Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore โครงการผลกระทบของสื่อดิจิทัล ที่มีผลต่อพัฒนาการมนุษย์ในศตวรรษที่ 21

โครงการผลกระทบของสื่อดิจิทัล ที่มีผลต่อพัฒนาการมนุษย์ในศตวรรษที่ 21

Published by ao.point03, 2021-05-28 02:30:31

Description: โครงการผลกระทบของสื่อดิจิทัล
ที่มีผลต่อพัฒนาการมนุษย์ในศตวรรษที่ 21

Search

Read the Text Version

แผนภาพที่ 4.38 แสดงการกระจายของการให้คำแนะนำในการใช้สื่อดจิ ิทัลของผูป้ กครองกับทักษะ EF ราย ด้านและภาพรวม 178

แผนภาพที่ 4.39 แสดงการกระจายของความรูเ้ กีย่ วกับการใชส้ ื่อดิจิทัลของผู้ปกครองกับทักษะ EF รายด้าน และภาพรวม 179

ตารางท่ี 4.172 ค่าสัมประสิทธสิ หสมั พันธร์ ะหว่างความรูค้ วามสามารถของผู้ปกครองในการกำกบั ดูแลการใช้ ส่อื สถานการณเ์ สยี่ ง ความผกู พันระหว่างแมก่ ับลูก และพฤตกิ รรมเสยี่ งในการใช้สือ่ ออนไลนก์ บั ทักษะการคิด เชิงบริหารภาพรวมและรายด้านของเดก็ อายุ 6-13 ปี ดา้ นการยับยัง้ ด้านการ ดา้ นการ ด้านความจำ ด้านการ ชั่งใจ ในขณะทำงาน ปจั จยั ด้านสื่อดิจิทลั ยืดหยุ่น ควบคุม วางแผน ภาพรวม r=0.270** ความคดิ อารมณ์ r=0.098 จัดการ พฤตกิ รรมเสย่ี งในการใช้ rs=0.346** rs=0.309** rs=0.374** rs=0.184 rs=0.300** rs=0.341** สมารท์ โฟนของบุตรหลาน ความผกู ผนั ระหวา่ งแม่กับ rs=0.082 rs=-0.065 rs=0.011 rs=0.045 rs=0.059 rs=0.053 ลกู แบบ Attachment Anxiety rs=0.049 rs=0.160 r=-0.070 rs=0.123 rs=0.172 ความผกู ผันระหวา่ งแมก่ บั rs=0.203* r=0.075 ลกู แบบ Attachment rs=-0.045 rs=0.003 rs=0.115 rs=0.057 Avoidance บทบาทการส่งเสริมการ rs=0.094 rs=-0.005 rs=-0.021 rs=-0.065 rs=-0.028 ร้เู ทา่ ทันสอ่ื ดจิ ิทลั ในบตุ ร rs=0.075 rs=0.077 rs=0.073 rs=0.075 หลาน การให้คำแนะนำในการใช้ rs=-0.023 สื่อดิจทิ ัลของผ้ปู กครอง ความรเู้ ก่ียวกบั การใชส้ ื่อ rs=0.069 ดจิ ทิ ัลของผปู้ กครอง * p-value< 0.05 * * p-value< 0.01 Spearman Correlation Coefficient; rs, Pearson Product Moment Correlation Coefficient ; r จากตารางท่ี 4.172 เมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ความสามารถของผู้ปกครองในการ กำกบั ดูแลการใชส้ ื่อ สถานการณเ์ ส่ียง ความผูกพันระหวา่ งแมก่ บั ลกู และพฤติกรรมเสีย่ งในการใชส้ ือ่ ออนไลน์ กับทกั ษะการคิดเชิงบรหิ ารภาพรวมและรายด้าน ของเดก็ อายุระหวา่ ง 6- 13 ปี พบวา่ ไมม่ ีปจั จยั ใดสมั พันธก์ บั ทกั ษะการคิดเชิงบรหิ ารภาพรวมและรายด้านของเดก็ อายรุ ะหวา่ ง 6- 13 ปี 180

แผนภาพท่ี 4.40 แสดง การกระจายของพฤติกรรมเสีย่ งในการใชส้ มารท์ โฟนของบตุ รหลานกบั ภาวะบกพรอ่ ง ทางการเรยี นรู้ ของเดก็ อายุ 6-13 ปี 181

แผนภาพที่ 4.41 แสดงการกระจายของบทบาทการสง่ เสริมการรเู้ ทา่ ทนั ส่อื ดจิ ทิ ลั ในบตุ รหลานกับภาวะ บกพรอ่ งทางการเรียนรู้ ของเด็กอายุ 6-13 ปี 182

แผนภาพท่ี 4.42 แสดงการกระจายของการให้คำแนะนำในการใชส้ ื่อดจิ ิทลั ของผู้ปกครองกบั ภาวะบกพรอ่ ง ทางการเรียนรู้ ของเดก็ อายุ 6-13 ปี 183

แผนภาพท่ี 4.42 แสดงการกระจายของความรเู้ กี่ยวกบั การใชส้ ื่อดจิ ิทลั ของเดก็ นกั เรียนกบั ภาวะบกพร่อง ทางการเรียนรู้ ของเดก็ อายุ 6-13 ปี 184

แผนภาพที่ 4.43 แสดงการกระจายของสถานการณเ์ สี่ยงในการใชส้ ื่อกบั ภาวะบกพรอ่ งทางการเรียนรู้ ของเด็ก อายุ 6-13 ปี 185

ตารางท่ี 4.173 คา่ สัมประสทิ ธิสหสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง ความรคู้ วามสามารถของผปู้ กครองในการกำกบั ดแู ลการใช้ สอ่ื สถานการณ์เสยี่ ง และพฤตกิ รรมเสี่ยงในการใชส้ ่ือออนไลน์และภาวะบกพร่องทางการเรยี นรู้ ของเด็กอายุ 6-13 ปี ววู่ าม สมาธิส้นั บกพร่องด้าน บกพรอ่ งดา้ น บกพร่องดา้ น คำนวณ รูปแบบความผกู พนั การอา่ น การเขยี น พฤติกรรมเส่ียงในการใชส้ มาร์ทโฟ rs=- rs=-0.059 rs=0.201* rs=0.083 rs=0.115 นของบตุ รหลาน 0.024 บทบาทการส่งเสรมิ การรู้เทา่ ทันสื่อ rs=0.091 rs=0.037 rs=-0.116 rs=-0.146 rs=-0.099 ดิจิทลั ในบตุ รหลาน การใหค้ ำแนะนำในการใชส้ ื่อดจิ ทิ ลั rs=- rs=-0.045 rs=-0.115 rs=0.026 rs=-0.117 ของผปู้ กครอง 0.033 ความรเู้ ก่ยี วกับการใชส้ อ่ื ดิจทิ ลั ของ rs=- rs=-0.122 rs=-0.200 rs=-.0237 rs=-0.192 เดก็ นักเรยี น 0.190 สถานการณเ์ สีย่ งในการใช้สอ่ื rs=- rs=-0.143 rs=-0.049 rs=-0.065 rs=-0.081 0.001 * p-value< 0.05 * * p-value< 0.01 Spearman Correlation Coefficient; rs, Pearson Product Moment Correlation Coefficient ; r จากตารางที่ 4.173 พบว่า เม่อื พจิ ารณาความสัมพันธ์ระหว่างค่าสมั ประสิทธิสหสมั พันธร์ ะหว่างความรู้ ความสามารถของผู้ปกครองในการกำกับดูแลการใช้สื่อ สถานการณ์เสี่ยง และพฤติกรรมเสี่ยงในการใช้สื่อ ออนไลน์และภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ ของเด็กอายุระหว่าง 6-13 ปี พบว่า พฤติกรรมเสี่ยงในการใช้ สมารท์ โฟนของบุตรหลาน มีความสัมพันธท์ างบวกกับความบกพรอ่ งด้านการอ่าน (rs=0.201, p-value< 0.05 ) 186

บทที่ 5 อภปิ รายผลการวิจัย บทนี้อภิปรายผลการศึกษาพฤติกรรมเสี่ยงในการใช้สื่อออนไลน์ของเด็กอายุ 0-13 ปี ความรู้ ความสามารถของผูป้ กครองในการกำกบั ดแู ลการใช้ส่อื ของเด็กของเด็กอายุ 0-13 ปี ใน 4 ด้าน ได้แก่ (1) ด้าน พฤติกรรมการใช้สือ่ ของผูป้ กครอง (2) ด้านการมีส่วนรว่ มในการใช้สื่อกบั บุตรหลาน (3) ด้านการกำกบั ดูแล และติดตามการใช้ส่ือของบุตรหลาน และ (4) ด้านบทบาทการส่งเสรมิ การรู้เท่าทนั ส่ือดจิ ิทัลให้กับบตุ รหลาน ตลอดจนอภิปรายผลความสัมพนั ธ์ระหวา่ งพฤติกรรมเสยี่ งในการใชส้ อื่ ออนไลน์และพัฒนาการของเดก็ ความรู้ ความสามารถของผู้ปกครองในการกำกับดูแลการใช้ส่ือของเด็ก และรูปแบบการเลี้ยงดูและความผูกพันใน ครอบครวั ดังต่อไปนี้ ส่วนที่ 1 พฤติกรรมเส่ียงในการใชส้ อ่ื ออนไลนข์ องเด็กอายุ 0-13 ปี กลุ่มตวั อย่างเดก็ ในช่วงอายุ 0 – 2 ปี 11 เดือน เปน็ เพศชายรอ้ ยละ 59.00 และเป็นเพศหญงิ รอ้ ยละ 41.00 โดยส่วนใหญ่มอี ายรุ ะหว่าง 2 ปี – 2 ปี 11 เดือน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 43.60 และเปน็ บุตรคนแรก คิดเปน็ รอ้ ย ละ 56.40 ยังไมไ่ ดเ้ ข้าเรยี นคดิ เป็นรอ้ ยละ 56.40 เข้าเรยี นแล้วร้อยละ 43.60 โดยจำแนกเปน็ ระดับช้ันเตรยี ม อนุบาล รอ้ ยละ 41.00 และชน้ั อนุบาล ร้อยละ 2.60 ผลการศึกษาพฤติกรรมการใช้ส่ือออนไลนข์ องเด็กอายุ 0- 2 ปี 11 เดือน พบว่า เด็กชว่ งอายุดงั กล่าวใช้สื่อดจิ ิทลั ในชว่ งเวลา 16.00-18.00 มากทีส่ ุด คิดเป็นรอ้ ยละ 43.2 โดยมรี ะยะเวลาการใช้สือ่ ดจิ ิทลั วันละประมาณ 1-3 ช่ัวโมง คดิ เป็นร้อยละ 56.40 โดยมกั ใช้ส่อื ดจิ ิทลั เพอ่ื ดู การ์ตนู คิดเป็นค่าเฉลีย่ 3.67 ผลการวิจัยข้างต้นสะท้อนนถี้ งึ สถานการณก์ ารเข้าถึงและการใชส้ ่อื ดจิ ทิ ลั ของเด็ก ตง้ั แตอ่ ายุยังน้อย ซง่ึ ขัดแยง้ กบั คำแนะนำของกมุ ารแพทย์และนักวิชาการด้านการรเู้ ท่าทันสื่อที่ให้เสนอแนะ วา่ ผู้ปกครองควรหลีกเล่ยี งการใช้สอื่ และเทคโนโลยีในกล่มุ เดก็ อายแุ รกเกิดถึง 2 ปี และอาจนำไปสู่ความเส่ียง ตอ่ ผลกระทบสอื่ ในอนาคต กลุ่มตัวอย่างเด็กในชว่ งอายุ 3 – 5 ปี 11 เดอื น เปน็ เพศชายรอ้ ยละ 53.60 และเป็นเพศหญงิ ร้อยละ 46.40 โดยส่วนใหญ่มีอายุ 3 ปี – 3 ปี 11 เดือน คิดเป็นรอ้ ยละ 50.00 และเป็นบุตรคนแรก คิดเป็นร้อยละ 61.80 เขา้ เรียนแลว้ รอ้ ยละ 100.00 จำแนกเป็นระดับชนั้ เตรยี มอนุบาลรอ้ ยละ 51.80 และชน้ั อนบุ าล ร้อย ละ 48.20 ผลการศึกษาพฤติกรรมการใช้สื่อออนไลน์ของเด็กอายุ 3 – 5 ปี 11 เดือน พบว่า เด็กช่วงอายุ ดังกล่าวใช้สื่อดจิ ิทัลในช่วงเวลา 19.00-21.00 มากทส่ี ุด คดิ เป็นร้อยละ 40.0 โดยมรี ะยะเวลาการใช้ส่อื ดจิ ทิ ัล วันละประมาณ 30 นาที - 1 ชวั่ โมง คดิ เป็นร้อยละ 53.6 โดยมกั ใชส้ ่อื ดจิ ทิ ลั เพื่อดูการ์ตนู คดิ เปน็ ค่าเฉลี่ย 3.93 และมีเด็กที่เล่นเกม/เกมออนไลน์ ร้อยละ 37.5 ในด้านพฤติกรรมการใช้สมาร์ทโฟนของเด็กอายุ 3-5 ปี 11 เดอื น พบวา่ เดก็ สามารถใชง้ านสือ่ ดจิ ทิ ลั เพอื่ ดยู ูทูป เลน่ เกม และใช้แอพพลิเคช่นั ตา่ ง ๆ ได้ด้วยตนเอง คิดเป็น ค่าเฉลีย่ 2.53 และเด็กเคยใชส้ มาร์ทโฟนในขณะเดินทาง คิดเป็นค่าเฉลี่ย 2.39 ผู้ปกครองยังให้ข้อมูลวา่ เด็ก แสดงอาการงอแง ไม่พอใจ หรือหงุดหงิดหากผู้ปกครองไม่อนุญาตหรือจำกัดเวลาการใช้สื่อดิจิทัล คิดเป็น คา่ เฉล่ีย 2.64 ผปู้ กครองเคยต่อว่าหรือทำโทษเด็กเรอ่ื งการใช้สมาร์ทโฟนคดิ เป็นค่าเฉล่ีย 2.55 ในขณะท่ีจะ 187

ให้เดก็ ไดใ้ ชส้ มารท์ โฟนเปน็ รางวัลภายหลงั จากท่ีทำสง่ิ ท่ีมอบหมายเรียบร้อย คิดเป็นค่าเฉล่ีย 2.54 ผลการวิจัย ข้างต้นสะทอ้ นน้ีถงึ สถานการณ์การเขา้ ถึงและการใช้สื่อดจิ ทิ ลั ของเด็กตั้งแต่อายุยงั น้อย การที่เด็กตัอ้ ายุ 3 – 5 ปี 11 เดือน สามารถใชง้ านสือ่ ดิจิทลั เพื่อดยู ูทูป เล่นเกม และใช้แอพพลิเคช่ันต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง มีการเริม่ เล่นเกม/เกมออนไลน์ และการที่ผู้ปกครองใช้สื่อดิจทิ ัลเป็นรางวัลเมื่อบุตรหลานทำสิ่งที่มอบหมายเรียบร้อย เช่น ทำการบ้าน ทานอาหาร อาบน้ำนั้น อาจนำไปสู่พฤติกรรมการใช้สื่อและความเสี่ยงต่อผลกระทบสื่อใน ระดับท่สี ูงขนึ้ ในอนาคต กลุม่ ตัวอย่างเด็กในช่วงอายุ 6 – 13 ปี เปน็ เพศชายร้อยละ 56.60 และเป็นเพศหญงิ รอ้ ยละ 43.40 โดยสว่ นใหญม่ อี ายุ 8 ปี – 9 ปี 11 เดอื น คดิ เปน็ ร้อยละ 35.80 และเปน็ บตุ รคนแรกคดิ เปน็ ร้อยละ 42.50 ข้อมูลจากผปู้ กครองระบวุ า่ เด็กในช่วงอายุ 6 – 13 ปี สว่ นใหญม่ สี มารท์ โฟนของตนเอง คิดเปน็ รอ้ ยละ 61.30 สว่ นใหญ่ใชส้ ื่อดิจทิ ัลครั้งแรกในขณะอยกู่ ับบดิ าหรอื มารดา คดิ เป็นร้อยละ 73.60 รองลงมา คือใชส้ ่อื ดจิ ิทลั ครง้ั แรกในขณะอยู่กบั พ่ีน้องรว่ มบิดามารดาเดยี วกนั คิดเปน็ รอ้ ยละ 14.20 และใช้ขณะอยู่กับญาติ เช่น ปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า นา้ อา คิดเปน็ รอ้ ยละ 8.50 ผ้ปู กครองระบุวา่ กล่มุ ตัวอย่างเด็กในช่วงอายุ 6 – 13 ปี ใช้สื่อดิจิทัล มาแลว้ เปน็ ระยะเวลาน้อยกว่า 6 เดือน คิดเป็นร้อยละ 51.40 ใชส้ ่อื ดิจทิ ลั มาแล้วเป็นระยะเวลาประมาณ 1 – 2 ปี รอ้ ยละ 41.00 ในขณะท่รี ้อยละ 7.60 ระบุว่าบุตรหลานใชส้ ่อื ดจิ ิทลั มาแลว้ เปน็ ระยะเวลา 6 เดอื น - 1ปี ผลการศึกษาพฤติกรรมเสี่ยงในการใช้สื่อออนไลน์ของเด็กอายุ 6 – 13 ปี จะกล่าวถึงในส่วนที่ 2 ความรู้ ความสามารถของผู้ปกครองในการกำกบั ดแู ลการใช้สื่อของเดก็ อายุ 0-13 ปี ส่วนที่ 2 ความรู้ความสามารถของผปู้ กครองในการกำกบั ดูแลการใชส้ อ่ื ของเดก็ อายุ 0-13 ปี กลุม่ ตัวอยา่ งผู้ปกครองท่ีมบี ตุ รหลานอยู่ในชว่ งอายุ 0 – 2 ปี 11 เดอื น เปน็ เพศหญิงรอ้ ยละ 76.90 และเปน็ เพศชายรอ้ ยละ 23.10 โดยส่วนใหญม่ คี วามสมั พนั ธ์กบั เด็กเปน็ มารดา คิดเป็นรอ้ ยละ 66.65 มีอายุ ระหวา่ ง 35-44 ปี คดิ เป็นร้อยละ 36.10 และมรี ะดับการศึกษาต่ำกว่าระดับปริญญาตรรี อ้ ยละ 53.80 (1) ดา้ นพฤตกิ รรมการใช้ส่ือของผ้ปู กครอง ผู้ปกครองที่มีบุตรหลานอยู่ในช่วงอายุ 0 – 2 ปี 11 เดือน ส่วนใหญ่ใช้สมาร์ทโฟนคิดเป็นร้อยละ 94.90 โดยนิยมใช้แอพลเิ คชน่ั ได้แก่ เฟสบุ๊ค คดิ เป็นร้อยละ 40.20 ไลน์ คิดเป็นร้อยละ 36.60 และอินสตา แกรม คิดเป็นร้อยละ 7.30 ตามลำดับ และมีปริมาณการใช้งานส่ือดิจิทัลเฉลี่ยวันละ 3-5 ชม. คิดเป็นร้อยละ 35.90 ซ่ึงเปน็ การใชง้ านในระดบั ทสี่ งู กว่ากลุ่มตวั อย่างผปู้ กครองท่ีมีบตุ รหลานอย่ใู นชว่ งอายุ 3-5 ปี 11 เดือน และ 6-13 ปี (2) ดา้ นการมสี ่วนร่วมในการใช้ส่ือกับบตุ รหลาน ผู้ปกครองทม่ี ีบุตรหลานอย่ใู นชว่ งอายุ 0 – 2 ปี 11 เดือน ร้อยละ 51.30 ระบวุ ่าตนเคยใชส้ ่ือดิจทิ ลั ใน ขณะที่อยกู่ ับบตุ รหลาน เฉลีย่ นอ้ ยกวา่ 1 ช่ัวโมงตอ่ วนั ในบางครอบครัวระบวุ ่าบุตรหลานของตนเคยประสบ อุบัติเหตุในขณะทีต่ นเองกาํ ลังใช้สื่อดิจิทัล คิดเป็นรอ้ ยละ 20.50 โดยจำแนกเป็นการหกล้ม ร้อยละ 15.30 188

การตกเตียงหรอื ตกท่ีนอนรอ้ ยละ 5.20 ซึ่งข้อมูลดงั กลา่ วสะท้อนใหเ้ หน็ ถงึ สถานการณ์ความเสี่ยงด้านอุบตั เิ หตุ และการบาดเจ็บในเด็กอายุ 0-2 ปี 11 เดอื น ผ้ปู กครองรอ้ ยละ 41.00 ระบุว่าตนเองมีสว่ นรว่ มในการใชส้ ือ่ ดิจทิ ัลของบุตรหลาน ‘ทกุ คร้ัง’ โดยมัก ใช้สื่อดจิ ิทลั ร่วมกับบุตรหลานเพื่อดูการต์ ูน การฟังเพลงและรับชมมวิ สิควิดีโอ คิดเป็นร้อยละ 18.50 เท่ากนั และฟงั นิทาน รอ้ ยละ 13.10 ตามลำดับ ในขณะที่บางครอบครวั มีส่วนรว่ มบอ่ ยครัง้ คดิ เป็นร้อยละ 20.55 และ บางครอบครัวที่ไม่เคยมีส่วนร่วมในการใช้สื่อดิจิทัลของบุตรหลานเลย คิดเป็นร้อยละ 17.90 จากข้อมูล ดงั กล่าวจะเห็นไดว้ ่าผปู้ กครองของเดก็ อายุ 0-2 ปี 11 เดือน ยังไม่ไดต้ ระหนักถึงประโยชนจ์ ากการใชส้ ื่อดจิ ิทัล ในเพื่อส่งเสรมิ และพฒั นาทักษะการเรยี นรู้ให้กับบุตรหลาน มีผู้ปกครองเพียงร้อยละ 2.25 ที่ใช้สื่อดิจทิ ลั เพื่อ สบื ค้นขอ้ มูล และร้อยละ 0.80 ที่ใชเ้ พอ่ื ทําการบ้านหรือแบบฝกึ หัดร่วมกับบตุ รหลาน (3) ด้านการกำกบั ดูแลและติดตามการใช้สือ่ ของบุตรหลาน ผู้ปกครองของเดก็ อายุ 0-2 ปี 11 เดือนระบุว่าตนเองเคยให้บุตรหลานใชส้ ื่อดจิ ทิ ัลเช่น สมาร์ทโฟน แทบ็ เลต็ ไอแพดของตนเอง คดิ เปน็ รอ้ ยละ 79.50 เด็กสว่ นใหญ่เรมิ่ ใชส้ ่อื ดจิ ิทัล‘ครัง้ แรก’ ในขณะทอี่ ย่กู ับบิดา หรือมารดา รอ้ ยละ 86.10 และใชส้ ่อื ดิจทิ ัลครง้ั แรกในช่วงอายตุ ำ่ กวา่ 1 ปี คดิ เปน็ ร้อยละ 38.20 และระหวา่ ง อายุ 1-2 ปี คิดเป็นรอ้ ยละ 61.80 นอกจากนี้ผู้ปกครองส่วนใหญ่ให้บุตรหลานเร่ิมใชส้ ่ือดิจทิ ัลครั้งแรกดว้ ย เหตผุ ลเพอื่ ความบนั เทิง เช่น รับชมการ์ตูน ฟังนิทาน เปดิ เพลง คิดเป็นรอ้ ยละ 63.6 ในขณะท่ีท่านอื่นๆ ให้ใช้ เพื่อใหบ้ ุตรหลานอยู่นิง่ ๆ ไม่ซน คิดเป็นร้อยละ 18.2 และเพื่อพัฒนาทักษะการเรยี นรู้ คิดเป็นร้อยละ 12.1 ขอ้ มลู ดงั กลา่ วสะทอ้ นให้เห็นวา่ ผู้ปกครองโดยส่วนมากยงั ขาดความตระหนกั ในผลกระทบสอ่ื ท่ีมีต่อพัฒนาการ ทางร่างกาย อารมณ์และสงั คมของเดก็ ผปู้ กครองร้อยละ 60.50 ระบวุ ่าตนมกี ารกาํ หนดกติกาในการใช้สอ่ื ดจิ ิทลั ในขณะทอ่ี ีกรอ้ ยละ 39.50 ไม่มีการกาํ หนดกตกิ า ซง่ึ กตกิ าในการใชส้ ่ือดิจทิ ลั ภายในครอบครัวที่ผ้ปู กครองใช้บอ่ ยที่สดุ ได้แก่ การกำหนด ระยะเวลา หรือวันในการใช้แต่ละครั้ง การใช้สื่อดิจิทัลพร้อมกับผู้ปกครอง และการงดใช้สื่อดิจิทัลขณะ รับประทานอาหาร ตามลำดับ นอกจากนี้ผู้ปกครองร้อยละ 58.3 ยังให้ข้อมูลว่าตนมีการติดตามหรือ สังเกตการณ์การใช้ส่ือดจิ ิทัลของบตุ รหลาน ในขณะผู้ปกครองร้อยละ 41.7 ไมไ่ ดต้ ดิ ตามหรือสงั เกตการณใ์ ชส้ ่อื ดิจิทัลของเดก็ ผู้ปกครองของเดก็ อายุ 0-2 ปี 11 เดือน ร้อยละ 28.2 ให้ข้อมูลว่าตนเคยมีการโต้เถยี ง ขัดแย้ง หรอื ทะเลาะกันกบั บุตรหลานเกยี่ วกับการใช้สื่อดิจทิ ลั ซึ่งผู้ปกครองสว่ นใหญม่ แี นวโนม้ ทจ่ี ะจัดการปัญหาดังกล่าว ด้วยการอธบิ ายด้วยเหตุผล คดิ เปน็ ร้อยละ 31.8 รองลงมา ได้แก่ การให้คำแนะนำหรอื ใหค้ วามรู้ คิดเป็นร้อย ละ 22.7 การงดการใช้สื่อดิจิทลั โดยเด็ดขาดและยึดสื่อดิจิทัลจนกว่าเด็กจะทำตัวดีขึ้น คิดเป็นร้อยละ 18.2 ตามลำดับ (4) ด้านบทบาทการสง่ เสรมิ การรเู้ ท่าทันส่อื ดจิ ิทลั ใหก้ ับบุตรหลาน ผปู้ กครองของเดก็ อายุ 0-2 ปี 11 เดือนสว่ นใหญ่มีความเหน็ ว่าการใชส้ ่อื ดิจทิ ลั ช่วยส่งเสรมิ พัฒนาการ ด้านการเรยี นใหเ้ ดก็ ได้ ผู้ปกครองส่วนใหญ่ใหค้ ำแนะนำบตุ รหลานเกี่ยวกบั การฝกึ วินัยในการใช้สื่อดจิ ทิ ัล และ 189

ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการกำหนดเวลาในการใช้สือ่ ดิจิทลั ในแต่ละวันในระดบั บ่อยครั้ง คิดเป็นค่าเฉล่ีย 3.85 ในขณะทใ่ี หค้ ำแนะนำเกยี่ วกบั วิธีการพิจารณาความน่าเช่ือถือของขอ้ มูล และวธิ ีการพิจารณาข้อมูลท่ีจริงและ ไม่จริงเมื่อตนมีโอกาส คิดเป็นค่าเฉลี่ย 3.15 เท่ากัน ในภาพรวมผู้ปกครองระบวุ ่าตนมีความมั่นใจในการให้ คำแนะนำความรู้เกย่ี วกับการใชส้ อื่ ดจิ ทิ ัลกับบตุ รหลานโดยเฉพาะการแนะนำเกี่ยวกับภาพ เนอ้ื หา หรือแอพลิ เคชั่นทีไ่ มเ่ หมาะสม ไมค่ วรเลียนแบบ คดิ เป็นค่าเฉลี่ย 2.69 ซง่ึ ผูป้ กครองโดยสว่ นใหญ่ระบวุ ่าประสบการณแ์ ละ ความรู้ท่ีมีนั้นเกิดจากการสืบค้นข้อมูลจากอนิ เทอร์เนต็ กูเกิ้ล ส่ือ ยูทูป ฯลฯ คิดเป็นร้อยละ 64.1 ในขณะท่ี ร้อยละ 15.4 ระบุวา่ ตนไม่มคี วามรเู้ รื่องดงั กล่าว และมผี ปู้ กครองเพียงหน่ึงทา่ นจาก 39 ทา่ น คิดเป็นร้อยละ 5.1 ที่เคยไดร้ ับการอบรมเกี่ยวกับการรู้เท่าทันสือ่ ผลการวิจยั ขา้ งต้นสะท้อนสถานการณ์ที่นา่ เป็นห่วงเก่ยี วกบั ผลกระทบสอ่ื ทีอ่ าจตามมาในอนาคต เด็ก เล็กเข้าถงึ และมโี อกาสใช้ส่ือดิจทิ ัลแม้จะมีอายเุ พียง 0-2 ปี 11 เดือน การใชส้ ่ือ ‘ครงั้ แรก’ ของเดก็ นั้นเกิดข้ึน ในขณะท่ีอยู่กับบิดาหรือมารดา และเป็นการใช้งานผ่านการใช้สมาร์ทโฟน แท็บเลต็ หรอื ไอแพดของผู้ปกครอง และมักใช้เพื่อตอบสนองความต้องการด้านความบันเทิง เช่น รับชมการ์ตูน ฟังนิทาน เปิดเพลง ให้กับบุตร หลาน ผู้ปกครองในบางครอบครัวมีการใช้สื่อดจิ ิทัลในขณะทีด่ แู ลเด็ก และมีเด็กเลก็ ท่ีเคยประสบอุบตั เิ หตุใน ช่วงเวลาน้นั ๆ ย่ิงไปกวา่ น้นั ในบางครอบครัวไม่เคยมกี ารกาํ หนดกตกิ า ไมม่ ีการตดิ ตามหรือสังเกตการณ์ใชส้ อื่ ดิจิทัลของบุตรหลาน รวมถึงเคยมกี ารโต้เถยี ง ขัดแย้ง หรือทะเลาะกันกับบตุ รหลานเกี่ยวกับการใชส้ ื่อดจิ ิทลั ซงึ่ ขดั แย้งกบั คำแนะนำของกุมารแพทยแ์ ละนกั วชิ าการดา้ นการรเู้ ท่าทนั สือ่ ท่เี น้นย้ำใหห้ ลกี เลี่ยงการใช้สื่อและ เทคโนโลยีในกลุ่มเดก็ อายุแรกเกิดถึง 2 ปี เพื่อป้องกันผลกระทบจากการใช้ส่ือต่อพัฒนาการเด็ก พฤติกรรม การนอน ปฏิสมั พันธทางสังคมกบั คนรอบขา้ ง และพฤติกรรมทไี่ ม่เหมาะสม เชน่ ความกา้ วรา้ ว ซน สมาธิสั้น ดอ้ื และตอ่ ต้านเม่ือถูกกำกับและควบคมุ การใชส้ อื่ และเทคโนโลยี การทีผ่ ู้ปกครองส่วนใหญ่มคี วามเห็นว่าการ ใช้สอ่ื ดิจิทัลชว่ ยสง่ เสริมพัฒนาการด้านการเรยี นใหเ้ ดก็ ไดอ้ าจเปน็ เหตผุ ลหน่ึงในการอนุญาตให้บุตรหลานของ ตนใชส้ ื่อตั้งแตอ่ ายยุ ังนอ้ ย ผู้ปกครองของเด็กอายุ 0-2 ปี 11 เดอื น จึงควรไดร้ ับการอบรมใหค้ วามรู้ความเขา้ ใจ ท่ถี กู ต้องเกีย่ วกับผลกระทบสอื่ วธิ กี ารใช้ประโยชนจ์ ากสอื่ ดิจิทลั เพอ่ื สง่ เสริมพฒั นาการเดก็ และการกำกบั ดูแล และการตดิ ตามการใชส้ ือ่ ทีเ่ หมาะสม กลุ่มผ้ปู กครองของเดก็ อายุ 3 - 5 ปี 11 เดอื น (N=56) กลุม่ ตัวอยา่ งผ้ปู กครองทมี่ บี ุตรหลานอยู่ในชว่ งอายุ 3 – 5 ปี 11 เดอื น เป็นเพศหญงิ รอ้ ยละ 76.80 และ เปน็ เพศชายร้อยละ 23.20 สว่ นใหญ่มคี วามสมั พันธ์กบั เดก็ เป็นมารดา คดิ เปน็ รอ้ ยละ 67.30 มอี ายรุ ะหวา่ ง 35- 44 ปี คิดเปน็ ร้อยละ 50.00 และมีระดบั การศกึ ษาระดับปรญิ ญาตรหี รอื เทยี บเท่า คดิ เปน็ รอ้ ยละ 37.50 (1) ด้านพฤตกิ รรมการใชส้ ่ือของผู้ปกครอง ผ้ปู กครองทมี่ บี ุตรหลานอยใู่ นช่วงอายุ 3 – 5 ปี 11 เดือนสว่ นใหญใ่ ชส้ มาร์ทโฟนคิดเป็นร้อยละ 92.85 โดยนิยมใชแ้ อพลิเคชั่น ไดแ้ ก่ เฟสบคุ๊ และไลน์ คดิ เปน็ ร้อยละ 36.80 เทา่ กนั ซง่ึ มีปรมิ าณการใช้งานสื่อดิจิทัล เฉล่ยี วนั ละ 1-3 ชม. คิดเป็นรอ้ ยละ 42.90 190

(2) ดา้ นการมสี ว่ นร่วมในการใชส้ อ่ื กับบุตรหลาน ผู้ปกครองทมี่ ีบตุ รหลานอยใู่ นช่วงอายุ 3 – 5 ปี 11 เดือนโดยสว่ นใหญ่ระบวุ า่ ตนใชส้ ือ่ ดิจิทลั ในขณะที่ อยู่กับบุตรหลานเฉลีย่ น้อยกว่า 1 ชั่วโมงต่อวัน คิดเป็นร้อยละ 51.80 รองลงมาใช้เฉลี่ย 1-3 ชั่วโมง คิดเป็น ร้อยละ 39.30 และมเี พยี งร้อยละ 5.40 ของผปู้ กครองทร่ี ะบุวา่ บุตรหลานของตนเคยประสบอุบตั ิเหตใุ นขณะท่ี ตนเองกําลังใช้สื่อดิจิทัล โดยจำแนกเป็นอุบัติเหตุการตกเตียงหรือตกที่นอน ร้อยละ 3.60 และเป็นการตก บนั ได รอ้ ยละ 1.80 ผู้ปกครองรอ้ ยละ 44.64 ระบุวา่ ตนเองมีส่วนรว่ มในการใชส้ ื่อดจิ ทิ ัลของบุตรหลาน ‘ทกุ ครั้ง’ ในขณะ ทีบ่ างครอบครัวมีสว่ นรว่ มบอ่ ยคร้งั คิดเปน็ รอ้ ยละ 32.16 มสี ว่ นรว่ มเมื่อมโี อกาส รอ้ ยละ 19.60 และมเี พยี งรอ้ ย ละ 3.50 ท่รี ะบุวา่ ไมเ่ คยมีส่วนร่วมในการใชส้ ื่อดจิ ิทลั ของบตุ รหลานเลย โดยผู้ปกครองมกั ใช้สอื่ ดจิ ิทัลร่วมกับ บตุ รหลานเพ่ือดูการต์ นู คดิ เปน็ ร้อยละ 19.60 อนั ดับรองลงมาคือใช้เพื่อวดิ โี อคอล ร้อยละ 12.50 และใช้เพ่ือ ทำกิจกรรมพัฒนาทักษะการเรียนรู้ เช่น การออกเสยี ง การสะกดคําหรอื ตัวอักษร การคิดเลข วาดภาพระบาย สี รอ้ ยละ 11.70 เมือ่ เปรยี บเทียบกิจกรรมการใชส้ อ่ื ดจิ ิทลั ร่วมกบั บุตรหลานกับผูป้ กครองของเด็กช่วงอายุอื่น จะเหน็ ได้ว่ากลุ่มผูป้ กครองของเดก็ อายุ 3 – 5 ปี 11 เดือน สามารถเลือกใชป้ ระโยชน์จากสอ่ื เพื่อเปน็ เครอื่ งมอื ในการสง่ เสริมทักษะการเรยี นรู้ใหก้ ับเดก็ ไดด้ ีกวา่ กลุ่มผปู้ กครองของ 0-2 ปี 11 เดอื น (3) ดา้ นการกำกับดแู ลและตดิ ตามการใช้สอื่ ของบุตรหลาน ผู้ปกครองของเด็กอายุ 3 – 5 ปี 11 เดือน ระบุว่าตนเองเคยให้บุตรหลานใช้สื่อดิจิทัลเช่น สมาร์ท โฟน แท็บเล็ต ไอแพดของตนเอง คดิ เปน็ รอ้ ยละ 98.20 โดยสว่ นใหญร่ ะบวุ า่ บตุ รหลานของตนเริม่ ใช้สือ่ ดจิ ิทัล ‘ครั้งแรก’ ในขณะที่อยู่กบั บดิ าหรือมารดา ร้อยละ 80.00 ส่วนใหญ่เริ่มใช้สื่อดิจิทัลเมื่ออายุ 1-2 ปี คิดเปน็ ร้อยละ 47.25 รองลงมาคืออายุ 3 – 5 ปี ร้อยละ 45.50 และขณะที่มีอายุต่ำกว่า 1 ปี คิดเป็นร้อยละ 7.25 นอกจากนี้ผู้ปกครองส่วนใหญ่ให้บุตรหลานเริ่มใช้สื่อดิจิทลั ครั้งแรกด้วยเหตผุ ลเพื่อความบันเทิง เช่น รับชม การ์ตนู ฟังนิทาน เปิดเพลง คิดเป็นรอ้ ยละ 56.9 ในขณะทที่ ่านอื่นๆ ใหใ้ ช้เพ่อื พฒั นาทักษะการเรียนรู้ รอ้ ยละ 21.6 และเพ่อื ใหบ้ ตุ รหลานอยูน่ ่งิ ๆ ไมซ่ น ร้อยละ 13.7 ข้อมลู ดงั กล่าวสะทอ้ นใหเ้ ห็นวา่ ผู้ปกครองบางส่วนมี ความสามารถในการเลือกใช้ส่อื เพื่อช่วยสง่ เสรมิ พฒั นาการใหก้ บั เดก็ อย่างไรกต็ ามยงั มผี ู้ปกครองอกี สว่ นหนงึ่ ที่ ยังขาดความตระหนักในผลกระทบส่ือ ตลอดจนความรู้ความเข้าใจ และความสามารถในการเลือกใช้สื่อเพอ่ื เปน็ เครือ่ งมอื ในการสง่ เสริมพฒั นาการทางรา่ งกาย อารมณแ์ ละสังคมของเด็ก ผู้ปกครองร้อยละ 91.10 ระบุว่าตนมีการกาํ หนดกติกาในการใช้ส่ือดิจทิ ัล ในขณะที่อีกร้อยละ 8.90 ไม่มีการกําหนดกติกา ซึ่งกติกาในการใช้สื่อดิจิทัลภายในครอบครัวที่ผู้ปกครองใช้บ่อยที่สุด ได้แก่ การต้ัง ข้อตกลงรว่ มกนั การกำหนดระยะเวลา นอกจากนผี้ ้ปู กครองรอ้ ยละ ร้อยละ 74.5 ให้ขอ้ มูลว่าตนมีการติดตาม หรือสังเกตการณใ์ ช้สอื่ ดิจทิ ัลของบุตรหลาน ซง่ึ เป็นการตดิ ตามผา่ นการสอื่ ดิจทิ ลั ร่วมกนั กบั บตุ รหลาน คดิ เป็น ร้อยละ 43.6 และติดตามโดยกำหนดเวลาในการใช้สื่อ คิดเป็นร้อยละ 16.4 ในขณะที่ผู้ปกครองบางท่าน 191

ติดตามดปู ระวัติการเข้าชม คดิ เปน็ ร้อยละ 5.5 ในขณะผูป้ กครองรอ้ ยละ 25.5 ไมไ่ ดต้ ดิ ตามหรือสงั เกตการณใ์ ช้ สื่อดิจิทัลของเด็ก ผู้ปกครองของเด็กอายุ 3 – 5 ปี 11 เดือน ร้อยละ 69.00 ให้ข้อมูลว่าตนเคยมีการโต้เถียง ขัดแย้ง หรอื ทะเลาะกนั กบั บตุ รหลานเกย่ี วกับการใช้สอื่ ดิจทิ ัล ซง่ึ สถานการณ์ดังกลา่ วมกั เกดิ ขึ้นนานๆ คร้งั คิดเป็นร้อย ละ 52.70 เกดิ ขน้ึ บ่อยครัง้ คิดเป็นร้อยละ 14.50 และเกิดขึ้นทุกครง้ั ท่ีใช้สือ่ คดิ เป็นรอ้ ยละ 1.80 ซง่ึ ผปู้ กครอง ส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะจัดการปัญหาดังกล่าว ด้วยการอธิบายด้วยเหตุผล คิดเป็นร้อยละ 43.7 รองลงมา ได้แก่ การให้คำแนะนำหรือให้ความรู้ คิดเป็นร้อยละ 19.70 การงดการใช้สื่อดิจิทัลโดยเด็ดขาดและยึดสอื่ ดจิ ิทลั จนกวา่ เด็กจะทำตวั ดขี นึ้ คดิ เปน็ ร้อยละ 14.10 ตามลำดับ (4) ด้านบทบาทการสง่ เสริมการร้เู ท่าทันสือ่ ดิจทิ ัลใหก้ บั บุตรหลาน ผู้ปกครองของเด็กอายุ 3 – 5 ปี 11 เดือน ส่วนใหญ่มีความเห็นว่าการใช้สื่อดิจิทัลช่วยส่งเสริม พัฒนาการด้านการเรียนให้เด็กได้ ค่าเฉลี่ย 3.66 ผู้ปกครองมีบทบาทในการส่งเสรมิ การรู้เท่าทนั สื่อดจิ ิทัล ให้กับบุตรหลานในระดับบอ่ ยคร้ัง เช่น ให้คำแนะนำบุตรหลานเกีย่ วกบั การฝึกวินัยในการใชส้ ื่อดิจิทลั พูดคุย เกี่ยวกับตัวอย่างการใช้สื่อดิจิทัลที่ดีและไม่ดี พูดคุยเกี่ยวกับอันตรายอาจเกิดขึ้นจากการใช้สื่อดิจิทัล ให้ คำแนะนำเก่ียวกับการเลือกเนอื้ หาและรายการทเ่ี หมาะสม ใหค้ ำแนะนำเกยี่ วกบั การกำหนดเวลาในการใช้สื่อ ดจิ ิทัลในแต่ละวัน และ ใหค้ วามรู้เก่ียวกับวิธกี ารพจิ ารณาขอ้ มูลทจ่ี รงิ และไมจ่ รงิ ในภาพรวมผปู้ กครองระบุว่า ตนมีความมั่นใจในการให้คำแนะนำความรู้เกี่ยวกับการใช้สื่อดิจิทัลกับบุตรหลาน สามอันดับแรกคือสามารถ แนะนำบุตรหลานได้ว่าภาพ เนื้อหา หรือแอพลิเคช่ัน ใดที่ไม่เหมาะสม ไม่ควรเลียนแบบ ควรหลีกเล่ียง คิด เปน็ คา่ เฉลี่ย 2.80 สามารถยกตัวอย่างภาพหรอื เนือ้ หาท่ดี แี ละไม่ดี ได้อย่าง หลากหลาย คดิ เปน็ ค่าเฉล่ีย 2.79 สามารถให้คำแนะนำเก่ียวกบั ระยะเวลาการใชส้ ่ือดจิ ทิ ัลทเี่ หมาะสม และสามารถแนะนำบุตรหลานได้ว่าภาพ เนื้อหาหรือแอพลเิ คชั่นใดท่ีเป็นประโยชน์ส่งเสริมการเรียนรู้ คิดเป็นค่าเฉล่ีย 2.66 เท่ากัน ซึ่งผู้ปกครองสว่ น ใหญใ่ หข้ อ้ มูลว่าประสบการณ์และความรูท้ มี่ นี ั้นเกดิ จากการสืบคน้ ขอ้ มูลจากอนิ เทอร์เนต็ กูเก้ลิ ส่อื ยทู ปู ฯลฯ คิดเปน็ รอ้ ยละ 57.1 ในขณะที่ร้อยละ 12.5 ระบวุ า่ ตนไมม่ ีความรู้เรอื่ งดังกลา่ ว และมีผปู้ กครองเพยี งหนึง่ ทา่ น จาก 36 ท่าน คิดเปน็ ร้อยละ 1.8 ทเี่ คยรบั ทราบข้อมลู จากการปรกึ ษาผเู้ ช่ยี วชาญ ผลการวิจัยสะทอ้ นสถานการณท์ ี่น่าเป็นหว่ งเกี่ยวกบั ผลกระทบสอ่ื ทอี่ าจขนึ้ ในกลมุ่ เดก็ เลก็ อายุ 3 – 5 ปี 11 เดือน ในอนาคต เด็กช่วงวัยดังกล่าวก็เริ่มใช้สื่อดิจิทัล‘ครัง้ แรก’ ในขณะที่อยู่กับบิดาหรือมารดา และ ผู้ปกครองเปิดโอกาสใหใ้ ช้สื่อเพื่อการรับชมการ์ตูน และเล่นเกมและเกมออนไลน์ตั้งแต่อายุยังน้อย แม้บาง ครอบครัวจะระบุว่าตนเองมีส่วนร่วมในการใชส้ ือ่ ดจิ ิทัลของบตุ รหลานทกุ คร้ัง แต่ก็ยังอีกหลายครอบครัวที่มี ส่วนรว่ มในการใชส้ อ่ื รว่ มกบั เดก็ เฉพาะเมือ่ มโี อกาส แม้วา่ กลุ่มผู้ปกครองของเดก็ อายุ 3 – 5 ปี 11 เดือน และ กลุ่มผู้ปกครองของเด็ก 0-2 ปี 11 เดือน จะมีความเหน็ ตรงกันว่าการใช้สื่อดิจทิ ลั ช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้าน การเรียนใหเ้ ด็กได้ ตระหนักในบทบาทในการสง่ เสรมิ การรเู้ ท่าทันสื่อดิจิทลั ให้กับบุตรหลานในระดับบ่อยคร้ัง และมีความมัน่ ใจในการใหค้ ำแนะนำความร้เู กยี่ วกับการใช้สอ่ื ดิจทิ ลั กบั บตุ รหลาน แตผ่ ้ปู กครองของเด็กอายุ 3 – 5 ปี 11 เดอื น สว่ นใหญ่มีแนวโน้มทีจ่ ะเลอื กใช้ประโยชน์จากส่ือดจิ ทิ ลั เพื่อเป็นเคร่ืองมือในการส่งเสริมและ พัฒนาทกั ษะการเรยี นรู้ กำหนดกติกาการใชส้ อื่ ในครอบครัว และติดตามหรอื สังเกตการณ์การใชส้ ื่อดจิ ทิ ลั ของ 192

บตุ รหลานมากกวา่ กลุม่ ผู้ปกครองของเดก็ 0-2 ปี 11 เดือน อย่างไรก็ตาม ผลการวจิ ัยพบว่า ครอบครัวเด็กอายุ 3 – 5 ปี 11 เดือน รายงานสถานการณ์การโต้เถียง ขัดแย้ง หรือทะเลาะกันกับบุตรหลานเกี่ยวกับการใชส้ อ่ื ดจิ ทิ ัลในระดับทีส่ ูงกว่ากลุ่มผู้ปกครองของเด็ก 0-2 ปี 11 เดือน ผปู้ กครองกลมุ่ ดังกล่าว จึงควรไดร้ ับการอบรม ให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกีย่ วกับผลกระทบสื่อ วิธีการใช้ประโยชน์จากสื่อดิจิทัลเพื่อส่งเสรมิ พฒั นาการ เด็ก และการกำกับดูแลและการติดตามการใช้สื่อที่เหมาะสม ตลอดจนแนวทางในการเลีย้ งดูบุตรด้านอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น วินัยเชิงบวก การสังเกตและประเมินพัฒนาการเด็กเบื้องต้น วิธีการป้องกันพฤติกรรมที่ไม่พึง ประสงค์ เปน็ ตน้ กลุ่มผปู้ กครองของเดก็ อายุ 6 - 13 ปี (N=106) กลุ่มตวั อย่างผู้ปกครองท่ีมบี ุตรหลานอยใู่ นช่วงอายุ 6 – 13 ปี เปน็ เพศหญงิ รอ้ ยละ 79.80 และเปน็ เพศชายร้อยละ 20.20 ส่วนใหญ่มคี วามสมั พันธก์ ับเดก็ เป็นมารดา คิดเป็นร้อยละ 68.90 มอี ายุระหว่าง 35- 44 ปี คดิ เปน็ รอ้ ยละ 47.10 มีระดับการศกึ ษาระดบั ต่ำกวา่ ปรญิ ญาตรี คดิ เป็นร้อยละ 87.75 (1) ดา้ นพฤติกรรมการใช้สอื่ ของผ้ปู กครอง ผปู้ กครองทีม่ บี ตุ รหลานอยู่ในชว่ งอายุ 6 – 13 ปี ส่วนใหญ่ใช้สมารท์ โฟนคิดเปน็ ร้อยละ 97.20 โดย นิยมใช้แอพลิเคชัน่ ได้แก่ เฟสบุ๊คและไลน์ คิดเป็นร้อยละ 43.80 และ 42.90 ตามลำดับ ซึ่งมีปริมาณการใช้ งานสื่อดจิ ิทัลเฉล่ยี วนั ละ 1-3 ชม. คิดเป็นรอ้ ยละ 48.10 (2) ด้านการมสี ่วนรว่ มในการใช้สือ่ กับบุตรหลาน ผู้ปกครองของเด็กอายุ 6 – 13 ปี ระบุวา่ ตนเองเคยใหบ้ ตุ รหลานใช้สื่อดิจทิ ลั เช่น สมาร์ทโฟน แทบ็ เลต็ ไอแพดของตนเอง คดิ เป็นร้อยละ 88.70 ในขณะทร่ี ้อยละ 11.30 ไม่เคยให้บตุ รหลานใชส้ ือ่ ดจิ ิทัลของตน ผู้ปกครองทีม่ ีบุตรหลานอยใู่ นชว่ งอายุ 6 – 13 ปี สว่ น โดยสว่ นใหญร่ ะบุวา่ ตนใช้สอื่ ดจิ ิทลั ในขณะท่ีอยู่กับบุตร หลานเฉล่ีย 1-3 ชว่ั โมงต่อวนั คิดเปน็ ร้อยละ 51.90 รองลงมาใช้เฉลย่ี น้อยกวา่ 1 ชว่ั โมง คิดเปน็ ร้อยละ 34.00 ผู้ปกครองร้อยละ 10.40 ระบุว่าบุตรหลานของตนเคยประสบอุบัติเหตุ เช่น ตกเตียง ตกที่นอน ตกบันได หก ล้ม รอ้ ยละ 3.60 ในขณะท่ีตนเองกาํ ลังใช้สอ่ื ดจิ ทิ ัล ผู้ปกครองส่วนใหญ่ระบุว่าตนเองมีส่วนรว่ มในการใช้สื่อดิจทิ ลั ของบุตรหลานเฉพาะเมื่อมีโอกาส คิด เป็นร้อยละ 36.80 ในขณะท่ีบางครอบครัวมีส่วนร่วมบ่อยครั้งคิดเป็นร้อยละ 31.10 มี และผู้ปกครองร้อยละ 20.80 ให้ข้อมลู วา่ ตนมสี ่วนร่วมทุกคร้งั ทบ่ี ตุ รหลานใชส้ ื่อดิจทิ ัล ในขณะทรี่ อ้ ยละ 4.70 ไม่เคยมีสว่ นร่วมในการ ใชส้ ่อื ดิจิทัลของบตุ รหลานเลย โดยผ้ปู กครองมกั ใช้สอ่ื ดิจทิ ัลร่วมกับบตุ รหลานเพือ่ ดกู าร์ตนู ดูภาพยนตร์ และ ฟงั เพลงหรอื มิวสิควดิ โี อ คิดเป็นร้อยละ 12.60 รอ้ ยละ 11.70 และรอ้ ยละ 10.90 ตามลำดับ ในขณะทร่ี ้อยละ 7.90 ทรี่ ะบวุ า่ เป็นการใชส้ อ่ื ดจิ ทิ ลั รว่ มกันเพื่อทำกิจกรรมพฒั นาทกั ษะการเรยี นรู้ เชน่ การออกเสียง การสะกด คาํ หรือตัวอกั ษร การคิดเลข วาดภาพระบายสี เมื่อเปรียบเทียบกิจกรรมการใชส้ ่อื ดจิ ิทลั ร่วมกับบุตรหลานกับ กลุ่มผู้ปกครองของเดก็ อายุ 3 – 5 ปี 11 เดือน พบว่า ผู้ปกครองของเด็กอายุ 6 – 13 ปี ใช้สื่อดจิ ิทัลรว่ มกัน กบั เดก็ เพือ่ ทำกิจกรรมพฒั นาทักษะการเรียนในระดบั นอ้ ยกวา่ ผ้ปู กครองของเดก็ อายุ 3 – 5 ปี 11 เดือน 193

(3) ดา้ นการกำกบั ดูแลและติดตามการใช้สือ่ ของบุตรหลาน ผปู้ กครองของเดก็ อายุ 6 – 13 ปี โดยสว่ นใหญ่ระบวุ า่ เดก็ ในช่วงอายุ 6 – 13 ปี ส่วนใหญม่ ีสมารท์ โฟ นของตนเอง คดิ เปน็ รอ้ ยละ 61.30 ส่วนใหญเ่ รมิ่ ใชส้ ื่อดจิ ทิ ลั เมือ่ อายุ 6 – 9 ปี คิดเปน็ รอ้ ยละ 53.80 รองลงมา คอื อายุ 3 – 5 ปี ร้อยละ 28.30 และเรม่ิ ใชส้ ่อื ดจิ ิทลั มาเปน็ ระยะเวลานอ้ ยกวา่ 6 เดือน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 51.40 ใชส้ อื่ ดจิ ทิ ลั มาแล้วเปน็ ระยะเวลาประมาณ 1 – 2 ปี รอ้ ยละ 41.00 ในขณะทรี่ ้อยละ 7.60 ระบุวา่ บุตร หลานใช้สอ่ื ดจิ ทิ ลั มาแล้วเป็นระยะเวลา 6 เดอื น - 1ปี เดก็ สว่ นใหญใ่ ช้สือ่ ดจิ ทิ ัล ‘ครง้ั แรก’ ในขณะทอี่ ยูก่ บั บิดา หรือมารดา รอ้ ยละ 73.60 ผู้ปกครองรอ้ ยละ 70.75 ระบวุ ่าตนมกี ารกาํ หนดกติกาในการใช้สอื่ ดจิ ทิ ลั ในขณะท่ีอีกร้อยละ 29.25 ไม่มีการกําหนดกติกา อย่างไรก็ตามเมื่อสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์เสี่ยงในการใช้สื่อของบุตรหลาน ผู้ปกครองส่วนใหญ่ ‘ไม่ทราบ’ ขอ้ มูล ใดๆ เกย่ี วกบั การใชส้ ือ่ ของเด็ก เช่น สถานการณ์เสีย่ งในการถูกขอข้อมูล ส่วนตัว การพบเห็นเน้ือหาที่ไมเ่ หมาะสม การถกู เชิญชวนให้ซื้อ-ขาย เชน่ อาวธุ สรุ า บุหร่ี ยาเสพตดิ ผลิตภณั ฑ์ เกี่ยวกับการกระตุ้นสมรรถนะทางเพศ การถูกเชิญชวนให้ซื้อสินค้าออนไลน์ เช่น เกมออนไลน์ การพนัน ออนไลน์ (4) ด้านบทบาทการส่งเสริมการรูเ้ ทา่ ทันสือ่ ดิจทิ ัลใหก้ ับบตุ รหลาน ผู้ปกครองของเด็กอายุ 6 – 13 ปี เห็นด้วยว่าผู้ปกครองไม่ควรใช้โปรแกรมตดิ ตามการใชส้ ื่อดจิ ิทลั ของบุตรหลาน คิดเป็นค่าเฉลี่ย 3.93 เด็กควรตัดสินใจได้โดยอิสระว่าต้องการ ใช้สื่อดิจิทัลในช่วงเวลาใด คิด เป็นค่าเฉล่ีย 2.92 เด็กสามารถใชส้ ่อื ดิจิทลั ได้โดยลำพงั คดิ เป็นคา่ เฉลีย่ 2.87 ข้อมลู ดงั กลา่ วสะท้อนแนวโน้ม ความคิดเห็นของผปู้ กครองในการให้โอกาสและอสิ ระกบั เด็กในการเลือกและตดั สนิ ใจใช้สอ่ื ดิจิทัลต้งั แต่อายุยัง น้อย อย่างไรก็ตามเมื่อสอบถามถึงบทบาทในการให้คำแนะนำในการใช้สื่อดิจิทัล ผู้ปกครองระบุว่าตนให้ คำแนะนำในระดับบ่อยครั้ง สามอันดับแรกได้แก่ การให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเลือกเนื้อหาและรายการที่ เหมาะสม คิดเป็นค่าเฉลยี่ 4.05 การใหค้ ำแนะนำเกีย่ วกบั การฝึกวินยั ในการใช้สอ่ื ดจิ ทิ ลั คิดเปน็ คา่ เฉลยี่ 4.03 และการพูดคุยเก่ยี วกับตวั อยา่ งการใชส้ อ่ื ดจิ ทิ ลั ที่ดีและไมด่ ี คดิ เป็นค่าเฉลยี่ 3.95 ในขณะท่ีผปู้ กครองส่วนใหญ่ แทบจะไมใ่ หค้ ำแนะนำและความรเู้ ก่ียวกบั วิธกี ารพิจารณาขอ้ มลู ที่จริงและไม่จรงิ คดิ เป็นค่าเฉลี่ย 2.35 ผู้ปกครองของเด็กอายุ 6 – 13 ปี ส่วนใหญ่มีความมั่นใจว่าตนเองมีความรู้เพียงพอในการให้ คำแนะนำความรูเ้ กี่ยวกบั การใชส้ ่อื ใหก้ บั บตุ รหลาน โดยเฉพาะอย่างยง่ิ เช่อื ม่นั วา่ ตนสามารถแนะนำบตุ รหลาน ไดว้ า่ ภาพ เนือ้ หา หรอื แอพลิเคชั่นใดท่เี ปน็ ประโยชน์ในการสง่ เสริมการเรียนรู้ คดิ เปน็ คา่ เฉล่ีย 2.58 สามารถ สอนให้บุตรหลานแยกแยะไดว้ า่ ขอ้ มลู ใดน่าเชื่อถอื หรอื ไมน่ ่าเช่ือถือ จริงหรือไม่จริง คิดเป็นคา่ เฉล่ยี 2.55 และ สามารถให้คำแนะนำที่เหมาะสมเกี่ยวกับการถ่ายภาพ จัดทำคลิปเพื่อเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต สื่อสังคม ออนไลน์ ยทู ูป คดิ เปน็ ค่าเฉลยี่ 2.51 ผลการวิจยั พบวา่ เมอ่ื เปรียบเทียบพฤตกิ รรมการใชส้ ่ือของผปู้ กครองท้งั สามกลมุ่ พบวา่ ผูป้ กครองทงั้ สาม กลุ่มมีพฤติกรรมการใช้สื่อที่ไม่ต่างกัน กล่าวคือ โดยส่วนใหญ่ใช้สมาร์ทโฟน และนิยมใช้แอพลิเคชั่น ได้แก่ เฟสบุค๊ และไลน์ อย่างไรก็ตามกลุ่มผู้ปกครองของเด็กอายุ 0-2 ปี 11 เดือน มีปริมาณการใช้งานสื่อดิจิทัลต่อ 194

วันทสี่ ูงกวา่ ผู้ปกครองกลุ่มอ่นื คือใช้งานสือ่ ดิจิทลั เฉลยี่ วันละ 3-5 ชม. ในขณะทกี่ ลุม่ ตวั อยา่ งผปู้ กครองทีม่ บี ตุ ร หลานอยู่ในช่วงอายุ 3-5 ปี 11 เดือน และ 6-13 ปี ส่วนใหญ่ใช้งานสื่อดิจิทัลเฉลี่ยวันละ 1-3 ชม. และเม่ือ เปรียบเทียบกลุ่มผู้ปกครองทั้งสามกลุ่ม พบว่า ผู้ปกครองของเด็กอายุ 3 – 5 ปี 11 เดือน ให้บุตรหลานใช้ อุปกรณส์ อื่ ดจิ ทิ ัล เช่น สมารท์ โฟน แทบ็ เล็ต ไอแพดของตนเอง สงู เป็นอนั ดบั หนึ่ง อันดบั สองคอื กล่มุ ผปู้ กครอง ของเดก็ อายุ 6 – 13 ปี และตามดว้ ยกลมุ่ ผู้ปกครองของเดก็ อายุ 0-2 ปี 11 เดือน ผปู้ กครองของเด็กอายุ 6 – 13 ปี ส่วนใหญ่มีส่วนร่วมในการใช้สื่อดิจิทัลของบุตรหลานเฉพาะ ‘เมื่อมีโอกาส’ ซึ่งแตกต่างจากกลุ่ม ผู้ปกครองของเด็กอายุ 0-2 ปี 11 เดือน และ 3 – 5 ปี 11 เดอื น ทมี่ สี ว่ นรว่ มในการใชส้ ื่อดิจิทลั ของบตุ รหลาน ‘ทุกครั้ง’ นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ปกครองของเด็กอายุ 6 – 13 ปี ใช้สื่อดิจิทลั ร่วมกนั กับเด็กเพือ่ ทำกิจกรรม พัฒนาทกั ษะการเรยี นในระดบั นอ้ ยกว่าผู้ปกครองของเด็กอายุ 3 – 5 ปี 11 เดอื น และมแี นวโน้มที่จะกำหนด กตกิ าในการใช้สอื่ ในครอบครวั เปน็ อันดับสองรองจากครอบครัวเด็กอายุ 3 – 5 ปี 11 เดอื น เปน็ ทน่ี า่ สนใจว่า ผู้ปกครองของเด็กอายุ 6 – 13 ปี ส่วนใหญ่ระบุวา่ ตนไมเ่ ห็นด้วยอย่างยิ่งกับการท่ี เด็กจะส่ือดิจิทลั เปน็ ของตนเอง ในขณะที่ให้ข้อมลู ว่าบุตรหลานของตนมสี มารท์ โฟนเปน็ ของตนเอง รวมถงึ ระบุ ว่าตนมีความมั่นใจว่ามีความรู้เพยี งพอในการให้คำแนะนำความรูเ้ กี่ยวกับการใช้สื่อให้กับบุตรหลาน รวมถึง ประเดน็ ของการสอนให้บุตรหลานแยกแยะได้วา่ ขอ้ มูลใดนา่ เชอ่ื ถือหรอื ไมน่ า่ เชื่อถือ จรงิ หรอื ไมจ่ ริงได้ ในขณะ ที่ให้ขอ้ มูลวา่ ตนแทบจะไมใ่ ห้คำแนะนำและความรู้เกย่ี วกับวธิ กี ารพจิ ารณาขอ้ มูลท่จี ริงและไมจ่ ริง ความย้อน แยง้ ของการให้ข้อมูลน้ี อาจสะทอ้ นถึงข้อจำกัดทางดา้ นความรเู้ ก่ียวกบั เรือ่ งดังกลา่ วของผูป้ กครอง ส่วนท่ี 3 ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งพฤตกิ รรมเสีย่ งในการใชส้ ือ่ ออนไลน์และพัฒนาการของเด็ก ความรู้ ความสามารถของผู้ปกครองในการกำกบั ดูแลการใชส้ ่ือของเด็ก และรปู แบบการเลยี้ งดู และความผูกพันในครอบครวั ด้านพฒั นาการเด็กอายุ 0-2 ปี 11 เดือน จากการศกึ ษาวจิ ยั คร้งั นพ้ี บว่าเดก็ ปฐมวัยอายแุ รกเกดิ - 2 ปี 11 เดอื น มพี ัฒนาการดา้ นภาษาล่าช้า ร้อยละ 23.1 เดก็ ปฐมวยั อายุ 3-5 ปี 11 เดือน มพี ฒั นาการด้านภาษาล่าชา้ ที่สดุ รอ้ ยละ 13 รองลงมาคือด้าน สังคมและการชว่ ยเหลือตนเองรอ้ ยละ 9.1 ซงึ่ สอดคลอ้ งกับรายงานการศึกษาปัจจยั ท่ีมผี ลตอ่ พฒั นาการเด็ก ปฐมวยั ปี พ.ศ. 2560 ของสำนกั สง่ เสรมิ สุขภาพ กรมอนามยั ทีพ่ บวา่ พัฒนาการดา้ นทเี่ ด็กไทยมปี ัญหาล่าชา้ มากทสี่ ุดคือดา้ นภาษา ซ่ึงจากการเกบ็ ข้อมลู พฒั นาการเดก็ ของปพี .ศ. 2557 และ 2560 พบว่าเดก็ ไทยมี พฒั นาการล่าชา้ ด้านภาษารอ้ ยละ 38.2 และ 23.6 ตามลำดับ (กรมอนามยั , 2561) จากการศกึ ษานย้ี ังพบว่า เดก็ ทมี่ กี ารใชส้ ่ือดจิ ิทลั จะมีพฒั นาการล่าช้าดา้ นภาษามากกว่าด้านอ่นื ๆ ซึง่ สอดคลอ้ งกบั บทความวิจัย ของ Daniel R. Anderson and Kaveri Subrahmanyam (2017) ท่พี บว่า เดก็ อายตุ ่ำกว่า 2 ปี ท่ีดูโทรทศั นจ์ ะมี พฒั นาการด้านภาษาล่าช้า และมปี ัญหาด้านการคดิ เชิงบรหิ าร (Executive Function) 195

ด้านทกั ษะการคดิ เชงิ บริหาร (Executive Functions : EF) ของเดก็ อายุ 3-5 ปี 11 เดือน และ 6-13 ปี จากการประเมนิ ทกั ษะการคดิ เชงิ บรหิ าร (EF) เดก็ ปฐมวัยในช่วงอายุ 3-5 ปี 11 เดือนท่เี ข้าร่วม โครงการ พบว่า เด็กจำนวน 36 คน มที ักษะ EF ภาพรวม อย่ใู นระดับเกณฑป์ กติ รอ้ ยละ 91.7 (33 คน) และ มีทกั ษะ EF อยู่ในระดบั ตำ่ กว่าเกณฑ์ รอ้ ยละ 8.3 (3 คน) และเมอื่ จำแนกตามรายดา้ น ทั้งดา้ นการยบั ยัง้ ชงั่ ใจ (Inhibitory Control), ด้านการยดื หยุ่นความคดิ (Shift / Cognitive Flexibility), ดา้ นการควบคุมอารมณ์ (Emotion Control), ด้านความจำในขณะทำงาน (Working Memory) และด้านการวางแผนจดั การ (Planning and Organizing) ก็อยู่ในอยูใ่ นระดบั เกณฑป์ กตเิ ปน็ ส่วนใหญ่ ซึ่งสอดคลอ้ งกับปจั จัยเกอ้ื หนุนทีเ่ ออ้ื ตอ่ การพฒั นาทกั ษะ EF เดก็ จากการสอบถามขอ้ มลู จากผปู้ กครองในการศกึ ษาคร้ังน้ี ท่พี บว่าครอบครวั ของ เดก็ วยั น้ผี ้ปู กครองสมรสและอยดู่ ้วยกันถึงร้อยละ 87.50 เดก็ ไดร้ ับความรกั ความอบอนุ่ ในครอบครวั , ผปู้ กครอง มรี ะดบั การศกึ ษาที่ดีตงั้ แต่ระดบั ปริญญาตรีข้ึนไปถงึ รอ้ ยละ 67.85 ซง่ึ ส่งผลตอ่ ความรคู้ วามเข้าใจ และมรี ายได้ สูงกว่า 45,000 บาท ขึน้ ไปถงึ รอ้ ยละ 55.35 ซึง่ ครอบครัวมีความเพยี งพอในคา่ ครองชีพ ซ่งึ จากการศกึ ษาของ Merrill-Palmer Quarterly, 2014 พบว่ามเี ศรษฐานะท่ีดี เป็นตัวชว้ี ดั หนึ่งในการพยากรณท์ กั ษะ EF เด็กใน อนาคต และส่วนใหญร่ อ้ ยละ 89.0 มีพ่นี อ้ งจำนวน 1-2 คน ทำใหม้ ีเวลาในการดแู ลเด็กไดอ้ ยา่ งใกลช้ ิดเมื่อเทยี บ กับครอบครัวทม่ี ลี กู หลายคนทำให้ไมส่ ามารถดูแล สง่ เสรมิ กำกับตดิ ตามเด็กไดเ้ ต็มท,ี่ แม้ผู้ปกครองใช้สอ่ื ดจิ ิทลั ในขณะท่อี ยู่กับบุตรหลานแต่กไ็ มล่ ะเลยเดก็ พบวา่ สว่ นใหญเ่ ด็กรอ้ ยละ 94.60 ไมเ่ คยประสบอบุ ตั เิ หตใุ นขณะที่ ผู้ปกครองใช้สอื่ ดิจทิ ลั นอกจากนั้นผู้ปกครองของเดก็ ในชว่ งอายุ นสี้ ่วนใหญใ่ ชเ้ วลาทำกิจกรรมหรืองานอดิเรก เชน่ ปลกู ต้นไม้ ทำความสะอาดบ้าน ฯลฯ ด้วยกันกับบุตรหลานเฉลย่ี วันละ 1-3 ชม.ถึงมากกวา่ 5 ชัว่ โมงข้ึนไป ถึงถงึ ร้อยละ 71.40 ผลการวิจัยข้างตน้ สอดคลอ้ งกบั การศกึ ษาของ Adele Diamond (Adele Diamond, 2013) หากเดก็ ทไ่ี ดร้ บั การสง่ เสรมิ ประสบการณ์การเรยี นรูต้ ั้งแตเ่ นน่ิ ๆ ผา่ นกิจกรรมตา่ งๆ เช่น ดนตรี ศิลปะ หรอื กจิ วัตรประจำ วนั ท่ที ำให้เดก็ ไดส้ นุกกบั การเรยี นรู้ ช่วยพฒั นากล้ามเนื้อมัดเลก็ กลา้ มเนอ้ื มัดใหญ่ ทกั ษะภาษาและทกั ษะสงั คม ทำให้ร่างกายแขง็ แรง มจี ติ อาสา มคี วามมั่นใจและภูมใิ จในตนเอง จะนำไปสู่การพัฒนาทกั ษะ EF นอกจากนนั้ การทผี่ ้ปู กครองกบั กจิ กรรมใหมๆ่ รว่ มกบั บุตรหลานนน้ั เปน็ การส่งเสรมิ EF เพราะในสถานการณ์ใหมท่ ี่ไม่ คุน้ เคย เด็กตอ้ งใช้ทกั ษะ EF เพอื่ ช่วยในการตดั สนิ ใจเลือกทำสงิ่ ทจี่ ะพาไปสคู่ วามสำเรจ็ (Gilbert and Burgess, 2008) แมผ้ ู้ปกครองจะใหเ้ ดก็ ใช้ส่ือแตพ่ บวา่ สว่ นมากร้อยละ 44.64 มีสว่ นร่วมทุกครงั้ และมสี ่วนร่วม บอ่ ยครง้ั รอ้ ยละ 32.16 รวมทงั้ ตดิ ตามหรือสงั เกตการณ์ใชส้ ่อื ดจิ ทิ ลั ของเดก็ มีการกําหนดกติกาในการใช้ส่ือ ดิจทิ ัลของบตุ รหลานภายในครอบครัว ถึงร้อยละ 91.10 แมจ้ ะมกี ารกำหนดกติกาแตย่ ังพบวา่ ผปู้ กครองเคยมี การโต้เถยี ง ขัดแยง้ หรอื ทะเลาะกนั กบั บตุ รหลานเก่ยี วกบั การใช้สื่อดิจทิ ัล รอ้ ยละ 69.0 อาจเนอื่ งจากเด็กวัยน้ี พฒั นาการทักษะ EF ในด้านการควบคุมตนเอง อยใู่ นช่วงการพฒั นา อาจหยุดพฤติกรรม และยบั ยงั้ ช่งั ใจตนเอง ไดไ้ มด่ ีนัก ซึง่ ผปู้ กครองส่วนใหญจ่ ะใช้วธิ ีการจัดการปญั หาเมอื่ มีการโต้เถยี ง ขัดแย้งกบั เดก็ ด้วยการอธิบายด้วย เหตผุ ล ให้คำแนะนำหรอื ให้ความรู้ ไมใ่ ชอ้ ารมณถ์ งึ รอ้ ยละ 63.4 ซ่ึงสอดคล้องกบั การเป็นตน้ แบบในการใช้ ทกั ษะ EF ในการคดิ วเิ คราะห์ใช้เหตผุ ล ควบคุมอารมณ์แกเ่ ดก็ อีกด้วย ซ่งึ ควรสง่ เสรมิ ตงั้ แตใ่ นช่วงวัย 3 – 5 ปี ซึ่งเป็นชว่ งหนา้ ตา่ งแห่งโอกาส (window of opportunity) เด็กท่ีไดร้ บั การพัฒนาในช่วงนจี้ ะสง่ ผลใหเ้ ดก็ 196

ควบคมุ ตัวเองได้ดี มที ักษะ EF ทดี่ เี มื่อเตบิ โตข้นึ ต่อไป (Center on the Developing Child at Harvard University, 2011) นอกจากนผ้ี ลการวิจยั ยงั พบวา่ ผปู้ กครองเดก็ ปฐมวยั ในช่วงอายุ 3-5 ปี 11 เดอื น สว่ นใหญม่ บี ทบาทใน การสง่ เสรมิ การรเู้ ท่าทันส่ือดิจทิ ัลใหก้ บั เด็ก และสามารถแนะนำบุตรหลานไดว้ า่ ภาพ เนอ้ื หา หรอื แอพลิเคช่นั ใดทไ่ี ม่เหมาะสม ไม่ควรเลียนแบบ ควรหลกี เลย่ี ง และสว่ นใหญ่เดก็ ดรู ายการทเี่ หมาะสมและสร้างสรรค์กบั เดก็ เช่น การ์ตูน ฟังนทิ าน ฟงั เพลง มวิ สคิ วดิ ีโอพฒั นาทกั ษะการเรยี นรู้เช่น การออกเสยี ง, การสะกดคําหรือ ตวั อกั ษร, การคดิ เลข, วาดภาพระบายสี และวีดีโอคอลคยุ กับผปู้ กครองหรือญาตสิ ง่ ผลตอ่ สมั พันธภาพใน ครอบครวั และเด็กส่วนใหญร่ อ้ ยละ 98.2 ใช้สอ่ื นอ้ ยกวา่ 1 ชั่วโมง ท้งั น้ผี ปู้ กครองยงั ใชส้ ื่อเป็นแรงเสรมิ ทางบวก โดยใช้สมารท์ โฟนเป็นรางวัล เมอื่ เดก็ ทำสิง่ ท่ี มอบหมายเรยี บร้อย เชน่ ทำการบ้าน ทานอาหาร อาบน้ำ หรอื ช่วยงานบา้ นเสรจ็ แล้ว เพราะชมเชยเม่อื เดก็ ทำไดเ้ ป็นแรงจงู ใจทางบวก ร่วมกบั ฝกึ ฝนสมำ่ เสมอร่วมในกจิ กรรม ประจำวัน (Ackerman, 2017) ด้านสถานการณเ์ ส่ียงในการใช้สอ่ื เช่น การเข้าถงึ สื่อที่มีความรุนแรง หรืออื่นๆ พบวา่ เดก็ ในช่วงวยั นี้อยู่ ในระดับไมเ่ คยอยใู่ นสถานการณ์เส่ียงด้านการเขา้ ถึงสอ่ื เชงิ ลบ นอกจากนน้ั ในปจั จัยด้านการอบรมเล้ยี งดพู บว่า ผ้ปู กครองของเดก็ อายุ 3-5 ปี 11 เดอื น สว่ นใหญ่ มีรปู แบบการเลี้ยงดแู บบเอาใจใส่ (Authoritative Parenting Style) คดิ เปน็ ร้อยละ 98.2 โดยเม่อื พจิ ารณาในรายขอ้ พบว่า ผปู้ กครองสว่ นใหญม่ รี ปู แบบการเล้ียงดูแบบเอา ใจใสใ่ นลกั ษณะสนบั สนุน มากทส่ี ดุ คดิ เปน็ ร้อยละ 45.5 และเมื่อศกึ ษาความสมั พันธ์พบว่ามีความสัมพนั ธอ์ ย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติทร่ี ะดบั 0.05 ในระหว่างพฤติกรรมการเลน่ เกมออนไลนข์ องเดก็ กบั การกำกบั ดูแลการใช้ส่อื ของผปู้ กครอง เชน่ เวลาการใช้ส่ือ การตดิ ตามรเู้ ทา่ ทนั การใช้ส่ือของเด็กเปน็ ตน้ ซ่ึงสง่ ผลตอ่ การพฒั นาทกั ษะ EF ของเดก็ ในวัยนไี้ ด้ดี ทำให้เด็กช่วงวยั นมี้ ที ักษะ EF เดก็ อยใู่ นระดบั เกณฑป์ กติ ถงึ ร้อยละ 91.7 ในส่วนสถานการณ์ทกั ษะการคดิ เชงิ บรหิ ารของเด็กในช่วงอายุ 6 – 13 ปี พบว่า เด็กจำนวน 116 คน มีทักษะ EF ภาพรวม อยูใ่ นระดบั เกณฑ์ปกตแิ ละระดบั ดี รอ้ ยละ 70.7 (82 คน) โดยอยูใ่ นระดบั ดี รอ้ ยละ 2.6 (3 คน) นอกนั้นเด็กมที กั ษะ EF อยู่ในระดบั ตำ่ กวา่ เกณฑ์ ควรไดร้ บั การส่งเสรมิ ร้อยละ 29.3 (34 คน) และเมอื่ จำแนกตามรายด้าน ทง้ั ด้านการยบั ยงั้ ชง่ั ใจ (Inhibitory Control), ด้านการยดื หย่นุ ความคดิ (Shift / Cognitive Flexibility), ดา้ นการควบคมุ อารมณ์ (Emotion Control), ด้านความจำในขณะทำงาน (Working Memory) และด้านการวางแผนจดั การ (Planning and Organizing) กอ็ ยูใ่ นอยู่ในระดับเกณฑป์ กตเิ ปน็ ส่วน ใหญ่ ด้านที่ควรไดร้ ับการสง่ เสริมมากทสี่ ุดคอื ดา้ นการวางแผนจดั การ ร้อยละ 30.2 รองลงมาคอื ดา้ นความจำ ในขณะทำงาน ร้อยละ 30.2 ซึ่งสอดคล้องกบั ปจั จัยเกอ้ื หนุนทเี่ อ้ือต่อการพัฒนาทักษะ EF เด็ก จากการ สอบถามขอ้ มลู จากผ้ปู กครองในการศกึ ษาครง้ั นี้ ท่พี บว่าครอบครัวของเด็กวัยนผี้ ปู้ กครองส่วนใหญส่ มรสและ อยู่ด้วยกันถงึ ร้อยละ 72.65 เดก็ ได้รบั ความรักความอบอ่นุ ในครอบครัว แมจ้ ะมีการศกึ ษาและรายได้ไม่สงู นกั และส่วนใหญ่รอ้ ยละ 71.7 มจี ำนวนพน่ี อ้ งจำนวน 1-2 คน ทำใหม้ ีเวลาในการดแู ลเดก็ ไดอ้ ย่างใกล้ชดิ เมือ่ เทียบ กบั ครอบครวั ทมี่ ลี ูกหลายคนทำใหไ้ มส่ ามารถดแู ล สง่ เสริม กำกบั ตดิ ตามเด็กไดเ้ ต็มท่ี แมผ้ ปู้ กครองใชส้ ่ือดจิ ทิ ัล ในขณะทีอ่ ยกู่ ับบุตรหลานแต่ก็ไมล่ ะเลยเดก็ พบวา่ สว่ นใหญเ่ ด็กร้อยละ 89.60 ไมเ่ คยประสบอบุ ตั เิ หตุในขณะที่ ผู้ปกครองใชส้ อ่ื ดิจิทลั นอกจากนัน้ ผู้ปกครองของเดก็ ในช่วงอายนุ ้ี ใชเ้ วลาทำกจิ กรรมหรืองานอดิเรกเชน่ ปลูก 197

ตน้ ไม้ ทำความสะอาดบ้าน ฯลฯ ดว้ ยกันกับบุตรหลานเฉลย่ี วนั ละ 1-3 ชม. และน้อยกวา่ 1 ช่ัวโมง ร้อยละ 76.45, ผปู้ กครองรอ้ ยละ 20.80 มสี ว่ นร่วมทกุ ครงั้ ในขณะทบ่ี ตุ รหลานของทา่ นใชส้ ่อื ดจิ ทิ ลั เชน่ ชวนพูดคยุ เล่น เกมด้วยกัน สว่ นมสี ่วนรว่ มบอ่ ยครั้งร้อยละ 31.10 และมสี ว่ นร่วมเมอ่ื มีโอกาสร้อยละ 36.80 ผู้ปกครองเด็กในช่วงอายุ 6 – 13 ปี ส่วนใหญ่ มีบทบาทในการส่งเสริมการรู้เท่าทันสื่อดจิ ิทัลให้กับ บุตรหลานในด้านให้คำแนะนำเก่ียวกบั การเลือกเนื้อหา และรายการท่ีเหมาะสม อยู่ในระดับ บ่อยคร้ัง และ ผู้ปกครองคิดว่าตนเองสามารถแนะนำบุตรหลานในการใช้สื่อได้ โดยจากคะแนนเฉลี่ยมากที่สุดพบว่า ผู้ปกครองอยู่ในระดบั มน่ั ใจว่ามคี วามรเู้ พยี งพอทจี่ ะแนะนำบุตรหลานไดว้ า่ ภาพ เนอ้ื หา หรือแอพลิเคช่ัน ใดท่ี เป็นประโยชน์ ส่งเสริมการเรียนรู้แก่บุตรหลาน แม้ในยุคศตวรรษที่ 21 เราไม่สามารถแยกเด็กสื่อได้แต่หาก ผู้ปกครองและบุคคลแวดล้อมเด็กมีความรู้เท่าทัน คอยกำกับติดตามการใช้ส่ืออย่างใกล้ชิด รวมทั้งลดความ เส่ียงในการเสพส่ือเชงิ ลบดว้ ย สอดคลอ้ งจากการศึกษาในเดก็ อายุ 3-11 ปโี ดยควบคุมตัวแปรต่างๆเช่น ระดับ สติปัญญา เพศ และสถานภาพทางสังคม ให้คล้ายคลึงกนั พบว่าเด็กที่มีทักษะ EF ด้านการควบคุมตนเองตำ่ เช่น หุนหนั พลันแลน่ ไมม่ สี มาธจิ ดจอ่ กับสิ่งใด และขาดความเอาใจใส่ เมอ่ื เด็กเหลา่ น้โี ตขนึ้ เปน็ ผู้ใหญใ่ น 30 ปี ข้างหน้าจะมแี นวโนม้ สุขภาพดอ้ ยกว่า ทำงานที่มรี ายไดต้ ำ่ กว่าและมีอัตราการก่ออาชญากรรมสงู กว่าเด็กที่ไม่มี ปญั หาด้านการควบคุมตนเอง (Diamond and Lee 2011) ดังนั้นหากทุกภาคส่วนทอ่ี ยแู่ วดล้อมตัวเดก็ ช่วยกัน ก็จะช่วยให้เด็กสามารถพัฒนาทักษะ EF ในการควบคุมตนเอง ไม่ก่อให้เกิดปัญหาในสังคม เพราะสามารถ ยบั ยัง้ ช่ังใจตอ่ สงิ่ ย่วั ยตุ า่ งๆ มภี มู คิ ุ้มกนั ทจี่ ะเติบโตเปน็ ผู้ใหญ่ทมี่ คี ุณภาพตอ่ ไป เมื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์ความผูกพันระหว่างแม่กับลูกแบบ Attachment Anxiety และ Attachment Avoidance มีความสัมพันธ์ทางลบกับทักษะการคิดเชิงบริหาร ด้านความจำขณะทำงาน (Working Memory) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ rs = -0.479 , p<0.001 และ rs = -0.425 , p<0.05 ตามลำดับ สอดคล้องกับการศกึ ษาก่อนหนา้ นี้ อาทิเช่น งานวจิ ัย ของ Gokce & Harma (2018) พบว่า ภายใต้ เงื่อนไขที่แตกต่างกัน รูปแบบความสัมพันธ์แบบ Attachment Anxiety และ Attachment Avoidance ท้ัง สองแบบ ส่งผลตอ่ ความแตกตา่ งต่อประสิทธิภาพของทักษะ working memory ในทางลบ ขณะท่ี Edelstein, (2006) พบว่า ความผูกพันระหว่างแม่กับลูกแบบ Attachment Avoidance มีความสัมพันธ์เกี่ยวกับความ บกพร่องของความจำเก่ยี วกบั เน้ือหาและประสบการณ์ เชอ่ื มโยงเกยี่ วกบั การควบคมุ อารมณ์ ปญั หาพฤติกรรมในการใช้สื่อดิจทิ ัลพบไดม้ ากกว่าในรปู แบบความผูกพันผู้ปกครอง-บุตรแบบหลีกหนี (Avoidance attachment) เนอื่ งจากการศกึ ษาของ Muris และคณะพบว่า รปู แบบความผูกพันแบบหลีกหนี มีความสัมพันธ์กับการปฏิเสธหรือการผลักออกของพ่อแม่ (parental rejection) (Muris, Mayer and Meesters, 2000) ส่วนในรูปแบบความผูกพันแบบวติ กกังวลจะมีความสัมพันธ์กับการเล้ียงดูแบบวิตกกังวล และการเลี้ยงดูแบบปกป้องมากเกินไป (over protection) (Creswell, Murray, Stacey and Cooper, 2011) 198

ดา้ นภาวะสมาธสิ น้ั บกพรอ่ งทางการเรยี นรู้และออทสิ ซ่ึม (KUS-SI Rating Scales) ของเด็กอายุ 6-13 ปี ในสว่ นของการศกึ ษาภาวะสมาธิสนั้ บกพร่องทางการเรียนรแู้ ละออทสิ ซมึ่ (KUS-SI Rating Scales) พบวา่ กลมุ่ ตวั อย่างทท่ี ำการศกึ ษาครัง้ นีม้ ปี ญั หาดา้ นซน/วู่วามรอ้ ยละ 6.4 ด้านสมาธิใสใ่ จรอ้ ยละ 5.5 ดา้ นการ อ่านรอ้ ยละ 2.7 ดา้ นการเขียนร้อยละ 3.6 และดา้ นการคำนวณร้อยละ 4.5 ในจำนวนน้เี ปน็ เดก็ ที่มีพฤติกรรม เสีย่ งในการใชส้ ่อื ออนไลนม์ ีปัญหาดา้ นการคำนวณ และด้านสมาธใิ สใ่ จอยา่ งละ 1 คน ซ่ึงไม่สอดคลอ้ งกบั งานวิจัยของ Chaelin K. Ra. และคณะ (2018) ท่พี บวา่ จำนวนเดก็ วัยรุ่นทม่ี ีความถใี่ นการใชส้ ่อื ดจิ ทิ ลั มาก เท่าไรจะมแี นวโน้มที่มอี าการ ADHD มากข้ึนเทา่ น้ัน และงานวจิ ัยของ Ceranoglu. TA. และคณะ (2018) ท่ี พบวา่ สอื่ ดจิ ิทลั มีผลทางลบกบั เด็กท่ีมปี ญั หา ADHD ทงั้ ปญั หาเรอ่ื งการนอน ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น สมาธแิ ละ ทักษะทางการคิด ผลวิจยั ครัง้ น้ีไม่สอดคล้องกบั งานวจิ ัยอื่นๆ อาจเน่ืองจากปญั หาดา้ นสมาธแิ ละการเรยี นของ เดก็ ท่ีมีความถี่ในการใช้สือ่ ดจิ ทิ ัลจะเร่มิ เห็นเด่นชัดเมอ่ื เขา้ สวู่ ัยรนุ่ แตง่ านวิจยั ครง้ั นใ้ี ช้กลมุ่ ตัวอยา่ งอายุตำ่ กว่า 12 ปี ด้านรูปแบบการเลี้ยงดูและความผูกพันในครอบครวั ของเด็กอายุ 0-13 ปี ผลการศกึ ษารปู แบบการเล้ียงดู และความผกู พนั ระหวา่ งผูป้ กครองและบตุ รทมี่ คี วามสัมพันธก์ บั พฤตกิ รรมการใชส้ ือ่ ดิจทิ ลั ทงั้ ของผปู้ กครองและบตุ ร โดยทำการศกึ ษาในเด็กอายุ 0-13 ปี ในเขตจังหวดั นครปฐม พบว่ารปู แบบการเล้ยี งดูแบบเอาใจใสม่ คี ่าเฉลย่ี มากทส่ี ดุ ในผปู้ กครองของเดก็ อายุ 3-5 ปี 11 เดอื น รปู แบบการเล้ยี งดแู บบควบคุมมีคา่ เฉลี่ยมากท่ีสดุ ในผู้ปกครองของเดก็ อายุ 6-13 ปี และพบว่า รูปแบบการ เล้ยี งดแู บบตามใจมีค่าเฉล่ียมากที่สุดในผู้ปกครองของเดก็ อายุ 3-5 ปี 11 เดอื น สว่ นของความสมั พนั ธ์ระหว่างรปู แบบการเล้ยี งดกู บั การใช้สอื่ ดจิ ิทลั ของผู้ปกครองและเดก็ พบว่า รปู แบบการเล้ียงดูแบบเอาใจใสม่ ีความสมั พนั ธ์กับการใหบ้ ุตรหลานใชส้ อ่ื ดจิ ทิ ัลเชน่ สมารท์ โฟน แทบ็ เล็ต/ไอ แพด ระยะเวลาเฉล่ยี ตอ่ วนั ของการใช้สอ่ื ดจิ ทิ ลั ในขณะที่อยกู่ บั บุตรหลาน การที่บุตรหลานเคยประสบอบุ ัติเหตุ เชน่ ตกเตยี ง ตกบันได หกลม้ ในขณะทผ่ี ปู้ กครองกําลงั ใชส้ ื่อดจิ ทิ ลั และการมีการกาํ หนดกตกิ าในการใช้สื่อ ดิจทิ ลั ของบุตรหลานภายในครอบครัว รปู แบบการอบรมเลยี้ งดูแบบควบคมุ มีความสัมพนั ธ์กบั การทีบ่ ตุ รหลาน เคยประสบอบุ ตั เิ หตเุ ชน่ ตกเตียง ตกบันได หกลม้ ในขณะทผ่ี ้ปู กครองกําลงั ใชส้ ่ือดจิ ทิ ลั สว่ นรปู แบบการอบรม เลยี้ งดแู บบตามใจมคี วามสมั พันธก์ บั ระยะเวลาเฉลี่ยต่อวนั ของการใช้สอ่ื ดจิ ทิ ลั ในขณะทอ่ี ยกู่ ับบตุ รหลาน และ ระยะเวลาทีบ่ ตุ รหลานใช้ส่ือดจิ ทิ ลั อยา่ งมนี ัยสำคัญทางสถติ ิ เน่อื งจากการเลย้ี งดูแบบเอาใจใสเ่ ป็นการ ที่พอ่ แม่หรือผู้ปกครองปฏบิ ัตติ อ่ เดก็ ดว้ ยความยุตธิ รรมทั้งใน ด้านความรัก ความเอาใจใส่ มคี วามใกล้ชดิ กบั เด็ก พ่อแม่ยอมรบั ในความสามารถและความคดิ ของเดก็ มี เหตผุ ล ทาํ ให้เด็กสามารถแสดง ความคดิ เหน็ โตต้ อบ มคี วามเป็นตวั ของตัวเอง (ธร, 2009) พฤติกรรมในการใช้ สอ่ื ระยะเวลาในการใช้สอื่ ของบุตรหลานทไี่ ดร้ บั การเล้ยี งดรู ปู แบบนแ้ี สดงถงึ โอกาสมปี ญั หาพฤตกิ รรมในการใช้ สอ่ื ดิจทิ ลั เนอื่ งจากผปู้ กครองใหค้ วามอสิ ระกับเด็กตามวฒุ ภิ าวะ แต่ถึงอย่างไรกต็ ามได้มีการมกี ารกาํ หนดกตกิ า ในการใชส้ ือ่ ดจิ ทิ ัลของบุตรหลานภายในครอบครัว สอดคลอ้ งกบั งานวจิ ัยของ Fathi Mahmoud Ihmeideh พบว่า รปู แบบการเล้ยี งดแู บบเอาใจใส่ มีความสอดคล้องและทำนายการใช้ Internet ของเดก็ (Ihmeideh and 199

Shawareb, 2014) ผลลพั ธน์ ี้สามารถสะทอ้ นใหเ้ ห็นถงึ ความจริงท่ีวา่ ผู้ปกครองทส่ี นใจในการเรยี นรู้ของบุตร หลานอาจรบั รถู้ งึ ผลดีที่อินเทอรเ์ นต็ มตี อ่ พวกเขาเดก็ ๆ พวกเขาสนับสนุนการใช้อินเทอรเ์ น็ตของบุตรหลาน และคิดว่าอนิ เทอร์เนต็ สามารถนำมาใช้เพื่อใหเ้ ดก็ ได้รบั ผลทางบวก (Jones, 2005) ซง่ึ แตกตา่ งจากการศกึ ษา ของ Valcke M. และคณะ ท่พี บว่า เดก็ ท่ีมกี ารใช้ Internet น้อยท่ีสดุ คือการเลี้ยงดูแบบเอาใจใส่ (Valcke, Bonte, De Wever and Rots, 2010) การค้นพบบางสว่ นตรงกบั สงิ่ ที่ค้นพบจากการศกึ ษาอนื่ ของ Ihmeideh และ Shawareb (2014) ซง่ึ ระบุวา่ ความสมั พนั ธร์ ะหว่างรปู แบบการเลี้ยงดแู ละการใช้อินเทอร์เนต็ มี ความสำคัญ มกี ารใชอ้ ินเทอรเ์ น็ตมากทส่ี ดุ ลกู ของพอ่ แมท่ ่มี ีรปู แบบการเลยี้ งดูแบบเอาใจใส่ การค้นพบน้ี สามารถตคี วามไดใ้ นฐานะผปู้ กครองทมี่ อี ำนาจป้องกันไมใ่ หเ้ ด็กใชจ้ ่ายออนไลนม์ ากเกนิ ไปผ่านการตัง้ กฎ ตรวจสอบไฟล์กระบวนการใชอ้ ินเทอรเ์ นต็ และการแสดงความอบอุ่นและคำแนะนำ (Ihmeideh and Shawareb, 2014) ซึ่งตรงกันขา้ มกบั การเลีย้ งดูแบบแบบควบคมุ ท่ีพอ่ แม่หรอื ผปู้ กครองใช้ อาํ นาจเด็ดขาด ภายในบ้านมี การวางกฎเกณฑ์และจุดมุ่งหมายไว้ให้ เด็กปฏิบัตติ ามจะคอยควบคุมทัง้ พฤตกิ รรม และ ความคิด ถา้ เดก็ ไม่ ปฏบิ ตั ิตามกจ็ ะถกู ลงโทษ การอบรมเลย้ี งดทู ี่บิดามารดามคี วามเข้มงวดเรียกร้องสงู แตไ่ ม่ตอบสนองความ ต้องการของเดก็ โดยสนิ้ เชงิ มีการจัดระบบการควบคมุ และวางกฎเกณฑ์ใหเ้ ดก็ ปฏบิ ัติตามอยา่ งเขม้ งวด โดยมี การอธบิ ายน้อยมาก หรอื ไมม่ เี ลย เดก็ ตอ้ งยอมรบั ในคำพดู ของบดิ ามารดาวา่ เป็นส่ิงที่ถกู ตอ้ งเหมาะสมเสมอ มี การใช้อำนาจควบคมุ โดยวธิ บี งั คบั และลงโทษเมอื่ เด็กไมท่ ำตามความคาดหวงั ของบิดามารดา (Hoeve, Dubas, Gerris, van der Laan and Smeenk, 2011) ในกลุ่มนโี้ อกาสมีปญั หาพฤตกิ รรมในการใชส้ ่อื ดิจทิ ลั ของเด็กจะน้อย มเี พียงปัญหาการใชส้ อื่ ดิจทิ ลั ของตัวผู้ปกครองเอง การศึกษาครง้ั นพ้ี บว่า รปู แบบการอบรมเลย้ี งดแู บบตามใจมีความสัมพนั ธก์ ับระยะเวลาเฉลย่ี ตอ่ วัน ของการใช้สอื่ ดิจทิ ลั ในขณะทอ่ี ยู่กบั บุตรหลาน และระยะเวลาที่บุตรหลานใชส้ อื่ ดจิ ิทลั การเล้ยี งดูแบบตามใจท่ี พอ่ แม่หรือผู้ปกครองยินยอมใหบ้ ตุ รแสดงพฤตกิ รรมต่าง ๆ ไดต้ ามใจโดยไม่มีกฎเกณฑ์แมก้ ระทําผดิ ก็ไม่ถูกทาํ โทษ (Eswara, 1974; Rosenthal and Feldman, 1999) สอดคลอ้ ง Valcke M. และคณะ ท่พี บวา่ เดก็ ทมี่ ี การใช้ Internet มากทส่ี ุดคอื คอื รปู แบบการอบรมเล้ยี งดแู บบตามใจ (Ihmeideh and Shawareb, 2014) การเล้ยี งดูแบบตามใจให้ใหเ้ สรภี าพแก่บตุ รหลานอย่างเต็มทขี่ ณะใชอ้ ินเทอรเ์ นต็ และไมก่ ำหนดกฎเกณฑ์และ ข้อบงั คับใด ๆ เก่ียวกบั วธิ กี ารใช้อนิ เทอร์เน็ต ผ้ปู กครองท่ไี ดร้ บั อนญุ าตอาจเชื่อวา่ อนิ เทอรเ์ นต็ ปลอดภัยสำหรบั พวกเขา เดก็ หลายคนอาจติดต้ังเครอ่ื งมอื ซอฟตแ์ วรเ์ พอ่ื กรองและบล็อกไซตท์ ไ่ี มต่ ้องการและอ่ืน ๆ ด้วยวิธนี จี้ ะ สามารถปกปอ้ งบุตรหลานของตนและลดความเสี่ยงทางออนไลน์ได้ (Çankaya and Odabaşı, 2009) สว่ นของความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งชนิดของความผกู พัน (Attachment type) และรูปแบบการเลี้ยงดู (Parenting Style) ผลการวจิ ยั พบว่า รูปแบบการเล้ียงดแู บบรปู แบบการอบรมเล้ยี งดแู บบเอาใจใส่มี ความสมั พนั ธ์ทางลบกบั ความผกู พนั ชนดิ Anxiety และ Avoidance สว่ นรปู แบบการอบรมเลี้ยงดแู บบควบคุม และรปู แบบการอบรมเล้ียงดแู บบตามใจ (มคี วามสมั พันธ์ทางบวก กับ ความผกู พันชนิด Anxiety และ Avoidance ซึง่ สอดคลอ้ งของการศึกษา Çankaya S. และคณะ คือรปู แบบของความผกู พันแบบ avoidance และ anxiety attachment มีความสมั พนั ธ์กบั การดูแลแบบเอาใจใสน่ ้อย ซงึ่ จะเก่ียวข้องกบั การเลยี้ งดแู บบ 200

เอาใจใสท่ ล่ี ดลง และการเพ่มิ การเล้ียงดูแบบควบคมุ และรปู แบบการอบรมเลยี้ งดแู บบตามใจ บุคคลท่ีวิตก กงั วลและหลกี เลี่ยงจะมีกลยทุ ธ์การควบคมุ ที่แตกต่างกัน เม่ือระบบความผกู พนั ถกู กระตนุ้ อาจเป็นเร่ืองยาก สำหรับผู้ท่มี รี ูปแบบความผกู พนั แบบหลีกเล่ียง (โดยกลยุทธก์ ารควบคมุ จะเป็นการปฏเิ สธอารมณ์เชิงลบและ การแยกตวั ออกจากความสมั พนั ธ์) หรอื รปู แบบความผูกพนั แบบวติ กกงั วล กลยทุ ธ์การควบคุม จะเป็นการ ทำงานมากเกินไปของระบบความผูกพนั การหมกมุน่ ความใกล้ชิดมากเกินไปและตดิ ต่ออย่างใกลช้ ดิ ) เพือ่ นำเสนอการดูแลท่ีตอบสนอง การสือ่ สารทเี่ พียงพอและความตอ้ งการ (Çankaya and Odabaşı, 2009) ส่วนของความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบความผูกพันผู้ปกครอง-บุตรกบั การใชส้ ื่อดจิ ิทัลของผู้ปกครอง และเด็ก ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบความผูกพันผู้ปกครอง-บุตรแบบวิตกกังวล (Anxiety attachment) มี ความสัมพันธก์ ับ การที่บุตรหลานเคยประสบอุบตั ิเหตุเช่น ตกเตียง ตกบันได หกล้ม ในขณะทีต่ นกาํ ลังใช้สือ่ ดจิ ทิ ลั อายขุ องบตุ รหลานเมื่อเร่มิ ใช้สื่อดจิ ทิ ลั คร้ังแรก อายขุ องบุตรหลานของทา่ นมีสอ่ื ดิจทิ ลั เป็นของตนเอง สว่ นรูปแบบความผูกพนั ผูป้ กครอง-บตุ รแบบหลกี หนี (Avoidance attachment) มคี วามสมั พันธ์กับ การให้บตุ รหลานใช้สือ่ ดิจิทลั เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต/ไอแพด ของตนเอง การใช้เวลาทาํ กจิ กรรมหรืองาน อดิเรกร่วมกันเช่น ปลูกต้นไม้ ทําความสะอาดบ้าน ฯลฯ ด้วยกันเฉลี่ยในแต่ละวัน การมีส่วนรว่ มขณะทีบ่ ตุ ร หลานใช้สื่อดิจิทัล เช่น ชวนพูดคุย เล่นเกม ด้วยกัน อายุของบุตรหลานทีม่ ีสื่อดิจิทัลเป็นของตนเอง มีการ กําหนดกติกาในการใชส้ อ่ื ดิจิทลั ของบตุ รหลานภายในครอบครวั จากผลการศกึ ษาพบวา่ ปญั หาพฤตกิ รรมในการใช้สือ่ ดิจิทัลพบได้มากกว่าในรปู แบบความผกู พนั ผ้ปู กครอง-บตุ รแบบหลกี หนี (Avoidance attachment) เนอ่ื งจากการศกึ ษาของ Muris และคณะพบวา่ รปู แบบความผกู พันแบบหลีกหนมี ีความสัมพันธ์กับการปฏเิ สธหรอื การผลักออกของพ่อแม่ (parental rejection) (Muris, Mayer and Meesters, 2000) ส่วนในรปู แบบความผกู พันแบบวิตกกงั วลจะมี ความสัมพนั ธก์ ับการเลยี้ งดแู บบวิตกกงั วลและการเลีย้ งดูแบบปกป้องมากเกนิ ไป (over protection) (Creswell, Murray, Stacey and Cooper, 2011) ด้านการใช้สอ่ื ออนไลนข์ องเด็กอายุ 0-13 ปี (Parental Control of Children’s Online Media Uses) เด็กอายุ 0-2.11 ปี จากผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอยา่ งผ้ปู กครองท่มี บี ุตรหลานอายุ 0-2 ปี 11 เดือน หรืออยู่ในวยั ปฐมวัยความผูกพันระหวา่ งแมล่ กู มีความสมั พันธ์ทางบวกกบั การให้คำแนะนำในการใชส้ ่อื ดจิ ทิ ลั ของผปู้ กครอง อย่างมีนยั สำคญั ทางสถติ ิ (rs = 0.387 , p<0.05) เนื่องจากการสรา้ งความผูกพันระหว่างแม่ลกู โดยพอ่ แม่ซงึ่ เป็นผู้ที่มบี ทบาทสำคญั อยา่ งสงู ในส่วนของการให้คำแนะนำส่งเสรมิ โดยเฉพาะในการใชส้ ่ือดจิ ิทลั ของ ผ้ปู กครองเพ่อื ให้เด็กเรียนรอู้ ย่างเหมาะสมตามประเดน็ ทเ่ี ดก็ สนใจ สว่ นความร้เู ก่ียวกบั การใช้สอื่ ดิจทิ ลั ของ ผู้ปกครองมคี วามสมั พนั ธท์ างบวกกับการให้คำแนะนำในการใช้ส่ือดิจทิ ลั ของผปู้ กครองอยา่ งมีนัยสำคัญทาง สถติ ิ (rs = 0.553 , p<0.05) เนอื่ งจากผปุ้ กครองท่มี ีความรคู้ วามเข้าใจเป็นพ้นื ฐาน สามารถการให้คำแนะนำใน ทางบวก 201

ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการเล่นเกม/เกมออนไลน์ของเด็กอายุ 3 - 5 ปี 11 เดือน กับการ กำกับติดตามดูแลการใช้สื่อของเด็กโดยผู้ปกครอง พบว่ามีความสัมพันธ์กันอยา่ งมนี ยั สำคญั ทางสถิติที่ระดับ 0.05 ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ อลิสรา หล่อสมบูรณ์ (2560) ที่ศึกษาบทบาทของผู้ปกครองในการใช้ เทคโนโลยีและสือ่ ปฏิสัมพันธ์ กับเด็กวัยอนุบาลในโรงเรยี นสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษา เอกชน เขตคลองเตย โดยแบ่งการศกึ ษาออกเปน็ 2 ดา้ น คอื ด้านการมีสว่ นร่วมในการใชส้ อื่ และ ดา้ นการเฝ้า ระวังในการใชส้ ื่อ โดยที่ผู้ปกครองมีบทบาทในการใช้เทคโนโลยีและสื่อปฏิสมั พันธ์กับเด็กวัยอนุบาลโดยภาพ รวมอยูใ่ นระดบั มาก และด้านการมีสว่ นรว่ มในการใช้ส่ือมคี า่ เฉลยี่ สูงสดุ ทำใหเ้ หน็ ว่า ผู้ปกครองใหค้ วามสำคญั กบั การเป็นตวั อยา่ งในการใชส้ ่อื สว่ นด้านการเฝ้าระวงั พบวา่ ผู้ปครองมีบทบาทในการใชอ้ ิสระภายใตก้ ารดูแล อยู่ในระดบั มาก และพบวา่ เด็กมีการใช้ สื่ออย่างอสิ ระภายใตข้ อ้ ตกลงมีคา่ เฉลีย่ สูงสุด ซึ่งช้ีให้เห็นว่าพ่อแม่ให้ ความสำคญั กับการใชข้ ้อตกลงเพ่ือกำกบั ดแู ลเดก็ ในการใชส้ ่ือออนไลน์ และเกมออนไลน์ สำหรับความสัมพนั ธร์ ะหว่างระยะเวลาการใช้ส่อื ดจิ ทิ ัลเฉลย่ี ต่อวันของเด็กอายุ 3 - 5 ปี 11 เดอื น กบั การกำกบั ติดตามดูแลการใช้ส่ือของของเด็กโดยผ้ปู กครอง พบวา่ มคี วามสัมพนั ธก์ นั อยา่ งมีนัยสำคญั ทางสถิตทิ ี่ ระดับ 0.05 ซึ่งสอดคลอ้ ง งานวิจยั ของเรวณี ชัยเชาวรตั น์ และดร. นนทสรวง กลีบผ้ึง (2560) ที่พบวา่ การ ไม่ได้กำหนดระยะเวลาการใช้ และการขาดวินัยในการใช้สื่อ มีผลต่อพฤติกรรมการใช้สื่อ สารสนเทศ และ เทคโนโลยดี จิ ทิ ัลของเดก็ นกั เรยี นระดบั ประถมศึกษา ดังน้ัน การที่พ่อแม่ไมก่ ำกบั ติดตามดแู ลการใชส้ ่อื ของเด็ก อาจทำใหเ้ ด็กใชเ้ วลาทีม่ ากยงิ่ ขนึ้ ในการใช้สอื่ ดจิ ทิ ัลได้ ประกอบกับในวยั ช่วงวยั ปฐมวยั แรกเกดิ ถงึ 6 ปี เป็น วัยทผี่ ปู้ กครองสามารถพฒั นาสมรรถนะด้านการใช้สือ่ ให้กับเดก็ วยั นีไ้ ด้ การมุง่ เน้นตระหนกั ในสิทธิของตนเอง และผอู้ น่ื การเคารพกติกาของสงั คม และการมคี วามร้แู ละทักษะในการใชส้ ่ือและเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสืบค้น ข้อมลู อย่างง่ายด้วยความปลอดภัย (สถาบนั สอื่ เดก็ และเยาวชน, 2561) วัยนีจ้ ึงเป็นวัยที่เหมาะสมในการที่ ผู้ปกครองจะกำกับการใช้สอ่ื ของเด็กโดยกำหนดระยะเวลาทเ่ี หมาะสมในการใชส้ ือ่ อยา่ งไรก็ตามการศึกษาในประเทศไทยพบวา่ เด็กปฐมวัยสามารถเข้าถงึ สือ่ จากโทรศพั ท์มือถือสมาร์ท โฟน เด็กอายุต่ำกวา่ 2 ปีใช้เวลา 42 นาทีต่อวันอยู่หน้าจอสื่อ ใช้เวลาในการฟังเพลง 23 นาทีต่อวัน และใช้ เวลาในการอ่าน หรือ ฟังเร่ืองจากการอา่ น 21 นาทีต่อวนั โดยผ้ปู กครองอนุญาตให้เดก็ ใช้ส่ือเพ่ือกิจกรรม ความบันเทิง เช่น ดูการ์ตูน เล่นเกม และในหลายครอบครัวมิได้มีการกำหนด กฎกติกาในการใช้สื่อดิจิทัล (Common Sense, 2017) 202

ด้านทกั ษะการตัดสินใจ (Iowa Gambling Test: IGT) ของเดก็ อายุ 6-13 ปี ทมี่ คี วามเส่ียงในการใชส้ อ่ื ดิจทิ ลั วัยรนุ่ ช่วงอายุ 8-17 ปี จะเปน็ ชว่ งพฒั นาการทาง personale fable หรอื พฒั นาการตัดสินใจโดย ไมไ่ ดค้ าดการณถ์ ึงความเสี่ยงหรอื อนั ตรายท่ีอาจเกดิ ข้ึนได้ หรือไม่คิดวา่ เร่อื งร้ายแรงหรืออันตรายตา่ งๆจะเกดิ กบั ตวั เอง (sense of invulnerability) ปจั จบุ ันการเลอื กใช้สื่อและเวลาการใชส้ ่ือ อาจเปน็ ตัวแปรทส่ี ่งผลต่อ การรบั รู้ขอ้ มลู ผลกระทบดังกลา่ วอาจนำมาถงึ การมพี ฤติกรรมเส่ียง การศกึ ษาครงั้ นจี้ ึงได้ทำประเมินทกั ษะการ ตดั สนิ ใจของเด็กวยั 9-12 ปี ท่มี ีระดบั คะแนน executive function ตำ่ กว่าเกณฑ์ จากผลการศึกษาครง้ั น้ีพบวา่ เด็กกลุ่มดงั กล่าวมคี วามสามารถในการตดั สนิ ใจอยู่ในเกณฑป์ กติ ซงึ่ สอดคล้องกบั การศึกษา การเปรยี บเทียบ ระหว่าง executive function (EF) และ decision making (DM) ซ่ึงพบว่า ความสามารถในการตดั สนิ ใจในเดก็ เดก็ จะดกี ว่าผ้ใู หญ่ ในขณะที่ executive function จะแปรผันตรง ตามอายุ ซ่ึง ในเดก็ จะมี executive function น้อย ในขณะท่ี decision making จะมรี ะดับดีกว่า 203

บรรณานกุ รม บรรณานุกรมภาษาไทย จินตนา พัฒนพงศธ์ ร และวันนิสาห์ แก้วแข็งขัน. (2561). การศึกษาปจั จัยทมี่ ีผลตอ่ พฒั นาการ เดก็ ปฐมวัยไทย ครง้ั ที่ 6 พ.ศ. 2560. นนทบุรี: สำนกั สง่ เสรมิ สขุ ภาพ กรมอนามยั . ชชั ฎา อัครศรีสร นากาโอคะ, และ กฤชณัท แสนทวี. (2562). ปจั จยั ทีม่ อี ทิ ธพิ ลตอ่ การรู้เทา่ ทันข้อมลู และสอื่ ดจิ ทิ ลั ของเยาวชนในเขตกรุงเทพมหานคร. วารสารวชิ าการนวัตกรรมสือ่ สาร สังคม, 7(1). สบื คน้ 27 กุมภาพันธ์ 2563, จาก https://so06.tci-thaijo.org/index.php/ jcosci/article/view/199856/139651 ชัย, ส. ธ. น. ม. (2016). ครอบครัว การ อบรม เลี้ยงดู และ พัฒนาการ เดก็ ปฐมวยั ใน ประเทศไทย. Thai Journal of Public Health, 46(3), 205-210. ฐานติ า ไชยนนั ทน์. (2560). พฤติกรรมการใชส้ ื่ออินเทอรเ์ นต็ ของเดก็ นักเรยี นชัน้ ประถมศกึ ษา ปที ่ี 3 ในเขตกรุงเทพมหานคร (ปรญิ ญาวทิ ยาศาสตร์มหาบัณฑิต) จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั สบื ค้นเมือ่ 27 กมุ ภาพนั ธ์ 2563, จาก http://cuir.chula.ac.th/dspace/bitstream/123456789/59650/1/ 5874021530.pdf ดารณี อุทยั รตั นกจิ , ชาญวทิ ย์ พรนภดล และคณะ. (2550). แบบคดั กรองนกั เรียนทมี่ ีภาวะสมาธสิ ้นั บกพรอ่ ง ทางการเรียนรแู้ ละออทซิ มึ . ศูนยว์ จิ ัยการศึกษาเพื่อเด็กทต่ี อ้ งการความช่วยเหลอื พเิ ศษ.กรงุ เทพฯ:บรษิ ัท พฒั นาคุณภาพวิชาการ(พว.) จำกดั ธร, ด. ย. จ. ต. ย. โ. (2009). Diana Baumrind’s Parenting Styles. University of the Thai Chamber of Commerce Journal. นวลจนั ทร์ จฑุ าภกั ดกี ลุ , ปนัดดา ธนเศรษฐกร, อรพินท์ เลศิ อวัสดาตระกลู , นชุ นาฎ รกั ษี. (2560). การพัฒนา และหาคา่ เกณฑม์ าตราฐานเครือ่ งมอื ประเมนิ การคิดเชงิ บรหิ ารในเดก็ ปฐมวัย. รายงานการวิจัยฉบบั สมบรู ณ์. พิมพค์ รั้งท่ี 1. กรงุ เทพมหานครฯ: สถาบนั วิจยั ระบบสาธารณสขุ (สวรส.), ศูนยว์ จิ ัยประสาท วทิ ยาศาสตรส์ ถาบนั ชีววิทยาศาสตร์โมเลกลุ มหาวทิ ยาลัยมหดิ ล และสถาบันแหง่ ชาติเพอ่ื การพฒั นาเดก็ และครอบครวั มหาวทิ ยาลยั มหิดล. 229. 204

นวลจันทร์ จฑุ าภักดกี ลุ , ปนัดดา ธนเศรษฐกร, อรพนิ ท์ เลิศอวสั ดาตระกลู และนชุ นาฎ รักษ.ี (2557). รายงานโครงการวจิ ยั เรอื่ ง การพฒั นา และการหาเกณฑม์ าตรฐานเครอื่ งมอื ประเมินการคดิ เชงิ บรหิ ารในเดก็ ปฐมวัย. ศูนยว์ จิ ัยวิทยาศาสตร์ สถาบนั ชวี วทิ ยาศาสตร์โมเลกุล มหาวทิ ยาลยั มหิดล. หน้า 5-14. นติ ยา คชภักด.ี (2543). ขนั้ ตอนการพฒั นาของเดก็ ปฐมวัยต้ังแตป่ ฏสิ นธิ – 5 ปี. (พิมพ์ครง้ั ท่ี 1 ). กรุงเทพ : โรงพมิ พ์คุรสุ ภาลาดพรา้ ว. นิตยา คชภักดี และอรพินท์ เลศิ อวสั ดาตระกูล. คู่มอื การฝกึ อบรมการทดสอบพฒั นาการเด็กปฐมวยั . (พมิ พ์ ครั้งที่ 7). กรุงเทพ : Graphic One. พีรวิชญ์ คำเจรญิ , และวีรพงษ์ พลนกิ รกจิ . (2561). เดก็ กับการรเู้ ท่าทนั ดจิ ิทลั . วารสารวิชาการ นวตั กรรมสอื่ สารสงั คม, 6(2). สืบคน้ 29 มกราคม 2563, จาก https://so06.tci-thaijo.org/ index.php/jcosci/article/view/169372 ราณี วงศ์คงเดช อดศิ ร วงศค์ งเดช และ วสิษฐ์พล กลู พรม. (2561). พฤตกิ รรมการใชส้ ่ือของเด็กยุค ศตวรรษที่ 21. วารสารวิทยาลยั สงฆ์มหาลำปาง, 7(2). สืบคน้ 29 มกราคม 2563, จาก http://ojs.mcu.ac.th/index.php/lampang/article/view/4680/3414 วารสารทางการศึกษาจุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั , 13(3). สบื คน้ 16 กุมภาพนั ธ์ 2563, จาก https://so01.tci- thaijo.org/index.php/OJED/article/view/202443 สำนกั ขา่ วอิสรา (2556) การวิจัยเก่ียวกับสือ่ เพอื่ เด็กและเยาวชนยอ้ นหลัง 10 ป.ี สืบคน้ จาก https://www.isranews.org/about-us/download/169/23493/18.htm สำนักขา่ วอิสรา (2556) พบเด็กไทยรับสือ่ -เทคโนโลยสี มัยใหมเ่ ป็นปัจจัยท่ี 5 ของชวี ิต. สบื ค้นจาก https://www.isranews.org/thaireform-other-news/23502-พบเดก็ ไทยรบั สอ่ื -เทคโนโลยีสมยั ใหม่ เปน็ ปจั จัยที่-5-ของชีวิต.html สำนกั งานพฒั นาธุรกรรมทางอิเลก็ ทรอนกิ ส์. (2560). รายงานผลการสำรวจพฤตกิ รรมผใู้ ชอ้ ินเทอร์เน็ตใน ประเทศไทย ปี 2560. สบื ค้นจาก https://www.etda.or.th/publishing-detail/thailand-internet- user-profile-2017.html 205

สำนกั งานพฒั นาธุรกรรมทางอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์. (2555). สบื คน้ จาก https://www.etda.or.th/tha/index.html สำนักงานพฒั นาธุรกรรมทางอิเลก็ ทรอนกิ ส์. (2560). Cybersecurity Survey 2016. สบื คน้ จาก https://www.etda.or.th/publishing-detail/cybersecurity-survey-2016.html สำนกั งานสถติ ิแหง่ ชาติ กระทรวงเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ่ื สาร. (2560). การสำรวจการใช้เทคโนโลยี สารสนเทศและการสอ่ื สารในครัวเรอื น พ.ศ. 2560. กรงุ เทพฯ: สำนักสถิติพยากรณ์ สำนักงานสถติ ิ แหง่ ชาติ สำนกั งานสถิตแิ ห่งชาต.ิ (2560). จำนวนประชากรจากการทะเบียน จำแนกตามอายุ เพศ และจังหวดั พ.ศ. 2560. สบื ค้นจาก http://statbbi.nso.go.th/staticreport/page/sector/th/01.aspx สำนักงานสถิตแิ ห่งชาติ กระทรวงดจิ ทิ ัลเพอื่ เศรษฐกจิ และสงั คม. (ม.ป.ป.). การสำรวจการมกี ารใชเ้ ทคโนโลยี สารสนเทศและการสอื่ สาร ในครวั เรอื น พ.ศ. 2560. สืบค้น 1 สงิ หาคม 2561 จาก http://www.nso.go.th/sites/2014/DocLib13/ดา้ นICT/เทคโนโลยีในครวั เรอื น/ 2560/FullReportICT_60.pdf สถาบันสอ่ื เด็กและเยาวชน. (2561). ตารางตวั บง่ ช้พี ฤติกรรมการเทา่ ทันสอื่ สารสนเทศและ ดจิ ิทลั เพือ่ ส่งเสริมความเปน็ พลเมอื งในระบอบประชาธปิ ไตยระดับบคุ คล. เอกสารประกอบการประชมุ โครงการ พฒั นาตวั บง่ ช้กี ารเทา่ ทันส่ือ สารสนเทศ และดจิ ิทลั (MIDL) ระดบั บคุ คลเพื่อความสรา้ งความเป็น พลเมอื ง อภริ พี เศรษฐรักษ์ ตนั เจริญวงศ์, ศรรี ฐั ภักดรี ณชิต และ ญาณวุฒิ เศวตธติ กิ ลุ . (2561) พฤตกิ รรม การใช้หนา้ จอของเดก็ ไทยวัย 0-3 ปี ในเขตกรงุ เทพมหานคร. วารสารวิชาการนวตั กรรมสอื่ สารสงั คม. 6(12). สบื คน้ 16 กมุ ภาพันธ์ 2563, จาก https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jcosci/article/ view/169408/121876 อลสิ รา หลอ่ สมบรู ณ์. (2560). บทบาทของผูป้ กครองในการใช้เทคโนโลยีและสอ่ื ปฏสิ มั พนั ธก์ บั เด็ก วยั อนุบาลในโรงเรยี นสงั กัดสำนักงานคณะกรรมการสง่ เสรมิ การศึกษาเอกชน เขตคลองเตย. อัจฉรา วงศ์ชัยอดุ มโชค. (2560). บทบาทของผู้ปกครองในการใช้เทคโนโลยแี ละส่ือปฏิสัมพันธ์กบั เดก็ วยั อนุบาลในโรงเรยี นสังกดั สำนกั งานเขตพ้ืนทีก่ ารศกึ ษากรงุ เทพ เขตคลองเตย. วารสารทางการศกึ ษา จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย, 13(1). สืบค้น 16 กุมภาพนั ธ์ 2563, จาก https://so01.tci- thaijo.org/index.php/OJED/article/view/147635 206

บรรณานกุ รมภาษาองั กฤษ Altmann, T., and Roth, M. (2018). The Self-esteem Stability Scale (SESS) for Cross-Sectional Direct Assessment of Self-esteem Stability. Frontiers in Psychology, 9, 91. doi: 10.3389/fpsyg.2018.00091 American Academy of Pediatrics. (2018) American Academy of Pediatrics Announces New Recommendations for Childrend’s Media Use. Retrieved from https://www.aap.org/en-us/about-the-aap/aap-press-room/Pages/American-Academy-of- Pediatrics-Announces-New-Recommendations-for-Childrens-Media-Use.aspx Anderson, D. R., and Subrahmanyam, K. (2017). Digital Screen Media and Cognitive Development. Pediatrics, 14(Suppl 2), S57-S61. doi: 10.1542/peds.2016-1758C. Baitz, R. A. L. (2015). Adolescent online risk-taking: an experimental analysis of posting behaviour (Doctoral dissertation, University of British Columbia). Bianchi, A. and J. G. Phillips (2005). Psychological predictors of problem mobile phone use. Cyberpsychol Behav 8(1), 39-51. Baumrind, D. (1978). Parental disciplinary patterns and social competence in children. Youth & Society, 9(3), 239-267. Benoit, D. (2004). Infant-parent attachment: Definition, types, antecedents, measurement and outcome. Paediatrics & child health, 9(8), 541-545. Branley, D. B., and Covey, J. (2017). Is exposure to online content depicting risky behavior related to viewers' own risky behavior offline?. Computers in Human Behavior, 75, 283- 287. Branley, D. B., and Covey, J. (2018). Risky behavior via social media: The role of reasoned and social reactive pathways. Computers in Human Behavior, 78, 183-191. 207

Burns, S. B. J. (2007). Mothers with learning disabilities: Experiences and meanings of losing custody of their children. Children, 12(3), 3-14. Çankaya, S., and Odabaşı, H. F. (2009). Parental controls on children's computer and Internet use. Procedia-Social and Behavioral Sciences, 1(1), 1105-1109. Center of the developing child, Harvard University. (2012) Enhancing and Practicing Executive Function Skills with Children from Infancy to Adolescence. www. developingchild.harvard.edu. Center on the Developing Child at Harvard University. (2011) Building the Brain’s “Air Traffic Control” System : How Early Experiences Shape the Development of Executive Function Working paper 11. Ceranoglu TA. Inattention to Problematic Media Use Habits: Interaction Between Digital Media Use and Attention-Deficit/Hyperactivity Disorder. Child Adolesc Psychiatr Clin N Am. 2018;27(2):183-191. doi:10.1016/j.chc.2017.11.009 Chaelin K. Ra, Junhan Cho, Matthew D. Stone, Julianne De La Cerda, Nicholas I. Goldenson, Elizabeth Moroney, Irene Tung, Steve S. Lee, Adam M. Leventhal, JAMA. 2018; 320(3):255-263. doi: 10.1001/jama.2018.8931 Christakis, D. A. (2016). Focusing on the smaller adverse childhood experiences: The overlooked importance of aces. JAMA pediatrics, 170(8), 725-726. doi:10.1001/jamapediatrics.2016.0392. Common Sense. 2017. The Common Sense Census: Media Use By Kids Age Zero to Eight, 2017. Retrieved from https://www.commonsensemedia.org/research/zero-to-eight- childrens-media-use-in-america-2013 Condon, J. T., and Corkindale, C. J. (1998). The assessment of parent-to-infant attachment: Development of a self-report questionnaire instrument. Journal of Reproductive and Infant Psychology, 16, 57-76. 208

Creswell, C., Murray, L., Stacey, J., and Cooper, P. (2011). Parenting and child anxiety. Anxiety disorders in children and adolescents, 2, 299-322. Daniel R. Anderson, Kaveri Subrahmanyam. (2017). Digital Screen Media and Cognitive Development. Journal of the American Academy of Pediatrics, 140;S57 .DOI: 10.1542/peds.2016-1758C Debra J. Ackerman and Allison H. Friedman-Krauss. (2017) Preschoolers’ Executive Function: Importance, Contributors, Research Needs and Assessment Options. Policy Information Report and ETS Research Report Series ISSN 2330-8516. doi:10.1002/ets2.12148. DeFrain, J., and Asay, S. M. (2007). Strong families around the world: An introduction to the family strengths perspective. Marriage & Family Review, 41(1-2), 1-10. Diamond A. (2013) Activities and Programs That Improve Children’s Executive Functions. Current Directions in Psychological Science. 21(5), 335–341. Diamond A. (2014) Executive Functions. Annu Rev Psychol. 64, 135–168. doi: 10.1146/annurev-psych-113011 -143750. Erlandsson, K., Christensson, K., and Fagerberg, I. (2008). Fathers’ lived experiences of getting to know their baby while acting as primary caregivers immediately following birth. The Journal of Perinatal Education, 17(2), 28-36. Eswara, H. (1974). Family communication patterns and attitude change: An interpersonal approach to the study of social influence: Mysore: Prasaranga, University of Mysore. Finkelhor, D., Mitchell, K.J., and Wolak, J. (2001). Highlights of the Youth Internet Safety Survey. Juvenile Justice Fact Sheet – FS200104 (pgs. 1-2). Washington, DC: US Government Printing Office. 209

Finkelhor, D., Mitchell, K.J., and Wolak, J. (2000). Online victimization: A report on the nation’s youth. Alexandria, VA: National Center for Missing and Exploited Children. Finkelhor, D., Ormrod, R., Turner, H., and Hamby, S. L. (2005). The victimization of children and youth: A comprehensive, national survey. Child maltreatment, 10(1), 5-25. Frankenburg, WK., Dodds, J., Archer, P., Shapiro, H., Bresnick, B. (1992). The DENVER II: A major revision and re-standardization of the Denver Developmental Screening Test. Pediatric 89, 91-97. Fonseca, C. (2010). The digital divide and the cognitive divide: Reflections on the challenge of human development in the digital age. Information Technologies & International Development, 6(SE), 25-30. Gilbert S.J., Burgess P.W. (2008). Executive Function. Current Biology.18 R110-R114. Nation forum on early childhood policy and program. Gioia, G. A., Espy, K. A., and Isquith, P. K. (2003). The Behavior Rating Inventory of Executive Function-Preschool version (BRIEF-P). Odessa, Florida: Psychological Assessment Resources. Greenberg, M., and Morris, N. (1974). Engrossment: the newborn's impact upon the father. American journal of Orthopsychiatry, 44(4), 520. Groppe, K., and Elsner, B. (2015). The influence of hot and cool executive function on the development of eating styles related to overweight in children. Appetite, 87, 127-136. doi: 10.1016/j.appet.2014.12.203. Epub 2014 Dec 17. Hoeve, M., Dubas, J. S., Gerris, J. R., van der Laan, P. H., and Smeenk, W. (2011). Maternal and paternal parenting styles: Unique and combined links to adolescent and early adult delinquency. Journal of adolescence, 34(5), 813-827. 210

Hughes, K., Bellis, M. A., Hardcastle, K. A., Sethi, D., Butchart, A., Mikton, C., Jones L., and Dunne, M. P. (2017). The effect of multiple adverse childhood experiences on health: a systematic review and meta-analysis. The Lancet Public Health, 2(8), e356-e366. doi: 10.1016/S2468-2667(17)30118-4. Ihmeideh, F. M., and Shawareb, A. A. (2014). The association between Internet parenting styles and children’s use of the Internet at home. Journal of Research in Childhood Education, 28(4), 411-425. Jones, P. J. (2005). Resources for promoting online citizenship. Educational Leadership, 63(4), 41. Kabali, H. K., Irigoyen, M. M., Nunez-Davis, R., Budacki, J. G., Mohanty, S. H., Leister, K. P., and Bonner, R. L. (2015). Exposure and use of mobile media devices by young children. Pediatrics, peds-2015. Kennell, J. H., and Klaus, M. H. (1984). Mother-infant bonding: Weighing the evidence. Developmental Review, 4(3), 275-282. Kiatrungrit, K. and Hongsanguansri, S. (2014). Cross-sectional study of use of electronic media by secondary school students in Bangkok, Thailand. Shanghai archives of psychiatry. 26(4), 216-26. doi: 10.3969/j.issn.1002-0829.2014.04.005. Kim, S. (2008). 14 parenting styles and Children’s. Nurturing Children's Spirituality: Christian Perspectives and Best Practices, 233. Klaus, M., and Kennell, J. (1982). Interventions in the premature nursery: impact on development. Pediatric Clinics of North America, 29(5), 1263-1273. Lapierre, M.A., Piotrowski, J.T., and Linebarger, D.L. (2012, Nov). Background Television in the Homes of US Children. Pediatrics. 130(5), 839-46. doi: 10.1542/peds.2011-2581. 211

Maffey, G., Homans, H., Banks, K., and Arts, K. (2015). Digital Technology and Human Development. Ambio. 44(Suppl. 4), S527–S537. doi: 10.1007/s13280-015-0703-3 McEwen, B. S., Gray, J. D., and Nasca, C. (2015). Recognizing resilience: Learning from the effects of stress on the brain. Neurobiology of Stress, 1, 1–11. doi: 10.1016/j.ynstr.2014.09.001 McEwen, B. S. (2016). In pursuit of resilience: stress, epigenetics, and brain plasticity. Annals of the New York Academy of Sciences, 1373(1), 56-64. doi: 10.1111/nyas.13020. McEwen, B. S. (2017). Allostasis and the epigenetics of brain and body health over the life course: the brain on stress. jama Psychiatry, 74(6), 551-552. doi:10.1001/jamapsychiatry.2017.0270. McKenzie, D., and Swails, B. (2016, November 15) Psychic software? How a small social media company predicted Donald Trump's victory. CNN. [Online Video]. Retrieved from https://edition.cnn.com/2016/11/15/africa/south-africa-brandseye-trump- brexit/index.html McQuade, S. C., and Sampat, N. M. (2008). Survey of Internet and At-risk Behaviors: Undertaken by School Districts of Monroe County New York. McWayne, C. M., Owsianik, M., Green, L. E., and Fantuzzo, J. W. (2008). Parenting behaviors and preschool children's social and emotional skills: A question of the consequential validity of traditional parenting constructs for low-income African Americans. Early Childhood Research Quarterly, 23(2), 173-192. Moore, S. R., and Simpson, R. L. (1983). Teacher-pupil and peer verbal interactions of learning disabled, behavior-disordered, and nonhandicapped students. Learning Disability Quarterly, 6(3), 273-282. 212

Muris, P., Mayer, B., and Meesters, C. (2000). Self-reported attachment style, anxiety, and depression in children. Social Behavior and Personality: an international journal, 28(2), 157-162. Ofcom. (2018). Children and Parents Media Use and Attitudes Report 2018. Retrieved from https://www.ofcom.org.uk/research-and-data/media-literacy-research/adults/adults- media-use-and-attitudes Poon, K. (2017). Hot and Cool Executive Functions in Adolescence: Development and Contributions to Important Developmental Outcomes. Frontiers in Psychology, 8, 2311. doi: 10.3389/fpsyg.2017.02311 Pratama, A.R. (2018). Investigating Daily Mobile Device Use Among University Students in Indonesia. IOP Conf. Series: Materials Science and Engineering. 325(1), pp. 012004 doi:10.1088/1757-899X/325/1/012004 Racine, N., Madigan, S., Plamondon, A., McDonald, S., and Tough, S. (2018). Maternal Adverse Childhood Experiences and Infant Development. Pediatrics. 141(4), pii: e20172495. doi: 10.1542/peds.2017-2495. Epub 2018 Mar 20. Radesky, J. S., M. Silverstein, B. Zuckerman, and D. A. Christakis. (2014). Infant self-regulation and early childhood media exposure. Pediatrics. 133(5), e1172-1178. Reid Chassiakos, Y.L., Radesky, J., Christakis, D., Moreno, M.A., Cross, C., and COUNCIL ON COMMUNICATIONS AND MEDIA. (2016, November). Children and Adolescents and Digital Media. Pediatrics. 138(5), pii: e20162593. doi: 10.1542/peds.2016-2593 Rideout, V., Saphir, M., Pai, S., Rudd A. (2014) Zero to eight: children’s media use in America 2013. Common Sense Media. Retrieved from https:// www.commonsensemedia.org/research/ zero-to-eight-childrens-media-use-in- america- 2013. 213

Robinson, C. C., Mandleco, B., Olsen, S. F., and Hart, C. H. (1995). Authoritative, authoritarian, and permissive parenting practices: Development of a new measure. Psychological reports, 77(3), 819-830. Robinson, C. C., Mandleco, B., Olsen, S. F., and Hart, C. H. (2001). The Parenting Styles and Dimensions Questionnaire (PSDQ). In B. F. Perlmutter, J. Touliatos, and G. W. Holden (Eds.), Handbook of family measurement techniques: Vol. 3. Instruments & index (pp. 319 - 321). Thousand Oaks: Sage. Rosenthal, D. A., and Feldman, S. S. (1999). The importance of importance: adolescents' perceptions of parental communication about sexuality. Journal of adolescence, 22(6), 835-851. Sibley MH, Coxe SJ. Digital Media Use and ADHD Symptoms. JAMA. 2018;320(24):2599. doi:10.1001/jama.2018.18095. Smith, D. G., Xiao, L., and Bechara, A. (2012). Decision making in children and adolescents: Impaired Iowa Gambling Task performance in early adolescence. Developmental Psychology, 48(4), 1180–1187. Stamoulis, K., and Farley, F. (2010). Conceptual Approaches to Adolescent Online Risk- Taking. Cyberpsychology: Journal of Psychosocial Research on Cyberspace, 4(1), article 2. Retrieved from https://cyberpsychology.eu/article/view/4232/3276 Sonia Livingstone. (2010). EU Kids online. The London school of Economics and Political science 6 June 2016. Retrieved from https://lsedesignunit.com/EUKidsOnline/index.html?r=64 Valcke, M., Bonte, S., De Wever, B., and Rots, I. (2010). Internet parenting styles and the impact on Internet use of primary school children. Computers & Education, 55(2), 454-464. UNESCO. (2013). Global Media and Information Literacy Assessment Framework: country readiness and competencies. Retrieved from http://www.unesco.org/new/en/communication-and- 214

%20information/resources/publications-and-communication-materials/publications/full- %20%20%20list/global-media-and-information-literacy-assessment-framework/ White, C. M., Gummerum, M., and Hanoch, Y. (2015). Adolescents’ and young adults’ online risk taking: The role of gist and verbatim representations. Risk analysis, 35(8), 1407-1422. Yamane, T. (1973). Statistics: An Introductory Analysis. 3rd Edition, Harper and Row, New York. Ybarra, O. (2012). On-line social interactions and executive functions. Frontiers in human neuroscience, 6, 75. doi: 10.3389/fnhum.2012.00075 Gokce, A., & Harma, M. (2018). Attachment anxiety benefits from security priming: Evidence from working memory performance. Plos one, 13(3), e0193645. Edelstein, R. S. (2006). Attachment and emotional memory: Investigating the source and extent of avoidant memory impairments. Emotion, 6(2), 340–345 215

ภาคผนวก กิจกรรมทด่ี ำเนนิ งานพร้อมภาพประกอบ ลงพื้นท่ีเกบ็ ขอ้ มลู วจิ ยั และประเมินพฒั นาการโดยใชเ้ ครือ่ งมือ Denver II โรงพยาบาลสง่ เสรมิ สขุ ภาพตำบลบา้ นสาลวนั ธ

ลงพื้นทเี่ กบ็ ขอ้ มลู วิจยั และประเมินพัฒนาการโดยใชเ้ คร่อื งมอื Denver II โรงพยาบาลส่งเสรมิ สขุ ภาพตำบลมหาสวสั ด์ิ น

ลงพืน้ ท่ีเก็บขอ้ มูลวิจัยและประเมินพัฒนาการโดยใชเ้ คร่อื งมอื Denver II ศูนยเ์ ด็กเลก็ เทศบาลตำบลศาลายา บ

ลงพืน้ ท่ีเก็บขอ้ มูลวิจัยและประเมินพัฒนาการโดยใชเ้ คร่อื งมอื Denver II ศูนยเ์ ด็กเลก็ เทศบาลตำบลศาลายา ป



ลงพน้ื ที่เก็บข้อมลู วิจยั และประเมินพัฒนาการโดยใช้เครอ่ื งมือ Denver II ศูนยพ์ ฒั นาเด็กปฐมวยั สถาบนั แห่งชาติเพื่อการพัฒนาเดก็ และครอบครวั มหาวิทยาลยั มหดิ ล ฝ



หัวหนา้ โครงการและคณะผ้วู ิจยั หน่วยงาน สถาบนั แหง่ ชาติเพือ่ การพฒั นาเด็กและครอบครัว ท่อี ย่เู พือ่ การจัดสง่ ไปรษณยี ์ มหาวทิ ยาลัยมหิดล 999 ถ.พุทธมณฑลสาย 4 ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม 73170 ชื่อ-นามสกลุ ตำแหน่ง อเี มล์ ความรับผิดชอบ คุณวฒุ แิ ละสาขา ดร.นนทสรวง ตอ่ โครงการ ที่เชีย่ วชาญ กลีบผง้ึ หัวหน้า [email protected], โครงการ [email protected] วางแผน ดำเนนิ งาน และ ปรัชญาดุษฎบี ณั ฑติ รศ.นพ.อดิศักด์ิ กำกบั ติดตาม สาขาวชิ าส่ือมวลชนและ ผลิตผลการพิมพ์ นกั วิจยั [email protected] ความกา้ วหน้าตลอด วฒั นธรรมศกึ ษา ดร. ธรี ตา นักวจิ ยั [email protected] โครงการ (การรูเ้ ทา่ ทันสอ่ื ) ขำนอง แพทยศาสตรบณั ฑติ ดำเนินงาน ประเมิน สาขากุมารเวชศาสตร์ วเิ คราะหแ์ ละสรปุ ผล ปรชั ญาดุษฎีบัณฑติ ข้อมลู ด้านความรู้ สาขาพระพทุ ธศาสนา ความสามารถของ ครุศาสตรมหาบณั ฑติ ผู้ปกครองในการกำกบั สาขาวจิ ยั การศึกษา ดแู ลการใชส้ ื่อของเด็ก และพฤติกรรมเสี่ยงในการ ใช้สอ่ื ออนไลน์ของเด็ก นางอรพนิ ท์ นักวจิ ยั [email protected] ดำเนินงาน ประเมนิ ศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต เลิศอวัสดาตระกูล วิเคราะห์และสรุปผลขอ้ มลู สาขาการศกึ ษาพิเศษ ดา้ นพัฒนาการเดก็ ภาวะ ดร.นชุ นาฏ นักวิจยั [email protected] สมาธสิ นั้ บกพร่องทางการ รักษี เรียนรู้และออทิสซึ่ม ความจำและการเรียนรู้ ดำเนินงาน ประเมนิ ปรชั ญาดุษฎีบัณฑิต วเิ คราะหแ์ ละสรุปผลข้อมูล สาขาประสาทวิทยาศาสตร์ ดา้ นทกั ษะการรูค้ ดิ ฟ

ชือ่ -นามสกลุ ตำแหน่ง อีเมล์ ความรบั ผดิ ชอบ คณุ วุฒแิ ละสาขา ต่อโครงการ ที่เช่ยี วชาญ ดร.กันนิกา นักวิจยั [email protected] เพ่มิ พูนพัฒนา ดำเนนิ งาน ประเมนิ ปรชั ญาดษุ ฎีบณั ฑิต วิเคราะห์และสรปุ ผล สาขาประสาทวิทยาศาสตร์ ผศ.ดร.วสุนันท์ นักวจิ ยั [email protected] ข้อมูลดา้ นรปู แบบการ ช่มุ เชื้อ เล้ียงดู และความผกู พนั วทิ ยาศาสตรดษุ ฎีบัณฑิต ระหว่างมารดาและบุตร สาขาชีวเวชเคมี ดำเนินงาน ประเมิน วิเคราะห์และสรปุ ผล ขอ้ มลู ด้านทกั ษะการ ตัดสนิ ใจ ภ