Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายงานการวิจัย

รายงานการวิจัย

Published by natsudachimsaad, 2023-02-16 17:02:25

Description: รายงานการวิจัย

Search

Read the Text Version

43 E1 เปน็ ไปตามเกณฑร์ ้อยละ 75 แต่ถ้ามากกวา่ หรอื นอ้ ยกว่า 75±2.5 แสดงวา่ ประสทิ ธภิ าพของ E1 สูงกวา่ หรอื นอ้ ยกว่าเกณฑ์ทตี่ ง้ั ตอ้ งปรบั นวัตกรรมให้เท่ากับเกณฑท์ ี่ตง้ั คอื 75 ส่วนการ ตดั สินประสทิ ธิภาพของ E2 ทำเชน่ เดยี วกบั E1 และถา้ รอ้ ยละของคะแนนระหว่าง E1 และ E2 ตา่ งกันมากกวา่ รอ้ ยละ 5 แสดงวา่ ประสิทธภิ าพของการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกบั เทคนิคการเรียนแบบร่วมมอื มีประสิทธิภาพไมเ่ ป็นไปตามเกณฑต์ ้องทำการปรับปรุงใหม่ 8. จัดทำรูปเลม่ การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรยี นแบบร่วมมือ พรอ้ มสำหรับการนำไปทดลองใช้กบั นักเรียนระดบั ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 โรงเรียนสูงเม่นชนปู ถัมภ์ ซึ่งเป็น กลุ่มท่ีเป้าหมายการวจิ ยั ความพึงพอใจ 1. ความหมาย ระดบั ความพงึ พอใจของผู้เรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 โรงเรยี นสงู เมน่ ชนปู ถมั ภ์ ทม่ี ตี ่อการทดลองใชการ สอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) รว่ มกับเทคนคิ การเรียนแบบร่วมมือ จัดกิจกรรมการเรียนรู้เรอื่ งลมฟา้ รอบตัวเรา โดยระดับความพึงพอใจแต่ละดา้ นดงั กล่าวข้อ 6 โดยกำหนดเกณฑก์ ารประเมินความพึงพอใจ ตามมาตราส่วนประเมินค่าของ ลิเคริ ท์ (Likert's Ratine Scale) แบบ 5 ระดับ 2. เครอ่ื งมอื วัดระดบั ความพึงพอใจ การใช้แบบสอบถาม 3. ระดบั ความพึงพอใจ กำหนดเกณฑ์การประเมินความพงึ พอใจตามมาตราส่วนประเมินค่าของลเิ คิรท์ (Likert's Ratine Scale) มี 5 ระดับดังน้ี ค่าเฉลี่ย 4.51 - 5.00 แปลวา่ มคี วามพึงพอใจมากท่สี ดุ คา่ เฉล่ีย 3.51 - 4.50 แปลวา่ มีความพงึ พอใจมาก คา่ เฉลี่ย 2.51 - 3.50 แปลวา่ มีความพึงพอใจปานกลาง ค่าเฉล่ีย 1.51 - 2.50 แปลว่า มีความพงึ พอใจนอ้ ย คา่ เฉลีย่ 1.00 - 1.50 แปลว่า มคี วามฟงั พอใจนอ้ ยมาก

44 ผลสัมฤทธิ์การเรยี นรู้ 1. ความหมาย สมพร เชื้อพันธ์ (2547, หน้า 53) สรุปว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ หมายถึง ความสามารถ ความสำเร็จและสมรรถภาพด้านต่างๆของผู้เรยี นที่ได้จากการเรยี นรู้อันเป็นผลมาจากการ เรียนการสอน การฝึกฝน หรือประสบการณ์ของแต่ละบคุ คลซึ่งสามารถวดั ได้จากการทดสอบด้วยวิธีการ ต่างๆ พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยินดีสุข (2548, หน้า 125) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถงึ ขนาดของความสำเร็จท่ไี ดจ้ ากกระบวนการเรียนการสอน ปราณี กองจินดา (2549,หน้า 42) กล่าว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถหรือ ผลสำเร็จ ที่ได้รบั จากกิจกรรมการเรยี นการสอนเป็นการเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์เรยี นรู้ ทางด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย และยังได้จำแนกผลสัมฤทธิท์ างการเรียนไว้ตามลักษณะของ วตั ถปุ ระสงคข์ องการเรยี นการ สอนท่แี ตกตา่ งกนั 2. ประเภทของผลสัมฤทธก์ิ ารเรียนรู้ 2.1 ความหมาย ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นไดม้ ีนักวชิ าการหลายทา่ นไดใ้ หค้ วามหมาย คังน้ี กรมวชิ าการ (2515 , หน้า 4) สรุปไดด้ งั นี้ 1. ความรู้ท่ีไดร้ บั หรอื ทักษะท่ีเจริญขนึ้ โดยการเรยี นวิชาต่าง ๆ ในโรงเรยี นตามปกติ พจิ ารณาจากคะแนนผลการเรียน หรือผลงานทคี่ รกู ำหนดให้ทำหรอื จากทงั้ 2 ทาง 2. ผลหรอื ผลงานท่ีนกั เรยี นไดจ้ ากวชิ าสามัญ เชน่ วิชาคณิตศาสตร์ วชิ าประวัตศิ าสตรซ์ ึง่ ตรงขา้ มกับทักษะที่ไดร้ บั จากวชิ าการฝมี ือและพลศึกษาชวาล แพรัตกุล (2516, หนา้ 15-17) ให้ความหมายว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นเป็น ความสำเร็จในด้านความรู้ ทักยะและสมรรถภาพด้านต่าง ๆ ของสมองนั้น คือ สัมฤทธิ์ผลทางการเรียน ควรจะประกอบดว้ ยส่ิงสำคัญอยา่ งน้อย 3 สงิ่ คือ ความรู้ ทักษะ และความสามารถของสมองดา้ นตา่ งๆ สธุ รรมณ์ จนั ทนห์ อม (2519, หนา้ 89) ให้ความหมายของผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นวา่ ผลของการเรยี นการสอน ไดแ้ ก่ ความรู้ ทักษะและความสามารถในค้านต่าง ๆ ทนี่ ักเรยี นได้รับการอบรม ส่งั สอนของครู รามเรยี กว่า ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน

45 สำพริง บุญเรืองรัตน์ (2527, หน้า 46) ได้ให้ความหมายว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถงึ ผลรวมของคะแนนที่ไดจ้ ากแบบทดสอบทีม่ ุ่งวดั ว่านักเรียนมคี วามร้หู รือ ความสามารถที่เกิดจาก การสอนมากนอ้ ยเพยี งใด จากความหมายตา่ งๆ สรุปไดว้ ่า ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น หมายถึง ผลท่ีเกดิ จากกระบวนการเรียน การสอนที่จะทำให้ นักเรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และสามารถวัดได้โดยการแสดงออกมาทั้ง 3 ด้าน คือ ดา้ นพทุ ธพิ สิ ยั ด้าน จติ พิสัย และดา้ นทกั ษะพสิ ยั 2.2 การจำแนกประเภท ไพศาล หวังพานิช (2526, หนา้ 89) ใหค้ วามหมายวา่ ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถของบุคคลอันเกิดจากการเรียนการสอน เปน็ การเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรม และประสบการณ์ เรยี นรทู้ เ่ี กิดจากการฝึกอบรมหรอื จากการสอบ ประถม แสงสว่าง (2527, หนา้ 237) ให้ความหมายว่า ผลสัมฤทธ์ิ หมายถึง ความสำเร็จ หรอื ความสามารถในการกระทำใด ๆ ที่จะต้องอาศัยทักษะหรือ มฉิ ะนน้ั ก็ต้องอาศยั ความรอบรใู้ นวิชาหน่งึ วิชาใดโดยเฉพาะ และผลสัมฤทธิ์ตามจุดประสงค์ของการศึกษาจะตอ้ งอาศัยความร่วมมือของทุกฝ่ายที่มี ส่วนเกย่ี วขอ้ ง 2.2.1 ด้านความรู้ (Knowledge: K) บลูม (Benjamin S. Bloom, 1956) กล่าวว่า ความรู้เป็นพื้นฐานในการศึกษาพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียน ซึ่งในปัจจุบันพฤติกรรมการเรียนรู้ ทางด้านความรู้หรอื ด้านพุทธพิ ิสัยตามลำดับข้ันทางปัญญาของบลูมนั้น ได้มีการปรับปรุงใหม่ (Revised Bloom’s Taxonomy) โดย Anderson & Krathwolh และคณะ (2000) ได้ทำการปรับปรุงลำดับขั้น ทางสตปิ ัญญาของบลูมท่ีเสนอไว้ คอื “เปลยี่ นชื่อทใี่ ช้เรยี กในแต่ละระดับของความร้คู วามคิด จากคำนาม เปน็ คำกิริยาเพอ่ื ใหส้ ะทอ้ นความเป็น กระบวนการของสมองหรือสตปิ ญั ญาท่ีช่วยใหม้ นุษย์เกิดความรู้หรือ สตปิ ัญญาและเปล่ียนความรใู้ นระดบั การสงั เคราะหจ์ ากเดมิ เป็นการสร้างสรรค์และจดั เปน็ ความรู้ข้ันสูงสุด ของลาดับข้นั ทปี่ รับปรุงใหม่” โดยกระบวนการทางสติปัญญาตามการจดั หมวดหมู่ลำดับความรู้ของบลูมท่ี ได้รับการปรับปรุง ใหม่ให้มีความถูกต้องและเหมาะสมกับการจัดการศึกษาในปัจจุบัน มีทั้งหมด 6 ขั้น เรียงลำดับจากความร้รู ะดบั ต่ำไปยังความรู้ระดับสูง มดี ังนี้ 1. จำ (Remembering) เป็นความสามารถของสมองในการระลึก/จำความรู้หรือ สารสนเทศ ทีเ่ กบ็ ไวใ้ นสมอง ซงึ่ เป็นความจำระยะยาว 2. เข้าใจ (Understanding) เป็นความสามารถทางสมองของบุคคลในการสร้าง ความหมาย หรอื ความรู้จากส่ือหรือเคร่อื งมอื ทางการศกึ ษาดว้ ยตนเอง เชน่ จากการอา่ น การอธิบายของ ครู ทักษะย่อยของความสามารถในขั้นนี้ ได้แก่ การแปลความหมาย interpreting การให้ตัวอย่าง

46 (exemplifying) การจัด จำแนก (classifying) การสรปุ (summarizing) การสรุปอา้ งอิง (inferring) การ เปรยี บเทยี บ (comparing) และการอธิบาย (explaining) 3. ประยุกต์ใช้ (Applying) จัดเป็นกระบวนการทางสมองในการใช้กระบวนการที่ได้ เรยี นร้มู า ในสถานการณ์ใหมห่ รือสถานการณท์ ่ีคลา้ ยคลึงกนั 4. วเิ คราะห์ (Analyzing) กระบวนการทางปญั ญาในขนั้ นี้เป็นการแยกความร้อู อกเปน็ สว่ นๆ โดยสามารถใหเ้ หตุผลว่า ความร้สู ่วนย่อยที่แยกแตล่ ะส่วนมคี วามเกย่ี วข้องกับโครงสร้างของความรู้ ทั้งหมดอย่างไร นักเรียนที่มีความสามารถในการวิเคราะห์จะต้องสามารถจำแนกความแตกต่างได้ จัดระบบความรไู้ ด้ และบอกทม่ี าของความรหู้ รอื องคป์ ระกอบแต่ละสว่ นได้ 5. ประเมินค่า (Evaluating) เดิมความสามารถด้านการประเมินจัดเป็นความรู้ข้ัน สงู สุดเปน็ ความสามารถของสติปญั ญาเกยี่ วกบั การตรวจสอบและการวิพากษ์ต่างๆ 6. สร้างสรรค์ (Create) เป็นความสามารถของสติปัญญาในการสร้างส่ิงใหม่จากสิ่งที่ เคยเรียนรู้หรือสิ่งที่พบเห็นในบริบทต่างๆ นักเรียนที่มีความสามารถในการสร้างสรรค์จะต้องสามารถ สรา้ งสรรค์ งานแผนงาน หรอื ผลิตภัณฑ์ หรอื ชนิ้ งานทีแ่ ปลกใหม่ 2.2.2 ดา้ นทักษะกระบวนการ(Process/Product: P) เดฟ (Dave’s, 1975) กล่าว ว่าพฤติกรรมด้านทักษะกระบวนการเป็นพื้นฐานในการศึกษาพฤติกรรมด้านการเคลื่อนไหวของร่างกาย การพัฒนาทักษะด้านนี้ต้องอาศัยการฝึกฝน โดยพฤติกรรมดังกล่าว มีลำดับขั้นตอนที่เรียงลำดับตาม ความซับซ้อนของพฤติกรรม ดังนี้ 1. พฤตกิ รรมที่เกดิ จากการเลยี นแบบ (Imitation) พฤตกิ รรมทีเ่ กดิ จากการสงั เกต และการเลียนแบบจากตัวแบบไม่ว่าจะเป็นบุคคลชิ้นงานและวิธีการ เป็นการให้ผู้เรียนได้รับรู้หลักการ ปฏบิ ัตทิ ่ีถูกต้อง หรอื เป็นการเลือกหาตวั แบบทีส่ นใจ 2. พฤตกิ รรมทเ่ี กิดจากการจัดกระทำ (Manipulation) ความสามารถในการปฏิบตั ิ กิจกรรม หรือทักษะโดยอิงจากความทรงจำและขั้นตอนการดำเนินการ ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจจะเกิดจาก การศึกษาหรือการเรียนร้แู ละทำตามลำดับขนั้ ตอนทม่ี ีการเสนอแนะไว้ 3. พฤติกรรมทกี่ ระทำด้วยความแมน่ ยำ (Precision) เป็นพฤตกิ รรมสามารถปฏบิ ัติ ได้ด้วยตนเองโดยไมต่ ้องอาศัยเครื่องช้ีแนะ เมื่อไดก้ ระทำซำ้ แลว้ ก็พยายามหาความถูกต้องในการปฏิบตั ิ จนเป็นความสามารถที่ผ่านการฝกึ ฝนกลั่นกรองมาอย่างดี จนกลายเป็นทักษะระดับสูงทีป่ ระกอบไปด้วย ความเชยี่ วชาญและมคี วามแมน่ ยำในระดบั สงู เช่น การสาธิตวิธีการปฏิบัติให้แกผ่ อู้ ื่น 4. พฤติกรรมที่มีความสอดคล้องประสานกนั (Articulation) การปรับตัวเพื่อให้เกิด ความสอดคล้องระหว่างส่วนย่อยของชุดรูปแบบในการปฏิบัติการหรือความสามารถ เพื่อให้เกิดทักษะ

47 ความสามารถที่มีการสอดประสานกันอย่างลงตัวและมีความคงที่ภายใน การที่ผู้เรียนเกิดทักษะได้ ต้องอาศัยการฝึกฝนและกระทำอย่างสม่ำเสมอ ตัวอย่าง เช่น ในการผลิตสื่อวีดีทัศน์ต้องมีการใช้ทักษะ ความสามารถใน ด้านท่ีเกี่ยวกบั เพลง ดนตรี การแสดง และแสง สี เสยี ง 5. พฤติกรรมทม่ี คี วามเป็นธรรมชาติ (Naturalization) ความสามารถเชงิ ปฏิบตั ิระดบั สูงเป็น พฤติกรรมที่ได้จากการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง จนสามารถปฏิบัติได้คล่องแคล่วว่องไวโดยอัตโนมัติ เป็นไปอย่าง ธรรมชาติ และเปน็ ลกั ษณะรูปแบบเฉพาะตัว 2.2.3 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์(Attribute: A) แครธโทลและคณะ (Krathwohl, et al., 1954) ระบุว่าพฤติกรรมของมนุษย์เริ่มจากความรู้สึกโดยเริ่มจากความสนใจ (Interest) มาเป็นอันดับแรกตามมาด้วยความซาบซึ้ง (Appreciation) เจตคติ (Attitude) ค่านิยม (Value)และการ ปรับตัว (Adjustment) แต่เมื่อพิจารณาลาดับความรู้สึกเปน็ ขั้น ๆ จะเริ่มจากการรับรู้ (Receiving)การ ตอบสนอง (Responding) การเหน็ คุณค่า (Valuing) การจดั ระบบ (Organization) และ การสรา้ งลักษณะ นสิ ัยตามคา่ นยิ ม (Characterization) โดยมีรายละเอยี ดดังนี้ 1. การรับรู้ (Receiving) เป็นขั้นแรกของความรู้สึก ถือเป็นการสัมผัสเบื้องต้น เพียงได้รไู้ ด้เห็น เรียกวา่ เป็นขน้ั การจดจำส่ิงท่ีได้รบั จากประสาทสมั ผัส แบง่ เป็น 3 ขน้ั ไดแ้ ก่ 1.1 การรู้จัก (Awareness) เป็นเพียงการสังเกตเห็นปรากฏการณ์นั้นโดย ปราศจากความ สนใจ เชน่ รจู้ ักสี รปู แบบจดั อันดบั เปน็ ตน้ 1.2 ความเตม็ ใจในการรับ (Willingness to receive) เปน็ ข้ันเต็มใจหรือพอใจ ที่จะรับรู้โอน อ่อนต่อสิ่งที่พบเห็น แต่เป็นเพียงการบังคับใจเท่านั้น เช่น ฟังผู้อื่นพูดด้วยความเต็มใจ อดทนทจี่ ะทาอะไรให้ สำเรจ็ 1.3 ความใส่ใจที่มีการคัดสรรและควบคุม (Controlled or selected Attention) เป็นความรสู้ ึกที่บอกไดว้ า่ อะไรควรใสใ่ จหรอื ไม่ควรใสใ่ จ จึงมองในลักษณะควบคมุ หรือเลือก มากขึน้ มีความต้งั ใจท่ี จะทำกิจกรรมใดๆ หรือรูส้ กึ อยากรอู้ ยากเห็น เปน็ ต้น 2. การตอบสนอง (Responding) เปน็ ขนั้ ท่ีมจี ิตใจจดจอ่ เกิดความสนใจ ชื่นชอบ กจิ กรรมหน่ึง มากกวา่ กจิ กรรมอ่ืน ๆ แบ่งเป็น 3 ขน้ั ได้แก่ 2.1 การยินยอมในการตอบสนอง (Acquiescence in Responding) เป็น ความรู้สึกเชือ่ ฟังหรอื ยินยอมทีจ่ ะทำแต่อาจยังไม่พอใจนัก เช่น ความตั้งใจทีบ่ ังคับตนเองให้ร่วมกจิ กรรม กบั คนอื่น การทำการบ้านใหเ้ สร็จ 2.2 ความเต็มใจที่จะตอบสนอง (Willingness to Response) เป็นขั้นร่วม กจิ กรรมดว้ ย ความตง้ั ใจ รว่ มมือ และทาตามความตอ้ งการหรอื ดว้ ยความสมัคร

