สมาคมหยาดฝนเขา้ ไปส่งเสริมใหช้ ุมชนอนุรักษแ์ ละดูแลป่ าชายเลน จึงทาํ ใหช้ าวประมงต่ืนตวั และ ร่วมกบั รัฐจดั การป่ าชายเลน งานศึกษาไดน้ าํ เสนอการกาํ หนดกฎเกณฑก์ ารจดั การป่ าชายเลน ประโยชน์ที่ไดร้ ับจากการจดั การป่ าชายเลน และการรวมกลุ่มขององคก์ รชาวบา้ น แตไ่ ม่ไดเ้ สนอ รายละเอียดของภูมิปัญญาชาวบา้ นในการจดั การป่ าชายเลน มีงานวทิ ยานิพนธ์หลายชิ้นที่ศึกษาองคก์ รประชาชนในการจดั การป่ าชายเลนท่ีจงั หวดั ตรัง โดยนกั ศึกษา เก้ือ ตระกลู กาํ จาย (2536) แสดงผลการวจิ ยั จากการทาํ ตวั ช้ีวดั วา่ ป่ าชายเลนที่รัฐและ ชาวบา้ นจดั การอยา่ งไร ผลการศึกษาพบวา่ ป่ าชุมชนที่องคก์ รชาวบา้ นจดั การส่วนใหญเ่ ป็ นสภาพ ป่ าและความหลากหลายทางชีวภาพ อุดมสมบรู ณ์กวา่ ป่ าสัมปทานที่จดั การโดยองคก์ รของรัฐ ในเอกสารเชิงปฏิบตั ิการเรื่อง “ป่ าชายเลนสมบรู ณ์ เก้ือกลู ผคู้ น ชุมชนรักษา” (2544) ได้ นาํ เสนอการจดั การป่ าชายเลนของชุมชนบา้ นทุง่ ตาเซะ จงั หวดั ตรัง เมื่อเปรียบเทียบงานศึกษาของ สมาคมหยาดฝนกไ็ มไ่ ดช้ ้ีใหเ้ ห็นถึงภมู ิปัญญาชาวบา้ น แต่ยงั กล่าวถึงการจดั การป่ าชายเลนใน กระบวนการทาํ งานของชาวบา้ น โดยไมไ่ ดส้ ะทอ้ นถึงความตอ่ เน่ืองของการจดั การป่ าชายเลนมา อยา่ งยาวนาน และไม่มีพฒั นาการของสภาพป่ าชายเลน และสภาพของชุมชนอยา่ งไร 4) ภาคกลาง ตะวนั ตก และตะวนั ออก ภาคกลาง บริเวณพ้ืนท่ีภาคกลางตอนบนทางตะวนั ตก มีลกั ษณะภูมิประเทศเป็ นท่ีสูงหรือเทือกเขา อนั เป็นลกั ษณะของพ้ืนท่ีตน้ น้าํ โดยลกั ษณะป่ าท่ีพบส่วนใหญ่จะเป็ นป่ าผลดั ใบ (Deciduous) ไดแ้ ก่ ป่ าเบญจพรรณ ป่ าเต็งรัง และป่ าหญา้ โดยผืนป่ าไมใ้ นบริเวณภาคเหนือตอนล่างฝ่ังตะวนั ตกเป็ น ส่วนหน่ึงของผืนป่ าขนาดใหญ่ทางดา้ นตะวนั ตกของประเทศไทย จากรายงานการสาํ รวจสภาพป่ า ไมจ้ ากสํานกั งานป่ าไมจ้ งั หวดั ในปี 2543 พบว่าจงั หวดั ตากเป็ นจงั หวดั ท่ีมีพ้ืนท่ีป่ าไมม้ ากที่สุด จาํ นวน 1,841.26 ตารางกิโลเมตร ปัญหาทรัพยากรป่ าไมแ้ ละที่ดินของภาคกลางกล่าวไดเ้ กิดจาก การขยายตวั ของระบบทุนนิยม และความขดั แยง้ ในการดาํ เนินนโยบายดา้ นป่ าไมแ้ ละท่ีทาํ กินในแต่ ละยคุ สมยั ของรัฐ เหมือนเช่นภาคอื่นๆ วิทยา อาภรณ์ โครงการสิทธิชุมชนศึกษาภาคใต้ จงั หวดั ตรัง (เมษายน 2547) นาํ เสนอใน รายงานการศึกษาเรื่อง เครือข่ายของป่ าชุมชนในประเทศไทย ปี 2547 ในประเด็นป่ าชุมชนของ ภาคเหนือตอนล่าง มีพฒั นาการในเรื่องป่ าชุมชนแบ่งเป็น 2 ช่วงดว้ ยกนั (1) ช่วงการเร่ิมตน้ รักษาป่ าชุมชนประมาณ พ.ศ.2539-2540 เนื่องจากก่อนหนา้ น้ีพ้ืนท่ีป่ า เป็นเขตส่งเสริมเกษตรกรรมกา้ วหนา้ ชาวบา้ นจึงมุ่งผลิตเพื่อขายเป็ นสําคญั ดงั น้นั ชุมชนท่ีเร่ิมรักษา ป่ าส่วนมากมกั เป็นชุมชนท่ีองคก์ รพฒั นาเอกชนทาํ งานหรือประสานงานอยู่ เช่น ป่ าชุมชนท่ีแม่วงก์ แม่ปื น ท่ีเขาหล่น เขาแหลมที่ไดร้ ับการส่งเสริมจากองค์กร Save the children นอกจากน้นั ยงั มี ชุมชน ที่เริ่มรักษาป่ าของชุมชนเพื่อป้ องกนั คนภายนอกมาแยง่ ชิงหรือการใชท้ รัพยากรอยา่ งทาํ ลาย 3 - 48
เช่น ชุมชนเขาราวเทียนทอง จงั หวดั ชยั นาท เป็ นตน้ ระยะแรกเริ่มของการรักษาป่ าชุมชนแมว้ า่ จะมี ทิศทางท่ีไม่เป็ นหน่ึงเดียวกนั แต่ป่ าเป็ นเสมือนแหล่งเล้ียงชีพท่ีสอดคลอ้ งกบั วิถีชีวิตของชาวบา้ น ชาวบา้ นจึงพฒั นาป่ าชุมชนอยา่ งต่อเนื่อง (2) ช่วงการต้งั เครือข่ายป่ าชุมชน ( พ.ศ.2541-2547) ในช่วงน้ีชุมชนที่มีการจดั การป่ าชุมชน รวมตวั กนั ประสานงานในระดบั เครือข่าย เน่ืองจากเงื่อนไข 3 ประการคือ (2.1) สถานการณ์การแย่งชิงทรัพยากรในพ้ืนที่รุนแรง การร่วมมือของชาวบา้ นใน การทาํ ป่ าชุมชนมีความเขม้ แข็งข้ึน เพื่อเป็ นเกราะป้ องกนั การแย่งชิงทรัพยากรป่ าและอ่ืนๆของ ชุมชน (2.2) การสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนเพ่ือพฒั นาสังคมในวงกวา้ งทาํ ให้ สามารถชุมชนที่จดั การป่ าชุมชนเขา้ มารวมตวั กนั ไดม้ ากข้ึน รวมท้งั ชุมชนจาํ นวนมากที่เคยร่วมงาน พฒั นามานานและเร่ิมตน้ ดูแลป่ าชุมชน ซ่ึงทาํ ใหช้ ุมชนตื่นตวั มาจดั การป่ าชุมชนเป็นจาํ นวนมาก (2.3) สถานการณ์ดา้ นกฎหมายท่ีมีกระแสการผลกั ดนั นาํ เสนอร่าง พ.ร.บ.ป่ าชุมชน โดยการวิธีการเขา้ ชื่อ 50,000 รายชื่อ ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 ซ่ึงก่อให้เกิดการขยายฐาน ความคิดในการผลกั ดนั กฎหมายไปสู่ทุกภมู ิภาคร่วมท้งั ภาคเหนือตอนล่าง จนั ทรา ธนะวฒั นาวงศ์ (2549) นาํ เสนอภาพของเครือข่ายป่ าชุมชนในภาคเหนือตอนล่าง- กลางตอนบนว่ามีองค์ประกอบของโครงสร้างองค์กรพฒั นาเอกชนที่ทาํ งานด้านป่ าชุมชน ซ่ึง สามารถจาํ แนกเป็น 3 ประเภท (1) เครือข่ายทรัพยากร ดิน น้าํ ป่ า เกษตรทางเลือกภาคเหนือตอนล่าง ก่อต้งั เม่ือ พ.ศ.2544 จากการรวมตวั ของเครือข่ายระดบั จงั หวดั 7 จงั หวดั แต่ทาํ งานเน้นหนักในเครือข่ายย่อยระดบั จงั หวดั 4 เครือข่าย รวม 22 กลุ่มใน 33 ชุมชน เป็ นหลกั คือ พิจิตร เพชรบูรณ์ พิษณุโลก และ กาํ แพงเพชร เป็ นองค์กรของชาวบา้ น ท่ีมีศูนยเ์ สริมสร้างองคก์ รชาวบา้ นเพื่อฟ้ื นฟูสิ่งแวดลอ้ มซ่ึง เป็ นองค์กรพฒั นาอกชนหนุนช่วยในส่วนกองเลขานุการ ซ่ึงศูนยเ์ สริมสร้างองคก์ รชาวบา้ น เป็ น องค์กรท่ีก่อต้งั ข้ึนเม่ือ พ.ศ.2539 มีพ้ืนที่ปฏิบตั ิงานหลกั รอบอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง และ พ้ืนที่องคก์ รชุมชนในจงั หวดั พิษณุโลกและใกลเ้ คียง ซ่ึงหลายพ้ืนท่ีเป็ นชุมชนที่ทาํ งานพฒั นาต่อ เน่ืองมาจากการทาํ งานขององค์กรพฒั นาเอกชนในช่วงก่อน หลายพ้ืนที่ได้มีการรวมตวั ของ ชาวบา้ นมาก่อนหนา้ น้ีแลว้ เช่น เครือข่ายโพทะเลร่วมใจพฒั นา เครือข่ายกลุ่มออมทรัพยว์ งั ทราย พูน เป็ นต้น กิจกรรมท่ีทางศูนยฯ์ ทาํ คือ ส่งเสริมเกษตรกรรมทางเลือก ส่งเสริมป่ าชุมชน และ ส่งเสริมการจดั การน้าํ ในพ้ืนท่ีซ่ึงกาํ ลงั หารูปแบบที่ชดั เจนอยู่ แนวทางการทาํ งานของเครือข่ายทรัพยากร ดิน น้าํ ป่ า เกษตรทางเลือกภาคเหนือตอนล่าง ในอนาคตจะเนน้ การทาํ งานท้งั ระดบั นโยบาย การทาํ ความเขา้ ใจกบั ชนช้นั กลาง นกั วิชาการ และ เสริมความรู้ พรบ.ป่ าชุมชน และการสร้างรูปธรรมในพ้ืนท่ีตามภมู ิระบบนิเวศ 3 - 49
(2) เครือข่ายส่งเสริมสิทธิการจดั การทรัพยากรภาคประชาชนภาคเหนือตอนล่าง(คสปล.) ก่อต้งั ข้ึนเม่ือวนั ที่ 10-11 มิถุนายน 2544 ประกอบดว้ ยสมาชิก 8 เครือขา่ ยยอ่ ยใน 5 จงั หวดั อนั ไดแ้ ก่ นครสวรรค์ เพชรบูรณ์ สุโขทยั พิษณุโลก และอุตรดิตถ์ โดยมีชมรมส่งเสริมการเรียนรู้ภาคเหนือ ตอนล่างสนบั สนุนงานด้านกองเลขานุการ ชมรมฯ มีผูป้ ฏิบตั ิงานท่ีเป็ นเจา้ หน้าที่องค์กรพฒั นา เอกชนท่ีทาํ งานมานานและท่ีเพิ่มเร่ิมทาํ งาน ซ่ึงเคยทาํ งานหนุนชาวบา้ นท่ีไดร้ ับทุนสนบั สนุนจาก กองทุนเพื่อพฒั นาสงั คม (SIF) มาก่อน คสปล.จึงประกอบดว้ ยชุมชนเดิมและชุมชนใหม่ที่ SIF เคน สนบั สนุนเช่นกนั ชมรมฯทาํ หนา้ ท่ีหนุนเครือขา่ ย และประสานกบั หน่วยงานอื่นๆ เช่น ดา้ นประชา สังคม เกษตรทางเลือก สมุนไพร เป็นตน้ สําหรับแนวทางการทาํ งานในอนาคตของ คสปล.ท่ีไดก้ าํ หนดไวค้ ือ (1) การเสริมสร้าง ความเขม้ แข็งในระดบั พ้ืนที่ (2) พฒั นาศกั ยภาพคนทาํ งาน ท้งั ชาวบา้ นและองค์กรพฒั นาเอกชน โดยสร้างแกนนาํ แถว 2 ข้ึนมาเพิม่ ขณะท่ีพฒั นาใหแ้ กนนาํ แถว 1 พฒั นามากข้ึน (3) ปรับปรุงระบบ ขอ้ มูลและการประสานงานระดบั ภาคและประเทศ (4) การตอ่ สู้เร่ืองป่ าชุมชนไม่อยากสู้ตามกระแส เหมือนช่วงท่ีผา่ นมา ตอ่ ไปจะเนน้ การสร้างป่ าชุมชนใหเ้ กิดเป็นรูปธรรมในพ้ืนท่ี (3) กลุ่มชาวบา้ นอ่ืนๆ เป็ นเครือข่ายชาวบา้ นที่เกิดจากการประสบปัญหาเรื่องทรัพยากรใน ระดบั พ้ืนที่ และร่วมกนั ก่อต้งั กลุ่มข้ึนปกป้ องทรัพยากรของชุมชน เช่น เครือข่ายป่ าชุมชนเขาราว เทียนทอง ที่คนในชุมชนตระหนักถึงความเส่ือมโทรมของทรัพยากรป่ าของตน จึงมีการดาํ เนิน กิจกรรมร่วมกันในชุมชน เช่น การร่วมกนั ดบั ไฟป่ า การทาํ แนวป้ องกนั ไฟป่ า การชกั ชวนให้ ชาวบา้ นเลิกเผาถ่าน ร่วมถึงการร่วมมือกนั ในการส่งเสริมอาชีพในชุมชน จนนาํ ไปสู่การขออนุญาต จดั ต้งั ป่ าชุมชนตามระเบียบของกรมป่ าไมเ้ มื่อปี 2542 โดยประสานกบั อีก 2 หมู่บา้ นที่แยกเขตการ ปกครองออกไปจากบา้ นเขาราวเทียนทอง คือ บา้ นหนองแก่นมะเกลือ หมู่ท่ี 13 และ บา้ นโป่ ง กาํ แพง หมทู่ ี่ 18 ตาํ บลเนินมะขามร่วมกนั ดูแลป่ าชุมชนจาํ นวน 993 ไร่ มีการต้งั กฎระเบียบและการ ต้งั คณะกรรมการป่ าชุมชนโดยมีวาระ 2 ปี นอกจากน้ันยงั มีการร่วมกลุ่มในลักษณะเครื อข่ายประชาสังคม เช่น กลุ่มพิทักษ์ สิ่งแวดล้อมพยุหะ จังหวดั นครสวรรค์ ที่ติดตามการสร้างโรงไฟฟ้ าพลังแกลบ กลุ่มอนุรักษ์ สิ่งแวดลอ้ มอุทยั ธานี ที่ทาํ กิจกรรมดา้ นเยาวชน โรงเรียน ครู ในพ้ืนท่ีป่ าตะวนั ตก และกลุ่มอนุรักษ์ ป่ าหว้ ยขาแขง็ เป็นตน้ โดยสรุปปัจจยั ท่ีเป็ นเงื่อนไขให้เกิดเครือข่ายดา้ นป่ าชุมชนในภาคเหนือตอนล่าง คือ การ เกิดกระแสสิ่งแวดลอ้ มนิยมและปัจจยั ทางเศรษฐกิจระดบั ชุมชน จนพฒั นาไปสู่การผลกั ดนั ใน ระดบั กฎหมาย นโยบายป่ าชุมชน ในส่วนของรัฐเองก็เป็ นปัจจยั ท่ีทาํ ให้เกิดเครือข่ายป่ าชุมชน เนื่องจากมีการส่งเสริมการให้ชาวบา้ นจดั ทาํ ป่ าชุมชนใน พ.ศ.2542 นอกจากน้นั กลุ่มชาวบา้ นท่ี เติบโตเองจากการตอ่ สู้ในประเด็นถูกแยง่ ชิงทรัพยากร เช่น กรณีโรงโม่หินชมภู การระเบิดหินที่เขา ข้ีนก จนประสานเป็นเครือขา่ ยในท่ีสุด 3 - 50
แนวทางในอนาคตของเครือข่ายที่ทาํ งานดา้ นป่ าชุมชนในภาคเหนือตอนล่าง จะเน้นหนกั ในเรื่องการสร้างรูปธรรมรูปแบบการจดั การป่ าชุมชนในพ้ืนท่ีและการพฒั นาความเขม้ แข็งของ องคก์ รเครือขา่ ยเป็นหลกั และพร้อมร่วมผลกั ดนั นโยบายป่ าชุมชนตามสถานการณ์ งานศึกษาของสถาบนั วจิ ยั สังคม แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั (2540) เป็นอีกกรณีตวั อยา่ ง หน่ึงซ่ึงเป็ นงานศึกษาที่เก่ียวขอ้ งกบั ชุมชนที่อยู่ในเขตกนั ชนของอุทยานแห่งชาติ โดยงานวิจยั มี วตั ถุประสงคเ์ พื่อสาํ รวจขอ้ มูลพ้ืนฐานเบ้ืองตน้ เก่ียวกบั การต้งั ถิ่นฐานและการกระจายตวั ของชุมชน รอบแนวกนั ชน เพ่ือศึกษาสภาพเศรษฐกิจ สังคม และประชากรของชุมชนรอบแนวกนั ชนเพื่อเป็ น ฐานขอ้ มลู ในการใชว้ ดั ผลกระทบของโครงการอนุรักษแ์ ละพฒั นาป่ าในบริเวณแนวกนั ชน และเพื่อ ศึกษาวถิ ีชีวติ ของชุมชนกบั การพ่ึงพงิ ป่ า งานวจิ ยั ชิ้นดงั กล่าวไดข้ อ้ สรุปที่น่าสนใจวา่ การจดั การป่ าไมแ้ ละที่ดินทาํ กินของชุมชนใน เขตแนวกนั ชนในอุทยานแห่งชาติท้งั ท่ีแม่วงกแ์ ละห้วยขาแขง้ เป็ นชุมชนท่ีประกอบดว้ ยคนชนเผา่ และคนไทย การลดลงของพ้ืนที่ป่ าไมส้ าเหตุนอกจากการเพิ่มของจาํ นวนประชากรในชุมชนแลว้ การลกั ลอบตดั ไมโ้ ดยนายทุนกย็ งั เป็นเร่ืองที่ปรากฏอยู่ ซ่ึงในส่วนของชุมชนเองประสบปัญหาเรื่อง ความไม่ชดั เจนในการแบ่งเขตระหว่างเขตป่ าอนุรักษ์ หรือเขตอุทยาน กบั พ้ืนที่แนวกนั ชน พร้อม ท้งั มีการนาํ เสนอการจดั การป่ าแบบป่ าชุมชน แต่ยงั ติดขดั อุปสรรคในด้านกฎหมายที่ไม่มีการ รองรับการจดั การป่ าโดยชุมชน องคค์ วามรู้ในการจดั การทรัพยากรป่ าไม้ ที่คณะนกั วจิ ยั คน้ พบ คือ การจดั การทรัพยากรป่ า ไม้ คาํ นึงถึงความเหมาะสมกบั กลุ่มชาวบา้ นท่ีมีความหลากหลายทางดา้ นสงั คมและวฒั นธรรม เพ่ือ ก่อใหเ้ กิดการเรียนรู้ท่ีสามารถนาํ ไปปรับใชไ้ ด้ และชุมชนจะตอ้ งนาํ เอาภูมิปัญญาทอ้ งถิ่นของกลุ่ม คนที่มีชีวติ อยกู่ บั ป่ ามานานนบั ศตวรรษมาใชใ้ นการจดั การทรัพยากรป่ าอยา่ งยง่ั ยนื ภาคตะวนั ออก มีท้งั ป่ าบกและป่ าชายเลน ป่ าบกท่ีมีความสําคญั ในเชิงระบบนิเวศคือป่ า พนมสารคาม ที่มีอาณาเขตติดต่อกนั 5 จงั หวดั ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จนั ทบุรี และ ปราจีนบุรี โดยเช่ือมต่อกับผืนป่ าในประเทศกมั พูชา ที่ปัจจุบนั เรียกกันติดปากว่า “ป่ ารอยต่อ 5 จงั หวดั ภาคตะวนั ออก” นบั ต้งั แต่ปี พ.ศ.2525 มีการประกาศใหป้ ่ ารอยต่อ 5 จงั หวดั เป็ นป่ าปิ ด ซ่ึงมี พ้ืนที่ป่ าคงเหลือประมาณ 643,750 ไร่ ป่ าน้ีเป็ นป่ าตน้ น้ําลาํ ธารท่ีสําคญั ของแม่น้ําบางปะกง นอกจากน้นั ยงั เป็นผนื ป่ าใหญ่ท่ีค่อนขา้ งสมบูรณ์ติดต่อกบั พ้ืนท่ีอนุรักษส์ องแห่งคือ เขตรักษาพนั ธุ์ สัตวป์ ่ าเขาสอยดาว และอุทยานแห่งชาติเขาคิชกูฏ ป่ ารอยต่อ 5 จงั หวดั ภาคตะวนั ออก ยงั เป็ นป่ าลุ่ม ต่าํ ผนื ใหญ่ท่ีสุดของประเทศ ซ่ึงเป็นแหล่งของสตั วแ์ ละพนั ธุ์พืชท่ีหลากหลาย พ้ืนที่ป่ าชายเลนอยบู่ ริเวณชายฝ่ังทะเลตะวนั ออก ไดแ้ ก่จงั หวดั ตราด จนั ทบุรี ระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา และสมุทรปราการ ท้งั ท่ีเป็นเขตอนุรักษแ์ ละเขตเศรษฐกิจมีพ้ืนท่ีประมาณ 403,637 ไร่ ความสาํ คญั ของป่ าชายเลน เป็นแหล่งกาํ เนิดของสิ่งมีชีวติ ในทะเล เป็นแหล่งอนุบาล 3 - 51
ตวั อ่อน นอกจากน้นั ยงั เป็นแหล่งทรัพยากรเศรษฐกิจที่สําคญั คือ ไมเ้ ศรษฐกิจโตเร็วประเภทไม้ โกงกางอีกดว้ ย ภาคตะวนั ออกมีความโดดเด่นในทรัพยากร เพราะเป็ นภูมิภาคที่มีท้งั ป่ าชายเลน และป่ าบก อยา่ งไรก็ตามงานศึกษาที่ผา่ นมา กลบั พบวา่ ววิ ฒั นาการของปัญหาการจดั การทรัพยากรป่ าไมแ้ ละ ที่ดิน ทวคี วามรุนแรงมากยงิ่ ข้ึน ในยคุ ของการบุกเบิกท่ีดินทาํ กินช่วงแรกๆ ท่ีมีการต้งั ชุมชนในป่ า การใชป้ ระโยชน์จากไม้ ในป่ าไมว่ า่ เพอื่ การสร้างที่อยอู่ าศยั หรือการดาํ รงชีวติ ไมไ่ ดท้ าํ ใหจ้ าํ นวนป่ าไมล้ ดลงมากแต่อยา่ งไร จนกระทงั่ นโยบายการใหส้ ัมปทานทาํ ไมแ้ ละการขยายตวั ของการปลูกพืชเชิงพาณิชยท์ าํ ใหจ้ าํ นวน พ้ืนที่ป่ าไมล้ ดลงอยา่ งมากในทุกภูมิภาค การลดลงของจาํ นวนป่ าไมใ้ นภาคตะวนั ออก ยงั เกิดจาก การพฒั นาโครงสร้างพ้ืนฐาน เช่น การสร้างเขื่อน การสร้างถนน เป็ นตน้ นอกจากน้ันแลว้ การที่ พ้ืนท่ีภาคตะวนั ออก ถูกกาํ หนดใหเ้ ป็ นภูมิภาคแห่งการพฒั นาอุตสาหกรรม และการมีฐานทพั ของ สหรัฐอเมริกาในอดีต ทาํ ให้เกิดการบุกรุกพ้ืนท่ีป่ าเพ่ือสร้างบา้ นพกั ตากอากาศเป็ นจาํ นวนมาก โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ช่วง ปี 2529 เป็นตน้ มาท่ีเศรษฐกิจภายในประเทศเติบโตอยา่ งรวดเร็ว (อนญั ญา อ๊ึงภากรณ์ และ นิพนธ์ พวั พงศกร : 2534) การใช้ประโยชน์จากพ้ืนที่ป่ าท่ีกล่าวมาขา้ งตน้ ทาํ ให้เกิดการลดลงของพ้ืนท่ีป่ าไมจ้ าํ นวน มาก รัฐจึงไดอ้ อกนโยบายขีดเส้นพ้ืนที่ป่ าใหเ้ ป็นเขตป่ าสงวนและป่ าอนุรักษ์ และไล่คนออกจากป่ า ส่งผลให้เกิดปัญหาการประกาศเขตป่ าทบั ที่ทาํ กินของชาวบา้ น โดยการใชม้ าตรการทางกฎหมาย บีบบงั คบั ชาวบา้ นใหอ้ อกจากพ้ืนที่ป่ า ขณะท่ีการส่งเสริมเชิงพาณิชยย์ งั ปรากฏควบคู่กบั การดาํ เนิน นโยบายของรัฐ จึงเห็นวา่ เกิดการส่งเสริมการปลูกป่ าเศรษฐกิจ โดยใชม้ ายาคติการดาํ เนินนโยบาย ดงั กล่าวเพือ่ เพิ่มจาํ นวนป่ าไม้ แต่ในความเป็นจริงการพฒั นาเศรษฐกิจ ทาํ ให้เกิดการจบั จองพ้ืนท่ีป่ า โดยบรรดาผูม้ ีอิทธิพล ซ่ึงการจับจองพ้ืนที่ป่ าของบรรดาผูม้ ีอิทธิพลก็เพ่ือเก็งกาํ ไรขายให้กับ บริษทั เอกชนท่ีเขา้ ไปลงทุนปลูกป่ าเศรษฐกิจจาํ พวกยคู าลิปตสั ผลกระทบต่อชาวบา้ นคือ ชาวบา้ น ไม่มีท่ีทาํ ดิน เพราะดา้ นหน่ึงพ้ืนท่ีป่ าท่ีทาํ กินของตนถูกประกาศให้เป็ นเขตป่ าสงวนแห่งชาติ ในอีก ด้านหน่ึงพ้ืนที่ป่ าที่ถูกระบุว่าเป็ นป่ าเส่ือมโทรม ก็ไม่สามารถเข้าไปทาํ กินได้ เพราะเกรงกลัว อิทธิพลของบรรดาเจา้ พอ่ ท้งั หลาย ซ่ึงปรากฏการณ์เจา้ พ่อในภาคตะวนั ออกเป็ นปรากฏการณ์ท่ีเป็ น ลกั ษณะเฉพาะของภาคน้ีเลยก็วา่ ได้ (กิตติ ประทุมแกว้ : 2532) วิบูลย์ เข็มเฉลิม และคณะ (2548) ไดศ้ ึกษาวิถีคนบนป่ าตะวนั ออกผืนสุดทา้ ย โดยการ แบง่ เป็น 3 ยคุ คือ ยคุ บา้ นป่ า (พ.ศ.2440 – 2474) ยคุ สัมปทานป่ าไม้ (พ.ศ.2475 – 2515) และยุคพืช เศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงของชุมชนบา้ นป่ า (พ.ศ.2516 – 2540) ชุมชนบา้ นป่ าเขา้ สู่การปลูก พืชเศรษฐกิจเต็มตวั อาํ นาจอยูท่ ี่เงินตราและผลประโยชน์ ใชเ้ ทคโนโลยีการผลิตทุกดา้ น ชาวบา้ น ขาดการเรียนรู้ในวิถีชีวิตใหม่ คนรุ่นใหม่ถูกการศึกษาดึงห่างไกลออกจากชุมชน ประกอบกบั ปี พ.ศ.2535 กระแสการสร้างเมืองใหม่แพร่สะพดั ท่ีดินมีราคาแพงและถูกกวา้ นซ้ือจาํ นวนมาก 3 - 52
ชาวบา้ นส่วนหน่ึงมีฐานะร่ํารวย ข้ึนในพริบตา แต่จนต่อเน่ืองยาวนาน ในเวลาต่อมาปัญหาหน้ีสิน รุงรัง สืบเนื่องจากภาคตะวนั ออก มีผืนป่ าท่ีสําคญั ท่ีเรียกวา่ “ผืนป่ ารอยต่อ 5 จงั หวดั ” นโยบาย ส่งเสริมการปลูกป่ าเศรษฐกิจ เป็นปัจจยั หน่ึงที่ลดความอุดมสมบูรณ์ของผนื ป่ าตะวนั ออก เนื่องจาก ไมท้ ี่นาํ มาปลูกตามนโยบายปลูกป่ าทดแทน เป็ นไมย้ คู าลิปตสั ซ่ึงเป็ นไมท้ ี่ท่ีทาํ ใหร้ ะบบนิเวศของ ป่ าเสียสมดุล ยูคาลิปตสั เป็ นพืชท่ีดูดน้าํ และแย่งอาหารจากพืชชนิดอ่ืนกินหมด ส่งผลให้ แห ล่ ง น้ ํา ต า ม ธรรม ชา ติ แ ห้งข อ ด แล ะ พื ช ผล ช นิ ดอื่ น ใ ห้ผล ผ ลิ ตท่ี ไ ม่ ส มบู รณ์ อย่า ง เ ห็ น ไ ด้ชัด โดยเฉพาะหากปลูกในพ้ืนท่ีป่ าที่อุดมสมบรู ณ์เป็นอนั ตรายต่อระบบนิเวศอยา่ งยง่ิ ความรู้ในการจดั การทรัพยากรป่ าไมแ้ ละท่ีดินจากงานศึกษาพบวา่ งานศึกษาหลายชิ้นให้ ความสาํ คญั กบั การจดั การทรัพยากรป่ าไมแ้ ละท่ีดินซ่ึงเป็นความตอ้ งการของชุมชนเอง องคก์ รท่ีมี บทบาทในการสนบั สนุนการจดั การป่ าโดยชุมชนเองท่ีสาํ คญั คือ ศูนยฝ์ ึกอบรมวนศาสตร์ชุมชน แห่งภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิ ก มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ ที่ไดจ้ ดั ทาํ เอกสารการสัมมนาเรื่องป่ า ตะวนั ออก ซ่ึงมีการพดู คุยถึงกรณีตวั อยา่ งของชุมชนที่จดั การป่ าอยา่ งยงั่ ยนื ประเด็นท่ีน่าสนใจจาก เอกสารคือ กรณีตวั อยา่ งการจดั การป่ าและท่ีดินทาํ กินของผใู้ หญ่วบิ ลู ย์ เขม็ เฉลิม ซ่ึงไดน้ าํ ประสบการณ์การทาํ วนเกษตรแบบผสมผสานมาทอดถ่าย นบั วา่ ผใู้ หญ่วบิ ูลย์ เขม็ เฉลิม ถือเป็น ตน้ แบบของการนาํ ภมู ิปัญญามาใชใ้ นชีวติ จริงอยา่ งประสบความสาํ เร็จ งานศึกษาของศูนยฝ์ ึ กอบรมวนศาสตร์ยงั ไดน้ าํ เสนอการถ่ายทอดประสบการณ์ของชุมชน ท่ีอาศยั อยใู่ นป่ ารอยต่อ 5 จงั หวดั ในการจดั การพ้ืนท่ีป่ า ภาพสะทอ้ นที่ชดั เจนของชุมชนที่ประสบ ปัญหาในการจดั การป่ า เช่น ชุมชนอาํ เภอวงั น้าํ เยน็ จงั หวดั สระบุรี ท่ีสะทอ้ นปัญหาป่ าไมถ้ ูกทาํ ลาย เนื่องจากไมไ่ ดร้ ับการจดั สรรที่ดินและขาดท่ีทาํ กินจากการประกาศเป็ นพ้ืนท่ีป่ าสงวน ส่วนตวั อยา่ ง ของชุมชนที่ไมม่ ีปัญหาการตดั ไมท้ าํ ลายป่ าไดแ้ ก่ ชุมชนก่ิงอาํ เภอแก่งหางแมว จงั หวดั จนั ทบุรี และ อาํ เภอบ่อทอง จงั หวดั ชลบุรี ซ่ึงชุมชนแรกไม่มีปัญหาการตดั ไม้เพราะในพ้ืนท่ีไม่มีไมห้ ายาก เหลืออยู่ ในขณะท่ีชุมชนหลงั ไม่พบสภาพปัญหาการทาํ ลายป่ าไม้ เพราะมีการทาํ แนวอนุรักษก์ บั ท่ี ทาํ กินของชาวบา้ น งานศึกษาที่เก่ียวกบั การจดั การเขตกนั ชนของชุมชนในเขตรักษาพนั ธุ์สัตวป์ ่ าเขาอ่างฤาใน อาํ เภอท่าตะเกียบ จงั หวดั ฉะเชิงเทรา ของ นิตยา กิจติเวชกุล และ สมศกั ด์ิ สุขวงศ์ (2540) เป็ นการ ศึกษาวิจยั เชิงปฏิบตั ิการที่หมู่บา้ นร่มโพธ์ิทอง และบา้ นเทพประทาน ซ่ึงเป็ นชุมชนที่ติดกบั เขต รักษาพนั ธุ์สัตวป์ ่ าเขาอา่ งฤาไน ตาํ บลคลองตะเภา อาํ เภอท่าตะเกียบ จงั หวดั ฉะเชิงเทรา การวิจยั วาง อยบู่ นสมมติฐานที่ว่าการพฒั นาที่สอดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของชุมชนจะส่งผลดีต่อการอนุรักษ์ ในแง่เศรษฐกิจแลว้ ไม่อาจคาดหวงั ให้คนยากจนหนั มาสนใจการอนุรักษ์ หากยงั ไม่สามารถทาํ ให้ เขามีเศรษฐกิจท่ีดีข้ึน 3 - 53
ในส่วนของกระบวนการจดั การป่ าชุมชนอยา่ งยงั่ ยนื พบวา่ กรณีของบา้ นร่มโพธ์ิทอง เป็ น ตวั อยา่ งของการพฒั นากระบวนการจดั การป่ าท่ีเกิดจากความเขา้ ใจของชุมชนในเร่ืองการจดั การป่ า ชุมชน โดยใหค้ วามหมาย “ป่ าชุมชน” วา่ เป็นป่ าท่ีประชาชนไดร้ ับอาํ นาจใหค้ วบคุม จดั การ และใช้ ประโยชน์จากป่ า โดยมุ่งให้ทุกคนมีสิทธิได้ใช้ประโยชน์อย่างเป็ นธรรม โดยเริ่มแรกของการ รวมกลุ่มเกิดจากแกนนาํ 2-3 คน ที่ไดไ้ ปศึกษาดูงานและมีความเขา้ ใจชดั เจนในเรื่องการจดั การป่ า ชุมชน และไดน้ าํ มาถ่ายทอดในวงประชุมกลุ่มเล็กๆ เพื่อวางแผนการขยายแนวคิดไปในชุมชน และ ประสานงานกบั หน่วยงานที่เกี่ยวขอ้ งเพื่อใหก้ ารสนบั สนุนและรับรู้การดาํ เนินการของชุมชน กลุ่ม แกนนาํ ไดก้ ่อตวั เป็ นคณะกรรมการชว่ั คราว เพ่ือกาํ หนดเขตพ้ืนที่ป่ าชุมชนและลงเสา และไดไ้ ป ประชุมกบั ชาวบา้ นแต่ละคุม้ ซ่ึงมีอยู่ 5 คุม้ เพื่อหาประชามติเรื่องวตั ถุประสงคข์ องการจดั ทาํ ป่ า ชุมชน เมื่อไดม้ ติเป็ นเอกฉันทแ์ ลว้ ก็จดั ทาํ แผนการจดั การป่ าชุมชน ซ่ึงประกอบดว้ ยการสาํ รวจป่ า การกาํ หนดกฎ กติกา วางแผนกาํ หนดกิจกรรม จนเม่ือวนั ท่ี 27 ธนั วาคม 2539 ไดป้ ระกาศป่ าชุมชน อย่างเป็ นทางการโดยมีปลดั อาํ เภอมาเป็ นประธาน กระบวนการดงั กล่าวพบว่าทาํ ให้ชุนชนเกิด ความรู้สึกความเป็นเจา้ ของป่ าชุมชนร่วมกนั และเริ่มหาทุนสนบั สนุน ตลอดจนกาํ ลงั ทาํ แผนพฒั นา เศรษฐกิจของชุมชน เพ่อื การอนุรักษท์ รัพยากรอยา่ งยงั่ ยืน รวมท้งั แผนพฒั นาการศึกษาทอ้ งถิ่นและ ฟ้ื นฟรู ะบบวนเกษตร ในส่วนที่สามที่เป็ นการวิเคราะห์ถึงปัจจยั ท่ีส่งต่อการพฒั นางานเขตกนั ชน ท่ีนาํ ไปสู่การ จดั การป่ าอยา่ งยงั่ ยืนเพ่ืออนุรักษค์ วามหลากหลายทางชีวภาพ และการให้ชุมชนไดใ้ ช้ประโยชน์ อยา่ งยงั่ ยนื พบท้งั ปัจจยั ที่เก้ือหนุนและปัจจยั ที่เป็นขอ้ จาํ กดั ดงั น้ี ปัจจยั ท่ีเก้ือหนุนเกิดจาก (1) กระแสของการอนุรักษ์ เกิดจากความเขา้ ใจของประชาชนท่ีเล็งเห็นถึงความสาํ คญั และ คุณคา่ ของป่ า ความคิดท่ีวา่ ชุมชนติดป่ าตอ้ งไดร้ ับการพฒั นาใหม้ ีความเป็ นอยทู่ ่ีดีข้ึนและมีทางเลือก อ่ืน เพื่อลดการบุกรุกทาํ ลายพ้ืนท่ีป่ าและการใช้ทรัพยากรป่ าเกินกาํ ลงั ผลิต จากกระแสดงั กล่าว ส่งผลให้หน่วยงานรัฐหันมาให้ความสําคญั กับการจดั การเขตกนั ชน เช่น การวางแผนเพื่อการ พฒั นาเชิงระบบนิเวศและการจดั การเขตกนั ชน โดยส่วนวิจยั สัตวป์ ่ า กรมป่ าไม้ โครงการอนุรักษ์ ทรัพยากรป่ าไมแ้ ละสัตวป์ ่ าในพ้ืนท่ีป่ ารอยต่อ 5 จงั หวดั (ภาคตะวนั ออก) อนั เนื่องมาจากพระราช ดาํ รัส รวมถึงการสนบั สนุนใหช้ ุมชนมีส่วนร่วมในการดูแลป่ าจากองคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถิ่น (2) ประชาชนมีทางเลือกในอาชีพที่หลากหลาย และทางเลือกอ่ืนท่ีทาํ ให้ลดการใช้ ทรัพยากรจากป่ า ปัจจยั เหล่าน้ีเกิดจากการท่ีประชาชนอออกไปทาํ งานนอกพ้ืนท่ีมากข้ึน มีการ พฒั นาอาชีพให้แก่ชุมชนโดยโครงการต่างๆ และแนวโน้มของประชากรในชุมชนท่ีมีการศึกษา สูงข้ึนทาํ ใหว้ ถิ ีชีวติ ที่พ่งึ พงิ ป่ าลดลงดว้ ย (3) ชาวบา้ นตอ้ งการพิสูจน์ตวั เองและตอ้ งการรักษาสมบตั ิของชุมชน รูปแบบการจดั การ ป่ าโดยชุมชนเป็ นบทพิสูจน์วา่ ชุมชนตอ้ งการรักษาป่ าของตนมิให้ตกไปอยใู่ นมือของนายทุนหรือ 3 - 54
คนภายนอก ตอ้ งการแสดงให้เห็นว่าผืนป่ าของชุมชนจะตอ้ งเป็ นผืนดินที่อยู่อาศยั ของตนและ ลูกหลานในอนาคต ปัจจยั จาํ กดั ไดแ้ ก่ (1) ผลกระทบจากการพฒั นาในอดีตและนโยบาย เช่น นโยบายท่ีมุ่งส่งเสริมการพฒั นา อุตสาหกรรม การส่งออก และการปลูกพืชเชิงเด่ียวท่ีตน้ ทุนการผลิตสูง ส่งผลให้เกิดการขยายพ้ืนท่ี ปลูกพชื โดยการถางเผาป่ า เกิดมลพิษตกคา้ งและผลกระทบต่อสภาวะแวดลอ้ ม และยงั ทาํ ให้เกิดการ ล่มสลายของเกษตรกรและการอพยพออกจากภูมิลาํ เนาไปหางานทาํ เป็ นตน้ นอกจากน้นั นโยบาย การประกาศเพิ่มพ้นื ที่เขตรักษาพนั ธุ์สัตวป์ ่ า ยงั ไม่พิจารณาถึงการต้งั ถิ่นฐานของชุมชนซ่ึงเป็ นการ สร้างปัญหาตอ่ เน่ืองยาวนาน (2) ขาดกฎหมายรองรับการจดั การป่ าชุมชน การไม่มีพระราชบญั ญตั ิป่ าชุมชนทาํ ให้การ ดาํ เนินงานจดั การตามแผนการจดั การป่ าชุมชนเป็ นไปไม่ได้ และชาวบา้ นมีความรู้สึกวา่ ตนเองเป็ น แค่คนเฝ้ าป่ าของรัฐมากกวา่ เป็นการกระจายอาํ นาจในการจดั การทรัพยากรป่ าไม้ (3) หน่วยงานต่างๆขาดการประสานกนั เองและต่างภาคี และไม่คุน้ เคยกบั การทาํ งานเป็ น กระบวนการ (4) การขาดเจ้าหน้าที่หรือผูท้ ่ีมีทัศนคติท่ีดีต่อชุมชน ขาดเจ้าหน้าที่ภาคสนามที่มี ความสามารถในการสร้างกระบวนการเรียนรู้ และเสริมศกั ยภาพชุมชน รวมถึงการสนับสนุน กระบวนการจดั การทรัพยากรป่ าโดยชุมชน (5) ชุมชนล่มสลาย ชุมชนท่ีทาํ การศึกษาท้งั สองชุมชนเป็ นชุมชนขนาดใหญ่ มีการอพยพ ของผคู้ นจากหลายหลายแหล่งทาํ ใหก้ ารร่วมมือในกิจกรรมของชุมชนค่อนขา้ งต่าํ โดยเฉพาะอยา่ ง ยง่ิ บา้ นเทพประทาน มีความขดั แยง้ ในชุมชนสูง ทาํ ใหก้ ารรวมกลุ่มทาํ ไดย้ ากกวา่ บา้ นร่วมโพธ์ิทอง ชุมชนเหล่าน้ีขาดการสะสมความรู้และภูมิปัญญาทอ้ งถิ่น เน่ืองจากถูกตดั ขาดจากการใชท้ รัพยากร และการเปล่ียนแปลงรูปแบบการดาํ เนินชีวิตกระทนั หนั ดงั น้นั การควบคุมกนั เอง โดยบรรทดั ฐาน หรือจารีตของชุมชนจึงเป็ นไปไดย้ าก กฎกติกาใหม่จึงตอ้ งถูกสร้างข้ึน และตอ้ งใชเ้ วลานานในการ ทาํ งานกบั ชุมชน งานศึกษาของกิตตินาํ เสนอให้เกิดการปฏิรูปที่ดิน เพื่อการจดั ท่ีดินทาํ กินให้กบั เกษตรกรผู้ ยากไร้ สามารถมีท่ีทาํ กินเป็ นหลักและสามารถพฒั นาความเป็ นอยู่และฐานะของตนเองและ ครอบครัว ในภาพกวา้ งจะส่งผลให้การบุกรุกทาํ ลายป่ าเป็ นเร่ืองท่ีไม่จาํ เป็ นอีกต่อไป แต่อยา่ งไรก็ ตามนโยบายดงั กล่าวท่ีสาํ นกั การปฏิรูปท่ีดินเพ่ือการเกษตรกรรม นาํ ไปดาํ เนินการและปฏิบตั ิกลบั ไม่ไดผ้ ล หลายคร้ังการจดั สรรสิทธิในที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน มกั ไม่ตกถึงมือของเกษตรกรผูไ้ ร้ ท่ีดิน นอกจากน้นั ท่ีดินที่วา่ งเปล่าไมไ่ ดใ้ ชป้ ระโยชน์แตเ่ ป็นกรรมสิทธ์ิของเจา้ ของที่ดิน ทาง ส.ป.ก. ยงั ไมส่ ามารถเวนคืนท่ีดินในส่วนน้ีมาจดั สรรเพื่อใหก้ บั เกษตรกรท่ีไร้ท่ีดินได้ ซ่ึงปัญหาการปฏิรูป ที่ดินก็ยงั คงดาํ เนินอยใู่ นภาคตะวนั ออก ที่ดินจาํ นวนมากที่เป็ นพ้ืนท่ีปฏิรูปที่ดิน ก็ถูกเจา้ พอ่ จบั จอง 3 - 55
เกษตรกรท่ีทาํ กินบนที่ดินดงั กล่าวจะตอ้ งเช่าต่อจากเจา้ พ่ออีกต่อหน่ึง ความยากจนท่ีเกิดข้ึนกบั เกษตรกรก็ยงั คงเป็ นวฎั จกั รวนเวียนอยู่ (สหพนั ธ์ประชาชนเพื่อสิ่งแวดลอ้ มและการพฒั นาภาค ตะวนั ออก : 2545) สถานการณ์การทําลายป่ าชายเลนและทรัพยากรชายฝ่ังในภาคตะวันออก ในดา้ นของ ชุมชนเองก็ไดม้ ีการเคล่ือนไหวเพอ่ื ปกป้ องป่ าชายเลนของตนเอง ตวั อยา่ งชุมชนที่ดาํ เนินการจดั การ ป่ าชายเลนในลกั ษณะของป่ าชุมชนไดส้ าํ เร็จ คือ การรวมกลุ่มของชุมชนบา้ นเปร็ดใน ตาํ บลห้วงน้าํ ขาว จงั หวดั ตราด ที่คดั คา้ นการบุกรุกป่ าชายเลนเพื่อการทาํ นากุ้งของนายทุนได้สําเร็จ และได้ ร่วมกนั วางแผน ดูแล ใช้ประโยชน์ อนุรักษ์ โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน จดั ต้งั เป็ นกลุ่มอนุรักษ์ และพฒั นาป่ าชายเลนบา้ นเปร็ดใน มีการแบ่งกลุ่มออกเป็ น 6 กลุ่ม กลุ่มละ 20 ครัวเรือน แต่ละกลุ่ม มีการแบ่งเขตรับผิดชอบดูแลป่ าชายเลยเป็ น 5 โซน จากพ้ืนที่ประมาณ 12,000 ไร่ (สุภาภรณ์ วรพรพรรณ : 2544) ความสําเร็จของการเคล่ือนไหวของชุมชนบา้ นเปร็ดใน กล่าวไดว้ ่าเกิดจากการที่ชุมชน ตระหนกั ถึงอนั ตรายจากการทาํ ลายฐานทรัพยากรท่ีเป็ นฐานชีวติ ของตนเอง ประกอบกบั การไดร้ ับ ความร่วมมือจากองคก์ รทอ้ งถิ่นในการประสานความช่วยเหลือในการขบั ไล่นายทุน แต่อยา่ งไรก็ ตาม การจดั การทรัพยากรป่ าชายเลน ในลกั ษณะป่ าชุมชน ยงั เป็ นเรื่องที่ไม่มีความมงั่ คง หากรัฐยงั มองไมเ่ ห็นมิติการจดั การทรัพยากรธรรมชาติในลกั ษณะของสิทธิในการจดั การที่หลากหลายได้ งานศึกษาของ สมศกั ด์ิ โสภณพินิจ (มปป.) “การศึกษาสภาพเศรษฐกิจและสังคมของ ประชาชนในเขตป่ าชายเลน บริเวณปากแม่น้าํ บางปะกง” งานศึกษาชิ้นน้ีไดท้ าํ การศึกษาถึงสาเหตุ ที่ทาํ ใหร้ ะบบนิเวศป่ าชายเลนบางปะกงเสื่อมโทรมลง โดยศึกษาถึงสภาพความเป็นอยทู่ ว่ั ไปท้งั ดา้ น สุขภาพอนามยั การต้งั บา้ นเรือน การถือครองที่ดิน และการประกอบอาชีพของประชาชนในเขตป่ า ชายเลน ความสัมพนั ธ์ของป่ าชายเลนกบั การประกอบอาชีพของประชาชนในบริเวณปากแม่น้าํ บาง ปะกงของจงั หวดั ชลบุรีและฉะเชิงเทรา ปัจจยั ที่มีผลตอ่ รายไดแ้ ละการประกอบอาชีพ การศึกษาพบวา่ การก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม ตดั ถนน การสร้างโรงไฟฟ้ า และสถานี จ่ายกระแสไฟฟ้ า ซ่ึงการขยายตวั ทางดา้ นอุตสาหกรรม การพฒั นา การคมนาคม การจดั สรรที่ดิน เพ่ือสร้างท่าเรือและที่อยอู่ าศยั ตลอดจนการถมทะเลเพื่อขยายเมือง ก่อใหเ้ กิดการทาํ ลายสภาพของ ป่ าชายเลน ซ่ึงหน่วยงานที่เก่ียวขอ้ งจะตอ้ งทาํ การทบทวนและหาแนวทางป้ องกนั ในอนาคต ผลจากการศึกษาพบวา่ ปัจจยั ที่มีผลตอ่ รายไดแ้ ละการประกอบอาชีพของประชาชนในเขต ป่ าชายเลนบริเวณปากแม่น้าํ บางปะกงมากท่ีสุดคือ ความอุดมสมบูรณ์ของป่ าชายเลน ดงั น้นั การ แกป้ ัญหาท่ีสาํ คญั ที่สุด คือการเร่งดาํ เนินการในดา้ นส่งเสริมการปลูกป่ าชายเลนให้สมบูรณ์ จากการ สํารวจบริเวณป่ าชายเลนปากแม่น้าํ บางปะกง พบวา่ บริเวณชายฝ่ังทะเลจากปากแม่น้าํ บางปะกง ตาํ บลบางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา ลงไปทางทิศใตต้ ิดต่อกบั ตาํ บลตาํ หรุ จ.ชลบุรี และตาํ บลบางไทร จ. 3 - 56
ชลบุรี เป็นภมู ิประเทศท่ีเหมาะกบั การปลูกป่ าชายเลนเป็ นอยา่ งยิง่ เพราะน้าํ ทะเลท่วมถึง หากมีการ ปรับปรุงป่ าชายเลนและส่งเสริมการปลูกป่ าโกงกางลงไปในบริเวณน้ีจะไดเ้ น้ือที่ป่ าชายเลนอีกลาย พนั ไร่ ซ่ึงจะช่วยเพิ่มเน้ือที่ป่ าชายเลน เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของป่ าและห่วงโซ่อาหาร สามารถ อาํ นวยประโยชน์โดยตรงในการประกอบอาชีพประมงชายฝั่ง และเก็บผลผลิตจากป่ าชายเลนไดอ้ ีก มาก นอกจากน้นั ยงั เป็นการรักษาระบบนิเวศของป่ าชายเลนให้คงความอุดมสมบูรณ์เป็ นอู่ขา้ วอู่น้าํ ใหแ้ ก่ประชากร โดยเฉพาะในภาคตะวนั ออกของประเทศไดต้ ลอดไปดว้ ย ในส่วนของโครงการของกรมพฒั นาที่ดินที่ประสงคจ์ ะให้บริเวณจงั หวดั ชลบุรีเป็ นแหล่ง อุตสาหกรรม โดยมิไดใ้ หค้ วามสําคญั กบั ป่ าชายเลนน้นั น่าจะเป็ นการไม่ถูกตอ้ ง เพราะเท่ากบั เป็ น การละเลยหรือทาํ ลายแหล่งท่ีใหค้ วามอุดมสมบูรณ์ของป่ าชายเลนบริเวณน้ีให้หมดไปโดยปริยาย และยอ่ มส่งผลกระทบต่อการประกอบอาชีพประมงชายฝั่งและประมงน้าํ ลึกต่อไป หากจะมีการ ส่งเสริมทางดา้ นอุตสาหกรรมก็สมควรให้ดาํ เนินการในบริเวณท่ีอยูน่ อกเขตป่ าชายเลน และตอ้ ง สามารถควบคุมโรงงานอุตสาหกรรมไม่ใหส้ ร้างปัญหาดา้ นมลภาวะไดอ้ ยา่ งแทจ้ ริง ผศู้ ึกษาเห็นวา่ ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะใช้ท่ีดินบริ เวณท่ีสามารถส่งเสริมการปลูกป่ าชายเลนให้เป็ นแหล่ง อุตสาหกรรม เม่ือผนวกกบั งานของ อนัญญา เณรจิตต์ “ผละกระทบของการเปลี่ยนแปลงพืน้ ท่ีป่ าชาย เลนต่อสภาพทางสังคมและเศรษฐกิจของชาวประมงพืน้ บ้าน : ศึกษาเฉพาะกรณีหมู่บ้านอีเทพ ตําบลบางชัน อาํ เภอขลุง จังหวดั จันทบุรี” ยิ่งสะทอ้ นให้เห็นการพ่ึงพาระบบนิเวศป่ าชายเลนของ ชาวบา้ นมากข้ึน งานศึกษามีวตั ถุประสงคเ์ พื่อศึกษาผลกระทบของการเปล่ียนแปลงพ้ืนที่ป่ าชาย เลนต่อสภาพทางสังคมและเศรษฐกิจของชาวประมงพ้ืนบา้ น และศึกษาลกั ษณะการปรับตวั ของ ชาวประมงพ้นื บา้ นจากภาวการณ์เปล่ียนแปลงของพ้ืนท่ีป่ าชายเลน งานศึกษาของอนญั ญา พบวา่ ในช่วงทศวรรษท่ีผา่ นมาป่ าชายเลนในเขตจงั หวดั จนั ทบุรีมีการเปลี่ยนแปลงในเชิงลดลงสูง โดยมี สาเหตุมาจากการบุกรุกพ้ืนท่ีเพื่อการเพาะเล้ียงสัตวน์ ้าํ ชายฝ่ังซ่ึงมีการขยายตวั สูงมาก และมีความ เปล่ียนแปลงอนั เน่ืองมาจากการสัมปทานทาํ ไมใ้ นช่วงทศวรรษท่ีผา่ นมาดว้ ย ซ่ึงการเปล่ียนแปลง ของป่ าชายเลนยอ่ มหมายความว่าระบบนิเวศป่ าชายเลนในบริเวณน้ียอ่ มไดร้ ับผลกระทบไปดว้ ย รวมถึงมนุษยท์ ี่พ่ึงพาอาศยั ป่ าชายเลนเป็นทรัพยากรหลกั ในการดาํ รงชีวติ ก็คือชาวประมง งานศึกษาของ ธนากร อว้ นอ่อน และ พิสิฐ ศุกรียพงศ.์ รายงานวจิ ยั เรื่อง การศึกษาสภาพ เศรษฐกิจ สังคม และความคิดเห็นต่อการถือครองที่ดินบริเวณป่ าชายเลนเพ่ือการเล้ียงกุ้งในเขต จงั หวดั จนั ทบุรี ตราด (2536) เป็ นงานวจิ ยั ที่มีวตั ถุประสงคเ์ พื่อศึกษาสภาพเศรษฐกิจ สังคม และ ความคิดเห็นต่อการถือครองที่ดินบริเวณป่ าชายเลนเพอื่ การเล้ียงกงุ้ ในเขตจงั หวดั จนั ทบุรี ตราด โดย การสาํ รวจความคิดเห็นของประชาชนในพ้ืนที่ท้งั กลุ่มที่เล้ียงกงุ้ และไมเ่ ล้ียงกงุ้ ป่ าชายเลนในภาคตะวนั ออก ไดถ้ ูกบุกรุกเพื่อนาํ พ้ืนท่ีไปเพาะเล้ียงชายฝั่งไดแ้ ก่ การทาํ บ่อ กุ้งและสัตว์น้าํ ชนิดอ่ืนๆ ส่งผลให้พ้ืนที่ป่ าชายเลนถูกทาํ ลายลงเป็ นจาํ นวนมาก แมว้ ่าจะมีมติ 3 - 57
คณะรัฐมนตรีเม่ือวนั ที่ 1 พฤษภาคม 2527 กาํ หนดเขตการใชพ้ ้ืนที่ป่ าชายเลน มีการจาํ แนกเขตการ ใชป้ ระโยชน์ท่ีดินป่ าชายเลนในภาคตะวนั ออกเป็ นลาํ ดบั แรก และไดม้ ีการพิจารณาผลการกาํ หนด เขตการใชป้ ระโยชนพ์ ้ืนท่ีป่ าชายเลนทว่ั ประเทศโดยไดร้ ับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวนั ท่ี 15 ธนั วาคม 2530 แต่อยา่ งไรก็ตามอตั ราการบุกรุกพ้ืนท่ีป่ าชายเลนก็มิไดล้ ดลง โดยเฉพาะอยา่ งยิ่ง ในบริเวณป่ าชายเลนปากแม่น้าํ เวฬุ อาํ เภอขลุง และในทอ้ งท่ีอาํ เภอท่าใหม่ จงั หวดั จนั ทบุรี ท่ีมี ศกั ยภาพของพ้ืนท่ีเหมาะสมแก่การเพาะเล้ียงกุง้ ปรากฏวา่ มีการบุกรุกแผว้ ถางพ้ืนท่ีป่ าชายเลนโดย เกือบทวั่ ไปเพอื่ การทาํ นากุง้ นกั วิจยั ไดน้ าํ เสนอว่า ควรมีการจดั ต้งั คณะกรรมการบริหารกลุ่มผูป้ ระกอบอาชีพเล้ียงกุง้ สร้างระบบระบายน้าํ ร่วมกนั ยงั ตอ้ งมีการให้ความรู้และประชาสัมพนั ธ์ถึงผลกระทบสิ่งแวดลอ้ ม จากการทํานากุ้งและวิธีการป้ องกันท่ีชาวบ้านนําไปปฏิบัติได้ โดยอาศัยโครงสร้างของ คณะกรรมการบริการกลุ่มผปู้ ระกอบอาชีพเล้ียงกุง้ เป็ นตวั กลางในการกระจายข่าวไปยงั สมาชิก ตา่ งๆ นอกจากน้นั การส่งเสริมใหส้ ินเชื่อกบั ผปู้ ระกอบอาชีพเล้ียงกงุ้ ในป่ าชายเลนยงั เป็ นประเด็น ที่จะตอ้ งมีการทบทวนแนวทางดงั กล่าว งานศึกษาของ อุทยั สายเนตร และเพียรเลิศ วงศ์ ภิรมยศ์ านต์ิ เอกสาร เรื่อง วกิ ฤตการณ์ป่ าชายเลน : ความจาํ เป็ นที่ตอ้ งระงบั สินเชื่อโครงการที่บุก (พ.ศ.2534) ไดก้ ล่าวถึงสภาพปัญหาของการบุกรุกป่ าชายเลนเพื่อการเพาะเล้ียงกุง้ ทว่ั ประเทศ โดย ในส่วนของภาคตะวนั ออกการขยายตวั ของการเล้ียงกุ้งเกิดในช่วง ปี 2530-2532 ต้งั แต่จงั หวดั ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จนั ทบุรี และตราด พ้ืนที่นากุง้ ขยายตวั จากจาํ นวน 28,809 ไร่ เป็ น 144,068 ไร่ นายทุนจากภายนอกขยบั ขยายจากภาคกลางมาเล้ียงกุง้ ในภาคน้ีอย่างหนาแน่นและ ครอบคลุมบริเวณกวา้ งโดยไม่มีการจดั วางระบบ ทาํ ใหอ้ ตั ราการรอดของการเล้ียงกุง้ ในภาคน้ีลดลง ประกอบกบั ขอ้ จาํ กดั ในเรื่องของท่ีดินท่ีมีราคาสูงไม่คุม้ ต่อการลงทุน และลกั ษณะทางธรณีท่ีมีอ่า หลายอ่าวเป็ นอุปสรรคต่อการไหลเวยี นของน้าํ สู่ทะเลลึก ทาํ ให้ในปี 2533 ภาคตะวนั ออกมีเน้ือที่ เล้ียงกงุ้ เหลือเพยี ง 66,180 ไร่ จากเดิม 95,266 ไร่ อย่างไรก็ตามแมว้ า่ จะมีพ้ืนที่ป่ าชายเลนเพ่ือการเล้ียงกุ้งขยายตวั ลงไปในทางภาคใตข้ อง ประเทศท้งั ฝั่งอ่าวไทยและฝั่งอนั ดามนั แต่ก็ยงั ไม่มีระบบการจดั การท่ีดี โดยเฉพาะในฝั่งอนั ดามนั ซ่ึงถือวา่ เป็นป่ าชายเลนใหญ่ผนื สุดทา้ ยซ่ึงจะถูกทาํ ลายลงหากไม่มีระบบการควบคุมท่ีดี แต่ในส่วน ของภาคตะวนั ออกเองมีความพยายามจากนายทุนท่ีจะขยายพ้ืนที่ชายฝ่ังทะเลดา้ นตะวนั ออกไปยงั ประเทศกมั พูชา ท่ีมีชายแดนต่อกบั จงั หวดั ตราดในบริเวณเกาะกงของกมั พูชา เน่ืองจากประสบ ปัญหาการเล้ียงกุง้ อยา่ งแออดั และน้าํ เสีย ผลสุดทา้ ยทรัพยากรธรรมชาติโดยรอบและในอ่าวไทยก็ จะตกอยใู่ นสภาพเลวร้ายยงิ่ ข้ึนไปอีก หากยงั มีการทาํ ลายป่ าชายเลนเพือ่ เล้ียงกงุ้ และสูบขอเสียทิ้งลง ไป 3 - 58
นอกจากการเล้ียงกุง้ ทะเลที่เป็ นปัญหาในการทาํ ลายป่ าชายเลนแล้ว เอกสารชิ้นน้ียงั ให้ ขอ้ มลู ในเรื่องสภาพปัญหาการใหส้ ัมปทานป่ าชายเลนเชิงเศรษฐกิจ ซ่ึงอนุญาตใหผ้ ไู้ ดร้ ับสัมปทาน สามารถนาํ ไมอ้ อกจากป่ าชายเลนไปใชป้ ระโยชน์ไดอ้ ยา่ งต่อเนื่อง โดยพ้ืนท่ีในเขตป่ าไมส้ ัมปทาน ยงั คงมีความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติของป่ าชายเลน เมื่อหมดอายุของสัมปทานแต่ละรอบ (15 ปี ) กส็ ามารถใหส้ ัมปทานในรอบตอ่ ไปไดอ้ ยา่ งต่อเน่ือง โดยตอ้ งปฏิบตั ิตามหลกั เกณฑแ์ ละวิธีการท่ี กรมป่ าไมก้ าํ หนดไวต้ ามเงื่อนไขของสัมปทานอย่างเคร่งครัด แต่อยา่ งไรก็ตามในจงั หวดั ระยอง จนั ทบุรี ตราด เป็ นจงั หวดั ท่ีประสบความลม้ เหลวในการควบคุมสัมปทานป่ าชายเลน เน่ืองจาก เจา้ หนา้ ท่ีกรมป่ าไมแ้ ละผไู้ ดร้ ับสัมปทานไม่ปฏิบตั ิตามระเบียบขอ้ กาํ หนดของกรมป่ าไม้ ทาํ ให้ป่ า สัมปทานไม่อย่ใู นสภาพท่ีจะให้สัมปทานในรอบต่อไปได้ และตกเป็ นภาระของรัฐที่ตอ้ งปลูกป่ า ชายเลนเพอ่ื ฟ้ื นฟสู ภาพโครงการ ภาคตะวนั ตก มีลกั ษณะภมู ิประเทศท้งั ป่ าบกและป่ าชายเลน ซ่ึงสภาพพ้นื ท่ีป่ าท้งั 2 ประเภท ยงั คงประสบปัญหาในเรื่องการบุกรุกพ้ืนที่ป่ า โดยการกวา้ นซ้ือของนายทุนและปล่อยให้ พ้นื ที่รกร้างวา่ งเปล่า นอกจากน้นั เกิดปัญหาการประกาศเขตป่ าอนุรักษท์ บั พ้ืนท่ีชุมชนในหลาย พ้นื ท่ี ส่งผลมีการอพยพชาวบา้ นออกจากพ้ืนท่ีป่ าที่เป็นที่อยอู่ าศยั และทาํ กิน ป่ าตะวนั ตก นบั เป็ นทรัพยากรธรรมชาติที่สําคญั ของภาคตะวนั ตก และไดร้ ับการยอมรับ ใหเ้ ป็นมรดกโลก อยา่ งไรก็ตามยงั คงมีโครงการที่จะส่งผลกระทบต่อผืนป่ าตะวนั ตกอยทู่ ี่สําคญั คือ การตดั ถนนผา่ นผนื ป่ าดงั กล่าว ซ่ึงไดส้ ร้างผลกระทบใหเ้ กิดข้ึนต่อระบบนิเวศที่สมบูรณ์ งานศึกษา ของเขมทศั น์ ปาลเปรม (บรรณาธิการ) คา้ นตดั ถนนแม่วงก-์ อุม้ ผาง.มูลนิธิสืบนาคะเสถียร (2547) เป็ นเอกสารที่จดั ทาํ ข้ึนโดยมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ซ่ึงเป็ นองค์กรที่เฝ้ าติดตามและอนุรักษ์ผืนป่ า ตะวนั ตกมาอย่างต่อเนื่อง เอกสารชิ้นน้ีประกอบด้วยหนงั สือแสดงการคดั คา้ นและขอให้ยุติการ สร้างถนนหมายเลข 1117 (คลองลาน-อุม้ ผาง) ลาํ ดบั ความเป็ นมาของทางหลวงหมายเลข 1117 ขอ้ เทจ็ จริงของทางหลวงหมายเลข 1117 ที่รวบรวมโดยฝ่ ายวชิ าการของมูลนิธิสืบนาคะเสถียร และ เหตุผลและขอ้ เท็จจริงคดั คา้ นกรณีขอ้ เสนอตดั ถนนสายแม่วงก์-อุม้ ผาง ของ ดร.อนรรฆ พฒั น วบิ ูลย์ นกั วิชาการดา้ นวนศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหิดล ท่ีไดจ้ ากการการเดินทางสํารวจพ้ืนท่ีเส้นทาง คลองลาน-อุม้ ผาง เม่ือวนั ท่ี 20-24 สิงหาคม 2547 ซ่ึงท้งั ฝ่ ายวชิ าการ มูลนิธิสืบนาคะเสถียร และดร. อนรรฆ พฒั นวิบูลย์ ต่างเห็นพอ้ งตอ้ งกนั ถึงผลกระทบทางลบท่ีจะเกิดข้ึนกบั ผืนป่ าตะวนั ตกอนั จะ เกิดข้ึนจากการสร้างทางหลวงหมายเลข 1117 สามารถสรุปผลกระทบไดด้ งั น้ี (1) ทาํ ลายความอุดมสมบูรณ์ของผนื ป่ าตะวนั ออก ทาํ ลายถิ่นอาศยั ของสัตวป์ ่ าสงวน และ สตั วป์ ่ าหายากระดบั โลก และลดคุณคา่ ของผนื ป่ าอนุรักษท์ ี่มีความสาํ คญั ระดบั นานาชาติ (2)สนับสนุนให้เกิดการบุกรุกแผว้ ถางป่ าตน้ น้าํ จากชาวเขาบริเวณพ้ืนที่ขา้ งเคียง หากมี ถนนที่เป็ นทางหลวงแผ่นดินเกิดข้ึน จะก่อให้เกิดการอพยพหลงั่ ไหลเขา้ จบั จองพ้ืนที่ป่ าสองขา้ ง 3 - 59
ถนนซ่ึงยากท่ีเจา้ หนา้ ที่จะเขา้ ควบคุมได้ เน่ืองจากปัจจุบนั พ้ืนท่ีป่ าตน้ น้าํ แม่กลองตลอดสองขา้ งทาง หลวงสายแม่สอด-อุม้ ผาง ไดถ้ ูกทาํ ลายไปจนเกือบหมดสิ้นแลว้ (3) สนบั สนุนใหเ้ กิดการล่าสัตว์ ตดั ไม้ บริเวณสองขา้ งทาง (4) สนบั สนุนให้เกิดการใช้ถนนขนไมเ้ ถื่อน ของป่ า และเฟอร์นิเจอร์เถื่อน โค กระบือ เถื่อน และกิจกรรมผิดกฎหมายอ่ืนๆ ดงั เช่นท่ีเกิดข้ึนบนถนนสายแม่ระมาด-อาํ เภอบา้ งตาก ซ่ึงมี ถนนหลวงปลายเปิ ดท่ีตดั ผ่านป่ า ใกล้ชายแดน ได้กลายเป็ นเส้นทางขนไม้ซุงจากป่ าสาละวิน เส้นทางขนเฟอร์นิเจอร์เถื่อน ของป่ าและบุคคลต่างดา้ ว ส่งผลใหเ้ กิดเครือข่ายขบวนการผมู้ ีอิทธิพล จนยากที่เจา้ หนา้ ที่จะเขา้ ควบคุมได้ (5) ทาํ ใหส้ ตั วป์ ่ าลม้ ตายท้งั ระหวา่ งการก่อสร้างถนน และถูกรถชนตายเม่ือสร้างถนนเสร็จ กรณีเช่นน้ีเคยเกิดข้ึนในเขตรักษาพนั ธุ์สัตวป์ ่ าเขาอ่างฤาไน ที่มีการศึกษาวิจยั พบว่ามีสัตวป์ ่ าตาย เพราะถูกรถชนมากถึง 14,408 ตวั ในระยะเวลาเพียง 2 ปี ท่ีทาํ การศึกษา (2541-2542) ซ่ึงสัตวห์ ลาย ชนิดเป็นสัตวห์ ายาก สรุป การตดั ถนนแม่วงก์(คลองลาน)-อุม้ ผาง จะก่อใหเ้ กิดความเสียหายต่อระบบนิเวศของ ผืนป่ าตะวนั ตก ท้งั ในเรื่องของสัตวป์ ่ า พนั ธุ์พืช ตน้ น้าํ อยา่ งใหญ่หลวง และเม่ือพิจารณาความคุม้ ทุนก็ไมเ่ หมาะสม เน่ืองจากมีถนนหลวงสายแม่สอด-อุม้ ผางใชอ้ ยแู่ ลว้ ดงั น้นั โครงการตดั ถนนสาย 1117 จึงไมส่ มควรดาํ เนินการแตอ่ ยา่ งใด นอกจากประเด็นในเร่ืองความกงั วลใจที่เกิดข้ึนกบั ป่ าตะวนั ตกแลว้ สภาพการใชท้ ี่ดินใน ภาคตะวนั ตกก็ได้รับผลกระทบจากการพฒั นา เน่ืองจากภูมิภาคตะวนั ตกมีปริมณฑลท่ีใกล้กบั กรุงเทพมหานคร ดงั งานศึกษาของ ก่ิงกานต์ เลิศอนนั ต์ “กระบวนการปรับตวั ของชุมชนเกษตรใน พ้นื ที่ปริมณฑลกรุงเทพฯ ฝั่งตะวนั ตก : กรณีศึกษา อาํ เภอบา้ นแพว้ จงั หวดั สมุทรสาคร” (2542) ซ่ึง เป็ นงานศึกษาท่ีกล่าวถึงลกั ษณะการพฒั นาความเจริญของกรุงเทพฯ ท่ีส่งผลต่อพ้ืนท่ีจงั หวดั ที่อยู่ ใกลเ้ คียง โดยใช้กรณีอาํ เภอบา้ นแพว้ จงั หวดั สมุทรสาคร เป็ นตวั อย่างในการศึกษาถึงผลกระทบ ทางกายภาพในเร่ืองลกั ษณะการใชท้ ี่ดินที่เปล่ียนแปลงไป ซ่ึงแต่เดิมเป็ นพ้ืนที่เกษตรกรรมที่มีความ อุดมสมบูรณ์ จนเมื่อมีการพฒั นา การขยายตวั ของเมือง การมีการคมนาคมที่สะดวก ระบบ สาธารณูปโภคและสาธารณูปการที่เข้าถึงพ้ืนท่ี ปัจจยั เหล่าน้ีส่งผลให้ราคาท่ีดินในบ้านแพ้ว เปล่ียนไป มีความเจริญเทคโนโลยี ทาํ ใหเ้ กิดโรงงานอุตสาหกรรม หมู่บา้ นจดั สรร ทาํ ใหเ้ กิดปัญหา น้าํ ทิ้งจากชุมชน น้าํ ในลาํ คลองเน่าเสีย บริเวณผนื ป่ าตะวนั ตกมีกลุ่มชาติพนั ธ์กะเหรี่ยงต้งั ถิ่นฐานมายาวนาน และมีภมู ิปัญญา ในการทาํ ไร่หมุนเวยี นและการรักษาป่ าไวอ้ ยา่ งสมบูรณ์ ป่ิ นแกว้ เหลืองอร่ามศรี (2539) ศึกษาโลก ทศั น์และความรู้ทางนิเวศวทิ ยาของชุมชนกะเหร่ียงโปที่บา้ นเกริงบอ ซ่ึงต้งั อยบู่ นที่ราบฝ่ัง ตะวนั ออกของหว้ ยแมจ่ นั ในเขตรักษาพนั ธุ์สตั วป์ ่ าทุ่งใหญ่นเรศวร รอยต่อจงั หวดั กาญจนบุรีและ จงั หวดั ตาก ผลงานศึกษาพบวา่ มโนทศั น์เรื่องป่ าและท่ีดินของกะเหร่ียง คือการไม่เป็นเจา้ ของใน 3 - 60
ทรัพยากรธรรมชาติ คนกะเหร่ียงนิยามธรรมชาติตามคุณลกั ษณะของธรรมชาติน้นั ๆ พ้ืนท่ีที่มี ตน้ ไมข้ ้ึนตามธรรมชาติ มีสัตวป์ ่ าอาศยั อยเู่ รียกวา “ป่ า ในขณะที่พ้ืนท่ีกวา้ งขวางมีพืชบางชนิด เช่น หญา้ เรียกบริเวณน้นั วา่ ทุ่งหญา้ พ้ืนท่ีท่ีถูกใชป้ ระโยชน์โดยมนุษย์ เรียกพ้ืนที่น้นั ตามลกั ษณะการ ใชป้ ระโยชน์ เช่น ไร่ขา้ ว ไร่ทราก (พ้ืนท่ีทาํ ไร่ท่ีถูกทิ้งไวร้ ะยะเวลาหน่ึงเพ่ือปล่อยใหเ้ ป็นป่ าฟ้ื น ตวั ข้ึนมา) โลกทศั นข์ องคนกะเหรี่ยงจึงไม่มี “ที่ดิน”วา่ งเปล่า ผนื ดินไดร้ ับการคุม้ ครองจาก “ซ่งธะ รี” ซ่ึงหมายถึง การคุม้ ครองสรรพชีวติ ท่ีอาศยั อยบู่ นแผน่ ดิน การไม่เป็นเจา้ ของท่ีดินมีความสาํ คญั ต่อระบบนิเวศของการทาํ ไร่หมุนเวยี นไวอ้ ยา่ งยง่ั ยนื ความรู้ทางนิเวศวิทยาในการทาํ ไร่หมุนเวยี น ผสมผสานระหวา่ งความรู้ทางธรรมชาติใน ด้านกายภาพ กบั ความรู้ในสิ่งคุม้ ครองตามธรรมชาติ ซ่ึงสั่งสมสืบทอดมาจากวฒั นธรรมการ ดาํ รงชีวติ ความคิด โลกทศั น์ การให้คุณค่าต่อธรรมชาติ สิ่งเหล่าน้ีแสดงออกมาจากพฤติกรรมของ กระบวนการทาํ ไร่หมุนเวยี น และใชค้ วามเชื่อพุทธและผมี าคุม้ ครองธรรมชาติ ในโลกทศั น์ของคน กะเหรี่ยง ตน้ ไมแ้ ละมนุษยเ์ ป็นสิ่งท่ีผกู พนั ระหวา่ งกนั และกนั ต้งั แต่แรกเกิด ตน้ ไมถ้ ือเป็ นสิ่งที่ดูแล ขวญั และวญิ ญาณของมนุษย์ กะเหร่ียงจึงไม่ทาํ ลายตน้ ไมน้ อกจากการใชเ้ ท่าที่จาํ เป็ น ประเภทของ ป่ าในคาํ นิยามของกะเหร่ียงมีไม่ต่าํ กวา่ 6 ประเภท ที่สอดคลอ้ งกบั ลกั ษณะของระบบนิเวศของป่ า และการใชป้ ระโยชน์จากป่ า การมองโลกของคนกะเหรี่ยง “สมถะและถ่อมตน” อนั เป็ นแกนกลางของวิธีคิด ทาํ ให้ กะเหร่ียงจดั วางตนเองอยูด่ ้านในสุดของระบบจกั รวาลอนั ยิ่งใหญ่ มนุษยเ์ ป็ นเพียงผเู้ ขา้ มาขอใช้ ธรรมชาติเพอื่ การยงั ชีพ ชาวกะเหร่ียงยดึ มนั่ ในคาํ สอนของบรรพบุรุษ ซ่ึงเป็ นกระบวนการผลิตซ้าํ ทางความคิดและโลกทศั นท์ ่ีสาํ คญั การปฏิบตั ิตามจึงเป็นสิริมงคลแก่ตนและหมู่บา้ น และยงั สนอง คุณที่บรรพบุรุษไดเ้ ล้ียงดูและสร้างบา้ นสร้างชุมชนมา ในส่วนของพ้ืนที่ป่ าชายเลน กพ็ บกรณีปัญหาการทาํ ลายระบบนิเวศของป่ าชายเลนลง งาน ศึกษาของ ดร.ศนั สนีย์ ชูแวว (2541) ให้ภาพในเร่ืองของปัญหาพ้ืนท่ีชุ่มน้ําบริเวณ อุทยาน แห่งชาติเขาสามร้อยยอด จงั หวดั ประจวบคีรีขนั ธ์ พบสภาพปัญหาการทาํ นากุง้ บริเวณดา้ นเหนือ ของทุ่ง โดยการขนน้าํ เกลือจากนาเกลือมาเจือจาง การสร้างถนนเลียบเชิงเขา เพื่อเช่ือมต่อกบั ถนน เลียบชายทะเล การปรับพ้ืนท่ีสร้างรีสอร์ทบนชายหาด การพฒั นาการท่องเท่ียว การล่าสัตว์ เช่น นก เป็ นต้น ปัญหาเหล่าน้ีได้ทาํ ลายระบบนิเวศของพ้ืนท่ีชุ่มน้ําท่ีสําคญั และมีขนาดใหญ่ที่สุดของ ประเทศ ปัญหาท่ีกล่าวทาขา้ งตน้ เกิดจากในระยะแรกของการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติ ไม่ไดม้ ี การกาํ หนดขอบเขตที่ชดั เจน ส่งผลให้เกิดปัญหาการถือครองท่ีดินของชาวบา้ นที่ถูกประกาศทบั และเกิดปัญหาการบุกรุกพ้นื ที่เพอ่ื ทาํ กิจกรรมต่างๆ ไมว่ า่ จะเป็นการท่องเท่ียว การทาํ นากุง้ เป็นตน้ ขอ้ เสนอของงานศึกษาของศนั สนีย์ คือ การเร่งคุม้ ครองและรักษาพ้ืนท่ีชุ่มน้าํ สามร้อยยอด โดยการแสดงแนวเขตพ้ืนท่ีอุทยาน และพ้ืนที่ชุมน้าํ ธรรมชาติให้ชดั เจน รวมถึงเร่ืองสิทธิการถือ 3 - 61
ครองที่ดินดว้ ย นอกจากน้นั ควรส่งเสริมความร่วมมือกบั นานาชาติในการอนุรักษแ์ ละรักษาพ้ืนที่ โดยเสนอใหพ้ ้ืนที่ชุ่มน้าํ สามร้อยยอด เป็นพ้นื ที่ชุ่มน้าํ ท่ีมีความสาํ คญั ระดบั นานาชาติ (Ramsar Site) ทา้ ยที่สุดคงกล่าวไดว้ า่ ปัญหาในดา้ นการจดั การทรัพยากรป่ าไมแ้ ละท่ีดิน ในส่วนของภาค ตะวนั ตกเอง คงหนีไมพ่ น้ การดาํ เนินนโยบายของรัฐที่เป็นปัจจยั เร่งให้เกิดการทาํ ลายทรัพยากรและ ความขดั แยง้ ในการใช้ประโยชน์จากที่ดิน ไม่ว่าจะเป็ นนโยบายการส่งเสริมให้อุทยานแห่งชาติ ต่างๆ เป็ นสถานท่ีท่องเที่ยวตามธรรมชาติ ซ่ึงในแง่หน่ึงแล้วการเกิดข้ึนของสถานที่ท่องเที่ยว ธรรมชาติ สิ่งท่ีตามมาคือการสร้างสิ่งอาํ นวยความสะดวกต่างๆเพื่อดึงดูดใจนกั ท่องเท่ียวเช่น การ สร้างถนนในกรณีของถนนหมายเลข 1117 (คลองลาน-อุม้ ผาง) หรือ กรณีพยายามสร้างรีสอร์ทใน เขตอุทยานแห่งชาติเขาสามาร้อยยอด ซ่ึงอุทยานแห่งชาติในภาคตะวนั ตก เป็นอุทยานท่ีเสื่อมต่อกนั อยา่ งเป็ นระบบบนผืนป่ าตะวนั ตก การสร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆ ในพ้ืนที่หน่ึงยอ่ มส่งผลต่อผืนป่ าท้งั ระบบอยา่ งหลีกเล่ียงไม่ได้ จะเห็นไดว้ า่ งานศึกษาของภาคกลาง ตะวนั ตก และตะวนั ออก จะแตกตา่ งจากภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้ ในลกั ษณะของงานศึกษาท่ีนาํ เสนอพฒั นาการปัญหาของการทาํ ลาย ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ ม อนั เน่ืองจากนโยบายของการพฒั นาที่มากระทาํ กบั ชุมชนและ ทรัพยากรธรรมชาติ ซ่ึงไดท้ าํ ลายวถิ ีชีวติ และภูมิปัญญาทอ้ งถิ่นด้งั เดิมใหส้ ูญไป หรือ หรือชุมชน หลายพ้นื ท่ีไดอ้ พยพเขา้ ไปต้งั ถิ่นฐานใหมใ่ นระยะเวลาประมาณ 50 ปี ภมู ิปัญญาทอ้ งถิ่นจึงถูก พฒั นาและเรียนรู้ข้ึนใหม่เพอื่ ฟ้ื นฟูการจดั การป่ าชุมชน อยา่ งไรกต็ ามการจดั การป่ าชุมชนป่ าชาย เลน ยงั คงใหเ้ ห็นภูมิปัญญาทอ้ งถิ่นในการจดั การ แต่เนื่องจากยงั ไมม่ ีงานศึกษาที่เจาะลึกในประเดน็ ดงั กล่าว สรุปพฒั นาการแนวคิดงานศึกษาทนี่ ําเสนอนี้เป็ นการสรุปภาพอย่างกว้าง และคดั สรรงาน ศึกษาเฉพาะทเ่ี กยี่ วกบั หวั ข้องานศึกษา ในประเดน็ การจัดการป่ าและความหลากหลายของพชื อาหารและสมุนไพร เพอื่ ให้ผู้อ่านได้เข้าใจถึงพฒั นาการงานศึกษาทเ่ี กีย่ วกบั ป่ าชุมชนและความ หลากหลายทางชีวภาพในสังคมไทย สังเกตได้ว่างานศึกษาได้ถูกนําเสนออย่บู นฐานของขบวนการ ขบั เคลอื่ นของภาคประชาชนในการต่อสู้ให้ได้ซ่ึงสิทธิในการจัดการป่ า และขยายไปสู่การจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติ และการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพ ซ่ึงนําไปสู่ การพฒั นาเศรษฐกจิ พง่ึ ตนเองและส่ิงแวดล้อมของชุมชนให้ยง่ั ยืนได้จริง หากมีการพนื้ ฟูและ ส่งเสริมให้ภูมปิ ัญญาท้องถนิ่ ของชุมชนกลบั คืนมา กจ็ ะเป็ นการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ ในทกุ มติ ิ (ระบบนิเวศ ทรัพยากรพนั ธุกรรมและชนิดของส่ิงมชี ีวติ ) ภาคประชาสังคม องค์กร พฒั นาเอกชน และวงการวิชาการจึงได้มกี ารศึกษามิติของความรู้ท้องถนิ่ หรือภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ เช่ือมโยงกบั การจัดการทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพในหลายแง่มุม หรือมกี าร ผสมผสานในลกั ษณะสหศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยง่ิ งานศึกษาส่วนใหญ่ให้ความสําคญั กบั การใช้ 3 - 62
กระบวนการเรียนรู้ไปพร้อมกบั กระบวนการวจิ ัยเชิงปฏิบัติการ ซึ่งทาํ ให้ชุมชนเรียกร้องสิทธิใน การจัดการทรัพยากรและเห็นความสําคัญของการฟื้ นฟูภูมปิ ัญญาท้องถิ่นในการจัดการป่ าและ ความหลากหลายทางชีวภาพ เพอื่ ฟื้ นฟูชุมชนและทรัพยากรธรรมชาตใิ ห้กลบั คนื มาจากการถูก ทาํ ลายโดยนโยบายของรัฐมาเป็ นเวลานาน 3 - 63
บทท่ี 4 กรณศี ึกษาการจดั การป่ า พชื อาหารและสมุนไพร 4 พนื้ ท่ี 1. หลกั เกณฑ์การเลอื กกรณศี ึกษา การจดั การป่ าและความหลากหลายของพชื อาหารและสมุนไพรในแต่ละภาคของประเทศ ไทยมีความแตกตา่ งหลากหลายไปตามสภาพของระบบภมู ิศาสตร์ ระบบภูมินิเวศ วฒั นธรรมของ กลุ่มชาติพนั ธุ์ต่างๆ การต้งั ถ่ินฐานของชุมชน และสถานการณ์ปัญหาในแตพ่ ้นื ท่ี ซ่ึงเป็นไปตาม ปัจจยั ทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมในแตช่ ุมชน อยา่ งไรก็ตามปัญหาท่ีเกิดข้ึนต่อการคุกคาม ทาํ ลายป่ า และความหลากหลายทางชีวภาพในป่ า การทาํ ลายสังคมของชุมชน และสภาวะของ ชุมชนที่ตอ้ งปรับตวั ในการดาํ รงชีวติ ให้อยรู่ อดมีลกั ษณะที่คลา้ ยคลึงกนั ซ่ึงสืบเนื่องมาจากนโยบาย การพฒั นาของภาครัฐ การแยง่ ชิงทรัพยากรธรรมชาติจากหลายฝ่ าย โครงสร้างทางการเมืองและ การปกครองท่ีรวมศูนยก์ ารจดั การโดยรัฐ อนั เป็นสาเหตุทาํ ใหช้ ุมชนไมส่ ามารถบริหารจดั การ ดูแล รักษาป่ าไดอ้ ยา่ งเขม้ แขง็ ดงั น้นั การเลือกกรณีศึกษาจึงพจิ ารณาจากความแตกต่างของระบบนิเวศ ของป่ า สภาพปัญหา และความแตกต่างของกลุ่มชาติพนั ธุ์ เพ่ือนาํ เสนอกรณีศึกษาตวั อยา่ งท่ีเสนอ ใหเ้ ห็นแนวทางปฏิบตั ิการส่งเสริมใหช้ ุมชนมีศกั ยภาพในการจดั การซ่ึงตอ้ งเป็นไปตามปัจจยั แวดลอ้ มที่แตกตา่ งกนั ไป การนาํ เสนอกรณีศึกษาใชร้ ูปแบบการสะทอ้ นความคิดเห็นของคนในชุมชนและบุคคลที่ เกี่ยวขอ้ ง เพื่อใหผ้ อู้ ่านไดร้ ับรู้มุมมองจากพวกเขาโดยตรง ผวู้ จิ ยั ทาํ หนา้ ท่ีสรุปสังเคราะห์จาก บทเรียน และประสบการณ์ที่พวกเขาเป็นผปู้ ฏิบตั ิการตวั จริง 1.1) ลุ่มนํา้ แม่มอก ตําบลแม่มอก อาํ เภอเถิน จังหวดั ลาํ ปาง (ภาคเหนือ) ชุมชนในตาํ บลแมม่ อกต้งั ถ่ินฐานอยใู่ นหุบเขาท่ีรายลอ้ มไปดว้ ยพ้ืนท่ีป่ าไมส้ กั ท่ียงั อุดม สมบูรณ์ โดยอยใู่ นพ้ืนที่อุทยานแห่งชาติ ป่ าสงวนแห่งชาติ สวนป่ า และเขตรักษาพนั ธุ์สัตวป์ ่ า ลาํ น้าํ แมม่ อกเป็ นตน้ น้าํ ของแม่น้าํ ยม และแม่น้าํ วงั ตอนปลาย ลกั ษณะของชุมชนเป็นคนเมืองท่ีต้งั ถิ่น ฐานมา 300 ปี ชาวบา้ นไดม้ ีกระบวนการรวมกลุ่มในการแกไ้ ขปัญหาป่ าถูกทาํ ลาย การประกาศเขต อุทยานแห่งชาติทบั ที่ทาํ กินและชุมชน ชาวบา้ นจดั การป่ าชุมชนในบริเวณลุ่มน้าํ แม่มอกมาต้งั แต่ปี 2534 อยา่ งไรกต็ ามปัญหาป่ าไมถ้ ูกทาํ ลายยงั คงดาํ เนินเรื่อยมา แมว้ า่ พ้นื ท่ีป่ าเป็นอุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพนั ธุ์สัตวป์ ่ าที่มีการจดั การโดยรัฐอยา่ งเขม้ งวดตามกฎหมาย ชาวบา้ นถูกคุกคามถึง ชีวติ และทรัพยส์ ิน ซ่ึงเป็นปัจจยั สาํ คญั ต่อการสภาวะการรวมกลุ่มของชาวบา้ นอ่อนตวั ลง กรณีน้ี นาํ เสนอใหเ้ ห็นไดว้ า่ การจดั การป่ าในพ้ืนที่ป่ าอนุรักษใ์ นเขตภาคเหนือ และชุมชนต้งั ถิ่นฐานนอก 4-1
พ้นื ที่ป่ า ควรมีการส่งเสริมใหช้ ุมชนมีศกั ยภาพจดั การอยา่ งไร การรวมกลุ่มของหมอพ้ืนบา้ นเพ่ือ การสืบทอดภูมิปัญญาการแพทยพ์ ้ืนบา้ นควรมีทิศทางอยา่ งไร 1.2) บ้านห้วยร่วม และบ้านอซี ่าพฒั นา ตําบลทองหลาง อาํ เภอห้วยคต จังหวดั อทุ ยั ธานี (ภาคกลาง) ชุมชนท่ีบา้ นหว้ ยร่วมเป็นชุมชนอพยพมาจากจงั หวดั นครสวรรค์ และสุพรรณบุรี ซ่ึงได้ เคยต้งั ถ่ินฐานอยใู่ นเขตรักษาพนั ธุ์สตั วป์ ่ าหว้ ยขาแขง้ และตอ่ มาถูกอพยพออกมาต้งั ถิ่นฐานนอกเขต รักษาพนั ธุ์สตั วป์ ่ า บริเวณท่ีต้งั บา้ นหว้ ยร่วมในปัจจุบนั สําหรับบา้ นอีซ่าพฒั นาเป็ นชุมชนกะเหร่ียง ท่ีต้งั ถิ่นฐานอยเู่ ดิมบริเวณบา้ นอีซ่าพฒั นา เมื่อมีการลอ้ มร้ัวทาํ แนวเขตรักษาพนั ธุ์สัตวป์ ่ า จึงทาํ ให้ ชุมชนในบา้ นอีซ่าพฒั นาตอ้ งสูญเสียที่ดินทาํ กินท่ีเคยทาํ ไร่หมุนเวยี นลดลง การจดั การป่ าชุมชน ของท้งั สองบา้ นมาจากการส่งเสริมโดยองคก์ รพฒั นาเอกชน มลู นิธิสืบนาคะเสถียร ร่วมกบั เจา้ หนา้ ท่ีของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตวป์ ่ าและพนั ธุ์พชื ในลกั ษณะของการจดั การแบบป่ ากนั ชน ซ่ึงจะนาํ เสนอต่อแนวทางการจดั การแบบป่ ากนั ชนควรเป็ นอยา่ งไร 1.3) ตาํ บลตาเบา อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ (ภาคอสี าน/ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ) ชุมชนท่ีตาํ บลตาเบาเป็นชุมชนคนเขมรที่ต้งั ถ่ินฐานมายาวนาน ลกั ษณะของป่ าเป็นที่ สาธารณประโยชน์ เรียกวา่ “ป่ าเบร็ย” ที่ชุมชนไดฟ้ ้ื นฟูข้ึนมาเป็นป่ าธรรมชาติที่เป็นป่ าโคก หลงั จากท่ีไดเ้ คยถูกทาํ ลายโดยชุมชนมาก่อนหนา้ น้นั ภูมิปัญญาของการจดั การป่ าซ่ึงอยบู่ น พ้นื ฐานของการนาํ ศาสนาพุทธ มาสร้างแรงศรัทธารวมพลงั ของชุมชนมาร่วมจดั การป่ า ทาํ ใหเ้ ห็น บทบาทของพระท่ีร่วมดูแลรักษาป่ า การใชป้ ระโยชนส์ มุนไพร และอาหารจากป่ าร่วมกบั ชุมชน ปัญหาป่ าถูกทาํ ลายยงั ไม่วกิ ฤต เนื่องจากชุมชนส่วนใหญ่ไดท้ าํ งานนอกพ้นื ท่ี การแยง่ ชิงทรัพยากร ป่ าจึงไมร่ ุนแรง กรณีน้ีมีจุดเด่นของการจดั การป่ าโคกท่ีพระร่วมกบั ชุมชนและหมอพ้นื บา้ นภาค อีสานควรเป็นอยา่ งไร 1.4) บ้านวงั ประจัน ตาํ บลวงั ประจัน อาํ เภอควนโดน จังหวดั สตูล (ภาคใต้) บา้ นวงั ประจนั เป็นชุมชนมุสลิมต้งั ถิ่นฐานมายาวนานในสมยั ท่ีจงั หวดั สตลู เป็นส่วนหน่ึง ของประเทศมาเลเซีย ตอ่ มาเม่ือมีการประกาศเป็นเขตอุทยานแห่งชาติทะเลบนั ทาํ ใหพ้ ้ืนที่ทาํ กิน และท่ีต้งั ชุมชนถูกทบั ซอ้ นดว้ ยอุทยานแห่งชาติ ชุมชนบา้ นวงั ประจนั ไดม้ ีการชุมนุมเรียกร้องให้ รัฐแกไ้ ขปัญหาดว้ ยการเพกิ ถอนเขตอุทยานแห่งชาติ จนกระทงั่ มีการเผาที่ทาํ การอุทยานแห่งชาติ และรัฐบาลไดอ้ นุญาตใหม้ ีการจดั การร่วมระหวา่ งเจา้ หนา้ ที่อุทยานกบั ชุมชน ในลกั ษณะรูปแบบ ของคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติทะเลบนั ชุมชนท่ีนี่ไดใ้ ชป้ ระโยชน์จากป่ าในอุทยานแห่งชาติ ในหลายดา้ น และมีการทาํ สวนดูซง (สวนผสมผสาน/สวนสมรม) ที่อยใู่ นเขตอุทยานแห่งชาติ การ 4-2
อนุรักษแ์ ละใชป้ ระโยชนจ์ ากป่ าของชุมชนตอ้ งอยใู่ นกฏกติกาของการจดั การร่วมกนั กรณีศึกษาน้ี จะเสนอใหเ้ ห็นวา่ การจดั การร่วมกนั ระหวา่ งเจา้ หนา้ ท่ีรัฐกบั ชุมชน มีปัจจยั เง่ือนไขอยา่ งไร จึงจะ สาํ เร็จ 2. เครือข่ายป่ าชุมชนล่มุ นํา้ แม่มอก จ.ลาํ ปาง 2.1) วถิ ชี ีวติ ของชุมชนตาํ บลแม่มอกกบั การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ชุมชนตาํ บลแมม่ อก อาํ เภอเถิน จงั หวดั ลาํ ปาง เป็นชุมชนคนเมืองท่ีต้งั ถ่ินฐานมามากกวา่ 300 ปี ในบริเวณพ้ืนที่ที่มีทรัพยากรป่ าไมห้ นาแน่นที่สุดแห่งหน่ึงทางตอนใตข้ องจงั หวดั ลาํ ปาง ตาํ บลแมม่ อกถูกรายลอ้ มดว้ ยพ้ืนท่ีป่ าตามกฎหมายหลายประเภท ไดแ้ ก่ ป่ าสงวนแห่งชาติแมม่ อก อุทยานแห่งชาติศรีสชั นาลยั อุทยานแห่งชาติแมว่ ะ เขตรักษาพนั ธุ์สตั วป์ ่ าถ้าํ เจา้ ราม และเขตป่ า เศรษฐกิจท่ีมีทาํ สวนป่ าโดย อ.อ.ป. พ้ืนท่ีป่ ารวมกนั ท้งั สิ้นประมาณ 400,000 ไร่ ตาํ บลแม่มอก มี 10 หม่บู า้ น มีจาํ นวนครอบครัว 1,265 ครอบครัว และมีประชากรท้งั สิ้น จาํ นวน 5,304 คน (รายงานสถานการณ์ทรัพยากรป่ าในพ้นื ท่ี ต.แม่มอก อ.เถิน จ.ลาํ ปาง ๒๕๔๙ สาํ นกั งานโครงการ พฒั นาชีวติ และสิ่งแวดลอ้ ม, อา้ งใน ศรีสะเกษ สมาน, 2550) อาณาเขตการต้งั ถิ่นฐานของตาํ บลแมม่ อกมีดงั น้ี ทศิ เหนือ ติดกบั ป่ าสวนแห่งชาติแมม่ อก ตาํ บลแมป่ ะ อาํ เภอเถิน และอุทยาน แห่งชาติศรีสชั นาลยั อาํ เภอวงั ชิ้น จงั หวดั แพร่ ทศิ ตะวนั ออก ติดกบั อุทยานแห่งชาติศรีสชั นาลยั อาํ เภอศรีสชั นาลยั จงั หวดั สุโขทยั ทศิ ใต้ ติดกบั ตาํ บลเวยี งมอก อาํ เภอเถิน จงั หวดั ลาํ ปาง ทศิ ตะวนั ตก ติดกบั อุทยานแห่งชาติแม่วะ ตาํ บลลอ้ มแรด และติดกบั ป่ าสงวนแห่งชาติ แม่มอก ตาํ บลแม่ปะ อาํ เภอเถิน จงั หวดั ลาํ ปาง 4-3
4-4
แผนทตี่ าํ บลแม่มอกและตาํ บลเวยี งมอก พนื้ ทเี่ ครือข่ายล่มุ นํา้ แม่มอก 4-5
การทาํ เกษตรกรรมของชุมชนตาํ บลแม่มอกอยใู่ นบริเวณท่ีราบลุ่มน้าํ แมม่ อก ซ่ึงมี ความยาวประมาณ 70 กิโลเมตร พ้ืนท่ีร้อยละ 20 เป็นที่ทาํ กินและที่อยอู่ าศยั เป็นภูเขาและเนินสูง ร้อยละ 80 ของพ้นื ท่ีท้งั หมด ลุ่มน้าํ แม่มอกเป็ นแหล่งตน้ น้าํ ลาํ ธารที่สาํ คญั ของแม่น้าํ ยมและแมน่ ้าํ วงั ตอนปลาย ชุมชนตาํ บลแม่มอกถือครองท่ีดินครอบครัวละ 2-3 ไร่ แต่มีการใชท้ ่ีดินตลอดปี ดงั น้ี ฤดูกาล/เดอื น การใช้ประโยชน์ทดี่ นิ ฤดูฝน เดือนพฤษภาคม – พฤศจิกายน ทาํ นาขา้ ว ทาํ ไร่ขา้ ว ไวก้ ิน เมื่อเหลือขา้ วจึงขาย ฤดูหนาว เดือนธนั วาคม ปลูกถวั่ เหลือง หอม กระเทียม ขา้ วโพด พืชสวนครัว เช่น พริกหนุ่ม พริกแก่ มะเขือ ถวั่ พู ผกั กวางตุง้ ผกั บุง้ ผกั กาด ผกั คะนา้ กะหล่าํ ผกั ชี ถวั่ ฝักยาว เป็นตน้ เดือนธนั วาคม – มีนาคม เกี่ยวขา้ ว ฤดูร้อน เดือนเมษายน เกบ็ เก่ียวผลผลิต การใชป้ ระโยชนท์ ่ีดินสมั พนั ธ์กบั การผลิตอาหารเล้ียงคนในครอบครัวและชุมชนเป็นหลกั สาํ หรับการขายผลผลิตคือ ขา้ ว กระเทียม หอม ถวั่ เหลือง ท่ีเป็ นรายไดภ้ ายในครอบครัว ชุมชนมี การถนอมอาหารจากการผลิตในหลายรูปแบบ นางชยั ยามณี คูส่ อน สมาชิกสภา อ.บ.ต. / ประธานแม่บา้ นแม่มอกใต/้ คณะกรรมการเครือข่ายป่ าชุมชนลุ่มน้าํ แม่มอก ไดเ้ ล่าถึงการถนอม อาหารจากการเกบ็ เกี่ยวผลผลิตในแปลงนา “ช่วงนี้ (มกราคม – กมุ ภาพนั ธ์) ผกั กาดบ้านเรากาํ ลังออกดอก เหลือจากกินแล้วจึงขาย ก็ เอามาถนอม ไปตัดท้ังต้นมาล้างให้สะอาด ตากแดดให้มันเหี่ยว 1 วนั บางคนกเ็ อาไปหมกั บางคนก็ ไปค้ันเกลือดอง เป็นผกั กาดเคม็ ส่วนใหญ่ทาํ กนั ทุกครัวเรือน เพราะมนั เหลือจากการขาย มีคนเฒ่าคนแก่บางคนทาํ ถว่ั เน่าขาย แกจะปลกู ถวั่ เน่า (คล้ายๆถวั่ เหลือง) พอมนั ออกกจ็ ะเกบ็ แช่ มา ทาํ ถวั่ เน่าขาย ซ่ึงจะขายได้ดีมาก เพราะมีแค่คน 2 คนท่ีทาํ แล้วชาวบ้านไม่ค่อยชอบไปซื้อข้างนอก ชอบที่จะซื้อในหม่บู ้านเราเอง” นอกจากน้ีชาวบา้ นยงั ทาํ อาชีพเสริมในการหารายได้เล้ียงครอบครัว ได้แก่ เล้ียงสัตว์ คา้ ขาย รับจา้ งท้งั ในและนอกหมู่บา้ น หรือไปทาํ งานเป็ นแรงงานในต่างประเทศ ทอผา้ หาของ ป่ า เป็นตน้ โดยเฉพาะผหู้ ญิงจะมีบทบาทในการเล้ียงสตั ว์ ทาํ ป๋ ุยชีวภาพ และทอผา้ “ตอนนีก้ าํ ลงั ส่งเสริมเรื่องการเกษตร ทาํ ป๋ ุยชีวภาพ บ้านเราทาํ ถวั่ เหลือง กระเทียม นาปรัง มีบ้างแต่ไม่เยอะ ป๋ ุยส่วนมากจะเอาขีว้ วั ไปใส่ มีใช้ป๋ ุยเคมีบ้างแต่ไม่มาก ท่ีส่งเสริมเรื่องป๋ ุยชีวภาพ เพิ่งเร่ิมทาํ กล่มุ ผ้หู ญิงมีเลีย้ งหมู เลีย้ งไก่ เลีย้ งปลา ปลูกผกั ปลอดสารพิษ ทุกหลงั คากเ็ ร่ิมทาํ กันอยู่ มี ผกั กาด หอมแดง ผกั คะน้า ผักบ้งุ มะเขือเทศ ได้พันธ์ุจากสาธารณสุขมาปลกู 4-6
เราทาํ กนั ทุกบ้าน กลุ่มอาชีพมีทอผ้า ทอเป็นผ้าผืน ทอกี่กระตุก ช่วงนั้นมีคนมาส่งเสริม เวลามีการมีงานกเ็ อาไปขายเป็นอาชีพเสริม กลุ่มทอผ้าตอนนีก้ ท็ าํ กนั อยู่ 5-6 คน ช่วงนีพ้ ยายามหางบให้เขามีอาชีพ กไ็ ด้กลุ่มเลก็ กลุ่มน้อย แยกย้ายไปทาํ บ้านใครบ้านมนั มีกลุ่มเห็ดหล่มท่ีปลกู กนั เองทุกหลังคา ทาํ ไว้ปี หน้าได้กิน ในป่ ากไ็ ปเกบ็ อย่กู ไ็ ด้ขาย เหลือกินกข็ าย ติดถนนใหญ่กข็ ายได้ดี” (นางจนั ทร์ศรี มงั คละพรมนา สมาชิกสภา อ.บ.ต./อ.ส.ม./กลุ่มแมบ่ า้ น บา้ นกุ่มเนิ้ง/กรรมการเครือขา่ ยลุ่มน้าํ แมม่ อก) วถิ ีชีวติ ของคนในตาํ บลแมม่ อกดาํ รงชีวติ อยรู่ ่วมกบั ป่ า มีการใชป้ ระโยชน์จากป่ าตลอดท้งั ปี ต้งั แต่ การหาของป่ า อาหารป่ า การล่าสัตวป์ ่ า การตดั ไมท้ าํ ลายป่ า การคา้ ไมเ้ ถื่อน การบุกเบิก ที่ดินทาํ กินและบางกลุ่มทาํ กิจกรรมการอนุรักษ์ฟ้ื นฟูรักษาป่ า ด้วยเหตุน้ีสภาพของป่ าที่อุดม สมบูรณ์ลดลง สัตวป์ ่ าถูกล่า มีการบุกเบิกท่ีดินทาํ กินใหม่ๆ อยา่ งต่อเน่ือง การตดั ไมท้ าํ ลายป่ า ประกอบดว้ ยคนหลายกลุ่ม ไดแ้ ก่ เจา้ หนา้ ท่ีตาํ รวจ เจา้ หนา้ ที่อุทยาน พ่อคา้ ไม้ ผนู้ าํ ชาวบา้ น และ ชาวบา้ นที่รับจา้ งตดั ไม้ จากการบอกเล่าของชาวบา้ นไดส้ ะทอ้ นให้เห็นสถานการณ์ท่ีเกิดข้ึนใน ตาํ บลแมม่ อกไดเ้ ป็นอยา่ งดี “ปัญหาเรื่องการตัดไม้ทาํ ลายป่ ามาจากการทาํ มาหากิน เพราะทางหน่วยงานภาครัฐเขา ไม่ได้เข้ามาส่งเสริมเร่ืองอาชีพให้เขาลด ละ เลิกเรื่องการตัดไม้ทาํ ลายป่ า คนในชุมชน 90% จะหา กินจากป่ า จากไม้ หรือสมนุ ไพร เขาไม่มีอาชีพหลกั เขาไม่มีงานอ่ืน เขาไม่มีทางเลือก จริงๆ ลึกๆ แล้วเขาอาจจะไม่ได้อยากทาํ ลายป่ า แต่ว่ายงั ไม่มีใครมาลองส่งเสริมดูว่าถ้ามีอย่างอ่ืนให้เขาทาํ เขา จะทาํ ลายป่ าอย่หู รือไม่ เม่ือเราไม่มีอะไรมาทดแทนรายได้ท่ีเขาหายไปมนั กย็ าก เพราะเขาต้องกิน ต้องใช้ ลกู เขาไปโรงเรียนกต็ ้องใช้เงิน ท้ังการปราบปรามและการส่งเสริมอาชีพมนั ต้องควบคู่กัน ไป ป่ าจะสมบูรณ์ได้ ปัจจัย 4 การกินอย่ขู องคนชาวบ้านกต็ ้องอย่ไู ด้ ต้องมาศึกษากนั ด้วยว่าปัญหา ของเขามาจากอะไร เขาถึงต้องตัดไม้ทาํ ลายป่ า จากปัจจัย 4 หรือปัจจัย 5 พวกรถยนต์ โทรศัพท์มือถือ หรืออะไร” (นายฉลาํ โนปัง อดีตผใู้ หญ่บา้ น บา้ นก่มุ เนิ้งใต้ แกนนาํ ก่อต้งั เครือขา่ ยป่ าชุมชนลุ่มน้าํ แม่ มอก) “ในหม่บู ้านมีคนที่ทาํ อาชีพตัดไม้ทาํ ลายป่ าไม่ถึง 10 คนท่ีทาํ อาชีพนี้ แต่ถ้าเขาไม่ทาํ เขาก็ ไม่รู้จะทาํ อะไรกิน เพราะอาชีพไม่มี เราพยายามจะส่งเสริมงานอาชีพแต่มนั ส่งเสริมไม่ได้ เพราะ งานอาชีพแต่ละอย่างมนั ได้เงินช้า มนั ไม่เหมือนไปในป่ าวนั หนึ่งได้ 100-200 บาท อันนีม้ นั โทษ ชาวบ้านไม่ได้ ต้องโทษด่านโทษตาํ รวจ ถ้าเขาไม่ให้นายทุนเข้ามาซื้อชาวบ้านไม่ขายหรอก นายทุน กต็ ้องเสียหัวคิวให้พวกนั้น” (นางชยั ญามณี คูส่ อน) 4-7
2.2) องค์ความรู้ในการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากป่ า พชื อาหารและสมุนไพร ลกั ษณะของชุมชนในตาํ บลแม่มอก เป็ นชุมชนที่เกิดข้ึนมาในป่ าดงมายาวนานนบั ร้อยๆ ปี วถิ ีชีวติ ของคนในชุมชนตาํ บลแม่มอกจึงผกู พนั และสัมพนั ธ์กบั ทรัพยากรป่ าอยา่ งมาก ความรู้ใน การอนุรักษ์และใชป้ ระโยชน์จากป่ ามีอยา่ งหลากหลาย ซ่ึงแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายทาง ชีวภาพของอาหาร ของป่ า และสมุนไพรจากป่ า สิ่งน้ีเป็ นปัจจยั สําคญั ต่อการลดค่าใช้จ่ายของ ชุมชนในการลดการบริโภคจากทรัพยากรภายนอกชุมชน นายฉลาํ โนปัง ไดเ้ ล่าให้เห็นภาพของ ชุมชนที่พ่งึ พาป่ า และรู้จกั ใชป้ ระโยชนไ์ ดอ้ ยา่ งยง่ั ยนื “ในป่ ามีทุกอย่างท่ีเกบ็ กินได้ ไม่ว่าจะเป็น สมนุ ไพร ผกั หน่อไม้ มดแดง ผกั หวาน เขียด ปู หมปู ่ า เก้ง กระต่าย นก ป่ ามีระบบนิเวศน์ของป่ า มนั จะมีอาหารหมุนเวียนเอามาให้เรากินเราใช้ ตลอดปี โดยอัตโนมตั ิ บางครอบครัวกห็ ารายได้ การเกบ็ ของป่ าขาย บางครอบครัวได้ 3-5 หม่ืน บางวนั ได้ 1,000-2,000 บาท ที่เขารับซื้อไปขายท่ีอ่ืน การที่ชาวบ้านเกบ็ ขายมนั ไม่ทาํ ให้อาหาร เหล่านน้ั หมดไปจากป่ าได้หรอก เพราะของแบบนีม้ นั มีเป็นช่วงฤดู ถ้าเราไม่เกบ็ กินมนั กแ็ ก่เน่าไป ชาวบ้านเกบ็ มนั กม็ ีหลงหูหลงตาไปเป็นเชื้อให้ปี หน้างอกใหม่ได้ เกบ็ ไปขายยงั ไงกไ็ ม่สูญพันธ์ุ มีชั่ว ลูกชั่วหลาน อย่างหน่อไม้ท่ีไม่งาม เขากไ็ ม่เกบ็ มนั กไ็ ด้งอก ถ้าคนไม่เข้าใจไปฟันไปเผากห็ มด ชาวบ้านเขามีวิธีเกบ็ รู้ว่าเกบ็ ยงั ไงปี หน้าถึงจะมีกินมีขายต่อได้ อย่างผกั หวานชาวบ้านกไ็ ปสอยไป เกบ็ เอา ถ้าคนไม่เข้าใจไปล้มต้นมนั กห็ มดไปไม่มีให้เกบ็ อีก” ผหู้ ญิงมีบทบาทในการถนอมอาหารจากปลูกไวบ้ ริเวณบา้ น และการเก็บอาหาร และพืชผกั ในป่ า เอาไวก้ ินและขาย เพ่อื ลดค่าใชจ้ ่ายในบา้ น ลกั ษณะของการใชป้ ระโยชน์เป็ นไปตามฤดูกาล ซ่ึงสอดคลอ้ งเหมาะสมกบั สภาพของป่ า และช่วงเวลา นางชยั ญามณี คู่สอน ไดเ้ ล่าให้เห็นถึงการ ผลิตและการแปรรูปอาหารที่สมั พนั ธ์เช่ือมโยงกบั การเกบ็ อาหารจากป่ า “เรื่องการถนอมอาหารส่วนมากไม่ได้ทาํ เป็นกลุ่ม ทาํ ของใครของมนั แต่ละบ้านกท็ าํ กัน ทุกบ้าน ทาํ ไว้กิน บางบ้านกข็ าย แบ่งกันขายช่วยกนั ซื้อในหม่บู ้าน หน้าฝนเกบ็ หน่อไม้ ทาํ นาเสร็จ ขดุ หน่อไม้ หน่อไร่ มาทาํ กิน เมื่อก่อนจะอัดปี๊ บแต่มีข่าวมาว่าอันตรายกเ็ ปลี่ยนมาใช้อัดถงุ มนั ก็ เหมือนอัดในปี๊ บ อย่ไู ด้ท้ังปี กินอร่ อยด้วย หน่อไม้ส้ม หน่อไม้ดองมีให้กินตลอด เดือนมกราคม - กมุ ภาพันธ์ มดแดงกาํ ลงั จะออก ต่างคนไปหากินเอง มาห่อหนึ่ง มาแกง กิน จากนั้นจะเป็ นช่วงเห็ด เริ่มจากเห็ดถอบ เห็ดถอบหมดไป กจ็ ะเป็นเห็ดขะหร่าน (สีขาว) กับเห็ด ขะเหลือง (สีเหลือง) เห็ดหล่ม เห็ดนา้ํ ม่อยนา้ํ มอม เห็ดหางหลวง เห็ดหางน้อย มนั ออกช่วงนี้ มนั ออกมก ถ้ามีแม่ค้ามาซื้อกจ็ ะขายได้ แต่คนตามหม่บู ้านนีจ้ ะไม่ค่อยซื้อเพราะต่างคนต่างหาได้ บน ดอยกม็ ี ถนอมอาหารไว้กส็ ามารถทาํ กินได้เหมือนของสดเลย ผดั แกง จิม้ นา้ํ พริก ผกั หวานส่วนมากจะขาย กินไม่ค่อยทัน ถ้าไฟไหม้ป่ ามนั จะออกยอด คนท่ีเข้าป่ าบ่อยๆ จะรู้ว่ามนั ออกกจ็ ะไปเกบ็ มา ช่วงน้นั จะขายดีมาก แต่ถ้าฝนตกมนั จะออกเยอะคนกไ็ ปเกบ็ มากิน พอ 4-8
ผกั หวานเริ่มหมด ผกั ก้อแก้ (ผกั พ่อค้าตีเมีย) ผกั สาปจะออก นาํ มาแกง มาลวกนา้ํ พริกกิน หลัง เมษายน หลังฝนแรกตกมนั จะเยอะ แล้วกม็ ีดอกก้าน กม็ าแกงใส่ผกั ชะอม ช่วงพฤษภาคม- กรกฎาคม กับข้าวจะเยอะ ท้ังในป่ าในบ้าน มนั ออกมาให้เกบ็ กินได้หมด เราหากินมาตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ รุ่นนั้นมีย่ิงกว่านีอ้ ีก ไม่ต้องใช้เงินเลย มีแต่รุ่นเรานี่แหละที่ใช้ ต้งั แต่ไฟฟ้ าประปาเข้ามาเราต้องใช้เงิน การหาเกบ็ หากินเรากเ็ รียนรู้จากรุ่นพี่ๆ จากพ่อแม่ที่พากนั ไปเกบ็ ไปกิน เรากไ็ ปกับเขาเรากจ็ ะรู้ว่ามนั มีตรงไหน ยงั ไง มนั อย่ใู นวิถีชีวิตเรา สัตว์ป่ ากจ็ ะมี หมปู ่ ามีเยอะมาก เก้ง กระรอก อีเห็น ส่วนใหญ่ไม่ได้ถนอม แต่บางคนที่ไป นอนค้าง 4-5 คืน เขาจะทาํ ชิ้นส้ม ทาํ แหนมลงมาขาย ทาํ เนือ้ ย่างมาขาย เพราะว่าเขาไปนอน 4-5 คืน เขากจ็ ะย่างลงมา บางทีกเ็ อาเกลือเอากระเทียมไปด้วย ไปทาํ เป็นแหนมลงมา มีทั้งแบบดิบๆ แล้วก็ แบบที่แปรรูปมาแล้ว เพราะหมปู ่ ามนั เยอะมาก ขึน้ ดอยไปเมื่อไรกจ็ ะได้มา อย่างหน่อไม้มนั ไม่มีวนั หมด เพราะมนั จะเยอะมาก ชาวบ้านเกบ็ กินเกบ็ ขายยงั ไงกไ็ ม่หมด ช่วงแรกไม้ซางออกเขากข็ ดุ ไม้ซาง พอสักพักไม้ไร่ออกเขากข็ ดุ ไม้ไร่ เขากไ็ ม่เกบ็ ไม้ซางแล้ว ไม้ ซางกจ็ ะหน่อเตม็ งอกเติบโตไปได้อีก แล้วตอนนีท้ ี่หม่บู ้านก่อนไม้ซางจะออกกจ็ ะปลูกไม้บงกาย ไม้ศรีสุข ไว้กินเอง มันจะมีคร่ึงหนึ่งที่ปลูกของตวั เองท่ีบ้าน ไม่ต้องหากินในป่ า มนั กม็ ีเยอะ” ตารางการเกบ็ อาหารจากป่ าและการถนอมอาหาร ฤดูกาล พชื อาหาร/สัตว์ อาหาร การถนอม ไข่มดแดง แกง ห่อน่ึง ดอง ฤดูแลง้ แมงมนั ตาํ น้าํ พริก ดอง เมษายน- น่ึง ผดั แกลม้ ลาบ - พฤษภาคม ผกั หวาน ลวกกินกบั น้าํ พริก - - ฤดูฝน ผกั สาป แกงกิน แกลม้ มิถุนายน- ดอกกา้ น เห็ดหอม ลาบ - (พฤษภาคม มีทุกฤดู) ลวกกินกบั น้าํ พริก - ดอกแอะ๊ แกง น่ึง หรือดอกกระเจียว ผกั ชะอม หญา้ ยอดแกว้ ลวกกินกบั น้าํ พริก ผกั กอ้ แกก้ อ้ กะ้ 4-9
ตุลาคม เห็ดถอบ เห็ดแป้ ง ผดั แกง ทอด ลาบ แช่เกลือ เห็ดไข่ห่าน เห็ดโคน ปิ้ งยา่ ง (ลา้ งเห็ด จากน้นั ใส่หมอ้ ไม่ตอ้ งใส่น้าํ ผกั ตามลุ่มน้าํ เห็ดแป๋ ม เห็ดดิน เห็ดละโงก เหยาะน้าํ ปลากบั เกลือ ต้งั ไฟใหเ้ ดือดจน เกบ็ ไดต้ ลอดปี (เห็ดขะหร่านขะเหลือง) ตม้ ผดั แกง สุก ปล่อยใหเ้ ยน็ เอาใส่ตเู้ ยน็ ช่องฟิ ต (แต่จะมีมากช่วง ลวกกินกบั น้าํ พริก ฤดูน้าํ หลาก) เห็ดโคน เห็ดหล่ม เกบ็ ไวก้ ินได้ นาน 3-4 เดือน) ตากแหง้ หน่อไม้ หน่อซาง หน่อไผ่ หน่อบง หน่อไร่ หน่อฮวก ดองหรืออดั ถุงพลาสติค (เรียงตามลาํ ดบั การออก) (การอดั ถุง คือ น่ึงหน่อไมใ้ หเ้ หลือง คีบ ใส่ถุงพลาสติก แลว้ มดั ใหแ้ น่น เกบ็ ไว้ อ่ึง เขียด กินไดเ้ ป็นปี ) ผกั กดู ผกั หนาม ผกั บุง้ ตากแหง้ ผกั อีฮุง้ มะระข้ีนก ผกั กระเฉด ตาํ ลึงบอน - ผกั แวน่ ผกั กาดที่เกบ็ ไดจ้ ากทุ่งนา ในแปลงนามีท้งั ผกั กาด กระเทียม และถวั่ เหลือง อาหารเมืองจากสวนครัว แปลงนา และป่ า กลุ่มผสู้ ูงอายทุ าํ ตะกร้าหวายท่ีเกบ็ ไดจ้ ากป่ า 4-10
ชุมชนตาํ บลแมม่ อกยงั มีการรักษาโรคดว้ ยสมุนไพรที่เกบ็ ไดจ้ ากป่ า และปลูกตาม บา้ นเรือน โดยหมอพ้นื บา้ นกลุ่มหน่ึงซ่ึงมีอายมุ าก แตย่ งั ขาดการสืบทอดความรู้ของคนรุ่นหลงั นอกจากผทู้ ่ีสนใจอยา่ งจริงจงั การสืบทอดความรู้ในการรักษาโรคดว้ ยสมุนไพรมาจากการเรียนรู้ ระหวา่ งหมอพ้ืนบา้ น ผทู้ ี่สนใจเรียนรู้ ลูกหลานหมอพ้นื บา้ น และผทู้ ี่ไดร้ ับการรักษา ทา่ มกลางการ ปฏิบตั ิจริงและการใชส้ มนุไพรจากป่ า ซ่ึงเป็นความสัมพนั ธ์ของคนในชุมชนระหวา่ งหมอพ้นื บา้ น กบั ชาวบา้ น และการใชป้ ระโยชน์จากป่ าอยา่ งเห็นคุณคา่ ของการพ่งึ พาป่ า นายจ๋ิว ศรีวชิ ยั แกว้ อายุ 78 ปี ถูกเรียกวา่ เป็นหมอเมือง (คือหมอพ้ืนบา้ น) ไดเ้ ล่าถึงการ เรียนรู้สืบทอดการใชส้ มุนไพรจากป่ าในการรักษาโรค “เรียนรู้มาจากป่ ูย่าตายายตามหม่บู ้าน เขากบ็ อกกส็ อนว่าไม้น้ันไม้นีแ้ ก้อะไรได้ เรากจ็ าํ เรา สนใจเองตงั้ แต่หน่มุ ๆ ทุกวนั นีก้ ย็ งั ทาํ อยู่ ตัวยาส่วนใหญ่ไปเอามาจากป่ า ในป่ าเรารู้หมด ไม้นี่กย็ า ไม้น้ันกย็ า กเ็ กบ็ ไว้มนั มีที่ไหนแถวไหน เขาต้องการกไ็ ปหามา บ้านนีเ้ ยอะมากไม้สมนุ ไพร เปล้า น้อย ตนั คอง (ออกช่วงหน้าแล้ง) ไม่ล้ม สะเดา ผีเสื้อน้อย บะแตก มนั เยอะบอกไม่หมด อย่างแก้ริดสีดวง มีตัวยา คือ ตันคอง บะแตก เป้ าน้อย เอารากมนั ท้ังนั้น บะฟัก เอาต้ม เป็น ยาต้ม กห็ าเกบ็ ตามป่ า ตามแถวๆนี้ บนดอยนี้ หามาต้งั แต่สมยั โบราณจนถึงทุกวนั นี้ นอกจากยา สมนุ ไพรกเ็ กบ็ หวายมาขายด้วย ให้กบั กลุ่มที่เขาทาํ หวายขาย (กลุ่มผ้สู ูงอายกุ าํ ลงั ทาํ ตะกร้าหวาย ขาย” นายสุนดา วงคอ์ ินตะ๊ เป็นหมอเมืองอีกคนหน่ึงท่ีใชป้ ระโยชนจ์ ากป่ าในการรักษาโรคดว้ ย สมุนไพร “สมนุ ไพร ส่วนใหญ่ไปเกบ็ ในป่ า บางส่วนกป็ ลูกเองบ้าง ไปเกบ็ ท่ีป่ ารอบๆ แต่ บางอย่างท่ีต้องเข้าไปในป่ าลึกๆ เช่น หัวยาข้าวเยน็ กต็ ้องส่ังเขา ให้เขาเอามาขาย ในป่ าตามบ้าน มนั มีสมนุ ไพรทุกอย่างจะกิน จะต้มกิน จะทาํ กับข้าวกไ็ ด้ เราอย่ไู ด้ทุกวนั นีก้ เ็ พราะยาพวกนี้ เป็นอาหาร เลีย้ งตัวเองด้วย อะไรเป็นของแสลงไม่ถกู ธาตเุ รากไ็ ม่กิน ทุกวนั นีไ้ ม่ได้ทาํ เป็นอาชีพไปขายท่ีไหน ใครมากห็ ารักษาให้” สูตร ตวั ยาสมุนไพร ทีเ่ กบ็ ได้จากป่ า สมุนไพร สรรพคุณ แหล่งทมี่ า ขมิ้นช้นั ไพล กอมกอ้ ขาว ผกั แกก้ ระเพาะ จากป่ าบริเวณใกลๆ้ ปลูกตามบา้ น จุม้ จ้ี ใบบวั บกฝานตากแหง้ บด แกร้ ิดสีดวงทวาร เป็นผง กินกบั น้าํ อุ่นช่วยฆ่าเช้ือ เพชรสังฆาตเก็บในป่ าใกล้ เพราะยามนั ยงั ไมไ่ ดฆ้ ่าเช้ือ เพชรสงั ฆาต หวั ยาขา้ วเยน็ บวก 4-11
กบั สมุนไพรอีก 2 ชนิด (ฟังไม่ แกถ้ ่ายเป็นมูกเลือด หวั ยาขา้ วเยน็ อยใู่ นป่ าลึกเขา้ ไปอีก ทนั ) ตม้ กิน ขนั ทองขา้ วบาตร กบั ยาหนอน ตม้ แกโ้ รคตบั โรคไต ตาย ดอกจาํ ปี ป่ า หญา้ ถบถาบ ตม้ แกต้ ่อมลูกหมาก จากป่ าบริเวณใกลๆ้ ปลูกตามบา้ น กิน หญา้ หนวดแมว หญา้ หนวด แกป้ ัสสาวะคน่ั บอ้ ง หวั สปั ปะรด ตม้ กิน มะแม่ก่าํ บาํ รุงเลือด อยใู่ นป่ าลึก เกบ็ ช่วงฤดูฝน กาํ ลงั ชา้ งสาร บาํ รุงกาํ ลงั อยใู่ นป่ าดงดิบ เต่ิงเครือคาํ รักษาโรคตบั โรคไต มีตลอดปี อยใู่ นป่ าลึก จุลพษิ คาํ บาํ รุงกาํ ลงั หนงั ขา้ งอุย แกไ้ ข้ แกเ้ บื่อ อยใู่ นป่ าบริเวณใกลๆ้ เกบ็ ไดต้ ลอด ปี กาํ แพงเจด็ ช้นั แกค้ ดั ทอ้ ง เจบ็ ทอ้ ง ระบาย เป็นพุม่ มีอยตู่ ามบา้ น ออกตลอดปี ลม หนาดคาํ บาํ รุงเลือดสาํ หรับคนเลือด ออกหนา้ ฝน มีอยใู่ นป่ าบริเวณ นอ้ ย เลือดจาง ใกลๆ้ จะเห็นไดว้ า่ ชาวบา้ นท้งั ผหู้ ญิง ผสู้ ูงอายุ ผชู้ าย และหมอพ้นื บา้ น เลือกเก็บพืชอาหารและ สมุนไพรในช่วงฤดูกาลท่ีมี การเกบ็ เกี่ยวไมท่ าํ ลาย ไม่โค่นฟันหรือเผา เก็บในจาํ นวนที่เอามากิน หรือข่ายเพอื่ เล้ียงครอบครัว มีการถนอมอาหารไวก้ ินตลอดปี เช่น หน่อไมด้ อง เห็ดดอง แปรรูป อาหาร ทาํ ตะกร้าหวาย มีการเรียนรู้จากพอ่ แม่ โดยเฉพาะผหู้ ญิงมีภูมิปัญญาในการใชป้ ระโยชน์ จากพชื อาหารมากกวา่ ผชู้ าย ท้งั นายสุนดา วงคอ์ ินตะ๊ และนายจิ๋ว ศรีวชิ ยั แกว้ มีบทบาทร่วมก่อต้งั กลุ่มศึกษาสมุนไพร ไดเ้ ล่าถึงการรวมกลุ่มศึกษาในยคุ เริ่มแรกต้งั แต่ปี 2539 เจา้ หนา้ ที่สาธารณสุข ซ่ึงชาวบา้ นเรียกขาน วา่ หมอชุมพล ดวงดีวงศ์ ไดม้ าต้งั กลุ่มยาสมุนไพร ศึกษาเรียนรู้สมุนไพร และทดลองรักษา ตอ่ มามี การสนบั สนุนโดยนกั พฒั นาในพ้ืนท่ี และมหาวทิ ยาลยั มหิดลมาวจิ ยั ศึกษาคุณสมบตั ิของสมุนไพรท่ี ตาํ บลแม่มอกซ่ึงพบวา่ มีสรรพคุณดีมาก จนปัจจุบนั ไดถ้ ูกพฒั นามาทาํ เป็นยาแคปซูล และจาํ หน่าย ใหก้ บั โรงพยาบาลเถิน และคนทวั่ ไป ในนามของสหกรณ์การเกษตรสมุนไพร ตาํ บลแมม่ อก จาํ กดั สหกรณ์ดงั กล่าวไดถ้ ูกต้งั ข้ึนเมื่อปี 2542 และมีการข้ึนทะเบียนยากบั คณะกรรมการอาหารและยา 4-12
(อ.ย.) เพื่อจาํ หน่ายยาถูกตอ้ งตามกฎหมายในปี 2546 มีการรวมกลุ่มสหกรณ์ 15 คน เภสัชกรหญิง 10 คน และผชู้ ่วยเภสัชกรมาส่งเสริม 5 คน อยา่ งไรก็ตามการบริหารงานสหกรณ์ยงั ประสบปัญหาในหลายดา้ น เช่น ขาดความชาํ นาญ ดา้ นการผลิตและการตลาด ไม่มีฝ่ ายตลาด มีเจา้ หนา้ ท่ีบญั ชีคนเดียวท้งั รับเงินจา่ ยเงิน เช็คสต็อก สินคา้ ต้งั แต่ตน้ จนจบ ขาดความร่วมมือจากกรรมการอยา่ งต่อเนื่อง และกรรมการส่วนใหญ่เป็ นคน สูงอายุ ไม่คล่องตวั ในการบริการ สมาชิกสหกรณ์มีสิทธิถือหุน้ คนละ 100 บาท กาํ ไรร้อยละ 10 ของทุนเรือนหุ้น สมาชิกได้ เงินปันผล 10 บาท แตเ่ ม่ือเปรียบเทียบกบั กองทุนทวั่ ไป สมาชิกไดร้ ้อยละ 0.1 จาํ นวนสมาชิกมี แนวโนม้ ลดลง เนื่องจากบางคนไมเ่ ขา้ ใจในการบริหาร และมีเงินปันผลไม่มาก จึงออกจากการเป็น สมาชิก รายไดข้ องสหกรณ์มาจากการจาํ หน่ายใหก้ บั โรงพยาบาลเถินซ่ึงเป็นลูกคา้ หลกั ของ สหกรณ์ หมอจิ๋ว ศรีวชิ ยั แกว้ เป่ าคาถายาสมนุ ไพร เปลือกหาดกินกบั หมาก ยาสมุนไพรท่ีหมอจิ๋วทาํ ข้ึนเอง ครูสิงห์ทอง โรงเรียนหวั น้าํ พฒั นากบั การ ส่งเสริมใหน้ กั เรียนปลกู แปลงสมนุ ไพร ตามหลกั สูตรการเรียนรู้ของทอ้ งถิ่น 4-13
จากงานศึกษาของศรีสะเกษ สมาน (2550) โดยใชแ้ บบสอบถามความเห็นของชาวบา้ นใน ลุ่มน้าํ แมม่ อกท่ีมีตอ่ ป่ า รวมท้งั การอนุรักษแ์ ละการใชป้ ระโยชนจ์ ากป่ า สรุปไดว้ า่ ทุกคนในชุมชน ตาํ บลแม่มอกรักและหวนแหนทรัพยากรป่ าไมใ้ นพ้ืนที่ตาํ บลแม่มอกเป็ นอยา่ งมาก ไม่วา่ จะเป็ นป่ า สงวนแห่งชาติหรือป่ าอุทยานแห่งชาติ ส่วนความสัมพนั ธ์ทางดา้ นการใชป้ ระโยชน์น้นั พบวา่ ใน ปัจจุบนั น้ีมีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรป่ าไมท้ ่ีเป็ นตน้ ไมโ้ ดยตรงสูงมาก จนเขา้ ข้นั เป็ นการ ทาํ ลาย และการใชป้ ระโยชน์จากตน้ ไมโ้ ดยตรงก็เป็ นการทาํ ให้ถิ่นท่ีอยอู่ าศยั ของพนั ธุ์พืชพนั ธุ์สัตว์ ไดล้ ดลงตามไปดว้ ย ส่งผลให้ปริมาณตน้ ไมใ้ นป่ ามีความหนาแน่นลดลง นี่คือความสัมพนั ธ์ท่ีคน ในชุมชนแม่มอกมีตอ่ ทรัพยากรป่ าไม้ กลุ่มตวั แทนผตู้ อบแบบสอบถามท้งั หมด 286 คนให้ความเห็นเป็ นแนวเดียวกนั ร้อยละ 100 มีการหาของป่ าเป็นระยะตลอดท้งั ปี ร้อยละ100 แต่ส่วนใหญ่แลว้ คนในชุมชนจะหาของป่ ามา เพื่อเป็ นอาหารและบริโภคในครอบครัวมากกว่า ซ่ึงแสดงให้เห็นว่าคนในชุมชนตาํ บลแม่มอก ยงั คงมีการใชป้ ระโยชน์จากทรัพยากรป่ าไมใ้ นชีวติ ประจาํ วนั อยา่ งต่อเน่ือง ร้อยละ 87.06 เห็นดว้ ยวา่ การหาของป่ าเป็ นการสร้างรายไดเ้ สริมให้กบั ครอบครัว ในขณะ ท่ีร้อยละ 87.06 มีความเห็นวา่ รายไดจ้ ากทรัพยากรป่ าไมไ้ ม่ไดท้ าํ ใหม้ ีชีวิตท่ีมนั่ คง อยา่ งไรก็ตาม แมว้ า่ ชีวิตไม่มน่ั คงแต่ทรัพยากรป่ าไมท้ ่ีสมบูรณ์สามารถแกป้ ัญหาความยากจนได้ จากความเห็น ของชาวบา้ นมีถึงร้อยละ100 เพราะเม่ือไม่มีเงินใช้จ่ายในครอบครัว คนในตาํ บลแม่มอกก็นึกถึง การเขา้ ไปหาของป่ าเพ่ือนาํ มาขายเป็ นการแกป้ ัญหา โดยเฉพาะอย่างย่ิงตลาดมีความตอ้ งการใน การบริโภคของป่ าและสมุนไพรจากป่ าในระดบั มาก ความคิดเห็นของชาวบา้ นส่วนใหญ่ร้อยละ 92.66 คิดวา่ การหาของป่ าออกมาขายเป็ นการ ทาํ ลายป่ า ควรมีการปลูกพนั ธุ์พืชป่ าทดแทนหรือปลูกเสริมจะทาํ ให้ทรัพยากรป่ าไมม้ ีความมน่ั คง การตดั ตน้ ไมใ้ หญ่จะทาํ ใหพ้ ืชผกั อาหารในป่ าลดลง ซ่ึงสามารถปลูกพืชผกั อาหารในป่ าทดแทน หรือ เสริมกบั ธรรมชาติได้ ความคิดเห็นต่อมาตรการในการป้ องกนั รักษาป่ า มีมากถึงร้อยละ 100 เห็นวา่ คนในชุมชนมีส่วนร่วมในการจดั การทรัพยากรป่ าไมจ้ ะมีความยง่ั ยนื กวา่ ให้เจา้ หนา้ ท่ีรัฐทาํ เองฝ่ ายเดียว เพราะคนในชุมชนตาํ บลแม่มอกรับรู้สถานการณ์ปัญหาการจดั การป่ าในพ้ืนท่ีตาํ บล แม่มอกเป็ นอยา่ งดี ในขณะท่ีร้อยละ 70.97 เห็นวา่ หน่วยงานราชการไม่สามารถมายบั ย้งั การตดั ไมท้ าํ ลายป่ าได้ มลู ค่าของอาหาร สมุนไพร และของป่ ามีมหาศาล สามารถลดคา่ ใชจ้ ่ายและเป็นรายไดเ้ สริม ไปพร้อมกนั งานศึกษาของศรีสะเกษแสดงให้เห็นว่ามีพืชผกั และของป่ าท่ีสามารถสร้างรายได้ ให้กบั ชุมชนตลอดท้งั ปี มีจาํ นวน 25 ชนิด รวมจาํ นวนเงินท่ีได้ 185,500 บาท รวมรายไดท้ ้งั สิ้น 49,510 บาท/ครอบครัว/ปี มีตวั อยา่ งของผลผลิตจากป่ าท่ีสร้างรายไดด้ งั น้ี 4-14
มูลค่าของทรัพยากรป่ าไม้ทส่ี ร้างรายได้แก่ชุมชนตาํ บลแม่มอกในรอบ 1 ปี กลุ่มของป่ าชนิดใดที่สร้างรายไดใ้ หท้ ่านไดม้ ากท่ีสุด จาํ นวนเงิน/ปี 1. หวาย 2,700 2. ไผ่ 2,500 3. ชนั และยางไม้ 1,500 4. สมุนไพรและเคร่ืองเทศ 2,500 5. พืชผกั อาหารและไขม่ ดแดง 16,950 6. ไมห้ อม 1,500 7. เปลือกไม้ 8. แทนนิลและสีธรรมชาติ 1,500 9. เห็ด 1,500 รวม 18,860 49,510 ที่มา : ศรีสะเกษ สมาน, “การประเมินรายได้ทช่ี ุมชนได้รับจากทรัพยากรป่ าไม้ในพนื้ ที่ตาํ บลแม่ มอก อาํ เภอเถนิ จังหวดั ลาํ ปาง”, 2550. งานศึกษาของศรีสะเกษแสดงให้เห็นวา่ ทรัพยากรป่ าสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กบั คนใน ชุมชนตาํ บลแม่มอกต่อครัวเรือนมากกวา่ รายไดข้ ้นั ต่าํ ของจงั หวดั ลาํ ปาง คือ 23,000 บาทต่อปี ต่อ ครอบครัว (ตวั เลของของสํานกั สถิติจงั หวดั ลาํ ปาง) ความอุดมสมบูรณ์ของป่ าสามารถลดค่าใชจ้ ่าย ของครัวเรือน ขณะเดียวกนั ก็สร้างรายไดเ้ สริมใหแ้ ก่ครัวเรือน ดว้ ยเหตุน้ีคนในชุมชนตาํ บลแม่มอก ส่วนใหญ่จึงตระหนกั ถึงคุณค่าของป่ า และเห็นวา่ พวกเขาควรมีบทบาทสําคญั ในการดูแลรักษาและ จดั การป่ าโดยตรง ซ่ึงมีประสิทธิภาพดีกว่าเจา้ หน้าท่ีรัฐ เพราะชาวบา้ นได้ประโยชน์จากป่ า โดยตรง และรู้วา่ ควรมีการอนุรักษแ์ ละใชป้ ระโยชน์จากป่ าอยา่ งยงั่ ยืน ถา้ หากชาวบา้ นมีทางเลือก ในการมีรายได้ และได้รับขอ้ มูลข่าวสารของกระบวนการพฒั นาและการเรียนรู้ท่ีตอ้ งปรับตวั ให้ สอดคลอ้ งกบั สถานการณ์ที่เกิดข้ึนในชุมชน 2.3) กระบวนการรวมกลุ่มจัดการป่ า พชื อาหารและสมุนไพรของชุมชน ในตาํ บลแม่มอกมี 4 หมู่บา้ น จากท้งั หมด 10 หมู่บา้ นท่ีจดั การป่ าชุมชน ได้แก่ หมู่ท่ี 3 บา้ นก่มุ เนิ้ง,หมู่ที่ 5 บา้ นสันป่ ามอน, หมู่ท่ี 6 บา้ นแม่มอกใต,้ และหมู่ท่ี 7 บา้ นเด่นอุดม ที่ต้งั ของป่ า 4-15
ชุมชนแต่ละหมูบ่ า้ นอยหู่ ่างกนั และไม่ไดเ้ ป็ นแปลงป่ าผนื ใหญ่ติดต่อกนั พ้ืนที่ป่ าชุมชนรวมกนั ท้งั 4 หม่บู า้ นประมาณ 20,000 ไร่ ต่อมาไดม้ ีการขยายไปสู่การจดั การป่ าชุมชนเป็ นเครือข่ายท้งั ตาํ บล 9หมู่บา้ น พฒั นาเป็ นเครือข่ายลุ่มน้าํ แม่มอก ในปี 2538 ไดแ้ ก่ บา้ นเด่น กุ่มเนิ้ง หว้ ยริน หนองหอย ทุ่งเกาะหลวง ท่าเวียง ชยั ชมพู แม่แสลม และเสลี่ยมหวาน ต่อมาขยายเป็ น 15 หมู่บา้ นในปี 2541 หมู่บา้ นที่เพิ่มข้ึนมาไดแ้ ก่ บา้ นปางอา้ ท่าเกวยี น หอรบ ห้วยเตาปูน สันป่ ามอน แม่มอกใต้ หว้ น้าํ และแมพ่ ุ นางมาลี สุริวงศ์ ประธานเครือข่ายลุ่มน้ําแม่มอก เล่าถึงสภาพของเครือข่ายไวว้ ่า “กรรมการเครือข่ายลุ่มนา้ํ แม่มอกมี 30 กว่าคน มีฝ่ ายบริหาร พัฒนาคุณภาพชีวิตท่ีดี สอนเรื่องภูมิ ปัญญา เช่น ข้าวต้มเขาควาย สอนเดก็ ป.5 ป.6 ทุกโรงเรียน ปัญหาของ ต.แม่มอก และต.เวียงมอกมี ปัญหาร่ วมกัน และทาํ งานร่ วมกันมาก่อน จึงได้รวมเป็ นเครือข่ายลุ่มนา้ํ แม่มอก แบ่งกันทาํ งานกับ อ.บ.ต. เครือข่ายต้ังก่อน อ.บ.ต. พอมีงบประมาณของ อ.บ.ต.ลงมา เราเลยไม่อยากร่ วมมือ ในการ ตรวจสอบ อ.บ.ต. ชาวบ้านคัดค้านผ่านประชาคมหมู่บ้าน การใช้งบของ อ.บ.ต.ไม่ดี เพราะเรา ไม่ได้เป็นตวั ของตวั เอง ถ้าเรารวมกลุ่มเอง หาเงินเอง เราภูมิใจท่ีเป็ นของเราเอง เกบ็ หุ้นคนละ 10 บาท ตอนเร่ิมต้งั กลุ่ม มีการประชุม ทุก 1-2 เดือน และทุกฝ่ ายมีความสาํ คัญ” นายธนวตั การเก่ง ผใู้ หญ่บา้ นบา้ นเด่น และกรรมการเครือขา่ ยลุ่มน้าํ แมม่ อก ซ่ึงมีบทบาท สาํ คญั ร่วมกบั ชุมชนในการจดั การป่ าชุมชนท่ีเขม้ แขง็ และโดดเด่นในตาํ บลแมม่ อก ไดเ้ ล่าใหฟ้ ังถึง กระบวนการการจดั การป่ าชุมชนของบา้ นเด่น “ตอนแรกกค็ ุยกัน วางระเบียบธรรมดา ไม่ได้เขียนเป็นกฎเกณฑ์อะไร จนเอน็ จีโอ (นกั พฒั นา) เข้ามากเ็ ข้ามาช่วยเขียนกฎใครลกั ลอบตัดไม้ ต้องถกู ปรับ 500-1000 บาท ชาวบ้านก็ เห็นด้วย ตัดต้นหน่ึงต้องปลกู แทนก่ีต้น แบ่งเป็ นโซน เขตป่ าอนรุ ักษ์ ป่ าใช้สอย ชาวบ้านท่ีน่ียอมรับ ว่าเขาไปป่ าเขาไม่ทาํ ลายป่ า ถ้ามีผกั หวานต้นใหญ่ๆจะไปตดั ลงมาเลย ทาํ บันไดขึน้ ไปเกบ็ แทน ชาวบ้านมีจิตสาํ นึกเก่ียวกบั ป่ า เพราะว่าเขาอย่กู บั ป่ า เขาจะรู้คุณค่าของป่ า การตรวจป่ าเราให้ กรรมการไปตรวจดู แต่กจ็ ับไม่ได้ เราเรียกร้องไปทางราชการตลอด แต่เจ้าหน้าท่ีเขากร็ ู้เห็นเป็นใจ ด้วย การสงวนพนั ธ์ุปลากม็ าจากป่ า เป็นเขตอนุรักษ์ปลา ยาว 800 เมตร ถัดไปเป็นฝายปูน อนรุ ักษ์เป็ นช่วงๆ ถ้าฤดูนา้ํ หลากกห็ าปลาได้ แต่ถ้าฤดูแล้งแบบนีช้ าวบ้านกร็ ู้โดยอัตโนมตั ิว่าห้าม จับปลา บริเวณอนุรักษ์กห็ ้ามยิงนกห้ามล่าสัตว์ด้วย ชาวบ้านจะรักษากฎกันเอง ไม่ต้องห้ามปราม อะไรมาก 4-16
คนหม่บู ้านเด่นรู้จักกฎเกณฑ์ มีระเบียบ รู้จักการรักษาระเบียบในหม่บู ้าน เรื่องอนุรักษ์ป่ า ก็ มองมาเร่ืองนา้ํ อนุรักษ์ปลาด้วย ใครจะมาจี้ มาช็อต ยิงไม่ได้ มนั มีกฎของหม่บู ้านอยู่ กฎในป่ าถ้า ชาวบ้านจะไปตดั ไม้ต้องแจ้งผ้ใู หญ่บ้าน แจ้งคณะกรรมการ” มยเุ รศ แลวงคน์ ิล (2548) ไดส้ รุปวธิ ีการจดั การป่ าชุมชนของบา้ นเด่นอุดม ตาํ บลแมม่ อกไว้ สองลกั ษณะคือ การทาํ กิจกรรมท่ีนกั พฒั นาไดไ้ ปส่งเสริมใหเ้ ห็นรูปธรรมของการจดั การคือ การ บวชป่ า เพอื่ เป็นการป้ องกนั ไมใ่ หใ้ ครไปตดั ตน้ ไม้ ซ่ึงเป็ นการปลูกฝังใหค้ นมีความรักตน้ ไม้ และ การทาํ ฝายแมว้ หรือฝายภมู ิปัญญาทอ้ งถิ่น เพอ่ื สะสมเป็นน้าํ ใตด้ ิน ทาํ ใหป้ ่ าเกิดความชุ่มช้ืน . ในขณะท่ีชาวบา้ นไดป้ ระยกุ ตค์ วามเช่ือและศาสนามาสร้างแรงศรัทธาร่วมกนั ต่อการรักษา ป่ า และการสร้างกฎกติกาของชุมชนใหเ้ กิดความเคารพซ่ึงกนั และกนั กิจกรรมที่ทาํ คือ - การเล้ียงผฝี าย การเล้ียงผขี นุ น้าํ เพอื่ ระลึกถึงบุญคุณของน้าํ และขอเทวดาเจา้ ป่ ารักษาใหม้ ี น้าํ ตลอดปี - การกาํ หนดพ้ืนที่การอนุรักษ์ปลาในลาํ ห้วยแม่มอก เพ่ือเป็ นการอนุรักษพ์ นั ธุกรรม สัตวน์ ้ําและเป็ นการส่งเสริมการเรียนรู้ให้กับชาวบ้าน เด็ก และเยาวชนในหมู่บา้ น และชุมชน ใกลเ้ คียง - การต้งั กฎระเบียบในการเขา้ มาจดั การการไดร้ ับประโยชน์จากการใชส้ อยป่ าชุมชน :ซ่ึงมี ดงั น้ี (1) ชาวบ้านในหมู่บา้ นจะใช้ไมใ้ นป่ าชุมชนในการสร้างบ้านต้องขออนุญาตกับ คณะกรรมการป่ าชุมชน (2) ไมท้ ่ีจะใชส้ ร้างบา้ นใชไ้ ดต้ ามความเหมาะสมของครอบครัวน้นั ๆ (3).คณะกรรมการป่ าชุมชน เดินสาํ รวจป่ าเดือนละ 2 คร้ัง (4) ชาวบา้ นที่ลกั ตดั ไมใ้ นป่ าชุมชน จะถูกปรับตน้ ละ 500 บาท - การแบ่งพืน้ ทปี่ ่ า ในพ้ืนท่ีป่ าไมใ้ นหมู่บา้ น บา้ นเด่นอุดม ตาํ บลแม่มอก อาํ เภอเถิน จงั หวดั ลาํ ปาง มีพ้ืนที่ป่ าไม้ – ภูเขาท้งั หมด 3,850 ไร่ โดยแบง่ ออกดงั น้ี 1) ป่ าอนุรักษ์ เป็นเขตหา้ มตดั ไมท้ ุกประเภท แตส่ ามารถหาของป่ าท่ีไม่ทาํ ลาย ความหลายหลายทางชีวภาพ จาํ นวน 1,925 ไร่ 2) ป่ าใชส้ อย คือป่ าที่ชุมชนใชอ้ าศยั ทาํ มาหากิน และเลือกใชป้ ระโยชน์อยา่ ง ยงั่ ยนื ท้งั ในเชิงเศรษฐกิจและการรักษาระบบนิเวศ จาํ นวน 1925 ไร่ นอกจากน้ียงั มีการรวมกลุ่มของผหู้ ญิงในการทาํ แปรรูปอาหารจากผลผลิตที่ไดจ้ ากแปลง เกษตรกรรมและจากป่ า เช่น การถนอมอาหาร กระเทียมดอง กลว้ ยอบ หน่อไมอ้ ดั ป๊ี ป กลุ่มผสู้ ูงอายุ 4-17
จกั สานอุปกรณ์เคร่ืองใชจ้ ากหวาย ทาํ แผนแม่บทชุมชน การทาํ ป๋ ุยชีวภาพทดแทนการใชป้ ๋ ุยเคมีท่ีมี ราคาสูง กลุ่มตดั เยบ็ เส้ือผา้ กลุ่มเล้ียงหมสู มุนไพร และต้งั กลุ่มหมอพ้นื บา้ น จนพฒั นาเป็น สหกรณ์การเกษตรสมุนไพร ตาํ บลแม่มอก จาํ กดั เป็นตน้ กล่าวไดว้ า่ กระบวนการรวมกลุ่ม ของชุมชนตาํ บลแม่มอก ใชแ้ นวทางการพฒั นาชุมชนท้งั ดา้ นเศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตเพอ่ื ให้ ชุมชนอยรู่ ่วมกบั ป่ าอยา่ งยงั่ ยนื การรวมกลุ่มเร่ิมตน้ จากการให้ชุมชนเห็นปัญหาและสาเหตุของการตดั ไมท้ าํ ลายป่ า การ ขยายพ้ืนที่อุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพนั ธุ์สัตวป์ ่ า ทาํ ให้ชุมชนถูกตดั ขาดในการพ่ึงพาป่ า และ สูญเสียท่ีดินทาํ กิน ซ่ึงเป็นปัจจยั สาํ คญั ในการดาํ รงชีวติ ของคนในชุมชนตาํ บลแมม่ อก และชุมชน ตอ้ งประสบปัญหาอยา่ งไรท้งั ทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม กระบวนการพฒั นาทางเศรษฐกิจ ของการสร้างรายไดจ้ ึงเป็ นแนวทางเริ่มตน้ ที่นาํ ไปสู่การเรียนรู้ของชุมชนต่อการวเิ คราะห์ปัญหาป่ า ไมท้ ่ีชุมชนกาํ ลงั ประสบ ศรีสะเกษ สมาน เลขาธิการสมาคมชีวิตดี ซ่ึงไดท้ าํ งานร่วมกบั ชาวบา้ น ตาํ บลแม่มอกมาต้งั แตป่ ี 2532 ไดเ้ ล่าใหเ้ ห็นพฒั นาการรวมกลุ่มของชุมชนตาํ บลแมม่ อกไวด้ งั น้ี “ปี 2533 – 2535 ชาวบ้านมาจัดการป่ า บ้านแรก คือบ้านเด่นอุดม ต่อมาขยาย ไปบ้านกุ่ม เนิง้ บ้านเด่นอุดม อย่ขู ้างในคนไม่เห็น แต่บ้านกุ่มเนิง้ อย่ขู ้างนอกติดถนน ทาํ ป้ ายติดป่ าชุมชน ต่อมาขยบั ไปบ้านอื่น กส็ ู้กับพ่อค้าไม้ ทาํ ให้ทาํ งานกบั กาํ นัน ผ้ใู หญ่บ้านยากลาํ บาก เพราะท้ังสอง คนได้รายได้จากไม้ ในการสร้างบ้านหลงั ใหญ่และขายบ้าน เป็น 10 หลัง เมื่อผมวิจารณ์ไม้เถ่ือน กาํ นัน ผ้ใู หญ่บ้านกไ็ ม่เห็นด้วย ทาํ ให้มีปัญหาคัดค้านต่อต้านการทาํ ไม้ นักพัฒนาทาํ ให้ชุมชน เดือดร้ อน ผมไปนอนที่บ้านเด่นอุดมต้องทาํ งานกับชาวบ้าน กลางคืนและเช้า ใช้วิธีสัมมนากนั สร้างเครือข่ายปี 2537 ทาํ งานเครือข่ายลุ่มนา้ํ แม่มอก และชาวบ้านกข็ องบประมาณโดยตรง ในปี 2540 - 2546 ที่กลุ่มชาวบ้านเข้มแขง็ มีการทาํ เรื่องงานวิจัยศึกษาเรื่องพันธ์ุสมนุ ไพร ให้ชาวบ้านได้สาํ รวจความหลากหลาย ทางชีวภาพ เห็ด มีกลุ่มสาํ รวจพนั ธ์ุปลา นง่ั วิเคราะห์ทาํ ไมป่ าลดลง รถไถเข้ามาเป็นอย่างไร บ้านเรา มีผ้เู ชี่ยวชาญเรื่องอะไร แต่ปัจจุบนั คนรุ่นนั้น กไ็ ม่ต่อเน่ือง ให้ชาวบ้านได้เรียนรู้เรื่องราวข้างนอก เร่ือง กฎหมาย นโยบาย ท่ีชาวบ้านต้องเรียนรู้ โดยนักพฒั นาเข้าไปส่งเสริม พาทาํ เรื่องไก่ไข่ใน โรงเรียน สาํ นักงานการศึกษาจังหวดั ลาํ ปางในแม่แสลม แม่มอก และประสานงานกับโรงเรียนใน ตาํ บลแม่มอกให้มีบทบาทสาํ คัญต่องานพฒั นาชุมชนและอนุรักษ์ทรัพยากร สองปี แรก ชาวบ้านรู้จักผมในบทบาทของครู สอนวิทยาศาสตร์ กีฬา ในฐานะเกษตร กับ ปศุสัตว์ อีกกล่มุ หนึ่งคิดว่าเราเป็นป่ าไม้ สายสืบ มีครอบครัวหน่ึงรู้จักครูแอ้ด (ศรีสะเกษ สมาน) แต่อีกคนรู้จักอ้ายศรีสะเกษ บทบาททาํ ทุกเร่ือง ไปผสมเทียมของสัตว์ และได้ใจของชาวบ้าน ทาํ ไมมาประท้วงมาเพราะผมอย่ใู นใจเขาและช่วยเหลือกันมา และชาวบ้านเห็นประโยชน์จากป่ า ท่ี บ้านเด่นอุดมเขายืนขวางไม่ให้ทาํ ลายป่ า และเขารักป่ า และตดั ไม้ด้วยความรักป่ า ข้อมลู ได้มาจาก พวกเลีย้ งววั มีสมาชิกเลีย้ งววั 300 – 400 คน และนกั พฒั นามาศึกษาลกู ดอยทุกดอย” 4-18
โรงเรียนมีบทบาทสําคญั ในการจดั การทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ มของตาํ บลแม่ มอก ท้งั การทาํ ธนาคารขยะ การทาํ ฝาย และการทาํ หลกั สูตรทอ้ งถิ่นเก่ียวกบั สมุนไพร และภมู ิ ปัญญาการแพทยพ์ ้ืนบา้ น ซ่ึงส่งผลต่อการสร้างสาํ นึกของเยาวชนใหม้ ีจิตใจรักทอ้ งถิ่นและมีความรู้ ของทอ้ งถิ่นโดยตรง นายจาํ ลอง อาํ พนั ธ์ ผอู้ าํ นวยการโรงเรียนหวั น้าํ พฒั นา ไดอ้ ธิบายถึงปรัชญา ของโรงเรียนและเช่ือมโยงกบั โรงเรียนอื่นในตาํ บลแม่มอก ซ่ึงขยายไปอีก 4 โรงเรียน “ศูนย์การเรียนรู้โรงเรียนหัวนา้ํ พฒั นาเป็นต้นแบบเครือข่ายของโรงเรียนทั้งหมดใน ต.แม่ มอก ทาํ ธนาคารขยะ เชื่อมโยงอาหารปลอดภยั ปลอดสารเคมี ตาม พ.ร.บ.การศึกษา พ.ศ.2542 ให้ โรงเรียนประยกุ ต์ภูมิปัญญาท้องถิ่น มาเป็ นหลักสูตรเรียนรู้ท้ังหมด ผ้บู ริหารเห็นด้วยกบั แนวคิด การพัฒนาท่ียงั่ ยืน” บทบาทของกลุ่มต่างๆในการจัดการป่ าชุมชนล่มุ นํา้ แม่มอก โรงเรียน วดั สมาคมชีวติ ดี อบต.+ เครือข่ายลุ่มน้าํ ป่ าชุมชน ผใู้ หญ่บา้ น แม่มอก บทบาทหญิง กลุ่มงานพฒั นา ชายทาํ งานร่วมกนั 4-19
ปัจจัยสําคัญท่ีทาํ ให้มกี ารรวมกลุ่มจัดการป่ าชุมชนอย่างเข้มแขง็ ในช่วงปี พ.ศ.2535 – 2545 มาจากหลายสาเหตุท้งั จากสถานการณ์ภายนอกและภายในชุมชน และจากการส่งเสริมของ บุคคลภายนอกชุมชน ผวู้ จิ ยั ไดร้ วบรวมความคิดเห็นของนกั พฒั นาชาวบา้ น และครูท่ีมีบทบาท จดั การป่ าชุมชน ซ่ึงสะทอ้ นใหเ้ ห็นบทเรียนของพวกเขาซ่ึงมีประสบการณ์การจดั การป่ าชุมชน อาหารและสมุนไพรโดยตรง 1) บทบาทของนักพฒั นาต้องเรียนรู้ปัญหาและโครงสร้างของสังคมในชุมชนอย่างเข้าใจ ชัดเจน โดยการอย่รู ่วมกบั ชุมชนอย่างใกล้ชิด เพอื่ นําไปสู่การกาํ หนดเป้ าหมายและบทบาทการ ทาํ งานทส่ี ่งเสริมให้ชุมชนได้คดิ เอง ทาํ เอง และปฏิบตั กิ ารด้วยตนเอง “กระบวนการส่งเสริมการจัดการป่ าชุมชน ต้งั เป้ าหมายคือการอนุรักษ์ป่ า เพราะ สถานการณ์ป่ าถกู ทาํ ลาย และรัฐบาลปิ ดสัมปทานทาํ ไม้ การจัดการป่ าจึงว่างเปล่า ชาวบ้านเข้าไป ตดั ไม้เถ่ือนแทน ก่อนหน้าน้ันเป็นการสัมปทานให้กบั บริษัท เมื่อยกเลิกเจ้าหน้าท่ีจึงหารายได้แทน ด้วยการเกบ็ ส่วยจากชาวบ้านในการทาํ ไม้ ตนเองต้องเข้าไปสร้างความสัมพนั ธ์ ร่วมกิน ร่วมอยู่ ร่วมคิด ร่วมทาํ ตอนแรกไปพฒั นาอาชีพเสริม เพราะชาวบ้านได้รายได้จากไม้เป็ นหลัก พวกหนึ่ง เอาไม้ดี แต่ไม้ปี กทิง้ ขว้าง มีรายได้ไม่ตาํ่ กว่า 500 บาทต่อวนั การพฒั นาอาชีพเสริม ทาํ ให้ทาํ งานได้อย่างปลอดภยั ตอนแรกเลีย้ งววั อาชีพเสริม แต่วัว ตายมากจากโรคปากเท้าเปื่ อย และมารักษาโรคววั ส่งเสริมปรับพันธ์ุววั ทาํ ให้รู้จักพวกเล่ือยไม้ รู้จักป่ า และเรียนรู้จากเขาว่ามีปัญหาอย่างไร ทาํ ให้สนิทกบั ชาวบ้านท่ีทาํ ไม้ เล่ือยไม้ มีการคุย ชัดเจนกับชาวบ้านว่าอยากตัดไม้ไหม จะทาํ ตลอดได้อย่างไร มีความลาํ บากในการตัดไม้ ส่งไม้ ใช้ เวลา 2 ปี จึงเอาคนมานั่งคุยในการรักษาไม้” (ศรีสะเกษ สมาน เลขาธิการสมาคมชีวติ ดี) 2) การได้แลกเปลย่ี นเรียนรู้ประสบการณ์นอกชุมชน และนํามาสู่การวเิ คราะห์ปัญหา เพอื่ สร้างจิตสํานึกในการตระหนักถึงผลกระทบของการทาํ ลายป่ า และเห็นความสําคัญของการรักษาป่ า “สมยั ที่ยงั เป็นผ้ใู หญ่บ้าน ได้ไปศึกษาดูงานท่ีอื่นว่าป่ าชุมชนเป็นอย่างไร เขาทาํ อย่างไร เมื่อได้ข้อมลู มากเ็ ห็นว่าแม่มอกถกู บกุ รุกทาํ ลายไปมาก ในช่วงปี 2528-2530 พอป่ าถกู ทาํ ลายมาก มนั กเ็ กิดความแห้งแล้งมากขึน้ เลยไปรับแนวคิดเรื่องการดูแลรักษาป่ าโดยชุมชน มาสร้างจิตสาํ นึก ให้กบั ชาวบ้านว่า ถ้าเราทาํ ลายป่ าผลกระทบมนั เป็นอย่างไร เราอย่กู บั ป่ า เรากต็ ้องดูแลรักษาป่ า ที่ อ่ืนเขาทาํ ดีกน็ ่าจะเอามาใช้กับบ้านเรา จึงรวบรวมชาวบ้าน เร่ียรายเงินทุกครัวเรือน มาทาํ เป็นแนว เขตป่ า ตัง้ กฏระเบียบขึน้ โดยเริ่มท่ีหม่บู ้านกุ่มเนิง้ ใต้ก่อนในช่วงปี 2536 แล้วกข็ ยายไปหม่บู ้านอ่ืน ตัง้ เป็นเครือข่ายทั้งตาํ บล ทั้งหมด 9 หม่บู ้าน เกิดเป็นเครือข่ายลุ่มนา้ํ แม่มอกขึน้ มา” (นายฉลาํ โน ปัง อดีตผใู้ หญบ่ า้ นบา้ นกุ่มเนิ้งใต้ ท่ีไดร้ ับรางวลั ลูกโลกสีเขียว) 4-20
3) การสร้างกลุ่มเพอื่ กาํ หนดบทบาทความรับผดิ ชอบของแต่ละคน และร่วมกาํ หนดกฎ กติกาในการดูแลรักษาป่ าร่วมกนั “ตอนที่เรายงั ไม่ได้รวมกลุ่มเรากห็ วงกันธรรมดาไม่ได้มีกฎระเบียบ หม่บู ้านอื่นเข้ามา ลกั ลอบตดั ไม้ มาเอาหน่อไม้ มาเกบ็ เห็ด เรากไ็ ม่มีระเบียบอะไรไปจับ ไปห้าม ไปปรามเขา พอเรา รวมกลุ่มเรากไ็ ด้มีกฎมีระเบียบ สามารถห้ามไม่ให้คนอ่ืนมาทาํ ลายได้ แล้วคนบ้านเราก่อนที่เราจะ เอามาใช้ กต็ ้องขออนุญาตจากกรรมการก่อน เรากม็ ีคณะกรรมการที่เกิดจากการหารือประชุม ร่วมกัน ตั้งเป็นคณะกรรมการป่ า และทาํ ความเข้าใจกีบชาวบ้าน ซ่ึงกม็ ีคนเข้าใจมากประมาณ 95%” (นายฉลาํ โนปัง) 4) การแลกเปลยี่ นเรียนรู้สิ่งใหม่ๆอย่างสมา่ํ เสมอ พร้อมกบั สรุปบทเรียนการทาํ งานท้ังที่ ประสบปัญหาและประสบความสําเร็จ เพอื่ ให้ชาวบ้านได้ตื่นตัวในการจัดการป่ าและพฒั นาชุมชน “ทางกลุ่มมีการเรียนรู้ตลอด ไม่ได้หยดุ การทาํ งาน เราเรียนรู้สิ่งใหม่ตลอด เราไม่ได้จมอยู่ กับส่ิงท่ีมนั ไปไม่ได้ ถ้าเกิดว่าเราจบท่ีการรวมกล่มุ ถนอมอาหารแล้วมนั ไปไม่ได้ มนั กจ็ บอย่แู ค่นั้น แต่เราไม่จบ เราทาํ อย่างอ่ืนต่อ รายได้เรากไ็ ม่ขาด เราได้มาเร่ือยๆ ถึงมนั จะน้อย ไม่มากนัก แต่ก็ ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย พอเห็นว่าจะขาดทุนเรากห็ ยดุ ทุกอย่างท่ีเราทาํ มานี่ประสบผลสาํ เร็จ อาจจะยงั ไม่เท่าที่ควร อาจจะยงั ไม่พอใจ กอ็ ยากให้มนั ดีกว่านี้ เพราะเราทาํ กนั ในวงแคบ” (นางมาลี สุริวงศ์ ประธานเครือข่ายลุ่มน้าํ แม่มอก) 5) ผู้นํากลุ่มมีความมุ่งมนั่ ต้งั ใจ และเร่ิมต้นทาํ ก่อนให้เป็ นแบบอย่าง นางมาลี สุริวงศ์ ไดป้ ฏิบตั ิตนใหเ้ ห็นเป็นตวั อยา่ งก่อน ใหก้ ลุ่มผหู้ ญิงเนน้ พฒั นาตวั เองและ ครอบครัวก่อน แลว้ จึงไปพฒั นาคนอื่น 6) การสร้างเครือข่ายป่ าชุมชนลุ่มนํา้ แม่มอก ไดท้ าํ ใหม้ ีการจดั การป่ าชุมชนร่วมกนั และ เป็นเครือขา่ ยแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทาํ งานร่วมกนั ใหก้ าํ ลงั ใจซ่ึงกนั และกนั ในการเฝ้ าระวงั การตดั ไม้ ทาํ ลายป่ าจากนายทุน ผมู้ ีอิทธิพล 7) ผู้หญงิ มีบทบาทสําคัญในทกุ กล่มุ ของตาํ บลแม่มอก ตลอดจนเขา้ ไปเป็นสมาชิกสภา อ.บ.ต. และเป็นแกนกลุ่ม และของเครือข่าย ซ่ึงทาํ ใหม้ ีการกาํ กบั การทาํ งานของกลุ่ม และเผยแพร่ ส่ือสารขอ้ มลู ใหก้ บั คนในชุมชนอยา่ งต่อเน่ือง 8) การให้ผู้นําทเ่ี ป็ นทางการ เช่น ผู้ใหญ่บ้านมีบทบาทในการแกนกล่มุ ของการดูแลรักษาป่ า ชุมชน ซ่ึงทาํ ใหล้ ดความขดั แยง้ กบั ผนู้ าํ ท่ีเป็นทางการไดเ้ ป็นอยา่ งดี และมีบทบาทตอ่ การเฝ้ าระวงั ป่ า ร่วมกนั แตท่ ้งั น้ีท้งั น้นั ข้ึนอยกู่ บั ตวั บุคคลวา่ เห็นดว้ ยกบั แนวทางน้ีหรือไม่ 9) การใช้วฒั นธรรมประเพณขี องคนเมือง และเครือข่ายญาติพ่ีนอ้ งในการสร้างพลงั ศรัทธาท้งั ดา้ นการทาํ การเกษตรกรรม การจดั การป่ าชุมชน การทาํ กิจกรรมของกลุ่ม ซ่ึงทาํ ใหค้ นใน ชุมชนมาใหค้ วามร่วมมือ 4-21
10) การประสานงานความร่วมมือกบั บุคคลหลายฝ่ าย ต้งั แต่ โรงเรียน หน่วยงานราชการ องคก์ รปกครองทอ้ งถิ่น บุคคลภายนอกชุมชนที่มีบทบาททางการเมือง และการรณรงคใ์ ห้ ผใู้ หญบ่ า้ น นายฉลาํ โนปัง ไดร้ ับรางวลั ลูกโลกสีเขียว เพ่ือถ่วงดุลกบั อาํ นาจอิทธิพลมืดของกลุ่มทุน ไม่ใหม้ าทาํ ลายป่ าไม้ ท้งั น้ีเป็นปัจจยั หนุนช่วยที่สาํ คญั แต่ข้ึนอยกู่ บั ความเขม้ แขง็ ของชุมชนเช่นกนั 11) โรงเรียนมีบทบาทสําคัญในการร่วมอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อม ซ่ึง เร่ิมตน้ จากโรงเรียนหวั น้าํ พฒั นา และขยายไปสู่โรงเรียนอื่นๆในตาํ บลแม่มอก โดยนกั พฒั นาใน พ้นื ที่ไดป้ ระสานการทาํ งานกบั โรงเรียนให้เห็นความสาํ คญั ในการถ่ายทอดความรู้ และทาํ หลกั สูตร ทอ้ งถ่ินในโรงเรียน รวมท้งั จดั กิจกรรมนอกโรงเรียน เป็นการสร้างกลุ่มเยาวชนในพ้นื ที่ใหส้ ืบทอด ภมู ิปัญญาการรักษาป่ า ปัญหาอุปสรรค 1) อิทธิพลของกลุ่มนายทุน ร่วมกบั เจา้ หนา้ ท่ีรัฐ และคนในพ้ืนที่ ในการคุกคามชีวติ ทาํ ลายทรัพยส์ ินของแกนกลุ่ม ซ่ึงส่งผลตอ่ การทาํ ให้ชาวบา้ นตอ้ งประเมินสถานการณ์ และ ระมดั ระวงั ในการทาํ กิจกรรมที่ปกป้ องดูแลรักษาป่ า เพื่อดูสถานการณ์ใหค้ ลี่คลายลง อยา่ งไรก็ ตามยงั ไมส่ ามารถแกไ้ ขปัญหาการตดั ไมท้ าํ ลายป่ าได้ 2) องคก์ รของภาครัฐ ยงั ขาดการใหค้ วามร่วมมือในการแกไ้ ขปัญหาตดั ไมท้ าํ ลายป่ าอยา่ ง จริงจงั มีความล่าชา้ ในการดาํ เนินคดีกบั ผกู้ ระทาํ ผดิ ในการฆ่าผใู้ หญบ่ า้ นตาย อีกท้งั ไมส่ นบั สนุน การดูแลรักษาป่ าของชุมชน ซ่ึงทาํ ใหช้ าวบา้ นตอ้ งเผชิญปัญหาโดยลาํ พงั และไม่มีความมนั่ คงใน ชีวติ และทรัพยส์ ิน 3) การรวมกลุ่มหมอพ้ืนบา้ น เม่ือมีการพฒั นาทาํ เป็นยาแคปซูลวางจาํ หน่าย ในนามของ สหกรณ์การเกษตรสมุนไพรแมม่ อก จาํ กดั ทาํ ใหห้ มอพ้นื บา้ นไมไ่ ดม้ ีส่วนร่วมในการทาํ กิจกรรม และไม่มีความถนดั ในการรวมกลุ่มท่ีเป็นการคา้ สหกรณ์ฯจึงไม่ไดท้ าํ หนา้ ที่ในการสืบทอดภมู ิ ปัญญาการแพทยพ์ ้ืนบา้ น นอกจากน้ีการบริหารแบบสหกรณ์ยงั ประสบปัญหาหลายดา้ น เช่น ขาด ความชาํ นาญดา้ นการผลิตและการตลาด ราคาน้าํ มนั สูงข้ึน ส่งผลต่อค่าใชจ้ า่ ยที่สูงข้ึน ความร่วมมือ ของกรรมการไม่มี กรรมการส่วนใหญ่เป็ นคนสูงอายุ ไม่มีฝ่ ายตลาดโดยเฉพาะ เป็ นตน้ 2.4) ข้อเสนอแนะ ตาํ บลแม่มอกเป็ นกรณีศึกษาพ้ืนท่ีตวั อย่างที่แสดงให้เห็นวา่ ชุมชนตอ้ งประสบปัญหากบั วิกฤตสถานการณ์ป่ าที่เกิดข้ึนในภาคเหนือมาต้งั แต่รัฐไดอ้ นุญาตให้สัมปทานทาํ ไม้ จนกระทงั่ ยกเลิกการให้อนุญาต ต่อมามีการการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติขยายทบั พ้ืนท่ีทาํ กินและที่อยู่ อาศยั ของชุมชน และชุมชนไดร้ วมกลุ่มคดั คา้ นการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติ ตลอดจนร่วมกนั รักษาป่ า และกาํ หนดพ้ืนท่ีป่ าชุมชน เพ่ือป้ องกนั การลกั ลอบตดั ไมท้ าํ ลายป่ า และป้ องกนั การล่า 4-22
สัตวป์ ่ า ถึงแมว้ ่ามีการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพนั ธุ์สัตวป์ ่ า แต่ชุมชนยงั ประสบ ปัญหาการลกั ลอบตดั ไมท้ าํ ลายป่ า จากกลุ่มคนภายในและภายนอกชุมชน ร่วมกบั เจา้ หนา้ ท่ีรัฐ ซ่ึง เป็นปัจจยั สาํ คญั ต่อการทาํ ใหก้ ารรวมกลุ่มของชุมชนที่เคยเขม้ แขง็ ในช่วงแรกออ่ นตวั ลง การรวมกลุ่มของชาวบา้ นท่ีตาํ บลแม่มอก จึงตอ้ งการการเสริมสร้างกาํ ลงั ใจ และการ รวมกลุ่มท่ีตอ้ งตรวจสอบการทาํ งานของผูน้ าํ ทางการ องค์กรปกครองทอ้ งถิ่น เจา้ หน้าท่ีรัฐอยา่ ง ระมดั ระวงั บทบาทของนักพฒั นาในการทาํ งานในพ้ืนที่เพ่ือเป็ นพี่เล้ียงอย่างใกลช้ ิดยงั มีความ จาํ เป็น และตอ้ งลดบทบาทของผนู้ าํ ตวั บุคคลเพอ่ื มิใหเ้ กิดความเส่ียงต่ออนั ตรายท่ีมาถึง การทาํ งาน เป็ นกลุ่มท่ีไม่มีประธาน หรือผนู้ าํ ที่โดดเด่น โดยทุกๆคนมีความสําคญั ต่อการทาํ กิจกรรมร่วมกนั บทบาทของโรงเรียนจะช่วยใหเ้ กิดการขยายความคิดให้คนในชุมชนร่วมเฝ้ าระวงั ป่ า พร้อมกบั การ ส่งเสริมใหช้ าวบา้ นมีฐานเศรษฐกิจท่ีพ่ึงตนเองไดจ้ ากแปลงนาํ และป่ าอยา่ งยง่ั ยนื ป้ ายป่ าชุมชนบา้ นก่มุ เนิ้งใต้ เหมืองฝายท่ีชาวบา้ นและเยาวชนทาํ ไวเ้ กบ็ น้าํ (ถ่ายภาพโดยศรีสะเกษ สมาน) 3. การจัดการป่ ากนั ชนเขตรักษาพนั ธ์ุสัตว์ป่ าห้วยขาแข้ง จ.อทุ ยั ธานี บา้ นหว้ ยร่วมและบา้ นอีซ่าพฒั นาเป็นชุมชนท่ีมีการจดั การป่ าชุมชนผนื เดียวกนั แตล่ กั ษณะ ของชุมชนมีความแตกต่างกนั ระหวา่ งคนไทยกบั คนกะเหร่ียง ประวตั ิความเป็ นมาและลกั ษณะการ ต้งั ถิ่นฐานแตกต่างกนั แต่ทวา่ ท้งั สองชุมชนต่างไดร้ ับผลกระทบและตอ้ งปรับตวั จากการลอ้ มร้ัว ก้นั แนวเขตรักษาพนั ธุ์สตั วป์ ่ าหว้ ยขาแขง้ ท้งั สองพ้นื ที่เป็นกรณีศึกษาที่นาํ เสนอใหเ้ ห็นวา่ การ จดั การป่ ากนั ชนน้นั ไดส้ ่งผลกระทบกบั ชุมชนอยา่ งไร และชุมชนตอ้ งปรับตวั ในการอยรู่ ่วมกบั ทรัพยากรธรรมชาติอยา่ งไร 4-23
3.1) บ้านห้วยร่วมชุมชนอพยพจากเขตอนุรักษ์ บา้ นหว้ ยร่วม หมู่ 3 ตาํ บลทองหลาง อาํ เภอหว้ ยคต จงั หวดั อุทยั ธานี ถูกต้งั ข้ึนมาเมื่อปี พ.ศ. 2517 จากการอพยพยา้ ยถ่ินฐานมาจากบา้ นหว้ ยร่วมเดิมในเขตรักษาพนั ธุ์สัตวป์ ่ าหว้ ยขาแขง้ อาํ เภอหนองบวั จงั หวดั นครสวรรค์ โดยนาํ ชื่อหมู่บา้ นเดิมมาต้งั เป็นชื่อบา้ นห้วยร่วมในปัจจุบนั และมีชาวบา้ นส่วนหน่ึงอพยพมาจากจงั หวดั สุพรรณบุรี บา้ นหว้ ยร่วมมีสมาชิกชุมชน 164 คน จาํ นวน 42 ครัวเรือน เจา้ หนา้ ที่ป่ าไมไ้ ดจ้ ดั สรรพ้ืนท่ีทาํ กินใหใ้ นเขตป่ าสงวนแห่งชาติ ครอบครัวละประมาณ 10 ไร่ รวมพ้ืนที่ต้งั บา้ นเรือนและพ้นื ที่ทาํ การเกษตรจาํ นวน 2,500 ไร่ และ พ้นื ท่ีป่ าชุมชน 1,000 ไร่ สภาพพ้ืนท่ีเป็นท่ีลาดเชิงภูเขาติดกบั เขตรักษาพนั ธุ์สัตวป์ ่ าหว้ ยขาแขง้ อาณาเขตตดิ ต่อ ทิศเหนือ จดบา้ นอีซ่าพฒั นา ต.ทองหลาง อ. หว้ ยคต จ.อุทยั ธานี ทิศใต้ จดบา้ นคลองเคียน ต.คอกควาย อ.บา้ นไร่ จ.อุทยั ธานี ทิศตะวนั ออก จดหว้ ยอีซะ ทิศตะวนั ตก จดแนวกนั ชนหว้ ยขาแขง้ แผนทบี่ ้านห้วยร่วมและอซี ่า 4-24
ชาวบา้ นบา้ นหว้ ยร่วมทาํ การเกษตรในลกั ษณะของการทาํ ไร่ขา้ ว มนั สาํ ปะหลงั ไร่ ขา้ วโพด ถว่ั เขียว อาชีพเสริม ทาํ สวน ปลูกผกั ผลไม้ คา้ ขาย และรับจา้ งทวั่ ไป สภาพของดินเป็น ดินร่วนปนทราย ซ่ึงแตเ่ ดิมพ้ืนท่ีแห่งน้ีเป็นป่ ากระถิน ทาํ ใหช้ าวบา้ นไดผ้ ลผลิตไมพ่ อเพยี ง หลงั จากการเกบ็ เกี่ยวพชื ไร่ ชาวบา้ นตอ้ งอพยพแรงงานไปทาํ งานนอกหมบู่ า้ น การทาํ ไร่ตอ้ ง พ่งึ พาน้าํ จากลาํ หว้ ยท่ีสาํ คญั 5 สาย คือ ลาํ หว้ ยพู หว้ ยเงิน หว้ ยยาว หว้ ยหินลาด และหว้ ยอีซะ ตลอดจนพ่ึงพาทรัพยากรในป่ าชุมชน เพือ่ แบง่ เบาภาระของคา่ ใชจ้ า่ ยในครัวเรือน ไดแ้ ก่ หน่อไม้ เห็ดโคน พืชสมุนไพรท้งั ที่ปลูกอยบู่ ริเวณบา้ น แลว้ ยงั มีการนาํ ไปขยายพนั ธุ์ในพ้ืนท่ีป่ าชุมชนเพ่อื ใชป้ ระโยชน์ร่วมกนั ป่ าชุมชนท่ีบา้ นหว้ ยร่วมไดถ้ ูกจดั ต้งั ข้ึน เมื่อ พ.ศ.2543 จาํ นวนพ้ืนท่ี 500 ไร่ สภาพพ้นื ที่ เป็นภูเขา เป็นป่ าเบญจพรรณ ส่วนมากเป็นป่ าไผ่ โดยมีคณะกรรมการจดั การดูแลมาโดยตลอด ป่ า คอ่ นขา้ งอุดมสมบรู ณ์ มีแหล่งศึกษาธรรมชาติ เป็ นแหล่งตน้ น้าํ ลาํ ธารของห้วยอีซะ มี คณะกรรมการดูแลป่ าชุมชน 12 คน โดยแกนนาํ ร่วมกบั ชาวบา้ น มีองคก์ รที่เขา้ มาสนบั สนุนคือ อ.บ.ต. สถาบนั สุพรรณนิมิต และโครงการป่ าชุมชน 30 ป่ ารักษาทุกโรค ภายใตม้ ูลนิธิสืบนาคะ เสถียร เขา้ มาสนบั สนุนและหนุนเสริมอาชีพของคนในหม่บู า้ น ความรู้ในการใช้ประโยชน์จากป่ าและสมุนไพร ชาวบา้ นมีการใชป้ ระโยชน์จากป่ าในรูปของการหาของป่ า ไดไ้ มฟ้ ื นจากป่ า ไดข้ ายไมไ้ ผ่ รวก และหญา้ คา จากป่ าชุมชน ในช่วงท่ีเห็ดโคนออก มีชาวบา้ นท้งั ในและนอกชุมชนท่ีเก็บเห็ดไป ขาย มีรายไดค้ นละประมาณร้อยกิโลกรัม รวมปริมาณเห็ดโคนท่ีเป็นรายไดจ้ ากป่ าชุมชน ประมาณ 1 ตนั คิดเป็นเงินประมาณ 100,000 - 200,000 บาท ตอ่ ปี จากการเดินสาํ รวจป่ าชุมชนร่วมกบั นายทิน ในวิรัตน์ และนายวฒั ชยั ไวเกิด (กรรมการป่ า ชุมชน) พบวา่ ในป่ าชุมชนมีการแบ่งพ้นื ท่ี เป็ นพ้ืนท่ีป่ าใชส้ อย และพ้นื ที่ป่ าอนุรักษ์ ป่ าใชส้ อย โดย เลือกพ้ืนท่ีป่ าที่อยใู่ กลท้ าง ชาวบา้ นเขา้ ไปใชป้ ระโยชนไ์ ดง้ ่าย และไมร่ บกวนป่ าท่ีสมบรู ณ์อยแู่ ลว้ ตามธรรมชาติ มีป่ าอยสู่ องประเภทที่ชาวบา้ นไดใ้ ชป้ ระโยชน์ คือ ป่ าไผ่ มีไผห่ นาม ไผน่ วล และ ป่ าโยน (ป่ าที่มีไมผ้ ลและสมุนไพรพ้ืนล่าง ) จะเป็นป่ าท่ีอุดมสมบรู ณ์ พ้ืนล่างจะช้ืน มีพชื คลุมดิน ตลอด ยงั พบเฟิ ร์นหลายชนิด ในฤดูแลง้ (เดินสาํ รวจช่วงธนั วาคม) พบสมุนไพรหลายชนิด อาทิ รางแดง รางจืด ยา่ นาง สบ่เู ลือด พระเจา้ หา้ พระองค์ สมอภิเภก หนอนตายหยาก มา้ กระทืบโรง หนามหนั สะคา้ นยา่ นาง ส้มป่ อย นอกจากน้ียงั มีสัตวป์ ่ าอยชู่ ุกชุม เพราะชาวบา้ นอนุรักษไ์ ว้ มีท้งั กวางป่ า หมูป่ า ววั กระทิง เขา้ มาหากินในป่ ารอบๆหมูบ่ า้ น นกั วชิ าการที่มาศึกษาไดก้ ล่าวกบั ชาวบา้ นวา่ พบรอยเทา้ กระทิง และสัตวป์ ระมาณ 30 – 40 ตวั ซ่ึงมีมากกวา่ ภายในเขตรักษาพนั ธุ์สตั วป์ ่ า 4-25
ในส่วนของสมุนไพร มีคนที่มีความรู้เรื่องสมุนไพรดี เพยี งคนเดียวในหมูบ่ า้ น คือ ลุง ทิน (นายทิน ในวริ ัตน)์ ไดเ้ ล่าถึงการเรียนรู้ภมู ิปัญญาการแพทยพ์ ้ืนบา้ นไวว้ า่ “เรียนรู้จากคนแก่ในบ้านสมยั ก่อนท่ีเป็นหมอยา ได้รู้จักสมนุ ไพรจากหมอยาสมยั ก่อน และจากพ่อค้าภายนอกที่มาส่ังให้เกบ็ ทาํ ให้ลงุ รู้จักสมนุ ไพรเพิ่มขึน้ ว่าใช้รักษาโรคอะไร อย่างไร แต่บางชนิด รู้ว่าเป็นสมนุ ไพร แต่ไม่รู้สรรพคุณ ลุงมีรายได้จากการเกบ็ สมนุ ไพรขาย โดยมีพ่อค้า จากภายนอกมาสั่งให้หาไว้ให้ แล้วกม็ ารับซื้อ ก.ก.ละประมาณ 40 บาท นอกจากนน้ั ลุงกจ็ ะหา สมนุ ไพรมาดองเหล้าเป็นยาบาํ รุงกาํ ลัง การเกบ็ หาสมนุ ไพร จะตดั ให้ต้นไม้แตกได้ ตัดให้สูงหน่อย ต้นไม้จะแตกใหม่ออกมาอีกมาก บางชนิดย่ิงฟันยิ่งแตกใหม่มาก” นอกจากการหาสมุนไพรจากในป่ า ลุงทินยงั นาํ มาเพาะขยายพนั ธุ์เองในสวนขา้ งบา้ น เพื่อ สะดวกในการนาํ มาใชป้ ระโยชน์ มีวา่ นชกั มดลูก ไพลดาํ หา้ ร้อยนาง ยาบาํ รุงกาํ ลงั มา้ ฮ่อ กระทือ ขมิน้ ดาํ ขมิ้นออ้ ย โคคลาน วา่ นทาํ มะลา แกค้ อตีบ กระชายดาํ ดองเหลา้ บาํ รุงกาํ ลงั กระวาน กาํ ลงั เสือโคร่ง มีมากในป่ าชุมชน กาํ ลงั ววั กระทิง หายาก มีแต่ในป่ าลึก มา้ กระทืบโรง มี มากในป่ าชุมชน ตวั อยา่ งสมุนไพรในป่ า ที่นาํ มาเพาะไวใ้ นป่ าชุมชน กาบหอยแครง สบู่เลือด ดีตะกวด กระแตไตไ่ ม้ ที่จบั อยตู่ ามหิน กินเป็นผกั กินเป็ นยาแกโ้ รคร้อนใน หางไหล พญาเทา้ เอว ตวั อยา่ ง สูตรยาของลุงทิน ลูกสะบา้ เอามาฝนผสมกบั น้าํ มนั กา๊ ดทาแกโ้ รคผวิ หนงั พพุ อง ไดด้ ี ใบของตน้ เขยตายแม่ยายปก เอามาตาํ ผสมกบั เหลา้ ขาว ใชท้ าแกโ้ รคงูสวดั ไดผ้ ลดี จากการ เดินสาํ รวจป่ าชุมชน พบสมุนไพรหลายชนิด อาทิ รางแดง รางจืด ยา่ นาง สบ่เู ลือด พระเจา้ หา้ พระองค์ สมอภิเภก หนอนตายหยาก คนในชุมชนมีการใชป้ ระโยชนจ์ ากสมุนไพรอยูบ่ า้ ง ส่วนใหญใ่ ชใ้ นกรณีการรักษาโรคที่ หมอแผนปัจจุบนั รักษาไมไ่ ด้ เช่น งูสวดั โรคคนั พุพอง ประดงโดยชาวบา้ นจะรู้จกั สมุนไพรกนั อยู่ หรือมาถามจากลุงทินท่ีจะบอกตวั สมุนไพรท่ีใชร้ ักษาไปให้ แลว้ ชาวบา้ นจะไปหาเอาเอง ในป่ า ชุมชน นอกจากน้นั กม็ ีนางสุข ในวริ ัตน์ อายุ 84 ปี เคยเป็นผชู้ ่วยหมอตาํ แยในหม่บู า้ น สมุนไพร ท่ีใช้ เป็นยาคลอดลูกง่าย เป็ นยาผบี อก สูตรยา บอกไม่ไดเ้ ป็นความลบั ซ่ึงเวลาจะทาํ ยา จะไปหาเก็บ เอาตามหวั ไร่ปลายนา ไม่ไกลจากหมู่บา้ นมากนกั เวลาคนในหมบู่ า้ นทอ้ งกจ็ ะมาขอใหน้ างสุขทาํ ยา ให้ ยาจะมดั เป็นสามเปลาะ เวลากินจะแกอ้ อกทีละเปลาะ เป็นเคลด็ มียาบาํ รุงกาํ ลงั ท่ีใชร้ ากไทร ยอ้ ยเอามาตม้ รับประทาน 4-26
ตารางการเกบ็ เก่ยี วผลผลติ จากป่ าตามฤดูกาลบ้านห้วยร่วม พชื และอาหารจากป่ า เดือน ชนิดของพชื อาหาร มูลค่าทางเศรษฐกจิ วธิ ีการเกบ็ กฎเกณฑ์ใน ต่อคน ต่อปี การใช้ประโยชน์อย่าง ธนั วาคม ริมลาํ หว้ ยมีผกั กดู ผกั หนาม ผกั กุ่ม ปลาขายไดค้ ร้ังละ อนุรักษ์ มกราคม ในหว้ ยมีปลา ตะพาบ ปลาดุก ปลา ไมไ่ ดห้ วงหา้ ม อนุญาต ไหล ปลาตาขาว ปลาช่อน หอยขม 5 – 10 ก.ก. ใหค้ นในหม่บู า้ นและ กมุ ภาพนั ธ์ เก็บ คนภายนอกเขา้ มาเก็บ มิถุนายน หอยเฮย้ กุง้ ฝอย กรกฎาคม เก็บหาไดต้ ลอดในช่วงหนา้ แลง้ น้าํ ท้งั หม่บู า้ นขาย หาได้ สิงหาคม หน่อไมไ้ ดเ้ งิน ลด ประมาณ 60,000 – ขายเป็นหน่อไมส้ ดและ เร่ิมมีผกั หวานป่ า 70,000 บาท นาํ มาแปรรูปเป็ น ช่วงที่เปิ ดใหห้ าหน่อไมใ้ นป่ า ต่อปี หน่อไมด้ องขายไดร้ าคา สูงข้ึน ตุลาคม มีเห็ดโคน ท้งั หมบู่ า้ นมีรายได้ ออก 3 รอบ ปี ละ 70,000 – 80,000 บาทจากการ จาํ หน่ายเห็ดโคน 4-27
ไม้ในป่ า ชนิดของไม้ในป่ า มูลค่าทางเศรษฐกจิ วธิ ีการเกบ็ กฏเกณฑ์ในการใช้ประโยชน์อย่างอนุรักษ์ ต่อคน ต่อปี ไมฟ้ ื น ท่ีเก็บในป่ า ไม่ไดข้ าย เอามาใช้ เกบ็ เฉพาะก่ิงไมท้ ่ีหกั หล่น ไม่ไปตดั ฟันจากตน้ ชุมชน ช่วง ในบา้ น และเผาถ่าน หนา้ แลง้ ใชใ้ นบา้ น ไมไ้ ผ่ ไมน้ วล ไม้ ไมน้ วล ชาวบา้ นนาํ มาสานเข่งใชง้ านในไร่ และขาย ใหก้ บั คนขา้ งนอก เป็ นรายไดเ้ สริมช่วงฤดูแลง้ เขียว และหวาย ท่ีมี ไมไ้ ผพ่ นั ธุ์อ่ืน นาํ มาใชท้ าํ พ้ืน ทาํ ฝาบา้ น ใหต้ ดั ไดท้ ้งั ปี หวายตดั มาใชป้ ระโยชนไ์ ดแ้ ตข่ ายไม่ได้ ไมย้ นื ตน้ อาทิ อนุญาตใหใ้ ชไ้ ดเ้ ฉพาะไมล้ ม้ ขอนนอนตาย ซ่ึงตอ้ งขอ ไมแ้ ดง เสลา อนุญาตจากคณะกรรมการป่ าชุมชนและเจา้ หนา้ ที่ป่ า ไมใ้ นพ้ืนท่ีก่อนนาํ ไปใชป้ ระโยชน์ หญา้ คา ในช่วงหนา้ แลง้ ชาวบา้ นเก่ียวมากรองทาํ เป็นตบั ขาย และเก่ียวมาขายใหก้ บั ชาวไร่สปั ปะรด ใชค้ ลุมตน้ สปั ปะรด พชื สมุนไพร • สมุนไพรมีใหเ้ กบ็ หาไดท้ ้งั ปี แต่ส่วนใหญจ่ ะนิยมเก็บในฤดูฝน • สมุนไพรที่เป็นหวั ลงดิน วธิ ีการเก็บ จะเลือกขดุ เอาเฉพาะหวั ใหญ่ ทิง้ หวั เลก็ ๆไวใ้ ห้ มนั เติบโต • สมุนไพรท่ีเป็นเครือเถา จะตดั เอาเฉพาะส่วนท่ีตอ้ งการเทา่ น้นั ส่วนท่ีเป็นโคนตน้ ทิ้ง ไวม้ นั จะแตกออกใหมเ่ พิม่ ข้ึนอีกมาก • สมุนไพรที่เป็นไมย้ นื ตน้ ใชเ้ ปลือกหรือแก่น แบบท่ีใชเ้ ปลือก จะลอกเอาเปลือกเฉพาะ แห่ง ไม่ถากถึงเน้ือ ไมใ่ หเ้ ยอื่ ไมข้ าด ตน้ ไมจ้ ะงอกเปลือกมาคลุมปิ ดเองเหมือนเดิม แบบท่ีใชแ้ ก่น จะตดั ใหเ้ ลยหวั เข่า มนั จะแตกใหม่ได้ มากกวา่ เดิม 4-28
สมนุ ไพรกาํ ลงั ววั กระทิง สมุนไพรพญาเทา้ เอว นายทิน ในวริ ัตน์ หมอพ้ืนบา้ น ดีตะกวด ท้งั ดอก ผล กินดิบ เป็ นอาหารได้ ป้ ายป่ าชุมชนบา้ นหว้ ยร่วม สภาพป่ าชุมชนบา้ นหว้ ยร่วม 4-29
การจัดการป่ าชุมชนในเขตป่ ากนั ชน การจดั การป่ าชุมชนของบา้ นหว้ ยร่วมเริ่มมาต้งั แต่ พ.ศ.2543 และมาเป็นรูปธรรมจริงในปี 2547 ในช่วงแรกชาวบา้ นริเร่ิมทาํ เองเพื่อดูแลรักษาป่ า โดยชกั ชวนกนั ในเครือญาติ ท่ีเริ่มสนใจเดิน ป่ าดูแลป่ าร่วมกนั ในช่วงปี แรกๆ มีชาวบา้ นไม่เห็นดว้ ย มีการเผาป้ อมป่ าชุมชน แกนนาํ ของกลุ่มท่ี ริเร่ิมไดเ้ ขา้ ไปปรึกษาเจา้ หนา้ ที่ป่ าไม้ ขอจดั ต้งั เป็นป่ าชุมชน แตป่ ่ าไมไ้ มย่ อมใหต้ ้งั จนกระทง่ั ทาง มูลนิธิสืบนาคะเสถียรเขา้ มาใหค้ าํ ปรึกษา แนะนาํ เรื่องการแบ่งพ้นื ที่ป่ า ต้งั แตป่ ี 2548 ทาํ ใหเ้ ร่ิมมี การสร้างความเขา้ ใจ และพดู คุย ตอ่ มาปี 2549 มีคนเขา้ มาร่วมมากข้ึน และมีการทาํ กิจกรรมการดูแลป่ าอยา่ งจริงจงั จน ชาวบา้ นเร่ิมใหก้ ารยอมรับ ในการทาํ กิจกรรมไดม้ ีการเชิญเจา้ หนา้ ท่ีป่ าไมเ้ ขา้ มาร่วมทุกคร้ัง ปัจจุบนั เจา้ หนา้ ท่ีป่ าไมเ้ ร่ิมใหก้ ารยอมรับป่ าชุมชนของชาวบา้ น มีรูปแบบของคณะกรรมการป่ า ชุมชน มีการต้งั กฎเกณฑใ์ นการจดั การป่ า ที่รับรู้ร่วมกนั ท้งั ในและนอกชุมชน โดยการสนบั สนุน จากโครงการ 30 ป่ า รักษาทุกโรคท่ีดาํ เนินการโดยมลู นิธิสืบนาคะเสถียร ซ่ึงไดร้ ับงบประมาณ สนบั สนุนจากสถาบนั พฒั นาองคก์ รชุมชน (พ.อ.ช.) โดยกนั พ้ืนที่ทางทิศตะวนั ออกเฉียงใตข้ อง หมู่บา้ นประมาณ 1,000 ไร่ เป็นป่ าชุมชนซ่ึงพ้นื ท่ีติดกนั เป็นป่ าชุมชนของกลุ่มบา้ นกะเหร่ียง บา้ น อีซ่าพฒั นาและบา้ นกุดจะเลิดท่ีอยใู่ นหม่เู ดียวกนั กฎระเบยี บป่ าชุมชนบ้านห้วยร่วม 1. หา้ มบุกรุกแผว้ ถางหรือเผาถ่าน ยดึ ครองพ้ืนท่ีป่ าชุมชน 2. หา้ มล่าสตั วป์ ่ าทุกชนิดในป่ าชุมชน 3. หา้ มตดั ไมย้ นื ตน้ หรือไมท้ ่ีมีค่าทุกชนิดในป่ าชุมชน 4. การตดั ไมไ้ ผใ่ ชส้ อยตอ้ งขออนุญาตจากคณะกรรมการป่ าชุมชน 5. หา้ มนาํ เครื่องมือล่าสตั วเ์ ขา้ มาในเขตป่ าชุมชน (ยกเวน้ เจา้ หนา้ ท่ีออกตรวจป่ า) 6. การเก็บหาของป่ าหรือสมุนไพรตอ้ งขออนุญาตจากคณะกรรมการป่ าชุมชน 7. การหาหน่อไมใ้ หห้ าไดจ้ นกวา่ คณะกรรมการจะประกาศปิ ดป่ า 8. หา้ มบุคคลภายนอกเขา้ มาใชป้ ระโยชน์ในเขตป่ าชุมชนเด็ดขาด ยกเวน้ การศึกษาทาง ธรรมชาติ 9. หา้ มจุดไฟในเขตพ้ืนท่ีติดต่อป่ าชุมชน 10. หา้ มเกบ็ ของป่ าในเขตอนุรักษโ์ ดยเด็ดขาด ท่ีแสดงเครื่องหมาย ผ้ทู ฝี่ ่ าฝื นกฎระเบียบจะมโี ทษดังนี้ 1. คณะกรรมการจะทาํ การปรับเป็นเงิน ต้งั แต่ 500-5,000 บาท 2. คณะกรรมการจะตกั เตือน หรืออาจจะส่งดาํ เนินคดี 4-30
3. เงินที่ไดจ้ ากการปรับจะรวมเขา้ หมูบ่ า้ น เป็นเงินทุนกลางเพอื่ ใชป้ ระโยชน์บาํ รุงป่ า ชุมชน 4. กฎระเบียบดงั กล่าว สามารถเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม คณะกรรมการป่ าชุมชนร่วมมือกนั ทาํ แนวกนั ไฟ เพอ่ื ป้ องกนั ไฟป่ าทุกปี มีการประสาน ความร่วมมือระหวา่ งชุมชนรอบป่ า โดยการใชว้ ทิ ยสุ ื่อสาร เม่ือเกิดไฟป่ าหรือมีการลกั ลอบตดั ไม้ ชาวบา้ นจะร่วมมือกนั สกดั ไฟป่ า ทาํ ใหส้ ามารถรักษาตน้ ยางใหญ่ขนาด 7 คนโอบไวไ้ ด้ ป่ าไมม้ ีการ ฟ้ื นตวั ตามธรรมชาติหลงั จากมีการป้ องกนั ไฟป่ ามาสองปี มีลูกไมห้ ลายชนิดข้ึนมากมาย โดย คณะกรรมการป่ าชุมชนพ่ึงไดร้ ับงบประมาณช่วยเหลือในการป้ องกนั ไฟป่ าในปี 2550 โดยมลู นิธิ สืบฯช่วยประสานงานให้ เป็นงบสนบั สนุนจากหวั หนา้ เขตรักษาพนั ธุ์สัตวป์ ่ าหว้ ยขาแขง้ ซ่ึงเป็น งบประมาณสนบั สนุนเฉพาะปี 2550 เทา่ น้นั นอกจากน้นั ยงั มีกิจกรรมการอนุรักษท์ ่ีชาวบา้ นช่วยกนั จดั ไดแ้ ก่ สร้างจิตสาํ นึกของ เยาวชนในหมู่บา้ น โดยการพาไปเขา้ ป่ า ศึกษาธรรมชาติ เรียนรู้ตน้ ไม้ และสมุนไพรในป่ าชุมชน และมีการมาศึกษาดูงานจากภายนอก บางมหาวทิ ยาลยั พานกั ศึกษามาศึกษาวจิ ยั เกบ็ ขอ้ มูลในป่ า ชุมชน อาทิ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ มีค่ายเดินป่ าศึกษาธรรมชาติของสถาบนั การศึกษาตา่ งๆ เช่น สถาบนั ราชภฎั มหาวทิ ยาลยั โดยตวั แทนคณะกรรมการป่ าชุมชนมีการเขา้ ไปประสานกบั โรงเรียน ทาํ ใหม้ ีโรงเรียนนาํ เดก็ มาออกค่ายกนั ทุกปี อาทิ โรงเรียนการุ้ง โรงเรียนหว้ ยคต มี หน่วยงานเกษตรจากนครสวรรค์ สิงห์บุรี มาดูงานที่ป่ าชุมชนของหว้ ยร่วม และมีสื่อมาทาํ สารคดี เผยแพร่ ทาํ ใหป้ ่ าชุมชนของหมู่บา้ นหว้ ยร่วมเร่ิมเป็นท่ีรู้จกั ของคนภายนอก อยา่ งไรกต็ ามชุมชนก็ยงั ไมไ่ ดร้ ับการสนบั สนุนงบประมาณทางตรงในการจดั การดูแลป่ า จากหน่วยงานใด ตอ้ งหางบประมาณในการทาํ งานกนั เอง เช่น ขอรับบริจาคจากหน่วยงานราชการ เวลามีการจดั กิจกรรมพาเด็กเดินป่ า และมีเงินกยู้ มื ปลอดดอกเบ้ียที่ไดร้ ับการสนบั สนุนจากมูลนิธิ ศุภนิมิตร ท่ีใหม้ าสาํ หรับเป็ นเงินทุนในการรับซ้ือหน่อไมป้ ่ า มาทาํ หน่อไมด้ อง ผลกาํ ไรที่ไดจ้ ะ นาํ มาใชใ้ นการจดั กิจกรรมสร้างจิตสาํ นึกใหก้ บั เยาวชนและเป็นกองทุนในการจดั กิจกรรมของเดก็ ในหม่บู า้ น ปัญหา อุปสรรคและการแก้ไขปัญหา ในช่วงแรกที่จดั ต้งั เป็นป่ าชุมชน มีปัญหาเรื่องการยอมรับในหมูบ่ า้ น ชาวบา้ นเคยมาเผา ป้ อมศูนยเ์ ฝ้ าระวงั ป่ าชุมชนบา้ นหว้ ยร่วม และทา้ ทายดว้ ยการตดั ไม้ แตภ่ ายหลงั ไดม้ ีการสร้างความ เขา้ ใจ พดู คุย และเผยแพร่ความคิดผา่ นเดก็ และเยาวชนในหมูบ่ า้ น มีการนาํ เด็กมาจดั กิจกรรมเดินป่ า ทุกวนั เสาร์ ให้เดก็ ไปพดู คุยกบั ผปู้ กครอง ทาํ ใหช้ าวบา้ นเริ่มเห็นดว้ ยและยอมรับกบั การจดั การป่ า ชุมชน 4-31
“เราจะต้องสร้างแหล่งหากินให้เขา ให้เขาเห็นคุณค่าว่าได้ประโยชน์จากป่ าชุมชน เรากเ็ อา ไม้ไผ่รวกมาลง ชาวบ้านได้เข้ามาหากิน เขาเห็นประโยชน์ กเ็ ร่ิมยอมรับ เริ่มมีการนาํ สมนุ ไพรจาก ป่ ามาปลูกในป่ าชุมชน โดยมีแผนจะเพาะขยายให้เป็นรายได้ในป่ าชุมชน ให้กับชาวบ้าน มีการ สร้างแนวร่วมมากขึน้ เมื่อได้รับงบประมาณมาจากแหล่งใด กเ็ อามาแบ่งปันกันในหม่บู ้านเพื่อสร้าง อาชีพ ทาํ บ่อเลีย้ งปลา ผลที่ได้รับจากการที่ชาวบ้านได้ใช้ประโยชน์จากป่ า สามารถรักษาป่ าไว้ให้ ลกู หลาน ชาวบ้านเร่ิมยอมรับ ไม่เข้าไปบุกรุกป่ า และเร่ิมเข้ามาร่วมมือในการดแู ลป่ ามากขึน้ ” (นายวฒั ชยั ไวเกิด ประธานคณะกรรมการป่ าชุมชน ) ปัจจุบนั การกนั พ้ืนท่ีเป็นป่ าชุมชนของหมูบ่ า้ น สามารถป้ องกนั การบุกรุกแผว้ ถางจาก นายทุนทอ้ งถ่ินในหมู่บา้ น อยา่ งไรก็ตามนายทุนรายน้ีก็ยงั ทาํ การบุกรุกป่ าทางดา้ นหน่ึงของ หมู่บา้ น โดยเจา้ หนา้ ท่ีป่ าไมไ้ มไ่ ดเ้ ขา้ มาจดั การอะไร แต่ไม่ไดร้ ุกเขา้ มาในเขตป่ าชุมชน นอกจากน้นั ยงั มีโครงการทาํ ฝายก้นั น้าํ ของหลวงพอ่ วชิ า เจา้ อาวาสวดั ทุง่ นางาม เป็นฝายขนาดใหญ่ก้นั ลาํ น้าํ อีซ่าเพอ่ื กกั น้าํ ไว้ เพื่อผนั น้าํ ไปใหห้ มู่บา้ นแถบคลองชะนี มีการตดั ตน้ ไมบ้ ริเวณรอบๆ และขดุ ดิน มาถมบริเวณหนา้ เขื่อนที่กกั เก็บน้าํ 3.2) บ้านอซี ่าพฒั นา : วถิ ชี าวไร่ในเขตป่ ากนั ชน บา้ นอีซ่าพฒั นาต้งั อยทู่ ี่หมู่ 3 ตาํ บลทองหลาง อาํ เภอหว้ ยคต จงั หวดั อุทยั ธานี ในอดีต หมูบ่ า้ นอีซ่าข้ึนอยกู่ บั ตาํ บลคอกควาย แตป่ ัจจุบนั เปลี่ยนมาเป็นตาํ บลทองหลาง โดยสภาพทว่ั ไป จะไม่มีการปลูกสร้างบา้ นเรือน แต่จะอยใู่ นรูปสวนสกั โดยผกู้ ่อต้งั หมู่บา้ นตามความเช่ือของ ชาวบา้ น คือ ป่ ูเบิกคอง เป็นผกู้ ่อต้งั มากวา่ 250 ปี และไดม้ ีลูกหลานและมีผมู้ าอาศยั อยใู่ หมใ่ นกลุ่ม บา้ น ตน้ มะขามเป็นหลกั ฐานยนื ยนั การต้งั ถ่ินฐานมายาวนานเท่าอายขุ องป่ ูเบิกคอง ชาวบา้ นเรียกวา่ “มะขามกบู้ า้ น” บา้ นอีซ่าพฒั นามีสมาชิกชุมชน130 คน จาํ นวน 22 ครัวเรือน บา้ นอีซ่าพฒั นาต้งั อยู่ ในเขตพ้ืนท่ีป่ าสงวนแห่งชาติ จาํ นวนเน้ือที่ 500 ไร่ มีลาํ หว้ ยลอ้ มรอบหมู่บา้ น (ชาญณรงค์ วงค์ วชิ ยั , มปป. , เอกสารอดั สาํ เนา) อาณาเขตติดต่อ ทิศเหนือ ติดกบั บา้ นคลองชะนีบน หมู่ 3 ต.ป่ าออ้ อ.ลานสัก จ.อุทยั ธานี ทิศใต้ ติดกบั บา้ นคลองเคียน หมู่ 3 ต.ทองหลาง อ.หว้ ยคต จ.อุทยั ธานี ทิศตะวนั ออก ติดกบั บา้ นคลองชะนีบน หมู่ 3 ต.ป่ าออ้ อ.ลานสกั จ.อุทยั ธานี ทิศตะวนั ตก ติดกบั บา้ นหว้ ยร่วม หมู่ 3 ต.ทองหลาง อ.หว้ ยคต จ.อุทยั ธานี วถิ ีชีวติ ของชาวกะเหรี่ยงบา้ นอีซ่าทาํ ไร่ขา้ วโพด มนั สาํ ปะหลงั สับปะรด และทาํ ไร่ขา้ ว โดยพ่ึงพาลาํ หว้ ยอีซ่า และรับจา้ งทาํ งานในไร่บริเวณหมบู่ า้ นใกลเ้ คียงอนั เน่ืองมาจากผลผลิตใน 4-32
ท่ีดินทาํ กินไม่พอเพยี ง นายเก้ีย คลองแหง้ ไดเ้ ล่าถึงวถิ ีชีวติ ของคนกะเหร่ียงท่ีตอ้ งเปล่ียนจากการทาํ ไร่หมุนเวยี นมาเป็นชาวไร่ ซ่ึงสร้างความยากลาํ บากต่อการมีอาหารไม่พอเพยี ง “เดิมคนกะเหร่ียงที่น่ีทาํ ไร่ข้าวในลกั ษณะหมนุ เวียนกนั ไปในป่ า มีการปลูกพืชพนั ธ์ุที่กิน และใช้ประโยชน์ได้ท้ังปี ในไร่ เช่น ข้าวไร่ ข้าวโพด ฟัก แฟง พริก มะเขือ ยาสูบ และสมนุ ไพรท่ีใช้ ประจาํ ครัวบางอย่าง ทาํ ให้พอยงั ชีพอย่ไู ด้ไม่เดือดร้อน แต่ภายหลังจากเขตรักษาพนั ธ์ุสัตว์ป่ าห้วยขา แข้งมีการประกาศเป็ นมรดกโลก ทาํ ให้มีการล้อมร้ัวลวดหนามรอบๆ ซึ่งกินพืน้ ท่ีไร่ข้าวบางส่วน ของชาวบ้านไปด้วย ปัจจุบันคนกะเหรี่ยงในพืน้ ท่ีนีส้ ่วนใหญ่เหลือพืน้ ที่ทาํ กินเพียงไร่ ผืนเดียวซึ่งมี ประมาณ 6 – 10 ไร่เท่าน้นั ทาํ ให้ไม่สามารถทาํ ไร่ข้าวหมุนเวียนได้อีก มีบางบ้านเท่าน้ันที่ยงั เหลือที่ ไร่พอจะหมุนสลับกันได้สองแปลง คนที่ไม่สามารถจะทาํ ไร่หมนุ เวียนได้ จึงหันมาปลูกพืชไร่อย่าง ข้าวโพด มนั สาํ ปะหลัง และสัปปะรด แทน ผลที่เกิดขึน้ กค็ ือ พันธ์ุพืชที่เคยปลกู ในไร่ หลายชนิด ได้ สูญพันธ์ุไป” ตารางแสดงการใช้ประโยชน์ทด่ี นิ ของชาวบ้านอซี ่าพฒั นา ประเภทการใช้ทดี่ นิ ช่วงเวลา/เดือน ขา้ วโพด กมุ ภาพนั ธ์ – พฤษภาคม งวด 1 กรกฏาคม – สิงหาคม งวด 2 ขา้ วไร่ กรกฏาคม – สิงหาคม พชื ผกั สวนครัว ตลอดปี มนั สาํ ปะหลงั กุมภาพนั ธ์ - ธนั วาคม กลว้ ยท่ีมีความยาวตา่ งจากกลว้ ยท่ีอื่น ผกั กดู ท่ีชาวบา้ นเกบ็ ตามริมน้าํ และสวนครัว 4-33
ชาวบา้ นเตรียมกลา้ ตน้ มนั สาํ ปะหลงั ปลกู ในแปลง ผลฟักท่ีบา้ นอีซ่าพฒั นา ผลกระทบของการประกาศเขตรักษาพนั ธุ์สัตวป์ ่ าหว้ ยขาแขง้ มาทบั ซอ้ นท่ีทาํ กินของ ชาวบา้ นอีซ่าพฒั นาบางส่วนทาํ ใหค้ วามหลากหลายของพชื อาหารในแปลงเกษตรกรรมลดลง มี การใชท้ ่ีดินอยา่ งเขม้ ขน้ และใชส้ ารเคมี ซ่ึงส่งผลกระทบตอ่ ผลผลิตของอาหารลดลง เน่ืองจาก สภาพดินเสื่อมคุณภาพ การใช้ประโยชน์จากป่ าของบ้านอซี ่าพฒั นา ชาญณรงค์ วงคว์ ชิ ยั จากมลู นิธิสืบนาคะเสถียร (เอกสารอดั สาํ เนา, มมป., หนา้ 5-8)ได้ สาํ รวจสภาพป่ าของกลุ่มบา้ นอีซ่าพฒั นาและบา้ นกดุ จะเลิด พบวา่ เป็นป่ าเบญจพรรณ มีพนั ธุ์ไม้ ต่างๆ เช่น ไมแ้ ดง ไมป้ ระดู่ ไมส้ ะหวอง ไมผ้ า่ ชาวบา้ นใชป้ ระโยชน์ในการหาหุงอาหารเป็ นหลกั โดยมีการเก็บเศษไมแ้ หง้ ในช่วงฤดูแลง้ และฤดูหนาว สาํ หรับสตั วป์ ่ ามีชุกชุม เช่น ไก่ป่ า นกป่ า หมู ป่ า เสือ ตะกวด งู โดยเฉพาะในช่วงฤดูกาลเพาะปลูกจะมีสัตวป์ ่ าลงมากินพชื ผลของชาวบา้ น สาํ หรับการเกบ็ หาของป่ าเก็บตลอดท้งั ปี เนื่องจากอยใู่ กลก้ บั เขตรักษาพนั ธุ์สตั วป์ ่ าหว้ ยขาแขง้ ชาวบา้ นไดใ้ ชป้ ระโยชนจ์ ากผลผลิตในป่ า ไดแ้ ก่ หน่อไม้ ไมไ้ ผ่ เห็ดโคน เห็ดไม้ เห็ดไผ่ ผกั หวาน หวาย กลอย กลว้ ยป่ า และ สมุนไพร ชาวบา้ นเก็บเห็ดโคน ซ่ึงสร้างรายไดป้ ระมาณ 10,000 – 30,000 บาท/ปี /ครอบครัว นางถุง หมนั่ เกตุ ไดเ้ ล่าใหเ้ ห็นถึงการพ่ึงพาป่ าของชาวบา้ น “มีไม่ไผ่ป่ า ตัดได้ตลอดทั้งปี ไม่ได้ห้าม ตัดมาทาํ ฝา ทาํ พืน้ บ้าน ทาํ ด้ามจอบ ด้ามเสียม ทาํ ย้งุ สานกระบงุ ตะกร้า ทาํ สุ่ม ไม้ยืนต้น ให้ใช้ได้เฉพาะไม้ที่ล้มแล้ว แต่ต้องไปขออนุญาต คณะกรรมการป่ าชุมชน และไปแจ้งเจ้าหน้าท่ีป่ าไม้ อนุญาตให้ใช้เพื่อทาํ บ้าน ในกรณีที่จาํ เป็น เช่น ไม่มีบ้านอย่เู ท่านั้น มีไม้หัวไร่ปลายนา สามารถตัดมาใช้ประโยชน์ได้ตามความจาํ เป็น แต่มีข้อห้าม ในการตดั ไม้ จากป่ า ซ่ึงเป็นข้อห้ามตามความเช่ือของคนกะเหรี่ยงท่ีจะไม่ตัดไม้ในเดือนห้า เขาจะ 4-34
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236