47 แนวคิดเกี่ยวกบั ความสัมพันธ์ที่ไม่สันติ ความหมายของความสัมพนั ธ์ท่ีสันติน้ีจะชดั เจนข้ึนอีกเมื่อเปรียบเทียบกบั ความสัมพนั ธ์ที่ ไมส่ ันตซิ ่ึงเคิร์ลไดข้ ยายความไวล้ ะเอียด กลา่ วคือ ความสัมพนั ธ์ทไี่ ม่สันตนิ ้นั ตอ้ งพิจารณาควบคู่ไป กับประเด็นแนวคิด 3 ประเด็นดว้ ยกัน คือ ความขดั แยง้ ความสมดุล/ความไม่สมดุล และความ ตระหนกั ถึงความขดั แยง้ ซ่ึงแตล่ ะประเดน็ สามารถแจกแจงไดด้ งั น้ีคอื ความขัดแย้ง สาหรับเคิร์ล ความขัดแย้งเป็ นเรื่องของความไปด้วยกันไม่ได้ (Uncompatability) ใน ความสัมพนั ธ์ต้งั แต่ระดบั บุคคล ชุมชน ถึงระดบั ประเทศ หรือกระท่ังค่ายทางการเมือง โลกเสรี- โลกคอมมิวนิสต์ ซ่ึงฝ่ ายหน่ึงต้องการสิ่งเดียวกันกับอีกฝ่ ายหน่ึง หรือการที่ฝ่ ายหน่ึงจะไดส้ ่ิงที่ ตอ้ งการมาน้ันมีผลกระทบอีกฝ่ ายหน่ึงหรือชัดกบั ความเจริญของฝ่ ายหน่ึงไม่ว่าฝ่ ายน้ันจะรู้ตัว หรือไม่ก็ตาม อาจมีขอ้ โตว้ ่าความสัมพนั ธ์ระหว่างนายผูใ้ จบุญกบั ทาสผูซ้ ่ือสัตย์ ซ่ึงแต่ละฝ่ ายต่าง สนองตอบความตอ้ งการของอีกฝ่ ายหน่ึง จะเรียกไดห้ รือไม่ว่าเป็นความสัมพนั ธท์ ี่ไปดว้ ยกนั ไม่ได้ เพราะท้งั สองฝ่ ายเขา้ กนั เป็นป่ี เป็ นขลุ่ย เป็นความสัมพนั ธ์ที่ขดั แยง้ คาถามน้ีน่าสนใจมาก ดว้ ยว่า ยงั โยงไปถึงคาถามว่าคนนอกมสี ิทธิอะไรที่จะเขา้ ไปกา้ วก่ายและตดั สินวา่ สมควรเปลีย่ นแปลง ท้งั ๆ ท่ีท้งั คู่ผูเ้ ป็นผูเ้ กี่ยวขอ้ งโดยตรงไม่ประสงคใ์ ห้เป็นอยา่ งอื่น แต่ละคนควรกาหนดชีวติ ของตวั เองมิใช่ หรือ ไม่ว่าเขาอยากจะเป็นอะไร อยากรับใชใ้ ครเม่ือเขาเองเต็มใจเช่นน้ัน ปัญหาทานองน้ีมิไดเ้ ป็ น คาถามสาหรบั นักทฤษฎีแนวความขดั แยง้ สาหรับเคิร์ลเขาเห็นว่า ปัญหาน้ีโยงอยู่กบั อีก 2 ประเด็น ตอ่ มา คือ ความสัมพนั ธ์ท่ีสมดลุ /ทีไ่ ม่สมดลุ ความสมดุลและไม่สมดุล หมายถึง ในแง่เชิงอานาจเกมเล่นไมก้ ระดกของเด็กคงอาจเป็ น ภาพเปรียบเทียบได้ ความสมดุลที่สมดลุ จะเป็นความเท่าเทยี มกนั ไม่ใช่ขา้ งใดขา้ งหน่ึงข่ม หรือมีแรง เหนืออีกฝ่ายหน่ึงอยา่ งมากถึงสิ้นเชิง อานาจน้ีไม่จาเป็นตอ้ งเป็ นอานาจชนิดเดียวกนั ฝ่ ายหน่ึงอาจมี อานาจทางเศรษฐกิจ อีกฝ่ายอาจจะมากกว่าทางสติปัญญาความคิด ทางแรงสนับสนุนของสงั คมทาง การเมือง ทางทหาร ฯลฯ เช่น ฝ่ายเผด็จการอาจมอี านาจทางทหารกว่าฝ่ายนักศกึ ษา แต่ฝ่ายนกั ศึกษา อาจได้รับความสนับสนุนจากประชาชนทั่วไปมากกว่า เป็ นต้น ฉะน้ันการพิจารณาถึงว่า ความสัมพนั ธ์ใดสมดลหรือไม่ จึงอยู่ท่ีการประเมินสถานการณ์หน่ึงๆ ว่า ฝ่ายหน่ึงในความสัมพนั ธ์ น้ันสามารถจะอยู่เหนืออีกฝ่ ายหน่ึ งหรือไม่ หรือฝ่ ายหน่ึงเอาประโยชน์แต่ฝ่ ายเดียวหรือเอา ประโยชน์มากกว่ามาจากอกี ฝ่ายหน่ึงหรือไม่
48 ประเด็นความสมดุลน้ีมิไดห้ มายความว่า ความสัมพนั ธ์ที่สมดุลน้ันเป็ นความสัมพนั ธ์ท่ี สันติ และที่ไม่สมดุลไม่สันติ มีความสัมพนั ธ์ซ่ึงสมดุลท่ีเต็มไปดว้ ยความรุนแรง เช่น สงคราม ระหว่างสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรกับแนวร่วมปลดแอกแห่งชาติของเวียดนามและพนั ธมิตร อนั เห็นไดจ้ ากความยืดเยอื้ ของสงครามเป็ นเวลานานปี โดยที่ฝ่ายหน่ึงฝ่ายใดไม่สามารถ “เผด็จศกึ '’ ไดง้ ่ายๆ ส่วนความสัมพนั ธ์ท่ีไม่สมดุลอาจเป็นความสัมพนั ธ์ท่ีมีสันติ เช่น ความสัมพนั ธ์ระหว่าง รัฐบาลกลาง ที่ต้องการช่วยเหลือผูด้ ้อยโอกาส กับหน่วยงานราชการ หรื อองค์กร ชาวบ้านใน ทอ้ งถ่ิน หรือในระดบั ส่วนตวั เช่น ความสัมพนั ธ์ระหว่างแม่กบั ลูก มาตรการท่ีช้ีถึงความไม่สันติ สาหรับเคิร์ล คอื การเอารดั เอาเปรียบ ยิ่งความสมั พนั ธน์ ้นั ไม่สมดลุ และยงั มีการเอารัดเอาเปรียบมาก กย็ ง่ิ เป็นความสัมพนั ธท์ ี่ไม่สันติ ประเดน็ ความสมดุลน้ี เป็นประเดน็ ที่ช้ีถึงลกั ษณะของความสมั พนั ธ์อยา่ งวเิ คราะห์อีกแง่มุม หน่ึง ยงั ไม่สามารถเป็นตัวตดั สินถึงความสันติไดโ้ ดยตรง สาหรับตวั อยา่ งความสัมพนั ธ์ระหว่าง นายกบั ทาสขา้ งตน้ ความสมดุลก็เป็นแง่มุมสาคญั ที่ตอ้ งนามาพิจารณา แมว้ ่าจะยงั สรุปไมไ่ ดว้ ่าเป็น ความสมั พนั ธ์ท่ไี มพ่ ึงปรารถนาจากอดุ มการณ์สนั ติศึกษา จากจดุ น้ีจึงนาไปสู่ประเดน็ ท่ีสาม คอื ความตระหนักถึงความขดั แย้ง ความตระหนักถึงน้ี หมายถงึ ความรับรู้ความเป็นจริงทางภาวะวิสัยท่ีเกิดข้ึน เพ่ือการไมเ่ ขา้ ไปสู่การถกเถียงทางปรัชญาที่ย่งุ ยาก ความเป็นจริงหรือปรากฏการณ์ทาให้ความสาคญั ต่อส่ิงหน่ึง สิ่งใดว่าเป็นเลศิ ในช่วงเวลาหน่ึง เช่น ดอกคาร์เนชน่ั มีคา่ มากกว่าดอกผกั ตบชวาสาหรับชาวไทยใน ยคุ น้ี สาหรับเคิร์ล ในสันติศึกษา คุณค่าน้ีคือ การดารงชีวิตอยู่ และเมือ่ มีชีวิตอยู่ก็อยู่อยา่ งมีคุณภาพ มีสุขภาพดีท้ังกายและใจ มีการพฒั นาศกั ยภาพ รวมถึงความเสมอภาคทางโอกาส คุณค่าน้ีเป็ น มาตรการสาหรับความแตกต่างระหว่างความรบั รู้ทางภาวะวสิ ัยและทางอตั ตวิสยั เช่น กรณีตวั อยา่ ง ของนายกบั ทาส ทาสอาจจะรู้สึก “พอใจ” “มิความสุข” กบั การไดอ้ ทุ ิศตวั รบั ใชเ้ จา้ นาย โดยท่ีอาจจะ ไม่ตระหนกั ถงึ ศกั ด์ิศรีความเป็นมนุษย์ การใชช้ ีวิตท่ีมีความเจริญทางพลานามยั และปัญญา ในฐานะ
49 อตั ตบุคคลกอ็ าจไม่ไดต้ ระหนกั ว่าอยภู่ ายใตอ้ านาจของนาย และถูกกดบงั คบั ให้จายอมอยู่ในระบบ สังคม เพราะฉะน้นั ประเดน็ ความตระหนกั ถงึ น้ีจึงมีความสาคญั ท่ีจะนิยามวา่ ความขดั แยง้ และความ ไม่เป็ นสันติน้ันเป็ นเร่ืองของภาวะวิสัยเป็ นเรื่องของคุณค่า ไม่ใช่เรื่องที่จะรับรู้หรือรู้สึกกนั เป็ น ส่วนตวั ไม่ใช่เรื่อง “ของใครก็ของใคร” เพราะฉะน้นั จากแง่มมุ น้ีเราจึงสามารถตอบตอ่ ขอ้ โตแ้ ยง้ ใน รูปคาถามขา้ งตน้ ไดว้ ่า นายกบั ทาสน้นั เป็นความสมั พนั ธ์ท่ขี ดั แยง้ ไม่เป็นความสัมพนั ธ์ที่สันติ และ สมควรที่จะเปลยี่ นแปลง เคิร์ลเห็นวา่ แทจ้ ริงขอ้ โตแ้ ยง้ ต่อคุณค่าที่เนน้ ชีวิตและคณุ ภาพชีวิตน้นั แมว้ ่าจะยกข้ึนมาราว กบั ว่าเป็นความคิดท่ีลึกซ้ึงเฉียบแหลม แต่แทจ้ ริงแลว้ ก็คอื การใชค้ ุณค่าอื่นมาตดั สิน และถอื ว่าเป็น คุณค่าที่เหนือกว่า เช่น มีขอ้ โตแ้ ยง้ ถึงคุณค่าท่ีชีวิตดารงอยูว่ ่าความตายดีกว่า เพราะเป็นการพน้ ไป จากโลกท่ีเต็มไปดว้ ยปัญหาหรือความยากจนน้ันดีแล้ว เพราะทาให้คนไม่หมกมุ่นอยู่กบั ความ ทะยานอยากเป็นวตั ถุนิยม หรือการท่ีใครตอ้ งการจะเป็นทาสรับใช้ใครก็เป็นสิทธิของคนน้นั เหตุผล เหล่าน้ีมาจากคุณค่าอีกชุดหน่ึงท่ียกยอ่ งความตาย ความเส่ือมโทรมของชีวติ การถือวา่ มนุษยข์ ม่ เหง เบียดเบียนกนั น้นั เป็นความชอบธรรม คุณคา่ ทานองน้ีเป็นสิ่งทสี่ ันตศิ ึกษาตอ้ งทาสงครามดว้ ย จากประเด็นแนวคิดของเคิร์ลน้ีซ่ึงเป็นแนวหน่ึงที่น่าสนใจในสันติศึกษา อาจนามาใช้เป็น เคร่ืองมือช่วยในการวิเคราะห์ปรากฏการณ์ต่างๆในสังคมได้ โดยนาประเด็นเหล่าน้ีมาโยงกนั เป็ น แบบตา่ งๆ ซ่ึงเคิร์ลเสนอไว้ 5 แบบดว้ ยกนั คอื 1. ความสัมพนั ธท์ ่ีสมดลุ มีความตระหนกั ถึงสูงในความขดั แยง้ 2. ความสัมพนั ธ์ทีไ่ มส่ มดุล มคี วามตระหนกั ถึงสูงในความขดั แยง้ 3. ความสัมพนั ธ์ที่ไมส่ มดลุ มคี วามตระหนกั ถึงต่าในความขดั แยง้ 4. ความสัมพนั ธท์ ีด่ ูคลา้ ยว่าสมดุล มคี วามตระหนกั ถงึ ต่าในความขดั แยง้ 5. ความสมั พนั ธ์ทอ่ี ยใู่ นสภาพความแปลกแยก สาหรับแบบ 1 - 4 เราอาจถอื เป็นการนึกคิดของเราในการนึกถึง ตวั อยา่ งกรณี ส่วนแบบท่ี 5 น้ันต่างออกไปจากแบบอ่ืนๆ ในแง่ท่ีเป็ นความเข้าใจไม่ตรงกัน ฝ่ ายหน่ึงอาจรู้สึกว่าอยู่ใน ความสัมพนั ธ์ที่ไม่สมดุล และตกอยใู่ นฐานะผูถ้ ูกกดไวอ้ ยขู่ า้ งใตใ้ นขณะที่อีกฝ่ ายหน่ึงรู้สึกว่าเป็ น ความสัมพนั ธ์ที่มีสนั ติดีอยแู่ ลว้ หรืออย่างนอ้ ยก็พยายามทาให้เป็นเช่นน้ัน ความสัมพนั ธ์แบบน้ีเขา้ ลกั ษณะไม่เป็นมิตร ระแวงสงสัยลึกๆ อยู่ตลอดเวลา ถ้าในระดบั บุคคลก็เขา้ ลกั ษณะทางจิตชนิด หน่ึงท่ีรู้จักกันว่าพารานอย (Paranoid) อันอาจจะเรียกได้ว่า ไม่เป็ นความสัมพันธ์ที่มีสันติ ตวั อยา่ งเช่น ความสมั พนั ธใ์ นบางกรณีระหว่างอาจารยก์ บั นกั วิจยั ระหว่างนักกีฬาอาชีพที่มีชื่อเสียง กบั ผจู้ ดั การ ระหวา่ งผูห้ าเสียงเลือกต้งั กบั ชาวบา้ น ฯลฯ จากท่ีได้อธิบายมาท้ังหมด อาจทาให้เรามองเห็นสันติศึกษาด้วยความเข้าใจต่างๆ กัน ออกไปไดอ้ นั เป็ นขอ้ ดีสาหรับแขนงวิชาท่ีเป็น “นอ้ งใหม่” ในวงวิชาการ นักวิชาการคนสาคญั ใน
50 สันติศึกษาอย่างกลั ตุงและเคิร์ลยอ่ มไม่ถือว่าแนวคิดและทฤษฎีที่เราเสนอเป็ นสูตรสาเร็จแต่เป็ น ขอ้ เสนอแนะเพื่อการพิจารณาและเป็ นการกระตุ้นเพ่ือให้มีการถกเถียงเพื่อความแตกฉานกัน ยิ่งข้ึนไป
- 51 - บทท่ี 3 ความรุนแรง ภาพแห่งความรุนแรงในโลกปัจจบุ นั หากพิจารณาสภาพของโลกในอดีตจะเห็นไดว้ ่าโดยทวั่ ไปบรรยากาศแห่งสันติภาพดูจะ กระจ่างชัดข้ึน ในระยะเวลาไล่เล่ียกนั อภิมหาอานาจท้งั สองในโลก คือ สหรัฐอเมริกา และสหภาพ โซเวียตก็หันหนา้ เขา้ หากนั อยา่ งนอ้ ยก็ทาให้ความตกลงกนั ไดบ้ า้ งในเร่ืองอาวธุ นิวเคลียร์พสิ ยั กลาง โดยมงุ่ ขจดั อาวธุ นิวเคลียร์ชนิดน้ีร่วมกนั ในปี พ.ศ.2531 เช่นเดียวกนั สหภาพโซเวียตก็เริ่มตน้ ถอน ทหารออกจากอฟั กานิสถาน หลงั จากส่งกองทพั เขา้ ไปต่อสู้ ในสิ่งทนี่ กั วิเคราะห์การเมืองระหว่าง ประเทศหลายคนเรียกกนั ว่า “สงครามเวียดนามของโซเวียต” ผลท่ีไดร้ ับ คือ การสูญเสียท้งั ขวญั กาลงั ใจและเกียรติภูมิของสหภาพโซเวียตชนิดท่ียอ่ ยยบั ท่ีสุดคร้งั หน่ึง แมส้ ันติภาพจะยงั ไม่เกิดข้ึน โดยทนั ที แต่การถอนทหารของสหภาพโซเวยี ตก็ช่วยให้โอกาสของสันติภาพมีทางเป็นไปไดม้ าก ข้นึ สงครามในอ่าวเปอร์เซียระหวา่ งอิหร่านกบั อริ ักซ่ึงดาเนินมานานถงึ 8 ปี สังหารผลาญชีวิตผคู้ น ไปไมน่ อ้ ยกว่าลา้ นคน ก็ยตุ ิลงหลงั จากคูก่ รณีตอ้ งยอ่ ยยบั ไปท้งั คูท่ ้งั ทางเศรษฐกิจและทางในภูมิภาค ทใี่ กลเ้ คียง ประเทศไทยก็ดูสถานการณ์มาจริงจงั กบั หนทางสันติภาพมากข้ึน หลงั จากกรณีร่มเกลา้ เม่ือปี พ. ศ.2531 ความสัมพนั ธ์ระหว่างไทยกบั ลาวก็ตึงเครียดมาพกั หน่ึงจนกระท่ังมาฟ้ื นฟูอยา่ ง รวดเร็วในช่วงรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี พลเอก ชาติชาย ชุณหะวณั ท่ีมงุ่ ใชน้ โยบายแปลงสนาม รบเป็นสนามการคา้ ผลอนั สาคญั ประการหน่ึงก็คือ การติดต่อแลกเปล่ียนและน้ามิตรไมตรีระหว่าง ประเทศไทยกบั ประเทศอินโดจีนก็กระเต้ืองข้ึน แมค้ วามสัมพนั ธ์ระหว่างไทยกบั เวียดนามซ่ึงเต็ม ไปด้วยขวากหนามมาตลอดก็จะดูจะสดใสข้ึน โดยเฉพาะหลังจากที่คณะของรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงต่างประเทศคือ พลอากาศเอกสิทธิ เศวตศิลา เดินทางไปเยือนเวียดนามเมื่อวนั ที่ 9- 12 มกราคม พ.ศ.2532 ความสัมพนั ธอ์ นั ดีข้นึ ระหว่างไทยกบั เวียดนามน้ีย่อมมผี ลโดยตรงต่อโอกาสท่ี จะยตุ สิ งครามกมั พชู า และนาภูมภิ าคแถบน้ีไปสู่สนั ติภาพตอ่ ไป เม่อื พจิ ารณาเช่นน้ี อาจเขา้ ใจไปวา่ ปัจจุบนั โลกไดก้ า้ วเขา้ สู่ยคุ สมยั แห่งสนั ติภาพโดยแทจ้ ริง แลว้ แต่ขอ้ เท็จจริงท่ีจาตอ้ งคอยคานึงไวก้ ็คือ ความรุนแรงในโลกปัจจุบนั ยงั มีอยโู่ ดยทัว่ ไป ทุกค่า คนื ในขณะน้ีจะไดช้ มข่าวการทีท่ หารอิสราเอลยิงปื นเขา้ ใส่ชาวปาเลสไตนใ์ นดินแดนทถ่ี ูกยึดครอง อนั ไดแ้ ก่ ฉนวนกาซ่า และดินแดนฝั่งตะวนั ตกของแม่น้าจอร์แดน เป็ นตน้ และฝ่ ายที่ถูกยงิ น้ันก็มี เพียงกอ้ นหินเป็นอาวุธขวา้ งโต้ตอบเป็นส่วนใหญ่ ในเดือนมกราคม พ.ศ.2532 เช่นกนั ท่ี เครื่องบิน f - 14 ของสหรัฐอเมริกายิงเคร่ืองบินมิก - 23 ของลิเบียตก 2 ลาในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ใน ระยะเวลาไลเ่ ลีย่ กนั เคร่ืองบิน Pan - Am ก็ถกู วางระเบดิ ตกในองั กฤษ ผโู้ ดยสารเสียชีวติ ไปกวา่ 200
- 52 - คน การปะทะกนั ในไอร์แลนดเ์ หนือกย็ งั คงดาเนินต่อไป เช่นเดียวกบั ผูค้ นทล่ี ม้ ตายโดยไร้ความผิด ในศรีลงั กาท้งั จากฝีมือของฝ่ ายทมิฬท่ีนิยมความรุนแรง และฝ่ ายมาร์กซิสต์ชาวสิงหลท่ีนิยมความ รุนแรง ผลของการใช้ความรุนแรงในศรีลังกา นอกจากจะมีผู้คนล้มตายมากมายแล้ว ยงั ทาให้ มหาวิทยาลยั ตอ้ งปิ ดตวั เองมานานถึง 1 ปี จนถึงตน้ ปี พ.ศ.2532 และเด็กนกั เรียนก็ไปโรงเรียนไม่ได้ เป็นเวลากว่า 2 เดือน ปัญหาระหว่างชาวซิกข์ในปัญจาบและชาวฮินดูก็ยงั ดาเนินต่อไปไม่ไดห้ ยดุ ศาลอินเดียไดต้ ดั สินประหารชีวิตชาวซิกข์ 2 คน ที่มีส่วนเกี่ยวขอ้ งกบั การสังหารนางอนิ ทิรา คานธี อดีตนายกรัฐมนตรีอินเดีย ในขณะที่การฆาตกรรม นายโอลอฟ พาลเม่ นายกรัฐมนตรีสวีเดน เม่ือ เดือนมีนาคม พ.ศ.2529 ก็ยงั ไมไ่ ดค้ ลีค่ ลายแตอ่ ยา่ งใด อาจกล่าวไดว้ า่ หากพจิ ารณาจากแงม่ มุ น้ีความ รุนแรงในโลกก็ยงั เป็ นปรากฏการณ์อย่ตู ่อไป จึงน่าจะลองทาความเข้าใจภาพของความรุนแรงท่ี เกิดข้ึนในโลกให้ชดั เจนกว่าเดิม พร้อมกบั ต้งั คาถามว่า ท่กี ล่าวมาท้งั หมด โดยจะเป็นความรุนแรงท่ี เกิดข้ึนระหว่างบคุ คลและปัญหาสงครามเป็ นหลกั แต่ภาพของความรุนแรงเพียงเท่าน้ีเป็ นภาพของ ความรุนแรงทีช่ ดั เจนเพยี งพอแลว้ กระน้นั หรือ เม่ือ ค.ศ.1942 ควินซี ไรท์ (Quincy Wright) ไดเ้ ริ่มศึกษาประวตั ิศาสตร์การสงครามอย่าง จริงจงั โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาไดร้ วบรวมจดั เก็บสถิติการสงครามไวอ้ ย่างเป็ นระบบ โดยไดน้ ิยาม “สงคราม” ว่าหมายถงึ กรณีทีม่ ีผคู้ นไม่ต่ากว่า 50,000 คน ถอื อาวุธเขา้ มามีส่วนร่วม เขาพบว่าต้งั แต่ ค.ศ.1480 ถึง ค.ศ.1941 มีการสงครามเกิดข้ึนถึง 278 คร้ัง แต่นี่ก็เป็นแต่เพียงศึกษาสงครามอนั เป็ น ความรุนแรงแบบหน่ึงเท่าน้นั ต่อมาอีกราวสองทศวรรษ เลวิส ฟราย ริชาร์ดสัน (Lewis Fry Richardson) ศึกษาความ รุนแรงท่ีเป็นสาเหตแุ ห่งความตายของมนุษยอ์ นั ไดแ้ ก่ สงคราม การปฏิวตั ิ และการฆาตกรรมต้งั แต่
- 53 - ค.ศ. 1819 ถึง ค.ศ.1945 และพบว่าในช่วงเวลา 126 ปี น้ัน มีผูค้ นลม้ ตายเพราะความรุนแรงท้งั 3 รูปแบบถึง 46.8 ล้านคน ในขณะที่อีก 12.6 ลา้ นคนก็ลม้ ตายดว้ ยความรุนแรงแบบอ่ืนๆ อีกรวม ท้งั สิ้นความรุนแรงคร่าชีวิตผคู้ นไปถงึ 59 ลา้ นคนในเวลากว่าศตวรรษ และในศตวรรษที่ 20 น่ีเอง มี ผูค้ นลม้ ตายไปเพราะสงครามโลกท้ังสองคร้ังถึง 36 ล้านคนหรือกว่า 3 ใน 4 ของจานวนผูต้ าย ท้งั หมด เขาไดพ้ ยายามพิสูจน์ให้เห็นวา่ สงครามที่เกิดข้ึนมาท้งั หมดน้ัน กว่าร้อยละ 70 มีสาเหตุมา จากปัญหาเศรษฐกิจ อาจกลา่ วไดว้ ่าในช่วงเวลาดงั กลา่ วมีคนผูห้ น่ึงสังหารอีกคนหน่ึงทุกๆ 68 วินาที หากจะพิจารณายอ้ นหลงั ไปให้ครอบคลุมประวตั ิศาสตร์โบราณของมนุษยช์ าติดว้ ย คือ ต้ังแต่ราว 3,600 ปี ก่อนคริสตกาล จนถึง ค.ศ.1980 โลกได้เผชิญกับสงครามใหญ่ๆ ประมาณ 2,400-3,500 คร้ัง มีเหตุการณ์รุนแรงในระดบั นานาชาติและระดบั ชาติถึง 13,600 คร้ัง ในช่วงเวลา ดงั กล่าวมีคนลม้ ตายเพราะสงครามโดยตรงไม่นับผูท้ ี่ตายเพราะความอดอยาก อันเนื่องมาจาก สงคราม มียอดสูงถงึ 1.1 พนั ลา้ นคน ท่ีน่าใคร่ครวญอีกประเด็นหน่ึงกค็ ือ จานวนพลเรือนที่ลม้ ตาย ลงไปเพราะการสงครามซ่ึงเพ่ิมทวีข้ึนอย่างมหาศาล เช่น ในกรณีสงครามโลกคร้ังที่หน่ึง เม่ือ ค.ศ. 1914 -1918 น้ัน ผคู้ นท่ีลม้ ตายราวร้อยละ 95 เป็นทหาร อนั ถือไดว้ ่าเก่ียวขอ้ งกบั การรบโดยตรง พล เรือนน้นั บาดเจ็บลม้ ตายลงไปราวร้อยละ 5 แต่ในสงครามโลกคร้ังท่ีสองซ่ึงเกิดข้ึนเมื่อ พ.ศ. 1939 และยุติลงใน ค.ศ. 1945 น้นั ผูต้ ายกว่าร้อยละ 50 เป็นพลเรือน ยิง่ ในสงครามท่ีเกิดข้ึนในระยะหลงั อยา่ งเช่นที่เลบานอนดว้ ยแลว้ ประมาณกนั ว่าเม่ือ พ.ศ.1982 ผูค้ นท่ีลงตายในสงครามน้ีกว่าร้อยละ 90 เป็นพลเรือน ซ่ึงส่วนใหญ่เป็นสตรีและเดก็ เสียดว้ ย
- 54 - ท่ีกล่าวมาขา้ งตน้ เป็นความรุนแรง โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงความตายอนั เป็ นผลมาจากสงคราม หรือการประหัตประหารกนั ไม่วา่ จะโดยตรงหรือโดยออ้ ม แต่ถา้ จะประมาณกนั ว่าในแตล่ ะปี มผี คู้ น ลม้ ตายโดยเฉลี่ยเพราะสงครามปี ละราว 200,000 คน ก็คงต้องตระหนักด้วยว่าในปลายทศวรรษ 1980 น้ีเอง ท่ีแต่ละปี มีเด็กๆ อายุต่ากว่า 5 ขวบ ล้มตายถึงปี ละ 14 ล้านคน เด็กเหล่าน้ีตายเพราะ โรคภยั ต่างๆ และการขาดอาหาร โรคภยั หลายชนิดเป็นโรคชนิดท่ีป้องกนั ได้ หากใชท้ รพั ยากรไป ในการป้องกนั อย่างชอบดว้ ยเหตุผล โรคทอ้ งร่วงเพียงอยา่ งเดียวฆ่าชีวิตเด็กๆไปปี ละ 5 ล้านคน ในขณะท่ีโรคเกี่ยวกับระบบหายใจและปอดบวมทาให้เด็กตายปี ละ 4 ล้านคน ในแต่ละปี โรค มาลาเรียทาลายชีวติ เด็กอีกปี ละ 3 ลา้ นคน ในสงครามเวียดนามน้นั ตวั เลขเม่ือสิ้นปี ค.ศ. 1987 พบว่า ทหารอเมริกนั ล้มตายไปท้ังสิ้น 58,156 คน ดังรายนามที่ปรากฏจารึ กอยู่บนอนุสาวรีย์สงคราม เวียดนามในกรุงวอชิงตัน แต่ตวั เลขดังกล่าวยงั น้อยกว่าจานวนเด็กๆ ท่วั โลกอายุต่ากว่า 5 ขวบ ที่ ตอ้ งตายดว้ ยโรคภยั ภายในเวลาเพียง 2 วนั เสียอีก นายวิลล่ี บรันท์ (Willy Brandt) สรุปว่าในโลก ปัจจุบนั น้ี ทุกๆ 1 นาทีจะมีเดก็ เด็กอายตุ ่ากว่า 5 หรือ 6 ขวบราว 30 คนตอ้ งตายเพราะไมม่ ีจะกิน ไม่ มนี ้าสะอาด หรือขาดบริการทางสาธารณสุข ในรายงานของบรัน (Brandt Commission) ระบุวา่ โลก ไม่อาจจะอยอู่ ยา่ งสันติไดห้ าผูค้ นนบั ร้อยๆ ลา้ นอยา่ งถูกท้ิงให้อยู่ระหว่างความเป็นและความตาย ความยากจนของมหาชนเช่นน้ี อาจนาไปสู่สงครามได้และท่ีใดก็ตามที่ความอดอยากดารงอยู่ สนั ติภาพกไ็ ม่อาจถกู สถาปนาข้นึ ไดอ้ ยา่ งมน่ั คง เมอ่ื พจิ ารณาปัญหาทานองน้ีประกอบดว้ ยกจ็ ะเห็นไดว้ า่ ปัญหาสนั ติภาพในโลกปัจจบุ นั น้ัน อาจไม่ไดส้ ดใสอะไรนัก เพราะภาพแห่งความรุนแรงในรูปแบบที่ซับซ้อนกวา้ งขวางกว่าเดิม ซ่ึง หมายความว่าตอ้ งทาความเขา้ ใจกบั แนวความคิดเรื่องความรุนแรงเสียใหม่ หากจะเขา้ ใจประเด็น เก่ียวกบั สนั ติภาพที่กวา้ งขวางครอบคลมุ ในปัจจุบนั
- 55 - เม่อื วนั ท่ี 1 ธนั วาคม พ.ศ.2529 ฯพลฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีในเวลาน้ัน ได้ไปเปิ ดการประชุมนานาชาติว่าด้วย การอุดมศึกษากับการส่งเสริมสันติภาพ ซ่ึงจัดโดย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั ที่กรุงเทพมหานคร ท่านนายกรัฐมนตรีไดก้ ล่าวถึงสันติภาพไวอ้ ย่าง น่าสนใจ โดยท่านช้ีให้เห็นว่าไม่ควรจะคิดถึงสันติภาพในแบบง่ายๆ เพียงว่า คือ การปลอดจาก สงคราม แต่ควรหมายถึงความพยายามจริงจังที่จะสลายความรุนแรงและปัญหาความชั่วร้ายใน สังคมท้งั มวลดว้ ย (Social ills) ขอ้ คิดของ พลเอกเปรม ติณสุลานนท์ ทาให้เห็นชดั ถงึ ความสัมพนั ธ์ ระหวา่ งสันติภาพกบั ความรุนแรง แต่ไดข้ ยายขอบเขตของความเขา้ ใจเรื่องความรุนแรงออกไปอีก ซ่ึงอาจรวมถึงเรื่องต่างๆ ทางการแกไ้ ขปัญหาความขดั แยง้ โดยสันติ แนวทางอหิงสา และประเด็น ปัญหาต่างๆ เช่น ปัญหาสิทธิมนุษยชนด้วย ดงั น้ัน จึงจาเป็ นต้องพิจารณาความหมายของความ รุนแรงใหถ้ ่ีถว้ นรอบดา้ นตามสมควร ความหมายของความรุนแรง เป็ นเวลาร่วมสามทศวรรษมาแลว้ ท่ีมีการศึกษาเกี่ยวกับความรุนแรงอยา่ งจริงจัง ในการ สารวจวรรณกรรมเมื่อ พ.ศ.1980 พบว่า มีตารารวมท้ังบทความวิชาการท่ีพูดถึงเร่ืองน้ีถึง 2,400 รายการ แน่นอนที่ว่านิยามของ “ความรุนแรง” ยอ่ มมาจากความคดิ หลากหลายของนกั วชิ าการ บาง ท่านเสนอว่า ประเด็นเร่ืองนิยามและการแปลแนวคิดเป็นดชั นีต่างๆ น้ัน ซับซ้อนเกินกว่าท่ีจะทา อะไรให้รวบรับได้ “เมื่อแรกปัญหาคือไม่มีนิยามท่ีรอบคอบถ่ีถ้วน ตอนน้ีเรามีทุกขเ์ พราะมีนิยาม มากเกินไป และหลากหลายเกินไป” แม้จะมีนิยามความรุนแรงกันหลายแบบ แต่ส่วนใหญ่ดูจะเป็ นนิยามในเชิงพฤติกรรม (Behavioral) ซ่ึงกม็ ิใช่เหตุบงั เอิญ หากแต่เพราะการศกึ ษาเกี่ยวกบั ความรุนแรงมมี าพร้อมกบั ยคุ สมยั ทพ่ี ฤตกิ รรมศาสตร์กาลงั ไดร้ บั ความนิยมอยู่ ตวั อย่างเช่น ในการศกึ ษาความรุนแรงทางการเมืองของ มวลชน นักวิชาการผูห้ น่ึงไดก้ าหนดตวั แปรหลายตวั ไว้ ใช้ในการคดั เลือกขอ้ มูลของตน ตวั แปร แรกสุด คือ พฤตกิ รรมท่ีจะนามาศึกษาน้นั จะตอ้ งมลี กั ษณะตอ่ ตา้ นระบบ (Anti-System) คือ จะตอ้ ง เป็ นปฏิปักษ์กบั อานาจทางการเมืองท่ีดารงอยู่ ในแง่น้ีการขวา้ งปาส่ิงของระหว่างการเดินขบวน คดั คา้ นรฐั บาลจะถือเป็นความรุนแรง แตถ่ า้ ขวา้ งปาสิ่งของระหว่างเดินขบวนสนบั สนุนรฐั บาลก็ไม่ นบั เป็นความรุนแรง ในอีกแงห่ น่ึง นกั วิชาการบางท่านก็นิยามความรุนแรงในลกั ษณะกวา้ งๆ เช่น ถือว่าเป็ นความรุนแรงเป็น “พฤติกรรมที่มุ่งจะก่อให้เกิดอนั ตรายทางกายภาพต่อผูค้ นหรือความ เสียหายต่อทรัพยส์ ิน” ถา้ นิยามเช่นน้ี การท่ีเจา้ หน้าท่ีของรัฐยิงหรือทาร้ายพลเรือนก็ถือเป็นความ รุนแรงไดเ้ ช่นกนั บา้ งก็เขา้ ใจความรุนแรงวา่ คือ “การกระทาให้สะดุด หรือให้บาดเจ็บ” นิยามแบบ หลงั น้ีแมจ้ ะกวา้ งแต่ก็ดูจะครอบคลุมการกระทาที่รุนแรงของฝ่ ายต่างๆ ได้ โดยให้ความสาคญั กบั
- 56 - การกระทาย่ิงกว่าตัวผูก้ ระทาว่าเป็ นฝ่ ายไหน หรือมีกฎหมายรองรับหรือไม่อันเป็ นเรื่องของ ความชอบธรรม (Legitimacy) ยิ่งกว่าจะเป็ นเรื่องของความรุนแรง กล่าวคือ การท่ีโจรปลน้ ฆ่าเจา้ ทรัพยน์ ้ันแน่นอนว่าเป็ นความรุนแรง แต่การท่ีตารวจฆ่าโจรผูน้ ้ันตายก็นับว่าเป็ น ความรุนแรง เช่นกนั เพียงแต่ว่าหากการจบั ตายโจรผูน้ ้ันเป็ นเรื่องจาเป็ น เช่น ตารวจป้องกนั ตนเอง เมื่อพิสูจน์ แล้วก็อาจถือได้ว่า ตารวจกระทาไปอย่างชอบธรรม เพราะมีอานาจหน้าท่ีตามกฎหมายและ สถานการณ์บงั คบั อยู่ มีคาอีกคาหน่ึงท่ีใช้กนั มากในภาษาไทย ท้งั ทางสื่อมวลชนและตารับตาราต่างๆ คือ คาว่า “หัวรุนแรง” เช่น การกล่าวว่า “นักศึกษาหัวรุนแรง” ทาการประทว้ งรัฐบาล หรือปัญญาชน “หัว รุนแรง” ไมเ่ ห็นดว้ ยกบั รฐั บาล คาว่า “รุนแรง” ในขอ้ ความท้งั คู่น้นั มิไดม้ าจากคาว่า “Violence” ใน ภาษาอังกฤษ หากดูจะมาจากคาว่า “Radical” มากกว่า คาว่า “Radical” น้ัน ในสมยั หน่ึงปัญญาชน ไทยใช้คาๆ น้ีทบั ศัพท์ว่า “ราดิกลั ” ที่จริงคาๆ น้ีผูกโยงกับคาว่า “ราก” คาว่า “Radical” น้ีมีผูใ้ ห้ ความหมายไวเ้ หมาะสมว่า “ความเป็น Radical หมายถงึ การจบั (หรือเขา้ ถึง) ส่ิงต่างๆ ที่รากของมนั โดยที่ผูท้ ่ีเสนอความคิดชนิดกลบั ไปสู่รากเหง้าน้ีมกั กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลง ถึงอาจเป็ นไปไดว้ ่า คาๆ น้ีถูกจบั ไปโยงกบั การเปล่ียนแปลงแบบถอนรากถอนโคน และการถอนรากถอนโคนกม็ กั มอง ว่าจะกระทาไดต้ อ้ งใช้กาลงั อนั รุนแรง คาว่า “Radical” จึงถูกเหมาเอาว่าหมายถึง “ความรุนแรง” ท้งั ๆ ที่การกลบั สู่รากเหงา้ น้นั อาจไม่เกี่ยวขอ้ งกบั ความรุนแรงแตอ่ ยา่ งใด เช่น การพิจารณาปัญหาที่ เกิดข้ึนในสังคมการเมืองอย่าง “Radical” มิไดห้ มายความถึงการพิจารณาปัญหาดงั กล่าว “อย่าง รุนแรง” แต่หมายถึง พิจารณาที่ตน้ ตอรากเหงา้ ของปัญหาต่างๆ ส่วนผูท้ ่ีนิยมพิจารณาปัญหาดา้ น นอกเช่นน้ี จะมุง่ เปล่ยี นแปลงสงั คมการเมืองดว้ ยความรุนแรง (Violence) หรือไม่ก็เป็นอีกเร่ืองหน่ึง ยง่ิ กวา่ น้นั ความรุนแรงประเภททกี่ ล่าวถึงขา้ งตน้ น้ี เป็นเพียงมิติหน่ึงของความรุนแรงท่ีอาจเรียกได้ วา่ เป็นความรุนแรงส่วนบุคคล (Personal Violence)
- 57 - ความรุนแรงทางตรง ความรุนแรงน้นั มีลกั ษณะเป็นกระบวนการ อนั ประกอบดว้ ยท่มี าของความรุนแรง เป้าของ ความรุนแรงและเหย่ือของความรุนแรงน้ัน เหตุที่แยกความรุนแรงออกจากเหย่ือก็เพราะบางคร้ัง เหยอื่ ทร่ี ับผลของความรุนแรงน้นั มิใช่เป้าทแี่ ทจ้ ริงดงั กรณีการก่อการร้ายทเี่ กิดข้ึนทว่ั ไป ผูโ้ ดยสารท่ี อยู่ในเครื่องบินท่ีถูกวางระเบิด ไม่ใช่เจา้ หน้าท่ีฝ่ ายผูว้ างระเบิดหมายเอาไว้ เช่นเดียวกบั การจบั ตวั ประกนั เพือ่ บีบบงั คบั ใหร้ ฐั บาลฝ่ายตรงขา้ มยอมปล่อยพวกของตน เป็นตน้ ความรุนแรงน้นั ถา้ จะกล่าวให้ถกู ที่สุดแลว้ ก็คือ การทาให้ศกั ยภาพของมนุษยส์ ะดุดหยดุ ลง โดยยงั ไม่ถงึ เหตอุ นั สมควร เช่น ผูค้ นชาวสิงหลที่เพงิ่ ถูกสังหารที่เมืองโนรา เม่ือวนั ที่ 27 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ.2532 ในศรีลงั กาน้นั มีท้งั หมด 37 คนเป็นหญงิ เสีย 5 คนและเป็นเด็ก 10 คนคงเห็นไดช้ ดั เจนอยู่ แลว้ ว่ากรณีน้ีเป็ นความรุนแรงผูค้ นเสียชีวิต 37 คนเป็นเหย่ือของความรุนเเรง เเต่เหตุที่เรียกส่ิงน้ีว่า เป็นความรุนแรงกเ็ พราะชีวติ ตอ้ งถูกทาให้สิ้นสุดลงและพร้อมกบั ชีวิตท่ีสิ้นสุดลงน้ันโอกาสที่ชีวิต น้นั จะเติบโตตอ่ สังคมและชีวติ อื่นๆกต็ อ้ งสะดดุ หยดุ ลงดว้ ยและในกรณีน้ีการหยดุ ชีวิตและศกั ยภาพ ของชีวิตเกิดข้ึนเพราะ กระสุนปื นหรือมีดพร้า โดยมีตัวบุคคลเป็ นผูก้ ระทารายงานข่าวระบุว่า ผกู้ ระทาความรุนแรงในกรณีน้ีคอื ฝ่ ายก่อการร้ายชาวทมิฬ ที่กาลงั ทาการต่อสู้กบั รัฐบาลศรีลงั กา อยู่ ในขณะน้นั การสนใจกบั ความรุนแรงชนิดน้ีอาจเรียกไดว้ ่าเป็นความรุนแรงทางตรง (Direct Violence) เพราะผลของความรุนแรงเป็นส่ิงท่ีมกั จะเห็นไดช้ ัดเจน เช่น รอยแผลกระสุนปื น ความพิการอนั เน่ืองมาจากโดนกบั ระเบิด เป็ นตน้ แม้ท่ีมาก็เป็ นสิ่งที่มักเห็นได้ค่อนข้างจะชัดเจนเพราะมีตัว ผกู้ ระทาชดั เจนคงตอ้ งทาความเขา้ ใจท่ีจดุ น้ีดว้ ยว่าการกล่าวเช่นน้ี มิไดห้ มายความว่าจะตอ้ งระบุตวั ผูก้ ระทาไดช้ ัดเจนเพียงแต่หมายความว่าจะต้องมีตัวผูก้ ระทาชัดเจนเท่าน้ัน ตวั อย่างเช่น การลอบ สังหารประธานาธิบดีเคนเนด้ีแห่งสหรัฐอเมริกา เมื่อกว่า 2 ทศวรรษท่ีแลว้ เป็นการลอบยิงซ่ึงทราบ ไดแ้ น่นอนว่ามีผูล้ อบยิง คือ ผูก้ ่อความรุนแรงอย่างชดั เจนการระบุตวั ว่า มือปื นเป็นใครและจะได้ หรือไม่เป็นอกี เรื่องหน่ึง กลา่ วโดยสรุปกค็ อื ความรุนแรงทางตรงน้นั เป็นความรุนแรงทมี่ ผี ลในเชิงการทาร้ายร่างกาย และมีผูก้ ระทาเป็นที่มาของความรุนแรงบางคร้ังจึง เรียกความรุนแรงชนิดน้ีว่าเป็นความรุนแรงส่วน บคุ คลท้งั น้ีอาจแยกพจิ ารณาความรุนแรงทางตรงให้เป็นระเบียบไดใ้ นลกั ษณะต่อไปน้ี ประการแรก ให้ความสนใจกับตัวผูก้ ่อความรุนแรงน้ัน ดูพิจารณาว่าความรุนแรงน้นั ก่อ โดยใคร อาจจะ เร่ิมตน้ จากปัจเจกบุคคลแลว้ ขยายไปสู่กลุ่มบุคคลไปสู่ฝูงชนหรือที่เรียกว่า “mob” จากน้นั ก็พิจารณาระดบั การจดั องค์ ประกอบดว้ ย ฝงู ชนน้นั อาจไมม่ ีองค์กรทีเ่ หนือกวา่ และกองทพั มกี ารจดั องคก์ รทเ่ี ป็นระเบยี บเป็นพิเศษ ตวั อยา่ งเช่น กรณีลอบสงั หารประธานาธิบดี สหรัฐขา้ งตน้ มี
- 58 - ตวั ผูก้ ระทาที่เป็ น ปัจเจกชน กรณีการต่อสู้กันระหว่างชาวฮินดูและมุสลิมเม่ือแรกแยก อนุทวีป ออกเป็ นอินเดียและปากีสถานใน ค.ศ.1947 เป็ นความรุนแรงที่ก่อโดยชุมชน พรรคคอมมิวนิสต์ ประเทศไทยที่จบั อาวุธต่อสู้กบั รัฐบาลไทยมากกว่า 2 ทศวรรษเป็ นกองกาลังติดอาวุธท่ีมีการจดั องค์กร ส่วนการต่อสู้ระหว่างอิหร่านกบั อิรักที่เป็นสงครามเต็มรูปท่ีกองทพั ของท้งั สองประเทศสู้ รบกนั เต็มท่ี ประการที่สอง การกล่าวถึงความรุนแรง อาจจะทาไดโ้ ดยมุง่ ความสนใจไปท่ีเคร่ืองมือทใ่ี ช้ ในการก่อความรุนแรงท่ีอาจจะเร่ิมตน้ ต้งั แต่ร่างกายของมนุษยเ์ องอนั อาจแยกไดเ้ ป็ นการใช้ร่างกาย ชนิดท่ีปราศจากหลกั เช่นท่ีใชต้ ่อสู้กนั ขา้ งถนนหรือที่บา้ นท่ีเรียกว่า “มวยวดั ” ไปจนถึงการฝึกหัด ใชร้ ่างกายในการต่อสู้อยา่ งมีประสิทธิภาพโดยเขา้ ใจถึงจดุ อ่อนและจุดแข็งของร่างกายมนุษย์ รู้จกั สงวนแรงและพลังงานในการใช้ความรุนแรง เช่น การใช้ส่วนต่างๆของร่างกายในวิชาต่อสู้อย่าง คาราเตข้ องญ่ีป่ ุน เทควนั โดของเกาหลี มวยไทย ข้นั ต่อไปก็คือ การใช้อาวุธซ่ึงอาจเร่ิมตน้ ต้งั แต่ อาวุธชนิดท่ีเรียบง่ายอย่างมีดท่ัวไป จนกระทงั่ อาวุธท่ีใช้กลไกซับซ้อนและมีพลงั อานาจในการ ทาลายลา้ งสูง เช่น ปื นชนิดตา่ งๆ ไปจนกระทงั่ ถึงเป็นอาวธุ นิวเคลียร์ที่ใช้กนั อยใู่ นปัจจุบนั อาวุธแต่ ละชนิดก็มีพลงั อานาจในการทาลายลา้ งมากน้อยแตกต่างกนั ที่น่าสนใจก็คือ เคร่ืองมือแต่ละชนิด โดยเฉพาะในระดับพ้ืนฐานน้ัน มีความสามารถในการทาลายล้างข้ึนอยกู่ ับธรรมชาติและความ รุนแรงเหล่าน้นั ด้วย กล่าวคือ กาป้ันของผูใ้ ช้วิชามวยไทย อาเจียนทาให้นักมวยดว้ ยการพกช้าดา เขียว แต่อาจทาให้ผู้ถูกชกถึงพิการหรือตายได้หากผูถ้ ูกชกเป็ นเพียงทารกเล็กๆเท่าน้ัน แต่เมื่อ กล่าวถึงอาวุธที่มีอานาจทาลายลา้ งสูงสูงน้ันไม่ว่าผูถ้ ูกกระทาจะเป็ นใคร โอกาสที่ถูกทาร้ายแบบ สาหัสหรือจนถึงชีวิตมีพอๆ กัน เช่น คนท่ีถูกยิงดว้ ยอาวุธปื นอย่างเอ็ม 16 หรือ AK-47 (อาร์กา้ ) อย่างที่ฆาตกรใช้ยิงเด็กตายไป 5 คนที่สล็อคตนั แคลิฟอร์เนีย (Stockton California) เม่ือตน้ ปี พ.ศ.
- 59 - 2532 น้ี เหย่ือจะเป็ นเด็กหรือผูใ้ หญ่ก็มีโอกาสบาดเจ็บสาหัสหรือถึงตายเพราะพอกนั ยิ่งเป็ นระเบิด หรือระเบิดปรมาณูหรือนิวเคลยี ร์ดว้ ยแลว้ โอกาสทผ่ี ลของความรุนแรงจะแตกต่างกนั จนเกือบจะไม่ เห็นความแตกตา่ งใดๆ ในแง่น้ี จึงควรพิจารณาผลของความรุนแรงต่อตวั มนุษยว์ ่าเป็นไปในรูปใด ประการท่ีสาม การพิจารณาความรุนแรงทางตรงอาจพิจารณาจากแงม่ ุมของผลท่ีบงั เกิดต่อ ร่างกายของมนุษยไ์ ดอ้ ีกทางหน่ึง วิธีพิจารณาความรุนแรงทางตรงแบบน้ีอาจจดั การที่เป็นระเบียบ ย่งิ กวา่ เดิม โดยกาหนดกรอบในการคิดถึงผลของความรุนแรงต่อร่างกายไวใ้ น 2 ลกั ษณะ คือผลใน เชิงทาร้ายร่างกายและผลในการขัดขวางการทางานของร่างกายถ้าจะเปล่ียนร่างกายมนุษย์เป็ น เคร่ืองจกั รเครื่องกล จะเขา้ ใจความแตกต่างของผลแห่งความรุนแรงท้งั 2 ลกั ษณะไดช้ ัดเจนข้ึน กล่าวคือในเชิงทาลายร่างกาย น้ันความรุนแรงท่ีมุ่งคนประเภทน้ีพยายามจะทาร้ายเครื่องจกั รหรือ เคร่ืองกลนน่ั เอง แต่ถ้าเป็ นผลในเชิงขดั ขวางการทางานของร่างกายก็หมายถึง การกระทาต่างๆท่ี จากกนั มิให้เครื่องจกั รน้ันทางานได้ ตวั อย่างเช่น การใชค้ อ้ นทุบรถยนต์เป็นการใช้ความรุนแรงที่ ส่งผลในเชิงทาร้ายร่างกายโดยชัดเจนในขณะที่การมิให้รถคนั น้ันไดร้ ับน้ามนั เช้ือเพลิงและเคลื่อน ไปไหนไมไ่ ดเ้ ป็นการจดั การในเชิงขดั ขวางการทางานของร่างกาย หากจะกล่าวถึงผลของความรุนแรงในเชิงการทาร้ายร่างกาย (Anatomy) น้ันอาจจะเป็ น แบ่งยอ่ ยออกไดเ้ ป็น 6 แบบดว้ ยกนั คอื 1) การบดขย้ี (Crushing) อนั เกิดจากการใชอ้ าวธุ ชนิดคอ้ นหรือเครื่องมือทบุ ทาลายตา่ งๆ 2) การฉีกกระชาก (Tearing) อนั เกิดจากการใชด้ าบฟันหรือการใชเ้ ชือกดึงหรือแขวนคอ 3) การแทง (Piercing) อนั เกิดจากการใชม้ ดี หรือหอกแทงหรือกระสุนปื นทะลวงทะลุเอา 4) การเผาไหม้ (Burning) อนั เกิดจากการวางเพลิงหรือการใชร้ ะเบิดเพลงิ 5) การถูกยาพิษ (Poisoning) อนั เกิดจากการไดร้ บั พิษท่ีแพร่ในน้าหรืออาหาร หรือในการ สงครามที่ใช้แก๊สพิษเขา้ ทาลายกันและกนั ท้ังท่ีเป็ นส่ิงต้องห้ามตามจารีตการทาสงครามระหว่าง ประเทศในปัจจบุ นั 6) การท่ีระเหิดหายไป (Evaporation) กรณีน้ีเกิดจากอานาจของอาวุธร้ายแรง เช่นอาวุธ ปรมาณูอันทาให้เหย่ือของความรุนแรงและโหดหายไปไดย้ งั มีกรณีท่ีเหลือของระเบิดปรมาณูท่ี สหรฐั อเมริกาไดท้ ิ้งท่ีเมืองฮิโรชิมาและนางาซากิเมื่อ ค.ศ.1945 น้ันร่างกาย ระเหิดหายไปเหลือแต่ เงาทงิ้ จบั อยบู่ นบนั ไดโดยถาวรเท่าน้นั
- 60 - ส่วนผลของความรุนแรงทางตรงในเชิงขดั ขวางการทางานของร่างกาย (Physiology) น้ัน อาจแบง่ ไดเ้ ป็น 4 แบบความกวา้ งคอื 1) การไม่ให้มีอากาศ เช่น การรัดคอหรือฆาตกรรมโดยเอาหมอนกดปิ ดจมูกและปากของ เหยือ่ 2) การไม่ให้น้า เช่น การทรมานนักโทษในอดีตท่ีทิง้ นกั โทษให้ตากแดดเป็นวนั ๆจนแห้ง ตายไปในทส่ี ุด เพราะน้าในร่างกายแห้งไปจนหมด 3) การไม่ให้อาหาร เช่น สงครามที่ฝ่ ายหน่ึงลอ้ มอีกฝ่ายหน่ึงไวต้ ดั ทางลาเลียงอาหารจนคู่ ตอ่ สูต้ อ้ งถึงกบั อดตายไปในท่สี ุด 4) การปฏิเสธการเคล่ือนไหว ท้งั น้ีอาจทาได้หลายวิธี เช่น การควบคุมไม่ให้ขยบั ร่างกาย เช่น การใช้โซ่ล่ามนักโทษในคุก และการใชแ้ ก๊สบางชนิดการควบคุมพ้ืนท่ี เช่นการขงั คนไวใ้ นคุก หรือการเนรเทศออกนอกประเทศ นอกจากผลของความรุนแรงในลกั ษณะทางการทาร้ายร่างกายหรือการขดั ขวางการทางาน ของร่างกายดงั ที่ไดก้ ล่าวแลว้ ยงั มีวิธีการแบ่งผลของความรุนแรงออกในอีกลกั ษณะหน่ึง กล่าวคือ ผลในเชิงกายภาพ และผลในเชิงจิตวิทยา เพราะเมื่อกล่าวว่า ความรุนแรงทางตรง เป็ นส่ิงท่ีเห็นได้ ชดั เจนน้นั มาร์ช ชวนใหค้ ดิ ถงึ ผลของความรุนแรงในเชิงกายภาพ เช่น การตายหรือตอ้ งบาดเจบ็ จาก คมอาวุธแต่อย่างเดียวคนท่ีมองเห็นไม่ชัดในทางจิตใจมิได้คานึงถึงด้วย เช่นการเล้ียงดูเด็กใน สมยั ใหม่น้ันๆ ไม่เห็นดว้ ยกบั การลงโทษแบบเก่า คือ ใช้ไมต้ ีเด็กแต่บางทีก็ใชว้ ิธีขงั เด็กไวใ้ นห้อง แทนในบางกรณีน้ันอาจกล่าวไดว้ ่าในขณะที่วิธีแรกเป็ นการใช้ความรุนแรงทางตรงท่ีส่งผลทาง กายภาพ คือ ถูกตีดว้ ยไม้และเด็กเก็บตวั น้ัน วิธีขังไวใ้ นห้องเพียงลาพงั ซ่ึงทาให้เด็กไม่มีบาดแผล ตามตวั แต่หากจะให้ใช้วิธีเช่นน้ีบ่อยๆ ผลที่จะเกิดข้ึนอาจเป็ นปัญหาในทางจิตวิทยาของเด็กก็ได้ เช่นน้ี อาจถอื ว่าเป็นความรุนแรงท่ีส่งผลในทางจิตวทิ ยาได้ เช่นเดียวกนั ท้งั ความรุนแรงทางกายภาพ และทางจิตวทิ ยาน้ีกอ่ ให้เกิดปัญหาในทางคณุ คา่ ท่ีสาคญั วา่ อยา่ งไรจึงเป็นความรุนแรงชนิดท่ีเลวร้าย
- 61 - กว่ากนั คือกรณีการฆ่าข่มขืนสตรีผลที่เกิดข้ึนกบั เหย่ือของการข่มขืนน้ันมีท้งั ผลในทางกายภาพท่ี เห็นได้ และเหตุผลในทางจิตวิทยาท่ีเห็นไมช่ ดั เจนเหตุผลในทางจิตวิทยาที่เห็นไมช่ ัดเจนก็อาจสร้าง ความเจ็บปวดทางใจไดไ้ ม่ผิดกนั ในแงน่ ้ีปัญหาเกิดข้ึนระหวา่ งการข่มขืนแลว้ ฆ่ากบั การข่มขืนเฉยๆ เช่น แบบใดจะร้ายแรงสาหรับเหยื่อมากกว่ากันเพราะในขณะท่ีแบบแรก เป็ นความรุนแรงทาง กายภาพท่ีชัดเจนและยตุ ิลงดว้ ยการจบชีวิตของเหยื่อแบบหลงั มีความรุนแรงทางกายภาพและความ รุนแรงทางจิตวิทยาที่ไม่ไดย้ ตุ ิลงจะถือไดห้ รือไม่ว่าแบบหลงั น้ันมคี วามรุนแรงซ้อน กนั อยถู่ ึงสอง ช้ันและดูจะยาวนานกว่าแบบแรกเสียอีกแต่ที่ความรุนแรงแบบแรกนบั ถือกนั ว่าร้ายแรงกว่าก็อาจ เป็ นเพราะการยตุ ิศกั ยภาพของเหย่ือโดยสิ้นเชิงไม่มีการฟ้ื นคืนกลบั มาได้ หรืออาจเพราะคนส่วน ใหญ่ไม่สู้ตระหนักถึงบาดแผลทางจิตใจของเหยื่อผูถ้ ูกข่มขืนเพราะเป็ นส่ิงที่มองเห็นไดย้ ากเมื่อ พิจารณาความรุนแรงทางตรงในมติต่างๆ แลว้ ควรเขา้ ใจดว้ ยวา่ ความรุนแรงทางตรงน้นั อาจเกิดข้ึน โดยจงใจหรือไม่เจตนาก็ได้ เช่น การขบั รถชนคนตายโดยประมาทมาเกิดข้ึน โดยไมเ่ จตนาแตผ่ ลก็ คือกฎความรุนแรงทางตรงอยดู่ ีและอุบตั ิเหตุก็อาจคร่าชีวิตผูค้ นไปโดยไม่เจตนามากมาย แต่ความ รุนแรงในอกี ลกั ษณะหน่ึงไม่วา่ จะเป็นการจ้ีปลน้ โจรกรรมการลอบสังหารบุคคลสาคญั หรือภารกิจ ก่อการร้ายก็ลว้ นเป็ นการก่อความรุนแรงโดยจงใจท้งั สิ้นปัญหาท่ีน่าพิจารณาคือในการใช้ความ รุนแรงโดยทว่ั ไปน้นั ผูใ้ ชม้ ากอธิบายการกระทาจงใจของตนอยา่ งไร ความรุนแรงทางตรงกบั อดุ มการณ์รองรับ ความรุนแรงทางตรงชนิดท่ีส่งผลในเชิงเปลย่ี นแปลงสังคมโดยพ้ืนฐานเส้นทางปฏิวตั หิ รือ การรกั ษาระบบสงั คมไวค้ งเดิม โดยไม่ให้เปลี่ยนแปลง เช่น การใชก้ าลงั ทหารและตารวจของระบบ เผด็จการตอ่ ประชาชนน้ัน กล่าวไดว้ า่ เป็นความรุนแรงทางตรงชนิดท่ีมกี ารจดั องค์กร (Organized) มีตวั ผูก้ ระทาแน่นอนและบ่อยคร้ังเป็นการใช้ความรุนแรงโดยจงใจอีกดว้ ย (Intention) ที่น่าสังเกตก็ คือในการใชค้ วามรุนแรงทางตรง เพื่อเป้าหมายดงั กล่าว ผูใ้ ชจ้ าตอ้ งหาคาอธิบายบางชนิดมารองรับ การใชค้ วามรุนแรงของตนความจาเป็นในการตอ้ งมีคาอธิบายทวี่ ่าอาจเกิดข้ึนเพราะสาเหตุอยา่ งนอ้ ย 2 ประการ คือ ประการแรกการใชค้ วามรุนแรงน้ันเป็ นสิ่งไม่สู้พลงั ประสงค์ ในสงั คมทวั่ ไปอยโู่ ดย พ้ืนฐานดังน้ันผูใ้ ช้จาต้องอธิบายเหตุผลในการใช้ความรุนแรงของตนท่ีให้สาธารณชนได้รับรู้ ตวั อย่างเช่น ในทางความสัมพนั ธ์ระหว่างประเทศน้ันการใช้แนวทางการทูตเพื่อแกป้ ัญหาความ ขดั แยง้ เป็ นส่ิงสามญั ท่ีผูค้ นดูจะคาดหวงั อยโู่ ดยปกติจึงมกั ไม่ตอ้ งอธิบายอะไรใหส้ าธารณชนไดร้ ับ ทราบแตห่ ากจะมีการใชค้ วามรุนแรง เช่น ส่งกาลงั ทหารไทยตรึงชายแดนหรือส่งกาลงั รุกเขา้ ไปใน ดินแดนของฝ่ ายตรงขา้ มผูใ้ ชค้ วามรุนแรงจะตอ้ งหาคาอธิบายเตรียมไวเ้ พ่ือเป็ นเหตุผลหรือขอ้ อา้ ง รับรองการกระทาของตน ส่วนประการท่ีสอง คาอธิบายดงั กล่าวเป็ นส่ิงจาเป็นเพราะการใชค้ วาม
- 62 - รุนแรงในแบบที่มีการจดั องค์กรต้องอาศยั ความร่วมมือจากผูค้ นในฝ่ ายตน คาอธิบายท่ีมารองรับ หรือที่บางคนเรียกว่าอุดมการณ์รองรับน้ี จะช่วยระดมผูค้ นให้รวมตวั กนั และพร้อมท่ีจะออกไป กระทาการเพ่ือรักษาหรือเปล่ียนแปลงระเบียบทางสังคมของตน อุดมการณ์เหล่าน้ีมีหน้าท่ีในการ สร้างบูรณาการในกลุ่มของตน แบ่งแยกกลุ่มของตนออกจากฝ่ ายตรงขา้ มโดยชัดเจน ดงั ในการ สงครามทุกคร้ังต้องใช้อุดมการณ์มาทาหน้าท่ีเหล่าน้ี แต่โดยท่ัวไปอาจแบ่งประเภทการใช้ อุดมการณ์รองรับความรุนแรงทางตรงไดเ้ ป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ โดยมุ่งประเด็นไปที่การใชค้ วาม รุนแรงเพอื่ พิทกั ษห์ รือเปล่ยี นแปลงทาลายระเบยี บสังคมบางชนิด ประเภทที่ 1 การใชค้ วามรุนแรงเพ่ือพิพฒั น์พทิ กั ษ์ รักษาระเบียบทางสังคมชนิดหน่ึงท่ีผใู้ ช้ เห็นว่าเป็นสิ่งที่ชอบทาอยแู่ ลว้ หรือเพื่อทาลายระเบียบทางสังคมชนิดท่ีเขาเห็นวา่ ไม่ชอบธรรมจาก ผคู้ นจานวนมาก เห็นว่ารัฐน้ันมีความชอบธรรมท่ีจะใช้กาลงั ทหารของตนในการเขียนคาทาร้ายฝ่าย อนื่ ๆ ทีม่ าใชค้ วามรุนแรงในการพยายามเปล่ียนแปลงโครงสร้างของรัฐในขณะที่ฝ่ายปฏิวตั ิที่มุ่งจะ เปลี่ยนแปลงระเบียบสังคมก็มองว่าโครงสร้างของรัฐที่เป็ นอยู่ในขณะน้ันเป็ นสิ่งที่ปราศจาก ความชอบธรรมและกดขี่เอาเปรียบผูอ้ ่ืน ตวั อยา่ งที่เห็นไดช้ ดั เจนในระดบั ภายในประเทศ คือ การ ตอ่ สู้ปราบปรามท่ีรัฐบาลไทยใชก้ าลงั จดั การเป็นพรรคคอมมิวนิสตแ์ ห่งประเทศไทยเป็นเวลากว่า ทศวรรษกอ่ นที่จะเปลย่ี น วิธีการตอ่ สู้มาใช้ในการเมืองนาหนา้ การทหารตามคาสั่งนายกรัฐมนตรีท่ี 66/23 อนั มชี ่ือเสียงนน่ั เอง ในอดีตฝ่ ายรัฐบาลใช้คาอธิบายรองรับความรุนแรงทางตรงของตนว่าเป็ นไปเพ่ือพิทักษ์ ระบบการเมืองและระเบียบทางสังคมทช่ี อบธรรม เพราะเป็นส่ิงทม่ี ีมาแตเ่ ดิมแลว้ ในสังคมไทย แต่ ฝ่ายพรรคคอมมิวนิสตแ์ ห่งประเทศไทยก็จะอธิบายความรุนแรงของตนว่าเป็นไปเพอื่ เปล่ียนแปลง แกไ้ ขระเบียบสงั คมความเป็นธรรมให้ดีงามข้นึ และจดั การกดข่ีขดู รีดใหห้ มดสิ้นไป ในขณะทโี่ จมตี ความชอบธรรมของระเบยี บทางสงั คมที่ฝ่ายไดพ้ ยายามมที างรักษาอยู่ภายหลงั ก็จะนาเสนอระเบยี บ ทางสังคมไทยในอนาคตของตนว่าจะเป็นสิ่งที่มีความเป็นธรรมย่ิงกว่าทเ่ี ป็นอยใู่ นขณะน้นั
- 63 - ประเภทที่ 2 การใชค้ วามรุนแรงเพื่อขยายระเบียบทางสังคมชนิดหน่ึงออกไป ดว้ ยเห็นว่า ระเบียบทางสังคมของตนน้ันเป็ นสิ่งที่เหนือกว่าระเบียบทางสังคมชนิดอ่ืนๆ ของผูอ้ ่ืน กล่าวคือ ความรุนแรงท่ีถูกอธิบายเช่นน้ีในกรณีความขดั แยง้ ระหว่างผิวหรือเช้ือชาติเป็ นตน้ โดยผูค้ นบาง กลุ่มจะเช่ือว่าเช้ือชาติของตนน้ันเหนือกว่าผูอ้ ่ืน จึงมีสิทธ์ิโดยชอบท่ีจะใช้ความรุนแรงทางตรง รุกรานผอู้ น่ื และกดเขาลงเป็นทาสของตวั ใหย้ อมรับระเบียบทางสังคมทนี่ ามาสวมใหเ้ ขา ตวั อยา่ งที่ ชดั เจนท่ีสุดของการใชอ้ ุดมการณป์ ระเภทน้ีคอื กรณีของนาซีเยอรมนั ความคิดทางการเมืองของฮิต เลอร์น้ันถือว่าชาวอารยนั เป็นผูน้ ามาและธารงรักษาอารยธรรมของโลกชาวอารยนั น้ันเหนือกว่า ผูอ้ ่นื โดยธรรมชาตดิ งั น้นั จึงชอบท่จี ะใชค้ วามรุนแรงรุกรานประเทศต่างๆ ในโลก เพ่ือเปลยี่ นแปลง ระเบยี บทางสังคมในเวลาน้นั ให้หนั มาใช้ระเบียบทางสังคมท่ีมีชาวอารยนั เป็นใหญ่อนั เป็ นสิ่งท่ีตน เห็นว่าเหนือกว่าคนอื่นท้งั หมดความรุนแรงทางตรงที่อุดมการณ์แบบน้ีหนุนหลงั นามาซ่ึงความ สูญเสียอยา่ งมหาศาลท้งั ชีวิตมนุษยแ์ ละทรพั ยส์ ิน ดงั ทผ่ี ลของสงครามโลกคร้งั ท่ี 2 ประเภทที่ 3 การใช้ความรุนแรงเพ่ือต่อสู้พิทกั ษส์ ิทธิของผูค้ นกลุ่มต่างๆ เพื่อระเบียบทาง สังคมของตนเอง กรณีเช่นน้ีจะเห็นไดจ้ ากการใชค้ วามรุนแรงเพื่อพิทกั ษ์สิทธิของชนชาตสิ ่วนนอ้ ย หรือชนกลุ่มน้อยในระเบียบ ทางสังคม ท่ีอาจจะไม่ให้สิทธิในการปกครองตนเอง แก่กลุ่มย่อยๆ เหล่าน้ีหรือไม่ก็ให้สิทธ์ิในการปกครองตนเอง แบบที่พวกเขาเห็นว่ายงั ไม่เพียงพอ เป้าหมายของ อดุ มการณน์ ้ีไมไ่ ดเ้ ป็นไปเพื่อช้ีว่าเหตใุ ดคนกลุ่มหน่ึง จึงควรอยเู่ หนือคนกลุ่มอ่ืนๆ แต่เป็นไปเพื่อช้ี วา่ เหตุใดคนกลมุ่ ต่างๆ ทีแ่ ตกตา่ งจากคนกลุ่มใหญ่ จึงควรเป็นอสิ ระจากการครอบงาของคนอีกกลุ่ม หน่ึง ตวั อยา่ งเช่น กรณีการต่อสูเ้ พือ่ สิทธิของชนกล่มุ นอ้ ย ในดินแดนตา่ งๆทว่ั โลก เช่นกรณีของชาว เคริ ์ด (Kurds) ในอิหร่าน ชาวทมฬิ ในศรีลงั กา ชาวเอริเทียน (Eriteans) ในเอธิโอเปี ย หรือชาวมสุ ลิม ในภาคใตข้ องฟิลปิ ปิ นส์ง ในกรณีหลงั น้ีจะเห็นไดว้ ่าฝ่ ายโมโร (หรือชาวมุสลมิ ทางใตใ้ นฟิ ลิปปิ นส์) ไดพ้ ยายามตอ่ สู้เพ่อื สิทธิในการปกครองตนเอง และเป็นอิสระจากการครอบงาของรัฐบาลกลางของ
- 64 - ฟิ ลิปปิ นส์ มาโดยตลอดการอธิบายการใชค้ วามรุนแรงทางตรงของคนเหล่าน้ีมกั จะใหค้ วามสาคญั กบั สิทธิในการกาหนดชะตาชีวติ ของตนเป็นพเิ ศษ ประเภทที่ 4 การใช้ความรุนแรงเป็ นสิ่งท่ีมีคุณด้วยตัวของมันเอง เพราะเก้ือหนุนต่อ พฒั นาการส่วนบุคคลของผูใ้ ช้ช่วยสร้างความมน่ั ใจต่อเป้าหมายในการต่อสู้และส่งผลให้คุณภาพ ของโครงสร้างทางสงั คมมนั่ คงย่งิ ข้ึน กลา่ วคือ นกั ปฏวิ ตั ิบางพวกจะอธิบายให้ฝงู ชนท่ีถกู กดขี่ ไดใ้ ช้ ความรุนแรงต่อชนช้นั ผูป้ กครองเพราะในกระบวนการใชค้ วามรุนแรงน้ีความกลวั หรือความรู้สึก ดอ้ ยกว่า ผูป้ กครองจะถูกทาลายสิ้นไป ในแง่น้ีคุณูปการของการใช้ความรุนแรง มิไดอ้ ย่ทู ่ีผลอนั จะ เกิดข้นึ ในท่ีสุดหากแตอ่ ยทู่ ่ปี ระสบการณ์ของผใู้ ชเ้ องท่จี ะแปรเปล่ียนไปได้ นักทฤษฎีคนสาคัญที่เน้นคุณูปการของการใช้ความรุนแรงแบบน้ี คือ ฟรานซ์ ฟานอน (Frantz Fanon) นกั จิตวเิ คราะหแ์ ละนกั ต่อสูล้ ทั ธิ จกั รวรรดินิยม คนสาคญั ท่ีสุดคนหน่ึง ไดอ้ ธิบายว่า การใชค้ วามรุนแรงน้นั เปรียบเสมือนพลงั แห่งการปลดปลอ่ ยเพราะจะทาให้ผูใ้ ช้รู้สึกเป็ นอิสระจาก โซ่ตรวนท่ีพนั ธนาการ เช่น ชาวอาณานิคมผิวดาทตี่ กอยใู่ ตอ้ านาจของคนผิวขาวมาเป็นเวลานานจะ ลกุ ข้ึนต่อสู้ดว้ ยความรุนแรงอาจจะเป็นพลงั ขบั ไล่จิตสานึกแห่งความเป็ นทาสให้สิ้น ไป ชาวอาณา นิคมเหล่าน้ีจะรู้สึกเป็ นไทแก่ตวั เพราะในกระบวนการกาจดั ศตั รูหรือเจา้ อาณานิคมน้ันชาวแอฟริ กนั ผูม้ ีวิญญาณอิสระได้ถือกาเนิดข้ึนพร้อมกนั นอกจากน้ันความรุนแรงยงั เป็ นความจาเป็ นเชิง วพิ ากษ์อกี ดว้ ย กลา่ วคอื ฝ่ายเจา้ อาณานิคมเป็ นผูก้ ระทาความรุนแรงตอ่ ชาวอาณานิคมกอ่ นดว้ ยการ ใช้กาลังอันรุนแรงทาให้ชาวผิวดาตกเป็ นทาส สูบเอาทรัพยากรของพวกเขาไปสร้างความม่งั คง่ั ให้กบั ตวั เอง และทาให้ชาวพ้นื เมืองอยู่ในฐานะที่สูญเสียความเป็นมนุษยไ์ ปจนหมด ดว้ ยเหตุน้ีชาว พ้ืนเมืองจึงจาเป็นตอ้ งตอบโตค้ วามรุนแรงของระบบและเจา้ อาณานิคมดว้ ยความรุนแรงของฝ่ ายตน แนวความคิดของฟานอน เช่นน้ีเป็นท่ียอมรับการในการต่อสู้ กบั จกั รวรรดินิยมของชาวแอฟริกัน เป็ นจานวนมากและยงั มีอิทธิพลต่อนกั ทฤษฎีปฏิวตั ิชาวอิหร่านคนสาคญั ในยุคปฏิวตั ิอานาจของ พระเจา้ ชาห์ แห่งราชวงศป์ ารวีอกี ดว้ ย
- 65 - เท่าที่กล่าวมาท้ังหมดน้ีเป็ นวิธีการอธิบายการใช้ความรุนแรงชนิดที่มีการจัดต้ังเพ่ือ เป้าหมายทางสังคมการเมืองเป็นความรุนแรงทางตรง ที่อาจส่งผลท้งั ทางกายภาพและทางจิตวิทยา เป็นความรุนแรงชนิดทใ่ี ห้ความสาคญั กบั ตวั ผกู้ ระทาและเจตนาในการใชค้ วามรุนแรงเป็นหลกั แต่ที่ คนเขา้ ใจก็ คือ น่ีเป็นเพยี งความรุนแรงชนิดหน่ึง ยงั มคี วามรุนแรงอีกชนิดหน่ึงทีอ่ าจก่อให้เกิดความ สูญเสียท้งั ทางร่างกายและจิตใจไดไ้ มย่ ่ิงหยอ่ นกว่าความรุนแรงทางตรง แต่เป็ นความรุนแรงชนิดที่ เห็นได้ไม่สู้ชัดนักจนกระทงั่ นักสังคมศาสตร์ส่วนหน่ึงไม่ถือว่าเป็ นความรุนแรงเสียดว้ ยซ้า ความ รุนแรงชนิดน้ีเรียกวา่ ความรุนแรงเชิงโครงสร้าง ความรุนแรงเชิงโครงสร้าง ความรุนแรงมคี วามหมายอยา่ งนอ้ ย 2 สถาน สถานแรกเรียกไดว้ ่าเป็นความรุนแรงทางตรง (Direct Violence) ดงั ทไี่ ดก้ ล่าวไปแลว้ มาเขา้ ใจกนั โดยทวั่ ไปวา่ เมื่อกลา่ วถึงความรุนแรงจะตอ้ งมตี วั ผกู้ ระทาความรุนแรงเป็นองคป์ ระกอบสาคญั แต่ยงั มคี วามรุนแรงอีกประเภทหน่ึงท่ีอาจส่งผลร้ายต่อ ร่างกายและจิตใจของมนุษยห์ ากการกล่าวถึงตวั ผูก้ ระทาไม่สู้มีประโยชน์อะไรนักเพราะไม่ว่าจะ เปลี่ยนตัวผูก้ ระทาอย่างไร ความรุนแรงก็เกิดข้ึนอยู่ดีเพราะความรุนแรงดงั กล่าวถูกสร้างข้ึนและ ดารงอยใู่ นโครงสร้างกบั ปรากฏออกมาในรูปของอานาจที่ไม่เสมอกนั และผลก็ คือโอกาสแห่งชีวิต ก็ไม่เสมอกนั ไปดว้ ย บางทีการให้ตัวอย่างท่ีจุดน้ีอาจช่วยให้เข้าใจความรุนแรงชนิดที่ฝังอยู่ใน โครงสร้าง ไดช้ ัดเจนข้ึน เช่น คกุ ลงทณั ฑ์ทรมานในยโุ รปสมยั กลางหรือในสังคมต่างๆยคุ โบราณท่ี เห็นกันท่ัวไปในจอโทรทัศน์ลักษณะของสถานโรงทานประเภทน้ีจะประกอบด้วยเครื่องมือ ลง ทณั ฑป์ ระเภทต่างๆ นักโทษผูเ้ ป็นเหยื่อของเคร่ืองมือเหล่าน้ีและผูล้ งมือทาการลงทณั ฑ์บางทีก็ลง มือจะถอดเส้ือแตใ่ ส่หนา้ กากไวเ้ หมือนเพชฌฆาตในยุโรปสมยั ก่อน การใส่หนา้ กากเช่นน้ีอาจแสดง ว่าตวั บุคคลเบ้ืองหลงั หนา้ กากไมม่ ีความสาคญั เท่าใดนกั ไมว่ ่าใครเขา้ มาอยใู่ นบทบาทเช่นน้นั ก็ตอ้ ง
- 66 - ทาการอันรุนแรง ดว้ ยเหตุที่ว่าความรุนแรงน้ั ฝังอยู่ในโครงสร้างในระบบการลงทณั ฑ์ หรือการ ประหารชีวิตอยู่แลว้ ตวั ผูล้ งมือกระทาการตามหน้าที่เท่าน้นั เช่นน้ีจึงหมายถึงความรุนแรงในเชิง โครงสร้าง (Structural Violence) กล่าวอีกอย่างหน่ึง ความรุนแรงเชิงโครงสร้างหมายถึง อะไรก็ตามท่ีมาทาให้เกิดช่องว่าง ระหว่างศกั ยภาพของมนุษย์ (Potentiality) กับสิ่งท่ีมนุษยเ์ ป็ นอยู่จริง (Actuality) โดยเฉพาะเม่ือ “อะไรก็ตาม” น้นั ไม่ใช่ตวั บุคคลแต่เป็นระบบหรือโครงสร้างน่นั เองตวั อย่าง เช่น เด็กๆ ในประเทศ ไทยสามารถเจริญเติบโตมสี ุขภาพแข็งแรงได้ และช่วยสร้างสรรคส์ งั คมของตนไดแ้ ต่ตอ้ งมาตายเสีย ดว้ ยอหิวาตกโรคเมื่ออายไุ ดเ้ พียง 3 เดือน หมายความว่าศกั ยภาพของเขาถูกจากดั โดยไม่น่าจะเป็ น เพราะสถานการณ์ดงั กลา่ วเกิดข้ึนในระบบสังคมที่มคี วามสามารถยบั ย้งั ไม่ให้เดก็ เหล่าน้นั ตายและ โอบอุม้ ค้าจุนให้พฒั นาศกั ยภาพของตนได้ แต่ระบบสังคมน้นั ไม่ไดก้ ระทาการดงั กล่าว ก็ถอื ว่าเกิด ความรุนแรงเชิงโครงสร้างข้ึน แนวคดิ เร่ืองความรุนแรงเชิงโครงสร้างน้ีอาจนามาช่วยในการทาความเขา้ ใจกบั สถานการณ์ แห่งความอดอยากยากจนในประเทศไทยไดไ้ ม่ยากนกั กล่าวคือ การทสี่ ังคมไทยยงั คงมเี ด็กก่อนวยั เรียนเป็ นโรคขาดอาหารระดับร้ายแรง ในช่วง พ.ศ.2528 (ตามข้อมูลของ ดร.เสนาะ อุนากูล เลขาธิการสานักงานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) อยู่ราว 230,000 คน
- 67 - ท้งั ๆทปี่ ระเทศไทยเป็ นประเทศท่ีส่งขา้ วออก สู่ตลาดโลกเป็นอนั ดบั 2 ของโลกน้นั ส่ิงน้ีแสดงชดั ถึง ระบบสังคมที่มีความสามารถในการแกป้ ัญหาความอดอยากขาดแคลนของเด็กแต่ก็ไม่ได้กระทา การ เพอ่ื ทาใหช้ ่องว่างระหวา่ งศกั ยภาพของเด็กๆ ซ่ึง หมายถงึ สุขภาพ อนั สมบรู ณแ์ ข็งแรง ความรุนแรงเชิงโครงสร้างน้ันมีลกั ษณะเด่นประการหน่ึง คือ ไม่ใช่สิ่งท่ีเกิดข้ึนโดดเด่น เมอ่ื ปรากฏข้นึ แลว้ ก็หายไป เช่น ความรุนแรงทางตรงจะเกิดข้ึนและดารงอยใู่ นช่วงเวลาอนั ยาวนาน อย่างต่อเน่ือง ธรรมชาติของความรุนแรงเชิงโครงสร้าง อยใู่ นรูปกระบวนการมากกว่าจะเป็นการ จาเพาะเจาะจงซ่ึงคลา้ ยกบั ความอดอยาก (Hunger) นั่นเอง กล่าวคือความอดอยากไม่ใช่ความหิว เฉพาะหากเป็ นส่ิงท่ีดารงอยู่อย่างต่อเนื่องมิใช่เป็ นเพียงความไม่สะดวกสบายเป็ นคร้ังคราว (Discomfort) แต่ยงั เอาความรู้สึกทีจ่ าเจและดูประหน่ึงไร้ทางออกเขา้ ไปดว้ ย ตวั อยา่ งเช่นขา้ ราชการ ผหู้ น่ึงอาจตอ้ งทางานลว่ งเวลาอาหารกลางวนั ของตนเขาผนู้ ้ันอาจรู้สึกหิวแต่เขากไ็ มไ่ ดอ้ ดอยากและ เป็นสิ่งท่ีเกิดข้ึนเป็นคร้งั เป็นคราว เขามีเงินในกระเป๋ าและสามารถแกป้ ัญหาความหิวของตนไดไ้ ม่ ยากเมื่อทางานเสร็จ กอ็ อกไปซ้ืออาหารรบั ประทาน ความหิวก็จะหายไป แต่สาหรับขอทานยากไร้ผู้ หน่ึงชีวติ ของเขาอาจข้นึ อยกู่ บั เศษสตางคท์ ี่จะไดร้ ับอนั เป็ นส่ิงทเี่ ขาไม่แน่ใจและควบคมุ ไม่ไดว้ นั ใด ทไ่ี มม่ ีใครใหเ้ ศษสตางคเ์ ขาก็ไมม่ ีทางออก อนั ทจ่ี ริงลกั ษณะเด่นของความรุนแรงเชิงโครงสร้างน้ีจะ ช่วยช้ีให้เห็นชดั ถงึ ขอ้ แตกตา่ งระหว่างความรุนแรงส่วนบุคคล และความรุนแรงเชิงโครงสร้าง ปัญหาของความรุนแรงเชิงโครงสร้าง แนวความคิดเรื่องความรุนแรงเชิงโครงสร้างท่ีกล่าวมา แม้จะมีพลังในการอธิบาย ปรากฏการณ์ทางสังคมสูงแต่ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ มากมายพอควร ปัญหาในเชิงวิชาการท่ี สาคญั ประการหน่ึง คือ การนาแนวคิดน้ีไปใช้งานในทางวิชาสังคมศาสตร์ เพื่อวดั ระดับความ รุนแรงเชิงโครงสร้างอนั เป็ นปัญหาทางวิธีวิทยาสังคมศาสตร์ (Social Science Methodology) ที่ สาคญั แต่ขอ้ ท้วงติงทั่วไปเกี่ยวกับแนวความคิดน้ีได้แก่ ปัญหาความหมายของศกั ยภาพอาจต้ัง คาถามไดว้ ่าศกั ยภาพของมนุษยน์ ้ันเหมือนกนั หมดในทุกสถานการณ์หรือไม่ เช่น คนอเมริกนั ท่ีมี คณุ สมบตั ิถกู ตอ้ งตามรัฐธรรมนูญทุกคนอาจมศี กั ยภาพทจ่ี ะเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาได้ เสมอกนั คือข้ึนมาเป็นผบู้ ริหารสูงสุดของประเทศแต่ในบางประเทศท่ใี ชร้ ะบบประชาธิปไตยอยนู่ ้ัน สามญั ชนจะมีศกั ยภาพเป็ นผูน้ าสูงสุดในประเทศได้อย่างไร ปัญหาน้ีทาให้เห็นไดว้ ่าแนวคิดเรื่อง ศกั ยภาพน้นั ผกู โยงอยกู่ บั สภาพความเป็ นจริง และค่านิยมในสังคมอยา่ งใกลช้ ิด ถา้ เช่นน้นั อะไรคือ มาตรฐานของศักยภาพของมนุษย์ในทางหน่ึงอาจกล่าวได้ว่าสาหรับกัลตุง (Galtung) เจ้าของ แนวความคิดน้ีเขามุ่งประเดน็ ไปที่ภาวการณ์ อนั เป็นอุปสรรคตอ่ ความตอ้ งการพ้นื ฐานของมนุษย์ 4 ประการ คอื การดารงชีวติ อยู่ การมีความเป็นอยดู่ ี การมีเสรีภาพ และความรู้สึกมีความหมายในชีวิต
- 68 - ความตอ้ งการท้งั 4 ประการน้ีเป็นส่ิงท่ีมนุษยท์ ุกผูท้ ุกนามปรารถนาเสมอกนั ในเบ้ืองตน้ ส่วนความ ใฝ่ ฝันข้นึ ไปสู่จุดสูงสุดในสงั คมน้นั อาจเป็นส่ิงที่แตกต่างกนั ไดท้ ้งั น้ีคงตอ้ งนาประเด็นปัญหาในทาง คา่ นิยมและลกั ษณะทางสังคมมาพิจารณาประกอบดว้ ย ปัญหาความกว้างของแนวความคดิ เร่ืองความรุนแรงเชิงโครงสร้าง เน่ืองจากความรุนแรงเชิงโครงสร้าง หมายถงึ อะไรกต็ ามท่มี าขดั ขวางเป็นตวั ขยายหรือเป็น ตวั กนั ไม่ให้ศกั ยภาพและความเป็นจริงของมนุษยป์ ระสานเขา้ หากนั และดงั ท่ีไดก้ ล่าวขา้ งตน้ แลว้ ว่า “อะไรก็ตาม” ในที่น้ี เป็ นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวมนุษย์หากแต่เป็ นโครงสร้างด้วยเหตุน้ีความรุนแรงเชิง โครงสร้างจึงเป็นแนวความคิดที่กวา้ งขวางครอบคลมุ มิติต่างๆ มากมาย เช่น มิติในดา้ นการพฒั นา (Development) และมิติในด้านสิทธิมนุษยชน (Human Rights) กล่าวคือ ปัญหาความด้อยพฒั นา (Underdevelopment) ท่ีเกิดจากการขาดนโยบายกระจายรายไดท้ ่เี ป็นธรรม หรือส่งเสริมการผลิตใน หมู่ชนส่วนใหญ่ก็ย่อมจะมีผลต่อการกาจดั ศกั ยภาพของมหาชนเช่นกนั แต่เพราะความรุนแรงเชิง โครงสร้างกว้างขวางครอบคลุมเรื่องต่างๆอยู่มากจึงมีผู้วิจารณ์ว่ากวา้ งขวางจนเกินไปและ ครอบคลุมปัญหาต่างๆ ไวแ้ ทบทุกเร่ือง ท้งั น้ีกเ็ พราะ ช่องว่างระหว่างความเป็ นจริงกบั ศกั ยภาพของ มนุษยด์ ูจะดารงอยใู่ นมิตติ ่างๆ มากมายทีน่ ่าพิจารณาก็คอื ความกวา้ งของแนวคิดน้ีก่อใหเ้ กิดปัญหา ที่แทจ้ ริงอย่างไรปัญหาประการสาคญั หรือจะอยูท่ ี่ว่าแนวคิดเรื่องความรุนแรงเชิงโครงสร้างทาให้ การศึกษาเรื่องสันติภาพ ขยายออกไปครอบคลุมประเด็นต่างๆ มิไดจ้ ากดั ตนเองอย่เู พียงการศกึ ษา สาเหตุของสงคราม และการจดั การกบั สาเหตุเหล่าน้ัน ปรากฏการณ์ทางสังคมของแนวความคิดน้ี โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงในการมงุ่ ประเด็นปัญหาไปที่ปัจจยั อนั มใิ ช่ตวั บุคคล แต่เป็นสถาบนั ในสังคม เช่น การศึกษาหรือตวั ระบบการเมือง เช่นระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จนั่นเองท้งั น้ีก็เพราะขาดสาเหตุของ ปัญหาซบั ซอ้ น และไมไ่ ดอ้ ยทู่ ตี่ วั บคุ คลแลว้ การแกไ้ ขทีต่ วั บคุ คลยอ่ มมีไดท้ าให้ปัญหาหมดไปการท่ี ขา้ ราชการถอื อานาจบาดใหญ่เหนือประชาชนน้นั ถา้ เป็ นปัญหาตวั บุคคลก็คงจดั การดว้ ยบทลงโทษ ทางวินัยให้ออกไปเป็นรายบุคคลได้ แต่ถ้าหากปัญหาเกิดข้ึนเพราะระบบราชการน่ันเอง การมุ่ง ประเดน็ ไปทีต่ วั บุคคลยอ่ มมีประโยชนต์ อ่ การแกป้ ัญหาไม่มากนกั
- 69 - ปัญหาการซ้าซ้อนกับแนวคิดอื่นๆ เพราะความรุนแรงเชิงโครงสร้างเป็นแนวความคิดที่ กวา้ งขวางครอบคลุมเรื่องตา่ งๆ มากมายดงั ที่กล่าวแลว้ จึงมีผวู้ ิจารณ์ว่าบางทีประเด็นปัญหาที่ความ รุนแรงเชิงโครงสร้างหมายถึงอาจนามาพูดถึงไดโ้ ดยอาศยั แนวคดิ ทีม่ ีอยู่เดิมแลว้ เช่น ความยตุ ิธรรม ทางสังคม (Social Injustice) เป็ นต้น อนั ที่จริงแมต้ วั กัลตุงเองก็ยอมรับ ว่าบางทีความรุนแรงเชิง โครงสร้างน้ีอาจเรียกอีกอย่างหน่ึงว่า “ความยุติธรรมทางสังคม” ก็ได้ แต่ทว่าการกล่าวถึงความ ยตุ ิธรรม ในสงั คมในฐานะความรุนแรงน้นั มีผลในเชิงศีลธรรมท่ีสาคญั เพราะความรุนแรงน้ันเป็น ส่ิงที่มีความหมายเชิงลบอย่ใู นตวั และเป็นแนวความคิดที่มี สภาพสามญั ยงิ่ กว่าความยตุ ิธรรมหรือ ความยตุ ิธรรม เช่น การเห็นขา้ ราชการรังแกประชาชนแลว้ ใหค้ วามหมายกบั ปรากฏการณ์ท่ีว่าเป็น เรื่อง “ความไม่ยตุ ิธรรมทางสังคม” กบั การใหค้ วามหมายว่าเป็นเรื่อง “ความรุนแรง” อยา่ งหลงั ดูจะ รบกวนมโนธรรมของผูส้ ังเกตการณ์ยิ่งกว่าและเพราะฉะน้ันจึงดูจะมีน้าหนักในทางศีลธรรม มากกว่าการคดิ ถงึ “ความไมย่ ุติธรรมทางสังคมน้นั ” อาจจะเป็นไปในลกั ษณะทางวิชาการที่แยกตวั ออกจากการปฏบิ ตั ิไดม้ ากกว่าการคิดถึง “ความรุนแรง” ในแง่น้ีการใชแ้ นวคดิ เรื่องความรุนแรงเชิง โครงสร้างกบั ปรากฏการณ์ซ่ึงเคยถูกเรียกว่าเป็ นความยตุ ิธรรมทางสังคมน้ันย่อมผลกั ดนั ให้เกิด ภาระทางศีลธรรมอนั จะนาไปสู่การแก้ปัญหาเหล่าน้ีได้มากกว่า แต่ขณะเดียวกนั เนื่องจากตัว แนวความคิดสะทอ้ นความซบั ซ้อนของสาเหตุและมุ่งเนน้ สาเหตุท่ีไมใ่ ช่ตวั บุคคลจึงช่วยกากบั ไมใ่ ห้ ผูส้ นใจจะแกป้ ัญหาทาอะไรโดยไม่ใคร่ครวญให้รอบคอบในทางกลบั กันเพราะตัวสาเหตุคือตัว ระบบอาจทาให้ผูท้ ่ีเขา้ ใจปรากฏการณท์ างสงั คมชนิดน้ีรู้สึกยากลาบากในการแกป้ ัญหากล่าว คือถา้ ปัญหาความไม่ยตุ ิธรรมที่ประชาชนไดร้ ับจากขา้ ราชการเป็นปัญหาตวั บุคคล การแกไ้ ขก็ทาไดง้ ่าย แต่ถา้ ปัญหาอยทู่ ี่ตวั ระบบราชการตามกรอบความคิดแบบความรุนแรงเชิงโครงสร้างก็อาจจะยาก กว่าเดิมไม่นอ้ ย ปัญหาการใช้ความรุนแรงมาแก้ปัญหาความรุนแรงเชิงโครงสร้าง ดว้ ยเหตุที่ว่าปัจจยั ที่สร้างปัญหาความรุนแรงชนิดน้ีอยทู่ ่ีตวั โครงสร้างน้นั เองทางเลือกใน การแกป้ ัญหาทางหน่ึงกค็ อื การเปล่ียนแปลงโครงสร้างสงั คมโดยพ้นื ฐาน การวิเคราะห์ปัญหาเช่นน้ี ยอ่ มจะนามาซ่ึงความรุนแรงทางตรงได้ ตวั อย่างเช่น กรณีเขมรแดงท่ีทาให้ผูค้ นชาวเขมรกว่าลา้ น คนตอ้ งลม้ ตายไปน้นั อาจกลา่ วไดว้ ่าเกิดข้นึ จากความเขา้ ใจทางทฤษฎีว่าปัญหาความไม่ยตุ ิธรรมใน สงั คมเขมรเกิดมาแต่โครงสร้างความสัมพนั ธอ์ นั ไม่ยตุ ิธรรมระหว่างเมอื งโดยเฉพาะนครหลวงคือ พนมเปญกับชนบทเขมร เมืองน้ันนาเอาทรัพยากรทุกชนิดไปจากชนบท ทางแก้ก็คือต้อง เปลี่ยนแปลงโครงสร้างความสัมพนั ธ์น้ี โศกนาฏกรรมท่ีเกิดข้ึนจากน้ามือของฝ่ ายเขมรแดงก็คงเป็น
- 70 - ท่ีประจกั ษ์ชดั แกส่ ายตาของชาวโลกอยู่แลว้ ผูว้ จิ ารณ์ “ความรุนแรงเชิงโครงสร้าง” จึงเห็นว่าการใช้ แนวความคดิ น้ี คือ การเสนอว่าเพื่อสร้างสันติภาพชนิดทีป่ ลอดจากความรุนแรงเชิงโครงสร้างแลว้ การใชก้ าลงั และความรุนแรงทางตรงปรบั เป็นสิ่งท่ียอมรับกนั ได้ สาหรบั ปัญหาน้ีมีประเดน็ อยสู่ องประการ ประการแรกเพราะความกวา้ งขวางและผลในเชิง การกระทาของสันติภาพที่รวมเอาปัญหาความรุนแรงเชิงโครงสร้างเขา้ ไวด้ ว้ ย ทาให้ตอ้ งตอกย้าถึง ความสัมพนั ธ์ระหว่างเป้าหมายและวิธีการเป็ นพิเศษ การสร้างสันติภาพหรือการแก้ปัญหาความ รุนแรงเชิงโครงสร้าง ดว้ ยอาวุธสงครามน้นั คงจะทาไดถ้ า้ ถือว่าวิธีการไม่สาคญั แตส่ าหรบั สันติภาพ ที่มีความหมาย รวมท้งั ความรุนแรงทางตรงอยดู่ ว้ ยแลว้ การแยกวธิ ีการออกจากเป้าหมายคงกระทา ไม่ได้ ประการที่สองผูท้ ่ีสนใจสันติภาพย่อมตระหนักดีว่า การใช้อาวุธเอาชีวิตผู้คนแม้เพ่ือ แก้ปั ญ หาค วาม รุ น แรงเชิ งโค รงสร้ างก็ ตาม ไ ม่ ใช่ ส่ิ งท่ีพึ งก ระ ท าด้วยเหตุ น้ ี ค น เหล่ าน้ ี จึ งจาต้อ ง ใคร่ครวญถึงวิธีการ ชนิดที่สอดคล้องกับเป้าหมายโดยเฉพาะที่เรียกกันว่า “สันติวิธี” หรือ “ปฏิบตั กิ ารไร้ความรุนแรง” อยา่ งจริงจงั ได้ มายาคตเิ กยี่ วกบั ความรุนแรง การทาความเขา้ ใจมายาคติเกี่ยวกบั ความรุนแรง หากไมก่ า้ วใหพ้ น้ มายาคตเิ หล่าน้ีการเขา้ ถึง สันติภาพคงเป็ นไปไดย้ าก มายาคติเหล่าน้ีกระทาการในเชิงสกัดก้ันสันติภาพและการศึกษาเพ่ือ สันติภาพในหลายสถาน เช่น ประการแรก มายาคติบางประการจะมีผลทาให้ผูค้ นไม่กลา้ คิดถึง ทางออกอื่นๆ หลงติดอยู่กับความเชื่อท่ีว่ามนุษยไ์ ม่สามารถหลุดพน้ จากการครอบงาของความ รุนแรงได้ โดยเฉพาะในประเด็น ปัญหาเร่ืองธรรมชาติของมนุษย์ กล่าวคือ ถา้ คนในโลกเช่ือว่า ความรุนแรงเป็ นธรรมชาติของมนุษย์แล้วการศึกษาสันติวิธีหรือการมุ่งเข้าหาสันติภาพด้วย การศึกษาก็เป็ นเร่ืองไร้เหตุผลเพราะคงไม่อาจเปลี่ยนแปลงธรรมชาติของมนุษย์ไดม้ ายาคติน้ี จาเป็นตอ้ งทาความเขา้ ใจเป็นเร่ืองแรก ประการที่สอง มายาคตบิ างชนิดก่อให้เกิดความสับสนทาง ความคิดระหว่างปรากฏการณ์ทางสังคมชนิดหน่ึงกบั ปรากฏการณ์ทางสังคมท่ีต่างกันรวมท้งั ยงั
- 71 - กอ่ ให้เกิดความสับสนในแง่ข้นั ตอนความสัมพนั ธ์ของมนุษยด์ ว้ ยมายาคติในเร่ืองน้ีหมายถึ งความ สับสนระหว่างความขดั แยง้ กบั ความรุนแรง หรือรวมท้งั สาเหตุแห่งความขดั แยง้ และเงื่อนไขที่ทา ให้เกิดความรุนแรงดว้ ย มายาคติ ประการที่สาม เป็ นมายาคติที่ถูกสร้างข้ึนเพื่อรองรับความรุนแรง และเป็ นสิ่งท่ีนาให้ความขดั แยง้ กลายสภาพไปเป็ นความรุนแรง มายาคติน้ีเป็ นเรื่องท่ีผูกพนั กบั เอกลกั ษณ์ของมนุษยอ์ ย่างลึกซ้ึงในแง่หน่ึงมายาคติชนิดท่ีสามน้ีเป็ นปัจจยั สกดั ก้นั สันติภาพ มายา คติท้งั สามในเชิงวิพากษเ์ พ่อื เป็นแนวในการทาความเขา้ ใจกบั ความรุนแรงใหด้ ีย่งิ ข้นึ ความรุนแรงกับธรรมชาติของมนุษย์ เช่ือกันโดยทวั่ ไปว่ามนุษยเ์ ป็ นส่ิงมีชีวิตที่มีความรุนแรงอยโู่ ดยธรรมชาตินักเขียนบางคน สรุปว่า “มนุษย”์ คือ สัตวล์ ่าเหย่ือที่มีการฆ่าโดยใช้อาวุธเป็ นสัญชาตญาณตามธรรมชาติ ผูศ้ ึกษา พฤติกรรมของสัตวบ์ างคนก็เชื่อว่าความกา้ วร้าวรุนแรงหรือที่เรียกว่า (Aggression) น้นั เป็นส่ิงที่มี คุณต่อส่ิงมีชีวิตท้งั น้ีเพราะความกา้ วร้าวรุนแรงเป็ นปัจจัยสาคญั ในการดารงชีวิตหากปราศจาก สัญชาตญาณน้ีแลว้ ส่ิงมีชีวิตก็จะอดตายยิ่งไปกว่าน้ัน ความกา้ วร้าวรุนแรงน้ีเป็ นส่ิงที่เกิดข้ึนภายใน ตวั สิ่งมีชีวิต และไม่ใช่ผลของปัจจยั แวดลอ้ ม หมายความว่าการที่เสือกินเน้ือกวางหรือสัตวอ์ ื่นเป็ น อาหารน้นั ไม่ไดเ้ ป็นผลจากสภาพแวดลอ้ ม หากแต่เกิดจากสัญชาตญาณความเป็นเสือนน่ั เอง โดยนัย น้ีการค่าหรือความรุนแรงก็เป็นส่ิงทีฝ่ ังรากลึกอยใู่ นธรรมชาติของมนุษย์ ผูค้ นทีส่ นใจ ปัญหาความ รุนแรงทั่วไปหรือแมผ้ ูท้ ่ีใส่ใจในสันติภาพก็มกั ยอมรับมายาคติเร่ืองมนุษยเ์ ป็ นสิ่งมีชีวิตท่ีมีความ รุนแรงเป็นธรรมชาตอิ ยแู่ ละมาเช่ือว่ามนุษยม์ คี วามรุนแรงอยใู่ นธรรมชาติโดยรบราฆ่าฟันกันต้งั แต่ โบราณกาลแลว้ ความเช่ือทานองน้ีเป็นมายาคติดว้ ยเหตุผลต่อไปน้ี
- 72 - ประการแรก ผทู้ ี่ไดข้ อ้ สรุปว่าธรรมชาติของมนุษยน์ ้นั เป็นธรรมชาติแห่งความรุนแรงมาก ไดข้ อ้ สรุปมาจากการศึกษาสัตว์ หรือการศึกษาประวัติศาสตร์มนุษยก์ ารศึกษาพฤติกรรมของสัตว์ หรือท่ีเรียกว่า “Ethology” น้ันเป็นการศึกษาพฤติกรรมของสัตวใ์ นสภาพธรรมชาติท่ีทาการสังเกต ไดซ้ ่ึงหมายความว่ามิใช่ในสวนสัตวห์ รือในห้องทดลอง ปัญหา ในทางวิธีวิทยาประการหน่ึงก็คือ ขอ้ สรุปที่ไดจ้ ากพฤติกรรมสัตวน์ ้ันจะนามาใช้อธิบายพฤติกรรมมนุษยไ์ ดห้ รือโดยเฉพาะอยา่ งยิ่ง อาจกล่าวไดว้ ่าสภาพธรรมชาติของมนุษย์ ในปัจจุบนั ก็ คือ สภาพธรรมชาติชนิดที่แยกธรรมชาติ ออกจากวฒั นธรรมไดล้ าบากมากเพราะส่วนใหญ่มนุษยก์ ็เกิดและเติบโตในสภาพแวดล้อมทาง วฒั นธรรมอยา่ งใดอยา่ งหน่ึงโดยหลีกเล่ียงมิได้ ดงั น้นั จึงอาจกล่าวไดว้ ่า “ธรรมชาติบริสุทธ์ิ” หรือ “ธรรมชาติท่ีแท้จริง” น้ันเป็ นแง่มุมในการคิดที่ค่อนข้างจะมีปัญหาในปัจจุบันส่วนการศึกษา ประวตั ิศาสตร์ของมนุษยน์ ้นั ก็ถูกกาหนดโดยธรรมชาติ ของบนั ทึกประวตั ศิ าสตร์ซ่ึงเป็นการบนั ทึก “เร่ืองราว” ความรุนแรงน้นั เป็นเร่ืองราวทีต่ อ้ งถูกบนั ทึกอย่างแน่นอนในขณะที่ความสงบน้นั “ไม่มี เรื่องราว” ดงั น้ัน จึงมกั จะถูกบนั ทึกไวน้ อ้ ยกว่าเวน้ แต่จะมีความรุ่งเรืองทางศิลปะวิทยาการอน่ื ๆมา เสริม ด้วยเหตุน้ีจึงมาเขา้ ใจกนั ว่าประวตั ิศาสตร์ของมนุษยเ์ ป็ นประวตั ิศาสตร์แห่งการสงครามแต่ อยา่ งเดียวเหตทุ ไ่ี มม่ ปี ระวตั ิศาสตร์ของสนั ติภาพกเ็ พราะคงไมม่ กี ารบนั ทกึ ประวตั ิศาสตร์ของการไม่ มีเร่ืองราวกนั มากนกั ยิง่ กวา่ น้นั องคป์ ระกอบของ “เร่ืองราว” ท่ีสาคญั คือวีรบุรุษและการกระทาอนั กลา้ หาญผูค้ นจึงดูจะจดจา การทาสงครามท่ีหาญกลา้ ได้ดีกว่าการนั่งคิดประดิษฐ์ตวั อักษรของ วีรบุรุษในอดีต ประการที่สอง แมว้ า่ จะเช่ือในการนาพฤติกรรมของสตั วม์ าใช้ อธิบายพฤตกิ รรมมนุษยก์ ็คง ตอ้ งทาความเขา้ ใจกบั พฤตกิ รรมของสตั ว์ และการจาแนกประเภทพฤตกิ รรมของสตั วใ์ ห้ดีเสียก่อน พฤติกรรมการต่อสู้ของสัตวน์ ้นั อาจแบ่งแยกในเชิงการหนา้ ท่ีไดเ้ ป็นพฤติกรรมท่ีต่างกนั สองชนิด ชนิดแรก คือ พฤติกรรมการล่า (Predatory Behavior) และอีกชนิดหน่ึง คือ พฤติกรรมการแข่งขัน ภายในกลุ่ม (Intra-Species Rivalry) ซ่ึงพฤติกรรมอย่างหลงั น้ีผูศ้ ึกษาพฤติกรรมสัตว์ เรียกว่า ความ กา้ วร้าวรุนแรง (Aggression) พฤติกรรมอย่างแรกน้ันเห็นได้จากการท่ีเสือล่ากวางมาเป็ นอาหาร หรือแมวจบั หนูมากินเป็นอาหาร แต่พฤติกรรมกา้ วร้าวรุนแรงน้นั เห็นไดจ้ ากการต่อสู้ เพ่ือชิงความ เป็นหัวหนา้ ฝูงในหมู่กวางหรือการต่อสู้ระหว่างงูหางกระด่ิง เป็นตน้ ท่ีน่าสนใจกค็ ือในทางวชิ าการ พฤติกรรมสัตวน์ ้ันการกินสัตวอ์ ื่นเป็ นอาหารมิไดถ้ ูกถือว่าเป็ นความกา้ วร้าวรุนแรงในขณะที่การ ต่อสู้เพ่ือชิงความเป็ นหัวหน้าฝูง หรือชิงตัวเมียในหมู่กวางน้ันถือเป็ นพฤติกรรมกา้ วร้าวรุนแรง พฤติกรรมท่ีถูกถือว่าเป็ นความกา้ วร้าวรุนแรงน้ีน่าสนใจ เมื่อพิจารณาการต่อสู้ของสัตวใ์ นกลุ่ม Species เดียวกันเพราะสัตว์ ใน Species เดียวกันน้ัน มักไม่ได้ใช้ความรุนแรงต่อกันจนถึงตาย โดยมากมกั ใชจ้ นอีกฝ่ ายหน่ึงยอมแพส้ ัตวต์ วั ท่ีชนะก็จะหยุดมือไม่กดั หรือทาร้ายอีกตวั หน่ึงต่อไป
- 73 - อกี ย่ิงไปกว่าน้นั สาหรับสตั วท์ ่มี ีอาวุธร้ายแรงอนั ทาให้อีกฝ่ ายหน่ึงตายได้ ก็มกั ไม่ใชอ้ าวุธของตนใน การตอ่ สู้ท่ีถือว่าเป็นความกา้ วร้าวรุนแรง กวางที่มีเขาแหลมท้งั หลายน้นั จะไม่ใช้เขาอนั แหลมคม ของมันในการแทงทอ้ งหรือสีขา้ งของกวางที่เป็นคู่ต่อสู้ซ่ึงอาจทาให้คู่ต่อสู้ตอ้ งรับบาดเจ็บสาหัส หรือถงึ ตายไดต้ รงขา้ มมนั จะใชห้ วั ชนกนั ในระหว่างการตอ่ สูซ้ ่ึงเป็นวธิ ีลดความบาดเจ็บของท้งั คไู่ ด้ บทเรียนที่ไดจ้ ากการศึกษาพฤติกรรมสัตวก์ ็คือ เวน้ จากการฆา่ เพ่ือกินของสัตวก์ ินเน้ือบาง ประเภทแลว้ นอ้ ยคร้ังนกั ทสี่ ตั วจ์ ะฆ่ากนั เองโดยไร้สาเหตุแมจ้ ะมีการต่อสู้แย่งชิงความเป็ นใหญ่หรือ ตวั เมียเพื่อประโยชน์ในการสืบพนั ธุ์ก็กระทาการดว้ ยลักษณะก่ึงพิธีกรรมชนิดท่ีไม่ค่อยใช้อาวุธ ร้ายแรงของตวั มาทาอันตรายคู่ต่อสู้ นกั ดาบต่อสู้ในลกั ษณะท่ีลดความรุนแรงหรืออาการบาดเจ็บ ของท้ังสองฝ่ ายให้น้อยเท่าที่จะเป็ นได้ถ้ามองพฤติกรรมสัตวเ์ ช่นน้ีก็คงต้องต้งั คาถามว่ามนุษย์ เหมือนกบั สัตวม์ ากน้อยเพียงไรและความรุนแรง ที่มนุษยใ์ ชน้ ้นั เป็ นไปโดยมีสาเหตุบงั คบั เหมือน ความกา้ วร้าวรุนแรง ในหมู่สัตว์หรือไม่ หรือว่าความรุนแรงไม่ใช่ธรรมชาติมนุษยแ์ ต่ถูกกาหนด ดว้ ยเง่อื นไขในสังคมมากกว่า ประการที่สาม หากเชื่อวา่ ความรุนแรงเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ก็คงไม่มีชุมชนมนุษยท์ ่ีใด เลยท่ีเป็ นอิสระจากความรุนแรงหมายความว่าคงไม่มีชนเผ่าใดเลยท่ีมีประวตั ิศาสตร์วฒั นธรรมท่ี เป่ี ยมลน้ ไปดว้ ยแนวทางสันติในทางมานุษวิทยาช้ีใหเ้ ห็นว่า มนุษยน์ ้นั ไมไ่ ดถ้ ูกกาหนดมาแต่ตน้ ให้ เป็ นผูใ้ ช้ความรุนแรงเพราะมีชนเผ่าต่างๆท่ีไม่ใช้ความรุนแรง เช่น ชาวเกาะอันดามันนอกฝ่ัง ประเทศอินเดีย ชาวอินเดียเผ่าโชซอนในแถบเนวาดา และแคลิฟอร์เนีย ชาวยาห์กนั ในปาตาโกเนีย ชาวทะเลในฟิ ลปิ ปิ นส์ และชาวเซไมแห่งมาเลเซีย เป็นตน้ นักมานุษยวิทยาพบวา่ ในสงั คมของชาว เซไมมีความรุนแรงเพียงเล็กนอ้ ยเท่าน้นั ความรุนแรงดูจะทาให้ชาวเซไมตกใจกลวั และพวกเขาไม่ โตต้ อบความรุนแรงดว้ ยความรุนแรงหากใชว้ ธิ ีนิ่งเฉยหรือหนีไปมากกว่า ขอ้ เทจ็ จริงทางมานุษยวิทยาน้ีช้ีให้เห็นวา่ หากมชี นเผ่าพวกน้ีดารงอยู่ก็แสดงวา่ ความรุนแรง ไม่ใช่ธรรมชาติของชนเผ่าเหล่าน้ีและในเม่ือชนเผ่าเหล่าน้ีก็เป็ นมนุษยเ์ หมือนผูอ้ ่ืนก็หมายความว่า ความรุนแรงน้ันเป็ นสิ่งท่ีถูกสอนส่ังผ่านระบบวฒั นธรรมยิ่งกว่าจะอยู่ในธรรมชาติของมนุษย์ ประเด็นสาคญั ก็คือเพราะวฒั นธรรมเป็นสิ่งทีส่ อนไดก้ เ็ ป็นสิ่งทีย่ กเลิกไดเ้ ช่นกนั แมว้ ่ากลไกในการ “สอน” วฒั นธรรมแห่งความรุนแรง น้ันซับซ้อนและดารงอยมู่ านานแต่ก็ไม่ใช่จะกระทาไม่ได้ อยา่ งไรกต็ ามคงจะตอ้ งทาความเขา้ ใจกบั “สาเหต”ุ แห่งความรุนแรงเสียก่อน
- 74 - ความขัดแย้งกับความรุนแรง ประวตั ิศาสตร์มนุษยช์ าติไม่เคยวา่ งเวน้ ความขดั แยง้ ไม่ว่าจะในระดบั บุคคลหรือในระดับ สังคมมนุษยม์ ไิ ดถ้ ือกาเนิดมาเหมือนกนั ทุกประการหากมีความแตกต่างอนั เป็นผลมาแต่พนั ธุกรรม หรือสภาพแวดล้อมทางสังคมความแตกต่างทานองน้ีมกั เป็นบ่อเกิดความขดั แยง้ ว่ากนั ว่านับแต่มี มนุษยค์ นที่สองในโลกก็เกิดความขดั แยง้ ข้ึนเพราะการดารงอยู่ของมนุษยอ์ ีกคนหน่ึงมกั หมายถึง โอกาสทม่ี นุษยค์ นแรกจะเขา้ ไปสวมบทบาทและหรือครอบครองทรัพยส์ ินหรือดารงตนอยใู่ นทีข่ อง อีกคนหน่ึงเป็ นส่ิงที่เป็ นไปไดย้ าก ขณะเดียวกันบ่อยคร้ังที่ความขัดแยง้ เป็ น “พลังพยานชีวิต” (Elan Vital) ของมนุษยเ์ พราะมกั โน้มนาให้เกิดความคิดสร้างสรรค์เป็นประโยชน์แก่สังคมมนุษย์ สงคราม และความรุนแรงท่ีมีการจดั ต้งั อื่นๆ (Organized Violence) ก็มักปรากฏข้ึน คู่ไปกบั ความ ขดั แยง้ เหล่าน้นั แตจ่ ดุ สาคญั ก็ คือความรุนแรงหรือสงครามไม่ใช่ผลของความขดั แยง้ หากเป็นวธิ ีการ แบบหน่ึงท่ีมนุษยใ์ ชแ้ กไ้ ขหาขอ้ ยตุ ิให้กบั ความขดั แยง้ ท่เี กิดข้นึ ดว้ ยสาเหตุต่างๆ ความขดั แยง้ มีสาเหตุมาแต่ตวั แปรท่ีสัมพนั ธ์กนั อยา่ งสลบั ซับซ้อน เช่น ตวั แปรที่เก่ียวกับ ความต้องการในการดารงชีวิตของคนอนั ทาให้เกิดความขัดแยง้ เพื่อแสวงหาทางควบคุมภาวะ แวดลอ้ มของมนุษย์ ตวั แปรทางจิตวิทยาอนั ไดแ้ ก่ ความตอ้ งการอานาจและการต่อสู้เพ่ือเป็นอิสระ จากอานาจของมนุษยต์ วั แปรในทางสภาพภูมิศาสตร์อนั ก่อให้เกิดกรณีพพิ าทดา้ นพรมแดนระหว่าง ประเทศ ตวั แปรทางสังคมและเศรษฐกิจทาให้เกิดความขดั แยง้ ทางชนช้ันตลอดจนการช่วงชิง ทรัพยากรในระดบั ชาติดว้ ยรูปแบบต่างๆ และตวั แปรในทางวฒั นธรรมอนั ก่อให้เกิดความขดั แยง้ ทางดา้ นศาสนา ปัญหาเช้ือชาติหรือความขดั แยง้ ระหวา่ งกลุ่มชนที่แตกต่างกนั ในรัฐชาติสมัยใหม่ เป็ นตน้ ความเขา้ ใจความรุนแรงในฐานะดงั กลา่ วทาให้ตอ้ งระมดั ระวงั ในทางความคิดไม่จบั ความ ขดั แยง้ ไปสับสนกบั ความรุนแรง ตวั อย่างเช่น ในสังคมไทยซ่ึงไม่สู้จะชื่นชมกบั ความขดั แยง้ มาก นกั เม่ือมีการแสดงขอ้ ขดั แยง้ ในท่ีประชุมมกั ถูกหาว่าเป็นคนกา้ วร้าวและจากความกา้ วร้าวก็เพียง เป็ นคาส้ันๆ เท่าน้ันท่ีจะถูกมองว่าเป็นความรุนแรง เห็นไดว้ ่าความขัดแยง้ กับความรุนแรงน้ันไม่ จาเป็นตอ้ งเป็นสิ่งเดียวกนั การต้งั คาถาม ว่าอะไรคือสาเหตุแห่งความรุนแรง เป็ นการต้งั คาถามทไ่ี ม่ ชอบดว้ ยเหตุผลเพราะคาถามไม่สอดคลอ้ งกบั ธรรมชาติของความรุนแรงอนั เป็นเพียงวิธีการมิใช่ เป้าหมายของมนุษยอ์ นั มีเหตปุ ัจจยั ดารงอยจู่ ริงในรูปของตวั แปรต่างๆ ที่กล่าวมา ตวั อยา่ งเช่น ความ รุนแรงในปาเลสไตน์น้ันอาจกล่าวไดว้ ่าเป็ นผลของความขัดแยง้ ระหว่างยิวกับชาวปาเลสไตน์ สาเหตุของความขดั แยง้ น้ีอาจอธิบายไดด้ ว้ ยปัจจยั ทางประวตั ิศาสตร์หรือปัจจยั ทางเช้ือชาติศาสนา เป็นตน้ แต่ท้งั หมดน้ีก็มีไดอ้ ธิบายว่าเหตใุ ดความขดั แยง้ ดงั กล่าวจึงตอ้ งถูกคลีค่ ลาย โดยอาศยั ความ รุนแรงหากยอมรับว่าความรุนแรงมิใช่ ส่ิงเดียวกับความขัดแย้งและเป็ นเพียงวิธีการหน่ึงซ่ึง
- 75 - เปล่ียนแปลงไดค้ าถามทจ่ี ะช่วยสลายมายาคติแห่งความสบั สนระหวา่ งความรุนแรงกบั ความขดั แยง้ น่าจะเป็นวา่ “มนุษยใ์ ชอ้ ะไรเป็นขอ้ อา้ งรองรับในการใชค้ วามรุนแรงมาแกไ้ ขปัญหาระหวา่ งตนกบั ผอู้ ่นื ” คาถามน้ีก็คอื มายาคติอีกจดุ หน่ึงทช่ี ่วยจรรโลงความรุนแรงในโลกทกุ วนั น้ี มายาการแห่งเอกลกั ษณ์ นกั ปราชญอ์ ินเดียท่านหน่ึงช่ือ กฤษณามูรติ เคยแสดงทศั นะว่าการท่ีมนุษยเ์ ขา้ ใจว่าตนเอง สามารถตดั ขาดและแยกตวั ออกจากมนุษยแ์ ละส่ิงอ่ืนๆ น้นั ก็เป็ นการรุนแรงอยู่แลว้ เหตุหน่ึงท่ีการ แยกตวั เป็น “เรา” เป็น “เขา” เกิดข้นึ ไดก้ ็เพราะมนุษยส์ ร้าง “เอกลกั ษณ์” ข้ึนมาเป็นชุดๆ ภายใตม้ ายา การแห่งเอกลกั ษณ์ท่ีถูกสร้างข้ึนมนุษยส์ ามารถใชค้ วามรุนแรงต่อ “ผูอ้ ่นื ” ไดไ้ ม่ยากหากเกิดความ ขดั แยง้ ข้ึน เอกลกั ษณ์ที่ว่าน้ีมีด้วยกนั หลายระดบั เช่น ถ้ากล่าวถึงเอกลกั ษณ์แห่งความเป็นชาติใด ชาติหน่ึงก็มีกฎหมายและสภาพภูมิศาสตร์เป็นกรอบ คือ ชาติไทยอยู่ในแหลมสุวรรณภูมิมีพม่าอยู่ ทางตะวนั ตกมาเลเซียอยู่ทางตอนใตเ้ ขมรอยทู่ างตะวนั ออกและลาวอยูท่ างตะวนั ออกค่อนไปทาง เหนือเป็นตน้ แตค่ วามเป็นชาตติ า่ งๆ เหล่าน้ี ลว้ นถูกกาหนดข้ึนโดยฝี มอื มนุษยผ์ ูอ้ าศยั กฎหมายและ ภมู ิศาสตร์เป็นเครื่องมือ ถา้ เป็นเอกลกั ษณ์ดา้ นเช้ือชาติมนุษยก์ ็จะใช้สีผิวและลกั ษณะโครงกระดูก เป็นกรอบบทเรียนแห่งความรุนแรงที่เกิดข้ึนจากการตอกย้าในเอกลกั ษณ์เรื่องเช้ือชาติ ก็เห็นไดจ้ าก สมยั นาซีเยอรมนีท่ีทาลายลา้ งเผ่าพนั ธุย์ ิวจนชาวยิวลม้ ตายไปถึง 6 ลา้ นคน และไดพ้ ยายามไปกดขี่ผู้ ท่ตี นเห็นว่า อารยธรรมต่ากว่าลงเป็นทาส โดยเฉพาะผคู้ นท่ไี มใ่ ช่คนขาว ในหนงั สือ “Mein Kampf” ฮิตเลอร์ผนู้ านาซีเยอรมนีเขียนไวว้ า่ “ทุกส่ิงท่ีเราชื่นชมในโลกปัจจบุ นั ไมว่ ่าจะเป็นศาสตร์และศลิ ป์ เทคนิคและการประดิษฐ์คิดค้นเป็ นผลงานสร้างสรรค์ของคนจานวนน้อยและเมื่อแรกอาจเป็ น ผลงานของชนชาติเดียว” ในทศั นะของฮิตเลอร์ชาวยโุ รปร่างสูงผมสีทองตาสีฟ้าเป็นบิดาของอารย ธรรมและเหนือกวา่ ฉนั ชาติเผ่าพนั ธุ์อื่นๆ ท้งั หมดการกดบงั คบั ทาลายลา้ งคนเช้ือชาตอิ ่นื จึงกลายเป็ น ส่ิงที่ทาไดไ้ ม่ยากนกั ในทานองเดียวกนั ผูค้ นในโลกก็อาจสร้างเอกลกั ษณ์ไดด้ ว้ ยการอาศยั ศาสนา อนั มีความเชื่อและแนวทาง การปฏบิ ตั เิ ป็นกรอบผลทตี่ ามมาประการหน่ึงก็คอื สงครามระหว่างผคู้ น ทมี่ ีความเชื่อแตกต่างกนั เช่น สงครามครูเสด ที่คริสเตียนพยายามชิงดินแดนศกั ด์ิสิทธิจากมุสลิมใน คริสตศ์ ตวรรษที่ 11- 13 หรือสงครามระหว่างพวกคาทอลกิ กบั โปรแตสแตนในไอร์แลนดเ์ หนือซ่ึง ต่อสู้กนั มาต้งั แต่ ค.ศ.1949 เป็นตน้ ในอีกระดบั หน่ึงมนุษยพ์ วกหน่ึงก็แยกตวั ออกจากผูอ้ ่ืนในนาม ของชนช้ันโดยมีการครอบครองปัจจยั การผลิตและความสัมพนั ธ์ทางการผลิตเป็นกรอบเพื่อกาจดั การกดขี่ขูดรีดโดยคนอีกชนช้ันหน่ึง ชนช้ันผู้ใช้แรงงานจึงต้องรวมตัวกันเมื่อประสานกับ ภาระหนา้ ท่ีทางชนช้ันในการเปล่ียนแปลงโครงสร้างทางสังคมการนาความรุนแรงมาใชท้ าลายลา้ ง
- 76 - “อกี ฝ่ายหน่ึง” จึงไมใ่ ช่เร่ืองยาก ดงั ตวั อยา่ งการปฏิวตั ิดว้ ยความรุนแรงหลายแห่งในโลก เช่น ในจีน เม่ือ ค.ศ.1949 หรือกมั พชู าเม่อื ค.ศ.1975 เป็นตน้ ประเด็นท่ีน่าคดิ อีกแห่งหน่ึงก็ คือ บางคร้ังความรุนแรงในระดบั ยอ่ ยอาจลดลงหรือถูกขจดั ไปได้ โดยการขยายเอกลกั ษณ์ชุดท่ีเลก็ กว่าใหก้ วา้ งขวางใหญโ่ ตข้นึ ตวั อยา่ งเช่น นกั ศึกษาในคณะ 2 คณะของมหาวิทยาลยั เดียวกนั อาจมีความเป็นอริกนั เพราะต่างฝ่ ายต่างถือว่าคณะของตนมีศกั ด์ิศรี เหนือกว่าอีกฝ่ ายหน่ึง แต่ถา้ มหาวิทยาลยั แห่งน้นั ถูกโจมตีหรือบุกรุกโดยนกั ศึกษาจากมหาวิทยาลยั อน่ื ความเป็นอดีตในระดบั คณะอาจถูกยตุ ิลงหรือ “รอ” ไวช้ ่ัวคราว เอกลกั ษณ์ในระดบั คณะอาจลด ความสาคัญลงปล่อยให้เอกราชในระดับมหาวิทยาลัยทวีความสาคญั ข้ึนและถา้ เกิดปัญหากับ ต่างชาติเอกลักษณ์ที่ขาดกนั ในระดับมหาวิทยาลยั ก็อาจจะทดถอยให้เอกลักษณ์ของชาติปรากฏ ข้ึนมาช้ีนาการกระทาของสมาชิกในสังคมน้ันเพ่ือต่อสู้กบั “ฝ่ ายตรงขา้ ม” ซ่ึงแปรเปล่ียนไปตาม สถานการณ์ ในตอนน้ีจะเห็นไดว้ ่ามายาคติแต่ละอย่างลว้ นมีส่วนร่วมหนุนต่อความรุนแรงท้งั สิ้นหาก ทกุ คนเช่ือว่าความรุนแรงเป็นธรรมชาติและธรรมชาตขิ องมนุษยน์ ้ันเปลีย่ นแปลงมิไดก้ ็ หมายความ ว่า ความรุนแรง ไม่มีวนั จะหมดสิ้นไปไดห้ ากเช่ือว่าความขดั แยง้ และความรุนแรงเป็ นสิ่งเดียวกนั และความขัดแยง้ เป็ นธรรมชาติของสังคมหรือเชื่อว่าความขัดแยง้ จะแก้ไขได้ดว้ ยความรุนแรง เทา่ น้นั ความรุนแรงก็ขจดั ไม่ไดเ้ ช่นกนั หรือยอมรับว่าในท่ีสุดก็ตอ้ งใชค้ วามรุนแรงจดั การกบั ความ ขดั แยง้ อยดู่ ี ความเช่ือทานองน้ีทาให้ความรุนแรงดารงอยแู่ ตม่ ายาคติส่วนสุดทา้ ย ข้อสังเกตว่าด้วยผลจากความรุนแรง หากจะต้งั คาถามกนั ว่าผลของความรุนแรงคอื อะไรก็คงตอ้ งกลบั ไปใคร่ครวญให้ดีว่ากาลงั คิดถึงความรุนแรงชนิดใด หากสนใจเพียงความรุนแรงทางตรงจานวนความเสียหายในเชิงชีวิตและ ทรัพย์สินก็จะนอ้ ยกว่าผลจากความรุนแรงเชิงโครงสร้าง หากจากดั ตนเองลงจาเพาะความรุนแรง ทางตรง เช่น การสู้รบระหว่างผูค้ นหรือระหวา่ งชาติ เร่ืองท่ีตอ้ งใคร่ครวญ คือ ผลบางประการของ ความรุนแรงทางตรงน้นั เป็นสิ่งท่ีมองไมเ่ ห็นและอาการอาจปรากฏข้ึนเม่ือเวลาผ่านไปนานมากแลว้ กรณีตวั อยา่ งทีน่ ่าสนใจประการหน่ึง คือ กรณีของค่ายผลู้ ้ภี ยั กมั พูชาในประเทศไทย คงทราบกนั ดีว่า ผูล้ ้ีภัยชาวกัมพูชาน้ีมาอยู่ในค่ายหลายแห่งท่ีชายแดนไทยกมั พูชาน้ันเป็นเหยื่อของความรุนแรงท่ี เกิดข้ึนในประเทศนบั แตส่ งครามเวียดนามท่สี หรัฐอเมริกา ขยายการท้งิ ระเบิดเขา้ ไปในประเทศน้ัน จนเมอื่ สหรฐั อเมริกาวางมือจากอนิ โดจีน ฝ่ายเขมรแดงกป็ ระสบชยั ชนะผคู้ นเขมรลม้ ตายอยรู่ ะหว่าง 1 ถึง 2 ลา้ นคน ต่อมาเวียดนามส่งกองทพั เขา้ ยึดครองกมั พูชาอกี สงครามระหว่างรัฐบาลกมั พูชาท่ี พนมเปญอนั มีเวียดนามหนุนหลงั กับฝ่ ายต่อต้านก็ดาเนินต่อมาได้เร่ือยๆ ผูล้ ้ีภัยชาวเขมรในค่าย
- 77 - กกั กันลว้ นเป็นเหย่ือของกระแสความรุนแรง การหนีออกจากกมั พูชามาถึงค่ายผูล้ ้ีภยั ในประเทศ ไทยอาจเคยถูกมองว่าเป็ นจุดยุติความรุนแรงแต่ที่จริงชีวิตในค่ายผูล้ ้ีภัยเขมรน้ันก็กาลงั เผชิญกบั ความรุนแรงอกี ประเภทหน่ึง ในรายงานทางวิชาการที่เผยแพร่เม่ือเดือนมีนาคม พ.ศ.2532 โดยสหพนั ธ์แห่งโลกเพ่ือ สุขภาพจิต (Federation for Mental Health) ได้รายงานผลการวิจัยจากค่ายผูอ้ พยพกมั พูชาท่ีใหญ่ ที่สุดในประเทศไทยมีผูล้ ้ีภยั อย่ปู ระมาณ 300,000 คน พบว่าสภาพในค่ายเต็มไปดว้ ยความรุนแรง อตั ราส่วนการฆ่าตวั ตายเพิ่มข้ึน 2 เทา่ ในระยะเวลา 2 ปี ท่ีผ่านมา (พ.ศ.2530-2532) ผพู้ ยายามฆ่าตวั ตายกว่าร้อยละ 90 เป็นหญิงอายุประมาณ 15 ถึง 30 ปี มีการใชค้ วามรุนแรงทางกายภาพระหว่างการ มากข้ึน ผู้วิจัยสรุปว่าท้ังหมดน้ี มาจากความรู้สึกสิ้นหวังกับชีวิตในค่ายความทรมานจาก ประสบการณ์สงครามในอดีตที่บ้านแตกสาแหรกขาดญาติพ่ีน้องลม้ ตายไปและความเก็บกดใน ปัจจบุ นั อนั เป็นผลมาจากค่ายผูล้ ้ีภยั ท่ีแน่นและอตั ลกั ษณ์ในดา้ นต่างๆ ชีวิตของชาวเขมรเหล่าน้ีถูก จากดั ศกั ยภาพ ทางดว้ ยความรุนแรงทางตรง เช่น การถูกฆ่าถูกทาร้ายหรือถูกข่มขืน ความรู้สึกท่ีว่า ตนเองทาอะไรไม่ไดส้ ิ้นหวงั อนั เนื่องมาจากสภาพของค่ายผลู้ ้ีภยั และประวตั ิศาสตร์ของกลุ่มตนเอง ประการหลงั น้ีแสดงชดั ถึงความรุนแรงเชิงโครงสร้าง ผลของความรุนแรงท้งั 2 ชนิดน้นั คือทาลายท้งั ชีวติ อนั เป็นปกติของผคู้ นและความฝันของ เขาด้วยการทาลายชีวิตปกติ หมายถึงว่า การที่เหย่ือของความรุนแรงจะได้อยู่เย็นเป็ นสุขกับ ครอบครัวทางานท่ีตนสนใจเห็นจะเป็ นส่ิงที่ทาไม่ได้ การที่คนคนหน่ึงถูกทาร้ายจนตายไปหรือ พิการน้ันไม่ว่าตน้ เหตุจะมาจากตัวบุคคล (ซ่ึงก็คือความรุนแรงทางตรง) หรือตน้ เหตุมาจากส่ิงซ่ึง ไม่ใช่มนุษยแ์ ต่เป็ นระบบสังคมหรือองค์กรบางชนิด (ซ่ึงก็คือความรุนแรงเชิงโครงสร้าง) น้ัน ผลกระทบต่อเจา้ ตัวและครอบครัวน้ันก็ คือ ชีวิตธรรมดาที่อาจจะมีความสุขอย่างง่ายๆ ต้องถูก ทาลายไป เหยอ่ื ของระเบิดปรมาณูที่ชาวญ่ปี ่ ุนคนหน่ึงเคยเขียนเลา่ วา่ ระเบดิ ปรมาณูทีถ่ ูกท้ิงลงมาน้ัน ไดท้ าลายชีวติ ของลกู ของตนญาตพิ น่ี ้องและทาใหด้ วงหนา้ ของตนตอ้ งอปั ลกั ษณ์จนสามที นไมไ่ ดก้ ็
- 78 - ทงิ้ เธอไปปล่อยให้อยู่ในโลกดว้ ยความข่ืนขม เธอกล่าวว่าระเบิดลูกดงั กล่าวไม่เพียงเอาชีวิตผูค้ นที่ เธอรักไปหากยงั ฆ่าเธอท้งั เป็นอีกดว้ ย ความรุนแรงประการหน่ึงก็คือในขณะที่เห็นไดช้ ัดว่าความ รุนแรงเป็นส่ิงทีท่ าลายความเป็นปกตธิ รรมดาของชีวิตแตโ่ ลกปัจจุบนั กาลงั พยายามทาให้มนุษยช์ ิน ชากบั ความรุนแรงและสร้างความเชื่อข้ึนมาอีกชนิดหน่ึงทเ่ี ห็นความรุนแรง เป็ นเรื่องสามญั ตวั การ สาคญั ทม่ี สี ่วนในเรื่องน้ีคือส่ือมวลชน หนา้ ทปี่ ระการหน่ึงของผใู้ ฝ่สันติภาพก็คือพยายามใคร่ครวญ ส่ิงที่พบท่ีเห็นด้วยจิตใจท่ีวิพากษ์ (Critical) อย่าได้ยอมจ่ายรับความเช่ือท่ีถูกส่งมอบให้โดยมิได้ ไตร่ตรองเสียก่อน วิธีน้ีอาจช่วยให้ตระหนักได้บา้ งว่าความรุนแรงมิใช่เร่ืองสามัญท่ีเกิดข้ึนใน ชีวิตประจาวนั ตามปกติหากแต่เป็นตวั ทาลายความปกติของชีวิตมนุษยส์ ามญั ต่างหาก
- 79 - บทที่ 4 สงคราม ความเข้าใจเกยี่ วกับสงคราม ความหมายและธรรมชาตขิ องสงคราม ในบรรดาปัญหาตา่ งๆ ท่มี นุษยเ์ ราศกึ ษาเพื่อทาความเขา้ ใจน้นั ไม่มีปัญหาใดท่ีมนุษยจ์ ะได้ พยายามศึกษาอยา่ งมากมาย เช่น ปัญหาสงคราม สงครามเป็นรูปแบบของการขดั แยง้ แบบหน่ึงซ่ึง คนส่วนมากยอมรับว่า เป็ นการขดั แยง้ ที่ร้ายแรงและมีผลเสียหายมากท่ีสุด แต่มนุษยก์ ็ยงั เขา้ ใจใน ลักษณะที่แท้จริงของสงครามน้อยมาก การศึกษาค้นควา้ ในเรื่องน้ีก็ยงั กระทาไม่เพียงพอ ดู เหมือนวา่ ในคริสตศ์ ตวรรษท่ี 20 น้ี มนุษยไ์ ดใ้ ชค้ วามพยายามอยา่ งมากในการตอ่ สู้กบั ความหิวโหย และโรคร้าย ดว้ ยการคิดคน้ ยาและเทคโนโลยอี ยา่ งไดผ้ ลเป็นทีน่ ่าพอใจ แตป่ ัญหาสงครามน้นั กลบั มี ผลตรงกนั ขา้ ม เพราะเทคโนโลยีแทนท่ีจะช่วยแกป้ ัญหากลบั ทาให้ปัญหาร้ายแรงยิ่งข้ึน เนื่องจาก อาวุธที่คิดคน้ จากเทคโนโลยีมีอานาจในการทาลายรุนแรงยิ่งข้ึน จึงทาให้สงครามมีอานาจในการ ทาลายลา้ งผลาญมากข้นึ แตเ่ น่ืองจากมนุษยม์ สี ัญชาตญาณของการต่อสูเ้ พ่อื ความอยรู่ อด ความปลอดภยั ในชีวติ และ ทรัพยส์ ิน การอยดู่ ีกินดี และความมีอสิ ระเสรี ท้งั ในทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมจิตวิทยา เม่ือ รู้สึกว่ามีศตั รูบีบบงั คบั ครอบงาหรือใชก้ าลงั เขา้ ยึดครองก็จะเกิดการขดั แยง้ การพิพาทการต่อสู้ การ สู้รบ หรือเกิดการสงครามข้ึนอยา่ งรุนแรงศาสตราจารย์ Quincy Wright สรุปว่าระหวา่ งปี พ.ศ.2023- 2484 (ค.ศ.1480-1941) รวมเวลา 461 ปี ไดเ้ กิดสงครามข้ึน 278 คร้ัง หลงั สงครามโลกคร้ังท่ี 2 ซ่ึงใน ปี พ.ศ.2503 (ค.ศ.1960) เกิดสงครามจากดั 17 คร้ัง และระหว่างปี พ.ศ.2512-2513 (ค.ศ.1969-1970) ไดเ้ กิดกรณีขดั แยง้ กนั ดว้ ยกาลงั อาวุธ ซ่ึงมีลกั ษณะเป็นการสงคราม แต่มิไดป้ ระกาศสงครามตาม กฎหมายระหว่างประเทศ รวมท้งั การปราบปรามการก่อความไม่สงบภายในประเทศรวม 12 คร้ัง การขัดแยง้ ด้วยกาลังอาวุธต่างกล่าวบางคร้ังก็ยืดเย้ือและรุนแรงเป็ นระยะเวลานานกว่า 10 ปี เช่น
- 80 - สงครามในเวียดนาม เป็นตน้ ยงั มีประเทศที่เกิดการขดั แยง้ กนั ดว้ ยสาเหตุต่างๆ อยู่ถึง 45 ประเทศ หรือประมาณ 1 ใน 4 ของประเทศท้งั หมดในโลก ทาใหป้ ระชากรโลกสูญเสียชีวติ ไปแลว้ ถงึ 5 ลา้ น คนบรรดากรณีพิพาทท้งั หลายที่ดาเนินการอยู่น้นั เกิดข้ึนในเอเชีย 10 ประเทศ ตะวนั ออกกลาง 10 ประเทศแอฟริกา 10 ประเทศ ลาตินอเมริกา 6 ประเทศ และยโุ รป 3 ประเทศ บรรดาความขดั แยง้ หรือกรณีพิพาทเหล่าน้ีเกิดข้ึนท้งั ภายในประเทศ และระหว่างประเทศการใช้กาลงั ก็มีท้งั กาลงั ทาง การเมือง เศรษฐกิจ สงั คม จิตวิทยา และกาลงั ทหารดว้ ยการใชอ้ าวุธเขา้ ดาเนินการท้งั ในทางลบั และ เปิ ดเผยตอ่ กลุ่มเป้าหมายท่ีตอ้ งการ ฉะน้นั คาว่า “สงคราม” จึงมคี วามหมายในสองทศั นะคอื 1. ในทางการเมือง การทาสงครามหรือเพียงการใช้กาลังทหารเข้าควบคุมถือว่าเป็ น เคร่ืองมือในการดาเนินการตามนโยบายเพื่อให้บรรลุวตั ถุประสงค์ของชาติเมื่อใชว้ ิธีอ่ืนไม่ไดผ้ ล (War is simply a continuation of politics by other means) ซ่ึงคาร์ล ฟอน เคลาเซวิตส์ (Karl von Clausewitz) นายทหารโปรัสเซียเป็นผูก้ าหนดทฤษฎีเก่ียวกบั สงครามระหว่างประเทศโดยวิเคราะห์ ให้เห็นว่าการทาสงครามเป็นเคร่ืองมือของรัฐอยา่ งหน่ึงท่ีนาเอากาลงั กองทพั มาใชเ้ พ่ือบีบบงั คบั ให้ ฝ่ายตรงกนั ขา้ มกระทาตามตอ้ งการ ฟอน เคลาเซวติ ส์ (Karl von Clausewitz) พลเอกชาวเยอรมนั และนกั ทฤษฎที างทหารชาวเยอรมัน (ปรัสเซีย) เป้าหมายของการปฏิบตั ิการทางทหารในการทาสงครามเพื่อผลทางการเมือง โดยทว่ั ไปก็ คือการเข้าควบคุมประชาชนและกาลังของฝ่ ายสโตร์หรื อมุ่งยึดพ้ืนที่หรื อที่หมายที่มีค่าต่อ ผลประโยชน์ของชาติไดม้ ีคากล่าวซ่ึงเป็ นท่ียอมรับกนั ท่วั ไปว่า การเจรจาทาความตกลงระหว่าง ประเทศ ถา้ ขาดกาลงั กองทพั สนบั สนุน เพอื่ บงั คบั คู่กรณีให้ปฏิบตั ิตามขอ้ ตกลงแลว้ ขอ้ ตกลงน้นั ก็มี สภาพเหมือนเศษกระดาษสาหรับทรรศนะของฝ่ ายคอมมิวนิสต์น้นั เหมาเจ๋อตงไดก้ ล่าวว่า “อานาจ ทางการเมืองมาจากปากกระบอกปื น”
- 81 - 2. ในทางการทหาร สงครามคือการใช้กาลงั เข้าทาการรบเพื่อบีบบงั คับให้ฝ่ ายศตั รูปฏิบตั ิ ตามความประสงค์ของตนในทัศนะของคอมมิวนิสต์น้ันสงครามคือการใช้กาลงั ท้งั ทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม จิตวิทยาและกาลังทหารเข้าประหัตประหารกันท้ังในทางลับและเปิ ดเผยต่อ ประเทศของตน สาเหตุของสงคราม ในหนงั สือ “การศึกษาสงคราม” (A Study of War) ไดม้ ีการศกึ ษาสาเหตุของสงครามใหญ่ ซ่ึงเกิดจากความขดั แยง้ อยา่ งรุนแรงของโลกที่สาคญั 6 คร้ัง คือ ชยั ชนะของอิสลาม (ค.ศ.622-732) สงครามครูเสด (ค.ศ.1095-1270) สงครามร้อยปี (ค.ศ.1335-1453) สงคราม 30 ปี (ค.ศ.1618-1648) สงครามปฏิวตั ิในฝรัง่ เศสและสงครามนโปเลียน (ค.ศ.1793-1815) สงครามโลกคร้งั ที่ 1 (ค.ศ.1914- 1920) นักประวตั ิศาสตร์ในแต่ละสังคมได้สรุปว่า สาเหตุสาคญั เกิดจากปัญหาเกี่ยวกับอุดมคติ จิตวิทยา การเมือง และปัจจยั ในดา้ นกฎหมายระหว่างประเทศ โดยให้เหตุผลว่าคร้ังน้ีเกิดจากการ เปล่ียนแปลงของดินฟ้า อากาศ ทรัพยากรธรรมชาติ เศรษฐกิจ เทคโนโลยีและสภาวะทางวตั ถอุ ่ืนๆ แต่การเปลี่ยนแปลงส่ิงเหล่าน้ีจะเป็ นสาเหตุของสงครามได้ก็ต่อเม่ือการเปลี่ยนแปลงน้ันได้มี อทิ ธิพลอยา่ งร้ายแรงต่อกระบวนการทางสงั คมจิตวิทยาอยา่ งแทจ้ ริงเทา่ น้นั สาเหตุของสงครามโลกคร้ังที่ 1 น้ันได้พฒั นามาจากขบวนการชาตินิยมในบนข่านก่อน แลว้ พนั ธมิตรก็ไดร้ ่วมกนั ต่อสู้เพ่ือป้องกันชนชาติส่วนน้อย เช่น เซอร์เบียและเบลเย่ียม ส่วนการ ตดั สินใจของแต่ละชาติร่วมกบั องค์การโลก เพื่อป้องกนั สงครามเพื่อความปลอดภยั ของโลกและ เพื่ อป ระช าธิ ป ไตยน้ ันได้เกิ ดข้ ึ นห ลังจาก ท่ีอ เมริ ก าได้เข้าร่ วมส งค รามแล้วเพ ราะใน ขณ ะน้ ัน อุดมการณ์ประชาธิปไตยและอุดมการณ์ชาตินิยมได้รับการยอมรับทัว่ ไปในคริสต์ศตวรรษที่ 19
- 82 - ดงั ที่ปรากฏในขอ้ เขียนของจูเซปเป มซั ซินี (Giuseppe Mazzini) และไดน้ าไปขยายผลโดย ออโต ฟอน บีสมาร์ก (Otto von Bismarck) กามิลโล เบนโซ ดิ คาววั ร์ (Camillo Benso di Cavour) และอบั ราฮมั ลนิ คอลน์ (Abraham Lincoln) World War I 1914-1918 สงครามในบอลข่าน 2 ปี ไดท้ าใหเ้ กิดความลาบากในทางเศรษฐกิจและทาให้เกิดความไม่ สงบข้ึน โดยทวั่ ไปการแข่งขนั สะสมอาวุธของประเทศมหาอานาจมาตลอดทศวรรษไดท้ าให้ตอ้ ง เกบ็ ภาษีภายในชาติมีการกีดกนั ระหว่างชาตดิ ว้ ยการสร้างกาแพงภาษแี ละมกี ารแข่งขนั ทางเศรษฐกิจ สาเหตุเบ้ืองต้นของสงคราม อาจกล่าวไดว้ ่าเกิดจากการเมืองออสเตรเลียกระหายที่จะ ป้องกนั ตนเองจากการโฆษณาชวนเช่ือของยโู กสลาเวีย รสั เซียกลวั ว่าจะเสียเกียรตภิ ูมใิ นการพ่ายหมู่ ประเทศสลาฟ ฝรั่งเศสหวงั จะได้อัลซาส-ลอร์เรนคืน เยอรมนีและองั กฤษกลวั การเสียดุลอานาจ สาหรับรัสเซียน้นั อานาจทางทหารอนั มีประสิทธิภาพที่แสดงให้เห็นต้งั แต่สมยั บิสมาร์ค เป็นตน้ มา น้นั ไดเ้ สริมเสียเกียรติภูมไิ ปในกลุ่มพนั ธมิตรกลางเม่ือเกิดวิกฤตการณโ์ มร็อกโก ประกอบกบั ความ ไมส่ งบทางการเมืองในฝร่งั เศสและองั กฤษทาให้เยอรมนีให้การสนบั สนุนความริเร่ิมของออสเตรีย
- 83 - ถา้ สงั เกตจากการประกาศสงครามจะเห็นว่าเหตุผลในทางนิติศาสตร์ในตอนตน้ ๆ ของการ ประกาศสงครามน้ันได้เน้นถึงการป้องกนั การรุกรานและการช่วยเหลือของศัตรูการละเมิดข้อ สัญญาและเหตุผลเฉพาะของแต่ละประเทศ ซ่ึงได้อ้างถึงหลักความยุติธรรม มนุษยธรรม ประชาธิปไตยและกฎหมายระหว่างประเทศ ดงั น้ัน คาว่า “สาเหตุของสงคราม” จึงมีความหมายไดห้ ลายอย่างบางท่านให้เหตุผลว่า สงครามโลกคร้ังที่ 1 เกิดข้ึน เพราะรัสเซียหรือเยอรมนีได้มีการประกาศระดมพลหรือเพราะ ออสเตรี ยย่ืน คาขาดเม่ือเกิ ดการลอบป ลงพ ระช นม์ท่ี ซาราเยโวเพราะความท ะเยอทะยานแล ะ จุดมุ่งหมายของพระเจา้ ไกเซอร์ วิลเฮล์ม เพราะปวงกาเร่ อิสโวลสก้ี เบอร์โทลด์ หรือคนอื่นๆ ที่มี ความทะเยอทะยานเช่นเดียวกนั หรือเพราะความปรารถนาของฝรั่งเศสที่ตอ้ งการไดก้ นั สาดลอเรน กลับคืนหรือออสเตรเลียต้องการมีอิทธิพลในบอลข่าน เพราะระบบพนั ธมิตรในยโุ รปเพราะนัก อุตสาหกรรมผลิตอาวุธกระสุนเพราะนกั ธนาคารนานาชาติหรือเพราะนักการทูตเพราะความไม่มี ระเบียบ ทางการเมอื งอยา่ งเพียงพอในยโุ รป เพราะการแข่งขนั การสะสมอาวุธเพราะการแข่งขนั การ มีอ าณ านิ ค มเพราะน โยบายทางการค้าเพราะค วาม สานึ ก ในชาตินิ ยมเพราะแนวคิ ดเร่ื อ งอาน าจ อธิปไตย เพราะการต่อสู้เพ่ือการดารงอยูเ่ พราะความตอ้ งการขยายชาติของตนออกไป ความไมเ่ ท่า เทียมกนั ในเรื่องพลเมือง ทรพั ยากรหรือพ้นื ทีอ่ ยู่อาศยั และยงั มีเหตุผลอนื่ ๆอกี มาก แต่โดยสรุปแลว้ จะเห็นว่าความเขา้ ใจในความหมายของสาเหตุของสงครามน้นั แตกต่างตามแต่จะหมายถงึ ในทางใด คือทางวิทยาศาสตร์ ทางประวตั ิศาสตร์ หรือทางปฏิบตั ิ 1. ความหมายในทางวิทยาศาสตร์ กล่าวถึง สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ ว่า เกิดจากการเปลี่ยนแปลงพ้ืนท่ีได้ส่วนสัมพนั ธ์กนั เพ่ือรักษาความสมดุลเอาไว้ เช่น เม่ือฝร่ังเศส รวมกลุ่มประเทศพันธมิตรของตนข้ึน Germany ก็รวมกลุ่มพนั ธมิตรของตนข้ึนเพ่ือรักษาความ สมดุลไวอ้ นั มผี ลกอ่ ให้เกิดความตงึ เครียดที่จะนาไปสู่สงคราม เป็นตน้ 2. ความหมายในทางประวตั ิศาสตร์ หมายถึง เหตุการณ์ใดเหตุการณ์หน่ึงหรือสภาวะการ อยา่ งใดอยา่ งหน่ึงทแี่ สดงถึงเหตทุ ่ีเกิดมาแลว้ ในอดีตอนั เป็นผลกระทบในปัจจบุ นั 3. ความหมายในทางปฏิบัติ หมายถึง ปัจจัยท่ีสามารถควบคุมไดใ้ นทางการ กล่าวถึง ตน้ เหตุของปัญหาหรือสถานการณ์เพราะตอ้ งสามารถแกไ้ ขปัญหาทีเ่ ป็นตน้ เหตุน้นั ทานองเดียวกบั ปัญหาของการรักษาโรคที่เร่ิมจากการวินิจฉัยโรคและการรกั ษาโรค ส่วนในทางสงั คมน้นั เริ่มดว้ ย การรายงานการตีความของรายงานการ การกาหนดนโยบายหรือการวางแผนการ กล่าวถึงปัญหา ในทางสังคมน้นั ยงั เนน้ ถงึ การปฏบิ ตั ขิ องมนุษยผ์ ูร้ บั ผิดชอบต่อสถานการณน์ ้นั ๆและการปฏิบตั ขิ อง มนุษยน์ ้นั ยอ่ มจะมีผลอยา่ งมากต่อความปรารถนาท่จี ะใหส้ ถานการณน์ ้นั สิ้นสุด ณ เวลาและสถานที่ ทีก่ าหนด
- 84 - ดังน้ันการที่จะกล่าวถึงสาเหตุของสงครามในความหมายในทางปฏิบัติและในทาง วทิ ยาศาสตร์ มีนกั ประวตั ิศาสตร์จึงมกั จะอธิบายสาเหตขุ องสงคราม โดยแบ่งออกเป็นสาเหตเุ ฉพาะ หนา้ และสาเหตุโดยทว่ั ไป สาเหตุเฉพาะหน้า หมายถึง เหตุการณ์ใดเหตุการณ์หน่ึงท่ีเกิดข้ึนและทาให้เกิดสงคราม เช่นเดียวกบั ไมข้ ดี ไฟท่ที าให้เช้ือปะทตุ ิดไฟและเกิดการระเบดิ รุนแรงข้ึน เช่น ในสงครามโลกคร้ังที่ 1 สาเหตุเฉพาะหน้าก็คือการท่ีเจา้ ชาย อากดยคุ เฟอร์ดินนั ท์ แห่งออสเตรีย ถูกลอบปลงพระชนม์ท่ี ซาราเยโว หน่มุ ชาวเซอร์เบยี เข้าปลงพระชนม์อาร์ชดยุกฟรันซ์ แฟร์ดนี ันด์ สาเหตุเฉพาะหมายถึงเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนอนั จะนาไปสู่ความขดั แยง้ ท่ีรุนแรงจนเป็ นการ เผชิญหน้าทางทหารในสงครามโลกคร้ังที่ 1 น้ันสาเหตุเฉพาะอาจจะกล่าวไดว้ ่าคือเหตุการณ์ที่ รัสเซียหรือ เยอรมนีไดป้ ระกาศระดมพล สาเหตุโดยทวั่ ไป หมายถงึ เหตกุ ารณท์ ่ีเป็นพ้ืนฐานท่ีจะกอ่ ให้เกิดความขดั แยง้ ซ่ึงโดยทว่ั ไป กไ็ ดแ้ ก่ ความขดั แยง้ ในทางเศรษฐกิจ สังคม จิตวิทยา ซ่ึงรวมถงึ เช้ือชาติศาสนาและทางการเมืองอนั ไดแ้ ก่ เร่ืองชาตนิ ิยมดินแดนและลทั ธิความเชื่อในระบบการเมอื งในสงครามโลกคร้งั ท่ี 1 ประเภทของสงคราม เนื่องจากสงครามเป็ นการกระทาด้วยความรุนแรงต่อกนั ระหว่างองค์กรทางการเมือง 2 กลุ่มรัฐบาลหรือองค์กรทางการเมืองอ่ืน ดงั น้ันประเภทของสงครามจึงข้ึนอยูก่ บั ลกั ษณะของการ ต่อสู้กนั อาจจะแบ่งตามลกั ษณะของความมุ่งหมาย เช่น สงครามคลองสุเอซ แบ่งตามพลงั ท่ีใช้เพ่ือ บรรลุจดุ มุ่งหมายน้ัน เช่น สงครามทางเรือ สงครามทางอากาศแบ่งตามยคุ เช่น สงครามยุคโบราณ
- 85 - สงครามยคุ ใหม่ แบ่งตามเชิงเปรียบเทียบ เช่น สงครามเยน็ สงครามร้อน แบ่งตามอาวธุ ร้ายแรง เช่น สงครามนิวเคลียร์ สงครามอาวุธ แบ่งตามลกั ษณะของการต่อสู้เช่นสงครามยุโรปสงครามเอเชีย แปซิฟิ ก แบ่งตามระยะเวลาท่ีทาสงคราม เช่น สงคราม 100 ปี สงคราม 6 วนั ในทางวิชาการส่วน ใหญ่ในทรรศนะทางการเมืองจะแบ่ง ประเภทของสงครามออกเป็ นสงครามเยน็ สงครามจากดั สงครามทว่ั ไป สงครามนิวเคลียร์ตามความรุนแรงของลกั ษณะของสงครามน้นั ส่วนในทศั นะทาง ทหารจะแบ่งประเภทของสงครามโดยยึดแบบแผนท่ีเคยปฏิบัติมาเป็ นประเภทใหญ่ๆเพียง 2 ประเภท คือ สงครามตามแบบและสงครามไม่ตามแบบ 1. ประเภทของสงครามในทศั นะทางการเมือง 1.1 สงครามเยน็ เป็นสภาวะความตึงเครียดระหว่างประเทศอยา่ งหน่ึงในสมยั หลงั สงครามโลกคร้ังท่ี 2 ระหว่างฝ่ ายคอมมิวนิสต์กบั ฝ่ายโลกเสรีซ่ึงในสภาวการณ์ เช่นน้ันจะมีการใช้ มาตรการต่างๆทางการเมอื งเศรษฐกิจ เทคโนโลยี สังคมจิตวิทยา มาตรการก่ึงทหารและทางทหาร ในลักษณะที่เกือบจะถึงข้ันการสู้รบกันด้วยกาลังอาวุธอย่างเปิ ดเผย โดยการใช้กาลังทหาร ประจาการเพื่อบรรลุวตั ถุประสงค์ของชาติ การต่อสู้ระหว่างกลุ่มประเทศฝ่ายคอมมวิ นิสตแ์ ละโลก เสรีทเ่ี ป็นมาแลว้ และกย็ งั คงดาเนินการอยู่แมว้ า่ จะไดป้ รบั ยทุ ธศาสตร์มาเป็นการร่วมมือกนั มากข้นึ ก็ ตาม ตา่ งฝ่ ายก็ยงั พยายามทีจ่ ะเอาชนะหรือให้ไดเ้ ปรียบทาลายและต่อตา้ นในทางการเมืองเศรษฐกิจ สงั คมจิตวิทยา วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมท้งั การทาสงครามจิตวิทยาที่มกี ารโฆษณาชวนเชื่อ เป็นหลกั หรือการอ่นื ใดนอกเหนือไปจากการใชอ้ าวุธ โดยเปิ ดเผย เช่น การคุกคามและสงครามนอก แบบ
- 86 - กลวิธีในการทาสงครามเยน็ ท่ีทางฝ่ ายคอมมิวนิสตแ์ ละโลกเสรีใชอ้ ยไู่ ดแ้ ก่ 1.1.1 หลักการการอยู่ร่วมกันโดยสันติเป็ นคาของฝ่ ายคอมมิวนิสต์ที่ หมายถึง ความร่วมมอื กบั ประเทศในโลกเสรี ฝ่ ายคอมมิวนิสตใ์ ชโ้ ฆษณาชวนเชื่อแก่โลกเสรีประเทศไม่ฝักใฝ่ ฝ่ายใด และประเทศสังคมนิยมดว้ ยกนั 1.1.2 การคา้ และการให้ความช่วยเหลือสหภาพโซเวียตและสาธารณรัฐประชาชน จีนไดพ้ ยายามที่จะให้ประเทศกาลงั พฒั นาท้งั หลายเขา้ ใจว่า การท่ีสหรัฐอเมริกาและประเทศกลุ่ม ตะวนั ตกให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศเหล่าน้นั ก็เพราะตอ้ งการจะให้ประเทศผูร้ ับตกเป็ นอาณา นิคมทางเศรษฐกิจขณะเดียวกนั สหภาพโซเวียตก็พยายามช้ีชวนให้ประเทศต่างๆทาการคา้ และรับ การช่วยเหลือจากตนโดยอา้ งว่ากระทากนั บนพ้ืนฐานของความเสมอภาคเพื่อผลประโยชน์ร่วมกนั ไม่มีขอ้ ผูกมดั ใดๆ สาหรบั ทางดา้ นสหรัฐอเมริกากบั โลกเสรีน้นั ก็ทาไปก็เพ่ือขดั ขวางและต่อตา้ น การแผ่ขยายอิทธิพลของคอมมิวนิสต์ป้องกันมิให้ประเทศผูร้ ับเขา้ ไปผูกพนั กับคอมมิวนิสต์มาก เกินไปจนตกอยใู่ ตอ้ ิทธิพลและกลายเป็นประเทศบริวารไป เช่น ในกรณีที่สหรัฐอเมริการะงบั ไม่ให้ ความช่วยเหลือและเลกิ ทาการคา้ กบั โปแลนด์ เนื่องจากรฐั บาลโปแลนด์ประกาศใชก้ ฎอยั การศกึ ซ่ึง สหรัฐอเมริกาอา้ งว่าเป็ นการทาลายสิทธิมนุษยชนแต่แทท้ ่ีจริงแลว้ ตอ้ งการจะกดดันให้เลิกใชก้ ฎ อยั การศึกเพื่อช่วยกระบวนการโซลดิ าริต้ซี ่ึงเป็นสหภาพกรรมกรโปแลนดท์ ีต่ ่อสู้เพอื่ ประชาธิปไตย 1.1.3 การไมร่ ่วมมอื และการคว่าบาตรกิจกรรมระหว่างประเทศหลายเรื่องทีอ่ าจใช้ เป็นเคร่ืองมือในการทาสงครามเยน็ ไดเ้ ช่น ในกรณีท่ีสหรัฐอเมริกาคว่าบาตรไม่ส่งนักกีฬาไปแข่ง กีฬาโอลิมปิ กเม่ือ พ.ศ.2523 ที่มอสโกเพราะสหภาพโซเวียต ส่งทหารเขา้ แทรกแซงอฟั กานิสถาน หรือในกรณีท่ีหลายประเทศไม่อนุญาตให้เครื่องบินโดยสารของสหภาพโซเวียตลงจอดสนามบิน ในประเทศเหล่าน้ันช่ัวระยะเวลาหน่ึง เพ่ือตอบโตก้ ารที่สหภาพโซเวียตยิงเครื่องบินโดยสารของ เกาหลีใตต้ กเม่ือวนั ท่ี 1 กนั ยายนพ. ศ. 2526 เป็นตน้ 1.1.4 แนวร่วมของค่ายคอมมิวนิสตม์ ีท้งั ที่เป็นประเทศองคก์ ารและบุคคลประเทศ แนวร่วมได้แก่ประเทศสังคมนิยมท้ังที่เป็ นบริวารและไม่เป็นประเทศ ที่ไม่ฝักใฝ่ ฝ่ ายใด ประเทศ กาลงั พฒั นาท่ีให้ความร่วมมือสนบั สนุนจะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม เช่น อินเดียซ่ึงประกาศรับรอง รัฐบาลนายเฮงสัมริน เป็ นต้น สาหรับองค์การแนวร่วมระหว่างประเทศของคอมมิวนิสต์น้ัน ดาเนินงานอยู่ในประเทศต่างๆกว่า 135 ประเทศ บางองค์การมีสมาชิกถึง 200 กว่าลา้ นคน เช่น สหพันธ์แห่งสหภาพแรงงานโลกมีสมาชิก 200 ล้านคน และสหพันธ์ประชาธิปไตยระหว่าง ประเทศของสตรีมีสมาชิก 200 ลา้ นคน ทาให้การเดินขบวนในประเทศต่างๆในยุโรปตะวนั ตกเพ่ือ ต่อตา้ นการติดต้งั ขีปนาวุธ ครูซ (Cruze) ในประเทศภาคี
- 87 - 1.1.5 การลดอาวุธในช้ันตน้ สหภาพโซเวียตจะใช้การโฆษณาชวนเช่ือกล่าวหา สหรัฐอเมริกา ว่าพยายามเสริมสร้างอาวุธ ท้ังๆท่ีสหภาพโซเวียตเองได้พยายามบ่ายเบี่ยงและ บิดพล้ิวจนไม่สามารถตกลงกนั ได้ในการเจรจาลดอาวุธไม่ว่าจะเป็ น ประเภทใดหรือระดบั ไหนก็ ตามสหภาพโซเวียตยงั ไดส้ ะสมและติดต้งั อาวุธไวเ้ หนือสหรัฐอเมริกาและฝ่ ายตะวนั ตกอยา่ งมาก แมว้ า่ ขณะน้ีจะมกี ารตกลงในการเซ็นสญั ญาลดอาวธุ ก็ตาม 1.1.6 ลทั ธิจกั รวรรดินิยมฝ่ายคอมมวิ นิสต์ จะโจมตปี ระเทศมหาอานาจไฟตะวนั ตก อยเู่ สมอว่าเป็นจกั รวรรดินิยม โดยช้ีชวนให้ระลึกถึงการล่าอาณานิคมสมยั ก่อนวา่ ในปัจจุบนั กเ็ ป็ น จกั รวรรดินิยมทางเศรษฐกิจสาธารณรัฐประชาชนจีนเองก็กล่าวหาว่าสหภาพโซเวียตเป็นจกั รวรรดิ สังคมนิยมแต่สหภาพโซเวียตกลบั เงียบเฉยในกรณีทีส่ หภาพโซเวียตเองรุกรานอฟั กานิสถาน และ ในกรณีทีเ่ วยี ดนามรุกรานกมั พูชา 1.1.7 สนธิสัญญาป้องกันร่วมกันสหภาพโซเวียต ได้กล่าวหาอยู่เสมอว่า สนธิสัญญาการป้องกนั ร่วมกนั ต่างๆของฝ่ายโลกเสรีมีจุดหมายเพื่อการรุกรานและเป็นการทา้ ทาย ให้เกิดสงคราม นอกจากน้ียงั เตือนประเทศท่ียอมให้สหรัฐอเมริกาต้งั ฐานทพั อยวู่ ่าเป็ นการสูญเสีย อานาจอธิปไตยกอ่ ใหเ้ กิดผลเสียทางดา้ นสงั คมและเป็นการเส่ียงต่อการถกู โจมตีดว้ ยขีปนาวุธ 1.1.8 การโฆษณาชวนเช่ือสหภาพโซเวียตไดใ้ ช้องค์การปลุกป่ันโฆษณาชวนเช่ือ ควบคุมนโยบายและอานวยการการโฆษณาชวนเชื่อของคอมมิวนิสตท์ ว่ั โลกองคก์ ารน้ีข้ึนตรงต่อ คณะกรรมการกลางของพรรคคอมมวิ นิสต์สหภาพโซเวียต ส่วนสาธารณะรฐั ประชาชนจีนก็ไดใ้ ช้ องค์การชาวจีนโพน้ ทะเลและกระทรวงวฒั นธรรมเป็ นจักรกลในการโฆษณาชวนเช่ือสาหรับ สหรฐั อเมริกาน้นั ไดใ้ ชส้ านกั ข่าวสารเป็นหน่วยงานโฆษณาชวนเช่ือ นอกจากกลวิธีต่างๆ ตามท่ีกล่าวแลว้ ฝ่ ายคอมมิวนิสต์ยงั อา้ งถึงเรื่องชาตนิ ิยมความรังเกียจ ชาวต่างประเทศ ปัญหาระหว่างผิว ความยุ่งยากทางเศรษฐกิจและอื่นๆเท่าท่ีจะแสวงหาได้ตาม โอกาสที่จะอานวยเพือ่ จดหมายสาคญั ในการทาให้ประชาชนขดั แยง้ กนั เอง ไมพ่ อใจรัฐบาลของตน และให้รฐั บาลประเทศหน่ึงกบั รฐั บาลอกี ประเทศหน่ึงขดั แยง้ กนั ท้งั น้ีเพ่ือเปิ ดโอกาสให้เขา้ แทรกซึม บ่อนทาลายและล้มล้างรัฐบาลประชาธิปไตยและต้งั รัฐบาลสังคมนิยมข้ึนแทนอย่าง เช่นกรณี อฟั กานิสถาน ที่สหรฐั อเมริกาชิงเขา้ แทรกแซงตอ่ ตา้ นไดท้ นั กาล 1.2 สงครามจากัดเป็ นการต่อสู้กันด้วยกาลังทหารอย่างเปิ ดเผยระหว่างสองชาติหรือ มากกว่าในขอบเขตจากดั ไม่กวา้ งขวางใหญ่โตถึงข้ันสงครามทั่วไปเป็ นสงครามท่ีกระทาด้วย วตั ถุประสงคท์ างการเมืองและการทหารอนั จากดั ใชว้ ิธีการจากดั และสู้รบกนั ในพ้ืนที่จากดั บริเวณ ใดบริเวณหน่ึงซ่ึงอาจกระทากันเพียงช่ัวระยะ วลาหน่ึงหรืออาจยืดเยื้อ เช่น สงครามระหว่าง อสิ ราเอลกบั อาหรบั การสูร้ บระหวา่ งเวยี ดนามและรัฐบาลเฮงสัมรินกบั กลมุ่ เขมรต่อตา้ น 3 ฝ่ายการ
- 88 - สูร้ บระหว่างสหภาพโซเวียต ซ่ึงทาสงครามกบั กลุ่มต่อตา้ นสงครามเกาหลีระหว่างเกาหลเี หนือและ สาธารณรฐั ประชาชนจีนฝ่ายหน่ึงกบั เกาหลใี ตแ้ ละกองกาลงั สหประชาชาติอกี ฝ่ายหน่ึงและสงคราม เวยี ดนาม เป็นตน้ สงครามจากดั ในอดีตเป็ นการสู้รบกนั ดว้ ยอาวุธธรรมดาที่ไม่ใช้อาวุธนิวเคลียร์การจากัด ขอบเขต ของสงครามให้อยู่ในขอบเขตของวตั ถุประสงค์ วิธีการและพ้ืนท่ีไม่ลุกลามหรือขยาย ขอบเขตออกไปกลายเป็ นสงครามทว่ั ไปหรือสงครามใหญ่ย่อมสามารถจะกระทาได้ไม่ยากนัก ประกอบกบั อาวุธท่ีใชเ้ ป็ นอาวุธธรรมดา การท่ีจะยว่ั ยุให้เกิดสงครามใหญ่จึงมีน้อย แต่ในอนาคต หากจะมีการใช้อาวุธนิวเคลียร์ในสงครามจากัดท่ีเรียกว่าขีปนาวุธระยะส้ันและกลางหรือ หัวรบ นิวเคลียร์ในพ้ืนที่ใกลเ้ คียง การท่ีจะพยายามจากัดขอบเขตของสงครามไม่ให้กลายเป็ นสงคราม ใหญ่หรือทั่วไปน่าจะกระทาไดย้ ากความรู้สึกอันน้ีไดเ้ กิดข้ึนแล้วแก่ภาคีสนธิสัญญานาโต้บาง ประเทศ เม่อื สหรัฐอเมริกาจะผลติ ระเบิดนิวตรอน เพอ่ื นาไปใชต้ า้ นทานการบดุ ว้ ยกองทพั รถถงั ของ กรมสนธิสัญญาวอร์ซอ และเม่ือมีการวางแผนใชอ้ าวุธนิวเคลียร์ทางยทุ ธวิธีขององคก์ ารนาโต้ใน การป้องกนั การโจมตีโดยกรมสนธิสัญญาวอร์ซอ Warsaw Pact Member states in 1990 (dark green) Former member states (light green)
- 89 - 1.3 สงครามทวั่ ไปเป็นการสู้รบกนั ระหว่างกลุ่มประเทศ มหาอานาจฝ่ ายคอมมิวนิสต์และ ฝ่ ายโลกเสรีโดยใช้ทรัพยากรท้ังมวลท่ีมีอยู่ของคู่สงครามซ่ึงตกอยู่ในฐานะท่ีเส่ียงต่อการดารงอยู่ รอด แผนทส่ี งครามทว่ั ไปหรือสงครามใหญ่เป็นเรื่องของกล่มุ ประเทศมหาอานาจเพราะประเทศ แรกประเทศนอ้ ยหรือลาพงั ประเทศใดประเทศหน่ึงยอ่ มจะไม่มขี ีดความสามารถและสาเหตทุ จี่ ะทา สงครามในพ้นื ทกี่ วา้ งขวางใหญ่โตไปทว่ั โลกไดแ้ ต่กอ็ าจถกู ผลกั ดนั หรือบบี บงั คบั ให้ตอ้ งจายอมเขา้ ร่วมกบั ฝ่ายใดฝ่ายหน่ึงได้ เช่นกรณีของประเทศไทยในสงครามโลกคร้ังที่ 2 เป็นตน้ อานาจการทาลายลา้ งของอาวุธนิวเคลียร์และขีดความสามารถในการใชข้ องฝ่ ายโลกเสรี และฝ่ ายคอมมิวนิสตท์ ี่มีอยู่อาจทาให้ท้งั สองฝ่ ายไม่กล้าตดั สินใจทาสงครามนิวเคลียร์ในสงคราม ทว่ั ไปแต่เริ่มแรกก็ไดเ้ พราะแต่ละฝ่ ายจะพินาศย่อยยบั ไปดว้ ยกนั หากเป็ นเช่นน้ีสงครามใหญ่ท่ีจะ เกิดข้ึนในอนาคตอาจจะเป็นการสู้รบกนั ดว้ ยอาวุธธรรมดาก่อนและเรื่อยไปจนถึงข้นั วิกฤตจริงจริง ท่ีฝ่ ายใดฝ่ ายหน่ึงเห็นว่าจาเป็นตอ้ งยอมเส่ียงและไม่มีทางเลือกทางอื่นอีกแลว้ จึงใช้อาวุธนิวเคลียร์ ในทีส่ ุด 2. ประเภทของสงครามในทัศนะทางทหาร 2.1 สงครามตามแบบเป็ นการต่อสู้ด้วยกาลังอาวุธหรือการใช้มาตรการทางทหารโดย เปิ ดเผยการต่อสู้จะมีลกั ษณะเป็นการเผชิญหนา้ กนั โดยตรงระหว่างกาลงั ทหารของคู่สงครามเป็ น หลักการขัดแยง้ จะเร่ิมจากความตึงเครียดทางการเมืองหลงั จากมีการดาเนินการทางการทูตเพื่อ หาทางแก้ปัญหาความขัดแยง้ น้ัน ซ่ึงอาจเป็ นเร่ืองดินแดนเช้ือชาติ หรือศาสนา เช่นในกรณีที่ ประเทศไทยมีปัญหาขดั แยง้ กบั ประเทศฝร่ังเศสเก่ียวกบั ปัญหาอินโดจีนในระหวา่ งสงครามโลกคร้ัง ที่ 2 เม่ือปี พ.ศ.2481 ไดม้ ีการเจรจาทางการทูตหลายคร้ัง แต่ก็ไม่มีทีท่าจะสาเร็จท้ังสองฝ่ ายก็เร่ิม เติมกาลงั ทางทหารไดม้ ีการระดมพลและจดั หาอาวุธยุทโธปกรณ์เพิ่มข้ึน ต่อมาก็มีการเคลื่อนยา้ ย กาลงั ทหารไปประจาชายแดน ในขณะที่สถานการณ์ทางการเมืองไดต้ ึงเครียดย่ิงข้ึนขณะเดียวกนั ก็ มีเหตุการณ์ทางชายแดนโดยกาลงั ของท้งั สองฝ่ ายไดเ้ กิดปะทะกนั ข้นึ ตามขอ้ กลา่ วหาว่าอกี ฝ่ายหน่ึง ลาแดนและอา้ งว่าเป็ นการยิงป้องกนั ตนเองและป้องกันอธิปไตยแลว้ ในที่สุดก็มีการตดั สัมพนั ธ์ ทางการทูตและประกาศสงครามต่อจากน้ันกาลงั ทหารก็จะเคลื่อนยา้ ยเขา้ ดาเนินตามแผนการทาง ทหารเพอ่ื ยดึ ดินแดนคนื ตามจดุ มุง่ หมายของการทาสงครามและมกี ารใชม้ าตรการทางทหาร ในการทาสงครามโดยเปิ ดเผยน้นั มีวิธีดาเนินการทางยทุ ธการตามแบบพ้ืนฐานทว่ั ไปอยู่ 3 แบบคอื การทาการยทุ ธ์ดว้ ยวิธีรุก วิธีรับ และวิธีร่นถอย นอกเหนือจากการยดึ พ้ืนฐาน 3 แบบน้ีแลว้ สงครามตามแบบอยา่ งรวมถึงการยทุ ธ์ภายใตส้ ภาพพเิ ศษดว้ ย
- 90 - การยุทธ์ด้วยวิธีรุก เป็ นการยึดท่ีได้ผลและนาชัยชนะ มาสู่แต่จะกระทาได้เม่ือฝ่ ายตน มี กาลงั เหนือกวา่ อยา่ งนอ้ ยก็เฉพาะในพ้ืนที่น้นั และในเวลาน้นั ซ่ึง เรียกวา่ การรุกทางยทุ ธวิธีแตถ่ า้ เป็น การรบดว้ ยมีกาลงั เหนือกว่า โดยทว่ั ไปการรุกน้ันก็เป็ นการรบทางยทุ ธศาสตร์แต่ถ้าไม่ทาการรบ ทางที่ฝ่ายตนมกี าลงั เหนือกว่าก็จะไม่มีทางไดช้ ยั ชนะในทางทหารได้ การยทุ ธ์ดว้ ยวิธีรับ เป็นการยึดท่ีไม่สามารถนาชยั ชนะมาสู่ไดแ้ ต่ก็จะสามารถทาให้ไดเ้ วลา ในการป้องกนั พ้ืนท่ีช่ัวระยะเวลาหน่ึงหรือเพื่อทาลายกาลงั ขา้ ศึกลง เพ่ือให้ตนมีกาลงั เหนือกว่าจน สามารถทาการรุกได้ ดงั น้นั การยทุ ธ์ดว้ ยวธิ ีรับจึงแบ่งออกเป็นการรับทางยทุ ธวิธี หมายถงึ แมว้ า่ ตน จะมีกาลงั เหนือกว่าแต่ก็ทาการหยุดด้วยวิธีรับเพราะตอ้ งการเวลาหรือเพราะตอ้ งการทาลายกาลัง ขา้ ศึกหรือเมื่อฝ่ายตนน่ีกาลงั นอ้ ยกวา่ จนไม่สามารถทาการยึดดว้ ยวิธีรุกไดก้ จ็ าตอ้ งทาการยึดดว้ ยวิธี รบั ซ่ึง เรียกวา่ การรบั ทางยทุ ธศาสตร์ ส่วนวิธีร่นถอย เป็นการยทุ ธวิธีท่ีมีความจาเป็นท่ีจะตอ้ งถอนกาลงั จากจุดหน่ึงไปยงั อีกจุด หน่ึง อาจจะโดยถูกบงั คบั จากขา้ ศึกอนั เป็นการร่นถอยทางยุทธศาสตร์หรือ อาจจะร่นถอยดว้ ยความ สมคั รใจเพื่อความมุ่งหมายอยา่ งใดอยา่ งหน่ึงซ่ึง เรียกวา่ การร่นถอยทางยทุ ธวธิ ี สงครามตามแบบน้ีไดเ้ ป็ นแนวทางปฏิบตั ิมาจนกระทั่งถึงสงครามโลกคร้ังที่ 2 ซ่ึงเป็ น สงครามท่ีทาให้สูญเสียชีวิตและทรัพย์สินเป็ นอย่างมากโดยเฉพาะในประเทศที่เป็ นสมรภูมิ ใน ยโุ รปและในเอเชียแปซิฟิกบางประเทศ ดงั น้นั หลงั สงครามโลกคร้ังที่ 2 ซ่ึงทาให้ประเทศต่างๆ ทวั่ โลกภายใตก้ ารนาของสหรัฐอเมริกาไดจ้ ดั ต้งั องคก์ ารสหประชาชาติข้ึน เพื่อจะให้เป็นองคก์ ารของ โลกทีจ่ ะหาทางแกไ้ ขปัญหาการขดั แยง้ โดยท่ีไม่ใช้กาลงั ทางทหารอกี ตอ่ ไปแต่ความขดั แยง้ ก็ยงั คง มอี ยตู่ ราบใดที่ทกุ ประเทศต่างกย็ ึดถือผลประโยชน์แห่งชาตติ นเป็นใหญ่ เมื่อไมส่ ามารถใชก้ าลงั ทาง
- 91 - ทหารเป็นเคร่ืองมือในการแกป้ ัญหาความขดั แยง้ น้นั ได้ โดยเปิ ดเผยดว้ ยการทาสงครามตามแบบจึง ไดม้ ีการดาเนินการทาสงครามอยา่ งไมต่ ามแบบข้นึ 2.2 สงครามไม่ตามแบบ หมายถึง สงครามหรือการต่อสู้ที่ใช้มาตรการต่างๆ ท้ังทาง การเมือง เศรษฐกิจ สังคม จิตวิทยา รวมท้ังการใช้มาตรการทางทหารโดยไม่มีการเผชิญหน้า ระหว่างคู่กรณี โดยเปิ ดเผยดว้ ยวิธีการข่มขู่หรือการแสดงกาลงั บางคร้ังเรียกการดาเนินการน้ีว่า สงครามเยน็ หมายถึง ไม่ใช่สงครามที่มีการยิงกนั แต่ก็เป็ นการต่อสู้อีกแบบหน่ึงอันเป็ นการแบ่ง ประเภทของสงครามเหมือนกบั ทางการเมือง สงครามไม่ตามแบบแบ่งออกเป็น สงครามพิเศษ สงครามกลางเมอื ง สงครามเศรษฐกิจและ สงครามประเภทอ่ืนอีกมากมายที่ไม่สามารถจดั เขา้ อยู่ในสงครามตามแบบได้แต่การขดั แยง้ บาง ประเภทท่ีใช้คาว่าเป็ นสงครามน้ันแทจ้ ริงแลว้ เป็นเพียงการขดั แยง้ ประเภทหน่ึงเท่าน้นั แต่ใชค้ าว่า สงคราม มาประกอบเพอื่ แสดงถงึ ความรุนแรงสงครามเทา่ น้นั จึงจะไมก่ ล่าวถึง 2.2.1 สงครามพิเศษคือการปฏิบตั ิการที่หมายรวมถึงการใชม้ าตรการต่างๆท้งั การ ใชก้ าลงั ทหาร ประจาการกองทพั ท่ีมีอยกู่ บั การใชก้ าลงั ท่ีจดั แบบทหาร เช่น กองอาสารกั ษาดินแดน เป็ นตน้ ด้วยการไม่ประกาศโดยเปิ ดเผยเขา้ ปฏิบตั ิการอันเกี่ยวกับการทาสงครามนอกแบบการ ป้องกนั และปราบปรามการก่อความไมส่ งบและการปฏิบตั กิ ารจิตวิทยาการ สงครามพเิ ศษเป็นการ ทาสงครามที่เน้นหนักไปในการต่อสู้ทางดา้ นความคิดหรืออุดมการณ์เป็นหลกั เป้าหมาย คือ การ เอาชนะจิตใจประชาชนจึงเรียกอกี นยั หน่ึง ว่าเป็นสงครามแย่งชิงประชาชน ส่วนการตอ่ สู้ดว้ ยอาวุธ น้นั ถือเป็ นเร่ืองสาคญั ลาดบั รอง สงครามน้ีจะเกิดก็ต่อเม่ือมีความจาเป็นเหมาะสมกบั สถานการณ์ และสภาพแวดลอ้ มทีเ่ อ้ืออานวยให้เทา่ น้นั หนังสงครามนอกแบบเป็ นส่วนหน่ึงของสงครามพิเศษซ่ึงเป็ นส่วนหน่ึงของสงครามไม่ ตามแบบน้ัน หมายถึง การปฏิบตั ิการทางทหารโดยใชก้ าลงั ทหารรบพิเศษลว้ นประกอบดว้ ยทหาร และกาลังประชาชนในท้องถิ่นร่วมกับมิตรประเทศ ในดินแดนนอกประเทศเข้าปฏิบัติการใน ดินแดนที่ขา้ ศึกอยู่หรือพ้ืนที่ที่อยู่ภายใตอ้ ิทธิพลของขา้ ศึก การกระทาน้ันมีเป้าหมายเพ่ือผลทาง ทหาร ทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและจิตวิทยา สงครามนอกแบบเป็นการต่อสู้ท่ลี ึกซ้ึงมลี กั ษณะ เป็ นไดท้ ้ังการปฏิบตั ิการลบั ปกปิ ดแลโดยเปิ ดเผย เช่น กรณีที่ไทยและพนั ธมิตรส่งกาลังเข้าทา สงครามนอกแบบในลาวระหว่างปี ค.ศ.1960-1975 องคป์ ระกอบที่สาคญั ของสงครามนอกแบบก็ คอื การบอ่ นทาลายการสงครามกองโจรและการหลบหนี การบ่อนทาลายคือการกระทาท่ีมุ่งหมายให้กาลงั ทหาร ประเทศน้ันๆถูกทาลายดว้ ยการ เปล่ียนรัฐบาลหรือระบอบการปกครองเพ่ือให้ความร่วมมือกบั ฝ่ ายรุกดว้ ยการ แทรกซึมเขา้ ไปใน องคก์ ารต่างๆ ท้งั ภาครัฐบาลและเอกชนรวม ท้งั องคก์ รมวลชนต่างๆ เพื่อดาเนินการโฆษณาชวน
- 92 - เชื่อยุยงให้องค์กรเหล่าน้ันก่อความไม่สงบข้ึน เพ่ือมุ่งหมายทาลายศรัทธาของประชาชนท่ีมีต่อ รฐั บาลและสร้างอิทธิพลชกั จงู ประชาชนให้เขา้ ร่วมเคลื่อนไหวเพอื่ กอ่ ความไมส่ งบข้ึน สงครามกองโจรเป็นการใชห้ น่วยซ่ึงกาลงั ส่วนใหญ่มาจากประชาชนพลเมืองในทอ้ งถิ่น ดินแดนของข้าศึกหรือท่ีข้าศึกยึดครองอยู่นั่นเอง เป็ นการปฏิบัติการทหารและก่ึงทหารเพ่ือ จุดมุ่งหมายเช่นเดียวกนั คือเพ่ือลดประสิทธิภาพและขีดความสามารถในการทาสงครามของขา้ ศึก ทาลายเสถียรภาพทางการเมอื ง และเศรษฐกิจ จนถึงการลม้ ลา้ งรฐั บาลของประเทศน้นั เสีย การเล็ดลอดและหลบหนี เป็ นวิธีการและการปฏิบตั ิที่จะช่วยให้ทางฝ่ ายของตนหรือตัว บุคคลท่ีไดเ้ ลือก หรือกาหนดตัวไวแ้ ล้วสามารถทาตัวให้หลุดพน้ ออกจากดินแดนของขา้ ศึกได้ ความหมายของคาวา่ การเล็ดลอดแตกตา่ งจากการหลบหนีก็คือ การเล็ดลอด หมายถึง การทาให้ผูท้ ี่ ถกู ตดั ขาดอยหู่ ลงั แนวขา้ ศกึ สามารถนาตนให้รอดพน้ จากการตรวจคน้ ของขา้ ศึกหนีมาสู่พ้ืนท่ีฝ่ าย ของตนได้ ส่วนการหลบหนี หมายถึง การท่ีผูห้ น่ึงผูใ้ ดถูกจบั กุมขงั และพยายามทาตวั ให้หลุดพน้ จากการจบั กมุ คมุ ขงั และกลบั มาสู่พ้ืนที่ของฝ่ายตนไดส้ าเร็จ 2.2.3 การป้องกนั และการปราบปรามการกอ่ ความไม่สงบ อนั เป็ นการทาสงคราม นอกอีกแบบหน่ึง กอ่ นอื่นตอ้ งทาความเขา้ ใจคาว่าการกอ่ ความไม่สงบเสียก่อนคาน้ีฝ่ ายท่ีมีอานาจ รัฐซ่ึงเป็นเสรีประชาธิปไตย หมายถงึ การเคลือ่ นไหวของขบวนการที่มุ่งประสงคจ์ ะลม้ ลา้ งรัฐบาล ดว้ ยการบ่อนทาลายและการตอ่ สู้ดว้ ยอาวธุ ซ่ึงมรี ะดบั ความรุนแรงไม่ถึงข้นั สงครามกลางเมือง บาง ทีก็เรียกว่า ความรุนแรงระดบั ต่า แต่ฝ่ ายตรงขา้ มรัฐบาลจะเรียก การดาเนินการของขบวนการของ ตนวา่ สงครามปฏิวตั ิหรือการปฏวิ ตั ิซ่ึงแบ่งข้นั การดาเนินการใหญๆ่ ออกเป็น 3 ข้นั คือ ข้นั การจดั ต้งั ข้ึนการรับและข้นั การรุก ดงั น้ันการป้องกนั และการปราบปรามการกอ่ ความไม่สงบในความหมาย ของฝ่ ายท่ีมีอานาจรัฐก็คือการดารงไว้ซ่ึงสถานะทางกฎหมายและความสงบเรี ยบร้อย ภายในประเทศที่จาเป็ นดว้ ยการขจดั ความรุนแรงการบ่อนทาลายและการละเมิดต่อกฎหมายเพ่ือให้ ประชาชนมีความศรัทธาเช่ือมน่ั ต่อรัฐบาล โดยมุ่งดา้ นการพฒั นาอนั หมายถึง การดาเนินการเพื่อ สร้างความเจริญเติบโตและดารงไวซ้ ่ึงสถาบนั ท่ีมคี วามสาคญั ยิง่ ในการตอบสนองความตอ้ งการของ สังคม โดยส่วนรวมท้งั ทางดา้ นการเมือง การทหาร เศรษฐกิจและสังคมจิตวิทยา ดา้ นการป้องกนั ภายในอนั หมายถึง มาตรการซ่ึงรัฐบาลใช้ในการพิทกั ษแ์ ละดารงไวซ้ ่ึงความเป็นอิสระของสังคม ให้ปลอดภยั จากการก่อความไม่สงบ เม่อื กล่าวโดยสรุปแลว้ มาตรการท่ีฝ่ายอานาจรัฐจะนามาใชม้ ี 5 ประการ คือ มาตรการหลกั 3 ประการไดแ้ ก่การปรับปรุงสภาพแวดลอ้ มและช่วยเหลือประชาชน การพิทกั ษป์ ระชาชน ทรพั ยากรและการปราบกองกาลงั ตดิ อาวธุ บางทีเรียกว่าการปราบกองโจรกบั มาตรการเสริมอกี 2 ประการ คอื การปฏบิ ตั ิการขา่ วกรองและการปฏิบตั กิ ารจิตวิทยา
- 93 - 2.2.4 สงครามการเมือง หมายถึง การดาเนินการทางการเมืองระหวา่ งประเทศดว้ ย การทูตและด้วยวิธีการอ่ืนเพื่อให้ได้รับชัยชนะทางการเมือง เช่น การลงมติในองค์การ สหประชาชาติและองคก์ ารนานาชาตอิ ืน่ ๆ เพื่อให้มีผลในการบบี บงั คบั ทางการเมอื งแกป่ ระเทศหรือ กลุม่ ประเทศท่มี ที า่ ทีไม่เป็นมิตรหรือแสดงตนเป็นศตั รูโดยเปิ ดเผย 2.2.5 สงครามเศรษฐกิจ หมายถงึ การดาเนินการทางการคา้ การเงินและกิจกรรมที่ เก่ียวกบั เศรษฐกิจระหว่างประเทศดว้ ยการห้ามจากดั การส่งสินคา้ หรือการคา้ ขายสินคา้ บางประเภท หรือทุกประเภทรวมท้งั การปิ ดลอ้ มเมอื งท่า เพื่อมใิ ห้มีการคา้ ขายอนั เป็ นการบีบบงั คบั ทางเศรษฐกิจ เพ่ือให้ยอมจานนต่อความตอ้ งการของฝ่ายตน 2.2.6 การดาเนินการท่ีไม่ใช้กาลงั ทหารโดยใช้ วิธีดาเนินการอ่ืนๆในทางสังคม จิตวิทยา ทางเช้ือชาติศาสนา ซ่ึงก็เรียกว่าเป็ นการดาเนินการสงครามตามประเภทกิจกรรมน้นั ๆโดย ไม่ใช่เป็ นการทาสงครามตามแบบแต่บางคร้ังท่ีเรียกว่าสงครามเพราะมีจุดประสงค์ให้เป็ นเพียง คณุ ศพั ทข์ ยายความ เพ่อื ให้เห็นวา่ การขดั แยง้ น้นั มคี วามรุนแรงหยดุ สงครามเทา่ น้นั ยุทธศาสตร์และหลักการสงคราม เนื่องจากชาติต่างๆยึดถือผลประโยชน์แห่งชาติตนเป็ นหลักในการค้าขายตามนโยบาย ระหว่างประเทศ ดังน้ันในเวลาปกติประเทศต่างๆจึงมีการแข่งขันกันอย่างสันติรวมท้ังการทา ขอ้ ตกลงต่างๆ การลดอาวุธ การควบคุมอาวุธ เพื่อให้ดารงอยู่ด้วยกันโดยสันติ อย่างไรก็ตาม เน่ืองจากทกุ ชาติต่างยึดถือผลประโยชน์แห่งชาติตนเป็ นหลกั จึงมกั จะเกิดการโตแ้ ยง้ กนั ข้ึน ในบาง เหตุการณ์การโตแ้ ยง้ น้ีก็จะมที ้งั ทางเศรษฐกิจ ทางอุดมการณ์ ทางการเมือง ถา้ ไม่สามารถจะจดั การ โตแ้ ยง้ ให้จบลงไดเ้ หตุการณ์น้ันก็จะนาไปสู่การต่อสู้ความวุ่นวายของประชาชน การปะทะกนั ท่ี ชายแดน การปฏิบตั ิการของการสงครามพเิ ศษบางส่วน เช่น การปฏบิ ตั กิ ารของกองโจรต่อจากน้นั ก็ จะนาไปสู่การทาสงครามท้งั สงครามตามแบบและไม่ตามแบบ ในลกั ษณะสงครามจากดั สงคราม ทว่ั ไปหรือสงครามนิวเคลียร์ดว้ ยการยดึ ถือยทุ ธศาสตร์แห่งชาตแิ ละยทุ ธศาสตร์ทางทหารเป็นหลกั ยทุ ธศาสตร์แห่งชาติ หมายถึง ศิลปะและวิทยาศาสตร์ในการพฒั นาและการใชพ้ ลงั อานาจ ทางการเมอื งทางเศรษฐกิจทางสังคมจิตวิทยาและทางการทหารท้งั ในยามปกติและยามสงครามเพื่อ ดารงไวซ้ ่ึงวตั ถุประสงคแ์ ห่งชาติ ยุทธศาสตร์ทางทหาร หมายถึง ศิลปะและวิทยาศาสตร์ในการใชก้ าลงั ทหารของชาติเพื่อ ดารงไวซ้ ่ึงวตั ถุประสงคห์ รือเป้าหมายที่วงไวใ้ นผลประโยชน์ของชาติด้วยการใช้กาลงั ทหารเขา้ ปฏิบตั ิการหรือดว้ ยการคกุ คามว่าจะใชก้ าลงั ทหาร จากคากล่าวท่ีวา่ เป็นศลิ ปะและวิทยาศาสตร์ในการใชก้ าลงั ทหารของชาติน้นั หมายถึง การ รู้จกั ใชก้ าลงั กาลงั พลอาวุธยทุ โธปกรณ์พ้ืนที่และเวลาที่อยู่ให้เป็นประโยชนแ์ ก่ฝ่ ายตนและขดั ขวาง
- 94 - การกระทาของขา้ ศึกให้มากท่ีสุดโดยสอดคลอ้ งกบั ลกั ษณะของความเป็นผูน้ าตามสถานการณ์ใน ขณะน้นั การดารงความมุ่งหมายการริเริ่มรุกความอ่อนตวั กลยทุ ธ์การรวมกาลงั การออกกาลงั การจู่ โจมการขยายผลการระวงั ป้องกนั ความง่าย 1. หลักดารงความมุ่งหมาย หมายถึง การกาหนดวตั ถุประสงค์ไวแ้ น่ชัดและยึดมั่นใน วตั ถุประสงคน์ ้ันในการทาสงคราม เพ่ือทาลายกาลังขา้ ศึกท้ังส่วนท่ีเป็ นรูปธรรม ไดแ้ ก่ กาลังพล ตลอดจนอาวุธยทุ โธปกรณ์ต่างๆ รวมท้งั ทาลายกาลงั ส่วนทเ่ี ป็นนามธรรมไดแ้ ก่ กาลงั ใจของขา้ ศึกท่ี คดิ จะตอ่ สู้ดว้ ยเพ่อื ใหไ้ ดร้ บั ชยั ชนะในท่ีสุด 2. หลกั การริเร่ิมหรือบางคร้ังเรียกว่า การรุก หมายถึง ต้องมีความคิดริเร่ิมก่อนเพื่อบงั คับ ขา้ ศึกให้ปฏิบตั ิตามฝ่ ายเราเป็นการทาให้ฝ่ายข้าศกึ ตอ้ งแกป้ ัญหาอยตู่ ลอดเวลาโดยการเลอื กท่ีหมาย และเวลาปฏิบตั ิการท่ีเหมาะสมซ่ึงฝ่ ายเราจะเป็นฝ่ ายไดเ้ ปรียบ การรู้เท่าน้ันท่ีจะนาชยั ชนะมาสู่การ รบั น้นั จะกระทาต่อเม่ือจาเป็นและเพอ่ื ท่จี ะทาการรุกในโอกาสตอ่ ไปเทา่ น้นั 3. หลักการอ่อนตัวหรือบางคร้ังเรียกว่า กลยุทธ์ หมายถึง การจัดการควบคุมและการ เคล่ือนยา้ ยเพื่อทาการยุทธ์น้ัน จะตอ้ งมีความอ่อนตัวสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างคล่องแคล่ว รวดเร็วจึงจะไดเ้ ปรียบขา้ สึกไมใ่ ช่ทาตามแผนอยา่ งแขง็ กระดา้ งหรือทาตามอยา่ งทเี่ คยทาปกติ 4. หลกั การรวมกาลงั หมายถึง ความพยายามที่จะใชพ้ ลงั และทรัพยากรท้งั หมดทีม่ ีอย่ไู ม่ว่า จะเป็นกาลงั พละกาลงั อาวธุ ยทุ โธปกรณ์ตลอดจนขวญั และวนิ ยั เป็นตน้ ให้เหนือกว่าขา้ ศกึ นะตาบล ท่จี ะทาการรบโดยแตกหกั ในเวลาท่เี หมาะสม 5. หลกั การออมกาลงั หมายถึง การพิจารณาใช้กาลงั เท่าท่ีจาเป็ นในการปฏิบตั ิการคร้ังน้ัน เพอื่ สงวนกาลงั ส่วนใหญเ่ อาไวเ้ ม่อื มคี วามจาเป็นตอ้ งทาการรบแตกหกั 6. หลกั การจู่โจม หมายถงึ การปฏิบตั ิการท่ีทาให้ฝ่ ายขา้ ศึกไม่รู้ตวั หรือรู้ตวั แต่กไ็ ม่สามารถ เตรียมการไดท้ นั ซ่ึงเป็นการทาให้ขา้ ศึกตกเป็นฝ่ ายเสียเปรียบนัน่ เอง ในการจู่โจมน้นั ฝ่ ายรุกจะตอ้ ง ปกปิ ดการปฏิบตั ิการดว้ ยการรักษาความลับ ความรวดเร็วและความสาคญั ในการดาเนินกลยุทธ์ใน ขณะเดียวกนั ก็จะส่งเสริมใหเ้ กิดผลในการรวมกาลงั ดว้ ย 7. หลกั การขยายผล หมายถึง เม่ือการปฏบิ ตั กิ ารยดึ คร้งั น้นั บรรลผุ ลสาเร็จตามเป้าหมายแลว้ ก็ควรจะรีบอาศยั ความไดเ้ ปรียบขณะน้นั ขยายผลแห่งความสาเร็จออกไปให้มากทสี่ ุดทีจ่ ะทาไดเ้ ม่ือ ขา้ ศกึ กาลงั เสียขวญั ระส่าระส่าย 8. หลกั การระวงั ป้องกนั หมายถึง การปฏิบตั ิการท้งั ปวงทจ่ี ะทาให้หน่วยของตนและหน่วย เหนือมคี วามปลอดภยั และมีเสรีในการปฏบิ ตั กิ ารมากย่ิงข้ึน
- 95 - 9. หลกั ความง่าย หมายถงึ การจดั หน่วยก็ดีแผนการปฏบิ ตั ิงานกด็ ีวธิ ีปฏบิ ตั งิ านก็ดีเครื่องมือ เคร่ืองใชก้ ็ดีจะตอ้ งเป็นไปดว้ ยความเรียบร้อยไม่ยงุ่ ยากจนเกินไป สามารถเขา้ ใจและดาเนินการได้ งา่ ยในทุกระดบั เทา่ ทีจ่ ะกระทาได้ หลกั การสงครามน้ีไม่จาเป็นจะตอ้ งนาไปใช้ทุกรอบจะใช้มากน้อยเพียงใดหรือจะเน้นใน หลกั ใดโดยเฉพาะน้นั ข้ึนอยกู่ บั สถานการณ์และลกั ษณะความเป็นผูน้ าของบคุ คลน้นั เป็นสาคญั และ การสงครามน้ีไม่ใช่หลกั ตายตวั อยา่ งในหลกั วิทยาศาสตร์ท่ีกล่าวถึงในสภาวะอนั หน่ึงการกระทา อยา่ งหน่ึงจะทาให้เกิดผลอยา่ งหน่ึงตายตวั และ บางคร้ังเรื่องที่กองทพั จะตอ้ งปฏบิ ตั ิและมอี ยแู่ ลว้ มา เป็นหลกั เพิม่ ข้ึน เช่นความเป็นอนั หน่ึงอนั เดียวกนั ทาให้หลกั การสงครามเพม่ิ ข้นึ มากกว่า 9 หลกั ได้ หลักการสงครามอันหน่ึงย่อมเหมาะกับสถานการณ์อันหน่ึงเท่าน้ัน ปัญหาอยู่ท่ีว่าผู้นาทัพจะ สามารถเขา้ ใจและนาหลกั น้นั ไปใชใ้ หส้ อดคลอ้ งกบั ลกั ษณะความเป็นผนู้ าของตนและเหมาะสมกบั สถานการณน์ ้นั ไดห้ รือไม่เช่นลกั ษณะผูน้ าท่ีห้าวหาญกลา้ เสี่ยงก็อาจจะใชห้ ลกั การจโู่ จมแต่ผนู้ าอีก คนหน่ึงในสถานการณ์อนั เดียวกนั ก็อาจจะใชห้ ลกั การรวมกาลงั จึงจะนาชยั ชนะมาสู่ดงั น้นั หลกั การ สงครามเมอ่ื นาไปใชจ้ ริงจึงมกั เรียกว่า ศลิ ปะการสงคราม ผลกระทบของสงคราม ผลกระทบจากสงครามในคริสตศ์ ตวรรษที่ 20 น้ี คาดว่าจานวนการตายก่อนกาหนดของ ประชากรน้นั เป็นผลโดยตรงจากสงครามประมาณ 80 ถึง 100 ลา้ นคน ในจานวนน้ีเชื่อว่า 50 ลา้ น คน ตายในระหวา่ งสงครามโลกคร้ังท่ี 2 เป็นท่ีน่าสังเกตว่านบั แต่คริสตศ์ ตวรรษที่ 16 เป็นตน้ มา เมื่อ อาวธุ เจริญข้นึ ในสงครามโลกคร้งั ท่ี 2 ปรากฏวา่ ทหารในสนามรบกบั ตายนอ้ ยลง โดยลดจากร้อยละ 25 เหลอื เพยี งร้อยละ 6 แตจ่ านวนพลเรือนกลบั ตายเพม่ิ มากข้ึนอยา่ งรวดเร็ว อนั เป็นผลทาให้สูญเสีย ทางเศรษฐกิจไปเป็ นอันมากอย่างไม่ต้องสงสัย ตัวอย่างเช่น ประเทศสหภาพโซเวียตคาดว่าได้ สูญเสียทรัพยส์ ินไปในสงครามโลกคร้งั ท่ี 2 ถงึ ร้อยละ 40 ของทรพั ยส์ ินทีม่ ีอยทู่ ้งั หมดของชาติ ในสงครามเกาหลปี ระมาณการวา่ มีคนตายจากสงครามน้นั หลายลา้ นคน ชาติทีต่ ายมากคือ จีนและเกาหลีประมาณว่าคนท่ีตายในสงครามจากการบาดเจบ็ มจี ีน 9 แสนคน เกาหลเี หนือ 520,000 คนเกาหลีใต้ 1,300,000 คน ในจานวนของเกาหลีใต้น้ีเป็ นพลเมืองประมาณ 1 ล้านคน สาหรับ คา่ ใชจ้ า่ ยของสหรัฐอเมริกาในสงครามเกาหลีเทา่ ทีท่ ราบมีมูลค่าประมาณ 18 พนั ลา้ นดอลลาร์
- 96 - Korean War สาหรบั สงครามในเวียดนามน้นั จนถงึ วนั สิ้นสุดการถอนกาลงั ออกจากเวยี ดนามเมอ่ื ปี ค.ศ.1973 สหรฐั อเมริกาไดส้ ูญเสียกาลงั พลไป 46,000,397 คน บาดเจ็บ 306,653 คน ค่าใชจ้ า่ ยเทา่ ท่ี ทราบเป็นจานวน 138.9 พนั ลา้ นดอลลาร์ ส่วนการสูญเสียของเวยี ดนามใตน้ ้นั นบั จนถึงวนั ที่ ไซ่งอ่ น แตกทหารเวียดนามใตต้ าย 25,542,557 คน บาดเจ็บ 783,602 คน ส่วนเวียดนามเหนือและเวยี ดกง ประมาณวา่ ตาย 925,000 คนบาดเจบ็ ประมาณ 2-3 ลา้ นคน Vietnam War ผลกระทบของสงครามนอกจากการสูญเสียชีวติ ของทหารและพลเรือนแลว้ ยงั มีผลกระทบ ในทางอ่ืนอีกมาก ดงั น้นั จึงย่อมเป็นส่ิงที่ไม่พึงปรารถนาของมนุษยเ์ พราะสงครามทาให้การพฒั นา ของสังคมมนุษยต์ อ้ งหยุดชะงกั ลงสงครามไดด้ ึงเอาทรัพยากรไปแทนท่ีจะนาไปใช้ในการพฒั นา
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208