48 2.3 ความพึงพอใจในการตอบสนอง (Satisfaction in Response) เป็นการ ยินยอมแบบเต็มใจและพึงพอใจจึงเกิดความสนุกสนาน เช่น ร้องรำทำพลงร่วมกับคนอื่นด้วยความ สนุกสนานพอใจ 3. การเห็นคุณค่า (Valuing) เป็นขั้นที่แสดงความรู้สึกเห็นคุณค่าของสิ่งของ ปรากฏการณ์ หรอื พฤติกรรมทไ่ี ดร้ บั และซึมซับมาตง้ั แต่ตน้ อาจยอมรบั หรือไม่ยอมรบั ขนึ้ อยู่กับเกณฑ์ท่ี ใช้พจิ ารณาคุณค่า พฤติกรรมระดบั นีค้ อ่ นขา้ งมีความคงเสน้ คงวาในการแสดงความร้สู กึ และการรับรู้คุณค่า สิง่ ต่าง ๆ โดยที่เจตคติ จดั เปน็ ความรูส้ กึ ระดบั นี้ แบ่งเปน็ 3 ขั้น ได้แก่ 3.1 การรับรู้คุณค่า (Acceptance of Value) ระดับนี้มุ่งอธิบายคุณค่าของ ปรากฏการณ์พฤติกรรมวัตถุสิ่งของในระดับความเชื่อ ซึ่งเป็นการยอมรับทางอารมณต์ ่อสิ่งที่เกิดขึ้น เชน่ การแสดงความ ปรารถนาอย่างต่อเน่ืองในการพัฒนาประสทิ ธภิ าพตนเอง 3.2 การชน่ื ชอบคณุ ค่า (Preference for Value) เปน็ การเพิ่มความรู้สึกเอาใจ ใสใ่ นคุณค่า หรอื คา่ นิยมนั้นเพมิ่ ข้ึน พรอ้ มท้ังแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับปญั หา แสดงความกระตอื รอื ร้นใน กจิ กรรมและหา ความรใู้ หม่ ๆ เปน็ ตน้ 3.3 การยอมรบั (Commitment) เปน็ ความเชอ่ื ศรัทธาด้วยอารมณ์ที่มนั่ คง ผู้ท่ีมี ความรู้สกึ ระดบั นี้จะแสดงพฤติกรรมยึดมน่ั อย่างเห็นไดช้ ัด เช่น ความซ่ือสตั ย์ต่อกล่มุ ที่เป็นสมาชิกยอมรับ บทบาททาง ศาสนาในชีวติ สว่ นตวั และครอบครวั ความรูส้ ึกระดับน้เี ปน็ ความรู้สกึ พอใจจนกระทั่งยินยอม ตกลงเป็นคำมนั่ สัญญา 4. การจัดระบบคุณค่า (Organization) เป็นขั้นของการจัดระบบของพฤติกรรม หลากหลายที่สัมพันธ์กัน ระบบดังกล่าวจะสร้างขึ้นโดยการเชื่อมค่านิยมส่วนย่อยเข้าด้วยกัน ระบบนี้แบ่งเปน็ 2 ขัน้ ไดแ้ ก่ 4.1 การสร้างมโนภาพของคุณค่า (Conceptualization of a Value) โดยนำค่านิยมที่มีลักษณะเดียวกันอยู่ด้วยกันหรือเกี่ยวข้องกันมารวมเป็นกลุ่ม ซึ่งเกิดจากการวิเคราะห์ และสงั เคราะห์ความรู้สึก แล้วกลายเปน็ มโนภาพของคณุ ค่าใหม่ 4.2 การจัดระบบคุณค่าของค่านิยม (Organization of a Value System) เปน็ การจดั ค่านิยมท่ีสลับซับซอ้ นให้อยู่ในระบบเดียวกนั เพอ่ื ให้เกดิ ความสมดุลบางประการทางความรู้สึก เชน่ การยอมรบั ความจรงิ ในด้านการปรับอารมณก์ ับข้อจากัดของความสามารถ ความสนใจ และเง่ือนไข ทางกายภาพ ของตนเอง 5. การสร้างลักษณะนิสัยตามค่านิยม (Characterization) เป็นขั้นสั่งสมความรู้สึกเป็น รปู แบบจนเปน็ ลกั ษณะนิสยั ความเชอ่ื ศรทั ธา และแนวปรชั ญาชวี ิต มีลกั ษณะส่วนตัวที่เปน็ เอกลกั ษณ์ของ

49 ตนเอง ระดับนี้ เปน็ ความรูส้ ึกท่ีส่ังสมมาตั้งแต่ขัน้ แรกจนเกิดการเลอื กสรรเปน็ วถิ ีดาเนนิ ชีวติ เป็นเป้าหมาย ปลายทางชวี ิต สง่ั สมจนกลายเปน็ บคุ ลิกภาพ แบ่งเป็น 2 ขนั้ ได้แก่ 5.1 การสรุปอิงนัยทั่วไปของค่านิยม (Generalized Set) ระดับนี้หมายถึง ความสอดคล้องภายในกับระบบเจตคติและค่านิยม ณ เวลาใดเวลาหนึง่ ต่อปรากฏการณ์ท่ีเลือกสรรจาก กลุ่มของเจตคติและ ค่านิยม และยึดถือประพฤตปิ ฏิบัตติ ามที่เห็นว่าดงี าม เมื่อเกิดเหตุการณ์หรือปัญหา ใด ๆ ขนึ้ ก็นำความรสู้ กึ ที่ ยึดถอื ไปแก้ปญั หาในสถานการณใ์ หมไ่ ด้ 5.2 การสรา้ งลักษณะนิสยั (Characterization) เปน็ ระดับความร้สู ึกขนั้ สุดท้าย ที่ผสมผสาน สรุปรวมความรู้สึกที่ยึดเป็นอุดมการณ์ ปรัชญาชีวิต เช่น การพัฒนาด้านสติปัญญา การ ดำรงชีวติ ด้วยคณุ ธรรม การยดึ อดุ มการณ์ดว้ ยประชาธิปไตย เปน็ ตน้ 2.3 วิธี/เครือ่ งมือวดั 2.3.1 ด้านความรู้ (Knowledge: K) ประเมนิ ความรดู้ ้วยวธิ ีการสอบวดั หรือแบบ ฝกึ หัดต่าง ๆ และนำคะแนนมาชว้ี ดั ว่าผู้เรยี นมีความรใู้ นเนอื้ หาด้านนเี้ ทา่ ไหร่ 2.3.2 ดา้ นทักษะกระบวนการ (Process/Product: P) การประเมนิ ดา้ นทักษะนัน้ จะเป็นการประเมนิ ความสามารถของผู้เรยี นซึง่ เราสามารถใช้รูปแบบการประเมินแบบรูบริค (Rubric) ใน การประเมนิ ผู้เรยี นไดท้ ้งั นีข้ ้นึ อยูก่ ับการตง้ั หัวข้อในการประเมนิ และรายละเอยี ดการประเมินท่ีจำเป็น เช่น ประเมินในหัวข้อทักษะการนำเสนอ รายละเอียดการประเมินทีจ่ ำเป็น คือ ด้านเนื้อหา ด้านความชัดเจน ในการพูด และด้านเทคนคิ ในการนำเสนอ เป็นต้น 2.3.3 ดา้ นคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ (Attribute: A) ในการประเมนิ ด้าน คุณลักษณะอันพึงประสงค์นั้นสามารถใช้การประเมินแบบรูบริค(Rubric) ได้ ซึ่งก็จะมีส่วนคล้ายกับ การประเมินด้านทักษะนั่นคือ การตั้งหัวข้อการประเมินในคุณลักษณะทีผ่ ู้สอนอยากให้เกิดขึ้นในผูเ้ รียน และรายละเอยี ดสาหรับการประเมินทีส่ อดคลอ้ งกัน 2.4 ความสำคญั เป้าหมายสำคญั ของการจัดการศกึ ษาตามตามพระราชบัญญตั ิการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2548 คือ การทำให้ผู้เรียนเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์หรือเป็นคนที่มีคุณภาพ ทั้งเก่ง ดี และมีความสุขในการเป็น พลเมอื งไทยในอนาคต ซง่ึ อาจแยกคุณภาพของคนไทยออกเปน็ สองสว่ น ส่วนแรกคือการทำให้ผู้เรียนเป็น คนกง่ และเป็นคนดี ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ตั้งแต่ผูเ้ รียนยงั อยู่ในระบบการศึกษาสว่ นท่ีสองคือการทำให้ ผูเ้ รยี นมคี วามสขุ น้ัน เป้าหมายคือ เมอื่ จบการศึกษาแล้วสามารถอย่รู ่วมกบั ผ้อู นื่ ในสังคมได้อยา่ งมีความสุข ในการตรวจสอบผลการศึกษาว่าเป็น ไปตาม เป้าหมายของการจดั การศึกษาที่กำหนดไว้หรือไม่ ส่วนที่มี การดำเนนิ การอย่างต่อเนื่อง ตัง้ แตอ่ ดีตจนถงึ ปจั จบุ ันคือการตรวจสอบในด้านทเ่ี รียกว่า เกง่ ซ่ึงดำเนนิ การ

50 ในรูปแบบการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น ทั้งในรูปการสอบในโรงเรียนแต่ละโรงเรยี นในลกั ษณะ ต่างคนต่างสอบ จนถึงการทดสอบระดับชาติทีว่ ัดหรือแบบทดสอบเหมือนกันทั้งประเทศ ทำให้ทราบผล การจัดการศึกษาของผู้เรียนในยุคโลกาภวิ ัฒน์นี้ได้มกี ารกล่าวถึงความสามารถในการแข่งขันนั้นสามารถ เพิ่มขึ้นได้โดยระบบการศึกษา เพราะการศึกษาจะทำให้คนไทยมีคุณภาพมากขึ้น ดังนั้นในประเด็นของ ความเก่งจึงยงั คงเป็นท่ียอมรับของประชาชนทัว่ ไปว่าเปน็ คุณสมบัติหนงึ่ ของคนไทยทตี่ ้องการให้มีการเร่ง พัฒนาให้มากขึ้น เพื่อนำไปสู่การเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของคนไทยหรือของประเทศไทยใน อนาคตดังนัน้ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนจงึ เป็นสิง่ สำคัญอย่างหนง่ึ ใบการวัคผเู้ รียนวา่ ผลการเรียนของผู้เรียน เป็นไปตามเป้าหมายมากน้อยเพียงใด (สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ.2548, หนา้ 1-2) และจากพระราชบัญญัตกิ ารศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2544 มาตรา 47 ได้กำหนดให้มีระบบการ ประกันคุณภาพการศึกษา เพื่อพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกยาในทุกระดับ และมาตรา 48 ให้หน่วยงานต้นสังกัดและ สถานศึกษา จัดให้มีระบบการประกันคุณภาพการศึกษา ภายในสถานศึกษา และให้ถอื ว่าเปน็ การประกนั คุณภาพภายใน เปน็ สว่ นหนงึ่ ของกระบวนการบริหารการศึกยาที่ต้องดำเนิน อย่างต่อเนื่อง ซึ่งการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนนับเป็นส่วนหนึ่งของการประกันคุณภาพการศึกยา ซึ่งการประเมินผลที่ดีสามารถบ่งบอกถึงผลการดำเนินงานได้อย่างถูกต้องบอกถึงระดับคามม่ั นใจและ พึงพอใจของสถานศึกษาและชุมชนในการพัฒนาคุณภาของสถานศึกยาและเป็นท่ียอมรับของบุคลากรใน ชุมชนทั่วไป การวัดผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นท่ดี กี อ่ ใหเ้ กิดผลดี คือ 1. ทำให้สามารถเปรยี บเทียบผลระหว่างสถานศึกษา ภูมภิ าค และรัฐไดอ้ ย่าง สมเหตุสมผล ประเมนิ ทง้ั ผลสมั ฤทธท์ิ างวชิ าการตามหลักสตู รและความถนัดทางการเรยี น 2. สง่ เสรมิ และกระต้นุ ใหส้ ถานศกึ ษาใหค้ วามสนใจอย่างจริงใจในการพฒั นา ผลสัมฤทธ์ทิ ่ีสำคญั ท่หี ลักสูตรกำหนด 3. สามารถใชผ้ ลการประเมนิ ใหเ้ ป็นประโยชน์ท้งั ในระดบั ชาติ ระดับสถานศึกษา และระดับผเู้ รียนเป็นรายบคุ คล 4. สร้างแรงจงู ใจกระตนุ้ และท้าทายใหผ้ ้เู รียนทกุ คนต้งั ใจไฝ่หาสมั ฤทธผ์ิ ล (นพิ ลพลกลาง, 2549. หน้า 14) กรมวิชาการ (2543, อ้างในรายงานการประเมินคุณภาพการศึกษาระดับชาติ, 2546, หน้า 1-2) ได้สรปุ ความสำคัญของผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น ดงั น้ี

51 1. เปน็ การตดิ ตามกจิ กรรมการเรียนการสอบอยา่ งตอ่ เนือ่ ง กลา่ วคอื การวัดผล สมั ฤทธิท์ างการเรียน ทมี่ ปี ระสทิ ธิภาพจะ ให้ขอ้ มูลทถ่ี กู ตอ้ ง เที่ยงตรง สำหรับการตดั สินเกีย่ วกับการสอน ทมี่ ปี ระสิทธภิ าพเปน็ ขอ้ มูลข้อนกลับท่ีจะช่วยติดตาม กำกับ ดแู ลความก้าวหน้าของผู้เรียนตลอดเวลาโดย ผู้สอนจะนำข้อมูลดังกล่าวมาพิจารณาปรับแนวทางการ จัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับสภาพความพร้อม และพนื้ ฐานของผ้เู รียน 2. การทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์เป็นเครื่องมือผลักดับหรือกระตุ้นให้เกิดการพัฒนา เปลีย่ นแปลงการเรียนการสอน ส่งเสรมิ การวจิ ยั ในชั้นเรยี น ตลอดจนเป็นเครื่องมอื ผลักคันการสอนให้เป็น ไปในทศิ ทางที่ต้องการ เนอ่ื งจากรปู แบบวิธกี ารวดั ผลมีอิทธิพล โน้มบ้าวใหก้ ารเรียนการสอนต้องปรับตาม ให้ลอดคล้องกบั โดยอตั โนมัติ ดังน้ันถา้ ตอ้ งการปรับการเรยี นการสอนให้เปน็ ไปในทิศทางใด ออกแบบการ วัดผลท่สี ง่ ผลให้เป็น ไปในทิศทางนนั้ กส็ ามารถผลกั ดันให้การเรียนการสอบเป็นไปตามทต่ี ้องการได้ 3. การทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเปน็ เคร่ืองมือนำไปสกู่ ารพัฒนาการเรียนรู้ของ ผู้เรยี น การทดสอบวัดผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นรู้ของผูเ้ รียนในขณะทำกิจกรรมการเรยี นการสอนจะช่วยให้ ผู้เรียนตระหนักถึงความสามารถ พัฒนาการเรียนรู้ของตนเองอย่างต่อเนื่อง และมีคุณธรรมผู้เรียนจะได้ ค้นพบความรใู้ หม่ และแนวคิดใหม่ในการแกป้ ัญหาเพื่อการทำงานด้วยตนเองหรือจากการแนะนำของผอู้ ื่น 4. การทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนจะชว่ ยเสรมิ ประสิทธิภาพของการจดั การวดั และประเมินผลในระดับมหาภาค ไม่ว่าจะเป็นระดับประเทศ ระดับเขตพื้นที่ หรือระดับจังหวัด ระดับสถานศกึ ษา งานวิจัยทเ่ี กย่ี วข้อง 1. งานวิจัยที่ทำการทบทวน การทำวิจัยในชั้นเรยี นเรื่องลมฟา้ อากาศรอบตวั เราผ้วู จิ ัยทำการทบทวนงานเฉพาะวิจยั ท่ีเกยี่ วข้อง หรือสอดคล้องกับการใช้การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ แก้ปัญหาผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้เรื่องลมฟ้าอากาศรอบตัวเรา ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรยี นสงู เมน่ ชนปู ถัมภ์ ผลการทบทวนดังกลา่ วนำเสนอตามลำดับ ดังนี้ 1.1 ณัฐกิตติ์ นวลแสง (2561) ทำการวิจัยเรื่องการพฒั นาชดุ กิจกรรมมโดยการเรยี นรู้แบบ ร่วมมือเทคนิคคู่ เดี่ยว (Team -Pair-Solo) เพื่อส่งเสริมทักษะการเล่นซอด้วง กับนักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านคลองตัน จังหวัดสมุทรสาคร โดยมีวัตถุประสงค์การวิจัยเพ่ือ 1) เพื่อศึกษาความสามารถในการเล่นซอด้วงของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยการเรียนรู้ แบบร่วมมือเทคนิคกลุ่ม คู่ เด่ยี ว (Team -Pair-Solo) 2) เพ่ือศึกษาพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนจาก

52 การเล่นซอดว้ ง โดยการเรียนรแู้ บบรว่ มมือ เทคนคิ กลุ่มคู่เดย่ี ว (Team -Pair-Solo) 3) เพ่ือศึกษาความพึง พอใจของนักเรียนต่อการเรียนรโู้ ดยการเรยี นรู้แบบรว่ มมอื เทคนิคกล่มุ คู่ เดยี่ ว (Team -Pair-Solo) ผลการวิจยั พบวา่ 1) นกั เรียนมคี วามสามารถในการเลน่ ซอดว้ งโดยการเรียนแบบรว่ มมอื เทคนคิ กลุ่มคู่ เดี่ยว นักเรียนที่ไม่ผ่านเกณฑ์ คิดเป็นร้อยละ 30.43 และนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์ คิดเป็นร้อยละ 34.78 2) นักเรียนส่วนใหญ่มีคะแนนพฤติกรรมการเล่นซอด้วงแบบกลุ่ม คู่เดี่ยว อยู่ในระดับดี แต่ใช้เทคนิคกลุ่มคู่เดี่ยว อยู่ในระดับดีมาก 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการทดลองจัดกิจกรรม การเรยี นรูด้ ว้ ยนวตั กรรมดงั กลา่ วท่ีระดับพึงพอใจมากท่สี ุด มคี า่ เฉลย่ี เทา่ กบั 4.55 1.2 โสรัจจ์ แสนคำ (2560) ทำการวิจยั เรื่อง การพัฒนากิจกรรมการเรยี นรูแ้ บบร่วมมือดว้ ย เทคนิค LT ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องสารในชีวิตประจำวัน กับนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเทศบาล 5 (พหลโยธินรามินทรภักดี) สังกัดเทศบาลเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี โดยมีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อ 1) หาประสิทธิภาพของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบร่วมมือด้วยเทคนิค LT ให้เป็นไปตามเกณฑ์ 75/75 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เรื่องสารในชีวิตประจำวัน ก่อนและหลังจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ แบบรว่ มมอื ดว้ ยเทคนิค LT 3) เพอื่ ศกึ ษาความพงึ พอใจของนกั เรยี นช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 ท่ีมีต่อการจัด กจิ กรรมการเรยี นรู้แบบรว่ มมอื ดว้ ยเทคนคิ LT ผลการวจิ ยั พบว่า 1) ประสทิ ธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบรว่ มมอื ด้วยเทคนิค LT ที่ผู้ ศึกษาสร้างและ พัฒนาขึ้นมีค่าเท่ากับ 82.31/85.15 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 75/75 ที่กำหนดไว้ 2) ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของนกั เรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค LT มีผลสัมฤทธ์หิ ลัง เรยี นสูงกว่าก่อนเรยี น อยา่ งมีนัยสำคัญทางสถิตทิ ี่ระดับ .05 ค่าสถติ ิ t – test เทา่ กับ 17.723 3) ผลการ ประเมินความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมตี ่อการเรียนดว้ ยชุดกจิ กรรมการเรียนรแู้ บบร่วมมือดว้ ยเทคนิค LT พบว่านักเรยี นมีความพึงพอใจอย่ใู นระดับพงึ พอใจมาก มีค่าเฉลีย่ เทา่ กบั 4.35 1.3 ทิวากร วงษ์เสน, อุษา ปราบหงษ์และพจมาน ชำนาญกิจ (2560) ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องการรักษาดุลยภาพของร่างกายมนุษย์และสัตว์ กับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปที ่ี 5 โรงเรียนพงั โคนวทิ ยาคม อำเภอพังโคน จังหวดั สกลนคร โดยมวี ตั ถปุ ระสงคก์ ารวจิ ัยเพ่ือ 1) พฒั นาชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้ เรอ่ื งการรักษาดุลยภาพของร่างกายมนุษย์ และสตั ว์ ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 โดยใช้การสอนแบบวัฎจักรการสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น (5E) ร่วมกับการเรียนแบบร่วมมือ ด้วยเทคนิค STAD ใหม้ ีประสทิ ธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรยี บเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและ หลัง เรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ 3)เปรียบเทียบทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ระหว่างก่อน

53 เรียนและหลังเรียนด้วย ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ และ 4) ศึกษาความพึงพอใจของนกั เรียนท่ีมีต่อการเรียน ด้วยชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ ผลการวิจัยพบว่า1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องการรักษาดุลยภาพของร่างกายมนุษย์และ สัตว์ ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 5 โดยใช้การ สอนแบบวฎั จักรการสบื เสาะหาความรู้ 5 ข้นั (5E) รว่ มกบั การเรียน แบบร่วมมือด้วยเทคนิค STAD มีประสิทธิภาพ 85.29/85.74 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ ์ที่ตั้งไว้ 2) ผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนของนักเรียนที่เรยี นด้วยชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี นัยสําคัญ ทางสถิติที่ระดับ .01 3) ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมการ เรียนรู้ หลังเรียนสงู กว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาํ คญั ทางสถิติท่รี ะดับ .01 4) ความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมี ต่อการเรียนดว้ ย ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ มีความพงึ พอใจอยูใ่ นระดับมากทส่ี ุด ( x = 4.63, S.D. = 0.49) 2. การสรปุ ประเดน็ จากงานวจิ ัยทผ่ี ู้วิจัยทำการทบทวนทงั้ สน้ิ จำนวน 3 เรอื่ ง ข้อสรปุ ประเดน็ ความรู้เกี่ยวกับผลการ ทบทวนดงั กลา่ วเป็นรายขอ้ ดงั นี้ 2.1 จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องพบว่า วิธีการและเทคนิคการเรียนรู้แบบ ร่วมมือโดยการใช้เทคนิคต่างๆร่วม เพื่อช่วยพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนให้มีผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนรเู้ พิม่ มากข้ึน ซง่ึ สาระสำคญั ดังกล่าวสัมพันธ์กับสาเหตขุ องปัญหาของนักเรียนดังกล่าวก่อนหน้า กล่าวคือ นักเรียนส่วนใหญ่ไม่ปฏิบัติตามนวัตกรรมเดิมจึงทำให้นักเรียนขาดความรู้ ความสามารถ ความเข้าใจในเนื้อหา การจัดเทคนิคเดิมให้เชื่อมโยงกับเทคนิคที่ทันสมัย คล้องจอง และเหมาะสมต่อ กิจกรรมการจัดการเรียนรู้ จะช่วยให้ผู้เรียนนั้นสามารถเกิดความรู้ ความสามารถ และความเข้าใจใน เน้ือหาได้ ผู้วิจัยจึงมีแนวคิดที่จะนำมาใช้ในการปรับปรุงผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของนักเรียน และจาก การศกึ ษางานวิจยั ที่เก่ียวขอ้ งยงั พบอกี ว่า ณัฐกิตติ์ นวลแสง (2561) ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนาชุดกิจกรรมมโดยการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนคิ คู่ เดยี่ ว (Team-Pair-Solo) เพอ่ื สง่ เสริมทักษะการเลน่ ซอด้วง กบั นกั เรยี นระดับช้ันประถมศึกษาปี ที่ 5 โรงเรียนบ้านคลองตัน จังหวัดสมุทรสาคร พบว่าภายหลังการใช้เทคนิคในการสอนนักเรียนมี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรูส้ ูงขึ้นกว่าการใช้เทคนิคเดิม ซึ่งสอดคล้องกับคะแนนพฤติกรรมการเล่นซอด้วง แบบกลุ่มคเู่ ดยี่ ว อยู่ในระดับดี และใชเ้ ทคนคิ กลุม่ คู่เดย่ี ว อยู่ในระดับดีมาก

54 โสรัจจ์ แสนคำ (2560) ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนคิ LT ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องสารในชีวิตประจำวัน กับนักเรียนระดับช้ัน มธั ยมศกึ ษาปีที่ 6 โรงเรียนเทศบาล 5 (พหลโยธนิ รามนิ ทรภกั ดี) สังกดั เทศบาลเมอื งราชบุรี จังหวัดราชบุรี พบว่าภายหลังการใช้เทคนคิ ในการสอนประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนคิ LT ที่ผู้ศึกษาสร้างและ พัฒนาข้ึนมีค่าสูงกวา่ เกณฑ์ 75/75 ที่กำหนดไว้ และผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นของ นักเรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค LT มีผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูงกว่า กอ่ นเรยี น ทิวากร วงษ์เสน, อุษา ปราบหงษ์และพจมาน ชำนาญกิจ (2560) ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนา ชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้ เร่อื งการรักษาดลุ ยภาพของร่างกายมนษุ ย์และสัตว์ กับนกั เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนพังโคนวิทยาคม อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร พบว่าภายหลังการใช้เทคนิคในการสอน ชุดกิจกรรมการเรยี นรสู้ ูงกว่าเกณฑ ท์ ีต่ ้ังไว้ นักเรียนมผี ลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนหลงั เรียนสงู กว่ากอ่ นเรยี น โดยการอ้างอิงแนวคิด ทฤษฎี หลักการ วิธีการ และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องดังกล่าวก่อนหน้า จึงกำหนดสมมติฐานการวจิ ัยขอ้ ที่ 1 วา่ การจัดกจิ กรรมการเรียนรเู้ ร่ืองลมฟา้ อากาศรอบตวั เรา โดยทดลอง ใช้การสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกบั เทคนิคการเรียนแบบร่วมมอื มผี ลต่อการพฒั นาผลสัมฤทธิ์ การเรยี นรู้เร่อื งลมฟา้ อากาศรอบตัวเรา ของนักเรียนระดบั ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรยี นสูงเม่นชนูปถัมภ์ อำเภอสงู เม่น จังหวัดแพร่ 3. ประเดน็ ท่ที ำการวจิ ยั ต่อยอด จากการสรุปประเด็นความรู้เกี่ยวกับผลการทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องดังกล่าวเป็นรายข้อ ก่อนหน้าแล้วพบว่า การทำวิจัยในชั้นเรียนเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องลมฟ้าอากาศ รอบตัว โดยใช้การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสูงเม่นชนูปถัมภ์ มีประเด็นความรู้ที่แตกต่างจากการสรุปประเด็นดัง กล่าวคอื 1. มกี ารใช้เทคนคิ การเรยี นแบบรว่ มมอื เพ่อื สง่ เสริมใหน้ กั เรียนทำงานร่วมกนั ดว้ ยวธิ ีการตา่ งๆ มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีการช่วยเหลือพึ่งพาซึ่งกันและกัน และมีความรับผิดชอบร่วมกันทั้งใน ส่วนตนและส่วนรวม เพอ่ื ให้ตนเองและสมาชกิ ทุกคนในกลุ่มประสบความสำเร็จตามเปา้ หมาย 2. มีการพัฒนาการใช้เทคนิคการเรียนแบบรว่ มมือ เพ่ือจัดการเรยี นรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมี ส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ทุกคน ทำให้ผู้เรียนได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ช่วยกันทำ ความเข้าใจในสิ่งที่เรียนรู้ มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีความรับผิดชอบร่วมกันทั้งในส่วนตนและ

55 สว่ นรวม ซ่ึงนกั เรยี นจะบรรลุถงึ เปา้ หมายของการเรียนรู้ได้ก็ต่อเม่ือสมาชกิ คนอ่ืนๆในกลุ่มไปถึงเป้าหมาย เช่นเดยี วกนั ความสำเร็จของตนเองคอื ความสำเร็จของกลุม่ ดว้ ย 3. เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ สามารถนำไปใช้กับผู้เรียนในการศึกษาเกี่ยวกับ เรื่องลมฟ้า อากาศรอบตัวเรา ซง่ึ ช่วยให้ผูเ้ รยี นเกดิ ทักษะการทำงานกล่มุ มากข้ึน

บทที่ 3 วิธีดำเนินการวจิ ยั การวิจัยเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องลมฟ้าอากาศรอบตัว โดยใช้การสอน แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรยี นสูงเม่นชนูปถมั ภ์ ระเบยี บวิธีวิจยั ดำเนินการวจิ ัยโดยใช้ระเบียบวธิ ีการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi Experiment Research) วิเคราะห์ ข้อมูลจากข้อมูลเชงิ ปริมาณ (Qualitative Data) ร่วมกับข้อมลู เชิงคุณภาพ (Quantitative Data) แหลง่ ขอ้ มลู การวจิ ัย 1. ประชากร นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสูงเม่นชนูปถัมภ์ อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศกึ ษา 2565 จำนวน 210 คน 2. กลุ่มตวั อยา่ ง นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสูงเม่นชนูปถัมภ์ อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 39 คน วิธีการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างใช้วิธีการสุ่มแบบอาศัย ความนา่ จะเปน็ อยา่ งงา่ ย(Simple Random Sampling)

57 เคร่ืองมอื การวิจัย 1. นวตั กรรม 1.1 เครื่องมือทีเ่ ปน็ นวัตกรรม นวตั กรรมทีส่ รา้ งหรอื พัฒนาต่อยอดเพือ่ ทดลองใช้จัดกิจกรรม การเรียนรู้เรื่องลมฟ้าอากาศ สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสูงเม่นชนูปถัมภ์ อำเภอสงู เมน่ จงั หวัดแพร่ คอื การสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5e) รว่ มกับเทคนิคการเรยี นแบบรว่ มมอื 1.2 วิธีการสร้างและหาคุณภาพ ดำเนินการสร้างและหาประสิทธิภาพทั้งเชิงเหตุผล (Rational Approach) และเชิงประจักษ์ (Empirical Approach) ตามแนวคิดของ เผชิญ กิจระการ (2544) ตามลำดบั ข้นั ดงั นี้ 1. ทำการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หลักการ วิธีการที่เกีย่ วข้องกับการสร้างการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรยี นแบบร่วมมือ ซึ่งการวิจัยนี้จะสร้างหรือพัฒนาจะอ้างอิงตามแนวคิด ทฤษฎี หลักการ วิธีการของ ณัฐกิตติ์ นวลแสง (2561), โสรจั จ์ แสนคำ (2560), ทวิ ากร วงษเ์ สน, อษุ า ปราบหงษ์ และพจมาน ชำนาญกจิ (2560) 2. สร้างฉบบั ร่าง(ยกร่าง) การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) รว่ มกบั เทคนิคการเรียน แบบร่วมมือโดยอ้างอิงจากผลการศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเกี่ยวขอ้ งดังกล่าวข้อ 1 ก่อนหนา้ ดังกลา่ ว ขอ้ 1 ก่อนหน้า 3. สร้างแบบประเมินความเหมาะสมของการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้(5e) ร่วมกับ เทคนคิ การเรียนแบบร่วมมือ เพื่อใหผ้ เู้ ชยี วชาญประเมนิ ประสิทธิภาพเชงิ เหตุผลของนวตั กรรมท่ีสร้างหรือ พฒั นาต่อยอดดังกล่าว แบบประเมินความเหมาะสมทสี่ รา้ งแสดงแลว้ ในภาคผนวกท่ีภาค ข. 4. นำการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้(5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือที่สร้าง เป็นฉบับร่างแล้วไปให้ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการศึกษา ด้านภาษา และด้านการวิจัยหรือการวัด ประเมินผลด้านละ 1 คน รวมทั้งสิ้นจำนวน 3 คน ทำการประเมินความเหมาะสมด้วยแบบประเมิน แต่ละ ข้อคำถาม(Item) ของแต่ละประเด็นท่ีประเมินต้องมีค่าเฉลี่ยอย่างน้อย 3.50 จึงจะตัดสินว่า ข้อคำถามที่ ประเมินมี ความเหมาะสม 5. นำการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) รว่ มกบั เทคนคิ การเรียนแบบรว่ มมอื ท่ผี ่าน การประเมนิ ดังกล่าข้อ 4 มาแก้ไขปรบั ปรงุ ตามคำแนะนำของผู้เช่ยี วชาญ การหาคุณภาพการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ ดังกล่าวข้อ 1–5 จัดเป็นการหาคุณภาพเชิงเหตุผล สำหรับการหาประสิทธิภาพเชิงประจักษ์จะดำเนินการ ตามลำดับขน้ั ตั้งแต่ขัน้ ที่ 6 ดังนี้

