Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การผลิตสับปะรดคุณภาพ

การผลิตสับปะรดคุณภาพ

Description: การผลิตสับปะรดคุณภาพ

Search

Read the Text Version

89 ภาพที่ 48 การเพาะเลย้ี งเน้อื เย่ือสับปะรดโดยใชร๎ ะบบ TIB 1.4 การนาตน้ อ่อนออกปลูกและอนุบาลในโรงเรอื น ห ลั ง ขย าย ต๎น สั บ ป ะ ร ด ใน ห๎ อ ง ป ฏิ บั ติก าร เ พ า ะ เ ลี้ ย ง เ นื้ อ เ ยื่ อ 1 - 2 เดือน ต๎นสับปะรดมียอดและรากสมบูรณ์พร๎อมออกปลูก โดยเบื้องต๎น นาต๎นอํอนมาชาในถาดหลุม (72 หลุม) โดยใช๎ขุยมะพร๎าวเป็นวัสดุปลูก อนุบาล ต๎นอํอนในถาดหลุมนาน 14 - 30 วัน แล๎วจึงย๎ายต๎นอํอนจากถาดหลุมลงปลูกใน กระบะเพาะชา แล๎วอนุบาลนานประมาณ 2 - 3 เดือน ซึ่งได๎ความยาวของใบ ประมาณ 15 เซนติเมตร ต๎นพันธจ์ุ ึงพร๎อมปลกู ในแปลงกลางแจ๎ง (ภาพที่ 49)

90 ภาพท่ี 49 การอนบุ าลตน๎ สบั ปะรดที่ได๎จากการเพาะเล้ียงเนื้อเย่ือท่ีชาในถาดหลุม และย๎ายลงกระบะเพาะชาในโรงเรอื นอนบุ าล 1.5 การเตรยี มตน้ สับปะรดพันธุ์ปัตตาเวียปลอดโรคเหยี่ วสาหรบั นาปลกู ในแปลง ห ลั ง ป ลู ก อ นุ บ า ล ต๎ น สั บ ป ะ ร ด ใ น แ ป ล ง อ นุ บ า ล ค ว บ คุ ม โ ร ค และแมลงศัตรูสับปะรดประมาณ 2 - 3 เดือน ความยาวใบประมาณ 15 เซนติเมตร ต๎นพร๎อมปลูกลงแปลง ทาการงดการให๎น้า 2 - 3 วัน และถอนต๎นจากแปลง ทาความสะอาด และจํุมในสารเคมีปูองกันและกาจัดเชื้อราและแมลงศัตรู

91 บรรจใุ นตะกร๎าพลาสติก หรือเขํง หรือวางเรียงในรถเพื่อขนสํงไปปลูกในแปลงผลิต หนอํ พนั ธป์ุ ลอดโรคเห่ยี ว (ภาพที่ 50) ภาพท่ี 50 การถอนต๎นสับปะรดปลอดโรคเห่ียวจากกระบะเพาะชา การจํุมสาร ปูองกันเชอื้ ราและการขนสํง

92 2. การปลกู ตน้ พันธ์ปุ ัตตาเวยี ปลอดโรคเหี่ยว ได๎ดาเนินการเตรียมพื้นท่ีปลูกในศูนย์วิจัยฯ ของกรมวิชาการเกษตร จานวน 4 แหํง ได๎แกํ ศูนย์วิจัยพืชสวนจันทบุรี ศูนย์วิจัยพืชสวนตรัง ศูนย์วิจัยและ พัฒนาการเกษตรอุทยั ธานี และศนู ยว์ จิ ัยและพัฒนาการเกษตรเพชรบุรี (ภาพที่ 51) โดยเตรียมดิน ปรับพื้นท่ี และไถปรับดินให๎ละเอียด ตากดินไว๎ 2 สัปดาห์ จากนั้น จึงทาการปลูกต๎นเพาะเล้ียงเนื้อเยื่อ หลังปลูกรดน้า ดูแลกาจัดวัชพืชในแปลง และรอบบรเิ วณแปลงให๎สะอาด สารวจมดและเพลี้ยแปูงในแปลงและรอบแปลงเดือน ละคร้งั รวมท้ังการใช๎เหย่ือพิษกาจัดมด โดยหวํานสารไฮดราเมทิลโนน 0.73 %GR อัตรา 275 กรัม/ไรํ 2 ครั้ง หวํานพร๎อมปลูกและหลังปลูก 6 เดือน เมื่อพบ การระบาดของเพลี้ยแปูงหลังปลูกต๎องทาการถอนต๎นที่พบเพลี้ยแปูงและนาไป ทาลายและทาการพนํ สารเคมีปอู งกนั กาจดั เฉพาะจดุ ที่พบเพลยี้ แปูงและรศั มีโดยรอบ เพ่ือปูองกันไมํให๎มีการแพรํกระจายของเพล้ียแปูง โดยใช๎สารปูองกันกาจัดแมลง ตามคาแนะนาท่กี ลาํ วมาข๎างต๎น 3. การผลติ หนอ่ พันธ์ุ เม่ือต๎นสับปะรดที่ปลูกมีน้าหนักประมาณ 2-2.5 กิโลกรัม ทาการ บังคับให๎ออกดอก โดยใช๎สารเอทธีฟอน (52 เปอร์เซ็นต์) อัตรา 6 มิลลิลิตร/น้า 20 ลิตร ผสมกับปุ๋ยเคมี 46-0-0 อัตรา 300 กรัม และตักหยอดต๎นละ 60 มิลลิลิตร ทา 2 คร้งั ในชวํ งเวลาเยน็ หํางกัน 4-7 วัน หลังการบังคับดอกประมาณ 60 วัน จะทาการตัดผลท้ิง ท้ังนี้เพ่ือท่ีจะเรํงให๎แตกหนํอเร็วข้ึน ทาโดยฟันใบระหวํางแถว สับปะรดและทาการใสํปุ๋ยและให๎น้าเพ่ือกระตุ๎นให๎เกิดการแตกหนํอเร็ วข้ึน และหลังจากแตกหนํอ 2-3 เดือน จะได๎หนํอที่มีขนาดเหมาะสมสาหรับนาไปปลูก ทาการหักหนอํ และนามามดั รวมกนั และจาหนํายให๎เกษตรกรนาไปปลูกเพ่ือผลิตผล และหนํอตอํ ไป (ภาพท่ี 52)

93 ภาพที่ 51 แปลงผลิตหนํอสับปะรดพันธ์ุปัตตาเวียปลอดโรคเห่ียวท่ีได๎จาก ต๎นทเี่ พาะเลีย้ งเนือ้ เยื่อ

94 ภาพท่ี 52 การบงั คับดอก และหนํอปลอดโรคท่ีพร๎อมปลูก ด๎านผลผลิต (ภาพท่ี 53) พบวํา ต๎นสับปะรดที่ปลูกจากการเพาะเล้ียง เนอื้ เยื่อ จะใช๎เวลานานกวําการปลูกด๎วยหนอํ โดยการปลกู ต๎นทไ่ี ดจ๎ ากการเพาะเลี้ยง เนื้อเย่อื ใชเ๎ วลาตงั้ แตปํ ลูก (ความยาวใบประมาณ 15 เซนติเมตร) จนถึงบังคับดอก ใช๎เวลาประมาณ 15 เดือน ซ่ึงจะช๎ากวําการปลูกด๎วยหนํอประมาณ 5 เดือน ทั้งนี้ เน่ืองจากต๎นที่ปลูกมีขนาดคํอนข๎างเล็ก และลาต๎นมีอาหารสะสมน๎อยมาก ดังนั้น การปลูกต๎นสับปะรดจากการเพาะเลี้ยงเน้ือเย่ือต๎องมีการดูแลอยําง ดีท้ังในด๎าน การควบคุมวัชพืช การให๎น้าและปุ๋ย ซ่ึงต๎นท่ีได๎ให๎ผลผลิตได๎ตามปกติ ขนาดผล จะขึ้นกับขนาดและนา้ หนกั ของต๎นเชํนเดียวกบั การปลูกจากหนํอ ภาพที่ 53 ผลสบั ปะรดพันธุป์ ตั ตาเวียปลอดโรคเหี่ยวทป่ี ลกู จากต๎นเพาะเล้ยี งเน้ือเย่อื

95 นอกจากนี้ทางโครงการยงั ไดด๎ าเนนิ การจดั ฝกึ อบรมเกษตรกรตามแหลงํ ปลกู ตํางๆ (ภาพที่ 54) เพื่อให๎เกษตรกรผ๎ูปลูกได๎ร๎ูและตระหนักถึงปัญหา สาเหตุและ ความรุนแรงของโรคเหี่ยว รวมท้ังการให๎ความรู๎ด๎านการผลิตต๎นพันธุ์ปลอดโรค การดูแลรักษาแปลง การจัดการแมลงศัตรูพาหะโรคเห่ียว การจัดการธาตุอาหาร รวมทั้งการจัดการวัชพืชในแปลงสับปะรดอยํางเหมาะสม ท้ังน้ีเพ่ือให๎เกษตรกร ได๎นาความรู๎เหลํานี้ไปปรับใช๎ในการบริหารจัดการแปลงปลูกของตนให๎ปราศจาก โรคเหย่ี วและไดผ๎ ลผลติ ค๎มุ คํากบั การลงทุน ภาพที่ 54 การฝกึ อบรมเกษตรกรและศกึ ษาดูงานแปลงปลกู สบั ปะรดปลอดโรคที่ได๎จาก การเพาะเล้ียงเนอ้ื เยือ่ ด๎านการจัดการศัตรูพืชในสับปะรด (สุเทพ, 2559) นับวํามีความจาเป็น เพือ่ ให๎ สับปะรดสามารถเจริญเติบโตและให๎ผลผลิตท่ีมีคุณภาพ โดยลักษณะการเข๎า ทาลายและการปูองกันกาจัด มีดังนี้ (ตารางที่ 18)

