ควบคุมจดั การสายพนั ธุ์พืช ควบคุมระบบการผลิตท้งั หมด ที่สาํ คญั ทาํ อยา่ งไร เราจึงสามารถพลิก ฟ้ื น “ชุมชนเรียนรู้” และเครือข่ายการเรียนรู้ของทอ้ งถิ่น โดยเฉพาะในส่วนที่เก่ียวกบั การอนุรักษ์ และพฒั นาสายพนั ธุ์พืช และอาํ นาจในการควบคุมจดั การทรัพยากรของชุมชนใหเ้ กิดข้ึนอีกคร้ังหน่ึง (4) ภูมิปัญญาท้องถ่ินกบั การรักษาพยาบาลพนื้ บ้าน ความรู้เกี่ยวกบั การ รักษาพยาบาลพ้นื บา้ นเป็นของชุมชน และมีจุดมุง่ หมายหลกั ในการรักษาคน มิใช่รักษาโรค และยงั ถูกกาํ กบั และทดั ทานโดยอาํ นาจทางศีลธรรม หมอพ้ืนบา้ นถูกควบคุมดว้ ยจารีตที่สาํ คญั เจ่น การ ไหวผ้ แี ละความขลงั จารีตเกี่ยวกบั การถ่ายทอดวชิ า เป็ นตน้ ความรู้ในการรักษาพยาบาลพ้ืนบา้ น น้นั ไมห่ ยดุ นิ่ง มีการปรับเปลี่ยนและประยกุ ตใ์ ชภ้ มู ิปัญญาเดิมใหส้ อดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของ ยคุ สมยั ความสามารถในการส่ือสารกบั ชาวบา้ น การทาํ หนา้ ท่ีผอ่ นคลายความเครียด และอาการ เจบ็ ป่ วยท่ีเกิดจากความเครียดที่เพิม่ มากข้ึนจากการเขา้ สู่ระบบตลาด ตลอดจนคา่ ใชจ้ ่ายไมส่ ูงนกั ทาํ ใหร้ ะบบการรักษาพยาบาลพ้ืนบา้ นเป็นองคค์ วามรู้ท่ีไดร้ ับความสนใจนาํ ไปประยกุ ตใ์ ชน้ าํ เสนอ แนวคิดเร่ือง “สาธารณสุขทางเลือก” ท่ีสอดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการและความเป็นจริงของสงั คมไทย (5) ระบบนิเวศเกษตรกบั การจัดการทรัพยากร การอนุรักษร์ ะบบนิเวศเกษตร พ้ืนบา้ นด้งั เดิม เช่น ระบบไร่ยา้ ยที่ ไร่หมุนเวยี น เป็ นตน้ จะเป็นพ้ืนฐานสาํ คญั ของการพฒั นาระบบ การจดั การทรัพยากรบนที่สูง เพราะการอนุรักษร์ ะบบนิเวศเกษตรมีคุณประโยชนส์ าํ คญั อยา่ งนอ้ ย 3 ประการ คือ ประการที่หน่ึง การอนุรักษส์ ายพนั ธุ์พ้ืนบา้ นท้งั ท่ีเป็นอาหารและยาภายในทอ้ งถ่ิน ประการท่ีสอง การอนุรักษร์ ะบบนิเวศเกษตรเป็นการรักษาความหลากหลายทางวฒั นธรรม และให้ ความเคารพต่อศกั ด์ิศรี และอตั ลกั ษณ์ของกลุ่มชาติพนั ธุ์ต่างๆ และยงั ส่งเสริมใหป้ ระชาชนกลุ่ม ต่างๆเขา้ มามีส่วนร่วมในการจดั การทรัพยากรอยา่ งแทจ้ ริง ประการที่สาม เป็นการอนุรักษร์ ะบบ นิเวศ ระบบการผลิตและแหล่งอาหารของชุมชน ช่วยสร้างความมน่ั คงใหก้ บั ระบบการผลิตอาหาร ซ่ึงเป็นพ้ืนฐานสาํ คญั ของการสร้างเสริมศกั ยภาพในการพฒั นาตนเองของเกษตรกรอยา่ งยงั่ ยนื (6) ความเป็ นธรรมทางสังคมกบั ความเป็ นธรรมของระบบนิเวศ ภมู ิปัญญาทอ้ งถิ่น ของกลุ่มชาติพนั ธุ์ตา่ งๆใหค้ วามสาํ คญั กบั ความเป็นธรรมทางสังคม เพราะวา่ ความเป็ นธรรมทาง สังคมเป็นเง่ือนไขของความเป็นธรรมต่อระบบนิเวศ ซ่ึงทาํ ใหค้ นยากจน ผดู้ อ้ ยโอกาสไร้ที่ทาํ กิน สามารถดาํ รงชีวติ ไดอ้ ยา่ งมีศกั ด์ิศรี ถา้ หากเปิ ดโอกาสใหช้ ุมชนและประชาชนในทอ้ งถิ่นมีบทบาท สาํ คญั ในการกาํ หนดสิทธิในการเขา้ ถึงทรัพยากร เพราะเป็นเง่ือนไขสาํ คญั ในการสร้างความเป็ น ธรรมทางสงั คม และเปิ ดโอกาสใหป้ ระชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารจดั การทรัพยากรของชุมชน อยา่ งแทจ้ ริง กล่าวไดว้ า่ งานศึกษาท้งั สามชิ้นไดส้ รุปแนวคิดของการศึกษาท่ีเป็นระบบต่อแนวคิด การศึกษาความสัมพนั ธ์ระหวา่ งป่ าชุมชน ความหลากหลายทางชีวภาพ ภมู ิปัญญาทอ้ งถิ่น กบั การ พฒั นาอยา่ งยง่ั ยนื ซ่ึงเป็นการศึกษาในมิติสหศาสตร์เชิงวฒั นธรรม เศรษฐกิจชุมชน ความเป็นธรรม 2-28
ทางสงั คม และภมู ิปัญญาทอ้ งถ่ินของชุมชนอยรู่ ่วมกบั ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ ของฐานทรัพยากรอยา่ งยงั่ ยนื สรุปงานศึกษาในประเทศไทยเก่ยี วกบั ป่ าชุมชนและความหลากหลายทางชีวภาพมี การศึกษาแยกส่วนเฉพาะสาขา เช่น การศึกษาในมติ วิ ฒั นธรรมทเ่ี ก่ยี วกบั ภูมปิ ัญญาท้องถ่ินใน ระดับความรู้ หรือเทคโนโลยีพนื้ บ้าน ทส่ี ัมพนั ธ์กบั ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น การศึกษาพฤติกรรม ของชาวบ้านในการใช้ประโยชน์และการอนุรักษ์ทรัพยากร การศึกษาพนั ธุกรรมข้าว การศึกษา วฒั นธรรมทเี่ กีย่ วกบั อาหารและผกั พนื้ บ้าน หรือวฒั นธรรมของกล่มุ ชาตพิ นั ธ์ุในระบบการผลติ ทาง เกษตรกรรม เป็ นต้น หรืองานศึกษาที่เป็ นการศึกษาเกยี่ วกบั พฤกษศาสตร์พนื้ บ้าน ทเี่ กย่ี วโยงกบั ความรู้ทางด้านชีววทิ ยาและวฒั นธรรม ด้วยการรวมรวมพนั ธ์ุพชื พนื้ บ้าน เป็ นต้น แต่ต่อมาได้มี พฒั นาศึกษาในทางสหวชิ าการ ซึ่งสรุปแนวทางและแนวคิดของงานศึกษาได้ดงั นี้ (1) งานศึกษาเกี่ยวกบั บทบาทของชุมชนในการจดั การป่ า เป็ นงานศึกษาวเิ คราะห์ องคก์ รประชาชนในการจดั การป่ า การรวมกลุ่ม บทบาทของหญิงชายในการจดั การป่ าชุมชน ปัจจยั ต่างๆท่ีทาํ ใหช้ ุมชนมาร่วมจดั การป่ าไดส้ ัมฤทธ์ิผล ลกั ษณะและรูปแบบของการจดั การป่ า และ บทเรียนของการจดั การป่ าซ่ึงเป็นแนวทางการส่งเสริมการจดั การป่ าชุมชน งานศึกษาแนวน้ีมี จาํ นวนมากที่ปรากฏในวทิ ยานิพนธ์ งานวจิ ยั ทางสังคมศาสตร์ และทางป่ าไม้ ตลอดจนงานศึกษา ขององคก์ รพฒั นาเอกชน ซ่ึงศึกษาข้ึนมาเพ่อื ใหเ้ ห็นวา่ มีชุมชนในหลายพ้นื ท่ีมีการจดั การป่ าชุมชน ในหลายรูปแบบแตกต่างไปตามวฒั นธรรมและระบบนิเวศของแต่ละชุมชน (2) งานศึกษาในการวเิ คราะห์มิติขบวนการเคล่ือนไหวทางสงั คมในหลายมิติ ท้งั ในทางอตั ลกั ษณ์ของชุมชน การสร้างความหมาย การวเิ คราะห์วาทกรรม การสร้างพ้ืนที่ทาง สงั คมในการเคล่ือนไหว การเบียดขบั ใหเ้ ป็ นคนชายขอบ การจดั ความสมั พนั ธ์ทางอาํ นาจ งาน ศึกษาแนวทางน้ีเพื่อนาํ เสนอใหเ้ ห็นศกั ยภาพและการขบั เคลื่อนของเครือข่ายองคก์ รชุมชนในระดบั พ้นื ท่ี ระดบั ภาค และระดบั ประเทศ และนาํ เสนอต่อมิติสิทธิชุมชนในการจดั การป่ า ซ่ึงเป็นการ มุมมองทางอาํ นาจของประชาชน และรัฐ ในทางนโยบาย และกฎหมาย และสังคม (3) งานศึกษาในแนวทางพฤกษศาสตร์พ้นื บา้ น เป็นการสาํ รวจความรู้และฐาน ทรัพยากรชีวภาพในทางวทิ ยาศาสตร์วา่ มีอยอู่ ยา่ งไรในป่ าชุมชน ศนู ยฝ์ ึกอบรมวนศาสตร์ชุมชน แห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิ ค มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ไดจ้ ดั สัมมนาเรื่อง “พฤกษศาสตร์พ้ืนบา้ น และการใชท้ รัพยากรพรรณพืชอยา่ งยง่ั ยนื ในภาคตา่ งๆของประเทศไทย (2541) ซ่ึงเป็นสรุป ภาพรวมของงานศึกษาในหลายพ้ืนที่ทว่ั ประเทศไทย หรืองานศึกษาเกี่ยวกบั ตวั ช้ีวดั ความยงั่ ยนื ของ การอนุรักษแ์ ละใชป้ ระโยชน์จากทรัพยากร ดว้ ยการศึกษาจากการใชป้ ระโยชน์จากทรัพยากร พนั ธุกรรม ในหนงั สือเรื่อง “การติดตามระบบนิเวศอยา่ งมีส่วนร่วม บทเรียนปัจจุบนั สู่ทิศทางใน อนาคต โดยศนู ยฝ์ ึกอบรมวนศาสตร์ชุมชนแห่งภมู ิภาคเอเชียแปซิฟิ ค (2549) 2-29
(4) งานศึกษาในแนวทางภูมิปัญญาทอ้ งถิ่นต่อการอนุรักษแ์ ละใชป้ ระโยชนจ์ ากป่ า เป็นงานศึกษาที่ใชแ้ นวทางการศึกษาแบบชาติพนั ธุ์นิเวศ หรือนิเวศวฒั นธรรม ท่ีเสนอใหเ้ ห็น มในทศั น์ของกลุ่มชาติพนั ธุ์ต่างตอ่ การอยรู่ ่วมกนั กบั ธรรมชาติ วฒั นธรรมการสืบทอดความรู้ของ ชุมชน บทบาทของหญิงชายในการจดั การทรัพยากรธรรมชาติและภมู ิปัญญาทอ้ งถิ่น ภูมิปัญญา ทอ้ งถิ่นของชุมชนในแต่ละดา้ นที่มีการปรับเปลี่ยนไปตามบริบทของสงั คม งานศึกษาแนวน้ีมี จาํ นวนมากภายหลงั ปี พ.ศ.2535 ซ่ึงมีการถกเถียงเกี่ยวกบั ประเด็นความหลากหลายทางชีวภาพ และ งานศึกษาในแนวทางดงั กล่าวไดถ้ ูกพฒั นาไปสู่งานศึกษาเก่ียวกบั ภูมิปัญญาในแตล่ ะดา้ นอยา่ ง เฉพาะเจาะจง เช่น ภูมิปัญญาดา้ นสุขภาพ การรักษาของหมอพ้ืนบา้ น ระบบการเกษตรในป่ า การ จดั การพชื สมุนไพร เป็นตน้ (5) งานศึกษาในแนวทางเศรษฐศาสตร์นิเวศ ดว้ ยการคาํ นวณมูลค่าของผลผลิตท่ีไดจ้ ากป่ า จากการใชป้ ระโยชน์และการจดั การป่ าอยา่ งยง่ั ยนื ท้งั ในทางระบบนิเวศและชุมชน งานศึกษาแนวทางน้ีผสมผสานกบั งานศึกษาในแนวทางภูมิปัญญาทอ้ งถิ่น เพื่อช้ีใหเ้ ห็นวา่ ภูมิปัญญา ของทอ้ งถิ่นในการใชป้ ระโยชนแ์ ละการจดั การทรัพยากรในแต่ละดา้ น ยงั่ ยนื ในทางเศรษฐกิจของ ชุมชน และในทางระบบนิเวศ ซ่ึงจะส่งผลตอ่ การตดั สินใจตอ่ การจดั การของชุมชน และการ กาํ หนดนโยบายของภาครัฐ งานศึกษาลกั ษณะน้ีมีจาํ นวนมากข้ึนในมิติการศึกษาแบบสหวชิ าการ 2-30
บทท่ี 3 ความรู้ของชุมชนในการจดั การป่ า พชื อาหารและสมุนไพร ผวู้ จิ ยั ไดจ้ ดั กลุ่มงานศึกษาแยกเป็นประเภทของความรู้ที่เกี่ยวกบั ความรู้ของชุมชนในการ จดั การป่ า ความหลากหลายของพชื อาหารและสมุนไพรในป่ า โดยผวู้ จิ ยั ไดเ้ ลือกนาํ เสนองานศึกษา บางชิ้นซ่ึงมีประสบการณ์และบทเรียนไวอ้ ยา่ งน่าสนใจ เพ่อื เป็นแนวทางปฏิบตั ิสาํ หรับชุมชนใน การจดั การตอ่ ไป (หากตอ้ งการคน้ ควา้ ตอ่ ไปสามารถอา่ นไดจ้ ากขอ้ มูลที่สรุปในภาคผนวก ฐานขอ้ มูลงานศึกษา) 1. กระบวนการในจดั การป่ าของชุมชน งานศึกษาที่เกี่ยวกบั บทบาทของชุมชนในการจดั การป่ าชุมชน มีการสังเคราะห์ในมิติที่ หลากหลาย ตามพฒั นาการของการเคลื่อนไหวของภาคประชาชน โดยช้ีใหเ้ ห็นมิติขบวนการ เคลื่อนไหวทางสงั คมของขบวนการจดั การป่ าชุมชน ท้งั ในทางอตั ลกั ษณ์ของชุมชน การสร้าง ความหมาย การวเิ คราะห์วาทกรรม การสร้างพ้ืนท่ีทางสงั คมในการเคล่ือนไหว การจดั ความสัมพนั ธ์ทางอาํ นาจ และสิทธิชุมชนในการจดั การป่ า งานศึกษาดงั กล่าวยงั ไดน้ าํ เสนอใหเ้ ห็น รูปธรรมของการจดั การฐานทรัพยากรของชุมชน โดยเช่ือมโยงแนวคิดการพฒั นาที่ยงั่ ยนื มุ่งเนน้ นาํ เสนอกระบวนการจดั การป่ าชุมชนที่ใหป้ ระชาชนมีส่วนร่วม การจดั การอยา่ งไรจึงมีจะมี ประสิทธิภาพ การสรุปบทเรียนการจดั การป่ า การรวมกลุ่มเป็นเครือขา่ ยป่ าชุมชน มีเงื่อนไขใน การจดั การป่ าสาํ เร็จอยา่ งไร โครงการศึกษาวจิ ัยเรื่อง “ป่ าชุมชนในประเทศไทย : แนวทางการพฒั นา” (2536) ได้ นาํ เสนอแนวคิดการมองป่ าชุมชนในมิติความหลากหลายทางชีวภาพ ดว้ ยการวพิ ากษก์ ารจดั การป่ า ของรัฐ ตามแนวนโยบายป่ าไมแ้ ห่งชาติ 2528 ท่ีใชต้ วั ช้ีวดั สภาพป่ าเสื่อมโทรมโดยดูจากจาํ นวน และขนาดของตน้ ไมบ้ นพ้ืนท่ีเป็นเกณฑว์ ดั ซ่ึงส่งผลต่อการเปิ ดช่องทางใหม้ ีการตดั ไมท้ าํ ลายป่ า การใหอ้ นุญาตสมั ปทานทาํ ไม้ กฎหมายที่แยกกรรมสิทธ์ิเอกชน สาํ หรับพ้ืนที่ทาํ การเพาะปลูก และ กรรมสิทธ์ิของรัฐสาํ หรับพ้ืนท่ีป่ าและทุ่งหญา้ เป็นการล่าอาณานิคมที่เป็นภยั คุกคามอยา่ งใหญ่ หลวงต่อป่ าเขตร้อน สูญเสียต่อระบบนิเวศ วฒั นธรรมพ้ืนบา้ น และระบบความรู้ท้งั หลายที่เก่ียวกบั นิเวศวทิ ยาป่ าฝนเขตร้อน โครงการดงั กล่าวไดศ้ ึกษาการจดั การป่ าชุมชนในทุกภูมิภาคของประเทศและมีบทสรุปวา่ ป่ าชุมชนเป็นท้งั สญั ลกั ษณ์และการปฏิบตั ิการสงวนรักษาไวซ้ ่ึงความหลากหลายทางชีวภาพ อนั เป็นเงื่อนไขสาํ คญั ต่อคุณภาพชีวติ และการพฒั นาท่ียงั่ ยนื อยา่ งแทจ้ ริง ดงั น้นั แนวคิดการมองป่ า 3-1
ชุมชนตอ้ งมีหลายมิติ ไดแ้ ก่ มิติของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ การเมือง และระบบ นิเวศ มิติทางดา้ นวฒั นธรรม มิติระบบทรัพยส์ ินร่วมของชุมชน มิติขบวนการทางสังคม มิติการ พฒั นาชนบทและอนุรักษฟ์ ้ื นฟทู รัพยากรธรรมชาติอยา่ งยง่ั ยนื เอนก นาคะบุตร (2536) สรุปประสบการณ์จากการทาํ งานร่วมกบั ชุมชนในโครงการ พฒั นาชุมชนบนพ้ืนท่ีสูง ยทุ ธศาสตร์การพฒั นาใหม่ตอ้ งดาํ เนินการควบคู่ท้งั ระดบั มหพั ภาคและ จุลภาค ระดับจุลภาค คือการมุ่งประสานศกั ยภาพและการมีส่วนร่วม ของผนู้ าํ องคก์ รชุมชน และ กระบวนการทางภูมิปัญญาของชุมชนในการจดั การทรัพยากรธรรมชาติ ผนึกกาํ ลงั สนบั สนุนและ เทคนิควธิ ี ขอ้ มูลความรู้จากวทิ ยาศาสตร์ธรรมชาติและกฎระเบียบของรัฐ “ระบบคุณค่าและฐาน คิด/ภมู ิปัญญาของคน” เป็นกญุ แจสาํ คญั ท่ีกาํ หนดทิศทางของการจดั การทรัพยากรท้งั 3 ทรัพยากร คือ คน ภูมิปัญญา และดิน น้าํ ป่ าใหย้ งั่ ยนื และตอบสนองตอ่ ปัญหาการอยรู่ อดของชุมชน ระบบ คุณค่าใหมต่ อ้ งมี “เวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้” ร่วมกนั ขององคก์ รชุมชนและสมาชิกในแต่ละชุมชน ที่ มีการวเิ คราะห์เชื่อมโยงขอ้ มูล และผสมผสานหลากหลายใหเ้ ป็นการสร้างสรรคร์ ่วมกนั ระดบั มหัพภาค คือ “คนของรัฐ” ที่มีบทบาทในการกาํ หนดนโยบายและออกกฎหมาย จาํ เป็นตอ้ งขยายฐานคิดและภูมิปัญญาเพอ่ื ใหเ้ กิดการคน้ พบ “ภูมิปัญญาท่ีเป็ นองคร์ วม” เพื่อยอมรับ การดาํ รงอยขู่ องคนกบั ป่ า และกระจายอาํ นาจให้ “สิทธิชุมชน” มีบทบาทจดั การตนเอง จากการ เนน้ การจบั กุมมาเป็นผสู้ นบั สนุน ศูนย์ฝึ กอบรมวนศาสตร์ชุมชนแห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิ ก (2543) ไดร้ วบรวมบทความที่ สรุปมาจากประสบการณ์การส่งเสริมการจดั การป่ าชุมชนในหลายพ้ืนท่ีทว่ั ประเทศไทย ซ่ึงได้ เสนอหลกั การแนวคิดของการจดั การป่ าชุมชน การอนุรักษแ์ ละใชป้ ระโยชน์จากทรัพยากร พนั ธุกรรมในป่ า ประสบการณ์ดงั กล่าวมิไดม้ ีมุมมองเฉพาะงานดา้ นป่ าไมเ้ ท่าน้นั แต่มีมิติการ ทาํ งานพฒั นาชุมชนในทางสังคมศาสตร์ และเช่ือมโยงใหเ้ ห็นบทบาทของชุมชนกบั การอนุรักษ์ และใชป้ ระโยชนค์ วามหลากหลายทางชีวภาพ เพิ่มศกั ด์ิ มกราภิรมย์ (หนา้ 1-36) เสนอหลกั การและแนวคิดการจดั การป่ าชุมชนไวด้ งั น้ี (1) ป่ าชุมชนเช่ือมโยงกบั ระบบสังคม เศรษฐกิจ การเมืองและวฒั นธรรม ท่ี ไมส่ ามารถแยกส่วนเฉพาะการจดั การป่ าหรือตน้ ไมเ้ ทา่ น้นั (2) ป่ าชุมชนเป็นป่ าธรรมชาติหรือป่ าปลูกข้ึนใหมไ่ ด้ แต่มีขอบเขตพ้ืนท่ีท่ี ชาวบา้ นสามารถจาํ แนกขนาดพ้นื ท่ี และจดั การได้ (3) เป้ าหมายของการจดั การป่ าตอ้ งสอดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของคนส่วนใหญ่ ในชุมชน และเห็นคุณค่าและร่วมกนั จดั การป่ าชุมชน (4) ชุมชนร่วมกาํ หนดกฎเกณฑใ์ นการจดั การและการใชป้ ระโยชน์ป่ าและ 3-2
ทรัพยากรที่มีความยงั่ ยนื และสมดุล (5) สิทธิในท่ีดินจะเป็นของรัฐหรือของชุมชนกไ็ ด้ แตม่ ีชุมชนตอ้ งมีอาํ นาจในการ บริหารจดั การอยา่ งเป็ นอิสระ โดยตวั แทนของชุมชนที่แทจ้ ริง นอกจากน้ียงั มีงานศึกษาที่รวบรวมกรณีศึกษาการจดั การป่ าชุมชนที่ประสบความสาํ เร็จ และสงั เคราะห์ใหเ้ ห็นลกั ษณะสาํ คญั ของการจดั การป่ าชุมชน รูปแบบการจดั การป่ าชุมชน เง่ือนไข ไดแ้ ก่งานศึกษาของสาํ นกั งานโครงการพฒั นาแห่ง สาํ คญั ของการจดั การป่ าชุมชนที่สาํ เร็จ สหประชาชาติ/UNDP (ป่ าชุมชนของคนรากหญา้ , 2547) กฤษฎา บุญชยั (ทบทวนวรรณกรรมป่ า ชุมชน, 2543) อจั ฉรา รักยตุ ิธรรม (ทบทวนวรรณกรรมแนวคิดเร่ืองการจดั การทรัพยากรอยา่ ง ยงั่ ยนื , 2543) และงานศึกษาท้งั วทิ ยานิพนธ์ งานวจิ ยั บทความ วารสาร อีกจาํ นวนมากที่นาํ เสนอ รูปธรรมการจดั การป่ าชุมชน พชื อาหารและสมุนไพรในทุกภมู ิภาค โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ งานศึกษา ในภาคเหนือ และภาคอีสานมีจาํ นวนมากกวา่ ภาคอ่ืน โดยสรุปบทบาทของชุมชนในการจดั การป่ าจากงานศึกษามีปัจจยั และเง่ือนไขของการ จดั การท่ีสอดคลอ้ งกนั ดงั น้ี ปัจจัยสําคญั ท่ที าํ ให้ชุมชนร่วมจัดการป่ า ปัญหาวกิ ฤตทรัพยากรป่ าไมเ้ สื่อมโทรมและมีผลกระทบต่อการทาํ มาหากินและการดาํ รง ชีพของชุมชน ไดเ้ ป็ นประเด็นสาํ คญั ท่ีทาํ ใหช้ ุมชนแกไ้ ขปัญหาและตอ้ งการร่วมจดั การป่ า จน พฒั นาเป็นเครือข่ายป่ าชุมชน และส่งผลต่อการกาํ หนดนโยบายและกฎหมายเกี่ยวกบั การอนุรักษ์ และดูแลป่ าชุมชน และความหลากหลายทางชีวภาพ สถานการณ์ตา่ งๆจึงเป็นปัจจยั ภายนอกท่ี สาํ คญั ทาํ ใหช้ ุมชนจดั การป่ าชุมชน ซ่ึงสรุปไดด้ งั น้ี (1) การปลูกพืชพาณิชยเ์ ชิงเดี่ยวแทนระบบการผลิตขา้ วไร่ ทาํ ใหส้ ายพนั ธุ์พชื พ้ืนบา้ น สูญพนั ธุ์แลว้ ยงั ทาํ ใหร้ ะบบการใชท้ ี่ดินเส่ือมโทรมรวดเร็ว และเปล่ียนระบบการผลิตด้งั เดิมของ ชุมชน เช่น ไร่หมุนเวยี น ทาํ ลายพ้ืนที่ป่ าไปพร้อมกนั (2) การเพิ่มจาํ นวนของประชากรและความตอ้ งการใชพ้ ้ืนที่ทาํ กิน ที่ทาํ ใหบ้ าง ครอบครัวมีผลผลิตทางการเกษตรไม่เพียงพอ จึงทาํ ใหช้ ุมชนเขา้ ถางพ้ืนท่ีแปลงใหมเ่ พอื่ ทาํ ไร่ (3) การประกาศเขตป่ าตามกฎหมาย เช่น ป่ าสงวนแห่งชาติ อุทยานแห่งชาติ เขตรักษา พนั ธุ์สัตวป์ ่ า หรือ ป่ าตน้ น้าํ ไดแ้ ยกขาดการจดั การป่ าของชุมชนที่มีมาแตเ่ ดิม และส่งผลใหม้ ี บุคคลภายนอกเขา้ ไปเขา้ ไปบุกรุกทาํ ลายป่ าอยา่ งง่ายดาย รวมท้งั การท่ีรัฐใหอ้ นุญาตสัมปทานทาํ ไม้ สัมปทานเก็บของป่ า และสัมปทานปลูกสร้างสวนป่ า เช่น ป่ าชุมชนบา้ นแมข่ ะปู จ.เชียงใหม่ สูญเสียพ้นื ท่ีจากการสัมปทานเปลือกก่อ การทาํ น้าํ มนั สนเพ่อื การคา้ การสัมปทานเปลือกไก๋เพ่ือทาํ ธูป การสมั ปทานเหมืองแร่ การลกั ลอบการคา้ ไมเ้ ถื่อนของนายทุนและเจา้ หนา้ ที่ทอ้ งถิ่น หรือการ 3-3
ใหส้ มั ปทานทาํ ไม้ 3 คร้ัง และขยายผลไปถึงการลกั ลอบตดั ไมเ้ ถื่อนของนายทุน เช่น ท่ีป่ าชุมชน บา้ นกลาง อ.แม่เมาะ จ.ลาํ ปาง (สาํ นกั งานโครงการพฒั นาแห่งสหประชาชาติ 2547) และป่ าชุมชน บา้ นก่มุ เนิ้ง อ.เถิน จ.ลาํ ปาง (มานพ คีรีภวู ดล 2544) (4) ผลพวงของการประกาศเขตพ้ืนที่ป่ าตามกฎหมายไดข้ ยายผลใหร้ ัฐประกาศนโยบาย ควบคุมประชากรดว้ ยการลดพ้ืนที่การทาํ ไร่หมุนเวยี น และเปล่ียนแปลงระบบการผลิตแบบคงท่ีข้ึน ทดแทน ซ่ึงกดดนั ใหก้ ลุ่มชาติพนั ธุ์บนพ้นื ท่ีสูงตอ้ งเขา้ มาจดั การป่ าชุมชนอยา่ งเป็นทางการ และ เปลี่ยนระบบการผลิตเป็นการเกษตรที่ใชส้ ารเคมี หรือการผลิตภายใตแ้ รงกดดนั การตอ่ รองกบั รัฐ ในการอพยพกลุ่มชาติพนั ธุ์จากพ้ืนที่สูง (5) การเสื่อมถอยของการรักษาดว้ ยการแพทยพ์ ้ืนบา้ นจากหมอยาสมุนไพร ซ่ึงมาจาก หลายสาเหตุ เช่น ป่ าถูกทาํ ลายก็ไดส้ ่งผลกระทบสมุนไพรถูกทาํ ลาย มีคนขา้ งนอกชุมชนมาขโมย สมุนไพรบางชนิดที่หายากและใกลส้ ูญพนั ธุ์ หมอยาสุมนไพรในชุมชนลดนอ้ ยลง หรือตายจากไป โดยท่ีไม่ไดม้ ีการสืบทอดความรู้ใหแ้ ก่ลูกหลาน หรือคนในชุมชนไดน้ ิยมรักษาโรคดว้ ยการแพทย์ แผนปัจจุบนั มากกวา่ จึงเป็ นวกิ ฤตปัญหาท่ีทาํ ใหช้ ุมชนตอ้ งเขา้ ฟ้ื นฟูป่ าและสมุนไพร (6) โครงการพฒั นาของภาครัฐที่ดาํ เนินการไม่สอดคลอ้ งกบั ระบบนิเวศทาํ ใหเ้ กิด ปัญหาในการจดั ป่ าชุมชน เช่น โครงการพฒั นาหนองเล็งทราย ท่ีจงั หวดั พะเยา (อจั ฉรา รักยตุ ิธรรม 2547) (7) ชุมชนประสบอุทกภยั คร้ังใหญ่ เนื่องจากป่ าตน้ น้าํ ถูกทาํ ลาย ไดแ้ ก่ บา้ นแม่หมีใน อ.เมืองปาน ในพ้ืนที่ลุ่มน้าํ แม่สอย จ.ลาํ ปาง (มานพ คีรีภูวดล 2544) ปัจจัยสําคัญทก่ี ารจัดการป่ าชุมชนประสบผลสําเร็จ (1) สาํ นึกในความเป็นชุมชน ท่ีดาํ รงชีวติ และต้งั ถ่ินฐานร่วมกนั ซ่ึงมีรากเหงา้ ทาง วฒั นธรรมของชุมชนท่ีสืบทอดความรู้ ความเชื่อ และอุดมการณ์ร่วมกนั สมาชิกของชุมชนยงั คง รักษาความสัมพนั ธ์ฉนั ทพ์ ีน่ อ้ งร่วมมือช่วยเหลือกนั แมว้ า่ ชุมชนจะมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก ตามทิศทางการพฒั นาของประเทศกต็ าม (2) สภาพของป่ ายงั มีความสาํ คญั ต่อการสร้างระบบการผลิตในภาคเกษตรกรรม ที่ ชุมชนตอ้ งพ่งึ พา และมีศกั ยภาพร่วมจดั การและฟ้ื นฟปู ่ าได้ แมว้ า่ จะเป็นป่ าที่เส่ือมโทรมกต็ าม (3) ชุมชนไดใ้ ชป้ ระโยชน์จากทรัพยากรร่วมกนั การจดั การป่ าชุมชนเป็นการรักษา ผลประโยชน์ของชุมชนร่วมกนั ท้งั ในทางเศรษฐกิจ สิ่งแวดลอ้ มและสังคม (4) การริเริ่มการจดั การป่ าชุมชนสาํ เร็จไดต้ อ้ งมาจากการมีผนู้ าํ ชุมชนท่ีเขม้ แขง็ และ มีภูมิปัญญาทอ้ งถิ่นที่มีความเขา้ ใจและปรับเปล่ียนความรู้ทอ้ งถิ่นใหเ้ ทา่ ทนั สถานการณ์ท่ีเปลี่ยนไป ซ่ึงสามารถทาํ ใหช้ ุมชนมีจิตสาํ นึกร่วมกนั ในการดูแลรักษาป่ า (5) มีการจดั ต้งั องคก์ รชุมชน ท้งั ท่ีมีมาแตเ่ ดิมและที่ต้งั ข้ึนใหม่ เพอื่ ใหส้ อดคลอ้ งกบั 3-4
สถานการณ์ในปัจจุบนั องคก์ รตอ้ งทาํ หนา้ ที่รับผดิ ชอบการจดั การทรัพยากรท้งั ภายในชุมชนและ ระหวา่ งชุมชน องคก์ รชุมชนจะมีประสิทธิภาพข้ึนอยกู่ บั จิตสาํ นึกของชุมชนที่มีอุดมการณ์ ความ เชื่อในการมีสิทธิพทิ กั ษผ์ นื ป่ าและทรัพยากรของชุมชนไวใ้ หล้ ูกหลาน (6) มีการวางกฎระเบียบเงื่อนไขที่พฒั นามาจากจารีตประเพณี และการประยกุ ตข์ ้ึน ใหม่ใหส้ อดคลอ้ งกบั สถานการณ์และเป็นการรักษาผลประโยชน์ของชุมชนที่ยงั่ ยนื และเป็นธรรม รูปแบบการจัดการป่ าชุมชน มีความแตกตา่ งกนั ตามเงื่อนไขทางกายภาพ สภาวการณ์ ทางเศรษฐกิจ สงั คม และการเมืองของแตล่ ะทอ้ งท่ี ซ่ึงสรุปไดเ้ ป็น 3 ประเภทดงั น้ี (1) การจดั การตามจารีตประเพณี คือการนาํ อุดมการณ์ ความเช่ือ และวธิ ีคิดตาม จารีตประเพณี มาเป็นแนวทางกาํ หนดกฎเกณฑใ์ นการจดั การ มีการประกอบพธิ ีกรรม ผลิตซ้าํ อุดมการณ์ท่ีผสมผสานกบั วถิ ีชีวติ ระบบการผลิตและการใชป้ ระโยชนจ์ ากป่ าอยา่ งยงั่ ยนื (2) การจดั การแบบประยกุ ต์ กล่าวคือมีความขดั แยง้ การแยง่ ชิงทรัพยากรจาก ภายนอกสูง มีแรงกดดนั จากหน่วยงานของรัฐ และคนขา้ งนอกที่มากระทาํ ท้งั ตดั ไมท้ าํ ลายป่ า และ การอพยพชุมชนออกจากพ้ืนที่ ชาวบา้ นจึงไดม้ ีการขบั เคลื่อนและใชร้ ูปแบบประยกุ ตท์ ี่ทาํ ใหส้ งั คม มีความเขา้ ใจในกระบวนการจดั การป่ าชุมชน เช่น การทาํ พิธีบวชป่ า การผสมผสานหลกั เกณฑข์ อง ราชการมากาํ หนดกฎเกณฑก์ ารจดั การป่ าชุมชน (3) การจดั การป่ าชุมชนที่เป็ นขบวนการต่อรองทางการเมือง เพื่อปกป้ องการแยง่ ชิง ทรัพยากรของชุมชน ซ่ึงไดถ้ ูกพฒั นามาเป็นขบวนการต่อสู้เพ่ือพิทกั ษส์ ิทธิชุมชนและต่อตา้ น นโยบายของรัฐ เช่น การต่อสู้การสมั ปทานทาํ ไม้ การสร้างแผนงานการจดั การทรัพยากรของ ชุมชนเพอื่ สร้างอาํ นาจต่อรองในการดาํ รงชีวติ ในผนื ป่ า การสร้างเครือขา่ ยป่ าชุมชนในแตล่ ะพ้ืนที่ แต่ละภาค และระดบั ประเทศ ลกั ษณะของการจัดการป่ าชุมชน (1) สมาชิกส่วนใหญ่ในชุมชนยอมรับในหลกั การการจดั การป่ าชุมชนร่วมกนั บน พ้นื ฐานของการเห็นคุณคา่ ของป่ า และการใชป้ ระโยชน์จากป่ าอยา่ งไมท่ าํ ลาย (2) มีการกาํ หนดแนวเขตป่ าชุมชนอยา่ งชดั เจน โดยจาํ แนกเป็ นป่ าประเภทตา่ งๆ เช่นป่ าอนุรักษ์ ป่ าตน้ น้าํ ป่ าพธิ ีกรรม ป่ าประเพณี ป่ าใชส้ อย พร้อมท้งั ทาํ แผนที่ขอบเขตพ้ืนท่ีป่ าแต่ ละประเภทอยา่ งง่าย บางพ้นื ท่ีใชเ้ ทคโนโลยมี าใชป้ ระโยชนใ์ นการวางแผนการจดั การป่ าชุมชน (3) มีการกาํ หนดระเบียบกฎเกณฑแ์ ละทาํ แผนการจดั การ การอนุรักษแ์ ละการใช้ ประโยชนจ์ ากความตอ้ งการของชุมชน ตลอดจนมีพฒั นาการของการปรับปรุงระเบียบกฎเกณฑท์ ่ี สอดคลอ้ งกบั สถานการณ์ท่ีเกิดข้ึนในแตล่ ะช่วงเวลา (4) กิจกรรมในการอนุรักษแ์ ละใชป้ ระโยชน์จากป่ าชุมชน โดยส่วนใหญ่ คือการ 3-5
ปลูกป่ า รวมกลุ่มคณะกรรมการ หรืออาสาสมคั รเฝ้ าระวงั รักษาป่ า บวชป่ าหรือทาํ พธิ ีกรรมในทาง ศาสนาและความเช่ือมาอนุรักษป์ ่ า ทาํ แนวกนั ไฟและดบั ไฟป่ า จดั ต้งั กองทุนในการดูแลรักษาป่ า ชุมชน ศึกษาดูงานจดั เวทีการเรียนรู้ใหช้ ุมชนมีจิตสาํ นึกดูแลรักษาป่ าร่วมกนั ซ่ึงมีกระบวนการ เรียนรู้ท้งั ผหู้ ญิง ผชู้ าย เยาวชน และผสู้ ูงอายุ สาํ รวจความหลากหลายทางชีวภาพและทาํ แผนการ จดั การทรัพยากรในป่ าชุมชน เป็นตน้ (5) มีองคก์ รของชุมชนทาํ หนา้ ท่ีบริหารจดั การป่ าชุมชน ซ่ึงมีความแตกตา่ งไปตาม สภาพของแต่ละชุมชน บางชุมชนมีความร่วมมือกนั ในการจดั การระหวา่ งผนู้ าํ ท่ีเป็ นทางการ เช่น ผใู้ หญ่บา้ น หรือกาํ นนั หรือ องคก์ ารบริหารส่วนตาํ บล บางชุมชนมีแต่ชาวบา้ นที่รวมกลุ่มจดั การ ป่ าชุมชน และที่สาํ คญั ไดเ้ ห็นบทบาทของผหู้ ญิง หมอพ้ืนบา้ น ผสู้ ูงอายุ และเยาวชน ร่วมจดั การป่ า ในลกั ษณะของการเป็นกรรมการป่ าชุมชน หรือการสาํ รวจพชื อาหาร สมุนไพร ผลผลิตจากป่ าอยา่ ง ไมท่ าํ ลาย การแปรรูปผลผลิตจากป่ า (6) มีการปรับปรุงพฒั นาการรวมกลุ่มขององคก์ รชุมชน จากลกั ษณะของการ รวมกลุ่มเป็นคณะกรรมการป่ าชุมชน เป็นองคก์ รระดบั หมูบ่ า้ น ตอ่ มาขยายเป็ นเครือข่ายป่ าที่ใช้ ประโยชนจ์ ากทรัพยากรในลุ่มน้าํ เดียวกนั หรือผนื ป่ าเดียวกนั บางพ้นื ท่ีมีการร่วมกนั ระหวา่ งกลุ่ม พฒั นาฯในรูปแบบต่างๆภายในชุมชนและมาร่วมจดั การป่ าชุมชน เช่น กลุ่มออมทรัพย์ กลุ่ม ธนาคารขา้ ว กลุ่มแมบ่ า้ น กลุ่มเยาวชน เป็นตน้ และมาเชื่อมโยงพฒั นาเป็ นเครือข่ายป่ าชุมชนระดบั ภมู ิภาค และระดบั ประเทศร่วมกนั (7) ลกั ษณะของการรวมกลุ่มไม่ไดม้ ีความเขม้ แขง็ ตลอดกาล ชุมชนตอ้ งเผชิญกบั ปัจจยั หลายประการที่ทาํ ใหช้ ุมชนออ่ นตวั ลงในบางช่วงเวลา เช่น ผนู้ าํ ในการจดั การป่ าชุมชนถูก ฆาตกรรม ถูกข่มข่คู ุกคาม หรือผนู้ าํ ชุมชนไม่ร่วมจดั การดว้ ยเหตุผลหลายประการ การป้ องกนั ตดั ไมท้ าํ ลายป่ าเกิดศกั ยภาพของชาวบา้ น เนื่องจากคนท่ีเขา้ มาทาํ ลายป่ าไม่เคารพกฎระเบียบของ ชุมชนโดยอา้ งวา่ ไมใ่ ช่กฎหมาย ชาวบา้ นถูกจบั กมุ จากเจา้ หนา้ ท่ีรัฐในการไปใชป้ ระโยชน์จากป่ า ตามกฎระเบียบของชุมชน เป็นตน้ กรณีที่ชุมชนกลบั มาเขม้ แขง็ ใหม่ เมื่อมีปัจจยั อ่ืนๆมากระตุน้ ใหเ้ กิดการตื่นตวั รวมกลุ่มอีกคร้ัง เช่นมีบุคคลภายนอกมากระตุน้ ใหเ้ กิดการรวมกลุ่ม ซ่ึงมีท้งั นกั พฒั นา นกั วชิ าการ ครู หรือเจา้ หนา้ ท่ีรัฐ มีกระบวนการเรียนรู้ขา้ มกลุ่มขา้ มเครือข่าย ทาํ ใหเ้ กิด การคิดใหม่ ทาํ ใหม่ เป็ นตน้ 2. กระบวนการรวมกล่มุ ในการจดั การป่ าชุมชน งานศึกษาท่ีนาํ เสนอใหเ้ ห็นกระบวนการรวมกลุ่มในการจดั การป่ าชุมชน พบเห็นไดใ้ นการ สรุปบทเรียนการทาํ งานขององคก์ รพฒั นาเอกชน และจากงานศึกษาในมิติกระบวนการมีส่วนร่วม ของประชาชน (Participation process) และงานศึกษาในมิติขบวนการเคล่ือนไหวทางสังคม 3-6
ในที่น้ีผวู้ จิ ยั นาํ เสนอกรณีตวั อยา่ งเพอื่ แสดงให้เห็นบทเรียนกระบวนการรวมกลุ่มของชุมชนในการ จดั การป่ าไวอ้ ยา่ งน่าสนใจท้งั ในระดบั กลุ่มในชุมชน และระดบั เครือขา่ ย ดงั น้ี การรวมกล่มุ ระดับชุมชนและระดับตาํ บล สุภาวณิ ี ทรงพรวาณิชย์ (มปป.)ไดศ้ ึกษา การพฒั นาเครือข่ายป่ าชุมชนตาํ บลทากาศ อาํ เภอ แม่ทา จงั หวดั ลาํ พนู โดยใชก้ ระบวนการวิจยั เชิงปฏิบตั ิการ (Action Research) สร้างเครือข่ายใน 7 หมู่บา้ นของตาํ บลทากาศ แตเ่ ดิมชาวบา้ นในตาํ บลทากาศประกอบอาชีพแกะสลกั ไมส้ ักเสริม นอกจากการทาํ สวน ในปี 2527 หลายหม่บู า้ นถูกประกาศใหเ้ ป็นหมู่บา้ นอาสาพฒั นาและป้ องกนั ตนเอง (อพป.) ซ่ึงเป็นจุดเริ่มตน้ ของการจดั การทรัพยากรป่ าไมอ้ ยา่ งจริงจงั เพอ่ื ป้ องกนั การ ลกั ลอบตดั ไมท้ ่ีมาจากบุคคลภายนอกเป็นส่วนใหญ่ มีการบุกรุกพ้นื ที่ป่ าเขตอนุรักษ์ คือเขตรักษา พนั ธุ์สัตวป์ ่ าดอยผาเมือง ชาวบา้ นจึงรวมกนั เป็ นเครือข่ายตามธรรมชาติระหวา่ งหมู่บา้ นใกลเ้ คียง กนั โดยมีผนู้ าํ ชุมชนท่ีเขม้ แขง็ เอาจริงเอาจงั ทาํ ใหช้ ุมชนรวมตวั แลกเปล่ียน เรียนรู้และพดู คุย แกไ้ ขปัญหาของชุมชน ปัจจยั สาํ คญั ท่ีทาํ ใหเ้ กิดกลุ่มในการจดั การป่ าชุมชนมาจากปัจจยั ภายใน ที่ผนู้ าํ ชุมชน เขม้ แขง็ มีกฎเกณฑ์ตกลงร่วมกนั เป็นลายลกั ษณ์อกั ษร มีจิตสาํ นึกท่ีดีในการอนุรักษ์ ชาวบา้ นมีการ บริหารจดั การกลุ่มมาแลว้ ในอดีต ส่วนปัจจยั เง่ือนไขภายนอก ไดแ้ ก่ การไดร้ ับการกระตุน้ เร่ือง กระบวนการมีส่วนร่วม การเสริมสร้างการเรียนรู้จากคนภายนอกชุมชน สาํ หรับการพฒั นา เครือข่ายป่ าชุมชนตาํ บลทากาศอยา่ งเขม้ แขง็ ปัจจยั สาํ คญั มาจาก การพฒั นาผนู้ าํ เดิม และการเกิด ผนู้ าํ ใหม่ ผนู้ าํ มีความพยายามในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆเสมอ ผนู้ าํ มีประสบการณ์ทาํ งานเป็นกลุ่มมา ก่อนเช่นเป็นกรรมการเหมืองฝาย สมาชิกสภา อบต. เม่ือมาเป็นกรรมการป่ าชุมชนทาํ ใหก้ ารบริหาร จดั การป่ าชุมชนมีความเขม้ แขง็ เครือข่ายผหู้ ญิงและตวั แทนชาวบา้ นมีโอกาสเขา้ ร่วมประชุม ปรึกษาหารือและนาํ ไปปรับปรุงการทาํ งานของกลุ่ม ประสานความร่วมมือกบั หน่วยราชการ นกั วจิ ยั นกั วชิ าการ ชาวบา้ นเกิดทกั ษะเรียนรู้การเขียนโครงการ และกระบวนการวจิ ยั ประสานงาน ผา่ น อบต. ทาํ ใหไ้ ดร้ ับความร่วมมือเป็นอยา่ งดี กรรมการ อบต.ส่วนใหญ่เป็นผนู้ าํ ระดบั หมูบ่ า้ น และชาวบา้ นใหค้ วามเคารพนบั ถือ ชาวบา้ นร่วมวจิ ยั ซ่ึงสามารถพฒั นาชาวบา้ นใหน้ าํ ประสบการณ์ มาปรับใชใ้ นการแกไ้ ขปัญหาต่างๆอยา่ งเหมาะสม ผวู้ จิ ยั คือคนนอกท่ีมากระตุน้ และประสานใหเ้ กิดกระบวนการเรียนรู้กบั ชาวบา้ น ผวู้ จิ ยั จึง ตอ้ งมีส่วนร่วมในการทาํ งานกบั ชาวบา้ นทุกๆข้นั ตอน และช้ีนาํ ในการเสนอแนวทางการเรียนรู้โดย ใหช้ ุมชนทาํ งานดว้ ยตนเอง กระบวนการทาํ งานพฒั นามีจุดเนน้ แตกตา่ ง 2 แนวทางคือ (1) ใชก้ าร มีส่วนร่วมเป็ นการรวมกลุ่มเพ่ือเพิม่ ศกั ยภาพของชาวบา้ นในการแกไ้ ขปัญหาดา้ นตา่ งๆในการ ดาํ รงชีวติ ดว้ ยตนเอง อีกแนวทางหน่ึงคือ (2) มองการมีส่วนร่วมเป็ นเวทีสาํ หรับการเรียนรู้ปัญหา เชิงโครงสร้างของสังคม เพ่ือแสวงหาลู่ทางเสริมสร้างความเขม้ แขง็ ใหก้ บั ชุมชน นอกจากน้ีการ วจิ ยั ในแนวทางแบบ Participatory Action Research น้นั นกั วจิ ยั ไม่ไดท้ าํ หนา้ ที่เฉพาะเก็บขอ้ มูล 3-7
เพยี งอยา่ งเดียวเทา่ น้นั แต่ตอ้ งรับรู้ปัญหาของชาวบา้ น พร้อมท้งั ใหค้ วามช่วยเหลือ การแปลง ความคิดริเริ่มในการต่อสู้ของชาวบา้ นอยา่ งเป็ นรูปธรรม อจั ฉรา รักยตุ ิธรรม (2549) ไดน้ าํ เสนอภมู ิปัญญาการจดั การทรัพยากรชุมชนลุ่มน้าํ แมท่ า ตอนบน ซ่ึงสะทอ้ นใหเ้ ห็นบทเรียนการจดั องคก์ รชุมชนตาํ บลแม่ทา องคก์ รชุมชนตาํ บลแม่ทามี พฒั นาการตอ่ เน่ืองยาวนานถึงสิบปี และมีการส่งเสริมโดยองคก์ รพฒั นาเอกชน คือ มลู นิธิพฒั นา ชนบทอาํ เภอสันกาํ แพงในปี 2529 จากการสรุปบทเรียนการรวมกลุ่มเศรษฐกิจ กลุ่มพฒั นาตา่ งๆ และไดไ้ ปศึกษาดูงานนอกพ้ืนที่ ทาํ ใหม้ ีการจดั กลุ่มแกไ้ ขปัญหาร่วมกนั ในระดบั ตาํ บล โดยมี โครงสร้างองคก์ รชุมชนดงั น้ี โครงสร้างองค์กรชุมชนตาํ บลแม่ทา สหกรณ์การเกษตรยงั่ ยนื สถาบนั พฒั นา เครือข่ายการจดั การ แมท่ าจาํ กดั ทรัพยากรธรรมชาติและ ทรัพยากรธรรมชาติตาํ บล เกษตรกรรมยงั่ ยนื แม่ทา แมท่ า คณะกรรมการสหกรณ์ คณะกรรมการเครือขา่ ยการจดั การ การเกษตรยงั่ ยนื แมท่ าจาํ กดั ทรัพยากรธรรมชาติตาํ บลแม่ทา ที่มา : อจั ฉรา รักยตุ ิธรรม (บรรณาธิการ), 2549 : 29 คณะกรรมการป่ าชุมชน ตาํ บลแม่ทา คณะกรรมการป่ าชุมชน แต่ละหมูบ่ า้ น 3-8
สาํ หรับการจดั การป่ าชุมชน แรกเริ่มจดั ต้งั คณะกรรมการป่ าในระดบั หมูบ่ า้ นทาํ งานควบคู่ กบั สภาตาํ บลแมท่ า ในการอนุรักษแ์ ละฟ้ื นฟปู ่ ามาต้งั แต่ ปี พ.ศ.2532 แตย่ งั ไม่มีการทาํ งานต่อเน่ือง จริงจงั เมื่อปี พ.ศ.2535 เกิดวกิ ฤตภยั แลง้ ทางสภาตาํ บลไดจ้ ดั คณะกรรมการป่ าอีกคร้ังหน่ึงโดยแต่ ละหมู่บา้ นมีจาํ นวนกรรมการไมเ่ ทา่ กนั จาํ นวน 7 หมู่บา้ น เพอื่ ปรึกษาเร่ืองปัญหาไฟป่ า และ ช่วยกนั ดบั ไฟป่ าตลอด 3 ปี ทาํ แนวกนั ไฟ ทาํ กิจกรรมปลูกป่ า ชาวบา้ นที่ตาํ บลแมท่ าํ ไดม้ ี ประสบการณ์การต่อสู้ปกป้ องทรัพยากรธรรมชาติถูกทาํ ลาย ต้งั แต่การเตรียมประกาศเขตอุทยาน แห่งชาติแม่ตะไคร้ ซ่ึงทบั พ้ืนท่ีบางส่วนของชุมชน และไดเ้ ขา้ ร่วมกบั เครือขา่ ยกลุ่มเกษตรกร ภาคเหนือ การคดั คา้ นการสัมปทานทาํ แร่ การเช่าพ้นื ท่ีป่ าเพอ่ื ทาํ ธุรกิจ เช่น สนามกอลฟ์ รีสอร์ท ในปี 2543 ไดพ้ ฒั นาโครงสร้างและบทบาทหนา้ ที่ของคณะกรรมการป่ าใหช้ ดั เจนมากข้ึน โดยมี คณะกรรมการป่ าหมู่บา้ นละ 15 คน จากท้งั หมด 7 หมูบ่ า้ น (ต่อมาถอนตวั ไป 2 หมูบ่ า้ น) ชาวบา้ นยกร่างระเบียบการจดั การป่ าชุมชนของตาํ บลแม่ทามาจากความตอ้ งการของ ชาวบา้ นโดยตรง โดยผนู้ าํ แตล่ ะหมวดนาํ ไปแลกเปล่ียนกบั สมาชิกบา้ นของตน จากพ้ืนที่ป่ า ท้งั หมด 67,000 ไร่ ชาวบา้ นแบง่ พ้ืนท่ีป่ าออกเป็น 4 เขต เพ่อื แบ่งหนา้ ที่ความรับผดิ ชอบของแต่ละ หมู่บา้ น และมีแผนการบริหารจดั การป่ าเฉพาะส่วน เพ่ือใหเ้ หมาะสมกบั สภาพป่ าแตล่ ะแห่ง บทเรียนการจดั องคก์ รชุมชนของตาํ บลแมท่ ามีขอ้ สงั เกตดงั น้ี • การจดั โครงสร้างการบริหารจดั การอยา่ งเป็นทางการ ในรูปแบบของ คณะกรรมการเครือขา่ ยการจดั การทรัพยากรธรรมชาติลุ่มน้าํ ทาตอนบน และ คณะกรรมการป่ าชุมชน มีความแขง็ ตวั และไมส่ อดคลอ้ งกบั วฒั นธรรมของ ชาวบา้ น ทาํ ใหก้ ารปฏิบตั ิจริงไม่สามารถดาํ เนินการได้ โครงสร้างของ คณะกรรมการมีความซ้าํ ซอ้ น คณะกรรมการยงั ไม่เขา้ ใจและไมร่ ู้บทบาทของ ตนเอง การบริหารงบประมาณไมส่ อดคลอ้ งกบั แนวทางการจดั การ ชาวบา้ นได้ แกไ้ ขปัญหาดว้ ยการปรับโครงสร้างการบริหารจดั การองคก์ รท่ียดื หยนุ่ หมุนเวยี น บทบาทการเป็นคณะกรรมการ เพื่อใหส้ มาชิกทุกคนไดเ้ รียนรู้ • ที่มาของคณะกรรมการมีความแตกต่างกนั ซ่ึงมีผลต่อความเขา้ ใจและการทาํ งาน อยา่ งจริงจงั ของกรรมการ การหมุนเวยี นคณะกรรมการทาํ ใหม้ ีโอกาสเรียนรู้ ระบบการทาํ งาน มีส่วนร่วมดูแลรับผดิ ชอบ วาระการทาํ งาน 2 ปี ของ คณะกรรมการป่ า เหมาะสมเพ่ือใหก้ รรมการไดเ้ รียนรู้งาน และบริหารงาน ปัญหา ที่พบคือ กรรมการท่ีมีภาระของครอบครัวมาก ก็จะไม่คล่องตวั ในการปฏิบตั ิ หนา้ ที่ • ความลกั ลนั่ เร่ืองบทบาทอาํ นาจหนา้ ที่ระหวา่ งคณะกรรมการป่ ากบั ผนู้ าํ ทางการ คือผใู้ หญ่บา้ น กรณีที่ชาวบา้ นละเมิดกฎระเบียบในการจดั การป่ า กรรมการป่ า รู้สึกวา่ ตนเองไมม่ ีอาํ นาจท่ีจะเรียกผกู้ ระทาํ ผดิ มาสอบสวนได้ ซ่ึงตอ้ งอาศยั อาํ นาจ 3-9
ของผใู้ หญบ่ า้ น บางหม่บู า้ นกรรมการป่ ากบั ผใู้ หญบ่ า้ นมีความเห็นไม่ตรงกนั ทาํ ใหเ้ กิดความขดั แยง้ ที่รุนแรงได้ ชาวบา้ นยงั ยดึ ถือตวั บุคคล ผนู้ าํ ท่ีเป็นทางการ โดย ไม่เขา้ ใจถึงบทบาทและความสาํ คญั ของคณะกรรมการป่ าอยา่ งแทจ้ ริง กรรมการ ป่ าจึงแกไ้ ขปัญหาดว้ ยเอาผนู้ าํ ทางการ เช่น ผใู้ หญบ่ า้ น สมาชิก อบต. เขา้ มามีส่วน ร่วมรับรู้ และใหค้ วามเห็นในการดาํ เนินงานของคณะกรรมการป่ า • การละเมิดกฎระเบียบการจดั การป่ า สาเหตุมาจาก ผทู้ ่ีรับทราบกฎระเบียบมีเพียง พอ่ บา้ น ท่ีมีส่วนร่วมในการประชุมร่างกฎระเบียบ ขณะท่ีสมาชิกในครอบครัวคน อื่นๆไมร่ ับทราบ หรือไม่เขา้ ใจกฎระเบียบ สมาชิกบางคนจงใจฝ่ าฝืนเพราะไม่ ยอมรับในขอ้ ตกลงร่วมของชุมชน โดยอา้ งความจาํ เป็นการทาํ มาหากิน หรือไม่ ยอมรับอาํ นาจ โดยอา้ งวา่ กฎระเบียบไม่ใช่กฎหมาย และมีอตั ราคา่ ปรับผตู้ ดั ไม้ แพงกวา่ ระเบียบของ อบต. คณะกรรมการป่ าแกไ้ ขปัญหาใหม้ ีการขออนุญาตการ ตดั ไม้ เก็บของป่ าก่อน เพ่ือใหค้ ณะกรรมการบนั ทึกขอ้ มูลปริมาณการใชไ้ มข้ อง ท้งั ชุมชน ฐานขอ้ มูลดงั กล่าวมีประโยชนใ์ นการพฒั นาระบบการจดั การป่ าของ ชุมชน และการรณรงคใ์ นทางนโยบายตอ่ ไป • คณะกรรมการป่ าทุกหมูบ่ า้ นตอ้ งการใหม้ ีการจดั สวสั ดิการเพื่อสนบั สนุนการ ดาํ เนินกิจกรรมการจดั การป่ าชุมชน ซ่ึงตอ้ งทาํ อยา่ งต่อเนื่อง รูปแบบของ สวสั ดิการคือการทาํ ประกนั ชีวติ ใหแ้ ก่คณะกรรมการป่ า โดยไดร้ ับงบประมาณ สนบั สนุนจาก อบต. มีการช่วยเหลือดา้ นอาชีพ และเศรษฐกิจของครอบครัวของ และที่สาํ คญั ตอ้ งไม่เนน้ การสร้างรายไดห้ รือหา คณะกรรมการใหม้ ากข้ึน ผลประโยชน์ส่วนตนมากกวา่ ทาํ เพ่ือส่วนรวม • คณะกรรมการป่ าท้งั หมดของทุกหมูบ่ า้ นมีเฉพาะผชู้ าย แต่ความจริงคือแมบ่ า้ นไม่ ยอมมาเป็นคณะกรรมการป่ า แตจ่ ะสนบั สนุนใหส้ ามีเป็ นกรรมการมากกวา่ เพราะ ไมม่ ีทกั ษะในการตีราคาเพ่ืออนุมตั ิการตดั ไมแ้ ละการปรับไหม กรณีท่ีมีการ ลกั ลอบตดั ไม้ มีภาระตอ้ งดูแลครอบครัวในเวลากลางคืน การควบคุมป้ องกนั ตดั ไมเ้ ป็นงานท่ีเส่ียงอนั ตราย อยา่ งไรก็ตามผหู้ ญิงมีส่วนร่วมเดินสาํ รวจความ หลากหลายทางชีวภาพในป่ า • คณะกรรมการป่ ายงั เนน้ การควบคุมการตดั ไมม้ ากกวา่ โดยยงั ไมค่ ิดคน้ การ จดั การป่ าและฐานทรัพยากรอื่นๆ เช่น ควบคุมการใชท้ รัพยากรจากป่ า การพฒั นา เศรษฐกิจชุมชนจากของป่ า การฟ้ื นฟแู ละสืบทอดองคค์ วามรู้ในการใชป้ ระโยชน์ จากป่ า การป้ องกนั ควบคุมการล่าสตั วป์ ่ า เป็นตน้ ปัญหาท่ีชาวบา้ นพบคือ การ เก็บแมลงกวา่ งเพ่อื นาํ ไปขายจาํ นวนมาก การเกบ็ เห็ดป่ าและของป่ าโดยไมเ่ หลือ เช้ือพนั ธุ์ไว้ 3 - 10
จากประสบการณ์ของการจดั การป่ าชุมชนในภาคอีสานในกรณีพ้ืนท่ีที่เคยมีการทาํ ลายป่ า ไมม้ าก่อน และชุมชนไดก้ ลบั มาฟ้ื นฟดู ูแลรักษาทรัพยากรของทอ้ งถิ่น หนูเกณฑ์ จนั ทาสีและคณะ (2543) ไดน้ าํ เสนอศกั ยภาพชุมชนอีสานในการจดั การทรัพยากรธรรมชาติ โดยรวบรวมจาก กรณีศึกษาของชุมชนที่ไดถ้ ูกอพยพออกจากพ้ืนที่จากโครงการจดั สรรที่ดินใหเ้ กษตรกรผยู้ ากไร้ใน พ้นื ที่ป่ าสงวนแห่งชาติที่เสื่อมโทรม (คจก.) ไดแ้ ก่ บา้ นตาดฟ้ าดงสะคร่าน อ.ภูผาม่าน จ.ขอนแก่น บา้ นซาํ ผกั หนาม อ.ชุมแพ จ.ขอนแก่น และบา้ นเทพพนา และกรณีชุมชนท่ีต่อสู้นาํ ท่ีดินกลบั คืนมา ทาํ เป็นป่ าชุมชน จากการปลูกยคู าลิปตสั โดยรัฐ คือบา้ นหนองเยาะ อ.สงั ขะ จ.สุรินทร์ กระบวนการ เรียนรู้ท่ีสาํ คญั ซ่ึงทาํ ใหอ้ งคก์ รชาวบา้ นตระหนกั ในการจดั การทรัพยากรอยา่ งยง่ั ยนื ในป่ าชุมชน หนองเยาะมีประเด็นดงั น้ี (1) บทบาทการจดั เวทีแลกเปล่ียน ต้งั แต่เวทีระดบั ชาวบา้ นและระดบั เครือขา่ ย ท่ีมี องคป์ ระกอบจากหลายฝ่ าย เช่น องคก์ รชาวบา้ นที่มีปัญหาเดียวกนั องคก์ รพฒั นาเอกชน สถาบนั วชิ าการ ส่วนเวทีระดบั ชาวบา้ น เป็นเวทีการรณรงคร์ ูปแบบหน่ึงท่ีชาวบา้ นใชส้ ื่อสารแลกเปลี่ยนกนั ท้งั น้ีข้ึนอยกู่ บั เงื่อนไขภายในหมูบ่ า้ น ซ่ึงตอ้ งมีการปรับเปลี่ยนใหเ้ หมาะสม (2) บทบาทการผลกั ดนั และการติดตามแกไ้ ขปัญหาร่วมกบั ชุมชน องคก์ รชาวบา้ นเป็ น กลไกการผลกั ดนั และติดตามการแกไ้ ขปัญหา โดยมีคนในชุมชนเป็ นพ้ืนฐานในการขบั เคล่ือน อยา่ งมีเป้ าหมายท่ีชดั เจน ท้งั การแกไ้ ขปัญหาเฉพาะหนา้ และการจดั การทรัพยากรธรรมชาติอยา่ ง ยงั่ ยนื (3) บทบาทเป็นองคก์ รจดั การบริหารงานภายในเครือขา่ ย การมีองคก์ รชุมชนข้ึนมาเพ่ือ เป็นหน่วยงานในการบริหารจดั การภายในชุมชน เพ่ือใหก้ ารทาํ งานขบั เคล่ือนเป็ นไปอยา่ งตอ่ เน่ือง และบรรลุผลการทาํ งาน บทบาทขององคก์ รชาวบา้ นจะนาํ ไปสู่กระบวนการเรียนรู้ของคนภายใน ชุมชน เพือ่ ใหเ้ กิดการตระหนกั ร่วมในการผลกั ดนั แกไ้ ขปัญหา (4) บทบาทของบุคคลภายนอกนอกชุมชน ไดแ้ ก่หน่วยงานรัฐท่ีเกี่ยวขอ้ ง องคก์ รเอกชน สถาบนั วชิ าการ นกั การเมือง และสื่อมวลชน ดา้ นองคก์ รเอกชน สถาบนั วชิ าการ ร่วมศึกษาวจิ ยั ขอ้ มลู จดั เวทีแลกเปล่ียน ร่วมติดตามปัญหา และวางแผนการจดั การทรัพยากรท่ีชุมชนมีส่วนร่วม บทบาทการเผยแพร่ปัญหาสู่สาธารณชน ไดแ้ ก่ สื่อมวลชน ซ่ึงร่วมเสนอขอ้ มูลปัญหาสู่สังคม ท้งั ใน รูปแบบของบทความ หรือสารคดี เป็นตน้ บทบาทของหน่วยงานรัฐต้งั แตร่ ะดบั ทอ้ งถิ่นและ ระดบั ชาติร่วมแกไ้ ขปัญหา อยา่ งไรกต็ ามยงั พบอุปสรรคปัญหาท่ีทาํ ใหก้ ารแกไ้ ขปัญหาล่าชา้ หรือมี ปัญหาเพิม่ ข้ึน เช่น การไมใ่ หค้ วามร่วมมือในกิจกรรมการจดั การป่ าของชาวบา้ นจากเจา้ หนา้ ท่ีป่ าไม้ การยยุ งใหเ้ กิดความแตกแยกจากหน่วยงานราชการในทอ้ งถิ่น เป็นตน้ สาํ หรับกลไกการทาํ งานอยา่ งมีประสิทธิภาพของคณะกรรมการชุมชนในการดูแลรักษา ทรัพยากรของชุมชนคือ 3 - 11
(1) คณะกรรมการรักษาป่ าของชุมชนทาํ หนา้ ท่ีเป็ นตวั แทนชุมชนในการดูแลรักษา และควบคุมการใชป้ ระโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในขอบเขตพ้ืนที่ที่ชุมชนร่วมกนั กาํ หนดเป็น เขตป่ าของชุมชน (2) การดาํ เนินกิจกรรมรักษาป่ าของชุมชนยดึ ถือกระบวนการมีส่วนร่วมของคนใน ชุมชนเป็นสาํ คญั ถึงแมค้ ณะกรรมการมีเวทีปรึกษาหารือประชุมระหวา่ งคณะกรรมการดว้ ยกนั เอง หากมติการดาํ เนินกิจกรรมต่างๆในการรักษาป่ าจะตอ้ งไดม้ าจากเวทีการประชุมปรึกษาหารือ ซ่ึง ควรดาํ เนินการอยา่ งสม่าํ เสมอ (3) คณะกรรมการรักษาป่ าของชุมชนทาํ งานอยใู่ นวาระตามท่ีชุมชนเป็นผกู้ าํ หนด หรือ มีการปรับเปลี่ยนไดต้ ามสถานการณ์ของชุมชนที่เปล่ียนไป เพ่อื ป้ องกนั ปัญหาการทาํ งานอยใู่ น ตาํ แหน่งนานเกินไป (4) เน่ืองจากคณะกรรมการรักษาป่ าของชุมชนทาํ งานโดยไม่ไดร้ ับคา่ ตอบแทน จาํ นวนของคณะกรรมการตอ้ งมีจาํ นวนมากพอที่จะทาํ งานเป็นทีมแบ่งเบาภาระของชุมชนทดแทน งานกนั ได้ เพอื่ ไมใ่ หก้ ระทบกระเทือนภาระทางครอบครัวของกรรมการ รวมท้งั ตอ้ งมีการ ถ่ายทอดประสบการณ์เพื่อใหค้ นรุ่นใหม่เขา้ มาเรียนรู้และแทนที่งานเสมอ (5) คณะกรรมการรักษาป่ าของชุมชนแตล่ ะคนจะมีบทบาทหนา้ ที่ความรับผิดชอบท่ี ชดั เจนโดยการกาํ หนดร่วมกนั ของคนในชุมชน (6) คณะกรรมการรักษาป่ าของชุมชนคดั เลือกจากคนที่มีความรู้ความเขา้ ใจ สามารถ วเิ คราะห์สถานการณ์ภายใน และภายนอกของชุมชนท่ีส่งผลกระทบกบั ชุมชน โดยเฉพาะการใช้ ประโยชนจ์ ากทรัพยากรธรรมชาติ (7) คุณสมบตั ิที่สาํ คญั ของคณะกรรมการรักษาป่ าของชุมชนคือ การมีทกั ษะ ความสามารถในการถ่ายทอดขอ้ มูลข่าวสารสู่คนในชุมชน สามารถประสานงานกบั ผนู้ าํ ทางการ หน่วยงานในทอ้ งถ่ินและภายนอก ท่ีสาํ คญั ตอ้ งทาํ งานดว้ ยความโปร่งใส มีความประพฤติดี เป็น ตวั อยา่ งท่ีดี และเป็นท่ีเคารพนบั ถือของคนในชุมชน การรวมกลุ่มระดับเครือข่ายในระบบนิเวศเดียวกนั และระดบั ภูมภิ าค ในภาคเหนือมีการรวมกลุ่มขององคก์ รชุมชนที่จดั การป่ าชุมชน และแกไ้ ขปัญหาท่ีดินทาํ กินในเขตป่ าท่ีสาํ คญั 3 เครือขา่ ย ไดแ้ ก่ เครือข่ายเกษตรกรภาคเหนือ สมชั ชาป่ าชุมชนภาคเหนือ และสมชั ชาชนเผา่ แห่งประเทศไทย ในที่น้ีนาํ เสนองานศึกษาของศยามล ไกยรู วงศ์ และคณะ (2543) ซ่ึงศึกษาขบวนการเครือขา่ ยกลุ่มเกษตรกรภาคเหนือ (คกน.) เพ่ือพทิ กั ษส์ ิทธิชุมชนในการ จดั การทรัพยากรธรรมชาติ และการธาํ รงอตั ลกั ษณ์ทางชาติพนั ธุ์ สมาชิกของ คกน. ประกอบดว้ ย (1) กลุ่มชาวบา้ นจากพ้นื ที่ท่ีถูกอพยพจากพ้ืนท่ีป่ าแลว้ (2) กลุ่มชาวบา้ นจากพ้นื ที่ที่ถูกประกาศเขต อนุรักษแ์ ละกาํ ลงั จะถูกอพยพ (3) กลุ่มชาวบา้ นจากพ้ืนท่ีท่ีอยใู่ นบญั ชีเตรียมประกาศเป็นเขต 3 - 12
อนุรักษ์ (4) กลุ่มชาวบา้ นท่ีประสบปัญหานายทุนบุกรุกพ้นื ท่ีสาธารณะของชุมชน มีหมู่บา้ นสมาชิก ประมาณ 107 หมูบ่ า้ น (พ.ศ.2540) จาก 7 จงั หวดั ภาคเหนือ ไดแ้ ก่ เชียงใหม่ ลาํ พนู ลาํ ปาง เชียงราย แมฮ่ อ่ งสอน กาํ แพงเพชร และตาก สมาชิกส่วนใหญ่เป็ นกลุ่มชาติพนั ธุ์ปกากญอ รองลงมาเป็นคน เมืองพ้นื ราบ และนอ้ ยที่สุดคือ กลุ่มชาติพนั ธุ์มง้ และลาหู่ คกน.ขยายฐานสมาชิกและสร้างความเขม้ แขง็ ขององคก์ รผา่ นเครือข่ายระดบั ลุ่มน้าํ เพราะ มีระบบการแบ่งสรรน้าํ จากแมน่ ้าํ หรือลาํ หว้ ยเดียวกนั เพ่ือใชใ้ นการผลิต การประสานงานและการ ดาํ เนินกิจกรรมของ คกน. มีสองแนวทางคือ แนวทางแรกจากล่างข้ึนบน ท่ีชุมชนหรือเครือขา่ ยลุ่ม น้าํ คิดข้ึนเอง และประสานไปยงั เครือขา่ ยระดบั ภาค เพอื่ ขอรับการสนบั สนุนและความช่วยเหลือ ตามความจาํ เป็ น แนวทางท่ีสอง จากบนลงล่าง เป็นการเคล่ือนไหวทางนโยบายและการเมือง ท่ี คกน.กลางทาํ หนา้ ท่ีรวบรวมขอ้ มูล ขา่ วสาร มีเวทีในการคิด วเิ คราะห์ปัญหา และกาํ หนดยทุ ธวธิ ี การเคลื่อนไหว ก่อนที่จะถ่ายทอดเพ่ือนาํ ไปปฏิบตั ิในระดบั พ้ืนที่ โดยผา่ นกลไกของเครือขา่ ยลุ่มน้าํ กระบวนการรวมกลุ่มของ คกน. มาจากการเคลื่อนไหวอยา่ งต่อเน่ืองหลายปี และมีการสัง่ สมประสบการณ์และการเรียนรู้ทา่ มกลางการเคลื่อนไหวแกไ้ ขปัญหา เพื่อพฒั นาศกั ยภาพการ รณรงคท์ างการเมืองอยา่ งมีประสิทธิภาพ มีการเคล่ือนไหวทุกรูปแบบ ต้งั แต่การยน่ื หนงั สือ ร้องเรียน และติดตามผลการชุมนุม การเจรจาต่อรอง และการเขา้ ร่วมกบั สมชั ชาคนจน การส่ือสาร กบั สังคม และการประสานงานการหนุนช่วยจากองคก์ รพฒั นาเอกชน และข้ึนอยกู่ บั เสถียรภาพของ รัฐบาลแต่ละยคุ สมยั อยา่ งไรกต็ ามชุมชนแต่ละแห่งมีความเขม้ แขง็ ไม่เทา่ กนั ในหลายชุมชนผนู้ าํ ยงั ไม่เขม้ แขง็ ขาดการส่ือสารกบั คนในชุมชนหรือคนในลุ่มน้าํ เดียวกนั กลุ่มเยาวชนยงั ไม่ไดเ้ ขา้ มา มีส่วนร่วม ทาํ ใหข้ าดการสืบทอดจากคนรุ่นหน่ึงไปสู่อีกรุ่นหน่ึง ซ่ึงเป็นสาเหตุสาํ คญั ท่ีทาํ ให้ คกน.ขาดความเขม้ แขง็ ในบางสถานการณ์และบางช่วงเวลา 3 - 13
แผนภูมิ โครงสร้างประสานงานเครือข่ายประชาชนป่ าชุมชนภาคเหนือ เครือขา่ ยชาวบา้ นป่ าไม้ ยทุ ธศาสตร์สิทธิชุมชนและการมีส่วนร่วม ท่ีดินภาคอีสาน/ใต้ ของประชาชนในการจดั การทรัพยากร และสมชั ชาคนจน และสิทธิความเป็ นพลเมืองไทย สมชั ชาป่ าชุมชน กลุ่มคนเมือง ภาคเหนือ NGOs นกั วชิ าการ ผนึกกาํ ลงั คกน. เสริมสร้างการรวมกลุ่ม เป็ นเครือขา่ ย สมชั ชาชนเผา่ รณรงคเ์ ผยแพร่ขอ้ มูล ผลกั ดนั ใหแ้ กไ้ ขปัญหา ระดบั พ้ืนที่และนโยบาย สร้างวาทกรรมทางวชิ าการ ส่ือสารกบั สาธารณชน ส่ือมวลชน ท่ีมา : ศยามล ไกยรู วงศ์ และคณะ (2545 : 259) 3. การตดิ ตามประเมนิ ผลการจัดการป่ า พชื อาหารและสมุนไพรโดยชุมชน ระบบการติดตามประเมินผลการจดั การป่ าชุมชนวา่ มีความยงั่ ยนื อยา่ งไรท้งั ในทางสังคม ระบบนิเวศ และทางเศรษฐกิจ เราสามารถนาํ ความรู้ทอ้ งถิ่นมาใชใ้ นระบบดงั กล่าวได้ การใช้ แนวคิดของระบบการตรวจสอบของชุมชนไดถ้ ูกส่งเสริมในทางปฏิบตั ิใหช้ ุมชนร่วมตรวจสอบ และประเมินระบบนิเวศอยา่ งมีส่วนร่วม งานวจิ ยั ป่ าชุมชนในประเทศไทย : แนวทางการพฒั นา (เสน่ห์ และยศ บก., 2536 ล.2) ไดเ้ สนอเกณฑใ์ นการช้ีวดั ทางสังคมและเศรษฐกิจของความยงั่ ยนื 3 - 14
ของการจดั การป่ าชุมชน ซ่ึงมาจากชาวบา้ นในพ้ืนท่ีวิจยั โดยกาํ หนดคุณลกั ษณะ 4 ประการ ไดแ้ ก่ ผลิตภาพ เสถียรภาพ ถาวรภาพ และความเป็นธรรม ผลติ ภาพ หมายถึง “ความพออยพู่ อกิน” หรือ “ไดข้ า้ วปลาอาหารไม่อดอยาก” เสถียรภาพ หมายถึง ความสามารถของระบบที่ทาํ ใหผ้ ลิตภาพของระบบไม่ข้ึนๆลงๆ ขาด ความสม่าํ เสมอ รูปธรรมของการรักษาเสถียรภาพของระบบในชุมชนที่มีป่ าชุมชน คือความรู้ หรือ ภมู ิปัญญาชาวบา้ นในการควบคุมน้าํ (ระบบเหมืองฝาย) การจาํ แนกประเภทการใชท้ ่ีดิน การ อนุรักษป์ ่ าตน้ น้าํ ถาวรภาพ หมายถึง การท่ีระบบน้นั ๆ สามารถท่ีจะทาํ การผลิตต่อไปไดอ้ ยา่ งยงั่ ยนื ยาวนาน ซ่ึงรวมถึงถาวรภาพของความหลากหลายทางชีวภาพดว้ ย รูปธรรมของการใชท้ รัพยากรเพอ่ื ใหเ้ กิด ถาวรภาพของชาวบา้ น คือการทาํ เกษตรผสมผสานท่ีประกอบดว้ ย นา ไร่ (หมุนเวยี น) สวน (เช่น สวนเมี่ยง หรือชา) สวนหลงั บา้ น เล้ียงสัตว์ และเกบ็ ของป่ า ความเป็ นธรรม หมายความวา่ ตอ้ งเป็นการกระจายทรัพยากรและผลประโยชนจ์ าก ทรัพยากรใหก้ บั คนส่วนใหญ่ของประเทศ ซ่ึงคือประชาชนในชนบทในไดม้ ีสิทธิในการเขา้ ถึง ทรัพยากร และเปิ ดโอกาสใหป้ ระชาชนไดม้ ีส่วนร่วมในการบริหารจดั การทรัพยากรของชุมชน อยา่ งแทจ้ ริง งานวิจยั ของ ยศ (2542) เร่ืองความหลากหลายทางชีวภาพและภมู ิปัญญาทอ้ งถิ่นเพื่อ การพฒั นาท่ียงั่ ยนื ไดเ้ สนอวา่ ความเป็นธรรมทางสงั คม เป็นเงื่อนไขของความเป็ นธรรมต่อระบบ นิเวศ นโยบายการจดั การทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพ จาํ เป็นตอ้ งสร้างมาตรการบางอยา่ งเพื่อช่วยให้ คนจน คนดอ้ ยโอกาส และคนไร้ท่ีทาํ กินสามารถดาํ รงชีวติ ไดอ้ ยา่ งมีศกั ด์ิศรี และไดร้ ับความเป็ น ธรรม และพวกเขาก็จะไม่บุกเบิกท่ีดินทาํ กิน และทาํ ลายป่ าเพอ่ื การอยรู่ อด สาํ หรับการติดตามประเมินผลการจดั การทรัพยากรในทางนิเวศ และทางเศรษฐกิจ ศูนย์ ฝึกอบรมวนศาสตร์ชุมชนแห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิ ก/รีคอร์ฟ) ไดม้ ีบทบาทสาํ คญั ในการใชแ้ นวทาง การศึกษาพฤกศาสตร์พ้ืนบา้ น มาสาํ รวจติดตามประเมินผลการจดั การทรัพยากรและป่ าชุมชน จาก รายงานการประชุมเชิงปฏิบตั ิการ พฤกศาสตร์พ้ืนบา้ น และการใชท้ รัพยากรพรรณพชื อยา่ งยงั่ ยนื ใน ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ (2541) สมศกั ด์ิ สุขวงศ์ เสนอวา่ การศึกษาพฤกษศาสตร์พ้ืนบา้ นตอ้ งอยู่ บนฐานของภูมิปัญญาของมนุษยท์ ่ีรู้จกั ใชพ้ รรณพชื หลายวธิ ี ดว้ ยการลองผดิ ลองถูก ลองกินพืช อาหารและสมุนไพร จนคน้ พบวา่ นาํ มากินเป็นอาหารและเป็นยารักษาโรคได้ ในขณะท่ีการทดลอง ทางวทิ ยาศาสตร์ นกั วทิ ยาศาสตร์ตอ้ งทุ่มเทเวลาและงบประมาณมากมาย กวา่ จะไดต้ วั ยาหน่ึงๆมา วธิ ีท่ีง่ายที่สุดคือศึกษาจากภูมิปัญญาชาวบา้ น ที่รู้จกั ใชพ้ รรณพืชมานบั หมื่นปี วตั ถุประสงคข์ อง การศึกษาทางพฤกษศาสตร์พ้ืนบา้ นมี 4 ประการดงั น้ี (1) รวบรวมความรู้พ้ืนบา้ นที่มีอยใู่ นชุมชน โดยการสมั ภาษณ์ หรือจดั เวทีแลกเปลี่ยน ความรู้ในชุมชน 3 - 15
(2) ประเมินการใชป้ ระโยชน์ของชุมชนวา่ มากนอ้ ยแคไ่ หน มีวธิ ีจดั การทรัพยากรน้ี อยา่ งไร หรือนาํ เอาระบบการจดั การที่มีอยเู่ ดิมมาช่วยในการจดั การอยา่ งไร ดว้ ยการ ใหช้ ุมชนท้งั ผหู้ ญิง ผชู้ าย และเยาวชนร่วมสาํ รวจพืชอาหาร สมุนไพร ผลผลิตจากป่ า อยา่ งง่าย และมีการบนั ทึก ติดตามอยา่ งต่อเน่ืองทุกปี (3) เพือ่ ศึกษาวา่ จะทาํ การพฒั นา หรือปรับปรุงการใชป้ ระโยชนไ์ ดห้ รือไม่ (4) เพอื่ นาํ ความรู้หรือผลการศึกษากลบั ไปสู่ทอ้ งถิ่น และช่วยเหลือชุมชนตอ่ ไป มีรายงานศึกษาท่ีเก่ียวกบั การศึกษาพฤกษศาสตร์พ้ืนบา้ น ที่แสดงใหเ้ ห็นถึงภูมิปัญญาของ ชุมชนในการอนุรักษแ์ ละใชท้ รัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพจากป่ าอยา่ งยง่ั ยนื จากการ สาํ รวจพนั ธุ์พืช ผลผลิตจากป่ า และมีการคาํ นวณในทางเศรษฐกิจให้เห็นวา่ ผลผลิตจากป่ ามีมลู ค่า ทางเศรษฐกิจอยา่ งไร และมีอยใู่ นป่ าตลอดทุกปี จากการท่ีชุมชนใชป้ ระโยชน์อยา่ งไม่ทาํ ลาย งาน ศึกษาลกั ษณะน้ีไดแ้ ก่ เศกสรรค์ ยงวณิชย์ และคณะ (มปป.) เร่ือง การศึกษาผลกระทบตอ่ ระบบ นิเวศและการพ่ึงพิงป่ า บริเวณเทือกเขาในเขตอาํ เภอคอนสาร จงั หวดั ชยั ภูมิ ภาคภูมิ วธิ านติรวฒั น์ และบรรพต ศรีจนั ทร์นิตย์ (2540) เร่ืองการศึกษาผลผลิตเชิงเศรษฐกิจ สังคม และระบบนิเวศป่ า ชุมชนภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ โครงการพฒั นาองคค์ วามรู้และศึกษานโยบายการจดั การ ทรัพยากรชีวภาพในประเทศไทย ศนู ยฝ์ ึกอบรมวนศาสตร์ชุมชนแห่งภุมิภาคเอเชียแปซิฟก และ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ จดั ทาํ รายงานสรุปการสัมมนาเชิงปฏิบตั ิการ พฤกษศาสตร์พ้ืนบา้ น และ การใชท้ รัพยากรพรรณพืชอยา่ งยง่ั ยนื คร้ังท่ี 2 จดั ท่ีจงั หวดั กาญจนบุรี (2539) ภาคใตต้ อนล่าง จดั ท่ี จงั หวดั สงขลา (2541) ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ จดั ที่จงั หวดั อุบลราชธานี (2541) เป็นตน้ เพิม่ ศกั ด์ิ มกราภิรมย์ (รวมบทความป่ าชุมชน, 2545) (หนา้ 21 – 31) เสนอวา่ ระบบการ ติดตามประเมินผลตอ้ งเริ่มตน้ จากการทาํ แผนการจดั การป่ าชุมชน เพือ่ ใหค้ นในชุมชนไดม้ ีแนว ทางการจดั การและติดตามการจดั การป่ าชุมชน ตลอดจนประเมินผลการจดั การป่ าชุมชนดว้ ยตวั ชุมชนเอง ที่สาํ คญั แผนการจดั การป่ าชุมชนตอ้ งมีลกั ษณะสาํ คญั ดงั น้ี (1) เป็นแผนที่ง่าย ชาวบา้ นส่วนใหญ่เขา้ ใจและปฏิบตั ิได้ (2) คิดและทาํ โดยชาวบา้ น เจา้ หนา้ ที่หรือพนกั งานเจา้ หนา้ ท่ีเป็นผชู้ ่วยเหลือ (3) บอกวธิ ีการจดั การป่ า เพอ่ื ให้ป่ าชุมชนเป็นไปตามวตั ถุประสงค์ (4) ยดื หยนุ่ และมีการทบทวนแกไ้ ขอยา่ งสม่าํ เสมอ (5) สอดคลอ้ งกบั แผนพฒั นาดา้ นอื่นๆของชุมชน คณะกรรมการป่ าชุมชนและสมาชิกชุมชน ทาํ แผนเกบ็ ขอ้ มูลชุมชนและป่ าเพอื่ นาํ ไป ประเมินสถานการณ์ชุมชน สภาพพ้ืนที่ป่ า การใชป้ ระโยชน์ และกาํ หนดแผนการท่ีเหมาะสม ร่วมกนั ปรึกษาหารือกนั โดยร่วมเดินสาํ รวจดูป่ าทุกผนื เพ่อื ร่วมตดั สินใจในการจดั การป่ า 3 - 16
นอกจากน้ีคณะกรรมการป่ าชุมชนตอ้ งสื่อสารใหค้ นในชุมชนและบุคคลอื่นๆเขา้ ใจวา่ แผนจดั การ ป่ าชุมชนน้นั มีประโยชน์ และจะช่วยการจดั การป่ าชุมชนอยา่ งเหมาะสมอยา่ งไร กระบวนการจดั ทาํ แผนจดั การป่ าชุมชนดาํ เนินการโดยชุมชนมี 5 ข้นั ตอนดงั น้ี (1) การทาํ ความเขา้ ใจกบั สมาชิกในชุมชน เพอ่ื แลกเปล่ียนวเิ คราะห์ปัญหา และหาแนว ทางแกไ้ ข (2) การเก็บรวบรวมและวเิ คราะห์ขอ้ มลู เพือ่ ใหช้ ุมชนทราบสถานการณ์ของชุมชน และ ป่ า ในการเก็บขอ้ มูลควรเก็บขอ้ มูลเท่าที่จาํ เป็ น และมีการสาํ รวจประเมินทรัพยากร อยา่ งคร่าวๆ เพื่อใหท้ ราบสถานการณ์และแนวโนม้ การใชป้ ระโยชนจ์ ากป่ า (3) การจดั ทาํ แผนจดั การ ประกอบดว้ ย ประวตั ิชุมชนและป่ า วตั ถุประสงคข์ องการ จดั การป่ า วธิ ีการจดั การป่ า กิจกรรมและผรู้ ับผดิ ชอบ และการควบคุมติดตามผล รวมท้งั กาํ หนดโครงสร้างการสานสมั พนั ธ์ของบุคคล และกลุ่มองคก์ รจดั การป่ า และ รวมระเบียบกฎกติกาในการใชป้ ระโยชน์ นอกจากน้นั อาจมีการสร้างขอ้ ตกลง ระหวา่ งกลุ่มต่างๆในชุมชน กบั ชุมชนหรือหน่วยงานภายนอก (4) การดาํ เนินการตามแผน สนบั สนุนใหม้ ีการปฏิบตั ิตามแผน นกั พฒั นาหรือเจา้ หนา้ ที่ ภาคสนามควรร่วมประชุมกบั กรรมการป่ าชุมชน และกระตุน้ การคิดวเิ คราะห์และ ดาํ เนินการอยา่ งเป็ นระบบ รวมท้งั ช่วยใหม้ ีการพฒั นาระบบการจดบนั ทึกกิจกรรม และการบริหารจดั การท่ีเหมาะสม (5) การติดตามประเมินผลและทบทวนแผน ชาวบา้ นและองคก์ รชุมชนควรร่วมกาํ หนด หลกั เกณฑแ์ ละตวั ช้ีวดั ในการติดตามทรัพยากรในป่ าและชุมชน สมศกั ด์ิ สุขวงศ์ (รวมบทความป่ าชุมชน, 2543) นาํ เสนอการจดั การป่ าไมค้ ือ การควบคุม (Regulation) โดยควบคุมปริมาณการใชป้ ระโยชน์จากป่ า (ควบคุมปริมาณการตดั ไม้ การเก็บหา) และควบคุมการเขา้ ถึงป่ า (Access) และเสนอหลกั การใชป้ ระโยชนจ์ ากป่ าชุมชนอยา่ งยงั่ ยนื ท่ี ตอ้ งมีระบบการตรวจสอบ (Monitoring) กบั การลงโทษทางสงั คม (Sanctioning) ซ่ึงชุมชนมี บทบาทสาํ คญั ในประเด็นการพดู คุยและการทาํ กระบวนการประเมินร่วมกบั ชุมชน ในประเด็น ดงั น้ี (1) การลงขนั การลงทุน ลงแรง ลงทรัพยากร (2) การแบง่ ปันผลประโยชน์จากป่ า ความเป็นธรรมในการแขง่ ขนั (3) การแกป้ ัญหาความขดั แยง้ (4) การจดั การทางการเงิน การจดั การกองทุน ขอ้ มลู ทางการเงิน (5) กระบวนการตดั สินใจ (6) การพ่งึ พิงผอู้ ุปถมั ภ์ ผบู้ ริจาคจากขา้ งนอก ความยงั่ ยนื 3 - 17
(7) ความสามารถในการดาํ รงชีพอยา่ งพอเพยี งของสมาชิกป่ าชุมชนและ ชาวบา้ น ต่อมารีคอร์ฟ (การติดตามระบบนิเวศอยา่ งมีส่วนร่วม:บทเรียนปัจจุบนั สู่ทิศทางในอนาคต 2549) ไดน้ าํ เสนอความรู้ในการจดั การความหลากหลายทางชีวภาพ ดว้ ยการสร้างตวั ช้ีวดั ในการ ประเมินสถานภาพของทรัพยากรชีวภาพที่สาํ คญั จากการใชป้ ระโยชน์ของชุมชน หรือมีความสาํ คญั ตอ่ ระบบนิเวศ เช่นกรณีศึกษาการติดตามสถานภาพไผร่ วกและผลผลิตหน่อ ที่ปาชุมชนเขาราว เทียนทอง จ.ชยั นาท กรณีศึกษาสถานภาพสัตวป์ ่ าในเขตรักษาพนั ธุ์สตั วป์ ่ าทุง่ ใหญ่นเรศวร จ. กาญจนบุรี กรณีศึกษาการติดตามปแู สมและระบบนิเวศป่ าชายเลนที่ชุมชนเปร็ดใน จ.ตราด กรณีศึกษาการติดตามผกั หวานป่ าท่ีป่ าชุมชนบา้ นร่มโพธ์ิทอง จ.ฉะเชิงเทรา เป็นตน้ การติดตาม สถานภาพของทรัพยากรชีวภาพแตล่ ะประเภทมีความแตกตา่ งกนั ซ่ึงตอ้ งสอดคลอ้ งกบั บทบาท หนา้ ที่ ความสาํ คญั ของระบบนิเวศน้นั ๆ ระบบติดตามตอ้ งเป็ นพลวตั มีการเปล่ียนแปลงตวั ช้ีวดั การติดตามตอ้ งมีหลายระดบั ต้งั แต่ระดบั ชุมชน ทอ้ งถิ่น ระดบั ภมู ิทศั น์/ภูมิภาค และระดบั ประเทศ และตอ้ งเช่ือมโยงผสมผสานความรู้ทอ้ งถิ่น กบั ความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์ท่ีเป็นความรู้สากล มุมมองท่ีสาํ คญั ของการติดตามสถานภาพน้ีถา้ หากมีความยงุ่ ยากซบั ซอ้ น และมีการใช้ ความรู้ดา้ นใดหน่ึงแบบไม่สมดุล ระหวา่ งความรู้ของทอ้ งถิ่นกบั ความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์ มีการใช้ ตวั ช้ีวดั เชิงปริมาณกบั ความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์ที่ไม่สอดคลอ้ งกบั วฒั นธรรมของทอ้ งถิ่น ก็จะทาํ ใหม้ ี กรอบความรู้จากขา้ งนอกไปกาํ หนดตวั ตนของชุมชน ซ่ึงจะทาํ ใหช้ ุมชนถูกลดทอนการมีส่วนร่วม ในการติดตามสถานภาพไปโดยปริยาย แนวทางพฒั นาการติดตามระบบนิเวศอยา่ งมีส่วนร่วมมีกระบวนการดงั น้ี ( หนา้ 10 – 13) (1) กรอบการติดตามระบบนิเวศ มีระดบั ของการติดตาม 3 ระดบั คือ ระดบั ชุมชน ระดบั เครือขา่ ย และระดบั ภมู ิทศั น์ เช่นเครือขา่ ยป่ าชุมชนในลุ่มน้าํ เดียวกนั เครือขา่ ยชุมชนของป่ าผนื ใหญ่ และระดบั ท่ีสามเป็นระดบั ประเทศ ซ่ึงเป็นการติดตามโดยภาพรวมของประเทศ ประเด็น กรอบและตวั ช้ีวดั ของการติดตามมีดงั น้ี • การติดตามสถานภาพทรัพยากรและความมนั่ คงของระบบนิเวศ เช่น ป่ า ชุมชนมีการติดตามเน้ือที่ขอบเขต ความอุดมสมบูรณ์ ความหลากหลายของ ทรัพยากรในระบบนิเวศท้งั ชนิด ปริมาณ การกระจาย การทดแทนของ ทรัพยากร ประชากรของชนิดพนั ธุ์ที่สาํ คญั ในพ้ืนท่ีท้งั ชนิดพนั ธุ์ที่หายาก และที่ใชป้ ระโยชนห์ ลกั ๆ • การติดตามประสิทธิผลการจดั การระบบนิเวศ ซ่ึงเป็นการติดตามในระดบั ผลกระทบของการจดั การ เช่น ผลผลิตจากระบบนิเวศต่างๆ มูลค่าและคุณค่า ของผลผลิต ความสมดุลหรือพอเพยี งระหวา่ งการใชป้ ระโยชน์กบั ผลผลิตท่ีมี 3 - 18
• การติดตามทางดา้ นบริหารจดั การและดา้ นสังคม เช่น การมีส่วนร่วมในระดบั ชุมชน การปฏิบตั ิตามขอ้ ตกลง กฎระเบียบร่วมกนั ความตอ่ เนื่องของกิจกรรม การจดั การ การร่วมมือระหวา่ งภาคีต่างๆ ความเขม้ แขง็ ขององคก์ รท่ีจดั การ ระบบนิเวศ (2) กระบวนการและกลไกการพฒั นาระบบการติดตามระบบนิเวศอยา่ งมีส่วนร่วม ระบบการติดตามอยา่ งมีส่วนร่วมตอ้ งพฒั นาใหเ้ ชื่อมโยงกนั ท้งั ในระดบั ทอ้ งถ่ินสู่ ระดบั ชาติ โดยในระดบั ทอ้ งถิ่นจะตอ้ งร่วมกาํ หนดขอบเขตระบบนิเวศท่ีจะติดตาม โดยเนน้ การมี ส่วนร่วมของคนในระบบนิเวศน้นั ท้งั ผใู้ ชป้ ระโยชน์ ผนู้ าํ ผรู้ ู้ทอ้ งถิ่น โรงเรียน โดยใชก้ ารวจิ ยั ทอ้ งถิ่นเป็นพลงั ขบั เคล่ือน (3) การพฒั นาการศึกษาวจิ ยั การติดตามระบบนิเวศอยา่ งมีส่วนร่วม การศึกษาวจิ ยั การติดตามระบบนิเวศน้นั ควรเป็นแนวคิดการศึกษาระบบนิเวศที่เชื่อมโยง กนั ต้งั แต่ตน้ ทางถึงปลายทาง เช่น การศึกษาระบบนิเวศตน้ น้าํ จนถึงปลายน้าํ เพือ่ ทราบถึงจุดท่ีเป็น สาเหตุของปัญหา และการจดั การทรัพยากรในระดบั ทอ้ งถิ่น การติดตามน้นั ตอ้ งมีการผสมผสาน ความรู้ทอ้ งถิ่นกบั ความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์ ซ่ึงนกั วจิ ยั ที่เป็นนกั วชิ าการ และชาวบา้ นตอ้ งปรับ กระบวนทศั นค์ วามคิดร่วมกนั โดยใชย้ ทุ ธศาสตร์กระบวนการวจิ ยั เชิงปฏิบตั ิการอยา่ งมีส่วนร่วม เป็นเคร่ืองมือการเรียนรู้ร่วมกนั เนน้ ใหผ้ ทู้ ี่ใชป้ ระโยชน์จากทรัพยากรและระบบนิเวศ (user group) ร่วมกบั โรงเรียนของชุมชน เป็นผวู้ จิ ยั ประยกุ ตใ์ ชเ้ ครื่องมือทอ้ งถิ่นกบั เทคโนโลยที ่ีเหมาะสมทาํ ให้ ง่ายและสอดคลอ้ งกบั วถิ ีชีวติ ของแตล่ ะทอ้ งถิ่น สามารถตีความเชิงคุณภาพและปริมาณได้ ประเด็น สาํ คญั ในการศึกษา เช่น • การใชป้ ระโยชน์จากระบบนิเวศอยา่ งยง่ั ยนื หรือไม่ อยา่ งไร • การติดตามการฟ้ื นฟูระบบนิเวศท่ีหลากหลาย หรือกระบวนการทาง นิเวศวทิ ยา ท้งั ป่ าบก ป่ าบุง่ ป่ าทาม ป่ าพรุ ป่ าชายเลน เพือ่ นาํ ไปสู่การสร้าง แผนการจดั การฟ้ื นฟูระบบนิเวศ • การศึกษาติดตามผลผลิตจากระบบนิเวศ บทบาทและความสมั พนั ธ์ของ ระบบนิเวศกบั วฒั นธรรม วถิ ีชีวติ • การศึกษาปัญหาทางสังคมที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ • การศึกษามูลค่าทางเศรษฐกิจจากระบบนิเวศ 3 - 19
4. การอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายของพชื อาหารและสมนุ ไพร งานศึกษาเกี่ยวกบั ความรู้ของชุมชนในการอนุรักษแ์ ละใชป้ ระโยชน์จากทรัพยากรและ ความหลากหลายทางชีวภาพ อยบู่ นฐานแนวคิดการศึกษาที่ใชม้ ิติของภูมิปัญญาทอ้ งถิ่น ท่ีแสดง ถึงความรู้บนฐานของวฒั นธรรมการดาํ รงชีวติ ท่ีพ่ึงพาต่อทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลาย ทางชีวภาพ มิติของนิเวศวทิ ยาท่ีแสดงถึงความยงั่ ยนื ของระบบนิเวศและชุมชน มิติของอตั ลกั ษณ์ ตวั ตนของกลุ่มชาติพนั ธุ์ท่ีมีลกั ษณะแตกตา่ งกนั ไปตามวฒั นธรรมของแต่ละกลุ่ม และมิติของการ สร้างการมีส่วนร่วมในการพฒั นาและการจดั การของชุมชนท่ีสอดคลอ้ งกบั ระบบภูมินิเวศ ในที่น้ี จะนาํ เสนอใหเ้ ห็นบริบทของระบบภูมินิเวศแยกในแต่ละภาค ซ่ึงสมั พนั ธ์กบั ความรู้ของชุมชนท่ี แตกต่างกนั มาการต้งั ถิ่นฐานในระบบภูมินิเวศท่ีแตกตา่ งกนั 1) ภาคเหนือ ประกอบดว้ ยภูมิประเทศที่มีลกั ษณะเป็นภเู ขาลอ้ มรอบที่ราบลุ่ม มีความสูง ลดหลนั่ กนั ลงไปต้งั แตภ่ ูเขาสูงหรือยอดดอยเป็นเขตป่ าดิบเขาระดับสูง หรือบริเวณยอดดอย รองลงมาเป็ นเขตป่ าดิบเขา หรือพ้ืนท่ีท่ีมีความสูงประมาณ 1,000 – 1,400 เมตรเหนือระดบั น้าํ ทะเล เขตป่ าดงดบิ หรือเขตป่ าสนเขา มีความสูงประมาณ 700 – 1,000 เมตร เหนือระดบั น้าํ ทะเล เขตป่ า เบญจพรรณ ป่ าแดง และป่ าเต็งรัง เป็นพ้ืนที่ซ่ึงมีความสูงประมาณ 400 – 700 เมตร และเขตพนื้ ท่ี ราบลุ่ม กลุ่มชาติพนั ธุ์ตา่ งๆไดต้ ้งั ถิ่นฐานต้งั แตย่ อดดอยลงมาจนถึงเขตพ้ืนท่ีราบลุ่ม มีระบบการ ผลิตและการอนุรักษแ์ ละใชป้ ระโยชน์ที่แตกตา่ งกนั ระบบการผลิตของกลุ่มชาติพนั ธุ์มง้ ลีซอ อาข่า เมี่ยน มเู ซอร์เชเล มูเซอร์แดง และมูเซอร์ดาํ เหล่าน้ีทาํ การเกษตรแบบตดั ฟันโค่นเผาในการทาํ ไร่ (slash and burn หรือ shifting cultivation) โดยเพาะปลูกยาวนาน และปล่อยใหป้ ่ าฟ้ื นตวั อยา่ ง ยาวนานดว้ ย ระบบการปลูกพชื ผสมผสานมีการปลูกขา้ วเป็นพชื หลกั มีพืชรอง เช่น ผกั และแตง หลากหลายชนิด ท้งั ขา้ วโพดและฝ่ิน สาํ หรับกลุ่มชาติพนั ธุ์ ลวั ะ ถิ่น ปกากะญอ และขมุ ซ่ึงต้งั ถ่ินฐานอยใู่ นพ้นื ที่ลุ่มกน้ กะทะ ลอ้ มรอบดว้ ยเนินเขาใกลก้ บั แหล่งน้าํ นิยมต้งั หมูบ่ า้ นในเขตป่ าเบญจพรรณ มีไมไ้ ผเ่ ป็นไมห้ ลกั สลบั กบั ป่ าเตง็ รังท่ีมีไมพ้ ลวงเป็นไมห้ ลกั ชาวปกากะญอจดั ประเภทของป่ าไวห้ ลายประเภท และ ทาํ การเพาะปลูกในลกั ษณะของการปลูกพืชหมุนเวยี น (หรือไร่หมุนเวยี น กล่าวคือใชป้ ระโยชนใ์ น พ้นื ท่ีเดิมประมาณ 1-5 ปี แลว้ ทิ้งดินใหฟ้ ้ื นตวั ประมาณ 3-10ปี ) ชาวปกากะญอจึงไมย่ า้ ยหมบู่ า้ นตาม สภาวะการใชท้ ี่ดินหมดความอุดมสมบูรณ์เหมือนกลุ่มชาติพนั ธุ์อ่ืนๆที่ทาํ การปลูกฝิ่น กลุ่มชาติพนั ธุ์ในภาคเหนือตอนบนจึงมีระบบการใชท้ ่ีดินท้งั ในการผลิตและปล่อยให้ สภาพดินหลงั การผลิตกลายเป็นป่ าเพอ่ื ฟ้ื นฟูดินข้ึนมาอีกคร้ัง และจึงหมุนเวยี นกลบั มาทาํ ใหม่ กลุ่ม 3 - 20
ชาติพนั ธุ์จึงมีการเคลื่อนยา้ ยหมุนการใชป้ ระโยชน์ที่ดิน ระบบการผลิตจึงเป็นระบบเดียวกบั ป่ า ไม่ สามารถแบง่ แยกอยา่ งชดั เจนระหวา่ งที่ดินในการผลิตและป่ าแบบระบบการผลิตในท่ีราบลุ่มทวั่ ไป (1.1) ระบบไร่หมุนเวยี นกบั การจัดการป่ า การทาํ ไร่หมุนเวียน เป็นระบบวนเกษตรที่พบมากในกลุ่มชาติพนั ธุ์ชาวลวั ะ และ ปกากะญอ รวมท้งั คนเมืองและไทยวนบางส่วน การทาํ ไร่หมุนเวยี นทาํ ตามหุบเขาหรือท่ีราบติดกบั เชิงเขา ปกคลุมดว้ ยป่ าเบญจพรรณ ซ่ึงเป็นตน้ น้าํ ของลาํ หว้ ยขนาดเล็ก ท่ีหล่อเล้ียงระบบการผลิต แบบนาดาํ บนที่ราบแคบๆตามหุบเขา การควบคุมและการจดั การน้าํ การรักษาป่ าตน้ น้าํ จึงมี ความสาํ คญั ต่อระบบการผลิต การทาํ ไร่หมุนเวียนเป็นส่วนหน่ึงของการฟ้ื นฟสู ภาพป่ าจากการทาํ ไร่ใหส้ มบรู ณ์ ข้ึนมา ตวั อยา่ งเช่น ชาวปกากญอไดจ้ าํ แนกพ้ืนที่ป่ าตามลกั ษณะการใชป้ ระโยชนอ์ อกเป็น 6 ประเภทดว้ ยกนั คือ 1) ป่ าตน้ น้าํ หรือป่ าอนุรักษ์ เป็นผนื ป่ าธรรมชาติท่ีเป็นแหล่งกาํ เนิดของตน้ น้าํ ลาํ ธาร 2) ป่ าใชส้ อย เป็นพ้ืนที่ป่ ารอบหมูบ่ า้ น ซ่ึงส่วนใหญเ่ ป็ นป่ าตองไวเ้ กบ็ ฟื น เก็บอาหาร และ เก็บตองเพ่ือมุงหลงั คาบา้ น 3) ป่ าชา้ เป็นพ้ืนท่ีป่ าใกลห้ มูบ่ า้ น ใชเ้ ป็นท่ีฝังศพ 4) ป่ าศกั ด์ิสิทธ์ิหรือ ป่ าสาํ หรับประกอบพิธีกรรมตามประเพณี เป็นป่ าตอ้ งหา้ ม หา้ มใครเขา้ มาใชป้ ระโยชน์ 5) ป่ าสะดือ เป็นป่ ารอบหม่บู า้ นที่มีไมใ้ หญ่ข้ึน ชาวปกากญอนิยมนาํ เอาสายสะดือของเด็กทารกใส่กระบอกไม้ ไผไ่ ปวางอยบู่ นไมใ้ หญ่ โดยเชื่อวา่ ขวญั ของเด็กจะอยกู่ บั ตน้ ไม้ ชีวติ ของเด็กจะเติบใหญ่และมี ความสงบร่มเยน็ ดงั่ ไมใ้ หญต่ น้ น้นั และ 6) ป่ าทาํ กินหรือไร่หมุนเวยี น หรือเรียกวา่ “ไร่เหล่า” ซ่ึงมี สองรูปแบบ รูปแบบแรก เป็ นพ้ืนท่ีทาํ กินร่วมกนั ของคนท้งั ชุมชน พ้ืนที่ส่วนน้ีมีการจดั สรรแบ่งปัน และให้ “สิทธิการใช”้ แก่ครัวเรือนใดครัวเรือนหน่ึง ตามความจาํ เป็นและความเหมาะสม รูปแบบ ท่ีสอง เป็นการถือครองรายบุคคล เช่น เดียวกบั ที่นาและสวน ซ่ึงถือเป็นกรรมสิทธ์ิของครอบครัวที่ จะสืบทอดกนั ไปแต่ละตระกลู (ยศ 2543 : 133 – 134) งานศึกษาเกี่ยวกบั ระบบไร่หมุนเวยี นของชาวลวั ะ ขมุ และปกากญอในภาคเหนือ ตอนบนท้งั ในต่างประเทศ และจากกรณีศึกษาในภาคเหนือของไทยไดใ้ หข้ อ้ สรุปร่วมกนั วา่ ไร่ หมุนเวยี นเป็นระบบนิเวศเกษตรท่ีมีประสิทธิภาพและมีศกั ยภาพในการจดั การทรัพยากรและป่ า อยา่ งยง่ั ยนื ระบบภูมิปัญญาของกลุ่มชาติพนั ธุ์ช่วยสร้างความหลากหลายทางชีวภาพท้งั ในท่ีทาํ กิน และไร่ซาก หลกั การอนุรักษข์ องระบบไร่หมุนเวยี นอยทู่ ่ีข้นั ตอน การเลือกพ้ืนท่ีทาํ ไร่แตล่ ะปี ซ่ึง มีกฎเกณฑท์ ่ีควบคุมอยา่ งเขม้ งวด ข้นั ตอนการทาํ ไร่หมุนเวยี นคือ การเตรียมพ้ืนท่ีปลูกพืช การ ปลูกพชื และบาํ รุงดิน การเกบ็ เกี่ยวแตล่ ะข้นั ตนมีภมู ิปัญญาเชิงอนุรักษแ์ ละเทคโนโลยพี ้ืนบา้ นใน การดูแล จึงก่อใหเ้ กิดระบบการพ่งึ พาระหวา่ งคนและธรรมชาติอยา่ งสมดุล เช่นงานศึกษาของ ปริศนา พรหมมา และมนตรีจนั ทวงศ์ (2541) เดโช ไชยทพั เรื่องความรู้พ้ืนบา้ นในการจดั การ 3 - 21
ทรัพยากรสิ่งแวดลอ้ ม (มปป.) อจั ฉรา รักยตุ ิธรรม (2547) ประเสริฐ ตระการศุภกร ( 2540) และงาน ศึกษาขององคก์ รพฒั นาเอกชนในภาคเหนือ และวทิ ยานิพนธ์ เป็นตน้ งานศึกษาของอานนั ท์ กาญจนพนั ธุ์และคณะ (2547) ซ่ึงเป็นการศึกษาเจาะลึกแบบ และวนศาสตร์ ต่อระบบ สหวทิ ยาการท่ีเป็นการศึกษาท้งั ทางสงั คมศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ การเกษตรแบบไร่หมุนเวยี น พบวา่ ระบบไร่หมุนเวยี นรักษาความมนั่ คงทางอาหารอยา่ งมาก เพราะ เป็นการปลูกขา้ วไร่ผสมผสานกบั พชื อาหารจาํ นวนมาก ซ่ึงความหลากหลายของพนั ธุ์พชื สูงสุดถึง 207 สายพนั ธุ์พืช ในพ้ืนท่ีไร่ท่ีมีรอบหมุนเวยี นยาว แต่จะเหลือ 40 สายพนั ธุ์ในกรณีที่ไร่ถูก เปลี่ยนไปเป็นไร่ถาวร และเปล่ียนเป้ าหมายการผลิตในเชิงพาณิชย์ ความมนั่ คงของการผลิตและ ความยงั่ ยนื ของทรัพยากรข้ึนอยกู่ บั ระยะเวลาของรอบหมุนเวยี น หากมีรอบหมุนเวียนอยรู่ ะหวา่ ง 5-8 ปี แมว้ า่ ลดจากเดิม 12 ปี แต่ยงั ไดผ้ ลผลิตจากไร่ในระดบั ดี พอเพียงกบั การยงั ชีพ และรักษา ความหลากหลายทางชีวภาพของพืชพนั ธุ์ในไร่ไดอ้ ยา่ งดี แต่ถา้ หากถูกกดดนั ใหล้ ดรอบหมุนเวยี น ลง ไปเป็นไร่ถาวร ผลผลิตในไร่หมุนเวยี นจะลดลง ความหลากหลายของพนั ธุ์พชื ก็ลดลงเช่นกนั นอกจากน้ีผลการศึกษาในเชิงวนศาสตร์ยงั พบวา่ ระบบไร่หมุนเวยี นไม่มีผลต่อต่อการขยายหรือเปิ ด พ้นื ที่ป่ ารุ่นสองแห่งใหม่ เพราะชุมชนใชพ้ ้นื ท่ีบริเวณเดิม การตดั ไมใ้ นพ้ืนท่ีไร่หมุนเวยี นไม่มี ผลกระทบตอ่ การทดแทนของสงั คมป่ า เพราะช่วงปี แรกของระยะพกั ดินเป็นเหล่าจะพบลูกไม้ จาํ นวนมาก มีการรักษาความอุดมสมบรู ณ์ของดินในระดบั ดี จากการใชท้ ี่ดิน 1 ปี แลว้ มีการพกั ดิน ไว้ ประเสริฐ ตระการศุภกร (2540) ไดศ้ ึกษากระบวนการของการสืบทอดผา่ นบุคคล กลุ่มคน และชุมชนท้งั ในกิจกรรมประจาํ วนั และพิธีกรรมในรอบปี การผลิตและในวงจรชีวติ ของ การทาํ ระบบไร่หมุนเวยี น เป็ นรูปแบบสาํ คญั สร้างสนั ทนาการและความสัมพนั ธ์ทางสงั คม โดยมี กระบวนการพฒั นาขององคก์ รพฒั นาเอกชนเขา้ มาหนุนเสริมใหช้ ุมชนปะทะสงั สรรคก์ บั วฒั นธรรมจากภายนอก และฟ้ื นฟวู ฒั นธรรมของตนข้ึนมาใชอ้ ยา่ งเหมาะสม สร้างคนรุ่นใหม่ให้ เป็นคนสองวฒั นธรรม (1.2) ป่ าธรรมชาติทฟี่ ื้ นตัวขนึ้ ใหม่จากการทาํ ไร่แบบย้ายที่ กลุ่มชาติพนั ธุ์ท่ีต้งั ถิ่นฐานบนยอดดอยมีการทาํ ไร่แบบยา้ ยที่ (shifting cultivation) หรือ การผลิตแบบตดั ฟันโค่นเผา (slash and burn cultivation) ซ่ึงเป็นการตดั ฟันถางป่ าแปลงเล็กๆแลว้ เผาเพอื่ เปิ ดพ้ืนท่ีใหโ้ ล่งเตียน และปลูกพืชหลากหลายชนิด เพือ่ ยงั ชีพและขาย พชื หลกั ที่พบมากคือ ขา้ ว ซ่ึงเป็นอาหารหลกั ขา้ วโพดเพื่อเป็ นอาหารสตั ว์ และฝิ่น ซ่ึงปลูกเป็นยาและขายเม่ือมีความ ตอ้ งการใชเ้ งิน เป็ นตน้ ยศ สนั ตสมบตั ิ (2542 : 122) ไดส้ าํ รวจงานศึกษาที่เกี่ยวกบั การทาํ ไร่แบบ ยา้ ยท่ีซ่ึงพบวา่ เป็นระบบเกษตรท่ีพบไดท้ วั่ โลก เมื่อชุมชนเกษตรตอ้ งเผชิญหนา้ กบั ปัญหาการขาด แคลนพ้ืนที่ทาํ การเพาะปลูก ท้งั ในทวปี เอเชีย ยโุ รป แอฟริกา และอเมริกา เนื่องจากขอ้ จาํ กดั ดา้ น 3 - 22
สภาพแวดลอ้ ม ซ่ึงโดยทวั่ ไปแลว้ มกั มีดินคุณภาพต่าํ มีแร่ธาตุอาหารนอ้ ย และมีความหลากหลาย ทางชีวภาพของพชื และสตั วเ์ ป็นอยา่ งมาก การตดั ฟันโคน่ เผาป่ า ทาํ ใหช้ าวไร่สามารถ “เปิ ด ช่องวา่ ง” ของพ้นื ที่และขจดั คูแ่ ข่งชนิดต่างๆออกไป และใชธ้ าตุอาหารท่ีมีอยทู่ ้งั หมดไปหล่อเล้ียง พชื อาหารบางชนิดที่จงใจเพาะปลูกเทา่ น้นั การตดั ฟันโค่นเผาจึงเป็นการปรับสภาพป่ าแปลงเลก็ ๆ และเปลี่ยนป่ าผนื น้นั ไปตามข้นั ตอนของระบบการผลิตที่ตอ้ งการ ดงั น้นั การทาํ ไร่แบบยา้ ยที่จึงมีบทบาทสาํ คญั ในการสร้างป่ าและรักษาความหลากหลาย ทางชีวภาพในทอ้ งถิ่น ดว้ ยการปล่อยใหพ้ ้ืนที่ไร่ฟ้ื นสภาพกลายเป็นป่ าธรรมชาติ และเป็นการ ฟ้ื นฟูระบบนิเวศกลบั คืนมา ที่สาํ คญั เป็นการทาํ การผลิตพชื อาหารที่หลากหลายในระบบนิเวศ ขนาดเลก็ กล่าวคือเป็นการปลูกพืชหลากหลายชนิดที่เป็นหยอ่ มๆ ดว้ ยการหยอดเมลด็ พนั ธุ์ใกล้ กบั ตอไมท้ ่ีหลงเหลืออยใู่ นไร่ เพือ่ ใหพ้ ืชเหล่าน้นั เล้ือยข้ึนได้ ขา้ วเหนียวนิยมปลูกไวข้ อบไร่เพ่ือมิ ใหป้ ะปนกบั ขา้ วสายพนั ธุ์อื่น ส่วนขา้ วเจา้ จะผสมกบั เมล็ดพืชผกั ถวั่ แตง พริก และพืชอาหารอีก หลายชนิด โดยหยอดลงในพ้ืนที่ซ่ึงมีข้ีเถา้ มากหรือเป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง หลงั จากใช้ พ้นื ที่แปลงน้ีทาํ การเพาะปลูกเพยี ง 2 – 3 ปี ธาตุอาหารในดินเริ่มหมดไป หญา้ คาเร่ิมมีมากข้ึน ซ่ึง เป็นดชั นีบ่งช้ีวา่ ถึงเวลาตอ้ งยา้ ยพ้นื ท่ีเพาะปลูก กลุ่มชาติพนั ธุ์จึงตอ้ งมีท่ีดินหลายแปลงเพอื่ ทาํ การ เพาะปลูกหมุนเวยี นสลบั กนั ไป (ยศ 2543 : 123) เราจึงพบเห็นสภาพป่ าของพ้ืนท่ีบนยอดดอยในเขตภาคเหนือตอนบนเป็ นป่ าธรรมชาติที่ ฟ้ื นตวั ผสมป่ าปลูกใหม่ เน่ืองจากมีการทาํ ไร่ของกลุ่มชาติพนั ธุ์และปล่อยทิง้ ไวห้ ลงั การตดั ฟันโค่น เผาแลว้ ป่ าธรรมชาติท่ีฟ้ื นตวั จะมีไมห้ ลายชนิดผสมกนั ระหวา่ งไมไ้ มผ่ ลดั ใบกบั ไมผ้ ลดั ใบ พนั ธุ์ ไมท้ ่ีพบไดแ้ ก่ ก่อ มะม่วง มะกอก ขนุน ข้ีเหลก็ มะเกลือ กระถินยกั ษ์ เป็นตน้ การจดั การป่ าชุมชน ในเขตภาคเหนือตอนบนท่ีเป็ นเขตป่ าตน้ น้าํ บนพ้นื ที่สูงจึงใชพ้ ้นื ท่ีของสภาพป่ าธรรมชาติท่ีฟ้ื นตวั จากการทาํ ไร่เป็ นป่ าใชส้ อยของชุมชน ในขณะที่ป่ าบริเวณริมน้าํ และแหล่งน้าํ จะอนุรักษไ์ วใ้ หเ้ ป็น ป่ าตน้ น้าํ หรือป่ าขนุ น้าํ (1.3) ระบบนิเวศเกษตรป่ าเม่ียง ตน้ เมี่ยง (Camellia Sinensis) เป็นพนั ธุ์พชื ชนิดเดียวกบั ชา เติบโตไดด้ ีในพ้นื ที่สูงเหนือ ระดบั น้าํ ทะเลประมาณ 600 เมตรหรือมากกวา่ น้นั ในภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย มีเม่ียง ข้ึนอยกู่ ระจดั กระจาย โดยมีการขยายพนั ธุ์ตามธรรมชาติภายหลงั จากการตดั ฟันแผว้ ถางผา่ เพอ่ื ทาํ ไร่ ในช่วงระยะเวลาหน่ึงแลว้ ปล่อยพ้ืนท่ีทิง้ ไวใ้ หฟ้ ้ื นตวั มกั ข้ึนอยบู่ ริเวณสภาพพ้ืนที่เป็นภูเขาสูง ประกอบดว้ ยป่ าสน ป่ ายาง ป่ าดิบเขา และป่ าเบญจพรรณ การทาํ สวนเมี่ยงหรือป่ าเม่ียง เป็นระบบ นิเวศเกษตรเก่าแก่ด้งั เดิมในเขตนิเวศตอนกลางบริเวณพ้ืนที่สูงของภาคเหนือตอนบน มีลกั ษณะ ผสมผสานท้งั การปลูกพชื และการเล้ียงสัตว์ ซ่ึงเป็นการผลิตอาหารเพื่อยงั ชีพ และการรักษาความ สมดุลของธรรมชาติ 3 - 23
การประเมินระบบวนเกษตรของ พรชยั และคณะ (2528 : 147, อา้ งใน ยศ 2542) พบวา่ ป่ าเม่ียงท่ีลุ่มน้าํ แม่ตอนหลวงของพรชยั พบพชื จาํ นวน 91 ชนิดจาก 48 ตระกลู ประกอบดว้ ยไม้ ใหญ่ ไมพ้ มุ่ พชื ท่ีอาศยั บนตน้ ไมอ้ ่ืน ไมเ้ ล้ือย พืชกาฝาก เฟิ ร์น ไมล้ ม้ ลุก และหญา้ องคป์ ระกอบ สาํ คญั ของป่ าเม่ียงประกอบดว้ ยตน้ ไม้ ชา ไมพ้ ้นื ล่างและววั ตน้ ไมม้ ีบทบาทในการควบคุม บรรยากาศใกลผ้ วิ ดิน และการหมุนเวยี นของธาตุอาหาร ส่วนไมพ้ ้ืนล่างมีส่วนช่วยลดการชะลา้ ง พงั ทลายของดิน และมีบทบาทตอ่ การงอกและการเจริญเติบโตของกลา้ ไม้ ดงั น้นั ป่ าเม่ียงจึงเป็น ระบบนิเวศเกษตรที่เหมาะสมตอ่ พ้ืนท่ีสูง ซ่ึงเนน้ การอนุรักษแ์ ละจดั การทรัพยากรธรรมชาติอยา่ ง ยงั่ ยนื ป่ าเม่ียงเป็นท้งั ป่ ากนั ชนเพื่อปกป้ องป่ าตน้ น้าํ เป็ นระบบการจดั การแนวกนั ไฟเพอ่ื ปกป้ อง ไฟป่ า และเป็นระบบท่ีอนุรักษค์ วามหลากหลายทางชีวภาพอยา่ งยง่ั ยนื (ยศ 2542) (1.4) ระบบนิเวศเกษตรและการจัดการป่ า งานศึกษาท่ีเกี่ยวกบั วฒั นธรรมของกลุ่มชาติพนั ธุ์ในการจดั การป่ า ท่ีแสดงใหเ้ ห็นวา่ ระบบการผลิตและการจดั การป่ าเป็นระบบเดียวกนั มีจาํ แนกประเภทป่ าที่มีความซบั ซอ้ นตามการ ใชป้ ระโยชนอ์ ยา่ งหลากหลาย มากกวา่ การแบ่งการจดั การป่ าเฉพาะป่ าเพือ่ การอนุรักษ์ และป่ าเพ่อื การใชส้ อยเท่าน้นั ตวั อยา่ งเช่น งานศึกษาของสมาคมศนู ยร์ วมการศึกษาและวฒั นธรรมของชาว ไทยภเู ขาในประเทศไทย (ศ.ว.ท.) (2549) ซ่ึงศึกษาการใชภ้ ูมิปัญญาทอ้ งถิ่นในการจดั การ ทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพอยา่ งยง่ั ยนื ตามจารีตประเพณีของชนเผา่ พ้นื เมืองในประเทศไทย กรณีศึกษาของชุมชนมง้ และกะเหร่ียง ชุมชนมง้ กม็ ีการแบ่งประเภทของ ป่ าตามความเช่ือคลา้ ยกบั ปกากญอ และจาํ แนกการใชป้ ระโยชนท์ ่ีดิน ไดแ้ ก่ หม่บู า้ น ริมหมู่บา้ น ป่ ารอบหมู่บา้ น สวนและนา พ้ืนที่ทาํ ไร่ ป่ าตน้ น้าํ และป่ าตอ้ งหา้ ม สาํ หรับคนเมืองท่ีต้งั ถ่ินฐานในท่ีราบลุ่ม กม็ ีงานศึกษาที่ใชใ้ หเ้ ห็นถึงภมู ิปัญญาในการ จดั การป่ า และการทาํ ระบบวนเกษตรในพ้ืนที่ป่ า อจั ฉรา รักยตุ ิธรรม (2547) ไดน้ าํ เสนอกรณีศึกษา ของระบบเกษตรผสมผสาน ในภมู ินิเวศน่าน ที่บา้ นท่าเลอ โดยไมใ่ ชส้ ารเคมี และยงั ทาํ ไร่ขา้ วแบบ หมุนเวยี นเพื่อบริโภคในครัวเรือน มีการปลูกขา้ วโพด สวนมะขาม การแปรรูปผลผลิตการเกษตร การเกบ็ หาอาหารป่ าจาํ พวกเห็ด หน่อไม้ ผกั หวาน การจดั การป่ าของคนเมืองเป็นการผสมผสาน ความรู้ด้งั เดิมกบั ความรู้ใหม่ท่ีตอ้ งปรับตวั ไปตามสภาพของปัญหา โดยมีการแบ่งประเภทของป่ าที่ ดูแลจดั การร่วมกนั กบั คนในชุมชน เช่น ที่ตาํ บลแมท่ า ก่ิงอาํ เภอแม่ออน จ.เชียงใหม่ ซ่ึงเป็นคน เมืองมีการทาํ เกษตรไร่ขา้ วบนไหล่เขา บุกเบิกที่ลุ่มเป็นนา ท่ีดอนปรับเป็ นสวน เกบ็ หาของป่ าและ ล่าสตั วใ์ นป่ าใกลบ้ า้ น เม่ือประสบปัญหาป่ าเสื่อมโทรม ท้งั องคก์ ารบริหารส่วนตาํ บล และสมาชิก ชุมชนไดร้ ่วมจดั การป่ าชุมชนมีแผนการจดั การป่ าแต่ละแห่ง และดูแลโดยชุมชนตามหมูต่ า่ งๆ เช่น ป่ าบริเวณหว้ ยแม่บอน หว้ ยแม่เลาะ หว้ ยน้าํ ขนุ่ หว้ ยแม่ปงกา เป็นตน้ 3 - 24
สุวฒั สุขเจริญ (2543) ศึกษาการจดั การความหลากหลายของพชื ผกั พ้ืนบา้ นเพอ่ื การเกษตรท่ียงั่ ยนื ท่ีอาํ เภอสันป่ าตอง จงั หวดั เชียงใหม่ พบวา่ พืชผกั พ้ืนบา้ นท่ีชาวบา้ นยงั คงปลูก และใชป้ ระโยชน์ในการปรุงเป็นอาหารและยาเป็นประจาํ มีจาํ นวน 74 ชนิด ชาวบา้ นปลูกพืชผกั พ้นื บา้ นแบบเกษตรผสมผสาน และแบบวนเกษตรโดยจดั ปลูกไวร้ อบบริเวณบา้ นและแนวร้ัวบา้ น ปลูกไมผ้ ลยนื ตน้ หรือพชื ผกั พ้ืนบา้ นยนื ตน้ เป็นไมใ้ หญ่ใหร้ ่มเงา และปลูกพชื ผกั พ้นื บา้ นที่เป็นไม้ พุม่ ไมก้ อ ไมเ้ ล้ือย ไมค้ ลุมดินที่ชอบรําไรแซมใตร้ ่มไมใ้ หญ่ เป็นการปลูกพืชผกั พ้ืนบา้ น หลากหลายชนิดในพ้ืนที่แปลงเดียวกนั ไม่ใชส้ ารเคมีในการป้ องกนั กาํ จดั ศตั รูพชื และใชก้ าวหรือ แสงไฟหรือตาขา่ ยดกั จบั กาํ จดั ศตั รูพชื ใชป้ ๋ ุยคอกจากมลู สัตวเ์ ล้ียง ใชป้ ๋ ุยหมกั จากเศษเหลือของพชื และใชป้ ๋ ุยพชื สดจากเศษวชั พชื ในการบาํ รุงดิน ผลการจดั การดงั กล่าวทาํ ใหล้ ดการเจบ็ ป่ วยจากสารพิษของสารเคมีเกษตร และลด ตน้ ทุนในการผลิตพืชผกั พ้ืนบา้ น จากการปลูกพชื ผกั พ้ืนบา้ นหลากหลายชนิดที่มีผลผลิตทยอยออก ตลอดปี ทาํ ใหม้ ีรายไดพ้ อเพียงจากการขายผลผลิต และลดคา่ ใชจ้ า่ ยในการบริโภคครอบครัว ชาวบา้ นเช่ือวา่ รสชาติแต่ละรสของพชื ผกั พ้ืนบา้ นมีสรรพคุณที่เป็นยาสามารถป้ องกนั และรักษา อาการเจบ็ ป่ วยได้ การปลูกพืชผกั พ้ืนบา้ นโดยไมใ่ ชส้ ารเคมีเกษตร ทาํ ใหช้ ่วยลดสารพิษตกคา้ งใน สิ่งแวดลอ้ ม สภาพโครงสร้างของดินดีข้ึน สภาพคุณภาพน้าํ ดีข้ึน พชื และสัตวธ์ รรมชาติในพ้ืนท่ี ปลูกพืชผกั พ้ืนบา้ นมีจาํ นวนและชนิดเพิ่มข้ึน (1.5) การอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากผลผลติ ในป่ าชุมชนอย่างยงั่ ยนื องคก์ รพฒั นาเอกชน นกั ศึกษา และนกั วชิ าการภาคเหนือไดศ้ ึกษาเจาะลึกในประเดน็ การอนุรักษแ์ ละใชป้ ระโยชน์จากความหลากหลายชีวภาพในการจดั การป่ าชุมชนจาํ นวนมาก เนื่องจากมีประเด็นถกเถียงต่อความพยายามของรัฐท่ีมีมุมมองวา่ กลุ่มชาติพนั ธุ์บนพ้นื ที่สูงไดท้ าํ ลาย ป่ า และรัฐยงั มีนโยบายการอพยพกลุ่มชาติพนั ธุ์ ซ่ึงตรงกนั ขา้ มกบั งานศึกษาท่ีคน้ พบวา่ กลุ่มชาติ พนั ธุ์บนพ้ืนที่สูง และคนเมือง มีวฒั นธรรมและมโนทศั น์ตอ่ การใชป้ ระโยชนใ์ นทรัพยากรอยา่ งไม่ ทาํ ลาย และเคารพธรรมชาติ แตด่ ว้ ยปัจจยั การพฒั นาที่ส่งเสริมการเกษตรใชส้ ารเคมี และสนบั สนุน ใหม้ ีการบุกเบิกท่ีดิน จึงทาํ ใหก้ ลุ่มชาติพนั ธุ์ตอ้ งปรับตวั และดาํ รงชีวติ ใหอ้ ยรู่ อดท่ามกลางปัญหา เศรษฐกิจและสิ่งแวดลอ้ ม อยา่ งไรก็ตามกลุ่มชาติพนั ธุ์ยงั คงสืบทอดความรู้และความเชื่อต่อการ ดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติมาจนถึงทุกวนั น้ี ปัจจยั สาํ คญั ท่ีทาํ ใหว้ ฒั นธรรมดงั กล่าวถูกทาํ ลาย คือการอพยพชุมชนออกไปต้งั ชุมชนใหม่ หรือการไดร้ ับอิทธิพลจากการบริโภคของระบบทุนนิยม ท่ีเขา้ มาอยา่ งรวดเร็ว เม่ือมีการก่อสร้างถนนข้ึนไปบนยอดดอย 3 - 25
การจัดการและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรป่ าไม้ งานศึกษาของปริศนา พรหมมา และมนตรี จนั ทวงศ์ (2541) ซ่ึงเป็นงานศึกษาใน ช่วงแรกขององคก์ รพฒั นาเอกชนท่ีมาศึกษาชุมชนทอ้ งถิ่นกบั การจดั การความหลากหลายทาง ชีวภาพ โดยกาํ หนดประเดน็ การศึกษาบนพ้ืนที่การจดั การป่ าชุมชน ชุมชนทอ้ งถิ่นภาคเหนือมีการ จดั การป่ าชุมชนประมาณ 400 ชุมชน ครอบคลุมพ้ืนท่ีประมาณ 150,000 ไร่ มีการจดั ต้งั องคก์ รป่ า ชุมชนของตนเอง และมีกฎระเบียบประเพณีในการดูแลรักษาป่ า ชุมชนเหล่าน้ีอยใู่ นพ้ืนท่ีป่ าก่อน การประกาศเขตป่ าอนุรักษ์ ชุมชนอยใู่ นลุ่มน้าํ ช้นั 1 เอ และชุมชนท่ีอยรู่ ะหวา่ งการเตรียมประกาศ เป็นเขตอุทยานแห่งชาติ กรณีศึกษาอยใู่ น 3 กลุ่มดงั กล่าว ซ่ึงเป็นชนเผา่ กะเหรี่ยง ชนเผา่ กะเหรี่ยง ใหค้ วามหมายของ ป่ าชุมชน คือพ้ืนที่ป่ าท้งั หมด ท่ีชาวบา้ นดูแลรักษาและใชป้ ระโยชน์ การ ป้ องกนั ฟ้ื นฟู และการอนุรักษ์ มีการแบง่ ประเภทของป่ าตามการใชป้ ระโยชน์ เช่น ป่ าเพือ่ การ อนุรักษต์ น้ น้าํ ที่จาํ เป็นตอ่ ระบบการผลิตขา้ วนาดาํ ของชุมชน พ้ืนที่ไร่เหล่าท่ีผา่ นการเกบ็ เก่ียวแลว้ จะมีพืชที่ข้ึนเฉพาะพ้นื ท่ีท่ีผา่ นการทาํ ไร่มาแลว้ เทา่ น้นั พืชเหล่าน้ีเป็นยาสมุนไพรท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั เดก็ ผหู้ ญิง และพชื ท่ีเป็นอาหารของสตั วป์ ่ า ในป่ าใชส้ อยเป็นแหล่งอาหารและแหล่งขยายพนั ธุ์ ของ สัตวป์ ่ า เช่นกนั ป่ าใชส้ อยจึงเป็นป่ าเพื่อการอนุรักษเ์ ช่นกนั ในมในทศั นข์ องชาวกะเหรี่ยง โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ คาํ สอนของชนเผา่ กะเหรี่ยงท่ีสะทอ้ นการมองสรรพส่ิงเป็นธรรมชาติ ไมม่ ีใคร เป็นเจา้ ของ และตอ้ งแบง่ ปันกนั คือ “ไดก้ ินจากน้าํ ตอ้ งรักษาน้าํ ไดก้ ินจากป่ าตอ้ งรักษาป่ า” อุดม เจริญไพร และคณะ (2549) ศึกษาเก่ียวกบั การใชภ้ มู ิปัญญาทอ้ งถิ่นในการจดั การ ทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพอยา่ งยง่ั ยนื ตามจารีตประเพณี ของกลุ่มชาติ พนั ธุ์มง้ และกะเหร่ียง เป็นงานศึกษาที่มีเป้ าหมายเพื่อเป็นแนวทางการปรับปรุงกฎหมายและ นโยบายในแนวทางปฏิบตั ิต่อชนเผา่ พ้ืนเมือง และผอู้ ยกู่ บั ป่ า ตามบรรทดั ฐานของอนุสญั ญาวา่ ดว้ ย ความหลากหลายทางชีวภาพ มาตรา 8 และมาตรา 10 ที่เก่ียวกบั การคุม้ ครองภูมิปัญญาทอ้ งถิ่นของ ชนพ้นื เมือง งานศึกษาแสดงใหเ้ ห็นวา่ ชนเผา่ มง้ และกะเหรี่ยงมีมโนทศั น์ต่อทรัพยากรป่ า ครอบคลุมพ้ืนท่ีท้งั หมดที่นอกเหนือพ้ืนท่ีทาํ กินและท่ีอยอู่ าศยั และป่ าก็ไดถ้ ูกแบ่งประเภทอยา่ ง หลากหลาย ตามระดบั ความสูง ความอุดมสมบูรณ์ ตามความเช่ือ และตามลกั ษณะเด่นของพืช สาํ หรับสัตวป์ ่ าถือวา่ เป็นสมบตั ิสาธารณะที่อยภู่ ายใตข้ องสิ่งเหนือธรรมชาติเป็นเจา้ ของและพทิ กั ษ์ คุม้ ครองอยู่ การใชป้ ระโยชน์จากป่ าของชนเผา่ มง้ มีการจาํ แนกบทบาทหนา้ ที่แตกต่างกนั ออกไป เช่น การหาสมุนไพร พืชผกั เป็นบทบาทหนา้ ท่ีของผหู้ ญิง การล่าสตั ว์ พธิ ีกรรมไมส้ ร้างบา้ น เคร่ืองมืออุปกรณ์เป็นหนา้ ท่ีของผชู้ าย ส่วนการเกบ็ ฟื นและลอ้ มร้ัวจะเป็ นหนา้ ที่ของท้งั หญิงชาย กฎเกณฑเ์ กี่ยวกบั ป่ าและการล่าสัตวป์ ่ าจึงอยบู่ นฐานของการเคารพธรรมชาติ และมีการทาํ พิธีกรรม ขอขมาลาโทษเจา้ ท่ีเจา้ ป่ าท่ีสิงสถิตอยู่ ชนเผา่ กะเหรี่ยงมีการจาํ แนกประเภทสตั วา่ ตามความหมาย ของช่ือ ตามท่ีอยอู่ าศยั ธรรมชาติ มีกฎเกณฑก์ ารหา้ มล่าสตั วแ์ ละหา้ มเกบ็ หาของป่ าในหลายกรณี 3 - 26
เช่นหา้ มล่าสตั วป์ ่ าทุกวนั พระ หรือระหวา่ งภรรยาต้งั ครรภ์ เป็นตน้ บทบาทของผชู้ ายตดั สินใจใน การจดั การทรัพยากรธรรมชาติ ในขณะท่ีบทบาทของผหู้ ญิงรักษาความหลากหลายของพนั ธุ์พชื แต่การตดั สินใจตอ้ งร่วมกนั ระหวา่ งหญิงชาย ซ่ึงเป็นผลใหก้ ารจดั การทรัพยากรธรรมชาติในสงั คม กะเหร่ียงมีความมนั่ คงและยงั่ ยนื ชนเผา่ มง้ มีมโนทศั นต์ ่อทรัพยากรดินและน้าํ ดว้ ยการเลือกพ้ืนดินทาํ การเพาะปลูก และ การต้งั ถิ่นฐานในบริเวณพ้ืนท่ีท่ีมีอากาศเยน็ เน้ือดินร่วนซุย และไม่ต้งั บา้ นเรือนบริเวณลาํ หว้ ย เพราะจะทาํ ใหล้ าํ หว้ ยแหง้ และมีอนั ตรายแก่ชีวติ และทรัพยส์ ินถา้ น้าํ ไหลแรง ชนเผา่ มง้ จึงต้งั บา้ นเรือนบนยอดดอย มีพิธีกรรมในการอนุรักษน์ ้าํ ในขณะที่ชนเผา่ กะเหร่ียงมีความเช่ือและการ อนุรักษด์ ินและน้าํ ดว้ ยการทาํ ไร่หมุนเวยี น และหา้ มเปล่ียนสายน้าํ หรือกกั น้าํ ในลาํ หว้ ย มีงานศึกษาในลกั ษณะการจดั การและการใชป้ ระโยชน์จากทรัพยากรป่ าไมข้ องชุมชน พ้นื ที่ราบของคนเมืองในลกั ษณะเดียวกนั เช่น พรรณี เด่นรุ่งเรือง และยรรยง กางการ กรณีศึกษาท่ี ป่ าบา้ นแม่แมะ อาํ เภอเชียงดาว จงั หวดั เชียงดาว (2542) ไพโรจน์ อาจิริยะ ที่บา้ นกลาง อาํ เภอแม่ เมาะ จงั หวดั ลาํ ปาง (2544) เป็นตน้ การใช้ประโยชน์จากป่ าด้านอาหาร องคก์ รพฒั นาเอกชน และงานวจิ ยั ของนกั วชิ าการและวทิ ยานิพนธ์ของนกั ศึกษาได้ รวบรวมศึกษาความรู้ของชุมชนในการจดั การป่ าในดา้ นอาหารหลายดา้ น ไดแ้ ก่ กรณีศึกษาที่บา้ น ทุง่ ยาว จงั หวดั ลาํ พนู วเิ ศษ สุจินพรหม (2545) ร่วมกบั ชาวบา้ นสาํ รวจผลผลิตจากป่ า ดา้ นอาหาร เช่น เห็ด ผลไมท้ ี่เป็นอาหารในป่ า และสมุนไพร ในระยะเวลา 1 ปี คิดเป็นมูลคา่ เกือบ 1 ลา้ นบาท จากขอ้ มูลที่ชาวบา้ นนาํ มาวิเคราะห์เปรียบเทียบกบั งบประมาณพฒั นาที่รัฐจะใหก้ บั หมบู่ า้ นปี ละ 80,000 บาท นอกจากน้ีในงานศึกษาไดแ้ สดงใหเ้ ห็นวา่ ความรู้ในการนาํ พชื และสัตวใ์ นป่ าชุมชน มาประกอบเป็นอาหารสัมพนั ธ์กบั การเปลี่ยนแปลงฤดูกาลในรอบปี แตล่ ะฤดูจะมีผลผลิตท่ีเป็น อาหารจากป่ าไม่เหมือนกนั เช่นการจบั จกั๊ จนั่ การเกบ็ รังต่อ การเกบ็ เห็ด หนอนรถด่วน หรือในฤดู แลง้ ผหู้ ญิงจะรู้วา่ ในปาชุมชนมีไขม่ ดแดง ผกั หวานป่ า ผกั สาบ ผกั นางจุม ผกั ฮ้ี เขียด แมงมนั และ จก๊ั จน่ั และมีบทบาทในการเกบ็ ไข่มดแดงมากท่ีสุด ลกั ษณะของการเกบ็ อาหารในป่ าจะให้ ความสาํ คญั กบั การเกบ็ ที่ไมท่ าํ ลาย และใหผ้ ลผลิตน้นั เติบโตหรือขยายพนั ธุ์ไดต้ อ่ ไป ตวั อยา่ งเช่น การเกบ็ หนอนรถด่วนจะเก็บเฉพาะอยขู่ า้ งล่างหรือขา้ งบนท่ีไมล่ งมารวมกบั หนอนส่วนที่เหลือ เพอื่ ใหก้ ลายเป็นผเี ส้ือต่อไป อาหารของบา้ นทุ่งยาวจึงมีตลอดปี ตามฤดูกาลของผลผลิต งานศึกษาของวเิ ศษ (2544) ไดม้ ุง่ เนน้ ศึกษาการเคล่ือนไหวในพ้ืนที่สาธารณะของ ผหู้ ญิงในการจดั การป่ าชุมชนทุ่งยาวพบวา่ ผหู้ ญิงใหค้ วามสาํ คญั กบั สุขภาพ อาหารการกิน ความ เป็นอยู่ และกิจกรรมที่เกิดข้ึนภายในครัวเรือน ในการจดั การป่ าชุมชน ผชู้ ายมีบทบาทตดั ไมใ้ ช้ สอยในชุมชน โดยมีพ้ืนที่ป่ าน้าํ จาํ เป็นพ้ืนท่ีอนุรักษไ์ มใ่ หต้ ดั ไม้ และอาศยั อุดมการณ์ “ผ”ี เป็นกฎ 3 - 27
ขอ้ บงั คบั ในขณะท่ีผหู้ ญิงกาํ หนดกฎระเบียบเก่ียวขอ้ งกบั การเกบ็ พนั ธุ์พชื ท่ีใชอ้ ุปโภคบริโภค เช่น การเกบ็ เห็ด เก็บหน่อ เป็ นตน้ ซ่ึงส่ิงเหล่าน้ีไม่เคยอยใู่ นความสนใจของผชู้ าย การเคล่ือนไหวเรื่อง ป่ าชุมชนของผหู้ ญิง เนื่องจากนโยบายการขยายพ้ืนท่ีป่ าอนุรักษ์ ไดป้ ิ ดก้นั ผหู้ ญิงไนการหาอาหาร เพ่ือบริโภคในชีวติ ประจาํ วนั ซ่ึงมีความสาํ คญั กบั ครอบครัว เบญจวรรณ ทองศิริ และชวลิต เสถียรพฒั นาพงศาล (มปป.) ไดศ้ ึกษาภมู ิปัญญา ชาวบา้ นชาย-หญิงในการใชป้ ระโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพ กรณีศึกษาหมู่บา้ นชายป่ า ในจงั หวดั เชียงใหม่ หม่บู า้ นแมข่ นิลใต้ (หมู่ 8) ตาํ บลน้าํ แพร่ อาํ เภอหางดง จงั หวดั เชียงใหม่ งาน ศึกษาพบวา่ ชาวบา้ นท้งั ชายและหญิงมีความรู้ในการนาํ ทรัพยากรมาใชป้ ระโยชนใ์ นชีวิตประจาํ วนั เป็นอยา่ งดี แตม่ ีความแตกต่างในลกั ษณะท่ีหญิงจะใชป้ ่ าเพอื่ เป็นแหล่งอาหารประจาํ วนั เก็บพืชและ สตั ว์ เช่น แมลง และสตั วต์ วั เลก็ ๆ ส่วนฝ่ ายชายใชผ้ ลผลิตของป่ าเพ่ือนาํ ไปเป็ นวตั ถุดิบในการผลิต การใชส้ อย ซ่ึงสมั พนั ธ์กบั ความรับผดิ ชอบในครัวเรือนแตกตา่ งกนั และสิ่งน้ีเองไดส้ ง่ั สมความรู้ เก่ียวกบั ธรรมชาติไม่เหมือนกนั หญิงมีความสนใจความรู้เร่ืองพืชสัตวท์ ่ีใชเ้ ป็นอาหารประจาํ วนั ดีกวา่ ชาย ชายมีความรู้ในการนาํ ไมม้ าปลูกสร้างบา้ น ทาํ อุปกรณ์ใชส้ อยและไวข้ าย ในกลุ่มคนหนุ่มสาวที่มีอายตุ ่าํ กวา่ 35 ปี พบวา่ หญิงมีความรู้และประสบการณ์ในการ ใชป้ ระโยชนค์ วามหลากหลายทางชีวภาพมากกวา่ ชาย เพราะหญิงทาํ งานอยทู่ ่ีบา้ น ขณะท่ีชายไป ทาํ งานนอกหมบู่ า้ น ในการใชป้ ระโยชนท์ างพิธีกรรม และความเช่ือ ชายหญิงจะทาํ หนา้ ที่ประกอบ กนั ชายเป็นผปู้ ระกอบพิธี หญิงเป็ นผจู้ ดั หาและเตรียมสิ่งของตา่ งๆ ผอู้ ่อนอาวโุ สกวา่ จะเป็นผู้ ช่วยเหลือพร้อมกบั เรียนรู้ไปดว้ ย อยา่ งไรกต็ ามบทบาทของคนนอกควรอยทู่ ่ีการช้ีแนะ หรือเสริมความรู้ใหช้ าวบา้ นมี ส่วนร่วมในการตดั สินใจ เพราะชาวบา้ นมีความรู้ละเอียดลึกซ้ึงเก่ียวกบั ระบบเศรษฐกิจ และระบบ นิเวศ การรวมกลุ่มของบา้ นแม่ขนิลใตโ้ ดยใหบ้ ทบาทหญิงชายในการจดั การดูแลป่ าร่วมกนั จึงเป็น สิ่งสาํ คญั ที่ตาํ บลแมท่ า จงั หวดั เชียงใหม่ อจั ฉรา รักยตุ ิธรรม บรรณาธิการ (2549) ไดศ้ ึกษา ภูมิปัญญาการจดั การทรัพยากรชุมชนบริเวณลุ่มน้าํ แม่ทาตอนบน เก่ียวกบั ความรู้ในการใช้ ประโยชนจ์ ากป่ า เช่น การเก็บหาเห็ดป่ าในตาํ บลแมท่ า มีผปู้ ระกอบอาชีพเกบ็ หาเห็ดป่ าขายร้อยละ 14 ของจาํ นวนผเู้ กบ็ หาเห็ดป่ าท้งั หมด ผทู้ ี่เก็บหาเห็ดป่ าขายส่วนใหญเ่ ป็ นผมู้ ีท่ีดินทาํ กินนอ้ ย หรือไมม่ ีท่ีดินทาํ กินเลย หรือมีอาชีพรับจา้ งเป็ นหลกั ท่ีตาํ บลแมท่ าไมม่ ีกฎระเบียบในการควบคุม แต่มีขอ้ ตกลงร่วมกนั วา่ สมาชิกในหมู่บา้ นหน่ึงๆ จะเก็บหาเห็ดและของป่ าเฉพาะในเขตป่ าที่หมู่ ของตนดูแลรับผดิ ชอบเท่าน้นั นอกจากน้ีชาวบา้ นยงั มีความรู้ในการเกบ็ หาน้าํ ผ้งึ และรังผ้งึ การ เกบ็ ผกั ป่ า การเกบ็ หาสมุนไพร เป็นตน้ ชาวบา้ นตาํ บลแมท่ าไดป้ ระโยชน์จากผลผลิตจากป่ า และสร้างรายไดแ้ ละลดคา่ ใชจ้ า่ ย ใหก้ บั ครอบครัว โดยมีองคค์ วามรู้ในการใชป้ ระโยชน์อยา่ งไม่ทาํ ลาย ไดแ้ ก่ การเกบ็ เห็ดป่ า การหา 3 - 28
น้าํ ผ้งึ และรังผ้งึ การหาหน่อไม้ การเล้ียงววั ในป่ า และการใชไ้ มส้ ร้างบา้ น จากการศึกษามูลคา่ ทาง เศรษฐกิจของการใชท้ รัพยากร 3 ประเภทคือ หน่อไม้ ไมส้ ร้างบา้ น และเล้ียงววั ในป่ า มีมูลค่าทาง เศรษฐกิจอยา่ งนอ้ ย 4,754,133 บาทตอ่ ปี /ตาํ บล มีการพ่ึงพิงทรัพยากรจาํ นวน 1,233 ครัวเรือน คิด เป็นร้อยละ 90 ของจาํ นวนครัวเรือนท้งั หมด ชาติชาย ธราวรรณ (2544) ศึกษาเร่ืองการอนุรักษแ์ ละใชป้ ระโยชนจ์ ากตน้ ต๋าวในป่ า ท่ี บา้ นน้าํ กิ ตาํ บลผาทอง อาํ เภอทา่ วงั ผา จงั หวดั น่าน พบวา่ ชุมชนยอ่ ยของหมู่บา้ นน้าํ กิท้งั ๓ ชุมชน มี รูปแบบการจดั การตน้ ต๋าวท่ีต่างกนั ชุมชนบา้ นน้าํ กิเหนือจดั การตน้ ต๋าวแบบมีเงื่อนไข ซ่ึงนาํ เง่ือนไขความสามารถของแต่ละบุคคลมาเป็นสิ่งกาํ หนดในรูปแบบการจดั การ ท่ีควบคุมกนั เองใน ชุมชน เพือ่ รักษาผลประโยชน์ของตวั เองเป็นหลกั ชุมชนบา้ นน้าํ กิกลางจดั การตน้ ต๋าวแบบแบง่ เขตใหแ้ ตล่ ะครอบครัวดูแล รับผดิ ชอบทรัพยากรป่ าไมใ้ นเขตพ้ืนท่ีของครอบครัว เพอ่ื ใช้ ประโยชน์จากทรัพยากรป่ าไมไ้ ดอ้ ยา่ งอิสระ แต่มีขอ้ ห้ามท่ีเขม้ งวดในการใชท้ รัพยากรจากป่ าไม้ ชุมชนบา้ นน้าํ กิใตเ้ ป็ นชุมชนท่ีมีการจดั การแบบรวมกลุ่ม การรวมกลุ่มในการเก็บต๋าวต้งั แต่การเกบ็ ผลต๋าวจนถึงการขายเมลด็ ต๋าวหรือลูกชิดใหก้ บั พอ่ คา้ ที่มารับซ้ือ ส่วนการใชป้ ระโยชนจ์ ากตน้ ต๋าว ท้งั ๓ ชุมชนยอ่ ยน้นั มีการใชป้ ระโยชน์จากผลต๋าวเพียงอยา่ งเดียวคือ การผลิตลูกชิต ซ่ึง ประกอบดว้ ย วธิ ีการผลิตลูกชิตและกระบวนการทางตลดที่ลูกชิตตอ้ งผา่ นกรรมวธิ ีตา่ งๆ ก่อนท่ี ผบู้ ริโภคจะนาํ มารับประทานร่วมกบั ของหวาน หรือ ไอศกรีมในลกั ษณะของลูกชิตเช่ือม การ จดั การตน้ ต๋าวในป่ าท้งั ๓ รูปแบบ มีส่วนช่วยทาํ ใหจ้ าํ นวนของตน้ ต๋าวเพิม่ มากข้ึน และทาํ ใหส้ ภาพ ป่ าบริเวณน้นั อุดมสมบรู ณ์ไวไ้ ด้ ภูมิปัญญาท้องถ่ินในการใช้สมุนไพรรักษาสุขภาพ ยศ สนั ตสมบตั ิ และคณะ (2547) ไดศ้ ึกษานิเวศวทิ ยาชาติพนั ธุ์ ทรัพยากรชีวภาพและ สิทธิชุมชน โดยศึกษาภูมิปัญญาทอ้ งถิ่นในการดูแลสุขภาพของกลุ่มชาติพนั ธุ์ในภาคเหนือ ไดแ้ ก่ มง้ เมี่ยน ลีซู อาขา่ ว กะเหรี่ยง ลวั ะ ขมุ ไทล้ือ และคนเมือง ซ่ึงพบวา่ ในสถานการณ์ที่ผนื ป่ าและ ทรัพยากรธรรมชาติถูกใชป้ ระโยชนอ์ ยา่ งหนกั และเส่ือมโทรมลงรวดเร็ว ทาํ ใหช้ ุมชนตอ้ งต่อสู้และ ปรับตวั หลายลกั ษณะจากการใชป้ ระโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพ เช่น สิทธิการใชข้ อง ชาวบา้ นถูกลิดรอนดว้ ยกฎหมาย และหน่วยงานของรัฐ ชาวบา้ นในหลายพ้นื ท่ีนาํ เอาสมุนไพรมา ปลูกไวร้ อบบา้ นของหมอยา มีการรักษาความหลากหลายดว้ ยการแลกเปลี่ยนทรัพยากร เช่น การ ประกอบอาหารที่เป็ นการแกงผกั หลากหลายชนิดรวมกนั จะนาํ ไปแบง่ ปันพ่อเฒ่าแม่เฒา่ เสมอ ขณะที่เมื่อมีงานบุญ เช่น แต่งงานข้ึนบา้ นใหม่ งานศพ เครือญาติและเพื่อนบา้ น จะมีการประกอบ อาหารตามบา้ นใกลเ้ รือนเคียง และยกมาเล้ียงแขกที่มาร่วมงาน การใช้ “ความเชื่อและพิธีกรรม” ในการอนุรักษค์ วามหลากหลายทางชีวภาพ ดงั กรณี ของหมอยาชาวลวั ะและมง้ ก่อนเก็บตวั ยาจากป่ าตอ้ งแสดงความสาํ นึกในบุญคุณของยาและผยี า 3 - 29
ใชย้ าเท่าท่ีจาํ เป็น หากใครเก็บยาไปมากเกิน และเก็บไปโดยไม่ขออนุญาตจะมีอนั เป็นไป การเล้ียง พิธีเล้ียงผเี มืองของชาวไทล้ือ ชุมชนไทล้ือปางหดั นาํ เอาความเช่ือเรื่องผเี จา้ ผาต้งั มาใชใ้ นการ อนุรักษค์ วามหลากหลายทางชีวภาพ ผาต้งั เป็ นชื่อของดอยหรือภูเขาเป็ นตน้ น้าํ ของแม่น้าํ งาว และ ลาํ หว้ ยอีกหลายสาย ชาวบา้ นทาํ พธิ ีกรรมเล้ียงผเี มืองทุกปี โดยทาํ พธิ ีในเดือนยดี่ ว้ ยการตานธรรม (ทานธรรมะ) การใชพ้ ิธีกรรมและความเชื่อในการดูแลรักษาป่ าชุมชน การผสมผสานความรู้เพ่อื สร้างความหลากหลายทางชีวภาพในไร่ถาวร ในสภาพการณ์ท่ีทาํ การผลิตแบบไร่ยา้ ยท่ี หรือไร่ หมุนเวยี นไมไ่ ดอ้ ีกต่อไป โดยการวางผลกั การปลูกพืชไร่ ทาํ สวนครัวขา้ งไร่ การสลบั พ้ืนที่ปลูกใน แปลงเดียวกนั เป็นตน้ จะเห็นไดว้ า่ ชุมชนไดป้ ระยกุ ตใ์ ชแ้ ละพฒั นาภมู ิปัญญาของตนใหส้ อดคลอ้ ง กบั ความตอ้ งการและบริบทของยคุ สมยั ไดอ้ ยา่ งแทจ้ ริง การมีส่วนร่วมของชุมชนทอ้ งถิ่นในการ จดั การทรัพยากรจึงเป็ นเงื่อนไขพ้ืนฐานของการจดั การ และการพฒั นาองคค์ วามรู้เกี่ยวกบั ทรัพยากร ชีวภาพในสงั คมไทยอยา่ งยงั่ ยนื รานี อุปรา (2547) ศึกษาภมู ิปัญญาทอ้ งถิ่นในการใชส้ มุนไพรพ้ืนบา้ นของชุมชน ปกาเกอะญอ ท่ีบา้ นแม่แฮนอ้ ย อาํ เภอแมแ่ จ่ม จงั หวดั เชียงใหม่ พบวา ภูมิปัญญาในการใชส้ มุนไพร ของชาวบา้ นมีอยใู่ นวถิ ีชีวติ ประจาํ วนั ของกลุ่มต่างๆ ไดแ้ ก่ ผอู้ าวโุ ส พอ่ บา้ น แม่บา้ น เยาวชนและ เด็ก แตกตา่ งกนั ผอู้ าวโุ สเป็ นผมู้ ีภูมิปัญญาในการใชส้ มุนไพรมากที่สุด พอ่ บา้ นมีภูมิปัญญาในการ ใชส้ มุนไพรประเภทยาบาํ รุงกาํ ลงั หรือ ยาดองเหลา้ ในขณะท่ีแมบ่ า้ นมีภมู ิปัญญาในการใช้ สมุนไพรท่ีเกี่ยวกบั อาหารและการรักษาอาการเจบ็ ป่ วยทวั่ ไปของเดก็ เลก็ ส่วนเยาวชนจะใช้ สมุนไพรตามคาํ แนะนาํ ของผอู้ าวุโสในหมบู่ า้ น เป็ นตน้ วธิ ีการสืบทอดภูมิปัญญาทอ้ งถิ่นดา้ นสมุนไพรของชุมชนแมแ่ ฮนอ้ ยเริ่มจากการแสวงหา ชาวบา้ นท่ีสนใจฟ้ื นฟูสมุนไพรพ้ืนบา้ น ต่อมาไดร้ วมตวั เป็น “กลุ่มสมุนไพรของชุมชน” มีการ สร้างความเขา้ ใจร่วมกนั ในกระบวนการเรียนรู้ มีการดาํ เนินกิจกรรมการเรียนรู้ให้สอดคลอ้ งกบั กลุ่มเป้ าหมาย เช่น การเดินป่ าศึกษาสมุนไพรโดยเยาวชนและพอ่ บา้ น การศึกษาสมุนไพรใน หมูบ่ า้ นโดยแมบ่ า้ นและเด็ก การทาํ แปลงตวั อยา่ งและการวาดรูปโดยกลุ่มเด็ก ตลอดจนการศึกษา ดูงานการใชส้ มุนไพร และการขยายผลในหมูบ่ า้ นอื่นๆ กิจกรรมเหล่าน้ีทาํ ใหช้ าวบา้ นเห็นคุณคา่ ของสมุนไพรพ้นื บา้ นมากข้ึน อยา่ งไรก็ตามในปัจจุบนั วถิ ีชีวติ ของชาวบา้ นไดเ้ ปล่ียนแปลงไปท้งั การทาํ การเกษตรใชส้ ารเคมี และรักษาโรคดว้ ยยาแผนปัจจุบนั ที่สถานีอนามยั หรือโรงพยาบาลมาก ข้ึน ความหลากหลายของสัตว์ป่ าในเขตป่ าชุมชน ที่ลุ่มน้าํ ขาน อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ และลุ่มน้าํ จอมทอง อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ (ศึกษา โดยเสกศิลป์ เสนาะพงไพร มูลนิธิเพื่อการพฒั นาที่ยงั่ ยนื มปป.) พบวา่ โครงสร้างและความ หลากหลายของสตั วป์ ่ าเกิดข้ึนได้ 2 ลกั ษณะ คือ 1) เกิดเองตามธรรมชาติ ตามลกั ษณะของ 3 - 30
ภมู ิศาสตร์ที่แตกตา่ งกนั 2) กิจกรรมท่ีชุมชนใชป้ ระโยชนแ์ ละรักษาป่ า ช่วยทาํ ใหร้ ะบบโครงสร้าง ของป่ ามีความหลากหลาย เช่น ระบบการเกษตรที่มีทุง่ นาเป็นแหล่งหากินของสตั วก์ ินแมลง และ ธญั พืช เช่น นกเขา ไก่ป่ า นกกระจาบ เป็ นตน้ ไร่หมุนเวยี นที่มีอายุ 1-3 ปี จะมีนก สตั วเ์ ลก็ และสตั ว์ เล้ียงลูกดว้ ยนมต่างๆเขา้ ไปหาอาหาร เน่ืองจากเป็นป่ าท่ีมีแหล่งอาหารจากการเพาะปลูกหลงเหลือ อยู่ การกาํ หนดตวั ช้ีวดั ในเร่ืองความอุดมสมบรู ณ์ของป่ าโดยชุมชนน้นั จึงกาํ หนดโดยความเชื่อและ วฒั นธรรมของชุมชน ในดา้ นต่างๆ การเล้ียงวัวแบบปล่อยในป่ าชุมชน ไดเ้ ป็นขอ้ หา้ มของเจา้ หนา้ ท่ีรัฐในการนาํ ววั ไปเล้ียง ในป่ า ซ่ึงส่งผลกระทบตอ่ ชุมชนอยา่ งมหาศาล เพราะการเล้ียงววั เป็นท้งั รายไดห้ ลกั และรายได้ เสริมของชุมชน และยงั ไม่ทาํ ลายพ้นื ที่ป่ า งานศึกษาของอจั ฉรา บรรณาธิการ 2549 ใน 5 ชุมชน ของตาํ บลแมท่ า พบวา่ ชาวบา้ นปล่อยววั ฝงู ของตนเองเขา้ ไปในป่ าในช่วงฤดูฝนต้งั แต่เดือน มิถุนายน ถึงตุลาคม เจา้ ของววั จะตอ้ งไปตามววั ในป่ าประจาํ ตลอดช่วงฤดูฝน เพื่อตรวจสอบ จาํ นวนววั และสุขภาพของววั ขณะเดียวกนั เป็นเฝ้ าระวงั รักษาป่ า ตรวจสอบสถานการณ์ของพ้ืนที่ ป่ าชุมชนวา่ มีการบุกรุกป่ า หรือการลกั ลอบตดั ไม้ และยงั เห็นความเปล่ียนแปลงของสภาพป่ าทุก วนั ผลการศึกษาพบวา่ ววั มีบทบาทต่อการรักษาระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวาภพ กล่าวคือ ววั ลดเช้ือเพลิงในป่ า ลดปัญหาความรุนแรงของไฟป่ าในฤดูแลง้ ววั ช่วยหมุนเวยี นของ ธาตุอาหารในป่ า เม่ือปล่อยววั เขา้ ป่ ากินหญา้ แลว้ ถ่ายมลู ลงพ้ืนท่ีป่ า เป็ นการเพิ่มปริมาณอินทรียใ์ น พ้ืนที่ป่ าซ่ึงกลายเป็นป๋ ุยแก่ตน้ ไมใ้ นป่ า ววั ยงั ช่วยกระจายเมลด็ พนั ธุ์ไมใ้ นป่ า เช่น มะมว่ งป่ า มะแฟน กระบก เป็นตน้ ผลทางเศรษฐกิจของการเล้ียงววั ในป่ า คือมูลค่าของววั เป็ นเสมือนกองทุน สะสมหมุนเวยี น 11 ลา้ นบาท และมลู คา่ ทางออ้ มของหญา้ ในป่ าที่ววั กินในแตล่ ะปี ประมาณ 2.7 ลา้ นบาท ความรู้ในการจัดการไผ่หกอย่างยง่ั ยนื โดยชุมชน กรณีบา้ นหินลาดใน อ.เวยี งป่ าเป้ า จ.เชียงราย (วเิ ศษ สุจินพรหม และคณะ 2545) เป็น ความรู้ท่ีสาํ คญั ของการจดั การป่ าไผ่ ซ่ึงพบไดใ้ นเขตป่ าดงดิบและป่ าเบญจพรรณ ป่ าชุมชนท่ีบา้ น หินลาดในมีไมไ้ ผถ่ ึง 11 ชนิด ไผท่ ี่พบมากที่สุดคือไผห่ ก ซ่ึงจะข้ึนใกลล้ าํ หว้ ยในรัศมีประมาณ 25 เมตร แหล่งเกบ็ หาหน่อหกของชาวบา้ นแบง่ ออกเป็น 2 พ้ืนท่ี คือพ้นื ที่ทาํ กิน (สวนชา) และพ้นื ที่ป่ า ธรรมชาติ จากการศึกษาพบวา่ ปริมาณการเก็บหาหน่อหกของชุมชนรวมท้งั สิ้น 28,905 กิโลกรัมต่อ ปี แบ่งออกเป็นปริมาณหนอหกจากป่ าธรรมชาติ 22,839 กิโลกรัม หน่อหกจากสวนชา 6,066 กิโลกรัม ชาวบา้ นไดอ้ ธิบายความรู้วา่ ใบของไผห่ กจะเป็ นร่มเงาใหก้ บั ตน้ ชา และตน้ มะนาว ระบบ รากช่วยยดึ ดินบริเวณขา้ งลาํ หว้ ยไม่ใหพ้ งั ทะลายในหนา้ น้าํ หลาก หน่อหกเป็ นรายไดท้ างเศรษฐกิจ ท่ีสาํ คญั ในช่วงเดือน กรกฎาคม – สิงหาคม เป็นช่วงเวลาท่ีขา้ วของชาวบา้ นหมดพอดี รายไดจ้ าก 3 - 31
การขายหน่อหกจึงไดม้ าเสริม ซ่ึงปรากฏวา่ ท้งั ชุมชนไดร้ ายไดจ้ ากการขายหน่อหกเฉล่ียประมาณ 86,715 บาท/ปี เฉลี่ยต่อครอบครัวประมาณ 5,100 บาท/ปี การใช้ไม้จากเขตป่ าชุมชนในกรณกี ารใช้ไม้สร้างบ้าน ท่ีบา้ นแมส่ ูน ต.แม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ (วเิ ศษ สุจินพรหม และคณะ 2545) เป็นการ จดั การป่ าแบบวนวฒั น์วธิ ีในความรู้ของชาวบา้ นอยา่ งแทจ้ ริง การเขา้ ไปหาไมส้ ร้างบา้ นจากพ้นื ท่ี ป่ า ชาวบา้ นคาํ นึงถึงพ้นื ท่ี ชนิดไม้ การตดั และการเลือกตดั โดยอาศยั ความรู้ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั ระบบ นิเวศ ความรู้ทางพฤกษศาสตร์ของไมแ้ ต่ละชนิด และความเช่ือต่างๆมาเป็ นแนวปฏิบตั ิ ตวั อยา่ งเช่น การหาไมส้ ร้างบา้ นเฉพาะบริเวณเขตป่ าท่ีจาํ แนกใหเ้ ป็นป่ าใชส้ อย ชนิดไมท้ ี่มาสร้างบา้ นไดแ้ ก่ ไม้ จุมปี ไมซ้ อ้ ไมเ้ ปา ไมเ้ หียง ไผซ่ าง เป็นตน้ การคดั เลือกไมส้ ร้างบา้ นตอ้ งแขง็ แรงทนทาน มดปลวก ไมก่ ินง่าย การเลือกตดั ไมต้ อ้ งคาํ นึงถึงไมม้ ีลกั ษณะดี เน้ือแน่น ใชง้ านไดย้ าวนาน เพอื่ ช่วยลด ปริมาณการใชจ้ ากป่ า สิ่งที่สาํ คญั ต่อการรักษาระบบนิเวศ คือไมต่ ดั ไมบ้ ริเวณเดียวกนั เกิน 2 ตน้ ถึงแมจ้ ะมีไมล้ กั ษณะดีเพยี งใดก็ตาม ในทาํ นองเดียวกนั หากพ้นื ท่ีใดมีตน้ ไมข้ นาดเดียวกนั ข้ึน หนาแน่นมาก ชาวบา้ นจะเลือกตดั ไมบ้ ริเวณน้นั ออก เพ่ือใหไ้ มท้ ่ีเหลืออยไู่ ดม้ ีโอกาสเจริญเติบโต เตม็ ท่ี ความรู้ในการตดั ไมอ้ ยา่ งยงั่ ยนื ไดป้ รากฏใหเ้ ห็นไดจ้ ากกฎระเบียบในการใชไ้ มใ้ นหลาย พ้นื ที่ของภาคเหนือ จากงานศึกษาหลายชิ้น ตวั อยา่ งเช่น ท่ีบา้ นทุ่งยาว จ.ลาํ พนู หา้ มตดั ไมท้ ุกชนิด ในเขตป่ าน้าํ จาํ ผทู้ ี่ขออนุญาตจะขอตดั ไมไ้ ดค้ ร้ังเดียวเน่ืองจากไมท้ ี่ตดั เป็นไมเ้ น้ืออ่อนใชไ้ ด้ 3 ปี ก็ จะผุ การสร้างที่อยอู่ าศยั จึงทาํ ไดช้ วั่ คราว เม่ือต้งั ตวั ไดจ้ ึงค่อยสร้างบา้ นถาวร เป็นตน้ ท่ีบา้ นแมท่ า จ.เชียงใหม่ หา้ มตดั ไมส้ ัก เน่ืองจากเป็ นไมส้ ักท่ีไดร้ ับความนิยมเพราะเป็นไมม้ ีคุณภาพดี หา้ มขาย ลาํ ไมไ้ ผ่ ขายไดเ้ ฉพาะไมท้ ่ีแปรรูปแลว้ เป็นตน้ (1.6) การฟื้ นป่ าตามธรรมชาตโิ ดยองค์กรชุมชน การฟ้ื นป่ าตามธรรมชาติเป็ นการจดั การป่ าของชุมชนท่ียงั่ ยนื และก่อใหเ้ กิดผลผลิตของ อาหาร สมุนไพรและของป่ า อยา่ งหลากหลาย ความรู้ของชาวบา้ นในการฟ้ื นป่ าตามธรรมชาติทา้ ทายกบั กระแสการพ้ืนฟูป่ าโดยการปลูกป่ าโดยพนั ธุ์ไมต้ า่ งถ่ินของภาครัฐ และถึงแมว้ า่ การฟ้ื นฟปู ่ า โดยการใชพ้ นั ธุ์ไมท้ อ้ งถิ่นและการปลูกแซมผนื ป่ าธรรมชาติท่ีเส่ือมโทรม ก็ยงั ไมไ่ ดร้ ับการยอมรับ อยา่ งกวา้ งขวาง ในขณะท่ีการฟ้ื นป่ าธรรมชาติเป็นการฟ้ื นฟูป่ าท่ีดีที่สุด และไม่ตอ้ งใชง้ บประมาณ กลบั ไม่ไดอ้ ยใู่ นการปฏิบตั ิการของภาครัฐ เดโช ไชยทพั (2545) ไดศ้ ึกษาการฟ้ื นป่ าตามธรรมชาติใน 6 พ้นื ท่ี ครอบคลุมกลุ่มชาติ พนั ธุ์ปกากญอ คนเมือง และมง้ ไดผ้ ลสรุปวา่ การปลูกสร้างสวนป่ าของรัฐเป็ นการลดทอนความ ซบั ซอ้ นและความหลากหลายทางชีวภาพของป่ าธรรมชาติใหเ้ หลือเฉพาะไมท้ ี่มนุษยต์ อ้ งการใช้ 3 - 32
ประโยชน์จากเน้ือไม้ ความรู้ในของชุมชนในการฟ้ื นป่ าตามธรรมชาติ มาจากมโนทศั นแ์ ละความ เขา้ ใจต่อธรรมชาติของตน้ ไมท้ ี่สามารถฟ้ื นตวั ไดเ้ อง จากการแตกหน่อ ราก จากตน้ ตอ และการ สืบพนั ธุ์โดยเมล็ด ป่ าแต่ละประเภทมีความอุดมสมบูรณ์ท่ีไม่เหมือนกนั โครงสร้างของป่ าจึงตอ้ ง หลากหลาย เช่น มีลกั ษณะเป็นป่ าทึบ ป่ าโปร่ง ป่ าทุง่ หญา้ ป่ าฟ้ื นสภาพ ผสมผสานทาํ หนา้ ท่ีเก้ือกลู พ่งึ พาซ่ึงกนั และกนั ไฟป่ ามีบทบาทสาํ คญั ท่ีทาํ ใหเ้ มลด็ เกิดการงอกไดม้ ากในกรณีของป่ าเบญจ พรรณท่ีมกั เกิดไฟไหมป้ ระจาํ การเกิดไฟป่ า 2-3 ปี จะช่วยใหล้ ูกไมเ้ ติบโตไดด้ ี และสามารถพน้ อนั ตรายจากไฟป่ าได้ ในกรณีท่ีเป็ นป่ าดิบเขา ชาวบา้ นจะป้ องกนั ไมใ่ หเ้ กิดไฟไหม้ เพราะทาํ ให้ ตน้ ไมล้ ม้ ตายเป็นจาํ นวนมาก การเล้ียงสตั วป์ ระเภทววั ควายก็ช่วยฟ้ื นป่ าตามธรรมชาติ เนื่องจาก เส้นทางเดินของววั ควายที่เดินประจาํ ช่วยลดความรุนแรงของไฟป่ า และช่วยใหเ้ มล็ดพืชไดร้ ่องดิน สาํ หรับฝังกลบจากร่องทางเดินของสตั ว์ การจัดการไฟป่ าของชุมชนไดแ้ สดงใหเ้ ห็นวา่ ไฟป่ าไมใ่ ช่สิ่งเลวร้ายท่ีตอ้ งดบั ใหห้ มด สิ้น แตไ่ ฟป่ ามีคุณคา่ และเป็นประโยชน์หลายดา้ น หากมนุษยจ์ ดั การไฟป่ าใหส้ อดคลอ้ งกบั ระบบ นิเวศและลกั ษณะของป่ า งานศึกษาของอจั ฉรา รักยตุ ิธรรม (2545) ไดแ้ สดงใหเ้ ห็นวา่ ความรู้ใน การใชป้ ระโยชน์จากไฟไดร้ ับการสืบทอดและสัง่ สมเป็นภมู ิปัญญาพ้ืนบา้ นที่มีความจาํ เพาะกบั สภาพระบบนิเวศ และวฒั นธรรมของชุมชนทอ้ งถิ่นแตล่ ะแห่ง ซ่ึงจาํ แนกไดเ้ ป็น 2 ประเภท คือ ความรู้ในการใชเ้ พ่ือประโยชน์ตอ่ มนุษย์ เช่น การใชไ้ ฟเพื่อเก็บหาของป่ า ล่าสตั ว์ เผาไร่ และความรู้ ในการใชไ้ ฟเพือ่ การจดั การระบบนิเวศโดยตรง เช่น การชิงเผากาํ จดั เศษวชั พชื ในป่ าผลดั ใบ การจุด ไฟเพอื่ กระตุน้ การงอกของเมลด็ ไม้ เร่งการฟ้ื นฟูป่ า ชาวบา้ นจะใชไ้ ฟเฉพาะในป่ าผลดั ใบ เช่น ป่ าเตง็ รัง ป่ าเบญจพรรณ ป่ าประเภทน้ี จาํ เป็นตอ้ งมีไฟป่ าเกิดข้ึนบา้ ง เพ่ือไม่ใหเ้ ปล่ียนสภาพไปเป็นป่ าประเภทอื่น และเพ่ือยอ่ ยสลายเศษ ใบไมแ้ หง้ ที่ร่วงหล่นไม่ใหส้ ะสมมากเกินไป จนกระทงั่ ทาํ ใหเ้ กิดไฟป่ ารุนแรง การท่ีชุมชนเผา พ้นื ที่ป่ ากระตุน้ การเกิดเห็ดถอบ ผกั หวาน ผกั พอ่ คา้ หญา้ ออ่ น การใชไ้ ฟล่าสตั ว์ หรือสางทาํ ความ สะอาดพ้นื ที่ป่ า จึงเป็นการจดั การไฟป่ าที่เอ้ือใหเ้ กิดไฟไดง้ ่ายข้ึนและเกิดอยา่ งสม่าํ เสมอ เป็น ประโยชนส์ าํ หรับป่ าผลดั ใบ ในทางตรงกนั ขา้ มป่ าไมผ่ ลดั ใบจะมีความชุ่มช้ืนสูง เกิดไฟป่ าไดย้ าก แตร่ ะบบนิเวศบางแห่งถูกเปล่ียนสภาพไป ป่ ามีความชุ่มช้ืนนอ้ ยลง ขณะท่ีสภาพภูมิอากาศโดยรวม ของโลกมีความแหง้ แลง้ มากข้ึน ดงั น้นั จึงมีโอกาสที่จะเกิดไฟป่ าในป่ าประเภทน้ีไดไ้ ม่ยากนกั ชุมชนบนพ้ืนท่ีสูงจึงตอ้ งทาํ งานหนกั ในการป้ องกนั และควบคุมไฟในป่ าไมผ่ ลดั ใบ ชาวบา้ นตอ้ ง ออกไปดบั ไฟในยามวกิ าลบนภเู ขาที่สูงชนั ไดร้ ับบาดเจบ็ และเส่ียงอนั ตรายอยา่ งมาก ปัจจุบนั น้ีใน หลายชุมชนทางภาคเหนือไดก้ าํ หนดกฎระเบียบเกี่ยวกบั การจดั ไฟป่ าใหเ้ ป็ นส่วนสาํ คญั ของการ จดั การป่ าชุมชน และมีการต้งั กองทุนสาํ หรับการจดั การไฟป่ าเพื่อลาดตระเวนเฝ้ าระวงั รักษาป่ า ในขณะท่ีภาครัฐยงั ใชค้ าํ ขวญั เหมือนเดิมวา่ “ไฟมาป่ าหมด” ซ่ึงเป็นการสร้างทศั นคติวา่ ไฟป่ าเป็น สิ่งเลวร้ายที่ตอ้ งกาํ จดั ใหส้ ิ้นโดยไม่แยกแยะวา่ ไฟป่ ากบั ระบบนิเวศแตกต่างกนั อยา่ งไร 3 - 33
เดโช ไชยทพั (2543) ไดศ้ ึกษาการจดั การไฟป่ าของเครือขา่ ยชาวบา้ นรักษาป่ าลุ่มน้าํ ขาน (2543) มีผลสรุปวา่ การป้ องกนั ไฟป่ าเป็ นวธิ ีการท่ีดีที่สุดของการฟ้ื นป่ าธรรมชาติ ช่วยให้ ลูกไมเ้ จริญเติบโตไดร้ วดเร็ว เพราะรอดพน้ จากการถูกไฟไหม้ ในขณะเดียวกนั ไฟป่ าส่งผลกระทบ ดา้ นลบ เช่น มีงูพษิ และแมลงมีพษิ อยา่ งตวั บุง้ เพิม่ จาํ นวนมากข้ึน ทาํ ใหช้ าวบา้ นไดร้ ับอนั ตรายใน การในการเดินบ่อยคร้ัง บางหมบู่ า้ นขาดแคลนหญา้ เป็นอาหารของววั ควาย ขาดแคลนพชื อาหาร บางชนิด สาํ หรับสุรินทร์ อน้ พรม (2543) ศึกษากรณีการจดั การไฟป่ าของชุมชนตาํ บลแม่ทาํ ก่ิง อาํ เภอแม่ออน จ.เชียงใหม่ ในวธิ ีการชิงเผา วธิ ีการชิงเผาเริ่มตน้ จากการจุดไฟจากดา้ นยอดเขาให้ ลามลงมาขา้ งล่าง หา้ มจุดจากล่างข้ึนไปขา้ งบน ในช่วงเวลาที่อากาศร้อนจดั จะไม่จุดไฟเผา เด็ดขาด และตอ้ งชิงเผาในช่วงที่ใบไมย้ งั สะสมไมม่ าก วธิ ีการน้ีจะทาํ ใหเ้ กิดไฟที่ไมร่ ุนแรง และ ส่งผลกระทบตอ่ ทรัพยากรในป่ านอ้ ย การชิงเผาตอ้ งชิงเผาช่วงตน้ ฤดูกาล หากสภาพดินเป็นดิน ทรายไมค่ วรชิงเผาเพราะจะเกิดการชะลา้ งหนา้ ดินไดง้ ่าย ชาวบา้ นสรุปวา่ การชิงเผาทาํ ใหเ้ กิดผล บวกมากกวา่ ดา้ นลบ เช่น ผกั ป่ าบางชนิด ชะอมป่ าจะแตกยอดใหม่มากข้ึน หน่อไมร้ วก หน่อไม้ ซางแตกหน่อเร็วข้ึน อจั ฉรา รักยตุ ิธรรม (2543) ไดส้ รุปไวว้ า่ รัฐไดห้ ยบิ ยก “ไฟป่ า” เป็นปัญหาสาํ คญั ในการ สร้างความชอบธรรมให้รัฐในการใชอ้ าํ นาจเขา้ ควบคุมพ้ืนที่และทรัพยากร และเป็นผลงานการ ทุม่ เทงบประมาณในการจดั การไฟ การประชาสมั พนั ธ์ปัญหาไฟป่ า จนกลายเป็นภาพที่น่ากลวั และชูบทบาทของเจา้ หนา้ ท่ีป่ าไมใ้ นการดบั ไฟ ซ่ึงทาํ ใหร้ ัฐกลายเป็นพระเอกผแู้ กไ้ ขปัญหาไฟป่ า และกลุ่มชาติพนั ธุ์บนพ้นื ที่สูงเป็นผสู้ ร้างปัญหาไฟป่ า (2) ภาคอสี าน ลกั ษณะทางภูมิศาสตร์ของภาคอีสานมีลกั ษณะสูงๆต่าํ ๆเป็นเนินสลบั แอง่ ดินตะกอนและ ทิวเขา ประกอบดว้ ยป่ าประเภทไมผ่ ลดั ใบ ไดแ้ ก่ ป่ าดงดิบช้ืน ป่ าดงดิบแลว้ ป่ าดงดิบเขา ป่ าสนเขา ป่ าสนที่ราบ สาํ หรับป่ าท่ีน้าํ ท่วมถึงไดแ้ ก่ ป่ าพรุ ป่ าบึง และป่ าบุ่งป่ าทาม ป่ าประเภทผลดั ใบ จาํ แนกเป็นป่ าเบญจพรรณ ป่ าโคก ป่ าเตง็ รัง ป่ าพลวง หรือป่ ากงุ และป่ ารังหรือป่ าฮงั ป่ าชุมชน ส่วนใหญ่ของภาคอีสานตามภาษาเรียกของชาวบา้ น เช่น “ป่ าโคก” เป็นทาํ เลเล้ียงสัตว์ และแหล่ง ไมท้ ่ีสาํ คญั ของชุมชน สาํ หรับ “ป่ าดง” หมายถึงป่ าเบญจพรรณชนิดตา่ งๆตามบริเวณตน้ น้าํ ลาํ ธาร เชิงเขา หุบเขา หรือที่ราบริมน้าํ ในเขตเนินเขา หรือท่ีราบริมฝ่ังที่น้าํ ทว่ มไมถ่ ึง ป่ าประเภทน้ี ชาวบา้ นหลายแห่งอนุรักษไ์ วเ้ ป็นป่ าตามประเพณี เช่น ป่ าดอนป่ ูเจา้ ป่ าผปี ่ ูตา ป่ าชา้ และวดั ป่ าของหมูบ่ า้ น (มงคล ด่านธานินทร์ และคณะ 2535 : 31 – 35) ภาคภูมิ วธิ านติรวฒั น์ จากเรื่องป่ าชุมชนอีสาน (มปป. : 18) ไดก้ ล่าวถึงป่ าชุมชนของคน อีสานกระจายอยใู่ นทุกระบบภูมินิเวศตามการต้งั ถ่ินฐานของชุมชนและการใชป้ ระโยชน์จากป่ า ต้งั แต่บนยอดภู ภูหลงั แป โนนดอนโคก ทุง่ และทาม การแบ่งเขตการใชท้ ี่ดินเริ่มจากเขตโนนบา้ น 3 - 34
ต้งั อยบู่ นที่สูงเพื่อป้ องกนั น้าํ ท่วม เขตท่ีสอง เขตนาและแหล่งน้าํ เป็นพ้ืนท่ีลุ่มถดั จากโนนบา้ น ใช้ ทาํ นา และแหล่งกกั เก็บน้าํ ของชุมชน เขตที่สามเป็นเขตหวั ไร่ปลายนา และป่ าโคกสาธารณะ เขตน้ี เป็นพ้นื ที่โคก หรือโนนต่อจากที่ลุ่มทาํ นา ชุมชนจะคงสภาพป่ าไวเ้ ป็นแหล่งไมใ้ ชส้ อย ปลูกพืช สวน พืชไร่ ใชเ้ ป็นอาหารกบั แหล่งวตั ถุดิบผลิตเครื่องใชไ้ มส้ อย เช่น ฝาย ไหม เป็นตน้ งานศึกษาในยคุ แรกของภาคอีสาน (พ.ศ.2532 – 2537) ไดค้ น้ พบวา่ การบุกเบิกป่ าเพ่อื ต้งั ถ่ินฐานของชุมชน มาจากนโยบายของรัฐส่งเสริมการปลูกพชื เศรษฐกิจเพ่ือการส่งออก เช่น การทาํ ไร่ปอ มนั สาํ ปะหลงั ขา้ วโพด ออ้ ย เป็ นตน้ หรือโครงการก่อสร้างพ้ืนฐาน เช่น เข่ือน ถนน เป็นตน้ ต่อมาเม่ือมีการอนุรักษป์ ่ า ดว้ ยการประกาศพ้ืนท่ีป่ าทบั ซอ้ นท่ีดินทาํ กินชาวบา้ น แต่สิ่งที่ยงั ดาํ รงอยู่ คือ ชุมชนมีวฒั นธรรมประเพณีท่ีเคารพต่อธรรมชาติ และมีขอ้ หา้ มในการพ่ึงพิงป่ าอยา่ งเคร่งครัด แต่ละชุมชนมี “ขะจ้าํ ” หรือ “เฒา่ จ้าํ ) (ผกู้ ระทาํ พิธีท่ีเป็ นสื่อกลางระหวา่ งชาวบา้ นกบั ผบี รรพบุรุษ หรือเทวดาอารักษท์ ้งั ปวง) ขะจ้าํ เป็นเสมือนผไู้ ดร้ ับคาํ ช้ีแนะจากผบี รรพบุรุษ ชุมชนมีการจดั การ ป่ า และการใชป้ ระโยชน์จากป่ าอยา่ งยง่ั ยนื ลกั ษณะของป่ าประกอบดว้ ยป่ าชา้ ป่ าดอนป่ ูตา ป่ า สาธารณะ ป่ าวดั เป็นตน้ งานศึกษาไดม้ ีการสาํ รวจการใชป้ ระโยชน์จากป่ าท้งั ดา้ นอาหาร สมุนไพร แหล่งฟื น การ ทาํ เครื่องใชไ้ มส้ อย และชาวบา้ นยงั คงรวมกลุ่มและมีพฒั นาการของจิตสาํ นึกในการดูแลรักษาป่ าที่ ใหค้ วามสาํ คญั กบั ป่ ามากยงิ่ ข้ึน เม่ือพบวา่ ชุมชนประสบปัญหาแหล่งอาหาร และปัญหาน้าํ ขาด แคลนในการทาํ การเกษตรกรรม การรวมกลุ่มในการดูแลรักษาป่ ากจ็ ะมีการปรับตวั เปลี่ยนแปลง ไปตามสภาพแวดลอ้ มท่ีป่ าถูกทาํ ลาย งานศึกษาในลกั ษณะดงั กล่าว ไดแ้ ก่ บุญยงค์ เกศเทศ และ อภิศกั ด์ิ โสมอินทร์ (2535) รายงานวจิ ยั ป่ าชุมชนหม่บู า้ นอีสานตอนกลาง ปรีชา อุยตระกลู และ คณะ (2535) รายงานวจิ ยั ป่ าชุมชนหมู่บา้ นอีสานตอนล่าง สุทศั เดิมสายทอง และสุภาพรรณ ปรุง ชยั ภมู ิ กรณีศึกษาป่ าชุมชนบา้ นหนองโพธ์ิ ต.สาํ หนกั ตะคร้อ อ.ด่านขนุ ทด จ.นครราชสีมา (2535) สถาบนั วจิ ยั วลยั รุกขเวช รายงานศึกษาและสาํ รวจการอนุรักษแ์ ละคุม้ ครองป่ าวฒั นธรรม (2540) (2.1) งานศึกษาทีเ่ กยี่ วกบั ป่ าชุมชนในเขตพนื้ ท่ีป่ าอนุรักษ์และป่ าสงวนแห่งชาติ ภายหลงั การคืนถิ่นของชุมชนที่ไดร้ ับผลกระทบจากโครงการจดั สรรท่ีดินใหเ้ กษตรกร ผยู้ ากไร้ในพ้นื ที่ป่ าสงวนเส่ือมโทรม (โครงการ คจก.) ไดเ้ กิดข้ึนเพอื่ ใหช้ ุมชนฟ้ื นฟกู ารจดั การป่ า และการทาํ การเกษตรที่อนุรักษร์ ะบบนิเวศ ซ่ึงพบวา่ มีหลายพ้นื ที่ชุมชนสามารถดาํ เนินการได้ ประสบผลสาํ เร็จ เช่น งานศึกษาของ ภาคภมู ิ วธิ านติรวฒั น์ และคณะ (มปป.) กรณีศึกษาบา้ นเชิง ดอย ต.นามอ่ ง อ.กดุ บาก จ.สกลนคร ต้งั อยบู่ ริเวณเทือกเขาภูพาน มีการสาํ รวจความหลากหลายทาง ชีวภาพของอาหาร พืชสมุนไพร การใชไ้ มอ้ ยา่ งยง่ั ยนื ท่ีแสดงใหเ้ ห็นวา่ การจดั การป่ าชุมชนของ ชาวบา้ น ก่อใหเ้ กิดการอนุรักษป์ ่ าและสร้างมลู คา่ ทางเศษฐกิจใหก้ บั ชุมชนไดจ้ ริง 3 - 35
เศกสรรค์ ยงวณิชย์ และคณะ (มปป.) ศึกษาผลกระทบต่อระบบนิเวศและการพ่ึงพงิ ป่ า บริเวณเทือกเขาในเขตอาํ เภอคอนสาร และอาํ เภอภูผามา่ น จงั หวดั ชยั ภูมิ พบวา่ ประชากรในพ้ืนท่ีมี การใชป้ ระโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอยา่ งมาก เช่น การใชส้ มุนไพรในการเป็ นยารักษาโรค อาหาร ไมฟ้ ื น ตน้ ไมท้ ี่นาํ มาใชเ้ ป็นอาหาร ต้งั แต่ราก เปลือก ลาํ ตน้ แก่น ใบ ยอด ดอก และเกสร ส่วนมากของตน้ ไมเ้ ป็นอาหาร ตน้ ไมจ้ าํ นวนมากสามารถนาํ มาประกอบเป็ นยารักษาโรคได้ เช่น ท่ี บา้ นหว้ ยสนามทราย ตาํ บลทุง่ พระ อาํ เภอคอนสาร จงั หวดั ชยั ภูมิ การเก็บผกั หวาน ในช่วงเดือน ก.พ. – เม.ย. คนละ 1-3 กิโลกรัม ซ้ือขายกิโลกรัมละ 200 บาท ชาวบา้ นนาํ ไปวางขายที่ร้านคา้ ขา้ ง ทาง การเกบ็ เห็ด ช่วงเดือน พ.ค. – มิ.ย. เก็บทุกวนั ๆละ ประมาณ 10 คน คนละ 10-20 กิโลกรัม ขาย กนั ถุงละ 20 บาท กิโลกรัมละ 50 – 70 บาท การเก็บหาหน่อไม้ ช่วงเดือน มิ.ย. – ส.ค. ชาวบา้ น สามารถทาํ หน่อไมอ้ ดั ป๊ี ปได้ 100 – 500 ปี๊ ป และทาํ หน่อไมด้ องคนละ 1-2 ถงั ๆละ 100 กิโลกรัม ราคากิโลกรัมละ 5 บาท เป็นตน้ งานศึกษาของ อจั ฉรา รักยตุ ิธรรม (2547) และ เครือขา่ ยทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดลอ้ มภาคอีสาน (2543) กล่าวถึงระบบการทาํ การเกษตร และการจดั การป่ าไปพร้อมกนั ที่ เก้ือกลู ตอ่ ระบบนิเวศบนพ้ืนท่ีสูง เช่น ท่ีตาดฟ้ าดงสะคร่าน ตาํ บลวงั สวาป อาํ เภอภูผามา่ นจงั หวดั ขอนแก่น และบา้ นซาํ ผกั หนาม อยใู่ นเขตอุทยานภูผาม่าน จงั หวดั ขอนแก่น และบา้ นเทพพนา อ. เทพสถิต จ.ชยั ภมู ิ อยใู่ นเขตอุทยานแห่งชาติป่ าหินงาม และเขตรักษาพนั ธุ์สัตวป์ ่ าซบั ลงั กา ท้งั 3 พ้นื ที่น้ีไดร้ ับผลกระทบจาก ภายหลงั จากคืนถิ่นของชุมชนหลงั จากท่ีถูกอพยพชุมชนภายใต้ โครงการ คจก. ชุมชนเหล่าน้ีไดจ้ ดั ระบบการจดั การท่ีดิน โดยมาทาํ เกษตรผสมผสาน เนน้ การปลูก ไมผ้ ลผสมผสาน ผกั สวนครัว ลดการใชส้ ารเคมี กาํ จดั ศตั รูพืชดว้ ยวธิ ีธรรมชาติ และทาํ กิจกรรมท่ี หลากหลาย เช่น ปลูกขา้ ว เล้ียงหมู เล้ียงปลา ววั ไก่ ระบบการเกษตรดงั กล่าวถือวา่ เป็นระบบวน เกษตรท่ีฟ้ื นฟูดินและป่ าบนยอดภู และภูหลงั แป เพอื่ ป้ องกนั การชะลา้ งพงั ทลายดินอยา่ งรุนแรง พร้อมกนั น้นั ไดร้ ่วมจดั การป่ าชุมชน โดยจาํ แนกเป็นที่ดินทาํ กิน เขตป่ าชุมชนใชส้ อย และป่ าทาํ เล เล้ียงสตั ว์ เขตป่ าอนุรักษต์ น้ น้าํ ลาํ ธาร โดยหา้ มมิใหไ้ ปทาํ ลายตน้ น้าํ ลาํ ธารและท่ีอยอู่ าศยั ของสัตว์ ป่ า ใชป้ ระโยชน์ไดเ้ ฉพาะการเก็บหาสมุนไพรเทา่ น้นั จากสถานการณ์การส่งเสริมการทาํ สวนป่ าในการปลูกไมโ้ ตเร็ว เช่น ยคู าลิปตสั ในภาค อีสาน ซ่ึงไดส้ ่งผลกระทบต่อปัญหาส่ิงแวดลอ้ ม การขาดแคลนน้าํ ในการทาํ การเกษตรกรรม และ การอพยพชุมชนท่ีทาํ กินในพ้ืนที่ป่ าออกจากท่ีเดิม ซ่ึงทาํ ใหป้ ระชาชนที่ไดร้ ับผลกระทบดงั กล่าว คดั คา้ นการปลูกยคู าลิปตสั ท้งั ในพ้ืนที่ป่ าสงวนเสื่อมโทรม และพ้นื ที่กรมป่ าไมม้ อบใหอ้ งคก์ าร อุตสาหกรรมป่ าไมด้ าํ เนินการ ภายหลงั จากท่ีประชาชนคดั คา้ นไดส้ าํ เร็จ หลายชุมชนไดน้ าํ พ้ืนที่ ดงั กล่าวมาฟ้ื นฟเู ป็นป่ าธรรมชาติ และจดั การโดยชุมชน งานศึกษาเกี่ยวกบั การฟื้ นฟูป่ าชุมชน ภายหลงั จากการคดั ค้านการปลกู ยูคาลปิ ตสั สาํ เร็จ เช่น กรณีศึกษาท่ีรวบรวมโดย ภาคภูมิ วธิ าน ติรวฒั น์ (ในป่ าชุมชนอีสาน มปป.)ไดแ้ ก่ ป่ าชุมชนข้นั ไดใหญ่ อ.เมือง จ.ยโสธร ป่ าชุมชนดงเคง็ 3 - 36
ต.ชานุวรรณ และต.กุดน้าํ ใส อ.พนมไพร จ.ร้อยเอด็ จาํ นวน 6 ชุมชนท่ีต้งั ถิ่นฐานรอบป่ าดงเคง็ จาก กรณีศึกษาดงั กล่าว พบวา่ ชาวบา้ นไมส่ ามารถพ่ึงพาป่ าจากไม้ อาหารและสมุนไพรจากป่ าไดอ้ ีก ตอ่ ไป เพราะการทาํ สวนป่ ายคู าลิปตสั ไดท้ าํ ลายความหลากหลายทางชีวภาพและความอุดม สมบรู ณ์ของป่ าหมดสิ้น แต่เม่ือฟ้ื นฟูเป็นป่ าธรรมชาติ ดว้ ยการปลูกป่ าเสริม ชาวบา้ นสามารถใช้ ประโยชนจ์ ากป่ าไดเ้ หมือนเดิม แมว้ า่ จะไมอ่ ุดมสมบรู ณ์ก่อนปลูกยคู าลิปตสั ก็ตาม และไดต้ ้งั กฎระเบียบดูแลป่ าชุมชนร่วมกนั ซ่ึงผสมผสานกบั วฒั นธรรมประเพณีด้งั เดิม (2.2) การจัดการป่ าชุมชนในระบบนิเวศป่ าท่ีราบ มีงานศึกษาที่กล่าวเฉพาะเจาะจงลกั ษณะเด่นของระบบนิเวศของป่ าท่ีราบ ซ่ึงนกั ป่ าไม้ ไมใ่ หค้ วามสาํ คญั เช่น ป่ าหวั ไร่ปลายนา และป่ าบุง่ ป่ าทาม องคก์ รพฒั นาเอกชนและนกั วชิ าการได้ ศึกษาเพอื่ ใหส้ ังคมเห็นวา่ เป็ นระบบนิเวศท่ีมีความสาํ คญั และชาวบา้ นไดม้ ีจดั การตามภมู ิปัญญา งานศึกษาของมูลนิธิพฒั นาอีสาน ไดส้ รุปใหเ้ ห็นถึงลกั ษณะของป่ าหัวไร่ปลายนา ทอ้ งถ่ิน หมายถึง พ้นื ที่ส่วนหน่ึงในบริเวณแปลงไร่นาที่มีตน้ ไมแ้ ละพืชพรรณต่างๆเกิดข้ึนอยา่ งมากมาย หลากหลายชนิด และมีคุณค่าต่อการดาํ รงชีวติ ของคนในชุมชนท้งั ดา้ นเศรษฐกิจ สังคม และ สิ่งแวดลอ้ ม” ป่ าหวั ไร่ปลายนาท่ียงั ดาํ รงอยเู่ นื่องจากในสมยั ก่อนการถากถางป่ าแตพ่ อทาํ กิน ส่วน ที่เหลือกป็ ล่อยทิง้ ไวใ้ หล้ ูกหลาน จึงเหลือพ้ืนท่ีตามหวั ไร่ปลายนาไวซ้ ่ึงปล่อยใหม้ ีการเติบโตตาม ธรรมชาติ จนกลายเป็นป่ าที่มีความอุดมสมบรู ณ์และมีความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นแหล่ง อาหารและสมุนไพรของชุมชน ตลอดจนมีไมไ้ วส้ ร้างบา้ นและใชส้ อย ป่ าหวั ไร่ปลายนาเป็นสิทธิส่วนบุคคลของแตล่ ะครอบครัว แต่เป็ นระบบการใช้ ประโยชน์และการจดั การร่วมกนั ของชุมชน กล่าวคือพ่ีนอ้ งในชุมชนพ่ึงพิงใชป้ ระโยชนจ์ ากป่ าหวั ไร่ปลายนาแบบพอมีพอกิน หรือเป็นที่เล้ียงสัตวข์ องคนในชุมชน การจดั การร่วมของชุมชนคือ การการเคารพในสิทธิของผเู้ ป็นเจา้ ของป่ าหวั ไร่ปลายนา งานศึกษาของปิ ยศกั ด์ิ สุคนั ธพงษ์ (2548) ไดเ้ สนอใหเ้ ห็นวา่ ป่ าหวั ไร่ปลายนาท่ีบา้ นอุดม บา้ นสมบรู ณ์ ตาํ บลชุมแสง อ.จอมพระ จ. สุรินทร์ เป็นแหล่งอาหารตามธรรมชาติ แหล่งไมใ้ ชส้ อยและเช้ือเพลิง แหล่งสมุนไพรของชุมชน แหล่งเล้ียงสัตว์ โค กระบือ ดว้ ยการสาํ รวจความหลากหลายทางชีวภาพ และงาน สาํ หรับป่ าบุ่งป่ าทาม เป็นระบบนิเวศป่ าท่ีน้าํ ทว่ มถึง คาํ วา่ “ทาม” คนอีสานใชเ้ รียก พ้ืนท่ีน้าํ ท่วมถึงบริเวณสองฝั่งแมน่ ้าํ ลาํ ธาร ซ่ึงเป็นเขตรอยตอ่ ระหวา่ งแผน่ ดินกบั แผน่ น้าํ น้าํ จะ หลากทว่ มพ้ืนท่ีทามทุกปี เป็นเวลานาน 1-3 เดือน (กนั ยายน – พฤศจิกายน) คาํ วา่ “บุง่ ” คนอีสานใช้ เรียกพ้ืนที่ที่เป็นแอง่ ลุ่มต่าํ ซ่ึงเป็นบริเวณหน่ึงในพ้นื ท่ีทาม อาจมีน้าํ แช่แขง็ ตลอดปี หรือเกือบตลอด ปี มีพรรณไมพ้ ุม่ ข้ึนอยทู่ วั่ ไป ในทางวชิ าการป่ าบุง่ ป่ าทามถือเป็นพ้นื ที่ชุ่มน้าํ ประเภทหน่ึง ระบบ นิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพของป่ าบุง่ ป่ าทามเกิดจาก ลาํ น้าํ ท่ีไหลผา่ นพ้นื ท่ีราบซ่ึงมี ความลาดชนั นอ้ ย ความแรงของกระแสน้าํ ความคดเค้ียวของลาํ นาํ ความกวา้ งและความลึกของ 3 - 37
ร่องน้าํ การกดั เซาะตลิ่งของแม่น้าํ การทบั ถมของดินตะกอนที่ถูกน้าํ พดั พามาจากท่ีสูง ปัจจยั เหล่าน้ีทาํ ใหเ้ กิดความเปลี่ยนแปลงของสภาพระบบนิเวศท่ีหลากหลาย ป่ าบุ่งป่ าทามประกอบดว้ ย ป่ าไมท้ ี่มีไมข้ นาดเลก็ ไมพ้ ุม่ ไมห้ นาม ท่ีทนตอ่ การแช่น้าํ ป่ าดิบแลว้ พบตามริมฝั่งกุด หรือเนินคนั ดินธรรมชาติท่ีน้าํ หลากช่วงส้นั ๆ ป่ าโคก พบตามบริเวณท่ีตอ่ เน่ืองกบั ลานตะพกั ลุ่มน้าํ หรือเนิน ทรายตามคนั ดินธรรมชาติ (คณะกรรมการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ มอีสาน เรื่อง ป่ าบุง่ ป่ า ทาม) งานศึกษาที่เก่ียวกบั ป่ าบุง่ ป่ าทามมีหลายชิ้น ในปี 2538 เอกสารประกอบสมั มนาเรื่อง “ป่ าบุ่งทาม” นาํ เสนอป่ าบุง่ ทามบริเวณแมน่ ้าํ มลู ตอนกลาง วา่ มีความสาํ คญั ตอ่ ระบบนิเวศลุ่มน้าํ เป็นแหล่งความหลากหลายทางชีวภาพ และคุณค่าเชิงเศรษฐกิจของชุมชน จากการสาํ รวจครัวเรือน ในพ้นื ท่ีตาํ บลด่าน ตาํ บลหนองแค อ.ราษีไศล จ.ศรีสะเกษ และตาํ บลดอนแรด อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์ จาํ นวน 11 หม่บู า้ น 366 ครัวเรือน พบวา่ ผลผลิตที่ไดจ้ ากการเกษตรมีมูลค่า 6,445,477 บาท/ปี จาก พรรณพืช อาหารและเคร่ืองใชส้ อย มลู คา่ 3,033,815 บาท/ปี และจากสตั วใ์ นป่ าทามและอื่นๆ มลู ค่า 4,760,285 บาท/ปี ดว้ ยเหตุน้ีชุมชนจึงดาํ รงชีวติ ไดจ้ ากการพ่ึงพาป่ าบุง่ ป่ าทาม แมว้ า่ ผลผลิต ทางการเกษตรจะราคาตกต่าํ ก็ตาม แตป่ ัญหาที่คุกคามป่ าบุง่ ป่ าทามอยา่ งมาก คือ การส่งเสริมการ ปลูกพชื เศรษฐกิจเพื่อการส่งออก ทาํ ใหช้ าวบา้ นไถพ้ืนที่ป่ าทามทาํ การเกษตร การสร้างถนนและ เข่ือนต่างๆ การบุกรุกของกลุ่มทุน และรัฐในการปลูกสร้างสวนป่ า ไมเ้ ศรษฐกิจ และรัฐบาลไมม่ ี นโยบายท่ีชดั เจนต่อการดูแลรักษาพ้ืนท่ีสาธารณะป่ าบุง่ ป่ าทาม ผลการศึกษาจึงเสนอให้รัฐมี นโยบายกาํ หนดใหพ้ ้ืนท่ีป่ าบุ่งป่ าทามเป็นพ้ืนท่ีเฉพาะ และส่งเสริมการจดั การร่วมระหวา่ งรัฐกบั ชุมชน ตอ่ มาโครงการฟ้ื นฟพู ้นื ที่ชุ่มน้าํ ป่ าทามมลู (2544) ไดร้ วบรวมความรู้ของชุมชนในการ จดั การป่ าทามไวอ้ ยา่ งเป็นระบบ สรุปไดด้ งั น้ี ความสําคัญของป่ าบุ่งป่ าทามในระบบภูมินิเวศล่มุ นํา้ โขง ประสิทธ์ิ คุณุรัตน์ ไดอ้ ธิบาย ไวว้ า่ ในภาคอีสานมีป่ าบุ่งป่ าทามบริเวณลุ่มน้าํ มูน ลุ่มน้าํ ชีลุ่มน้าํ สงคราม และลุ่มน้าํ โขงและลาํ น้าํ สาขา ระบบนิเวศของป่ าดงั กล่าวเป็นพ้ืนที่ชุ่มน้าํ ลกั ษณะหน่ึงที่มีความหลากหลายของพชื น้าํ และ พชื ที่ทนต่อการแช่ขงั ของน้าํ ทาํ ใหเ้ ป็นแหล่งเพาะพนั ธุ์สัตวน์ ้าํ เปรียบเสมือนมดลูกท่ีใหก้ าํ หนด อาหารกบั แผน่ ดิน ในขณะเดียวกนั เม่ือน้าํ ไหลแรงจึงทาํ ใหเ้ กิดการกดั เซาะพงั ทลายของดินและการ ชะลา้ งพดั พาแร่ธาตุสารอาหาร สารพษิ ตา่ งๆไหลไปตามสายน้าํ เมื่อปะทะกบั ป่ าบุ่งป่ าทามจะถูก ชลอความเร็วดว้ ยตะกอน หรือถูกกรองตกคา้ งตามพ้ืนท่ีบุง่ ทามต่างๆ ป่ าบุง่ ป่ าทามจึง เปรียบเสมือนไตหรือระบบกรองธรรมชาติ ชาวบา้ นพ่ึงพาป่ าบุง่ ป่ าทามในการเก็บผลผลิตจากป่ า การเพาะปลูกทาํ นา พืชผกั สวนครัว ปลูกบวั เป็นตน้ แตป่ รากฏวา่ การพฒั นาแหล่งน้าํ สร้างเข่ือน สระน้าํ อา่ งเก็บน้าํ การบุกรุกท่ีสาธารณะป่ าทามของกลุ่มทุน และรัฐไดท้ าํ ลายระบบนิเวศป่ าบุง่ ป่ า ทามในภาคอีสานไปจนเหลือนอ้ ย 3 - 38
ไพเราะ สุจินพรหม ไดเ้ สนอภูมิปัญญาของชาวบา้ นในการใชป้ ระโยชนจ์ ากพรรณพืช สมุนไพรในป่ าทาม ในรูปแบบของการศึกษาพฤกษศาสตร์พ้ืนบา้ น ซ่ึงพบวา่ มีสมุนไพรในป่ าทาม จาํ นวนมาก แตก่ ่อนหนา้ น้นั สนน่ั ชูสกุล และคณะ (2540) ไดส้ าํ รวจพชื สมุนไพรในป่ าทามพบวา่ มี สรรพคุณทางยารักษาโรค 57 ชนิด มีท้งั ยาเด่ียวและยาผสมของสูตรยาที่ซบั ซอ้ น ซ่ึงรวบรวมได้ 69 สูตร จากหมอสมุนไพรที่อาศยั อยใู่ นพ้ืนท่ี สถานการณ์ของพชื สมุนไพรและหมอสมุนไพรกาํ ลงั ภาวะคุกคาม จากการท่ีชาวบา้ นนิยมรักษาดว้ ยแพทยส์ มยั ใหม่ หมอพ้ืนบา้ นตายจากไปโดยไม่ ถ่ายทอดความรู้ใหแ้ ก่คนรุ่นหลงั และมีโครงการพฒั นาสร้างเข่ือน การบุกเบิกท่ีทาํ กิน ท่ีทาํ ให้ สมุนไพรลดลงไปจาํ นวนมาก สดใส สร่างโศรกไดศ้ ึกษาวา่ ป่ าทามเหมาะสมสาํ หรับการเล้ียงววั ควายเน่ืองจากมีพ้ืนท่ี กวา้ งขวาง มีแหล่งน้าํ ธรรมชาติท่ีมีน้าํ ตลอดปี เช่น กุด หนอง หว้ ย มีพรรณพืชหลากหลายชนิด สาํ หรับเป็นอาหารและสมุนไพรของสัตว์ การเล้ียงววั ควายเป็นหลกั ทรัพยห์ รือเงินออมของชุมชน ไวใ้ ชใ้ นยามฉุกเฉิน เป็ นตวั ช้ีวดั ฐานะทางเศรษฐกิจ แตเ่ ม่ือมีการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดลอ้ มในป่ า ทามทาํ ใหช้ าวบา้ นยกเลิกการเล้ียงววั ควาย กล่าวคือช่วงน้าํ ท่วมใหญซ่ ่ึงเป็ นน้าํ ท่วมตามธรรมชาติ ในปี พ.ศ.2521 2532 และ 2543 และท่วมเน่ืองจากการกกั เก็บน้าํ ของเข่ือนราษีไศลในปี 2536 นอกจากน้ีพ้นื ที่ป่ าทามยงั เป็นแหล่งประมงพ้ืนบา้ นที่สาํ คญั ต่อการสร้างรายไดใ้ หก้ บั ชาวประมงพ้นื บา้ น งานศึกษาของประสิทธ์ิ ไชยชมพู ไดเ้ สนอใหเ้ ห็นการพฒั นาเครื่องมือประมง พ้นื บา้ นท่ีสอดคลอ้ งกบั สภาพของสตั วน์ ้าํ ในระบบนิเวศป่ าบุง่ ป่ าทาม เช่น ป่ าอีไทจะวางไข่บริเวณ มีแหน ส่วนปลาคา้ วมกั วางไข่บริเวณป่ าแฝก เป็นตน้ มีเครื่องมือจบั ปลาอยา่ งนอ้ ย 31 ประเภท มี นอกจากน้ีป่ าบุ่งป่ าทามยงั สร้างรายไดท้ างเศรษฐกิจและการใช้ วธิ ีการจบั ปลาท่ีหลากหลาย ประโยชนท์ ่ีไดผ้ ลผลิตตามมา เช่นการป้ันหมอ้ จากดินทาม (ศึกษาโดย สดใส สร่างโศก) การตม้ เกลือในป่ าทาม (สดใส สร่างโศก และสนนั่ ชูสกลุ ) การทาํ เส่ือจากตน้ กกและตน้ ผือที่เกบ็ เกี่ยวได้ จากป่ าทาม (ปราณี มคั นนั ท)์ หรือแมแ้ ต่การทาํ นาํ ในพ้ืนท่ีป่ าทามกเ็ ป็นระบบนิเวศการเกษตรใน พ้นื ที่ป่ าที่น้าํ ท่วมถึง ผลการศึกษาของไพรินทร์ เสาะสาย พบวา่ พืชที่ทนทานต่อการแช่ขงั น้าํ และมี โอกาสพฒั นาเป็นพชื เศรษฐกิจสาํ คญั ในอนาคตมี 16 ชนิด ซ่ึงมีความหลากหลายของชนิดพนั ธุ์ท้งั ดา้ นอาหาร สมุนไพร เช้ือเพลิง เช่น มะแซว ผลใชป้ ระโยชน์ทางดา้ นอาหาร รากเป็ นสมุนไพรแก้ บิด เป็นยาเรียกน้าํ นมอยไู่ ฟ สาํ หรับหญิงท่ีคลอดบุตร ลาํ ตน้ สามารถใชท้ าํ เช้ือเพลิงได้ และตน้ มะ แซวยงั ช่วยยดึ ขอบตลิ่ง บริเวณร่องน้าํ ริมกุด หนอง ไม่ใหพ้ งั ทลายเป็นตน้ 2.3) การจัดการความหลากหลายทางชีวภาพในพนื้ ทป่ี ่ าชุมชน การศึกษาแบบพฤกษศาสตร์พ้ืนบา้ นในป่ าชุมชนของภาคอีสาน ไดแ้ สดงใหเ้ ห็นถึง ความอุดมสมบรู ณ์ภายหลงั จากการจดั การพ้ืนที่ป่ าชุมชน เช่น กรณีศึกษาแมลงกินไดก้ บั การจดั การ ป่ าชุมชนบา้ นสร้างถ่อนอก ตาํ บลสร้างถ่อนอ้ ย อาํ เภอหวั ตะพาน จงั หวดั อาํ นาจเจริญ ซ่ึงพบวา่ มี 3 - 39
แมลงกินไดใ้ นพ้ืนที่ป่ าดงใหญจ่ าํ นวน 46 ชนิด 18 วงศ์ 7 อนั ดบั ท้งั ในป่ าเตง็ รัง ป่ าดงดิบแลง้ และ ป่ าทาม ชาวบา้ นใชภ้ มู ิปัญญาด้งั เดิมและการประยกุ ตเ์ ทคโนโลยสี มยั ใหมม่ าใชใ้ นการเก็บและ จดั การอยา่ งหลากหลาย เช่น การส่องหาเวลากลางคืน การใชไ้ ฟล่อแมลง การรีใบไมแ้ ละลิดกิ่ง การใชเ้ หยอื่ ล่อเพอื่ หารัง การขดุ หา การเก็บจากก่ิงไมท้ ี่เป็นพืชอาหาร เป็นตน้ สาํ หรับการจดั การ เพ่อื ใชป้ ระโยชน์ ใชแ้ นวทางกวา้ งดว้ ยการเลือกฤดูกาลในการเกบ็ หาแมลงตามธรรมชาติ การ แบง่ ปันในเครือญาติและชุมชนก่อนขาย มีขอ้ ปฏิบตั ิและขอ้ หา้ มในการเก็บหาและใชป้ ระโยชน์ท่ี เกิดความจากความเชื่อท่ีมีต่อธรรมชาติ ขอ้ หา้ มที่ยดึ ปฏิบตั ิเรียกวา่ “คะลาํ ” เป็นกรอบสาํ คญั ใน การเก็บหาแมลง เช่น การเก็บแมงแคงจะตอ้ งไมโ่ ค่นตน้ ไม้ หรือไม่ลิดก่ิงจนหมดสิ้น ตอ้ งใหเ้ หลือ ก่ิงและใบไว้ การขดุ หากุดจี่เบา้ จะตอ้ งไม่เอาตวั อ่อนท่ีมีขนาดเล็ก การเก็บน้าํ ผ้งึ ตอ้ งใหเ้ หลือข้วั ของรังไวใ้ หม้ ากที่สุด เพ่ือใหผ้ ้งึ สร้างรังข้ึนมา เป็นตน้ นอกจากน้ีมีขอ้ คะลาํ และความเชื่อต่อ ธรรมชาติ ในสถานท่ีป่ าต่างๆ เช่น ป่ าดอนป่ ูตา ป่ าดอนแม่มา่ ย ป่ าในเขตวดั เป็นตน้ ชชั วาล ชูวา (2549) ศึกษาการจดั การป่ าครอบครัวในระบบแปลงสมุนไพร ที่บา้ นนาตงั ตาํ บลเขวาสินรินทร์ อาํ เภอเมือง จงั หวดั สุรินทร์ ในสถานการณ์ที่เกษตรกรทาํ การเกษตรปลูกพชื เชิงเดี่ยว และมีการบุกรุกทาํ ลายป่ า การเสริมสร้างขีดความสามารถใหแ้ ก่ชุมชน ในการ ปรับเปลี่ยนการผลิตจากระบบเกษตรเชิงเด่ียวพฒั นาไปสู่ระบบ “ป่ าครอบครัว” คือปลูกพืช หลากหลายชนิด ท้งั พืชผกั สวนครัว ไมผ้ ล ไมส้ มุนไพร ไมป้ ระดบั และไมใ้ ชส้ อยอ่ืนๆในพ้ืนที่ บริเวณขา้ งบา้ น หนา้ บา้ น และหลงั บา้ น หรือบริเวณพ้นื ท่ีหวั ไร่ปลายนา นาํ ไปสู่การจดั การ ทรัพยากรธรรมชาติอยา่ งยง่ั ยนื เกิดความมนั่ คงดา้ นอาหาร ยา และพฒั นาคุณภาพชีวติ ศูนย์ สมุนไพรตะบลั ไพรไดส้ ่งเสริมแปลงสมุนไพรของสมาชิก โดยมีข้นั ตอนการคดั เลือกพนั ธุ์ และการ ปลูก การเก็บเก่ียวซ่ึงแตกตา่ งกนั ไปตามระยะเวลาท่ีกาํ หนดมาตรฐานการเกบ็ วตั ถุดิบสมุนไพร เพอื่ ใหไ้ ดป้ ระสิทธิภาพในการผลิตสมุนไพรรักษาอาการเจบ็ ป่ วย มีขอ้ ตกลงร่วมและการใช้ ประโยชน์ของสมาชิก ในการปลูกสมุนไพรหา้ มใชป้ ๋ ุยเคมีและสารเคมีโดยเดด็ ขาด จากการปลูก จาก 5 รายเพิ่มเป็ น 60 ราย 3) ภาคใต้ ลกั ษณะของระบบนิเวศในภาคใตบ้ ริเวณเทือกเขาตะนาวศรี เทือกเขาภูเก็ต เทือกเขา นครศรีธรรมราช เทือกขาบรรทดั และเทือกเขาสันกาลาคีรี เป็ นป่ าดิบช้ืน ชาวบา้ นไดม้ ีการต้งั ช่ือ ป่ าแต่ละประเภทตามลกั ษณะของภมู ิประเทศ และชนิดพนั ธุ์ไมท้ ี่มีอยอู่ ยา่ งหนาแน่น หรือเป็นถิ่นที่ อยขู่ องสัตวป์ ่ า เช่น บริเวณเทือกเขาบรรทดั จ.ตรัง มีป่ าโคกข้ีเส้ียน ป่ าควนลูกลม ป่ าควนประ ป่ า ภูเขาหินปู บริเวณป่ าเทือกเขาบรรทดั จงั หวดั นครศรีธรรมราช มีป่ าหลงั อา้ ยหมี ป่ าควนปลกั หมู ป่ า ควนหยาโท หรือ บริเวณเทือกเขาสันกาลาคีรี มี ป่ ากราด ป่ าผาดาํ จ.สงขลา ป่ าบูโด สุไหวปาดี ใน เขตจงั หวดั นราธิวาส บริเวณพ้นื ท่ีราบลุ่มต่าํ ตามปากแมน่ ้าํ และชายทะเลที่เป็นโคลน เป็นป่ าพรุ 3 - 40
เขตร้อน หรือป่ าบึงน้าํ จืด ซ่ึงเป็นป่ าพรุที่น้าํ ทว่ มถึง เช่น พรุบึงน้าํ ใส พรุควนเคร็ง พรุลานควาย และป่ าชายหาดที่ข้ึนอยตู่ ามชายฝ่ังทะเลคลุมพ้ืนดินหรือพ้ืนทรายบริเวณท่ีน้าํ ทะเลท่วมไมถ่ ึง แต่ ไดร้ ับอิทธิพลจากไอน้าํ ทะเล และลมทะเล พบป่ าชายหาดกรจายท้งั ชายฝ่ังทะเลอา่ วไทย มีการ ต้งั ถ่ินฐานของชนเผา่ ตา่ งๆ เช่น ซาไก ชาวเล และกลุ่มคนไทยในที่ลุ่ม ท้งั กลุ่มมุสลิม กลุ่มไทยเช้ือ สายจีน งานศึกษาท่ีเกี่ยวกบั ระบบนิเวศป่ าบก สินธุ แกว้ สินธุ์ (2549) ไดร้ วบรวมพฒั นาการของ งานศึกษาท่ีเก่ียวกบั ภูมิปัญญาของชุมชนในการจดั การป่ าชุมชน และการใชป้ ระโยชนจ์ ากป่ าบก อยา่ งยง่ั ยนื ต้งั แต่ปี พ.ศ.2531 เริ่มตน้ ดว้ ยงานศึกษา “ววิ ฒั นาการของการบุกเบิกที่ทาํ กินในเขตป่ า” โดย ดร. เจิมศกั ด์ิ ป่ิ นทอง และคณะ( 2535) และมี ฉววี รรณ ประจวบเหมาะ เป็นผศู้ ึกษากรณี ชุมชนในภาคใต้ น่าสนใจวา่ เป็นงานชิ้นแรกที่เสนอชุดความรู้ จากมุมมองของชุมชนท่ีอยใู่ นเขต ป่ า เพ่อื ตอบโตช้ ุดความรู้หลกั ท่ีเคยผกู ขาดมาตลอด และงานศึกษาชุดน้ีจดั วา่ เป็นงานศึกษาชิ้น แรกๆ ที่มีนกั วชิ าการหลากหลายสาขาทาํ งานร่วมกนั ทาํ การศึกษาลกั ษณะสหวทิ ยาการ นิธิ ฤทธิพรพนั ธุ์ นกั วชิ าการจากมหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์ และคณะ ทาํ การศึกษาดา้ น รูปแบบการจดั การป่ าชุมชนในพ้ืนท่ีภาคใต้ ในโครงการวจิ ยั “ป่ าชุมชนภาคใต”้ ( 2536) ซ่ึง ประเดน็ คนอยกู่ บั ป่ า เป็ นประเดน็ ถกเถียงกนั ในสังคมขณะน้นั เป็นงานศึกษาประสบการณ์การ จดั การป่ าของชุมชน และเป็ นงานที่ใชก้ ระบวนการศึกษาวจิ ยั เชิงปฏิบตั ิการแบบมีส่วนร่วม ที่มี ส่วนร่วมของชุมชนในการศึกษา ในปี พ.ศ. 2538 มีการสาํ รวจและการศึกษาสภาพป่ าชุมชน บา้ นนายนอมและยวนบนด่าน บา้ นไร่เหนือ ต.บาโหย อ.สะบา้ ยอ้ ย จ.สงขลา และป่ าชุมชน “ลูโบะ๊ ฆง” บา้ นโคกตก ต.ทุ่งพอ อ. สะบา้ ยอ้ ย จ.สงขลา ของ กลุ่มเยาวชนอนุรักษส์ ิ่งแวดลอ้ ม จ.สงขลา ศูนยส์ ่งเสริมเยาวชนสมิ หลา ซ่ึงนบั เป็นการสร้างกระบวนการเรียนรู้ใหเ้ ยาวชนสนใจองคค์ วามรู้ชุมชน และสนบั สนุน องคก์ รชุมชนในการจดั การป่ าชุมชน นอกจากงานศึกษาขององคก์ รพฒั นาเอกชน และกลุ่มเยาวชนแลว้ หน่วยงานราชการเองก็ มีการศึกษา สาํ รวจป่ าชุมชน โดยกรมป่ าไม้ ในแตล่ ะจงั หวดั ดงั เช่น รายงานผลการสาํ รวจป่ าชุมชน ตามแผนการดาํ เนินงานโครงการพฒั นาป่ าชุมชนของสาํ นกั งานป่ าไมจ้ งั หวดั นครศรีธรรมราช ต้งั แต่ ปี 2537 – 2539 และนกั ศึกษาในมหาวทิ ยาลยั เช่น สุนทร สวา่ งมาลี (2539) “การจดั การ ป่ าชุมชนในนิคมสร้างตนเองพฒั นาภาคใต้ จงั หวดั สตูล” โสภณ คุณมี (2541) “การจดั การป่ าไม้ โดยชุมชนในเขตกนั ชน กรณีศึกษาหมูบ่ า้ นในเขตรักษาพนั ธุ์สตั วป์ ่ าเขาบรรทดั อาํ เภอรัตภูมิ จงั หวดั สงขลา” วจิ ารณ์ ธานีรัตน์( 2542 ) “ระบบการถือครองและการใชท้ รัพยากรของชุมชนใน เขตป่ า อ.ควนกาหลง จ.สตูล” และ ขจรยทุ ธ อจั จิกลุ (2543) “การเปล่ียนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และการจดั การป่ าชุมชนในบา้ นไร่เหนือ ตาํ บลบาโหย อาํ เภอสะบา้ ยอ้ ย จงั หวดั สงขลา” เป็ นตน้ งานศึกษาจากการสมั มนาเร่ือง “ป่ าปักษใ์ ต้ : ปัญหาและทางรอด” ในวลยั ลกั ษณ์ 3 - 41
ปริทศั น์คร้ังที่ 2 (2538) ไดเ้ สนอสถานการณ์ป่ าไมใ้ นภาคใต้ และมีความพยายามที่จะทาํ ป่ าชุมชน ในพ้นื ที่ป่ าชายเลน ป่ าพรุ ป่ าตน้ น้าํ ที่ราบสูง และป่ าเขาหินปนู ส่ิงท่ีเกี่ยวเนื่องกบั ประเด็นการจดั การป่ าชุมชน คือประเด็นความหลากหลายทางชีวภาพ ท่ี สืบเน่ืองมาจากการประชุม สิ่งแวดลอ้ มโลก ในปี 2535 นิธิ ฤทธิพรพนั ธุ์ และ กาํ ราบ พานทอง นกั พฒั นาเอกชน ในเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก ภาคใต้ ไดส้ าํ รวจ ศึกษา พนั ธุกรรมทอ้ งถ่ิน ในหลายพ้ืนที่ และในหลายระบบนิเวศ เช่นระบบนิเวศนา ระบบนิเวศป่ า ระบบนิเวศพรุ ระบบ นิเวศ ป่ าชายเลน มีการจดั เวทีสัมมนา เรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ ในปี 2537 ซ่ึงการผลิต หนงั สือ ผกั พ้ืนบา้ นภาคใต้ โดยสมาคมเทคโนโลยที ี่เหมาะสม ร่วมกบั เครือขา่ ยเกษตรกรรม ทางเลือก ภาคใต้ และสมาคมหยาดฝน ซ่ึงไดร้ ับการสนบั สนุนทุนจาก กองทุนสิ่งแวดลอ้ มโลก และ สถาบนั แพทยแ์ ผนไทย และมีการพิมพห์ นงั สือเรื่อง ผกั พ้ืนบา้ นภาคใต้ ของ โครงการพฒั นา ตาํ รา สถาบนั แพทยแ์ ผนไทย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ใน พ.ศ. 2542 ในปลายปี 2540 มีการจดั ประชุม ประมวล ประสบการณ์ การทาํ วจิ ยั ร่วมกบั ชุมชน และมี การต้งั เป็ น “กองประสานงานวจิ ยั เพ่ือทอ้ งถิ่น เครือข่ายลุ่มน้าํ ภาคใต”้ และมีการดาํ เนินงาน สนบั สนุน ส่งเสริมใหช้ ุมชน ดาํ เนินการศึกษาโดยชุมชน ท่ีมีนกั พฒั นาเอกชน นกั วชิ าการ สนบั สนุน โดยไดร้ ับงบประมาณสนบั สนุนจาก สาํ นกั งานกองทุนสนบั สนุนการวจิ ยั ในระยะน้ีจึง มีงานศึกษาของชุมชนเกิดข้ึนหลายชิ้น ดงั เช่น “การใชป้ ระโยชนจ์ ากป่ ากาลอ ต.กาลอ อ.รามนั จ. นราธิวาส” (วนั เพญ็ เพชรคง อาแซ อิบูหะมะ และคณะ ) “โครงการสถานภาพและองคค์ วามรู้ และภมู ิปัญญาดา้ นการใชป้ ระโยชนพ์ นั ธุ์พืชท่ีเป็ นอาหารและยาสมุนไพร ในพ้นื ที่ลุ่มน้าํ หลงั สวน โดยองคก์ รชุมชน” (กลุ่มออมทรัพยก์ ลางลุ่มน้าํ หลงั สวน) “การศึกษาระบบวนเกษตรในเขตป่ า กรณีวงั ประจนั (2541)” “การใชป้ ระโยชน์จากป่ าพรุ บา้ นบือแนบูเกะ๊ ” “การมีส่วนร่วมของ ชุมชนในการฟ้ื นฟแู ละอนุรักษพ์ รุลานควาย” การท่องเท่ียวเชิงระบบนิเวศ ในพ้นื ท่ีลุ่มน้าํ คลองยนั เป็ นตน้ ในปี พ.ศ. 2542 มีการสาํ รวจความหลากหลายทางทรัพยากรธรรมชาติลุ่มน้าํ สายบุรี ของ คณะวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์ วทิ ยาเขตปัตตานี และต่อมามี การศึกษาในประเด็นการใชผ้ ลผลิตจากป่ าที่ไม่ใชเ้ น้ือไม้ (Non timber produce) ที่ เครือข่ายป่ า ชุมชนภาคใต้ ร่วมกบั ศนู ยฝ์ ึ กอบรมวนศาสตร์ชุมชนแห่งภมู ิภาคเอเชีย แปซิฟิ ค (RECOFT) ศึกษาในประเด็นการใชป้ ระโยชน์จากป่ าอยา่ งยง่ั ยนื เนน้ การศึกษาภูมิปัญญาในใชป้ ระโยชน์จาก พรรณพชื ของชุมชน เพื่อการทาํ แผนการจดั การของชุมชน เช่น องคค์ วามรู้ทอ้ งถิ่นในการเกบ็ เกี่ยวผลผลิตจากป่ าอยา่ งยง่ั ยนื กรณี ศึกษาการเกบ็ น้าํ มนั ยาง และผลอิเหนา โดย เสรี จุย้ พริก และ อรุณ ( 2540) กรณีศึกษาการใชป้ ระโยชน์จากป่ าในเขตอุทยานแห่งชาติทะเลบนั ตาํ บลวงั ประจนั อาํ เภอควนโดน จงั หวดั สตลู (2540) และงานศึกษาของ ธรรมนูญ เตม็ ไชย นพวรรณ เสวตานนท์ และ ไพโรจน์ นคั รา “องคค์ วามรู้ในการใชป้ ระโยชน์พรรณพืชบริเวณชุมชนป่ ากราด อาํ เภอนา 3 - 42
ทวี จงั หวดั สงขลา” งานศึกษาภมู ิปัญญาชาวบา้ นภาคใต้ : ศึกษากรณีสวนสมรม โดยอร่ามรัศม์ิ ดว้ งชนะ (2542) นอกจากน้ียงั มีการศึกษาของนกั พฒั นาเอกชนในพ้ืนที่ ท่ีทาํ การศึกษาประวตั ิศาสตร์ของ ชุมชน การจดั การทรัพยากรธรรมชาติของชุมชนในเขตป่ า อาทิ งานขอ้ มลู พ้ืนฐานของโครงการ จดั การทรัพยากรโดยองคก์ รชุมชนในพ้ืนท่ีลุ่มน้าํ ภาคใต้ รายงานขอ้ มลู ชุมชนในเครือข่ายป่ าชุมชน ภาคใต้ เป็นตน้ ในระยะน้ี องคก์ รพฒั นาเอกชนในภาคใต้ ใหค้ วามสนใจเก่ียวกบั การสร้าง กระบวนเรียนรู้กบั ชุมชน โดยใชเ้ ครื่องมือการวจิ ยั เชิงปฏิบตั ิการแบบมีส่วนร่วม ( PAR : Participation Action Research ) ในช่วงปี 2542 เครือข่ายป่ าชุมชนภาคใต้ ไดร้ ่วมกบั เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกภาคใต้ ไดด้ าํ เนินการศึกษา “ระบบเกษตรกรรมทยี่ งั่ ยนื ในเขตป่ า” (สุรัตน์ แซ่จุ่ง สินธุ แกว้ สินธุ์ และคณะ, 2546) และการบริหารจัดการองค์กรชุมชน (ไพโรจน์ ชูวงศกรณ์ และคณะ, 2548) ซ่ึงก่อนหนา้ น้ีมี การเก็บขอ้ มูลระบบบริหารจดั การองคก์ ร ในพ้ืนที่ป้ าหมาย เพือ่ จดั ทาํ เป็นฐานขอ้ มลู ของโครงการ จดั การทรัพยากรโดยองคก์ รชุมชนในพ้ืนท่ีลุ่มน้าํ ภาคใต้ และมีการศึกษาเพิ่มเติมในระยะหลงั ใน งานฐานขอ้ มูลของเครือข่ายป่ าชุมชนภาคใต้ โดยการสนบั สนุนจาก โครงการนาํ ร่องเพ่อื การ ส่งเสริมเกษตรกรรมยงั่ ยนื ของเกษตรกรรายยอ่ ย ใน ปี 2543 นฤมล หิญชีระนนั น์ ไดศ้ ึกษาประมวลสถานภาพการศึกษา “ชุมชนกบั การ จัดการทรัพยากรป่ าไม้ในภาคใต้” ในชุด “พลวตั ของชุมชนกบั การจดั การทรัพยากร สถานการณ์ใน ประเทศไทย” อานนั ท์ กาณจนพนั ธุ์ (บก.) พบวา่ งานศึกษาท่ีเก่ียวขอ้ งกบั ชุมชนกบั การจดั การ ทรัพยากรป่ าไมใ้ นภาคใต้ ในมิติทางสงั คมศาสตร์ ยงั มีนอ้ ย ในปี 2545 เครือข่ายป่ าชุมชนภาคใต้ เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกภาคใต้ และเครือข่าย ลุ่มน้าํ ภาคใต้ ไดจ้ ดั สัมมนา “โหมฺควน โหมฺนา หาอยู่หากนิ หามาค้าขาย หามาใช้หนี.้ ..” เพอื่ เป็น การประมวลองคค์ วามรู้ดา้ นการจดั การป่ า และเกษตรกรรมยงั่ ยนื และประสบการณ์การดาํ เนินงาน ของเครือข่ายป่ าชุมชนภาคใตแ้ ละเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกภาคใต้ ในวนั ที่ 6-7 มิถุนายน 2545 ณ ศนู ยส์ ่งเสริมสุขภาพ เขต 11 จงั หวดั นครศรีธรรมราช เป็นการนาํ เสนอชุดองคก์ รความรู้ ใน 2 เรื่องหลกั อนั ไดแ้ ก่ องคค์ วามรู้ที่เก่ียวขอ้ งกบั การจดั การป่ าและระบบเกษตรกรรมยงั่ ยนื และ องคก์ รความรู้เก่ียวกบั พฒั นาการ การเคลื่อนตวั ของเครือขา่ ยป่ าชุมชนภาคใต้ และเครือขา่ ย เกษตรกรรมทางเลือกภาคใต้ รวมถึงสถานการณ์ในขณะน้นั ในปี 2546 มีการสมั มนา“ชาวบา้ นรู้และไดอ้ ะไรจากงานวจิ ยั ?” ที่จดั โดยมีเครือข่ายป่ า ชุมชนภาคใต้ เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกภาคใต้ กองประสานงานวจิ ยั เพ่ือทอ้ งถิ่น เครือข่ายลุ่ม น้าํ ภาคใต้ สถาบนั ศานติธรรม และโครงการนาํ ร่องเพ่ือพฒั นาเกษตรกรรายยอ่ ย ภาคใต้ ไดร้ ่วมกนั จดั เพื่อนาํ เสนองานศึกษาของชุมชน การถอดบทเรียน กระบวนการสร้างความรู้และองคค์ วามรู้ ของเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกภาคใต้ และเครือข่ายป่ าชุมชนภาคใต้ ต่อมาไดม้ ีการพฒั นาชุด 3 - 43
งานวจิ ยั โครงการสิทธิชุมชนศึกษา ระยะที่ 2 ภาคใต้ (กรณีเครือขา่ ยป่ าชุมชนภาคใต)้ เป็นลกั ษณะ การศึกษาท่ีร่วมไปกบั การปฏิบตั ิการของชุมชน เป้ าหมายเพอื่ พยายามถอดกระบวนทาํ งานดา้ นสิทธิ ของชุมชน และตอบคาํ ถามในระดบั นโยบาย ในประเดน็ เรื่องสิทธิชุมชน ท่ีมีพ้ืนที่ดาํ เนินการใน จงั หวดั สุราษฎร์ธานี ระยะเวลาระหวา่ งปี พ.ศ. 2546-2549 พฒั นาการของงานศึกษาในภาคใต้ดงั กล่าวสรุปให้เหน็ ถงึ ภูมิปัญญาของชุมชนในการ อนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากป่ าบกดังนี้ ภูมปิ ัญญาท้องถน่ิ ในการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ผลผลติ จากป่ า ไดแ้ ก่ การเกบ็ หาของป่ า การใชป้ ระโยชน์จากพนั ธุกรรมทอ้ งถิ่น และระบบผลิต ดงั เช่นที่ปรากฏในงาน การจบั ผ้งึ ของ ชาวบา้ น ตาํ บลตะโหมด อาํ เภอตะโหมด จงั หวดั พทั ลุง (คาํ นวณ นวลสนอง, 2541 ) สถานภาพ และองคค์ วามรู้และภูมิปัญญาดา้ นการใชป้ ระโยชนพ์ นั ธุ์พืช ที่เป็นอาหารและยาสมุนไพร ใน พ้นื ที่ลุ่มน้าํ หลงั สวน โดยองคก์ รชุมชน (กลุ่มออมทรัพยก์ ลางลุ่มน้าํ หลงั สวน มปป.) กรณีการ ใชป้ ระโยชนจ์ ากป่ าในเขตอุทยานแห่งชาติทะเลบนั ตาํ บลวงั ประจนั อาํ เภอควนโดน จงั หวดั สตูล(โครงการเสริมกระบวนการเรียนรู้ในการจดั การทรัพยากรป่ าไม้ จงั หวดั สตูล มปป.) “ความ หลากหลายทางชีวภาพ ในสวนสมรมชุมชนคีรีวง จ.นครศรีธรรมราช” (ฐิรวฒุ ิ เสนาคาํ 2544 ) การใชป้ ระโยชน์จากป่ าพรุบือแนบูเกะ๊ ต.ตะโล๊ะหะลอ อ.รามนั จ.ยะลา (วนั เพญ็ เพชรคง นาย มือลี เจะ๊ หลง และคณะ) องคค์ วามรู้ในการใชป้ ระโยชนพ์ รรณพืชบริเวณชุมชนป่ ากราด อาํ เภอ นาทวี จงั หวดั สงขลา (ธรรมนูญ เตม็ ไชย นพวรรณ เสวตานนท์ ไพโรจน์ นคั รา 2544) การ สาํ รวจพืชใหป้ ระโยชน์และพืชมีพิษบริเวณน้าํ ตกลานหม่อมจุย้ อาํ เภอตะโหมด จงั หวดั พทั ลุง (ปริญญนุช กลิ่นรัตน์ 2536 ) การใชป้ ระโยชน์ของพรรณพืชบริเวณป่ าโตะ๊ เทพ-ควนหินลบั มีด (ภมร แพง่ กลุ 2544) การใชป้ ระโยชนจ์ ากป่ ากาลอ ต.กาลอ อ.รามนั จ.ยะลา (วนั เพญ็ เพชรคง อาแซ อิบหู ะมะ และคณะ มปป.) ผกั พ้ืนบา้ นภาคใต้ (สมาคมเทคโนโลยที ่ีเหมาะสม 2536 ; สาํ นกั งานสาธารณะสุขมูลฐาน 2540) ภูมปิ ัญญาท้องถิน่ ทเี่ กย่ี วกบั ระบบการเกษตรในป่ า รูปแบบการผลิตที่พบในชุมชน คือ รูปแบบสวนดูซง หรือสวนสมรม รูปแบบสวนผลไมผ้ สมผสานด้งั เดิม รูปแบบสวนไม้ ผสมผสานสมยั ใหม่ รูปแบบป่ ายาง รูปแบบพืชร่วมยาง รูปแบบสวนยางพารา รูปแบบไมผ้ ล เชิงเดี่ยว รูปแบบไร่ (ขา้ วไร่) ที่คอน /ควน รูปแบบ นา / นาพรุ ในท่ีราบหุบเขา และการเล้ียง สัตว์ (สุรัตน์ แซ่จุง สินธุ แกว้ สินธุ์ และคณะ,2546 ) ระบบสวนสมรม เป็นระบบวนเกษตรในพ้ืนท่ีป่ าที่มีมานบั ร้อยปี มีการปลูกไมผ้ ล หลากหลายชนิด เช่น เงาะ มงั คุด ลองกอง ทุเรียน ผกั เหลียง หมาก สะตอ พริกไทย เป็นตน้ เป็ น พนั ธุ์ไมท้ อ้ งถิ่นที่เหมาะสมกบั ป่ าเขตร้อน ภมู ิอากาศชุ่มช้ืน พ้ืนที่ค่อนขา้ งลาดชนั ดินไมอ่ ุม้ น้าํ มาก 3 - 44
นกั ไมเ่ กิดภาวะน้าํ ท่วมขงั จนทาํ ใหร้ ากพชื เน่า มีช้นั เรือนยอดต่างระดบั ต้งั แต่ไมย้ นื ตน้ ท่ีมีความสูง มาก จนถึงพืชทรงพุม่ คลุมดิน เพ่ือป้ องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของหนา้ ดินเม่ือเกิดน้าํ ป่ าไหลหลาก ในหลายพ้นื ท่ีของภาคใตซ้ ่ึงไดม้ ีการปลูกยางพาราในพ้ืนที่ลาดชนั จากการส่งเสริมของภาครัฐ ทาํ ใหเ้ กิดปัญหาการตดั ไมท้ าํ ลายป่ า เพื่อบุกเบิกท่ีดินปลูกยางพารา ส่งผลตอ่ ดินชะลา้ งพงั ทลาย น้าํ ทว่ ม และการใชส้ ารเคมี ซ่ึงทาํ ใหช้ าวบา้ นสรุปบทเรียนจากปัญหาดงั กล่าว จึงไดฟ้ ้ื นฟรู ะบบสวน สมรมซ่ึงเป็นสวนโบราณท่ีมีอายตุ ้งั แต่ 50 ปี ข้ึนไป และมีการปลูกข้ึนใหม่แบบผสมผสานไมป้ ่ า และพืชหลายชนิด โดยนาํ พนั ธุ์ไมท้ ่ีปรับปรุงพนั ธุ์แลว้ มาปลูกในสวน อายขุ องสวนไม่เกิน 20 ปี มี การทาํ ป๋ ุยหมกั เพ่ือบาํ รุงดิน เป็นตน้ งานศึกษาของอจั ฉรา 2547 กรณีศึกษาพ้นื ที่ตาํ บลปากทรง อาํ เภอพะโตะ๊ จ.ชุมพร ระบบวนเกษตรในเขตป่ า ชุมชนวงั ประจาํ จ.สตลู (เครือขา่ ยเกษตรกรรม ทางเลือกและป่ าชุมชนภาคใต้ 2541) อร่ามรัศม์ิ ดว้ งชนะ (2542) ศึกษาภมู ิปัญญาชาวบา้ นภาคใต้ กรณีสวนสมรม พบวา่ ใน พ้นื ที่จงั หวดั สุราษฎร์ธานี มีสวนสมรมจาํ นวนไม่นอ้ ยกวา่ 150 แหล่ง ชาวบา้ นเรียกช่ือสวนสมรม ในชื่อตา่ งๆกนั เช่น เรียกวา่ สวนสมรม สวนสมพรม สวนสาํ พรํา สวนใหญ่ สวนพอ่ เฒ่า สวนเก่า สวนด้งั เดิม และสวนบุราณ ซ่ึงมีลกั ษณะพ้นื ที่กวา้ งมีสภาพสวนเป็นไปตามธรรมชาติ มีพชื พนั ธุ์ไม้ หลาหลาย และเป็นสวนที่ทาํ สืบต่อมายาวนาน นอกจากน้ียงั มีชื่ออ่ืนๆอีก สวนสมรมจาํ แนกเป็น 2 ลกั ษณะ คือระบบการจดั การตามธรรมชาติ และระบบการจดั การ แบบใหม่ ซ่ึงตอ้ งคาํ นึงถึงสภาพแวดลอ้ มและนิเวศวทิ ยา เป็นการจดั การที่ใชแ้ รงงานในครอบครัว ชุมชน อยา่ งมีประสิทธิภาพ ส่วนระบบการจดั การแบบใหม่ เนน้ ขายผลผลิตเพิม่ มากข้ึน โดยมีการ จา้ งแรรงงานจากภายนอก และการใชเ้ งินทุนมากข้ึน กระบวนการเรียนรู้พบวา่ เจา้ ของสวนสมรม เรียนรู้จากการถ่ายทอดสืบตอ่ เป็นมรดกมาจากบรรพบุรุษ ต่อมามีการใชเ้ ทคโนโลยที ่ีกา้ วหนา้ มาก ข้ึน นอกจากน้ีมีการสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ ท่ีมีลกั ษณะเครือขา่ ยตามธรรมชาติและเครือขา่ ยท่ี สร้างข้ึนใหม่ เพื่อแลกเปล่ียนเรียนรู้ ศึกษาดูงาน เป็ นตน้ ประโยชนข์ องสวนสมรม (อา้ งในอร่ามรัศม์ิ ดว้ งชนะ 2542) กลิ่น คงเหมือนเพชร (2540 : 69) สวนสมรมเป็นสวนท่ีใหป้ ระโยชน์นานาประการ เป็นสวนป่ าท่ีมีไมใ้ ชส้ อย เป็นสวนผลไม้ สวนสมุนไพร และสวนรวมพนั ธุ์พืชชนิดตา่ งๆ เป็ นสวนที่เอ้ืออาํ นวยใหพ้ วกนกและสตั วบ์ างชนิด อาศยั อยไู่ ด้ รวมท้งั สามารถเกบ็ เกี่ยวผลประโยชน์ไดท้ ุกฤดูกาล เพราะพืชแตล่ ะชนิดจะผลดั กนั ให้ ดอกออกผลแตกตา่ งออกไป ภูมปิ ัญญาทเ่ี กย่ี วกบั การใช้ประโยชน์จากไม้ เช่น ในงานเขียนของ ทศั นีย์ อนมาน ลีลา วฒุ ิ ไกรบณั ฑิต บก. (2542 ) ไดก้ ล่าวถึง วฒั นธรรมและวถิ ีชีวติ คนไทยผกู พนั กบั ป่ าและตน้ ไม้ มี ความคิดเกี่ยวกบั ป่ าและตน้ น้าํ วา่ เป็นสิ่งศกั ด์ิสิทธ์ิ สาํ หรับวถิ ีชีวติ คนไทยเก่ียวขอ้ งกบั ไมว้ งศย์ าง ไม่วา่ เป็นเน้ือไม้ เช่น ยางนา ใชท้ าํ บา้ นเรือนที่อยอู่ าศยั เรือไมต้ ะเคียน ทาํ บา้ นเรือนท่ีอยอู่ าศยั 3 - 45
ยางไม้ เช่นน้าํ มนั ยาง ใชท้ าบา้ น ทาเรือ และเคร่ืองเรือน ผสมชนั ใชใ้ ชอ้ ุดรอยต่อเรือ ยาเรือ ใชย้ า ภาชนะเกบ็ กกั น้าํ ผสมกบั เปลือกเสมด็ ห่อใบจูด หรือกาบหมาก ทาํ ไต้ และ ใบไม้ เช่นใบตองตึง หรือใบพลวง ใช้ ห่ออาหาร มุงหลงั คา กนั ฝา และทาํ “คบ” ภูมปิ ัญญาท้องถน่ิ ในการใช้ประโยชน์จากพรรณพชื ในป่ า จากรายงานการประชุมเชิง ปฏิบตั ิการพฤกษศาสตร์พ้ืนบา้ น และการใชท้ รัพยากรพรรณพชื อยา่ งยง่ั ยนื ในภาคใตต้ อนล่าง (2541) จดั โดยศนู ยฝ์ ึกอบรมวนศาสตร์ชุมชนแห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิ ก และมหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ พบวา่ กลุ่มผรู้ ่วมพฒั นาชาติไทยท่ีหมู่บา้ นปิ ยมิตร ตาํ บลคลองกวาง อาํ เภอนาทวี จงั หวดั สงขลา มีสมุนไพรหลายชนิดที่สมาชิกพรรคคอมมิวนิสตม์ ลายาเคยใชย้ ามเจบ็ ป่ วย ในขณะ ที่ยงั อยใู่ นป่ า และใชม้ าจนถึงปัจจุบนั เช่น เมื่อถูกงูกดั ก็ใชข้ ิงดาํ ซ่ึงเป็นพชื ท่ีแทบทุกบา้ นจะปลูกไว้ ในบริเวณบา้ นของตนนาํ มาบดใส่ลงในเหลา้ ขาว หรือน้าํ มะนาวดื่มน้าํ ส่วนกากก็นาํ มาโปะที่แผลที่ โดนงูกจ็ ะหาย หรือถา้ ไม่มีขิงดาํ ก็ใชข้ มิ้นชนั (ขมิน้ ยา่ น) โยนาํ รากมาบดใหล้ ะเอียดผสมกบั น้าํ ซาว ขา้ วดื่มน้าํ สาํ หรับกลุ่มซาไก ที่นิคมธารโต ตาํ บลบา้ นแหร อาํ เภอธารโต จงั หวดั ยะลา จะมีคนเขา้ มาติดต่อใหซ้ าไกออกไปขายสมุนไพรทุกปี บางอยา่ งเป็นสมุนไพรหายากกจ็ ะสามารถขายไดช้ ุด ละหลายพนั บาท มีตวั อยา่ งเช่น เหลก็ ควกั ไข่ ใชเ้ หล็กเป็ นยาบาํ รุงกาํ ลงั จะข้ึนเฉพาะในป่ าเทา่ น้นั สําหรับระบบนิเวศ ป่ าพรุ เป็ นระบบนิเวศลกั ษณะพ้ืนท่ีชุ่มน้าํ แบบหน่ึง เป็นประเภทป่ าไม่ ผลดั ใบหรือป่ าดงดิบ ซ่ึงเกิดจากอิทธิพลของสภาพพ้ืนดินท่ีมีน้าํ ขงั ติดตอ่ กนั เป็นเวลานาน มีชนิด พรรณพืชข้ึนอยหู่ นาแน่นบนพ้ืนที่น้าํ ท่วมขงั เช่น เสมด็ หวายน้าํ ปรง จิกนม และพืชน้าํ อ่ืนๆ ป่ า พรุมีความสาํ คญั ของการเป็ นพ้ืนที่รองรับน้าํ ช่วยป้ องกนั อุทกภยั และเป็นแหล่งเพาะพนั ธุ์ปลาน้าํ จืด เป็ นถิ่นที่อยขู่ องสตั วบ์ ก สตั วส์ ะเทินน้าํ สะเทินบก และนกหลายชนิด ป่ าพรุในภาคใตม้ ีอยู่ ทว่ั ไป เช่น ป่ าพรุผนื ใหญ่ที่รู้จกั กนั คือ พรุบาเจาะ จ.ยะลา พรุโตะ๊ แดง จ.นราธิวาส พรุคนั ธุลี จ.สุ ราษฎร์ธานี และพรุควนเคร็ง ครอบคลุม 3 จงั หวดั คือ นครศรีธรรมราช พทั ลุง และสงขลา เป็นตน้ งานศึกษาของสมเกียรติ ประชุมรัตน์ และนิรมล ยวุ นบุณย์ (2544) เป็นการศึกษาเก่ียวกบั ศกั ยภาพของเกษตรกรและชุมชนในการอนุรักษ์ พฒั นา ความหลากหลายทางชีวภาพของพ้ืนที่ชุ่ม น้าํ ผลงานศึกษาพบวา่ พรุคนั ธุลี มีจาํ นวนเน้ือที่ 875 ไร่ เป็นพ้นื ที่ต่อเนื่องกบั ป่ าดิบราบลุ่มต่าํ มีไม้ ขนาดใหญ่ข้ึนปกคลุมหนาแน่น โดยเฉพาะไมต้ ะเคียน ยาง หลุมพอ พะยอม ส้มกวาง เป็นตน้ มี สตั วป์ ่ าชุกชุม มีปลาอยา่ งนอ้ ย 53 ชนิด และหอยโข่ง มีหญา้ และพชื น้าํ ข้ึนอยา่ งหนาแน่น บริเวณลาํ คลองมีวชั พชื และพชื น้าํ จาํ พวก เบือ และสาหร่ายหางกระรอกแดง พรุคนั ธุลีเป็นป่ าพรุช้นั รองท่ีกาํ ลงั ฟ้ื นตวั จากการตดั ไม้ บางส่วนถูกแทนที่โดยป่ าที่ราบต่าํ พ้ืนท่ีพรุน้นั มีเพยี ง 300 ไร่ นอกน้นั ถูกลอ้ มรอบดว้ ยป่ าพรุเสื่อมโทรม มีการบุกรุกพ้ืนท่ีพรุทาํ สวน ยางพารา สวนปาลม์ น้าํ มนั และสวนผลไม้ บางส่วนเป็นทอ้ งนา และพรุเสมด็ รอบพรุถูกขดุ เป็นคู 3 - 46
ส่งน้าํ และมีคนั ถนนทางทิศเหนือของพรุตดั ผา่ น ชาวบา้ นไดใ้ ชป้ ระโยชน์จากพรุดว้ ยการใชน้ ้าํ พรุ ทาํ การเกษตร และสวนผลไม้ การล่าสัตวแ์ ละเก็บของป่ า กลุ่มอนุรักษป์ ่ าพรุคนั ธุลี ไดร้ วมตวั ขบั ไล่ นายทุนที่กวา้ นซ้ือท่ีดินรอบพรุคนั ธุลีออกจาพ้ืนท่ี ช่วยป้ องกนั ไฟไหมป้ ่ า โดยการขุดคูระบายน้าํ ทาํ แนวเขตป่ าพรุใหช้ ดั เจน ต้งั แตป่ ี 2533 – 2535 อยา่ งไรก็ตามในปัจจุบนั 2550 สถานการณ์ของพรุ คนั ธุลีกไ็ ดถ้ ูกบุกรุกจากคนในการปลูกปาลม์ อยา่ งตอ่ เน่ือง งานศึกษาของอายิ อาแวและคณะ (2547) กรณีศึกษาการมีส่วนร่วมของชุมชนในการฟ้ื นฟู และอนุรักษพ์ รุลานควาย นาํ เสนอใหเ้ ห็นวา่ พรุลานควายหรือพรุบึงโตะ๊ พราน เป็นพ้นื ที่ชุ่มน้าํ ท่ี สาํ คญั ของลุ่มน้าํ สายบุรี ท่ีพ้นื ที่ท้งั หมด 15,000 ไร่ แบ่งเป็นพ้ืนที่น้าํ ขงั ประมาณ 4,000 ไร่ พ้ืนท่ีนา ประมาณ 5,000 ไร่ ส่วนท่ีเหลืออีก 6,000 ไร่ เป็นพ้ืนท่ีใชส้ อยอ่ืนๆ ชุมชน 14 หมูบ่ า้ นในเขตอาํ เภอ รามนั จ.ยะลา และอ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี ไดใ้ ชป้ ระโยชนจ์ ากพรุลานควาย สาเหตุที่เรียกวา่ พรุ ลานควาย เพราะมีการเล้ียงควายบริเวณลานกวา้ งรอบพรุ หมูบ่ า้ นละประมาณ 1,000 – 2,000 ตวั ผล การสาํ รวจพ้ืนท่ีพรุลานควายพบวา่ ชุมชนมีวฒั นธรรมและภูมิปัญญาในการใชป้ ระโยชน์จากพรุ อยา่ งยง่ั ยนื เช่น คนเล้ียงควายรู้วา่ พ้นื ที่บริเวณไหนมีหญา้ ดี เวลาควายคลอดลูกจะไปคลอดท่ีไหน หาปลากดท่ีไหน เม่ือไร เวลาน้าํ ทว่ มจะมีพ้ืนท่ีพกั ควายและสัตวเ์ ล้ียงตน้ พ้ืนที่พรุช่วยสร้างความ หลากหลายทางชีวภาพ เช่น ข้ีควายทาํ ใหเ้ กิดแมลงนานาชนิด รอยเทา้ ความเป็นแหล่งอนุบาลลูก ปลาหมอ และเป็นท่ีหลบภยั ของนกแอ่นทุ่ง และช่วยเพิม่ พ้ืนที่ผวิ จาํ เพาะของพ้นื ท่ีทาํ ใหพ้ ้ืนที่เป็น หลุมเป็นแอ่ง กกั ความช้ืนไวไ้ ดน้ าน และคน้ พบวา่ ระดบั น้าํ ท่วมจะเพิ่มข้ึนทุกปี เน่ืองจากพรุต้ืน เขินทุกปี มีการบุกรุกทาํ การเกษตรในพ้ืนท่ีพรุทุกปี ขอ้ เสนอของชุมชนตอ่ การจดั การพ้ืนท่ีพรุลาน ควายคือการขดุ ลอกพรุเอาวชั พชื และสิ่งที่เป็นเศษขยะออกจากพรุ และนาํ ไปแปรรูปเป็ นป๋ ุยชีวภาพ และใหม้ ีการเล้ียงควายเป็นกลุ่มเพ่ือร่วมดูแลรักษาป่ าพรุและสร้างรายไดข้ องครอบครัว การจัดการป่ าชายเลนชุมชน ศยามล ไกยรู วงศ์ (2549) รวบรวมงานศึกษาต่อบทบาทชุมชนประมงกบั การจดั การป่ าชาย เลน งานศึกษาช่วงแรกเกี่ยวกบั การจดั การป่ าชายเลนของชุมชน ท่ีสมาคมหยาดฝนไดไ้ ป สนบั สนุนและส่งเสริมการจดั การป่ าชายเลนท่ีบา้ นทุง่ -แหลมไทร หมู่ 3 ตาํ บลเขาไมแ้ กว้ อาํ เภอสิ เกาเมื่อปี 2529 และประกาศป่ าชายเลนชุมชนเม่ือปี พ.ศ.2532 แตเ่ ม่ือปี พ.ศ.2534 บา้ นทุ่งแยกเป็น หมูบ่ า้ นใหมช่ ่ือ บา้ นทุง่ ทอง หมู่ 7 ตาํ บลเขาไมแ้ กว้ ตอ่ มาสมาคมหยาดฝนไดไ้ ปส่งเสริมการ จดั การป่ าชายเลนชุมชนท่ีบา้ นแหลมมะขาม ตาํ บลเขาไมแ้ กว้ อาํ เภอสิเกา จงั หวดั ตรัง และที่ บา้ นทุ่งตะเซะ อาํ เภอยา่ นตาขาว จงั หวดั ตรัง งานศึกษานาํ เสนอให้เห็นถึงพฒั นาการของนโยบาย รัฐท่ีอนุญาตใหส้ ัมปทานป่ าชายเลนแก่เอกชน เพือ่ ตดั ไมเ้ ผาถ่าน จนก่อใหเ้ กิดปัญหาของระบบ นิเวศชายฝั่งเส่ือมโทรมลง ประกอบกบั การใชเ้ ครื่องมือประมงแบบทาํ ลายลา้ งมากยงิ่ ข้ึน จึงส่งผล ใหท้ รัพยากรสัตวน์ ้าํ ลดลงและกระทบตอ่ การทาํ มาหากินของชาวประมงพ้นื บา้ น ดว้ ยเหตุน้ีเมื่อ 3 - 47
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236