58 6. จดั ทำรปู เล่มการสอนแบบ 5e ร่วมกบั เทคนคิ การเรยี นแบบร่วมมอื 7. นำการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5e) รว่ มกบั เทคนคิ การเรยี นแบบรว่ มมือ ท่ีจัดทำ เป็นรูปเล่มแล้วมาทดลองใช้เพื่อหาประสิทธิภาพเชิงประจักษ์กับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนสูงเม่นชนูปถัมป์ อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ ซึ่งเป็นคนละกลุ่มกับกลุ่มเป้าหมายการวิจัย การหาประสิทธิภาพจะใชว้ ธิ กี ารเทียบกบั เกณฑ์ประสทิ ธิภาพ E /E = 75/75 เมือ่ 12 E หมายถึง รอ้ ยละของคะแนนรวมท้ังหมดจากการทำกิจกรรม และการทดสอบย่อย 1 ระหว่างการทดลองใช้การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนคิ การเรียนแบบรว่ มมือ ซ่ึงเกณฑ์ ประเมินผา่ นคอื ร้อยละ 75 E หมายถึง ร้อยละของคะแนนรวมทั้งหมดจากการทำแบบทดสอบภายหลังสิ้นสุด 2 การทดลองใช้การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) รว่ มกบั เทคนิคการเรยี นแบบร่วมมือ ซ่งึ เกณฑป์ ระเมิน ผ่านคอื ร้อยละ 75 การตัดสินประสิทธิภาพจากการทดลองใช้การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) รว่ มกับเทคนิค การเรียนแบบร่วมมือ เมื่อเทียบกับเกณฑ์ประสิทธิภาพทีก่ ำหนดขึน้ ว่า ถ้าค่าร้อยละของคะแนนที่คำนวณ ของ E = 75±2.55 แสดงว่า ประสิทธิภาพของ E เป็นไปตามเกณฑ์ร้อยละ 75 แต่ถ้ามากกว่าหรือน้อย 11 กวา่ 75±2.5 แสดงวา่ ประสิทธภิ าพของ E สูงกวา่ หรือ นอ้ ยกว่าเกณฑ์ที่ตัง้ ต้องปรบั นวตั กรรมให้เท่ากับ 1 เกณฑ์ที่ตั้งคือ 75 ส่วนการตัดสินประสิทธิภาพของ E ทำเช่นเดียวกับ E และถ้าร้อยละของคะแนน 21 ระหว่าง E และ E ต่างกันมากกว่าร้อยละ 5 แสดงว่าประสิทธิภาพของการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 12 (5e) ร่วมกบั เทคนคิ การเรียนแบบรว่ มมือประสิทธิภาพไมเ่ ปน็ ไปตามเกณฑ์ตอ้ งทำการปรบั ปรุงใหม่ 8. จัดทำรูปเลม่ การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบรว่ มมอื พร้อมสำหรับการนำไปทดลองใช้กับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสูงเม่นชนูปถัมภ์ อำเภอสูงเม่น จังหวดั แพร่ ซง่ึ เปน็ กลุม่ ท่ีเป้าหมายการวจิ ัย 2. เครอื่ งมอื รวบรวมขอ้ มูล 2.1 ชนิดของเครื่องมือ เครื่องมือที่ใช้รวบรวมข้อมูลประกอบด้วย แบบสอบถามวัดระดับ ความพงึ พอใจ แบบทดสอบ และแบบสงั เกต 2.2 วิธีการสร้างและหาคุณภาพ ดำเนินการสร้างและหาประสิทธิภาพทั้งเชิงเหตุผลและ เชิงประจักษต์ ามลำดับขัน้ ดังน้ี

59 1. ทำการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หลักการ วิธีการที่เกี่ยวข้องกับการสร้าง แบบสอบถามวัดระดับความพึงพอใจ แบบทดสอบ และแบบสังเกต เครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิดจะสร้างตามแนวคิด ทฤษฎี หลกั การ วิธกี ารตา่ ง ๆ ดังน้ี 1.1 แบบสอบถามวดั ระดับความพึงพอใจ สรา้ งตามแนวคดิ ทฤษฎขี อง หลกั การ วธิ ีการทางการของ โสรัจจ์ แสนคำ (2560) 1.2 แบบทดสอบ สร้างตามแนวคดิ ทฤษฎีของ หลักการ วิธกี ารของ โสรจั จ์ แสนคำ (2560) 1.3 แบบสังเกต สรา้ งตามแนวคดิ ทฤษฎขี อง หลักการ วิธกี ารของ ณัฏฐณี สขุ ปรีด, พรรณระพี สทุ ธิวรรณ์และสักกพัฒน์ งามเอก (2560) 2. สรา้ งฉบับรา่ ง(ยกรา่ ง) แบบสอบถามวดั ระดบั ความพึงพอใจ แบบทดสอบ และแบบสงั เกต โดยอ้างอิงผลการศึกษาเอกสารและงานวิจัยทเ่ี ก่ยี วข้องดงั กล่าวขอ้ 1 กอ่ นหนา้ 3. สร้างแบบประเมินค่าดรรชนีความสอดคล้อง (Index of Item –Objective Congruence: IOC) เพื่อให้ผู้เชียวชาญทำการประเมินค่าความเที่ยงตรงเชิงเน้ือหา (Content Validity) ของเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิด แบบประเมิน IOC ของเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิดกล่าว แลว้ ในภาคผนวกที่ภาค ข. 4. นำเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิดที่สร้างเป็นฉบับร่างไปให้ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา ด้านเทคโนโลยีการศึกษา และด้านการวิจัยหรือการวัดประเมินผลด้านละ 1 คนทำการประเมินความ เที่ยงตรงเชิงเนื้อหาด้วยแบบประเมิน IOC แต่ละข้อคำถาม(Item) ของแต่ละประเด็นที่ประเมินต้องมี ค่าเฉลี่ย อย่างน้อย 0.5 หรือ ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 2 ใน 3 คน เห็นว่ามีความตรง จึงจะตัดสินว่าข้อ คำถามนั้น มีความเที่ยงตรง รุง่ นภา แก้ววัน (2559) และโสรัจจ์ แสนคำ (2558) ผลการประเมิน พบว่า 4.1 แต่ละข้อคำถามของแบบสอบถามวัดความเหมาะสมของนวัตกรรมมีค่าดรรชนี ความสอดคลอ้ งระหว่าง 0.67 ถึง 1 หรือผเู้ ชย่ี วชาญจำนวน 2 ใน 3 คนเห็นวา่ มีความตรง จงึ ลงขอ้ สรุปว่า แบบสอบถามเพื่อวัดความเหมาะสมของนวัตกรรมมีความเที่ยงตรง ผลการประเมินความเที่ยงตรงของแต่ ละขอ้ คำถามของแบบสอบถามวดั ความเหมาะสมของนวตั กรรมแสดงแล้วดังภาคผนวกที่ภาค ข. 4.2 แตล่ ะขอ้ คำถามของแบบทดสอบมีค่าดรรชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.67 ถึง 1 หรอื ผเู้ ช่ยี วชาญจำนวน 2 ใน 3 คนเห็นว่ามคี วามตรง จึงลงขอ้ สรปุ วา่ แตล่ ะข้อของแบบทดสอบสอบมี ความเที่ยงตรง ผลการประเมินความเที่ยงตรงของแต่ละข้อคำถามของแบบทดสอบแสดงแล้วดังภาคผนวกท่ี ภาค ข.

60 4.3 แต่ละข้อคำถามของแบบสอบถามวัดระดับความพึงพอใจมีค่าดรรชนีความ สอดคล้องระหว่าง 0.67 ถึง 1 หรือผู้เชี่ยวชาญจำนวน 2 ใน 3 คนจึงลงข้อสรปุ ว่า แบบสอบถามวัดระดบั ความพึงพอใจมีความเที่ยงตรง ผลการประเมินความเที่ยงตรงของแต่ละข้อคำถามของแบบถามวัดระดับ ความพึงพอใจแสดงแล้วดังภาคผนวกท่ีภาค ข. 5. นำเครื่องมือรวบรวมข้อมลู แต่ละชนดิ ท่ผี า่ นการประเมนิ ดังกลา่ วขอ้ 4 มาแก้ไข ปรับปรุงตามคำแนะนำของผู้เชีย่ วชาญการหาคุณภาพเคร่ืองมือรวบรวมข้อมูลดังกล่าวข้อ 1–5 จัดเป็น การหาคุณภาพ เชิงเหตุผล สำหรบั การหาประสิทธภิ าพเชงิ ประจักษจ์ ะดำเนินการตามลำดับข้ันนับแต่ขั้น ท่ี 6 ดังน้ี 6. จัดทำรปู เล่มเครอ่ื งมอื รวบรวมข้อมูลแต่ละชนดิ ทท่ี ำการแกไ้ ขแลว้ 7. นำเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิดที่จัดทำเป็นรูปเล่มแล้วมาหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ซึ่งเปน็ การหาประสิทธิภาพเชิงประจักษ์ โดยทดลองใช้กับนกั เรยี นระดับชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1 โรงเรียนสูงเม่นชนูปถัมภ์ อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ ซึ่งเป็นคนละกลุ่มกับกลุ่มที่เป็นเป้าหมายการวิจัย การหาค่าความเชื่อมั่นใช้วิธีการหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coefficienty) โดยมีเกณฑป์ ระเมินผ่านทงั้ ฉบบั ที่ 0.7 ถ้านอ้ ยกวา่ ตอ้ งทำการปรบั ปรงุ เครอื่ งมอื ใหม่ 8. ปรบั ปรงุ เครือ่ งมือรวบรวมขอ้ มูลแต่ละชนดิ หากพบว่า ค่าสัมประสิทธ์ิแอลฟาต่ำกว่า 0.7 9. ยกเวน้ แบบทดสอบ จัดทำรูปเล่มเครื่องมอื รวบรวมข้อมูลแต่ละชนิด พรอ้ มสำหรับการ นำไปทดลองใช้กบั นกั เรยี นระดับช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 1 โรงเรียนสูงเม่นชนูปถมั ภ์ อำเภอสูงเมน่ จังหวดั แพร่ ซ่งึ เป็นกลมุ่ เปา้ หมายการวจิ ัย สำหรับแบบทดสอบนั้น เมื่อทำการประเมินความเที่ยงตรงและความเชื่อมั่นแล้ว ก่อนนำไปทดลองใช้กับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสูงเม่นชนูปถัมภ์ อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ ซึ่งเป็นกลุ่มที่เป้าหมายการวิจัย ต้องดำเนินการต่อจากข้อ 8 เพื่อหาค่าความยากง่าย และค่าอำนาจการจำแนกต่อดังนี้ 10. นำแบบทดสอบแต่ละข้อมาวิเคราะห์ความยากง่ายดว้ ยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป ข้อคำถามที่ดีของแบบทดสอบประเภท 4 ตัวเลือกจะมีค่าความยากง่ายระหว่าง 0.20 – 0.80 (สุมาลี จนั ทรช์ ะลอ. 2542) 11. นำแบบทดสอบแต่ละข้อมาวิเคราะห์ค่าอำนาจการจำแนกโดยใช้โปรแกรมสำเรจ็ รปู 12. จัดทำรูปเลม่ ของแบบทดสอบ พร้อมสำหรับการนำไปทดลองใชก้ ับนักเรียนระดับ ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนสูงเมน่ ชนปู ถัมภ์ อำเภอสูงเม่น จงั หวัดแพร่ ซึ่งเปน็ กลมุ่ เป้าหมายการวิจัย

61 ข้อตกลง เนื่องด้วยปัจจัยจำกัดบางประการเช่นเดียวกับดังกล่าวแล้วในหวั ข้อ “วิธีการ สร้างและหาคุณภาพของนวัตกรรม” จึงสร้างข้อตกลงว่า การวิจัยครั้งนี้จะละเว้นการหาประสิทธิภาพ เชิงประจักษ์ซึ่งประกอบด้วย การหาค่าความเชื่อมั่นของเครื่องมือรวบรวมข้อมูลทุกชนิด การหาค่าความยากง่าย และคา่ อำนาจการจำแนกซงึ่ เฉพาะสำหรับแบบทดสอบ การดำเนนิ การรวบรวมข้อมูล 1. ทำหนังสอื ถึงคณบดีคณะบดคี ณะครุศาสตรเ์ พ่อื ร้องขอใหค้ ณะครศุ าสตรอ์ อกหนงั สอื ราชการ ถงึ ผอู้ ำนวยการโรงเรยี นสงู เมน่ ชนูปถมั ภ์ อำเภอสูงเม่น จงั หวดั แพร่ เพอ่ื ขออนญุ าตท่ีจะทดลองใชก้ ารสอน แบบสบื เสาะหาความรู้ (5e) รว่ มกับเทคนคิ การเรียนแบบร่วมมือ จัดกจิ กรรมการเรียนรเู้ รื่องลมฟ้าอากาศ รอบตวั เรากับนักเรียนระดบั ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 1 2. ประชุมชแ้ี จงและสร้างขอ้ ตกลงกับนักเรยี นระดับชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 1 เกี่ยวกับการทดลองใช้ การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรอื่ งลมฟา้ อากาศรอบตัวเรา 3. จัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องลมฟ้าอากาศรอบตัวเรากับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสูงเม่นชนปู ถัมภ์ อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ โดยทดลองใช้การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) รว่ มกับเทคนคิ การเรียนแบบร่วมมอื 4. ทำการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ของนักเรียนระดับชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 1 โรงเรียนมติ รภาพ โรงเรียนสูงเมน่ ชนปู ถัมภ์ อำเภอสงู เมน่ จังหวัดแพร่ ภายหลังการจดั กจิ กรรมการเรยี นร้เู รือ่ งลมฟา้ อากาศ รอบตวั เรา การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกบั เทคนคิ การเรยี นแบบรว่ มมือ 5. ให้นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสูงเม่นชนูปถัมภ์ อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ ตอบแบบสอบถามวัดระดับความพึงพอใจจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง ลมฟ้าอากาศรอบตัวเรา โดยทดลองใช้การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกบั เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ การวิเคราะหข์ อ้ มูล 1. การวเิ คราะห์ข้อมลู เพ่ือหาคณุ ภาพและประสทิ ธิภาพของเครอ่ื งมอื การวจิ ัย 1.1 ความเหมาะสมของนวัตกรรมที่สร้างหรือพัฒนาต่อยอด วิเคราะห์ด้วยค่าเฉลี่ย และ สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน วิธกี ารวิเคราะหใ์ ชโ้ ปรแกรมคอมพวิ เตอร์สำเรจ็ รปู

62 1.2 ประสิทธิภาพเชิงประจักษ์ของนวัตกรรมทีส่ ร้างหรือพัฒนาต่อยอด วิเคราะหด์ ้วยเกณฑ์ ประสทิ ธิภาพ E /E วธิ ีการวิเคราะหใ์ ช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป 12 1.3 ความเท่ียงตรงเชิงเน้อื หาของเครอื่ งมอื รวบรวมข้อมูลแต่ละชนิด วิเคราะหด์ ว้ ยค่าดรรชนี ความสอดคลอ้ งหรอื IOC วธิ กี ารวิเคราะหใ์ ชโ้ ปรแกรมคอมพวิ เตอรส์ ำเรจ็ รูป 1.4 ความเชื่อมั่นของเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิด วิเคราะห์ด้วยค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา ของครอนบาค วิธีการวิเคราะหใ์ ช้โปรแกรมคอมพวิ เตอรส์ ำเร็จรูป 1.5 ความยากง่ายของแบบทดสอบแต่ละข้อ วธิ ีการวิเคราะหใ์ ช้โปรแกรมคอมพวิ เตอร์สำเร็จรูป 1.6 ค่าอำนาจการจำแนกของแบบทดสอบแต่ละข้อ วิธกี ารวเิ คราะห์ใชโ้ ปรแกรมคอมพวิ เตอร์ สำเร็จรูป 2. การวิเคราะหข์ ้อมลู การวิจยั 2.1 ผลการเรยี นรขู้ องนักเรียน วิเคราะห์ดว้ ยค่าคะแนนเฉล่ยี และส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน 2.2 ระดับผลการเรียนรู้ของนักเรียน วิเคราะห์โดยการเปรียบเทียบร้อยละของค่าคะแนน เฉลี่ยกับระดบั ผลการเรยี นรูต้ ามเกณฑ์ของ สพฐ. 2.3 ผลการทดลองใช้การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกบั เทคนคิ การเรยี นแบบ รว่ มมอื วิเคราะห์ด้วยวิธกี ารทางสถติ Paired -Sample t Test ที่ระดับนัยสำคัญทางสถติ ิที่ α 0.05 หรือที่ระดบั ความเช่อื มนั่ 95% วธิ กี ารวเิ คราะห์ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรปู 2.4 ระดับความพึงพอใจ วเิ คราะห์ด้วยค่าเฉล่ียและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วธิ กี ารวิเคราะห์ใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเรจ็ รปู 2.5 เกณฑ์ประเมินระดับความพึงพอใจของนักเรียน วิเคราะห์ด้วยช่วงระดับค่าเฉลี่ยตาม เกณฑ์ของของ ลิเคิรท์ (Likert's Ratine Scale) แบบ 5 ระดับ ดงั นี้ ช่วงระดับคา่ เฉล่ยี ระดบั ความพงึ พอใจ 4.51 - 5.00 มคี วามพงึ พอใจมากที่สุด 3.51 - 4.50 มีความพงึ พอใจมาก 2.51 - 3.50 มีความพึงพอใจปานกลาง 1.51 - 2.50 มคี วามพงึ พอใจนอ้ ย 1.00 - 1.50 มคี วามฟังพอใจนอ้ ยมาก

63 การนำเสนอผลการวิเคราะหข์ ้อมูล นำเสนอผลการวิเคราะหข์ ้อมูลด้วยตาราง พรอ้ มท้ังบรรยายเปน็ ความเรียงประกอบ

บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยเรื่องการพฒั นาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เรื่องลมฟ้าอากาศรอบตัว โดยใช้การสอน แบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรยี นแบบร่วมมือ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสูงเม่นชนูปถัมภ์ ผู้วิจัยเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามประเด็นของวัตถุประสงค์การวิจัย ดังน้ี 1. เพื่อพัฒนาการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ สำหรับการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้เรื่องลมฟ้าอากาศรอบตัว ของนักเรียนระดับชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสงู เม่นชนปู ถัมภ์ 2. เพื่อทดลองและศึกษาผลการทดลองใช้พัฒนาการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ จัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องลมฟ้าอากาศรอบตัว กับนักเรียน ระดบั ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 โรงเรยี นสูงเม่นชนูปถมั ภ์ 3. เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจ ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสูงเม่นชนูปถัมภ์ ที่มีต่อการทดลองใช้พัฒนาการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับ เทคนิคการเรยี นแบบรว่ มมอื จดั กิจกรรมการเรยี นรเู้ ร่อื งลมฟ้าอากาศรอบตวั ผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องลมฟ้าอากาศรอบตัว โดยใช้การสอนแบบสืบเสาะ หาความรู้ (5e) รว่ มกบั เทคนคิ การเรียนแบบรว่ มมอื 1. ตัวนวตั กรรม มีแผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 7 แผน ใช้สอนเร่ืองลมฟ้าอากาศรอบตัว ใช้เวลาในการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ 13 ช่ัวโมง รายละเอียดของการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ แสดงแลว้ ดังภาคผนวกท่ี ภาค ก. 2. การหาคุณภาพของนวตั กรรม 2.1 การหาคณุ ภาพเชิงเหตุผล เม่ือประเมนิ ความเหมาะสมของผลการพฒั นาผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรยี น เรอื่ งลมฟ้าอากาศรอบตวั โดยใชก้ ารสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกบั เทคนิค

65 การเรียนแบบรว่ มมือ ด้วยแบบประเมนิ ความเหมาะสมจากผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 คน ผลการประเมิน แสดงดังตารางท่ี 1 ตารางที่ 1: แสดงผลการประเมินความเหมาะสมของการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับ เทคนคิ การเรยี นแบบร่วมมือจากผู้เชย่ี วชาญจำนวน 3 คน ประเดน็ ท่ีประเมนิ รายการประเมิน ������̅ S.D ขอ้ ความเขา้ ใจชดั เจน 50 สาระสำคญั สอดคลอ้ งกับวยั เรียน 50 สอดคลอ้ งกบั จุดประสงค์การเรียนรู้ 50 สอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้ และตวั ชวี้ ัด 50 รวม 5 0 มาตรฐานการเรยี นรูแ้ ละ สอดคล้องกบั สาระการเรียนรู้ 50 ตัวชีว้ ัด สอดคลอ้ งกับจุดประสงค์การเรยี นรู้ 50 50 รวม สอดคลอ้ งกบั ตวั ช้ีวดั 50 ขอ้ ความชดั เจนเขา้ ใจง่าย 50 จุดประสงค์ สอดคล้องกับสาระการเรียนรู้ 50 การเรียนรู้ กำหนดท้ังด้านความรู้(K) ด้านทักษะกระบวนการ 50 (P) และคุณลักษณะอันพงึ ประสงค(์ A) รวม 5 0 เนื้อหามคี วามยากงา่ ยเหมาะสมกับระดับชน้ั 50 เนื้อหามีความเช่ือมโยงกบั เนื้อหาอื่นๆในหลกั สูตร 50 เนอื้ หามกี ารจัดลำดบั ขนั้ การนำเสนอท่ีเหมาะสม 50 เขา้ ใจงา่ ย เน้อื หา เนอ้ื หาสนบั สนุนความกา้ วหนา้ เพม่ิ พนู องค์ความรู้ใหแ้ ก่ 50 ผูเ้ รียน เนื้อหามคี วามถูกต้องตามหลักวชิ าทันสมยั เป็นทีย่ อมรับใน 5 0 สาขาวชิ า เนอ้ื หามีความเหมาะสมสอดคลอ้ งกับสาระและ 50 มาตรฐานการเรยี นของหลักสตู รสถานศึกษา รวม 5 0

66 ตารางที่ 1(ต่อ): แสดงผลการประเมินความเหมาะสมของการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) รว่ มกับเทคนคิ การเรียนแบบรว่ มมอื จากผ้เู ช่ยี วชาญจำนวน 3 คน ประเดน็ ที่ประเมิน รายการประเมิน ������̅ S.D เน้ือหา เนือ้ หามคี วามเหมาะสมสอดคลอ้ งกบั สาระและ 5 0 กระบวนการ มาตรฐานการเรียนของหลักสูตรสถานศึกษา จดั การเรียนรู้ 5 0 รวม 5 0 กจิ กรรมการ สอดคลอ้ งกับตวั ชีว้ ัด 5 0 เรยี นรู้ เหมาะสมกบั เวลา 5 0 สอดคล้องกบั สาระการเรียนรู้ 5 0 ดา้ นพฤติกรรม ผ้เู รยี นมสี ่วนร่วมในกระบวนการเรยี นรู้ 5 0 การทำงาน 5 0 รวม 5 0 สือ่ การเรียนการสอน นำไปประยกุ ต์ใช้ในชีวติ ประจำวนั 5 0 สง่ เสริมความรคู้ วามเขา้ ใจในบทเรยี น 5 0 การวดั และ สอดคล้องกบั สาระการเรยี นรูข้ องบทเรียน ประเมินผล เน้นผเู้ รียนมีสว่ นรว่ มและมปี ฏิสมั พนั ธก์ ับ 5 0 กจิ กรรมการเรียนรู้ 5 0 5 0 รวม 5 0 ความรว่ มมือในกลุ่ม 5 0 การแสดงความคิดเห็น 5 0 ความเป็นผนู้ ำผตู้ ามทดี่ ี 5 0 มีนำ้ ใจเอือ้ เฟือ้ เผ่ือแผ่ตอ่ เพอื่ นในกลมุ่ 5 0 ยอมรบั ฟังความคิดเหน็ ของเพื่อนในกลมุ่ 5 0 5 0 รวม 5 0 เน้นการตรวจสอบความเข้าใจ 5 0 สอดคลอ้ งกบั จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 5 0 ใช้คำถามที่มีความชดั เจนสอดคลอ้ งกับตัวช้ีวัดมาตรฐาน 5 0 5 0 รวม เนน้ การตรวจสอบความเข้าใจ สอดคล้องกบั จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ ใช้คำถามทมี่ ีความชัดเจนสอดคลอ้ งกับตัวชี้วดั มาตรฐาน รวม

67 จากตารางที่ 1 พบว่า แต่ละรายการท่ีประเมินของแต่ละประเดน็ มีคา่ เฉล่ีย 5.00 ซึ่งผา่ นเกณฑ์ ประเมินขัน้ ต่ำคือ 3.50 ดังนัน้ จงึ สรุปวา่ การสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5e) รว่ มกบั เทคนคิ การเรียน แบบรว่ มมือมคี วามเหมาะสม 2.2 การหาคุณภาพเชิงประจักษ์ วิธีการหาคุณภาพเชิงประจักษ์ของการสอนแบบสืบ เสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือจะใช้วิธีการเทียบกับเกณฑ์ประสิทธิภาพ E1/E2 = 75/75 โดยนำการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) รว่ มกบั เทคนิคการเรยี นแบบร่วมมือท่ีหา ประสิทธิภาพเชิงเหตุผลแล้วไปทดลองกับกลุ่มตัวอย่างผู้เรียนที่เป็นคนละกลุ่มตัวอย่างเป้าหมายการ วจิ ยั แต่ตามข้อตกลงดงั ระบุในบทท่ี 3 ว่า เนอ่ื งด้วยปจั จัยจำกัดบางประการคอื 1) ขาดโรงเรียนท่ีมี บริบทใกล้เคียงกัน 2) ความยินยอมของโรงเรียนที่มีบริบทใกล้เคียงกันที่จะให้ผู้วิจัยนำ วิธีการสอน แบบ สืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนคิ การเรยี นแบบร่วมมอื มาทดลองใช้กับนกั เรียนระดับชนั้ เดียวกันเพื่อหาประสิทธิภาพเชิงประจักษ์ เพราะเงื่อนไขของระยะเวลาและความแตกต่างของการ จัดทำหลักสูตรสถานศึกษา ด้วยปัจจัยจำกัดดังกล่าว การทำวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยขอละเว้นการหา ประสิทธิภาพเชิงประจักษ์ของวิธีการสอนแบบ 5e ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ ดังข้อตกลง แล้วในบทท่ี 3 การพฒั นาผลการเรยี นรู้ 1. คะแนนผลการเรียนรู้ จากการทดลองจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องลมฟ้าอากาศรอบตัวกับนักเรียนระดับช้ัน มัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสูงเม่นชนูปถัมภ์ จำนวน 39 คน โดยทดลองใช้วิธีสอนแบบสืบเสาะหา ความรู้ (5e) และการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้เรอื่ งเดียวกันโดยการทดลองใช้วธิ ีการสอนแบบสืบเสาะหา ความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ คะแนนผลการเรียนรู้ของวิธีการจัดกิจกรรมการ เรียนร้ทู ง้ั 2 วธิ ีการแสดงดงั ตารางที่ 2

68 ตารางที่ 2 : แสดงคะแนนผลการเรียนรเู้ รื่องลมฟ้าอากาศรอบตัว กบั นกั เรยี นระดบั ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 1 โรงเรียนสูงเม่นชนูปถัมภ์ ปีการศึกษา 2565 จำนวน 39 คน โดยใช้ทดลองใช้ วิธีสอนแบบสืบ เสาะหาความร้(ู 5e) และการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้เรือ่ งเดียวกันโดยการทดลองใช้วธิ ีการสอนแบบสืบ เสาะหาความรู้ (5e) รว่ มกับเทคนิคการเรียนแบบรว่ มมอื คะแนนจากจัดกิจกรรมการเรียนรู้ คะแนนจากจัดกิจกรรมการเรียนรู้จาก คนท่ี จากการทดลองใช้วิธีสอนแบบ การทดลองใช้วิธีการสอนแบบสืบเสาะ สืบเสาะ หาความรู้ (5e) หาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียน แบบรว่ มมอื 1 22 25 2 17 25 3 23 26 4 20 24 5 17 19 6 19 24 7 23 26 8 20 25 9 22 28 10 19 23 11 24 28 12 18 23 13 16 18 14 17 23 15 21 24 16 19 20 17 21 28 18 23 27 19 19 25 20 20 26 21 14 18

69 ตารางที่ 2(ต่อ) : แสดงคะแนนผลการเรียนรู้เรื่องลมฟ้าอากาศรอบตัว กับนักเรียนระดับช้ัน มัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสูงเม่นชนูปถัมภ์ ปีการศึกษา 2565 จำนวน 39 คน โดยใช้ทดลองใช้วิธี สอนแบบสืบเสาะหาความร(ู้ 5e) และการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องเดยี วกนั โดยการทดลองใช้วิธีการ สอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) รว่ มกับเทคนคิ การเรียนแบบรว่ มมอื คะแนนจากจัดกิจกรรมการเรียนรู้ คะแนนจากจัดกิจกรรมการเรียนรู้จาก คนที่ จากการทดลองใช้วิธีสอนแบบ การทดลองใช้วิธีการสอนแบบสืบเสาะ สบื เสาะ หาความรู้ (5e) หาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียน แบบรว่ มมอื 22 18 24 23 15 22 24 17 20 25 21 25 26 18 22 27 23 27 28 19 23 29 23 25 30 18 20 31 15 18 32 21 25 33 20 23 34 25 28 35 17 20 36 20 25 37 14 19 38 13 17 39 17 23 รวม 39 รวมคะแนน 668 คะแนน รวมคะแนน 235 คะแนน คน ���̅���=19.18 S.D=2.96 หรอื ���̅��� =23.36 S.D=3.12 หรือ คิดเปน็ ร้อยละ63.93 คิดเป็นรอ้ ยละ77.87

70 จากตารางที่ 2 จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องลมฟ้าอากาศรอบตัวกับนักเรียน ระดบั ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนสูงเมน่ ชนูปถมั ภ์ ปกี ารศกึ ษา 2565 จำนวน 39 คน พบวา่ โดยการ ใช้ทดลองใช้วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้(5e) นักเรียนมีระดับค่าเฉลี่ยผลการเรียนเรียนรู้ 19.18 ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน 2.96 และคา่ ร้อยละของคะแนนเฉลี่ย 63.93 และการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยการทดลองใช้วิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ นกั เรยี นมีระดบั ค่าเฉลี่ย ผลการเรยี นเรียนรู้ 23.36 ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน 3.12 และคา่ ร้อยละของ คะแนนเฉล่ีย 77.87 2. การเปรียบเทียบผลการเรียนรู้ การเปรียบเทียบผลการเรียนรู้เรอ่ื งลมฟ้าอากาศรอบตัว กบั นกั เรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 โรงเรียนสูงเม่นชนูปถัมภ์ ปีการศึกษา 2565 จำนวน 39 คน โดยใช้ทดลองใช้วิธีสอนแบบสืบ เสาะหาความรู้(5e) และการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยการทดลองใช้วิธีการสอนแบบสืบเสาะหา ความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ ผลการเปรียบเทียบด้วย Pair Sample - t Test แสดงดงั ตารางท่ี 3 Pair - Sample t Test นวตั กรรม จำนวน คะแนนเต็ม ค่าคะแนนเฉลยี่ ส่วนเบยี่ งเบน เกณฑร์ ะดับผลการเรียนรู้ของ สพฐ. (คน) ( ̅������) มาตรฐาน(������������������ ) ทีกำหนดและระดับผลการเรียนร้ทู ่ีเทียบ 19.18 A 39 30 2.96 เกณฑ์ สพฐ. ดีมาก (75-79 %) 23.36 ผลการเรยี นรู้ ปานกลาง (63.93%) B 39 30 2.60 เกณฑ์ สพฐ. ดีมาก (75-79 %) ผลการเรยี นรู้ ดมี าก (77.87%) Pair –Sample Statistics Pair Sample Sig. Sig. Correlation df (2- t Confidence Level (%) tailed 95 Pair…A - B 10.82 38 0.00 1. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องลมฟ้าอากาศโดยการทดลองใช้วิธีสอนแบบสืบเสาะหา ความรู้ (5e) กับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องเดียวกันโดยทดลองใช้วิธีการสอนแบบสืบเสาะหา ความรู้ (5e) ร่วมกบั เทคนคิ การเรียนแบบรว่ มมอื พบว่ามผี ลต่อการเรยี นรู้ของผ้เู รยี นแตกต่างกนั อย่าง มนี ยั สำคญั ทางสถิตทิ ่ี α 0.05 หรือท่รี ะดบั ความเชอื่ ม่ัน 95%

71 2. เมอื่ วเิ คราะหเ์ ปรียบเทียบค่าเฉล่ียพบว่า การจดั กจิ กรรมการเรยี นรูเ้ รอ่ื งลมฟ้าอากาศโดย การทดลองใช้วธิ สี อนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) มรี ะดบั คา่ คะแนนเฉล่ยี 19.18 สว่ นการจดั กจิ กรรม การเรยี นรู้เรื่องเดียวกนั โดยทดลองใช้วิธกี ารสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกบั เทคนคิ การเรียน แบบรว่ มมอื มรี ะดบั ค่าคะแนนเฉลี่ย 23.36 ดงั นน้ั การจดั กิจกรรมการเรียนรู้โดยการทดลองใช้วิธีการ สอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5e) มีผลตอ่ การเรยี นร้ขู องผูเ้ รียนน้อยกวา่ การทดลองใช้วิธกี ารสอนแบบ สืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิตทิ ี่ α 0.05 หรอื ทร่ี ะดับความเชือ่ มั่น 95% 3. เมื่อผู้สอนกำหนดเกณฑ์ประมินผ่านของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องลมฟ้าอากาศ รอบตวั โดยกำหนดเกณฑป์ ระเมินผ่านรอ้ ยละ 75-79 ของคะแนนเต็ม ซ่ึงเป็นระดบั 3.50 พบว่า การ จดั กจิ กรรมการเรียนรู้โดยทดลองใช้วิธกี ารสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) มีเกณฑ์ประเมนิ ผ่านร้อย ละของค่าเฉล่ีย 63.93 ซึ่งเม่ือเทียบกับเกณฑ์ประเมินผา่ นค่าเฉลีย่ ร้อยละของสพฐ. มีผลการเรียนรูท้ ี่ ระดบั ปานกลาง สว่ นวิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ มเี กณฑป์ ระเมินผ่านรอ้ ยละของค่าเฉลีย่ 77.87 ซึง่ เมอื่ เทยี บกบั เกณฑ์ประเมนิ ผ่านคา่ เฉลย่ี รอ้ ยละของ สพฐ. มผี ลการเรียนรู้ที่ระดบั ดมี าก ระดับความพงึ พอใจ จากการจดั กิจกรรมการเรียนรู้เรื่องลมฟ้าอากาศรอบตัวโดยทดลองใช้วิธกี ารสอนแบบสืบเสาะ หาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ กับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปี การศึกษา2565 ภาคเรียนที่2 จำนวน 39 คน เมื่อวิเคราะห์ระดับความพึงพอใจ ผลการวิเคราะห์ แสดงดังตารางที่ 4 ตารางที่ 4 : แสดงระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา2565 จำนวน 39 คน ทม่ี ีตอ่ การทดลองใช้วิธกี ารสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียน แบบรว่ มมอื จดั กจิ กรรมการเรียนร้เู รื่องลมฟา้ อากาศรอบตัว ประเดน็ และรายการทป่ี ระเมนิ ระดับ ���̅��� ������������. ความพึงพอใจ ดา้ นเนื้อหา 1. นกั เรยี นมีความเขา้ ใจในเน้ือหาท่ีเรยี นที่เพมิ่ มากขนึ้ 4.30 0.67 มาก 2.นกั เรียนสามารถนำเน้ือหาทเี่ รยี นไปใชป้ ระโยชนใ์ น 4.70 0.67 มากท่ีสุด ชวี ิตประจำวัน รวม 4.50 0.67 มาก

72 ตารางที่ 4(ตอ่ ) : แสดงระดบั ความพงึ พอใจของนักเรียนระดบั ชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 1 ปกี ารศกึ ษา2565 จำนวน 39 คน ทมี่ ีตอ่ การทดลองใช้วธิ กี ารสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียน แบบรว่ มมือ จัดกิจกรรมการเรียนรู้เรอื่ งลมฟา้ อากาศรอบตวั ประเด็นและรายการท่ปี ระเมิน ���̅��� ������������. ระดบั ความพงึ พอใจ ดา้ นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ มากที่สุด 1. นกั เรยี นไดเ้ ปน็ ผูล้ งมอื ปฏิบตั ิกิจกรรม 4.70 1.21 มากทส่ี ุด มากทส่ี ุด 2. การทำกิจกรรมกล่มุ ทำใหน้ ักเรยี นเกดิ การเรียนรู้ 4.80 0.93 มากที่สุด 3. นกั เรยี นไดศ้ กึ ษาคน้ คว้าหาข้อมูลจากแหล่งความรูต้ ่างๆ 4.60 0.69 มากท่ีสดุ มากทส่ี ดุ 4.นักเรียนได้วางแผนและดำเนินการศกึ ษาคน้ คว้าดว้ ย 4.70 0.50 มากที่สุด ตนเอง มากท่ีสุด 5. การจัดกิจกรรมการเรยี นรูม้ ีความนา่ สนใจและเขา้ ใจง่าย 4.60 0.50 มากทส่ี ุด 6.กจิ กรรมส่งเสรมิ ให้นักเรยี นกล้าแสดงออกและมีความ 4.80 0.54 มากทส่ี ดุ ม่ันใจตัวเอง มากทส่ี ุด 7.กิจกรรมทำให้นกั เรยี นเกิดทักษะกระบวนการทาง 4.80 0.77 มาก วิทยาศาสตร์ มากทส่ี ุด รวม 4.71 0.74 ดา้ นสือ่ และวัสดอุ ปุ กรณ์ 1. การใช้สอื่ และวสั ดุอปุ กรณ์จรงิ ชว่ ยให้เกดิ การเรียนรู้ 4.70 1.21 2. ส่ือและวสั ดุอปุ กรณ์ชว่ ยใหเ้ ขา้ ใจบทเรียนได้ง่ายและ 4.70 0.93 เรยี นรไู้ ด้เรว็ 3. สอื่ และวัสดอุ ุปกรณช์ ่วยใหน้ ักเรยี นมีส่วนร่วมใน 5.00 0.60 กจิ กรรมการเรียนรู้ 4.สือ่ ประกอบกจิ กรรมการเรียนรูม้ รี ปู แบบและ 4.50 0.52 ภาพประกอบสวยงามน่าสนใจ รวม 4.73 0.82

73 ตารางที่ 4(ต่อ) : แสดงระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา2565 จำนวน 39 คน ที่มีต่อการทดลองใช้วิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) รว่ มกับเทคนคิ การเรยี นแบบร่วมมอื จัดกิจกรรมการเรียนรเู้ ร่ืองลมฟ้าอากาศรอบตวั ประเดน็ และรายการทีป่ ระเมิน ระดับ ���̅��� ������������. ความพงึ พอใจ ด้านการวัดและประเมินผล 1. นักเรยี นมีโอกาสประเมินผลงานของตนเองและเพอื่ น ๆ 4.60 1.19 มากทีส่ ดุ 2.แบบทดสอบมีความยากงา่ ยเหมาะสมกับความสามารถ 5.00 0.90 มากทส่ี ุด ของนกั เรยี น รวม 4.80 1.05 มากทส่ี ุด รวมท้ังหมด 4.69 0.82 มากท่สี ุด จากตารางท่ี 4 พบว่าเมือ่ วิเคราะหโ์ ดยภาพรวม นกั เรยี นระดบั ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี 1 โรงเรียน สูงเม่นชนูปถัมภ์ ภาคเรียนที่2 ปีการศึกษา2565 มีความพึงพอใช้ต่อการทดลองใช้วิธีการสอนแบบ สบื เสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมอื จดั กจิ กรรมการเรียนรเู้ ร่ืองลมฟ้าอากาศ รอบตัว ระดับมากท่ีสุด( ���̅��� = 4.69 ������������. =0.82) แต่เมื่อวิเคราะห์เป็นรายด้านโดยเรียงลำดบั ระดบั คา่ เฉลีย่ จากระดบั 3 ลำดับ พบวา่ นกั เรยี นมคี วามพึงพอใจต่อด้านการวัดและประเมินผล (���̅��� = 4.80 ������������ =1.05) มีความพึงพอใจระดับมากที่สุด รองลงมาคือด้านสื่อและวัสดุอุปกรณ์ (���̅��� = 4.73 ������������ = 0.82) มีความพึงพอใจระดับมากที่สุด และลำดับสุดท้ายคือด้านเนื้อหา (���̅��� = 4.50 ������������ = 0.67) มคี วามพึงพอใจระดับมาก

บทท่ี 5 สรปุ อภปิ ราย และขอ้ เสนอแนะ สรปุ ผลการวจิ ัย เป้าหมายของการวิจัยเพอื่ ต้องการผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น เร่อื งลมฟ้าอากาศรอบตัว โดยใช้ วธิ กี ารสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5e) รว่ มกับเทคนคิ การเรยี นแบบร่วมมอื โดยอาศัยแนวคดิ ทฤษฎี หลักการ วิธกี ารสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5e) รว่ มกบั เทคนิคการเรยี นแบบร่วมมือ สำหรบั ทดลอง จัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องลมฟ้าอากาศรอบตัว กับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสูงเม่นชนูปถัมภ์ อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ ทั้งนี้เพราะจากผลการทบทวนเอกสารและ งานวจิ ยั ที่เก่ียวข้องพบวา่ นวัตกรรมท่ีจัดกิจกรรมการเรยี นรูเ้ รอ่ื งดงั กล่าว เช่น วธิ สี อนแบบสบื เสาะหา ความรู้ (5e) โดยภาพรวมผู้เรียนมีผลการเรียนรู้ที่ระดับพอใช้ เมื่อเทียบกับระดับผลการเรียนรู้ตาม เกณฑข์ องสพฐ. นอกจากระดับผลการเรยี นรู้ดังกล่าวมายังพบอีกว่า นวตั กรรมดงั กลา่ วมีบางประเด็น ที่ต้องปรับปรุง เช่น ครูขาดวิธีการสอนและขาดการพัฒนาสื่อการเรียนการสอนที่สนองต่อความ แตกตา่ งและความสนใจของเด็กเปน็ รายบคุ คล ปญั หาด้านนักเรยี น ได้แก่ นักเรียนเบ่ือหนา่ ยการเรียน ไม่เห็นความสำคัญและความจำเป็นของกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เป็นปัญหาที่ส่งผลให้ผล สัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนต่ำ ด้วยสาเหตุดังกล่าวผู้วิจัย จึงมีความสนใจว่าการพัฒนา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องลมฟ้าอากาศรอบตัว โดยใช้วิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ ที่สร้างขึ้นตามแนวคิด ทฤษฎี หลักการ วิธีการสอนแบบสืบ เสาะหาความรู้ (5e) รว่ มกบั เทคนิคการเรยี นแบบร่วมมอื ซ่งึ มีการปรบั ปรงุ ข้อบกพรอ่ งท่ีพบดังกล่าว เมื่อนำมาทดลองจัดกิจกรรมการเรียนร้เู รื่องลมฟ้าอากาศรอบตวั กับนกั เรยี นระดบั ชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนสูงเมน่ ชนูปถัมภ์ อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ แล้วระดับผลการเรียนรูจ้ ะเป็นอย่างไรเม่ือ เทยี บกับระดบั ผล การเรียนรตู้ ามเกณฑข์ องสพฐ. และเปรียบเทียบกับระดับผลการเรียนรู้จากการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยวิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบ ร่วมมอื เมื่อจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องลมฟ้าอากาศรอบตัว กับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่1 ปีการศึกษา2565 จำนวน 39 คน ที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง โดยทดลองใช้นวัตกรรมที่แตกต่างกัน 2 ชนิด ชนิดแรก โดยทดลองใช้วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้(5e) ชนิดที่สอง โดยทดลองใช้วิธีการสอน แบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) รว่ มกบั เทคนิคการเรียนแบบร่วมมอื เปรียบเทยี บระดบั ผลการเรียนรู้

75 ตามเกณฑ์ของสพฐ. ระหว่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน 2 ชนิดดังกล่าวด้วย Paired – Sample t Test พรอ้ มทัง้ วัดระดบั ความพึงพอใจ ผลการวิจัยพบว่า 1. เมื่อจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยทดลองใช้วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้(5e) นักเรียน กลมุ่ ตัวอย่างมผี ลการเรยี นรู้ท่ีระดับปานกลางตามเกณฑ์ของสพฐ. ขณะทกี่ ารจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดย ทดลองใช้วิธกี ารสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกบั เทคนิคการเรยี นแบบรว่ มมือมีผลการเรียนรู้ ทร่ี ะดับดมี ากตามเกณฑ์เดียวกนั 2. เมือ่ ทำการวิเคราะห์เปรียบเทียบพบว่า ระดบั ผลการเรียนรู้ของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างจาก การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยทดลองใช้วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้(5e) ต่ำกว่าทดลองใช้วิธีการ สอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกบั เทคนคิ การเรยี นแบบรว่ มมือ อยา่ งมนี ยั สำคญั ทางสถิติ 0.05 หรอื ทรี่ ะดับความเชื่อมัน่ 95% 3. เมื่อทำการประเมินระดับความพึงพอใจซึ่งกำหนดเป็น 4 ด้าน คือประกอบด้วย ด้าน เนื้อหา ดา้ นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ด้านสื่อและวสั ดอุ ุปกรณ์ และดา้ นการวดั และประเมนิ ผลพบวา่ 3.1 จากตารางท่ี 4 พบว่า เมอ่ื วเิ คราะห์โดยภาพรวม นกั เรยี นระดับช้นั มัธยมศกึ ษาปี ที่ 1 โรงเรยี นโรงเรยี นสูงเมน่ ชนปู ถมั ภ์ ภาคเรยี นท่ี2 ปีการศึกษา2565 มีความพงึ พอใช้ต่อการทดลอง ใช้วิธกี ารสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกบั เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ จัดกจิ กรรมการเรียนรู้ เร่อื งลมฟ้าอากาศรอบตัว ระดบั ปานกลาง แตเ่ มื่อวเิ คราะห์เปน็ รายดา้ นโดยใช้ค่าระดับค่าเฉล่ียสูงสุด ไปหาต่ำสดุ เป็นเกณฑ์ พบว่าความพึงพอใจด้านการวดั และประเมินผล มรี ะดบั ค่าเฉล่ียสูงสุด มีความ พึงพอใจระดับมากที่สุด ระดับค่าเฉลี่ยรองลงมาคือด้านสื่อและวสั ดุอุปกรณ์ มีความพึงพอใจระดับ มากท่ีสดุ และระดบั คา่ เฉลยี่ ตำ่ สุดคอื ความพงึ พอใจด้านเนือ้ หา มีความพงึ พอใจระดบั มาก 3.2 เมื่อวิเคราะห์โดยภาพรวม นักเรียนกลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจโดยภาพรวมต่อ การทดลองใช้วิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ ที่ระดับ มากที่สุด แต่เมื่อวิเคราะห์เป็นรายด้านโดยใช้ค่าระดับค่าเฉลี่ยสูงสุดไปหาต่ำสุดเป็นเกณฑ์ พบว่า ความพึงพอใจด้านการวัดและประเมินผล มีระดับค่าเฉลี่ยสูงสุด มีความพึงพอใจระดับมากที่สุด ระดบั คา่ เฉลย่ี รองลงมาคือด้านสื่อและวสั ดอุ ุปกรณ์ มคี วามพึงพอใจระดบั มากทสี่ ดุ และระดบั ค่าเฉลี่ย ตำ่ สุดคอื ความพงึ พอใจด้านเนอ้ื หา มคี วามพงึ พอใจระดบั มาก 3.3 เมื่อเปรียบเทียบด้วยระดับค่าเฉลี่ยโดยภาพรวม นักเรียนกลุ่มตัวอย่างมี ความพึงพอใจการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้(5e) ต่ำกว่าการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ดว้ ยวิธกี ารสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) รว่ มกบั เทคนคิ การเรยี นแบบรว่ มมือ

76 อภปิ รายผลการวิจัย จากผลการวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าวในบทที่ 4 ประเด็นที่จะหยิบยกขึ้นมาสู่การอภิปราย ผลการวจิ ัยประกอบด้วยผลการพฒั นาผลสัมฤทธิ์การเรยี นรขู้ องนกั เรียน และระดับความพึงพอใจของ นกั เรยี น แต่ละประเด็นดังกล่าวนำมาอภิปราย ดังน้ี 1. ผลการพัฒนาผลสัมฤทธ์กิ ารเรียนรขู้ องนกั เรียน จากผลการวเิ คราะห์ข้อมูลในบทที่ 4 พบวา่ นักเรยี นมผี ลสัมฤทธ์ิการเรียนรู้จากการทดลองใช้ วิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ เรื่องอากาศรอบตัว ทร่ี ะดับปานกลาง ทงั้ น้เี ป็นเพราะว่าวิธกี ารสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกบั เทคนิคการเรียน แบบร่วมมือ เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่แบง่ นักเรียนเป็นกลุ่มเล็กๆ ส่งเสริมให้นักเรยี นทำงานร่วมกัน ด้วยวิธีการต่างๆ มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีการช่วยเหลือพึ่งพาซึ่งกันและกัน และมีความ รับผิดชอบร่วมกันทั้งในส่วนตนและส่วนรวม เพื่อให้ตนเองและสมาชิกทุกคนในกลุ่มประสบ ความสำเร็จตามเป้าหมาย ซง่ึ ผลดังกล่าวสอดคล้องกบั แนวคิด ทฤษฎี หลกั การ วิธีการการสอนแบบ 5e ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมอื ของจณิ ห์จฑุ า พิพิธจันทร (2560) ที่กล่าวว่าวิธีการการสอน แบบ 5e ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือการจัดการเรียนรู้ที่เป็นไปตามทฤษฎีการสร้างองค์ ความรโู้ ดยเปน็ กจิ กรรมการเรยี นรู้ที่แบง่ นกั เรียนเป็นกลุ่มเล็กๆ ส่งเสรมิ ใหน้ กั เรยี นทำงานร่วมกันด้วย วิธีการตา่ งๆ มกี ารแลกเปล่ียนความคิดเห็น มกี ารชว่ ยเหลือพ่ึงพาซง่ึ กันและกนั และมคี วามรับผิดชอบ ร่วมกันทั้งในส่วนตนและส่วนรวมเพื่อให้ตนเองและสมาชิกทุกคนในกลุ่มประสบความสำเร็จตาม เป้าหมายเพราะการสืบเสาะหาความรู้นอกจากจะต้องใช้หลักการ เหตุผล และข้อมูลที่ได้จาก การทดลองแลว้ ยังตอ้ งใช้จินตนาการ ความสร้างสรรค์ และการลงความเหน็ รว่ มกัน แม้วา่ คนเพียงคน เดียวสามารถค้นพบเรื่องที่ยิ่งใหญ่ได้ แต่ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ขึ้นอยู่กับคนกลุ่มใหญ่ท่ี ยอมรับความคิดเห็นน้ันรว่ มกนั นอกจากน้ผี ลการวเิ คราะห์ดังกลา่ วยังสอดคลอ้ งกบั งานวจิ ยั ของ ณัฐกิตติ์ นวลแสง (2561) ที่ทำการวิจัย เรื่อง การพัฒนาชุดกิจกรรมโดยการเรียนรู้แบบ ร่วมมือเทคนิคคู่ เดี่ยว (Team -Pair-Solo) เพื่อส่งเสริมทักษะการเล่นซอด้วง กับนักเรียนระดับช้ัน ประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านคลองตัน จังหวัดสมุทรสาคร โดยใช้วิธีการพัฒนาชุดกิจกรรมโดย การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคกลุ่มคู่ โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือ1) เพื่อศึกษาความสามรถในการเล่นซอ ดว้ งของนักเรียนช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี5 โดยการเรยี นร้แู บบรว่ มมือเทคนคิ คู่ เดีย่ ว (Team -Pair-Solo) 2) เพอ่ื ศกึ ษาพฤตกิ รรมการเรียนรู้ของนกั เรียนจากการเล่นซอดว้ ง โดยการเรียนร้แู บบรว่ มมอื เทคนิคคู่ เดี่ยว (Team -Pair-Solo) ผลการวิจัยพบว่านักเรียนมีความสามารถในการเล่นซอด้วงโดยการเรียน แบบร่วมมือ เทคนิคกลุ่มคู่ เดี่ยว นักเรียนที่ไมผ่ ่านเกณฑ์ คิดเป็นร้อยละ 30.43 และนักเรียนที่ผ่าน เกณฑ์ คิดเป็นร้อยละ 34.78 โดยนักเรียนส่วนใหญ่มีคะแนนพฤติกรรมการเล่นซอดว้ งแบบกลุ่มคู่ เดี่ยวอยใู่ นระดบั ดี แต่ใช้เทคนคิ กลุม่ คู่เด่ียว อยู่ในระดับดีมาก

77 นอกจากน้ียงั สอดคลอ้ งกับงานวิจยั ของโสรัจจ์ แสนคำ (2560) ท่ที ำการวจิ ัยเรื่องการพัฒนา กิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค LT ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาวิทยาศาสตร์ เรอื่ ง สารในชีวิตประจำวนั กบั นักเรยี นระดบั ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 6 โรงเรยี นเทศบาล 5 (พหลโยธินรา มนิ ทรภักดี) สงั กดั เทศบาลเมอื งราชบุรี จงั หวดั ราชบุรี โดยใชก้ ารจดั การเรียนรู้แบบรว่ มมือดว้ ยเทคนิค LT โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค LT โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวคิด เรื่อง กัมมันตภาพรังสีและพลังงานนิวเคลียร์ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 4 หลังจาก การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค LT มีผลสมั ฤทธห์ิ ลงั เรียนสูงกวา่ ก่อนเรยี น อยา่ งมีนยั สำคัญทางสถิตทิ ่รี ะดับ .05 คา่ สถิติ t – test เท่ากับ 17.723 ทิวากร วงษ์เสน, อุษา ปราบหงษ์และพจมาน ชำนาญกิจ (2560) ที่ทำการวิจัยเรื่องการ พัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องการรักษาดุลยภาพของร่างกายมนุษย์และสัตว์ กับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนพังโคนวิทยาคม อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร โดยใช้การสอนแบบวัฏ จักรการสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น (5e) ร่วมกับการเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค STAD โดยมี วัตถปุ ระสงค์เพอื่ เปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น ของนกั เรยี นระหว่างก่อนเรียนกบั หลงั เรยี นดว้ ย ชดุ กิจกรรมการเรียนรทู้ ี่สรา้ งข้นึ ผลการวจิ ยั พบวา่ 1.ชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ เรื่องการรักษาดลุ ยภาพของร่างกายมนษุ ย์และสัตว์ ชั้นมัธยมศึกษา ปที ่ี 5 โดยใชก้ ารสอนแบบวัฎจักรการสบื เสาะหาความรู้ 5 ข้ัน (5e) ร่วมกบั การเรยี นแบบร่วมมือด้วย เทคนิค STAD มีประสทิ ธิภาพ 85.29/85.74 ซ่งึ สูงกว่าเกณฑท์ ่ตี ้งั ไว้ 2.ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ หลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรยี นอยา่ งมีนัยสำคัญทางสถติ ิท่รี ะดับ .01 3.ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ หลัง เรียนสูงกวา่ กอ่ นเรียนอยา่ งมีนัยสำคัญทางสถติ ิท่รี ะดบั .01 จากการอภิปรายผลการวิเคราะหข์ ้อมูลดังกล่าวข้างต้น จึงลงข้อสรุปว่าการจัดกิจกรรมการ เรยี นรเู้ รือ่ งลมฟ้าอากาศ โดยการทดลองใช้วธิ กี ารสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5e) รว่ มกบั เทคนิคการ เรยี นแบบร่วมมือ มผี ลต่อผลการพัฒนาผลสมั ฤทธ์ิการเรียนรู้ของนักเรยี นซึง่ สอดคล้องกับสมมติฐาน การวิจัยทกี่ ำหนดขน้ึ คือการจดั กิจกรรมการเรียนรู้เรือ่ งลมฟ้าอากาศรอบตัว โดยทดลองใช้วิธีการสอน แบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ มีผลต่อการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ การเรียนรูเ้ รอ่ื งลมฟ้าอากาศรอบตัว ของนักเรยี นระดับช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 1 โรงเรยี นสูงเม่นชนูปถัมภ์ อำเภอสูงเมน่ จงั หวัดแพร่

78 2. ระดบั ความพึงพอใจของนักเรียน จากผลการวเิ คราะหข์ ้อมูลในบทท่ี 4 พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการทดลองใช้วิธีการ สอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ จัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง ลมฟ้าอากาศ ท่ีระดบั มากทีส่ ุด ทัง้ นเ้ี ปน็ เพราะวา่ ผู้วจิ ยั ไดศ้ ึกษาการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องลมฟ้า อากาศ โดยใช้วิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ ให้มีความเหมาะสมกับนักเรียน โดยมีแผนการจัดการเรียนรู้ที่ตรงกับจุดประสงค์การเรียนรู้ และมีสื่อการเรียนรู้ที่น่าสนใจ ซึ่งทำให้นักเรียนสามารถฝึกฝนตามขั้นตอนได้ ทำให้นักเรียนมีความ สนใจในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ซึ่งผลดังกล่าวสอดคล้องกบั แนวคิด ทฤษฎี หลักการ วิธีการสอน แบบ 5e ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบรว่ มมือของณัฐกิตติ์ นวลแสง (2561) ท่กี ลา่ วว่าความพึงพอใจ เปน็ ความรสู้ ึกของบุคคลในเชิงบวก ทมี่ ผี ลตอ่ การปฏบิ ัตกิ จิ กรรมในการเรียนการสอนจนกจิ กรรมน้ันๆ บรรลผุ ลสำเร็จ ทั้งน้ีขึน้ อยูก่ บั ความรู้สึกของความชอบ ความสนใจ เน่ืองมาจากสิ่งเร้า แรงจูงใจ และ สภาพแวดล้อมตา่ งๆทีเ่ ก่ียวขอ้ งทีม่ ีผลตอ่ การปฏิบัติกิจกรรมในการเรียนการสอนของนักเรียนที่มีต่อ การจดั การเรยี นรู้ นอกจากนผ้ี ลการวเิ คราะหด์ งั กลา่ วยังสอดคลอ้ งกับงานวิจัยของ ณัฐกิตติ์ นวลแสง (2561) ที่ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนาชุดกิจกรรมโดยการเรียนรู้แบบ ร่วมมือเทคนิคคู่เดี่ยว (Team -Pair-Solo) เพื่อส่งเสริมทักษะการเล่นซอด้วง กับนักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรยี นบา้ นคลองตนั จงั หวัดสมุทรสาคร โดยใช้วิธกี ารพัฒนาชดุ กิจกรรมโดยการ เรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคกลุ่มคู่ (Team -Pair-Solo) โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาความพงึ พอใจต่อ นักเรียนตอ่ การเรียนรโู้ ดยการเรียนร้แู บบร่วมมือเทคนิคกลุ่มคู่ (Team -Pair-Solo) ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการทดลองจัดกิจกรรมการเรียนรู้ดว้ ยนวตั กรรมดงั กล่าวที่ระดับพึงพอใจ มากที่สดุ มคี า่ เฉลี่ยเท่ากับ 4.55 โสรัจจ์ แสนคำ (2560) ที่ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วย เทคนิค LT ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องสารในชีวิตประจำวันกับนักเรียน ระดับชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ 6 โรงเรยี นเทศบาล 5 (พหลโยธนิ รามินทรภักดี) สังกัดเทศบาลเมืองราชบรุ ี จังหวัดราชบุรี โดยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค LT โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา ความพึงพอใจของนักเรียนช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 6 ที่มีต่อการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้แบบ ร่วมมือดว้ ย เทคนิค LT ผลการวิจัยพบว่าผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยชุด กจิ กรรมการเรยี นรูแ้ บบร่วมมือด้วยเทคนิค LT พบว่านักเรยี นมคี วามพึงพอใจอยูใ่ นระดบั พงึ พอใจมาก มีค่าเฉลย่ี เท่ากับ 4.35 ทิวากร วงษ์เสน, อุษา ปราบหงษ์และพจมาน ชำนาญกิจ (2560) ที่ทำการวิจัยเรื่องการ พัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องการรักษาดุลยภาพของร่างกายมนุษย์และสัตว์ กับนักเรียนช้ัน มัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนพังโคนวิทยาคม อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร โดยใช้การสอนแบบวัฏ

79 จักรการสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น (5e) ร่วมกับการเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค STAD โดยมี วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อ การเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ผลการวิจัยพบว่าความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ มีความพึง พอใจอยู่ในระดบั มากท่ีสุด มีคา่ เฉลยี่ เทา่ กับ 4.63 จากการอภิปรายผลการวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าวข้างต้น จึงลงข้อสรุปว่าการจัดกิจกรรม การเรยี นร้เู รือ่ งลมฟา้ อากาศรอบตวั โดยการทดลองใช้วิธกี ารสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) รว่ มกับ เทคนคิ การเรยี นแบบร่วมมอื มผี ลตอ่ ระดบั ความพงึ พอใจของนกั เรียน ซ่ึงสอดคล้องกบั สมมติฐานการ วจิ ยั ทีก่ ำหนดขึน้ คอื การจดั กจิ กรรมการเรยี นร้เู ร่ืองลมฟา้ อากาศรอบตวั โดยทดลองใช้วธิ กี ารสอนแบบ สืบเสาะหาความรู้ (5e) รว่ มกับเทคนคิ การเรียนแบบร่วมมอื จดั กจิ กรรมการเรียนรู้เรอื่ งลมฟา้ อากาศ รอบตวั มผี ลตอ่ ระดับความพงึ พอใจของนกั เรียนระดับช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนสูงเม่นชนูปถัมภ์ อำเภอสูงเมน่ จงั หวดั แพร่ ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะการใชป้ ระโยชน์ผลการวิจัย 1.1 การสอนนักเรียนโดยใช้วิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการ เรียนแบบร่วมมือ ในขั้นตอนการทำการทดลอง ครูต้องดูแลนกั เรียนอยา่ งใกลช้ ิด ทั้งนี้เพราะในการ ทดลองนกั เรยี นอาจเลน่ กันและเกิดอันตรายได้ 1.2 ควรเพิ่มระยะเวลาในการเรียนทั้งนี้เพราะมีกิจกรรมการทดลองทำให้นักเรียนทำ กจิ กรรมเสร็จไม่ทันเวลา 2. ขอ้ เสนอแนะการศึกษาเพ่ิมเติมหรือทำวิจัยตอ่ ยอด 2.1 ควรมกี ารศกึ ษาเพิม่ เตมิ เก่ียวกบั ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้เทคนคิ แบบรว่ มมอื ทง้ั นเี้ พราะ จะชว่ ยให้ความสามารถทางการเรยี นเพ่มิ สงู ขึ้น จึงควรสร้างและพฒั นาสื่อบทเรียนประเภทอืน่ ๆท่ีช่วย สอนเสรมิ ทกั ษะการเรียนให้มีความหลากหลายในวชิ าวทิ ยาศาสตร์และรายวชิ าอ่ืนๆตอ่ ไป 2.2 ควรมีการศึกษาเพิม่ เติมเกี่ยวกบั การวิจัยการจัดการเรียนรู้โดยใชเ้ ทคนิคหรือวิธีสอน เรื่องลมฟ้าอากาศรอบตัวในรูปแบบอืน่ ๆ ทั้งนี้เพราะเพื่อให้ได้นวัตกรรมทีห่ ลากหลาย และสามารถ พฒั นาผ้เู รียนได้เต็มตามศกั ยภาพ

ภาคผนวก

81 ภาคผนวก ก. เครื่องมอื การวิจยั

82 แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 1 กลมุ่ สาระวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ภาคเรียนที่ 2 ช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 1 เวลา 27 ชั่วโมง หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 6 กระบวนการเปลย่ี นแปลงลมฟ้าอากาศ เวลา 2 ชั่วโมง โรงเรยี นสงู เมน่ ชนูปถมั ภ์ เรื่อง บรรยากาศของเรา ผสู้ อน นางสาวณฐั สุดา ฉิมสอาด วนั ท่ี........... เดือน.............. พ.ศ. ....... 1. มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลง ภายในโลกและบนผิวโลก ธรณพี บิ ัตภิ ยั กระบวนการเปล่ยี นแปลง ลมฟา้ อากาศและภูมิอากาศโลก รวมทั้งผล ตอ่ ส่ิงมชี ีวิตและส่งิ แวดล้อม 2. ตวั ชี้วัด ม.1/1 สร้างแบบจำลองที่อธิบายการแบ่งชั้นบรรยากาศ และเปรียบเทียบประโยชน์ของบรรยากาศ แตล่ ะชัน้ 3. สาระสำคัญ/ความคดิ รวบยอด โลกมีบรรยากาศห่อหุ้ม นักวิทยาศาสตร์ใช้สมบัติ และองค์ประกอบของบรรยากาศในการแบ่ง บรรยากาศ ของโลกออกเปน็ ช้นั ซึง่ แบ่งได้หลายรปู แบบ ตามเกณฑ์ท่แี ตกตา่ งกนั โดยท่ัวไปนกั วิทยาศาสตร์ ใช้ เกณฑ์การเปลี่ยนแปลงอณุ หภมู ิตามความสูง แบ่งบรรยากาศไดเ้ ป็น 5 ช้ัน ไดแ้ ก่ช้นั โทรโพสเฟยี ร์ ชน้ั สตราโตส เฟยี ร์ชั้นมีโซสเฟยี ร์ชนั้ เทอรโ์ มสเฟียร์ และชั้นเอกโซสเฟยี ร์ 4. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ ด้านความรู้ (K) - เพ่อื ใหน้ กั เรยี นสามารถอธิบายการแบ่งชน้ั บรรยากาศได้ - เพ่ือใหน้ กั เรยี นสามารถบอกประโยชน์ของบรรยากาศแต่ละชน้ั ได้

83 ดา้ นทักษะกระบวนการ (P) - เพือ่ ใหน้ ักเรียนสามารถสร้างแบบจำลองการแบง่ ชนั้ บรรยากาศได้ - เพอ่ื ใหน้ กั เรยี นสามารถเปรยี บเทียบและบอกประโยชน์บรรยากาศแต่ละช้ันได้ - เพ่ือใหน้ ักเรยี นสามารถนำเสนอผลงานการสร้างแบบจำลองการแบ่งช้นั บรรยากาศได้ ด้านคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (A) - เพื่อให้นักเรียนมีความม่งุ ม่ันในการทำงาน 5. สาระการเรยี นรู้ ดา้ นความรู้ (K) - อธิบายและบอกประโยชนข์ องชน้ั บรรยากาศ ด้านทักษะกระบวนการ (P) - สรา้ งแบบจำลองและเปรียบเทียบ - นำเสนอ ด้านคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ (A) - ความมงุ่ มั่นในการทำงาน 6. ดา้ นสมรรถนะสำคัญของผ้เู รียน 1. ความสามารถในการสรา้ งแบบจำลอง 2. ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ิต 7. การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ จัดกระบวนการเรียนรูโ้ ดยใช้การสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ 5E ร่วมกบั เทคนคิ การเรียนแบบรว่ มมือ 7.1 ข้นั สร้างความสนใจ 7.1.1 ครูและนกั เรียนกลา่ วทักทายกนั 7.1.2 สร้างความสนใจโดยเปดิ วีดิโอ และถามคำถามเพื่อเชอ่ื มโยงเข้าสูบ่ ทเรยี น ดงั นี้ - จากวีดิโอที่เปิด นักเรียนเคยพบเจอสถานการณ์ทางธรรมชาติที่เหมือนในวีดิโอ หรอื ไม่ เคยเจอกบั อะไรบ้าง (แนวการตอบ : นักเรียนตอบได้โดยอิสระ เช่น อากาศร้อนจัด พายุฤดูร้อน ฝนตก หนัก นำ้ ทว่ ม ลูกเห็บตก - สถานการณ์ดงั กล่าวสง่ ผลกระทบตอ่ ชีวิตและทรัพย์สนิ อยา่ งไรบ้าง (แนวการตอบ : นักเรียนตอบได้โดยอิสระ เช่น หลังคาบ้านปลิว รถยนต์เสียหาย ความเจบ็ ป่วย หรือได้รับบาดเจบ็ )

84 7.1.3 ครูแจง้ จดุ ประสงค์ในการเรยี นการสอน 7.1.4 ครูแจง้ กจิ กรรมทีน่ ักเรยี นต้องทำในคาบเรียนน้ี - เรยี นเร่อื งบรรยากาศของเรา - หลังเรยี นเสรจ็ ให้นักเรียนทำงานกลุ่ม ใบงานท่ี 1 เรื่องบรรยากาศของเรา - นกั เรยี นออกมานำเสนอแบบจำลองจากใบงานที่ 1 เร่อื งบรรยากาศของเรา - เลน่ เกมตอบคำถามเพ่อื ทบทวนบทเรียน 7.2 ขน้ั สำรวจและค้นหา 7.2.1 สอนนกั เรียนโดยใช้ PowerPoint เรื่องบรรยากาศของเรา 7.2.2 นักเรียนแบ่งกล่มุ กลมุ่ ละ 5 คน 7.2.3 นกั เรยี นแตล่ ะกลุ่มทำใบงานที่ 1 เรื่องบรรยากาศของเรา โดยชว่ ยกนั สร้างแบบจำลอง ของช้นั บรรยากาศ พร้อมอธิบายและบอกประโยชน์ของแตล่ ะชน้ั บรรยากาศ 7.2.4 ครูคอยแนะนำช่วยเหลือนักเรยี นขณะสรา้ งแบบจำลอง โดยคอยเดนิ ดูแต่ละกลุ่ม และ เปดิ โอกาสใหน้ ักเรยี นไดซ้ ักถามเมอ่ื มีปัญหา 7.3 ขน้ั อธบิ ายและลงข้อสรุป 7.3.1 นักเรียนแต่ละกลมุ่ ออกมานำเสนอผลงานหน้าหอ้ งเรียน ในระหวา่ งทน่ี กั เรียนนำเสนอ ครูคอยให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม เพื่อให้นักเรียนมีความเข้าใจที่ถูกต้อง (ครูเริ่มประเมนิ นักเรียน โดย ใช้แบบประเมินการนำเสนอผลงาน) 7.3.2 นกั เรียนและครรู ว่ มกนั อภปิ รายและหาข้อสรปุ จากการสรา้ งแบบจำลอง - แก๊สทม่ี อี ยใู่ นบรรยากาศมากท่ีสุดคือแก๊สอะไร (แนวการตอบ : แกส๊ ไนโตรเจน) - ชั้นบรรยากาศที่ใช้เกณฑ์การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิตามความสูงแบ่งเป็นกี่ช้ัน อะไรบ้าง (แนวการตอบ : แบง่ เปน็ 5 ช้นั ไดแ้ ก่ ชั้นโทรโพสเฟยี ร์ ชั้นสตราโตสเฟยี ร์ ช้ันมีโซส เฟียร์ ชน้ั เทอรโ์ มสเฟยี ร์ และชน้ั เอกโซสเฟียร์) - บรรยากาศแต่ละช้นั มีประโยชนต์ ่อการดำรงชีวิตของมนษุ ยอ์ ย่างไร (แนวการตอบ : บรรยากาศชั้นโทรโพสเฟียร์ทำให้เกดิ เมฆ ฝน พายุฟ้าคะนอง เกิด การหมุนเวียนของน้ำใน สถานะต่างๆ บรรยากาศชั้นสตราโตสเฟียร์มีโอโซนช่วยป้องกัน รงั สีUV บรรยากาศช้นั มีโซสเฟียร์ ช่วยเผาไหมว้ ตั ถจุ ากนอกโลก บรรยากาศช้ันเทอร์โมสเฟียร์ เป็นชั้นที่อากาศแตกตัวเป็นประจุ ช่วยในการส่งสัญญาณคลื่นต่าง ๆ เช่น คลื่นวิทยุ และยัง ช่วยปอ้ งกนั อันตรายจากรังสขี องลมสรุ ยิ ะ)