96 ตารางที่ 18 ศัตรพู ชื ที่สาคญั ของสบั ปะรดและการปูองกันกาจดั ชนิดศตั รูพืช สาเหตุ ลักษณะการเขา้ การป้องกนั กาจัด ทาลาย โรคท่ีสาคัญ เช้ือไวรสั มเี พลี้ยแปงู เปน็ พาหะ 1. วธิ เี ขตกรรม 1. โรคเหยี่ ว (pine apple (pine apple นาโรค โดยดูดกินน้า 1.1 ไถและพรวนดินหลายๆ ครั้ง mealybug mealybug เลี้ยงจากต๎นสับปะรด ตากดินอยํางน๎อย 2 สัปดาห์ เพื่อลด wilt) wilt ที่เป็นโรคเหี่ยวสูํต๎น ปริมาณเพลย้ี แปงู และศัตรอู น่ื ๆ ในดิน associated virus;PMWaV) ป ก ติ แ ล ะ มี ม ด เ ป็ น 1.2 ทาความสะอาดแปลง เก็บ ตวั แพรํกระจายเพล้ีย วัชพืชซากพืช ออกจากแปลงหลัง แปงู เก็บเกย่ี ว 1.3 ใช๎หนอํ พันธุ์ท่ีปราศจากเพลี้ย แปูงและโรคเห่ยี ว 2. วิธีกล เก็บต๎นสับปะรดที่แสดง อ า ก า ร โ ร ค เ ห่ี ย ว ไ ป ท า ล า ย นอกแปลง 3. วิธกี ารใชส้ ารเคมี 3.1 แหลํงท่มี ีการระบาดของเพล้ีย แปูง หรือการระบาดของโรคเหี่ยว ควรแชํหนํอพันธ์ุด๎วยสารฆําแมลงเพื่อ กาจัดเพล้ียแปูงท่ีติดมากับหนํอพันธ์ุ ปูองกนั ไดป๎ ระมาณ 1 เดือน โดยการแชํ หนํอพันธุ์นาน 5 - 10 นาที ด๎วย สารฆําแมลงดงั ตอํ ไปน้ี - ไทอะมีโทแซม 25 %WG อัตรา 4 กรัม/นา้ 20 ลติ ร - อมิ ิดาโคลพริด 70 %WG อตั รา 4 กรมั /นา้ 20 ลิตร - ไดโนทีฟแู รน 10 %WP อัตรา 50 กรัม/น้า 20 ลิตร

97 ตารางท่ี 18 ศตั รูพืชท่ีสาคญั ของสบั ปะรดและการปอู งกันกาจัด (ตํอ) ชนดิ ศตั รพู ืช สาเหตุ ลักษณะการเขา้ การป้องกนั กาจดั ทาลาย 3.2 เมื่อพบการระบาดของเพล้ีย แปูงหลังปลูก ให๎ใช๎สารเคมีในการ ปอู งกันกาจัดเฉพาะจุดที่พบเพลี้ยแปูง และรัศมีโดยรอบ เพื่อปูองกันไมํให๎มี กา ร แพ รํ กร ะ จา ย ขอ ง เพ ลี้ ยแ ปู ง สารเคมีที่ใช๎มดี งั นี้ - ไทอะมีโทแซม 25 %WG อตั รา 2 กรมั /น้า 20 ลิตร - ไดโนทีฟูแรน 10 %WP อตั รา 20 กรมั /น้า 20 ลิตร - อิมดิ าโคลพริด 10 %SL อัตรา 20 มล/น้า 20 ลิตร - อะเซททามพิ รดิ 20 %SP อัตรา 10 กรัม/น้า 20 ลติ ร 3.3 การใช๎เหย่ือพิษกาจัดมด หวํานสารไฮดราเมทิลโนน 0.73 %GR อัตรา 275 กรัม/ไรํ 2 ครั้ง โดยหวําน พรอ๎ มปลูก และหลงั ปลูก 6 เดือน หมายเหตุ ในแหลํงปลูกท่ีไมํมีปัญหา โรคเหี่ยวสับปะรด ไมํจาเป็นต๎องใช๎ สารฆําแมลง 2. โรคยอดเนา่ เชอื้ แบคทีเรีย เชื้อแพรํระบาดจาก เตรียมดินปลูกที่ดี เพ่ือลดปริมา ณ และยอดล้ม Erwinia ดนิ เข๎าทางยอด และ เชื้อแบคทเี รยี สาเหตุของโรคในดินที่จะ (Bacterial chrysanthemi เข๎าทาลายโคนใบทา กระเซ็นสํูต๎นสับปะรด และพํนสาร heart rot and ให๎ใบเนาํ ปูองกนั กาจัดเช้อื แบคทีเรีย fruit collapse)

98 ตารางที่ 18 ศตั รพู ืชท่ีสาคัญของสบั ปะรดและการปูองกันกาจัด (ตํอ) ชนิดศตั รูพชื สาเหตุ ลักษณะการเขา้ การป้องกันกาจดั ทาลาย 3. โรครากเน่า เชอื้ รา เชื้อ P.nicotianae 1. อบฆําเช้ือดินแปลงปลูกด๎วย และยอดเน่า Phytophthora ระ บ าด ที่ อุณ ห ภู มิ ไดคลอโรโพรีน (1,3 dichloraprorene) (Phytophthora nicotianae 25-30 องศาเซลเซียส ยกรอํ งแปลงให๎สูงเพอ่ื ใหร๎ ะบายนา้ ดี heart rot, and var. parasitica สภาพดินแห๎งแล๎ง 2. การเตรยี มดนิ โดยเพ่มิ จลุ ินทรีย์ root rot) P.palmivora แ ล ะ เ ป็ น ก ร ด สู ง และเชื้อไตรโคเดอร์มาชํวยลดปัญหา P.cinnamomi สํวน P. cinnamomi โรคยอดเนาํ ระ บ าด ท่ี อุณ ห ภู มิ 3. จํุมหนอํ ในสารปอู งกนั กาจัดเช้ือรา 19-25 องศาเซลเซียส เชํน ฟอสอีทิล อลูมินัม 80 %WP และความช้ืนสูง อตั รา 80 - 100 กรัม/นา้ 20 ลิตร หรือ พนํ ลาต๎นเป็นระยะ ทุกๆ 3 - 6 เดอื น 4. โรคผลแกน เชอ้ื แบคทีเรยี เชื้อแบคทีเรียเข๎าสูํ ให๎น้าสม่าเสมอและพํนโพแทสเซียม- (Marbling Acetobacter ผลทางแผลและทํอ คลอไรด์ หลงั การบงั คบั ดอก 90 - 105 disease, peroxydans, น้ า ห ว า น ( nectar วัน โดยใช๎อัตรา 1 กิโลกรัม/น้า 20 Marble fruit, Erwinia duct) และอาจมีไรแดง ลิตร Bacterial fruit herbicola var. ระบาด ซ่ึงชํวยให๎บัก rot) ananas เตรเี ข๎าสูํผลได๎งาํ ย แมลงทสี่ าคัญ 1. เพลีย้ แปงู - ดูดกินน้าเลี้ยงผํานทาง - ใช๎สารเคมีฆําแมลงตามวิธีการ Dysmicococus ทํออาหาร เชื้อไวรัส ปูองกนั โรคเหี่ยวสับปะรด brevipes, พักตัวในต๎นและแสดง D.neobrevipes อาการเมอ่ื ตน๎ อํอนแอ 2. มด (มดหัวโต - มดนาเพล้ยี แปูง จาก - ใช๎เหยอื่ พิษกาจัดมด โดยหวํานสาร (Big Headed Ant : Phei dole ต๎ น สั บ ป ะ ร ด สูํ ต๎ น ไฮดราเมทิลโนน 0.73 %GR อัตรา megacephala สับปะรด 275 กรัม/ไรํ หวําน 2 คร้ัง พร๎อม (F.) และมดแดง (Fire Ant : ปลูก และหลงั ปลูก 6 เดอื น Solenopsis geminate (F.)

99 4.10 วชั พชื ท่สี าคญั และการปอ้ งกันกาจัด (สริ ชิ ัย, 2559) ปัจจุบันการปลูกสับปะรดของเกษตรกรประสบปัญหาด๎านการจัดการ วัชพืช เนื่องจากการใช๎สารกาจัดวัชพืชชนิดเดิมติดตํอกันเป็นเวลานาน ทาใหว๎ ัชพชื สามารถปรับตัวได๎ สํงผลตอํ ปริมาณและคุณภาพผลผลิตสับปะรด วัชพืช เป็นตัวแยํงปัจจัยการเจริญเติบโตและเป็นท่ีอาศัยของแมลงศัตรูพืช เน่ืองจาก สับปะรดเป็นพืชที่เจริญเติบโตช๎าในระยะแรก จึงเป็นพืชท่ีมีศักยภาพด๎อย ในการแขํงขันกับวัชพืช จาเป็นต๎องกาจัดวัชพืชในชํวงเวลาดังกลําว หากไมํกาจัด วชั พืชจะทาให๎สูญเสียผลผลิตประมาณ 64.3 - 80.8 เปอร์เซ็นต์ โดยวัชพืชใบกว๎าง และเถาเล้ือย ทาให๎การเจริญเติบโตของสับปะรดลดลง 19.8 เปอร์เซ็นต์ ผลผลิต เสียหาย 55.8 เปอร์เซ็นต์ ความสูญเสียผลผลิตข้ึนกับชนิดวัชพืช ความหนาแนํน และองค์ประกอบส่ิงแวดล๎อม เชํน ความอุดมสมบูรณ์ของดิน ความชื้น ปริมาณฝน หากปัจจัยเพื่อการเจริญเติบโตของพืชมีความเหมาะสมมาก ยํอมมีผลดีตํอ การเจริญเติบโตของวัชพืช ชํวงเวลาการแขํงขันของวัชพืชไมํควรเกิน 2 เดือนแรก และชวํ งเวลาปลอดวัชพืช คอื 4 เดอื นแรก จงึ จะไมํเกิดความสูญเสยี ผลผลิตถึงระดับ เศรษฐกิจ การป้องกันกาจัดวัชพืชในการปลูกสับปะรด ทาได๎หลายวิธี แตํละวิธี ให๎ผลในการควบคุมวัชพืชได๎แตกตํางกั นแล๎วแตํความเหมาะสมของสภาพพื้น ที่ และความพร๎อมของผ๎ปู ฏบิ ตั ิ ท่จี ะเลือกใชว๎ ธิ ีการอยํางหนึ่งอยํางใด หรือจะนาหลาย วธิ มี าประยุกต์ใชร๎ วํ มกันตามความเหมาะสม โดยวิธีการปูองกันกาจัดวัชพืชสามารถ แยกออกเปน็ 2 วธิ ีการ คอื 1. การปอู งกันกาจัดวัชพืชโดยไมํใช๎สารกาจัดวัชพืช อาทิเชํน การไถ เตรยี มดนิ การใชแ๎ รงงานคนหรอื เครื่องมือกล และการใช๎วสั ดุคลุมดิน เปน็ ตน๎ 2. การปอู งกันกาจดั วัชพืชโดยใชส๎ ารกาจัดวชั พชื (ตารางท่ี 19) การใช๎ สารกาจัดวัชพชื เป็นวธิ กี ารกาจดั วัชพืชที่ไดผ๎ ลดวี ิธีหน่งึ สามารถชวํ ยประหยดั แรงงาน ลดต๎นทุนการผลิต กาจัดวัชพืชได๎ทันเวลาการแขํงขันของวัชพืชกับพืชปลูก

100 ถ๎าสามารถเลือกใช๎สารกาจัดวัชพืชได๎อยํางถูกต๎อง ใช๎อยํางถูกวิธี ไมํเกิดผลเสีย ตํอพชื ปลูก และไมเํ ป็นอันตรายตํอผูใ๎ ช๎ ดงั นัน้ ผู๎ทจี่ ะใช๎สารกาจัดวัชพืชต๎องมีความร๎ู ความเข๎าใจ ในเร่ืองการใช๎สารกาจัดวัชพืชให๎ถูกต๎อง จึงจะได๎ประโยชน์ ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพในการควบคุมวัชพืช มีผลตอํ การใหผ๎ ลผลติ ของพืชปลกู ไดเ๎ ตม็ ท่ี การแบ่งชนิดของสารกาจัดวัชพืช แบํงตามอายุหรือขนาดของวัชพืช หรือพืชปลูก เพื่อควบคุมวัชพืชในชํวงระยะเวลาที่ต๎องการ ตามคุณสมบัติ การเข๎าทาลาย การเลอื กทาลาย การทาลายในพืชของสารนั้นๆ สามารถแบงํ ได๎ คือ 1. สารกาจัดวัชพืชประเภทกํอนงอก เป็นสารกาจัดวัชพืชท่ีต๎องพํนกํอน เมล็ดวัชพืชหรือกํอนวัชพืชโผลํพ๎นผิวดิน จะเป็นสารชนิดท่ีเคลื่อนย๎ายในพืช โดยเขา๎ ทางยอดอํอน หรอื รากออํ นของวัชพืช การใชส๎ ารประเภทนดี้ ินควรมีความช้ืน พอท่ีจะให๎เมล็ดวัชพืชงอกขึ้นมา เพื่อสวํ นยอดของตน๎ หรือรากได๎รับสาร 2. สารกาจัดวัชพืชประเภทหลังงอก เป็นสารกาจัดวัชพืชที่ใช๎พํนไปบน ต๎นวัชพืช อาจเป็นสารชนิดเลือกทาลาย หรือเป็นสารชนิดไมํเลือกทาลาย เพราะฉะนั้นการท่ีจะเลือกใช๎สารชนิดน้ีจะต๎องใช๎ตามคาแนะนาอยํางเครํงครัด เพราะการใช๎ผิดชนิด ผิดวิธี อาจเป็นอันตรายตํอพืชปลูกได๎ นอกจากนี้สารกาจัด วชั พชื ชนดิ นี้ยังแบงํ ออกเปน็ ชนดิ ยอํ ยๆ ตามระยะเวลาการพํนได๎ คอื 2.1 ชนดิ พํนระยะวัชพืชยังเป็นต๎นอํอน เป็นสารที่กาหนดให๎ใช๎กับพืช ในอตั ราท่ีแนะนาในชํวงที่วัชพืชยังเล็ก เชํน ระยะวัชพืชมี 3 - 5 ใบ จะสามารถ ควบคุมวัชพืชชนิดน้นั ๆ ได๎ และอาจเป็นสารประเภทเลอื กทาลาย 2.2 ชนิดพํนระยะวัชพืชโตแล๎ว เป็นสารที่ใช๎พํนกาจัดวัชพืชในชํวงท่ี วชั พืชโตแลว๎ แตไํ มคํ วรเกนิ ระยะออกดอก หรืออาจใช๎กํอนปลูกพชื วิธีการใช้สารกาจัดวัชพืช เน่ืองจากสารกาจัดวัชพืชมีมากชนิด แตํละ ชนิดมีคุณสมบัติในการเข๎าทาลายพืชแตกตํางกันไป ตามวัตถุประสงค์ของผู๎ผลิต ดังน้ัน การท่ีจะใช๎สารกาจัดวัชพืชให๎มีประสิทธิภาพในการกาจัดวัชพืชใดๆ ตามคุณสมบตั ขิ องสารนัน้ สารกาจดั วัชพืชตอ๎ ง

101 1. ตอ๎ งถกู ต๎นพืชในปริมาณท่ีทั่วทัง้ ตน๎ 2. ตอ๎ งถูกดดู ซึมเขา๎ ไปในพืช 3. ตอ๎ งเข๎าไปสูํสํวนทจี่ ะทาลายของพืชและไมํถูกทาลายโดยพืช 4. ต๎องมปี ริมาณมากพอทจี่ ะกอํ ให๎เกิดผลความเป็นพษิ ตอํ พชื หลักการใช้สารกาจัดวัชพืชให้มีประสิทธิภาพ สารกาจัดวัชพืชท่ีมี จาหนํายอยํางถูกต๎องตามกฎหมาย จะผํานการทดสอบจากนักวิชาการของรัฐ จากบริษทั ผ๎ูจาหนาํ ย ในด๎านประสิทธภิ าพของสารตํอการกาจัดวัชพืชตํางๆ มาแล๎ว วาํ สามารถกาจัดวัชพชื ชนิดใด ในพืชปลูกชนิดใด ในอัตราและวิธีการใช๎สารอยํางไร จึงจะสามารถขึ้นทะเบียนจาหนําย และมีฉลากปิดบนภาชนะท่ีบรรจุ บอกถึง คุณสมบัติของสาร และวิธีการใช๎สารดังกลําว การนาสารกาจัดวัชพืชใดๆ มาใช๎ จึงจาเป็นต๎องปฏิบัติตามคาแนะนาการใช๎บนฉลากบรรจุให๎ถูกต๎อง จึงจะได๎ ประสิทธิภาพตามตอ๎ งการ โดยหลักการปฏิบัติที่สาคัญ เพื่อให๎สามารถใช๎สารกาจัด วชั พชื ได๎อยาํ งมีประสิทธภิ าพ มีดังนี้ 1. ใชช๎ นดิ ของสารให๎ถูกต๎องตามคาแนะนา โดยสง่ิ ทีต่ ๎องคานงึ คอื - ใช๎ได๎กับพืชปลูกที่ต๎องการกาจัดวัชพืช โดยไมํเป็นอันตราย ตอํ พชื หรือตอ๎ งระวงั การใช๎ - สามารถกาจัดวชั พืชท่ตี อ๎ งการได๎ - รูว๎ ธิ กี ารใชแ๎ ละปฏิบตั ิ 2. ใชว๎ ธิ กี ารพํนทถ่ี ูกต๎อง จะต๎องทราบวิธีการใช๎สารกาจัดวัชพืชนั้นๆ วําจะใช๎อยํางไร เชํน การเลือกหัวพํนที่ถูกต๎อง การพํนต๎องระวังไมํให๎โดนต๎นพื ช อาจจะต๎องใสํหัวครอบกันละออง สารกาจัดวัชพืชทุกชนิดจะมีคาแนะนาการใช๎ แตกตาํ งกนั ไปตามคณุ สมบัติ และประสทิ ธภิ าพของสารน้ัน 3. ใช๎อัตราที่ถูกต๎อง การใช๎สารกาจัดวัชพืชไมํถูกต๎องตามอัตรา ที่แนะนาจะมีผลตํอประสิทธิภาพการกาจัดวัชพืช และมีผลตํอพืชท่ีปลูก การใช๎

102 สารกาจัดวัชพืชในอัตราที่กาหนดจะเป็นอันตรายที่พอเหมาะตํอการกาจัดวัชพืช และไมเํ ปน็ อันตรายตํอพืชปลกู การพนํ สารตา่ กวําอัตราท่ีกาหนดจะไมํเป็นอันตราย ตํอพืชที่ปลูกและไมํสามารถกาจัดวัชพืชได๎เต็มประสิทธิภาพ ขณะเดียวกัน การพํนสารอัตราสูงกวําท่ีกาห นดจะสามารถกาจัดวัชพืชได๎ ดีแตํอาจมีผ ลความ เป็นพษิ ตอํ พชื ที่ปลูก ถึงแม๎อาจจะไมํเป็นพิษตํอพืชแตํก็ทาให๎ส้ินเปลือง เพิ่มต๎นทุน การปลูกพชื และอาจมีผลตกคา๎ งของสารทอ่ี าจเป็นอันตรายตํอส่ิงแวดล๎อม อีกท้ังยัง อาจทาใหเ๎ กิดการตา๎ นทานตํอวชั พชื ไดถ๎ ๎ามกี ารใชต๎ ดิ ตํอกนั นานๆ 4. ใช๎ตามระยะเวลาท่ีกาหนด สารกาจัดวัชพืชแตํละชนิดจะมี คุณสมบัติในการทาลายพืชที่แตกตํางกัน การที่จะให๎ได๎ประสิทธิภาพในการกาจัด วัชพืช ต๎องมีการใช๎อยํางถูกต๎องตามระยะเวลาที่กาหนด เชํน สารบางชนิด ถูกกาหนดให๎ใช๎พํนกํอนการงอกของวัชพืชและพืชปลูก สารบางชนิดให๎ใช๎พํนกํอน การย๎ายปลูกพืช สารบางชนิดให๎ใช๎พํนหลังจากวัชพืชงอกแล๎ว 2 - 5 ใบ เป็นต๎น นอกจากนี้การพํนสารกาจัดวัชพืชลําช๎ากวําระยะเวลาที่กาหนดมาก ถึงแม๎จะ สามารถกาจดั วชั พชื ได๎ แตบํ างคร้ังอาจไมํได๎ผลในการลดการแขํงขันของวัชพืชตํอพืช ท่ีปลกู หรือเพมิ่ ผลผลิตพชื ได๎ เนื่องจากวัชพชื เกิดการแขํงขนั กับพชื ที่ปลูกมากํอนแลว๎ และการใช๎สารผิดระยะเวลาท่ีกาหนดอาจมีผลเสียในด๎านอื่นๆ เชํน การตกค๎าง ของสาร การเกดิ ความตา๎ นทานของวชั พืชตอํ สาร เป็นตน๎ 5. การระวังความปลอดภยั ตอํ ตนเองและส่ิงแวดล๎อม สารกาจัดวัชพืช เป็นสารท่ีมีผลในด๎านความเป็นพิษตํอพืช จึงยํอมเป็นพิษตํอคน สัตว์ ได๎เชํนกัน ผู๎พํนสารหรือใช๎สารกาจัดวัชพืชต๎องระวังความปลอดภัยตํอการใช๎ทั้งตํอตนเอง การผสมสาร การพํนสาร การเก็บรักษา การทาลายภาชนะที่ใช๎บรรจุสาร การทา ความสะอาดตวั เอง เคร่อื งนงุํ หมํ ทีใ่ ช๎ในการพํน เคร่ืองมอื พนํ จะต๎องทาอยํางถูกต๎อง และระมัดระวัง การพํนสารจะต๎องระวังไมํให๎ละอองสารปลิวไปโดนพืชอ่ืนๆ ที่อยูํ ใกลเ๎ คียง หรอื ปลวิ ไปลงแหลํงนา้ เปน็ ต๎น

103 การจดั การวชั พชื ตา้ นทานสารกาจดั วัชพืช กลยุทธ์การจัดการวัชพืชต๎านทานสารกาจัดวัชพืชและการขัดขวาง การแพรํหลายของการตา๎ นทานทั่วไป ดังนี้ 1. การปลกู พืชหมนุ เวยี น 2. ใช๎การไถพรวน ระบบเขตกรรม และกระบวนการอื่น ๆ ในการหมุนเวยี นถ๎าทาได๎ 3. หมุนเวยี นการใชส๎ ารกาจัดวชั พชื ท่มี กี ลไกการเข๎าทาลายแตกตาํ งกัน 4. ใช๎สารผสม (thank-mixture) ในอัตราที่ได๎ผลดี และตํางกลไก การเข๎าทาลาย 5. หลกี เลี่ยงการใชส๎ ารกาจดั วชั พืชชนดิ เดมิ ซา้ แลว๎ ซ้าอกี 6. ควบคุมวัชพืชในพื้นที่รกร๎างหรือพ้ืนท่ีปลูกเพ่ือปูองกัน การแพรํกระจาย 7. หากสงสัยวําวัชพืชต๎านทานสารหลังการใช๎สารกาจัดวัชพืช พยายามกาจดั ดว๎ ยสารกาจัดวชั พชื ท่เี ปน็ ทางเลือกหรือดว๎ ยวิธกี าร ตํางๆ อยําปลํอยให๎วัชพืชติดเมล็ด เก็บตัวอยํางเมล็ดพันธ์ุจาก วัชพืชต๎องสงสัยสํงกลุํมบริหารศัตรูพืช สานักวิจัยพัฒนาการ อารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร

ตารางที่ 19 สารกาจัดวัชพืชที่ใช๎ในไรสํ บั ปะรด สารกาจัดวชั พชื อตั ราการใช้ ระยะเวลากา (ช่อื สามญั ) (กรัมหรอื มลิ ลลิ ติ ร) ตอ่ น้า 60 - 80 ลติ ร พ้ืนท่ี 1 ไร่ เฮก็ ซาซิโนน 90 - 180 พํนกํอนปลูกสบั ปะร (hexazinone) ประมาณ 2 สัปดาห อาทราซีน 300 - 500 พนํ คลมุ ดินหลังปลูก (atrazine) กอํ นวชั พืชงอก

104 ารใช้ วัชพชื ทีสามารถควบคุมได้ ข้อแนะนาเพ่ิมเตมิ รด วชั พืชที่งอกจากเมล็ด พํนขณะดินมีความช้ื น ห์ ประเภทใบแคบ ใบกว๎าง ห๎ามปลูกพืชอ่ืนภายใน และ กก 18 เดือน ยกเว๎นอ๎อย และสบั ปะรด กพืชและ วชั พืชท่ีงอกจากเมล็ด เชํน ควรไถเตรียมดินให๎รํวน หญา๎ ตีนนก หญ๎านกสีชมพู ดนิ ควรมีความชื้น และไมํ หญา๎ ตีนกา ผักโขม ผักยาง ควรมีต๎นวัชพืชงอกขึ้นมา ผักเบี้ยหนิ กํอนปลกู สับปะรด

ตารางที่ 19 สารกาจัดวัชพชื ท่ใี ชใ๎ นไรํสับปะรด (ตอํ ) สารกาจดั วชั พชื อตั ราการใช้ ระยะเวลากา (ช่อื สามญั ) (กรมั หรือมิลลิลติ ร) ตอ่ นา้ 60 - 80 ลติ ร พืน้ ท่ี 1 ไร่ ไดยูรอน 360 - 720 พํนคลุมดินหลังปลูก (diuron) กอํ นวัชพืชงอก ซัลเฟนทราโซน 60 - 90 พนํ คลุมดินหลังปลกู (sulfentrazone) กํอนวัชพืชงอก

105 ารใช้ วัชพชื ทสี ามารถควบคุมได้ ขอ้ แนะนาเพมิ่ เตมิ กพืชและ วชั พืชทงี่ อกจากเมล็ด เชนํ ควรมีการไถเตรียมดินให๎ หญา๎ ขจรจบ หญ๎าตีนนก รํวน ดินควรมีความชื้น ผกั เบี้ยหนิ ผกั โขม และไมํควรมตี ๎นวัชพืชงอก ขนึ้ มากํอนปลกู สับปะรด กพืชและ วัชพืชที่งอก จากเมล็ด เชนํ ควรมีการไถเตรียมดินให๎ หญ๎าขจรจบ หญ๎าตนี นก รํวนพอสมควรดินควรมี ผักเบีย้ หนิ ผกั โขม ความชื้ นแ ละไ มํค วร มี ต๎นวัชพืชงอกขึ้นมากํอน ปลูกสบั ปะรด

ตารางท่ี 19 สารกาจดั วชั พชื ท่ีใชใ๎ นไรํสับปะรด (ตอํ ) สารกาจัดวัชพืช อตั ราการใช้ ระยะเวลากา (ชอ่ื สามัญ) (กรัมหรือมลิ ลลิ ติ ร) ตอ่ นา้ 60 - 80 ลติ ร พื้นที่ 1 ไร่ เพนดิเมทาลิน 200 - 300 พํนคลมุ ดินหลังปลกู (pendimethalin) กํอนวชั พืชงอก อามที รีน 360 - 720 พนํ คลุมดนิ หลังปลกู (ametryne) กํอนวัชพืชงอก โบรมาซลิ 270 - 540 พนํ คลุมดนิ หลังปลูก (bromacil) วชั พชื งอก หรอื พํนห วัชพืชงอกสูงประมา เซนติเมตร

106 ารใช้ วัชพืชทีสามารถควบคมุ ได้ ขอ้ แนะนาเพ่ิมเตมิ กพืชและ วชั พืชท่งี อกจากเมล็ด เชนํ ควรไถเตรยี มดิน ใหร๎ ํวน หญา๎ ขจรจบ หญ๎าตนี นก พอสมควร ดินควรมคี วามช้ืน ผกั เบี้ยหนิ ผกั โขม และไมํควรมตี ๎นวชั พชื งอก ขน้ึ มากอํ นปลูกสบั ปะรด กพืชและ วชั พืชทีง่ อกจากเมล็ด เชํน พนํ หลงั จากวชั พชื งอกแล๎ว หญ๎าตีนนก หญ๎าตนี กา ควรผสมสารจบั ใบ 0.1-0.3 ผักโขม น้านมราชสีห์ ผักยาง เปอร์เซ็นต์ โดยปรมิ าตร กพืชกํอน วัชพืชที่งอกจากเมล็ด เชํน พนํ หลงั จากวชั พืชงอกแลว๎ หลงั จาก หญ๎าตนี ตดิ หญ๎าตนี กา ควรผสมสารจับใบ 0.1-0.3 าณ 10 -15 ผักยาง สาบเสือ เปอร์เซ็นต์ โดยปรมิ าตร

ตารางที่ 19 สารกาจัดวัชพชื ทใ่ี ชใ๎ นไรํสบั ปะรด (ตํอ) สารกาจัดวชั พืช อัตราการใช้ ระยะเวลากา (ช่อื สามัญ) (กรัมหรือมิลลลิ ิตร) พํนกํอนวัชพชื งอก ห โบรมาซลิ +ไดยรู อน ต่อนา้ 60 - 80 งอกแล๎วสงู ประมาณ (bromacil+diuron) ลติ ร พืน้ ท่ี 1 ไร่ เซนตเิ มตร. (240 - 400) + (240 - 400) โบรมาซลิ +อาทราซนี (320 - 360) พํนกํอนวัชพืชงอก ห (bromacil+atrazine) + งอกแล๎วสูง ประมาณ เซนติเมตร (360 - 480)

107 ารใช้ วัชพืชทีสามารถควบคมุ ได้ ข้อแนะนาเพิม่ เตมิ หรอื วัชพืช วชั พชื ที่งอกจากเมล็ด เชนํ พํนหลังจากวัชพืชงอกแล๎ว ณ 10-15 หญา๎ ปากควาย หญา๎ ตีน ควรผสมสารจบั ใบ 0.1-0.3 ตดิ หญา๎ ขจรจบ สาบเสือ เปอร์เซน็ ต์ โดยปริมาตร ผักยาง ผักเบ้ยี ใหญํ แมงลักปุา หรอื วัชพืช วัชพืชท่ีงอกจากเมลด็ เชํน พนํ หลังจากวชั พชื งอกแลว๎ ณ 10-15 หญ๎าปากควาย หญา๎ ตีน ควรผสมสารจบั ใบ 0.1-0.3 ตดิ ผกั ยาง น้านมราชสีห์ เปอรเ์ ซ็นต์ โดยปรมิ าตร

108 4.11 สรุปแนวทางการปฏบิ ตั ดิ ูแลรักษาสับปะรดในรอบปี ในปี 2554 สานกั งานคณะกรรมการวิจยั แหํงชาติ ไดม๎ อบหมายหนํวยงาน ที่เกี่ยวข๎องในด๎านพืชสรุปขั้นตอนการดูแลรักษาพืชในรอบปีต้ังแตํเดือนสัปดาห์ ที่ 1 ถึงสัปดาห์ที่ 52 ในสํวนของพืชสับปะรด ทวีศักดิ์ (2554) ได๎สรุปขั้นตอน การปฏบิ ตั ิเพือ่ แนะนาเกษตรกรใช๎เปน็ แนวทางในการผลิตสับปะรดคณุ ภาพ (ตารางที่ 20) ดังนี้ ตารางที่ 20 แผนการทางานในไรสํ บั ปะรดในรอบ 52 สปั ดาห์ (1 รนํุ ) สภาพแปลง ต้น งานทีต่ ้องทา สปั ดาห์ที่ 1 1. การเตรียมแปลงและเก็บตัวอยํางดิน วิเคราะหธ์ าตุอาหารกรณีแปลงเกําสับต๎น แปลงเกําท้ิงไว๎ 15 วัน แล๎วเผาหรือท้ิงไว๎ ใหย๎ อํ ยสลาย (กรณไี มเํ ป็นโรคเห่ียว) 2. การไถ ไถลกึ 20 - 40 เซนติเมตร. และไถ อยํางน๎อย 2 ครั้ง และในสภาพพ้ืนท่ีราบ ควรยกรํองเพ่ือให๎ระบายน้าได๎ดีและ ปอู งกนั นา้ ขัง และทาการตากดิน สปั ดาหท์ ี่ 2 1. ตากดนิ ไวอ๎ ยํางน๎อย 2 สัปดาห์ เพ่ือกาจัด เช้อื โรค/และศตั รตู าํ งๆ ทีอ่ ยใํู นดนิ 2. การกาจัดวัชพืช หลังเตรียมดินพํน สา ร ก าจั ด วั ชพืชโ ด ยใ ช๎ ไก ลโ ฟ เ ส ท 48 %SL อัตรา 500 - 600 มลิ ลลิ ติ ร/ไรํ

109 ตารางที่ 20 แผนการทางานในไรสํ บั ปะรดในรอบ 52 สัปดาห์ (1 รุนํ ) (ตํอ) สภาพแปลง ต้น งานท่ตี อ้ งทา สปั ดาห์ท่ี 3 1. การเตรียมหนํอพันธุ์ โดยเลือกหนํอพันธุ์ จากแปลงทีไ่ มมํ ีการระบาดของโรคเห่ียว 2. การคัดขนาดหนํอพันธุ์ โดยคัด 3 ขนาด คือ ขนาดใหญํ (700 - 900 กรัม) ขนาดกลาง (500 - 700 กรมั ) ขนาดเล็ก (300 - 500 กรมั ) สัปดาหท์ ี่ 4 1. กรณีพ้ืนที่ปลูกพบโรคเหี่ยวหรือพบ เพล้ียแปูง ชุบหนํอพันธ์ุกํอนปลูกด๎วย ส า ร ไธอะ มี โทแซม (thiamethoxam) 25 %WG หรอื อิมิดาโคลพรดิ (imidacloprid) 70 %WG หรือ ไดโนทีฟูราน (dinotefuran) 10 %WP ชนดิ ใดชนิดหน่ึงอัตรา 4:4 หรือ 50 กรัม/น้า 20 ลติ ร 2. กรณีที่ปลูกในชํวงที่มีความชื้นสูงควร ปอู งกันและลดอัตราการสูญเสยี ที่เกดิ จาก โรคเนําตํางๆ สารเคมีที่ใช๎ เชํน ฟอสเอสธิล อลูมิน่ัม อัตรา 100 กรัม/น้า 20 ลิตร หรือ เมตาแลกซิล อัตรา 20 - 40 กรัม/น้า 20 ลิตร

110 ตารางที่ 20 แผนการทางานในไรสํ ับปะรดในรอบ 52 สปั ดาห์ (1 รุนํ ) (ตํอ) สภาพแปลง ตน้ งานท่ตี ้องทา 3. การปลูก ปลูกหนอํ ขนาดเดยี วกันในแปลง เดยี วกนั โดยปลกู 8,000 - 10,000 ต๎น/ไรํ 8,000 ต๎น/ไรํ ใช๎ระยะปลูก (ต๎นxแถวx ระหวาํ งแถว) 30x50x100 เซนติเมตร 10,000 ตน๎ /ไรํ ใชร๎ ะยะปลูก 25x45x100 เซนติเมตร. สัปดาหท์ ี่ 5 1. การใสํปุ๋ยอินทรยี ์ ในกรณที อ่ี นิ ทรียวตั ถุใน ดินตา่ กวํา 1 เปอร์เซ็นต์ ให๎ใสํปุ๋ยอินทรีย์ ห รื อ ปุ๋ ย คอ ก ป ริ ม า ณ 1 ต ัน ผ ส ม หินฟอสเฟต 50 - 100 กิโลกรัม/ไรํ โดยโรยเป็นแถวหลังไถแปรตามแนวรํอง ปลกู สับปะรดเพ่อื กระตน๎ุ การออกราก 2. การให๎น้า กรณีปลูกในชํวงแล๎งและมี แหลํงนา้ ควรมกี ารใหน๎ ้าบ๎างเดือนละครั้ง เพื่อให๎สับปะรดต้ังตัวได๎เร็ว โดยให๎น้า อตั รา 2,000 - 3,000 ลิตร/ไรํ สัปดาหท์ ี่ 6 1. ตรวจแปลงเป็นครง้ั คราว

111 ตารางท่ี 20 แผนการทางานในไรสํ บั ปะรดในรอบ 52 สัปดาห์ (1 รํุน) (ตํอ) สภาพแปลง ต้น งานทต่ี อ้ งทา สปั ดาห์ที่ 7 1. ตรวจแปลงเปน็ ครงั้ คราว สปั ดาห์ที่ 8 1. สารวจมดและเพล้ียแปูงในแปลงปลูก ถ๎ า พ บ ใ ห๎ พํ น ส า ร ช นิ ด ใ ด ช นิ ด ห น่ึ ง ตามคาแนะนา เชํน สารไธอะมีโทแซม 25 %WG หรือ อิมิดาโคลพริด 10 %WG หรือ ไดโนทีฟูราน 10 %WP ช นิด ใ ด ชนิดหนึ่งอัตรา 2 กรัม 20 มิลลลิ ติ ร หรือ 20 กรัม/น้า 20 ลิตร โดย พํนเฉพาะตามแนวขอบแปลงท่ีติดกับ แปลงข๎างเคียงหรือเฉพาะจุดท่ีพบเพลี้ย แปูงเปน็ รศั มีโดยรอบ ถ๎าพบต๎นท่ีเป็นโรค เหย่ี วให๎ถอนไปทาลายนอกแปลง สัปดาหท์ ี่ 9 1. ตรวจแปลงเป็นครง้ั คราว

112 ตารางท่ี 20 แผนการทางานในไรสํ ับปะรดในรอบ 52 สัปดาห์ (1 รนํุ ) (ตํอ) สภาพแปลง ต้น งานทีต่ ้องทา สปั ดาห์ท่ี 10 1. ตรวจแปลงเป็นครงั้ คราว 2. การให๎น้า กรณีปลูกในชํวงแล๎งและ มแี หลงํ นา้ ควรมกี ารให๎นา้ บา๎ งเดือนละครง้ั เพ่อื ให๎สับปะรดตั้งตัวได๎เร็ว โดยให๎น้าอัตรา 2,000 - 3,000 ลติ ร/ไรํ สปั ดาหท์ ่ี 11 1. ตรวจแปลงเป็นครั้งคราวสารวจมด แ ล ะ เ พ ลี้ ย แ ปู ง ใ น แ ป ล ง ป ลู ก ถ๎ า พ บ ใ ห๎ พํนสารชนิดใดชนิดหน่ึงตามคาแนะนา เชํน สารไธอะมีโทแซม 25 %WG หรือ อมิ ิดาโคลพริด 10 %WG หรือ ไดโนทีฟูราน 10 %WP ชนิดใดชนิดหนึ่งอัตรา 2 กรัม 20 มลิ ลิลติ ร หรือ 20 กรัม/น้า 20 ลิตร โดยพํนเฉพาะตามแนวขอบแปลงท่ีติดกับ แปลงข๎างเคียงหรือเฉพาะจุดท่ีพบเพลี้ย แปูงเปน็ รศั มีโดยรอบ ถ๎าพบต๎นที่เป็นโรค เห่ยี วใหถ๎ อนไปทาลายนอกแปลง

113 ตารางที่ 20 แผนการทางานในไรสํ บั ปะรดในรอบ 52 สปั ดาห์ (1 รนํุ ) (ตํอ) สภาพแปลง ต้น งานทตี่ อ้ งทา สปั ดาห์ที่ 12 1. การใสํปุ๋ยคร้ังที่ 1 รํุนต๎นปลูก (plant crop) การใหป๎ ยุ๋ ทางกาบใบลํางแนะนาให๎ ใสํปุ๋ยทมี่ อี ัตรา N:P:K 2:1:3 เชํน 12-6-15 หรอื 13-13-21 อตั รา 20 กรัม/ตน๎ หมายเหตุ การใหป๎ ุย๋ ดนิ ควรมีความชื้นเพื่อให๎ พืชสามารถดดู ธาตุ อาหารไปใช๎ได๎ สัปดาหท์ ่ี 13 1. ตรวจแปลงเป็นครงั้ คราว สัปดาห์ท่ี 14 1. ตรวจแปลงเป็นคร้งั คราว 2. การให๎น้า กรณีปลูกในชํวงแล๎งและ มีแหลํงน้า ควรมีการให๎น้าบ๎างเดือนละ ครั้งเพ่ือให๎สับปะรดต้ังตัวได๎เร็ว โดยให๎น้า อตั รา 2,000 - 3,000 ลิตร/ไรํ

114 ตารางท่ี 20 แผนการทางานในไรสํ บั ปะรดในรอบ 52 สปั ดาห์ (1 รํุน) (ตอํ ) สภาพแปลง ต้น งานทีต่ อ้ งทา สปั ดาหท์ ี่ 15 1. ตรวจแปลงเป็นครั้งคราวสารวจมดและ เพล้ียแปูงในแปลงปลูกถ๎าพบให๎พํนสาร ชนิดใดชนิดหน่ึงตามคาแนะนา เชํน สาร ไธอะมีโทแซม 25 %WG หรือ อมิ ดิ าโคลพริด 10 %WG หรือ ไดโนทีฟูราน 10 %WP ชนิดใดชนิดหนึ่งอัตรา 2 ก รัม 2 0 มิลลิลิตร หรือ 20 กรัม/น้า 20 ลิตร โดยพนํ เฉพาะตามแนวขอบแปลงท่ีติดกับ แ ป ล ง ข๎ า ง เ คี ย ง ห รื อ เ ฉ พ า ะ จุ ด ท่ี พ บ เพล้ียแปูงเป็นรัศมีโดยรอบ ถ๎าพบต๎นที่ เป็นโรคเหยี่ วใหถ๎ อนไปทาลายนอกแปลง สปั ดาหท์ ี่ 16 1. ตรวจดูแลแปลงเปน็ ครง้ั คราว สปั ดาห์ท่ี 17 1. ตรวจแปลงเป็นครงั้ คราว

115 ตารางท่ี 20 แผนการทางานในไรสํ ับปะรดในรอบ 52 สปั ดาห์ (1 รํุน) (ตํอ) สภาพแปลง ต้น งานทตี่ ้องทา สปั ดาห์ที่ 18 1. ตรวจแปลงเปน็ ครงั้ คราว 2. การให๎น้า กรณีปลูกในชํวงแล๎งและ มีแหลํงน้า ควรมีการให๎น้าบ๎างเดือนละ คร้ัง เพ่ือให๎สับปะรดต้ังตัวได๎เร็ว โดยให๎น้า อัตรา 2,000 - 3,000 ลติ ร/ไรํ สัปดาห์ที่ 19 1. ตรวจแปลงเป็นครั้งคราวสารวจมด และเพลี้ยแปูงในแปลงปลูก ถ๎าพบให๎พํน สารชนิดใดชนิดหน่ึงตามคาแนะนา เชํน สารไธอะมีโทแซม 25 %WG หรือ อิมิดา- โคลพริด 10 %WG หรือ ไดโนทีฟูราน 10 %WP ชนิดใดชนิดหนึ่งอัตรา 2 กรัม 20 มิลลิลิตร หรือ 20 กรัม/น้า 20 ลิตร โดยพํนเฉพาะตามแนวขอบแปลงท่ีติดกับ แปลงข๎างเคียงหรือเฉพาะจุดที่พบเพลี้ย แปูงเป็นรัศมีโดยรอบ ถ๎าพบต๎นที่เป็น โรคเหยี่ วใหถ๎ อนไปทาลายนอกแปลง

116 ตารางที่ 20 แผนการทางานในไรสํ ับปะรดในรอบ 52 สัปดาห์ (1 รนุํ ) (ตอํ ) สภาพแปลง ตน้ งานที่ต้องทา สปั ดาหท์ ี่ 20 1. ตรวจแปลงเปน็ ครง้ั คราว สัปดาหท์ ่ี 21 1. ตรวจแปลงเป็นครง้ั คราว สปั ดาห์ที่ 22 1. ตรวจแปลงเป็นครง้ั คราว 2. การให๎น้า กรณีปลูกในชํวงแล๎งและ มีแหลํงน้า ควรมีการให๎น้าบ๎างเดือนละ ครงั้ เพ่อื ใหส๎ ับปะรดตั้งตัวได๎เร็ว โดยให๎น้า อตั รา 2,000 - 3,000 ลิตร/ไรํ สัปดาห์ที่ 23 1. ตรวจแปลงเป็นครั้งคราว สารวจมดและ เพลี้ยแปูงในแปลงปลูก ถ๎าพบให๎พํนสาร ชนิดใดชนดิ หนึง่ ตามคาแนะนา เชํน

117 ตารางที่ 20 แผนการทางานในไรสํ ับปะรดในรอบ 52 สปั ดาห์ (1 รุนํ ) (ตอํ ) สภาพแปลง ตน้ งานที่ต้องทา สารไธอะมีโทแซม 25 %WG หรือ อิมิดา- โคลพริด 10 %WG หรือไดโนฟูราน 10 %WP ชนิดใดชนิดหนึ่ง อัตรา 2 กรัม 20 มิลลิกรัม หรือ 20 กรัม/น้า 20 ลิตร โดยพนํ เฉพาะตามแนวขอบแปลงที่ติดกับ แปลงข๎างเคียงหรอื เฉพาะจดุ ที่พบเพล้ยี แปูง เปน็ รศั มโี ดยรอบ ถ๎าพบตน๎ ท่ีเป็นโรคเหย่ี ว ใหถ๎ อนไปทาลายนอกแปลง สัปดาหท์ ี่ 24 1. การใสํปุ๋ยครั้งที่ 2 รุํนต๎นปลูก (plant crop) ให๎ปุ๋ยทางกาบใบลํางแนะนาให๎ใสํ ปุ๋ยที่มีอัตรา N:P:K 2:1:3 เชํน 12-6-15 หรือ 13-13-21 อตั รา 20 กรัม/ตน๎ 2. การให๎น้า หลังการให๎ปุ๋ยควรมีการให๎น้า เพอื่ ให๎รากสับปะรดสามารถดูดธาตุอาหาร ไปใชโ๎ ดยให๎น้าอตั รา 2,000 - 3,000 ลติ ร/ไรํ หมายเหตุ การให๎ปยุ๋ ดินควรมีความช้ืนเพื่อให๎ พืชสามารถดดู ธาตอุ าหารไปใช๎ได๎

118 ตารางท่ี 20 แผนการทางานในไรสํ บั ปะรดในรอบ 52 สปั ดาห์ (1 รํุน) (ตํอ) สภาพแปลง ตน้ งานทต่ี อ้ งทา สปั ดาห์ที่ 25 1. ตรวจแปลงเป็นครง้ั คราว สัปดาห์ท่ี 26 1. ตรวจแปลงเป็นครั้งคราวสารวจมด และเพลี้ยแปูงในแปลงปลูก ถ๎าพบให๎พํน สารชนิดใดชนิดหนึ่งตามคาแนะนา เชํน สารไธอะมีโทแซม 25% WG หรือ อิมิดา- โคลพรดิ 10 %WG หรือ ไดโนทีฟูราน 10 %WP ชนิดใดชนิดหนึ่งอัตรา 2 กรัม 20 มิลลิลิตร หรือ 20 กรัม/น้า 20 ลิตร โดยพํนเฉพาะตามแนวขอบแปลงที่ติดกับ แ ป ล ง ข๎ า ง เ คี ย ง ห รื อ เ ฉ พ า ะ จุ ด ที่ พ บ เพล้ียแปูงเป็นรัศมีโดยรอบ ถ๎าพบต๎นท่ี เป็นโรคเหีย่ วให๎ถอนไปทาลายนอกแปลง สัปดาหท์ ่ี 27 1. ตรวจแปลงเป็นครง้ั คราว

119 ตารางท่ี 20 แผนการทางานในไรสํ บั ปะรดในรอบ 52 สัปดาห์ (1 รํุน) (ตอํ ) สภาพแปลง ตน้ งานที่ตอ้ งทา สัปดาห์ที่ 28 1. การใหป๎ ๋ยุ ทางใบ เมื่อพืชได๎รับธาตุอาหาร ไมํเพียงพอแนะนาให๎ใสํปุ๋ยสูตร 23-0-25 (ยเู รียผสมโพแทสเซียมซัลเฟต 1:1) ผสม น้าความเข๎มข๎น 5 เปอร์เซ็นต์ ต๎นละ 75 มิลลิลิตร/คร้ัง จานวน 3 คร้ัง โดยวิธี ตักหยอดหรือฉีดพํน ในระยะกํอนบังคับ ดอก 30 วัน กํอนบังคับดอก 5 วัน และ หลงั บังคับดอก 20 วนั สัปดาห์ที่ 29 1. ตรวจแปลงเป็นครง้ั คราว สปั ดาหท์ ่ี 30 1. ตรวจแปลงเป็นคร้ังคราวสารวจมดและ เพลี้ยแปูงในแปลงปลูก ถ๎าพบให๎พํนสาร ชนิดใดชนดิ หนึง่ ตามคาแนะนา เชํน

120 ตารางท่ี 20 แผนการทางานในไรสํ บั ปะรดในรอบ 52 สัปดาห์ (1 รุนํ ) (ตอํ ) สภาพแปลง ตน้ งานทตี่ อ้ งทา สารไธอะมโี ทแซม 25 %WG หรือ อิมิดา- โคลพริด 10 %WG หรือ ไดโนทีฟูราน 10 %WP ชนิดใดชนิดหน่ึงอัตรา 2 กรัม 20 มิลลิลิตร หรือ 20 กรัม/น้า 20 ลิตร โดยพํนเฉพาะตามแนวขอบแปลงที่ติดกับ แปลงข๎างเคียงหรือเฉพาะจุดที่พบเพล้ีย แปูงเป็นรัศมีโดยรอบ ถ๎าพบต๎นที่เป็น โรคเหย่ี วให๎ถอนไปทาลายนอกแปลง สัปดาห์ท่ี 31 1. การให๎ปุ๋ยทางใบ (คร้ังที่ 2) เม่ือพืชได๎รับ ธาตุอาหารไมํเพยี งพอแนะนาใหใ๎ สปํ ยุ๋ สูตร 23-0-25 (ยูเรียผสมโพแทสเซียมซัลเฟต 1:1) ผสมน้าความเข๎มข๎น 5 เปอร์เซ็นต์ ต๎นละ 75 มิลลิลิตร/ครั้ง จานวน 3 คร้ัง โดยวิธีตักหยอดหรือฉีดพํน ในระยะกํอน บังคับดอก 30 วัน กํอนบังคับดอก 5 วัน และหลงั บงั คับดอก 20 วัน 2. แปลงท่ีจะบงั คบั ดอกควรกาจดั วชั พืชออก ใหห๎ มดจากแปลง

121 ตารางท่ี 20 แผนการทางานในไรสํ บั ปะรดในรอบ 52 สปั ดาห์ (1 รุํน) (ตอํ ) สภาพแปลง ต้น งานที่ต้องทา สัปดาหท์ ่ี 32 1. ทากา รบังคั บดอ กเมื่อ ต๎นสับ ปะร ด มีน้าหนกั ประมาณ 2-2.5 กิโลกรัม โดยใช๎ เอทธีฟอน (39 เปอร์เซ็นต์) จานวน 8 มิลลิลิตรรํวมกับปุ๋ยยูเรีย 300 กรัม ผสมน้า 20 ลิตร แล๎วหยอดยอดหรือพํน ลงยอดสับปะรดต๎นละ 60 - 75 มิลลิลิตร ทา 2 คร้ังหํางกัน 4 - 7 วัน หรือหยอด ถํานแก๏ส (แคลเซียมคาร์ไบด์) ประมาณ 1 กรัม/ต๎น จานวน 2 ครั้ง ควรบังคับ ในชํวงเยน็ กลางคืนหรอื เชา๎ มืด หมายเหตุ หากบังคับดอกแล๎วมฝี นตกภายใน 2 ชัว่ โมง ควรรบี ทาการฉีดซ้าทันที หรือให๎เร็วที่สุดและกรณีที่ ผล เจริญเติบโตในชํวงแล๎ง มีแดดจัด ควรมีการคลุมผลเพื่อปูองกันแดด สัปดาห์ท่ี 33 1. การให๎ปุ๋ยทางใบ (คร้ังที่ 3) เมื่อพืชได๎รับ ธาตุอาหารไมเํ พยี งพอแนะนาให๎ใสปํ ยุ๋ สตู ร 23-0-25 (ยูเรียผสมโพแทสเซียมซัลเฟต 1:1) ผสมนา้ ความเข๎มข๎น 5 เปอรเ์ ซ็นต์

122 ตารางท่ี 20 แผนการทางานในไรสํ บั ปะรดในรอบ 52 สปั ดาห์ (1 รนุํ ) (ตอํ ) สภาพแปลง ต้น งานท่ีตอ้ งทา ต๎นละ 75 มิลลิลิตร/คร้ัง จานวน 3 คร้ัง โดยวิธีตักหยอดหรือฉีดพํน ในระยะกํอน บังคับดอก 30 วัน กํอนบังคับดอก 5 วัน และหลังบงั คับดอก 20 วนั สปั ดาหท์ ี่ 34 1. ตรวจแปลงเป็นครั้งคราวสารวจมด และเพล้ียแปูงในแปลงปลูก ถ๎าพบ ใหพ๎ ํนสารชนิดใดชนิดหนึ่งตามคาแนะนา เชํน สารไธอะมีโทแซม 25 %WG หรือ อิมิดาโคลพริด 10 %WG หรือ ไดโนที- ฟูราน 10 %WP ชนิดใดชนิดหนึ่งอัตรา 2 กรมั 20 มลิ ลิลิตร หรือ 20 กรมั /นา้ 20 ลิตร โดยพํนเฉพาะตามแนวขอบแปลงท่ี ติดกับแปลงข๎างเคียงหรือเฉพาะจุดที่พบ เพลี้ยแปูงเป็นรัศมีโดยรอบ ถ๎าพบต๎นท่ี เปน็ โรคเหยี่ วให๎ถอนไปทาลายนอกแปลง สัปดาห์ท่ี 35 1. ตรวจแปลงเป็นครง้ั คราว

123 ตารางที่ 20 แผนการทางานในไรสํ บั ปะรดในรอบ 52 สัปดาห์ (1 รุํน) (ตอํ ) สภาพแปลง ตน้ งานท่ีตอ้ งทา สัปดาหท์ ่ี 36 1. ตรวจประเมินเปอรเ์ ซ็นตก์ ารออกดอก สัปดาหท์ ี่ 37 1. ตรวจแปลงเป็นครง้ั คราว สปั ดาหท์ ี่ 38 1. ตรวจแปลงเป็นคร้ังคราวสารวจมด และเพล้ียแปูงในแปลงปลูก ถ๎าพบ ใหพ๎ ํนสารชนดิ ใดชนิดหนึ่งตามคาแนะนา เชํน สารไธอะมีโทแซม 25 %WG หรือ อมิ ดิ าโคลพริด 10 %WG หรอื ไดโนทีฟูราน 10 %WP ชนิดใดชนิดหนึ่งอัตรา 2 กรัม 20 มิลลิลิตร หรือ 20 กรัม/น้า 20 ลิตร โดยพํนเฉพาะตามแนวขอบแปลงท่ีติดกับ แ ป ล ง ข๎ า ง เ คี ย ง ห รื อ เ ฉ พ า ะ จุ ด ท่ี พ บ เพล้ียแปูงเป็นรัศมีโดยรอบ ถ๎าพบต๎นท่ี เป็นโรคเหีย่ วใหถ๎ อนไปทาลายนอกแปลง

124 ตารางท่ี 20 แผนการทางานในไรสํ บั ปะรดในรอบ 52 สปั ดาห์ (1 รํุน) (ตํอ) สภาพแปลง ตน้ งานท่ีต้องทา สปั ดาห์ที่ 39 1. ตรวจแปลงเป็นครัง้ คราว 2. ชํวงพัฒนาการและการเจริญของผล ในชํวงแล๎งควรมีการให๎น้าสัปดาห์ละ 1 คร้ัง โดยใหน๎ า้ อัตรา 2,000 - 3,000 ลติ ร/ไรํ สปั ดาหท์ ่ี 40 1. ตรวจแปลงเป็นคร้ังคราว ชํวงพัฒนาการ และการเจริญของผล ในชํวงแล๎งควรมี การให๎น้า 1 - 2 สัปดาห์/คร้ังโดยให๎น้า อตั รา 2,000 - 3,000 ลิตร/ไรํ สัปดาห์ท่ี 41 1. ตรวจแปลงเปน็ ครง้ั คราว สัปดาห์ที่ 42 1. ตรวจแปลงเป็นครั้งคราว ชํวงพัฒนาการ แล ะ ก า รเ จ ริ ญ ของ ผ ล ใ นชํ วง แ ล๎ ง ควรมกี ารใหน๎ ้า 1 - 2 สัปดาห์/ครั้งโดยให๎ นา้ อตั รา 2,000 - 3,000 ลติ ร/ไรํ

125 ตารางท่ี 20 แผนการทางานในไรสํ ับปะรดในรอบ 52 สัปดาห์ (1 รุํน) (ตอํ ) สภาพแปลง ต้น งานทตี่ อ้ งทา สัปดาหท์ ี่ 43 1. กรณสี ับปะรดโรงงาน การให๎ปุ๋ยไนโตรเจน จ ะ ต๎ อ ง ร ะ วั ง ก า ร ต ก ค๎ า ง ข อ ง ไ น เ ต ร ท ในแหลํงที่เคยพบไนเตรทตกค๎างในผล สับปะรดสูงควรเก็บใบวิเคราะห์ปริมาณ ธาตุโมลิบดิน่ัม ถ๎าความเข๎มข๎นต่ากวํา 1 สํวนในล๎านสํวนให๎ใช๎ธาตุโมลิบดินั่ม อัตรา 5 มิลลิกรัมตํอต๎นโดยพํนทางใบ หลังบังคับดอกในระยะดอกแดงหรือใช๎ โพแทลเซียมคลอไรด์อัต ร า 5 ก รัม K2O/ ต๎น (หลังชักนาการออกดอก สบั ปะรด 75 วัน) หมายเหตุ ห๎ า ม ใ สํ ปุ๋ ย ไ น โ ต ร เ จ น ห ลั ง การบังคับดอก ห๎ามทาลายจุก สับปะรด สัปดาห์ที่ 44 1. ตรวจแปลงเป็นครั้งคราว ชํวงพัฒนาการ และการเจริญของผล ในชํวงแล๎งควรมี การให๎น้า 1 – 2 สัปดาห์/คร้ัง โดยให๎น้า อตั รา 2,000 - 3,000 ลิตร/ไรํ

126 ตารางที่ 20 แผนการทางานในไรสํ ับปะรดในรอบ 52 สปั ดาห์ (1 รุํน) (ตํอ) สภาพแปลง ต้น งานท่ีต้องทา สปั ดาหท์ ่ี 45 1. ตรวจแปลงเป็นครัง้ คราว หมายเหตุ ถ๎าอากาศร๎อนและแดดแรง อาจใช๎วัสดุ เชนํ ฟางข๎าว กระดาษ หนังสือพิมพ์คลุมผล เพื่อปูองกัน แดดเผาผล (sun burn) สปั ดาหท์ ี่ 46 1. ตรวจแปลงเป็นครั้งคราว ชํวงพัฒนาการ และการเจริญของผล ในชํวงแล๎งควรมี การให๎น้า 1 - 2 สัปดาห์/ครั้ง โดยให๎น้า อตั รา 2,000 - 3,000 ลติ ร/ไรํ สัปดาหท์ ่ี 47 1. ตรวจแปลงเปน็ ครงั้ คราว สัปดาหท์ ่ี 48 1. ตรวจแปลงเป็นครง้ั คราว

127 ตารางท่ี 20 แผนการทางานในไรสํ ับปะรดในรอบ 52 สัปดาห์ (1 รนํุ ) (ตํอ) สภาพแปลง ต้น งานทีต่ ้องทา สปั ดาหท์ ี่ 49 1. ตรวจแปลงเป็นครั้งคราวและหยุดให๎น้า กอํ นการเกบ็ เกีย่ ว 2 - 4 สัปดาห์ สปั ดาห์ที่ 50 1. ดแู ลกอํ นการเกบ็ เก่ียว สัปดาหท์ ี่ 51 1. ดแู ลกอํ นการเกบ็ เกย่ี ว สปั ดาห์ที่ 52 1. การเก็บเก่ียว เก็บเกี่ยวเม่ือผลสับปะรด มีความแกํ (สุก) ตามมาตรฐานความสุก, ไมํน๎อยกวํา 25 เปอร์เซ็นต์ แตํไมํเกิน 70 เปอร์เซ็นต์ (ขนาดเบอร์ 1 - 4) ซึ่ง สี เ ป ลื อ ก อ า จ แ ต ก ตํ า ง กั น บ๎ า ง ใ น ฤดูฝนและฤดูหนาว ควรผําดูเน้ือกํอน การเก็บเก่ียวหรือนับอายุหลังการบังคับ ดอก 150 - 160 วัน ไมํมจี กุ และก๎าน

128 ตารางท่ี 20 แผนการทางานในไรสํ บั ปะรดในรอบ 52 สัปดาห์ (1 รํนุ ) (ตอํ ) สภาพแปลง ต้น งานทตี่ อ้ งทา 2. การขนสํง ระมัดระวังไมํให๎ผลซอกช้า ทัง้ ในไรํและขนสํงมาโรงงาน การบรรทุก ควรเรียงผลให๎เรียบร๎อยและบรรทุกให๎มี น้าหนกั พอเหมาะ เอกสารอา้ งองิ กรมวิชาการเกษตร. 2545. เกษตรดีที่เหมาะสมสาหรับสับปะรด. ชุมนุมสหกรณ์ การเกษตร แหงํ ประเทศไทยจากดั . 30 หนา๎ . ชมภู จนั ที. 2553. ทวศี ักด์ิ แสงอดุ ม จิตตลิ กั ษณ์ พลพวก และอลงกต กล่ินขจร. 2553. ผลของจานวนต๎นปลูก การให๎ปุ๋ย และการจัดการจุกท่ีเหมาะสมใน การผลิตสับปะรดสดสํงออก. รายงานผลงานวิจัยเร่ืองเต็มปี 2553. กรมวิชาการเกษตร จตุจกั ร กทม. ชูศักดิ์ สัจจพงษ์. 2553. ผลของวิธีการให๎น้าและการให๎ปุ๋ยเคมีอัตราตํางๆที่มีตํอ การเจริญเติบโตและผลผลิตของสับปะรด. ในรายงานผลโครงการวิจัย เร่อื งเตม็ ศึกษาระบบการผลิตสบั ปะรดปี 2553 กรมวชิ าการเกษตร จตจุ กั ร กทม. ทวีศักด์ิ แสงอุดม. 2554. ข้ันตอนการปลูกพืชและปฏิบัติดูแลรักษาสับปะรด. กรมวิชาการเกษตร จตจุ ักร กทม. น. 21-22.

129 ทวีศักดิ์ แสงอุดม วันเพ็ญ ศรีทองชัย นลินี จาริกภากร ธวัชชัย นิ่มก่ิงรัตน์ พฤกษ์ คงสวัสดิ์ นพมณี โทบุญญานนท์ สุเทพ สหายา กาญจนา วาระวิชะนี สมบัติ ตงเตา๏ ยพุ นิ กสิน เกษมพงษ์ มัลลกิ า นวลแก๎ว ดนยั นาคประเสริฐ วนั ชยั ถนอมทรพั ย์ และ จารอง ดาวเรอื ง. 2559. การพัฒนาการผลิตหนํอ พนั ธุ์ปลอดโรคเห่ยี วจากการเพาะเล้ียงเน้ือเย่ือและการสร๎างแปลงต๎นแบบ การผลิตสบั ปะรดปลอดโรคเหย่ี วแบบบรู ณาการ. รายงานฉบับสมบูรณ์จาก เงนิ รายไดก๎ ารดาเนนิ งานวจิ ัยด๎านการเกษตร กรมวชิ าการเกษตร กระทรวง เกษตรและสหกรณ์. 40 หน๎า. บริษัทโดลไทยแลนด์ จากัด. ไมํปรากฏปีที่พิมพ์ คูํมือการปลูกสับปะรด โรงพิมพ์ นสพ. หวั หินสารประจวบคีรีขันธ์ 36 หน๎า. สิริชัย สาธุวิจารณ์. 2559. การจัดการวัชพืชในแปลงสับปะรด. ในเอกสาร ประกอบการอบรมการผลิตหนํอพันธุ์ปลอดโรคเหี่ยวจากการเพาะเลี้ยง เน้ือเย่ือและการปฏิบัติดูแลรักษาแปลง. ศูนย์วิจัยและพัฒนา การเกษตร เพชรบรุ ี อาเภอชะอา จังหวดั เพชรบรุ .ี 8 หนา๎ . สเุ ทพ สหายา และเตือนจิตต์ สตั ยาวริ ุทธ์. 2551. ศึกษาการชุบหนํอพันธุ์สับปะรด ด๎วยสารฆําแมลงเพ่ือปูองกันกาจัดเพลี้ยแปูง. รายงานผลงานวิจัยประจา ปี 2551. สานักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช. กรมวิชาการเกษตร. เลํมที่ 2 หน๎า 1259-1286. สุเทพ สหายา. 2559. การจัดการเพล้ียแปูงเพื่อแก๎ไขปัญหาโรคเหี่ยวสับปะรด. เอ ก สา ร ปร ะ ก อบ ก าร อ บ รม ก าร ผ ลิต ห นํ อพั น ธ์ุป ล อ ดโ ร คเ ห่ี ย ว จากการเพาะเลยี้ งเน้ือเย่ือและการปฏบิ ัตดิ ูแลรักษาแปลง. ศูนย์วิจัยพืชสวน จนั ทบรุ ี อาเภอพลิว้ จังหวดั จันทบุรี. 2 หน๎า. Bartholomew, D.P. and R.E. Paull. 1986. Pineapple, pp.371-388. In Monselise, S.P., ed. Handbook of fruitset and development, CRC Press, Inc.Baca Raton, Florida. 568 pp.

130 Chang, S.S., W.T. Huang, S. Lian, A.H. Chang and W.L. Wu. 1996. Research on leaf diagnosis criteria and its application to fertilization recommendations for citrus orchards in Taiwan. Paper presented during the FFTC-UPLB Training Course on Soil and Plant Analysis for Diagnosis of Fertilizer Recommendations. Dec. 1-8, 1996.UPLB, Philippines. Doorenbos, J. and A.H.Kassam. 1979. Yield response to water. Guide Line for Predicting Irrigation and Drainage Paper No.33. Rome. FAO.193 pp. Doorenbos, J. and W.O. Prutt. 1977. Crop Water Requirements FAO Irrigation and Drainage Paper No.24. Rome. 144 pp. Leece, D.R. 1976. Diagnosis of nutritional disorders of fruit trees by leaf and soil analyses and biochemical indices. J. Aust. Inst. Agric. Sci. 42: 3-19. Reuter, D.J. and J.B. Robinson. 1986. Plant Analysis. Experimental Agricalture, Volume 24,Issue 01. pp. 218.

131 บทท่ี 5 การเกบ็ เกีย่ วและการปฏบิ ตั ิหลงั การเกบ็ เกย่ี ว 5.1 ดัชนีการเกบ็ เก่ียว ความอํอน – แกํ ของผลิตผล เป็นปัจจัยสาคัญที่จะสํงผลให๎ผลิตผล ที่เก็บเก่ียวแล๎วมีคุณภาพดีหรือเลว และมีผลตํอความพึงพอใจของผู๎ซ้ือ ที่มีตํอผลิตผลนั้นๆ ผลิตผลที่เก็บเกี่ยวแกํเกินไปจะมีอายุการเก็บรักษาหรืออายุ การวางจาหนาํ ยในตลาดสั้นและไมํสามารถขนสํงไปขายยังตลาดที่ไกลๆ เพราะเกิด ความเสียหายได๎งําย ดังน้ันการเก็บเกี่ยวผลิตผลให๎ได๎คุณภาพดีจะต๎องเก็บเก่ียว ท่ีอายุเหมาะสม สาหรับสับปะรดจัดเป็นผลไม๎ประเภท non-climateric ซึ่งไมํ สามารถบํมให๎สุกได๎ มีอัตราการหายใจและการผลิตเอทิลีนคํอนข๎างต่าในระยะ เก็บเกี่ยว (Dull et al., 1967) มีการหายใจ 22 mg CO2/kg.hr ที่อุณหภูมิ 23 องศาเซลเซียส และมีการผลิตเอทิลีน 0.1 - 1.0 µg/kg.hr (Paull, 1997) ดังนั้นการเก็บเก่ียวจึงควรมีหลักเกณฑ์หรือวิธีพิจารณาท่ีดีท่ีสามารถบํงชี้ได๎ถูกต๎อง และสามารถใชค๎ าดการณล์ ํวงหน๎าได๎ ซึ่งวิธีการพิจารณาอายุเก็บเก่ียวที่เหมาะสมนี้ เรียกวํา ดัชนีการเก็บเกี่ยว ซ่ึงในพืชแตํละชนิดจะมีดัชนีการเก็บเก่ียวแตกตํางกัน และหรือในพืชชนิดเดียวกันอาจใช๎ดัชนีการเก็บเกี่ยวได๎หลายอยําง สาหรับดัชนี มกี ารเกบ็ เก่ยี วผลสับปะรด พจิ ารณาได๎จาก 1. นับอายุหลังการบังคับดอก ทั้งนี้ขึ้นอยํูกับพันธุ์ เชํน สับปะรด พันธ์ปุ ตั ตาเวียประมาณ 150 - 160 วนั 2. ลักษณะภายนอกของผล เชนํ - สีของเปลือกผลที่เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นเหลืองส๎ม โดยเร่ิมจาก ตาลํางๆ กอํ น - การสงั เกตกา๎ นผลเม่ือสบั ปะรดแกํ กา๎ นผลจะเหย่ี วเปน็ รอํ งตามยาว - ตายํอยของผลจะแบนราบ เรียกวาํ ตาเตม็ รอํ งของตายอํ ยตึงเต็มท่ี ใบเลีย้ งบนตายํอยเหี่ยวหรอื เปน็ สชี มพู

132 - กลบี เลีย้ งใตผ๎ ล เปลยี่ นจากสเี ขียวเป็นสสี ม๎ นา้ ตาล หรือเหี่ยวแหง๎ - ใช๎มอื ดีดหรือใชไ๎ ม๎เคาะฟังเสียง จะทึบหรือแปะ 3. คณุ สมบตั ภิ ายในของผล ผลสับปะรดใกลแ๎ กํจดั จะมปี รมิ าณของแขง็ ท่ีมี ความหวานท่ีละลายน้าได๎ (Soluble Solids : SS) สูงเพ่ิมกวําผลท่ียังดิบ ปริมาณกรด (Total Acidity) จะสูงสุดในระยะผลสุก สาหรับสบั ปะรด สํงโรงงานควรมีความหวาน ( SS) 12 เปอร์เซ็นต์ ปริมาณกรด 0.5 - 0.6 เปอรเ์ ซน็ ต์ สาห รับ กา รสุ กแกํ ขอ งผ ล สั บปะ รด จะ มีดั ชนีข อ ง มา ตร ฐาน สีสั บป ะร ด (ภาพที่ 55) โดยดูจากสีของตา (fruitlets) โดยแบํงออกเป็นเบอร์ตํางๆ ตามสภาพ ความสกุ แกํของผลสบั ปะรด ดงั นี้ No.0 หมายถึง ตาท้ังหมดจะเป็นสีเขียว ไมํมีสีเหลืองปน เหมาะ สาหรับตัดผลสํงระยะทางไกลๆ เชํน ตลาดตํางประเทศ No.1 หมายถึง ตาเหลอื งไมํเกนิ 20 เปอร์เซ็นต์ (เปลือกสเี หลอื งจางๆ ประมาณ 1 - 2 ตา) No.2 หมายถึง ตาเหลืองไมํน๎อยกวํา 20 เปอร์เซ็นต์ แตํไมํเกิน 40 เปอร์เซ็นต์ (เปลือกสีเหลืองอยํูระหวําง 1/4 ของผล หรือประมาณ 2 - 3 ตา) No.3 หมายถึง ตาเหลืองไมํน๎อยกวํา 40 เปอร์เซ็นต์ แตไํ มเํ กิน 55 เปอรเ์ ซน็ ต์ (เปลอื กสเี หลืองอยรํู ะหวําง 1/4 - 3/4 ของผล หรอื ประมาณ 3 - 4 ตา) No.4 หมายถงึ ตาเหลืองไมํน๎อยกวํา 55 เปอร์เซ็นต์ แตํไมํเกิน 90 เปอร์เซ็นต์ (เปลือกสีเหลืองอยูํระหวําง 1/2 - 3/4 ของผล หรอื ประมาณ 4 - 6 ตา) No.5 หมายถึง ตาเหลืองไมํน๎อยกวํา 90 เปอร์เซ็นต์ แตํไมํเกินกวํา 20 เปอร์เซ็นต์ของตา จะมีสีส๎ม (เปลือกสีเหลือง ประมาณ 3/4 ถึงเตม็ ผล)

133 No.6 หมายถงึ 20 - 100 เปอร์เซ็นต์ ของตามีสีน้าตาลอมแดง (เปลอื กสเี หลอื งเต็มผล แตํจะมลี กั ษณะสนี ้าตาลอมแดง และเปลือกเริม่ เหยี่ วเลก็ นอ๎ ย) No.7 หมายถึง เปลอื กสนี ้าตาลอมแดงและเริม่ แสดงอาการเนํา ภาพที่ 55 แสดงมาตรฐานสสี ับปะรด ที่มา: บรษิ ัทโดลไทยแลนด์ จากดั

134 5.2 การเกบ็ เกี่ยวสบั ปะรด มี 2 แบบ คอื 1) การเก็บเก่ียวสับปะรดเพื่อส่งโรงงาน ต๎องเก็บผลสุก (เบอร์ 1 - 4) คอื เปลือกมีสีเหลืองจางๆ ประมาณ 1 - 2 ตา ถึงเปลือกสีเหลืองประมาณคร่ึงผล ถงึ 3/4 ของผลหรือประมาณ 4 - 6 ตา ไมํควร เก็บผลสับปะรดที่อํอนเกินไป เพราะคุณภาพจะไมํดี เน้ือสีขาว ไมํสามารถผลิตสับปะรดเกรดสูงได๎ การเก็บเก่ียว ผลสับปะรดสํงโรงงานจะหักจุกและก๎านผลออก วิธีการเก็บเก่ียวของเกษตรกร รายยํอยสํวนใหญํจะใช๎คนงานหักสับปะรดในแปลง แล๎วใสํภาชนะบรรจุ แบกมาข้ึน รถบรรทุก (ภาพท่ี 56 ก) สาหรับการเก็บเกี่ยวของเอกชนรายใหญํ จะมีรถยนต์ ทม่ี ีแขน (boom) ยาว 16 เมตร คํอยเคลื่อนไปตามถนนข๎างแปลง คนงานจะเลือก สับปะรดที่ได๎อายุเก็บเก่ียว หักก๎านและจุกออกแล๎ววางบนสายพานที่พาดไป ตามแขน (boom) สายพานจะลาเลียงผลสับปะรดมารวบรวมนาข้ึนรถบรรทุก เพื่อสํงโรงงานตํอไป (ภาพท่ี 56 ข) ขอ๎ ควรระวังในการเกบ็ เกยี่ วสับปะรดสํงโรงงาน - ควรระมัดระวงั ขณะขนสํงผลผลติ ออกจากไรํ - ควรระมดั ระวังขณะขนถาํ ยขึน้ รถ - ลงรถ - การบรรทุกสูํโรงงานควรให๎มนี า้ หนักพอเหมาะ - สับปะรดสกุ ไมคํ วรบรรทกุ เกนิ ขนาด เนื่องจากผลสบั ปะรดด๎านลําง จะชา้ เสียหาย - ควรเรยี งผลสับปะรดบนรถบรรทกุ ใหเ๎ รยี บรอ๎ ย เพ่อื การถาํ ยนา้ หนัก ไดด๎ ี


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook