Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore โครงการวิจัยเพื่อติดตามผลกระทบจากสารอาร์เซนิก แมงกานีส ไซยาไนด์ และฟื้นฟูภาวะ บกพร่อง ทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ในเด็กประถมศึกษาปีที่ 4-6

โครงการวิจัยเพื่อติดตามผลกระทบจากสารอาร์เซนิก แมงกานีส ไซยาไนด์ และฟื้นฟูภาวะ บกพร่อง ทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ในเด็กประถมศึกษาปีที่ 4-6

Published by ao.point03, 2021-05-31 02:04:29

Description: โครงการวิจัยเพื่อติดตามผลกระทบจากสารอาร์เซนิก แมงกานีส ไซยาไนด์ และฟื้นฟูภาวะบกพร่อง ทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ในเด็กประถมศึกษาปีที่ 4-6

Search

Read the Text Version

รายงาน โครงการวิจยั เพอ่ื ติดตามผลกระทบจากสารอารเ์ ซนิก แมงกานีส ไซยาไนด์ และฟ้นื ฟูภาวะ บกพรอ่ ง ทางสตปิ ัญญา กระบวนการร้คู ิด และการเรยี นรู้ในเดก็ ประถมศึกษาปีที่ 4-6 Research Project for Follow up the Effect of Arsenic, Manganese, Cyanide and Promotion of Cognitive and Learning Disability in Elementary School Grade 4-6 โดย สถาบนั แหง่ ชาติเพอ่ื การพฒั นาเด็กและครอบครวั มหาวิทยาลัยมหดิ ล งานวิจยั ฉบับน้ไี ด้รบั ทุนสนับสนุนสถาบันวิจยั ระบบสาธารณสุข (สวรส.) พทุ ธศักราช 2562 1

กิตติกรรมประกาศ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ได้รับทุนสนับสนุนงานวิจัย จาก สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ให้ดำเนินโครงการวิจัยเพื่อติดตามผลกระทบจากสารอาร์เซนิก แมงกานีส ไซยาไนด์ และฟ้นื ฟภู าวะบกพรอ่ งทางสติปญั ญา กระบวนการรูค้ ดิ และการเรยี นรู้ในเดก็ ประถมศึกษาปีที่ 4-6 โดย มี รองศาสตราจารย์ นายแพทย์อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการฯ และที่ปรึกษาโครงการ และ ดร.นุชนาฎ รักษี เป็นหัวหน้าแผนงานวิจัย การดำเนินงานวิจัยในครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี โดยได้รับความร่วมมือทั้งจาก ภายในและภายนอก ซง่ึ ทางผู้วิจัยและคณะวิจัย ขอกราบขอบพระคณุ เป็นอย่างสูงไว้ ณ โอกาสน้ี ขอขอบคุณผู้อำนวยการ รักษาการผู้อำนวยการ คณะครูและบุคลากรของโรงเรียนวิจัยนำร่องทั้ง 6 โรงเรียน ได้แก่ 1. โรงเรียนบ้านใหม่ราษฎร์ดำรง ต.เขาเจ็ดลูก อ.ทับคล้อ จ.พิจิตร 2. โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 60 (บ้านเขาตะพานนาก) ต.เขาเจ็ดลูก อ.ทับคล้อ จ.พิจิตร 3. โรงเรียนบ้านคีรีเทพนิมิต ต.เขาเจ็ดลูก อ.ทับคล้อ จ. พิจิตร 4. โรงเรียนบา้ นวังชะนาง ต.ทา้ ยดง อ.วังโปง่ จ.เพชรบูรณ์ 5. โรงเรียนบา้ นทงุ่ ยาว ต.วังโพรง อ.เนนิ มะปราง จ.พิษณุโลก และ 6. โรงเรยี นบา้ นวงั ขวัญ ต.วงั โพรง อ.เนนิ มะปราง จ.พษิ ณโุ ลก ท่ีเข้ารว่ มเปน็ หน่ึงในโรงเรียนวิจัย นำร่อง เสียสละทั้งเวลา สถานที่ และอำนวยความสะดวกให้กับคณะวิจัยในการดำเนินงานวิจัยตลอดทั้งโครงการ อย่างเตม็ กำลงั อีกทัง้ นกั เรยี นท่เี ขา้ ร่วมกจิ กรรมโครงการซ่ึงให้ความรว่ มมือในการเก็บข้อมูล และตัง้ ใจเต็มที่ในการ เข้าร่วมกิจกรรมกับทางโครงการ ขอขอบคุณผู้มีส่วนร่วมในชุมชน อันได้แก่ ตัวแทนจากอบต. รพ.สต. อสม. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ที่อยู่ใน บริเวณเขตพื้นที่โรงเรียนวิจัยนำร่อง ที่เสียสละเวลาอันมีค่า เข้าร่วมกิจกรรมและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ข้อมูลเชิง คณุ ภาพ เกย่ี วกบั ชมุ ชน สงั คม ครอบครัว เพอื่ ประโยชนต์ ่องานวจิ ยั ขอขอบคุณหน่วยงานและตัวแทนที่เกี่ยวข้องในพื้นท่ี ได้แก่ ผู้ว่าราชการจงั หวัดทั้ง 3 จังหวัด สาธารณสขุ จังหวัด เขตพื้นที่การศึกษา และศึกษานิเทศที่เกี่ยวข้องและอยู่ในพื้นที่โรงเรียนวิจัยนำร่อง ที่คอยดูแล สนับสนุน อำนวยความสะดวก และติดตามงานของโครงการอยา่ งต่อเนื่อง ขอขอบคุณ อาจารย์โกเมธ ปิ่นแก้ว ที่เสียสละเวลาอันมีค่าเป็นวิทยากรหลักอบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพ บคุ ลากรครูในพ้นื ทง่ี านวจิ ยั ขอขอบคุณรองศาสตราจารย์ นายแพทย์อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ที่ช่วยสนับสนุนข้อมูลผลวิจัยนำร่อง และให้คำปรกึ ษาแนะนำแนวทางการดำเนินโครงการ และการขับเคลือ่ นงานวจิ ยั สู่สาธารณะและนโยบาย ขอขอบคณุ ทีมผ้เู กบ็ ข้อมูลวจิ ัยเชิงคุณภาพ ไดแ้ ก่ มลู นธิ ิก้าวพเิ ศษ คณุ ยงยศ โคตรภูธร คุณชลธยา ทรงรูป และอดตี อาจารย์สถาบันแหง่ ชาตเิ พ่ือการพฒั นาเด็กและครอบครวั ผศ.ดร.ดลพัฒน์ ยศธร ขอขอบคุณทีมนักศึกษาและคณะผู้ช่วยวิจัยลงพื้นที่ประเมินผลเด็กทั้งภายในและภายนอกสถาบัน ที่ร่วม ลงพ้ืนที่ และดำเนินกิจกรรมโครงการรว่ มกนั อยา่ งเตม็ ท่ี คณะวิจัย 2

โครงการวิจยั เพอื่ ติดตามผลกระทบจากสารอาร์เซนกิ แมงกานีส ไซยาไนด์ และฟื้นฟภู าวะ บกพรอ่ งทางสตปิ ัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ในเดก็ ประถมศกึ ษาปที ่ี 4-6 บทคดั ยอ่ ยทุ ธศาสตรก์ ารศึกษาของชาติเน้นการพัฒนาศักยภาพเด็กไทยทุกคนใหม้ ีทักษะในศตวรรษ ที่ 21 หมาย รวมถึงเด็กในพื้นท่ีเสี่ยงผลกระทบจากอุตสาหกรรมโลหะหนัก จากการศึกษาในปี พ.ศ. 2559 พบมีอุบัติการณ์การ รับสัมผัสสารหนูอนินทรีย์ในปัสสาวะในเด็ก ร้อยละ 36.1 ซึ่งโลหะหนักเช่น สารหนู เป็นสารพิษที่มีฤทธิ์ต่อความ ผิดปกติทางสติปัญญา จึงนำมาสู่วัตถุประสงค์ของการศึกษาครั้งนี้ เพื่อติดตามสถานการณ์ภาวะบกพร่องทาง สติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ ของเด็ก รวมทั้งศึกษาปัจจัยทางด้านครอบครัวและสังคมที่มี ความสัมพันธ์กับภาวะบกพร่องดังกล่าว เพื่อนำไปสู่การฟื้นฟูภาวะบกพร่องทางสติปัญญาและการเรียนรู้ของเด็ก โดยการมีสว่ นรว่ มของครู รวมทง้ั ใหเ้ ดก็ ตระหนักและมคี วามรใู้ นการป้องกนั ตนเองจากสารพิษ ในช้ันประถมศึกษา ปีที่ 4-6 ใน 6 โรงเรยี นเดมิ ทีต่ ั้งอยใู่ นพ้นื ท่ีเส่ยี งอตุ สาหกรรมโลหะหนักของจังหวดั พิจิตร พษิ ณุโลก และเพชรบรู ณ์ ผลการวิจัยพบว่า ลักษณะของครอบครัวที่เด็กอาศัยอยู่ด้วยเป็นครอบครัวแหว่งกลาง ที่พ่อแม่เด็กไม่ได้ อาศัยอยู่กับเดก็ ในหมู่บา้ นเน่อื งจากไปทำงานนอกหมูบ่ ้านถึง รอ้ ยละ 82.60 เดก็ ได้รับการเล้ยี งดจู ากปู่ย่าตายายถึง ร้อยละ 38.70 ส่วนใหญ่พ่อและแม่จบการศึกษาในระดับประถมศึกษาตอนปลาย และครอบครัวยากจนมีรายได้ ต่อเดือนที่ 5,000-10,000 บาทถึงร้อยละ 49.60 ด้านการใช้สื่อของเด็ก เด็กเล่นโทรศัพทม์ ือถอื วนั ละ 1 ชั่วโมงขึน้ ไปร้อยละ 67.10 และพบว่าเมือ่ เดก็ ดีใจ เสียใจ หรือมีปัญหาเรื่องการเรียน เพื่อน ครู เด็กมักจะไม่มาบอกเล่าหรอื ปรึกษาพอ่ แม่ถงึ ร้อยละ 34.30 นอกจากน้ี รอ้ ยละ 45.80 ผปู้ กครองตอบว่า สภาพแวดลอ้ มในบรเิ วณบา้ นและใน ชุมชนที่อาศัยอยู่มีการใช้สารเคมี สารพิษ หรือสารโลหะหนัก จากการตรวจสุขภาพเด็กทั้ง 199 คน พบว่ามี อุบัติการณ์การรับสัมผสั สารหนอู นินทรีย์ในปัสสาวะมากกว่าเกณฑ์ปกติ ร้อยละ 4.5 ซึ่งลดลงเกือบ 12 เท่าตัว ท้ัง เด็กชายและเด็กหญิง ทุกระดับชั้น และในทุกโรงเรียน เมื่อเปรียบเทียบกับการสำรวจในปี พ.ศ. 2559 และพบ อุบัติการณ์การรับสัมผัสสารแมงกานีสในเลือดสูงกว่าเกณฑ์ปกติร้อยละ 41.2 ส่วนสารไซยาไนด์ในเลือดไม่พบใน กลุ่มตัวอย่างทั้งหมด และพบว่าไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างการรับสัมผัสสารหนูอนินทรีย์และแมงกานีสกับภาวะ บกพร่องางสตปิ ญั ญา กระบวนการร้คู ิดและการเรียนรู้ (P-value>0.05) จากการประเมนิ ทักษะสติปํญญาและการ เรียนรู้ของเด็กท้ังหมดจำนวน 212 คน พบว่า เด็กมีความบกพร่องทางการเรยี น ใน 4 ดา้ น ได้แก่ การอา่ นคำ ด้าน การสะกดคำ ด้านความเขา้ ใจประโยค ดา้ นการคำนวณทางคณติ ศาสตร์โดยมีปัญหาการเรียนรู้ ตั้งแต่ 1 ด้านขึ้นไป ถึงร้อยละ 81.60 และในกลุ่มเด็กที่มีระดับสติปัญญา (IQ) ปกติ (IQ≥ 90) จำนวน 126 คน นั้นพบว่า เด็กมีภาวะ บกพร่องทางการเรียนรู้ ร้อยละ 22.22 (28 คนใน 126 คน) นี้พบว่ามีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ ด้านการอ่านคำ ด้านการสะกดคำ ด้านความเข้าใจประโยค ด้านการคำนวณทางคณิตศาสตร์ ถึงร้อยละ 3

50.0 ส่วนการสำรวจในปี พ.ศ. 2559 พบภาวะบกพร่องทางการเรียนอยู่ที่ ร้อยละ 38.9 ซึ่งสูงกว่าปี 2562 ผล หลังการฟื้นฟูเด็กที่มคี วามบกพรอ่ งทางการเรียนโดยเมื่อเปรียบเทียบผลก่อนและหลังการฟื้นฟู พบว่า เด็กที่ได้รับ การฟื้นฟู มีทักษะการอ่านคำ สะกดคำ ความเข้าใจประโยค ด้านการคำนวณทางคณิตศาสตร์เพิ่มขึ้นอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติ ในการประเมินระดับสติปัญญา พบว่าเด็กมีระดับสติปัญญาปกติ (เกณฑ์เฉลี่ย) ร้อยละ 59.4 และพบว่าเด็กมีระดับสติปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์ปกติถึงร้อยละ 40.6 และผลหลังการฟื้นฟูเด็กนักเรียน จำนวน 106 คน พบว่า ก่อนการฟื้นฟูเด็กมีคะแนนเฉลี่ยของระดับสติปัญญา เท่ากับ 85.43 ซึ่งอยู่ในระดับสติปัญญาต่ำกว่า เกณฑเ์ ฉล่ยี แตห่ ลงั จากเดก็ เข้าร่วมกจิ กรรมการฟ้ืนฟู พบว่า เด็กมคี ะแนนเฉลย่ี ของระดับสติปัญญา เท่ากับ 90.11 ซึ่งอยู่ในระดับสติปัญญาปกติ เมื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่าง พบว่า เด็กมีคะแนนเฉลี่ยระดับสติปัญญา หลังการฟื้นฟูสูงขึ้นแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จากการประเมินพฤติกรรมทักษะการเรียนรู้คิดเชิงบริหาร ของเด็กโดยครูพบว่ามีเด็กท่ีควรได้รับการส่งเสริมร้อยละ 68.2 และจากการฟื้นฟู พบว่าความสามารถทักษะการ เรียนรู้คิดเชงิ บริหารของเด็กอยู่ในระดับปกติเพิ่มขึ้นท้ังด้านความจำที่ทำได้ถกู ต้อง ด้านสมาธิจดจ่อ และความเร็ว ในการตอบสนองในงานที่ทำ ส่วนการประเมินการรับรู้ทางสายตาและการเคลื่อนไหว (Visual-Motor) นั้นอยู่ใน ระดับผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 58.49 และต่ำกว่าเกณฑ์ร้อยละ 41.51 เมื่อเปรียบเทียบก่อน-หลัง การฟื้นฟูพบว่าไม่ แตกต่างกัน นอกจากนั้น จากการสอบถามเด็กด้านความรู้ในการป้องกันตนเองจากสารพิษในสิ่งแวดล้อม พบว่า เด็กส่วนใหญ่ร้อยละ 64.2 มีระดับความรู้ในการป้องกันตนเองจากสารพิษอาร์เซนิก แมงกานีส และไซยาไนด์ อยู่ ในระดบั นอ้ ย หลงั การเขา้ รว่ มกิจกรรมส่งเสริมทักษะการรเู้ ทา่ ทนั ส่ิงแวดล้อม พบวา่ กลมุ่ ตวั อย่างเด็กนักเรียนส่วน ใหญ่ร้อยละ 41.9 มีระดับความรู้ในการป้องกันตนเองจากสารพิษเพิ่มขึ้น อยู่ในระดับปานกลาง และหลังฟื้นฟูมี ความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนทัศนคติเกี่ยวกับการป้องกันตนเองจากสารพิษ พบว่าเปลี่ยนจาก “ไม่ แน่ใจ” มาเป็นระดับ “เห็นด้วย” มากขึ้น นอกจากนั้นโครงการยังได้เผยแพร่งานวิจัยและขยายผลแก่สังคมในวง กวา้ ง โดยไดม้ ีการจดั เวทแี ถลงขา่ วผลการวิจัย และสง่ สรุปผลงานวิจยั เบื้องตน้ แก่ 15 หนว่ ยงานภาครฐั รวมทัง้ ภาค สังคมที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำใช้ขับเคล่ือนงานระดับนโยบาย และสังคม อันจะนำไปสู่การติดตาม ป้องกัน แก้ไขปัญหา และฟื้นฟูทักษะสติปัญญา การเรียนรู้ในเด็กได้ทันท่วงที และให้เด็กตระหนัก มีความรู้เท่าทันในการป้องกัน ดูแล ตนเองอันจะเป็นการแกไ้ ขปัญหาอย่างย่ังยืนต่อไป 4

สารบญั หน้า 2 กิตตกิ รรมประกาศ 3 บทคดั ยอ่ 5 สารบัญ 7 สารบัญภาพ 8 สารบญั ตาราง 13 บทท่ี 1 บทนำ 13 20 1.1 หลักการและเหตผุ ล 21 1.2 วตั ถุประสงค์ 1.3 ระเบยี บวธิ ีวิจัยและการดำเนนิ งาน 21 1.4 ขอบเขตของการวจิ ัย 22 23 1.5 นยิ ามศัพทเ์ ฉพาะ 23 1.6 สถานทีท่ ำการวิจัย ทดลอง หรือการเกบ็ ข้อมูล 23 1.7 ระยะเวลาการดำเนนิ งาน 28 1.8 กรอบแนวคดิ การวิจยั (Conceptual framework) และขน้ั ตอนการดำเนนิ งาน (Work Flow chart) 31 1.9 ประโยชน์ทค่ี าดวา่ จะได้รบั 1.10 ผลลัพธ์ (outcome) /ผลผลติ (output) ทไ่ี ด้จากงานวิจัย 34 37 1.11 แผนการดำเนินงาน (Action Plan) ของแผนงานวจิ ัย (โครงการท่ี 1 – 4) 37 บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ัยท่เี ก่ยี วขอ้ ง 45 46 2.1 ความบกพร่องทางการเรียนรู้ 2.2 สถานการณท์ ผ่ี า่ นมาและปจั จบุ ันของภาวะบกพร่องทางการเรยี นรูข้ องเดก็ 54 2.3 ทกั ษะสมองการเรียนรคู้ ิดเชิงบรหิ าร (Brain Executive Function Skills; EFs) 55 56 2.4 ระดบั ความฉลาดทางเชาวป์ ัญญาของเด็ก (Intelligence) 63 2.5 ปัจจยั ที่เกย่ี วขอ้ งกับภาวะบกพร่องทางการเรยี นรู้ของเด็ก 63 2.6 ผลกระทบของการปนเปอ้ื นของโลหะหนกั ในสิง่ แวดล้อมกบั ภาวะบกพรอ่ งทางสติปัญญา 70 บทท่ี 3 วธิ ีดำเนินการวจิ ัย 75 3.1 โครงการย่อยที่ 1 3.2 โครงการยอ่ ยท่ี 2 3.3 โครงการยอ่ ยที่ 3 5