85 7.4 ขน้ั ขยายความรู้ 7.4.1 ครูอธิบายเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับรังสีอัลตราไวโอเลต บรรยากาศชั้นสตราโตสเฟียร์มี องค์ประกอบของโอโซนอยู่หนาแน่น ซึ่งชั้นโอโซนดังกล่าวชว่ ยดูดซับรงั สีจากดวงอาทิตย์ โดยเฉพาะ รังสีอัลตราไวโอเลต ทำให้รังสีผ่านเข้ามายังพื้นโลกน้อยลง รังสีอัลตราไวโอเลตเป็นอันตรายต่อ สิ่งมีชีวิต หากมนุษย์ได้รับรังสีนี้ในปริมาณมากและเป็นระยะเวลานาน อาจเป็นอันตรายต่อผิวหนัง และดวงตา เม่ือพืชได้รบั รงั สใี นปริมาณมากเน้อื เยอ่ื พืชจะถกู ทำลายและเจรญิ เตบิ โตได้ไม่ดี 7.5 ขัน้ ประเมนิ 7.5.1 ประเมินการเรียนรขู้ องนักเรียนโดยใช้เกมตอบคำถาม(kahoot) คนท่ีไดค้ ะแนนมาก ทส่ี ุด 3 คนแรกจะได้รับของรางวัล 8. สื่อ/แหลง่ การเรยี นรู้ สอ่ื การเรียนรู้ สอื่ การเรียนรู้ - สอื่ PowerPoint เรอื่ งบรรยากาศของเรา - ใบงานที่ 1 เร่อื งบรรยากาศของเรา แหล่งเรยี นรู้ - แหลง่ ขอ้ มลู สารสนเทศ https://www.youtube.com/watch?v=rVtqnOgiM8g&t=39s

86 9. การวดั และการประเมนิ ผลการเรียนรู้ วธิ กี ารวดั เคร่อื งมอื วัด เกณฑก์ ารผ่าน การวดั และประเมินผล จดุ ประสงค์ จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ ด้านความรู้ (K) - เพื่อให้นักเรยี นสามารถอธบิ ายการแบง่ ตรวจผลงาน ใบงานท่ี 1 ไดค้ ะแนน 60% ขึน้ ไปของคะแนนเตม็ ชั้นบรรยากาศได้ - เพื่อให้นักเรยี นสามารถบอกประโยชน์ ของบรรยากาศแตล่ ะชนั้ ได้ ดา้ นทักษะ/กระบวนการ (P) สงั เกต แบบสังเกต ไดค้ ะแนน 60% - เพ่อื ให้นักเรยี นสามารถสร้าง พฤติกรรม พฤตกิ รรม ข้ึนไปของคะแนนเต็ม และตรวจ และแบบประเมนิ แบบจำลองการแบ่งช้นั บรรยากาศได้ ผลงาน ผลงาน - เพื่อให้นักเรียนสามารถเปรียบเทียบ ประโยชน์ของบรรยากาศแต่ละชัน้ ได้ - เพื่อใหน้ กั เรยี นสามารถนำเสนอผลงาน การสรา้ งแบบจำลองการแบง่ ช้นั บรรยากาศ ได้ ดา้ นคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์(A) สังเกต แบบสงั เกต ผ่าน = มีพฤติกรรม - เพือ่ ให้นักเรียนมคี วามม่งุ มนั่ ใน พฤตกิ รรม พฤตกิ รรม ความมุ่งมนั่ ใน การทำงาน และตรวจ และแบบประเมิน การทำงาน ผลงาน ผลงาน

87 ประเมนิ ผลการเรยี นรู้ เกณฑก์ ารใหค้ ะแนนเกณฑ์รบู รคิ ส์ (Rubric Score) ใหค้ ะแนนเป็นรายข้อของเกณฑ์รบู รคิ ส์ ท่ีสร้างขนึ้ สำหรับการประเมนิ (Analytical Rubric Score) ตาราง : แสดงเกณฑก์ ารให้คะแนนเกณฑ์รูบรคิ ส์ ประเดน็ การประเมิน เกณ์การให้ระดบั คะแนน ระดบั 4 ดีมาก ระดับ 3 ดี ระดบั 2 พอใช้ ระดบั 1 ปรบั ปรุง ด้านความรู้ (K) อธิบายและบอกประโยชน์ ของชั้นบรรยากาศ ได้คะแนน 60% ขึ้นไป ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ (P) สร ้าง แบบจำลองและ 1. แบบจำลองที่สร้าง 1. แบบจำลองที่สร้าง 1. แบบจำลองที่สร้าง 1. แบบจำลองที่สร้าง เปรียบเทียบ สอดคลอ้ งกับข้อมูล สอดคล้องกบั ขอ้ มูล สอดคล้องกับข้อมูล ไม่สอดคลอ้ งกับข้อมูล 2. แบบจำลองสามารถ 2. แบบจำลองสามารถ บางสว่ น 2 . แ บ บ จ ำ ล อ ง ไ ม่ อ ธ ิ บ า ย ข ้ อ ม ู ล ไ ด้ อ ธ ิ บ า ย ข ้ อ ม ู ล ไ ด้ 2. แบบจำลองสามารถ สามารถอธิบายข้อมูล ครบถ้วนดีมาก ครบถว้ นดี อธิบายข้อมูลได้ ได้ 3. เขียนแผนภาพได้ 3. เขียนแผนภาพได้ 3. เขียนแผนภาพได้ 3. เขียนแผนภาพไม่ สอดคล้องกับข้อมูลที่ สอดคล้องกับข้อมูลที่ สอดคล้องกับข้อมูลท่ี สอดคล้องกับข้อมูลท่ี ก ำ ห น ด ไ ด ้ อ ย ่ า ง ก ำ ห น ด ไ ด ้ อ ย ่ า ง ก ำ ห น ด ไ ด ้ อ ย ่ า ง กำหนด เหมาะสม เหมาะสม เหมาะสม นำเสนอ 1. คล่องแคล่ว ไม่ 1. คล่องแคล่ว ไม่ 1. ไม่คลอ่ งแคล่ว มกี าร 1. ติดขัดหลายครง้ั ติดขัด ทำให้เข้าใจ ติดขัด ทำให้เข้าใจ หยดุ ชะงกั บา้ ง เป็นบาง 2. ไม่สบสายตากับผู้ฟัง ประเด็นได้ง่ายและเร็ว ประเดน็ ไดง้ า่ ย จงั หวะ หรือ ก้มหน้า อ่านบท 2. สบสายตากับผู้ฟัง 2. สบสายตากับผู้ฟัง 2. สบสายตากับผู้ฟัง พูด อยู่ตลอดเพื่อ ดึงดูดให้ พอสมควร นอ้ ยครง้ั มาก 3. น้ำเสยี งสนั่ เครือ ผู้ฟังสนใจในเนื้อหาท่ี 3. น้ำเสียงสะท้อนถึง 3. นำ้ เสยี งสน่ั เครอื บ้าง 4. ใช้เสียงเบาเหมือน ถา่ ยทอด ความมั่นใจ 4. ใช้เสียงเบาบ้าง ดัง การกระซิบ หรือ ดัง 3. น้ำเสียงเต็มเปี่ยม 4. ความดังของเสียง บ้างสลบั กันไป เหมือนการตะคอก ด้วยความมน่ั ใจ เหมาะสม หรือการตะโกน 4. ความดังของเสียง เหมาะสม

88 ประเด็นการประเมิน เกณ์การใหร้ ะดบั คะแนน ระดับ 4 ดีมาก ระดับ 3 ดี ระดับ 2 พอใช้ ระดบั 1 ปรับปรงุ ดา้ นคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ (A) ความมุ่งมั่นในการทำงาน 1. ตั้งใจเรียน เอาใจใส่ 1. ตงั้ ใจเรยี น เอาใจใส่ 1. ต้ังใจเรยี น 1. ไม่ตงั้ ใจเรยี น และมีความเพียร 2. ตอบคำถามครู 2. ตอบคำถามครู 2. ไม่ตอบตอบคำถาม พยายามในการเรยี นรู้ อย่างสมำ่ เสมอ บางครงั้ ครู 2. ตอบคำถามครู 3. ปฏบิ ตั หิ น้าท่ีที่ไดร้ บั 3. ปฏบิ ตั หิ น้าท่ีทไ่ี ดร้ บั 3. ไม่ปฏิบตั หิ นา้ ท่ที ่ี อยา่ งสม่ำเสมอ มอบหมายอย่างตง้ั ใจ มอบหมายอย่างตง้ั ใจ ได้รบั มอบหมายอยา่ ง 3. ปฏิบตั หิ น้าท่ีท่ไี ด้รบั ตง้ั ใจ มอบหมายอย่างตง้ั ใจ

89 แบบบนั ทกึ คะแนน แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 1 หนว่ ยการเรียนร้ทู ่ี 6 กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศ เรอ่ื งลมฟ้าอากาศรอบตัว(บรรยากาศของเรา) ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 1/2 เลขที่ ชอื่ -นามสกุล ดา้ นความรู้ ดา้ นทกั ษะ ด้าน รวม ระดบั หมาย (K) (P) คุณลักษณะ คะแนน คณุ ภาพ เหตุ (A) ใบกจิ กรรม (10) 44 1 เด็กชาย กนต์ธีร์ ปนิ คำ 2 เดก็ ชาย กิตตกิ วนิ ถอื แก้ว 3 เด็กชาย กิตติญา โพธิสาร 4 เดก็ ชาย จิรวฒั น์ ยุทธเกตุ 5 เดก็ ชาย ณฐั ภัทร พวงทอง 6 เดก็ ชาย ธนกฤต พลอินต๊ะ 7 เด็กชาย ธนวัฒน์ ทองธนโชติกุล 8 เด็กชาย ธีรวชั พากเพียร 9 เดก็ ชาย นวพรรษ แก้วมา 10 เด็กชาย นธั ทวัฒน์ เอี่ยมสำอางค์ 11 เดก็ ชาย พิพัฒน์ ผวิ ผนั 12 เดก็ ชาย พีรวิชญ์ คา่ ทอง 13 เด็กชาย ภัทรภมู ิ ศรสี ทิ ธมิ งคล 14 เดก็ ชาย ภาคิน งามสวย 15 เดก็ ชาย รฐั ศาสตร์ เทพจันทร์ 16 เด็กชาย วชิรวิทย์ พวงลำ 17 เด็กชาย วรเมธ สาระบตุ ร 18 เดก็ ชาย วัชรศักด์ิ บุญมา 19 เดก็ ชาย ศกั ดิธชั จันทรห์ มื่น 20 เด็กชาย ศิรชิ ยั แสนหาร 21 เดก็ ชาย ศภุ โชค สุธราพันธ์ 22 เด็กชาย ศุภวิชญ์ สมฤทธ์ิ

90 23 เดก็ หญงิ กนกวรรณ เพชรพลอย 24 เดก็ หญงิ กันติชา จนั ทร์เพง็ 25 เดก็ หญิง เกวลี ดีดพณิ 26 เด็กหญงิ จิรัชญา แกว้ กัน 27 เดก็ หญิง ญาณภา ศรษี าคำ 28 เด็กหญงิ ธวลั รัตน์ ชาญกลา้ 29 เดก็ หญิง นภัสกร พรมท้าว 30 เด็กหญิง นันทนา เสคา 31 เด็กหญิง นิธิวดี มกุ ดาเนตร 32 เดก็ หญงิ บณั ฑิตา เขอื่ นสขุ 33 เด็กหญงิ ปรียานชุ ดงค้มุ 34 เด็กหญิง พริม นม่ิ สง่า 35 เดก็ หญงิ พชั ราลกั ษณ์ สีแดง 36 เด็กหญิง เพณ็ พิชา สขุ สำราญ 37 เด็กหญิง วรศิ รา กระหวาย 38 เดก็ หญิง วชิ ญาดา สสี ด 39 เด็กหญงิ อริสา แก้วรวม ระดับการประเมนิ เกณฑก์ ารให้คะแนน (คะแนนเต็ม 18 คะแนน) คะแนน 16 – 18 อยใู่ นระดับท่ี 4 ดีมาก คะแนน 14 – 15 อยใู่ นระดับท่ี 3 ดี คะแนน 12 – 13 อยใู่ นระดบั ท่ี 2 พอใช้ คะแนน 0 – 11 อยูใ่ นระดบั ท่ี 1 ปรับปรุง

91 แบบบันทึกคะแนน แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 1 หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 6 กระบวนการเปล่ียนแปลงลมฟ้าอากาศ เรือ่ งลมฟ้าอากาศรอบตัว(บรรยากาศของเรา) ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 1/4 เลขท่ี ชอ่ื -นามสกลุ ด้านความรู้ ดา้ น รวม ระดับ หมาย (K) ดา้ นทกั ษะ คุณลักษณะ คะแนน คุณภาพ เหตุ ใบกจิ กรรม (P) (A) (10) 44 1 เดก็ ชาย กันตินันท์ วงษค์ ำเสาร์ 2 เดก็ ชาย จิรธนั ย์ ฉลอม 3 เดก็ ชาย ณัฐดนัย ชายป่า 4 เดก็ ชาย ณัฐพล พุม่ ปรึกษา 5 เด็กชาย ดำรงศกั ดิ์ ดวงจิต 6 เดก็ ชาย ตรรกพล งามสวย 7 เดก็ ชาย ธนบรู ณ์ สีเนียม 8 เดก็ ชาย ธนั วา ขำไทยเเท้ 9 เด็กชาย ธีรพงษ์ อนิ ต๊ะวงค์ 10 เด็กชาย ปฐมพงษ์ สวนพชื 11 เด็กชาย พงศกร สายสินธ์ุ 12 เด็กชาย พานณรงค์ เชอื้ เมอื งพาน 13 เด็กชาย ภาคิน พลประเสรฐิ 14 เดก็ ชาย วรวทิ ย์ เตโจ 15 เด็กชาย สทิ ธิเดช เหล่ากาวี 16 เด็กชาย อนาวิล ก้อนอาทร 17 เด็กชาย อภชิ าติ สีสุข 18 เด็กชาย อาชริ ญาณ์ สุดเเดน 19 เดก็ ชาย อทิ ธิพัทธ์ ศรีจันทร์ 20 เด็กชาย เอกราช สขุ สำราญ 21 เดก็ หญิง ขรินทรท์ พิ ย์ กาบจนั ทร์ 22 เดก็ หญิง จีราวรรณ เกาะกลาง

92 23 เดก็ หญิง ชนญั ชิดา ดรี กั สัตย์ 24 เดก็ หญิง ฐิตมิ า เมฆกิจ 25 เด็กหญิง ตวงรัตน์ ช่นื ชม 26 เด็กหญงิ ธญั ชนก ข่มอาวุธ 27 เดก็ หญิง พรชติ า สรุ ะภา 28 เดก็ หญงิ ภทั รธิดา ใจน้อย 29 เด็กหญิง มนสั นันท์ มั่นกนั นาน 30 เด็กหญิง มาตอง กติ ติบงั ลังกก์ ูล 31 เดก็ หญิง รมติ า ผาทอง 32 เดก็ หญิง รัตติกาล โพธิ์ศรี 33 เดก็ หญงิ ลลี าวดี พลนำ้ เทย่ี ง 34 เด็กหญงิ วรนารี อุเทน 35 เด็กหญงิ วรศิ รา สำเภา 36 เด็กหญิง วชิ ญาดา แกว้ มา 37 เดก็ หญิง ศโิ รรัตน์ กนั ตา 38 เด็กหญิง ศุภนิดา เขม็ ขาว ระดับการประเมนิ เกณฑ์การให้คะแนน (คะแนนเตม็ 18 คะแนน) คะแนน 16 – 18 อยใู่ นระดบั ท่ี 4 ดีมาก คะแนน 14 – 15 อยู่ในระดบั ที่ 3 ดี คะแนน 12 – 13 อยใู่ นระดับท่ี 2 พอใช้ คะแนน 0 – 11 อยู่ในระดับที่ 1 ปรบั ปรงุ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook