กลงกนั จดั ต้งั ศาลยตุ ิธรรมระหว่างประเทศ แห่งใหมใ่ ห้เป็นองคก์ รตุลาการของสหประชาชาติ โดยรบั เอาธรรมนูญของศาลยตุ ธิ รรมประจา ระหวา่ งประเทศมาใชแ้ ละมีการปรับปรุงแกไ้ ขเล็กนอ้ ย แต่ปรากฏวา่ มหาอานาจผกู้ อ่ ต้งั สหประชาชาตซิ ่ึงมบี ทบาทสาคญั ในการรักษาสันติภาพระหวา่ งประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา
- 217 - และสหภาพโซเวียต กลบั ไม่ตอ้ งการรบั อานาจศาลยตุ ธิ รรมระหว่างประเทศตามท่รี ะบไุ วใ้ นร่างกฎ บตั ร แตต่ อ้ งการใหอ้ านาจของศาลฯ ข้นึ อยกู่ บั การยนิ ยอมของรัฐท่เี กี่ยวขอ้ งเช่นเดียวกบั ที่เคยเป็นมา ในสมยั ของศาลยตุ ธิ รรมประจาระหวา่ งประเทศ ท้งั น้ีเพราะมหาอานาจเหล่าน้ีเกรงวา่ ในบางกรณี การยอมรับอานาจศาลฯ โดยไม่มีสิทธิเลอื กว่าจะเสนอขอ้ พพิ าทต่อศาลฯ หรือไม่ อาจทาใหต้ อ้ งเสีย ผลประโยชนม์ ากกว่าท่ีจะแกไ้ ขขอ้ พิพาทโดยวธิ ีการอ่ืนหรือโดยลาพงั การไมย่ อมรบั อานาจศาล ดงั กลา่ วทาให้การแกไ้ ขขอ้ ขดั แยง้ ระหว่างประเทศโดยกระบวนการตลุ าการทาไดไ้ มเ่ ตม็ ทแ่ี ละตอ้ ง หาทางแกไ้ ขดว้ ยวิธีการทางการทูตหรือการใชค้ วามรุนแรงต่อไป แมร้ ัฐตา่ งๆ จะยอมรบั อานาจของศาลยตุ ธิ รรมระหว่างประเทศโดยการสมคั รใจเสนอคดีให้ ศาลพจิ ารณาหรือเป็นไปตามพนั ธกรณีทไี่ ดท้ าขอ้ ตกลงกนั ไวก้ ่อนกบั รฐั คู่กรณีพพิ าท หรือได้ ประกาศยอมรับอานาจศาลไวล้ ว่ งหนา้ ตามธรรมนูญศาลยตุ ธิ รรมระหว่างประเทศ แต่เมอ่ื ศาลฯ ได้ พิจารณาตดั สินคดีพพิ าทแลว้ อาจมีรฐั คูก่ รณีซ่ึงเป็นฝ่ายเสียผลประโยชน์อนั เน่ืองจากคาพิพากษาไม่ ปฏบิ ตั ติ ามคาพิพากษาดงั กล่าว มาตรการรกั ษาสันตภิ าพโดยสันตวิ ธิ ีก็จะไมไ่ ดผ้ ล และในทส่ี ุดคณะ มนตรีความมนั่ คงแห่งสหประชาชาติในฐานะองคก์ รหลกั ท่ีมหี นา้ ท่ีในการรกั ษาสันตภิ าพและความ มน่ั คงระหว่างประเทศตอ้ งเสนอมาตรการตา่ งๆ เพอ่ื ให้มีการปฏบิ ตั ติ ามคาพพิ ากษาของศาล ยตุ ธิ รรมระหวา่ งประเทศ เช่น ใหน้ านารฐั ช่วยกนั บบี บงั คบั ทางเศรษฐกิจแกร่ ฐั ทไี่ ม่ปฏบิ ตั ิตามคา พิพากษา เป็นตน้ ซ่ึงกเ็ ป็นวธิ ีการท่ีไมส่ นั ติเช่นกนั อยา่ งไรกต็ าม การรกั ษาสันติภาพและความมน่ั คงระหว่างประเทศโดยทางองคก์ รตุลาการ และกฎหมายระหวา่ งประเทศก็ประสบผลสาเร็จมากมาย รวมท้งั กรณีขอ้ พิพาทระหวา่ งไทยกบั กมั พูชาเก่ียวกบั การอา้ งอานาจอธิปไตยเหนือปราสาทเขาพระวหิ าร ซ่ึงท้งั สองประเทศไดน้ าคดีข้นึ สู่ศาลยตุ ธิ รรมระหวา่ งประเทศ และศาลฯ ไดพ้ ิจารณาคดีและพพิ ากษาเมอื่ ปี ค.ศ.1962 โดยให้เขา พระวหิ ารอยภู่ ายใตอ้ านาจอธิปไตยของกมั พูชา ซ่ึงราชคูก่ รณีท้งั 2 ฝ่ายตา่ งยอมรับปฏบิ ตั ติ ามคา พพิ ากษาดงั กลา่ วแตเ่ ป็นท่ีน่าสังเกตว่า ศาลยตุ ิธรรมระหว่างประเทศมกั จะประสบผลสาเร็จในการ แกไ้ ขขอ้ ขดั แยง้ โดยทีค่ ูก่ รณียอมรับอานาจศาลฯ และนาเอาคาพพิ ากษาตดั สินไปปฏบิ ตั ติ ามก็ต่อเมอื่ ค่กู รณีเป็นรัฐเลก็ ๆ กรณีขอ้ ขดั แยง้ ระหวา่ งประเทศที่สาคญั ๆ ซ่ึงมีผลกระทบตอ่ สังคมโลก รายกรณี ก็ไมไ่ ดม้ ีการนาเสนอสู่ศาลยตุ ิธรรมระหวา่ งประเทศแตไ่ ดใ้ ชว้ ิธีการแกไ้ ขโดยทางอื่น เช่น การ นาเสนอต่อองคก์ รทางการเมืองของสหประชาชาติ และการเจรจาทางการทูตระหว่างมหาอานาจ เป็นตน้ กรณีเหลา่ น้ีไดแ้ ก่ สงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม ปัญหาปาเลสไตน์ การแทรกแซง กิจการภายในของอฟั กานิสถานโดยสหภาพโซเวียต เป็นตน้
- 218 - องค์การระหว่างประเทศระดับโลกกับการแก้ไขความขัดแย้งและความรุนแรง สันนบิ าตชาตกิ บั บทบาทในการรักษาสันตภิ าพและความมนั่ คงระหว่างประเทศ ภายหลงั สงครามโลกคร้ังท่ี 1 มหาอานาจฝ่ายพนั ธมติ รผชู้ นะสงคราม 5 ประเทศ คือ สหรัฐอเมริกา องั กฤษ ฝรง่ั เศส อติ าลี และญปี่ ่ นุ จึงไดร้ ่วมกบั ประเทศพนั ธมิตรอีก 22 ประเทศจดั ประชุมเพื่อจดั ต้งั องคก์ ารสันนิบาตชาติข้ึน สนั นิบาตชาติน้ีมลี กั ษณะการดาเนินงานตาม แนวความคิดของวูดโรว์ วิลสัน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คอื เป็นสมาคมการเมืองระหว่าง ประเทศทท่ี าหนา้ ทเี่ สมอื นสภาโลก โดยเป็นศนู ยก์ ลางแห่งอานาจท่เี กิดจากการประชุมร่วมกนั ของ รัฐบาลประเทศตา่ งๆ ทว่ั โลก และมกี ฎหมายทีเ่ ป็นเครื่องมอื บงั คบั แต่ไมใ่ ช่เป็นองคก์ รปกครอง สูงสุดของโลกทม่ี อี านาจบงั คบั บญั ชาเหนืออานาจอธิปไตยของรัฐใดๆ ในลกั ษณะของรัฐบาลโลก หลกั การดาเนินงานของสนั นิบาตชาติ ไดแ้ ก่ การใชร้ ะบบความมนั่ คงร่วม (collective security) คอื รฐั สมาชิก ทกุ รฐั จะร่วมกนั ธารงรกั ษาสันติภาพและความมน่ั คงระหวา่ งประเทศ โดย ถอื ว่า สงครามหรือการคุกคามตอ่ สันตภิ าพไม่วา่ จะเกิดข้นึ ต่อรฐั สมาชิกหรือรัฐอื่นๆ กต็ าม เป็นเร่ือง ทส่ี นั นิบาตชาตจิ ะตอ้ ง เขา้ ดาเนินการเพ่ือระงบั โดยเร็ว จุดมุ่งหมายหลกั ของสนั นิบาตชาติ คือ การรักษาสันติภาพและความมน่ั คงระหวา่ งประเทศ ดงั น้นั กิจกรรมสาคญั ๆ ของสันนิบาตชาติจึงมกั จะเนน้ ไปในทางดา้ นการเมอื ง ในกตกิ าสัญญาไดม้ ี บทบญั ญตั หิ ลายขอ้ ท่เี ก่ียวขอ้ งกบั การรกั ษาสนั ตภิ าพและการระงบั ขอ้ ขดั แยง้ ระหวา่ งประเทศ ไดแ้ ก่ ขอ้ 8 การลดอาวุธ ขอ้ 9 คณะกรรมาธิการถาวรทหารบก ทหารเรือ และทหารอากาศ ขอ้ 10 หลกั ประกนั ในการต่อตา้ นการรุกราน ขอ้ 11 การปฏบิ ตั ใิ นกรณีสงครามหรือการคุกคามจาก
- 219 - สงคราม ขอ้ 12 พพิ าทที่จะนาเสนอเพอ่ื หาทางระงบั ขอ้ 13 อนุญาโตตุลาการหรือการพจิ ารณา พพิ ากษาของศาล ขอ้ 14 ศาลยตุ ธิ รรมประจาระหว่างประเทศ ขอ้ 15 ขอ้ พิพาททีไ่ ม่ย่นื เสนอต่อ อนุญาโตตุลาการ เพื่อวินิจฉัยช้ีขาดหรือไม่ ย่นื ฟ้องตอ่ ศาลเพ่อื พิจารณาพิพากษา ขอ้ 16 การลงโทษ โดยสนั ตวิ ิธีขอ้ 17 ขอ้ พพิ าทท่ีเก่ียวขอ้ งกบั รัฐทไ่ี มใ่ ช่สมาชิก มาตรการรักษาสันตภิ าพและความ มนั่ คงระหว่างประเทศดงั กล่าวมาน้ีมที ้งั การใชว้ ธิ ีทางการเมอื งและวธิ ีทางกฎหมาย ในการแกไ้ ขขอ้ ขดั แยง้ โดยวิธีทางการเมอื งน้นั องคก์ รทม่ี ีบทบาทสาคญั คอื สมชั ชาแห่ง สนั นิบาตชาติและคณะมนตรี จะมีอานาจหนา้ ท่ีในการพิจารณากรณีพิพาทระหว่างรัฐ พิจารณา ปัญหาระหวา่ งประเทศทางดา้ นเศรษฐกิจและสงั คม ร่างและพฒั นากฎหมายระหว่างประเทศ เช่น สนธิสญั ญาวา่ ดว้ ยกฎเกณฑใ์ นการทาสงคราม เป็นตน้ สมชั ชาไดจ้ ดั ต้งั คณะกรรมาธิการว่าดว้ ยการ ลดอาวธุ คณะกรรมาธิการว่าดว้ ยกิจกรรมทางการเมอื ง และคณะกรรมาธิการว่าดว้ ยปัญหากฎหมาย และบทบญั ญตั ใิ นกตกิ าสญั ญาเพ่ือทาหนา้ ที่ประจาในกิจกรรมดงั กล่าว สาหรบั คณะมนตรีน้นั มอี านาจหนา้ ทใี่ นการกาหนดวธิ ีการหรือมาตรการรักษาสันตภิ าพ เพือ่ นาไปปฏิบตั ิตามขอ้ มติของสมชั ชาและตามขอ้ มติของคณะมนตรีเองตลอดจนตามคาวนิ ิจฉัย ของศาลยตุ ิธรรมประจาระหวา่ งประเทศ หรือคาตดั สินของอนุญาโตตุลาการ โดยในระยะแรกของ การก่อต้งั สันนิบาตชาติมี 4 ประเทศ คือ องั กฤษ ฝร่ังเศส อติ าลี และญี่ป่ นุ ต่อมาเยอรมนี และ สหภาพโซเวยี ตไดเ้ ขา้ เป็นสมาชิกในภายหลงั สันนิบาตชาตมิ บี ทบาทอยา่ งมากในการรักษาสนั ติภาพของโลกในช่วงหลงั สงครามโลก คร้งั ท่ี 1 โดยไดด้ าเนินการระงบั กรณีพพิ าทกว่า 40 กรณี ซ่ึงมที ้งั ที่ประสบผลสาเร็จและไม่ประสบ ผลสาเร็จในช่วงปี ค.ศ.1920-1932 ซ่ึงเป็นระยะแรกของการดาเนินงาน สนั นิบาตชาติสามารถระงบั
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208