ประวัติศาสตรท อ งถน่ิ จังหวัดสุโขทัย Local History of Bansuan Sukhothai Province เรียบเรียงโดย ดเิ รก ดว งลอย/Direk Duangloi พระปลัดระพนิ พุทธฺ สิ าโร ผศ.ดร./ดว งลอย Phra Raphin Duangloi/Buddhisaro
ประวตั ศิ าสตรท อ งถิ่น จงั หวดั สุโขทัย Local History of Bansuan Sukhothai Province ISBN : 978-616-568-180-3 เรยี บเรียงโดย ดร.ดเิ รก ด้วงลอย/Direk Duangloi พระปลดั ระพนิ พทุ ฺธสิ าโร ผศ.ดร. /ด้วงลอย, Phra Raphin Duangloi/Buddhisaro พิมพเ์ มอื่ ๒๑ มนี าคม ๒๕๖๓ จำ�นวน ๕๐๐ เล่ม บรรณาธกิ าร : เรยี บเรยี งโดย พระพปดลิเรรัดกะระปดพวินลงลัดพอทุยร/ฺธDะิสiาพrโeรkนิ ผDศพ.uดaรทุn./gดธฺloวิสงiลาอโยร ผศ.ดร./ดว้ งลอย, Phra Raphin Duangloi/Buddhisaro ออกแบบปPกhra-จRดัapรhiูปn เDลua่มngl oi/Buddhisaro ดร.ประสิทธิ์ พทุ ธศาสน์ศรทั ธา | ๐๘๖ ๑๕๕ ๖๒๗๙ www.drprasit.net | Email : [email protected] ผรู้ ับผดิ ชอบการจัดพมิ พ์ พระปลัดระพนิ พุทธิสาโร ผศ.ดร./ด้วงลอย, Phra Raphin Duangloi/Buddhisaro ๗๙ หมู่ ๑ ต�ำ บลลำ�ไทร อำ�เภอวังนอ้ ย จังหวัดพระนครศรอี ยธุ ยา ๑๓๑๗๐ พมิ พ์ท่ี โรงพมิ พ์มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั 79 หมู่ 1 ตำ�บลลำ�ไทร อ�ำ เภอวังนอ้ ย จงั หวัดพระนครศรีอยุธยา 13170
ประวตั ศิ าสตรทอ งถน่ิ จังหวดั สุโขทยั Local History of Bansuan Sukhothai Province พระปลัดระพนิ พุทธฺ ิสาโรดรผ.ศดเิ.ดรกร.ด/เ้วดรงว้ยี ลงบอลเยอร/ยยี D,งiโPrดehkยraDRuaapnhglinoiDuangloi/Buddhisaro จดั พิมพเ์ นอ่ื งในงานทำ�บุญแจงอัฐริ วมญาติ พระค“รูสดุพว้ งฒั ลนอพยดเิ ร-ิธกอาดาวนงจลเรอยีใย(บ/ทหเDรียiญอrงeโดkงย”่ Dดuแaี nลมglะoหiเาควรีโอืร/ญอาาตจิ ใหญ)่ พอ่ ใบ-แพPรมะhปraล่พดัRรลaะpพhอนิinยพDุทuธฺ ดaสิ nาg้วโรloงผi/ศลB.uดอdร.d/ยhดiวsงaล(roออยาจใหญ)่ ๒๑-๒๒ มีนาคม ๒๕๖๓ ณ วัดคลองตะเคยี น ต.บ้านสวน อ.เมอื ง จ.สุโขทยั กองทุนพระครูสุพฒั นจพดั ิธพาิมนพ(ทโ์ ดอยงดี มหาวโี ร/อาจใหญ่)
จัดพมิ พ์เน่ืองในงานทาบญุ แจงอฐั ิรวมญาติ “ดว้ งลอย-อาจใหญ่” และเครอื ญาติ พระครูสุพัฒนพิธาน (ทองดี มหาวโี ร/อาจใหญ่) ทวดแถม-ทวดกล่อม เอ่ียมทองอินทร์ ทวดคอย อาจใหญ่ – ทวดจาง อาจใหญ่ ทวดสิน- ทวดเยน็ ด้วงลอย ทวดอัด ทวดไผ่ (พ่อแม่ย่าตอม ดว้ งลอย] พ่อแก่จวง-แมใ่ หญ่ไพร่ อาจใหญ่ ปู่จาลอง-ยา่ ตอม ดว้ งลอย ยายแจง ฟองภู่ (สกุลเดิม อาจใหญ)่ ยายแฉลม้ คชกลู (สกลุ เดมิ อาจใหญ)่ ยายจอน อาจใหญ่ – ยายส้มจีน อาจใหญ่ พอ่ ใบ ด้วงลอย-แมพ่ ลอย ด้วงลอย (อาจใหญ่) พอ่ ใบ-แม่ทองคา หงสผ์ ว้ ย (สกุลเดิม ฟองภู่) นางแกว้ ฟองภู่ – นางเพ็ญจิตร กระจายศรี (กลืน ฟองภู่) นายสมบัติ ดว้ งลอย (พ.ศ.๒๕๑๑-๒๕๓๗) [อา-นอ้ งพ่อ] นายใบ-นางส่มุ (ด้วงลอย) วรนุช นางสาวอุบล วรนุช [อา-นอ้ งพ่อ] นายเล็ก (เมด็ ) ด้วงลอย - นางหนิว ด้วงลอย [ลงุ -พ่แี ม่] นายฉลอม มวงศรี –นายชะลอ ม่วงศรี [น้า-น้องแม่] นางจด-นายพล อาจใหญ่ [นา้ -น้องแม่] นายบงั อร - นางสาวปิยวรรณ (เงาะ) จ้อยแก้ว นางบุญยงั ดว้ งลอย-นายริน โตออ่ ง [นอ้ ง-หลานแม่] เดก็ หญงิ จตพุ ร (ส้ม) เกิดซา เด็กหญงิ จันทิมา (เดอื น) เกดิ ชา 4 | ดิเรก ดว้ งลอย | พระปลัดระพนิ พทุ ธฺ สิ าโร (ด้วงลอย)
คค�ำานนาำ� สืบเนื่องจากแมพ่ ลอย ด้วงลอย ได้เสียชีวิตลงเม่ือวันท่ี ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ และได้ฌาปนกิจศพเม่ือวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๖๑ พร้อมได้จัดทาบุญตามคติโบราณ ๗ วัน และ ครบรอบ ๑๐๐ วัน เม่ือ ๑๖-๑๗ มีนาคม ๒๕๖๒ และทาบุญครบรอบ ๑ ปี เมื่อวันท่ี ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ อันเป็นการแสดงออกซ่ึงความ เคารพกตัญญูต่อแม่พลอย ด้วงลอย (พ.ศ.๒๔๘๓-๒๕๖๑) ผู้วาย ชนม์ ทังเป็นไปตามประเพณีของชาวไทยพุทธ นอกจากนีประเพณี ของชาวบ้านสวนเมื่อบรรพชนเสียชีวิตจะต้องมีการทาแจงอัฐิรวม ญาติ ๑ ครงั ทีเ่ รียกว่า “แจง”อฐั ธิ าตุ มีการจัดสมโภชน์ เฉลมิ ฉลอง มลี ิเก นมิ นต์พระสวดอภิธรรม แสดงธรรม สวดแจง บังสกุ ลุ และนา อัฐิ หรอื กระดูกไวใ้ นเจดยี เ์ พอื่ เป็นการบูชา หรอื การเคารพบชู าตาม คติ ซึง่ ได้ปรึกษาในกลมุ่ พนี่ อ้ งว่า เจดยี ์อัฐิธาตุสวยงาม แต่ประโยชน์ ใช้สอยจากัด จึงได้ปรารถจัดสร้างศาลาท่านาเพื่อเป็นวิหารทาน อุทิศถวายไว้ในพระพุทธศาสนา มูลค่ารวมตามงบประมาณท่ีตังไว้ ๓๐๐,๐๐๐ บาท (สามแสนบาท) จัดงานวันท่ี ๒๑-๒๒ มีนาคม ๒๕๖๓ พร้อมกันนันก็ได้ปรารภจัดงาน ทาบุญ พร้อมทังจัดพิมพ์ หนังสือเป็นทร่ี ะลึก เพ่ือเป็นอนุสรณ์ และพาแม่เข้าห้องสมุด จัด มอบเข้าห้องสมุดต่าง ๆ ทังเพื่อเป็นหลักฐานในการศึกษา สืบคน้ และการศกึ ษาทอ้ งถน่ิ ชุมชนบ้านสวน สุโขทยั ประวตั ิศาสตรทองถ่ิน 5 ประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถิน่ จงั หวัดสโุ ขทยั Local History of Bansuan Sukhothai Province
โดยหนังสือจะให้ข้อมลู เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชุมชนท้องถ่ิน บ้านสวน โดยใช้วิธีการสืบค้นจากเอกสารที่หาได้ และนามาเรียบ เรียงเลา่ เรอื่ งเกี่ยวกับประวัติศาสตรท์ อ้ งถ่ินชุมชน นับตังแต่การตงั ชุมชน หรือข้อมูลอันทาให้น่าเชื่อว่ามีการตังชุมชน การให้ข้อมูล เกยี่ วกบั การเขา้ มาของวงดนตรปี ี่กลอง หรอื มังคละ อันเช่อื มโยงกบั ศรีลังกา เชื่อมโยงกับวงดนตรีกาหลอของนครศรธี รรมราช หรือวง ตุ๊บเก่ง ในแบบเพชรบูรณ์ โดยมีหลักฐานประวัติเชื่อมโยงจากอดตี สมัยสุโขทัยและคงอยู่ที่บ้านสวนสุโขทัย และในอีกหลายพืนที่ใน จงั หวดั ใกลเ้ คียงดว้ ย เกจิคณาจารย์ชาวบ้านสวน ภาษาถน่ิ สุโขทัย- บ้านสวน เปน็ ต้น หนังสือดังกล่าวจึงคาดหวังที่จะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษา และเผยแผ่ข้อมูลประวัติเก่ียวกับท้องถ่ินชุมชนบ้านสวน เพ่ือ การศึกษาที่เชิงลึก กว้างขึน และเป็นประโยชน์ เป็นองค์ความรู้ สร้างองค์ความรู้ พัฒนาต่อไป อุทิศเป็นปิตา-มาตานุสรณ์ ในการ ทาบุญแจงรวมญาตใิ นครังนีดว้ ย พระปคลณดดั รระ.ะลดพกูิเรนิ กๆพดแทุ ว้ มธฺง่พลิสอาลโยอร/ยDผศiดre.้วดkงรล.Dอ/uดยa้วnงgลlอoยi , Phra Raphiผnูเ้ Dรยีuบanเรgียloงi/Buddhisaro ๒๑ ม๒ีน๑าผมคู้เนีมราียค๒บม๕เร๖๒ยี ง๓๕๖๓ 6 | ดเิ รก ด้วงลอย | พระปลัดระพิน พทุ ธฺ ิสาโร (ดว้ งลอย)
สารบญั เรื่อง หน้า คำ�น�ำ ๕ บา้ นสวนกับการตัง้ ถ่นิ ฐานและชมุ ชนในประวตั ศิ าสตร ์ ๙ ป่ีกลอง มงั คละ ดนตรสี ืบพระพทุ ธศาสนา ๓๐ จากศรีลงั กามาทบ่ี า้ นสวน หลวงพอ่ ฤทธิ์ เกจชิ าวบา้ นสวน ๕๖ ศษิ ยส์ มเด็จพระพฒุ จารย์ (โต) พรหมรังษี วดั ระฆงั โฆษิตาราม กรุงเทพ เกจคิ ณาจารย์ชาวบา้ นสวน ๖๙ (สำ�รวจ) วัดเก่า วัดร้างทบี่ า้ นสวน ๑๐๑ ภาษาถ่ินสุโขทยั ภาษาบ้านสวน ๑๑๕ ไปบา้ นสวนกัน “เมา๊ ” ภาคผนวก ๑๖๐ ประวัตแิ ม่พลอย ดว้ งลอย กำ�หนดการงานศพแม่พลอย ดว้ งลอย รายนามเจ้าภาพปจั จัย หรีด ผา้ บังสกลุ แจงอัฐิ “ด้วงลอย-อาจใหญ”่ รปู ภาพงานบ�ำ เพ็ญกุศล ประวัติศาสตรทองถ่ิน 7 ประวตั ศิ าสตร์ท้องถิ่น จงั หวดั สุโขทัย Local History of Bansuan Sukhothai Province
8 | ดเิ รก ดว้ งลอย | พระปลดั ระพนิ พุทธฺ สิ าโร (ดว้ งลอย)
บ้านสวแบนลก้าบั นะกชสาุมรวตช้งันถนิ่นกใฐับนานกปแารลระะชตวุมัตชงั้ นถศิ ใน่ินาปสฐระาตวนตัรศิ ์ าสตร์ บทเรม่ิ กาญจนี คาบุญรัตน์๑ ได้เขียนเกี่ยวกับสุโขทัยไว้ ใน ศิลปะวัฒนธรรมว่า “....วิถีชีวิตคนสุโขทัยตั้งแต่สมัยพ่อขุน รามคําแหงเปน็ พระมหากษตั รยิ ์ จะเห็นไดจ้ ากหลกั ศลิ าจารกึ วา่ เปน็ ชีวติ ทเ่ี รยี บงา่ ย มอี ิสระ เสรีในการดาํ รงชีวติ เช่น ใครใคร่ค้าชา้ ง ค้า คา้ ม้า ค้า พ่อเมอื งบ่เอาจังกอบ ถงึ วนั โกน วันพระ กท็ ําบญุ ทําทาน ฟงั เทศน์ ฟงั ธรรม บา้ นเมอื งถึงอยู่รม่ เย็นเปน็ สุขมาเปน็ เวลารอ้ ยๆ ปี แม้กระท่ังเม่ือ ๖๐-๗๐ ปีก่อน ในชีวิตท่ีได้เห็นวิถีชีวิตของ คนสุโขทัยก็ยงั เรียบงา่ ย มีอิสรเสรี ข้าวปลาอาหารอุดมสมบรู ณ์ ใน น้ํายังมีปลา ในนายังมีขา้ ว แม้บ้านเมอื งจะเข้าสู่ความเจริญในทกุ ๆ ด้าน มีเครื่องจักรกลอาํ นวยความสะดวกนานาประการ แต่วิถีชีวิต ของชาวบ้านที่เป็นคนสโุ ขทยั แท้ๆ มาต้ังแต่ปู่ ย่า ตา ยาย ก็ยังมีวถิ ี ชีวิตท่ีเรียบง่าย มีทรัพย์ในดิน สินในนํ้าให้ตักตวงตามความพอใจ นน่ั คือวถิ ชี ีวิตของชาวชนบทในสโุ ขทยั เมอื่ สมัย ๖๐-๗๐ ปที ่ีผา่ นมา ๑กาญจนี คาบุญรัตน์. ถีชีวิตชาวบ้านเม่ือกาลก่อนของสุโขทัย จาก ศิลาจารึกถึงสาเนียงภาษาที่ผิดธรรมดา.ศิลปวัฒนธรรม. ฉบับกุมภาพันธ์ ๒๕๕๓. ประวตั ศิ าสตรทองถน่ิ 9 ประวตั ศิ าสตร์ทอ้ งถิน่ จงั หวดั สุโขทัย Local History of Bansuan Sukhothai Province
ชาวชนบททุกท่ีทุกตําบลทุกหนแห่งจะมีชีวิตท่ีเรียบง่าย ถ่ินที่อยู่ อาศัยในแต่ละชุมชนจะมีบ้านที่ทําด้วยไม้หลังเล็กหลังใหญ่ ตาม ฐานะ บ้านจะปลูกอยใู่ นท่ดี ินทม่ี ีบริเวณบา้ น บรเิ วณบ้านเหลา่ นี้ทุก บ้านจะปลูกพืชผักทุกๆ ชนิดที่กินได้ ไม้ยืนต้นบ้าง ไม้ล้มลุกบ้าง และจะปลูกทรี่ ิมร้วั บา้ ง ในบริเวณบา้ นบา้ ง การครองชีพแทบจะไมต่ ้องซ้อื หาอะไรให้ส้ินเปลอื ง เพราะ หาได้จากทรัพย์ในดิน สินในนํ้า ทรัพย์ในดิน คือการปลกู พืชผักนา ชนิดที่กินได้ สินในนํ้าของชาวสุโขทัยคือปลา สุโขทัยเป็นเมืองที่มี ปลานานาชนิดอยู่ในน้ํา มีปัญญาก็ตักตวงเอามากินกันสดๆ เหลือ กินก็มาทําเป็นแห้งเก็บไว้กิน เช่น ทําปลาย่าง ปลาเกลือ ปลาร้า ปลาเจ่า และน้ําปลา คนสุโขทัยต้ังแต่สมัยปู่ ย่า ตา ยาย จนถึงใน สมัยปัจจุบัน ถ้าไม่วิ่งตามสมัยจนเกินไป ดํารงตนให้เปน็ คนมีชวี ติ ที่ พอเพียง คนสโุ ขทัยจะไม่อดอยาก แรน้ แคน้ แนน่ อน จากในศิลาจารึก จะเห็นได้ว่าคนสุโขทัยเป็นคนใจบุญสุน ทานเมื่อถึงวันพระ ๘ คํ่า ๑๕ คํา่ เดอื นเตม็ เดือนดบั คนสุโขทยั จะ นําอาหารไปทําบุญท่ีวัด ฟังเทศน์ ฟังธรรม ไม่ได้ขาด วิถีของคน สุโขทัยในข้อน้ีสืบเนื่องกันมาต้ังแต่คร้ังกระโน้น จนถึงปัจจุบัน การ เตรยี มขา้ วปลาอาหารท่ีจะไปทาํ บญุ ในสมยั โบราณท่ีได้เห็นเมื่อ ๗๐ ปีก่อนนัน้ ถือเปน็ เร่ืองสาํ คญั …” เมื่อเฉพาะไปที่ข้อมูลเก่ยี วกับท้องถ่ินบา้ นสวน อาจไม่พบ หลักฐานนัก แต่ก็มีหลักฐานทางด้านโบราณคดีประวัติศาสตร์ท่ีอยู่ 10 | ดเิ รก ด้วงลอย | พระปลดั ระพิน พุทฺธสิ าโร (ด้วงลอย)
ในท้องถ่ิน อาทิ เช่น วัดร้างอันเก่ียวเน่ืองกับประวัติศาสตรส์ ุโขทัย ภาษาท่ีมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง เมือสอบถามคนไปสองสามชว่ั อายุคน ถามว่าเปน็ ใครมาจากไหน ทุกคนจะตอบวา่ อยู่ที่นี่และเกดิ ท่ีนี รวมทังดนตรีพืนบ้านท่ีเรียกว่า ป่ีกลอง หรือดนตรีมังคละ ที่มี ประวัติความเป็นมาอย่างยาวนาน นับแต่ครังพ่อขุนรามคาแหง (พ.ศ. ๑๘๒๒-ถึงประมาณ พ.ศ.๑๘๔๑) แหง่ กรุงสุโขทัย กย็ ังอยแู่ ละ ตกทอดอยทู่ ีบ่ ้านสวนมาจนกระทง่ั ปจั จบุ ัน ตาบลบ้านสวน อาเภอเมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย เป็น ชุมชนขนาดใหญ่ท่ีมีประวัติความเป็นมานับแต่ครังกรุงสุโขทัยเปน็ ราชธานี สืบความจากหลักฐานการตงั ถิน่ ฐานโดยมีวัดเป็นศูนยก์ ลาง ในอดีต พร้อมกับหลกั ฐานวัดรา้ งที่ขึนทะเบยี นโดยกรมศลิ ปากรที่มี ประวัติเนื่องต่อกับชุมชนในอดีตล่วงมาจนถึงปัจจุบัน ตาบลบ้าน สวนเป็นศูนย์การการเพราะปลูกข้าว\"คุณภาพ\" ที่สาคัญอีกแหล่ง หนงึ่ ของจงั หวัดสุโขทยั อนั เน่ืองเป็นที่ลมุ่ ทีเ่ หมาะแกก่ ารทาเกษตร ข้อมูลของกาญจนี คาบุญรัตน์๒ ให้ข้อมูลต่อว่า “...บ้าน สวน เป็นตําบลใหญ่แห่งหน่ึงในสุโขทัย อยู่ในเขตอําเภอเมือง อยู่ ทางทิศใต้ของตัวจังหวัด ห่างจากตัวจังหวัดเพียง ๗ กิโลเมตร ด้านหน้าของตําบลจะมีถนนจรดวิถีถ่อง (เม่ือก่อนเรียกถนนสาย ๒ กาญจนี คาบุญรตั น์. ถชี ีวิตชาวบ้านเม่ือกาลก่อนของสุโขทัย จาก ศิลาจารึกถึงสาเนียงภาษาท่ีผิดธรรมดา.ศิลปวัฒนธรรม ฉบับกุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ ประวตั ศิ าสตรท อ งถน่ิ 11 ประวตั ศิ าสตร์ทอ้ งถิ่น จังหวัดสุโขทยั Local History of Bansuan Sukhothai Province
เก้า) ผ่าน ซ่ึงถนนน้ันจะเร่ิมจากจังหวัดสุโขทัยไปจังหวัดพิษณโุ ลก เป็นถนนสายหลักที่ผา่ นตําบลบา้ นสวนด้านหน้า เมื่อสมัย ๖๐-๗๐ ปีก่อน ยังไม่มียานพาหนะใดที่จะไปถึงบ้านสวน ชาวบ้านท่ีจะเดิน ทางเข้าตัวจังหวัด ระยะทาง ๗ กิโลเมตร ต้องใช้วิธี “เดินเท้า” เทา่ นัน้ บา้ นสวนเปน็ ตําบลทีม่ ีพืชพันธธ์ุ ัญญาหารอดุ มสมบรู ณ์ เปน็ แหล่งอาหารท่ีมีท้ังนาข้าว สวนผลไม้ ตลอดจนปลาในห้วย หนอง คลอง บึง ข้าวสารของ ตําบลบ้านสวนเป็นข้าวที่มีคุณภาพ หุงข้ึน หม้อและอ่อนนุ่มไม่แข็งกระด้าง คนในเมืองชอบกินข้าวสารของ บ้านสวน (ปัจจุบันก็ยงั มีคุณภาพอยู่) และคนบ้านสวนในสมัยนั้นก็ จะนาํ มาขายถึงในตัวเมือง โดยนําข้าวใส่กระบงุ หาบโดยเดนิ เท้าจาก บ้านสวนถึงในตลาดทุกๆ วัน ชาวบ้านสวนจะหาบข้าวมาขายใน เมอื งอย่เู สมอ..” การเดินทางจากบ้านสวนถึงในเมอื ง ข้อมูลของกาญจนี คาบุญรัตน์๓ ให้ข้อมูลว่า “...การ เดินทางหาบข้าวสารจากบา้ นสวนถึงในเมือง เป็นภาพที่คนโบราณ ๓ กาญจนี คาบุญรัตน์. วิถีชีวิตชาวบ้านเม่ือกาลก่อนของสุโขทยั จากศิลาจารกึ ถงึ สาเนยี งภาษาทผ่ี ิดธรรมดา.ศิลปวัฒนธรรม ฉบับกมุ ภาพันธ์ ๒๕๕๓ 12 | ดิเรก ด้วงลอย | พระปลดั ระพนิ พทุ ธฺ สิ าโร (ดว้ งลอย)
เม่อื ๖๐-๗๐ ปีทผ่ี า่ นมายงั ระลึกถงึ และมองเห็นภาพนัน้ สวยงามติด ตา ติดใจ ยากท่จี ะลมื เลอื น และหาดไู มไ่ ด้แล้วในปจั จบุ ัน เร่ิมต้นเช้ามดื รุ่งอรุณแห่งวันใหม่ ชาวบ้านที่จะนําข้าวสาร มาขายจะออกเดินทางตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ข้ึน นอกจากจะมี ข้าวสารอยู่ในกระบุงที่หาบมา แล้ว ยังมีผลผลิตต่างๆ วางอยู่บน ข้าวสารอีกมากมาย เท่าที่จะหาได้ เช่น มีไข่เป็ด ปลาย่าง ผลไม้ ต่างๆ เช่น พุทรา มะขวิด ฯลฯ ทุกคนที่นําข้าวสารมาขาย จะออก เดินทางพร้อมๆ กัน หาบข้าวสารเดินตามกันเป็นทิวแถวใน ระยะทาง ๗ กโิ ลเมตร เข้าสตู่ วั จังหวัด ท่ามกลางแสงอรุณ แห่งดวงอาทิตย์ ในตอนเช้ามืด ผู้คน ทีม่ าคอยซอ้ื ข้าวสารกอ่ นถึงตลาด จะมองเหน็ ภาพตะคุ่มๆ ของผคู้ น ท่ีหาบข้าวสารมาขายเดินเหยาะๆ เนิบๆ แตค่ อ่ นข้างเร็วตามจังหวะ ฝีเท้า ก้าวเดินตามกันมาเป็นทิวแถวเป็นหมู่ๆ พอพระอาทิตย์ฉาย แสงอรุโณทัยชดั เจน ภาพนัน้ จะค่อยๆ ชัดขนึ้ ๆ มองเหน็ ภาพเด่นชัด ภาพที่มีคนแต่งตัวแบบชาวนาใสง่ อบกันความรอ้ น หาบข้าวสารใส่ กระบงุ หนา้ หลงั เดินเหยาะๆ เนบิ ๆ คอ่ นข้างเรว็ ตามกันมาเป็นทิว แถวท่ามกลางแสงอรุโณทัย จะเป็นภาพที่มีความสวยงาม ด่ืมดํ่า ประทับใจติดตา ติดใจ ต้ังแต่บัดน้ันจนบัดนี้มันเป็นภาพที่งดงาม ตามธรรมชาติ ซ่ึงหาไม่ได้แล้วในปัจจบุ นั ถ้าสามารถอนุรกั ษ์ภาพท่ี สวยงามของคนเดินเทา้ หาบกระบงุ ข้าวสารท่ามกลางแสงอรุโณทยั ของชาวบา้ นสวนไว้ไดจ้ นบัดนี้... ประวัติศาสตรทองถ่ิน 13 ประวัติศาสตร์ทอ้ งถิ่น จังหวดั สุโขทัย Local History of Bansuan Sukhothai Province
...เม่อื ถงึ หมคู่ นท่คี อยซ้อื ก่อนถึงตลาด ชาวบ้านจะปลงหาบ น่ังลงตรงน้ัน (ริมถนน) ถอดงอบที่ใสอ่ ยู่บนหวั เอาลงมาพัดกระพือ ลมไล่ความร้อน แล้วเจรจาค้าขายกับคนซื้อด้วยหน้าตายิ้มแย้ม แจม่ ใส สนิ ค้าหลักคอื ขา้ วสาร เม่ือตกลงราคากนั ไดค้ นขายก็จะหาบ ไปส่งถึงบ้าน ซ่งึ อยู่ในละแวกไม่ไกลจากถนน ก็เป็นอันขายสนิ ค้าได้ หมดในเวลาน้ัน ไม่ต้องเดินไปนั่งขายที่ตลาด ข้าวที่ขายจะมี ประมาณ ๒-๓ ถังต่อ ๑ หาบ พร้อมสินค้าเล็กๆ น้อยๆ ท่ีนํามา ก็ เป็นอนั หมดภาระค้าขายในวนั นน้ั แลว้ จึงเดินไปซอ้ื ของใช้ของกินใน ตลาด คอยเดนิ กลบั บ้านพร้อมๆ คนอ่ืน ถา้ ยังขายรมิ ทางไมไ่ ด้ เขาก็จะหาบไปขายยังทีข่ ายขา้ วบ้าน สวนในตลาด คนที่เคยซื้อกันในตลาดก็จะมาตกลงราคาขายกันที่ ตลาด เมื่อทกุ คนขายข้าว ได้หมดแล้ว ซอ้ื ของกินของใช้ได้แล้วก็จะ พบกันเดินกลับบา้ นสวนด้วยระยะทาง ๗ กิโลเมตร เป็นอันวา่ หมด ภาระในวันน้ัน รุ่งข้ึนก็ดําเนินชีวิตโดยการหาบข้าวเดินมาขายใน เมืองเหมอื นทกุ ๆ วนั ซ่ึงภาพการเดินหาบของมาขายในเมืองไม่มีให้ คนปัจจุบันไดเ้ ห็นภาพอันสวยงามประทับใจอยา่ งนัน้ อกี แลว้ ...” วัดรา้ งหลักฐานในพฒั นาการของชมุ ชนบ้านสวน ใ น ค ว า ม เ ป็ น บ้ า น ส ว น ยั ง มี ห ลั ก ฐ า น ท า ง โ บ ร า ณ ค ดี ประวัติศาสตร์ คือวัดร้างทปี่ รากฏเป็นหลกั ฐาน ยืนยันความเกา่ แก่ ของชุมชนโดยยังมีซากวัดร้างโบราณสถานและถูกขึนทะเบยี นโดย 14 | ดิเรก ดว้ งลอย | พระปลดั ระพนิ พุทฺธิสาโร (ดว้ งลอย)
กรมศิลปากรหลายแห่ง และถูกบันทึกไว้เป็นหลักฐานว่าครังกรุง สโุ ขทยั หรืออย่างไกลก้ ส็ มัยสุโขทยั ตอนปลาย เชน่ วัดไก่แจ้ (บริเวณ วัดคลองตะเคียน) วัดจันทร์ (บริเวณโรงเรียนวัดจนั ทร)์ วัดป่าเรไร หรือแต่เดิมเป็นวัดร้าง เดิมมีชื่อว่า “วัดป่าละเมาะ” (อัมพวา) ท่ี ปรากฏหลกั ฐานในทะเบียนโบราณสถาน ของกรมศิลปากร จังหวัด สุโขทัย ที่สารวจเม่ือวันท่ี ๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ และประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๕๒ ตอนท่ี ๗๔ ๔ ถูกจัดขึนทะเบียนเป็น โบราณสถาน เป็นต้น ดังนันหลักฐานของวัดจะเปน็ เครอื่ งยนื ยันถึง อายุชุมชนและการตังชมุ ชนของคนในบริเวณบา้ นสวนโดยมีวดั เปน็ ศนู ย์กลางในการทากจิ กรรมทางศาสนาในอดตี กรมศิลปากรได้ทาการสารวจ และประกาศขึนทะเบียนวัด ร้างท่ัวไปประเทศ๕ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยโบราณสถาน ศิลปวัตถุ โบราณวัตถุและการพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ พุทธศักราช ๒๔๗๗ ท่ีประกาศใช้เม่ือ ๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๘๖ ในเขต ๔ สารวจเม่ือวันท่ี ๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ และประกาศในราช กิจจานุเบกษา เล่มที่ ๕๒ ตอนท่ี ๗๔ ๕ประกาศกรมศิลปากร กาหนดโบราณสถานสาหรับชาติ ประกาศ ๘ มนี าคม ๒๔๗๘ ราชกิจจานเุ บกษา เล่ม ๕๒ หนา้ ๑๖๘๙-๑๗๑๗. ๖ พระราชบัญญัติว่าด้วยโบราณสถาน ศิลปวัตถุ โบราณวัตถุและ การพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ พุทธศักราช ๒๔๗๗ ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๒ วนั ที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๔๗๘ หน้า ๓๙๔. ประวัติศาสตรท องถนิ่ 15 ประวัติศาสตรท์ อ้ งถิน่ จงั หวัดสุโขทยั Local History of Bansuan Sukhothai Province
จงั หวดั สุโขทยั จานวน ๑๒๐ วดั โดยมวี ัดที่ปรากฏเป็นหลักฐานของ ชมุ ชนบา้ นสวนดังนี - ลาดับท่ี ๑๐๖ วัดถามคง อาเภอเมืองสุโขทัยธานี ตาบลบ้าน สวน - ลาดับที่ ๑๐๗ วัดโบสถ์ไผ่ขอม อาเภอเมืองสุโขทัยธานี ตาบล บ้านสวน - ลาดับที่ ๑๐๘ วดั เหมอื งขเี หลก็ อาเภอเมอื งสุโขทัยธานี ตาบล บา้ นสวน - ลาดับที่ ๑๐๙ วัดตาดาว อาเภอเมืองสุโขทัยธานี ตาบลบ้าน สวน - ลาดับท่ี ๑๑๐ วัดป่าละเมาะ อาเภอเมืองสุโขทัยธานี ตาบล บา้ นสวน - ลาดบั ท่ี ๑๑๑ วดั พิมอง อาเภอเมอื งสุโขทยั ธานี ตาบลบ้านสวน - ลาดับที่ ๑๑๒ วัดระวาศน์ อาเภอเมืองสโุ ขทัยธานี ตาบลบ้าน สวน - ลาดับท่ี ๑๑๓ วัดดงม่วง อาเภอเมืองสุโขทัยธานี ตาบลบ้าน สวน - ลาดับที่ ๑๑๔ วัดอ้ายแดง อาเภอเมืองสุโขทัยธานี ตาบลบ้าน สวน - ลาดับที่ ๑๑๕ วัดดงดีปลี อาเภอเมืองสุโขทัยธานี ตาบลบ้าน สวน 16 | ดิเรก ดว้ งลอย | พระปลดั ระพนิ พทุ ธฺ สิ าโร (ด้วงลอย)
- ลาดับท่ี ๑๑๖ วดั หว้ ย อาเภอเมอื งสโุ ขทัยธานี ตาบลบา้ นสวน - ลาดับท่ี ๑๑๗ วดั คุ อาเภอเมอื งสโุ ขทัยธานี ตาบลบ้านสวน - ลาดับท่ี ๑๑๘ วัดน่นุ อาเภอเมืองสุโขทัยธานี ตาบลบา้ นสวน - ลาดับท่ี ๑๑๙ วัดกาแพงงาม อาเภอเมืองสุโขทัยธานี ตาบล บา้ นสวน - ลาดับท่ี ๑๒๐ วัดจันทร์ อาเภอเมืองสุโขทัยธานี ตาบลบ้าน สวน๗ (มหี ลกั ฐานวา่ ตรงบริเวณโรงเรียนวดั จนั ทร์จะมีฐานเจดีย์ ที่มี การขุดค้นและพบซาก ปรากฏให้เห็น ซ่งึ ในปัจจุบันเปน็ ท่ีตงั บริเวณ โรงเรียนวัดจันทร์ และมีช่ือวัดจันทร์เป็นหลักฐานปรากฏอยู่ใน ปัจจุบัน) ต่อมาสานกั งานพระพทุ ธศาสนาได้มกี ารสารวจทวนซา และ ขนึ ทะเบยี นเปน็ วัดรา้ งไวเ้ ปน็ ศาสนสมบตั ิกลาง ดังมหี ลกั ฐานปรากฏ ซึ่งนัยหนึง่ เป็นการยืนยนั อายุของวัดร้างเหล่านัน เทยี บเคียงกับการ ตังชุมชนบ้านสวนในอดีต ซ่ึงในการสารวจของสานักพุทธมขี ้อมลู ที่ นาเสนอไว้ คอื วัดคลองโบสถ์ ตังอยู่หมู่ ๔ ตาลเตีย ปรากฏหลักฐานท่ีดิน อันเปน็ ศาสนสมบัติกลาง แบบ สค.๑ เลขที่ ๑๗๖ จานวน ๕ ไร่ ๗ ประกาศกรมศลิ ปากร กาหนดโบราณสถานสาหรบั ชาติ ประกาศ ๘ มนี าคม ๒๔๗๘ ราชกจิ จานเุ บกษา เลม่ ๕๒ หน้า ๑๗๐๙-๑๗๑๐ ประวตั ศิ าสตรทอ งถิ่น 17 ประวัตศิ าสตรท์ ้องถิ่น จงั หวดั สุโขทัย Local History of Bansuan Sukhothai Province
วัดนครยศ ตังอยู่ท่ีหมู่ ๑ ต. ตาลเตีย โฉนดเลขที่ ๑๔๙๕๕ จานวน ๓-๒-๓๒ ไร่ วัดครุ ตังอยู่ที่หมู่ ๕ แบบ สค.๑ เลขท่ี ๘ มีเนือท่ีจานวน ๒ ไร่ วัดคลองไกเ่ ตีย หมู่ ๙ (ใกลว้ ดั คลองตะเคียนในปัจจบุ ัน) พบ เศษฐานซากเจดีย์ เศษอิฐจานวนมาก มีหลักฐานสทิ ธิใ์ นทด่ี นิ เปน็ แบบ สค.๑ เลขท่ี ๕๐ มพี ืนทจี่ านวน ๑-๑-๒๘ ไร่ เป็น เหตุให้วัดคลองตะเคียน เคยถูกเรยี กว่าวัดไก่เตีย ด้วยอาศัย หลักฐานของวดั รา้ งในอดีตมาเปน็ ชอื่ เรยี ก วัดดงดีปลี ตังอยู่ท่ี หมู่ ๕ ต.บ้านสวน มีเอกสารสิทธิ์เป็น น.ส.๓ เลขที่ ๑๐ มีพืนที่ จานวน ๔ ไร่ โดยมีการจัดตังเปน็ สานักสงฆ์วัดดงดปี ลี มพี ระสงฆ์เขา้ อยจู่ าพรรษา วัดตะคาว หรือวดั ตาดาว ตงั อยู่ทหี่ มู่ ๑๑ ต. บา้ นสวน เมือง สุโขทยั เลขทเี่ อกสารสทิ ธ์ิในท่ดี นิ แบบ สค.๑ เลขที่ ๒๔๒ มี พืนท่จี านวน ๔-๐-๖๐ ไร่ [ไมพ่ บหลกั ฐานท่ดี ิน] วัดนานอง ตังอยู่ท่ีหมู่ ๓ ต. บ้านสวน เมือง สุโขทัย โฉนด เลขที่ ๑๔๙๕๗ มีพนื ที่ จานวน ๔-๐-๔๓ ไร่ เปน็ พนื ที่ตงั ของ เทศบาลตาบลบา้ นสวน โดย เทศบาลบา้ นสวนทาสัญญาเช่า เป็นเวลา ๒๐ ปี วัดห้วย หมู่ ๕ ต. บ้านสวน เมอื ง สุโขทัย มเี อกสารสทิ ธท์ิ ดี่ นิ แบบ น.ส.๓ เลขท่ี ๑๑ มจี านวน ๒-๐-๐๐ ไร่ 18 | ดเิ รก ดว้ งลอย | พระปลัดระพนิ พทุ ธฺ ิสาโร (ด้วงลอย)
ประวัติศาสตรท องถ่ิน 19 ประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถิน่ จงั หวดั สุโขทัย Local History of Bansuan Sukhothai Province
นอกจากนียังมกี ารขึนทะเบียนวดั ร้างที่สารวจพบในภายหลงั ตามประกาศของกรมศิลปากร เร่ืองขึนทะเบียนโบราณสถานและ กาหนดท่ีดินโบราณสถาน ท่ีประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๔ ตอนพิเศษ ๘๗ ง หน้า ๒-๓ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๔๐ มี วดั หรือใชเ้ ป็นที่ตังวัดในภายหลัง เช่น โบราณสถานวัดคุ ตาบลบ้านสวน อาเภอเมือง จังหวัด สโุ ขทัย พนื ทโี่ บราณสถานประมาณ ๓ ไร่ ๑ งาน ๔๗ ตาราง วา๘ (ปัจจุบันได้มีความพยายามยกให้เป็นสานักสงฆ์มี พระภกิ ษุอย่จู าพรรษา) โบราณสถานวัดดงดปี ลี ตาบลบา้ นสวน อาเภอเมือง จงั หวัด สุโขทัย พืนที่โบราณสถานประมาณ ๓ ไร่ ๒๙ ตารางวา๙ ๘ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศกรมศิลปากร เร่ือง ขึนทะเบียน โบราณสถานและกาหนดเขตทด่ี ินโบราณสถาน (วัดเมืองปอน (ร้าง) และวัดต่อ แพ จังหวัดแม่ฮ่องสอนวัดธาตุโขง (ร้าง) วัดธาตุเขียว (ร้าง) วัดร้อยข้อ (ร้าง) จังหวัดเชียงรายวัดเชียงแสน วัดหมื่นพริก (ร้าง) จังหวัดเชียงใหม่ วัดหนองหา้ จงั หวดั พะเยา วัดใหญ่ชัยมงคล วัดยมราช จงั หวดั พษิ ณโุ ลก วดั คุ วดั ดงดีปลี วัด โบสถ์ จังหวัดสุโขทัย วัดพระเจดีย์ทอง จังหวัดกาแพงเพชร เจดีย์ยุทธหัตถี วัด พระบรมธาตุ จังตาก วดั หว้ ยเขน จังหวัดพจิ ติ ร วดั ใหญ่ทา่ เสา จังหวดั อุตรดิตถ์), เลม่ ๑๑๔, พิเศษ ๘๗ ง, ๒๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๐, หน้า ๒ ๙ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศกรมศิลปากร เร่ือง ขึนทะเบียน โบราณสถานและกาหนดเขตท่ีดินโบราณสถาน เลม่ ๑๑๔, พเิ ศษ ๘๗ ง, ๒๙ กนั ยายน พ.ศ. ๒๕๔๐, หนา้ ๒. 20 | ดิเรก ด้วงลอย | พระปลดั ระพนิ พทุ ฺธสิ าโร (ด้วงลอย)
(ปัจจุบันได้มีความพยายามยกให้เป็นสานักสงฆ์มีพระภิกษุ อย่จู าพรรษา) ฉะนันหลักฐานทางหน่วยงานราชการทังในส่วนสานักงาน พระพุทธศาสนา ทขี่ นึ ทะเบยี นวัดร้างไว้ รวมทังการขนึ ทะเบียนของ กรมศิลปากรให้วัดร้างเหล่านันเป็นโบราณสถานด้วยเง่ือนไขของ อายุการตังวัด และหลักฐานเป็นโบราณสถาน ท่ีเช่ือมโยงและ เชื่อมต่อกับความเจริญรุ่งเรืองในสมัยสุโขทัย และควรค่าต่อการ อนุรักษ์ไว้ รวมทังยังเป็นการยืนยันถึงความรุ่งเรืองในด้านศาสนา พัฒนาการของชุมชน การตังชุมชน ท่ีกระจายตัวไปท่ัว ในสมัย สุโขทัยเป็นราชธานี รวมทังเขตบ้านสวนก็เป็นส่วนหน่ึงของความ เป็นเมอื งในขณะนนั ดว้ ย ดังนันหลกั ฐานวดั ร้างเหลา่ นีจงึ ยนื ยันไดว้ า่ บ้านสวนสุโขทัยมีพัฒนการของการตังถ่ินฐานชุมชนมาแต่อดีต ร่วมกับประวัตศิ าสตรส์ โุ ขทัยเป็นราชธานีด้วยเช่นกนั พฒั นาการของชมุ ชนเน่อื งตอ่ กบั อดตี คาว่า บ้านสวน มีหลักฐานว่า หมายถึงชื่อของหมู่บ้าน ปรากฏในเอกสารจดหมายเหตุเป็นครังแรกในสมุดไทยดาช่ือ จดหมายเหตุรัชกาลที่ ๑ จุลศักราช ๑๑๔๗ ช่ือสาเนาบัญชีเร่ือง บัญชีจ่ายข้าวฉางหลวงให้แก่โรงสีส่งกองทัพครังรบพม่า ปีมะเส็ง สัปตศก ปีมะเมียอัฐศก เลขท่ี ๑ พ.ศ. ๒๓๒๘ มีเนือความว่า มี ชุมชนในความปกครองของเมืองสุโขทัยส่งข้าวสารให้กองทัพไทย ประวัติศาสตรท อ งถิน่ 21 ประวัติศาสตรท์ อ้ งถิน่ จังหวัดสุโขทยั Local History of Bansuan Sukhothai Province
เพื่อเตรยี มสรู้ บกบั กองทัพพม่าจานวน ๓ หมู่บ้าน ๆ ละ ๒ ทะนาน คือ บ้านธานี บ้านกล้วย บ้านสวน ในปีมะเสง็ สปั ตศกกับปีมะเมีย อัฐศกตรงกับ พ.ศ. ๒๓๒๘ และ พ.ศ. ๒๓๒๙ แสดงว่า เม่ือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๒๗๙-๗ กันยายน พ.ศ. ๒๓๕๒) ทรงก่อตังพระราชวงศ์จักรีและ ยกฐานะบางกอกให้เป็นกรุงรัตนโกสินทร์ได้ ๔ –๕ ปีก็มีช่ือ บ้าน สวน แล้วแสดงวา่ บา้ นสวนมคี วามเกา่ แกม่ ายาวนานเกอื บ ๒๓๐ ปี ต้นฉบับเอกสารจดหมายเหตุเป็นเอกสารตัวเขยี นในสมุดไทยรักษา ไว้ ณ งานบรกิ ารภาษาโบราณ หอสมดุ แห่งชาติกรุงเทพมหานคร๑๐ คาว่า บ้านสวน น่าจะมที ี่มาจากคาวา่ ข้าวนาสวนหรือนาดา ดังหลักฐานต่อไปนี ๑.พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ใหข้ ้อมลู คาว่า นาสวน เป็นคานามเรียกข้าวเปลือกท่ีมีเมล็ดแข็งเป็นมันว่า ขา้ วนาสวน ๒.พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุ ฬาโลก (๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๒๗๙-๗ กันยายน พ.ศ. ๒๓๕๒) ทรงออกกฎหมาย เม่ือ พ.ศ. ๒๓๓๕ หา้ มมิให้ผู้ใดกกั ตุนขา้ ว “อยา่ ให้ขายขา้ วแกก่ นั ขน้ึ เอาราคามาก แลให้ราษฎรซ้ือขายกันข้าวนาทุ่งคงเกวียนละสอง ๑๐ สมชาย เดือนเพ็ญ , จากแคว้นสุโขทัยถึงจังหวัดสวรรคโลก, วารสาร มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ม.นเรศวร ปีที่ ๒, ฉบับท่ี ๒ (ก.ค.- ก.ย. ๒๕๓๗), หนา้ ๒๘-๓๗. 22 | ดิเรก ด้วงลอย | พระปลัดระพนิ พุทธฺ ิสาโร (ดว้ งลอย)
ตําลึง ข้าวนาสวนคงเกวียนละสิบบาท จะเอาตัวเป็นโทษถึงตาย ส่วนผู้รู้เห็นเป็นใจชักนําซื้อขายได้ส่วนแบ่งน้ันจะเอาตัวเป็นโทษ เฆี่ยนคนละสามยก ตระเวนบกสามวนั ตระเวนเรือสามวัน สง่ ตวั ไป เปน็ ตะพนุ่ หญา้ ชา้ ง” มีข้อมูลถูกบันทึกไว้ว่า บ้านสวนเป็นตาบลที่มีพืชพันธ์ุ ธัญญาหารสมบูรณ์ เป็นแหล่งอาหารที่มีทังนาข้าว ส่วนผลไม้ ตลอดจนปลาในหว้ ย หนอง คลอง บึง ข้าวสารของตาบลบ้านสวน เป็นข้าวที่มีคุณภาพ หุงขึนหม้อและอ่อนนุ่มไม่แข็งกระด้าง คนใน เมืองชอบกนิ ข้าวสารบ้านสวน (ปัจจุบันก็ยังมีคุณภาพอยู่) และคน บ้านสวนในสมัยนัน ก็จะนามาขายถึงในตัวเมือง โดยนาข้าวใส่ กระบุงหาบโดยเดนิ เท้าจากบา้ นสวนถงึ ในตลาด ทุก ๆ วันชาวบ้าน สวนจะหาบขา้ วมาขายในเมืองอยู่เสมอ๑๑ ดนตรี “ปี่กลอง” กับการเชอื่ มโยงในประวตั ศิ าสตร์ภาพใหญ่ นอกจากนบี ้านสวนยังเปน็ ยังคงรักษาอนุรกั ษ์ดนตรพี นื บา้ น \"มังคละ\" นับแต่ครังกรุงสุโขทัย มาจนกระทั่งปัจจุบัน๑๒ หมายถึง มี สบื สานโดยวิถปี ระเพณีท้องถน่ิ ดนตรีชนิดนีไวว้ อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง โดย ๑๑กาญจนี คาบุญรัตน์.วิถีชีวิตของชาวบ้าน เม่ือกาลก่อนของ สโุ ขทัย. ศลิ ปวฒั นธรรม ปีที่ ๓๑ ฉบับที่ ๔ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๕๓ หนา้ ๖๘-๗๑. ๑๒ ไมเคิล ไรท์ . ฝร่ังคลั่งสยาม. กรุงเทพ ฯ : มติชน.๒๕๔๑. (ศลิ ปวฒั นธรรมฉบับพเิ ศษ) หน้า ๑๗๒-๑๗๕ และ หน้า ๑๘๐-๑๘๓. ประวัตศิ าสตรทอ งถน่ิ 23 ประวัติศาสตรท์ อ้ งถิน่ จังหวัดสุโขทัย Local History of Bansuan Sukhothai Province
ปรากฏหลักฐษนถึงความเป็นมาในศิลาจารกึ หลักท่ี ๑ บันทึกไว้วา่ \"ทา้ วหัวราน คาบง คากลอง ด้วยเสียงพาทยเ์ สียงพิณ เล่ือนขับ\" มีผู้ให้คาอธิบายและตีความวา่ คาบง คากลอง เป็นคาโบราณทีม่ ใี ช้ ตังแต่สมัยกรุงสุโขทัยแปลว่า การประโคม ดังนันคาว่า คาบง คา กลอง จึงหมายถึงการตีกลองหรือประโคมกลองที่ขึงด้วยหนัง ซ่ึง หมายถึงกลองมงั คละ และยงั คงปรากฏมที บ่ี า้ นสวนท่ีชาวบ้านสวน จะเรียกว่า \"ปีกลอง\" และบางพนื ท่ีของจังหวัดพิษณุโลก อุตรดติ ถ์ พิจิตร ตามที่ไมเคิล ไรท์ เคยมาเก็บข้อมูลและบันทึกไว้ (สาหรับ กลองปี่กลอง มลี กั ษณะใกล้เคียงและคาเรียกทตี่ า่ งกนั เช่น วงดนตรี กาหลอ ในนครศรีธรรมราช และภาคใต้ และวงตุ๊บเก่ง ในจังหวัด เพชรบูรณ์ ซึ่งมีเป็นเครื่องดนตรีมาจากพัฒนาการเดียวกันในทาง ประวัติศาสตร์) ดังนันส่ิงท่ีต้องการนาเสนอจึงต้องการสะท้อนว่า ดนตรีมีมานาน และยืนยันการมีอยู่ของชุมชนที่เช่ือมต่อกับ พัฒนาการทางประวตั ิศาสตร์ในอดีตดว้ ยเชน่ กัน ภาษาสะท้อนถึงความเปน็ เอกลักษณข์ องชุมชน 24 | ดเิ รก ดว้ งลอย | พระปลัดระพนิ พุทฺธิสาโร (ด้วงลอย)
พัฒนาการทางประวตั ศิ าสตร์ในอดตี ด้วยเช่นกัน ภาษาสะท้อนถึงความเปน็ เอกลกั ษณ์ของชมุ ชน เก่ียวกับภาษาถิน่ สุโขทัย ท่ี กาญจนี คาบุญรตั น์๑๓ ไดเ้ สนอ เป็นข้อมูลไว้ว่า ถ้าใครพูดกันโดยใช้สรรพนามว่า “กู…มึง” ทุกคน จะพูดกันว่าใช้ภาษาพ่อขุนพูดกัน คาว่า “ภาษาพ่อขุน” นัน หมายถึงสรรพนามทพี่ ่อขุน รามคาแหงจารึกไว้ในหลักศิลาจารึกท่ี ค้นพบ จะมีคาแทนตัวของพ่อขุนรามคาแหงว่า “กู” เพียงเท่านัน ไม่มีคาวา่ มึง และนอกจากนนั ยงั มีภาษา โบราณสมยั พ่อขนุ ท่ีปรากฏ ในหลักศิลาจารึก เช่น “โอยทาน” “หนียะย่าย พ่ายจะแจ” “พ่อ เมอื งบเ่ อาจงั กอบ” ฯลฯ ภาษาท่ีใช้ในหลักศิลาจารึกนัน ปัจจุบันไม่เคยเอามาใช้ใน ชีวติ ประจาวนั คงเป็นภาษาทใี่ ชจ้ ารกึ ในศิลาจารกึ เท่านัน สุโขทยั มสี าเนยี งและภาษาเฉพาะตวั สาเนียงนันจะคล้ายๆ กันในหมู่จังหวัดท่ีใกล้เคียง เช่น พิษณุโลก กาแพงเพชร อุตรดิตถ์ (ยกเว้นตาก) แต่ภาษา สุโขทัยจะมีคาและสานวนไม่เหมือนทอี่ ่นื ๆ ซึ่งเรียกว่า “ภาษาถ่ินสุโขทัย” โดยเฉพาะ และคนท่ีพูดจะต้องเปน็ คนพืนบ้านที่มยี ่า ตา ยาย เป็นชาวสุโขทัย ดังเดิมแท้ๆ ได้ยินได้ฟงั มาตังแต่เกิด และใช้พูดกันในหมู่ญาติพ่ีน้องและคนที่คุ้นเคยกัน เทา่ นนั ถ้าเป็นคนในเมอื งก็จะพูดดว้ ยภาษาไทยธรรมดาโดยทว่ั ไป ๑๓ กาญจนี คาบุญรัตน์. ถีชีวิตชาวบ้านเมื่อกาลก่อนของสุโขทัย จากศิลาจารึกถึงสาเนียงภาษาที่ผิดธรรมดา.ศลิ ปวัฒนธรรม ฉบับกุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ ประวตั ศิ าสตรท องถนิ่ 25 ประวตั ิศาสตรท์ ้องถิ่น จังหวัดสโุ ขทยั Local History of Bansuan Sukhothai Province
เอกลักษณ์ของชาวสโุ ขทยั อยู่ท่ี “สาเนียง” และการใช้คา เฉพาะ ถ้าไม่ใช่สาเนียงชาวพืนบ้านของคนสุโขทัยเอง ถ้าไม่ได้พูด ภาษาพืนบ้านเปน็ ประจา เช่น เด็กๆ ที่เกิดในตัวเมือง ไม่เคยไดย้ นิ ได้ฟังอาจจะไม่เข้าใจความหมาย แต่ขึนช่ือว่าเป็นเด็กสุโขทัยท่เี กิด และเตบิ โตในพืนบา้ นสุโขทยั ย่อมเขา้ ใจภาษา และพดู ไดท้ ุกคน เว้น แตจ่ ะพูดหรือไมพ่ ดู เทา่ นัน พดู ถึงสาเนียงภาษาสุโขทยั จะเปลย่ี นเสียงในคาพดู แต่ละคา ให้ผิดไปจากเสียงธรรมดาทั่วไป จะกลายเป็นสาเนียงท่ีมีเสียงสูง เสียงต่าในคานันๆ เช่น คาว่า “พ่อ แม่” ถ้าเป็นคนพืนเมืองจริงๆ จะกลายเป็น “พ่อ แม่” ถ้าจะพูดให้มีหลักเกณฑ์ ก็จะพอพูดไดว้ า่ แต่ละคาจะเปลีย่ นเสยี งวรรณยุกต์เกือบทังหมด ยกเว้นคาทม่ี ีเสยี ง กลาง ยิ่งเป็นเสียงเอก จะเปลี่ยนเป็นเสียงจัตวาหมด เช่น หมด – หม๋ด, เสื่อ-เสือ, หมู่-หมู, ไก่-ไก๋ เช่น นาแห้งหมดแล้ว เป็นนาแห้ง หมด๋ แล้ว ยังมีเร่ืองล้อเลียนเก่ียวกับว่าท่ีแม่ยายพูดกับว่าที่ลูกเขยท่ี เป็นนายหมู่ตารวจท่ีจะมากินข้าวที่บ้าน แกจึงร้องเรียกลูกสาวให้ จัดแจงปูเสื่อ นากับข้าว และแกงหมูท่ีทาไว้รับรอง และนาของ หวานมาให้กินหลังกินข้าวเสร็จแล้วว่า “อี๊หนู่ๆ (อีหนู อีหนู) หมู มาแล้ว (หมู๋มาแล้ว) เอาเสือ (เสื่อ) มาปูแล้วยกกั๊บ (กับ) ข้าว มาอยา๋ (อยา่ ) ลืมตก๊ั (ตัก) แกงหมู่ (หม)ู มาเลย้ี งหมู๋ (หม่)ู แล้ว ตั๊ก (ตัก) ไข๋หวาน (ไขห่ วาน) มาด้วยเนอ้ ” 26 | ดิเรก ด้วงลอย | พระปลดั ระพิน พทุ ฺธสิ าโร (ด้วงลอย)
ตัวอย่างที่ยกมาให้ดูนีเป็นเรื่อง ของการเปล่ียนสาเนียง ธรรมดาให้เป็นสาเนียงชาวพืนบ้านของคนสุโขทัย (แม้แต่คาว่า สุโขทัย ยังเปลี่ยนเป็น “ซุก โขทัย”) คาท่ีเปล่ียนเสียงใหผ้ ิดไปจาก เดมิ กค็ ือ เสยี งเอกเปน็ เสียงจตั วา เชน่ หมู่ – หมู, เทา่ กัน – เถากัน, ไข่-ไข๋, ห่าน – หาน, เป็ด – เป๋ด เสียงจัตวา เป็น เสียง เอก เช่น หมา – หม๋า, ฉัน – ฉั่น, ประเดี๋ยว-ประเดีย่ ว, มะเขือ-มะเขื่อ, ข้าว- ขาว เสียงกลาง ไม่เปล่ียน เสียง แต่จะเป็นสาเนียงสุโขทัยที่ แตกตา่ งจากเสียงกลางธรรมดา เชน่ กินนา กนิ ปลา นอกจากสาเนียงแล้ว คาเฉพาะตัวท่ีบ่งบอกว่าต้องเป็นชาว สุโขทยั แนน่ อนมมี ากมายในการพูด คนไม่เคยฟงั จะไมร่ ้คู วามหมาย เช่น ใหญ่โต -อย่างท่าว เช่น ภูเขาลูกนีอยา่ งท่าว, ไสรถ -ยู้รถ เช่น เขายู้รถเข็นไปขายของ, ทะเลาะกัน -รบกัน เช่น ได้ของเล่นไปคน ละอย่างแลว้ อยา่ รบกันอกี นะ, อยู่ตรงนนั นะเหน็ ไหม -โด๋นะ/โจน๋ ะ, ถังนา -ครุ/ กระแป๋ง เช่น เอาครุไปตักนา, เจอกัน – จังกัน เช่น เดี๋ยวก็ไปจังกันท่ีตลาด, ตักเอามากมาย-ต๊ักเยอะๆ เช่น ปลามี มากมายตั๊กเผอะๆ ไม่ขาดสาย, ยืนยันว่าแน่นอน -ลงท้าย “เอ๊ง” เช่น ไปเอ๊ง, มีเอ๊ง, กินเอ๊ง, ล้อรถ -โอ้งรถ เช่น รถคว่า โอ้งรถว่ิง นาหน้าไปไกล, กระจอบ -กระบก๊ เชน่ เอากระบ๊กมาดายหญา้ ประวตั ิศาสตรท อ งถ่นิ 27 ประวตั ิศาสตรท์ ้องถิน่ จังหวัดสโุ ขทัย Local History of Bansuan Sukhothai Province
จากที่ยกมาของ กาญจนี คาบญุ รตั น์๑๔ สะทอ้ นถึงภาษาถิ่น สโุ ขทัย แต่สามารถเช่อื มมายงั ภาษาถ่นิ สโุ ขทัย บ้านสวน หรอื บ้าน สวน ซึง่ นับเป็นอกี ชุมชนหนึ่งท่ีใชภ้ าษาทอ้ งถน่ิ สุโขทยั และยังคงเปน็ เอกลักษณ์เนื่องมาจนกระทั่งปัจจุบันแม้จะมีพัฒนาการและ เปล่ียนแปลงไปบ้างก็ตาม ดังมีผู้ให้ข้อมูลว่าภาษาถิ่นสุโขทัย เป็น ภาษาดังเดิมของชาวสุโขทัย และมีพัฒนาการมาอย่างตอ่ เนื่องตาม หลกั ฐานทป่ี รากฏ เอกสารอ้างอิง กาญจนี คาบุญรัตน์.วถิ ีชวี ติ ของชาวบ้าน เม่ือกาลก่อนของ สโุ ขทยั . ศิลปวัฒนธรรม ปที ่ี ๓๑ ฉบบั ที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓. นชุ นาฎ ดเี จริญ,รายงานการวจิ ยั เรือ่ งรามังคละในจังหวัดพษิ ณุโลก สุโขทยั และอุตรดิตถ์ = Mangkala dance in the provinces of Phitsanulok, พิษณโุ ลก : คณะ มนษุ ยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร. ๒๕๔๒. พระราชบญั ญตั วิ ่าดว้ ยโบราณสถาน ศลิ ปวัตถุ โบราณวตั ถุและการ พพิ ธิ ภณั ฑแ์ ห่งชาติ พุทธศักราช ๒๔๗๗ ประกาศใน ราช ๑๔ กาญจนี คาบุญรัตน์. ถีชีวิตชาวบ้านเมื่อกาลก่อนของสุโขทัย จากศิลาจารึกถึงสาเนียงภาษาท่ีผิดธรรมดา.ศิลปวัฒนธรรม ฉบับกุมภาพันธ์ ๒๕๕๓. 28 | ดเิ รก ด้วงลอย | พระปลดั ระพิน พุทธฺ ิสาโร (ดว้ งลอย)
กิจจานุเบกษา เลม่ ๕๒ วนั ที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๔๗๘ หนา้ ๓๙๔ ประกาศกรมศิลปากร กาหนดโบราณสถานสาหรบั ชาติ ๘ มนี าคม ๒๔๗๘ ราชกิจจานุเบกษา เลม่ ๕๒ หนา้ ๑๗๐๙-๑๗๑๐. ไมเคิล ไรท์ . ฝร่งั คลัง่ สยาม. กรงุ เทพ ฯ : มติชน.๒๕๔๑. ราชกจิ จานุเบกษา เลม่ ท่ี ๕๒ ตอนท่ี ๗๔ ประกาศกรมศิลปากร กาหนดโบราณสถานสาหรับชาติ ประกาศ ๘ มนี าคม ๒๔๗๘ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๒ หน้า ๑๖๘๙-๑๗๑๗. ราชกจิ จานุเบกษา, ประกาศกรมศิลปากร เล่ม ๑๑๔, พิเศษ ๘๗ ง, ๒๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๐, หน้า ๒. ราชกิจจานเุ บกษา, ประกาศกรมศิลปากร เรือ่ ง ขนึ ทะเบยี นโบราณ สถานและกาหนดเขตทดี่ ินโบราณสถาน เล่ม ๑๑๔, พิเศษ ๘๗ ง, ๒๙ กนั ยายน พ.ศ. ๒๕๔๐, หนา้ ๒. สมชาย เดือนเพ็ญ , จากแควน้ สุโขทัยถงึ จังหวัดสวรรคโลก, ใน วารสาร มนษุ ยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ม.นเรศวร ปีที่ ๒, ฉบับท่ี ๒ (ก.ค.-ก.ย. ๒๕๓๗). ประวัติศาสตรทอ งถ่ิน 29 ประวัติศาสตรท์ ้องถิน่ จังหวัดสโุ ขทัย Local History of Bansuan Sukhothai Province
30 | ดิเรก ดว้ งลอย | พระปลดั ระพนิ พุทธฺ สิ าโร (ด้วงลอย)
ปีก่ ลอปงกี่ จลมอางั งกคมศศลงั รรคลีะลลี ังะกดังาดกนมนาาตตทมรรบ่ีสี าสีื้าบทนพบื สี่บรพวะา้ นพรนทุ ะสธพศวทุานสธนศาจาาสกนา บทเร่ิม วงมังคละ หรือ ป่ีกลอง, ปี่กลองมังคละ เป็นดนตรีชันสูง สาหรับพระพุทธศาสนาของอาณาจักรสุโขทัยโบราณ โดยปรากฏ หลักฐานในศิลาจารึกหลักท่ี ๑ และศิลาจารึกวัดช้างล้อม สันนิษฐานว่าดนตรีมังคละนันรับธรรมเนียม \"มงคลเภรี\" มาจากศรี ลังกา๑๕ ก่อนท่ีจะกลายมาเป็นดนตรพี ืนบ้าน ในชุมชนกลุ่มคนทใี่ ช้ สาเนียงอาณาจักรสุโขทัยโบราณ ปัจจุบันพบการละเล่นอยู่ในเขต ภาคเหนือตอนลา่ ง จังหวัดสุโขทยั พิษณุโลก และอุตรดิตถ์ รวมทัง ๑๕ไมเคิล ไรท์ให้ทัศนะไว้ว่า ดนตรีชนิดน้ีภาษาสิงหลเรียกว่า “มคุล เพเร” ตรงกับบาลี “มังคละเภรี” และไทย “กลองมังคละ”เป็น ดนตรที ่ีใชต้ เี พอ่ื ประโคมต่อการแสดงความเคารพบูชาท่ีวดั พระธาตุเขียวแก้ว เมืองแคนดีในปัจจุบัน. ไมเคิล ไรท์. ฝร่ังคล่ังสยาม. กรุงเทพ ฯ : มติชน. ๒๕๔๑. (ศลิ ปวัฒนธรรมฉบับพิเศษ) หน้า ๑๗๒-๑๗๕ และ หนา้ ๑๘๐-๑๘๓. ประวัตศิ าสตรทองถนิ่ 31 ประวัตศิ าสตร์ท้องถิ่น จงั หวัดสโุ ขทัย Local History of Bansuan Sukhothai Province
พบร่องรอยการละเล่นมังคละในจังหวัดนครสวรรค์ และจังหวัด เพชรบรู ณ์ (วงตุ๊บเก่ง) รวมทังวงกาหลอ วงมังคละ มีความสัมพนั ธ์กบั กลมุ่ คนที่ใช้สาเนียงอาณาจักร สุโขทัยโบราณ๑๖ โดย สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ (พ.ศ.๒๔๐๖-๒๔๙๐) บนั ทกึ ไว้ในคราวตรวจการท่ีหัวเมอื งพิษณุโลก เม่ือ พ.ศ. ๒๔๔๔ ได้ยินดนตรีดังกล่าวบริเวณวัดสะกัดนามันจึงได้ เรียกมาแสดงให้ดู ได้ให้ทัศนะต่อดนตรี \"มังคละ\" ว่า \"เครื่อง มังคละนีเ้ ปน็ เคร่อื งเบญจดรุ ยิ างคแ์ ท้\" ปัจจัยสาคัญที่ทาใหด้ นตรีปีก่ ลองมังคละเสือ่ มความนิยมใน สมัยหลัง เน่ืองจากการเข้ามามีบทบาทของดนตรีกลองยาว แตร วง และดนตรีสมัยใหม่ ตามลาดับ ทาให้ปัจจุบนั วงมังคละ ได้รับ ขึนทะเบียนให้เป็น มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ สาขา ศิลปะการแสดง เพื่อส่งเสริมอนุรกั ษ์และสบื ทอดใหเ้ ป็นการละเล่น ๑๖ เทวประภาส มากคล้าย. \"มังคละเภรี วิถีท่าเหนือท่ีสาบสูญ สืบค้นรากเหง้าคนลุ่มน้าน่านภาษาถิ่นสุโขทัยตอนบน ในจังหวัด อุตรดิตถ์\" ใน สูจิบัตรพิธีไหว้ครูดนตรีไทย ประจาปี ๒๕๕๘. คณะ มนษุ ยศาสตร์ : มหาวิทยาลัยนเรศวร. ๒๕๕๘. หนา้ ๔๖-๔๘. 32 | ดิเรก ดว้ งลอย | พระปลัดระพิน พทุ ฺธิสาโร (ด้วงลอย)
พืนบ้านดังเดิมอันเป็นเอกลักษณ์ ๓ จังหวัด ของทังจังหวัด สโุ ขทัย๑๗ จงั หวดั พิษณโุ ลก๑๘ และอุตรดติ ถ์๑๙ ไดต้ อ่ ไป ดนตรมี ังคละกบั พระพุทธศาสนา ในรัชสมยั พญาลิไท (ครองราชย์ พ.ศ. ๑๘๙๗ - พ.ศ. ๑๙๑๙) ได้นาพระพุทธศาสนานิกายลังกาวงศ์จากลังกาเข้ามา โดยเฉพาะ องค์พระมหาสวามสี ังฆราชและพระผใู้ หญอ่ ีกหลายรูปก็มกี ารไปมา หาสู่กันระหว่างสุโขทัยกบั ลงั กา การท่ีพระมหาสวามสี ังฆราชเสดจ็ มา จารึกระบุว่ามาเป็นขบวนเสด็จ ซ่ึงสมัยโบราณจะต้องมีกอง ทหารเกยี รติยศและจะตอ้ งมีปี่มกี ลองตามฐานันดร๒๐ ๑๗ ไมเคิล ไรท์ ไดม้ าเกบ็ ขอ้ มลู วงดนตรมี ังคละที่ตาบลบ้านสวนและ เขียนเป็นหนังสือ ไมเคิล ไรท์. ฝรั่งคลั่งสยาม. กรุงเทพ ฯ : มติชน.๒๕๔๑. (ศิลปวัฒนธรรมฉบบั พเิ ศษ) หน้า ๑๗๒-๑๗๕ และ หน้า ๑๘๐-๑๘. ๑๘ แกว้ กร เมืองแก้ว. มงั คละ : กรณีศึกษาวงดนตรีพืนบา้ นของนาย พรต คชนิล, ปรญิ ญานพิ นธ์ (ศป.ม. (มานุษยดุรยิ างควิทยา)). มหาวิทยาลยั ศรี นครินทรวโิ รฒ ประสานมิตร, ๒๕๔๔. ๑๙ เทวประภาส มากคล้าย. \"มังคละเภรี วิถีท่าเหนือที่สาบสูญ สืบค้นรากเหง้าคนลุ่มน้าน่านภาษาถิ่นสุโขทัยตอนบน ในจังหวัด อุตรดิตถ์\" ใน สูจิบัตรพิธีไหว้ครูดนตรีไทย ประจาปี ๒๕๕๘. คณะ มนุษยศาสตร์ : มหาวทิ ยาลัยนเรศวร. ๒๕๕๘. หนา้ ๔๖-๔๘. ๒๐ ไมเคิล ไรท์เขียนเป็นหนังสือ ใน ไมเคิล ไรท์. ฝร่ังคลั่งสยาม. กรุงเทพ ฯ : มติชน.๒๕๔๑. (ศิลปวัฒนธรรมฉบับพิเศษ) หน้า ๑๗๒-๑๗๕ และ หนา้ ๑๘๐-๑๘๓. ประวัติศาสตรท อ งถ่ิน 33 ประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถิน่ จังหวดั สุโขทยั Local History of Bansuan Sukhothai Province
จากหลักฐานดังกล่าว มีผู้สันนิษฐานว่าพระมหาสวามี สังฆราชน่าจะเสด็จมาพรอ้ มกบั กองเกียรติยศทหารลงั กา ประโคม มาตลอดทาง หรือแม้กระทั่งสมเด็จพระมหาเถรศรีศรทั ธาราชจฬุ า มุนีศรีรัตนลงกาทีปมหาสามี (หลัก ๑ กับหลัก ๑๑) ไปทาบุญใน เกาะลังกา ขากลับมาสยามอาจจะได้รับพระราชทานจากพระเจา้ ลังกาให้มกี องเกียรติยศและดนตรปี ระดบั พระคณุ ดังนันหากนิยามตามทัศนะดังกล่าว มังคละจึงเป็นดนตรี ชันสูงสาหรับพระพุทธศาสนาของอาณาจักรสุโขทัย และ พระมหากษัตริย์สุโขทัย มีพระราชนิยมในการพระราชทานอุทิศ เคร่อื งประโคมมังคละเภรีถวายแดป่ ูชนียสถานสาคญั ต่าง ๆ ในพระ ราชอาณาจักร เช่นเดียวกับธรรมเนียมลังกา ทาให้มังคละเภรีได้ เผยแพร่สู่ประชาชนทว่ั ไปในอาณาจกั รสุโขทัย จนกลายเป็นดนตรี พนื บ้านของอาณาจักรสโุ ขทยั ในระยะตอ่ มา ดนตรีปี่กลองมังคละ กลายเป็นส่วนหนึ่งในวิถชี ีวิตของชาว อาณาจักรสุโขทัยมาแต่อดีต ด้วยเหตุนีสาเนียงการพดู ดังเดิมแบบ สโุ ขทยั (ภาษาถน่ิ สุโขทัย) และการละเลน่ ดนตรีมังคละ จึงเป็นส่วน หน่ึงในการชวี ดั ความเป็นชุมชนดงั เดิมที่สืบทอดมาตังแตอ่ าณาจักร สโุ ขทยั ในเขตภาคเหนอื ตอนล่างในปจั จบุ ัน หลกั ฐานในศลิ าจารกึ และจดหมายเหตุ 34 | ดิเรก ดว้ งลอย | พระปลัดระพิน พทุ ธฺ ิสาโร (ดว้ งลอย)
สุโขทยั ในเขตภาคเหนอื ตอนล่างในปัจจุบนั หลกั ฐานในศลิ าจารึกและจดหมายเหตุ มงั คละ เป็นกลองชนดิ หนง่ึ ขงึ ด้วยหนัง มีรปู กลมรี ใชต้ ีด้วย ไม้ คาว่า “มังคละ” หมายถึง มงคล หรืองานที่เจริญก้าวหน้า มังคละจึงเป็นดนตรีทีเ่ ป็นมงคล การเล่นมังคละมีมาช้านาน ตังแต่ สมัยโบราณกาลครังกรงุ สุโขทัย มีหลักฐานในหลักศิลาจารึกหลักท่ี ๑ ทวี่ า่ “ ...เม่ือกรานกฐิน มีพนมเบ้ีย มีพนมหมาก มีพนม ดอกไม้ มหี มอนนงั่ หมอนโนน มีบริพารกฐิน โดยท่าน แลป้ ี แลญ้ บิ ล้าน ไปสดู ญตั กิ ฐนิ ถึงอรญั ญิกพู้น เม่ือจกั เข้ามาเวียงวังเทา้ หัวลาน ดบงคกลอง ด้วยเสียงพาด เสยี งพิน เลื่อนขับ ใครจกั มักเล่นเล่น ใครจักมักหวั หัว ใครจักมกั เล่ือนเลือน...\" ” คาวา่ \"ดบงคกลอง\" เป็นคาโบราณทม่ี ใี ชต้ งั แตส่ มัยสุโขทัย แปลวา่ เปน็ การประโคม หรือตีกลองท่ีขึงด้วยหนงั ซง่ึ มผี ู้สนั นษิ ฐาน ว่าเป็นกลองมังคละเภรี นอกจากนี ยังปรากฏธรรมเนยี มการถวาย ข้าพระไว้ประโคมมงั คละเภรสี มโภชพระบรมธาตุ เฉกเช่นเดียวกบั ธรรมเนียมลังกา ในจารึกวัดช้างล้อม เมืองเก่าสโุ ขทยั พ.ศ. ๑๙๒๗ ความว่า ประวตั ิศาสตรท อ งถ่นิ 35 ประวตั ศิ าสตร์ท้องถิ่น จังหวดั สโุ ขทยั Local History of Bansuan Sukhothai Province
จ า รึ ก วั ด ช้ า ง ล้ อ ม เ ป็ น ห ลั ก ฐ า น จ า รึ ก ข อ ง อาณาจักรสุโขทัยโบราณท่ี กล่าวถึงการถวายข้าพระ 36 | ดเิ รก ดว้ งลอย | พระปลดั ระพนิ พทุ ฺธสิ าโร (ด้วงลอย)
โ ย ม ส ง ฆ์ เ พื่ อ ป ร ะ โ ค ม มงั คละบชู าพระบรมธาตุ “ ...พาทยค์ หู่ น่ึง ใหข้ า้ สองเรือนตบี าํ เรอแก่พระเจ้า ฆ้อง สองอัน กลองสามอัน แตร... แต่งให้ไว้แก่พระเจ้า (พระพุทธรูป)...\" ” จากความในศิลาจารึกดังกล่าว ระบุถึงอุปกรณ์ในวงมังคละ คือฆ้อง ๒ และกลอง ๓ สันนิษฐานว่าคือฆ้องคู่ในวงมังคละ และ กลองดังกล่าว คือกลองยืน กลองหลอน และกลองมังคละในวง มงั คละเภรี ตามธรรมเนียมกษตั ริยล์ ังกาแต่โบราณ ดนตรมี ังคละจึง เป็นดนตรีชันสูงสาหรับ พระพุทธศาสน า ของ อ า ณา จั ก ร สุโขทัย ก่อนท่ีจะกลายเป็นดนตรีพืนบ้าน ในชุมชนกลุ่มคนท่ีใช้ สาเนียงอาณาจักรสุโขทัยโบราณ ปัจจุบันพบการละเลน่ อยู่ในเขต จังหวัดสุโขทัย พิษณุโลก และอุตรดิตถ์ รวมทังพบร่องรอย การละเล่นมังคละในจังหวัดนครสวรรค์ และจังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่ง ดนตรีมังคละ มีความสัมพันธ์กับกลุ่มคนท่ีใช้สาเนียงอาณาจักร สโุ ขทยั โบราณ เม่ือครังสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานรศิ รานุวัดติวงศ์ เสด็จ ประพาสหัวเมอื งฝา่ ยเหนือเม่ือปี พ.ศ. ๒๔๔๔ พระองค์ท่านบนั ทกึ ถึงกลองมังคละขณะท่ผี า่ นเมอื งพิษณโุ ลกวา่ ประวตั ศิ าสตรทองถน่ิ 37 ประวัตศิ าสตร์ทอ้ งถิน่ จงั หวัดสโุ ขทัย Local History of Bansuan Sukhothai Province
“ ...ลืมเล่าถึงมังคละไป...เครื่องมังคละนี้ เป็นเคร่ือง เบญจดุริยางค์แท้ มีกลองเล็กรูปเหมือนเถิดเทิงแต่ สั้นขึงหนังหน้าเดียว มีไม้ตียาวๆ ตรงกับ \"อาตต\" ใบ หน่ึง...เสยี งเพลงนั้นเหมือนกลองมลาย.ู ..\" ” พระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ท่ีว่า ดนตรีมังคละนีคือ “เบญจดรุ ิยางค์แท้” ประกอบด้วย วาตฺต วิตต อาตฺตวิตฺต สุริส และ ฆน ครบบริบูรณ์ ซึ่งหมายความว่า ดนตรี มังคละนี คือ ดนตรี Classic ตามที่กาหนดไว้ในวรรณกรรมบาลี สันสกฤตโบราณ ซึ่งการละเล่นมังคละ เป็นการละเลน่ ท่ีสะท้อนให้ เห็นถึงอัตลักษณ์และวิถีชีวิตของท้องถ่ินในอาณาจักรสโุ ขทัยมาแต่ โบราณ 38 | ดิเรก ดว้ งลอย | พระปลัดระพนิ พุทฺธสิ าโร (ด้วงลอย)
(ภาพ สมเดจ็ ฯ เจ้าฟา้ กรมพระยานริศรานุ วดั ตวิ งศ์ ทรงยกย่องว่าดนตรมี งั คละคือ “เบญจดรุ ยิ างคแ์ ท้”) เครอื่ งดนตรีในวง ๑. กลองมังคละ เปน็ กลองหนงั หน้าเดียวขนาดเล็ก ทาจาก ไม้ขนนุ หนา้ กลองมเี สน้ ผา่ ศนู ย์ กลางประมาณ ๕ นวิ หุม้ ดว้ ยหนงั กลองยาวประมาณ ๑๐ นวิ ๒. ปี่ มีลกั ษณะคล้ายปีช่ วา ๑ เลา ประวตั ศิ าสตรท องถน่ิ 39 ประวัติศาสตร์ทอ้ งถิน่ จังหวดั สุโขทยั Local History of Bansuan Sukhothai Province
๓. กลองสองหน้า ๒ ขนาด ขนาดใหญ่ เรียกว่า กลองยืน ขนาดเลก็ เรียกวา่ กลองหลอน ตจี งั หวะ ขัดลอ้ กัน ๔. ฆ้องโหมง่ ๕. เคร่อื งประกอบจงั หวะ ไดแ้ ก่ ฆอ้ ง ๓ ใบ แขวน อยู่บน คานหาม ฉิ่ง และฉาบใหญ่ ๒ ตวั อยา่ งโนต้ เพลงดนตรมี งั คละ เพลงไมห้ นง่ึ /---ปะ๊ /- เทง่ -ป๊ะ/ เพลงไม้สี่ /---ปะ/---เทง่ /---เทง่ / ---ปะ/---เทง่ /-- -เทง่ / ---ปะ/ ขั้นตอนการบรรเลง ๑. ไหวค้ รู ๒. บรรเลงเพลงไมส้ ี่ (นักดนตรมี งั คละถอื วา่ เป็นเพลงครู) ๓. บรรเลงเพลงตามความถนัดไปเรอ่ื ย ๆ ๔. จบการบรรเลงด้วยเพลงไมส้ ี่ เพือ่ เปน็ สิรมิ งคล วธิ กี ารบรรเลง แต่ละเพลงมี ลกั ษณะเฉพาะ ดงั นี ๑. เรมิ่ บรรเลงขึนต้นดว้ ยการตรี ัว กลองมังคละ ๒. ป่ี เปา่ ทานองรวั โหนเสียงไปกับกลองมงั คละ ๓. กลองยืนตีนาขึนเพลงเปน็ ไม้ กลองเพ่อื บอกให้นกั ดนตรี ในวงตตี ามในเพลงนันๆ ๔. เครือ่ งดนตรีอ่นื ๆ จงึ ตีตามพรอ้ มกันทังวง 40 | ดิเรก ด้วงลอย | พระปลดั ระพนิ พุทธฺ สิ าโร (ดว้ งลอย)
๕. ลงจบด้วยการตรี ัวกลองมงั คละ พรอ้ มทงั ปเ่ี ปา่ รวั เพื่อเปน็ สัญญาณในการลง จบเพลงในจงั หวะสุดท้ายอย่างพรอ้ ม เพรียงกัน เพลงท่ใี ชบ้ รรเลง เพลงท่ีใช้บรรเลง มีช่ือดังนี ไม้หน่ึง, ไม้สอง, ไม้สาม, ไม้สี่, บัวลบ, ไทรย้อย, ตกปลักเลก็ , ตกปลกั ใหญ่, ถอยหลงั ลงคลอง, พญา โศก, ลมพัดชายเขา, ยา่ ค่า, จูงนางเขา้ ห้อง, กบเข่นเขียว, แมห่ มา้ ย กระทบแป้ง, สาวน้อยปะแป้ง, อีกาจับหลัก, เวียนเทียน, พระฉัน ภัตตาหาร, และเพลงนางหงส์ ทใ่ี ชส้ าหรบั แหศ่ พ ส่วนข้อมูลที่เรียบรวมโดยสานักงานวัฒนธรรมจังหวัด พิษณุโลก ให้ข้อมูลเพลงที่นอกเหนือจากท่ีกล่าวมาอาทิ เพลงไม้ สามกลบั เพลงไมส้ ามถอยหลงั เพลงไม้สี่ เพลงกระทิงเดินดง เพลง กระทงิ นอนปลกั เพลงกระทิงกินโปง่ เพลงเก้งตกปลัก เพลงข้ามรบั – ขา้ มสง่ เพลงข้าวตม้ บดู เพลงคางคกเขด็ เขียว เพลงคล่นื กระทบฝ่งั เพลงคุดทะราดเหยียดกรวด เพลงตกปลัก (อีเก้งตกปลัก)เพลงตก ตล่ิง เพลงตุ๊กแกตีนปกุ เพลงถอยหลังลงคลอง (ถอยหลังเข้าคลอง) เพลงนมยานกระทกแปง้ เพลงนารชี ื่นชม เพลงบัวโรย เพลงบัวลอย เพลงใบไม้ร่วง (ใบไผ่ร่วง) เพลงปลักใหญ่ เพลงพญาเดิน เพลงแพะชนกัน เพลงแม่หม้ายนมยาน เพลงรักซ้อน เพลงรักแท้ ประวัติศาสตรท องถ่นิ 41 ประวัตศิ าสตรท์ ้องถิ่น จงั หวดั สโุ ขทยั Local History of Bansuan Sukhothai Province
เพลงรกั เร่ (สาวน้อยประแป้ง เพลงรา) เพลงรกั ลา เพลงลมพดั ชาย เขา เพลงเวียนเทียน เพลงเวียนโบสถ์ เพลงสาลิกาลืมดง เพลงไม้ สาม เพลงสาวนอ้ ยประแป้ง เพลงห่ิงห้อยชมสวน วงมังคละทบ่ี า้ นสวน ในหนงั สอื “ฝร่งั คลั่งสยาม” โดย ไมเคิล ไรท์ ชาวองั กฤษผู้ ท่ีใช้ชีวิตในประเทศไทยหลายสิบปี ได้เคยเดินทางมายังบ้านสวน และไดเ้ ขยี นถึงกลองมังคละทีบ่ า้ นสวน ไวใ้ นหนงั สอื หนา้ ๑๗๒ ที่ ใหข้ ้อมลู วา่ “....หลงั จากไหว้พระพทุ ธชินราช ข้ึนไปดเู จดยี ์บน ย อ ด เ ข า ส ม อ แ ค ร ง พ บ ห มู่ อุ บ า สิ ก า กํ า ลั ง ส วด ม น ต์ แ ว่ ว โหรณสวดตามได้สบายเพราะเคยฟังแม่สวดเหมือนกัน เข้าไปพบแม่ ๆ นุ่งข่าวถือศีลแต่ไมโ่ กนผม ว่ากันว่าแรกจะ ข้ึนมาอยู่แปดวัน แต่แล้วเห็นสงบห่างโลกจึงอยู่ต่อเป็น ๑๕ วนั แลว้ คุยกับแม่ ๆ เป็นระยะเวลานานจึงลาโดยขอสว่ น กุศล ก็วา่ “สาธุๆ” กนั ขากลับสุโขทัยผมเกิดนึกข้ึนมาได้ว่าสนใจดนตรี กลองมังคละ จึงถามคนขบั รถ 42 | ดิเรก ดว้ งลอย | พระปลดั ระพนิ พุทฺธิสาโร (ดว้ งลอย)
คนขับรถว่า “น่ีแหละทางเข้าบ้านสวน” เจ้าของ วังกลองมังคละวงสุดท้ายของสุโยทัยซ่ึงอาจารย์นิคมอ้มุ ชู มาช้านาน แลน่ เข้าไปถงึ บ้านสวนพบบา้ นหวั หน้าวง ว่ากันว่า วันนีจัดไม่ทันเพราะบางคนไปนาบางคนเข้าตลาด จึงนัด กันว่าพรุ่งนีจะนาเหล้ามาใหก้ ินกัน แล้วจะตีกลองมงั คละ เป็นการฉลองปีใหม่ ในหนังสอื ฝรงั่ คร่ังสยาม ท่ีถูกเขยี นไว้ในหนา้ หนา้ ๑๗๒- ๑๗๕ ต้งั ช่ือหวั ข้อว่า ไมตรจี ิตทีบ่ า้ นสวน ไดเ้ ขยี นตอ่ ไปอกี วา่ “..วนั รุ่งขึน้ เพลียและอยากสงวนแรงกายเอาไว้ จึงเพียงเดิน ชมโบราณสถานในเมอื งเพียงเลก็ นอ้ ย ตกเยน็ รถของโครงการมารบั จงึ ไปซอื้ แม่โขงห้าขวดท่ีร้าน คุณตี๋(ธีรทัศน์ สัตยาวาจาหวาน ร้านอยู่หน้าพิพิธภัณฑสถาน ทําอาหารให้พวกโบราณคดอี ร่อยอย่าบอกใคร) แล้วแล่นไปสบู่ า้ น สวนถึงประมาณทุ่มเศษ เจ้าของวง ลุงบุญมา ทองมา (อายุ ๗๐ กว่าแล้ว) และ ภรรยา ต้อนรบั อยา่ งดี เอาเสือ่ มาปู เอานามาใหก้ ิน เช่ยี นหมากนัน มิได้ขยับเพราะรกู้ ันว่าคนสมยั ใหม่ไม่รู้จักเคียว แต่เม่ือผมและ ดร. โหรณขอสักคา คุณป้าท่านทาท่าดีใจและประกอบสองคาอย่าง พิถีพิถนั แลว้ มอบให้เป็นพธิ กี รรมอย่างสวยงามไมแ่ พ้ชาววัง ประวตั ิศาสตรทอ งถ่นิ 43 ประวตั ิศาสตรท์ อ้ งถิ่น จังหวดั สุโขทยั Local History of Bansuan Sukhothai Province
ขอให้คุณป้าอยู่นานอยู่นานเถิด เสียหมากเสยี พลเู ม่อื ไหร่ เสยี สยามเมือ่ นนั ผมวา่ ลูกวงมงั คละคอ่ ยทยอยมา ลุงมุ่ย เกษดิษฐ์ ที่ตีกลองหล่น อายุสูงมากแล้ว แต่ยังมี อารมณ์ขัน ยมิ ไมข่ าด นา้ บญุ รอด คงนอ้ ย เปา่ ปเี่ หมอื นของงา่ ย อายุกลางคน ดขู รมึ แตอ่ มยิมเหมือนกัน น้าผงึ่ โตนดดง กับนา้ บาง ศรสี ุวรรณ ตีฆ้องคกู่ นั เปน็ คนร่าเริงนักทังคู่ พ่ีสุวัฒน์ สุวรรณโรจน์ นักตีกลองมังคละอายุยังหนุ่ม แน่น มีอารมณ์ขันอย่างถูกใจผมบอกไม่ถูก แค่มองหน้ากัน เป็นอนั วา่ หัวเราะ มีคนแบบนไี ว้ไมต่ อ้ งกลวั เสียดนตรีกลองมังคละเป็นแน่ มาพร้อมหนา้ กันแล้วเบกิ เหลา้ ทาพิธีไหวค้ รู คุณโก๋ ไกด์ของโครงการเปน็ ธรุ ะบนั ทกึ เสยี ง ยกแรกเลน่ สามเพลง ตอ่ จากนนั โกใ๋ ห้เลน่ เครอื่ งดนตรีโดด และแนะนาเคร่ืองดนตรีแต่ละเคร่ือง เพ่ือประกอบเทปท่ีมีคุณค่า สมบูรณท์ างวชิ าการ ผมเสียดายท่ีไมส่ ามารถให้ท่านผู้อา่ นได้ยินเสยี งในบทความ นไี ด้ 44 | ดิเรก ดว้ งลอย | พระปลดั ระพิน พุทฺธสิ าโร (ด้วงลอย)
ที่ผมประทบั ใจดนตรีกลองมงั คละ เพราะเครอื่ งประกอบวง และลีลาของเพลง มีบางทา่ นอ้างวา่ ดนตรีชนิดนนี ่าจะเปน็ ของใหม่ท่ีชาวบ้าน คิดขึนมาเอง แต่เม่ือหลายสิบปีมานีกรมพระนริศ ฯ เสด็จขึนไป ตรวจราชการทางสโุ ขทยั ทรงฟังวงมงั คละและทรงประพันธ์ว่า น่ี แหละคือ “ปญั จดุริยางค์” สมบรู ณ์แบบ ซงึ่ หมายถึงดนตรีคลาสสคิ ของอารยธรรมฮนิ โด-พทุ ธ เปน็ ของใช้ในวงั ในวดั และในกองทัพ การที่ดนตรีชนิดนีรอดมาได้ท่ีสุโขทัย (เหลือเพียงหนึ่งวง) และท่ีพิษณุโลก (เหลือเพียงหนึ่งวงเช่นกัน) ผมนับถือว่าเป็นเร่ือง อศั จรรยย์ ิง่ ควรแกก่ ารถนอมรกั ษาและการเผยแพร่ ผมขอร้องเพียงอย่างเดียวคือ อย่าให้มีการประยุกต์หรือ การ Improve ให้มัน Civilizaed เพื่อให้ถูกหูชาวกรุงเทพ ฯ สมัยใหม่กแ็ ลว้ กัน ชาวบ้านท่านอุตสา่ หร์ ักษาไว้จนรอด ชาวเมอื ง เราอย่าได้ทาลายมันเลย ตรงกันข้าม ควรนับถือชาวบ้านเหล่านวี ่า เป็น Living National Treasures หรือบุคคลผู้เป็นสมบัติทางศลิ ป์ ของชาติ อน่ึง บางท่านอาจจะฟังว่าดนตรีกลองมังคละนี “ไม่ ไพเราะ” ขาดความอ่อนหวาน แต่ท่านควรทราบว่าดนตรีแบบนีคือดนตรีทหาร ใช้นาทพั ใช้นาเสดจ็ จึงมีทานองลลี าดุ ก้าวรา้ ว องอาจ พดู งา่ ย ๆ เปน็ ดนตรี ประวัติศาสตรทองถิน่ 45 ประวตั ิศาสตร์ท้องถิ่น จงั หวดั สุโขทยั Local History of Bansuan Sukhothai Province
ปลุกใจ ดังนัน หากไม่ถูกใจท่านก็อย่าไปถือสา และอย่าไป ประดิษฐท์ ่าราอนั อ่อนหวานสวยงามเลย ลีลาเดมิ มนั ดอี ยู่แลว้ ต่อจากนันเลน่ มังคละกนั อกี หลายยก ระหว่างยกจะซดเหลา้ กนั กลองมงั คละยิ่งรวั ไวรัวดงั จน ผมอดคลกั เงินออกมา “ช่วยบารุงพธิ ีบูชาครู” ทังนี ไม่ใช่เพือ่ อวด ตัว แต่เพราะเห็นว่าบารุงศิลปวัฒนธรรมด้วยวาจาหอมมันก็ดีไป อย่าง แต่ถ้าพูดว่าบารุงแลว้ ไม่จ่าย ศิลปินจะเอากินเอากาลงั ใจที่ ไหน ? ลงท้ายอย่างไรผมจาไม่ค่อยได้ (น่าละอาย) จาได้แต่ว่ามี การกอดคอหวั เราะงอหาย ไม่ทราบว่าดว้ ยแรงเหลา้ หรอื ด้วยแรงครู จะให้สรุปอย่างไรดี ? ท่จี ริงควรถามชาวบ้าน อาจจะไดค้ า รอบท่ีถกู ตอ้ งกว่า แต่ถ้าจะให้ถามผม ก็จะตอบว่า คืนันวิเศษนัก ก่อให้เกดิ ไมตรีจติ ระหว่างชาวบ้านกบั ชาวเมือง และระหว่างชาวสยามกบั ชาว ต่างประเทศ และครูมาแรงจนเราทุกคนเข้ากันได้เป็นอันหนึ่งอัน เดยี วกัน มแี ต่ความรกั ไมม่ ีรงั เกยี จตอ่ กนั เลย มงั คละที่มอี ยู่กอ่ น (หนา้ ๑๘๐-๑๘๑) บัดนีเห็นเขาว่ากนั ว่าวงดนตรีมังคละเหลอื เพยี งสองวง คือ วงหน่ึงท่ีบ้านสวน จ.สุโขทัย และอีกวงหน่ึงที่ จ.พิษณุโลก จวน ๆ จะไม่เหลอื เสียแล้ว นับว่าหวุดหวิดจรงิ ๆ 46 | ดเิ รก ด้วงลอย | พระปลดั ระพิน พุทธฺ ิสาโร (ด้วงลอย)
แต่ก็มีอาจารย์บางท่านให้ความสนใจอนเุ คราะห์อย่างดีจงึ รอดมาได้ ทงั ๆ ทไ่ี มค่ อ่ ยจะแน่ใจกันนักวา่ ดนตรคี อื อะไร บางท่านว่าน่าจะเป็นของมอญ แต่ความจริงแล้วเรารู้จัก ดนตรีมอญดี และมอญไม่มีอะไรคลา้ ยกนั เลย บางท่านเสมอวา่ อาจจะเป็นของทบ่ี ้านคดิ ขนึ มาเอง ในข้อนผี มอยากเสนอตอบโตโ้ ดยอ้างพระนพิ นธ์ของสมเด็จ กรมพระยานรศิ รานุวัดติวงศ์ (พ.ศ.๒๔๔๔) ท่ีว่าดนตรีมังคละนีคอื “เบญจดุรยิ างค์แท้” ประกอบด้วย วาตฺต วิตต อาตฺตวิตฺต สุริส และฆน ครบบริบรู ณ์ ซ่ึงหมายความว่า ดนตรีมังคละนี คือ ดนตรี Classic ตามที่กาหนดไว้ในวรรณกรรมบาลสี ันสกฤตโิ บราณ ใครไม่เห็นด้วยอย่ามาเถียงผม เพราะเร่ืองนีไม่ใช่ข้อเสนอ ของผม หากเปน็ ของสมเด็จฯ ท่าน หากว่ายอมรับข้อสังเกตของสมเด็จ ฯ แล้ว ก็ยากที่จะเช่อื ว่า ดนตรีมังคละเป็นของเบาเป็นของใหม่ที่บ้านบ้านคิดขึนมาเอง แต่น่าจะเป็นของหลวงท่ีเข้ามาแต่เช้ามืดก่อนสมัยอยุธยาเป็นแน่ แล้วกลับกลายเป็นของพืนเมืองที่สุโขทยั มีคนสืบทอดมาจนถงึ ทุก วันนี ถ้าเปน็ ความจริงดง่ั วา่ ก็น่าอศั จรรย์และน่าเคารพหนักหนา เราไมม่ หี ลักฐานผกู มัดวา่ ดนตรมี งั คละเข้ามาเมอื ่ไรและเข้า มาจากไหน แตห่ ลักฐานจารกึ แสดงว่า ในรัชสมยั พญาลไิ ทไดน้ าพระ ศาสนาจากลงั กาเขา้ มา โดยเฉพาะองค์พระมหาสวามสี ังฆราชและ พระผ้ใู หญ่อีกหลายรูปก็มกี ารไปมาหาสูก่ นั ระหวา่ งสุโขทัยกับลงั กา ประวตั ศิ าสตรท องถิ่น 47 ประวัติศาสตร์ทอ้ งถิ่น จังหวดั สโุ ขทัย Local History of Bansuan Sukhothai Province
การท่ีพระมหาสามีสงั ฆราชเสด็จมา ผมไม่สามารถเชื่อว่า ทา่ นมาเงยี บ ๆ ตรงกนั ขา้ ม จารึกระบุวา่ มาเปน็ ขบวนเสดจ็ ซึง่ สมยั โบราณจะต้องมีกองทหารเกียรติยศและจะต้องมีปีมีกลองตาม ฐานันดร ในเร่ืองนีประเพณีสยามกับประเพณีลังกาตรงกันไม่มีผิด จึงพอเช่ือว่าพระมหาสามีสังฆราชน่าจะเสด็จมาพร้อมกับกอง เกียรติยศทหารลังกา ประโคมมาดง่ั สนัน่ หวนั่ ไหวตลอดทาง หรือแม้กระท่ังพระมหาสามีศรีศรัทธา ฯ (หลัก ๑ กับหลัก ๑๑) ไปทาบุญเอาหลวงหลายในเกาะลังกา ก็ขากลับมาสยาม อาจจะไดร้ ับพระราชทานพระเจ้าลังกาให้มกี องเกียรตยิ ศและดนตรี ประดบั พระคุณ การที่ผมเสนอว่าดนตรมี ังคละเข้ามาจากลงั กาในสมัยพญา ลิไทก็เป็นเรื่องอาจจะ ที่จริงมันอาจจะเข้ามาก่อนหน้านันเสียอีก ใครจะไปรู้ เชน่ มันอาจจะเข้ามาผ่านนครศรธี รรมราชในรัชสมัยพ่อ ขุนรามคาแหง แต่ในสมัยพญาลิไทเห็นมีความเป็นไปได้สูงสุด และยังมี หลักฐานอกี กองหนึง่ สนับสนนุ น่ันคือดนตรีมงั คละในลงั กา กลองมงั คละในลงั กา (หน้า ๑๘๒-๑๘๓) 48 | ดเิ รก ดว้ งลอย | พระปลดั ระพนิ พุทฺธสิ าโร (ดว้ งลอย)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259