สารบัญ (ต่อ) 79 79 บทที่ 4 ผลการวิเคราะหข์ ้อมลู 103 4.1 ข้อมลู ทวั่ ไป 4.2 ผลการตรวจวเิ คราะหป์ รมิ าณสารแมงกานสี ในเลือด สารหนอู นนิ ทรีย์ในปัสสาวะ และสารไซยาไนดใ์ น 115 เลอื ด ของเดก็ ประถมศึกษาปีที่ 4-6 ของพนื้ ทเ่ี ส่ยี งในจงั หวดั พจิ ติ ร พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ 127 4.3 ผลการศึกษาเพ่ือตดิ ตามสถานการณภ์ าวะบกพรอ่ งทางสติปัญญา กระบวนการรคู้ ดิ และการเรียนรู้ 128 ของเด็ก 141 4.4 ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการรับสัมผัสสารอาร์เซนิก แมงกานีส ในร่างกายของเด็กตาม 148 เกณฑข์ อง ATSDR กบั ภาวะบกพรอ่ งทางสติปญั ญา กระบวนการรู้คิด และการเรยี นร้ขู องเดก็ 148 4.5 ผลการฟื้นฟภู าวะบกพร่องทางสติปญั ญา กระบวนการรู้คิด และการเรยี นรขู้ องเดก็ 4.6 ผลการศึกษาระดับความรู้เด็กในการป้องกันตนเองจากสารอาร์เซนิก แมงกานีส และไซยาไนด์ก่อน- 151 หลงั การเขา้ ร่วมกจิ กรรมส่งเสริมทกั ษะการรเู้ ทา่ ทนั ส่ิงแวดลอ้ มในเดก็ ประถมศกึ ษาปีที่ 4-6 157 บทท่ี 5 อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ 160 5.1 การติดตามสถานการณ์ และการฟืน้ ฟูภาวะบกพรอ่ งทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรยี นรู้ 161 ของเด็ก และความตระหนักรู้ การรเู้ ทา่ ทันสารพษิ และกจิ กรรมส่งเสรมิ การป้องกนั ตนเองจากสารอาร์เซนิก 167 แมงกานีส และไซยาไนด์ ในเดก็ 168 172 5.2 การติดตามผลสารอาร์เซนิก แมงกานีส และไซยาไนด์ของเด็กและความสัมพันธ์ระหว่างภาวะ 173 บกพร่องทางสตปิ ัญญา และการเรียนรขู้ องเดก็ กับปริมาณสารพษิ 176 181 5.3 ปจั จัยทางดา้ นครอบครัวและสงั คมท่มี ีความสมั พันธก์ ับภาวะบกพร่องทางสตปิ ัญญา กระบวนการรู้คิด 187 และการเรยี นรู้ของเดก็ 190 5.3 ขอ้ เสนอแนะเชงิ นโยบาย บรรณานกุ รม ภาคผนวก ภาคผนวก ก รูปภาพผลงานวจิ ยั และ การนำไปใชป้ ระโยชน์ ภาคผนวก ข เอกสารรบั รองจรยิ ธรรม ภาคผนวก ค เครื่องมอื แบบทดสอบทใี่ ชใ้ นโครงการวจิ ัย ภาคผนวก ง แบบสอบถามความร้แู ละพฤตกิ รรมการป้องกันตนเองจากสารพษิ ภาคผนวก จ แบบสอบถามขอ้ มูลพ้นื ฐานเด็กและครอบครัว ภาคผนวก ฉ แบบสอบถามขอ้ มูลเชงิ คุณภาพของโรงเรยี น ครอบครวั และชมุ ชน ภาคผนวก ช รายชือ่ ผู้ใหข้ ้อมูลเชงิ ลึก 6

สารบัญภาพ หน้า บทท่ี 1 บทนำ 23 แผนภาพท่ี 1.1 แสดงกรอบแนวคิดการวจิ ัย ( Conceptual framework) 24 แผนภาพท่ี 1.2 แสดงขน้ั ตอนการดำเนนิ งาน (Work Flow chart) แผนรวมโครงการ 25 แผนภาพที่ 1.3 แสดงขน้ั ตอนการดำเนินงาน (Work Flow chart) โครงการยอ่ ยท่ี 1 26 แผนภาพที่ 1.4 แสดงขั้นตอนการดำเนนิ งาน (Work Flow chart) โครงการยอ่ ยที่ 2 27 แผนภาพที่ 1.5 แสดงขน้ั ตอนการดำเนินงาน (Work Flow chart) โครงการย่อยที่ 3 47 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจยั ท่ีเกีย่ วขอ้ ง 47 แผนภาพท่ี 2.1 สมองส่วนหนา้ และการทำงานของสมองสว่ นต่างๆ 49 แผนภาพที่ 2.2 สมองสว่ นหน้าแตล่ ะสว่ นทที่ ำหน้าทเี่ ก่ียวข้องกบั ทกั ษะ EFs 50 แผนภาพที่ 2.3 องค์ประกอบพ้นื ฐานของทักษะ EFs แผนภาพท่ี 2.4 การสง่ เสริมประสบการณ์การเรียนรู้สกู่ ารพัฒนาทกั ษะ EFs (Adele Diamond, 62 2013) 65 แผนภาพที่ 2.5 แสดงการเปล่ยี นแปลงของสมองเช่น เกิด Oxidative Stress การอักเสบ 124 Inflamamtion เกิดความบกพร่องของโปรตนี ในสมอง (Protein Degradation) และเกิด Tau Protein ท่ีเปน็ marker ของการนำไปสูก่ ารเสอื่ มถอยของสมอง (Neurodegeneration) บทท่ี 3 วิธดี ำเนินการวจิ ัย แผนภาพที่ 3.1 แสดงการสมุ่ ตวั อย่าง บทที่ 4 ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล แผนภาพที่ 4.1 ตำแหนง่ ช่องสญั ญาณ 8 ช่องสัญญาณ ประกอบด้วย FPz,F3, F4, Fz, Cz ,C3, C4 และ Pz 7

สารบัญตาราง หน้า 80 บทท่ี 4 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู ตารางที่ 4.1 จำนวน และ ร้อยละของขอ้ มลู เดก็ ข้อมูลผู้ปกครอง และประวัตคิ รอบครวั จำแนก ตาม 84 กลุ่มที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ กลุ่มที่ไม่มีภาวะบกพร่องทาง 85 สตปิ ัญญา กระบวนการร้คู ิด และการเรียนรู้ และภาพรวม 103 ตารางที่ 4.2 จำนวน และ ร้อยละ ของประวัติสุขภาพและการเจริญเติบโต จำแนกตามกลุ่มที่มีภาวะ บกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ กลุ่มที่ไม่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญา 104 กระบวนการร้คู ิด และการเรียนรู้ และภาพรวม 104 ตารางท่ี 4.3 จำนวน และ ร้อยละของการเลี้ยงดูเด็ก และการส่งเสรมิ การเรยี นรู้ จำแนกตามกล่มุ ท่มี ี 105 ภาวะบกพรอ่ งทางสติปัญญา กระบวนการรคู้ ิด และการเรยี นรู้ กล่มุ ท่ีไมม่ ภี าวะบกพร่องทางสตปิ ญั ญา 105 กระบวนการรคู้ ิด และการเรยี นรู้ และภาพรวม 107 108 ตารางที่ 4.4 แสดงจำนวน และ ร้อยละ การปนเปื้อนสารแมงกานีส สารหนูอนินทรีย์ และสาร ไซยาไนด์ในเด็กนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 4-6 ของพื้นที่เสี่ยง 3 จังหวัด (พิจิตร พิษณุโลก และ เพชรบรู ณ)์ ตารางที่ 4.5 แสดง ค่าสูงสดุ ต่ำสดุ คา่ เฉลี่ย และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐานของปริมาณสารแมงกานสี ใน เลอื ด และ สารหนอู นินทรียใ์ นปัสสาวะของเด็กประถมศกึ ษาปที ี่ 4-6 ของพนื้ ท่ีเส่ยี งในจังหวดั พิจิตร พษิ ณุโลก และเพชรบูรณ์ ตารางที่ 4.6 จำนวนและร้อยละเพศของเด็กนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 4-6 ที่พบการปนเปื้อน สารแมงกานสี ในพื้นทีเ่ สี่ยงในจังหวัดพจิ ิตร พษิ ณโุ ลก และ เพชรบรู ณ์ ตารางท่ี 4.7 จำนวนและร้อยละเพศของเดก็ นกั เรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 4-6 ทพี่ บการปนเปอ้ื น สารหนู อนนิ ทรียใ์ นพ้นื ทีเ่ ส่ียงในจังหวัดพจิ ิตร พษิ ณุโลก และ เพชรบรู ณ์ ตารางที่ 4.8 จำนวนและรอ้ ยละเพศของเด็กนกั เรยี นระดบั ประถมศึกษาปีท่ี 4-6 ทพี่ บการปนเปอื้ น สารไซยาไนด์ในพ้นื ที่เส่ียงในจังหวดั พิจิตร พิษณโุ ลก และ เพชรบรู ณ์ ตารางที่ 4.9 แสดงร้อยละความสามารถทางสตปิ ัญญา (IQ) กับระดับการปนเปือ้ นสารแมงกานสี (Mn) ในเด็กนักเรยี นจำนวน 199 คน ตารางที่ 4.10 แสดงร้อยละความสามารถทางสติปัญญา (IQ) กับระดับการปนเปอ้ื นสารหนูอนนิ ทรยี ์ (As) ในเดก็ นักเรยี นจำนวน 199 คน 8

สารบัญตาราง (ตอ่ ) หน้า 109 ตารางที่ 4.11 แสดงรอ้ ยละความสามารถทางสติปญั ญา (IQ) กับระดับการปนเปือ้ นสารไซยาไนด์ 110 (Cyanide) ในเด็กนักเรยี นจำนวน 199 คน 111 ตารางที่ 4.12 แสดงจำนวน และ รอ้ ยละ ปริมาณสารแมงกานีสในเลือดระหวา่ งกลุ่มเดก็ ระดับ สตปิ ัญญาปกติ กลุ่มเดก็ ท่ีมีภาวะบกพร่องทางสติปัญญา กลุ่มเดก็ ทม่ี ีระดบั สตปิ ัญญาตำ่ กว่าเกณฑ์ และ 112 กลุม่ เดก็ ที่มคี วามบกพร่องทางการเรยี นรู้ และสตปิ ญั ญา 113 ตารางท่ี 4.13 แสดงจำนวน และ ร้อยละ ปรมิ าณสารหนอู นนิ ทรียใ์ นปัสสาวะระหวา่ ง กล่มุ เดก็ ระดบั สตปิ ญั ญาปกติ กลุ่มเดก็ ทม่ี ีภาวะบกพรอ่ งทางสตปิ ัญญา กลุ่มเด็กท่ีมีระดับสตปิ ัญญาตำ่ กว่าเกณฑ์ และ 114 กลุ่มเด็กท่ีมีความบกพรอ่ งทางการเรียนรู้ และสตปิ ัญญา 116 ตารางท่ี 4.14 แสดงจำนวน และ ร้อยละปรมิ าณสารไซยาไนดใ์ นเลือดระหวา่ งกล่มุ เด็กระดับ 116 สติปัญญาปกติ กล่มุ เดก็ ทีม่ ีภาวะบกพร่องทางสติปัญญา กลุ่มเด็กที่มรี ะดบั สตปิ ญั ญาตำ่ กว่าเกณฑ์ และ 116 กลุ่มเด็กท่ีมีความบกพรอ่ งทางการเรียนรู้ และสตปิ ญั ญา 117 ตารางที่ 4.15 แสดงปริมาณสารชีวภาพ (Biomarkers) เพื่อบ่งชี้การทำงานของไต (Renal Function) และการทำงานของตบั (Liver Function) ในกล่มุ เด็กปนเป้ือนสารโลหะหนักร่วมกบั มคี วาม บกพรอ่ งทางการเรียนรู้จำนวน 28 ราย ตารางท่ี 4.16 แสดงปรมิ าณสาร C-Reactive Protein (CRP) และ 8-Hydroxy-2- deoxyguanosine (8-OHDG) ในกลุม่ เด็กปนเป้อื นสารโลหะหนกั รว่ มกบั มคี วามบกพรอ่ งทางการ เรยี นรู้ (LD) จำนวน 28 ราย ตารางที่ 4.17 แสดงระดับภาวะบกพร่องทางการเรยี นรู้ (Learning Disabilities) ในเด็กนักเรยี นชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 4-6 ดว้ ยแบบทดสอบคดั กรองความบกพร่องทางการเรียน (KBAST) (n=212) ตารางที่ 4.18 ผลการประเมนิ ความฉลาดทางเชาวนป์ ญั ญา (IQ) ในเดก็ นกั เรียนช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี 4-6 ดว้ ย Test of nonverbal intelligence (TONI-4) (n=212) ตารางที่ 4.19 ผลการประเมนิ ภาวะบกพร่องทางการเรยี นรู้ (Learning Disabilities) ในกล่มุ เดก็ ทมี่ ี ระดับสติปัญญาปกติ (IQ ≥ 90) ด้วยแบบทดสอบคัดกรองความบกพร่องทางการเรยี น (KBAST) (n= 126) ตารางท่ี 4.20 แสดงความบกพร่องทางการเรยี นรู้ (Learning Disabilities) ในกลุ่มเดก็ ท่ีมรี ะดับ สตปิ ญั ญาปกติ (IQ ≥ 90) ดว้ ยแบบทดสอบคัดกรองความบกพรอ่ งทางการเรยี น (KBAST) ตามรายดา้ น (n=28) 9

สารบัญตาราง (ต่อ) หน้า 119 ตารางท่ี 4.21 แสดงความบกพร่องทางการเรียนรู้ (Learning Disabilities) ในกลมุ่ เด็กที่มีภาวะ 119 บกพรอ่ งการเรยี นรู้ (n=28) 120 ตารางท่ี 4.22 แสดงการเปรยี บเทียบจำนวน รอ้ ยละ ของภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ (Learning 123 Disabilities) ในเดก็ นกั เรียนช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 4-6 ในแต่ละโรงเรียน 124 125 ตารางที่ 4.23 ผลการทดสอบกระบวนการรับรู้ทางสายตา เพื่อใช้วัดการทำงานที่ประสานกันระหว่าง 128 ตาและมือ ด้วยแบบทดสอบ Visual-Motor ในภาพรวมและจำแนกตามเด็กกลุ่มมีปัญหาความบกพร่อง ทางสตปิ ัญญา กระบวนการรคู้ ิด และการเรียนรู้ (n=114) กลมุ่ เดก็ ท่ีมีภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ (n= 129 28) และกลุ่มเด็กท่ีมสี ติปัญญาต่ำ (n=86) 130 130 ตารางที่ 4.24 จำนวนและร้อยละของผลการประเมินทักษะการเรียนรู้คิด (EF) ของเด็ก จำแนกตาม รายด้านท่ีสำคญั 5 ด้านกอ่ นเข้ารับการฟืน้ ฟู ตารางที่ 4.25 จำนวนและร้อยละของผลการประเมินสติปัญญา กระบวนการรูค้ ิด และการเรียนรู้ของ เด็กกอ่ นเข้ารับการฟ้นื ฟดู ้วยเครอื่ งมอื TEC (n=80) ตารางท่ี 4.26 ค่าเฉล่ียพลังงานสมั บรู ณ์ตามยา่ นความถ่ีของคล่ืนไฟฟา้ สมองตามตาํ แหนง่ ช่องสัญญาณ ที่แตกต่างกนั ตารางท่ี 4.27 ผลการวเิ คราะห์ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งการรับสมั ผัสสารอาร์เซนิก แมงกานีส ในร่างกาย ของเด็กตามเกณฑ์ของ ATSDR กับภาวะบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ของ เดก็ ตารางที่ 4.28 ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างของผลการประเมินเชาว์ปัญญา ในเด็กกลุ่มมีปัญหา ความบกพรอ่ งทางสตปิ ญั ญา กระบวนการร้คู ดิ และการเรยี นรู้ ก่อนและหลงั เขา้ รบั การฟนื้ ฟู (n=106) ตารางที่ 4.29 ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างของผลการประเมินเชาว์ปัญญา ในกลุ่มเด็กมีภาวะ บกพร่องทางการเรยี นรู้ กอ่ นและหลงั เข้ารับการฟ้นื ฟู (n=25) ตารางที่ 4.30 ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างของผลการประเมนิ เชาว์ปัญญา ในกลุ่มเด็กทีม่ ีระดับ สตปิ ญั ญาต่ำกว่าเกณฑเ์ ฉลีย่ กอ่ นและหลงั เขา้ รับการฟืน้ ฟู (n=81) 10

สารบัญตาราง (ตอ่ ) หน้า 132 ตารางที่ 4.31 ผลการเปรยี บเทียบความแตกต่างของผลการประเมนิ ความบกพร่องทางการเรยี นรู้ ด้าน การอ่านคำ ด้านการสะกดคำ ด้านความเข้าใจประโยค ด้านการคำนวณทางคณิตศาสตร์ ด้วย 133 แบบทดสอบคัดกรองความบกพร่องทางการเรียน (KBAST) ในเด็กกลุ่มมีปัญหาความบกพร่องทาง สติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรยี นรู้ ก่อนและหลังเขา้ รบั การฟ้นื ฟู (n=106) 134 ตารางท่ี 4.32 สถิตบิ รรยายผลการประเมินความบกพรอ่ งทางการเรียนรู้ ด้านการอา่ นคำ ดา้ นการ 136 สะกดคำ ดา้ นความเขา้ ใจประโยค ด้านการคำนวณทางคณติ ศาสตร์ ดว้ ยแบบทดสอบคัดกรองความ บกพรอ่ งทางการเรยี น (KBAST) ในเดก็ กลมุ่ มีภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ ก่อนและหลงั เขา้ รับการ 137 ฟนื้ ฟู (n=25) 137 139 ตารางท่ี 4.33 ผลการเปรยี บเทยี บความแตกตา่ งของผลการประเมนิ ความบกพร่องทางการเรยี นรู้ ดา้ น การอ่านคำ ด้านการสะกดคำ ด้านความเข้าใจประโยค ด้านการคำนวณทางคณิตศาสตร์ ด้วย แบบทดสอบคัดกรองความบกพร่องทางการเรียน (KBAST) ในเด็กกลุ่มมีภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ ก่อนและหลงั เข้ารับการฟื้นฟู (n=25) ตารางที่ 4.34 ผลการเปรยี บเทยี บความแตกตา่ งของผลการประเมินความบกพรอ่ งทางการเรยี นรู้ ด้าน การอ่านคำ ด้านการสะกดคำ ด้านความเข้าใจประโยค ด้านการคำนวณทางคณิตศาสตร์ ด้วย แบบทดสอบคัดกรองความบกพรอ่ งทางการเรียน (KBAST) ในกลมุ่ เดก็ ที่มรี ะดับสติปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์ เฉลยี่ ก่อนและหลังเข้ารับการฟื้นฟู (n=81) ตารางที่ 4.35 จำนวนและร้อยละของผลการประเมินสติปญั ญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ของ เด็กด้วยเคร่อื งมือ TEC (n=80) ตารางที่ 4.36 ผลการเปรยี บเทยี บความแตกต่างของผลการประเมินสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และ การเรียนรขู้ องเดก็ ด้วยเครื่องมือ TEC กอ่ น-หลงั (n=32) ตารางที่ 4.37 ผลการทดสอบกระบวนการรบั รู้ทางสายตา เพื่อใช้วัดการทำงานที่ประสานกันระหว่าง ตาและมือ ด้วยแบบทดสอบ Visual-Motor ในภาพรวม หลังเข้ารับการฟื้นฟู จำแนกตามเด็กกลุ่มมี ปัญหาความบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ (n=103) กลุ่มเด็กที่มีภาวะ บกพร่องทางการเรียนรู้ (n=24) และกลมุ่ เด็กทมี่ สี ติปัญญาต่ำ (n=79) 11

สารบัญตาราง (ต่อ) หน้า 140 ตารางที่ 4.38 ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างของผลการทดสอบกระบวนการรบั รู้ทางสายตา เพ่ือ ใช้วัดการทำงานที่ประสานกันระหว่างตาและมือ ด้วยแบบทดสอบ Visual-Motor ในเด็กกลุ่มมีปัญหา 140 ความบกพรอ่ งทางสตปิ ัญญา กระบวนการรู้คดิ และการเรยี นรู้ ก่อนและหลังเขา้ รบั การฟน้ื ฟู (n=103) 140 ตารางท่ี 4.39 ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างขอผลการทดสอบกระบวนการรับรู้ทางสายตา เพื่อใช้ วัดการทำงานที่ประสานกันระหว่างตาและมือ ด้วยแบบทดสอบ Visual-Motor ในกลุ่มเด็กมีภาวะ 141 บกพรอ่ งทางการเรยี นรู้ กอ่ นและหลังเขา้ รับการฟ้นื ฟู (n=24) 142 ตารางที่ 4.40 ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างของผลการทดสอบกระบวนการรับรู้ทางสายตา เพื่อ 143 ใช้วัดการทำงานที่ประสานกันระหว่างตาและมือ ด้วยแบบทดสอบ Visual-Motor ในกลุ่มเด็กที่มีระดับ สตปิ ญั ญาต่ำกวา่ เกณฑ์เฉล่ยี กอ่ นและหลังเขา้ รับการฟนื้ ฟู (n=79) 144 146 ตารางท่ี 4.41 จำนวนและรอ้ ยละของความรู้เด็กในการปอ้ งกันตนเองจากสารอาร์เซนกิ แมงกานีส และไซยาไนด์ ก่อน และหลงั เข้ารว่ มกิจกรรมสง่ เสรมิ ทกั ษะการรเู้ ทา่ ทนั ส่ิงแวดลอ้ มในเดก็ ประถมศกึ ษาปี ท่ี 4-6 ตารางที่ 4.42 จำนวนและร้อยละระดบั ความรู้เดก็ ในการป้องกันตนเองจากสารอาร์เซนิก แมงกานีส และไซยาไนด์ จากคะแนนเตม็ 10 ตารางที่ 4.43 ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนความรู้เด็กในการป้องกันตนเองจากสาร อาร์เซนกิ แมงกานสี และไซยาไนด์ กอ่ น-หลัง การเขา้ ร่วมกจิ กรรมสง่ เสริมทกั ษะการรู้เทา่ ทันสงิ่ แวดลอ้ ม ในเดก็ ประถมศึกษาปีที่ 4-6 (n=203) ตารางท่ี 4.44 คา่ เฉล่ียและสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐานของทศั นคตเิ กยี่ วกบั การปอ้ งกนั ตนเองจากสารพษิ ตารางท่ี 4.45 คา่ เฉล่ียและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของระดับการปฏิบัติตนเก่ยี วกบั การป้องกันตนเอง จากสารพิษ 12

บทที่ 1 บทนำ โครงการวิจัยเพื่อติดตามผลกระทบจากสารอาร์เซนิก แมงกานีส ไซยาไนด์ และฟื้นฟูภาวะบกพร่องทาง สตปิ ัญญา กระบวนการรูค้ ิด และการเรยี นรใู้ นเด็กประถมศึกษาปีท่ี 4-6 (Research Project for Follow up the Effect of Arsenic, Manganese, Cyanide and Promotion of Cognitive and Learning Disability in Elementary School Grade 4-6) ประกอบด้วย โครงการย่อยภายใตแ้ ผนงานวิจยั 3 โครงการ ได้แก่ 1) โครงการ ประเมิน และฟื้นฟูภาวะบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ในเด็กประถมศึกษาปีที่ 4-6 ที่ ได้รับผลกระทบจากสารอาร์เซนิก แมงกานสี และไซยาไนด์ (Research Project for Assessing and Promoting of Cognitive and Learning Disability in Elementary School Grade 4- 6 that have been affected by Arsenic, Manganese, and Cyanide) 2) โครงการศึกษาปัจจัยทางด้านครอบครวั และสังคมที่มีความสัมพันธ์กับ ภาวะบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ของเด็กประถมศึกษาปีที่ 4-6 (The Study of Family and Social Factors Related to Promoting of Cognitive and Learning Disability of Grade 4- 6 Elementary School Students) และ 3) โครงการตรวจวิเคราะห์ผลกระทบทางสุขภาพของสารอาร์เซนิก แมงกานีส และ ไซยาไนด์ในเด็กประถมศึกษาปีท่ี 4-6 (Health impact analysis of arsenic, manganese and cyanide in elementary school children: Grade 4-6) โดยมีหลักการและเหตุผล วัตถุประสงค์ เป้าหมาย กรอบแนวคิดการศึกษา นยิ ามศัพท์ และ ประโยชนท์ ไ่ี ด้รับจากการศึกษา มรี ายละเอยี ด ดงั นี้ 1.1 หลักการและเหตุผล สารอาร์เซนิก (As) แมงกานีส (Mn) และ ไซยาไนด์ (Cn) ที่ปนเปื้อนไปกับอาหารและน้ำดื่มจากห่วงโซ่ อาหารในสงิ่ แวดล้อมท้ังทางดิน นำ้ และ อากาศ รวมถงึ พืน้ ท่ีเหมืองแร่ มกั จะส่งผลทำให้เกิดปัญหาสุขภาพ หรือ ภาวะการเจ็บป่วยหรอื โรคเร้ือรัง (กรมอนามัย และ กรมควบคุมโรค, 2558) โดยเฉพาะเด็กจะมีความเสี่ยงต่อการ ได้รับสัมผัสสารโลหะหนักมากกว่าผูใ้ หญ่ เนื่องจากเด็กจะมีความสามารถในการดูดซึมสารโลหะหนักเข้าสู่รา่ งกาย มากกว่าผูใ้ หญถ่ งึ 5 เท่า (อดิศกั ด์ิ ผลิตผลการพมิ พ์, 2550) ซึง่ จากการทบทวนวรรณกรรม การศกึ ษาวจิ ยั ทผ่ี า่ นมา ในต่างประเทศ แสดงให้เห็นว่า เมื่อเด็กได้รับสัมผัสสารโลหะหนัก อาทิเช่น ตะกั่ว (Pb) สารอาร์เซนิก (As) แมงกานีส (Mn) และ แคดเมียม (Cd) จะสง่ ผลทำให้เกิดสารพิษต่อระบบประสาท (neurotoxic) แม้เด็กคนน้ันจะ ได้รับสัมผัสในปริมาณเพียงเล็กน้อยก็ตาม (Bellinger and Adams, 2001) เช่นเดียวกันกับการศึกษาของ Calderon et al. ในปี ค.ศ. 2001 และ Tsai et al. ในปี ค.ศ. 2003 ที่ พบว่า แมงกานีสเป็นโลหะหนักที่เป็นทั้ง สารอาหารและสารพิษ แต่เมื่อมนุษย์ได้รับสัมผัสเข้ารา่ งกาย จะส่งผลทำให้พยาธิสภาพทางสมองเกิดอาการแสดง 13

ความผิดปกติทางคลนิ กิ เช่น การสูญเสยี ความจำ (memory loss) ตลอดจนการเปล่ยี นแปลงพฤติกรรม / อารมณ์ และเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดโรคที่เกิดจากความเสื่อมของระบบประสาท ( Parkinsonian-like motor dysfunction) และจากการศกึ ษาของ Claudia Escudero-Lourdes ในปี ค.ศ. 2016 พบว่า การได้รับสารอารเ์ ซ นิก (As) เรื้อรังอย่างต่อเนื่องทำให้เกิดโรค เช่น มะเร็งและส่งผลต่อสมอง (Neurotoxic) ทำให้เกิดภาวะบกพร่อง ต่อสติปัญญาและการเรียนรู้ และมีการเปลี่ยนแปลงของสมองเช่น เกิด Oxidative Stress การอักเสบ Inflamamtion เกิดความบกพร่องของโปรตีนในสมอง (Protein Degradation) และเกิด Tau Protein ที่เป็น marker ของการนำไปสู่การเสื่อมถอยของสมอง (Neurodegeneration) และโรคสมองเสื่อม เช่น โรคพาร์กินสัน (Parkinsonian-like motor dysfunction) นอกจากนห้ี ากมกี ารไดร้ ับสัมผสั สารโลหะหนัก เชน่ สารอารเ์ ซนิกสะสมเป็นระยะเวลานานจะทำให้เกิดผล กระทบต่อสุขภาพได้หลายระบบ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงของเม็ดสีที่ผิวหนังและฝ่ามือฝ่าเท้าหนา หลอดลม อักเสบเรื้อรัง ปอดทำงานลดลง ลำไส้อักเสบ การทำงานของตับ และไตผิดปกติ ตลอดจนมีผลต่อเม็ดเลือด ระบบต่อมไร้ท่อ การเปลี่ยนแปลงของระบบไหลเวียนโลหิต อัตราการเสียชีวิตหลังคลอดเพิ่มขึ้น และทารกแรก เกิดน้ำหนักตัวนอ้ ย เพ่มิ ความเสี่ยงการเกิดมะเร็งผิวหนงั มะเร็งตบั มะเรง็ ทีไ่ ตและกระเพาะปัสสาวะ และมะเร็ง ปอด นอกจากนี้ยังพบการเปลี่ยนแปลงของ DNA และ epigenetics ที่อาจเกี่ยวข้องกับความผิดปกติในร่างกาย ระบบต่าง ๆ ดังกลา่ วมา สว่ นในเดก็ พบวา่ มีผลต่อระดับเชาวป์ ญั ญาและทักษะการเรยี นรู้ (ATSDR, 2007) ในส่วน ของการได้รับแมงกานีสนั้น ถึงแม้ว่าจะจัดเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นตอ่ การทำงานของร่างกาย แต่หากได้รับและสะสม มากเกนิ ความจำเปน็ จะสง่ ผลเสยี ต่อการทำงานของระบบประสาทในผู้ใหญ่ และอาจมผี ลกระทบต่อความสามารถ ในการจดจำ (Memory) ความสามารถในการเรียนรู้ และการควบคุมกล้ามเนื้อมัดเล็ก (fine motor) ในเด็ก (ATSDR, 2012) ส่วนอาการที่พบเมื่อได้รับไซยาไนด์จะพบอาการแบบเฉียบพลัน ได้แก่ หมดสติและเสียชีวิต เนื่องจากไซยาไนด์จะมีผลทำให้ร่างกายขาดออกซิเจน อาการที่พบในลักษณะที่ได้รับในปริมาณที่น้อยแต่ได้รับใน ระยะเวลานานจะพบอาการ ปวด-เวียนศีรษะ อ่อนเพลีย หายใจถี่ หัวใจเต้นเร็ว คลื่นไส้ อาเจียน และฝุ่นที่มี ไซยาไนด์สามารถทำใหเ้ กดิ อาการผ่นื คนั ผิวหนงั มีสีแดงชมพู (ATSDR, 2006) ส่วนการศึกษาในประเทศไทย ได้มีการสำรวจสุขภาพของประชากรในชุมชนรอบเหมืองทองในเขต 3 จังหวัด ได้แก่ พิจิตร พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ โดยความร่วมมือของกรมควบคุมโรคไม่ติดต่อ กระทรวง สาธารณสุข สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและ ปอ้ งกันการบาดเจบ็ ในเด็ก โรงพยาบาลรามาธบิ ดใี นปี พ.ศ. 2557-2559 รวมทัง้ การสำรวจสิ่งแวดล้อมในแหล่งน้ำ ดิน และอาหาร ผลการศึกษา พบว่า แมงกานีส (Mn) และ สารอาร์เซนิก (As) เป็นสารที่จำเป็นต้องได้รับ การศึกษาเพิ่มเติม เนื่องจากจากการสำรวจสถานการณ์ พบว่า ร้อยละของการรับสัมผัสสารอาร์เซนิกอนินทรีย์ (As) และ แมงกานีส (Mn) ตามคำแนะนำของ ATSDR สูงถึงร้อยละ 30-35 ในเด็กวัยเรียนอายุ 8 -13 ปี จำนวน 205 รายที่เข้ารับการศึกษาในโรงเรียนที่มีรัศมีพื้นที่ห่างจากเหมืองแร่ทองคำไม่เกิน 10 กิโลเมตร ซึ่งพบว่าการ 14

สัมผัสสารอาร์เซนิกอนินทรีย์ มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับภาวะบกพร่องทางการเรียน (specific learning disabilities; SLD) โดยระดับมัธยฐานเชาว์ปัญญาของเด็กในกลุ่มนี้มีค่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของเด็กไทยในปี พ.ศ. 2558 จึงจำเป็นต้องมีการติดตามผลกระทบจากสารอาร์เซนิก แมงกานีส และไซยาไนด์ต่อภาวะสติปัญญา และการเรียนรใู้ นระยะยาว นอกจากนน้ั การปนเปื้อนของสารพิษยังสง่ ผลให้เด็กและครอบครวั ท่อี าศัยอยู่ในบริเวณ ใกลเ้ คยี งเผชิญกับความสับสนในการตดั สินใจทางดา้ นสุขภาพที่มกั จะมีข้อมลู ข่าวสารทางสุขภาพท่ีหลากหลาย จน ทำให้เกิดประเด็นที่ท้าทายว่า จะเลือกวิถีสุขภาพไปในทิศทางใด และจะจัดการกับความเป็นอยู่ของตนเอง แล ะ ครอบครัวอย่างไร ซึ่งจากการศึกษาของ รศ. ดร. ธนพล เพ็ญรัตน์ ทำให้ทราบว่า ในพื้นที่โดยรอบบริเวณใกล้ กิจกรรมเหมืองแร่มีโอกาสการเกิดการปนเปื้อนของสารหนู แมงกานีส จากฝุ่นในอากาศ รวมถึงการปนเปื้อนสาร หนูบริเวณท้ายน้ำของเหมืองทอง ในขณะที่บริเวณประปาในหมู่บ้านพบการปนเปื้อนของสารแมงกานีสเกินค่า มาตรฐานอยา่ งตอ่ เน่ือง และ พบสารหนูเกินคา่ มาตรฐานต่อเน่ืองเปน็ เวลา 1 ปี ดงั นน้ั การให้ความร้ใู นการป้องกัน ตนเองสำหรับเด็ก ก็ถือได้ว่าเป็นการป้องกันการเกิดผลกระทบด้านปัญหาสขุ ภาพในระยะยาว เพื่อให้เด็กสามารถ ตระหนัก และเฝา้ ระวังตนเองใหไ้ ดร้ ับผลกระทบจากสารพษิ ต่างๆ ไดน้ อ้ ยทส่ี ุด อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ผลกระทบจากการปนเปื้อนและปัญหาภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ของ เด็ก ปัญหาสุขภาพที่พบจากการศึกษาข้างต้น ทำให้คณะวิจัย มีความสนใจที่จะทำการศึกษาแบบบูรณการเพื่อ ตดิ ตามผลกระทบจากสารอารเ์ ซนิก แมงกานสี ไซยาไนด์ และฟน้ื ฟภู าวะบกพร่องทางสตปิ ัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ในเด็กประถมศึกษาปีที่ 4-6 โดยประกอบด้วย 3 โครงการย่อย คือ โครงการย่อยที่ 1 โครงการ ประเมินและฟื้นฟูภาวะบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ในเด็กที่ได้รับผลกระทบจากสาร อาร์เซนิก แมงกานีส และไซยาไนด์ เพื่อติดตามโดยการประเมินภาวะบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ในเด็กทไ่ี ดร้ ับผลกระทบจากสารอาร์เซนกิ แมงกานีส และไซยาไนด์ เพอ่ื นำไปสกู่ ารจดั กิจกรรมฟื้นฟู ภาวะบกพรอ่ งทางสตปิ ัญญา กระบวนการรคู้ ิด และการเรยี นร้ใู นเด็กโดยการมีส่วนร่วมของครู นอกจากน้ีโครงการ ย่อยที่ 1 ยังมีการให้ความรู้เด็กในการป้องกันตนเองจากสารอาร์เซนิก แมงกานีส และไซยาไนด์ เพื่อเพิ่มการ ตระหนักรู้ และลดความเสี่ยงจากการได้รับสัมผัสสารพิษจากการปนเปื้อนทั้งทางน้ำและทางอากาศ ซึ่งหากเด็กมี ความรู้สำหรับการป้องกันตนเองในเบื้องต้นได้อย่างถูกต้อง ย่อมช่วยหล่อหลอมจนเป็นลักษณะนิสัยและเกิดเป็น พฤติกรรมในการดูแลส่งเสริมสุขภาพ นอกจากนี้ยังเป็นประโยชนต์ ่อการส่งตอ่ ให้คำแนะนำ สื่อสารความเสี่ยงแก่ เพื่อน ครอบครัวเพื่อประกอบการตัดสินใจในการดำเนินการแก้ไขเพื่อป้องกันปัญหาทางสุขภาพจากการประกอบ กจิ การเหมอื งแร่ในอนาคตได้ ในขณะทโ่ี ครงการย่อยท่ี 2 คอื โครงการศกึ ษาปจั จัยทางด้านครอบครัวและสังคมท่ีมี ความสมั พันธก์ บั ภาวะบกพร่องทางสตปิ ัญญา กระบวนการรูค้ ิด และการเรยี นรขู้ องเดก็ เพอ่ื ศึกษาสถานการณ์ด้าน สุขภาพ การเลี้ยงดูและการส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็ก สัมพันธภาพครอบครัว รวมถึงบริบททางสังคมแวดล้อมตวั เด็กทั้งครอบครัว โรงเรียน และชุมชน ส่วนโครงการย่อยที่ 3 โครงการตรวจวิเคราะห์ผลกระทบทางสุขภาพของ สารอาร์เซนิก แมงกานีส และไซยาไนด์ในเด็ก ตลอดจนการศึกษาเพื่อค้นหาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะบกพร่อง 15

ทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้กับปริมาณสารอาร์เซนิก แมงกานีส และไซยาไนด์ในร่างกายของ เด็ก และปัจจัยแวดล้อมตัวเด็กทั้งครอบครัว โรงเรียน และชุมชน ดังนั้น การศึกษาวิจัยในครั้งนี้สามารถนำมาใช้ เพื่อเป็นแนวทางสำหรับการติดตามและฟื้นฟูภาวะบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ของ เด็กในพื้นที่เสี่ยงที่ได้รับผลกระทบจากสารอาร์เซนิก แมงกานีส ไซยาไนด์ อย่างยั่งยืน เนื่องมาจากการเน้นให้ โรงเรียน โดยเฉพาะครูเข้ามามีส่วนร่วมในการประเมิน ฟื้นฟูเด็กทั้งด้านสติปัญญา และการเรียนรู้ รวมถึงการให้ ความรู้เดก็ ในการป้องกนั ตนเองจากสารพิษอนั จะสง่ ผลต่อการลดปัญหาภาวะบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการ รู้คิด และการเรียนรู้ในเด็กที่สามารถพัฒนาทักษะสติปัญญาการเรียนรู้ในเด็กได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยมีการ ถ่ายทอดองค์ความรู้ที่ได้รับแก่ครูในโรงเรียน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาทักษะสติปัญญาการเรียนรู้ของเด็ก ทั้งที่บ้าน และโรงเรียนอย่างสอดคล้องกัน จนทำให้เกิดการพัฒนาเด็กอย่างยั่งยืน อันจะส่งผลให้เด็กเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มี คณุ ภาพของประเทศในอนาคต และเป็นกำลงั สำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป 1.1.1 หลักการและเหตุผลโครงการย่อยที่ 1 การประกอบกิจการอุตสาหกรรมเหมืองแร่ทองคำนับว่าเป็นอุตสาหกรรมที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อ สง่ิ แวดล้อม และปญั หาทางสขุ ภาพ อาทเิ ช่น กอ่ ใหเ้ กดิ ปัญหาการสะสม หรอื ปนเป้ือนของสารเคมี และโลหะหนัก ในสิ่งแวดล้อมทั้งทางดิน น้ำ และ อากาศ จนส่งผลทำให้เกิดปัญหาสุขภาพ ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นจากการ ปนเปื้อนโลหะหนักหรือสารมลพษิ ต่าง ๆ ในส่งิ แวดล้อม เชน่ แมงกานสี (Mn) อาร์เซนกิ (As) และไซยาไนด์ (Cn) ที่ปนเปื้อนไปกับอาหารและน้ำดื่มจากห่วงโซ่อาหารในบริเวณชุมชนรอบเหมืองแร่ทองคำ อีกทั้งยังรวมถึง ภาวะการเจ็บป่วยหรือโรคจากสิ่งแวดล้อมท่ีมักเป็นโรคเรื้อรังที่มักจะใช้ระยะเวลานานในการเกิดโรคหรือมักเกิด จากสาเหตุปจั จัยหลายชนิดรว่ มกันซ่ึงผลกระทบทเ่ี กิดข้ึนอาจครอบคลุมท้ังที่ตง้ั เหมืองแร่ทองคำและพื้นที่ใกล้เคียง (กรมอนามัย, 2558) โดยทั่วไปผู้ที่มีที่พักอาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงมักจะมีโอกาสที่จะได้รับความเสี่ยงจากการ ประกอบกิจการอุตสาหกรรมเหมืองแร่ทองคำมากกว่าผู้ที่มีที่พักอาศัยห่างไกลจากบริเวณอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ทองคำ โดยเฉพาะเด็กจะมีความเสี่ยงต่อการได้รับสัมผัสสารโลหะหนักมากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากเด็กจะมี ความสามารถในการดูดซึมสารโลหะหนักเข้าสู่ร่างกายมากกว่าผู้ใหญ่ถึง 5 เท่า (อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์, 2550) ซึง่ จากการทบทวนวรรณกรรม การศกึ ษาวิจยั ท่ีผ่านมาในต่างประเทศ แสดงให้เห็นวา่ เม่อื เดก็ ได้รบั สัมผัสสารโลหะ หนัก อาทิเช่น ตะกั่ว (Pb) อาร์เซนิก (As) แมงกานีส (Mn) และ แคดเมียม (Cd) จะส่งผลทำให้เกิดสารพิษต่อ ระบบประสาท (neurotoxic) แมเ้ ดก็ คนนน้ั จะไดร้ บั สัมผัสในปรมิ าณเพียงเลก็ น้อยกต็ าม (Bellinger and Adams, 2001) เช่นเดียวกันกับการศึกษาของ Calderon et al. (2001) และ Tsai et al. ในปี 2003 ที่ พบว่า แมงกานีส เป็นโลหะหนกั ท่ีเปน็ ท้ังสารอาหารและสารพิษ แตเ่ ม่อื มนุษย์ไดร้ ับสัมผัสเขา้ ร่างกาย จะสง่ ผลทำให้พยาธิสภาพทาง สมองเกิดอาการแสดงความผิดปกติทางคลินิค เช่น การสูญเสียความจำ ( memory loss) ตลอดจนการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรืออารมณ์ และเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดโรคที่เกิดจากความเสื่อมของระบบประสาท (Parkinsonian-like motor dysfunction) เช่นเดียวกันกับการศึกษาในประเทศไทย ยกตัวอย่างเช่น การสำรวจ 16

ผลกระทบต่อสุขภาพของประชากรในชุมชนรอบเหมืองทองในเขต 3 จังหวัด ได้แก่ พิจิตร พิษณุโลก และ เพชรบูรณ์โดยความร่วมมือของกรมควบคุมโรคไม่ติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ และศูนย์วจิ ัยเพ่ือสรา้ งเสริมความปลอดภยั และป้องกันการบาดเจบ็ ในเด็ก โรงพยาบาล รามาธิบดีในปี พ.ศ. 2557-2559 รวมทั้งผลการตรวจผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมในแหล่งน้ำ ดิน และ อาหาร ผลการศึกษา พบว่า แมงกานีส (Mn) และ อาร์เซนิก (As) เป็นสารที่จำเปน็ ต้องได้รับการศึกษาเพิ่มเตมิ เนื่องจาก จากการสำรวจสถานการณ์ พบว่า มีการปะปนในสิ่งแวดล้อมในปรมิ าณสูงในบางพื้นที่ โดยพบร้อยละของการรับ สัมผสั อารเ์ ซนกิ (As) และ แมงกานีส (Mn) ตามคำแนะนำของ ATSDR สงู ถงึ ร้อยละ 30 - 35 จากการศกึ ษาในเด็ก วัยเรียนอายุ 8 -13 ปี จำนวน 205 รายที่เข้ารับการศึกษาในโรงเรียนที่มีรัศมพี ื้นที่ห่างจากเหมืองแร่ทองคำไม่เกนิ 10 กิโลเมตร ซึ่งพบว่าการสัมผัสอาร์เซนิกอนินทรีย์มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับภาวะบกพร่อง ทางการเรียน (specific learning disabilities; SLD) โดยระดับมัธยฐานเชาว์ปัญญาของเด็กในกลุ่มนี้มีค่าต่ำกว่า ค่าเฉลี่ยของเด็กไทยในปี 2558 แต่ข้อมูลยังไม่เพียงพอต่อการวินจิ ฉยั จำเป็นต้องมีการตรวจตดิ ตามต่อไป และยัง ไม่พบความผิดปกตขิ องระบบผิวหนัง ซึ่งอาจจะตอ้ งตรวจติดตามในระยะยาวเช่นกนั นอกจากนี้ จากการศึกษาของ รองศาสตราจารย์ ดร. ธนพล เพ็ญรัตน์ ทำให้ทราบว่า ในพื้นที่โดยรอบ บริเวณใกล้กิจกรรมเหมืองแร่มีโอกาสการเกิดการปนเปื้อนของสารหนู แมงกานีส จากฝุ่นในอากาศ รวมถึงการ ปนเปื้อนสารหนูบริเวณท้ายน้ำของเหมืองทอง ในขณะที่บริเวณประปาในหมู่บ้านพบการปนเปื้อนของสาร แมงกานีสเกินค่ามาตรฐานอย่างต่อเนื่อง และ พบสารหนูเกินค่ามาตรฐานต่อเนื่องเป็นเวลา 1 ปี ดังนั้น การให้ ความรู้ในการปอ้ งกันตนเองสำหรบั เดก็ กถ็ ือไดว้ ่าเป็นการป้องกันการเกดิ ผลกระทบดา้ นปญั หาสุขภาพในระยะยาว เพ่อื ให้เด็กสามารถตระหนัก และเฝา้ ระวงั ตนเองให้ไดร้ ับผลกระทบจากสารพษิ ตา่ งๆ ไดน้ อ้ ยท่ีสุด ดังนั้น จากสถานการณ์ผลกระทบจากการปนเปื้อนและปัญหาภาวะบกพร่องทางการเรียนของเด็กที่ถูก สำรวจค้นพบในการศึกษานำร่องข้างต้น ทำให้คณะวิจัย มีความสนใจที่จะประเมิน และฟื้นฟูภาวะบกพร่องทาง สติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ในเด็กประถมศึกษาปีที่ 4-6 ที่ได้รับผลกระทบจากสารอาร์เซนิก แมงกานีส และไซยาไนด์โดยนำครูเขา้ มามีส่วนร่วมในการฟื้นฟูและส่งเสริมเด็ก ตลอดจนมกี ารถา่ ยทอดองค์ความรู้ ที่ได้รับแก่ครูในโรงเรียน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาทักษะสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการแก้ไขปัญหาภาวะ บกพรอ่ งทางการเรียนรแู้ ก่เด็ก ซึ่งนบั วา่ เปน็ แนวทางที่สามารถพัฒนาทักษะสติปัญญาการเรียนรู้ในเด็กได้อย่างเป็น รูปธรรม เพ่อื ใหเ้ กดิ ความยง่ั ยนื ในการพฒั นาเด็กอย่างต่อเน่ือง อันจะสง่ ผลใหเ้ ดก็ เตบิ โตไปเปน็ ผู้ใหญ่ทมี่ ีคุณภาพใน อนาคต เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป พร้อมทั้งยังมีการให้ความรู้เด็กในการป้องกันตนเองจากสาร อาร์เซนิก แมงกานีส และไซยาไนด์ เพื่อเพิ่มการตระหนักรู้ และลดความเสี่ยงจากการได้รับสัมผัสสารพิษจากการ ปนเปื้อนทั้งทางน้ำและทางอากาศ ซึ่งหากเด็กมีความรู้สำหรับการป้องกันตนเองในเบื้องต้นได้อย่างถูกต้อง ย่อม ชว่ ยหล่อหลอมจนเป็นลักษณะนิสัยและเกิดเป็นพฤติกรรมในการดูแลส่งเสริมสุขภาพ นอกจากน้ียังเป็นประโยชน์ 17

ต่อการส่งตอ่ ให้คำแนะนำ สื่อสารความเสี่ยงแก่ เพื่อน ครอบครัวเพ่ือประกอบการตัดสินใจในการดำเนินการแก้ไข เพื่อป้องกนั ปญั หาทางสุขภาพจากการประกอบกจิ การเหมืองแร่ในอนาคตได้ 1.1.2 หลกั การและเหตุผลโครงการย่อยที่ 2 เด็กช่วงวัยประถมศึกษาเป็นวยั ท่ีเด็กจะต้องใช้ทกั ษะทั้งการอ่าน เขียน คำนวณ ในการเรียนรู้ทางวิชาการ เพิ่มมากขึ้น แต่มีเด็กไทยจำนวนไม่น้อยที่มีปัญหาการเรียนรู้และบกพร่องทางสติปัญญา มีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่าง ตอ่ เนอื่ ง มจี ำนวนเพมิ่ มากขน้ึ ประมาณ 5 เทา่ จากปี พ.ศ. 2552 ท่ีมจี ำนวน 33,074 คน เพิม่ สูงเป็น 164,893 คน ในปี พ.ศ. 2558 (สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2560) และจากข้อมูลจากสำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและ พิทกั ษ์เด็ก เยาวชน ผู้ดอ้ ยโอกาส และผสู้ ูงอายุ (สท.) ที่สำรวจกลมุ่ เด็กทมี่ อี ายุตาํ่ กวา่ 18 ปี ในปี พ.ศ. 2558 พบวา่ ด้านพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็ก พบว่า เด็ก ป.1 ประมาณร้อยละ 30 มีพัฒนาการไม่สมวัย ในจำนวนนี้เป็น โรคบกพร่องทางการเรียนรู้ร้อยละ 10 (สถาบันราชานุกลู , 2558) ต่อมาในปี พ.ศ. 2559 มีข้อมูลการตรวจประเมินสุขภาพเด็กอายุ 8-12 ปี จำนวน 216 คน ที่เรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 ใน 6 โรงเรียน ที่ตั้งอยู่ในรัศมี 10 กิโลเมตร บริเวณรอบเหมืองทอง จังหวัดพิจิตร พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ ได้ประเมินระดับเชาว์ปัญญาและทดสอบความสามารถทางการเรียนรู้ของเด็กด้วย ซึ่ง ผลพบว่า นักเรียนส่วนใหญ่ร้อยละ 61.6 มีระดับเชาว์ปัญญาอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ย (IQ 90-109) ส่วนผลการทดสอบ ความสามารถทางการเรียนรู้ของเด็ก พบว่า มีความชุกของนักเรียนที่มีความสามารถทางการเรียนรู้ด้านการอ่าน การเขยี น หรือการคำนวณ ตำ่ กวา่ ชัน้ เรยี นปัจจุบนั ทำใหส้ งสัยว่าเด็กมีภาวะบกพร่องทางการเรยี นรู้คิดเป็นร้อยละ 51.8 จากนกั เรียน 212 คน (อดศิ กั ด์ิ ผลติ ผลการพมิ พ์ และคณะ, 2559) จากข้อมลู ตัวเลขดงั กล่าว สะท้อนให้เห็น ว่าในเด็กที่มีพัฒนาการไม่สมวัย หรือที่ทดสอบว่ามีระดับเชาวน์ปัญญาปกติ ก็จะมีเด็กที่มีภาวะบกพร่องทางการ เรยี นรูแ้ ทรกอยู่ดว้ ย เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การได้รับบาดเจ็บทางสมอง ปัจจัยทาง พันธุกรรม ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม และส่งผลกระทบต่อทั้งตัวเด็ก ทั้งในด้านของการเรียนที่เด็กอาจไม่ประสบ ผลสำเร็จในการเรียน ด้านพฤติกรรม อารมณ์ จิตใจ และการเข้าสังคมของเด็ก รวมทั้งครอบครัวที่เลี้ยงดูเด็กที่มี ภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ ก็มีผลกระทบทั้งทางด้านอารมณ์และจิตใจของผู้ที่ต้องเลี้ยงดู ด้านเศรษฐกิจและ สังคมทตี่ อ้ งแบกรับภาระในการรักษา คา่ ใชจ้ ่าย และความกดดันท้งั จากเด็กและคนรอบข้างตัวเดก็ จึงเห็นได้ว่า ภาวการณ์บกพร่องการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นกับเด็กมีได้จากหลายปัจจัย และส่งผลกระทบต่อตัว เด็กทงั้ ทางตรงและทางอ้อม และครอบครวั ทเี่ ล้ยี งดเู ด็ก ดงั น้นั การศึกษาสถานการณ์ภาวะบกพร่องการเรียนรู้ของ เด็กคร้งั นเี้ ป็นการศึกษาเพื่อให้เข้าใจสภาพแวดล้อมรอบตัวเด็กทเ่ี กี่ยวข้องกับการเป็นภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ ของเด็ก และการทำหน้าที่ของครอบครัว สัมพันธภาพของครอบครัว การเลี้ยงดู เพื่อที่จะได้ทำความเข้าใจและ หาปัจจัยที่สัมพันธ์กับภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ของเด็ก และหาแนวทางการช่วยเหลือดูแลเด็กที่มีภาวะ บกพรอ่ งทางการเรยี นรู้ไดต้ ่อไป 18

1.1.3 หลกั การและเหตุผลโครงการยอ่ ยที่ 3 จากรายงานของกรมควบคุมโรคไม่ติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และศูนยว์ ิจยั เพื่อสรา้ งเสริมความปลอดภยั และป้องกนั การบาดเจบ็ ในเด็ก โรงพยาบาล รามาธิบดี ในปี พ.ศ.2557-2559 พบว่าในเขต 3 จังหวัด ได้แก่ พิจิตร พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ (กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข 2553) ปรากฎมโี ลหะหนกั อนั ไดแ้ ก่ แมงกานสี และสารอาร์เซนกิ พบปะปนในสิ่งแวดล้อมใน ปริมาณสงู ในบางพืน้ ท่ีของ 3 จงั หวดั ดงั กลา่ ว โดยพบจำนวนร้อยละของการรบั สมั ผัสสารอาร์เซนิกและแมงกานีส ตามคำแนะนำของ Agency for Toxic Substances and Disease Registry (ATSDR) สูงถึงร้อยละ 30-35 ใน เด็กวัยเรียนอายุ 8-13 ปี จำนวน 205 ราย ซึ่งพบว่าการสัมผัสสารอาร์เซนิกมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทาง สถติ ิกับภาวะบกพร่องทางการเรยี น (Specific learning disabilities: SLD) โดยระดับเชาวป์ ญั ญาเฉล่ียของเด็กใน กลุ่มนี้มีค่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของเด็กไทยในปี 2558 รวมทั้งความชุกของภาวะบกพร่องทางการเรียนค่อนข้างสูงถึง ประมาณร้อยละ 50 เมื่อเปรียบเทียบกับทั้งการศึกษาของในและต่างประเทศ (รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบ สิ่งแวดล้อมโครงการขยายโรงประกอบโลหะ 2558) ส่วนผลการตรวจร่างกายอื่นๆ ได้แก่ พบว่ามีความผิดปกติ ของความดันโลหติ แต่ยงั ไม่พบความผิดปกตขิ องระบบผวิ หนงั จำเป็นตอ้ งมีการตรวจตดิ ตามตอ่ ไป การได้รับสารอาร์เซนิกสะสมเป็นระยะเวลานานจะทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพได้หลายระบบ ได้แก่ การเปลย่ี นแปลงของเม็ดสที ่ผี วิ หนงั และฝา่ มอื ผ่าเทา้ หนา หลอดลมอักเสบเร้อื รัง ปอดทำงานลดลง ลำไสอ้ กั เสบ การทำงานของตับและไตผิดปกติ ผลต่อเม็ดเลือด ระบบต่อมไร้ท่อ การเปลี่ยนแปลงของระบบไหลเวียนโลหิต อัตราการเสียชีวิตหลังคลอดเพิ่มขึ้น และทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อย เพิ่มความเสี่ยงการเกิดมะเร็งผิวหนัง มะเร็งตับ มะเร็งที่ไตและกระเพาะปัสสาวะ และมะเร็งปอด นอกจากนี้ยังพบการเปลี่ยนแปลงของ DNA และ epigenetics ที่อาจเกี่ยวข้องกับความผิดปกติในร่างกายระบบต่างๆดังกล่าวมา ส่วนในเด็กพบว่ามีผลต่อระดับ เชาว์ปัญญาและทักษะการเรียนรู้ (ATSDR,2007) ในส่วนของการได้รับแมงกานีสนั้น ถึงแม้ว่าจะจัดเป็นแร่ธาตุที่ จำเป็นต่อการทำงานของร่างกาย แต่หากได้รับและสะสมมากเกินความจำเป็นจะส่งผลเสียต่อการทำงานของ ระบบประสาทในผู้ใหญ่ และอาจมีผลกระทบต่อความสามารถในการจดจำ (Memory) ความสามารถในการ เรียนรู้ และการควบคุมกล้ามเนื้อมัดเล็ก (fine motor) ในเด็ก (ATSDR, 2012) ส่วนอาการที่พบเมื่อได้รับ ไซยาไนด์จะพบอาการแบบเฉียบพลันได้แก่ หมดสติและเสียชีวิตเนื่องจากไซยาไนด์จะมีผลทำให้ให้ร่างกายขาด ออกซิเจนอาการที่พบในลักษณะที่ไดร้ ับในปริมาณทีน่ ้อยแต่ได้รับในระยะเวลานานจะพบอาการ ปวด-เวียนศีรษะ อ่อนเพลีย หายใจถี่ หัวใจเต้นเรว็ คลื่นไส้ อาเจียน และฝุ่นที่มีไซยาไนด์สามารถทำให้เกิดอาการผื่นคัน ผิวหนังมีสี แดงชมพู (ATSDR ,2006) ดังนั้น การศึกษาถึงผลกระทบทางสุขภาพของการได้รับสารอาร์เซนิก แมงกานีส และไซยาไนด์ในกลุ่ม ประชากรเด็ก โดยเฉพาะกลุ่มเด็กวัยเรียนในชุมชนที่มีความเสี่ยงสูงในการรับสัมผัสสารเหล่านี้ จึงมีความสำคัญ 19

และจะเป็นประโยชน์ต่อการให้คำแนะนำ ให้ความรู้การป้องกันตนเองแก่กลุ่มเด็กวัยเรียนในชมุ ชนและประชาชน ในพน้ื ท่ี 1.2 วตั ถุประสงค์ 1.2.1 แผนรวมโครงการ 1) เพอ่ื ติดตามสถานการณ์ภาวะบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรยี นรขู้ องเดก็ 2) เพ่ือฟืน้ ฟูภาวะบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรคู้ ดิ และการเรยี นร้ขู องเดก็ 3) เพื่อศกึ ษาปจั จัยทางด้านครอบครวั และสังคมทม่ี ีความสัมพนั ธ์กบั ภาวะบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการร้คู ดิ และการเรียนรขู้ องเดก็ 4) เพื่อใหค้ วามร้เู ดก็ ในการป้องกนั ตนเองจากสารอารเ์ ซนิก แมงกานสี และไซยาไนด์ 5) เพื่อติดตามผลสารอาร์เซนิก แมงกานีส และไซยาไนด์ของเด็ก ในพื้นที่เสี่ยงต่อสารอาร์เซนิก แมงกานีส และไซยาไนด์ 6) เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ ของเดก็ กบั ปริมาณสารอาร์เซนิก แมงกานีส และไซยาไนด์ในรา่ งกายของเด็ก 1.2.2 โครงการยอ่ ยที่ 1 1) เพื่อศึกษาสถานการณ์ภาวะบกพร่องทางสตปิ ัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ของเดก็ ทไี่ ด้รบั ผลกระทบจากสารอาร์เซนิก แมงกานีส และไซยาไนด์ 2) เพื่อฟื้นฟูภาวะบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ของเด็ก ที่ได้รับ ผลกระทบจากสารอารเ์ ซนิก แมงกานีส และไซยาไนด์ 3) เพื่อประเมินผลการฟื้นฟูภาวะบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ของ เดก็ ท่ีได้รบั ผลกระทบจากสารอารเ์ ซนกิ แมงกานีส และไซยาไนด์ 4) เพอื่ ใหค้ วามรู้เด็กในการปอ้ งกันตนเองจากสารอารเ์ ซนิก แมงกานีส และไซยาไนด์ 1.2.3 โครงการย่อยที่ 2 1) เพ่ือศึกษาสถานการณ์ด้านสุขภาพ การเลี้ยงดแู ละการส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็ก สัมพันธภาพ ครอบครวั รวมถึงบริบททางประชากรและสงั คมของครอบครัวของเด็กประถมศึกษาปีท่ี 4-6 2) เพ่ือศึกษาปจั จัยทางดา้ นครอบครัวและสงั คมที่มีความสมั พันธ์กับความบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการร้คู ดิ และการเรยี นร้ขู องเด็กประถมศึกษาปีท่ี 4-6 20

1.2.4 โครงการย่อยท่ี 3 1) เพือ่ ตรวจวิเคราะห์ปริมาณสารอาร์เซนิก แมงกานีส และไซยาไนดใ์ นเด็กประถมศึกษาปีท่ี 4-6 (อายุ 9-13 ป)ี ของพ้ืนท่ีเสย่ื งในจงั หวดั พจิ ติ ร พิษณุโลก และเพชรบรู ณ์ 2) เพื่อตรวจวิเคราะห์ทางระบบโลหิตวิทยา ระบบภูมิคุ้มกัน และระบบต่อมไร้ท่อในเด็ก ประถมศึกษาปีที่ 4-6 (อายุ 9-13 ป)ี ของพ้นื ท่เี สย่ื งในจงั หวัดพจิ ิตร พษิ ณโุ ลก และเพชรบรู ณ์ 1.3 ระเบียบวธิ ีวิจัยและการดำเนินงาน การดำเนินงานรวม 3 โครงการยอ่ ย 1.3.1 รายละเอียดวธิ วี จิ ยั การดำเนนิ งาน และ การวเิ คราะหข์ ้อมูล โครงการวิจัยยอ่ ยที่ 1 ในบทท่ี 3 1.3.2 รายละเอียดวิธีวิจยั การดำเนินงาน และ การวเิ คราะห์ขอ้ มลู โครงการวิจัยยอ่ ยท่ี 2 ในบทที่ 3 1.3.3 รายละเอยี ดวิธวี จิ ยั การดำเนินงาน และ การวเิ คราะห์ขอ้ มลู โครงการวิจยั ยอ่ ยท่ี 3 ในบทท่ี 3 1.4 ขอบเขตของการวจิ ยั โครงการวิจัยเพื่อติดตามผลกระทบจากสารอาร์เซนิก แมงกานีส ไซยาไนด์ และฟื้นฟูภาวะบกพร่องทาง สติปญั ญา กระบวนการรคู้ ิด และการเรียนรใู้ นเด็กประถมศึกษาปีที่ 4-6 เปน็ การศกึ ษาวจิ ยั เพื่อติดตามสถานการณ์ ภาวะบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ของเด็ก รวมถึงฟื้นฟูภาวะบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ของเด็ก รวมถึงให้ความรู้เด็กในการป้องกันตนเองจากสารอาร์เซนิก แมงกานีส ไซยาไนด์ และศึกษาปัจจัยทางด้านครอบครัวและสังคมที่มีความสัมพันธ์กับภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ของเด็ก ทั้งนี้ จะมีการติดตามผลสารอาร์เซนิก แมงกานีส และไซยาไนด์ของเด็ก ในพื้นที่เสี่ยงต่อสารอาร์เซนิก แมงกานีส และ ไซยาไนด์ โดยวิเคราะห์ทางระบบโลหิตวิทยา ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบต่อมไร้ท่อ และสารสื่อประสาทในเด็ก ทง้ั นค้ี ณะผวู้ ิจยั ได้มีการออกแบบงานวจิ ัยเป็นแบบการวิจยั แบบศึกษาแบบตัดขวาง (cross-sectional study) โดย ประกอบไปด้วยการศึกษาวิจัยเชิงสำรวจ การวิจัยเชิงคุณภาพ และการวิจัยกึ่งทดลอง โดยการวิจัยคร้ังนี้ประกอบ ไปด้วยการวจิ ัยท้งั หมด 3 โครงการวิจยั ยอ่ ยซงึ่ มีรายละเอียดดงั ต่อไปน้ี โครงการวิจัยย่อยที่ 1 โครงการประเมิน และฟื้นฟูภาวะบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และ การเรยี นรู้ในเดก็ ประถมศกึ ษาปีท่ี 4-6 ทไ่ี ดร้ บั ผลกระทบจากสารอาร์เซนิก แมงกานสี และ ไซยาไนด์เป็นการศึกษา สถานการณ์ภาวะบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรูค้ ิด และการเรียนรู้ของเด็ก ที่ได้รับผลกระทบจากสารอาร์ เซนิก แมงกานีส และไซยาไนด์ เพื่อนำไปสู่การฟื้นฟูภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ของเด็ก และมีการติ ดตาม ประเมินผลการฟื้นฟูภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ของเด็ก นอกจากนี้ยังมีการให้ความรู้เด็กในการป้องกันตนเอง 21

จากสารอาร์เซนิก แมงกานีส และไซยาไนด์ เพื่อเพิ่มการตระหนักรู้ และลดความเสี่ยงจากการได้รับสัมผสั สารพิษ จากการปนเป้ือนทงั้ ทางนำ้ และทางอากาศ ซึง่ หากเด็กมีความรู้สำหรบั การปอ้ งกันตนเองใน เบอ้ื งต้นได้อยา่ งถูกตอ้ ง ยอ่ มช่วยหล่อหลอมจนเป็นลกั ษณะนสิ ยั และเกดิ เปน็ พฤติกรรมในการดูแลส่งเสริม สุขภาพ นอกจากนี้ยังเป็นประโยชน์ต่อการส่งต่อให้คำแนะนำ สื่อสารความเสี่ยงแก่ เพื่อน ครอบครัวเพ่ือ ประกอบการตัดสินใจในการดำเนินการแก้ไขเพื่อป้องกันปัญหาทางสุขภาพจากการประกอบกิจการเหมืองแร่ใน อนาคตได้ โครงการวิจัยย่อยที่ 2 โครงการศึกษาปัจจัยทางด้านครอบครัวและสังคมที่มีความสัมพันธ์กับภาวะ บกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ในเด็กประถมศึกษาปีที่ 4-6 เป็นการศึกษาสถานการณ์ ดา้ นสขุ ภาพ การเลยี้ งดูและการส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็ก สัมพนั ธภาพครอบครวั รวมถงึ บริบททางประชากรและ สังคมของครอบครัวของเด็กประถมศึกษาปีที่ 4-6 และศึกษาปัจจัยทางด้านครอบครัวและสังคมที่มีความสัมพันธ์ กบั ภาวะบกพร่องทางการเรียนรูข้ องเดก็ ประถมศึกษาปีท่ี 4-6 โครงการวิจัยย่อยที่ 3 โครงการตรวจวิเคราะห์ผลกระทบทางสุขภาพของสารอาร์เซนิก แมงกานีส และ ไซยาไนด์ในเด็กประถมศึกษาปีท่ี 4-6 เปน็ การศกึ ษาตรวจวเิ คราะห์ปริมาณสารอาร์เซนิก แมงกานีส และไซยาไนด์ และตรวจวิเคราะห์ทางระบบโลหิตวิทยา ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบต่อมไร้ท่อ ในเด็กประถมศึกษาปีที่ 4-6 ของพื้นท่ี เสย่ี งในจังหวดั พิจิตร พษิ ณโุ ลก และเพชรบรู ณ์ 1.5 นยิ ามศัพทเ์ ฉพาะ กลุ่มเด็กภาวะบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ หมายถึง ประกอบไปด้วย 2 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มเด็กที่มีระดับสติปัญญา IQ ปกติ (IQ≥ 90) เมื่อทำการคัดกรองความบกพร่องทางการเรียน ด้วยแบบทดสอบทกั ษะพื้นฐานทางวิชาการ (KBAST) นั้นพบวา่ เป็นกลุ่มเดก็ มีภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ อย่าง น้อย 1 ด้าน และ 2.กลุ่มเด็กที่มีระดับสติปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์ (IQ < 90) ซึ่งเป็นเด็กได้รับการประเมินทักษะ สติปํญญาด้วยแบบทดสอบ Test of Nonverbal Intelligence Fourth Edition (TONI-4) แล้ว พบว่า มีคะแนน มาตราฐาน (T-score) ต่ำกว่า 90 กลุ่มเด็กภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ หมายถึง เด็กที่ได้รับการประเมินทักษะสติปํญญาด้วยด้วย แบบทดสอบ Test of Nonverbal Intelligence Fourth Edition (TONI-4) แล้วพบว่ามีระดับสติปัญญาปกติ (IQ≥ 90) หลังจากนั้นทำการประเมินความบกพร่องทางการเรียนรู้ ด้านการอ่านคำ ด้านการสะกดคำ ด้านความ เข้าใจประโยค ด้านการคำนวณทางคณิตศาสตร์ ด้วยแบบทดสอบทักษะพื้นฐานทางวิชาการ (KBAST) นั้นพบว่า เดก็ มีภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้อยา่ งน้อย 1 ดา้ น 22

1.6 สถานท่ที ำการวจิ ยั ทดลอง หรอื การเก็บข้อมูล 1.6.1 โรงเรียนวงั ชะนาง จังหวัดเพชรบูรณ์ 1.6. 2 โรงเรยี นบา้ นใหมร่ าษฎร์ดำรง จงั หวัดพิจติ ร 1.6. 3 โรงเรยี นไทยรฐั วทิ ยาคม 60 จังหวดั พิจติ ร 1.6. 4 โรงเรยี นครี เี ทพนมิ ิต จงั หวดั พจิ ิตร 1.6. 5 โรงเรยี นบ้านท่งุ ยาว จังหวัดพษิ ณโุ ลก 1.6.6 โรงเรียนบ้านวงั ขวญั จังหวัดพิษณุโลก 1.7 ระยะเวลาการดำเนนิ งาน ระยะเวลา 18 เดือน นบั จากวันที่ได้รบั การอนุมัตโิ ครงการ และมีการขยายเวลาอีก 3 เดือน เนอ่ื งจาก สถานการณ์แพรร่ ะบาดโควิด-19 1.8 กรอบแนวคิดการวจิ ัย (Conceptual framework) และขน้ั ตอนการดำเนินงาน (Work Flow chart) 1.8.1 กรอบแนวคดิ แผนโครงการวิจยั แผนภาพที่ 1.1 แสดงกรอบแนวคิดการวิจยั ( Conceptual framework) 23

แผนภาพที่ 1.2 แสดงข้นั ตอนการดำเนนิ งาน (Work Flow chart) แผนรวมโครงการ 24

1.8.2 โครงการย่อยที่ 1 แผนภาพที่ 1.3 แสดงข้นั ตอนการดำเนนิ งาน (Work Flow chart) โครงการยอ่ ยท่ี 1 25

1.8.3 โครงการย่อยที่ 2 แผนภาพที่ 1.4 แสดงข้นั ตอนการดำเนนิ งาน (Work Flow chart) โครงการยอ่ ยท่ี 2 26

1.8.4 โครงการย่อยที่ 3 แผนภาพที่ 1.5 แสดงข้นั ตอนการดำเนนิ งาน (Work Flow chart) โครงการยอ่ ยท่ี 3 27

1.9 ประโยชนท์ ค่ี าดวา่ จะได้รับ 1.9.1 แผนรวมโครงการ ดา้ น รายละเอยี ด ด้านนโยบาย 1) ข้อมูลที่ได้จากการวิจัยจะทำให้ทราบและเข้าใจสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับผลของ สารอาร์เซนิก แมงกานสี และไซยาไนดก์ บั ภาวะบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้ คิด และการเรียนรู้ของเด็กในพื้นท่ี ข้อมูลปัจจัยทางครอบครัวและสังคมที่สัมพันธ์กบั ภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ของเด็กและข้อมูลการความรู้ในการป้องกันตัวเองจาก ความเส่ยี งที่เกิดจากสารพิษ รวมถงึ รปู แบบและแนวทางการฟนื้ ฟสู ง่ เสริมเด็กที่มีภาวะ บกพร่องทางการเรียนรู้และแนวทางการส่งเสริมการรู้เท่าทันอนามัยสิ่งแวดล้อมเพื่อ การปอ้ งกันความเส่ยี งจากพิษของสารอาร์เซนิก แมงกานีส และไซยาไนด์ในเดก็ ใหแ้ ก่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เช่น องค์การบริหารการปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) โรงพยาบาลสง่ เสริมสุขภาพประจำตำบล (รพสต.) และโรงเรียน เพอื่ ช่วยเป็นแนวทาง ในการกำหนดนโยบายหรอื กลยุทธใ์ นระดับทอ้ งถิ่นเพื่อวางแผนช่วยเหลือดูแลเด็กที่มี ภาวะบกพร่องทางการเรียนร้ใู นพน้ื ทีไ่ ด้ 2) สามารถนำผลการวิจัยในครั้งนี้ไปใช้วางแผน นโยบาย การลดความเสี่ยงทางด้าน สุขภาพของเด็กที่อาจจะได้รับความเสี่ยงจากผลกระทบของสารโลหะหนกั ในพื้นทีอ่ ่ืน ๆ ของประเทศไทย ดา้ นสาธารณะ 1) การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกรณีศึกษาในเขตพื้นที่ที่เด็กอาจจะได้รับความ เสี่ยงจากการประกอบกจิ การอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ซง่ึ ผลการวจิ ัยในครัง้ นี้จะช่วยให้ เด็กในพื้นทีก่ ารวจิ ยั ไดม้ ีความร้พู ืน้ ฐาน สำหรับปอ้ งกนั ตนเองจากสารพิษในเบื้องต้นได้ อยา่ งถกู ตอ้ ง ซึ่งถือได้ว่าเปน็ แรงผลกั ดนั ท่สี ามารถชว่ ยหลอ่ หลอมจนเปน็ ลักษณะนิสัย จนก่อให้เกิดเปน็ พฤติกรรมในการดูแลส่งเสริมสุขภาพ นอกจากนย้ี ังเป็นประโยชน์ต่อ การส่งต่อให้คำแนะนำ สื่อสารความเสี่ยงแก่ เพื่อน ครอบครัวเพื่อประกอบการ ตัดสนิ ใจในการดำเนนิ การแก้ไขเพอ่ื ป้องกนั ปัญหาทางสุขภาพจากการประกอบกิจการ เหมอื งแร่ในอนาคตได้ 28

ด้าน รายละเอียด ดา้ นวชิ าการ 1) ทราบสถานการณ์ปริมาณสารอาร์เซนิก แมงกานีส และไซยาไนด์ในเด็ก ประถมศึกษาปีที่ 4-6 (อายุ 9-13 ปี) ของพื้นที่เสี่ยงในจังหวัดพิจิตร เพชรบูรณ์ และ พษิ ณุโลก 2) ทราบผลกระทบทางระบบโลหิตวิทยา ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบต่อมไร้ท่อ จากสาร อาร์เซนิก แมงกานีส และไซยาไนด์ในเด็กประถมศึกษาปีที่ 4-6 ของพื้นที่เสี่ยงใน จงั หวัดพิจติ ร เพชรบูรณ์ และพิษณุโลก 3) ทราบภาวะบกพร่องด้านการเรียนรู้ของนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 4-6 และผลของ การส่งเสริมภาวะบกพร่องด้านการเรียนรู้ของเด็กโดยครู จากผลการศึกษาในครั้งน้ี เป็นองค์ความรู้ทางด้านวิชาการที่สามารถนำเสนอหรือเผยแพร่สู่สาธารณะได้ใน รูปแบบต่างๆ เช่น นำเสนอในงานประชุมวิชาการระดับชาติและนานาชาติ เป็นข้อมูล ท่สี ามารถใชใ้ นการเรยี นการสอนในวงการศึกษา และผู้ทสี่ นใจ สามารถนำผลงานวิจัย ไปใชเ้ ป็นขอ้ มลู เพือ่ ต่อยอดงานวิจยั ได้ 4) สามารถนำองค์ความรู้จากผลงานวิจัยไปตีพิมพ์ในรูปแบบต่างๆ เช่น ผลงานตีพิมพ์ ในวารสารระดับนานาชาติ ระดับชาติ เพื่อให้นักวิชาการและผู้สนใจด้านวิชาการ ได้ ศกึ ษาตอ่ ไป 1.9.2 โครงการยอ่ ยท่ี 1 ดา้ น รายละเอยี ด ดา้ นนโยบาย ข้อมูลที่ได้จากการวิจยั จะทำให้ทราบและเข้าใจสถานการณ์ท่ีเก่ียวข้องกับผลของสาร อาร์เซนิก แมงกานีส และไซยาไนด์กับภาวะบกพรอ่ งทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ของเด็กในพื้นที่ รวมถึงรูปแบบและแนวทางการฟื้นฟูส่งเสริมเด็กที่มี ภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้และแนวทางการส่งเสริมเด็กโดยครู และหน่วยท่ี เกี่ยวข้องสามารถนำผลการวิจัยในครั้งนี้ไปใช้วางแผน นโยบาย การลดความเสี่ยง ทางด้านสุขภาพของเด็กทีอ่ าจจะได้รับความเสีย่ งจากผลกระทบของสารโลหะหนักใน พ้นื ทอี่ นื่ ๆ ของประเทศไทย ด้านชุมชนและพื้นที่ คืนความรู้แก่ชุมชนและหน่วยงานในพื้นที่ รวมทั้งการฟื้นฟูภาวะบกพร่องทางการ เรยี นรู้ของเด็กโดยครู 29

ดา้ น รายละเอียด ด้านวชิ าการ สามารถนำผลลัพธ์หรือองค์ความรู้ของโครงการวิจัยในครั้งนี้ ไปเผยแพร่ตีพิมพ์ใน รูปแบบ ผลงานตีพิมพ์ในวารสารระดับนานาชาติ และนำเสนอในเวทีสาธารณะและ เวทีวิชาการ ไปเป็นประโยชน์ด้านวิชาการ การเรียนรู้ การเรียนการสอน ในวง นักวชิ าการและผ้สู นใจด้านวชิ าการ 1.9.3 โครงการยอ่ ยท่ี 2 ดา้ น รายละเอียด ด้านนโยบาย ข้อมูลที่ได้จากการวิจัยจะทำให้ทราบและเข้าใจสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการเป็น ภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ของเด็กในพื้นที่ ตลอดจนข้อมูลการทำหน้าที่ของ ครอบครวั สมั พนั ธภาพของครอบครวั การเลี้ยงดูเด็กท่ีมภี าวะบกพร่องทางการเรียนรู้ และทราบปัจจัยทางครอบครัวและสังคมที่สัมพันธ์กับภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ ของเด็ก เป็นข้อมูลแก่หนว่ ยงานที่เก่ียวข้องในพ้ืนท่ี เช่น องค์การบริหารการปกครอง ส่วนท้องถิ่น (อปท.) โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล (รพสต.) และโรงเรียน ในการช่วยเป็นแนวทางในกำหนดนโยบายหรือกลยุทธ์ในระดับท้องถิ่นเพื่อวาง แผนการดแู ลเด็กที่มีภาวะบกพร่องทางการเรียนรใู้ นพ้นื ที่ได้ ดา้ นชมุ ชนและพน้ื ท่ี เป็นข้อมูลแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เช่น องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น (อปท.) โรงพยาบาลส่งเสรมิ สุขภาพประจำตำบล (รพสต.) และโรงเรียนในพื้นที่ ในการให้การ ดูแล และความช่วยเหลือครอบครัวของเด็กที่มีภาวะบกพร่องด้านการเรียนรู้ โดยให้ ความรู้เกี่ยวกับภาวะบกพร่องด้านการเรียนรู้แก่พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดู เพื่อสร้างความ ตระหนักและความเข้าใจที่ถูกต้องที่มีต่อเด็กตามสภาพความเป็นจริง ในส่วนของ โรงเรียน ขอ้ มลู ทไี่ ดจ้ ากการวจิ ัย สามารถเป็นสว่ นหนง่ึ ของการจัดการเรยี นการสอนให้ เหมาะสมกับระดับความสามารถของเด็ก รวมถึงเป็นข้อมูลในการส่งเสริมให้พ่อแม่มี ส่วนร่วมในการส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กที่มีภาวะบกพร่องด้านการเรียนรู้ ร่วมกับ โรงเรียนได้ ด้านวชิ าการ องค์ความรู้ที่เกี่ยวกับภาวะบกพร่องด้านการเรียนรู้ของนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 4-6 จากผลการศึกษาในครั้งนี้ เป็นองค์ความรู้ทางด้านวิชาการที่สามารถนำเสนอหรือ เผยแพร่สสู่ าธารณะได้ในรูปแบบตา่ งๆ เช่น ผลงานตีพมิ พ์ในวารสารทางวิชาการ เป็น 30

ด้าน รายละเอยี ด ข้อมูลที่สามารถใช้ในการเรียนการสอนในวงการศึกษา และผู้ที่สนใจ สามารถนำ ผลงานวิจัยไปใชเ้ ป็นข้อมลู เพ่อื ต่อยอดงานวจิ ยั ได้ 1.9.4 โครงการยอ่ ยที่ 3 ดา้ น รายละเอียด ดา้ นชุมชนและพ้ืนท่ี 1) โรงเรียนและชุมชนรับรู้ความเสี่ยงของการปนเปื้อนสารอาร์เซนิก แมงกานีส และ ไซยาไนด์ในเดก็ ประถมศึกษาของพนื้ ทเ่ี สื่ยงในจงั หวดั พิจติ ร เพชรบูรณ์ และพิษณโุ ลก 2) มีการส่งเสริมความรู้การป้องกันตนเองจากการปนเปื้อนสารอาร์เซนิก แมงกานีส และไซยาไนด์ในเด็กและครอบครัวของพื้นที่เสื่ยงในจังหวัดพิจิตร เพชรบูรณ์ และ พิษณโุ ลก ดา้ นวิชาการ 1) ทราบสถานการณ์ปริมาณสารอาร์เซนิก แมงกานีส และไซยาไนด์ในเด็ก ประถมศึกษาปีที่ 4-6 (อายุ 9-13 ปี) ของพื้นที่เสื่ยงในจังหวดั พิจิตร เพชรบูรณ์ และ พษิ ณุโลก 2) ทราบผลกระทบทางระบบโลหิตวิทยา ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบต่อมไร้ท่อ และสาร สื่อประสาทจากสารอาร์เซนิก แมงกานีส และไซยาไนด์ในเด็กประถมศึกษาปีที่ 4-6 (อายุ 9-13 ปี) ของพน้ื ทเ่ี สยื่ งในจังหวัดพิจิตร เพชรบูรณ์ และพษิ ณโุ ลก 1.10 ผลลพั ธ์ (outcome) /ผลผลิต (output) ท่ีไดจ้ ากงานวิจัย ผลผลติ /ผลลพั ธ์ เชงิ ปรมิ าณ ตวั ชวี้ ัด เชงิ คณุ ภาพ 1. ผลการศึกษาสถานการณภ์ าวะ บกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการ ไดท้ ราบสถานการณ์ดา้ นสติปัญญา รคู้ ิด และการเรยี นรู้ของเดก็ กระบวนการรู้คิดและภาวะ บกพร่องทางการเรียนรูข้ องเด็ก ที่ ไดร้ บั ผลกระทบจากสารอารเ์ ซนิก แมงกานสิ และไซยาไนด์ 31

ผลผลิต/ผลลัพธ์ เชิงปริมาณ ตัวชว้ี ัด เชงิ คุณภาพ 2. เดก็ ไดร้ บั กิจกรรมฟ้ืนฟูและ 100% ของกลุม่ ตวั อยา่ งเด็ก สง่ เสรมิ ภาวะบกพร่องทางการเรยี นรู้ นักเรยี นระดับชั้นประถมศึกษาปี โดยครู ท่ี 4-6 ทเ่ี ขา้ รบั การศึกษาใน โรงเรียน 3 จังหวัด ได้แก่ พจิ ิตร พิษณุโลก และเพชรบูรณท่มี ี ภาวะบกพร่องทางสตปิ ัญญา 3. รายงานวิจยั ฉบบั สมบูรณ์ จำนวน 1 เล่ม 4. ผลการฟ้นื ฟูภาวะบกพร่อง ภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ของ ทางการเรยี นรู้ของเด็ก ท่ีได้รับ เดก็ หลงั จากไดร้ ับการฟน้ื ฟู ผลกระทบจากสารอาร์เซนิก แมงกานีสและไซยาไนด์ 5. ผลการศกึ ษาปจั จยั ด้านครอบครวั ได้ทราบปัจจัยด้านครอบครัวและ และสังคมทเี่ กีย่ วข้องกับภาวะ สังคมที่เกี่ยวข้องกับภาวะบกพร่อง บกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการ ทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด รู้คิด และการเรยี นรู้ของเดก็ และการเรียนรู้ของเด็กและ คำแนะนำเบือ้ งต้นแก่ครอบครวั 6. ครมู ีความรูใ้ นสง่ เสรมิ ภาวะ ครูตัวแทนจากโรงเรียนทั้ง 3 ใน ครูมีความรู้ความสามารถในการ บกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการ จังหวัดพิจิตรพิษณุโลก และ ส ่ ง เ ส ร ิ ม ภ า ว ะ บ ก พ ร่ อ ง ท า ง ร้คู ิด และการเรยี นรใู้ นเดก็ เพชรบรู ณ)์ ได้แก่ สติปัญญา กระบวนการรู้คิด และ 1. โรงเรียนวังชะนาง จังหวัด การเรียนรใู้ นเดก็ เพชรบูรณ์ 2. โรงเรียนบ้านใหม่ราษฎร์ ดำรง จงั หวัดพจิ ิตร 3. โรงเรียนไทยรัฐวิทยาคม 60 จงั หวัดพิจิตร 4. โรงเรียนคีรีเทพนิมิต จังหวัด พิจติ ร 32

ผลผลติ /ผลลพั ธ์ เชงิ ปรมิ าณ ตวั ชี้วัด เชิงคุณภาพ 5. โรงเรียนบ้านทุ่งยาว จังหวัด พิษณุโลก 6. โรงเรียนบ้านวังขวัญ จังหวัด พษิ ณุโลก 7. ผลการศกึ ษาความสมั พันธ์ ทราบความสมั พนั ธ์ระหว่าง ภาวะ ระหว่าง ภาวะบกพร่องทาง บกพร่องทางสตปิ ัญญา สติปญั ญา กระบวนการร้คู ดิ และการ กระบวนการรู้คิด และการเรยี นรู้ เรียนรปู้ ริมาณของสารอาร์เซนิค กบั ปริมาณของสารอารเ์ ซนิก แมงกานีส และไซยาไนด์ในเด็ก แมงกานีส และไซยาไนด์ในเด็ก 8. ผลการศกึ ษา ความร้พู นื้ ฐานเด็ก ได้ทราบถึงสถานการณ์ ระดับ ในการปอ้ งกันตนเองจากสารพษิ ความรู้พื้นฐานเด็กในการป้องกัน ตนเองจากสารพิษ 9. องค์ความรู้และฐานข้อมลู ทางดา้ น นำเสนอสสู่ าธารณะและเวที วชิ าการ/การเผยแพรส่ ูส่ าธารณะ วชิ าการอย่างน้อย 2 คร้ัง และนโยบาย ตพี มิ พ์ผลงานอยา่ งนอ้ ย 1 เรื่อง 33

1.11 แผนการดำเนินงาน (Action Plan) ของแผนงานวิจัย (โครงการที่ 1 – 4) กิจกรรม/ขน้ั ตอนการ เป้าหมาย/ตวั ชว้ี ดั เดือน (ระ ดำเนินงาน 1 2 345 1. ประชมุ คณะทำงาน ความก้าวหนา้ ในการ ดำเนนิ งาน 2. ทบทวนเอกสาร ทฤษฎี ข้อมูลทางวิชาการเพื่อนำไปสู่ 1-3 1-3 และงานวิจยั ทีเ่ กย่ี วข้อง การวจิ ัยในลำดบั ตอ่ ไป 3. ตดิ ต่อประสานงาน โรงเรียนและพ้ืนที่กล่มุ ตวั อย่าง 1- พืน้ ท/่ี โรงเรยี น 3 4. พฒั นาเคร่อื งและจดั หา ได้เครื่องมือสำหรับการ 1,2 2 2 1 เครอ่ื งมือ ประเมิน ,3 5. ขอจริยธรรมการวิจยั ใน โครงการวจิ ยั ผ่านการพจิ ารณา 1- 1- คน จรยิ ธรรมการวิจัยในคน 33 6. วดั ประเมิน Pretest ได้ผลการประเมินก่อนการจัด กจิ กรรม ฟ้ืนฟู และการ สง่ เสริม ได้ผลการวัดความรู้ใน การป้องกันตนเองจากสารพษิ ของเด็ก 7. เกบ็ ข้อมูลเชิงปริมาณ ไดข้ ้อมูลจากแบบสอบถาม

ะยะเวลาการดำเนนิ โครงการ 18 เดือน มีขยายระยะเวลาเพมิ่ 3 เดือน) 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 1, 1 3 22 34

กิจกรรม/ขั้นตอนการ เป้าหมาย/ตัวชี้วัด 1 เดอื น (ระ ดำเนนิ งาน 2 345 คุณครูมีความพร้อมและ 8. ให้ความรูแ้ ละอบรม สามารถจัดกจิ กรรมฟนื้ ฟแู ละ กจิ กรรมฟนื้ ฟู และส่งเสริม สง่ เสริมได้ ใหก้ ับคุณครู ครูสขุ ศึกษามีความสามารถจัด กจิ กรรมให้ความรู้ในการ 9. ตรวจสุขภาพเด็ก (เจาะ ป้องกนั ตนเองสำหรบั เด็ก ได้ เลอื ด) ผลสขุ ภาพของเด็กในพ้นื ที่ 10. ดำเนินการสง่ เสริม กจิ กรรม เดก็ ได้รบั กจิ กรรมฟน้ื ฟู และ ส่งเสรมิ 11. ติดตามการใชก้ จิ กรรม เด็กได้รบั การให้ความรใู้ นการ ฟ้ืนฟู และสง่ เสริม ป้องกนั ตนเองจากสารพิษ ตรวจสอบ/ใหค้ ำแนะนำการใช้ 12. เก็บข้อมลู เชิงคุณภาพ กิจกรรมฟืน้ ฟู และสง่ เสริม ของครู ติดตามผลการให้ คำแนะนำการให้ความรู้ในการ ป้องกันตนเองจากสารพิษ ได้ข้อมลู จากการสัมภาษณ์

ะยะเวลาการดำเนินโครงการ 18 เดอื น มีขยายระยะเวลาเพิ่ม 3 เดือน) 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 1 11 3 1 11 1111 22 35

กิจกรรม/ขัน้ ตอนการ เปา้ หมาย/ตวั ช้ีวัด เดอื น (ระ ดำเนินงาน 1 2 345 13. วดั ประเมิน Posttest ไดผ้ ลการประเมนิ หลังการจดั กจิ กรรมฟืน้ ฟู และสง่ เสรมิ ไดผ้ ลการประเมนิ หลงั เด็ก ได้รับการให้ความรู้ในการ ปอ้ งกนั ตนเองจากสารพิษ 14. วิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิเคราะหข์ ้อมลู และผล การศกึ ษาวิจัย 15. สรปุ ผลการวิจยั และ รายงานผลการวิจัย จัดทำรายงาน 16. เวทีในพ้นื ที่ เพื่อคืน เวทีแลกเปลี่ยนคนื ข้อมลู สู่ ข้อมลู ผลการวจิ ัย พืน้ ที่ 17. เวทกี ลาง เพ่ือ เวทเี พื่อนำเสนอข้อมูลสู่งาน สงั เคราะหผ์ ลการวจิ ัย ดา้ นนโยบาย หมายเหตุ ตวั เลข1-3 หมายถงึ กิจกรรมของโครงการยอ่ ยท่ี 1-3

ะยะเวลาการดำเนนิ โครงการ 18 เดือน มีขยายระยะเวลาเพิม่ 3 เดอื น) 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 111 1- 1- 1- 1- 33 33 1-3 1-3 1-3 36

บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ัยทเ่ี กย่ี วข้อง คณะวจิ ยั ไดค้ น้ ควา้ ข้อมลู เพ่ือพฒั นาและดำเนินงาน โครงการวจิ ัยเพอ่ื ตดิ ตามผลกระทบจากสารอาร์เซ นกิ แมงกานีส ไซยาไนด์ และฟื้นฟภู าวะบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คดิ และการเรยี นรใู้ นเด็ก ประถมศึกษาปีท่ี 4-6 มีขอ้ มูล และรายละเอียดงานวจิ ยั ทีเ่ ก่ียวข้อง ดังต่อไปนี้ 2.1 ความบกพรอ่ งทางการเรยี นรู้ ความหมายของความบกพรอ่ งทางการเรยี นรู้ ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้อ้างอิงคำนิยาม “ความบกพร่องทางการเรียนรู้” ตามประกาศ กระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง กำหนดประเภทและหลักเกณฑ์ของคนพิการทางการศึกษา พ.ศ. 2552 (กระทรวงศึกษาธิการ, 2552) ซึ่งถือเป็นหน่วยงานกลางด้านการศึกษาของประเทศไทย โดยให้คำนิยามไว้ว่า บุคคลที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ หมายถึง “บุคคลที่มีความผิดปกติในการทำงานของสมองบางส่วนท่ี แสดงถึงความบกพร่องในกระบวนการเรียนรู้ท่ีอาจเกิดขึ้นเฉพาะความสามารถด้านใดดา้ นหนึ่งหรือหลายด้าน คือ การอา่ น การเขยี น และการคิดคำนวณ ซึ่งไม่สามารถเรยี นรดู้ า้ นที่บกพรอ่ งได้ ทงั้ ท่มี ีระดบั สติปัญญาปกติ” ผดุง อารยะวิญญู (2542) ได้แบง่ ประเภทของเดก็ ทม่ี คี วามบกพรอ่ งทางการเรียนรู้ออกเปน็ 5 ประเภท ได้แก่ ความบกพร่องทางการฟังและการพูด ความบกพร่องทางการอ่าน ความบกพร่องทางการเขียน ความ บกพร่องทางคณิตศาสตร์ และความบกพร่องทางกระบวนการคิด โดยสถาบันราชานุกูล (2555) ได้กล่าวว่า ความบกพร่องด้านการอ่าน ความบกพร่องด้านการเขียนสะกดคำ และความบกพร่องด้านคณิตศาสตร์ เป็น ความบกพรอ่ งทางการเรยี นรู้ทพี่ บได้บ่อย นักวิชาการหลายท่านได้เสนอสาเหตุของความบกพร่องทางการเรียนรู้ ผดุง อารยะวิญญู (2542) ได้ จำแนกสาเหตุของความบกพร่องทางการเรียนรู้ออกเปน็ 3 สาเหตุ คอื การไดร้ ับบาดเจ็บทางสมอง กรรมพันธ์ุ และสิ่งแวดล้อม มาณิกา เพชรรัตน์ (2554) ได้สรุปสาเหตุที่ทำให้เกิดความบกพร่องทางการเรียนรู้ว่าน่าจะมี สาเหตุมาจาก 6 ปัจจัย ได้แก่ การบาดเจ็บ ความผิดปกติของสมองซีกซ้าย กรรมพันธุ์ การได้รับสารพิษ อุบัติเหตุ และความบกพร่องในการทำงานของระบบประสาท และศรีเรือน แก้วกังวาน (2556 อ้างถึงใน วีระ พงษ์ แสงชูโต และนัฐจิรา บุศย์ดี, 2558) ได้เสนอสาเหตุของความบกพร่องทางการเรียนรู้ไว้ 4 สาเหตุ ได้แก่ ระบบประสาทพัฒนาบกพร่อง การพัฒนาการด้านต่างๆ ช้ากว่าวัย พันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม ถึงแม้ นักวิชาการจะมีการจำแนกสาเหตุของความบกพร่องทางการเรียนรู้ที่แตกต่างกันออกไป แต่เมื่อพิจารณาถึง เนื้อหาที่มาของความบกพร่องทางการเรียนรู้ ก็พบว่ามีแค่เพียงการแบ่งหัวข้อของสาเหตุของความบกพร่องท่ี แตกตา่ งกันเท่านั้น แต่เน้อื หาของสาเหตุมีความคลา้ ยคลึงกนั กลา่ วคอื สาเหตหุ ลักๆ ในการเกิดความบกพร่อง ทางการเรยี นรู้ ได้แก่ การได้รับบาดเจบ็ ทางสมองหรอื ความผดิ ปกตขิ องสมอง การถา่ ยทอดทางพนั ธกุ รรม และ ส่ิงแวดลอ้ ม ด้วยความบกพรอ่ งทางการเรียนรู้เป็นความบกพร่องของทักษะการเรยี นในหลายดา้ น ซึ่งการเรียนถือ เป็นทักษะพื้นฐานของการดำเนินชีวิต หากไม่ได้รับความช่วยเหลือที่เหมาะสม อาจจะทำให้เกิดผลกระทบต่อ 37

ตัวเด็กทั้งด้านการเรียน อารมณ์ และสังคม รวมถึงส่งผลกระทบต่อครอบครัวหลายประการ (ชาญวิทย์ พร นภดล, 2547 อา้ งถงึ ใน มาณิกา เพชรรัตน์, 2554) นอกจากนี้ จากการทบทวนวรรณกรรมยังมีนักวิชาการหลายท่านได้ให้คำนิยามของ ภาวะบกพร่อง ทางการเรียนรไู้ วด้ งั ต่อไปนี้ ดารณี ธนวัฒน์ (2555, หน้า 9) ได้สรุปความเป็นมาของคำว่า “Learning Disabilities” ไว้ว่า Samuel Krik นักการศกึ ษาชาวอเมริกนั เป็นผู้ริเร่ิมใช้คำว่า “Learning Disabilities” หรอื ทีเ่ รยี กวา่ “LD” ใน ปี ค.ศ. 1963 เพื่ออธิบายบุคคลที่ดูเหมือนปกติในด้านสติปัญญา แต่มีความยากลำบากในการเรียนรู้ทาง วิชาการในบางเรื่อง เช่น การอ่าน การสะกดคำ การเขียน การพูด และ/หรือการคำนวณ (Lerner, 2006; Bender, 1996; Smith et al., 2006) โดยพบว่าความบกพร่องเหล่านีเ้ ปน็ ผลทำให้เกดิ ความไม่สอดคล้องหรือ เกิดช่องว่างระหว่างผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกับความสามารถทางสติปัญญาที่แท้จริง และสำหรับในประเทศ ไทยคำว่า “Learning Disabilities” มีคำที่ใช้เรียกกันหลายคำ เช่น ความบกพร่องทางการเรียนรู้ (ศันสนีย์ ฉัตรคุปต์, 2543) ปัญหาในการเรียนรู้ (ผดุง อารยะวิญญู, 2544) ความบกพร่องด้านการเรียนรู้ (เบญจพร ปัญญายง) ความด้อยความสามารถในการเรียน (ศรีเรือน แก้วกังวาน, 2548) เป็นต้น ซึ่งคำประกาศใช้ใน ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง กำหนดประเภท และหลักเกณฑ์ของคนพิการทางการศึกษา พ.ศ. 2552 (พระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ พ.ศ. 2551 และอนุบัญญัติตามพระราชบัญญัติฯ) ได้ใช้คำ ภาษาไทยว่า “ความบกพร่องทางการเรียนรู้” และตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง กำหนดประเภท และหลักเกณฑ์ของคนพิการทางการศึกษา พ.ศ. 2552 (กระทรวงศึกษาธิการ, 2552, หน้า 45) ได้กำหนด บคุ คลท่ีมคี วามบกพร่องทางการเรียนรู้เปน็ คนพิการทางการศึกษาประเภทหนึ่งจากท้ังหมด 9 ประเภท โดยให้ คำนยิ าม “บคุ คลทีม่ คี วามบกพร่องทางการเรยี นรู้” (กระทรวงศกึ ษาธิการ, 2552, หน้า 47) ว่าหมายถึง บคุ คล ที่มีความผิดปกติในการทำงานของสมองบางส่วนที่แสดงถึงความบกพร่องในกระบวนการเรียนรู้ที่อาจเกิดข้ึน เฉพาะความสามารถด้านใดด้านหนึ่งหรือหลายด้าน คือ การอ่าน การเขียน การคิดคำนวณ ซึ่งไม่สามารถ เรยี นรู้ด้านท่บี กพรอ่ งได้ ทง้ั ที่มรี ะดบั สตปิ ญั ญาปกติ สำนักงานการศึกษาของสหรัฐอเมริกา (U.S. Office of Education อ้างถึงใน ผดุง อารยะวิญญู, 2542, หน้า 2) ได้ให้คำนิยามของคำว่า “ความบกพร่องทางการเรียนรู้” ว่าหมายถึง ความผิดปกติของ กระบวนการทางจิตวิทยา (Psychological Process) อย่างหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ การใช้ภาษา การพดู หรอื การเขยี น ทำใหบ้ ุคคลที่มคี วามผิดปกติดังกล่าว ดอ้ ยความสามารถในการฟัง การคิด การพูด การอ่าน การเขียน หรือการคำนวณทางคณิตศาสตร์ คำนี้มีความหมายรวมไปถึงความบกพร่อง ทางการรับรู้ การได้รับบาดเจ็บทางสมอง ความบกพร่องในการฟังและการพูด (Aphasia) ความบกพร่อง ทางการอ่าน (Dyslexia) ด้วย แต่ไม่ครอบคลุมไปถึงเด็กที่มีปัญหาในการเรียนรู้อันเนื่องมาจากความบกพร่อง ทางสายตา ความบกพร่องทางการได้ยิน ความบกพร่องทางร่างกาย ความบกพร่องทางสติปัญญา การด้อย โอกาสทางวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และส่งิ แวดลอ้ ม คณะกรรมการร่วมแห่งชาติว่าด้วยปัญหาทางการเรียนรู้ (The National Joint Committee on Learning Disabilities) ได้นิยามคำว่า “ปญั หาทางการเรียนร้”ู (ผดุง อารยะวญิ ญู, 2542, หนา้ 3) วา่ หมายถึง 38

ความผิดปกติที่มีลักษณะหลากหลายที่ปรากฏให้เห็นเด่นชัดถึงความยากลำบากในการฟัง การพูด การอ่าน การเขียน การให้เหตุผล และความสามารถทางคณิตศาสตร์ ความผิดปกติน้ีเกิดขึ้นภายในตวั เด็ก โดยมีสาเหตุ สำคัญมาจากความบกพร่องของระบบประสาทส่วนกลาง ปัญหาบางอย่างอาจมีไปตลอดชีวิตของบุคคลผู้น้ัน นอกจากนี้ บุคคลที่มีความบกพร่องดังกล่าวอาจแสดงถึงความไม่เป็นระบบระเบียบ ขาดทักษะทางสังคม แต่ ปัญหาเหล่านี้ไม่เกื้อหนุนต่อสภาพความบกพร่องทางการเรียนรู้โดยตรง แม้ว่าสภาพความบกพร่องทางการ เรียนรู้จะเกิดควบคู่ไปกับสภาพความบกพร่องทางร่างกายอื่นๆ เช่น การสูญเสียการได้ยิน การสูญเสียสายตา ความบกพร่องทางสติปัญญา หรือความบกพร่องทางร่างกายอื่นๆ หรืออิทธิพลจากภายนอก เช่น ความ แตกต่างทางวัฒนธรรม ความด้อยโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคม หรือการสอนที่ไม่ถูกต้อง แต่องค์ประกอบ เหล่านี้มิไดเ้ ป็นสาเหตสุ ำคัญของปัญหาการเรยี นรูโ้ ดยตรง สำนักงานคณะกรรมการประถมศึกษาแห่งชาติ (2541 อ้างถึงใน ดารณี ธนวัฒน์, 2555, หนา้ 10) ได้ ให้ความหมายของนักเรียนที่มีภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ไว้ว่า “นักเรียนที่มีภาวะบกพร่องทางการเรียนร้”ู หมายถึง นักเรียนที่มีภาวะบกพร่องในกระบวนการจิตวิทยา ทำให้นักเรียนมีปัญหาในการใช้ภาษาทั้งการฟัง การพูด การอ่าน การเขียน และการสะกดคำ หรือมีปัญหาในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ปัญหาดังกล่าวมิได้มี สาเหตุมาจากภาวะบกพรอ่ งทางรา่ งกาย แขน ขา ลำตัว สายตา การได้ยิน ระดับสติปญั ญา อารมณ์ สภาพจิต เวช และสภาพแวดลอ้ มรอบตวั นกั เรียน สถาบันราชานุกูล (สถาบนั ราชานุกลู , 2555, หนา้ 7) อธิบายเกี่ยวกับ “ความบกพร่องทางการเรียนรู้” ว่าเป็นคำทีใ่ ช้เรยี กกลุม่ ความผิดปกติของการรับร้ขู ้อมลู และมปี ัญหาในการนำข้อมูลนน้ั ไปใช้ในดา้ นการฟัง การ พูด การอ่าน การเขียน และการคดิ คำนวณ ซงึ่ ความบกพรอ่ งนเี้ กิดจากความผดิ ปกตขิ องการทำงานของสมอง ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้อ้างอิงคำนิยาม “ความบกพร่องทางการเรียนรู้” ตามประกาศ กระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง กำหนดประเภทและหลักเกณฑ์ของคนพิการทางการศึกษา พ.ศ. 2552 (กระทรวงศึกษาธิการ, 2552, หน้า 45) ที่ถือเป็นหน่วยงานกลางด้านการศึกษาของประเทศไทย โดยให้คำ นิยาม “บุคคลที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู”้ ว่าหมายถึง “บุคคลที่มีความผิดปกติในการทำงานของสมอง บางส่วนที่แสดงถึงความบกพร่องในกระบวนการเรยี นรู้ที่อาจเกิดขึ้นเฉพาะความสามารถด้านใดด้านหน่ึงหรอื หลายด้าน คือ การอ่าน การเขียน และการคิดคำนวณ ซึ่งไม่สามารถเรียนรู้ด้านที่บกพร่องได้ ทั้งที่มีระดับ สตปิ ัญญาปกต”ิ 2.1.2 ประเภทของความบกพร่องทางการเรียนรู้ ผดุง อารยะวิญญู (2542, หน้า 23-30) ได้แบ่งประเภทของเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ออกเปน็ 5 ประเภท ดังนี้ (1) ความบกพร่องทางการฟังและการพูด กล่าวคือ เด็กเหล่านี้อาจแสดงพฤติกรรมทางการพูดต่างๆ เชน่ มพี ฒั นาการทางการพดู ล่าชา้ ไมเ่ ข้าใจสญั ลักษณท์ างภาษา รู้คำศพั ทน์ ้อย จำแนกเสยี งพูดไม่ได้ ใช้อวัยวะ การพูดไม่ถกู ต้อง ทำใหพ้ ูดไม่ชดั รู้ว่าจะพูดอะไร แต่พูดออกมาไม่ได้ พูดไมเ่ ปน็ ประโยค พดู ไม่ถกู หลักภาษา ใช้ คำศัพท์ไม่ตรงกับความหมายที่จะพูด พูดแล้วผู้อื่นฟังไม่รู้เรื่อง และไม่เข้าใจโครงสร้างทางภาษา เป็นต้น เด็ก บางคนอาจมีปัญหาเพียงเล็กน้อย บางคนอาจมีปัญหามากในระดบั รุนแรงแตกตา่ งกันไป สภาพความบกพรอ่ ง 39

ทางการฟังและพูดนี้ เรียกว่า “Aphasia” และเด็กที่มีปัญหาเช่นนี้เรียกว่า “Aphasic Child” ความผิดปกติ ของเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ด้านการฟังและการพูดเป็นผลมาจากการได้รับบาดเจ็บทางสมอง (Brain Damage) อย่างไรก็ตาม เด็กบางคนอาจพูดไม่ชัด เช่น การพูดด้วยเสียงขึ้นจมูก การพูดติดอ่าง หรือ การพูดไม่ชัดของเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ความบกพร่องทางการพูดดังกล่าวไม่จัดอยู่ในกลุ่มนี้ เพราะไม่เป็นอาการของการไม่เข้าใจสัญลักษณ์ทางภาษา คำศัพท์ และโครงสร้างของประโยคเหมือนเด็กใน กลมุ่ นี้ (2) ความบกพร่องทางการอา่ น กลา่ วคือ เดก็ ทีอ่ า่ นไม่ออกเขียนไม่ได้อาจมสี าเหตุมาจากองค์ประกอบ หลายประการ เด็กบางคนอาจขาดเรียนบ่อยเพราะต้องช่วยบิดามารดาในการประกอบอาชีพ เด็กบางคนต้อง หาเลี้ยงครอบครวั เด็กบางคนต้องเดินทางมาโรงเรียนไกลจึงทำใหไ้ ม่อยากมาโรงเรียน เดก็ บางคนพูดภาษาถิ่น มาแตก่ ำเนดิ เม่ือมาเรยี นภาษาไทยที่โรงเรยี นจึงทำให้เด็กเรยี นได้ไมด่ เี พราะอิทธิพลของภาษาถิ่นที่มีโครงสร้าง ของเสียงพูด คำ และประโยคแตกต่างกัน เด็กที่ขาดแรงจูงใจในการเรยี นหรือเกียจครา้ นทำให้อา่ นไม่ออกและ เขยี นไมไ่ ด้ เดก็ เหล่านี้ไมไ่ ดจ้ ดั เป็นเดก็ ทีม่ ีความบกพร่องทางการเรียนรู้ตามนิยามของการศึกษาพเิ ศษ เพราะถ้า แก้ไขปัญหาดังกล่าวให้ลุล่วงไป เด็กก็สามารถอ่านออกเขียนได้ แต่เด็กที่มีปัญหาในการอ่านตามนิยามทาง การศึกษาพเิ ศษ ถงึ แมจ้ ะสามารถแก้ไขปญั หาดังกล่าวได้แลว้ เดก็ ก็ยงั อา่ นไม่ได้อย่นู ั่นเอง เด็กที่มีปัญหาในการ อ่านอาจจะมีพฤติกรรมต่างๆ เช่น จำตัวอักษรไม่ได้ ทำให้อ่านเป็นคำไม่ได้ จำตัวอักษรได้บ้าง แต่อ่านเป็นคำ ไมไ่ ด้ ความสามารถในการอ่านต่ำกวา่ นักเรียนอน่ื ในช้ันเรียนเดียวกนั ระดับสตปิ ญั ญาของเด็กอยู่ในเกณฑ์เฉล่ีย หรือสงู กวา่ เกณฑเ์ ฉล่ยี เม่ือวดั โดยใช้แบบทดสอบเชาวน์ปัญญา เดก็ สามารถเข้าใจภาษาได้ดีเม่ือให้เด็กฟังหรือมี คนอา่ นหนังสอื ให้ฟงั แต่ถ้าใหเ้ ดก็ อ่านเอง เด็กจะอา่ นไมไ่ ด้ อ่านไม่เข้าใจ หรอื จับใจความไม่ได้ อ่านคำโดยสลับ ตัวอักษร (เช่น อ่านคำว่า “กบ” เป็น “บก” หรืออ่านคำว่า “มอง” เป็น “ของ”) ไม่เข้าใจว่าตัวอักษรใดมา ก่อนหรือหลัง ตัวอักษรใดอยู่ทางซ้ายหรือทางขวา และไม่สามารถแยกเสียงสระในคำได้ (เช่น อ่านคำว่า “แมลง” เปน็ “แม-ลง” หรอื “มะ-แลง-ลง”) เป็นต้น เดก็ กลุม่ นมี้ ีศัพทท์ างวชิ าการ เรียกว่า “Dyslexia” และ เด็กที่มีความบกพรอ่ งทางการอา่ น เรียกว่า “Dyslexic Child” เด็กแต่ละคนอาจมีพฤตกิ รรมดังกลา่ วมากบ้าง นอ้ ยบ้างแตกตา่ งกนั ไป (3) ความบกพร่องทางการเขียน กล่าวคือ เด็กที่มีปัญหาในการเรียนรู้มักมีความบกพร่องในการ เรียงลำดับ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เด็กไม่สามารถเขียนหนังสือได้ โดยเด็กที่มีความบกพร่องทางการเขียน อาจแสดงพฤติกรรมต่างๆ ในการเขียน เช่น ไม่สามารถลอกคำที่ครูเขียนบนกระดานลงสมุดของนักเรียนได้ อย่างถูกต้อง เขียนประโยคตามครูไม่ได้ ไม่สามารถแยกรูปทรงเรขาคณิตได้ บางรายอาจมีปัญหาในการผูก เชือกรองเท้าหรือใช้มือจับสิ่งของ เขียนเป็นประโยคไม่ได้ เรียงคำไม่ถูกต้อง และรูปตัวอักษะที่เขียนอาจไม่ แน่นอน ตัวอักษรที่เด็กเขียนแต่ละครั้งอาจมีรูปทรงที่แตกต่างกันไป เป็นต้น ความบกพร่องทางการเขียนนี้ไม่ รวมไปถึงปัญหาของเด็กที่เขียนคำยากไม่ได้ อันเนื่องมาจากการที่เด็กไม่ตั้งใจเรียน เด็กขาดเรียนบ่อย หรือข้ี เกียจอ่านหรือเขยี นหนงั สือ เป็นต้น เด็กบางคนอาจมคี วามบกพร่องทางการเขียนอย่างเดียว บางคนอาจมีความบกพร่องทางการอา่ นอย่าง เดียว บางคนอาจมีความบกพร่องทัง้ การฟงั การอ่าน และการเขียน ความรนุ แรงของปัญหาอาจแตกต่างกันไป 40

ในเด็กแต่ละคน เด็กบางคนอาจมีปัญหาไม่มากนัก สามารถอ่านและเขียนได้บ้าง แต่ต้องได้รับการช่วยเหลือ เพมิ่ เติม แตเ่ ดก็ บางคนอาจมปี ญั หารนุ แรงถึงขัน้ ไมส่ ามารถจับดินสอหรือปากกาข้ึนมาเขียนไดเ้ ลย (4) ความบกพร่องทางคณิตศาสตร์ กล่าวคือ คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่ประกอบขึ้นด้วยสัญลักษณ์ เช่นเดียวกับวิชาภาษาไทย เด็กที่มีความบกพร่องในการรับรู้เกี่ยวกับสัญลักษณ์อาจมีปัญหาในการเรียน คณิตศาสตร์ เด็กที่มีปัญหาดังกล่าวอาจแสดงพฤติกรรมต่างๆ ดังเช่น มีปัญหาในการบอกความสัมพันธ์แบบ หนึ่งต่อหนึ่ง (เช่น หากมีนักเรียนในชั้นอยู่ 30 คน เด็กทั่วไปมักจะเข้าใจว่า จำเป็นต้องจัดที่นั่งให้เด็ก 30 ท่ี เพราะเดก็ 1 คน ตอ้ งการทนี่ งั่ เพียง 1 ทเ่ี ท่านัน้ แตเ่ ดก็ ที่มีปัญหามักตอบไม่ไดว้ ่าเด็ก 30 คน ควรจัดทน่ี ัง่ ใหก้ ่ที ี่) ไม่เข้าใจความหมายของจำนวน เด็กอาจนับเลข 1, 2, 3, 4, 5… ได้ แต่ถ้าครูสั่งให้หยิบก้อนหินมาวางไว้ ข้างหน้า 5 ก้อน เด็กจะปฏิบัติไม่ได้ การนับของเด็กเป็นการท่องจำ ไม่ใช่ความเข้าใจ มีปัญหาในการจัด เรียงลำดับ ไม่สามารถจำแนกวัตถุที่มีขนาดต่างกันที่กองรวมกันได้ (เช่น เมื่อครูสั่งให้แยกบล็อกที่กองรวมกัน ออกเป็น 2 กอง กองหนึ่งมีขนาดเล็ก อีกกองหนึ่งเป็นไม้บล็อกขนาดใหญ่ เด็กอาจปฏิบัติไม่ได้) ไม่เข้าใจ ปริมาณ เมื่อขนาดเปลี่ยนไป (เช่น ธนบัตรใบละ 20 บาท 1 ใบ มีค่าเท่ากับเหรียญ 5 บาท จำนวน 4 เหรียญ) คำนวณเลขไม่ได้ ไมว่ ่าจะเป็นบวก ลบ คณู และหาร เพียงอยา่ งเดยี วหรือท้ัง 4 อยา่ ง ไมเ่ ขา้ ใจความหมายของ สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ (เช่น ไม่เข้าใจว่าเครื่องหมาย + แปลว่า เพิ่มขึ้น หรือมากขึ้น) ความรุนแรงของ ปัญหาในเด็กแต่ละคนอาจไม่เท่ากัน เด็กที่มีปัญหาในการเรียนคณิตศาสตร์มีศัพท์ทางวิชาการว่า “Dyscalculia” เดก็ ทม่ี ีปญั หาในการคำนวณเรียกว่า “Dyscalculic Child” (5) ความบกพร่องทางกระบวนการคิด กล่าวคือ เด็กที่มีปัญหาในการเรียนรู้เป็นจำนวนมากมีความ ลำบากในการคดิ กระบวนการให้เหตุผล หรอื การกำหนดแนวความคดิ รวบยอด โดยเด็กท่มี ีปัญหาในการเรยี นรู้ กลุ่มนี้อาจจะแสดงพฤติกรรมต่างๆ เกี่ยวกับกระบวนการคิดและการให้เหตุผล เช่น ไม่สามารถบอกความ แตกต่างของสิ่งที่มองเห็นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวัตถุ 2 อย่างหรือมากกว่า มีขนาดหรือลักษณะคล้ายคลึง กัน ไม่สามารถบอกความแตกต่างของเสียงท่ีได้ยินได้ โดยเฉพาะอยา่ งย่ิง เสียงที่คลา้ ยคลึงกัน หรือหากบอกได้ ก็ไม่แน่นอน บางทีก็บอกได้ บางทีก็บอกไม่ได้ มีความจำไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นความจำระยะสั้นหรือความจำระยะ ยาว ไมม่ ีความมานะอดทนในการประกอบกจิ กรรมเลยหรือหากมีก็มีมากจนเกินไปจนบางคร้ังทำใหย้ ากแก่การ ทำให้เขาเลกิ กิจกรรมที่กำลังทำอยู่ ไม่สนใจสงิ่ ทอ่ี ยู่รอบตวั หรือไม่ก็สนใจจนเกนิ ไป จนยากแกก่ ารที่จะดึงความ สนใจของเดก็ ออกจากสงิ่ ของนัน้ ๆ และมีการเคลอ่ื นไหวหรอื เคลอื่ นทอี่ ยู่เสมอ ไมส่ ามารถอยนู่ ง่ิ เฉยไดน้ าน เป็น ตน้ นอกจากนี้ สถาบันราชานุกูล (2555, หน้า 8) ได้กล่าวถึงความบกพร่องทางการเรียนรู้ที่พบได้บ่อย โดยแบง่ ออกเป็น 3 ประเภท ไดแ้ ก่ (1) ความบกพร่องด้านการอ่าน กล่าวคอื เดก็ มคี วามบกพร่องในการจดจำ พยัญชนะ สระ ขาดทักษะในการสะกดคำและเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ ได้อย่างจำกัด จึงอ่านหนังสือไม่ออกหรือ อ่านแต่คำศัพท์ง่ายๆ อ่านผิด ใช้วิธีการเดาคำเวลาอ่าน อ่านได้แต่คำที่เห็นบ่อย เนื่องจากใช้วิธีการจำคำไม่ อาศัยการสะกด อ่านตะกุกตะกัก (2) ความบกพร่องด้านการเขียนสะกดคำ เด็กมีความบกพร่องในการเขียน พยญั ชนะ สระ ตวั สะกด วรรณยกุ ต์ และการนั ต์ ไมถ่ กู ตอ้ งตามหลักภาษาไทย จึงเขยี นหนงั สือและสะกดคำผิด มีปัญหาการเลือกใช้คำศัพท์ การแต่งประโยค และการสรุปเนื้อหาสำคัญ ทำให้ไม่สามารถถ่ายทอดความคิด 41

ผ่านการเขียนได้ตามระดับชั้นเรียน แต่สามารถลอกตัวหนังสือตามแบบได้ และ (3) ความบกพร่องด้าน คณิตศาสตร์ กล่าวคือ เด็กขาดทักษะและความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเลขการนับจำนวน การจำสูตรคูณ การใช้ สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ จึงไม่สามารถคิดหาคำตอบจากการบวก ลบ คูณ และหารตามกฎเกณฑ์ทาง คณิตศาสตร์ได้ 2.1.3 สาเหตขุ องความบกพร่องทางการเรยี นรู้ นักวิชาการหลายท่านได้เสนอสาเหตุของความบกพร่องทางการเรียนรู้ โดยในการวิจัยครั้งนี้จะ นำเสนอตวั อย่างสาเหตุของความบกพร่องทางการเรียนรู้ของนักวิชาการ 2-3 ทา่ น เพอื่ ใหเ้ ห็นที่มาของการเกิด ความบกพรอ่ งทางการเรยี นรู้โดยสังเขป ดงั นี้ ผดุง อารยะวิญญู (2542, หน้า 7-8) ได้จำแนกสาเหตุของความบกพร่องทางการเรียนรู้ออกเป็น 3 สาเหตุ คือ (1) การได้รับบาดเจบ็ ทางสมอง กล่าวคือ บุคลากรทางการแพทย์ทีศ่ ึกษาเกี่ยวกับเด็กที่มีปัญหาใน การเรียนรใู้ นหลายประเทศมคี วามเชื่อว่า สาเหตุสำคญั ท่ที ำใหเ้ ดก็ เหลา่ นไี้ มส่ ามารถเรยี นรู้ได้ดีนน้ั เนือ่ งมาจาก การได้รับบาดเจ็บทางสมอง อาจจะเป็นการได้รับบาดเจ็บก่อนคลอด ระหว่างคลอด หรือหลังคลอดก็ได้ การ บาดเจ็บนี้ทำให้ระบบประสาทส่วนกลางไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ อย่างไรก็ตาม การได้รับบาดเจ็บอาจไม่ รุนแรงนัก สมองและระบบประสาทส่วนกลางยังทำงานได้ดีเป็นส่วนมาก มีบางส่วนเท่านั้นที่บกพร่องไปบ้าง ทำให้เด็กมีปัญหาในการรับรู้ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการเรียนรู้ของเด็ก แต่ปัญหานี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับทั้งหมด เพราะเด็กบางรายอาจเป็นกรณียกเว้น (2) กรรมพันธุ์ กล่าวคือ งานวิจัยเป็นจำนวนมากระบุตรงกันว่าความ บกพร่องทางการเรียนรู้บางอย่างสามารถถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ได้ ดังจะเห็นได้จากการศึกษาเป็นรายกรณี พบว่าเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้บางคน อาจมีพี่น้องที่เกิดจากท้องเดียวกันมีปัญหาทางการเรียนรู้เช่นกัน หรอื อาจมพี ่อ แม่ หรอื ญาตใิ กลช้ ดิ มีปัญหาทางการเรียนรู้เชน่ กนั และ (3) สง่ิ แวดลอ้ ม หมายถงึ สาเหตุอ่ืนๆ ท่ี ไมใ่ ชก่ ารไดร้ ับบาดเจ็บทางสมองและกรรมพันธุ์ เปน็ สิ่งท่เี กิดขึ้นกับเดก็ ภายหลงั การคลอด เม่อื เดก็ เตบิ โตขึ้นมา ในสภาพแวดล้อมที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง เช่น การที่ร่างกายได้รับสารบางประการอันเนื่องมาจากสภาพมลพิษ ในสิ่งแวดล้อม การขาดสารอาหารในวัยทารกและในวัยเด็ก การสอนที่ไม่มีประสิทธิภาพของครู ตลอดจนการ ขาดโอกาสในการศึกษา เป็นต้น แม้ว่าองค์ประกอบทางสภาพแวดล้อมเหล่านีจ้ ะไม่ใช่สาเหตุที่ก่อให้เกิดความ บกพรอ่ งทางการเรยี นร้โู ดยตรง แต่องคป์ ระกอบเหล่านี้อาจทำใหส้ ภาพการเรียนรู้ของเด็กมคี วามบกพร่องมาก ขน้ึ มาณิกา เพชรรัตน์ (2554, หน้า 16-17) ได้สรุปสาเหตุที่ทำให้เกิดความบกพร่องทางการเรียนรู้ว่า นา่ จะมีสาเหตมุ าจาก 6 ปจั จยั ได้แก่ (1) การบาดเจ็บ กลา่ วคือ การที่เด็กได้รับบาดเจ็บกอ่ นคลอดหรือระหว่าง คลอด เช่น การเสยี เลือดมากระหว่างคลอด การขาดออกซิเจน ตวั เหลืองหลังคลอด และอน่ื ๆ ซึ่งจะทำให้เซลล์ สมองกระทบกระเทือน ทำให้ส่งผลต่อปัญหาทางการเรียนรู้ (2) ความผิดปกติของสมองซีกซ้าย กล่าวคือ โดย ปกติสมองซีกซ้ายจะควบคุมการแสดงออกทางด้านภาษา และสมองซีกซ้ายจะมีขนาดโตกว่าสมองซีกขวา แต่ เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ สมองซีกซ้ายและซีกขวาจะมีขนาดเท่ากัน และมีความผิดปกติอื่นๆ ที่สมองซีก ซ้ายด้วย รวมไปถึงมีความผิดปกติของคลื่นสมอง เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้จะมีคลื่นอัลฟาที่สมองซีกซ้าย มากกว่าเด็กปกติ และ (3) กรรมพันธุ์ กล่าวคือ บางครอบครัวที่มีเด็กมีความบกพร่องทางการเรียนรู้ เมื่อทำ 42

การสืบค้นไป อาจพบว่าสมาชิกในครอบครัวหรือญาติพี่น้องมีความบกพร่องทางการเรียนรู้ในลักษณะ คล้ายคลึงกนั และพบว่ามีความผดิ ปกติของยีนส์บนโครโมโซมคูท่ ี่ 6 หรือคูท่ ี่ 15 (4) การไดร้ บั สารพษิ กลา่ วคือ สารพิษที่พบมากว่าส่งผลต่อการเกิดความบกพร่องทางการเรียนรู้ ได้แก่ สารตะกั่ว ซึ่งเมื่อเด็กรับป ระทาน อาหารหรอื ด่ืมนำ้ ท่ีมีสารตะกวั่ เจอื ปนอยู่ สารจะไปทำลายเซลล์สมองบางส่วน ทำให้เกิดความบกพรอ่ งทางการ เรียนรู้ (5) อุบัติเหตุ กล่าวคือ บุคคลที่ได้รับการกระทบกระเทือนที่สมองอย่างรุนแรง เช่น การล้มหัวฟาดพ้ืน อุบัติเหตุบนท้องถนน หรือมีสิ่งอ่ืนมากระทบศีรษะอย่างรุนแรง เป็นต้น อาจะทำให้สมองได้รับบาดเจ็บ อันจะ นำไปสู่ภาวะความผิดปกติทางการเรียนรู้ และ (6) ความบกพร่องในการทำงานของระบบประสาท กล่าวคือ ด้าน Cognitive Neuroscience และ Neuropsychology พบความบกพร่องในการทำงานของระบบการลง ข้อมูล (Encoding) และการค้นข้อมูลจากความจำระยะสั้น (Short Term Memory) แต่ไม่พบความบกพร่อง ในการใช้สมาธิ และการค้นข้อมูลจากความจำระยะยาว (Long Term Memory) ซึ่งจาก Computer Tomography Scan, Magnetic Resonance Imaging และ Autopsy พบว่ามีความผดิ ปกตใิ นขนาดและการ ทำงานบริเวณ Left Inferior Tempero-Occipital Area ในกลุ่มการอ่านบกพร่อง ปัจจุบันเชื่อว่ามี ความสัมพันธ์กับความล่าช้าในพัฒนาการในด้านการพูดและการสื่อสาร เกือบทุกรายมีความสับสนในการ แยกแยะขา้ งซ้ายขา้ งขวา และโรคน้ีพบบ่อยในเด็กที่เปน็ ลมชัก Cerebral Palsy คลอดกอ่ นกำหนด น้ำหนักตัว น้อย มีปัญหาขณะต้ังครรภห์ รือขณะคลอด และขาดอาหารเป็นระยะเวลานาน ศรีเรอื น แก้วกงั วาน (2556 อ้างถงึ ใน วีระพงษ์ แสงชูโต และนัฐจริ า บุศยด์ ี, 2558, หนา้ 12) ได้เสนอ สาเหตุของความบกพร่องทางการเรียนรู้ไว้ 4 สาเหตุ ได้แก่ (1) ด้านระบบประสาทพัฒนาบกพร่อง กล่าวคือ เกิดจากความผิดปกติและ/หรือความบกพร่องของระบบประสาทในมิติต่างๆ เช่น การพัฒนาระบบประสาทท่ี ผิดปกติตั้งแต่ในครรภ์มารดา การขาดออกซิเจนในระหว่างคลอด และการวางท่าขณะเป็นทารกในครรภ์ ผิดปกติ เป็นต้น (2) การพัฒนาการด้านต่างๆ ช้ากว่าวัย เช่น พัฒนาการช้ากว่าวัยในด้านวุฒิภาวะเชิงทักษะ การประสานกันระหว่างการเห็นและการเคลื่อนไหว พัฒนาการทางภาษา ทั้งการพูด การอ่าน และการเขียน (3) พนั ธุกรรม เช่น เดก็ มพี ่อแมห่ รือญาติพ่ีน้องที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ กจ็ ะมีโอกาสสูงท่ีจะเป็นเด็กที่ มีความบกพร่องทางการเรียนรู้เช่นกัน และ (4) สิ่งแวดล้อม เช่น สารเคมี ทุพโภชนาการ รังสี สารตะกั่ว ยา จอโทรทัศน์ทไ่ี ม่มีเครื่องกรองแสง ควนั บหุ ร่ี และการสอนทไ่ี รป้ ระสิทธิภาพ เปน็ ต้น นอกจากน้ี สง่ิ แวดลอ้ มทาง สังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และชีวภาพในปัจจุบันอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นักเรียนที่มีความบกพร่อง ทางการเรียนรมู้ จี ำนวนเพ่ิมมากขน้ึ ถึงแม้นักวชิ าการจะมีการจำแนกสาเหตุของความบกพร่องทางการเรียนรู้ที่แตกตา่ งกันออกไป แต่เม่ือ พิจารณาถงึ เนื้อหาท่ีมาของความบกพร่องทางการเรยี นรู้ ก็พบว่ามแี ค่เพียงการแบ่งหัวข้อของสาเหตุของความ บกพร่องที่แตกต่างกันเท่านั้น แต่เนื้อหาของสาเหตุมีความคล้ายคลึงกัน กล่าวคือ สาเหตุหลักๆ ในการเกิด ความบกพร่องทางการเรียนรู้ ได้แก่ (1) การได้รับบาดเจ็บทางสมองหรือความผิดปกติของสมอง (2) การ ถ่ายทอดทางพันธกุ รรม และ (3) สิง่ แวดลอ้ ม 43

2.1.4 ผลกระทบของความบกพร่องทางการเรียนรู้ ด้วยความบกพร่องทางการเรียนรู้เป็นความบกพรอ่ งของทักษะการเรยี นในหลายด้าน ซึ่งการเรียนถือ เป็นทักษะพื้นฐานของการดำเนินชีวิต หากไม่ได้รับความช่วยเหลือที่เหมาะสม อาจจะทำให้เกิดผลกระทบต่อ ตัวเด็กทั้งด้านการเรียน อารมณ์ และสังคม รวมถึงส่งผลกระทบต่อครอบครัวหลายประการ (ชาญวิทย์ พร นภดล, 2547 อา้ งถงึ ใน มาณิกา เพชรรัตน์, 2554, หนา้ 21-23) ดังนี้ (1) ผลกระทบตอ่ เดก็ (1.1) เด็กไม่ประสบความสำเร็จด้านการเรียนเท่าที่ควร กล่าวคือ เมื่อเด็กเรียนได้ไม่ดีหรือ ไม่ได้เลื่อนชั้นเรียน เด็กก็จะไม่มีความสุขกับการเรียน และเริ่มต้นสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ ทางการเรียนได้ยาก อาจ ต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน เนื่องจากเด็กหมดกำลังใจและตัดสินใจเลิกเรียน และอาจหันไปหาสิ่งที่ตนเอง สามารถทำไดด้ ีกวา่ การเรยี น เช่น ตดิ เกม ติดสารเสพติดหรือบหุ รี่ หนเี รียน และกา้ วร้าว เป็นตน้ (1.2) เด็กมีปัญหาด้านพฤติกรรม เช่น ขี้อาย ไม่กล้าแสดงออก พึ่งพาผู้อื่น ดื้อ ต่อต้าน ก้าวร้าว โดดเรียน และไม่ทำการบ้านส่ง เป็นต้น เมื่อเด็กมีพฤติกรรมดังกล่าวก็ส่งผลให้เด็กถูกลงโทษบ่อยๆ หรอื ถกู พกั การเรยี น (1.3) เด็กมีปัญหาทางด้านอารมณ์ เช่น เด็กมีความรู้สึกเห็นคุณค่าในตนเองต่ำจากการที่เด็ก ประสบกับความล้มเหลวในด้านการเรียนอยู่เสมอ เด็กจะมีความรู้สึกหงุดหงิดและคับข้องใจกับการเรียนของ ตน มีความรู้สึกไม่ดีต่อตนเอง มองตนเองในแง่ลบ คิดว่าตนเองทำอะไรได้ไม่ดี ไม่สามารถเรียนหนังสือได้ เหมือนผอู้ ืน่ ขาดการนบั ถือตนเอง หากเดก็ สญู เสยี ความนับถอื ตนเองหรอื ร้สู กึ วา่ ตนเองไม่มคี ุณคา่ จะทำใหเ้ ด็ก เกิดภาวะซมึ เศรา้ ตามมา จนถงึ ขนาดฆ่าตวั ตายได้ เปน็ ต้น (1.4) เด็กมีปัญหาการเข้าสังคม กล่าวคือ เด็กอาจไม่เป็นที่ยอมรับของเพื่อนที่เป็นเด็กปกติ ทำใหม้ โี อกาสคบกับเพ่ือนที่มีปัญหาการเรียนหรือมีปัญหาอืน่ ๆ และพากนั ไปในทางที่เสยี โดยมีรายงานว่าเด็ก กลมุ่ ดงั กล่าวจะบกพรอ่ งทักษะทางสังคมมากกว่าบุคคลทั่วไป ไมเ่ ข้าใจถึงสมั พนั ธภาพระหวา่ งบุคคล อาจมีการ แสดงออกโดยประพฤติผิดในห้องเรียน ขาดทักษะในการสร้างมิตรภาพ ไม่สามารถเริ่มต้นการสนทนา หรือ ดำเนินการสนทนา ทำให้ไมส่ ามารถเข้ากบั เพื่อนได้ เพ่ือนไมย่ อมรับ เกดิ การแยกตัว และรูส้ ึกโดดเด่ียว (2) ผลกระทบตอ่ ครอบครัว (2.1) ผลกระทบทางด้านอารมณ์และจิตใจของครอบครวั โดยครอบครัวเดก็ ที่มคี วามบกพร่อง ทางการเรียนรู้จะมีระดับความเครียดสูงกว่าครอบครัวเด็กปกติ พ่อแม่ทุ่มเทเวลาให้กับเด็กที่มีความบกพร่อง ทางการเรียนรู้คอ่ นข้างมาก จนไม่มีเวลาและพลงั งานหลงเหลือท่ีจะแบง่ ปันใหก้ บั สมาชิกคนอืน่ ๆ ในครอบครัว (2.2) ผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจและสังคมของครอบครัว กล่าวคือ พ่อแม่หรือผู้ปกครอง ตอ้ งทมุ่ เทเวลากับการดูแลเด็กที่มคี วามบกพรอ่ งทางการเรยี นรู้ เน่ืองจากตอ้ งดแู ลอย่างใกลช้ ดิ พาไปพบแพทย์ หรือรับการบำบัดอย่างต่อเนื่อง ทำให้สมาชิกในครอบครัวไม่สามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติ ขาดรายได้ รวมทง้ั ตอ้ งแบกรบั ภาระคา่ ใชจ้ ่ายในการรกั ษาพยาบาลด้วยเชน่ กัน (2.3) ผลกระทบต่อองค์ประกอบในการทำหน้าที่ของครอบครัว โดยครอบครัวเด็กที่มีความ บกพร่องทางการเรียนรู้ จะมีองค์ประกอบในการทำหน้าที่ของครอบครัวที่ไม่เหมาะสมเหมือนครอบครัวของ 44

เด็กปกติ และเด็กทม่ี ีความบกพร่องทางการเรียนรจู้ ะมีการทะเลาะกับพ่อแม่และพ่ีน้อง เน่ืองจากมีความกดดัน จากทบ่ี า้ น โรงเรียน และเพื่อน จึงมคี วามขดั แยง้ กบั บคุ คลทอี่ ยรู่ อบตัว 2.2 สถานการณ์ทีผ่ า่ นมาและปัจจุบันของภาวะบกพรอ่ งทางการเรียนรขู้ องเดก็ ภาวะบกพร่องด้านการเรยี นร้เู ป็นหนงึ่ ในความพิการที่พบไดใ้ นเดก็ ช่วงวัยเรยี น โดยขอ้ มูลทีผ่ า่ นมาของ ภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ของเด็กนั้น พบว่ายังไม่มีงานสำรวจระดับชาติที่เกี่ยวข้องกับภาวะบกพร่อง ทางการเรียนรู้โดยตรง ซึ่งข้อมูลสถานการณ์ภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ของเด็กที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็น การศึกษาในภาพรวมของเด็ก หรือหากเป็นการศึกษาภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้โดยเฉพาะ ก็เป็น โครงการวิจยั ทีศ่ ึกษาเฉพาะบางพ้ืนท่ี แต่อย่างไรก็ตามข้อมูลท่ีมีการศึกษาน้ันกส็ ามารถแสดงสถานการณ์ภาวะ บกพร่องทางการเรียนรู้ของเด็กที่ผ่านมาได้ ข้อมูลในระดับภาพรวม พบว่า สำนักงานสถิติแห่งชาติ ได้ทำ รายงานการสำรวจความพิการ พ.ศ. 2550 โดยสอบถามข้อมูลเฉพาะประชากรที่มีอายุ 7 ปีขึ้นไป ผลการ สำรวจพบว่า ประเทศไทยมีประชากรที่พิการจํานวน 1.9 ล้านคน หรือร้อยละ 2.9 ของประชากรทั่วประเทศ โดยในจำนวนนี้เป็นผู้พิการที่มีความบกพร่องด้านการเรียนรู้ร้อยละ 14.3 ของจำนวนผู้พิการทั้งหมด (สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2550) และข้อมูลจากสำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส และผู้สูงอายุ (สท.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความม่ันคงของมนษุ ย์ (พม.) ได้ทำการสำรวจ กลุ่มเด็กที่มีอายุตํ่ากว่า 18 ปี ในปี พ.ศ. 2558 พบว่า ด้านพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็ก พบว่า เด็ก ป.1 ประมาณร้อยละ 30 มีพัฒนาการไม่สมวัย ในจำนวนนี้เปน็ โรคบกพร่องทางการเรียนรู้ ร้อยละ 10 (สถาบันรา ชานุกูล, 2558) นอกจากนี้กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความ มน่ั คงของมนุษย์ ได้จัดทำรายงานขอ้ มูลสถานการณ์ดา้ นคนพิการในประเทศไทย ณ เดือนกนั ยายน พ.ศ. 2560 พบว่า ประเทศไทยมีคนพิการจำนวน 1,808,524 คน คิดเป็นร้อยละ 2.75 ของประชากรทั้งประเทศ โดยใน จำนวนน้เี ปน็ ผูพ้ กิ ารทางด้านการเรียนรู้ ทางด้านสติปัญญา และด้านออทสิ ติก รวมจำนวนทัง้ สน้ิ 145,886 คน คิดเป็นร้อยละ 8.06 ของผู้พิการทั้งหมด โดยคนพิการที่อยู่ในวัยเด็กและวัยเรียน (แรกเกิด -21 ปี) พบว่ามี อัตราส่วนที่เป็นผู้พิการทางสติปัญญามากที่สุด ถึงร้อยละ 29.69 (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคง ของมนุษย์, 2560) และจากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน ปีการศึกษา 2552-2558 พบว่า จำนวนนักเรียนท่ีมีความตอ้ งการจำเป็นพเิ ศษ เช่น ด้านปัญหาการเรียนรู้และบกพร่องทางสตปิ ญั ญา มี แนวโน้มเพ่มิ ขึ้นอย่างต่อเน่อื งในทุกระดับการศึกษา โดยเฉพาะนกั เรียนระดับชน้ั ประถมศกึ ษาที่มคี วามต้องการ จำเป็นพิเศษมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นประมาณ 5 เท่า จากปี พ.ศ. 2552 ที่มีจำนวน 33,074 คน เพิ่มสูงเป็น 164,893 คน ในปี พ.ศ. 2558 (สำนกั งานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2560) ในส่วนของข้อมูลโครงการวิจัยที่ศึกษาเฉพาะบางพื้นที่ เช่น โครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบาย ด้านสุขภาพ ได้ทำการคัดกรองโรคสมาธสิ ัน้ และความบกพร่องด้านการเรยี นในเด็กนกั เรียนชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 1-6 โรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 353 แห่ง ปีการศึกษา 2550 – 2551 โดยสุ่มเลือกพื้นที่จังหวัดจาก 12 เขตการศึกษา และใช้แบบคัดกรอง KUS-SI Rating Scales: ADHD/LD/Autism (PDDs) พบว่า มีเด็กที่มีภาวะบกพร่องด้านการเรียนรู้ ซึ่งจำแนกเป็นภาวะบกพร่องด้าน 45

การอ่านร้อยละ 7.1 ภาวะบกพร่องด้านการเขียนร้อยละ 6.8 และภาวะบกพร่องด้านการคำนวณร้อยละ 6.6 (ภาสุรี แสงศุภวานิช และคณะ, 2554) และในปี พ.ศ. 2559 ท่ีผ่านมา ศูนย์วิจัยเพือ่ สร้างเสริมความปลอดภัย และปอ้ งกันการบาดเจ็บในเด็ก โรงพยาบาลรามาธิบดรี ่วมกบั สำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคมุ โรค ไดต้ รวจประเมนิ ภาวะสขุ ภาพเด็กอายุ 8-12 ปี จำนวน 216 คน ทีเ่ รียนระดับช้นั ประถมศึกษา ปีที่ 4-6 ใน 6 โรงเรียนที่ต้ังอยู่ในรัศมี 10 กิโลเมตร บริเวณรอบเหมืองทอง จังหวัดพิจิตร พิษณุโลก และ เพชรบูรณ์ โดยในการตรวจประเมินภาวะสุขภาพคร้ังน้ี ไดป้ ระเมินระดับเชาวป์ ญั ญาและทดสอบความสามารถ ทางการเรียนรู้ของเด็กด้วย ซึ่งผลพบว่า นักเรียนส่วนใหญ่ร้อยละ 61.6 มีระดับเชาว์ปัญญาอยู่ในเกณฑ์เฉล่ีย (IQ 90-109) ส่วนผลการทดสอบความสามารถทางการเรียนรู้ของเด็ก พบว่า มีความชุกของนักเรียนที่มี ความสามารถทางการเรียนรู้ด้านการอ่าน การเขียน หรือการคำนวณ ต่ำกว่าชั้นเรียนปัจจุบัน ทำให้สงสัยว่า เดก็ มภี าวะบกพร่องทางการเรียนรู้คิดเป็นร้อยละ 51.8 จากนกั เรยี น 212 คน เมอ่ื ประเมินโดยใช้เกณฑ์ระดับ เชาวป์ ญั ญาทีร่ ะดับคาบเสน้ (IQ 70) ข้ึนไป (ทงั้ หมด 216 คน ไมส่ ามารถประเมนิ ได้ 2 คน และเดก็ IQ ต่ำกว่า 70 จำนวน 2 คน) (อดิศกั ด์ิ ผลติ ผลการพมิ พ์ และคณะ, 2559) สรุปข้อมูลสถานการณ์ภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ของเด็กที่ผ่านมา ท้ังเป็นการศึกษาในภาพรวม และข้อมูลโครงการวิจัยที่ศึกษาเฉพาะบางพื้นที่ พบว่า โดยทั่วไปจะพบเด็กที่มีภาวะบกพร่องทางการเรียนรู ประมาณร้อยละ 6-10 และมีแนวโน้มท่ีจะพบภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ของเดก็ เพิม่ ขึ้น โดยเฉพาะในพืน้ ท่ี ที่มีความเสี่ยงต่อการได้รับสารพิษหรือโลหะหนักยิ่งทำให้เด็กในพื้นที่ดังกล่าวมีโอกาสที่จะพบภาวะบกพร่อง ทางการเรยี นรู้ของเด็กมากกวา่ พน้ื ท่ีที่ไม่มคี วามเสี่ยง 2.3 ทกั ษะสมองการเรยี นรคู้ ิดเชงิ บรหิ าร (Brain Executive Function Skills; EFs) 2.3.1 ความหมายและสมองที่ทำงานเกยี่ วขอ้ งกบั ทกั ษะการเรยี นร้คู ิดเชงิ บรหิ าร ทักษะสมองการเรียนรู้คิดเชิงบริหาร (EFs) คือ การทำหน้าที่ระดับสูงของสมองส่วนหน้า (Prefrontal cortex) ทชี่ ว่ ยใหเ้ ราควบคุมอารมณ์ ความคิด การกระทำจนเกิดพฤตกิ รรมท่ีมงุ่ สู่เป้าหมาย (goal directed behaviors) ซึ่งสมองส่วนหน้า ซึ่งเป็นสมองส่วนควบคุมการรู้คิดและบริหารจัดการ (executive function in the brain) ซ่ึงเป็นศนู ย์บัญชาการของสมอง มหี นา้ ท่เี ก่ยี วกับทกั ษะสมองการเรียนร้คู ดิ เชงิ บริหาร หลักท้งั ความจำ การเรียนรไู้ ปใช้การทำงาน (working memory), การควบคุมตนเอง ยบั ยัง้ ชง่ั ใจ (inhibitory control) และความยดื หย่นุ ปรับเปลย่ี น (cognitive flexibility) 46