39 - สบั ปะรดเพ่ือสงํ โรงงานอุตสาหกรรม ได๎ผลผลติ สูง สุกแกํสม่าเสมอและ ผลสับปะรดมีคุณภาพตรงตามความต๎องการของโรงงาน และ/หรือทนทาน หรอื ต๎านทานตอํ การเกดิ โรคเหี่ยว - สบั ปะรดรบั ประทานผลสด ไดผ๎ ลผลติ สงู คณุ ภาพดี ทนทานตํอการเกิด อาการไสส๎ ีนา้ ตาล และหรอื ทนทานหรือต๎านทานตํอการเกดิ โรคเหี่ยว การดาเนินการมีทั้งการคัดเลือกสายต๎น การผสมพันธุ์เพื่อสร๎างลูกผสม พันธุ์ใหมํ การผสมกลับเพื่อนาลักษณะดีเดํนท่ีต๎องการ การชักนาให๎เกิด การกลายพันธโ์ุ ดยการฉายรงั สี ซึง่ ในการสรา๎ งลูกผสมพนั ธใุ์ หมํประกอบด๎วยข้ันตอน การผสมพันธ์ุ การคัดเลือกพันธุ์ การเปรียบเทียบพันธ์ุ และการทดสอบพันธุ์ ในแหลงํ ผลิตตาํ งๆ ด๎านการปรบั ปรงุ พนั ธุโ์ ดยการผสมพันธ์เุ พื่อใหไ๎ ดพ๎ นั ธ์ใุ หมํ สับปะรดมีดอก เป็นดอกสมบูรณ์เพศ และมีคุณสมบัติเฉพาะท่ีไมํสามารถผสมตัวเองติด (Self incompatibility) ดงั นนั้ จึงทาใหก๎ ารผสมพนั ธ์สุ บั ปะรดทาได๎ไมยํ งุํ ยาก ไมตํ ๎อง ทาการตอนเกสรตัวผ๎ู โดยข้นั ตอนการผสมพันธ์ุเร่ิมจากการคัดเลือกพํอและแมํพันธุ์ เมื่อต๎นมีอายุเหมาะสมจึงบังคับให๎ออกดอกด๎วยสารเคมี เชํน แคลเซียมคาร์ไบด์ (Calcium carbide) หรือ เอทธีฟอน (Ethephon) หลังจากนั้น 45 - 50 วัน จะเกิด ดอกโผลํทยี่ อดตน๎ องค์ประกอบของดอกประกอบด๎วยกลบี เลยี้ ง 3 กลีบ รูปลน้ิ ขนาด 1.6 × 0.5 เซนตเิ มตร กลบี ดอกแยกกันแตสํ ํวนปลายเชื่อมตดิ กันแล๎วเปิดเป็นรูเล็กๆ ที่สํวนยอด สํวนปลายสีฟูาปนมํวง สํวนฐานสีขาว เกสรตัวผ๎ูมี 2 ช้ัน ช้ันละ 3 อัน มีความยาวเพียงคร่ึงของกลีบดอก (รูปสํวนประกอบของดอก) เกสรตัวเมีย ประกอบด๎วยรังไขํอยูํใต๎วงกลีบ มี 3 ชํอง เชื่อมติดกัน ชํองก้ันรังไขํเป็นผนังหนา และอวบน้า แตํละชํองมีไขํอํอนเรียงเป็น 2 แถว และติดรอบแกนรํวม ก๎านเกสร ตัวเมียยาวกวําตัวผ๎ู ยอดเกสรตัวเมียมี 3 พู ดอกบานเร่ิมจากฐานของชํอดอก ไปสํวนปลาย ดอกบานวันละ 5 – 10 ดอก (ภาพท่ี 17)
40 ดอกสับปะรดหลังบังคับดอก ดอกยํอยสับปะรด ลักษณะการบานของดอก 45 – 50 วัน ลักษณะดอก และสวํ นประกอบของดอกสับปะรด ภาพที่ 17 ดอกและสํวนประกอบของดอกสับปะรด การผสมเกสรสับปะรด ต๎องมีอปุ กรณ์ ไดแ๎ กํ มีดขนาดเล็กสาหรับตัดเกสร ตัวผ๎ู ปากคีบ และขวดแก๎ว การผสมเกสรต๎องทาในชํวงเช๎าที่อุณหภูมิไมํสูงจึงจะ ได๎ผลดี โดยการนาเอาเกสรตัวผู๎จากต๎นพํอพันธุ์มาผสมเกสรตัวเมียจากต๎นแมํพันธ์ุ โดยทาทกุ วันจนกระทั่งดอกบานจนหมดชํอดอก ใชเ๎ วลา 10 – 20 วัน (ภาพที่ 18)
41 อปุ กรณ์การผสมเกสร การเตรียมเกสรตวั ผู๎ การผสมเกสร ภาพท่ี 18 อปุ กรณ์และวิธกี ารผสมเกสรสบั ปะรด หลังจากผสมเกสรประมาณ 5 - 6 เดือน จึงเก็บเมล็ด เมล็ดจะอยํูภายใน รังไขํ กํอนการเพาะเมลด็ ต๎องแชํเมลด็ ในกรดซลั ฟูริคเข๎มข๎น (sulfuric acid; H2SO4) 30 - 60 วินาที เนือ่ งจากเมลด็ มเี ปลอื กแข็ง กํอนที่จะนามาเพาะในวัสดุเพาะโดยใช๎ พีทมอสผสมทรายอัตราสํวน 1 : 1 หลังจากเพาะนาน 20 - 30 วัน เมล็ดสับปะรด เร่ิมงอก เล้ียงต๎นกล๎าในเรือนเพาะชาจนได๎ขนาดต๎น 400 - 500 กรัม ซ่ึงใช๎เวลา ประมาณ 8 - 14 เดือน จึงนาไปปลูกลงแปลงและทาการคัดเลือกตามลักษณะ ทต่ี ๎องการตํอไป (ภาพที่ 19)
42 เมล็ดสับปะรดทอ่ี ยภํู ายใน ลักษณะเมล็ดสบั ปะรดผล การแชกํ รดซัลฟรู คิ ผล วัสดุเพาะเมล็ด ตน๎ กลา๎ ที่งอก ต๎นกล๎าอายุ 6 เดือน ต๎นกล๎าทีม่ ลี กั ษณะแตกตาํ งกนั ลักษณะต๎นและผลสับปะรดลูกผสม ทีผ่ ํานการคดั เลือกเบอ้ื งตน๎ ภาพที่ 19 ลักษณะเมลด็ การแชเํ มลด็ ในกรดซัลฟูริคกํอนการเพาะ การเพาะเมล็ด ต๎นกล๎าต๎นและผลสับปะรดลกู ผสม
43 เกณฑก์ ารคัดเลอื กสบั ปะรดเพอื่ การแปรรปู - ขนาดเส๎นผําศูนย์กลางผล 10.5 – 15.5 เซนติเมตร หรือดีกวํา พันธุป์ ัตตาเวยี ความยาวผลมากกวาํ 12.0 – 20.0 เซนติเมตร - ผลทรงกระบอก Canning ratio 0.90 – 1.00 - แกนเลก็ กวาํ 1.50 เซนตเิ มตร หรือเลก็ กวําพนั ธ์ปุ ัตตาเวีย - ตาต้ืนหรอื น๎อยกวําพันธ์ุปตั ตาเวีย - เนื้อสีเหลอื งเข๎มสมา่ เสมอตลอดท้งั ผล - เน้ือแนนํ ไมํเปน็ โพรง - กา๎ นผลสน้ั เกณฑ์การคดั เลอื กสบั ปะรดเพอื่ การบริโภคผลสด - น้าหนักผลแบํงเป็น 2 กลํุม ได๎แกํ น้าหนักมากกวํา 1.20 กิโลกรัม สาหรับตลาดท่ัวไปและน้าหนักผลน๎อยกวํา 900 กรัม สาหรับสํง ตลาดญป่ี ุน - ก๎านผลสน้ั - เนือ้ สเี หลอื เขม๎ สม่าเสมอ - รสชาติดี โดยความหวานแบํงเป็น 2 กลุํม ได๎แกํ ตลาดในประเทศ ความหวาน (SS) มาก กวํา 20 เ ปอร์เซ็น ต์ ตลาดตํางประเทศ SS 13 – 14 เปอรเ์ ซ็นต์ ปริมาณกรด 0.75 – 0.90 เปอรเ์ ซ็นต์ - ความลกึ ตา 0.50 – 0.80 เซนติเมตร โดยในระยะแรกของการปรับปรุงพันธ์ุได๎สับปะรดที่เหมาะสมสาหรับ การแปรรปู 4 คูผํ สม คอื 1. SWPV#1 (แมํ สวี พํอ ปัตตาเวีย) ลักษณะผล น้าหนักผล 1.17 กโิ ลกรัม ความกวา๎ งโคนผล 11.43 เซนติเมตร ปลายผล 10.83 เซนตเิ มตร Canning Ratio 0.95 ความยาวผล 15.07 เซนติเมตร ความหนาเปลือก 0.60 เซนติเมตร แกนผล 1.93 เซนติเมตร จานวนตา 116 ตา ความลึกตา 1.10 เซนติเมตร
44 SS 14.33 เปอร์เซ็นต์ ปริมาณกรด 0.77 เปอร์เซ็นต์ อัตราสํวนระหวํางปริมาณ ของแข็งท่ีละลายน้าได๎ตํอปริมาณกรดที่ไทเตรทได๎ (soluble solids / titratable acidity ; SS/TA) 18.61 ความแนนํ เน้ือ 1.30 กิโลกรมั /ตารางเซนติเมตร (ภาพท่ี 20 ก) 2. SWPV#34 (แมํ สวี พํอ ปัตตาเวีย) ลักษณะผล น้าหนักผล 0.85 กิโลกรมั ความกว๎างโคนผล 10.28 เซนติเมตร ปลายผล 10.25 เซนตเิ มตร Canning Ratio 1.00 ความยาวผล 12.19 เซนติเมตร ความหนาเปลือก 0.32 เซนติเมตร แกนผล 1.96 เซนตเิ มตร จานวนตา 77 ตา ความลึกตา 0.77 เซนติเมตร SS 14.26 เปอร์เซ็นต์ ปริมาณกรด 0.59 เปอร์เซ็นต์ SS/TA 24.17 ความแนํนเนื้อ 1.17 กโิ ลกรัม/ตารางเซนติเมตร (ภาพท่ี 20 ข) 3. SWPV#35 (แมํ สวี พํอ ปัตตาเวีย) ลักษณะผล น้าหนักผล 0.81 กโิ ลกรมั ความกว๎างโคนผล 10.15 เซนติเมตร ปลายผล 9.98 เซนติเมตร Canning Ratio 0.98 ความยาวผล 12.91 เซนติเมตร ความหนาเปลือก 0.35 เซนติเมตร แกนผล 1.69 เซนติเมตร จานวนตา 83 ตา ความลึกตา 0.79 เซนติเมตร SS 15.13 เปอร์เซ็นต์. ปริมาณกรด 0.62 เปอร์เซ็นต์ SS/TA 24.40 ความแนํนเน้ือ 1.12 กิโลกรัม/ตารางเซนตเิ มตร (ภาพท่ี 20 ค) 4. PVIR#70 (แมํ ปัตตาเวีย พํอ อินทรชิตแดง) ลักษณะผล น้าหนักผล 1.11 กิโลกรัม ความกว๎างโคนผล 11.12 เซนติเมตร ปลายผล 10.53 เซนติเมตร Canning Ratio 0.95 ความยาวผล 14.39 เซนติเมตร ความหนาเปลือก 0.29 เซนติเมตร แกนผล 2.18 เซนตเิ มตร จานวนตา 60 ตา ความลกึ ตา 0.60 เซนติเมตร SS 13.47 เปอร์เซ็นต์ ปริมาณกรด 0.59 SS/TA 22.83 ความแนํนเน้ือ 1.38 กิโลกรัม/ตารางเซนตเิ มตร (ภาพที่ 20 ง)
45 ก) ลกู ผสม SWPV#1 ข) ลูกผสม SWPV#34 ค) ลกู ผสม SWPV# 35 ง) ลูกผสม PVIR#70 ภาพท่ี 20 ลูกผสมสับปะรดท่ีมีลักษณะเดํนที่เหมาะสาหรับการแปรรูป 4 คผํู สม (ก-ง)
46 ดา๎ นการปรบั ปรุงพันธสุ์ บั ปะรดเพื่อสร๎างลูกผสมพันธุ์ใหมํ Cabot (2009) รายงานวํา การผสมพันธ์ุเพื่อสร๎างสับปะรดลูกผสมใช๎ระยะเวลาตํอรอบ ประมาณ 36 เดือน โดยนับตั้งแตํปลูก ชักนาให๎ออกดอกจนกระท่ังเก็บเกี่ยวและ ทาการคัดเลือก เมลด็ สบั ปะรดเกิดข้นึ หลังจากการผสมพันธุ์ 3.5 เดอื น และสับปะรด จะสามารถเก็บเกย่ี วได๎หลังจากการเพาะเมล็ด 22 - 33 เดือน Marie และคณะ (2009) ไดค๎ ดั เลือกสบั ปะรดลกู ผสม ‘Smooth cayenne’ × ‘Manzana’ เพ่ือ บริโภคสดหรือแปรรูป จานวน 700 สายต๎น โดยคัดเอาลักษณะผิดปกติตํางๆ เชนํ มีหลายจุก ผลแฟนซี ออกกํอนจนเหลือ 205 สายต๎น และทาการคัดเลือกตํอ โดยคัดเลือกต๎นท่ีแข็งแรง ให๎ผลผลิตเร็ว SS สูง ได๎ท้ังหมด 29 สายต๎น จากน้ันจึง คดั เลือกโดยเปรียบเทียบกับ ‘Smooth cayenne’ โดยคัดสายต๎นท่ีมีความแข็งแรง ให๎ผลผลิตสูง ปรมิ าณกรดต่า ปริมาณวิตามินซีสูงและต๎านทานตํอเชื้อ Penicillium funiculosum Chan (2009) รายงานความสาเร็จของ MARDI ท่ีสามารถสร๎าง ลูกผสมพันธุ์ ‘Josapine’ ท่ีใช๎เวลาในการสร๎างพันธุ์นี้ถึง 12 ปี ซ่ึงเป็นสับปะรด ท่ไี ด๎จากการคัดเลือกลูกผสมระหวําง ‘Johor’ (Spanish) × ‘Sarawak’ (Smooth cayenne) โดยเป็นพันธท์ุ ีใ่ หผ๎ ลผลิตเรว็ ใบมีแถบสีมํวง ชอบใบไมํมีหนาม จุกขนาด ปานกลาง ผลทรงกระบอก น้าหนักประมาณ 1.1 - 1.3 กิโลกรัม ตอนแกํสีมํวงเข๎ม เม่ือสุกเปลี่ยนเป็นสีส๎ม เนื้อสีเหลืองทองเข๎ม กล่ินหอม SS 17 - 22 เปอร์เซ็นต์ และทนทานตํอการเกิดอาการไส๎สีน้าตาล Wassman (1982) รายงานประเทศ ออสเตรเลียมีการคัดน้าหนักผลโดยวิธี clonal selection ได๎ผลที่มีน้าหนัก เพ่ิมขึ้น 10 – 15 เปอร์เซ็นต์ เอกสารอา้ งอิง จินดารัฐ วีระวุฒิ. 2541. สับปะรดและสรีรวิทยาการเจริญเติบโตของสับปะรด ภาควิชาพืชไรํนา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุงเทพฯ. 196 หน๎า. บริษัทโดลไทยแลนด์ จากัด. ไมํปรากฏปีท่ีพิมพ์. คูํมือการปลูกสับปะรด โรงพิมพ์ นสพ. หวั หนิ สารประจวบครี ีขนั ธ์. 36 หน๎า.
47 เปรม ณ สงขลา 2554. สับปะรด พืชทองของโลก. ในสาระและสรุปการสัมมนา ประเทศไทยจะเป็นผู๎นาในการสํงออกสับปะรดโลกได๎อยํางไร. โดยมูลนิธิ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, กรุงเทพฯ. หนา๎ . 12-19. มัลลิกา นวลแก๎ว วลัยภรณ์ ชัยฤทธิไชย และ สมบัติ ตงเต๏า. 2553. การปรับปรุง พันธ์ุสับปะรดที่เหมาะสมสาหรับอตุ สาหกรรมแปรรูป. รายงานผลงานวิจัย โครงการปรับปรุงพันธุ์สับปะรด ปี 2553 กรมวิชาการเกษตร กรุงเทพฯ. (ยงั ไมไํ ดจ๎ ดั พิมพ)์ วิทยาลยั เกษตรและเทคโนโลยีเพชรบรุ ี. 2556. คนไมํเป็นสับปะรด. ฉบับภูมิปัญญา ชาวบ๎าน. จัดพิมพ์โดยสถาบันวิชาการเคหการเกษตร อาเภอ ปากเกร็ด จังหวดั นนทบรุ ี. 159 หนา๎ . สมบตั ิ ตงเต๏า สมเกียรติ นวลละออง ทวีศักดิ์ แสงอุดม ศศิธร วสุนันท์ อานุภาพ ธีระกุล และ นภดล นภาพรอมรจิตติ. 2539. การรวบรวมพันธุ์และศึกษาพันธ์ุ สับปะรด.รายงานประจาปีศูนย์วิจัยพืชสวนชุมพร สถาบันวิจัยพืชสวน กรมวชิ าการเกษตร กรุงเทพฯ. Anonymous. 2009. Pineapple. [Online] http://myfruits.org/FMPro?-db= data.fp5&-format=fruittemplate.html&bm=0&dataID=F002& datatitle =INTRODUCTION&-find. (31 สงิ หาคม 2552) Cabot, C. 2009. Breeding Pineapple. II. Aims of variety breeding programme in the Ivory Coast and Techniqued used. [Online] http://cababstractsplus.org/abstracts/Abstract.aspx?AcNo=199116187 72. (31 สงิ หาคม 2552) Cabral, J.R.S. and A.P. de Matos. 2009. Pineapple Breeding for Resistance to Fusariosis in Brazil. [Online] http://www.cababstractsplus.org/abstracts/Abstract.aspx?AcNo=1 9961606097. (31 สงิ หาคม 2552)
48 Chan, Y.K. 2009. Hybridization and Selection in Pineapple Improvement : The experience in Malaysia. [Online] http://www.actahort.org/member/showpdf?booknrarnr=702_10. (31 สงิ หาคม 2552) Collins, J.L. 1960. The Pineapple, Botany, Cultivation and Utilization. Leonard Hill Ltd. London. Marie, F., G. Coppen d’Eeckenbrugge and B. Bernasconi. 2009. Pineapple Breeding at CIRAD. I. Evalution and Selection of ‘Smooth cayenne’ × ‘Manzana’ Hybrids [Online] http://www.actahort.org/member/showpdf?booknrarnr=529_17. (31 สงิ หาคม 2552) Pip. 2011. Crop production protocol pineapple MD2. [online] available Http://pp.coleacp.org/Pip. Py, C., J.J. Lacoeuithe and C. Teisson. 1987. The pineapple cultivation and uses. G.P.Maisonneuve et Larose, Paris. 568p. Wassaman, R.C. 1982. The Importance of Selected Clones in Pineapple Production. Annual Pineapple Field Day Notes. Queensland Fruit and Vegetable Growers, Brisbane, 26 p. Wilkinson, K. 2009. Development of New Local Fresh Market Pineapple Cultivars. [Online] http://www.horticulture.com.au/librarymanager/libs/130/Pineappl e_Annual_IndustryReport_0708.pdf. (28 สงิ หาคม 2552)
49 บทที่ 3 การขยายพนั ธุ์ สับปะรดนิยมขยายพันธุ์แบบไมํอาศัยเพศ โดยใช๎สํวนตํางๆ ของต๎น และสํวนบนผลแล ะก๎านผล สํวนท่ีนิยมใช๎ในการขยายพันธ์ุ ได๎แกํ หนํอ รองมา คอื จกุ และตะเกยี ง (ภาพที่ 21) หนอ่ (sucker) เป็นสํวนที่นิยมนามาใช๎ในการขยายพันธ์ุ การปลูกควรมี การคดั หนอํ โดยปลกู หนอํ ท่ีมีขนาดใกล๎เคียงกนั ในแปลงเดียวกัน จุก (crown) สวํ นบนสดุ ของผล เป็นสวํ นทนี่ ยิ มนามาใช๎ในการขยายพันธ์ุ เชนํ กัน การปลูกจากจุกจะได๎ตน๎ สับปะรดทมี่ ีขนาดสมา่ เสมอกัน แตํจะใช๎เวลาต้ังแตํ ปลูก - ออกดอก และเกบ็ เก่ยี วนานกวําการปลูกด๎วยหนอํ ตะเกียง (slip) คือหนํอท่ีเกิดจากตาท่ีอยูํบนก๎านผลซึ่งมีลักษณะเป็นต๎น สับปะรดเลก็ ๆ คล๎ายหนอํ สับปะรดสามารถนามาใชข๎ ยายพนั ธไุ์ ด๎เชํนกนั แตไํ มนํ ิยมใช๎ จกุ หนอํ ตะเกียง ภาพที่ 21 แสดงสํวนตาํ งๆ ของสับปะรดทใ่ี ช๎ขยายพันธุ์ หนอํ จุก และตะเกยี ง
50 3.1 การขยายพันธุ์โดยการเพาะเล้ียงเนอื้ เยอื่ ตามปกติการขยายพันธุ์โดยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจะใช๎ในกรณีท่ีได๎ พันธใุ์ หมํและมตี น๎ พนั ธจ์ุ านวนนอ๎ ย และต๎องการเพ่ิมจานวนต๎นพันธุ์ให๎ได๎ในปริมาณ มากในระยะเวลาท่ีรวดเร็ว หรือใช๎ในกรณีท่ีมีปัญหาเร่ืองโรคเห่ียวท่ีติดไปกับ สํวนขยายพันธ์แุ ละตอ๎ งการผลิตตน๎ พันธทุ์ ีป่ ลอดโรค เชํน การผลิตต๎นพันธ์ุสับปะรด ปัตตาเวียปลอดโรคเหย่ี วฟอกด๎วยไฟซาน 0.3 เปอรเ์ ซน็ ต์ คลอร็อกซ์ 10 เปอร์เซ็นต์ และ 15 เปอร์เซ็นต์ ตามลาดับ และ แอลกอฮอล์ 70 เปอร์เซ็นต์ นาหนํอท่ีฟอกได๎ เลี้ยงในอาหารสังเคราะห์สูตร MS + BA 1 ppm ตาเจริญเป็นยอดอํอนภายใน 6 สัปดาห์ จงึ ทาการตดั แยก เพ่ือเพิ่มปริมาณต๎นออํ น และย๎ายอาหารสูตร MS + IBA 0.5 ppm ทกุ 1 - 2 เดอื น จนได๎เปน็ ต๎นอํอนทีส่ มบูรณแ์ ละใช๎เปน็ ตน๎ แมํพันธุ์สาหรับ นาไปขยายเพิ่มจานวนโดยการเพาะเล้ียงเน้ือเย่ือตํอไป (ภาพท่ี 22) ซ่ึงมีท้ังระบบ อาหารแขง็ ระบบอาหารเหลวและระบบไบโอรีแอคเตอร์จมชั่วคราว (Temporary Immersion Bioreactor ; TIB) (ภาพท่ี 23 ก ข และ ค) ภาพที่ 22 การฟอกและเพาะเล้ียงเนือ้ เยอ่ื สบั ปะรดพันธปุ์ ัตตาเวียปลอดโรคเหย่ี ว
51 กข ค ภาพที่ 23 การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อสับปะรดโดยใช๎ระบบอาหารแข็ง (ก) อาหารเหลว (ข) และ TIB (ค) ด๎านสูตรอาหารท่ีใช๎เพาะเล้ียงเน้ือเย่ือ ชยานิจและคณะ (2558) ศึกษา การเพมิ่ ปรมิ าณยอดออํ น (microshoot) บนอาหารแข็งของสบั ปะรดพันธ์ุปัตตาเวีย พบวํา เกิดยอดอํอนสูงสุด 4.7 เทําบนอาหาร MS ท่ีมี BA 5 µM เพียงอยํางเดียว (ภาพท่ี 24) ในขณะท่ีพันธ์ุเพชรบุรี เพ่ิมได๎ 3.7 เทําบนอาหาร MS ที่มี BA 5 µM + NAA 2 µM สาหรับสูตรอาหารเหลว MS ทป่ี ระกอบด๎วย BA 3 μM พบวํา สับปะรดพันธุ์ปัตตาเวียสามารถเพิ่มปริมาณยอดอํอนสูงสุด 22.4 เทํา (ภาพที่ 25) สํวนพันธ์ุเพชรบรุ ีสามารถเพ่ิมปรมิ าณยอดอํอนได๎ 18 - 19 เทํา ในอาหารเหลว MS ที่ประกอบด๎วย BA 3 - 6 μM รํวมกับ NAA 2 μM ภายในเวลา 8 สัปดาห์ โดย ยอดอํอนทเ่ี กดิ ข้นึ ทง้ั หมดไมํมกี ารพัฒนาเปน็ ราก ตอ๎ งชักนาให๎เกดิ ราก บนอาหารแข็ง MS ท่ีเติม IBA 2 - 4 μM ในพันธุ์ปัตตาเวีย และ IBA 4 - 6 μM ในพันธุ์เพชรบุรี สาหรับการเพิ่มปริมาณยอดรวมในระบบ TIB ในระยะเวลา 8 สัปดาห์ พบวํา สับปะรดพันธ์ุปัตตาเวีย สามารถเพ่ิมจานวนยอดรวมสูงสุด 18.2 เทําเม่ือใช๎ อาหารเหลว MS เติม BA 3 μM (ภาพที่ 26) ในขณะที่พันธ์ุเพชรบุรีสามารถ เพิ่มจานวนยอดรวมได๎ 16.4 - 15.6 เทํา เม่ือได๎รับอาหาร MS ที่มี BA 3 และ 6 µM รวํ มกับ NAA 2 µM ตามลาดบั และระยะเวลาให๎อาหารสมั ผสั ชิน้ สํวนพืช 6 - 8 คร้ัง/วัน ครง้ั ละ 1 นาที จะใหผ๎ ลตอํ การเพมิ่ ปริมาณยอดรวมสงู สุด
52 ภาพที่ 24 การพัฒนา microshoot ของสบั ปะรดปตั ตาเวยี บนอาหารแขง็ MS ท่มี ี BA 5 µM 2 สัปดาห์ 4 สปั ดาห์ 8 สัปดาห์ ภาพท่ี 25 สบั ปะรดพันธป์ุ ัตตาเวยี สามารถเพม่ิ ปรมิ าณยอดอํอนสูงสดุ 22.4 เทํา ทีใ่ ช๎สตู รอาหารเหลว MS+ BA 3 μM ภาพท่ี 26 การเจริญเติบโตของสับปะรดเพชรบุรีท่ีเล้ียงในระบบ TIB ใช๎อาหาร MS เติม BA 3 µM และ NAA 2 µM ให๎อาหารสัมผัสช้ินสํวนพืช 8 ครั้ง/วัน หลงั จากเลีย้ งนาน 8 สัปดาห์
53 3.2 การอนุบาลต้นเพาะเลย้ี งเนื้อเยื่อในเรือนเพาะชา หลงั จากขยายตน๎ สับปะรดในหอ๎ งปฏิบัติการเพาะเลย้ี งเนื้อเย่ือไดป๎ ระมาณ 2 เดือน ต๎น สับ ปะร ดมียอดและรากสมบูรณ์พร๎อมท่ีจะนาออกจากขวดมาชา ในถาดหลุมพลาสติก โดยใช๎ขุยมะพร๎าวเป็นวัสดุปลูกและทาการอนุบาลในถาด พลาสตกิ นาน 14 - 30 วนั (ภาพท่ี 27) ทาการยา๎ ยต๎นออํ นปลูกลงแปลงปลูกอนุบาล ในเรอื นเพาะชาประมาณ 2 - 3 เดอื น (ภาพท่ี 28) จนได๎ต๎นท่มี คี วามยาวใบประมาณ 15 เซนตเิ มตร จึงพร๎อมนาปลกู ในแปลงกลางแจง๎ ภาพท่ี 27 การอนบุ าลตน๎ สับปะรดที่ไดจ๎ ากการเพาะเลี้ยงเนอ้ื เยอ่ื ในถาดหลุมพลาสติก
54 ภาพที่ 28 การ ย๎ายต๎ นสับป ะรด ที่ได๎จ ากก ารเพ าะเล้ี ยงเ นื้อเย่ื อจา ก ถาดหลุมพลาสติกลงกระบะเพาะชาในโรงเรือนเพาะชา 3.3 การเตรยี มต้นพันธุ์สบั ปะรดทไ่ี ดจ้ ากการเพาะเลีย้ งเนอื้ เยื่อสาหรับนาไปปลูก ในแปลงกลางแจ้ง หลังปลูกอนุบาลต๎นสับปะรดในโรงเรือนเพาะชาประมาณ 2 - 3 เดือน เม่อื ตน๎ เจรญิ เติบโตได๎ขนาดความยาวใบประมาณ 15 เซนติเมตร ซึ่งจะพร๎อมปลูก ลงแปลง ทาการงดน้า 1 - 2 วัน และถอนต๎นจากแปลงทาความสะอาด และจุํม สารเคมีปูองกันเช้ือราและแมลงศัตรู ผึ่งให๎แห๎ง บรรจุในตะกร๎าพร๎อมสํงไปป ลูก ในแปลงเพ่อื ผลิตหนํอพันธป์ุ ลอดโรคเหยี่ วตอํ ไป (ภาพท่ี 29) 3.4 การเพาะเมล็ด การขยายพันธุ์สับปะรดด๎วยการเพาะเมล็ดนั้นสํวนใหญํจะทาเพ่ือ การปรับปรุงพันธุ์ให๎ดีขึ้นตามวัตถุประสงค์ โดยทาการคัดเลือกพํอและแมํพันธุ์ ท่ีมีลักษณะตามที่ต๎องการ เม่ือต๎นมีอายุเหมาะสมจึงบังคับให๎ออกดอก และทา การผสมพนั ธุ์ หลงั จากผสมเกสรประมาณ 5 - 6 เดือน ผลจะแกํทาการเก็บเกีย่ วแล๎ว ผําผลแกะนาเมล็ดออกซึง่ เมล็ดจะอยูภํ ายในรงั ไขํ และกอํ นทีจ่ ะนาเมลด็ มาเพาะเมลด็ ต๎องแชํในกรดซลั ฟูรคิ เข๎มข๎น 30 - 60 วินาที เนอ่ื งจากเมล็ดมีเปลือกแข็ง วัสดุเพาะ ใช๎พีทมอส ผสมทรายอัตราสวํ น 1 : 1 หลงั จากเพาะนาน 20 – 30 วัน เมลด็ เร่ิมงอก
55 เลี้ยงต๎นกล๎าในเรือนเพาะชาจนได๎ขนาดต๎น 400 – 500 กรัม ซึ่งใช๎เวลาประมาณ 8 – 14 เดอื น จงึ นาไปปลกู ลงแปลง (ภาพท่ี 30) ภาพที่ 29 การดูแลรักษาต๎นจากการเพาะเล้ียงเน้ือเยื่อในกระบะเพาะชาและ การเตรียมตน๎ สาหรับนาไปปลูกในแปลงปลกู
56 เมลด็ สบั ปะรดทอ่ี ยํภู ายในผล ลกั ษณะเมล็ดสบั ปะรด การแชกํ รดซลั ฟรู คิ ภายในผล วัสดเุ พาะเมลด็ ตน๎ กลา๎ ที่งอก ตน๎ กล๎าอายุ 6 เดือน ต๎นกลา๎ ทมี่ ีลักษณะแตกตาํ งกัน ลกั ษณะตน๎ และผลสบั ปะรดลกู ผสม ทผี่ ํานการคัดเลอื กเบอื้ งต๎น ภาพท่ี 30 เมลด็ การเพาะเมล็ดและตน๎ กลา๎ สบั ปะรดจากการเพาะเมล็ด
57 เอกสารอา้ งอิง ชยานิจ ดิษฐบรรจง กษิดิศ ดิษฐบรรจง และ ภุมรินทร์ วณิชชนานันท์. 2558. เปรียบเทียบเทคนิค suspension culture และ temporary immersion ในการขยายพันธ์ุสับปะรด. ในรายงานโครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี การผลิตเพือ่ เพม่ิ ประสิทธิภาพการผลิตสับปะรด. 2558. กรมวิชาการเกษตร. น 46-54. ทวีศักด์ิ แสงอุดม วันเพ็ญ ศรีทองชัย นลินี จาริกภากร ธวัชชัย นิ่มกิ่งรัตน์ พฤกษ์ คงสวัสด์ิ นพมณี โทบญุ ญานนท์ สุเทพ สหายา กาญจนา วาระวิชะนี สมบัติ ตงเต๏า ยุพิน กสินเกษมพงษ์ มัลลิกา นวลแก๎ว ดนัย นาคประเสริฐ วันชัย ถนอมทรัพย์และ จารอง ดาวเรือง. 2559. การพัฒนาการผลิตหนํอพันธ์ุ ปลอดโรคเห่ียวจากการเพาะเล้ียงเน้ือเย่ือและการสร๎างแปลงต๎นแบบ การผลิตสับปะรดปลอดโรคเห่ียวแบบบูรณาการ. รายงานฉบับสมบูรณ์ จากเงินรายได๎การดาเนินงานวิจัยด๎านการเกษตร กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. 40 น.
58 บทท่ี 4 การปลูกและการปฏิบตั ดิ ูแลรกั ษา สับปะรดเป็นพชื ท่ีสามารถปลูกได๎ทกุ พน้ื ท่ี แตํปจั จัยสภาพแวดล๎อมมีผลตํอ การเจริญเติบโต การใหผ๎ ลผลิตและคณุ ภาพของสบั ปะรด โดยปจั จยั ตํางๆ มีดังน้ี 1) ระดบั ความสงู ของพน้ื ท่ี สั บ ป ะ ร ด ส า ม า ร ถ ป ลู ก ไ ด๎ ตั้ ง แ ตํ ท่ี ค ว า ม สู ง ร ะ ดั บ น้ า ท ะ เ ล ข้ึ น ไ ป จนถึงระดับ 1,200 เมตร แตํถ๎าจะปลูกเป็นการค๎าควรอยํูในระดับความสูงไมํเกิน 600 เมตร เพราะถ๎าระดับพ้ืนที่ย่ิงสูงข้ึนจะทาให๎อุณหภูมิลดลงและมีผลตํอ การเจรญิ เตบิ โตและคุณภาพของสบั ปะรด 2) แสงแดด สับปะรดเปน็ พชื ทต่ี อ๎ งการแสงแดดตลอดวันและพบวํา การลดปริมาณ แสงแดดลง 20 เปอร์เซ็นต์ ทาให๎ปรมิ าณผลผลติ ลดลง 10 เปอรเ์ ซ็นต์ 3) อุณหภูมิ อณุ หภมู ิทเ่ี หมาะสมสาหรบั การปลกู สับปะรดชํวง 24 - 30 องศาเซลเซียส ตามปกติแล๎วการเจริญเติบโตของสับปะรดจะหยุดชะงักเมื่ออุณหภูมิลดลงต่ากวํา 20 องศาเซลเซียส ซึ่งแหลํงผลิตสับปะรดเป็นการค๎าของโลกสํวนใหญํจะอยูํตาม แนวพื้นท่ชี ายทะเลหรือมหาสมุทร หรือตามพ้ืนท่ีเกาะตํางๆ ซึ่งมีการเปล่ียนแปลง ข อ ง อุ ณ ห ภู มิ แ ล ะ ค ว า ม ชื้ น น๎ อ ย ก วํ า พ้ื น ท่ี ร ะ ดั บ เ ดี ย ว กั น ท่ี อ ยูํ ภ า ย ใ น ข อ ง ท วี ป ดังน้ัน จะเห็นได๎วําพ้ืนที่ปลูกสับปะรดของประเทศไทยสํวนมากอยํูในเขตจังหวัด ชายทะเล เชํน จงั หวัดเพชรบรุ ี ประจวบคีรขี ันธ์ ชลบุรี และ ระยอง เป็นต๎น 4) ปริมาณนา้ ฝน แม๎สบั ปะรดเปน็ พืชที่ทนทานตอํ ความแหง๎ แลง๎ ได๎ดี แตํไมํได๎หมายความวํา สับปะรดไมํต๎องการน้า สํวนใหญํการปลูกสับปะรดของไทยอาศัยน้าฝนเป็นหลัก ดงั นัน้ ถา๎ ปริมาณนา้ ฝนมีความสม่าเสมอหรือคํอนข๎างสม่าเสมอและกระจายตลอดปี จะทาให๎สับปะรดมีการเจริญเติบโตดี เน่ืองจากไมํมีชํวงหยุดชะงักการเจริญเติบโต
59 การขาดน้าอยํางรนุ แรงมีผลตํอผลผลติ คือ จะทาให๎ขนาดผลลดลง ดังนั้น การเลือก แหลํงปลูกสับปะรดให๎ได๎ผลดีควรเลือกที่ท่ีมีปริมาณน้าฝนระหวําง 1,000 - 1,500 มิลลเิ มตร/ปี และมกี ารกระจายของฝนสมา่ เสมอหรือคํอนขา๎ งสม่าเสมอ 5) สภาพดนิ สับปะรดเปน็ พชื ท่ีไมเํ ลือกชนดิ ของดนิ มากนกั แตํดินปลูกท่ีเปน็ ดนิ เน้อื หยาบ เชํน ดินทรายชายทะเลมักมีการระบายน้าดีเหมาะกวําดินที่มีเน้ือละเอียด เชํน ดนิ เหนยี วซ่งึ ระบายน้าได๎ยาก และจะเกดิ ปัญหาเรือ่ งโรคตดิ ตามมา ดินปลกู ควร เป็นดินรํวนหรือรํวนปนทราย ความอุดมสมบูรณ์ปานกลาง มีอินทรียวัตถุไมํต่ากวํา 1.5 เปอรเ์ ซ็นต์ ความลาดเอยี ง 1 - 2 เปอรเ์ ซน็ ต์ การระบายน้าและถํายเทอากาศดี ระดับหน๎าดินลึกไมํน๎อยกวํา 50 เซนติเมตร คําความเป็นกรดเป็นดํางของดิน 4.5 - 5.5 สบั ปะรดไมชํ อบดนิ ทมี่ ี pH สูงเกินกวํา 7.0 ดังจะเห็นได๎วําหากพ้ืนท่ีปลูก ใดมีสภาพเป็นจอมปลวกเกําอยํูมาก สับปะรดจะมีใบเหลือง ซีด อํอนแอ งํายแกํ การถูกทาลายโดยโรครากเนําและโคนเนํา ทั้งนี้เน่ืองจากขาดธาตุเหล็กในรูป ท่ีใช๎ประโยชน์ได๎นั่นเอง ในด๎านสภาพภูมิอากาศ อุณหภูมิที่เหมาะสมตํอ การเจริญเติบโตของสับปะรดระหวําง 24 - 30 องศาเซลเซียส มีปริมาณน้าฝน กระจายสม่าเสมอระหวําง 1,000 - 1,500 มิลลิเมตร/ปี 4.1 ฤดปู ลูกสับปะรด การปลูกสับปะรดในประเทศไทยสามารถปลูกได๎ตลอดปี ยกเว๎นชํวง ทมี่ ีฝนตกหนักเทาํ น้นั ท่ไี มนํ ิยมปลูกเนอ่ื งจากมักมโี รครากเนํายอดเนําระบาดทาลาย และการเตรียมแปลงกระทาได๎ลาบาก โดยท่ัวไปเกษตรกรมักนิยมปลูกต้ังแตํ เดือนธันวาคม ถึง เดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นชํวงที่สามารถปฏิบัติงานได๎สะดวกไมํมี ฝนตกชุก ไมํมีปัญหาเรื่องโรครากเนํายอดเนํา นอกจากน้ันแล๎วการปลูกสับปะรด ในชวํ งนส้ี ามารถใช๎จุกปลกู ไดด๎ ี
60 4.2 การเตรียมวัสดปุ ลูก วัสดุปลูกท่ีนิยมใช๎ มี 2 แบบ คือ หนํอ และจุก การปลูกด๎วยหนํอ ควรมี การคัดขนาดหนํอ หนํอขนาดเดียวกันควรปลูกในแปลงเดียวกัน เพื่อให๎ ตน๎ เจรญิ เติบโตสม่าเสมอ สามารถบังคับดอกและเก็บเกี่ยวได๎พร๎อมกัน นอกจากน้ี การคัดขนาดวัสดุปลกู สามารถชํวยกระจายผลผลิตสบั ปะรดได๎ เน่ืองจากวัสดปุ ลูกทมี่ ี ขนาดแตกตํางกัน จะมีการเจริญเติบโตไมํพร๎อมกัน เม่ือนามาปลูกพร๎อมๆ กัน จะทาใหก๎ ารบังคับดอกและเก็บเกี่ยวไดไ๎ มํพรอ๎ มกนั หนอํ ท่ีใชป๎ ลูกมี 3 ขนาด 1) หนํอขนาดเลก็ น้าหนัก 300 - 500 กรมั ความยาว 30 - 50 เซนตเิ มตร 2) หนอํ ขนาดกลาง นา้ หนกั 500 - 700 กรมั ความยาว 50 - 70 เซนตเิ มตร 3) หนํอขนาดใหญํ นา้ หนกั 700 - 900 กรัม ความยาว 70 - 90 เซนตเิ มตร จากการประเมนิ ระยะเร่ิมปลูกจนถึงชํวงบังคบั การออกดอก และเก็บเกี่ยว ของสับปะรดที่ปลูกในฤดูฝน โดยการใช๎หนํอท่ีมีขนาดตํางๆ กัน สามารถบังคับ การออกดอกและเก็บเกี่ยวในระยะเวลาท่ีแตกตาํ งกันดงั น้ี (ตารางท่ี 13) ตารางท่ี 13 ผลของขนาดหนอํ และจกุ ตํออายุการบังคบั ดอกและเก็บเก่ยี ว ขนาดของหน่อและจกุ ระยะปลูกถึงบังคบั ดอก ระยะปลูกถึงเกบ็ เกี่ยว หนอํ ขนาดเลก็ (เดือน) (เดอื น) 10 - 12 15 - 17 หนอํ ขนาดกลาง 8 - 10 13 - 15 หนํอขนาดใหญํ 6 - 8 11 - 13 จุก (150 - 350 กรมั ) 10 - 15 15 - 20
61 ข้อดแี ละข้อเสียของการปลูกด้วยหนอ่ ขอ๎ ดี - ทนตํอโรคเนาํ (heart rot ) มากกวาํ จุก - เก็บเก่ียวผลผลิตได๎เร็วกวําจุก กลําวคือ จะบังคับดอกได๎เมื่อสับปะรด มีอายุ 8 - 12 เดือน และสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได๎เมื่ออายุ 13 - 17 เดือน - ปลกู ได๎ตลอดปี ขอ๎ เสีย - คําใชจ๎ ํายสงู หนอํ ราคาแพง - การเจรญิ เตบิ โตไมสํ มา่ เสมอ - ออกดอกในฤดมู าก กลําวคือ ถา๎ ปลูกไปแล๎วตง้ั แตํ 5 - 6 เดือนขึ้นไป แ ล ะ ต๎ น ส ม บู ร ณ์ ดี พ อ ส ม ค ว ร ใ น ชํ ว ง ท่ี อ า ก า ศ เ ริ่ ม ห น า ว ร ะ ห วํ า ง เดือนธันวาคม ถึง มกราคม สับปะรดบางสํวนจะออกดอกเอง ตามธรรมชาติโดยปกติจะออกดอกตามธรรมชาติ 50 - 90 เปอร์เซ็นต์ แล๎วแตํขนาดอายุและความสมบูรณ์ของต๎น ในกรณีน้ีทาให๎มีผลผลิต สับปะรดออกสูตํ ลาดมากสํงผลให๎ราคาคํอนข๎างตา่ ขอ้ ดแี ละข้อเสียของการปลกู ดว้ ยจุก ขอ๎ ดี - คําใช๎จาํ ยถกู กวํา เนื่องจากจกุ มีราคาถกู - การเจริญเตบิ โตสมา่ เสมอ มีรากทแ่ี ขง็ แรงกวํา ตน๎ มีขนาดใหญํ - จุกแตลํ ะขนาดมีอายกุ ารออกดอกท่ีใกล๎เคียงกัน ผลมีขนาดสม่าเสมอ และรูปทรงผลดีกวาํ - เกดิ ลกู ปนี ๎อย เน่ืองจากในชํวงฤดูเร่ิมออกดอกตามธรรมชาติ (ธนั วาคม - มกราคม) สับปะรดท่ปี ลกู ดว๎ ยจุกท่ีมีขนาดต๎นสมบูรณ์แล๎ว จะไมํคํอยออกดอกธรรมชาติ จะมีออกบ๎างเป็นบางแปลงที่ได๎รับ
62 ความกระทบกระเทอื นจากความช้ืนและอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงมากๆ เทําน้ัน ซ่ึงคุณสมบัติข๎อน้ี ทาให๎สามารถกระจายผลผลิตได๎เนื่องจาก สามารถหลีกเล่ียงการออกผลในชํวงที่ไมํต๎องการและหากต๎องการ ให๎ออกผลเมือ่ ใดก็สามารถบังคบั ใหอ๎ อกได๎ ข้อเสยี - อายเุ ก็บเกยี่ วนานกวาํ การปลูกด๎วยหนํอ โตช๎ากวําเนื่องจากจุกมีขนาด เลก็ กวําหนํอ - อํอนแอกวําหนํอ ทนทานตํอโรคไส๎เนําหรือต๎นเนํา (heart rot) น๎อยกวําหนํอ ดังนั้นกํอนปลูกให๎ชุบจุกด๎วยสารปูองกันกาจัดโรคพืช เชํน ฟอสอิทลิ -อะลูมิเนยี ม (80 %WP) เมตาแลกซลิ (25 %WP) เปน็ ตน๎ การชบุ หนอ่ ในสารละลายปอ้ งกนั เช้อื รา กํอนการปลูกควรชุบหนํอด๎วยสารละลายปูองกันเชื้อราเพื่อปูองกันและ ลดอัตราการสูญเสยี ท่ีเกิดจากโรคเนําตาํ งๆ และยงั เป็นการประหยัดเวลาและแรงงาน ในการปลกู ซํอม การชบุ หนํอทาได๎ 2 วิธี คือ 1. ชุปหนํอด๎วยฟอสอิทีล - อะลูมิเนียม (อาลิเอท) อัตรา 1 กิโลกรัม/ น้าสะอาด 200 ลิตร ชบุ ประมาณ 3 นาที กอํ นนาไปปลกู 2. พนํ สารเคมีดังกลําวหลงั จากปลกู เสรจ็ ทนั ที 4.3 รอบการปลกู สับปะรด สับปะรดเป็นพืชท่ีมีอายุตั้งแตํปลูกจนถึงเก็บเกี่ยวนานประมาณ 15 - 18 เดอื น และหลงั จากเกบ็ เกยี่ วผลจากต๎นท่ปี ลกู ครั้งแรก (plant crop) สามารถไว๎หนํอ และเก็บผลผลิตได๎อีก 1 - 2 รุํน (First and Second ratoon crop) ซึ่งชํวงระยะ เวลาตง้ั แตํการปลูกครงั้ แรกจนถงึ เกบ็ เก่ียวหนอํ รุนํ สดุ ทา๎ ยและเตรยี มการปลกู ครัง้ ตํอไป ในพื้นที่เดิมเรยี กวาํ รอบการปลกู (crop cycle) มี 2 แบบ
63 1. รอบการปลูก 4 ปี ไว๎หนํอครั้งเดียว โดยจะเก็บผล 2 รุํน คือ ผลจาก ต๎นแมํ (plant crop) และเก็บผลจากหนอํ รนุํ แรก (first ratoon crop) (ภาพที่ 31) 2. รอบการปลูก 5 ปี ไว๎หนํอ 2 รุํน และสามารถเก็บผลผลิตได๎ 3 รํุน (ภาพที่ 32) 18 เดอื นเกบ็ ผลครั้งท่ี 1 (plant crop harvesting) เตรยี มดนิ รอบการปลูก 4 ปี ไว๎หนอํ (1st ratoon) 36 เดอื นเกบ็ ผลครงั้ ท่ี 2 (1st ratoon crop harvesting) ภาพที่ 31 รอบการปลูกสับปะรด 4 ปี ไวห๎ นํอ 1 รุํน เกบ็ เกย่ี วผลผลิต 2 ครั้ง
64 18 เดอื น เกบ็ ผลครง้ั ท่ี 1 ไว๎หนํอ รํุน 1 (plant crop harvesting) (1st ratoon) เตรยี มดนิ ปลกู รอบการปลกู 5 ปี 36 เดอื น เกบ็ เกย่ี วผลคร้ังท่ี 2 (1st ratoon crop harvesting) 54 เดือน เกบ็ เกีย่ วผลครง้ั ที่ 3 ไวห๎ นอํ รุํน 2 (2nd ratoon crop harvesting) (2nd ratoon) ภาพที่ 32 รอบการปลูกสบั ปะรด 5 ปี ไว๎หนอํ 2 รุํน เกบ็ เกย่ี วผลผลิต 3 คร้ัง อยํางไรก็ตามในปัจจุบันเกษตรกรภาคตะวันออกบางสํวนนิยมปลูก และเก็บเก่ียวรํุนแมํ (plant crop) เพียงรํุนเดียวแล๎วร้ือแปลงปลูกใหมํ ซึ่งมีข๎อดี คือต๎นเจริญสม่าเสมอ ผลผลิตตํอไรํสูงกวํา แตํต๎องเสียคําใช๎จํายในการเตรียมแปลง อีกคร้งั 4.4 การเตรียมแปลงปลูก การเตรียมแปลงปลูก เนื่องจากรอบของการปลูกสับปะรดใช๎เวลานาน 4 - 5 ปี จึงต๎องมกี ารเตรยี มดนิ อยํางดี เพ่ือให๎ต๎นสับปะรดมีการเจริญเติบโตสม่าเสมอ ให๎ผลผลิตสูง พื้นที่ๆเคยปลูกสับปะรดให๎ไถสับใบและต๎น (กรณีท่ีไมํมี โรคเหยี่ วระบาด) ทิง้ ไว๎ประมาณ 2 - 3 เดอื น แลว๎ ไถกลบอกี ครงั้ ในพ้ืนท่ีๆ มีดินดาน อยํูใต๎ผวิ หนา๎ ดิน ใหไ๎ ถทาลายดนิ ดาน และควรมกี ารวิเคราะห์ดินกอํ นปลูกและปฏบิ ัติ ตามคาแนะนาโดยเฉพาะการจดั การอนิ ทรยี วัตถใุ นดิน
65 4.5 การปลกู ตอ๎ งเลือกจานวนตน๎ ปลกู ตอํ ไรทํ ีเ่ หมาะสม ซ่ึงข้ึนกับวัตถุประสงค์การปลูก วําจะปลูกเพื่อขายผลสดหรือปลูกเพ่ือสํงโรงงาน ถ๎าปลูกเพ่ือสํงโรงงานและปลูก จานวนตน๎ /ไรํน๎อย เชํน 4,000 – 5,000 ต๎น/ไรํ จะไมํคุ๎มคํากับการลงทุน ควรปลูก 8,000 – 10,000 ต๎น/ไรํ ไดผ๎ ลผลิต/ไรสํ งู กวําและมีขนาดผลเหมาะสมตามที่โรงงาน ต๎องการ (ตารางที่ 14) ตารางที่ 14 เปรยี บเทยี บการปลูกจานวนตน๎ น๎อยและการปลกู จานวนตน๎ ท่ีเหมาะสม ปลกู จานวนต้นน้อย ปลูกจานวนต้นเหมาะสม 4,000 – 5,000 ต้น ไร่ 8,000 – 10,000 ต้น ไร่ 1. ไดผ๎ ลผลติ น๎อย 1. ไดผ๎ ลผลิตมาก 2. ส้นิ เปลืองพืน้ ท่ี 2. ใช๎พ้ืนท่ไี ด๎คุม๎ คํา 3. แดดเผาลกู ได๎งําย เสยี เวลาและเงนิ 3. ไมเํ สยี เวลาและเงินในการคลมุ ผล ในการคลมุ ผล 4. เกดิ ผลแกนมากกวาํ 4. เกดิ ผลแกนน๎อยกวํา 5. วชั พืชขึ้นมาก 5. วัชพืชขึ้นนอ๎ ย 6. ปยุ๋ ทีใ่ หส๎ ูญเสียไดม๎ าก 6. พืชได๎รบั ปยุ๋ เต็มทม่ี าก 7. เสยี คาํ ใช๎จํายในการเตรยี มดินและ 7. เสียคําใช๎จํายในการเตรียมดนิ และ บารุงรกั ษา มากกวํา บารงุ รกั ษา นอ๎ ยกวาํ ที่มา: บริษัทโดลไทยแลนด์ 4.6 วธิ ีการปลกู และระยะปลูก กา ร ป ลูก สั บ ปะ ร ด เพื่ อ เ ป็น วั ต ถุดิ บ ปู อ น โ ร ง งา น อุ ตส า ห กร ร ม สับ ป ะ ร ด กระป๋องจะปลูกในระบบรํองแถวคูํ (double row bed) ระยะปลูก 30x50x (60-90) เซนตเิ มตร ปลกู ไดป๎ ระมาณ 8,000 หนํอ/ไรํ และควรชบุ หนอํ กํอนปลูกด๎วย สารปูองกนั โรครากเนําหรือต๎นเนํา โดยเฉพาะการปลูกชวํ งกลางฤดูฝน สวํ นการปลูก
66 สับปะรดในกลํุม Queen เชํน พันธุ์ตราดสีทอง พันธ์ุสวี หรือพันธ์ุภูเก็ต นิยมปลูก แบบแถวเดี่ยวระยะปลูกระหวํางต๎น 30 เซนติเมตร ระยะระหวํางแถว 80 - 100 เซนตเิ มตร ปลกู ได๎ 5,000 - 6,000 หนํอ/ไรํ สาหรบั การปลกู สบั ปะรดพนั ธุ์ตราดสที อง ในพน้ื ที่จังหวัดตราด สํวนใหญํจะปลูกในสภาพกลางแจ๎ง (ภาพที่ 33) สํวนการปลูก สับปะรดพันธุ์ภูเก็ตและพันธุ์สวี ในท๎องถิ่นจังหวัดภูเก็ตและจังหวัดชุมพร นิยมปลูกเป็นพืชแซมในสวนมะพร๎าวที่มีอายุ 15 ปีข้ึนไป หรือสวนยางพารา ท่ีปลกู ใหมํ (ภาพที่ 34) ภาพที่ 33 การปลูกสบั ปะรดพันธุ์ตราดสที อง จังหวัดตราด ภาพที่ 34 การปลูกสับปะรดพันธภ์ุ ูเกต็ /พันธ์ุสวี แซมในสวนมะพร๎าวหรอื สวนยางพารา
67 ด๎านการศึกษาจานวนต๎นปลูกตํอไรํของสับปะรด ชมภูและคณะ (2553) ศึกษาจานวนตน๎ ปลูก/ไรํของสบั ปะรดพันธ์ุปัตตาเวยี พบวํา การปลูก 12,000 ต๎น/ไรํ มปี ริมาณผลผลติ 11,940 กโิ ลกรัม/ไรํ มากกวาํ จานวนตน๎ ปลูก 10,500 9,000 และ 7,500 ต๎น/ไรํ ซึ่งให๎ผลผลิต 10,844 9,532 และ 7,936 กิโลกรัม/ไรํ ตามลาดับ สวํ นสับปะรดบริโภคสดพันธตุ์ ราดสีทอง พบวาํ การปลูกจานวนตน๎ ตอํ ไรํตํางกันทาให๎ ได๎ปรมิ าณผลผลติ แตกตาํ งกันทางสถติ ิ โดยการปลูก 7,500 ตน๎ /ไรํ มปี ริมาณผลผลติ 6,866 กิโลกรัม/ไรํ มากกวําการปลูก 6,500 5,500 และ 4,500 ต๎น/ไรํ ซึ่งให๎ ผลผลิต 6,139 5,476 และ 4,304 กิโลกรัม/ไรํ ตามลาดับ สํวนพันธุ์สวี การปลูก 7,500 ตน๎ /ไรํ ให๎ผลผลิต 5,755 กโิ ลกรมั /ไรํ มากกวําจานวนต๎นปลูก 6,500 5,500 และ 4,500 ต๎น/ไรํ มีปริมาณผลผลิต 4,934 4,202 และ 3,369 กิโลกรัม/ไรํ ตามลาดับ 4.7 การปฏิบตั ิดแู ลรกั ษา การใส่ปุ๋ย เนื่องจากพ้ืนที่ปลูกสับปะรดสํวนใหญํสภาพดินเป็นดินทราย ดินรํวนปนทรายหรือดินทรายที่มีการระบายน้าดี ทาให๎มีการสูญเสียธาตุอาหาร และความอุดมสมบูรณ์ของดินคํอนข๎างเร็ว โดยสูญเสียไปกับน้าท่ีชะล๎างหน๎าดิน หรือนา้ ท่ซี มึ ลงไปในดนิ เกนิ กวําระดับความลึกของระบบรากพชื นอกจากการสูญเสยี ธาตุอาหารไปกบั นา้ แลว๎ ธาตุอาหารอกี จานวนหนง่ึ จะถกู นาออกไปจากพื้นที่ โดยติด ไปกับผลผลิตและหนํอสับปะรด การเจริญเติบโตและผลผลิตของสับปะรดจะ ตอบสนองตํอธาตุไนโตรเจนมากทสี่ ุด รองลงมาคือ โพแทสเซียม ปริมาณไนโตรเจน ทใ่ี หก๎ ับสับปะรดจะเปน็ ตวั กาหนดปริมาณของโพแทสเซียม ซ่ึงควรจะสมดุลกันด๎วย สวํ นธาตุอาหารรองทีส่ บั ปะรดต๎องการและมีการตอบสนองตํอการเพิ่มแมกนีเซียม ในพ้ืนทีๆ่ ใชป๎ ลูกสบั ปะรดมาระยะเวลาหน่งึ แล๎ว มักพบวําสับปะรดได๎รับธาตุอาหารเสริม (micronutrient) หลายธาตุไมํเพียงพอกับความต๎องการ เชํน เหล็ก สังกะสี และ ทองแดง รวมท้ังโบรอน Bartholomew และ Paull (1986) รายงานระดับ ท่ีเหมาะสมของธาตุอาหารตํางๆ ในใบ D-Leaf ของต๎นสับปะรดที่ระยะใกล๎สร๎าง ชํอดอกมไี นโตรเจน ฟอสฟอรสั โพแทสเซยี ม และแมกนีเซียม 1.6 - 1.9 0.16 - 0.20
68 1.8 - 3.5 แ ล ะ 0.2 - 0.3 เปอร์เซ็นต์น้าหนักแห๎ง ตามลาดับ (ตารางที่ 15) ดา๎ นการจดั การธาตุอาหารพืช หลักการสาคัญ คือ การวิเคราะห์ปริมาณธาตุอาหาร ใน ใ บ พื ช เ พ่ื อ ป ร ะ เ มิ น ธา ตุ อ า ห าร แ ล ะ ใ ช๎ เ ป็ นแ น วท า ง ส า ห รั บ ก า ร แน ะ นา ปุ๋ ย ซึ่งความเข๎มข๎นของธาตุอาหารในใบพืชท่ีเป็นตัวแทนจะสามารถบอกให๎ทราบถึง สถานะของธาตอุ าหารของพชื น้นั ๆ การเกบ็ ตวั อยาํ งดินเพ่ือจะให๎เป็นตัวแทนที่ดีทา ไดย๎ าก นอกจากนัน้ ปรมิ าณของธาตุอาหารในพืชยังเป็นผลรวมของการจัดการด๎าน ตาํ งๆ จึงนิยมใช๎คาํ วิเคราะหด์ ินรวํ มกับการวเิ คราะห์พชื เป็นแนวทางในการปรับปรุง ดนิ เพอื่ ให๎ธาตุอาหารอยูใํ นรูปทีเ่ ปน็ ประโยชน์ (Chang et al., 1996; Leece, 1976) สับปะรดมีความต๎องการธาตุอาหารหลัก ได๎แกํ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และ โพแทสเซียม โดยในแตลํ ะฤดูกาลผลิตสบั ปะรดตอ๎ งการไนโตรเจน 6 - 9 กรัม N/ต๎น หรือยูเรีย อัตรา 116 - 169 กิโลกรัม/ไรํ ฟอสฟอรัส 2 – 4 กรัม P2O5/ต๎น หรือ ทรพิ เปิล้ ซุปเปอรฟ์ อสเฟตอัตรา 38 - 76 กิโลกรมั /ไรํ และโพแทสเซียม 8 - 12 กรัม K2O/ตน๎ หรอื โพแทสเซยี มคลอไรด์ 113 - 170 กิโลกรัม/ต๎น (Bartholomew และ Paull, 1986) ตารางท่ี 15 ระดับธาตุอาหารท่ีเหมาะสม ในใบ D-Leaf ของสับปะรดในระยะ กอํ นการสรา๎ งชอํ ดอก ธาตุอาหาร สว่ นของเนอื้ เยื่อ ปรมิ าณธาตุอาหาร (% น้าหนกั แห้ง) ไนโตรเจน กลางใบ ฟอสฟอรสั โคนใบสขี าว 1.6 - 1.9 โพแทสเซียม โคนใบสีขาว แมกนีเซียม โคนใบสีขาว 0.16 - 0.20 1.8 - 3.5 0.2 - 0.3 ทมี่ า: Bartholomew และ Paull (1986)
69 ความสาคญั ของธาตอุ าหารพชื ตา่ งๆ กับสับปะรด (ตารางท่ี 16) ไนโตรเจน (N) ชํวยในการเจรญิ เตบิ โตของต๎นและมีผลกับน้าหนักของผล ควรใสปํ ๋ยุ ไนโตรเจนต้งั แตรํ ะยะแรกปลกู จนถงึ กํอนบังคับผล ไมํควรใสํปุ๋ยไนโตรเจน หลังจากที่พืชออกดอกเพราะมีผลทาให๎เกิดสารไนเตรทตกค๎างในผล การใสํปุ๋ย ไนโตรเจนมากเกินไปมีผลให๎คุณภาพของเนอื้ ดอ๎ ยลง เน้ือฉ่าน๎อย เกิดอาการสุกเขียว และปรมิ าณกรดในผลลดลง อาการขาดธาตุไนโตรเจน จะทาให๎สบั ปะรดเจรญิ เตบิ โตช๎า ต๎นแคระแกรน็ ใบเหลอื งซีด ผลผลิตตา่ ขนาดของผลเล็ก การเกิดหนํอ และตะเกียง ลดลงอยาํ งมาก ฟอสฟอรสั (P) มคี วามสาคญั กบั กระบวนการสงั เคราะห์แสงของสบั ปะรด โดยชวํ ยเปล่ียนแปลงพลังงานจากแสงแดดให๎เปน็ ประโยชนก์ ับพชื สับปะรดต๎องการ ฟอสฟอรัสปริมาณเล็กน๎อย แตํถ๎าในสภาพแห๎งแล๎งการดูดธาตุอาหารฟอสฟอรัส จากดินอาจมีผลทาให๎เกิดอาการขาดธาตุอาหารได๎ ถึงแม๎วําสับปะรดต๎องการ ธาตุฟอสฟอรัสในปริมาณน๎อย แตํก็มีความจาเป็นในการสร๎างดอกและ การเจริญเติบโตของผล ถ๎าขาดธาตุฟอสฟอรัสจะทาให๎ใบแคบ และใบที่แตกใหมํ มสี ีเขียวปนมํวง โพแทสเซียม (K) เป็นธาตอุ าหารท่สี าคญั ท่สี ุดสาหรับคณุ ภาพของผลผลิต สับปะรด ชวํ ยให๎ตน๎ และผลสบั ปะรดต๎านทานตํอโรคพืชตาํ งๆ โดยเฉพาะโรคเน้ือแกน ของผล เน้ือผลสีเหลืองสวยและมีกลิ่นและรสชาติดีชํวยเพ่ิมปริมาณกรดในผล และมีผลกับปริมาณสัดสํวนของกรดและน้าตาลในผล ชํวยให๎พืชทนทานตํอความ แห๎งแล๎ง การใสํปุ๋ยโพแทสเซียมกับสับปะรดจะใช๎ในรูปของโพแทสเซียมซัลเฟต (0-0-50) ชํวยเพิ่มปริมาณน้าตาล และโพแทสเซียมคลอไรด์ (0-0-60) ชํวยเพิ่ม ปริมาณกรด ควรใสํควบคูํในสัดสํวนประมาณ 1 : 2 ถ๎าใสํโพแทสเซียมปริมาณมาก เกินไปอาจทาให๎พืชขาดธาตุอาหารแคลเซียมและแมกนีเซียม สับปะรดต๎องการ ธาตุโพแทสเซียมในปริมาณมาก ถ๎าหากสับปะรดขาดธาตุโพแทสเซียมจะทาให๎ ปลายใบไหม๎ ใบแกํจะมีจุดสีเหลืองตํอมาจะเปลี่ยนเป็นสีน้าตาลและเห่ียวแห๎งไป ผลมขี นาดเล็ก ผลแกชํ ๎า และมีปรมิ าณกรดอยํูต่า
70 แมกนีเซียม (Mg) ควบคุมการสังเคราะห์แสง และกระบวนการผลิต นา้ ตาลในผลสับปะรด ควรใช๎ในรูปของแมกนีเซียมซัลเฟต หรือรูปของเกลือยิปซัม การขาดธาตุแมกนีเซียมมักจะเกิดในดินทรายท่ีมีกรดจัด ลักษณะอาการขาดธาตุน้ี คือ ใบแกมํ ักแสดงอาการขาดคลอโรฟิลล์กลายเป็นสีเขียวอํอน เกิดจุดประสีเหลือง และแดง ผลผลิตลดลง แคลเซยี ม (Ca) ชวํ ยสรา๎ งความแขง็ แรงใหก๎ ับผนงั เซลล์ทาให๎ต๎านทานตํอ การเข๎าทาลายของโรคพืช เชํน โรคจุดดาในผล ควรใช๎ปุ๋ยที่ประกอบด๎วย ธาตุแคลเซยี มโบรอน เปน็ องค์ประกอบโดยพนํ ทางใบเปน็ ระยะ เหล็ก (Fe) ชํวยในการสังเคราะห์คลอโรฟิลล์ และแบํงเซลล์ การขาด ธาตุเหล็กมักเกิดกบั ดนิ ทเ่ี ป็นลักษณะดํางจัด เชํน ดินจอมปลวก การขาดธาตุเหล็ก มักจะเกิดขึ้นเม่ือ pH ของดินสูงกวํา 6.5 และมีแคลเซียม แมงกานีสในดินสูง ธาตุแมงกานีสเป็นตัวชักนาทาให๎เกิดการขาดธาตุเหล็ก และอัตราสํวนของ แมงกานิส/เหล็กไมํควรเกิน 2 ถ๎าสับปะรดขาดธาตุเหล็กจะทาให๎ใบเกิดอาการ ขาดคลอโรฟีลล์ ใบมีสีเหลืองซีด ถ๎าขาดอยํางรุนแรงใบจะเป็นสีขาว การแก๎ไขใช๎ เหลก็ ซลั เฟตละลายน้ารอ๎ ยละ 1 - 3 พํนทางใบ โบรอน (B) ชวํ ยปอู งกันไมใํ หเ๎ กดิ โรคผลแตกและโรคไส๎แตกของสับปะรด ชํวยปอู งกันไมใํ ห๎เกิดอาการบา๎ จุกของผล อาการบ๎าจุก คือ ผลสับปะรดมีจานวนจุก มากกวาํ 1 จกุ กามะถนั (S) เป็นองค์ประกอบของกรดอะมิโน และโปรตีน ซ่ึงสาคัญกับ คณุ ภาพในผล สรา๎ งวติ ามินในผล ปุย๋ ทม่ี ีกามะถันเป็นองคป์ ระกอบ เชนํ สูตร 21-0-0 และ 0-0-50 แมงกานีส (Mn) และโมลิบดิน่ัม (Mo) มีส่วนสาคัญในการช่วยให้ เอนไซม์ที่เร่งการลดสารไนเตรททางานได้ดี การขาดธาตุแมงกานีสและโมลิบดิน่ัม จะมผี ลใหเ้ กดิ ขบวนการเปลยี่ นสภาพไนเตรทของพชื ชา้ ลง
71 ตารางที่ 16 ระดบั ความเข๎มข๎นของธาตอุ าหารหลักและธาตุอาหารรองท่ีขาดแคลน พอเพยี งหรือมากเกินในใบสบั ปะรด ธาตอุ าหาร ขาดแคลน พอเพียง มากเกนิ ไนโตรเจน (N) - 1.50 - 2.50 - ฟอสฟอรสั (P) 0.14 - 0.35 โพแทสเซียม (K) < 0.13 4.3 - 6.4 > 0.35 แคลเซยี ม (Ca) < 2.8 0.22 - 0.40 > 6.04 แมกนีเซยี ม (Mg) < 0.04 0.41 - 0.57 > 0.40 ทองแดง (Cu) < 0.13 > 0.57 เหล็ก (Fe) 10 - 50 แมงกานีส (Mn) - 80 - 100 - สงั กะสี (Zn) - 150 - 400 - - 15 - 70 - - - (Reuter and Robinson, 1986) การพ่นปยุ๋ ทางใบสบั ปะรด การพํ นปุ๋ ย ทาง ใบใ ห๎แกํ สับป ะรด สํวน ใหญํ ทาเ ม่ือพื ชได๎ รับธ าตุอ าหา ร ไมํเพียงพอทั้งในชํวงต๎นเล็กเริ่มให๎หลังจากปลูกประมาณ 1 - 2 เดือน โดยดูจาก สภาพต๎น ให๎ปุ๋ยทั้งหมด 4 ครั้ง หํางกันครั้งละ 1 เดือน สํวนการพํนปุ๋ยสับปะรด ในแปลงต๎นใหญํในแปลงใหมํท่ีพํนปุ๋ยต๎นเล็กครบ 4 ครั้ง แล๎วให๎พํนปุ๋ยตํออีก เดือนละครั้ง จนถึงกาหนดการให๎สารเคมีบังคับดอก จึงหยุดการพํนปุ๋ย สํวนใน แปลงเกําท่ีเล้ียงหนํอ เม่ือเก็บผลผลิตแล๎วประมาณ 2 เดือน ให๎พํนปุ๋ยตํออีก เดือนละครั้งจนถึงกาหนดการให๎สารเคมบี งั คับดอก จึงหยดุ การพํนป๋ยุ (ตารางท่ี 17)
72 ตารางท่ี 17 แสดงอตั ราสํวนการผสมป๋ยุ ทางใบ (พ้นื ท่ี 1 ไรํ/10,000 ต๎น) ปุ๋ย แปลงต้นเล็ก แปลงตน้ ใหญ่ แปลงเก่า 10 ยูเรยี (กโิ ลกรมั ) 12 16.5 1.5 เหลก็ (กิโลกรัม) 1.5 1.5 200 สังกะสี (กรมั ) 200 200 โพแทสเซียมคลอไรด์ 2 (กิโลกรมั ) 22 น้าสะอาด (ลติ ร) 40 400 400 ทมี่ า: บริษัทโดลไทยแลนด์ ชูศักด์ิและคณะ (2553) ศึกษาผลของวิธีการให๎น้าและการให๎ปุ๋ยเคมี อัตราตํางๆ ท่ีมีตํอการเจริญเติบโตและผลผลิตของสับปะรด ดาเนินการ ที่ศูนย์วิจัยพืชสวนเพชรบุรี อาเภอชะอา จังหวัดเพชรบุรี มีการให๎น้า 3 ระบบ คือ ระบบน้าหยด ระบบมินิสปริงเกอร์ และไมํให๎น้า (Control) Sub plot เป็น การใสํปุ๋ยเคมีสูตร 12-6-15 อัตรา 25 : 50 : 75 ก รัม N-P2O5-K2O /ต๎น /ฤ ดู และอตั รา 25 กรมั N-P2O5-K2O /ต๎น/ฤดู + มลู ไกํ 1,000 กิโลกรัม/ไรํ พบวาํ การให๎ นา้ ดว๎ ย ระบบมนิ สิ ปริงเกอร์ และระบบน้าหยด ทาให๎สับปะรดให๎ผลผลิตมากท่ีสุด เฉลย่ี เทาํ กับ 10.64 และ 10.24 ตนั /ไรํ ตามลาดับ สํวนอัตราปุ๋ย พบวํา การให๎ปุ๋ยเคมี สูตร 12-6-15 อัตรา 75 กรัม N-P2O5-K2O /ต๎น /ฤดู ทาให๎สับปะรดมีน้าหนักผล (ไมมํ จี กุ ) มากทสี่ ดุ เฉล่ียเทาํ กับ 1,099.4 กรมั /ผล แตกํ ไ็ มํแตกตํางจากการใช๎ปุ๋ยเคมี สูตร 12-6-15 อัตรา 50 กรัม N-P2O5-K2O /ต๎น/ฤดู ซ่ึงให๎น้าหนักผลเฉล่ียเทํากับ 1,016.8 กรัม/ผล การให๎นา้ ระบบมนิ สิ ปรงิ เกอร์และระบบน้าหยดชํวยเพ่ิมผลผลิต ของสับปะรด ทั้งน้ีเพราะการให๎น้าท้ังสองระบบทาให๎มีปริมาณความชื้นในดินสูง และสม่าเสมอตลอดฤดกู าลเพาะปลูก
73 สาเหตุการตกค้างของไนเตรท การตกค๎างของไนเตรทเกิดจากหลายสาเหตุ เชํน การใสํปุ๋ยไนโตรเจน มากเกนิ ไปหรือใสํไมํถูกชํวงเวลา หรืออาจเกิดจากพืชไมํสามารถทาลายไนเตรทได๎ ตามปกตเิ นอ่ื งจาก ความบกพรอํ งของเอนไซมไ์ นเตรทรดี ัคเตส (nitrate reductase) ซ่ึงเปน็ เอนไซม์ที่มีหน๎าทเ่ี ปลย่ี นไนเตรทให๎อยูํในรูปอ่ืน โดยเอนไซม์ไนเตรทรีดัคเตส มีโมลิบดิน่ัมเป็นองค์ประกอบสาคัญ นอกจากน้ียังมีปัจจัยที่เกี่ยวข๎องอีก หลายประการ เชํน การดูดสารไนเตรทขึ้นไปมากในชํวงหลังฝนตก ความเข๎มแสง น๎อย และขาดธาตุอาหารเสริมบางชนิด รวมท้ังการปฏิบัติบางอยํางที่ไมํถูกต๎อง เชนํ การแคะจกุ หรือเดาะจุก การแก้ไขปญั หาการตกคา้ งของไนเตรท กรมวิชาการเกษตร (2545) ได๎มีคาแนะนาให๎เกษตรกรแก๎ไขปัญหา การตกค๎างของไนเตรท โดยห๎ามใสํปุ๋ยทีม่ ีไนโตรเจนหลังการบังคับดอก ห๎ามทาลาย จุก และแหลํงท่ีพบไนเตรทตกค๎างสูง ใช๎โมลิบดินั่ม 100 กรัม/ไรํ แบํงใสํ 2 คร้ัง หลังออกดอก 2.5 และ 4.5 เดือน หรือใช๎โพแทสเซียมคลอไรด์ 70 กิโลกรัม/ไรํ หลังออกดอก 2.5 เดือน การให้นา้ ตามปกติการปลูกสับปะรดจะอาศัยน้าฝนเป็นหลัก แตํในฤดูแล๎ง หรือฝนทิ้งชํวง ซ่ึงชํวงเวลาดังกลําวมีความชื้นต่ามาก ทาให๎สับปะรดขาดน้า สับปะรดจะชะงักการเจริญเติบโต โดยเฉพาะอยํางย่ิงในระยะการขยายขนาด ของผล สบั ปะรดที่ขาดน้าจะมีผลทาให๎เจริญเติบโตช๎า Doorenbos และ Kassam (1979) พบวํา สับปะรดท่ีขาดน้าจะมีการเจริญเติบโต การออกดอกและการติดผล ไมํดี สํงผลให๎ได๎ผลผลิตต่า ขนาดของผลไมํได๎มาตรฐาน และไมํได๎คุณภาพ แม๎สับปะรดเป็นพืชที่ใช๎น้าน๎อยแตํก็ยังมีความไวตํอการขาดน้าโดยเฉพาะชํวง ที่มีการเจริญเติบโตทางด๎านลาต๎นและใบ (Vegetative) ทาให๎กระทบตํอผลผลิต และคุณภาพของผลผลิต ในชํวงที่สับปะรดออกดอกหากขาดน้าจะไมํ
74 กระทบกระเทอื นมากนัก อาจจะเรงํ ใหผ๎ ลสกุ เรว็ ขนึ้ หรอื แกพํ รอ๎ มกนั ขณะท่ีสบั ปะรด ออกดอกการให๎น้ามากจะทาให๎ก๎านใหญํและแกนผลใหญํ ซึ่งเป็นผลเสียตํอการทา สับปะรดกระป๋อง เพราะฉะนั้นจึงต๎องมีการให๎น้าตามความต๎องการของสับปะรด ซึ่งคาํ สัมประสิทธิ์การใช๎น้า (Kc) ของสับปะรด พบวํา มีคํา Kc ในระยะเร่ิมต๎น (Initial) เทาํ กับ 0.5 Kc ในระยะก่ึงกลาง (Mid season) เทํากับ 0.3 และ Kc ในระยะชวํ งใหผ๎ ลผลติ (End) เทาํ กบั 0.3 (Doorenbos และ Pruitt, 1977) ดังนั้น ในฤดูแล๎งหรือฝนทิ้งชํวงควรให๎น้าสับปะรด สัปดาห์ละ 400 มิลลิลิตร/ต๎น หรอื 4,000 – 5,000 ลติ ร/ไรํ จะชํวยให๎การผลิตสับปะรดในฤดูแล๎งได๎ ผลผลติ ดีและไดค๎ ณุ ภาพมากขึ้น กรณีที่ใสํปุย๋ ครัง้ สดุ ทา๎ ยแล๎วไมํมีฝน ตอ๎ งใหน๎ ้าเพอ่ื ให๎ สบั ปะรดใชป๎ ุ๋ยใหห๎ มด ในฤดแู ลง๎ ชวํ ง มกราคม - พฤษภาคม ควรใหน๎ า้ สปั ดาห์ละ 1 ครัง้ และสับปะรดท่ีออกดอก ในชํวงแล๎งควรเน๎นการให๎น้าเป็นพิเศษ ชูศักด์ิ และคณะ (2553) ศึกษาการให๎น้าสับปะรดพันธุ์ปัตตาเวียโดยให๎น้าด๎วยระบบมินิสปริงเกอร์ และน้าหยด กับสบั ปะรดพนั ธปุ์ ัตตาเวยี พบวาํ ใหผ๎ ลผลิต 10.64 และ 10.24 ตัน/ไรํ สงู กวําการไมใํ หน๎ า้ 25.03 และ 20.32 เปอรเ์ ซน็ ต์ ตามลาดบั การบงั คับดอก ตามปกตสิ บั ปะรดจะออกดอกเองตามธรรมชาติในชํวงที่ได๎รับอากาศเย็น หรอื ในชวํ งฤดหู นาว แตํในการปลูกสับปะรดเป็นการค๎าจะมีการจัดการให๎สับปะรด ออกดอกพรอ๎ มกนั เพอื่ ให๎เกดิ ประสิทธิภาพในการบรหิ ารจัดการแปลงและการจัดการ ผลผลิตเพื่อเข๎าสํูโรงงานได๎ตามแผน ซ่ึงต๎นสับปะรดท่ีพร๎อมสาหรับการบังคับดอก ควรมีลักษณะ ดงั น้ี 1) มีนา้ หนกั ตน๎ และใบ (ไมรํ วมราก) ประมาณ 2.5 - 2.8 กิโลกรัม หรือ มีใบ 45 ใบขึ้น (สับปะรดรุํนแมํ) และนา้ หนักประมาณ 1.8 - 2.0 กโิ ลกรมั (สบั ปะรดตอ) 2) ลักษณะโคนตน๎ อวบใหญํ ใบกวา๎ ง หนา สีเขียวเข๎มหรือสีเขียวอมมวํ งแดง 3) อายุประมาณ 7 - 9 เดือน เมื่อปลูกด๎วยหนํอ หรือ 10 - 12 เดอื น เม่อื ปลกู ดว๎ ยจกุ
75 4) หํางจากการใสปํ ุ๋ยคร้ังสุดท๎าย 2 เดือน และไมํมีปยุ๋ ตกคา๎ งในกาบใบ 5) ไมมํ วี ัชพชื และหํางจากการพํนสารกาจดั วัชพชื อยํางน๎อย 1 เดือน สารเคมที ี่ใช้ในการบงั คับดอก 2 ชนิด คือ 1. แคลเซียมคารไ์ บด์ (Calcium carbide : CaC2) หรอื อะเซทธลิ ีน (acelylene : C2H2) (ภาพท่ี 35 ก) แคลเซียมคาร์ไบด์หรือท่ีเรียกกันโดยทั่วไปวํา ถํานแก๏ส มีลักษณะเป็น ก๎อนแข็งคล๎ายหิน ปัจจุบันได๎มีการผลิตชนิดเกล็ดสาเร็จรูปออกมาจาหนําย เพ่ือสะดวกในการใช๎ อาจใช๎ในรูปของแข็งใสํลงในกลางยอดของต๎นสับปะรดท่ีมี น้าขงั อยํู หรอื ใช๎ในรูปของสารละลายแคลเซยี มคาร์ไบด์ ซง่ึ แคลเซยี มคาร์ไบด์เม่ืออยํู ในสภาพสารละลายจะเกิดขบวนการไฮโดรไลซีส (hydrolysis) ได๎แก๏สอะเซทธิลีน (C2H2) ซง่ึ เปน็ สารออกฤทธ์ิในการชกั นาให๎ต๎นสับปะรดออกดอก CaC2 + 2H2O Ca(OH)2 + C2H2 เกษตรกรรายยํอยแถบจังหวัดประจวบฯ และเพชรบุรีนิยมใช๎ แคลเซียมคาร์ไบด์ เนื่องจากหาซื้อได๎งํายและราคาถูก สาหรับอัตราการใช๎ และวิธีใชแ๎ คลเซยี มคาร์ไบด์ ใชอ๎ ตั รา 1 - 2 กรมั /ต๎น ในขณะมีน้าอยูํในยอด ในกรณี ท่ีไมํมีนา้ ขังอยํูท่ีบริเวณยอด จะตอ๎ งหยอดนา้ เพมิ่ ให๎ประมาณต๎นละ 50 - 75 มิลลลิ ติ ร โดยหยอดบังคบั 2 ครง้ั หาํ งกัน 4 - 7 วัน โดยทาการบังคับดอกในชํวงเย็น หรือกลางคืน หากมีฝนตกภายใน 2 ช่วั โมง หลังจากหยอดสารบงั คับดอก ควรหยอด ซ้าภายใน 2 - 3 วนั 2. เอทธฟี อน (ethephon; 2-chloroethyl phosphonic acid) (ภาพที่ 35 ข) เอทธีฟอนเป็นสารละลายที่มีลักษณะเป็นของเหลวใส สีน้าตาลอํอน คําความเป็นกรดดําง (pH) เทํากับ 0.5 - 0.8 มีคุณสมบัติการกัดกรํอนโลหะสูงจะ แตกตวั ใหเ๎ อทธิลีนในสภาพท่ี pH สูงกวํา 4 จดั เปน็ สารเคมที ไี่ ด๎รับความนิยมสาหรับ
76 ใช๎เป็นสารบังคับดอกสับปะรดกันอยํางแพรํหลาย เนื่องจากมีความสะดวก ในการใช๎สูง เพราะอยํูในรูปของเหลวที่คงตัวในสภาพ pH ต่า และมีประสิทธิภาพ ในการชักนาให๎ต๎นสับปะรดออกดอกได๎ดี เอทธีฟอนเป็นสารเคมีที่มีคุณสมบัติ ปลดปลํอยก๏าซเอทธิลีนออกมาโดยตรง ฉะน้ันเม่ือเอทธีฟอนเข๎าไปในเน้ือเย่ื อ สับปะรด จะแตกตัวปลดปลํอยก๏าซเอทธิลีนออกมา และเอทธิลีนก็จะเป็นตัว ชกั นาใหเ๎ กิดการสรา๎ งตาดอกข้นึ มาก การใชเ๎ อทธีฟอน (48 หรือ 52 %W/V SL) อัตรา 6 - 8 มลิ ลิลติ ร/น้า 20 ลิตร ผสมกับปุ๋ยเคมี 46-0-0 อัตรา 300 กรัม พํนหรือ ตักหยอด ต๎นละ 60 มิลลิลิตร ทา 2 คร้ัง หํางกัน 4 - 7 วัน โดยทาการบังคบั ดอก ในชํวงเย็นหรืกลางคืน หากมีฝนตกภายใน 2 ช่ัวโมง หลังจากหยอดสารบังคับดอก ควรหยอดซา้ ภายใน 2 - 3 วัน Cl-CH2-CH2-PO3H2 + OH- pH >4 C2H4 + Cl- + H3PO4 ก. ข. ภาพท่ี 35 สารที่ใช๎บังคับดอกสับปะรด (ก) ถํานแก๏สแคลเซียมคาร์ไบด์ (ข) เอทธีฟอน
77 4.8 การจัดการศตั รูพืชของสบั ปะรด สบั ปะรดจัดเปน็ พชื ทมี่ ศี ัตรูพชื ไมมํ ากนัก แตํอยาํ งไรก็ตาม มีโรคและแมลง ที่สาคัญที่เป็นปัญหาในการผลิตสับปะรด เชํน โรคเหี่ยว โรคยอดเนําและยอดล๎ม โรครากเนําและต๎นเนํา รวมทั้งโรคผลแกน สํวนปัญหาแมลงศัตรูพืชท่ีสาคัญ ได๎แกํ เพลี้ยแปูงและมด ซ่ึงสาเหตุของโรคเหี่ยวสับปะรด (pineapple mealybug wilt associated virus; PMWaVs) ภาษาชาวบ๎านเรียกกันวํา “โรคเอ๋อ” เปน็ ปัญหาสาคัญของการปลูกสับปะรดในปัจจบุ นั การแพรกํ ระจายของโรคเกิดจาก การนาหนํอหรอื จกุ จากต๎นท่เี ปน็ โรคไปปลูก ซง่ึ มเี พล้ียแปูงเป็นพาหะนาโรคและมด เปน็ ตวั แพรกํ ระจายเพลยี้ แปงู ซึ่งโรคเหยี่ วในสบั ปะรดมกี ารแพรรํ ะบาดทกุ แหลงํ ปลกู สับปะรดทสี่ าคัญของประเทศ เชํน จังหวัดประจวบคิรีขันธ์ เพชรบุรี ระยอง ชลบุรี อทุ ัยธานี พัทลงุ เป็นต๎น สาเหตุ : เชอื้ ไวรัส ซ่ึงมีความสัมพันธ์กับเพลี้ยแปูง (Pineapple mealybug Wilt-associated Virus) เชื้อไวรสั กระจายอยหูํ นาแนนํ เฉพาะในเซลลท์ ํออาหารของ สบั ปะรด (ภาพท่ี 36) ความรนุ แรงของโรคจะเกิดกับสับปะรดกลํุม Cayenne ได๎แกํ พันธ์ุปตั ตาเวีย ซง่ึ มคี วามอํอนแอตอํ ไวรัสโรคเห่ียวมากที่สุด สํวนสับปะรดกลุํมอ่ืนๆ จะไมํคํอยแสดงอาการของโรคนใี้ ห๎เหน็ มากนกั ลักษณะอาการโรคเหีย่ วสบั ปะรด อาการระยะแรกเกิดท่ีระบบรากกํอนโดยรากจะไมํมีการสร๎างเซลล์ สํวนปลายราก ชะงักการเจริญเติบโต รากจะไมํทางานและเซลล์จะตาย ตํอมา เน้ือเยือ่ สวํ นรากจะเนาํ (Rotting) แลว๎ สบั ปะรดจะแสดงอาการใหเ๎ ห็นทางสํวนปลาย ใบและตวั ใบในเวลาตํอมาคือ ใบจะอํอนน่มิ มีเขียวอํอน หรือสีเหลืองอํอน ปลายใบ แหง๎ จนเป็นสนี า้ ตาลจนถึงสีแดงลามสํโู คนใบ ใบลูํลง แผํแบน ไมํตั้งขึ้นเหมือนใบปกติ ตํอมาต๎นเห่ียวและแห๎ง รากส้ันกุดถอนต๎นได๎งําย การทาลายเร่ิมต้ังแตํปลูกจนถึง เกบ็ เกย่ี ว พบทงั้ ในแปลงต๎นปลูกและแปลงต๎นตอ โดยต๎นที่เป็นโรคจะแสดงอาการ เดํนชัดหลังการบังคับดอก ผลสับปะรดจะไมํพัฒนา มีขนาดเล็ก ทาให๎คุณภาพ และผลผลติ เสียหายมาก ไมํสามารถเก็บเกยี่ วผลผลติ ได๎ (ภาพท่ี 37)
78 สํวนความรุนแรงของโรค จะขึ้นกับระยะการเจริญเติบโตของสับปะรด ความแขง็ แรง และสภาพภูมอิ ากาศ แตํเป็นทน่ี ําสงั เกตวํา ในระยะ 1 - 4 เดือนแรก สับปะรดมีการเติบโตปกติ หลังจากน้ันจะแสดงอาการของโรคให๎เห็นอยําง รวดเรว็ (Quick wilt) โดยสับปะรดจะเหี่ยวจากปลายใบและลุกลามสํูตัวใบ ตํอมา จะเปลี่ยนเป็นสเี หลืองอมแดงชมพู (Reddish – yellow) หรือเหลืองจดั (Necrosis) ใบหักงอและตายในทส่ี ุด สรปุ อาการของโรคเหย่ี วของสับปะรดโดยแบ่งเป็น 4 ระยะ ดงั น้ี ระยะที่ 1 ใบสับปะรดเริ่มเปล่ียนเป็นสีเทาเงิน (Bronze) และสีแดง จากขอบปลายใบ โดยจะเกิดกับใบที่ 3 - 5 นับจากยอดกลางแตํต๎นสับปะรดยังมี การเจรญิ เตบิ โตตามปกติ ระยะท่ี 2 ใบสับปะรดเปล่ียนเป็นสีชมพูและเหลืองจัด เริ่มแสดงอาการ เหี่ยว ปลายใบเร่ิมเปลี่ยนเป็นสีน้าตาล (Browning) ปลายใบบิดเหลืองซีด แตํตน๎ สับปะรดเตบิ โตปกติ ระยะที่ 3 ปลายใบสับปะรดใบท่ี 3 - 4 และ5 (นับจากจุดกลางยอด) เปล่ียนเป็นสเี หลอื งแหง๎ (Necrosis) สํวนบริเวณกลางใบ (ตัวใบ) เปลี่ยนเป็นสีชมพู (Bright Pink) ปลายใบเหี่ยวแหง๎ และบิดพบั หกั ลงดา๎ นลาํ ง ขอบใบมว๎ น ต๎นสับปะรด ท่ีเป็นโรคจะเลก็ กวําเมื่อเทยี บกบั ตน๎ สมบรู ณ์ทอ่ี ยูรํ อบข๎าง ระยะที่ 4 บริเวณสํวนกลางใบของใบท่ี 3 - 5 จะมีอาการเหี่ยว ปลายใบ บิดงอลงด๎านลํางและเปลี่ยนเป็นสีน้าตาลอมแดงหรือน้าตาลอมชมพู สํวนตัวใบ เกิดจากบริเวณที่แสดงอาการเหี่ยวน้ัน จะมีสีเขียวอํอนไมํสดใส เมื่อเทียบกับ ใบสับปะรดที่สมบูรณ์ สังเกตอาการของต๎นสับปะรดท่ีเป็นโรคจะมีขนาดเล็ก และแตกตํางกับตน๎ ขา๎ งเคยี งทส่ี มบูรณไ์ ด๎อยาํ งชดั เจน
79 ภาพที่ 36 เชอ้ื ไวรัสโรคเห่ียวสับปะรด (pineapple mealybug wilt-associated virus; PMWaVs) ใบออํ นนิม่ สีเขียวออํ นปนแดง ปลายใบแหง๎ เป็นสนี ้าตาลหรือแดง ลามเข๎าสโูํ คนใบ ปลายใบแหง๎ ใบลํลู งและแผแํ บน ผลมีขนาดเล็ก ภาพที่ 37 อาการของต๎นสบั ปะรดทเี่ ปน็ โรคเหี่ยว
80 การแพร่ระบาด โรคเห่ียวสับปะรดจะมีการระบาดอยํางรวดเร็ว ทั้งน้ีเป็นเพราะ มีการแพรํระบาดของแมลงพาหะ คือ เพลี้ยแปูงที่มีนิสัยการดูดกินน้าเลี้ยงจาก ตน๎ สบั ปะรดที่เป็นโรคเหีย่ วและแพรํสํูต๎นปกตใิ นรูปแบบการกระจายตัวแบบวงกลม มีการขยายจากจุดกลาง (ต๎นเกิดโรค) แล๎วคํอยๆ ลุกลามไปเรื่อยๆ โดยมีมดเป็น ตัวการนาเพลีย้ แปูงสตํู ๎นอ่ืนๆ เพลยี้ แปงู เป็นพาหะนาเชอื้ ไวรัส สตูํ ๎นสับปะรดในขณะดูดกินน้าเลี้ยงผําน ทางทํออาหาร (phloem) และเชื้อไวรัสจะเข๎าพักตัวในต๎นสับปะรด และจะแสดง อาการเมื่อต๎นอํอนแอและสภาพแวดล๎อมเหมาะสม เพล้ียแปูงท่ีพบในสับปะรด มชี อ่ื วทิ ยาศาสตร์วํา Dysmicococus brevipes (Cockerell) เดิมชื่อ Pseudocococus brevipes (Cockerell) ตัวเต็มวัยมีสีชมพู ท่ีฮาวายมีรายงานพบเพล้ียแปูง 2 ชนิด คอื D. brevipes ซ่งึ ตัวเตม็ วัยมีสชี มพู มีพฤติกรรมชอบอยอํู าศัยบรเิ วณสํวนลํางของ พืชอาศยั เชนํ ราก หรือบริเวณสํวนโคนของก่ิง และอีกชนิดหน่ึงคือ D. neobrevipes Beardsley ซึ่งตัวเต็มวัยมีสีเทา มีพฤติกรรมชอบอาศัยอยูํสํวนบนของพืชอาศัย เชํน ใบ ลาต๎น ดอก และผล จากการสารวจสับปะรดในเขตจังหวัดเพชรบุรี ประจวบครี ขี นั ธ์ และกาญจนบรุ ี ตั้งแตปํ ี 2548 – 2550 พบเพลีย้ แปูงระบาดมากทั้ง สีชมพูและสีเทา ท่ีอาเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยพบชนิดสีชมพู อยูํบริเวณราก ตามซอกกาบใบ ตรงสํวนของดอกยํอย และข้ัวผล สํวนชนิดสีเทา พบบรเิ วณใบ และผล เพลีย้ แป้งทีน่ าโรคเหี่ยว มี 2 ชนิด คือ 1. เพลี้ยแป้งสับปะรดสีชมพู Dysmicoccus brevipes (Cockerell) มักพบเสมอบรเิ วณสวํ นลาํ งของพชื อาศยั เชํนราก บรเิ วณโคนของหนอํ (ภาพท่ี 38) 2. เพลย้ี แป้งสับปะรดสีเทา Dysmicoccus neobrevipes (Beardsley) มพี ฤติกรรมชอบอาศยั อยสูํ ํวนบนของพืชอาศยั เชนํ ใบ ลาตน๎ ดอก และผล (ภาพที่ 39) และมวี งจรชีวติ ตาม (ภาพท่ี 40)
81 ภาพที่ 38 เพลี้ยแปงู สบั ปะรดสีชมพู Dysmicoccus brevipes (Cockerell) ภาพท่ี 39 เพล้ยี แปูงสบั ปะรดสเี ทา 1 (crawler) : ภาพที่ 40 วงจรชวี ิตของเพลยี้ แปูง
82 การกระจายพันธ์ุของเพลี้ยแป้ง อาศัยมดชนิดตํางๆ ชํวยในการขนย๎าย โดยจะนาเพลี้ยแปูงจากต๎นสับปะรดสํูต๎นสับปะรดแ ละจะขยายเผําพันธุ์ มากข้ึน ซึ่งมดทีพ่ บในแปลงสบั ปะรดนัน้ มี 2 ชนิด ท่เี ป็นตวั การขนเพลี้ยแปูง คือ มด หวั โต (Big Headed Ant: Pheidole megacephala (F.) และ มดแดง (Fire Ant : Solenopsis geminate (F) (ภาพที่ 41) นอกจากนี้ยังมีมดชนิดอ่ืนอีก 4 - 5 ชนิด ท่ีอาจเป็นพาห ะขนย๎ายเพล้ียแปูงให๎กระจายการระบาดได๎รวดเร็วข้ึน และวชั พชื เปน็ แหลํงหลบอาศัยของเพลย้ี แปูง (ภาพที่ 42) โดยความสัมพันธ์ระหวําง เพลย้ี แปงู และมดนน้ั เป็นแบบพ่ึงพากัน (Symbiosis) คือ เมื่อเพล้ียแปูงดูดน้าเล้ียง ในทํออาหาร (phloem) จากต๎นสับปะรดจะขับถํายสาร honey dew ท่ีเป็นสาร เข๎มข๎นเหนียว และมีความหวาน ซ่ึงจะสะสมในบริเวณที่มีการระบาดของ เพลี้ยแปูง จึงเป็นแหลํงอาหารของมดและเชื้อรา ( sooty mold) โดยมด จะมีการอพยพหรอื ขนเพลยี้ แปงู จากต๎นหน่งึ ไปแหลงํ อาหารตน๎ อ่ืนๆ (สเุ ทพ, 2559) (Solenopsis sp.) (Pheidole sp.) ภาพท่ี 41 การถํายทอดและการแพรรํ ะบาดของโรคเหย่ี วในสับปะรด
83 Brachiaria reptans Chromolaena odorata Imperata cylindrica Pennisetum polystachyon ภาพที่ 42 วัชพืชเป็นแหลํงหลบซํอนและอาศัยของเพล้ยี แปูงทั้งในและรอบแปลง ปลกู สบั ปะรด การขยายพนั ธขุ์ องเพลี้ยแป้ง มี 3 แบบ 1) ออกลกู เปน็ ไขํ (Oviparous) 2) ออกลกู เปน็ ตวั ภายนอกตัวแมํ (Viviparous) 3) ออกลกู เปน็ ตัวภายในตวั แมํ (Ovovivi) 4.9 การแกไ้ ขปญั หาโรคเหยี่ วสับปะรดแบบบูรณาการ การแก๎ไขปัญหาโรคเหี่ยวของสับปะรดต๎องดาเนินการแบบบูรณาการ ทั้งการจัดการแปลง การใช๎ต๎นพันธุ์ท่ีสะอาดปราศจากโรค การใช๎สารเคมีใน การชบุ หนอํ และควบคุมแมลงพาหะในแปลง ดังนั้น สามารถสรุปแนวทางการแก๎ไข ปัญหาโรคเห่ยี วสับปะรดดังนี้ 1. วธิ ีเขตกรรม 1.1 ต๎องมีการไถและพรวนดินหลายๆ คร้ัง ตากดินอยํางน๎อย 2 สปั ดาห์ เพือ่ ลดปริมาณเพลย้ี แปูงและศตั รูชนิดอน่ื ทอี่ ยูํในดนิ 1.2 ทาความสะอาดแปลง เกบ็ วชั พชื ซากพืช ออกจากแปลงหลงั เกบ็ เก่ยี ว 1.3 สาหรับแปลงปลูกใหมํ ควรใช๎หนํอพันธุ์ท่ีสะอาดปราศจาก เพล้ียแปูงและโรคเห่ียว และไมํนาหนํอพันธ์ุจากแหลํงท่ีมี การระบาดของเพล้ยี แปูงและโรคเหยี่ วไมปํ ลกู
84 2. วิธีกล เก็บต๎นสบั ปะรดที่แสดงอาการเป็นโรคเห่ยี ว ไปทาลายนอกแปลง 3. วิธกี ารใชส้ ารเคมี 3.1 กรณีที่หนํอพันธ์ไุ ดจ๎ ากแหลํงมกี ารระบาดของเพลี้ยแปูง หรือปลูก สับปะรดในแหลํงที่มีการระบาดของโรคเห่ียว ควรแชํหนํอพันธ์ุด๎วยสารฆําแมลง เพ่ือกาจัดเพล้ียแปูงท่ีติดมากับหนํอพันธุ์ ซึ่งสามารถปูองกันการเข๎าทาลายของ เพลยี้ แปูงไดป๎ ระมาณ 1 เดือน โดยการแชํหนํอพันธ์ุสับปะรดกอํ นปลูกดว๎ ยสารฆาํ แมลง นาน 5 - 10 นาที ดว๎ ยสารฆาํ แมลง ดงั ตํอไปน้ี 3.1.2 ไทอะมโี ทแซม 25 %WG อตั รา 4 กรมั /นา้ 20 ลติ ร 3.1.2 อมิ ิดาโคลพริด 70 %WG อัตรา 4 กรมั /น้า 20 ลติ ร 3.1.3 ไดโนทีฟูแรน 10 %WP อัตรา 50 กรมั /นา้ 20 ลิตร 3.2 เม่ือพบการระบาดของเพลี้ยแปูงหลังปลูก ให๎ใช๎สารเคมีใน การปูองกันกาจัดเฉพาะจุดที่พบเพล้ียแปูง และรัศมีโดยรอบ เพ่ือปูองกันไมํให๎มี การแพรํกระจายของเพลี้ยแปูง โดยให๎พํนสารปูองกันกาจัดแมลงตามคาแนะนา (สุเทพ และเตือนจิตต์, 2551) ดงั นี้ 3.2.1 ไทอะมโี ทแซม 25 %WG อตั รา 2 กรมั /น้า 20 ลติ ร 3.2.2 ไดโนทฟี แู รน 10 %WP อัตรา 20 กรัม/นา้ 20 ลิตร 3.2.3 อิมิดาโคลพรดิ 10 %SL อตั รา 20 มิลลิลติ ร/น้า 20 ลิตร 3.2.4 อะเซททามิพรดิ 20 % SP อัตรา 10 กรัม/นา้ 20 ลติ ร 3.3 การใช๎เหยื่อพิษกาจัดมด หวํานสารไฮดราเมทิลโนน 0.73 %GR อตั รา 275 กรมั /ไรํ 2 ครั้ง โดยหวํานพร๎อมปลกู และหลังปลกู 6 เดอื น หมายเหตุ ในแหลงํ ปลูกทีไ่ มมํ ีปญั หาโรคเห่ยี วสับปะรด ไมจํ าเป็นตอ๎ งใชส๎ ารฆําแมลง จากท่ีกลําวมาข๎างต๎นเป็นเร่ืองของปัญหาโรคเห่ียว การแพรํระบาด และการปฏิบัติดูแลรักษาทั้งด๎านการเตรียมแปลง การคัดเลือกหนํอ การจัดการ ศตั รพู ชื และการดแู ลรกั ษาแปลง แตอํ ยาํ งไรกต็ าม การแก๎ไขปัญหาโรคเหย่ี วสบั ปะรด
85 อยํางถาวรจะต๎องมีการดาเนินการแบบบูรณาการ โดยเริ่มต๎นตั้งแตํการใช๎หนํอ หรอื ตน๎ พันธุ์ที่ปลอดโรคปลูกรํวมกับการจัดการแปลงอยํางดี มีการควบคุมศัตรูพืช ภายหลังการปลูกและการดูแลรักษาท่ีเหมาะสมเพื่อให๎ต๎นสับปะรดสมบูรณ์และ ใหผ๎ ลผลติ ดี ซึ่งในสวํ นของการหาหนํอพนั ธุ์ทส่ี ะอาดปราศจากโรคเห่ียวจานวนมาก เป็นเรือ่ งยากในทางปฏิบตั ิ วธิ ีการหนึง่ ทส่ี ามารถทาไดค๎ อื การคดั เลอื กและตรวจสอบ หาหนํอพันธุ์ที่สะอาดปราศจากโรค แล๎วนาต๎นพันธุ์ท่ีปลอดโรคน้ันไปขยายพันธุ์ เพ่ิมจานวนโดยการเพาะเล้ียงเน้ือเย่ือ ซึ่งเป็นวิธีการที่รวดเร็วและได๎ต๎นพันธ์ุ ในปริมาณม า ก ต า ม ที่ต๎อง ก า ร แ ล๎ว จึง นา ต๎น พันธ์ุเหลําน้ีไปปลูกรํวมกับ การจัดการแปลงอยํางดีตามที่กลําวมาแล๎ว เพ่ือใช๎เป็นแปลงผลิตหนํอพันธุ์ดีตํอไป การดาเนนิ การดังกลาํ วเปรียบเสมือนกับการเอาน้าดีไปผลักดันน้าเสียให๎ลดลงและ เม่ือดาเนินไปอยํางตํอเนื่อง ต๎นพันธ์ุท่ีเป็นโรคจะถูกกาจัดให๎หมดไปในท่ี สุด ทวีศกั ดิ์ และคณะ (2559) ไดศ๎ ึกษาการพัฒนาการผลิตหนํอพนั ธุ์ปลอดโรคเหี่ยวจาก การเพาะเลีย้ งเนื้อเยือ่ และการสร๎างแปลงต๎นแบบการผลิตสับปะรดปลอดโรคเหี่ยว แบบบูรณาการ โดยได๎ศึกษาและผลิตต๎นพันธ์ุสับปะรดปลอดโรคเหี่ยวจาก การเพาะเลยี้ งเน้ือเย่ือรํวมกับการจัดทาแปลงสาธิตการปลูกต๎นสับปะรดปลอดโรค ตามศูนย์วจิ ัยฯ ของกรมวิชาการเกษตร 4 แหํง คือ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตร อุทยั ธานี ศนู ย์วจิ ยั และพัฒนาการเกษตรตรัง ศนู ย์วจิ ัยและพัฒนาการเกษตรเพชรบุรี และศูนย์วิจยั พืชสวนจันทบรุ ี โดยได๎ดาเนินการดังน้ี 1. ขนั้ ตอนการผลิตตน้ พนั ธ์ุสับปะรดปลอดโรค 1.1 การคดั เลอื กตน้ สับปะรดพนั ธ์ปุ ตั ตาเวียท่ปี ลอดโรคเหย่ี ว ได๎สารวจเก็บตัวอยํางสับปะรด (ภาพท่ี 43) จากจังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ สงขลา และพัทลุง ทาการตรวจสอบหาเช้ือไวรัส 2 สายพันธ์ุ คอื PMWAV-1 และ PMWAV-2 ดว๎ ยเทคนิค RT-PCR (ภาพที่ 44) 1.2 การเพาะเลย้ี งตน้ แมพ่ นั ธสุ์ บั ปะรดปลอดโรคเหี่ยว นาหนํอพันธุ์สับปะรดที่ปลอดโรคมาทาการเพาะเล้ียงเนื้อเยื่อ โดยการฟอกหนํอพันธุ์ด๎วยไฟซาน 0.3 เปอร์เซ็นต์ คลอร็อกซ์ 10 เปอร์เซ็นต์
86 และ 15 เปอร์เซ็นต์ ตามลาดับ และแอลกอฮอล์ 70 เปอร์เซ็นต์ นาหนํอท่ีฟอกได๎ เล้ียงในอาหารสังเคราะห์สูตร MS + BA 1 ppm พบวํา ตาเจริญเป็นหนํออํอน ภายใน 6 สัปดาห์ จึงทาการตัดแยก เพ่ือเพ่ิมปริมาณต๎นอํอน และย๎ายอาหารสูตร MS + IBA 0.5 ppm ทกุ 1 - 2 เดือน จนไดเ๎ ป็นตน๎ อํอนที่สมบูรณ์ (ภาพที่ 45) M 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 589 bp 500 bp M 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 500 609 bp bp ภาพท่ี 43 การสารวจ รวบรวมและตรวจสอบโรคเหี่ยวด๎วยเทคนคิ RT-PCR ภาพที่ 44 การตรวจสอบเชื้อไวรัส 2 สายพันธ์ุคือ PMWAV-1 และ PMWAV-2 ดว๎ ยเทคนคิ RT-PCR
87 ภาพที่ 45 การฟอกและเพาะเลยี้ งเน้อื เย่อื สบั ปะรดพนั ธป์ุ ตั ตาเวียปลอดโรคเหย่ี ว
88 1.3 การเพิ่มปรมิ าณต้นสับปะรดพันธุ์ปัตตาเวยี ปลอดโรคเห่ียว นาต๎นแมํพันธุ์ท่ีปลอดโรคเหี่ยวท่ีอยูํในขวดเพาะเลี้ยงเนื้อเย่ือ ไปเพิ่มปริมาณตน๎ พนั ธ์ปุ ลอดโรคโดยการเพาะเลย้ี งเนื้อเย่ือ ซ่ึงมีการเพาะเลี้ยงเนื้อเย่ือ ทั้งระบบอาหารแข็ง ระบบอาหารเหลว และระบบ TIB (ภาพท่ี 46 47 และ 48) ภาพท่ี 46 การเพาะเล้ยี งเน้ือเยื่อสบั ปะรดโดยใชร๎ ะบบอาหารแขง็ ภาพที่ 47 การเพาะเล้ียงเนือ้ เยอ่ื สบั ปะรดโดยใชร๎ ะบบอาหารเหลว
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211